The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม

หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม

วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๗๑ ย่อมทำให้พินาศ ย่อมทำไม่ให้เกิดอีกต่อไป ซึ่งเหล่าธรรมอันเป็นบาป เป็นอกุศล ที่ เกิดขึ้นแล้วและเกิดขึ้นแล้ว ดูก่อนอานนท์อันนี้เรา (ตถาคต) กล่าวว่า ปหาน สัญญา ๖. ดูก่อนอานนท์ วิราคสัญญาเป็นอย่างไร ดูก่อนอานนท์ภิกษุในธรรมวินัย นี้ ไปในป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดีไปที่เรือนว่างก็ดี เธอย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า ธรรมชาตินั่นละเอียด ธรรมชาตินั่นประณีต คือว่า ธรรมเป็นเครื่องระงับสังขารทั้ง ปวง เป็นเครื่องละกิเลสทั้งปวงเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นเครื่องคลายความ กำหนัด ออกจากตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ดูก่อนอานนท์ อันนี้เรา (ผู้ตถาคต) กล่าว ว่า วิราคสัญญา ๗. ดูก่อนอานนท์ นิโรธสัญญาเป็นอย่างไร ดูก่อนอานนท์ภิกษุในธรรมวินัย นี้ไปในป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี ไปที่เรือนว่างก็ดี เธอย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า ธรรมชาตินั่นละเอียด ธรรมชาตินั่นประณีต คือว่า ธรรมเป็นเครื่องระงับสังขารทั้ง ปวง เป็นเครื่องละกิเลสทั้งปวงเป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นที่ดับสนิท ออกจาก ตัณหาเป็นเครื่องร้อยรัด ดูก่อนอานนท์ อันนี้เรา (ผู้ตถาคต) กล่าวว่า นิโรธสัญญา ๘. ดูก่อนอานนท์ สัพพโลเก อนภิรตสัญญา เป็นอย่างไร ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ละอุปาทานอันเป็นเหตุถือมั่นและเป็นอนุสัยแห่งจิตในโลกเสีย ย่อมงดเว้น ไม่ถือมั่น ดูก่อนอานนท์ อันนี้เรา (ผู้ตถาคต) กล่าวว่า สัพพโลเก อน ภิรตสัญญา ๙. ดูก่อนอานนท์ สัพพสังขาเรสุ อนิจจสัญญา เป็นอย่างไร ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมรังเกียจ แต่สังขารทั้งปวง ดูก่อน อานนท์ อันนี้เรา (ผู้ตถาคต) กล่าวว่า สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา ๑๐ .ดูก่อนอานนท์ อานาปานสติเป็นอย่างไร ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรม วินัยนี้ไปในป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี ไปที่เรือนว่างก็ดี นั่งคู้บัลลังก์ (นั่งขัดสมาธิ) ตั้ง กายให้ตรงแล้ว ตั้งสติไว้มั่นเฉพาะหน้า เธอย่อมเป็นผู้มีสติหายใจเข้า ย่อมเป็นผู้มี สติหายใจออก เมื่อเธอหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าบัดนี้เราหายใจเข้ายาว หรือเมื่อ


๑๗๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา หายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าบัดนี้เราหายใจออกยาว หรือเมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราหายใจเข้าสั้น หรือเมื่อหายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่า บัดนี้เราหายใจออกสั้น เธอย่อมศึกษาว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวง หายใจเข้า เธอย่อม สำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งกองลมทั้งปวง หายใจออก เธอย่อมสำเหนียกว่า เรา จักเป็นผู้ระงับกายสังขาร (คือลมอัสสาสะ ปัสสาสะ) หายใจเข้า เธอย่อมสำเหนียก ว่า เราจักเป็นผู้ระงับกายสังขาร หายใจออก เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้ แจ้งปีติ (คือความอิ่มกายอิ่มใจ) หายใจเข้า เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้ง ปีติหายใจออก เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตตสังขาร (คือเวทนาและ สัญญา) หายใจเข้า, เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิตตสังขาร (คือเวทนา และสัญญา) หายใจออก เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับจิตตสังขาร (คือเวทนา และสัญญา) หายใจเข้า เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักระงับจิตตสังขาร (คือเวทนา และสัญญา) หายใจออก เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจเข้า เธอ ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้รู้แจ้งจิต หายใจออก, เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำ จิตให้บันเทิงหายใจเข้า, เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักทำจิตให้บันเทิง หายใจออก, เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตไว้ หายใจเข้า เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักตั้งจิตไว้ หายใจออก เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจเข้า เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเปลื้องจิต หายใจออก เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ โดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจเข้า เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณา เนือง ๆ โดยความเป็นของไม่เที่ยง หายใจออก เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้ พิจารณาเนือง ๆ ซึ่งธรรมอันปราศจากราคะ หายใจเข้า เธอย่อมสำเหนียกว่า เรา จักเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ ซึ่งธรรมอันปราศจากราคะ หายใจออก เธอย่อม สำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจเข้า เธอ ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ ซึ่งธรรมเป็นที่ดับสนิท หายใจออก,


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๗๓ เธอย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ ซึ่งความสละคืน หายใจเข้า เธอ ย่อมสำเหนียกว่า เราจักเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ ซึ่งความสละคืน หายใจออก ดูก่อนอานนท์ อันนี้เรา (ผู้ตถาคต) กล่าวว่า อานาปานสติ ดูก่อนอานนท์ ถ้าว่าเธอแลพึงเข้าไปแสดงสัญญา ๑๐ ประการเหล่านี้แก่ภิกษุคิริมานนท์ไซร้ข้อนี้ พึงเป็นเหตุให้อาพาธของภิกษุคิริมานนท์ระงับไปโดยฐานะ เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการ เหล่านี้ ลำดับนั้น พระอานนท์ผู้มีอายุเรียนสัญญา ๑๐ ประการนี้ ในสำนักพระผู้มี พระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาท่านพระคิริมานนท์ถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้ว ได้แสดง สัญญา ๑๐ ประการเหล่านี้แก่ท่านพระคิริมานนท์ ลำดับนั้นแล อาพาธของท่านพระคิริมานนท์ ได้ระงับไปแล้วโดยฐานะ เพราะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการนี้ พระคิริมานนท์ผู้มีอายุก็หายจากอาพาธนั้น ก็ อาพาธนั้นเป็นอันพระคิริมานนท์ผู้มีอายุได้ละเสียแล้ว ด้วยการที่ได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการ ที่พระอานนท์ได้แสดงแล้ว ด้วยประการฉะนี้แล ฯ


๑๗๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ธชัคคปริตตปาฐะ ธชัคคปริตร หรือ ธชัคคสูตร เป็นพระปริตรยอดธงว่าด้วยการระลึกถึงคุณ ของพระรัตนตรัย เพื่อให้เกิดกำลังใจ เกิดความกล้าหาญ หายสะดุ้งหวาดกลัวต่อภัย อันตราย พระสูตรนี้ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงกล่าวอุปมาพระพุทธคุณ พระ ธรรมคุณ และพระสังฆคุณว่าเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจอันเลิศ เปรียบดั่งชายธงของ พระอินทร์ในเรื่องเทวาสุรสงคราม ยามที่เทวดาทั้งหลายกระทำสงครามกับเหล่า อสูร เมื่อมองไปที่ชายธงของพระอินทร์ ทำให้เกิดความมั่นใจ ฉันใด การระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ทำให้เกิดความมั่นใจหายกลัว ฉันนั้น โดยพระสูตร นี้ มีปรากฏในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สาวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ, อาราเม. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ. ภูตะปุพพัง ภิกขะเว เทวาสุระสังคาโม สะมุปัพ๎ยุฬ๎โห อะโหสิ. อะถะโข ภิกขะเว สักโก เทวานะมินโท เทเว ตาวะติงเส อามันเตสิ, สะเจ มาริสา เทวานัง สังคามะคะตานัง อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา. มะเมวะ ตัส๎มิง สะมะเย ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. มะมัง หิ โว ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, โส ปิหิยยิสสะติ. โน เจ เม ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ, อะถะ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. ปะชาปะติสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๗๕ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, โส ปะหิยยิสสะติ. โน เจ ปะชาปะติสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ, อะถะ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. วะรุณัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, โส ปะหิยยิสสะติ. โน เจ วะรุณัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ, อะถะ อีสานัสสะ เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลเกยยาถะ. อีสานัสสะ หิ โว เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง, ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, โส ปะหิยยิสสะตีติ. ตัง โข ปะนะ ภิกขะเว สักกัสสะ วา เทวานะมินทัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง. ปะชาปะติสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง. วะรุณัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง. อีสานัสสะ วา เทวะราชัสสะ ธะชัคคัง อุลโลกะยะตัง. ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, โส ปะหิยเยถาปิ โนปิ ปะหิยเยถะ. ตัง กิสสะ เหตุ. สักโก หิ ภิกขะเว เทวานะมินโท อะวีตะราโค อะวีตะโทโส อะวีตะโมโห, ภิรุ ฉัมภี อุต๎ราสี ปะลายีติ. อะหัญจะ โข ภิกขะเว เอวัง วะทามิ: สะเจ ตุม๎หากัง ภิกขะเว อะรัญญะคะตานัง วา รุกขะมูละคะตานัง วา สุญญาคาระคะตานัง วา, อุปปัชเชยยะ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, มะเมวะ ตัส๎มิง สะมะเย อนุสสะเรยยาถะ: อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู, อะนุตตะโร


๑๗๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ปุริสะทัมมะสาระถิ สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวาติ. มะมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง. ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, โส ปะหิยยิสสะติ. โน เจ มัง อะนุสสะเรยยาถะ. อะถะ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ: ส๎วากขาโต ภะคะวะตา ธัมโม, สันทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสสิโก, โอปะนะยิโก ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหีติ. ธัมมัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง. ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, โส ปะหิยยิสสะติ. โน เจ ธัมมัง อะนุสสะเรยยาถะ. อะถะ สังฆัง อะนุสสะเรยยาถะ: สุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามีจิ- ปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อาหุเนยโย ปาหุเนยโย ทักขิเณยโย อัญชะลิกะระณีโย, อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสาติ. สังฆัง หิ โว ภิกขะเว อะนุสสะระตัง. ยัมภะวิสสะติ ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส วา, โส ปะหิยยิสสะติ. ตัง กิสสะ เหตุ. ตะถาคะโต หิ ภิกขะเว อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วีตะราโค วีตะโทโส วีตะโมโห, อะภิรุ อัจฉัมภี อะนุต๎ราสี อะปะลายีติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา, อิทัง วัต๎วานะ สุคะโต, อะถาปะรัง เอตะทะโวจะ สัตถา : อะรัญเญ รุกขะมูเล วา สุญญาคาเรวะ ภิกขะโว อะนุสสะเรถะ สัมพุทธัง ภะยัง ตุม๎หากะ โน สิยา.


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๗๗ โน เจ พุทธัง สะเรยยาถะ โลกะเชฏฐัง นะราสะภัง อะถะ ธัมมัง สะเรยยาถะ นิยยานิกัง สุเทสิตัง. โน เจ ธัมมัง สะเรยยาถะ นิยยานิกัง สุเทสิตัง อะถะ สังฆัง สะเรยยาถะ ปุญญักเขตตัง อะนุตตะรัง. เอวัมพุทธัง สะรันตานัง ธัมมัง สังฆัญจะ ภิกขะโว ภะยัง วา ฉัมภิตัตตัง วา โลมะหังโส นะ เหสสะตีติ. คำแปล ข้าพเจ้า (พระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ ฯ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ที่เชตวันวิหาร อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก พระภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย” ดังนี้แล้ว พระภิกษุเหล่านั้น จึงทูลรับ พระพุทธพจน์ของพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “พระพุทธเจ้าข้า” ดังนี้ พระผู้มีพระภาค เจ้าจึงได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว สงครามแห่งเทวดากับอสูร ได้เกิด ประชิดกันแล้ว ภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล ท้าวสักกเทวราช ผู้เป็นเจ้าแห่งพวก เทวดา เรียกหมู่เทวดาในชั้นดาวดึงส์มาสั่งว่า ดูก่อนท่านผู้นิรทุกข์ ถ้าความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี พึงบังเกิดขึ้นแก่หมู่เทวดาผู้ไปสู่สงคราม ในสมัยใด ในสมัยนั้น ท่านทั้งหลายพึงแลดูชายธงของเรานั่นเทียว เพราะว่า เมื่อ ท่านทั้งหลายดูชายธงของเราอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยอง เกล้าก็ดี อันใดจักมี อันนั้นจักหายไป ถ้าท่านทั้งหลายไม่แลดูชายธงของเรา ทีนั้น ท่านทั้งหลายพึงแลดูชายธงของ เทวราชชื่อปชาบดี เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเทวราช ชื่อปชาบดี อยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี อันนั้นจัก หายไป


