The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม

หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วัดปทุมวนาราม

วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๒๑ อิติตัตถะ มะหาเสโน กัณ๎หะเสนัง อะเปสะยิ ปาณินา ตะละมาหัจจะ สะรัง กัต๎วานะ เภระวัง ยะถา ปาวุสสะโก เมโฆ ถะนะยันโต สะวิชชุโก ตะทา โส ปัจจุทาวัตติ สังกุทโธ อะสะยังวะเส ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ วะวักขิต๎วานะ จักขุมา ตะโต อามันตะยิสัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต มาระเสนา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ ภิกขะโว เต จะ อาตัปปะมะกะรุง สุต๎วา พุทธัสสะ สาสะนัง วีตะราเคหิปักกามุง เนสัง โลมัมปิอิญชะยุง. สัพเพ วิชิตะสังคามา ภะยาตีตา ยะสัสสิโน โมทันติสะหะ ภูเตหิ สาวะกา เต ชะเนสุตาติ. คำแปล ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนคร กบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็น พระอรหันต์ ก็พวกเทวดาจาก โลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาพระผู้มี พระภาคเจ้าและภิกษุสงฆ์ ครั้งนั้น เทวดาชั้นสุทธาวาส ๔ องค์ ได้มีความดำริว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นี้แล ประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ ในสักกชนบท พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ประมาณ ๕๐๐ รูป ล้วนเป็นพระอรหันต์ ก็พวกเทวดาจากโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาคเจ้าและ ภิกษุสงฆ์ ไฉนหนอ แม้พวกเราก็ควรเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าถึงที่ประทับ ครั้น แล้ว พึงกล่าวคาถาเฉพาะองค์ละคาถา ในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า ลำดับนั้น เทวดาพวกนั้น หายไป ณ เทวโลกชั้นสุทธาวาส แล้วมาปรากฏ เบื้องพระพักตร์พระผู้มีพระภาคเจ้า เหมือนบุรุษมีกำลังเหยียดแขนที่คู้ออก หรือคู้


๑๒๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา แขนที่เหยียดออกเข้า ฉะนั้น เทวดาพวกนั้นถวายอภิวาทพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วได้ ยืนอยู่ ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เทวดาองค์หนึ่งได้กล่าวคาถานี้ในสำนักพระผู้มีพระ ภาคเจ้าว่า การประชุมใหญ่ในป่าใหญ่ หมู่เทวดามาประชุมกันแล้ว พวกเราพากันมาสู่ ธรรมสมัยนี้ เพื่อได้เห็นหมู่ท่านผู้ชนะมาร ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ภิกษุทั้งหลายในที่ประชุมนั้น มั่นคงดี มีจิตตรงแล้ว ล้วนเป็นบัณฑิต ย่อมรักษา อินทรีย์ทั้งหลาย เหมือนสารถีถือบังเหียนขับม้า ฉะนั้น ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ภิกษุเหล่านั้น ตัดกิเลสดุจตะปู ตัดกิเลสดุจลิ่มสลัก ถอนกิเลสดุจเสาเขื่อนได้แล้ว เป็นผู้ไม่หวั่นไหว หมดจด ปราศจากมลทิน เที่ยวไป ท่านเป็นหมู่นาคหนุ่ม อันพระ ผู้มีพระภาคเจ้าผู้มีจักษุทรงฝึกดีแล้ว