H I V P R E - E X P O S U R E P R O P H Y L A X I S M O N I T O R I N G A N D P R O C E S S
E V A L U A T I O N F O R T H A I L A N D ’ S N A T I O N A L P R E P R O L L - O U T U N D E R T H E
U N I V E R S A L H E A L T H C O V E R A G E ( U H C ) F O R F I S C A L Y E A R 2 0 2 0
W W W . P H . C M U . A C . T H / P R E P / E P R E P . P D F
โครงการวิจัย การประเมินผลการดําเนินงานการบริการปองกันการ
ติดเชื อเอชไอวีก่อนการสัมผัส (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP)
ุ
ํ
ิ
ภายใต้ชุดสทธิประโยชน์ของสานักงานหลักประกันสขภาพแห่งชาติ
ป งบประมาณ 2563
คณะทํางาน
ั
ศาสตราจารย์เกยรตคุณ นายแพทย์สุวัฒน จริยาเลศศกด คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยเชียงใหม่
ิ
์
ิ
ิ
ี
ั
อาจารย์ ดร.สินนาฏ ชาวตระการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยเชียงใหม่
ี
ั
๊
์
ิ
ั
ิ
อาจารย์ ดร.กรรณการ์ อนตะวงศ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยเชียงใหม่
ั
อาจารย์ ดร.ภญ.อาจารี รายะนาคร คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยเชียงใหม่
ิ
ั
ิ
ั
ิ
นางชลลสา จริยาเลศศกด คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลยเชียงใหม่
นางพรทพย์ เข็มเงน กองโรคเอดส์และโรคตดตอทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค
่
ิ
ิ
ิ
่
ุ
ั
นางสาวอารีรัตน ยทธปรีชานนท กองโรคเอดส์และโรคตดตอทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค
์
ิ
์
August 2021
ISBN: 978-616-398-607-8
รายงานโครงการวิจัย
รำยงำนโครงกำรวิจัย กำรประเมินผลกำรด ำเนินงำนกำรบริกำรป้องกันกำรติดเชื้อเอชไอวีก่อนกำร
สัมผัส (Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP) ภำยใต้ชุดสิทธิประโยชน์ของส ำนักงำนหลักประกัน
สุขภำพแห่งชำติ ปีงบประมำณ 2563
ISBN : 978-616-398-607-8
1. โรคเอดส์ 2. กำรป้องกันกำรติดเชื้อก่อนกำรสัมผัส 3. กำรประเมินผลโครงกำร
4. Pre-Exposure Prophylaxis (PrEP) 5. PrEP
I. คณะสำธำรณสุขศำสตร์ มหำวิทยำลัยเชียงใหม่
II. ส ำนักงำนหลักประกันสุขภำพแห่งชำติ
III. กรมควบคุมโรค กระทรวงสำธำรณสุข
พิมพ์ครั้งที่ 1 จ ำนวน 100 เล่ม สิงหำคม 2564
พิมพ์ที่ บริษัทสยำมพิมพ์นำนำ จ ำกัด
108 ซอย พงศ์สุวรรณ ต ำบลศรีภูมิ อ ำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่ 50200
หมำยเลขโทรศัพท์ : 053-216-962
Website : http://www. siampimnana.com
ผู้จัดพิมพ ์ คณะสำธำรณสุขศำสตร์ มหำวิทยำลัยเชียงใหม่
239 ถนนห้วยแก้ว ต ำบลสุเทพ อ ำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ 50200
หมำยเลขโทรศัพท์ : 053-942-504
E-mail : [email protected]
Website : http://www.ph.cmu.ac.th
[ก] รายงานการประเมินผล
รายงานโครงการวิจัย
การประเมินผลการด าเนินงานการบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัส (Pre-Exposure
Prophylaxis: PrEP) ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ของส านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ
ปีงบประมาณ 2563
HIV pre-exposure prophylaxis monitoring and process evaluation for Thailand’s National
PrEP roll-out under the Universal Health Coverage (UHC) for fiscal year 2020
คณะผู้วิจัย
ผู้วิจัยหลัก
ศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์สุวัฒน์ จริยาเลิศศักดิ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Emeritus Professor Dr.Suwat Chariyalertsak Faculty of Public Health, Chiang Mai University
คณะผู้วิจัยร่วม
อาจารย์ ดร.สินีนาฏ ชาวตระการ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Dr.Sineenart Chautrakarn Faculty of Public Health, Chiang Mai University
อาจารย์ ดร.กรรณิการ์ อินต๊ะวงศ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Dr.Kannikar Intawong Faculty of Public Health, Chiang Mai University
อาจารย์ ดร.ภญ.อาจารี รายะนาคร คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Dr.Ajaree Rayanakorn Faculty of Public Health, Chiang Mai University
นางชลลิสา จริยาเลิศศักดิ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
Mrs.Chonlisa Chariyalertsak Faculty of Public Health, Chiang Mai University
นางพรทิพย์ เข็มเงิน กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค
Mrs.Porntip Khemngern Division of AIDS and STIs, Department of Disease Control
นางสาวอารีรัตน์ ยุทธปรีชานันท์ กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค
Ms.Areerat Yuttaprechanan Division of AIDS and STIs, Department of Disease Control
ผู้สนับสนุนงบประมาณวิจัย
กองทุนโลก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (The Global Fund to Fight AIDs, Tuberculosis and
)
Malaria, Department of Disease Control ,Ministry of Public Health และ โครงการเอดส์แห่ง
สหประชาชาติ (The Joint United Nations Programme on HIV/AIDS: UNAIDS)
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [ข]
ค าน า
่
็
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขและส านักงานหลักประกันสุขภาพแหงชาติ (สปสช.) ได้มองเหน
ความส าคัญในการยุติปัญหาเอดส์ ในปี พ.ศ.2573 โดยเฉพาะการลดจ านวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในแต่ละปีลงให้ได้ตาม
เป้าหมายที่ตั้งไว้ จึงได้ริเรมโครงการน าร่องการจัดบริการยาต้านไวรัสเพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัส (Pre-
ิ่
Exposure Prophylaxis: PrEP) เพิ่มเข้ามาภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ของทาง สปสช. ส าหรับประชาชนไทยทุกคนเพื่อ
ป้องกันการติดเชื้อฯ ในปีงบประมาณ พ.ศ.2563 ที่ผ่านมา
ิ
รายงาน “โครงการวจัยประเมินผลการด าเนินงานการบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัส (Pre-
Exposure Prophylaxis: PrEP) ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ของส านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ
2563” ที่ได้จัดท าขึ้นในครั้งนี้ โดยคณะนักวิจัยจากคณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ร่วมกับนักวิชาการจาก
กองโรคเอดส์และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค ถือเป็นการศึกษาวิจัยประเมินผลการด าเนินงานการ
จัดบริการ PrEP ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2563 โดยริเริ่มเป็นโครงการน าร่องในการจัดบริการ PrEP จ านวน 2,000 ราย ใน
หน่วยบริการที่เป็นโรงพยาบาลและหน่วยบริการที่จัดโดยองค์กรภาคประชาสังคมที่สนใจและได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วม
ในการจัดบริการ PrEP ในปีแรก จ านวน 51 หน่วยบริการ ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณในการจัดบริการจาก สปสช.
เพื่อประเมินผลความส าเร็จของโครงการฯในการด าเนินงาน ปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ในการจัดบริการฯ ของหน่วยบริการ
จากผู้เกี่ยวข้องกับการจัดบริการจากหน่วยบริการและรับฟังเสียงสะท้อนของผู้รับบริการ PrEP เพื่อเป็นข้อมูลส าคัญ
ประกอบการพิจารณาเพื่อการพัฒนาระบบบริการ PrEP และการขยายจ านวนหน่วยบริการทั้งหน่วยบริการที่เป็น
โรงพยาบาลและหน่วยบริการที่จัดโดยองค์กรภาคประชาสังคมในอนาคต และเป็นข้อมูลส าคัญเพื่อประกอบการตัดสินใจ
ในการบรรจุการจัดบริการ PrEP เพื่อป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีเพิ่มเติมเข้าไปอยู่ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกัน
สุขภาพถ้วนหน้าในอนาคต
ในการนี้คณะผู้วิจัยฯ ขอขอบคุณ กองทุนโลก กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข (The Global Fund to
Fight AIDs, Tuberculosis and Malaria, Department of Disease Control, Ministry of Public Health)
และโครงการเอดส์แห่งสหประชาชาติ (The Joint United Nations Programme on HIV/AIDS; UNAID) ที่ได้
สนับสนุนงบประมาณในการวิจัยประเมินผลในครงนี้ ตลอดจนให้ข้อเสนอแนะอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการด าเนินการ
ั้
วิจัยและการน าเสนอรายงานฉบับนี้
ขอขอบคุณทีมงานผู้รับผิดชอบการจัดบริการการรักษาและป้องกันโรคเอดส์ ผู้ประสานงานจากกองโรคเอดส์และ
่
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ กรมควบคุมโรค และตัวแทนที่เกี่ยวข้องจากส านักงานหลักประกันสุขภาพแหงชาติ ในการให ้
ค าแนะน าเพื่อพัฒนากรอบแนวคิดและเครื่องมือต่าง ๆ ที่ใช้ในการวิจัยประเมินผลฯ ในครั้งนี้
ขอขอบคุณผู้ให้ข้อมูลการวิจัย ตัวแทนผู้ให้บริการ PrEP และตัวแทนผู้รับบริการ PrEP จากหน่วยบริการต่าง ๆ ที่
้
ใหข้อมูลอันเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในการวิจัยประเมินผล ท าใหได้ข้อเสนอแนะในการพัฒนาปรับปรุงการจัดระบบบริการ
้
PrEP เพื่อน าเสนอต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะกรมควบคุมโรคและ สปสช. รวมถึงหน่วยบริการต่าง ๆ ที่ด าเนินการ
อยู่ในปัจจุบันและหน่วยบริการที่จะขยายเพิ่มขึ้นในอนาคตอนใกล้นี้ ซึ่งจะมีส่วนส าคัญอย่างยิ่งในการน าไปสู่การบรรลุ
ั
เป้าหมายยุติปัญหาเอดส์ภายในปี พ.ศ. 2573 ให้ส าเร็จได้ในที่สุด
คณะผู้วิจัยฯ
สิงหาคม พ.ศ. 2564
[i] รายงานการประเมินผล
สารบัญ
หน้า
ค าน า............................................................................................................................................. i
บทสรุปผู้บริการ............................................................................................................................. iii
บทที่ 1 บทน า................................................................................................................................ 1
ความเป็นมา....................................................................................................................... 2
วัตถุประสงค์ของการประเมินผล.......................................................................................... 5
บทที่ 2 ระเบียบวิธีวิจัยและการเก็บข้อมล 7
ู
รูปแบบการวิจัย.................................................................................................................. 8
้
การด าเนินการเก็บขอมูล..................................................................................................... 8
บทที่ 3 ผลการวิจัย........................................................................................................................ 11
ส่วนที่ 1 ข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ในปีงบประมาณ 2563
จากฐานข้อมูล National AIDS Program (NAP plus) ....................................................... 13
ส่วนที่ 2 ข้อมูลผู้รับบริการ.................................................................................................. 53
ส่วนที่ 3 ข้อมูลกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด...................................................................................... 123
ส่วนที่ 4 ข้อมูลผู้ให้บริการ................................................................................................... 137
บทที่ 4 สรุปผลการวิจัยและข้อเสนอแนะ......................................................................................... 193
สรุปผลการประเมินผลการจัดบริการ PrEP.......................................................................... 194
ข้อค้นพบส าคัญ.................................................................................................................. 197
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย..................................................................................................... 198
เอกสารอ้างอิง................................................................................................................................ 201
ภาคผนวก...................................................................................................................................... 203