๑๗๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ถ้าท่านทั้งหลายไม่แลดูชายธงของเทวราชชื่อปชาบดี ทีนั้น ท่านทั้งหลายพึง แลดูชายธงของเทวราชชื่อวรุณ เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเทวราช ชื่อวรุณอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี อัน นั้นจักหายไป ถ้าท่านทั้งหลายไม่แลดูชายธงของเทวราชชื่อวรุณ ทีนั้น ท่านทั้งหลายพึง แลดูชายธงของเทวราชชื่ออีสาน เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายแลดูชายธงของเทวราช ชื่ออีสานอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี อันนั้นจักหายไปดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อนั้นแล คือการแลดูชายธงของท้าวสักกเทวราชผู้ เป็นเจ้าแห่งเทวดาก็ตาม การดูแลชายธงของเทวราชชื่อปชาบดีก็ตาม การดูแล ชายธงของเทวราชชื่อวรุณก็ตาม การดูแลชายธงของเทวราชชื่ออีสานก็ตาม ความ กลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี อันนั้นพึงหายไปได้ บ้าง ไม่หายบ้าง ข้อนั้นเป็นเหตุแห่งอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุว่า ท้าวสักก เทวราชผู้เป็นเจ้าแห่งเทวดา เธอมีราคะยังไม่สิ้นไป มีโทสะยังไม่สิ้นไป มีโมหะยังไม่ สิ้นไป เธอยังเป็นผู้กลัว ยังเป็นผู้หวาด ยังเป็นผู้สะดุ้ง ยังเป็นผู้หนีดังนี้ ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ส่วนเราแล กล่าวอย่างนี้ว่า ถ้าว่าเมื่อท่านทั้งหลายไปอยู่ในป่าก็ตาม ไปอยู่ ที่โคนต้นไม้ก็ตาม ไปอยู่ในเรือนเปล่าก็ตาม ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี พึงเกิดขึ้นในสมัยใด ในสมัยนั้น ท่านทั้งหลายพึงระลึกถึงเรา นั่นเทียวว่า “แม้เพราะเหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้น เป็นผู้ไกลกิเลส เป็นผู้ควรไหว้ ควรบูชา เป็นผู้รู้ชอบเอง เป็นผู้บริบูรณ์แล้วด้วยวิชชาและจรณะ เป็นพระสุคตผู้ เสด็จไปดีแล้ว เป็นผู้ทรงรู้โลก เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า เป็นศาสดา ผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว เป็นผู้จำแนกธรรม” ดังนี้


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๗๙ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายตามระลึกถึงเราอยู่ ความ กลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี อันนั้นจักหายไป ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระลึกถึงเรา ทีนั้น พึงตามระลึกถึงพระธรรมว่า “พระ ธรรมอันพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว เป็นของอันบุคคลพึงเห็นเอง เป็นของไม่มี กาลเวลา เป็นของจะร้องเรียกผู้อื่นให้มาดูได้ เป็นของอันบุคคลพึงน้อมเข้ามาใส่ใจ เป็นของอันวิญญูชนทั้งหลายพึงรู้เฉพาะตัว” ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายตามระลึกถึงพระธรรมอยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขน พองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี อันนั้นจักหายไป ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระลึกถึงพระธรรม ทีนั้น พึงตามระลึกถึงพระสงฆ์ว่า “พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระ ผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ ปฏิบัติถูกแล้ว พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว คือ คู่ แห่งบุรุษทั้งหลาย ๔ บุรุษ บุคคลทั้งหลาย ๘ นี่พระสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เจ้า ท่านเป็นผู้ควรสักการะที่เขานำมาบูชา ท่านเป็นผู้ควรของต้อนรับ ท่านเป็นผู้ ควรทักษิณาทาน ท่านเป็นผู้ควรอัญชลีกรรม ท่านเป็นนาบุญของโลกไม่มีนาบุญอื่น ยิ่งกว่า” ดังนี้ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะว่า เมื่อท่านทั้งหลายระลึกถึงพระสงฆ์อยู่ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขนพองสยองเกล้าก็ดี อันใดจักมี อันนั้นจัก หายไป ข้อนั้นเป็นเหตุอะไร ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหตุว่าพระตถาคตเป็นอรหันต์ สัมมาสัมพุทธเจ้า มีราคะสิ้นไปแล้ว มีโทสะสิ้นไปแล้ว มีโมหะสิ้นไปแล้ว เป็นผู้ไม่ กลัว เป็นผู้ไม่หวาด เป็นผู้ไม่สะดุ้ง เป็นผู้ไม่หนี ดังนี้แล พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ พระองค์ผู้เป็นพระสุคต ครั้น ตรัสพระพุทธพจน์นี้แล้ว ลำดับนั้น พระองค์ผู้เป็นพระศาสดา จึงตรัสพระพุทธพจน์ นี้อีกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายอยู่ในป่า หรือในรุกขมูล หรือในเรือน เปล่า พึงระลึกถึงพระสัมพุทธ ภัยจะไม่พึงมีแก่ท่านทั้งหลาย ถ้าท่านทั้งหลายไม่


๑๘๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ระลึกถึงพระพุทธ ซึ่งเป็นใหญ่กว่าโลก ประเสริฐกว่านรชน ทีนั้น พึงระลึกถึงพระ ธรรม อันเป็นเครื่องนำออกที่เราแสดงไว้ดีแล้ว ถ้าท่านทั้งหลายไม่ระลึกถึงพระ ธรรม อันเป็นเครื่องนำออกที่เราแสดงไว้ดีแล้ว ทีนั้น พึงระลึกถึงพระสงฆ์ ซึ่งเป็นนา บุญของโลก ไม่มีนาบุญอื่นยิ่งกว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อท่านทั้งหลายมาระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อยู่อย่างนี้ ความกลัวก็ดี ความหวาดสะดุ้งก็ดี ขน พองสยองเกล้าก็ดี จักไม่มีแล ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๘๑ จันทปริตตปาฐะ พระปริตรบทนี้ มีปรากฏในจันทิมสูตร แห่งพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เป็นการประกาศขอให้พระพุทธองค์ทรงเป็นที่พึ่ง เพื่อให้รอดพ้นจาก ภยันตรายทั้งปวงและผู้ปองร้ายจะพ่ายแพ้ไป ดุจจันทิมเทวบุตรผู้ประกาศว่า พระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นที่พึ่ง จึงได้พ้นภัยจากอสุรินทราหู บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สาวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม. เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ จันทิมา เทวะปุตโต ราหุนา อะสุรินเทนะ คะหิโต โหติ. อะถะโข จันทิมา เทวะปุตโต ภะคะวันตัง อะนุสสะระมาโน, ตายัง เวลายัง อิมัง คาถัง อะภาสิ นะโม เต พุทธะวีรัตถุ วิปปะมุตโตสิ สัพพะธิ, สัมพาธะปะฏิปันโนส๎มิ ตัสสะ เม สะระณัง ภะวาติ. อะถะโข ภะคะวา จันทิมัง เทวะปุตตัง อารัพภะ ราหุง อะสุรินทัง คาถายะ อัชฌะภาสิ ตะถาคะตัง อะระหันตัง จันทิมา สะระณัง คะโต, ราหุ จันทัง ปะมุญจัสสุ พุทธา โลกานุกัมปะกาติ. อะถะโข ราหุ อะสุรินโท จันทิมัง เทวะปุตตัง มุญจิต๎วา, ตะระมานะรูโป เยนะ เวปะจิตติอะสุรินโท เตนุปะสังกะมิ, อุปสังกะมิต๎วา สังวิคโค โลมะหัฏฐะชาโต เอกะมันตัง อัฏฐาสิ. เอกะมันตัง ฐิตัง ราหุง อะสุรินทัง เวปะจิตติ อะสุรินโท คาถา อัชฌะภาสิ กินนุ สันตะระมาโน วะ ราหุ จันทัง ปะมุญจะสิ, สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ.


๑๘๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ, พุทธะคาถาภิคีโตม๎หิ โน จะ มุญเจยยะ จันทิมันติ. คำแปล ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ที่พระเชตะวันวิหาร อาราม ของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล จันทิมเทวบุตรถูกอสุรินทราหูจับตัวไว้ครั้งนั้นแล จันทิมเทวบุตรระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในกิเลสธรรมทั้งปวง ข้าพระองค์เผชิญฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแห่งข้าพระองค์ด้วยเถิด” ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงปรารภจันทิมเทวบุตร ได้ตรัสกะ อสุรินทราหูด้วยพระคาถาว่า “จันทิมเทวบุตร ถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ว่าเป็นที่พึ่ง ดูก่อนราหู ท่านจง ปล่อยจันทิมเทวบุตรเสียเถิด พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์โลก” ลำดับนั้นแล อสุรินทราหูปล่อยจันทิมาเทวบุตรแล้ว ก็กระหืดกระหอบ เข้า ไปหาอสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้ว ก็เศร้าสลดใจ เกิดขนพองสยอง เกล้า ได้ยืนอยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง อสุรินทเวปจิตติได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืนอยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนข้าง หนึ่งด้วยคาถาว่า “ดูก่อนราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบ ปล่อยพระจันทร์เสียเล่า ทำไมหนอ ท่านจึงเศร้าสลดมายืนกลัวอยู่ทำไมเล่า”


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๘๓ อสุรินทราหูกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า หาก ข้าพเจ้าไม่พึงปล่อยจันทิมเทวบุตร ศีรษะของข้าพเจ้า พึงแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง มีชีวิต อยู่ก็จะไม่ได้รับความสุขเลย” ฯ สุริยปริตตปาฐะ พระปริตรบทนี้ มีปรากฏในสุริยสูตร แห่งพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค เป็นการประกาศขอให้พระพุทธองค์ทรงเป็นที่พึ่ง เพื่อให้รอดพ้นจาก ภยันตรายทั้งปวงและผู้ปองร้ายจะพ่ายแพ้ไป ดุจสุริยเทวบุตรผู้ประกาศว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นที่พึ่ง จึงได้พ้นภัยจากอสุรินทราหู บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สาวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม. เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ สุริโย เทวะปุตโต ราหุนา อะสุรินเทนะ คะหิโต โหติ. อะถะโข สุริโย เทวะปุตโต ภะคะวันตัง อะนุสสะระมาโน, ตายัง เวลายัง อิมัง คาถัง อะภาสิ นะโม เต พุทธะวีรัตถุ วิปปะมุตโตสิ สัพพะธิ สัมพาธะปะฏิปันโนส๎มิ ตัสสะ เม สะระณัง ภะวาติ. อะถะโข ภะคะวา สุริยัง เทวะปุตตัง อารัพภะ ราหุง อะสุรินทัง คาถายะ อัชฌะภาสิ ตะถาคะตัง อะระหันตัง สุริโย สะระณัง คะโต ราหุ สุริยัง ปะมุญจัสสุ พุทธา โลกานุกัมปะกา. โย อันธะกาเร ตะมะสี ปะภังกะโร


๑๘๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา เวโรจะโน มัณฑะลิ อุคคะเตโช มา ราหุ คิลี จะระมันตะลิกเข ปะชัง มะมะ ราหุ ปะมุญจะ สุริยันติ. อะถะโข ราหุ อะสุรินโท สุริยัง เทวะปุตตัง มุญจิต๎วา, ตะระมานะรูโป เยนะ เวปะจิตติอะสุรินโท เตนุปะสังกะมิ, อุปสังกมิต๎วา สังวิคโค โลมะหัฏฐะชาโต เอกะมันตัง อัฏฐาสิ. เอกะมันตัง ฐิตัง โข ราหุง อะสุรินทัง เวปะจิตติ อะสุรินโท คาถายะ อัชฌะภาสิ กินนุ สันตะระมาโน วะ ราหุ สุริยัง ปะมุญจะสิ สังวิคคะรูโป อาคัมมะ กินนุ ภีโต วะ ติฏฐะสีติ. สัตตะธา เม ผะเล มุทธา ชีวันโต นะ สุขัง ละเภ พุทธะคาถาภิคีโตม๎หิ โน เจ มุญเจยยะ สุริยันติ. คำแปล ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ที่ พระเชตวันวิหารอาราม ของอนาถปิณฑิกเศรษฐี ใกล้เมืองสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล สุริยเทวบุตรถูกอสุรินทราหูจับตัวไว้ ครั้งนั้นแล สุริยเทพบุตรระลึกถึงพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้กล่าวคาถานี้ในเวลานั้นว่า “ข้าแต่พระพุทธเจ้าผู้แกล้วกล้า ขอความนอบน้อมจงมีแด่พระองค์ พระองค์เป็นผู้หลุดพ้นแล้วในกิเลสธรรมทั้งปวง ข้าพระองค์เผชิญฐานะอันคับขัน ขอพระองค์จงเป็นที่พึ่งแห่งข้าพระองค์ด้วยเถิด” ในลำดับนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงปรารภสุริยเทวบุตร ได้ตรัสกับ อสุรินทราหูด้วยพระคาถาว่า