ลำดับนั้น เทวดาอีกองค์หนึ่ง ได้กล่าวคาถานี้ ในสำนักพระผู้มีพระภาคว่า ชนเหล่าใดเหล่าหนึ่ง ถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะ เขาจักไม่ไปอบายภูมิ ละกาย มนุษย์แล้ว จักยังเทวกายให้บริบูรณ์ ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พวกเทวดาในโลกธาตุทั้ง ๑๐ ประชุมกันมาก เพื่อทัศนาตถาคตและภิกษุ สงฆ์ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละได้ประชุมกันเพื่อทัศนาพระผู้มีพระภาค อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งได้มีแล้วในอดีตกาล เหมือนที่ประชุมกันเพื่อทัศนาเรา ในบัดนี้ พวกเทวดาประมาณเท่านี้แหละจักประชุมกันเพื่อทัศนาพระอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งจักมีในอนาคตกาล เหมือนที่ประชุมกันเพื่อทัศนาเราในบัดนี้ เราจักบอกนามพวกเทวดา เราจักระบุนามพวกเทวดา เราจักแสดงนามพวกเทวดา พวกเธอจงฟังเรื่องนั้น จงใส่ใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้นทูลรับพระผู้มีพระ ภาคเจ้าแล้ว พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระคาถานี้ว่า


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๒๓ เราจักร้อยกรองโศลกตามลำดับ ภุมมเทวดาอาศัยอยู่ ณ ที่ใด พวกภิกษุก็ อาศัยที่นั้น ภิกษุพวกใดอาศัยซอกเขาส่งตนไปแล้ว มีจิตตั้งมั่น ภิกษุพวกนั้นเป็นอัน มาก เร้นอยู่ เหมือนราชสีห์ ครอบงำความขนพองสยองเกล้าเสียได้ มีใจผุดผ่อง เป็นผู้หมดจดใสสะอาดไม่ขุ่นมัว พระศาสดาทรงทราบภิกษุประมาณ ๕๐๐ เศษ ที่ อยู่ ณ ป่ามหาวัน เขตพระนครกบิลพัสดุ์ แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ยินดีในพระ ศาสนามาแล้ว ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวกเธอจงรู้จัก หมู่เทวดานั้น ภิกษุเหล่านั้นสดับรับสั่งของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความเพียร ญาณ เป็นเครื่องเห็นพวกอมนุษย์ได้ปรากฏแก่ภิกษุเหล่านั้น ภิกษุบางพวกได้เห็นอมนุษย์ ร้อยหนึ่ง บางพวกได้เห็นอมนุษย์พันหนึ่ง บางพวกได้เห็นอมนุษย์เจ็ดหมื่น บาง พวกได้เห็นอมนุษย์หนึ่งแสน บางพวกได้เห็นไม่มีที่สุด อมนุษย์ได้แผ่ไปทั่วทิศ พระ ศาสดาผู้มีพระจักษุ ทรงใคร่ครวญทราบเหตุนั้นสิ้นแล้ว แต่นั้น จึงตรัสเรียกสาวกผู้ ยินดีในพระศาสนามาแล้ว ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย หมู่เทวดามุ่งมากันแล้ว พวก เธอจงรู้จักหมู่เทวดานั้น เราจักบอกพวกเธอด้วยวาจา ตามลำดับ ยักษ์เจ็ดพันเป็นภุมมเทวดา อาศัยอยู่ในพระนครกบิลพัสดุ์ มีฤทธิ์ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์หกพันอยู่ที่เขาเหมวตา มีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์สามพันอยู่ที่เขาสาตาคีรี มีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มี ยศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ยักษ์เหล่านั้นรวม เป็นหนึ่งหมื่นหก พัน มีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ ประชุมของภิกษุ ยักษ์ห้าร้อยอยู่ที่เขาเวสสามิตตะ มีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ


๑๒๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ยักษ์ชื่อกุมภีระอยู่ในพระนครราชคฤห์ เขาเวปุลละ เป็นที่อยู่ของยักษ์นั้น ยักษ์แสนเศษแวดล้อมยักษ์ชื่อกุมภีระนั้น ยักษ์ชื่อกุมภีระอยู่ในพระนครราชคฤห์แม้ นั้น ก็ได้มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ท้าวธตรัฏฐะ อยู่ด้านทิศบูรพา ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวกคนธรรพ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินทะ มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ท้าววิรุฬหก อยู่ด้านทิศทักษิณ ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวกกุมภัณฑ์ เธอเป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินทะ มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ท้าววิรูปักษ์ อยู่ด้านทิศปัจจิม ปกครองทิศนั้นเป็นอธิบดีของพวกนาค เธอ เป็นมหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินทะ มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ท้าวกุเวร อยู่ด้านทิศอุดร ปกครองทิศนั้น เป็นอธิบดีของพวกยักษ์ เธอเป็น มหาราช มียศ แม้บุตรของเธอก็มาก มีนามว่า อินทะ มีกำลังมาก มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ท้าวธตรัฏฐะเป็นใหญ่ในทิศบูรพา ท้าววิรุฬหกเป็นใหญ่ในทิศทักษิณ ท้าว วิรูปักษ์เป็นใหญ่ในทิศปัจจิม ท้าวกุเวรเป็นใหญ่ในทิศอุดร ท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น ยังทิศทั้ง ๔ โดยรอบให้รุ่งเรือง ได้ยืนอยู่แล้วในป่าเขตพระนครกบิลพัสดุ์ พวกบ่าวของท้าวมหาราชทั้ง ๔ นั้น มีมายา ล่อลวง โอ้อวด เจ้าเล่ห์ มา ด้วยกัน มีชื่อคือ กุเฏณฑุ ๑ เวเฏณฑุ ๑ วิฏะ ๑ วิฏฏะ ๑ จันทนะ ๑ กามเสฏฐะ ๑ กินนุฆัณฑุ ๑ นิฆัณฑุ ๑ และท้าวเทวราชทั้งหลายผู้มีนามว่า ปนาทะ ๑ โอปมัญญะ ๑ เทพสารถีมีนามว่า มาตลิ ๑ จิตตเสนะ ผู้คนธรรพ์ ๑ นโฬราชะ ๑ ชโนสภะ ๑ ปัญจสิขะ ๑ ติมพรู ๑ สุริยวัจฉสาเทพธิดา ๑ มาทั้งนั้น ราชาและ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๒๕ คนธรรพ์พวกนั้น และพวกอื่น กับเทวราชทั้งหลายยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุม ของภิกษุ อนึ่ง เหล่านาคที่อยู่ในสระชื่อนภสะบ้าง อยู่ในเมืองเวสาลีบ้าง พร้อมด้วย นาคบริษัทเหล่าตัจฉกะ กัมพลนาค และอัสสตรนาคก็มา นาคผู้อยู่ในท่าชื่อปายาคะ กับญาติก็มา นาคผู้อยู่ในแม่น้ำยมุนา เกิดในสกุลธตรัฏฐะ ผู้มียศ ก็มา เอราวัณ เทพบุตรผู้เป็นช้างใหญ่แม้นั้นก็มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ปักษีทวิชาติผู้เป็นทิพย์ มีนัยน์ตาบริสุทธิ์ นำนาคราชไปได้โดยพลันนั้น มา โดยทางอากาศถึงท่ามกลางป่า ชื่อของปักษีนั้นว่า จิตรสุบรรณ ในเวลานั้น นาคราช ทั้งหลาย ไม่ได้มีความกลัว พระพุทธเจ้าได้ทรงกระทำให้ปลอดภัยจากครุฑ นาคกับ ครุฑเจรจากันด้วยวาจาอันไพเราะ กระทำพระพุทธเจ้าให้เป็นสรณะ พวกอสูรอาศัย สมุทรอยู่ อันท้าววชิรหันถ์รบชนะแล้ว เป็นพี่น้องของท้าววาสพะ มีฤทธิ์ มียศ เหล่านี้คือ พวกกาลกัญชอสูร มีกายใหญ่น่ากลัวก็มา พวกทานเวฆสอสูรก็มา เวปจิตติอสูร สุจิตติอสูร ปหาราทอสูร และนมุจีพระยามารก็มาด้วยกัน บุตรของพลิ อสูรหนึ่งร้อย มีชื่อว่าไพโรจน์ทั้งหมดผูกสอดเครื่องเสนาอันมีกำลัง เข้าไปใกล้ อสุรินทราหูแล้วกล่าวว่า ดูกรท่านผู้เจริญ บัดนี้ เป็นสมัยที่จะประชุมกัน ดังนี้แล้ว เข้าไปยังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ในเวลานั้น เทวดาทั้งหลาย ชื่ออาโป ชื่อปฐวี ชื่อเตโช ชื่อวาโย ได้พากัน มาแล้ว เทวดาชื่อวรุณะ ชื่อวารุณะ ชื่อโสมะ ชื่อยสสะ ก็มาด้วยกัน เทวดาผู้บังเกิด ในหมู่เทวดาด้วยเมตตาและกรุณาฌาน เป็นผู้มียศก็มา หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายัง ป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ เทวดาชื่อเวณฑู ชื่อสหลี ชื่ออสมา ชื่อยมะ ทั้งสอง พวกก็มา เทวดาผู้อาศัยพระจันทร์ กระทำพระจันทร์ไว้ในเบื้องหน้าก็มา เทวดาผู้ อาศัยพระอาทิตย์ กระทำพระอาทิตย์ไว้ในเบื้องหน้าก็มา เทวดากระทำนักษัตรไว้ ในเบื้องหน้าก็มา มันทพลาหกเทวดาก็มา


๑๒๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา แม้ท้าวสักกปุรินททวาสวะ ซึ่งประเสริฐกว่าเทวดาทั้งหลายก็เสด็จมา หมู่ เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์มีอานุภาพ มีรัศมี ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ อนึ่ง เทวดาชื่อสหภู ผู้รุ่งเรืองดุจเปลวไฟก็มา เทวดาชื่ออริฏฐกะ ชื่อโรชะ มี รัศมีดังสีดอกผักตบก็มา เทวดาชื่อวรุณะ ชื่อสหธรรม ชื่ออัจจุตะ ชื่ออเนชกะ ชื่อสุเลยยะ ชื่อรุจิระ ก็มา เทวดาชื่อวาสวเนสีก็มา หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมี รัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของ ภิกษุ เทวดาชื่อสมานะ ชื่อมหาสมานะ ชื่อมานุสะ ชื่อมานุสุตตมะ ชื่อขิฑฑาปทู- สิกะ ก็มา เทวดาชื่อมโนปทูสิกะก็มา อนึ่ง เทวดาชื่อหริ ชื่อโลหิตวาสี ชื่อปารคะ ชื่อมหาปารคะ ผู้มียศ ก็มา หมู่ เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ เทวดาชื่อสุกกะ ชื่อกรุมหะ ชื่ออรุณะ ชื่อเวฆนสะ ก็มาด้วยกัน เทวดาชื่อ โอทาตคัยหะ ผู้เป็นหัวหน้า เทวดาชื่อวิจักขณะ ก็มา เทวดาชื่อสทามัตตะ ชื่อ หารคชะ และชื่อมิสสกะ ผู้มียศ ก็มา ปชุนนเทวบุตร ซึ่งคำรามให้ฝนตกทั่วทิศก็มา หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มี อานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ เทวดาชื่อเขมิยะ เทวดาชั้นดุสิต เทวดาชั้นยามะ และเทวดาชื่อกัฏฐกะ มียศ เทวดาชื่อลัมพิตกะ ชื่อลามเสฏฐะ ชื่อโชตินามะ ชื่ออาสา และเทวดาชั้นนิมมานรดี ก็มา อนึ่ง เทวดาชั้นปรนิมมิตะก็มา หมู่เทวดา ๑๐ เหล่านี้ เป็น ๑๐ พวก ทั้งหมด ล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน มีฤทธิ์ มีอานุภาพ มีรัศมี มียศ ยินดี มุ่งมายังป่าอันเป็นที่