Slide presentation น าเสนอสรุปผลโครงการ.................................................................... 204
Executive Summary....................................................................................................... 209
้
เครื่องมือที่ใช้ในการเก็บขอมูล............................................................................................. 222
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [ii]
บทสรุปส าหรับผู้บริหาร
การประเมินผลการด าเนินงานการบริการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีก่อนการสัมผัส
(Pre-Exposure Prophylaxis: PrEP) ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์
ของส านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ปีงบประมาณ 2563
ที่มาและความส าคัญของปญหา
ั
ยาป้องกันการติดเชื้อก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP) ประกอบด้วยยาต้านไวรัส 2 ชนิดได้แก่ ยาเอ็ม
ไทไซตาบีน (FTC) 200 มิลลิกรัม และยาทีโนโฟเวียร์ (TDF) 300 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาที่ได้ผ่านการวิจัยมาแล้ว
ว่าสามารถใช้ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ผลดี องค์การอนามัยโลกได้แนะน าให้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อ
เอชไอวีใช้ยา PrEP ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี และประเทศไทยได้ก าหนดให้ PrEP เป็นอีกหนึ่งมาตรการ
ั
ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีโดยเฉพาะในประชากรกลุ่มเสี่ยง เช่น กลุ่มชายที่มีเพศสัมพนธ์กับชาย สตรี
ู่
ข้ามเพศ กลุ่มผู้ใช้สารเสพติดด้วยวิธีการฉีด และกลุ่มคเพศสัมพันธ์ที่มีผลเลือดต่าง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 เป็นต้น
มา ในปัจจุบันประเทศไทยมีรูปแบบการจัดบริการ PrEP ในประเทศไทยอยู่ทั้งหมด 3 รูปแบบที่แตกต่างกัน คือ
1. การจัดบริการโดยโรงพยาบาล (Hospital-based model) รูปแบบบริการนี้ด าเนินการโดย
โรงพยาบาลที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากส านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในการเข้าถึงกลุ่ม
ประชากรกลุ่มเสี่ยงให้เข้ารับบริการที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเอชไอวีต่าง ๆ ประกอบด้วยการตรวจเลือดหาเชื้อ
เอชไอวี การให้บริการปรึกษา การบริการยา PrEP และยาต้านไวรัสเอชไอวี
2. การจัดบริการโดยองค์กรภาคประชาสังคมส่งต่อให้โรงพยาบาล (CBOs reach-recruit to
hospitals) รูปแบบบริการนี้ด าเนินการโดยองค์กรภาคประชาสังคมเป็นผู้ค้นหาประชากรกลุ่มเสี่ยงและส่งต่อ
ให้โรงพยาบาลเป็นผู้ให้ค าปรึกษาและเป็นบริการยา PrEP
3. การจัดบริการยา PrEP โดยองค์กรภาคประชาสังคม (Key population-led health services
(KPLHS) รูปแบบบริการนี้ด าเนินโดยองค์กรภาคประชาสังคมและมีการจัดบริการจ่ายยา PrEP ได้โดยตรงใน
หน่วยบริการในชุมชนที่ด าเนินการโดยองค์กรภาคประชาสังคมซึ่งกระจายอยู่ในบางจังหวัดของประเทศ
ในปีงบประมาณ 2563 ทางส านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติได้จัดบริการ PrEP ให้อยู่ในชุดสิทธิ
ประโยชน์ โดยริเริ่มเป็นระยะน าร่องในการจัดบริการ PrEP จ านวน 2,000 ราย ในหน่วยบริการที่สนใจและ
ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมในการจัดบริการ PrEP ทั้งหมด 51 หน่วยบริการ โดยจะมีการใช้ผลการประเมิน
ิ
การด าเนินการจัดบริการ PrEP ในระยะน าร่องปี 2563 เป็นข้อมูลประกอบการพจารณาการขยายและพฒนา
ั
ระบบบริการ PrEP และการบรรจุบริการ PrEP เข้าไปอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า
ต่อไป จึงจ าเป็นต้องมีการจัดท าการศึกษาประเมินผลการด าเนินการการจัดบริการ PrEP เพอให้ทราบผลการ
ื่
ื่
ิ
ด าเนินการ รายละเอยดของการด าเนินการขั้นตอนต่าง ๆ เพอให้เป็นข้อมูลประกอบการพจารณาบรรจุการ
ี
จัดบริการ PrEP ในชุดสิทธิประโยชน์และศึกษาถึงปัญหา อปสรรคต่าง ๆ ในแต่ละขั้นตอนด าเนินการ เพอ
ุ
ื่
น าไปเป็นข้อมูลประกอบการพจารณาบรรจุการบริการ PrEP เข้าไปในชุดสิทธิประโยชน์ส าหรับประชากรกลุ่ม
ิ
เสี่ยงและเพื่อการพัฒนาระบบการจัดบริการต่อไปในอนาคต
[iii] รายงานการประเมินผล
ระเบียบวิธีวิจัย
การศึกษานี้เป็นการประเมินผลการจัดบริการ PrEP ใช้รูปแบบการวิจัยเชิงผสม (Mixed Methods
Research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิงปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพในการเก็บข้อมูล ประกอบด้วย 3 ส่วน
ดังนี้
1. การศึกษาข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ในปีงบประมาณ 2563 คือระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30
กันยายน 2563 จากฐานข้อมูล National AIDS Program (NAP plus) ของส านักงานหลักประกันสุขภาพ
แห่งชาติ และน ามาท าการวิเคราะห์ผลในภาพรวมตามตัวแปรที่มีอยู่ในฐานข้อมูล และวิเคราะห์ PrEP
cascades และ PrEP Retention
2. การศึกษาในกลุ่มผู้ให้บริการ PrEP แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนที่ 1 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามให้
กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ตอบแบบสอบถามเอง ข้อค าถามประกอบด้วยความรู้ ทัศนคติ เกี่ยวกับการจัดบริการ PrEP
และประชากรเป้าหมาย ส่วนที่ 2 เป็นการสัมภาษณ์ (Focus group) ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สอบถาม
ผู้ให้บริการ PrEP ทั้งหน่วยบริการประเภทโรงพยาบาลและ Key Population Led Health Service (KPLHS)
ุ
เกี่ยวกับประสบการณ์การจัดบริการ ปัญหาอปสรรคต่าง ๆ ในการจัดบริการ PrEP รวมถึงข้อเสนอแนะต่อการ
จัดบริการ PrEP
3. การศึกษาในกลุ่มผู้รับบริการ PrEP แบ่งเป็น 2 ส่วนคือ
ส่วนที่ 1 เก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามให้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ตอบแบบสอบถามด้วยตนเองผ่านระบบ
ออนไลน์ แบบสอบถามประกอบด้วย ลักษณะประชากร ปัจจัยที่เกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี
และการตัดสินใจใช้หรือไม่ใช้ PrEP ประสบการณ์การใช้ PrEP และผลข้างเคียงจากการใช้ PrEP รวมไปถึง
Risk Compensation โดยท าการแบ่งผู้รับบริการตามประเภทของหน่วยบริการ โรงพยาบาลและ KPLHS และ
ท าการแบ่งกลุ่มประเภทตามการรับบริการ PrEP ทั้งนี้จะเน้นผู้รับบริการเฉพาะการกิน PrEP แบบทุกวัน ได้แก่
1.1 กลุ่มผู้รับบริการ PrEP ครั้งแรกและตัดสินใจเลือกกินยา PrEP
1.2 กลุ่มผู้รับบริการ PrEP ครั้งแรกแต่ตัดสินใจไม่ขอกินยา PrEP
2. กลุ่มผู้รับบริการ PrEP รายใหม่แต่มีประวัติเคยกินยา PrEP แบบกินทุกวันมาก่อนแต่หยุด
ไป และขอเริ่มกินยา PrEP ใหม่
3. กลุ่มผู้รับบริการ PrEP ที่มาขอรับยาต่อเนื่องตั้งแต่ 1 เดือนขึ้นไปจนถึงปัจจุบัน
4. กลุ่มผู้รับบริการ PrEP ที่มาขอหยุดยาที่คลินิก และ
5. กลุ่มผู้รับบริการ PrEP ที่หยุดกินยานานกว่า 1 เดือนขึ้นไปและไม่กลับมาติดตามที่หน่วย
บริการอีก
ส่วนที่ 2 เป็นการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้รับบริการ PrEP ใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง สอบถามข้อมูล
เพมเติมเกี่ยวกับเหตุผลที่ตัดสินใจกินหรือไม่กิน PrEP ประสบการณ์การกินยา ปัญหาอปสรรคและ
ุ
ิ่
ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการจัดบริการ โดยแบ่งผู้รับบริการออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้ 1. กลุ่มที่ตัดสินใจกิน PrEP และ
กินต่อเนื่อง 2. กลุ่มที่ตัดสินใจไม่กิน PrEP 3.กลุ่มที่เคยกิน PrEP หยุดกินไปและขอกลับมากนใหม่ และ 4.กลุ่ม
ิ
ที่กิน PrEP ต่อเนื่องระยะหนึ่งแล้วหยุดกินยา ทั้งที่หยุดยาเองหรือมาขอหยุดยาที่คลินิก
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [iv]
ผลการศึกษา
PrEP Cascade
ในส่วนของการวิเคราะห์ข้อมูล PrEP cascade ในปีงบประมาณ 2563 จากฐานข้อมูล National
AIDS Program (NAP plus) พบว่า มีการลงข้อมูล PrEP counseling หรือแนะน าการกินยา PrEP และมีการ
ลงทะเบียนจ านวนรายที่มีการน าเสนอ PrEP (PrEP Offered) น้อยมาก แสดงว่าหน่วยบริการส่วนใหญ่จะไม่
ลงข้อมูลผู้ที่เสนอบริการ PrEP แล้ว ไม่สนใจพร้อมระบุเหตุผล โดยจะเน้นลงข้อมูลในโปรแกรม NAP เฉพาะ
รายที่สนใจและมีการลงทะเบียนออกเลข PrEP ให้ โดยพบว่า หน่วยบริการประเภทโรงพยาบาล และ
โรงพยาบาลร่วม CBO มีผู้ลงทะเบียน PrEP ในระบบฯ จ านวน 1,285 และมีผู้รับยา PrEP จริงจ านวน 1,221
ราย (95.0 %) ส่วนหน่วยบริการ KPLHS มีผู้ลงทะเบียนและรับยา PrEP จ านวน 747 ราย โดยหน่วยบริการ
KPLHS ลงข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ทั้งหมดของหน่วยบริการลงในโปรแกรมเฉพาะแยกต่างหาก และส่งโอน
ื่
ข้อมูลผู้ที่รับยา PrEP ที่ได้รับงบสนับสนุนจาก สปสช. และเฉพาะตัวแปรที่ต้องการมาให้ทาง สปสช เพอ
ลงทะเบียนออกเลข PrEP และเชื่อมต่อเข้าไปในโปรแกรม NAP ต่อไป จึงท าให้ข้อมูลตัวแปรบางส่วนอาจจะ
ต้องวิเคราะห์แยกจากกัน
เนื่องจากไม่มีข้อมูลในส่วนของผู้มารับค าปรึกษาและจ านวนผู้รับบริการที่ได้รับการเสนอ PrEP ในส่วน
ของหน่วยบริการ KPLHS จึงไม่สามารถจะวิเคราะห์ PrEP initiation cascade ของหน่วยบริการประเภท
องค์กรชุมชนได้ จึงน าเสนอเฉพาะ PrEP Initiation Cascade ในส่วนของโรงพยาบาลและโรงพยาบาลร่วมกับ
CBO เป็นหลัก
ในส่วนของ PrEP retention cascade ในผู้ที่เริ่มยา PrEP พบว่า ในข่วงการติดตาม 1 เดือน และ 3
เดือนแรกของการกินเยาเพพทั้ง 3 รูปแบบบริการมีข้อมูลการคงอยู่การกินยา PrEP (PrEP retention) ไม่
็
แตกต่างกัน ในช่วง 1 เดือนหลังจากการรับยา PrEP อยู่ที่ 99% โดยเฉลี่ย การติดตามช่วง 3 เดือน พบว่าการ
retention เฉลี่ยอยู่ที่ 62.56% ส่วนการติดตามช่วง 6 เดือน รูปแบบหน่วยบริการโรงพยาบาลกับรูปแบบ
โรงพยาบาลร่วมกับ CBO ไมแตกต่างกัน อยู่ที่ 48.36% และ 47.06% ตามล าดับ ส่วนรูปแบบ KPLHS
่
ลดลงเหลือ 27.04% จากข้อมูลดังกล่าวพบว่า รูปแบบ KPLHS มีการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ดีและระยะเวลา
ในการรับผู้สนใจเข้ารับบริการ PrEP จะสั้นกว่า แต่การคงอยู่ของการกินยา PrEP ที่ 6 เดือน จะลดลงมากกว่า
หน่วยบริการ PrEP ที่เป็นโรงพยาบาลและโรงพยาบาลที่ร่วมกับ CBO
จากการวิเคราะห์ข้อมูลผู้รับบริการ PrEP จากโปรแกรม NAP เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงผลเลือดการ
ตรวจเอชไอวี พบว่า มผู้รับบริการ PrEP ที่มผลตรวจเลือดเปลี่ยนแปลงจากลบเป็นบวก ณ.ขณะเริ่มต้นกิน
ี
ี
ยา PrEP จ านวน 5 ราย ส่วนผู้รับยา PrEP และยังคงอยู่ในการกินยา PrEP อย่างต่อเนื่อง ไมพบผู้ติดเชื้อ
่
เอชไอวีรายใหม่ ส่วนผู้ที่หยดกินยา PrEP ไประยะหนึ่ง มีผู้ที่กลับมาขอรับค าปรึกษาและตรวจเลือดหาการ
ุ
ี
ี
ติดเชื้อฯ ใหมพบวา มผู้ที่มผลเลือดเปลี่ยนจากลบเป็นบวกจ านวน 8 ราย จากผู้รับบริการ PrEP ประมาณ
่
่
2,000 รายภายใต้งบ สปสช ในปี 2563
[v] รายงานการประเมินผล
ผู้รับบริการ PrEP
ผลการศึกษาในผู้รับบริการ พบว่าผู้รับบริการ PrEP ทั้งหน่วยบริการประเภทโรงพยาบาลส่วนใหญ่
เป็นกลุ่มชายที่มีเพศสัมพนธ์กับชาย มีสตรีข้ามเพศและคู่สามีภรรยาผลเลือดต่างบ้างแต่จ านวนไม่มาก โดยจะ
ั
พบคู่ผลเลือดต่างที่หน่วยบริการประเภทโรงพยาบาลมากกว่าหน่วยบริการประเภท KPLHS ส่วนใหญ่
ผู้รับบริการมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีจากการมีเพศสัมพนธ์ที่ไม่ปลอดภัย ได้แก่ การเปลี่ยนคู่นอน
ั
ั
หลายคนและไม่ใช้ถุงยางอนามัยเมื่อมีเพศสัมพนธ์อย่างสม่ าเสมอ มีส่วนน้อยมาก ๆ ที่ให้ข้อมูลความเสี่ยงว่า
ตนเองเป็นผู้ใช้สารเสพติดและมีพฤติกรรมการใช้เข็มฉีดยาหรือกระบอกฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
ในกลุ่มที่ตัดสินใจรับ PrEP และกินยาต่อเนื่อง เหตุผลหลักเพราะต้องการป้องกันตนเองจากการติด
เชื้อเอชไอวีนอกเหนือจากการป้องกันโดยการใช้ถุงยางอนามัยทั้งในกลุ่มที่ประเมินความเสี่ยงตนเองสูงและที่
ประเมินว่าตนเองมีความเสี่ยงต่ า ส าหรับในกลุ่มที่เคยกิน PrEP และหยุดไปและขอกลับมากินยาอกครั้งให้
ี
เหตุผลหลักเนื่องจากตนเองกลับมามีความเสี่ยงใหม่อกครั้ง และส่วนใหญ่ในกลุ่มที่ตัดสินใจเลือกกินยา PrEP
ี
จะสามารถกนยาได้สม่ าเสมอตรงเวลา ไมค่อยมีปัญหาจากผลข้างเคียงของยา มีส่วนน้อยที่มีผลข้างเคียงจากยา
่
ิ
ในช่วงแรก แต่อาการข้างเคียงก็หายได้เองในเวลาต่อมา
ในกลุ่มที่ตัดสินใจไม่รับ PrEP ส่วนใหญ่ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับ PrEP จากเจ้าหน้าที่หน่วยบริการ
และทราบข้อดีของการ PrEP ในการช่วยป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีร่วมกับการใช้ถุงยางอนามัย แต่ประเมิน
ตนเองแล้วคิดว่าตนเองไม่เสี่ยงหรือคิดว่ามีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่ า คิดว่าตนเองไม่มีความพร้อมในการกิน
ยา ยังไม่อยากกินยาเป็นประจ าทุกวัน และบางส่วนยังมีความกังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงจากยา PrEP
ในกลุ่มที่เคยรับ PrEP และขอหยุดยา มีเหตุผลหลักที่ขอหยุดยาคือตนเองไม่มีความเสี่ยงแล้ว เพราะ
ิ่
เลิกกับคู่ที่มีเพศสัมพนธ์ประจ า แต่หากในอนาคตประเมินความเสี่ยงตนเองเพมขึ้นก็อาจจะกลับมารับ PrEP
ั
ึ
อกครั้ง นอกจากนี้ยังพบเหตุผลที่ขอหยุดยาที่เกี่ยวข้องกับอาการไม่พงประสงค์ความไม่สะดวกในการเดินทาง
ี
มารับบริการด้วย
ในด้านการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ทั้งในเรื่องของจ านวนคู่นอน การใช้
ถุงยางอนามัย และการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพนธ์ พบว่าส่วนใหญ่ยังคงมีพฤติกรรมเสี่ยงต่าง ๆ ไม่ได้
ั
แตกต่างกันเมื่อเปรียบเทียบช่วงก่อนกินยา PrEP ระหว่างกินยา PrEP และช่วงไม่กินยา PrEP
ในด้านความพึงพอใจในการจัดบริการ PrEP ที่หน่วยบริการ พบว่าส่วนใหญ่มีความพึงพอใจด้านระบบ
ั้
การจัดบริการและผู้ให้บริการอยู่ในระดับดีถึงดีมากทงในหน่วยบริการประเภทโรงพยาบาลและ KPLHS แต่ใน
ด้านความสะดวกในการเดินทาง การนัดหมายเวลาที่เปิดบริการนอกเวลาร่วมด้วย พบว่าผู้รับบริการที่ KPLHS
มีความสะดวกมากกว่าผู้รับบริการที่โรงพยาบาล
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [vi]
ผู้ให้บริการ PrEP
ผลการศึกษาเชิงปริมาณในผู้ให้บริการ PrEP ส่วนใหญ่มีความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับ PrEP
และมีทัศนคติที่ดีต่อผู้รับบริการแต่ยังมีความกังวลว่าการกินยา PrEP ไม่สม่ าเสมอ จะท าให้มีโอกาสเกิดดื้อยา
ต้านเชื้อเอชไอวี ในส่วนของผลการศึกษาเชิงคุณภาพ พบว่าหน่วยบริการทั้งประเภทโรงพยาบาลและ KPLHS
มีความพร้อมในการจัดบริการ PrEP ในระดับที่น่าพอใจ มีบุคลลากรที่มีความรู้ มีประสบการณ์ในการให้บริการ
มานานหลายปีทั้งฝั่งโรงพยาบาลและบุคลากรของฝั่ง KPLHS แต่บางหน่วยบริการที่เป็นโรงพยาบาลบางแห่ง
พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงผู้ให้บริการเข้ามาใหม่ จึงท าให้บุคลากรบางคนยังไม่ได้รับการอบรมการจัดบริการ
PrEP จากส่วนกลางในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงปัญหาการมีบุคลากรค่อนข้างจ ากัดเมื่อเทียบกับภาระงานที่มี
หลากหลายด้านโดยเฉพาะหน่วยบริการโรงพยาบาลที่เป็นหน่วยจัดให้บริการยาต้านเพื่อการรักษาผู้ติดเชื้อร่วม
ไปกับการให้บริการยา PrEP เพื่อการป้องกันอยู่ในหน่วยบริการเดียวกัน หน่วยบริการส่วนใหญ่มีข้อจ ากัดเรื่อง
สถานที่ที่คับแคบเมื่อเทียบกับจ านวนผู้รับบริการและมีข้อจ ากัดเรื่องภาระงานที่ค่อนข้างมาก หน่วยบริการ
ประเภท KPLHS มีความคล่องตัวเรื่องการจัดบริการมากกว่าเมื่อเปรียบเทียบหน่วยบริการประเภทโรงพยาบาล
ื่
ที่มีการจัดบริการที่หลากหลายด้านมากกว่า ทั้งการตรวจโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การให้ค าปรึกษาเพอตรวจ
เลือดหาการติดเชื้อโดยสมัครใจ (VCT) รวมถึงเป็นหน่วยบริการยาต้านไวรัสเอชไอวีร่วมด้วย ข้อจ ากัดในการ
ให้บริการที่พบบ่อยเป็นเรื่องการตรวจเจาะเลือดตามสิทธิ บางหน่วยบริการมีความจ าเป็นต้องตรวจเลือด
ติดตามการท างานของไตมากกว่าจ านวนครั้งที่ผู้รับบริการสามารถเบิกได้ตามสิทธิ อาจก่อให้เกิดภาระ
ื่
ค่าใช้จ่ายแก่ผู้รับบริการได้ ถุงยางอนามัยที่ได้รับจากส่วนกลางเพอน ามาแจกจ่าย มีขนาดไม่ตรงตามขนาดที่
ผู้รับบริการต้องการ (52”, 54”, 56”) มักจะมีแต่ขนาดเล็ก และขาดการสนับสนุนเจลหล่อลื่นท าให้
ผู้รับบริการต้องไปหาซื้อมาใช้เอง เป็นต้น การค้นหากลุ่มเป้าหมายผู้รับบริการของหน่วยประเภทโรงพยาบาล
ยังมีโอกาสท างานเชิงรุกน้อยเนื่องจากการมีภาระงานหลายด้านและก าลังคนมีจ ากัด จึงมักจะเป็นการท างาน
ื้
แบบตั้งรับเป็นหลัก หรือประสานกับ CBO ในพนที่ (ถ้ามี) ในการช่วยหากลุ่มเป้าหมายและส่งต่อมาให้
ผู้รับบริการส่วนมากจะค้นหาข้อมูลเองผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์หรือจากเพอนแนะน าและมารับบริการเพราะ
ื่
ตั้งใจมาขอรับ PrEP อยู่แล้ว ในหน่วยบริการประเภท KPLHS มักจะเน้นท างานเชิงรุก มีทั้ง Mobile VCT และ
Mobile PrEP ไปตามสถานศึกษา ห้างสรรพสินค้า แหล่งชุมชนที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายเฉพาะ แต่ก็ยัง
พบข้อจ ากัดเรื่องการรอผลตรวจเลือดและการจ่ายยาที่ยังไม่สามารถจ่ายยา PrEP ได้ทันทีในขณะออกหน่วย
ื่
เคลื่อนที่ จ าเป็นต้องนัดให้ผู้สนใจมาที่หน่วยบริการเพอเริ่มยา PrEP ในภายหลัง ไม่สามารถให้บริการที่เป็น
แบบ Same Day PrEP ได้
นอกจากนี้ยังพบหน่วยบริการที่มีการจัดบริการ PrEP เชิงรุกในเรือนจ าค่อนข้างน้อย มีหน่วยบริการ
ของโรงพยาบาลแห่งหนึ่งที่มีการจัดบริการ VCT และบริการ PrEP เชิงรุกเข้าไปให้บริการแก่ผู้ต้องขังในเรือนจ า
ชาย ซึ่งกลุ่มผู้ต้องขังก็เป็นหนึ่งในประชากรกลุ่มเสี่ยงที่ควรเข้าถึงการบริการ PrEP ด้วยเช่นกัน การให้บริการ
ประสบความส าเร็จในระดับหนึ่งโดยต้องอาศัยความร่วมมืออย่างดีระหว่างโรงพยาบาลและเจ้าหน้าที่ในทัณฑ
สถาน ท าให้ผู้ต้องขังที่ประเมินว่าตนเองมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฯ สามารถเข้าถึงยา PrEP ได้ แต่ก็ยังพบ
ข้อจ ากัดอยู่หลายประการ เช่น การบริหารจัดการยาที่แตกต่างกันในแต่ละแดน การเข้มงวดเรื่องยาที่จะน าเข้า
[vii] รายงานการประเมินผล
ไปในเรือนจ า และส่วนที่เป็นความท้าทายคือ เมื่อผู้รับบริการ PrEP ที่เป็นผู้ต้องขังได้ครบก าหนดการจ าคุกและ
้
ื่
พนโทษออกไป จะมีระบบการติดตามและการส่งต่อเพอให้สามารถเข้ารับบริการ PrEP ต่อเนื่องอย่างไร
โดยเฉพาะผู้พนโทษที่เดินทางกลับภูมิล าเนาหรือย้ายไปอยู่อาศัยในจังหวัดอนๆ ซึ่งอาจไม่สะดวกที่จะกลับมา
ื่
้
รับบริการ PrEP ต่อที่โรงพยาบาลเดิมได้อีก
ส าหรับการจัดบริการ PrEP ในกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดซึ่งเป็นอกหนึ่งในประชากรกลุ่มเสี่ยงยังมีข้อจ ากัด
ี
หลายประการที่ท าให้ประชากรกลุ่มนี้ยังเข้าไม่ถึงการบริการด้านการป้องกัน ทั้งการเข้าถึง VCT และบริการ
PrEP จากข้อมูลการศึกษาพบว่ามีผู้รับบริการPrEPเพยงส่วนน้อยที่ให้ข้อมูลว่าตนเองเป็นผู้ใช้สารเสพติด และ
ี
จากการศึกษาในกลุ่มผู้ให้บริการพบว่าผู้ให้บริการส่วนใหญ่ไม่ค่อยจะมีประสบการณ์การท างานในประชากร
กลุ่มนี้โดยเฉพาะและส่วนใหญ่มีความเห็นว่าประชากรกลุ่มนี้ยังเข้าถึงตัวได้ค่อนข้างยาก ยังมีความกังวลใน
เรื่องของความลับที่พวกเขาใช้สารเสพติดและอาจมีผลกระทบทางกฎหมายอยู่มาก นอกจากนี้ยังขาดการ
ประสานงานกันระหว่างหน่วยที่ให้บริการ PrEP กับคลินิกรักษาผู้ใช้สารเสพติดในโรงพยาบาลเดียวกัน รวมถึง
ื้
องค์กรภาคประชาสังคมที่ท างานกับกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดยังมีค่อนข้างน้อยและมีเฉพาะในบางพนที่เท่านั้น
หน่วยบริการบางแห่งที่เคยมีประสบการณ์การท างานกับประชากรกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดในการรับยา PrEP ให้
ข้อมูลว่า ประชากรกลุ่มนี้ไม่ได้มีความวิตกหรือกังวัลเกี่ยวกับการติดเชื้อเอชไอวีเป็นอันดับต้น ๆ จึงอาจท าให้ไม่
ื่
สนใจหรือขาดความรู้ความเข้าใจทึ่ถูกต้องเกี่ยวกับบริการ PrEP เพอป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี รวมถึงความ
ุ
วิตกเกี่ยวกับการถูกรังเกียจและตีตราจากสังคม ท าให้เป็นอปสรรคส าคัญในผู้ใช้สารเสพติดที่จะเข้าถึงหน่วย
บริการในโรงพยาบาล
ข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย
ี
การให้บริการ PrEP ในประชากรกลุ่มเสี่ยงมีความจ าเป็นและเป็นอกมาตรการร่วมหนึ่งที่จะช่วยลด
จ านวนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ และยุติปัญหาเอดส์ได้ในอนาคต มีข้อเสนอแนะเชิงนโยบาย ดังนี้
1. ส านักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ ควรพิจารณาบรรจุบริการ PrEP เป็นเครื่องมือเพิ่มเติมเพื่อการ
ป้องกันการติดเชื้อฯ ให้อยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ส าหรับประชากรกลุ่มเสี่ยงที่มีช่วงอายุตั้งแต่ 18 ปีขึ้น
ไป หรือ 15 ปีขึ้นไปในกรณีที่มีความเสี่ยงชัดเจนและสนใจจะกินยา PrEP
ิ่
2. เร่งเพมหน่วยบริการ PrEP ที่ด าเนินโดยองค์กรชุมชน (KPLHS) ที่มีศักยภาพตามเกณฑ์มาตรฐานที่
ื้
ก าหนดโดยกรมควบคุมโรคโดยเฉพาะในพนที่/จังหวัดที่ยังมีการแพร่ระบาดของการติดเชื้อเอชไอวีใน
ประชากรกลุ่มเสี่ยงที่ค่อนข้างสูง นอกจากนั้นควรเพมหน่วยบริการ PrEP ในโรงพยาบาลให้กระจาย
ิ่
อยู่ในทุกจังหวัด อย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง ใน พ.ศ. 2565 เป็นต้นไป ส่วนในจังหวัดที่มีองค์กรภาค
ั
ประชาสังคมอยู่แล้ว ควรสนับสนุนให้โรงพยาบาลท างานร่วมกบ CBO ในการจัดบริการ PrEP เพื่อจะ
ได้เข้าถึงประชากรกลุ่มเสี่ยงที่เป็นเป้าหมายได้มากขึ้นและรวดเร็วขึ้นด้วย
3. เพมการสนับสนุนวัสดุอปกรณ์ในการจัดบริการ เช่น ควรมีการจัดหา stock ยา PrEP ให้มีเพยง
ี
ุ
ิ่
่
พอที่จะด าเนินการแบบ same day PrEP ได้ ควรมีการขยายสิทธิการเบิกคาตรวจทางห้องปฏิบัติการ
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [viii]
ในกรณีสงสัยเรื่องการท างานของไตตามความจ าเป็น การสนับสนุนเจลหล่อลื่นให้แก่โรงพยาบาล และ
ถุงยางอนามัยหลากหลายขนาดที่ต้องการ รวมถึงการจัดอบรมหน่วยบริการและบุคลากรที่จัดบริการ
PrEPรายใหม่ในแต่ละปี และการอบรมฟื้นฟูต่อเนื่องส าหรับหน่วยบริการเดิมเป็นระยะทุก 2-3 ปี
4. กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ควรเร่งเพมการประชาสัมพนธ์ให้ความรู้เกี่ยวกับ PrEP ให้
ิ่
ั
กว้างขวางมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันผ่านช่องทางสื่อสังคมที่หลากหลาย โดยเน้นประชากรหลัก
โดยเฉพาะกลุ่มชายมีเพศสัมพนธ์กับชาย พนักงานบริการทางเพศ วัยรุ่นที่มีความเสี่ยงสูง คู่ผลเลือด
ั
ื่
ต่าง กลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดทั้งฉีดและกิน เพอให้ประชาชนมีความตระหนักรู้ และมีความเข้าใจที่ถูกต้อง
ื่
เกี่ยวกับยา PrEP ที่สามารถเลือกใช้ร่วมไปกับวิธีการป้องกันอน ๆ อย่างเหมาะสมในแต่ละราย มีการ
ั
ประชาสัมพนธ์ให้ทราบถึงการกระจายของหน่วยจัดบริการ PrEP ในพนที่ใกล้บ้าน ใกล้ที่ท างาน เพอ
ื้
ื่
ความสะดวกแก่ผู้สนใจเข้ารับค าปรึกษาเพื่อขอรับบริการ PrEP ในแต่ละจังหวัดทั่วประเทศ
5. เนื่องจากการเข้าถึงบริการ PrEP ของหน่วยบริการในปัจจุบันค่อนข้างจ ากัดส าหรับกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด
ทางกรมควบคุมโรคควรพิจารณาให้การสนับสนุนเพมเติมเพื่อเพมการเข้าถึงการบริการของประชากร
ิ่
ิ่
กลุ่มนี้ เช่น การให้บริการยา PrEP ในสถานที่เดียวกับการให้บริการทางการแพทย์ส าหรับผู้ใช้สารเสพ
ติด อาจพิจารณาให้มีหน่วยงานเฉพาะในการเข้าถึงและดูแลประชากรกลุ่มนี้โดยท างานร่วมกับองค์กร
ภาคประชาสังคมที่เน้นการท างานเข้าถึงกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดโดยตรง
6. จัดตั้งคณะท างานเพอก ากับติดตามและประเมินผลมาตรการการจัดบริการ PrEP ควบคู่ไปกับวิธีการ
ื่
ป้องกันอน ๆ เพอยุติปัญหาเอดส์อย่างต่อเนื่อง ก าหนดให้มีระบบลงข้อมูลบริการ PrEP ลงใน
ื่
ื่
ื่
โปรแกรม NAP ส าหรับผู้รับบริการ PrEP จากแหล่งทุนต่าง ๆ เป็นระบบเดียวกัน เพอให้สามารถ
ประมวลผลและน าข้อมูลไปวิเคราะห์ภาพรวมของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
[ix] รายงานการประเมินผล
Executive Summary
HIV pre-exposure prophylaxis monitoring and process evaluation for Thailand’s National PrEP
roll-out under the Universal Health Coverage (UHC) for fiscal year 2020
Background and significance
HIV Pre-exposure prophylaxis (PrEP is the use of antiretroviral medications among
)
uninfected HIV individuals at high risk to prevent HIV infection. The two antiretroviral drugs
combination of 200 mg emtricitabine (FTC and 300 mg tenofovir disoproxil fumarate (TDF)
)
)
have been recommended by the World Health Organization (WHO for the use as PrEP in
HIV/AIDs before potential HIV risk exposure as an additional measure to prevent HIV infections.