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๘๕ “สุริยเทวบุตรถึงตถาคตผู้เป็นพระอรหันต์ว่าเป็นที่พึ่ง ดูก่อนราหู ท่านจง ปล่อยสุริยเทวบุตรเสียเถิด พระพุทธเจ้าทั้งหลายเป็นผู้อนุเคราะห์สัตว์โลก สุริยะใด เป็นผู้ส่องแสง กระทำความสว่างในที่มืดมิด มีความไพโรจน์โชติช่วง มีสัณฐานเป็น วงกลม มีเดชสูง ดูก่อนราหู ท่านอย่ากลืนกินสุริยะนั้น ผู้โคจรไปในอากาศ ดูก่อน ราหู ท่านจงปล่อยสุริยะผู้เป็นบุตรของเราเสียเถิด” ลำดับนั้นแล อสุรินทราหูปล่อยสุริยเทวบุตรแล้ว กระหืดกระหอบ เข้าไปหา อสุรินทเวปจิตติถึงที่อยู่ ครั้นเข้าไปหาแล้ว ก็เศร้าสลดใจ เกิดขนพองสยองเกล้า ได้ ยืนอยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง อสุรินทเวปจิตติได้กล่าวกะอสุรินทราหู ผู้ยืน อยู่ ณ ที่อันสมควรส่วนข้างหนึ่ง ด้วยคาถาว่า “ดูก่อนราหู ทำไมหนอ ท่านจึงกระหืดกระหอบ ปล่อยพระอาทิตย์เสียเปล่า ทำไมหนอ ท่านจึงเศร้าสลด มายืนกลัวอยู่ทำไมเล่า” อสุรินทราหูกล่าวว่า “ข้าพเจ้าถูกขับด้วยคาถาของพระพุทธเจ้า หาก ข้าพเจ้าไม่พึงปล่อยพระสุริยะ ศีรษะของข้าพเจ้าพึงแตกเป็นเจ็ดเสี่ยง มีชีวิตอยู่ก็จะ ไม่ได้รับความสุขเลย” ฯ


๑๘๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา โมกขุปายคาถา โมกขุปายคาถา เป็นคาถาบาลีพระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระจอม เกล้าเจ้าอยู่หัว มีเนื้อหาแสดงอุบายปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์ คือ จตุรารักษ์ กรรมฐาน เป็นการทรงแนะนำถึงพระกรรมฐานที่ควรเจริญเป็นปรกติ ๔ ประการ ได้แก่ พุทธานุสสติ (การระลึกถึงพระพุทธเจ้า หรือพระพุทธคุณ) เมตตา (การเจริญ เมตตา หรือพรหมวิหารธรรม) กายคตาสติ (การระลึกถึงกายเป็นของปฏิกูลน่า เกลียด) และมรณัสสติ (การระลึกถึงความตายอันเป็นธรรมที่สรรพสัตว์จะต้อง ประสบ) การสวดสาธยายพระคาถาบทนี้ เป็นการเจริญธรรมานุสสติและวิปัสสนา กรรมฐาน บทสวด สัพพะวัตถุตตะมัง นัต๎วา พุทธะธัมมะคะณัตตะยัง เชคุจฉะกายะมัจจานัง โมกขุปายัง วะทามิหัง. ปาฏิโมกขัง ปูเรตัพพัง อะโถ อินท๎ริยะสังวะโร อาชีวัสสะ อะโถ สุทธิ อะโถ ปัจจะยะนิสสิตัง. จาตุปาริสุทธิสีลัง กาตัพพัง วะ สุนิมมะลัง การะณากะระเณเหวะ ภิกขุนา โมกขะเมสินา. พุทธานุสสะติ เมตตา จะ อะสุภัง มะระณัสสะติ อิจจิมา จะตุรารักขา กาตัพพา จะ วิปัสสะนา. วิสุทธะธัมมะสันตาโน อะนุตตะรายะ โพธิยา โยคะโต จะ ปะโพธา จะ พุทโธ พุทโธติ ญายะเต. นะรานะระติรัจฉานะ เภทา สัตตา สุเขสิโน สัพเพปิ สุขิโน โหนตุ สุขิตัตตา จะ เขมิโน.


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๘๗ เกสะโลมาทิฉะวานัง อะยะเมวะ สะมุสสะโย กาโย สัพโพปิ เชคุจโฉ วัณณาทิโต ปะฏิกกุโล. ชีวิตินท๎ริยุปัจเฉทะ สังขาตะมะระณัง สิยา สัพเพสังปีธะ ปาณีนัง ตัญหิธุวัง นะ ชีวิตัง. อะวิชชาทีหิสัมภูตา รูปัญจะ เวทะนา ตะถา อะโถ สัญญา จะ สังขารา วิญญาณัญจาติ ปัญจิเม. อุปปัชชันติ นิรุชฌันติ เอวัง หุต๎วา อะภาวะโต เอเต ธัมมา อะนิจจาถะ ตาวะกาลิกะตาทิโต ปุนัปปุนัง ปีฬิตัตตา อุปปาเทนะ วะเยนะ จะ เต ทุกขา วะ อะนิจจา เย อะถะ สันตัตตะตาทิโต. วะเส อะวัตตะนาเยวะ อัตตะวิปักขะภาวะโต สุญญัตตัสสามิกัตตา จะ เต อะนัตตาติญายะเร. เอวัง สันเต จะ เต ธัมมา นิพพินทิตัพพะภาวะโต ทัฑฒะเคหะสะมาเยวะ อะลัง โมกขัง คะเวสิตุง. ปัญจักขันธะมิมัง ทุกขัง ตัณî หา สะมุทะโย ภะเว ตัสสา นิโรโธ นิพพานัง มัคโค อัฏฐังคิการิโย เอตตะกานังปิ ปาฐานัง อัตถัง ญัต๎วา ยะถาระหัง ปะฏิปัชเชถะ เมธาวี ปัตตุง สังขาระนิพพุตินติ. คำแปล ข้าพเจ้าขอนมัสการ ๓ รัตนะ คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อันเป็น วัตถุอุดมกว่าวัตถุทั้งปวงแล้ว จะบอกอุบายเป็นเครื่องพ้นแก่เหล่าชนผู้มีร่างกายอัน น่าเบื่อหน่าย ปาฏิโมกขสังวรศีลควรให้สมบูรณ์ อินทรียสังวรศีลด้วย อาชีวปาริสุทธิ ศีลด้วย ปัจจัยสันนิสสิตศีลด้วย ปาริสุทธิศีลทั้ง ๔ นี้ อันภิกษุผู้แสวงหาโมกขธรรม


๑๘๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ควรกระทำให้บริสุทธิ์ โดยการกระทำและไม่กระทำ (คือ ทำตามพระพุทธานุญาต ไม่ทำตามที่ทรงห้าม) จตุรารักษ์เหล่านี้ คือ พุทธานุสสติ เมตตา อสุภะ มรณัสสติ และวิปัสสนา ควรกระทำ พระพุทธเจ้า พระองค์มีพระสันดานบริบูรณ์ด้วยพระธรรมอันบริสุทธิ์ อันสัตว์โลกมารู้สึกว่า พุทธะ ๆ ดังนี้ เพราะพระปัญญาตรัสรู้อย่างยิ่ง เพราะ ประกอบสัตว์ไว้ในธรรม และเพราะทรงปลุกสัตว์ที่หลับอยู่ให้ตื่น (ดังนี้ชื่อว่า พุทธา นุสสติ) สัตว์ทั้งหลายต่างด้วยมนุษย์ อมนุษย์ และดิรัจฉาน เป็นผู้แสวงหาความสุข ขอเหล่าสัตว์แม้ทั้งปวง จงเป็นผู้ถึงความสุข และเป็นผู้เกษมสำราญ เพราะถึง ความสุข (ดังนี้ชื่อว่าเมตตาภาวนา) กายนี้แล เป็นที่ประชุมแห่งซากศพมีผมขนเป็นต้น แม้ทั้งหมดเป็นของน่า เบื่อหน่าย ปฏิกูลโดยส่วนมีสีเป็นต้น (ดังนี้ชื่อว่าอสุภกัมมัฏฐาน) ความตาย กล่าวคือความแตกขาดแห่งชีวิตินทรีย์พึงมีแก่สัตว์ทั้งหลายหมดด้วยกันในโลกนี้ เพราะว่าความตายเป็นของเที่ยง ชีวิตความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง (ดังนี้ชื่อว่า มรณัสสติ) เบญจขันธ์เหล่านี้ คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ มีมาแต่ปัจจัย ต่าง ๆ มีอวิชชาเป็นต้น ย่อมเกิดขึ้นและดับไป ธรรมเหล่านั้นชื่อว่าไม่เที่ยง เพราะ เป็นอย่างนั้นแล้ว หาเป็นอย่างนั้นอีกไม่ เพราะเป็นเหมือนของยืมเขามาเป็นต้น ธรรมเหล่าใดไม่เที่ยง ธรรมเหล่านั้นแล ชื่อว่าเป็นทุกข์ เพราะเป็นสภาพถูกความ เกิดขึ้น และความเสื่อมไปเบียดเบียนอยู่ร่ำไป และเพราะความเป็นของเร่าร้อนเป็น ต้น ธรรมที่ไม่เที่ยงเป็นทุกข์เหล่านั้น อันผู้ปฏิบัติย่อมทราบว่าเป็นอนัตตา เพราะไม่เป็นไปในอำนาจเสียเลยทีเดียวด้วย เพราะเป็นข้าศึกแก่ตนด้วย เพราะ ความเป็นของว่างเปล่าด้วย เพราะความเป็นของไม่มีเจ้าของด้วย ก็เมื่อเป็นเช่นนี้ ธรรมเหล่านี้เสมอด้วยเรือนถูกไฟไหม้แท้ เพราะความเป็นของน่าเบื่อหน่าย ควร


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๘๙ แล้วเพื่อจะแสวงหาอุบายเป็นเครื่องพ้น ขันธ์ ๕ นี้เป็นทุกข์ ตัณหาเป็นสมุทัย ความ ดับตัณหานั้นเสีย เป็นอันดับทุกข์ หนทางอันประเสริฐประกอบด้วยองค์ ๘ ประการ ปราชญ์ผู้มีปัญญา มาทราบเนื้อความแห่งปาฐะ แม้มีประมาณเท่านี้แล้วพึงปฏิบัติ ตามสมควร เพื่อบรรลุพระนิพพานอันเป็นที่ดับสังขาร ด้วยประการนี้แล ฯ รตนัตตยัปปภาวาภิยาจนคาถา เป็นพระคาถาที่กล่าวขออานุภาพพระรัตนตรัยอันบริสุทธิ์ประเสริฐ ได้ กำจัดอุปสรรคอันตราย บันดาลความสมบูรณ์ความสุขสวัสดีให้เกิดมีแก่สยาม ประเทศ และขอเทวานุภาพให้คุ้มครองรักษาอีกด้วย บทสวด อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ อุตตะมัง ธัมมะมัชฌะคา, มะหาสังฆัง ปะโพเธสิ อิจเจตัง ระตะนัตตะยัง. พุทโธ ธัมโม สังโฆ จาติ นานาโหนตัมปิ วัตถุโต, อัญญะมัญญาวิโยคา วะ เอกีภูตัมปะนัตถะโต. พุทโธ ธัมมัสสะ โพเธตา ธัมโม สังเฆนะ ธาริโต, สังโฆ จะ สาวะโก พุทธัสสะ อิจเจกาพัทธะเมวิทัง. วิสุทธัง อุตตะมัง เสฏฐัง โลกัส๎มิง ระตะนัตตะยัง, สังวัตตะติปะสันนานัง อัตตะโน สุทธิกามินัง, สัมมา ปะฏิปัชชันตานัง ปะระมายะ วิสุทธิยา. วิสุทธิ สัพพะเก๎ลเสหิ โหติทุกเขหินิพพุติ, นิพพานัง ปะระมัง สุญญัง นิพพานัง ปะระมัง สุขัง, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ สุวัตถิโหตุสัพพะทา.


๑๙๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ระตะนัตตะยานุภาเวนะ ระตะนัตตะยะเตชะสา, อุปัททะวันตะรายา จะ อุปะสัคคา จะ สัพพะโส, มา กะทาจิ สัมผุสิงสุ รัฏฐัง ส๎ยามานะเมวิทัง, อาโรคิยะสุขัญเจวะ ตะโต ทีฆายุตาปิจะ. ตัพพัตถูนัญจะ สัมปัต๎โย สุขัง สัพพัตถะ โสตถิ จะ, ภะวันตุ สัมปะวัตตันตุ ส๎ยามานัง รัฏฐะปาลินัง. เต จะ รัฏฐัญจะ รักขันตุ ส๎ยามะรัฏฐิกะเทวะตา, ส๎ยามานัง รัฏฐะปาลีหิ ธัมมามิเสหิ ปูชิตา. สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ สิทธะมัตถุ อิทัง ผะลัง, เอตัส๎มิง ระตะนัตตะยัส๎มิง สัมปะสาทะนะเจตะโส. คำแปล พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นพระอรหันต์ได้บรรลุธรรมอันอุดม ทรงยังสงฆ์หมู่ ใหญ่ให้ตรัสรู้แล้ว หมวดสามแห่งรัตนะนี้อย่างนี้แม้เป็นต่างกันโดยวัตถุว่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ ดังนี้ แต่เป็นอย่างเดียวกันโดยเนื้อความ เพราะไม่พรากจากกันและกัน ได้ พระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระธรรม พระธรรมอันพระสงฆ์ทรงจำไว้พระสงฆ์ก็ เป็นสาวกของพระพุทธเจ้า พระรัตนตรัยเนื่องเป็นอันเดียวกันอย่างนี้นั่นเทียว พระรัตนตรัยนี้ เป็นของหมดจดอุดมประเสริฐในโลก ย่อมเป็นไปพร้อมเพื่อ ความหมดจดอย่างยิ่ง แก่สัตว์ทั้งหลายผู้เลื่อมใสแล้ว ผู้ใคร่ซึ่งความหมดจดแก่ตน ผู้ ปฏิบัติอยู่โดยชอบ ความหมดจดจากสรรพกิเลสทั้งหลาย ย่อมเป็นความดับจาก ทุกข์ทั้งหลาย ความดับเป็นธรรมสูญอย่างยิ่ง ความดับเป็นสุขอย่างยิ่ง ด้วยการ กล่าวคำสัตย์นี้ ขอความสวัสดีจงมีในกาลทั้งปวง ด้วยอานุภาพแห่งพระรัตนตรัย ด้วยเดชแห่งพระรัตนตรัย อุปัทวะและ อันตรายทั้งหลายด้วย ความขัดข้องทั้งหลายด้วย อย่าได้พ้องพานสยามรัฐนี้ในกาล


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๙๑ ไหนๆ เลย สุขเกิดแต่ความเป็นคนไม่มีโรคด้วยนั่นเทียว แต่นั้น แม้ความเป็นผู้มีอายุ ยืนด้วย ความสมบูรณ์แห่งวัตถุทั้งหลายเหล่านั้นด้วย ความสุขสวัสดีในเหตุทั้งหลาย ทั้งปวงด้วย จงมี จงเป็นไปพร้อมแก่พวกรัฐบาลสยามทั้งหลาย ขอเหล่าเทพาผู้ดำรง อยู่ในสยามรัฐ อันพวกรัฐบาลสยามบูชาแล้วด้วยธรรมพลีและอามิสพลี ทั้งหลาย จงรักษาซึ่งพวกรัฐบาลสยามนั้นด้วย ซึ่งแว่นแคว้นด้วย ขอผลแห่งจิต อัน เลื่อมใสในพระรัตนตรัยนี่นี้ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ จงเป็นผลสำเร็จ เทอญ ฯ สุขาภิยาจนคาถา เป็นคาถาที่กล่าวอ้างอานุภาพพระปริตรที่ได้สวดสาธยายแล้วนั้น เพื่อให้ เกิดความสุขสิริสวัสดิ์ในราชตระกูล ขอให้เทวดาทั้งมวลคุ้มครองรักษา ให้ฝนตก ต้องตามฤดูกาล เกิดความผาสุกร่มเย็นแก่อาณาประชาราษฎร์ทั้งมวล คาถาบทนี้ สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ฉิม) วัดโมลีโลกยาราม แต่งถวาย พระพรพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และทรงพระกรุณาโปรดให้ พระสงฆ์สวดท้ายพิธีเจริญพระพุทธมนต์ในพระราชวังสืบมาจนถึงปัจจุบัน บทสวด ยัง ยัง เทวะมะนุสสานัง มังคะลัตถายะ ภาสิตัง, ตัสสะ ตัสสานุภาเวนะ โหตุ ราชะกุเล สุขัง. เย เย อารักขะกา เทวา ตัตถะ ตัตถาธิวาสิโน, อิมินา ธัมมะทาเนนะ สัพเพ อัม๎เหหิปูชิตา. สะทา ภัท๎รานิปัสสันตุ สุขิตา โหนตุ นิพภะยา, อัปปะมัตตา จะ อัม๎เหสุ สัพเพ รักขันตุโน สะทา. ยัญจะ โน ภาสะมาเนหิ กุสะลัง ปะสุตัง พะหุง,


๑๙๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ตันโน เทวานุโมทันตุ จิรัง ติฏฐันตุสาตะตัง. เย วา ชะลาพุชัณฑะชา สังเสทะโชปะปาติกา, อะเวรา โหนตุ สัพเพ เต อะนีฆา นิรุปัททะวา. ปัสสันตุอะนะวัชชานิ มา จะ สาวัชชะมาคะมา, จิรัง ติฏฐะตุโลกัส๎มิง สัมมาสัมพุทธะสาสะนัง. ทัสเสนตัง โสตะวันตูนัง มัคคัง สัตตะวิสุทธิยา, ยาวะ พุทโธตินามัมปิ โลกะเชฏฐัสสะ สัตถุโน. สัมมาเทสิตะธัมมัสสะ ปะวัตตะติมะเหสิโน, ปะสันนา โหนตุสัพเพปิ ปาณิโน พุทธะสาสะเน. สัมมา ธารัง ปะเวจฉันโต กาเล เทโว ปะวัสสะตุ, วุฑฒิภาวายะ สัตตานัง สะมิทธัง เนตุ เมทะนิง. มาตา ปิตา จะ อัต๎ระชัง นิจจัง รักขันติ ปุตตะกัง, เอวัง ธัมเมนะ ราชาโน ปะชัง รักขันตุสัพพะทา. คำแปล พระปริตรใด ๆ อันเราสวดแล้ว เพื่อประโยชน์แก่มงคล แห่งเทวดาและมนุษย์ ทั้งหลาย ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตรนั้น ๆ ขอความสุขจงมีในราชสกุล เทพเจ้า ทั้งหลายใด ๆ ผู้รักษาเอื้อเฟื้อ ผู้สิงสถิตอยู่ในสถานนั้นๆ ทั้งหมด อันเราบูชาแล้ว ด้วยธรรมทานนี้เทพเจ้าทั้งหลายนั้น ๆ จงเห็นสิ่งอันเจริญทั้งหลายทุกเมื่อ จงเป็นผู้ ถึงซึ่งความสุข ปราศจากภัยทุกเมื่อ อนึ่ง เหล่าเทพเจ้าทั้งสิ้น จงอย่าประมาทแล้ว ในเรา รักษาเราทุกข์เมื่อ อนึ่ง กุศลอันใดมากอันเราภาษิตอยู่ ขวนขวายแล้ว เทพ เจ้าทั้งหลายจงอนุโมทนากุศลอันนั้นของเรา จงดำรงอยู่ติดต่อกันสิ้นกาลนาน อนึ่ง สัตว์ทั้งหลายใด ที่เป็นชลาพุชะกำเนิดในครรภ์มารดา และที่เป็นอุปปา ติกะกำเนิดลอยขึ้น ขอสรรพสัตว์ทั้งหลายนั้น จงเป็นผู้ไม่มีเวร ไม่มีทุกข์ไม่มี


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๙๓ อุปัทวะ เห็นกรรมทั้งหลาย อันหาโทษมิได้อนึ่ง กรรมอันมีโทษ อย่ามาพ้องพาน สัตว์เหล่านี้ ขอคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อันแสดงมรรคาแก่สัตว์ผู้มีโสต วิญญาณธาตุ เพื่อความหมดจดแก่สัตว์จงดำรงอยู่ในโลกสิ้นกาลนาน แม้พระนาม ว่า พุทโธ ดังนี้ของพระศาสดาผู้ประเสริฐในโลก ผู้มีธรรมอันแสดงแล้วโดยชอบ ผู้ แสวงหาซึ่งคุณอันใหญ่ยังเป็นไปอยู่เพียงใด แม้สรรพสัตว์ทั้งหลายจงเป็นผู้เลื่อมใส แล้วในพระพุทธศาสนา ฝนจงเพิ่มให้อุทกธารตกต้องในกาลโดยชอบ จงนำไปซึ่ง เมทนีดลให้สำเร็จประโยชน์ เพื่ออันบังเกิดความเจริญแก่สัตว์ทั้งหลาย มารดาและ บิดา ย่อมถนอมบุตรน้อย อันบังเกิดในตนเป็นนิตย์ฉันใด พระราชาทั้งหลายจงทรง รักษาประชาราษฎร์โดยชอบ ในกาลทั้งปวงฉันนั้น ฯ


๑๙๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา บทสวดพระพุทธมนต์ ปัพพโตปมคาถา ปัพพโตปมคาถา เป็นคาถาที่มีเนื้อหาแสดงชราและมรณธรรมเปรียบ ประดุจภูเขาหินกลิ้งบดทับสัตว์ทั้งหลาย มีปรากฏในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย สคาถวรรค ปัพพโตปมสูตร เป็นการเจริญอัปปมาทธรรมและวิปัสสนากรรมฐาน บทสวด ยะถาปิ เสลา วิปุลา นะภัง อาหัจจะ ปัพพะตา สะมันตา อะนุปะริเยยยุง นิปโปเถนตา จะตุททิสา เอวัง ชะรา จะ มัจจุ จะ อะธิวัตตันติ ปาณิโน ขัตติเย พ๎ราห๎มะเณ เวสเส สุทเท จัณฑาละปุกกุเส นะ กิญจิ ปะริวัชเชติ สัพพะเมวาภิมัททะติ นะ ตัตถะ หัตถีนัง ภูมิ นะ ระถานัง นะ ปัตติยา นะ จาปิ มันตะยุทเธนะ สักกา เชตุง ธะเนนะ วา ตัส๎มา หิ ปัณฑิโต โปโส สัมปัสสัง อัตถะมัตตะโน พุทเธ ธัมเม จะ สังเฆ จะ ธีโร สัทธัง นิเวสะเย โย ธัมมะจารี กาเยนะ วาจายะ อุทะ เจตะสา อิเธวะ นัง ปะสังสันติ เปจจะ สัคเค ปะโมทะติ. คำแปล ภูเขาทั้งหลาย เป็นหินล้วน ๆ สูงจรดฟ้า กลิ้งบดทับสัตว์มาโดยรอบทั้ง ๔ ทิศ แม้ฉันใด ความแก่และความตาย ย่อมครอบงำสัตว์ทั้งหลาย ฉันนั้น ไม่ว่าจะ เป็นกษัตริย์ก็ตาม พราหมณ์ก็ตาม เป็นพลเมืองก็ตาม เป็นไพร่ก็ตาม เป็นคนยากจน


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๙๕ เทหยากเยื่อก็ตาม ย่อมถูกความแก่และความตายครอบงำโดยไม่เว้นเลย ช้างศึก ทั้งหลายไม่มีภูมิต้านทานในความแก่และความตายนั้น รถศึกทั้งหลาย และพลเดิน เท้าทั้งหลาย ก็ไม่มีภูมิต้านทานในความแก่และความตายนั้น อนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการสู้รบ ไม่ว่าจะเป็นเวทมนต์ หรือทรัพย์ก็ตาม ไม่อาจทำ ให้ใคร ๆ เอาชนะความแก่และความตายนั้นได้เลย เพราะเหตุนั้นแล บุรุษผู้เป็นบัณฑิต เมื่อเห็นประโยชน์ตน ผู้ที่มีปัญญา ควร จะปลูกฝังความเชื่อให้มีในพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์ บัณฑิตย่อม สรรเสริญผู้ประพฤติธรรมด้วยกาย วาจา และใจ ในโลกนี้นั่นเทียว และผู้ประพฤติ ธรรมนั้น เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ย่อมมีความบันเทิงในสวรรค์แล ฯ อริยธนคาถา อริยธนคาถา เป็นคาถาที่มีเนื้อหาแสดงถึงสิ่งอันเป็นอริยทรัพย์หรือทรัพย์ อันประเสริฐแท้จริง ได้แก่ ความศรัทธาในพระรัตนตรัย ความประพฤติชอบ และ ความเห็นอันตรง มีในบุคคลใด บุคคลนั้นจัดเป็นผู้ไม่ขัดสนด้วยอริยทรัพย์มีปรากฏ ในพระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค บทสวด ยัสสะ สัทธา ตะถาคะเต อะจะลา สุปะติฏฐิตา สีลัญจะ ยัสสะ กัล๎ยาณัง อะริยะกันตัง ปะสังสิตัง สังเฆ ปะสาโท ยัสสัตถิ อุชุภูตัญจะ ทัสสะนัง อะทะลิทโทติ ตัง อาหุ อะโมฆันตัสสะ ชีวิตัง ตัส๎มา สัทธัญจะ สีลัญจะ ปะสาทัง ธัมมะทัสสะนัง อะนุยุญเชถะ เมธาวี สะรัง พุทธานะ สาสะนันติ.


๑๙๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา คำแปล ความเชื่อของบุคคลผู้ใด ตั้งมั่นคงไม่หวั่นไหวในพระตถาคตเจ้า อนึ่ง ศีลของบุคคลผู้ใดดีงาม เป็นที่ยินดีแห่งพระอริยเจ้า ซึ่งพระอริยเจ้า สรรเสริญแล้ว ความเลื่อมใสในพระอริยสงฆ์ มีอยู่แล้วในบุคคลใด และเมื่อ ความเห็นของบุคคลใด เป็นความเห็นคงที่เห็นตรง บัณฑิตทั้งหลายมีพระพุทธเจ้า เป็นต้น กล่าวว่าผู้นั้นเป็นผู้ไม่ยากจน ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้นั้นไม่เปล่าประโยชน์ เพราะฉะนั้น ผู้มีปัญญา เมื่อมาระลึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย แล้ว ก็ควรประกอบตนให้มีความเชื่อ ประกอบในศีล และให้มีความเลื่อมใส และ ประกอบใจให้มีความเห็นในธรรมไว้เนือง ๆ ดังนี้แล ฯ ธัมมนิยามสูตร ธัมมนิยามสูตร เป็นพระสูตรแสดงความแน่นอนแห่งสภาวธรรมทั่วไป คือ ความเป็นอนิจจาแห่งสังขารทั้งหลาย มีปรากฏในพระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต (นัยแห่งอุปปาทสูตร) พระสูตรนี้มีเนื้อหาพรรณนาความแห่งวิปัสสนากรรมฐาน นิยมสวดในงาน ทำบุญอุทิศ เป็นการเจริญอัปปมาทธรรมเช่นกัน บทขัด ยัง เว นิพพานะญาณัสสะ ญาณัง ปุพเพ ปะวัตตะเต ตัสเสวะ วิสะยีภูตา ยายัง ธัมมะนิยามะตา อะนิจจะตา ทุกขะตา จะ สัพเพสัง จะ อะนัตตะตา ตัสสา ปะกาสะกัง สุตตัง ยัง สัมพุทเธนะ ภาสิตัง สาธูนัง ญาณะจาเรนะ ยะถา พุทเธนะ เทสิตัง


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๙๗ โยนิโส ปะฏิปัต๎ยัตถัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะ เส. คำแปล พระสูตรใดที่แสดงกฎธรรมชาติอันกำหนดสภาพแน่นอนสำหรับสรรพสัตว์ ว่า สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เป็นวิสัยแห่งผู้ได้ญาณ หยั่งรู้พระนิพพานที่มีมาแล้วในกาลก่อน เราทั้งหลายจงพร้อมกันสวดพระสูตรนั้น ซึ่งประกาศสิ่งที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ทรงไว้ซึ่งญาณอันพิเศษ ทรงแสดงแก่เหล่า สาธุชนแล้ว เพื่อประโยชน์ในการนำไปปฏิบัติ โดยอุบายอันแยบคายต่อไปเทอญ ฯ บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สาวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ, อาราเม. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ภะทันเตติเต ภิกขูภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ. อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ฐิตา วะ สา ธาตุธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา, สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ. ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา อาจิกขะติเทเสติ, ปัญญะเปติปัฏฐะเปติ, วิวะระติวิภะชะติอุตตานีกะโรติ, สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ. อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ฐิตา วะ สา ธาตุ ธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา, สัพเพ สังขารา ทุกขาติ. ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา อาจิกขะติ เทเสติ, ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ, วิวะระติวิภะชะติอุตตานีกะโรติ, สัพเพ สังขารา ทุกขาติ.