In Thailand, PrEP has been implemented as an additional measure for HIV prevention among
key population since 2014. These include men who have sex with men (MSM), transgender
women, HIV-serodiscordant couples, and people who injects drugs (PWIDs). PrEP service in
Thailand can be categorized into three different models include the followings:
1.Facility-based or hospital-based model where PrEP service is provided at local
hospitals. Hospitals that are PrEP service centers would receive direct funding from the
National Health Security Office (NHSO) to run HIV related services including HIV Voluntary
Counselling and Testing (VCT), HIV testing, PrEP and ARV clinics.
2. CBOs reach-recruit to hospitals where staff working under community-based
organizations (CBOs) help in reaching and recruiting potential PrEP clients as well as referring
them to nearby hospitals that are PrEP service centers. PrEP is offered at hospital settings.
3. Key-Population-Led Health Service clinics (KPLHS) where PrEP service is delivered at
KPLHS supported by KP-community health workers (KP-CHWs). This type of service delivery
is available in some provinces in the country.
In 2020, the National Health Security Office (NHSO) launched a pilot project in providing
PrEP service for 2,000 PrEP initiators in 51 PrEP service centers. In this regard, the national
)
monitoring and evaluation (M&E framework has been adopted in order to evaluate on this
early implementation. As a part of M&E process, this study aims to evaluate the PrEP services
under this UHC pilot project delivered to identify significant gaps and issues concerning PrEP
cascade and reflect “real world” feasibility of PrEP use as well as issues hindering the retention
in PrEP services among key populations. The findings from this evaluation project would be
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช.ปีงบประมาณ 2563[x]
crucial to inform decision makers regarding increase number of PrEP users coverage under UHC
as well as improvement of PrEP service delivery in Thailand.
Methodology
This M&E is a mixed methods study consisting of three parts:
1. Secondary data analysis of consecutive PrEP clients from the National AIDs Program (NAP
PLUS) under NHSO for the fiscal year 2020 during the period from 1 October 2019 to 30
September 2020 to capture PrEP cascades, and analyze on Thailand PrEP uptake and
retention.
2. A study on PrEP service providers entailing 2 components which are 1.) A self-administered
questionnaire to examine PrEP service providers’ knowledge of and attitudes towards PrEP
service and 2.) A focus group interview using semi-structure questionnaire to capture
barriers of PrEP initiation and retentions, differences, advantages, and disadvantages
between 3 PrEP service delivery models, issues, and recommendations concerning PrEP
services.
3. A study on PrEP clients consisting of 2 parts which are:
Part 1. A self-administered questionnaire through online survey to understand the
demographic characteristics, assess risk behaviors, factors affecting clients' decision to
initiate, continue or stop oral PrEP, experiences, adverse events of PrEP use, and risk
compensation among key populations in which PrEP clients from hospital-based setting
and KPLHS were categorized into the following 6 groups
1.1 New PrEP users who recently initiated PrEP
1.2 New PrEP users who had been offered PrEP but did not initiate PrEP
2. Individuals who had previously discontinued PrEP and restarted PrEP again
3. PrEP users who have been staying on PrEP from 1 month onwards
4. PrEP users who discontinued PrEP at clinic
5. PrEP users who discontinued PrEP for at least one month and did not come
back to PrEP service center
Part 2. Individual in-depth interviews using semi-structured questionnaires to identify
factors affecting the decision to initiate PrEP, experiences of PrEP use, challenges, and
recommendations on PrEP service delivery. PrEP clients were categorized into the
following 4 groups:
[xi] รายงานการประเมินผล
1. New PrEP users who recently initiated PrEP and remained on PrEP
2. Clients who had been offered PrEP but did not initiate PrEP
3. Individuals who had previously discontinued PrEP and restarted PrEP again
4. PrEP users who discontinued PrEP at the clinic or those who did not come back
for follow-up
Findings
PrEP Cascades
According to the analyses, very few records concerning PrEP counselling or PrEP offered
were entered into the National AIDs Program (NAP Plus). This indicates that service providers
rarely enter this information into the system but mainly focus on data entry for individuals
initiating PrEP with PrEP numbers. There were 1,285 individuals registered for PrEP and 1,221
individuals initiated PrEP (95.0%) from hospital-based setting with or without CBO collaboration
whereas there were 747 individuals registered and offered PrEP from KPLHS setting. Data for
KPLHS setting had been entered into another operating system under their organization. Only
data of individuals under NHSO funding with relevant variables were transferred to NAP Plus
for PrEP number generation. As the actual number of individuals being introduced to PrEP
prior to PrEP initiation is not available, analyzing PrEP initiation cascade for KPLHS setting would
not be possible. Therefore, only PrEP initiation cascade for hospital-based setting (with or
without CBO collaboration) would be presented in the study.
Retention in PrEP service at 1, and 3 months is similar between three service delivery
models. The overall average retention at 1 month and 3 months were 99% and 62.5%
respectively. Nearly half of PrEP clients from hospitals (48.36%) and hospitals that work
collaboratively with CBOs (47.06%) stayed on PrEP at 6 months while only 27% of PrEP users
from KPLHS remained. Although KPLHS setting could reach and recruit many potential PrEP
clients, but PrEP retention rate at 6 months was lower when compared to those from hospital-
based setting.
Analysis of PrEP information in 2,000 PrEP users under UHC in 2020 from NAP Program
about HIV status; there were 5 cases who had new HIV seroconversion at the initiation of PrEP,
no any new HIV seroconversion case occurred among those who were continuing on PrEP use.
Among PrEP clients who discontinued from using PrEP and came back for VCT services later,
there were 8 HIV seroconvert cases from people who received HIV testing in the clinics.
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [xii]
PrEP clients
Most PrEP users are men who have sex with men (MSM), followed by transgender
women (TGW) and HIV-serodiscordant couples. A relatively higher proportion of serodiscordant
couples are found at hospital-based setting. Majority of PrEP clients have potential risk of HIV
infection due to sexual risk behaviors including having multiple partners and less/no condoms
use when having sexual intercourse while very few PrEP users reported of drug use or sharing
needle/syringe.
The most common reason to initiate PrEP was to protect themselves from HIV infection
apart from other prevention methods e.g. condom use. People who did not initiate PrEP after
being offered PrEP counseling service reported that they either did not have potential risk of
HIV infection or did not ready to take the medication and still had concern regarding drug
adverse effects. Those who discontinued PrEP were mainly due to having low or no potential
risk whereas individuals who ever stopped and restarted PrEP reported the reason as having
new potential risks for HIV infection. Majority of PrEP clients had good adherence with minimal
.
or no side effects Most adverse events occurred at starting of medication and were well
tolerated after taking PrEP continuously for a longer period.
The most frequent reasons for not initiating PrEP were their perceived with no or low
risk in acquiring HIV infection, followed by concerns or inconvenience about taking daily PrEP,
and adverse events.
The major reason for PrEP discontinuation was perceiving of no or low risk to HIV
infection. However, they showed willingness to restart PrEP again in the future if HIV risk
increased again. Other reasons included concerns regarding PrEP adverse events, and dislike
of medication taking and inconvenience of making an additional trip to the clinic.
There was no change in risk behavior regardless of PrEP use. Similar numbers of sexual
partners, frequency of condom use and STIs between prior and after PrEP initiation were
reported.
Majority of PrEP clients were most satisfied to PrEP service delivered at PrEP center.
However, regarding subjectively perceived convenience to access PrEP service, PrEP clients
from KPLHS seemed to have more convenience in accessing to service compared to those
from hospital-based setting
[xiii] รายงานการประเมินผล
PrEP service providers
From quantitative analysis, PrEP service providers in Thailand have positive attitudes
towards PrEP. Majority of participants reported a high level of perceived knowledge in PrEP
and supported PrEP provision in all high-risk groups with residual concern regarding impact of
PrEP on anti-retroviral drug resistance. According to qualitative study, majority of PrEP service
centers performed well in delivering PrEP service. Most PrEP service providers both from
hospital and KPLHS settings had several years of experiences and high level of knowledge in
PrEP. However, there were some new PrEP service providers from hospital setting who did
not receive PrEP training. Challenges in delivering PrEP service are high workload, limited
manpower, and working space for counseling activities due to the overwhelming number of
clients. KPLHS generally has advantage in reaching and recruiting potential PrEP clients over
hospital-based setting where PrEP service in hospital setting is usually integrated with ARV, STI
clinics and VCT. Limited coverage of the benefit package remains challenges. These include
additional laboratory testing cost for clients with impaired renal functions, insufficient supplies
of lubricants and condoms at required sizes (52”, 54”, 56”). PrEP users are recruited from
social networking platform, walk-in clients, and referral-based model. KPLHS deliver mobile
VCT, and PrEP at educational institutions, department stores, and communities in reaching key
populations. However, there are limitations concerning waiting time for laboratory testing
results, and same-day PrEP initiation during mobile VCT.
PrEP uptake remains challenges in incarcerated populations. Only one PrEP center in
the study provides mobile PrEP service in male prisons through great coordination between
wardens and hospital PrEP service providers. Challenges remained include different
management between each prison section or wing, and post-incarceration PrEP access.
Monitoring and referral to nearby PrEP service centers for post-incarcerated individuals after
leaving prisons would be essential for continuity of PrEP use.
Several factors impeded PrEP utilization among people who injects drugs (PWIDs)
including forgetting to take PrEP, housing stability and safety, financial and legal issue and
stigmatization. PrEP users usually do not disclose they history of illicit drug use. Most service
providers do not have experiences in providing PrEP to PWIDs and consider them to be the
most difficult to be reached among all key populations. Community-based organizations
working with PWIDs are concentrated in some certain settings. According to informants from
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [xiv]
CBO, PrEP is not among the top priority among this population as there are other significant
competing priorities in PWID lives.
Policy recommendations
The national PrEP implementation for populations with substantial risk is essential to increase
number of PrEP users resulting in reducing the number of new HIV-infected individuals and
ending AIDs in 2030 in Thailand. The research team proposed policy recommendations as
follows.
1. NHSO should consider including PrEP as comprehensive HIV prevention methods into
the universal health coverage scheme (UHC) for substantial risk population at 18 years
old or older or between 15-18 years old among individuals who engaged in HIV risk
behaviors and interest in taking PrEP.
2. The number of PrEP service centers under KPLHS with high potential and standard in
delivering PrEP service certified by the Department of Disease Control, Ministry of
Public Health especially in provinces or settings with high HIV prevalence should be
increased. In terms of service distribution, there should be at least one PrEP center in
each province from 2022 onwards. The CBOs reach-recruit to hospitals model should
be encouraged in reaching and recruiting more potential PrEP clients.
3. More support of operation coverage including subsidizing the cost of medications to
enable same-day PrEP, increasing coverage of additional necessary laboratory tests e.g.
HIV testing, anti-HCV, renal function tests for indicated cases, providing lubricants and
condoms at required sizes, and annual PrEP training to new service providers as well
as refresher trainings every 2-3 years should be considered.
4. The Department of Disease Control, Ministry of Public Health should promote
knowledge about PrEP via multiple communication platforms focusing on key
populations including MSMs, sex works (SWs), adolescents with potential high risk,
serodiscordant couples, PWIDs to improve public understanding and increase access
to wider populations. Advertisement of PrEP service centers locating nearby homes,
workplaces to facilitate potential PrEP users in accessing to service is also crucial.
5. Due to limited PrEP uptake among people who injects drugs (PWIDs), the government
should consider providing additional support to improve access among this key
population such as integrating PrEP services into venues PWID access and having
[xv] รายงานการประเมินผล
specific body/organization to look after this population separating from other key
populations.
6. A working group to monitor and evaluate the progress of PrEP program in parallel with
other HIV program should be established. A single system for PrEP data entry should
be used for all PrEP services regardless of different sources of funding to enable
efficient M&E process and analyses.
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [xvi]
ความเป็นมา
วัตถุประสงค์ของการประเมินผล บทที่ 1
บทน า
รายงานการประเมินผลการด าเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [1]
บทที่ 1
บทนำ
ความเป็นมา
เชื้อไวรัสเอชไอวีหรือฮิวแมนอิมมิวโนเดฟีเชียนซีไวรัส (Human Immunodeficiency Virus; HIV) เป็น
เชื้อไวรัสชนิดรีโทรไวรัส (Retrovirus) สามารถแพร่กระจายผ่านสารคัดหลั่งและทำลายระบบภูมิคุ้มกันในร่างกาย
โดยเฉพาะเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 หรือทีเซลล์ (T cells) ซึ่งมีหน้าที่ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมและเชื้อโรค
ต่าง ๆ ที่เข้าสู่ร่างกาย [1] เป็นผลให้ผู้ป่วยที่ได้รับเชื้อเอชไอวีมีระดับภูมิคุ้มกันร่างกายที่ต่ำลง ซึ่งหากไม่ได้รับการ
รักษาจะนำไปสู่การเกิดโรคภูมิคุ้มกันบกพร่อง (Acquired Immune Deficiency Syndrome; AIDs) หรือเอดส์ซึ่ง
ทำให้ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อฉวยโอกาสและภาวะแทรกซ้อนได้ง่ายกว่าคนปกติ [2].
การติดเชื้อเอชไอวีเป็นปัญหาสาธารณสุขที่สำคัญของโลก จากข้อมูลองค์การอนามัยโลก (The World
Health Organization; WHO) ในปีพ.ศ. 2561 พบว่ามีผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วโลกประมาณ 37.9 ล้านคน โดยเป็นผู้
ติดเชื้อรายใหม่ประมาณ 1.7 ล้านคน และผู้เสียชีวิตประมาณ 770,000 ราย [3].
ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีสูงที่สุดในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก โดยในปี พ.ศ. 2561
มีผู้ติดเชื้อเอชไอวีประมาณ 480,000 คน คิดเป็นร้อยละ 9 ของผู้ติดเชื้อเอชไอวีทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก [4]
ในช่วงหลายปีผ่านมาแม้ว่าประเทศไทยประสบความสำเร็จในลดการแพร่เอชไอวีได้ด้วยการรณรงค์ให้ตรวจหาเอช
ไอวีได้เร็วและเข้าถึงการรักษาอย่างรวดเร็ว รวมถึงสามารถลดอัตราการติดเชื้อเอชไอวีจากมารดาสู่ทารกได้เหลือ
ร้อยละ 1.9 [5] แต่ยังพบอัตราการติดเชื้อเอชไอวีสูงในประชากรบางกลุ่ม เช่น กลุ่มชายที่มีเพศสัมพันธ์กับชาย
กลุ่มสตรีข้ามเพศ กลุ่มคู่ที่มีผลเลือดต่าง และกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดชนิดฉีด ซึ่งยังถือเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขที่
สำคัญของประเทศที่ต้องมีการหาแนวทางการป้องกันการติดเชื้อในประชากรกลุ่มนี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายในการมีผู้
ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่ในประเทศน้อยกว่า 1,000 รายภายในปีพ.ศ. 2573
ยาป้องกันก่อนการสัมผัสเชื้อเอชไอวี (PrEP) ประกอบด้วยยาต้านไวรัส 2 ชนิดได้แก่ ยาเอ็มไทไซตาบีน
(FTC) 200 มิลลิกรัม และยาทีโนโฟเวียร์ (TDF) 300 มิลลิกรัม ซึ่งเป็นยาที่ได้ผ่านการวิจัยมาแล้วว่าสามารถใช้
ป้องกันการติดเชื้อเอชไอวีได้ผลดี [6-8] องค์การอนามัยโลกได้แนะนำให้ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวีใช้ยา
PrEP ในการป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี [9] ประเทศไทยได้กำหนดให้ PrEP เป็นอีกหนึ่งมาตรการในการป้องกัน
การติดเชื้อเอชไอวีในประชากรกลุ่มเสี่ยงตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 เป็นต้นมา [10] รูปที่ 1
[2] บทที่ 1 บทนำ
รูปที่ 1. ภาพรวมกรอบการดำเนินงานด้านเอชไอวี/เอดส์ในประเทศไทย
ในปัจจุบันได้มีการกำหนดองค์ประกอบของการจัดบริการ PrEP ว่าจะต้องประกอบด้วย 4 องค์ประกอบ
หลักคือ 1.หน่วยงานที่รับผิดชอบในการให้บริการ PrEP แก่ประชากรเป้าหมายกลุ่มต่าง ๆ 2.โครงสร้างและ
ขั้นตอนการจัดบริการ PrEP 3.ประเภทของผู้ให้บริการ PrEP และการจัดฝึกอบรม 4.ช่องทางการสื่อสารหรือการ
ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจัดบริการ PrEP ให้ประชาชนได้รับทราบข่าวสาร โดยในระดับสากลได้มีรูปแบบการ
จัดบริการ PrEP แบ่งตามองค์ประกอบหลักของการจัดบริการ 9 รูปแบบ ประกอบด้วย รูปแบบทั่วไป (Generic
models) รูปแบบบริการตามประชากรเป้าหมาย (Key population-specific models) รูปแบบบริการใน
โรงพยาบาล/คลินิก (Clinic/hospital-based models) รูปแบบบริการในชุมชน (Community-based models)
รูปแบบบริการที่บ้าน (Home-based models) รูปแบบบริการแบบการดูแลทางคลินิก (Clinical care models)
รูปแบบการจัดบริการแบบดั้งเดิม (Traditional delivery models) รูปแบบดิจิตัลและการจัดการตนเอง (Digital
and self-management delivery models) รูปที่ 2 [11]
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [3]
รูปที่ 2. รูปแบบการจัดบริการ PrEP แบ่งตามองค์ประกอบหลักของการจัดบริการ
สำหรับประเทศไทยปัจจุบันมีรูปแบบการจัดบริการ PrEP ในประเทศไทยอยู่ทั้งหมด 3 รูปแบบที่แตกต่าง
กัน คือ
1. การจัดบริการโดยโรงพยาบาล (Hospital-based model) รูปแบบบริการนี้ดำเนินการโดย
โรงพยาบาลที่ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติในการเข้าถึงกลุ่ม
ประชากรกลุ่มเสี่ยงให้เข้ารับบริการที่เกี่ยวข้องกับงานด้านเอชไอวีต่าง ๆ ประกอบด้วยการตรวจเลือดหา
เชื้อเอชไอวี การให้บริการปรึกษา การบริการยา PrEP และยาต้านไวรัสเอชไอวี
2. การจัดบริการโดยองค์กรภาคประชาสังคมส่งต่อให้โรงพยาบาล (CBOs reach-recruit to hospitals)
รูปแบบบริการนี้ดำเนินการโดยองค์กรภาคประชาสังคมเป็นผู้ค้นหาประชากรกลุ่มเสี่ยงและส่งต่อให้
โรงพยาบาลเป็นผู้จ่ายยา PrEP
[4] บทที่ 1 บทนำ
3. การจัดบริการโดยองค์กรภาคประชาสังคม (Key population-led health services (KPLHS)
รูปแบบบริการนี้ดำเนินโดยองค์กรภาคประชาสังคมและมีการจ่ายยา PrEP ในหน่วยบริการในชุมชนที่
ดำเนินการโดยองค์กรภาคประชาสังคม [12]
ในขณะนี้ประเทศไทยมีประชากรกลุ่มเสี่ยงที่เข้ารับบริการ PrEP ไปแล้วทั้งสิ้นจำนวนมากกว่า 10,000
คน ซึ่งการให้บริการ PrEP ในประชากรกลุ่มเสี่ยงยังไม่ได้บรรจุอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพ
แห่งชาติ ทางสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) มีแผนที่จะเพิ่มการบริการ PrEP เพื่อบรรจุในชุดสิทธิ
ประโยชน์ที่ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย และได้มีการศึกษาการประเมินความคุ้มค่า
ของบริการป้องกันการติดเชื้อ HIV ก่อนการสัมผัสเชื้อ (PrEP) โดยโครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้าน
สุขภาพ (HITAP) ซึ่งผลการศึกษาพบว่าการบริการ PrEP มีความคุ้มค่า โดยมีอัตราส่วนต้นทุนประสิทธิผลส่วนเพม
ิ่
(ICER) เท่ากับ 16,954 บาท/DALYs saved และทำให้จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ในปี พ.ศ. 2573 เท่ากับ 940 ราย
ซึ่งบรรลุเป้าหมายผู้ติดเชื้อรายใหม่ต่ำกว่า 1,000 รายตามเป้าหมายสากล [13] ในปีงบประมาณ 2563 ทาง
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติจึงได้จัดบริการ PrEP ระยะนำร่องจำนวน 2,000 ราย ในหน่วยบริการ
ทั้งหมด 51 หน่วยบริการ และคาดว่าจะเพิ่มจำนวนขึ้นอีก 3,000 รายในปีงบประมาณ 2564 โดยจะมีการใช้ข้อมูล
ผลการดำเนินการจัดบริการ PrEP ในระยะนำร่องปีที่หนึ่งนี้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาการขยายบริการ
PrEP และการบรรจุบริการ PrEP เข้าไปอยู่ในชุดสิทธิประโยชน์ของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าต่อไป จึง
จำเป็นต้องมีการจัดทำการศึกษาประเมินผลการดำเนินการการจัดบริการ PrEP เพื่อให้ทราบผลการดำเนินการ
รายละเอียดของการดำเนินการขั้นตอนต่าง ๆ เพื่อให้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาบรรจุการบริการ PrEP ในชุด
สิทธิประโยชน์และศึกษาถึงปัญหา อุปสรรคต่าง ๆ ในแต่ละขั้นตอนดำเนินการ เพื่อนำไปปรับปรุงการบริการต่อไป
ด้วย
วัตถุประสงค์ของการประเมนผล
ิ
1. เพื่อศึกษาปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการตัดสินใจเลือกหรือไม่เลือกรับประทานยา PrEP การรับยาต่อเนื่องและ