๑๙๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา อุปปาทา วา ภิกขะเว ตะถาคะตานัง อะนุปปาทา วา ตะถาคะตานัง, ฐิตา วะ สา ธาตุธัมมัฏฐิตะตา ธัมมะนิยามะตา, สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ. ตัง ตะถาคะโต อะภิสัมพุชฌะติ อะภิสะเมติ, อะภิสัมพุชฌิต๎วา อะภิสะเมต๎วา อาจิกขะติ เทเสติ, ปัญญะเปติ ปัฏฐะเปติ, วิวะระติวิภะชะติอุตตานีกะโรติ, สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ. อิทะมะโว จะ ภะคะวา. อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง, อะภินันทุนติ. คำแปล ข้าพเจ้า (พระอานนทเถระ) ได้ฟังมาจากพระผู้มีพระภาคเจ้า ดังนี้ว่า ในสมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ในพระเชตวันมหาวิหารของ ท่านอนาถปิณฑิกเศรษฐี ในเมืองสาวัตถี ในกาลครั้งนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ ตรัสเตือนสติภิกษุทั้งหลาย ให้ตั้งใจฟังและพิจารณาตามพระดำรัสของพระองค์ ครั้นเมื่อภิกษุเหล่านั้นกราบทูลด้วยความเคารพพร้อมที่จะรับฟังแล้ว พระผู้มีพระ ภาคเจ้าจึงได้ตรัสอย่างนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายหรือว่าความ ไม่เกิดขึ้นแห่งพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย สักแต่ว่าเป็นธาตุที่ตั้งอยู่มีอยู่ กำหนดอยู่ แล้วตามธรรมดา ว่าเป็นสังขารคือรูปนามที่มีเหตุมาจากธาตุทั้งหลายประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขึ้น ล้วนแต่ไม่เที่ยง มีความแปรปรวนไปเป็น ธรรมดา เราตถาคตรู้พร้อมเฉพาะอยู่ ถึงพร้อมเฉพาะอยู่ส่วนธาตุนั้น ครั้นรู้พร้อม เฉพาะแล้ว บอกกล่าวแสดงบัญญัติแต่งตั้งแล้ว เปิดเผยจำแนกทำความให้ตื้นขึ้น เป็นที่เข้าใจง่ายว่า สังขารคือรูปนามที่มีเหตุทั้งหลายมาจากธาตุทั้งหลายประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขึ้น ล้วนแต่ไม่เที่ยง มีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แปรปรวนไป แล้วก็ดับไปเป็นธรรมดา ดังนี้


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๙๙ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายหรือว่าความ ไม่เกิดขึ้นแห่งพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย สักแต่ว่าเป็นธาตุที่ตั้งอยู่ มีอยู่ กำหนดอยู่ แล้วตามธรรมดา ว่าเป็นสังขารคือรูปนามที่มีเหตุมาจากธาตุทั้งหลายประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขึ้น ล้วนแต่เป็นทุกข์เหลือทน ทนต่อการถูก กระทบกระทั่งเบียดเบียนไม่ได้ เราตถาคตรู้พร้อมเฉพาะอยู่ ถึงพร้อมเฉพาะอยู่ ส่วนธาตุนั้น ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึงพร้อมเฉพาะแล้ว บอกกล่าวบัญญัติแต่งตั้ง แล้ว เปิดเผยจำแนกทำความให้ตื้นเป็นที่เข้าใจง่ายว่า สังขารคือรูปนามที่มีเหตุมา จากธาตุทั้งหลายประชุมกัน โดยมีอวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขึ้น ล้วนแต่เป็น ทุกข์เหลือทน ทนต่อการถูกกระทบกระทั่งเบียดเบียนไม่ได้ ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความเกิดขึ้นของพระตถาคตเจ้าทั้งหลายหรือว่าความ ไม่เกิดขึ้นแห่งพระตถาคตเจ้าทั้งหลาย สักแต่ว่าเป็นธาตุที่ตั้งอยู่ มีอยู่ กำหนดอยู่ แล้วตามธรรมดา ว่าเป็นธรรม ๒ อย่าง คือเป็นรูปธรรมที่มีเหตุมาจากธาตุทั้งหลาย ประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขึ้น นี้อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่ง คือ ธรรมที่ไม่ใช่รูปนาม ไม่มี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขึ้น ทั้งหมดล้วนแต่เป็น อนัตตา มิใช่ตัวตน มิใช่ของเรา ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารของเรา ต้องสลายไป เรา ตถาคตรู้พร้อมเฉพาะอยู่ ถึงพร้อมเฉพาะอยู่ส่วนธาตุนั้น ครั้นรู้พร้อมเฉพาะแล้ว ถึง พร้อมเฉพาะแล้ว บอกกล่าวแสดงบัญญัติแต่งตั้งแล้ว เปิดเผยจำแนกทำความให้ตื้น เป็นที่เข้าใจง่ายว่า ธรรมทั้งหลายคือรูปนามที่มีเหตุมาจากธาตุทั้งหลายประชุมกัน โดยมี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขึ้น นี้อย่างหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งเป็นธรรมที่ มิใช่รูปนาม ไม่มี อวิชชา ตัณหา กรรม ปรุงแต่งขึ้น ทั้งหมดล้วนแต่เป็นอนัตตา มิใช่ ตัวตน มิใช่ของเรา ไม่มีอะไรเป็นแก่นสารของเรา ต้องสลายไป ดังนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระธรรมเทศนานี้จบลงแล้ว ภิกษุทั้งหลาย เหล่านั้นก็มีใจยินดี เพลิดเพลินในพระธรรมเทศนาของพระผู้มีพระภาคเจ้า ด้วย ประการฉะนี้แล ฯ


๒๐๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วิปัสสนาภูมิปาฐะ วิปัสสนาภูมิ คือ ธรรมทั้งหลายอันแยกประเภทเป็น ขันธ์ อายตนะ ธาตุ อินทรีย์ สัจจะ และปฏิจจสมุปบาท กล่าวโดยรวมหมายถึงธรรมอันเป็นอารมณ์ของ วิปัสสนา เป็นการเจริญบาทแห่งปัญญาในวิปัสสนากรรมฐาน บทสวด ปัญจักขันธา, รูปักขันโธ, เวทะนากขันโธ, สัญญากขันโธ, สังขารักขันโธ, วิญญาณักขันโธ. ท๎วาทะสายะตะนานิ. จักข๎วายะตะนัง รูปายะตะนัง, โสตายะตะนัง สัททายะตะนัง, ฆานายะตะนัง คันธายะตะนัง, ชิวîหายะตะนัง ระสายะตะนัง, กายายะตะนัง โผฏฐัพพายะตะนัง, มะนายะตะนัง ธัมมายะตะนัง. อัฏฐาระสะ ธาตุโย. จักขุธาตุ รูปะธาตุ จักขุวิญญาณะธาตุ, โสตะธาตุ สัททะธาตุ โสตะวิญญาณะธาตุ, ฆานะธาตุ คันธะธาตุ ฆานะวิญญาณะธาตุ, ชิวîหาธาตุ ระสะธาตุ ชิวîหาวิญญาณะธาตุ, กายะธาตุโผฏฐัพพะธาตุ กายะวิญญาณะธาตุ, มะโนธาตุ ธัมมะธาตุ มะโนวิญญาณะธาตุ. พาวีสะตินท๎ริยานิ. จักขุนท๎ริยัง โสตินท๎ริยัง ฆานินท๎ริยัง ชิวîหินท๎ริยัง กายินท๎ริยัง มะนินท๎ริยัง, อิตถินท๎ริยัง ปุริสินท๎ริยัง ชีวิตินท๎ริยัง, สุขินท๎ริยัง ทุกขินท๎ริยัง โสมะนัสสินท๎ริยัง โทมะนัสสินท๎ริยัง อุเปกขินท๎ริยัง, สัทธินท๎ริยัง วิริยินท๎ริยัง สะตินท๎ริยัง สะมาธินท๎ริยัง ปัญญินท๎ริยัง, อะนัญญะตัญญัสสามีตินท๎ริยัง อัญญินท๎ริยัง อัญญาตาวินท๎ริยัง.


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๐๑ จัตตาริ อะริยะสัจจานิ. ทุกขัง อะริยะสัจจัง, ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง, ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง, ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. อะวิชชาปัจจะยา สังขารา, สังขาระปัจจะยา วิญญาณัง, วิญญาณะปัจจะยา นามะรูปัง, นามะรูปะปัจจะยา สะฬายะตะนัง, สะฬายะตะนะปัจจะยา ผัสโส, ผัสสะปัจจะยา เวทะนา, เวทะนาปัจจะยา ตัณî หา, ตัณîหาปัจจะยา อุปาทานัง, อุปาทานะปัจจะยา ภะโว, ภะวะปัจจะยา ชาติ, ชาติปัจจะยา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา สัมภะวันติ. เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ, สะมุทะโย โหติ. อะวิชชายะเต๎ววะ อะเสสะวิราคะนิโรธา สังขาระนิโรโธ, สังขาระนิโรธา วิญญาณะนิโรโธ, วิญญาณะนิโรธา นามะรูปะนิโรโธ, นามะรูปะนิโรธา สะฬายะตะนะนิโรโธ, สะฬายะตะนะนิโรธา ผัสสะนิโรโธ, ผัสสะนิโรธา เวทะนานิโรโธ, เวทะนานิโรธา ตัณîหานิโรโธ, ตัณîหานิโรธา อุปาทานะนิโรโธ, อุปาทานะนิโรธา ภะวะนิโรโธ, ภะวะนิโรธา ชาตินิโรโธ, ชาตินิโรธา ชะรามะระณัง โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสา นิรุชฌันติ. เอวะเมตัสสะ เกวะลัสสะ ทุกขักขันธัสสะ, นิโรโธ โหติ. คำแปล ขันธ์ ๕ คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ อายตนะ ๑๒ คือ อายตนะ คือ ตา รูป หูเสียง จมูก กลิ่น ลิ้น รส กาย สิ่งที่ถูกต้อง ได้ ใจ อารมณ์ของใจ


๒๐๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ธาตุ ๑๘ คือ ตา รูป วิญญาณทางตา หู เสียง วิญญาณทางหู จมูก กลิ่น วิญญาณทางจมูก ลิ้น รส วิญญาณทางลิ้น กาย สิ่งที่ถูกต้องได้ วิญญาณทางกาย ใจ อารมณ์ของใจ วิญญาณทางใจ อินทรีย์ ๒๒ คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ความเป็นหญิง ความเป็นชาย ชีวิต สุข ทุกข์ โสมนัส โทมนัส อุเบกขา สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา อินทรีย์คือ อัธยาศัยที่มุ่งบรรลุมรรคผล อินทรีย์คือการตรัสรู้สัจธรรมด้วยมรรค อินทรีย์ของ พระอรหันต์ผู้ตรัสรู้สัจธรรมแล้ว อริยสัจ ๔ คือ ทุกข์ ทุกขสมุทัย ทุกขนิโรธ ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา เพราะอวิชชาเป็นปัจจัยจึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัยจึงมีวิญญาณ เพราะวิญญาณเป็นปัจจัยจึงมีนามรูป เพราะนามรูปเป็นปัจจัยจึงมีอายตนะ ๖ เพราะอายตนะ ๖ เป็นปัจจัยจึงมีผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยจึงมีเวทนา เพราะ เวทนาเป็นปัจจัยจึงมีตัณหา เพราะตัณหาเป็นปัจจัยจึงมีอุปาทาน เพราะอุปาทาน เป็นปัจจัยจึงมีภพ เพราะภพเป็นปัจจัยจึงมีชาติ เพราะชาติเป็นปัจจัยจึงมีชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ทั้งปวงนั้น มีอย่างนี้ เพราะอวิชชาดับ โดยคลายความกำหนัดยินดีโดยไม่เหลือ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับวิญญาณจึงดับ เพราะวิญญาณดับนามรูปจึงดับ เพราะนามรูปดับ อายตนะ ๖ จึงดับ เพราะอายตนะ ๖ ดับผัสสะจึงดับ เพราะผัสสะดับเวทนาจึงดับ เพราะเวทนาดับตัณหาจึงดับ เพราะตัณหาดับอุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โศกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาสจึงดับ ความดับกองทุกข์ทั้งปวงนั้นมีอย่างนี้ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๐๓ ติลักขณาทิคาถา ติลักขณาทิคาถา เป็นคาถาแสดงการเห็นอาการแห่งไตรลักษณ์คือความ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา เป็นมรรคาดำเนินสู่ความบริสุทธิ์หลุดพ้น มีปรากฏใน พระสุตตันตปิฎก อรรถกถา ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท บทสวด สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา สัพเพ สังขารา ทุกขาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา อัปปะกา เต มะนุสเสสุ เย ชะนา ปาระคามิโน อะถายัง อิตะรา ปะชา ตีระเมวานุธาวะติ เย จะ โข สัมมะทักขาเต ธัมเม ธัมมานุวัตติโน เต ชะนา ปาระเมสสันติ มัจจุเธยยัง สุทุตตะรัง กัณîหัง ธัมมัง วิปปะหายะ สุกกัง ภาเวถะ ปัณฑิโต โอกา อะโนกะมาคัมมะ วิเวเก ยัตถะ ทูระมัง ตัต๎ราภิระติมิจเฉยยะ หิต๎วา กาเม อะกิญจะโน ปะริโยทะเปยยะ อัตตานัง จิตตะเก îลเสหิ ปัณฑิโต เยสัง สัมโพธิยังเคสุ สัมมา จิตตัง สุภาวิตัง อาทานะปะฏินิสสัคเค อะนุปาทายะ เย ระตา ขีณาสะวา ชุติมันโต เต โลเก ปะรินิพพุตาติ.