การยุติการรับยา จากข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ในกลุ่มประชากรหลัก รวมถึงกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด ใน
ปีงบประมาณ 2563 จากฐานข้อมูล National AIDS Program (NAP plus) และฐานข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้อง
2. เพื่อศึกษาเปรียบเทียบผลการดำเนินการจัดบริการ PrEP ทั้ง 3 รูปแบบบริการในประเทศไทย
ประกอบด้วย (1) การจัดบริการโดยโรงพยาบาล (2) การจัดบริการโดยองค์กรภาคประชาสังคมเชื่อมต่อ
กับบริการของโรงพยาบาล และ (3) การจัดบริการโดยองค์กรภาคประชาสังคม ในการเข้าถึงกลุ่ม
ประชากรหลัก รวมถึงกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติด
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [5]
3. เพื่อศึกษาการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยงในการป้องกันตนเองต่อการติดเชื้อเอชไอวี (Risk
compensation) ของผู้รับบริการในกลุ่มประชากรหลัก ก่อนรับยา PrEP ในช่วงเวลาที่รับประทานยา
PrEP และเมื่อยุติการรับยา ในด้านต่าง ๆ เช่น พฤติกรรมการใช้ถุงยางอนามัย การเปลี่ยนแปลงจำนวนคู่
นอน และประวัติการเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ (STIs) ในระหว่างการรับยาPrEP เป็นต้น
4. เพื่อศึกษาปัจจัยต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับความสำเร็จ ปัญหา อุปสรรคในการจัดบริการ PrEP ของหน่วยงาน
ที่เป็นโรงพยาบาลและที่เป็นองค์กรภาคประชาสังคม ในด้านความรู้ ทัศนคติของผู้ให้บริการที่มีต่อการ
จัดบริการ PrEP ให้แก่ประชากรกลุ่มเสี่ยงที่เข้ามารับบริการ
[6] บทที่ 1 บทนำ
รูปแบบการวิจัย
การด าเนินการเก็บข้อมูล บทที่ 2
ระเบียบวิธี
วิจัยและการ
เก็บข้อมูล
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [7]
บทที่ 2
ระเบียบวิธีวิจัยและการเก็บข้อมูล
รูปแบบการวิจัย
การศึกษาวิจัยครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงผสม (Mixed Methods Research) ประกอบด้วยการวิจัยเชิง
ปริมาณและการวิจัยเชิงคุณภาพ รูปแบบการศึกษาแบบแผนเชิงอธิบาย (Explanatory) ประกอบด้วยการศึกษา
ข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ในปีงบประมาณ 2563 จากฐานข้อมูล National AIDS Program (NAP plus) ของ
สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ การสอบถามผู้รับบริการ PrEP เกี่ยวกับพฤติกรรมเสี่ยงและการตัดสินใจใช้
หรือไม่ใช้ PrEP โดยใช้แบบสอบถาม และการศึกษาเชิงคุณภาพโดยใช้แบบสัมภาษณ์กึ่งโครงสร้าง (Semi-
structure interview)
การดำเนินการเก็บข้อมล
ู
ขั้นตอนการดำเนินการเก็บข้อมูล
ในการดำเนินการเก็บข้อมูลการจัดบริการ PrEP ในครั้งนี้จะแบ่งเป็น 4 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 ข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ในปีงบประมาณ 2563 จากฐานข้อมูล National AIDS Program
(NAP plus)
จะนำข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ที่ลงทะเบียนในฐานข้อมูล NAP plus ในปีงบประมาณ 2563 คือระหว่าง
วันที่ 1 ตุลาคม 2562 ถึง 30 กันยายน 2563 มาทำการวิเคราะห์ผลในภาพรวมตามตัวแปรที่มีอยู่ในฐานข้อมูล
ส่วนที่ 2 ข้อมูลผู้รับบริการจากการตอบแบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก
้
แบ่งการเก็บขอมูลออกเป็น 2 ส่วนคือ
- ข้อมูลเชิงปริมาณ: ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถามออนไลน์สอบถามเกี่ยวกับข้อมูลพื้นฐาน
พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ข้อมูลเกี่ยวกับการรับบริการ PrEP โดยแบ่งกลุ่มตามประเภทการรับ
บริการ ได้แก่
o กลุ่มผู้รับบริการ PrEP แบบกินทุกวันครั้งแรกและตัดสินใจเลือกกินยา PrEP
o กลุ่มผู้รับบริการ PrEP แบบกินทุกวันครั้งแรกและตัดสินใจไม่กินยา PrEP
o กลุ่มที่รับยา PrEP ต่อเนื่อง
o กลุ่มที่เคยรับ PrEP แล้วหยุดยาไปและมาขอรับยา PrEP ใหม่อีกครั้ง
o กลุ่มที่รับยา PrEP และมาขอหยุดยาที่หน่วยบริการ
o กลุ่มที่เคยรับยา PrEP และขาดการติดต่อไม่กลับมาที่หน่วยบริการอีก
[8] บทที่ 2 ระเบียบวิธีวิจัยและการเกบข้อมูล
็
แบบสอบถามจะเป็นแบบให้กลุ่มตัวอย่างเป็นผู้ตอบแบบสอบถามเอง โดยจะขอความร่วมมือจาก
หน่วยบริการที่มีผู้รับบริการมากกว่า 10 คนและยินดีประสานงานในการกระจายแบบสอบถามให้กับ
ผู้รับบริการแต่ละกลุ่ม ได้เข้าไปตอบแบบสอบถามผ่านทางออนไลน์โดยสมัครใจ โดยได้กลุ่มตัวอย่าง
ทั้งหมด 513 คน
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ: ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยการสัมภาษณ์เชิงลึกผู้รับบริการ แบ่งเป็นกลุ่มที่ตัดสินใจไม ่
กินยา PrEP กลุ่มที่ตัดสินใจกินยา กลุ่มที่เคยรับ PrEP แล้วหยุดยาไปและมาขอรับยา PrEP ใหม่อีกครั้ง
และกลุ่มที่รับยา PrEP และขอหยุดยา โดยจะประสานงานกับผู้ให้บริการเพื่อทำเลือกผู้รับบริการที่ยินดีให้
สัมภาษณ์ เลือกมากลุ่มละ 2 คนทั้งจากหน่วยบริการประเภทโรงพยาบาลและหน่วยบริการประเภท
KPLHS ได้กลุ่มตัวอย่างทั้งหมด 16 คน
ส่วนที่ 3 ข้อมูลกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดโดยการสนทนากลุ่ม
ในการเก็บข้อมูลกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด จะเก็บข้อมูลโดยการสนทนากลุ่มกับผู้ใช้สารเสพติด โดยจะเน้น
พฤติกรรมเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอชไอวี ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับเอชไอวี และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับ PrEP
ดำเนินการเก็บข้อมูลโดยการจัดสนทนากลุ่มและสัมภาษณ์เชิงลึกกับกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดที่ยินดีให้ข้อมูล ใช้วิธีการ
เลือกกลุ่มตัวอย่างแบบเฉพาะเจาะจง ดำเนินการเก็บข้อมูลแบบสนทนากลุ่ม 4 กลุ่ม ได้แก่ เครือข่ายผู้ใช้ยา
ประเทศไทย (Thai Drug User Network- TDN) กลุ่มผู้ใช้สารเสพติดในพื้นที่ชนบทภาคเหนือ กลุ่มผู้ใช้สารเสพติด
ื้
ในพื้นที่เมืองภาคเหนือ และกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดในพนที่เมืองภาคใต้ จำนวน 18 ราย และสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ใช้สาร
เสพติดหรือผู้มีประวัติใช้สารเสพติดจำนวน 4 ราย
ส่วนที่ 4 ข้อมูลผู้ให้บริการโดยการตอบแบบสอบถามและการสนทนากลุ่ม
ในการเก็บข้อมูลผู้ให้บริการแบ่งการเก็บข้อมูลออกเป็น 2 ส่วนคือ
- ข้อมูลเชิงปริมาณ: ทำการเก็บข้อมูลผู้ให้บริการทั้งหมด 50 หน่วยบริการ (30 แห่งจากหน่วยบริการ
ประเภทโรงพยาบาล 4 แห่งจากองค์กรภาคประชาสังคม และ 16 แห่งจากหน่วยให้บริการรูปแบบผสม
หรือโรงพยาบาลทำงานร่วมกับองค์กรภาคประชาสังคม เก็บข้อมูลพื้นฐานของผู้ให้บริการ ความรู้และ
ทัศนคติต่อการให้บริการ PrEP และต่อผู้รับบริการ PrEP รวมถึงข้อเสนอแนะต่อการจัดบริการ PrEP
- ข้อมูลเชิงคุณภาพ: ทำการเก็บข้อมูลโดยการสนทนากลุ่มเล็กผู้ให้บริการ PrEP ของหน่วยบริการแต่ละ
ื่
ประเภท กลุ่มละประมาณ 3-5 คน โดยใช้แบบสอบถามกึ่งโครงสร้าง (semi-structured interview) เพอ
สอบถามข้อมูลการตัดสินใจเข้าร่วมเป็นหน่วยบริการ PrEP ภายใต้งบสนับสนุนของ สปสช. ผลการ
ดำเนินงานที่ผ่านมา ปัญหา อุปสรรคและความท้าทายในการจัดบริการ PrEP และวิธีการแก้ไขปัญหาการ
ให้บริการ ระหว่างเดือนกันยายน-ตุลาคม พ.ศ. 2563 โดยเลือกหน่วยบริการที่มีผู้รับ PrEP จำนวนมาก
จาก 5 จังหวัด (เชียงใหม่ อุดรธานี สงขลา ราชบุรี และ กรุงเทพมหานคร) จำนวน 10 หน่วยบริการ
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [9]
แบ่งเป็นหน่วยบริการประเภทโรงพยาบาล 4 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลหาดใหญ่ โรงพยาบาลเลิศสิน
โรงพยาบาลตากสิน และโรงพยาบาลราชบุรี (เน้นการจัดบริการ PrEP ในทัณฑสถาน) เป็นหน่วยบริการ
ประเภทโรงพยาบาลร่วมกับ CBO จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ โรงพยาบาลฝาง โรงพยาบาลอุดรธานี
ศูนย์บริการสาธารณสุข 28 ของ กทม. และหน่วยบริการ KPLHS จำนวน 3 แห่ง ได้แก่ มูลนิธิเอ็มพลัส
(MPlus) สมาคมฟ้าสีรุ้งแห่งประเทศไทย (Rainbow Sky Association of Thailand-RSAT) และ มูลนิธิ
เพื่อนพนักงานการบริการ (Service Workers in Group-SWING
้
[10] บทที่ 2 ระเบียบวิธีวิจัยและการเก็บขอมูล
ส่วนที่ 1 ข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ใน
ปีงบประมาณ 2563
จากฐานข้อมูล National AIDS Program (NAP plus)
ส่วนที่ 2 ข้อมูลผู้รับบริการ บทที่ 3
ส่วนที่ 3 ข้อมูลกลุ่มผู้ใช้สารเสพติด
ผลการวิจัย
ส่วนที่ 4 ข้อมูลผู้ให้บริการ
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [11]
ส่วนที่ 1 ข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ใน
ปีงบประมาณ 2563
จากฐานข้อมูล National AIDS Program (NAP plus)
บทที่ 3
ผลการวิจัย
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [13]
บทที่ 3
ผลการวิจัย
ผลการศึกษาในครั้งนี้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน ดังนี้
ส่วนที่ 1 ข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ในปีงบประมาณ 2563 จากฐานข้อมูล National AIDS Program (NAP
plus)
ส่วนที่ 2 ข้อมูลผู้รับบริการจากการตอบแบบสอบถามและการสัมภาษณ์เชิงลึก
ส่วนที่ 3 ข้อมูลกลุ่มผู้ใช้สารเสพติดโดยการสนทนากลุ่ม
ส่วนที่ 4 ข้อมูลผู้ให้บริการโดยการตอบแบบสอบถามและการสนทนากลุ่ม
ส่วนที่ 1 ข้อมูลผู้รับบริการ PrEP ในปีงบประมาณ 2563 จากฐานข้อมูล National AIDS Program (NAP
plus)
โดยภาพรวมหน่วยบริการทั้งประเทศที่จัดบริการ PrEP ภายใต้การสนับสนุนงบประมาณโดยสำนักงาน
หลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) ในปีงบ 63 มีโรงพยาบาลในกลุ่มเป้าหมายแบ่งเป็น คลินิคนิรนาม ศูนย์วิจัย
โรคเอดส์ สภากาชาดไทย มีหน่วยบริการโดยองค์กรภาคประชาสังคม (KPLHS) จำนวน 2 แห่ง ได้แก่ SWING และ
RSAT (KPLHS) และเป็นหน่วยบริการที่โรงพยาบาลจำนวน 51 แห่ง มีโรงพยาบาลจำนวน 4 แห่งที่ขอถอนตัว
ไม่ได้เข้าร่วมตั้งแต่แรก ได้แก่ โรงพยาบาลประชาธิปัตย์ จังหวัดปทุมธานี โรงพยาบาลจันทรุเบกษา จังหวัด
นครปฐม โรงพยาบาลสุไหงโกลก จังหวัดนราธิวาส และศูนย์บริการสาธารณสุข 25 ห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร
ทั้งนี้จำแนกประเภทกลุ่มบริการยา PrEP 3 รูปแบบคือ ประเภทโรงพยาบาลมี 31 แห่ง ประเภทโรงพยาบาล
ร่วมกับ CBO มี 16 แห่ง และประเภท KPLHS มี 2 แห่ง และมี 1 โรงพยาบาลที่ไม่มผู้รับบริการ ได้แก่ รพ.กุมภวา
ี
ปี (มีเลข PrEP แต่ไม่มีข้อมูลกินยา จำนวน 1 ราย)
ประเภทกลุ่มบริการยา PrEP แบ่งออกได้เป็น 3 ประเภทได้แก ่
ลำดับที่ ประเภทกลุ่มบริการยา PrEP จำนวน (แห่ง)
1 โรงพยาบาล 31
2 โรงพยาบาล ร่วมกับ CBO 16
3 KPLHS (SWING, RSAT ภายใต้ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาด) 2
[14] บทที่ 3 ผลการวิจัย
ตารางที่ 1.1 แสดงจำนวนผู้ลงทะเบียนรับบริการยา PrEP และจำนวนที่กินยา PrEP แยกตามไตรมาส
ปี 2562 ปี 2563
ไตรมาส4 (ต.ค. - ธ.ค.) ไตรมาส 1 (ม.ค. - มี.ค.) ไตรมาส 2 (เม.ย. - มิ.ย.) ไตรมาส 3 (ก.ค. - ก.ย.) รวมคน เริ่มกินยา
ประเภท ลงทะเบียน PrEP
ราย ราย ราย ราย ราย ราย ราย ราย
รวม % รวม % รวม % รวม % เก่า/ใหม่ เก่า/ใหม่
เก่า ใหม่ เก่า ใหม่ เก่า ใหม่ เก่า ใหม่
รวม รวม
รพ. (31 แหง) 59/563 51/518
่
่
เฉลี่ย 18.4 ต่อแหง 7 57 64 10.29 14 187 201 32.32 19 137 156 22.86 19 182 201 32.61 (91.04%)
(สูงสุด – ต ่ำสุด = 70-1) 622 569
รพ.+ CBO(16 แหง) 37/626 35/617
่
เฉลี่ย 40.8 ต่อแหง 1 105 106 15.99 5 152 157 23.68 12 167 179 25.94 19 202 221 33.48 (94.63%)
่
663
(สูงสุด – ต ่ำสุด = 111-0) 652
KPLHS (2 แห่ง) เฉลี่ย 91/656 91/656
374.5 ต่อแหง 33 341 374 50.07 58 315 373 49.93 0 0 0 0 0 0 0 0 747 (87.82%)
่
(สูงสุด – ต ่ำสุด = NA) 747
177/1791
รวมทงหมด 41 503 544 26.77 77 654 731 35.97 31 304 335 17.47 38 384 422 20.69 187/1845 (91.01%)
ั้
2032
1968
* N หมายถึง จำนวนเฉลี่ย/โรงพยาบาล
จากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่า ผู้ลงทะเบียนและรับยา PrEP ในปีงบประมาณ 2563 จำนวน 1,968 ราย
- เป็นรายใหม่ (ครั้งแรก) จำนวน 1791 ราย (คิดเป็น 91 %)
- รายเก่า (เคยกิน และมาเริ่มขอกินใหม่) จำนวน 177 ราย
จำนวนผู้รับบริการ PrEP โดยเฉลี่ยในแต่ละประเภทหน่วยบริการ
- KPLHS (CBO-Led Service) จำนวน 2 แห่ง (ใน กทม.) เฉลี่ย 375 ราย/แห่ง
- โรงพยาบาล ร่วมกับ CBO จำนวน 16 แห่ง เฉลี่ย 41 ราย/แห่ง (ต่ำสุด 0 – สูงสุด 111)
- โรงพยาบาล จำนวน 31 แห่ง เฉลี่ย 18 ราย/แห่ง (ต่ำสุด 1 – สูงสุด 70)
จำนวนผู้รับยา PrEP รายใหม่ต่อรายเก่า จากตารางพบว่าโรงพยาบาลร่วมกับ CBO จะมีรายใหม่ต่อรายเก่าสูงที่สุด
เท่ากับ 94.63% รองลงมาคือรูปแบบโรงพยาบาลเท่ากับ 91.04 % และ รูปแบบ KPLHS เท่ากับ 87.82% ส่วน
ภาพรวมทั้งหมดรายใหม่ต่อรายเก่ามีค่าเท่ากับ 91.01 % จากคนกินยา PrEP ทั้งหมด 1,968 ราย โดยเป็นคน
ลงทะเบียนออกเลข PrEP จำนวน 2,032 ราย คิดเป็น 96.85 %
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [15]
การลงทะเบียนแยกไตรมาส
2000
90.80%
1800
1600
1400
1200
1000
800
89.47%
600 92.46%
91%
90.10%
400
9.20%
200 7.54% 10.53% 9.90% 9%
0
ราย ราย ราย ราย ราย
รายเก่า รายเก่า รายเก่า รายเก่า รายเก่า
ใหม่ ใหม่ ใหม่ ใหม่ ใหม่
ไตรมาส4 ไตรมาส 1 ไตรมาส 2 ไตรมาส 3 รวม
KPLHS 33 341 58 315 0 0 0 0 91 656
รพ. + CBO 1 105 5 152 12 167 19 202 37 626
รพ. 7 57 14 187 19 137 19 182 59 563
รพ. รพ. + CBO KPLHS
รูปที่ 1.1 กราฟแสดงการลงทะเบียนคนกินยา PrEP แยกตามไตรมาส
ตารางที่ 1.2 แสดงจำนวนผู้รับบริการและกินยา PrEP ตามเป้าหมายที่ได้รับการจัดสรร จำนวนสรุป
ู
ผู้รับบริการยา PrEP ที่จัดบริการจริง และจำนวนผู้รับบริการที่วิเคราะห์จากฐานข้อมล NAP จำแนกตาม
ประเภทบริการ
ประเภทโรงพยาบาล
เป้าหมาย Database
ลำดับ ชื่อโรงพยาบาล รายเก่า รายใหม ่
(คน) (NAP)
1 โรงพยาบาลป่าตอง 50 70 3 67
2 โรงพยาบาลขอนแก่น 40 63 16 47
3 โรงพยาบาลราชบุรี 50 54 3 51
[16] บทที่ 3 ผลการวิจัย
เป้าหมาย Database
ลำดับ ชื่อโรงพยาบาล รายเก่า รายใหม ่
(คน) (NAP)
4 โรงพยาบาลหาดใหญ่ 80 52 1 51
โรงพยาบาลศรีนครินทร์
5 30 32 1 31
มหาวิทยาลัยขอนแก่น
6 โรงพยาบาลตากสิน 20 31 1 30
7 โรงพยาบาลเซ็นทรัลปาร์ค 25 25 2 23
8 โรงพยาบาลกลาง 20 22 3 19
9 โรงพยาบาลเดอะโกลเดนเกท 10 20 7 13
10 โรงพยาบาลศิริราช 100 20 0 20
11 โรงพยาบาลเลิดสิน 20 18 3 15
12 โรงพยาบาลสันป่าตอง 10 17 0 17
13 โรงพยาบาลเสนา 20 14 2 12
14 โรงพยาบาลสวรรค์ประชารักษ์ 50 13 2 11
15 โรงพยาบาลเกาะสมุย 10 13 0 13
16 โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ 80 12 0 12
17 โรงพยาบาลมหาสารคาม 50 11 1 10
18 โรงพยาบาลพิมาย 10 10 0 10
19 โรงพยาบาลเชียงดาว 10 9 0 9
20 โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช 15 6 0 6
21 โรงพยาบาลชะอวด 10 6 1 5
โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระ
22 20 6 1 5
เกียรติ
23 โรงพยาบาลปทุมธานี 20 3 0 3
24 โรงพยาบาลด่านขุนทด 10 3 0 3
25 โรงพยาบาลบ้านผือ 10 3 0 3
26 โรงพยาบาลจะนะ 10 3 0 3
27 โรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี 15 2 0 2
28 โรงพยาบาลปากช่องนานา 10 2 0 2
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [17]
เป้าหมาย Database
ลำดับ ชื่อโรงพยาบาล รายเก่า รายใหม ่
(คน) (NAP)
29 โรงพยาบาลวารินชำราบ 20 2 0 2
โรงพยาบาลรามาธิบดี
30 50 2 0 2
มหาวิทยาลัยมหิดล
31 โรงพยาบาลไชยปราการ 10 1 0 1
รวม 885 569 51 518
ประเภทโรงพยาบาล ร่วมกับ CBO
เป้าหมาย Database
ลำดับ ชื่อโรงพยาบาล รายเก่า รายใหม ่
(คน) (NAP)
ศูนย์บริกำรสำธำรณสุข 28 กรุงธนบุรี (มูลนิธิ
1 50 111 1 110
HIV ASIA)
2 โรงพยาบาลอุดรธานี (M friend) 70 110 0 110
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย (คลีนิก
3 100 99 0 99
นิรนาม)
4 ศูนย์บริการสาธารณสุข 21 วัดธาตุทอง (ฟ้าสีรุ้ง) 20 76 16 60
5 โรงพยาบาลนครพิงค์ (M plus) 60 66 1 65
6 โรงพยาบาลพุทธชินราช (M plus) 50 51 6 45
ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพ มหาวิทยาลัยบูรพา
7 50 49 5 44
(ฟ้าสีรุ้ง)
8 โรงพยาบาลหลวงพ่อเปิ่น (ฟ้าสีรุ้ง) 15 27 2 25
9 โรงพยาบาลชุมแพ (Healthcare) 15 26 2 24
คณะแพทย์ศาสตร์วชิรพยาบาล มหาวิทยาลัย
10 20 21 0 21
กรุงเทพมหานคร (TUC)
11 โรงพยาบาลฝาง (M plus) 10 16 0 16
12 โรงพยาบาลมัญจาคีรี (M) 15 11 1 10
13 โรงพยาบาลหนองหาน (M friend) 10 6 1 5
14 โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ (M plus) 50 2 0 2
[18] บทที่ 3 ผลการวิจัย
เป้าหมาย Database
ลำดับ ชื่อโรงพยาบาล รายเก่า รายใหม ่
(คน) (NAP)
15 โรงพยำบำลสีคิ้ว (Boyfriend Korat) 10 2 0 2
16 โรงพยาบาลกุมภวาปี (M friend) 10 1 0 1
รวม 555 652 35 617
ประเภท KPLHS
เป้าหมาย Database
ลำดับ ชื่อโรงพยาบาล รายเก่า รายใหม ่
(คน) (NAP)
คลินิคนิรนาม ศูนย์วิจัยโรคเอดส์
1 530 747 91 656
สภากาชาดไทย
* จากข้อมูลในการวิเคราะห์จากฐานข้อมูลกาชาด (คลินิคนิรนาม ศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย: Hcode
23220) จำนวน 747 คน แบ่งเป็น RSAT จำนวน 466 ราย SWING จำนวน 281 ราย
จากตารางที่ 1.2 พบว่า รูปแบบบริการ PrEP ที่ดำเนินการโดยภาคประชาสังคม ได้แก่ RSAT และ
SWING ภายใต้การดูแลของศูนย์วิจัยโรคเอดส์ สภากาชาดไทย สามารถรับเข้าผู้รับบริการ PrEP ได้มากที่สุด คิด
เป็น 747 ราย จากเป้าหมายโควตาที่ได้รับการจัดสรรจากทาง สปสช ที่กำหนดไว้ครั้งแรกที่ 530 ราย หรือคิดเป็น
140% ส่วนรูปแบบบริการ PrEP แบบร่วมดำเนินการ โดยจัดบริการ PrEP ที่โรงพยาบาล และมีองค์กรภาคประชา
สังคม (CBO) ในพื้นที่ช่วยในการชักชวนและส่งต่อกลุ่มเป้าหมายผู้สนใจมารับบริการ PrEP ที่โรงพยาบาล จาก
หน่วยบริการจำนวน 16 แห่ง มีผู้รับยา PrEP เฉลี่ย 40 รายต่อโรงพยาบาล โดย 3 อันดับสูงสุด ได้แก ศูนย์บริการ
่
สาธารณสุข 28 กรุงธนบุรี ร่วมกับมูลนิธิ HIV ASIA จำนวน 111 ราย (จากโควต้าที่ตั้งไว้ 50 ราย) โรงพยาบาล
อุดรธานี ร่วมกับ M Friend จำนวน 110 ราย (จากโควตา 70 ราย) และ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์สภากาชาดไทย
(คลินิกนิรนาม) จำนวน 99 ราย (จากโควตา 100 ราย) ในกรณีของโรงพยาบาลนครพิงค์ จังหวัดเชียงใหม่ ที่
ดำเนินการร่วมกับ M Plus ส่วนใหญ่จะมีการจัดให้บริการ PrEP ที่คลินิกของ M Plus โดยทาง M Plus
ดำเนินการเองโดยตรง และส่งข้อมูลให้ทางโรงพยาบาลนครพิงค์เป็นผู้คีย์ขอมูลลงในโปรแกรม NAP ภายหลัง และ
้
มีบางรายที่เป็นส่วนน้อยมารับบริการ PrEP ที่คลินิกภายในโรงพยาบาลนครพิงค์ มีจำนวนรับบริการ PrEP 66
ราย จากโควตาที่กำหนดไว้ 60 ราย มีข้อน่าสังเกตว่า โรงพยาบาลเชียงรายประชานุเคราะห์ ระบุว่าร่วมกับ CBO
ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย มีผู้รับบริการ PrEP จำนวน 2 ราย จากโควตาที่ได้รับการจัดสรรไว้ตอนเริ่มต้น 50 ราย
ส่วนรูปแบบบริการ PrEP ที่ดำเนินการโดยโรงพยาบาล เนื่องจากไม่มี CBO ในพื้นที่ หรืออาจจะมี CBO แต่ไม่ได้
ทำงานประสานร่วมกันในพื้นที่ มีจำนวน 31 แห่ง มีผู้รับบริการยา PrEP โดยเฉลี่ย 18 คนต่อแห่ง โดย 3 อันดับ
สูงสุด ได้แก่ โรงพยาบาลป่าตอง จังหวัดภูเก็ต จำนวน 70 ราย จากโควตา 50 ราย โรงพยาบาลขอนแก่น จำนวน
63 ราย จากโควตา 40 ราย (แต่เป็นรายเก่าที่มากินใหม่จำนวน 16 ราย) และโรงพยาบาลราชบุรี จำนวน 54 ราย
จากโควตา 50 ราย (ในกรณีของโรงพยาบาลราชบุรี เป็นที่น่าสังเกตว่า มากกว่าครึ่งหนึ่งของผู้กินยา PrEP เป็นการ
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [19]
จัดบริการ PrEP ให้แก่ผู้ต้องขังชายที่อยู่ในทัณฑสถานภายในจังหวัด ซึ่งมีการทำงานร่วมกันระหว่างทีมของ
โรงพยาบาลกับทางเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบในทัณฑสถาน) มีโรงพยาบาลจำนวน 13 แห่ง ที่มีผู้รับบริการยา PrEP
น้อยกว่า 10 ราย โดยรับได้ต่ำกว่าโควตาที่ได้รับการจัดสรร อาทิเช่นโรงพยาบาลรามาธิบดีได้รับโควตา 50 ราย
แต่มีผู้รับยา PrEP จำนวน 2 ราย เป็นต้น
[20] บทที่ 3 ผลการวิจัย
1.2 ลักษณะของผู้รับบริการ
1.2.1 ประเภทกลุ่มประชากร
ตารางที่ 1.3 แสดงจำนวนผู้ลงทะเบียนรับบริการยา PrEP จำแนกตามประเภทกลุ่มประชากรหลัก
1 base 1 base 1 base 1 base
ID TARGET_GROUP_NAME ALL HOS HOS+CBO KPLHS
choice N=1968 (%) choice N=569 (%) choice N=652(%) choice N=747 (%)
3 MSM 1632 (1523) 80.31 433 (360) 72.77 521 (486) 75.65 677 (677) 90.63
12 Partner of PLHIV 293 (199) 14.42 208 (152) 34.96 85 (47) 12.32 0 (0) 0.00
13 General Population 102 (70) 5.02 51 (40) 8.57 51 (30) 7.39 0 (0) 0.00