๒๐๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา คำแปล เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง เมื่อนั้นย่อมเบื่อ หน่ายในทุกข์ ข้อนี้เป็นทางแห่งความหมดจด เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า สังขารทั้งหลายเป็นทุกข์ เมื่อนั้นย่อมเบื่อหน่ายในทุกข์ ข้อนี้เป็นทางแห่งความ หมดจด เมื่อใด บุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา เมื่อนั้นย่อมเบื่อ หน่ายในทุกข์ ข้อนี้เป็นทางแห่งความหมดจด บรรดามนุษย์ทั้งหลาย ชนเหล่าใด ที่ไปถึงฝั่ง (คือพระนิพพาน) ชนเหล่านั้น มีประมาณน้อย ส่วนหมู่สัตว์ (คือชน) นอกจากนี้ๆ ย่อมเลาะชายฝั่ง (คือ สักกายทิฏฐิ) นั้นแหละ ก็ชนทั้งหลายเหล่าใดแล เป็นผู้มีปกติประพฤติตามธรรมใน ธรรมที่พระตถาคตกล่าวแล้วโดยชอบ ชนทั้งหลายเหล่านั้น จักถึงฝั่ง (คือพระ นิพพาน) ล่วงวัฏฏะเป็นที่ตั้งแห่งมัจจุ (คือกิเลสมาร) อันบุคคลข้ามได้ยากนัก บัณฑิตควรละธรรมดำเสีย ยังธรรมขาวให้เจริญ อาศัยพระนิพพาน ไม่มีอาลัยจาก อาลัย (คือออกจากอาลัย อาศัยพระนิพพาน) ความยินดีได้ยากในพระนิพพานอัน สงัดใด พึงละกามทั้งหลายเสีย เป็นผู้ไม่มีเครื่องกังวลแล้ว ปรารถนาความยินดีใน พระนิพพานนั้น บัณฑิตควรยังตนให้ผ่องแผ้ว จากเครื่องเศร้าหมองแห่งจิตทั้งหลาย จิตอันบัณฑิตทั้งหลายเหล่าใดอบรมดีแล้วโดยถูกต้อง ในองค์เป็นเหตุตรัสรู้ทั้งหลาย บัณฑิตทั้งหลายเหล่าใดไม่ถือมั่น ยินดีแล้วในอันสละความยึดถือ บัณฑิตทั้งหลาย เหล่านั้นย่อมเป็นผู้ไม่มีอาสวะ มีความโพลง ดับสนิทในโลก ดังนี้แล ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๐๕ พุทธอุทานคาถา คาถาบทนี้ เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ติอุทานคาถา เป็นพระอุทานธรรมของ พระพุทธเจ้าเมื่อคราวตรัสรู้ปรารภอริยสัจ ๔ และอวิชชา ปรากฏในพระ สุตตันตปิฎก อรรถกถา ขุททกนิกาย อุทาน บทสวด ยะทา หะเว ปาตุภะวันติธัมมา อาตาปิโน ฌายะโต พ๎ราห๎มะณัสสะ อะถัสสะ กังขา วะปะยันติสัพพา ยะโต ปะชานาติสะเหตุธัมมัง. ยะทา หะเว ปาตุภะวันติธัมมา อาตาปิโน ฌายะโต พ๎ราห๎มะณัสสะ อะถัสสะ กังขา วะปะยันติสัพพา ยะโต ขะยัง ปัจจะยานัง อะเวทิ. ยะทา หะเว ปาตุภะวันติธัมมา อาตาปิโน ฌายะโต พ๎ราห๎มะณัสสะ วิธูปะยัง ติฏฐะติมาระเสนัง สูโรวะ โอภาสะยะมันตะลิกขันติ. คำแปล เมื่อใดธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจทั้ง ๔ ปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ด้วยฌานและปัญญา เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อม อันตรธานหายไป เพราะพราหมณ์นั้นมารู้แจ้งซึ่งธรรมว่า อวิชชาเป็นต้นเหตุให้เกิด มีสังขารอันเป็นต้นเหตุให้เกิดกองทุกข์ทั้งปวง


๒๐๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา เมื่อใดธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจทั้ง ๔ ปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ด้วยฌานและปัญญา เมื่อนั้น ความสงสัยทั้งปวงของพราหมณ์นั้น ย่อม อันตรธานหายไป เพราะพราหมณ์นั้นได้รู้แจ้งแล้วว่า เหตุที่ทำให้กองทุกข์ทั้งปวง เกิดขึ้นนั้น ได้สิ้นไปแล้ว เมื่อใดธรรมทั้งหลาย คือ อริยสัจทั้ง ๔ ปรากฏชัดแก่พราหมณ์ผู้มีความเพียร เพ่งอยู่ด้วยฌานและปัญญา พราหมณ์นั้นย่อมกำจัดเสนามารให้พินาศไปเสียได้ ย่อมดำรงจิตอยู่ด้วยความรู้แจ้งสว่างโพลง ประดุจดังพระอาทิตย์ทำให้อากาศใน ท้องฟ้าสว่างอยู่ด้วยรัศมีฉะนั้นแล ฯ ภัทเทกรัตตคาถา ภัทเทกรัตตคาถา เป็นคาถาแสดงปฏิปทาผู้มีราตรีเดียวอันเจริญ คือ การ บำเพ็ญอัปปมาทธรรมด้วยความเพียร มีปรากฏในพระสุตตันตปิฎก มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ บทสวด อะตีตัง นาน๎วาคะเมยยะ นัปปะฏิกังเข อะนาคะตัง ยะทะตีตัมปะหีนันตัง อัปปัตตัญจะ อะนาคะตัง ปัจจุปปันนัญจะ โย ธัมมัง ตัตถะ ตัตถะ วิปัสสะติ อะสังหิรัง อะสังกุปปัง ตัง วิทธา มะนุพ๎รูหะเย อัชเชวะ กิจจะมาตัปปัง โก ชัญญา มะระณัง สุเว นะ หิ โน สังคะรันเตนะ มะหาเสเนนะ มัจจุนา เอวัง วิหาริมาตาปิง อะโหรัตตะมะตันทิตัง ตัง เว ภัทเทกะรัตโตติ สันโต อาจิกขะเต มุนีติ.


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๐๗ คำแปล ผู้มีปัญญา ไม่ควรคำนึงถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว ไม่ควรตั้งความหวังกับสิ่งที่ยังมา ไม่ถึงสิ่งที่ล่วงไปนั้น ก็ได้ล่วงไปแล้ว สิ่งที่ยังไม่มีมานั้น ก็ยังไม่มาถึง ก็ผู้ใดเห็นแจ้ง ชัดในสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ณ ที่นั้น ๆ แล้ว ใจไม่ง่อนแง่น ไม่คลอนแคลน และผู้ที่ ทราบชัดถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้ว สิ่งที่ยังไม่มาถึง และไม่มีความง่อนแง่นคลอนแคลนใน เหตุปัจจุบันนั้นแล้ว พึงพอกพูนความรู้นั้นให้มากยิ่งขึ้น ความเพียรเพื่อเผากิเลส ควรทำในวันนี้เท่านั้น ก็ใครเล่าจะสามารถรู้ได้ว่า ความตายจะมีในวันพรุ่งนี้ก็ได้ไม่มีใครที่จะสามารถต่อสู้กับพญามัจจุราชผู้มีเสนา ใหญ่ได้ ผู้เป็นบัณฑิตย่อมกล่าวสรรเสริญผู้มีธรรมเครื่องเผากิเลสเป็นเครื่องอยู่ ผู้มี ความเพียรแผดเผากิเลสทั้งกลางวันกลางคืนนั้นแล ว่าเป็นมุนีผู้สงบ เป็นผู้มีราตรี เดียวอันเจริญ ดังนี้แล ฯ


๒๐๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา พระอภิธรรม ๗ คัมภีร์ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเมื่อประทับจำพรรษาในดาวดึงส์ในคราวแสดงยมก ปาฏิหาริย์เสร็จแล้ว ได้ประทับบนศิลาอาสน์ชื่อ บัณฑุกัมพล ณ โคนต้นปาริชาต ท่ามกลางหมู่เทวดาจากหมื่นจักรวาล ทรงให้สันดุสิตเทพบุตรผู้เคยเป็นพุทธมารดา เป็นประธานแห่งทวยเทพ แล้วทรงแสดงอภิธรรมติดต่อกันไปทั้งพรรษา ครั้นทรง แสดงอภิธรรมในดาวดึงส์แล้ว ก็ได้ทรงแสดงซ้ำอีกโดยย่อแก่พระสารีบุตรที่สระ อโนดาต ในป่าหิมพานต์พระสารีบุตรได้สดับแล้วก็มาแสดงต่อให้ภิกษุทั้งหลายได้ ฟังและได้จดจำสืบมา มีเรื่องเล่าว่า ในสมัยศาสนาของพระกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้า มีค้างคาว ๕๐๐ ตัว อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ได้ฟังเสียงสวดสาธยายพระอภิธรรมของภิกษุผู้ ทรงพระอภิธรรม ๒ รูป ที่อาศัยอยู่ในถ้ำนั้น เมื่อฟังอยู่ก็รู้เพียงว่าเป็นพระธรรม เท่านั้น มิได้รู้ความหมายใดๆ แต่ก็พากันตั้งใจฟัง เมื่อสิ้นจากชาติที่เป็นค้างคาวแล้ว ได้ไปเกิดอยู่ในเทวโลกด้วยกันทั้งหมด จนกระทั่งศาสนาของพระสมณโคดม สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงได้จุติจากเทวโลกมาเกิดเป็นมนุษย์และได้บวชเป็นภิกษุใน ศาสนานี้ตลอดจนได้เรียนพระอภิธรรมจากพระสารีบุตร พระสังคณี กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพ๎ยากะตา ธัมมา. กะตะเม ธัมมา กุสะลา. ยัส๎มิง สะมะเย กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง อุปปันนัง โหติ, โสมะนัสสะสะหะคะตัง ญาณะสัมปะยุตตัง, รูปารัมมะณัง วา สัททารัมมะณัง วา, คันธารัมมะณัง วา ระสารัมมะณัง วา, โผฏฐัพพารัมมะณัง วา ธัมมารัมมะณัง วา, ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ, ตัส๎มิง สะมะเย