4 TGW 74 (73) 3.64 18 (15) 3.03 56 (19) 8.12 39 (39) 5.22
9 FSW 32 (25) 1.57 12 (12) 2.02 20 (8) 2.90 5 (5) 0.67
8 MSW 26 (21) 1.28 4 (2) 0.67 22 (6) 3.19 13 (13) 1.74
10 TGSW 26 (19) 1.28 1 (0) 0.17 25 (4) 3.62 15 (15) 2.01
15 nPEP 24 (4) 1.18 7 (3) 1.18 17 (1) 2.46 0 (0) 0.00
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [21]
1.2 ลักษณะของผู้รับบริการ
1.2.1 ประเภทกลุ่มประชากร
ตารางที่ 1.3 แสดงจำนวนผู้ลงทะเบียนรับบริการยา PrEP จำแนกตามประเภทกลุ่มประชากรหลัก
1 base 1 base 1 base 1 base
ID TARGET_GROUP_NAME ALL HOS HOS+CBO KPLHS
choice N=1968 (%) choice N=569 (%) choice N=652(%) choice N=747 (%)
3 MSM 1632 (1523) 80.31 433 (360) 72.77 521 (486) 75.65 677 (677) 90.63
12 Partner of PLHIV 293 (199) 14.42 208 (152) 34.96 85 (47) 12.32 0 (0) 0.00
13 General Population 102 (70) 5.02 51 (40) 8.57 51 (30) 7.39 0 (0) 0.00
4 TGW 74 (73) 3.64 18 (15) 3.03 56 (19) 8.12 39 (39) 5.22
9 FSW 32 (25) 1.57 12 (12) 2.02 20 (8) 2.90 5 (5) 0.67
8 MSW 26 (21) 1.28 4 (2) 0.67 22 (6) 3.19 13 (13) 1.74
10 TGSW 26 (19) 1.28 1 (0) 0.17 25 (4) 3.62 15 (15) 2.01
15 nPEP 24 (4) 1.18 7 (3) 1.18 17 (1) 2.46 0 (0) 0.00
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [21]
1 base 1 base 1 base 1 base
ID TARGET_GROUP_NAME ALL HOS HOS+CBO KPLHS
choice N=1968 (%) choice N=569 (%) choice N=652(%) choice N=747 (%)
11 Partner of KP 22 (5) 1.08 9 (3) 1.51 13 (2) 1.88 0 (0) 0.00
5 TGM 18 14 0.89 10 (10) 1.68 8 (4) 1.16 0 (0) 0.00
[22] บทที่ 3 ผลการวิจัย
18 สามี/คู่ของหญิงตั้งครรภ์ 12 (6) 0.59 12 (6) 2.02 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
14 oPEP 9 (1) 0.44 9 (1) 1.51 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
16 ANC 6 (1) 0.30 6 (1) 1.01 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
1 PWID 5 (0) 0.25 3 (0) 0.50 2 (0) 0.29 0 (0) 0.00
7 Prisoners 3 (0) 0.15 3 (0) 0.50 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
2 PWUD 1 (1) 0.05 0 (0) 0.00 1 (1) 0.14 0 (0) 0.00
6 Migrant 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
1 base 1 base 1 base 1 base
ID TARGET_GROUP_NAME ALL HOS HOS+CBO KPLHS
choice N=1968 (%) choice N=569 (%) choice N=652(%) choice N=747 (%)
11 Partner of KP 22 (5) 1.08 9 (3) 1.51 13 (2) 1.88 0 (0) 0.00
5 TGM 18 14 0.89 10 (10) 1.68 8 (4) 1.16 0 (0) 0.00
[22] บทที่ 3 ผลการวิจัย
18 สามี/คู่ของหญิงตั้งครรภ์ 12 (6) 0.59 12 (6) 2.02 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
14 oPEP 9 (1) 0.44 9 (1) 1.51 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
16 ANC 6 (1) 0.30 6 (1) 1.01 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
1 PWID 5 (0) 0.25 3 (0) 0.50 2 (0) 0.29 0 (0) 0.00
7 Prisoners 3 (0) 0.15 3 (0) 0.50 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
2 PWUD 1 (1) 0.05 0 (0) 0.00 1 (1) 0.14 0 (0) 0.00
6 Migrant 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
จากตารางข้างต้น ลักษณะของผู้รับบริการ PrEP จำแนกตามลักษณะกลุ่มประชากรหลัก จากกลุ่ม
ประชากรผู้รับยา PrEP จำนวน 1,968 คน จำแนกตามประเภทของหน่วยบริการเป็น 3 ประเภท ประกอบด้วย
โรงพยาบาล (HOS) จำนวน 569 คน โรงพยาบาลและCBO (HOS+CBO) จำนวน 652 คน และ CBO จำนวน
747 คน พบว่า MSM เป็นกลุ่มประชากรหลักที่มารับบริการ PrEP สูงที่สุด โดยหน่วยบริการประเภทโรงพยาบาล
อยู่ที่ 72.7% ใกล้เคียงกับหน่วยบริการประเภท โรงพยาบาลร่วมกับ CBO ที่ 75.6% แต่พบสูงสุดในหน่วยบริการ
KPLHS ที่ 90.6% รองลงมาได้แก่ คู่ของผู้ติดเชื้อเอชไอวี โดยหน่วยบริการประเภทโรงพยาบาล อยู่ที่ 35%
โรงพยาบาลร่วมกับ CBO มี 12.3% แต่ไม่มีในหน่วยบริการ KPLHS สำหรับสาวประเภทสองหรือ TGW พบใน
หน่วยบริการประเภทโรงพยาบาล 3% ในโรงพยาบาลร่วมกับ CBO 8.1% และใน KPLHS 5.2% มีข้อสังเกตว่า
ื่
หน่วยบริการที่เป็น KPLHS จะเป็นการโอนถ่ายข้อมูลจากโปรแกรมของทางสภากาชาดมาให้กับทาง สปสช เพอ
ถ่ายโอนข้อมูลเข้าไปในโปรแกรม NAP โดยมีการจัดการโอนข้อมูลตามระยะประมาณทก 1 เดือน และทาง KPLHS
ุ
จะมีข้อเลือกลักษณะประชากรที่ลงเลือกได้เพียง 1 ประเภท ในขณะที่โปรแกรม NAP ของ สปสช ที่ฝั่งโรงพยาบาล
ใช้ในการลงข้อมูลผู้รับบริการ PrEP จะสามารถเลือกลักษณะประชาหลักได้มากกว่า 1 ข้อ จึงอาจทำให้ไม่เห็น
ความหลากหลายของประชากรหลักในส่วนผู้รับบริการ PrEP ของทาง KPLHS เมื่อเปรียบเทียบกับผู้รับบริการ
PrEP จากฝั่งของโรงพยาบาลที่คีย์ข้อมูลใน NAP
ดังนั้นข้อมูลประชากรหลักจึงสรุปได้ว่าประชากรหลักที่ขอรับยาเพร้พ แบ่งออกเป็นหลัก ๆ ได้แก่
(เลือกตอบได้หลายข้อ)
- MSM คิดเป็น 82.42 %
- คู่ผลเลือดต่าง คิดเป็น 14.79 %
- ประชากรทั่วไป คิดเป็น 4.78 %
- ผู้หญิงข้ามเพศ คิดเป็น 3.76 %
สำหรับกลุ่มประชากรที่เป็นผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด หรือ PWID มีการเลือกตอบมาจำนวนเพียง 5 คน
แบ่งเป็น โรงพยาบาล (HOS) จำนวน 3 คน โรงพยาบาลและCBO (HOS+CBO) จำนวน 2 คน ดังแสดงในตารางที่
1.4 อาจเป็นปัญหาที่ไม่สามารถเลือกลงได้ในส่วนของ KPLHS เพราะประชากรกลุ่ม PWID อาจจะเลือกลงลักษณะ
ประชากรหลักอย่างอื่นแทน ซึ่งในฝั่งของหน่วยบริการ ทั้ง 5 รายที่ตอบว่าเป็น PWID ได้ลงเลือกลักษณะประชากร
หลักประเภทอื่นร่วมด้วยทุกราย
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [23]
ตารางที่ 1.4 จำนวนผู้รับบริการประเภทกลุ่มประชากร PWID
PWID
รูปแบบบริการ ชื่อโรงพยาบาล (HCODE) PrEP No
11387 PrEP-2020-xxx232
โรงพยาบาล (31 แห่ง) 11537 PrEP-2020-xxx768
11769 PrEP-2020-xxx111
13673 PrEP-2020-xxx131
โรงพยาบาล+ CBO (16 แห่ง)
13666 PrEP-2020-xxx724
[24] บทที่ 3 ผลการวิจัย
1.2.2 ปัจจัยเสี่ยง
ตารางที่ 1.5 จำนวนผู้ลงทะเบียนรับบริการยา PrEP จำแนกตามปัจจัยเสี่ยงของผู้รับบริการ PrEP
base base base base
1 1 1 KPLH 1
ID RISK_BEHAVIOR All N=1968 HOS N=56 HOS+CBO N=652 N=747
choice choice choice S choice
(%) 9 (%) (%) (%)
มีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่โดยไม่ใช้
ถุงยางอนามัย กับผู้ที่ไม่ทราบสถานะ
ี
1 เอชไอว หรือคู่ผลเลือดบวกที่ยังไม่ได้กิน 1833 (838) 93.14 557 (426) 97.89 650 (266) 99.69 746 (146) 99.87
ยาต้านไวรัสหรือยังไม่สามารถกดไวรัส
ได ้
5 มีคู่นอนหลายคน 932 (91) 47.36 361 (40) 63.44 288 (50) 44.17 583 (1) 78.05
มีความต้องการจะกิน ถึงแม้ไม่มีความ
10 225 (38) 11.43 128 (8) 22.50 197 (30) 30.21 0 (0) 0.00
เสี่ยงชัดเจน
มีแนวโน้มว่าจะมีพฤติกรรมเสี่ยงใน 3
9 137 (12) 6.96 24 (3) 4.22 113 (9) 17.33 0 (0) 0.00
เดือนข้างหน้า
มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส
7 95 (11) 4.83 29 (8) 5.10 30 (3) 4.60 36 (0) 4.82
หนองใน หนองในเทียม เป็นต้น
6 กิน PEP มากกว่า 1 ครั้ง 36 (2) 1.83 19 (2) 3.34 17 (0) 2.61 0 (0) 0.00
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [25]
1.2.2 ปัจจัยเสี่ยง
ตารางที่ 1.5 จำนวนผู้ลงทะเบียนรับบริการยา PrEP จำแนกตามปัจจัยเสี่ยงของผู้รับบริการ PrEP
base base base base
1 1 1 KPLH 1
ID RISK_BEHAVIOR All N=1968 HOS N=56 HOS+CBO N=652 N=747
choice choice choice S choice
(%) 9 (%) (%) (%)
มีเพศสัมพันธ์แบบสอดใส่โดยไม่ใช้
ถุงยางอนามัย กับผู้ที่ไม่ทราบสถานะ
ี
1 เอชไอว หรือคู่ผลเลือดบวกที่ยังไม่ได้กิน 1833 (838) 93.14 557 (426) 97.89 650 (266) 99.69 746 (146) 99.87
ยาต้านไวรัสหรือยังไม่สามารถกดไวรัส
ได ้
5 มีคู่นอนหลายคน 932 (91) 47.36 361 (40) 63.44 288 (50) 44.17 583 (1) 78.05
มีความต้องการจะกิน ถึงแม้ไม่มีความ
10 225 (38) 11.43 128 (8) 22.50 197 (30) 30.21 0 (0) 0.00
เสี่ยงชัดเจน
มีแนวโน้มว่าจะมีพฤติกรรมเสี่ยงใน 3
9 137 (12) 6.96 24 (3) 4.22 113 (9) 17.33 0 (0) 0.00
เดือนข้างหน้า
มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ เช่น ซิฟิลิส
7 95 (11) 4.83 29 (8) 5.10 30 (3) 4.60 36 (0) 4.82
หนองใน หนองในเทียม เป็นต้น
6 กิน PEP มากกว่า 1 ครั้ง 36 (2) 1.83 19 (2) 3.34 17 (0) 2.61 0 (0) 0.00
รายงานการประเมินผลการดำเนินงาน PrEP ภายใต้ชุดสิทธิประโยชน์สปสช. ปีงบประมาณ 2563 [25]
base base base base
1 1 1 KPLH 1
ID RISK_BEHAVIOR All N=1968 HOS N=56 HOS+CBO N=652 N=747
choice choice choice S choice
(%) 9 (%) (%) (%)
4 มีเพศสัมพันธ์แบบกลุ่ม (3 คนขึ้นไป) 18 (2) 0.91 5 (1) 0.88 3 (1) 0.46 10 (0) 1.34
มีการใช้ยาหรือสารเสพติดเพื่อการมี
[26] บทที่ 3 ผลการวิจัย
8 16 (0) 0.81 0 (0) 0.00 9 (0) 1.38 7 (0) 0.94
เพศสัมพันธ์
หญิงตั้งครรภ์ ที่มีคู่ผลเลือดบวกที่ยัง
2 ไม่ได้กินยาต้านไวรัสหรือยังไม่สามารถ 10 (7) 0.51 10 (7) 1.76 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
กดไวรัสได ้
ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอว ี
3 6 (4) 0.30 6 (4) 1.05 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
หรือผู้ที่ไม่ทราบสถานะเอชไอว ี
11 อื่นๆ 255 (14) 12.96 27 (13) 4.75 228 (1) 34.97 0 (0) 0.00
base base base base
1 1 1 KPLH 1
ID RISK_BEHAVIOR All N=1968 HOS N=56 HOS+CBO N=652 N=747
choice choice choice S choice
(%) 9 (%) (%) (%)
4 มีเพศสัมพันธ์แบบกลุ่ม (3 คนขึ้นไป) 18 (2) 0.91 5 (1) 0.88 3 (1) 0.46 10 (0) 1.34
มีการใช้ยาหรือสารเสพติดเพื่อการมี
[26] บทที่ 3 ผลการวิจัย
8 16 (0) 0.81 0 (0) 0.00 9 (0) 1.38 7 (0) 0.94
เพศสัมพันธ์
หญิงตั้งครรภ์ ที่มีคู่ผลเลือดบวกที่ยัง
2 ไม่ได้กินยาต้านไวรัสหรือยังไม่สามารถ 10 (7) 0.51 10 (7) 1.76 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
กดไวรัสได ้
ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้ติดเชื้อเอชไอว ี
3 6 (4) 0.30 6 (4) 1.05 0 (0) 0.00 0 (0) 0.00
หรือผู้ที่ไม่ทราบสถานะเอชไอว ี
11 อื่นๆ 255 (14) 12.96 27 (13) 4.75 228 (1) 34.97 0 (0) 0.00