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๐๙ ผัสโส โหติอะวิกเขโป โหติ, เย วา ปะนะ ตัส๎มิง สะมะเย อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา, อะรูปิโน ธัมมา, อิเม ธัมมา กุสะลา. คำแปล พระธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข มีกามาวจรกุศลเป็นต้น ธรรมที่เป็นอกุศล ให้ผลเป็นทุกข์ มีโลภมูลจิตแปดเป็นต้น ธรรมที่เป็นอัพยากฤตเป็นจิตกลาง ๆ มีอยู่ มีผัสสเจตนาเป็นต้น ในสมัยใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมบังเกิดขึ้นอย่างไร บ้าง จิตที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข ย่อมนำสัตว์ให้ไปเกิดในกามภพทั้งเจ็ด คือ มนุษย์ ๑ สวรรค์ ๖ ย่อมบังเกิดมีแก่ปุถุชนผู้เป็นสามัญชน เป็นไปพร้อมกับจิตที่เป็นโสมนัส ความสุขใจ ประกอบพร้อมด้วยญาณเครื่องรู้คือปัญญา มีจิตยินดีในรูป มีรูป พระพุทธเจ้าเป็นต้นเป็นอารมณ์บ้าง มีจิตยินดีในเสียง มีเสียงท่านแสดงพระ สัทธรรมเป็นต้นเป็นอารมณ์บ้าง มีจิตยินดีในกลิ่นหอมแล้วคิดถึงการกุศล มีการ บูชาพระพุทธเจ้าเป็นต้นเป็นอารมณ์บ้าง มีจิตยินดีในรสเครื่องบริโภคแล้วยินดีใคร่ บริจาคทานเป็นต้นเป็นอารมณ์บ้าง มีจิตยินดีในของอันถูกต้องแล้วก็คิดให้ทานเป็น ต้นเป็นอารมณ์บ้าง มีจิตยินดีในการเจริญพระสัทธรรมกรรมฐาน มีพุทธานุสสติเป็น ต้นเป็นอารมณ์บ้าง อีกอย่างหนึ่ง ความปรารภแห่งจิตเกิดขึ้นในอารมณ์ใด ๆ ความ กระทบผัสสะแห่งจิต จิตที่เป็นกุศลก็ย่อมบังเกิดขึ้นในสมัยนั้น อันว่าเอกัคคตา เจตสิกอันแน่แน่วในสันดานก็ย่อมบังเกิดขึ้น อีกอย่างหนึ่ง ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ย่อมบังเกิดขึ้นในกาลสมัยนั้น ธรรมทั้งหลายอาศัยซึ่งจิตทั้งหลายอื่นมีอยู่ แล้วอาศัย กันและกัน ก็บังเกิดมีขึ้นพร้อม เป็นแต่นามธรรมทั้งหลายไม่มีรูปธรรมทั้งหลาย เหล่านี้ชื่อว่าเป็นกุศลให้ผลเป็นสุขแก่สัตว์ทั้งหลายแล ฯ พระวิภังค์ ปัญจักขันธา, รูปักขันโธ, เวทะนากขันโธ, สัญญากขันโธ, สังขารักขันโธ, วิญญาณักขันโธ, ตัตถะ กะตะโม รูปักขันโธ, ยังกิญจิ


๒๑๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา รูปัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง, อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หีนัง วา ปะณีตัง วา, ยัง ทูเร วา สันติเก วา, ตะเทกัชฌัง อะภิสัญญูหิต๎วา อะภิสังขิปิต๎วา, อะยัง วุจจะติ รูปักขันโธ. คำแปล กองแห่งธรรมชาติทั้งหลาย มี ๕ ประการ รูป ๒๘ มีมหาภูตรูป ๔ เป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง ความเสวยอารมณ์ เป็นสุขและเป็นทุกข์เป็นโสมนัสและโทมนัส และอุเบกขา เป็นกองอันหนึ่ง ความจำได้หมายรู้ในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์อันบังเกิดขึ้นในจิต เป็นกองอันหนึ่ง เจตสิกธรรม ๕๐ ดวง เป็น เครื่องปรุงแต่งจิตให้คิดอ่านไปต่าง ๆ มีบุญเจตสิกเป็นต้นที่ให้สัตว์บังเกิด เป็นกอง อันหนึ่ง วิญญาณจิต ๘๙ ดวง โดยรอบสังเขป เป็นเครื่องรู้แจ้งวิเศษ มีจักขุวิญญาณ เป็นต้น เป็นกองอันหนึ่ง กองแห่งรูปในปัญจขันธ์ทั้งหลายนั้น เป็นอย่างไรบ้าง รูป อันใดอันหนึ่ง รูปที่เป็นอดีตอันก้าวล่วงไปแล้ว และรูปที่เป็นอนาคตอันยังไม่มาถึง และรูปที่เป็นปัจจุบันอยู่ เป็นรูปภายในหรือเป็นรูปภายนอก เป็นรูปอันหยาบหรือ เป็นรูปอันละเอียดสุขุม เป็นรูปอันเลวทรามหรือเป็นรูปอันประณีตบรรจง เป็นรูป ในที่ไกลหรือเป็นรูปในที่ใกล้พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประมวลเข้ายิ่งแล้วซึ่งรูปนั้น เป็นหมวดเดียวกัน พระผู้มีพระภาคเจ้าย่นย่อเข้ายิ่งแล้ว กองแห่งรูปธรรมอันนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสว่าเป็นรูปขันธ์แล ฯ พระธาตุกถา สังคะโห อะสังคะโห. สังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง, อะสังคะหิเตนะ สังคะหิตัง, สังคะหิเตนะ สังคะหิตัง, อะสังคะหิเตนะ อะสังคะหิตัง, สัมปะโยโค วิปปะโยโค. สัมปะยุตเตนะ วิปปะยุตตัง, วิปปะยุตเตนะ สัมปะยุตตัง, อะสังคะหิตัง.


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๑๑ คำแปล พระพุทธองค์สงเคราะห์จิต เจตสิก รูป เข้าในขันธ์เป็นหมวด ๑ พระพุทธ องค์ไม่สงเคราะห์รูปธรรมทั้งหลายเข้าในขันธ์เป็นหมวด ๑ พระพุทธองค์ไม่ สงเคราะห์จิต เจตสิก รูป ด้วยธรรมอันสงเคราะห์แล้ว พระพุทธองค์สงเคราะห์จิต เจตสิก รูป ด้วยธรรมอันมิได้สงเคราะห์พระพุทธองค์สงเคราะห์จิต เจตสิก รูป ด้วย ธรรมอันสงเคราะห์แล้ว พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์จิต เจตสิก รูป ด้วยธรรมอันมิได้ สงเคราะห์เจตสิกธรรมทั้งหลายอันประกอบพร้อมด้วยจิต ๕๕ เจตสิกธรรม ทั้งหลายอันประกอบแตกต่างกันกับจิต ประกอบเจตสิกอันต่างกันด้วยเจตสิกอัน ประกอบพร้อมกันเป็นหมวดเดียวกัน ประกอบเจตสิกอันบังเกิดพร้อมกันด้วย เจตสิกอันต่างกันเป็นหมวดเดียวกัน พระพุทธองค์ไม่สงเคราะห์ธรรมอันไม่ควร สงเคราะห์ให้ระคนกัน ฯ พระปุคคลปัญญัตติ ฉะ ปัญญัตติโย, ขันธะปัญญัตติ, อายะตะนะปัญญัตติ, ธาตุ- ปัญญัตติ, สัจจะปัญญัตติ, อินท๎ริยะปัญญัตติ, ปุคคะละปัญญัตติ, กิตตาวะตา ปุคคะลานัง ปุคคะละปัญญัตติ. สะมะยะวิมุตโต อะสะมะยะวิมุตโต, กุปปะธัมโม อะกุปปะธัมโม, ปะริหานะธัมโม อะปะริหานะธัมโม, เจตะนาภัพโพ อะนุรักขะนาภัพโพ, ปุถุชชะโน โคต๎ระภู, ภะยูปะระโต อะภะยูปะระโต, ภัพพาคะมะโน อะภัพพาคะมะโน, นิยะโต อะนิยะโต, ปะฏิปันนะโก ผะเล ฐิโต อะระหา อะระหัตตายะ ปะฏิปันโน. คำแปล ธรรมชาติทั้ง ๖ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้กองแห่งรูปและนามเป็น ธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้บ่อแห่งตัณหา คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ อันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ธาตุทั้ง ๔ คือ ดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นธรรมชาติอัน


๒๑๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา บัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ของจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็น ธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้อินทรีย์ ๒๒ เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึง แต่งตั้งบัญญัติไว้บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้แก่บุคคล ทั้งหลายนี่มีกี่จำพวกเชียวหนอ บุคคลที่เป็นธรรมชาติอันบัณฑิตพึงแต่งตั้งบัญญัติไว้ พระอริยบุคคลผู้มีจิตพ้นวิเศษเป็นสมัยอยู่ มีพระโสดาบันเป็นต้น พระอริยบุคคลผู้มี จิตพ้นวิเศษไม่มีสมัย มีพระอรหันต์เป็นต้น ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้ แล้ว ย่อมกำเริบสูญไป ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมไม่ กำเริบ ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมเสื่อมถอยลง ฌานที่ เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอันบุคคลได้สูงขึ้นไปแล้ว ย่อมไม่เสื่อมถอย ฌานที่เป็นเครื่องฆ่า กิเลสอันบุคคลได้แล้ว ไม่สามารถที่รักษาไว้ในสันดาน ฌานที่เป็นเครื่องฆ่ากิเลสอัน บุคคลได้แล้วตามรักษาไว้ในสันดาน บุคคลที่มีอาสวะเครื่องย้อมใจอันหนาแน่นใน สันดาน บุคคลผู้เจริญในพระกรรมฐานตลอดขึ้นไปถึงโคตรภูบุคคลผู้เป็นปุถุชน ย่อมมีความกลัวเป็นเบื้องหน้า พระขีณาสพบุคคลผู้มีความกลัวอันสิ้นแล้ว บุคคลผู้ มีวาสนาอันแรงกล้าสามารถจะได้มรรคและผลในชาตินั้น บุคคลผู้มีวาสนาน้อยไม่ สามารถจะได้มรรคผลในชาตินั้น บุคคลผู้กระทำซึ่งอนันตริยกรรม ๕ มีปิตุฆาต เป็น ต้น ตายแล้วไปตกนรกเป็นแน่ บุคคลผู้มีคติปฏิสนธิไม่เที่ยง ย่อมเป็นไปตาม ยถากรรม บุคคลผู้ปฏิบัติมั่นเหมาะในพระกรรมฐานเพื่อจะได้พระอริยมรรค บุคคล ผู้ตั้งอยู่ในพระอริยผล มีพระโสดาปัตติผลเป็นต้นตามลำดับ บุคคลผู้ตั้งอยู่ในพระ อรหัตตผล เป็นผู้ควรแล้ว เป็นผู้ไกลแล้วจากกิเลส บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อจะให้ถึงพระ อรหัตตผล เป็นผู้สมควรแล้ว เป็นผู้ไกลแล้วจากกิเลส ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๑๓ พระกถาวัตถุ ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ. อามันตา. โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติ. นะ เหวัง วัตตัพเพ. อาชานาหินิคคะหัง หัญจิ, ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนะ, เตนะ วะตะ เร วัตตัพเพ, โย สัจฉิกัตโถ ปะระมัตโถ, ตะโต โส ปุคคะโล อุปะลัพภะติ, สัจฉิกัตถะปะระมัตเถนาติมิจฉา. คำแปล มีคำถามว่า สัตว์บุคคล หญิง ชาย อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดใน สันดานของท่าน โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้ มีอยู่หรือ มีคำแก้ตอบว่าจริง สัตว์บุคคล หญิง ชาย มีอยู่ มีคำถามว่า ปรมัตถธรรม มีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้นเหล่าใด เป็นปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอัน จริงแท้มิได้แปรผัน โดยปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้นเหล่านั้นว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิง เป็นชาย อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดใน สันดานของท่าน โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้ มีอยู่หรือ มีคำแก้ตอบว่า ประเภทของปรมัตถ์ขันธ์ ๕ เป็นต้น เราไม่มี พึงกล่าว เชียวหนอ ผู้ถามกล่าวตอบว่า ท่านจงรับเสียเถิด ซึ่งถ้อยคำอันท่านกล่าวผิด ผิแลว่า เป็นสัตว์เป็นบุคคล เป็นหญิง เป็นชาย อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดใน สันดานของท่าน โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถอันจริงแท้มิได้แปรผัน โดย ประการอันเรากล่าวแล้วนั้น ดังเรากำหนด ดูก่อนท่านผู้มีหน้าอันเจริญ ปรมัตถ ธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้นอันเราพึงกล่าว เป็นอรรถอันกระทำให้สว่าง แจ้งชัด เป็นอรรถอันอุดม โดยปรมัตถธรรมมีประการ ๕๗ มีขันธ์ ๕ เป็นต้นเหล่านั้น ว่าเป็นสัตว์ เป็นบุคคล เป็นหญิง เป็นชาย อันท่านควรรู้ด้วยปัญญาอันบังเกิดใน


๒๑๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา สันดานของท่าน โดยปรมัตถ์คืออรรถอันอุดม เป็นอรรถจริงแท้มิได้แปรผันดังนี้ ท่านกล่าวในปัญหาเบื้องต้นกับปัญหาเบื้องปลายผิดกันไม่ตรงกัน ฯ พระยมก เย เกจิกุสะลา ธัมมา, สัพเพ เต กุสะละมูลา. เย วา ปะนะ กุสะละมูลา, สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา. เย เกจิกุสะลา ธัมมา, สัพเพ เต กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา. เย วา ปะนะ กุสะละมูเลนะ เอกะมูลา, สัพเพ เต ธัมมา กุสะลา. คำแปล จิตและเจตสิกบางพวกเหล่าใด ธรรมที่เป็นกุศลให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควร สะสมไว้จิตและเจตสิกทั้งปวงเหล่านั้น เป็นรากเหง้าเป็นที่ตั้งแห่งกุศล ให้ผลเป็น สุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้อีกอย่างหนึ่ง จิตและเจตสิกเหล่านั้น เป็นรากเหง้าเป็น ที่ตั้งแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งปวง เหล่านั้น ชื่อว่าเป็นกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้จิตและเจตสิกบาง พวกเหล่าใด เป็นธรรมเป็นกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้จิตและ เจตสิกทั้งปวงเหล่านั้น เป็นมูลอันหนึ่งด้วย เป็นรากเหง้าเป็นที่ตั้งแห่งกุศล ให้ผล เป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้อีกอย่างหนึ่ง จิตและเจตสิกเหล่านั้น เป็นมูล อันหนึ่งด้วย เป็นรากเหง้าเป็นที่ตั้งแห่งกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ ธรรมคือจิตและเจตสิกทั้งปวง ชื่อว่าเป็นกุศล ให้ผลเป็นสุข อันบัณฑิตควรสะสมไว้ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๑๕ พระมหาปัฏฐาน เหตุปัจจะโย, อารัมมะณะปัจจะโย, อะธิปะติปัจจะโย, อะนันตะระปัจจะโย, สะมะนันตะระปัจจะโย, สะหะชาตะปัจจะโย, อัญญะมัญญะปัจจะโย, นิสสะยะปัจจะโย, อุปะนิสสะยะปัจจะโย, ปุเรชาตะปัจจะโย, ปัจฉาชาตะปัจจะโย, อาเสวะนะปัจจะโย, กัมมะปัจจะโย, วิปากะปัจจะโย, อาหาระปัจจะโย, อินท๎ริยะปัจจะโย, ฌานะปัจจะโย, มัคคะปัจจะโย, สัมปะยุตตะปัจจะโย, วิปปะยุตตะปัจจะโย, อัตถิปัจจะโย, นัตถิปัจจะโย, วิคะตะปัจจะโย, อะวิคะตะปัจจะโย. คำแปล ความไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลงเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ในที่สุข อารมณ์ความยินดีในรูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ เป็นเครื่องอาศัย เป็น ปัจจัยให้บังเกิด ธรรมที่ชื่อว่าอธิบดี ๔ ประการ คือ ฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เป็น เครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตอันกำหนดในวัตถุและรู้แจ้งวิเศษในทวารทั้ง ๖ เนื่องกันไม่มีระหว่าง เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตอันกำหนดในวัตถุ และรู้วิเศษในทวารทั้ง ๖ พร้อมกันไม่มีระหว่าง เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้ บังเกิด จิตและเจตสิกอันบังเกิดกับดับพร้อม เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและเจตสิกค้ำชูซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและ เจตสิกอาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและเจตสิกอัน เข้าไปใกล้อาศัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด อารมณ์ ๕ มีรูป เป็นต้นมากระทบซึ่งจักษุ เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและเจตสิกที่ บังเกิดภายหลังรูป เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ชวนจิตที่แล่นไปส้องเสพ ซึ่งอารมณ์ติดต่อกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด บุญบาปอันบุคคลกระทำ แล้ว เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดในที่ดีหรือที่ชั่ว และวิเศษแห่งกรรมอัน บุคคลกระทำแล้ว เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดในที่ดีที่ชั่ว อาหาร ๔ มี


๒๑๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ผัสสาหารเป็นต้น เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ธรรมชาติที่เป็นใหญ่ในตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด ธรรมชาติเครื่องฆ่ากิเลส เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดในรูปพรหม อริยมรรคมีองค์๘ มีสัมมาทิฏฐิ เป็นต้น เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิดในโลกอุดร จิตและเจตสิกอันบังเกิด สัมปยุตพร้อมในอารมณ์เดียวกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด รูปธรรม นามธรรมที่แยกต่างกัน มิได้ระคนกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด รูปธรรมนามธรรมที่ยังไม่ดับ เป็นปัจจัยซึ่งกันและกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัย ให้บังเกิด จิตและเจตสิกที่ดับแล้ว เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและ เจตสิกในปัจจุบัน จิตและเจตสิกที่แยกต่างกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็นปัจจัยให้บังเกิด จิตและเจตสิกในปัจจุบัน จิตและเจตสิกที่ดับและมิได้ต่างกัน เป็นเครื่องอาศัย เป็น ปัจจัยให้บังเกิดจิต และเจตสิกในปัจจุบัน ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๑๗ บทสวดมาติกา - บังสุกุล ธัมมสังคณีมาติกาปาฐะ ปาฐะนี้ อธิบายถึงธรรมอันเป็นกุศล เป็นอกุศล และเป็นกลาง ๆ (อัพยากฤต) เป็นส่วนแห่งพระอภิธรรม คือธรรมชั้นสูงที่พระพุทธเจ้าทรงเทศนา โปรดพระพุทธมารดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงใช้สาธยายเพื่อสนองคุณของผู้ ล่วงลับ เป็นการแสดงความกตัญญูกตเวที มีตำนานว่า ผู้ได้ฟังพระอภิธรรมแม้เป็นสัตว์เดรัจฉาน ฟังไม่เข้าใจ ความหมาย เช่น ค้างคาวได้ฟัง ก็ยังได้รับอานิสงส์มาก แม้สิ้นชีพไปก็บังเกิดในสุคติ โลกสวรรค์ บทสวด กุสะลา ธัมมา อะกุสะลา ธัมมา อัพ๎ยากะตา ธัมมา. สุขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา ทุกขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา อะทุกขะมะสุขายะ เวทะนายะ สัมปะยุตตา ธัมมา. วิปากา ธัมมา วิปากะธัมมะธัมมา เนวะวิปากะนะวิปากะธัมมะธัมมา. อุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา อะนุปาทินนุปาทานิยา ธัมมา อะนุปาทินนานุปาทานิยา ธัมมา. สังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา อะสังกิลิฏฐะสังกิเลสิกา ธัมมา อะสังกิลิฏฐาสังกิเลสิกา ธัมมา. สะวิตักกะสะวิจารา ธัมมา อะวิตักกะวิจาระมัตตา ธัมมา อะวิตักกาวิจารา ธัมมา.


๒๑๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ปีติสะหะคะตา ธัมมา สุขะสะหะคะตา ธัมมา อุเปกขาสะหะคะตา ธัมมา. ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพา ธัมมา ภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธัมมา เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ปะหาตัพพา ธัมมา. ทัสสะเนนะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา ภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา เนวะทัสสะเนนะ นะภาวะนายะ ปะหาตัพพะเหตุกา ธัมมา. อาจะยะคามิโน ธัมมา อะปะจะยะคามิโน ธัมมา เนวาจะยะคามิโน นาปะจะยะคามิโน ธัมมา. เสกขา ธัมมา อะเสกขา ธัมมา เนวะเสกขานาเสกขา ธัมมา. ปะริตตา ธัมมา มะหัคคะตา ธัมมา อัปปะมาณา ธัมมา. ปะริตตารัมมะณา ธัมมา มะหัคคะตารัมมะณา ธัมมา อัปปะมาณารัมมะณา ธัมมา. หีนา ธัมมา มัชฌิมา ธัมมา ปะณีตา ธัมมา. มิจฉัตตะนิยะตา ธัมมา สัมมัตตะนิยะตา ธัมมา อะนิยะตา ธัมมา. มัคคารัมมะณา ธัมมา มัคคะเหตุกา ธัมมา มัคคาธิปะติโน ธัมมา. อุปปันนา ธัมมา อะนุปปันนา ธัมมา อุปปาทิโน ธัมมา. อะตีตา ธัมมา อะนาคะตา ธัมมา ปัจจุปปันนา ธัมมา. อะตีตารัมมะณา ธัมมา อะนาคะตารัมมะณา ธัมมา ปัจจุปปันนารัมมะณา ธัมมา. อัชฌัตตา ธัมมา พะหิทธา ธัมมา อัชฌัตตะพะหิทธา ธัมมา. อัชฌัตตารัมมะณา ธัมมา พะหิทธารัมมะณา ธัมมา อัชฌัตตะ-


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๒๑๙ พะหิทธารัมมะณา ธัมมา. สะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา อะนิทัสสะนะสัปปะฏิฆา ธัมมา อะนิทัสสะนาปปะฏิฆา ธัมมา. คำแปล ธรรมที่เป็นกุศล ธรรมที่เป็นอกุศล ธรรมที่มิได้ชี้ชัดว่าเป็นกุศลหรืออกุศล ธรรมที่ประกอบด้วยสุขเวทนา ธรรมที่ประกอบด้วยทุกขเวทนา ธรรมที่ ประกอบด้วยเวทนาที่มิใช่ทุกข์ มิใช่สุข ธรรมที่เป็นผล ธรรมที่มีผลเป็นธรรมดา ธรรมที่มีผลก็ไม่ใช่ ไม่มีผลก็ไม่ใช่ เป็นธรรมดา ธรรมที่ถูกยึดถือและเป็นที่ตั้งแห่ง ความยึดถือ ธรรมที่ไม่ถูกยึดถือแต่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ธรรมที่ไม่ถูกยึดถือ และไม่เป็นที่ตั้งแห่งความยึดถือ ธรรมที่เศร้าหมอง และเป็นที่ตั้งแห่งความเศร้า หมอง ธรรมที่มีทั้งวิตกและวิจาร ธรรมที่ไม่มีวิตกมีแต่เพียงวิจาร ธรรมที่ไม่มีทั้งวิตก และวิจาร ธรรมที่ประกอบด้วยปีติ ธรรมที่ประกอบด้วยสุข ธรรมที่ประกอบด้วย อุเบกขา ธรรมที่ละได้ด้วยทัสสนะ (มรรคองค์ที่ ๑) ธรรมที่พึงละได้ด้วยภาวนา (มรรคองค์ที่ ๒, ๓, และ ๔) ธรรมที่ละไม่ได้ทั้งด้วยทัสสนะและภาวนา ธรรมที่มีเหตุอันพึงละได้ด้วยทัสสนะ ธรรมที่มีเหตุอันพึงละได้ด้วยภาวนา ธรรมที่มีเหตุอันไม่พึงละได้ทั้งด้วยทัสสนะและภาวนา ธรรมที่ไปสู่ความสะสมกิเลส ธรรมที่ไม่ไปสู่ความสะสมกิเลส ธรรมที่ไม่เป็นทั้ง ๒ อย่างนั้น ธรรมของพระ อริยบุคคลผู้ยังต้องศึกษา ธรรมของพระอริยบุคคลผู้ไม่ต้องศึกษา ธรรมที่ไม่เป็นไป ทั้ง ๒ อย่างนั้น ธรรมที่เป็นของเล็กน้อย ธรรมที่เป็นของใหญ่ ธรรมที่หาประมาณ มิได้ ธรรมที่มีธรรมเล็กน้อยเป็นอารมณ์ ธรรมที่มีธรรมใหญ่เป็นอารมณ์ ธรรมที่มี ธรรมหาประมาณมิได้เป็นอารมณ์ ธรรมที่เลว ธรรมที่ปานกลาง ธรรมที่ประณีต ธรรมที่เป็นฝ่ายผิดและแน่นอน ธรรมที่เป็นฝ่ายถูกและแน่นอน ธรรมที่ไม่แน่นอน ธรรมที่มีมรรคเป็นอารมณ์ ธรรมที่มีมรรคเป็นเหตุ ธรรมที่มีมรรคเป็นใหญ่ ธรรมที่ เกิดขึ้นแล้ว ธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น


๒๒๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ธรรมที่เป็นปัจจุบัน ธรรมที่มีอดีตเป็นอารมณ์ ธรรมที่มีอนาคตเป็นอารมณ์ ธรรมที่มีปัจจุบันเป็นอารมณ์ ธรรมที่เป็นภายใน ธรรมที่เป็นภายนอก ธรรมที่เป็น ทั้งภายในและภายนอก ธรรมที่มีอารมณ์ภายใน ธรรมที่มีอารมณ์ภายนอก ธรรมที่ มีอารมณ์ภายในและภายนอก ธรรมที่เห็นได้และถูกต้องได้ ธรรมที่เห็นไม่ได้แต่ ถูกต้องได้ ธรรมที่ทั้งเห็นไม่ได้และถูกต้องไม่ได้ฯ ปัฏฐานมาติกาปาฐะ ปัฏฐานมาติกา คือหัวข้อธรรมอันเป็นส่วนแห่งพระอภิธรรมที่พระผู้มีพระ ภาคทรงแสดงเรื่องราวความเป็นไปของสภาพธรรมที่เป็นเหตุเป็นผลแก่กัน โดยนัย มากมายทั้งพิสดารและละเอียดสุขุมลึกซึ้งยิ่งนัก ธรรมในมหาปัฏฐานนี้ ถ้าจะนับ รวมกันทั้งหมดก็มีจำนวนถึงหลายโกฏิ ด้วยเหตุนี้ท่านอรรถกถาจารย์จึงเรียกคัมภีร์ นี้ว่า “มหาปัฏฐาน” ตามหลักฐานกล่าวว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาพระ อภิธรรม ๗ คัมภีร์อยู่นั้น เมื่อทรงพิจารณาคัมภีร์ที่ ๑ คือ ธัมมสังคณี จนถึงคัมภีร์ที่ ๖ คือ ยมก มาตามลำดับมิได้มีเหตุการณ์พิเศษเกิดขึ้น ต่อเมื่อทรงพิจารณาคัมภีร์ที่ ๗ คือ ปัฏฐาน จึงได้เกิดรัศมีแผ่ซ่านออกจากพระวรกายถึง ๖ สี บทสวด เหตุปัจจะโย, อารัมมะณะปัจจะโย, อะธิปะติปัจจะโย, อะนันตะระปัจจะโย, สะมะนันตะระปัจจะโย, สะหะชาตะปัจจะโย, อัญญะมัญญะปัจจะโย, นิสสะยะปัจจะโย, อุปะนิสสะยะปัจจะโย, ปุเรชาตะปัจจะโย, ปัจฉาชาตะปัจจะโย, อาเสวะนะปัจจะโย, กัมมะปัจจะโย, วิปากะปัจจะโย, อาหาระปัจจะโย, อินท๎ริยะปัจจะโย, ฌานะปัจจะโย, มัคคะปัจจะโย,


Click to View FlipBook Version