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๒๗ ประชุมของภิกษุ หมู่เทวดา ๖๐ เหล่านี้ ทั้งหมดล้วนมีรัศมีต่าง ๆ กัน มาแล้วโดย กำหนดชื่อ และเทวดาเหล่าอื่นผู้เช่นกัน มาพร้อมกันด้วยคิดว่า เราทั้งหลายจักเห็น พระนาคะ (ผู้ประเสริฐ หมายถึง พระอรหันตขีณาสพ) ผู้ปราศจากชาติ ไม่มีกิเลส ดุจตะปู มีโอฆะอันข้ามแล้ว ไม่มีอาสวะ ข้ามพ้นโอฆะ ผู้ล่วงความยึดถือได้แล้ว ดุจ พระจันทร์พ้นจากเมฆ ฉะนั้น สุพรหมและปรมัตตพรหม ซึ่งเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าผู้มีฤทธิ์ ก็มาด้วย สนังกุมารพรหม และติสสพรหมแม้นั้น ก็มายังป่าอันเป็นที่ประชุมของภิกษุ ท้าวมหาพรหมย่อมปกครองพรหมโลกพันหนึ่ง ท้าวมหาพรหมนั้นบังเกิด แล้วในพรหมโลก มีอานุภาพ มีกายใหญ่โต มียศก็มา พรหม ๑๐ พวก ผู้เป็นอิสระ ในพวกพรหมพันหนึ่ง มีอำนาจเป็นไปเฉพาะองค์ละอย่างก็มา มหาพรหมชื่อหาริตะ อันบริวารแวดล้อมแล้ว มาในท่ามกลางพรหมเหล่านั้น มารเสนา ได้เห็นพวกเทวดาพร้อมทั้งพระอินทร์ พระพรหมทั้งหมดนั้น ผู้มุ่ง มา ก็มาด้วย แล้วกล่าวว่า ท่านจงดูความเขลาของมาร พระยามารกล่าวว่า พวก ท่านจงมาจับเทวดาเหล่านี้ผูกไว้ ความผูกด้วยราคะ จงมีแก่ท่านทั้งหลาย พวกท่าน จงล้อมไว้โดยรอบ อย่าปล่อยใคร ๆ ไป พระยามารบังคับเสนามารในที่ประชุมนั้น ดังนี้แล้ว เอาฝ่ามือตบแผ่นดิน กระทำเสียงน่ากลัว เหมือนเมฆยังฝนให้ตก คำราม อยู่ พร้อมทั้งฟ้าแลบ ฉะนั้น เวลานั้น พระยามารนั้นไม่อาจยังใครให้เป็นไปใน อำนาจได้ โกรธจัด กลับไปแล้ว พระศาสดาผู้มีพระจักษุทรงพิจารณาทราบเหตุนั้นทั้งหมด แต่นั้น จึงตรัส เรียกสาวกผู้ยินดีในพระศาสนามาแล้วตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย มารเสนามาแล้ว พวกเธอจงรู้จักเขา ภิกษุเหล่านั้น สดับพระดำรัสสอนของพระพุทธเจ้าแล้ว ได้กระทำความ เพียร มารและเสนามารหลีกไปจากภิกษุผู้ปราศจากราคะ ไม่ยังแม้ขนของท่านให้ ไหว (พระยามารกล่าวสรรเสริญว่า) พวกสาวกของพระองค์ ทั้งหมดชนะสงคราม


๑๒๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา แล้ว ล่วงความกลัวได้แล้ว มียศปรากฏในหมู่ชน บันเทิงอยู่กับด้วยพระอริยเจ้าผู้ เกิดแล้วในพระศาสนา ดังนี้แล ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๒๙ สาราณียธัมมสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย ฉักกนิบาต สาราณียธรรมสูตร เป็นพระสูตรที่สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสแก่หมู่ภิกษุ เมื่อครั้งเสด็จประทับ ณ พระวิหารเชตวัน นครสาวัตถี ทรงชี้แจงถึง หลักธรรมที่เป็นเหตุให้เกิดความรัก ความเคารพ ความระลึกถึงกัน ไม่วิวาท บาดหมางกัน เป็นไปเพื่อความพร้อมเพรียงสามัคคีกันแห่งหมู่สงฆ์ มี ๖ ประการ จัดเป็นคุณธรรมที่สร้างสรรค์สามัคคีธรรมแห่งหมู่ชน ถือกันว่า ที่ใดมีความวุ่นวายคลายความสามัคคี ท่านให้สวดสาธยายสารณีย ธรรมสูตรนี้ เป็นการเจริญธรรมานุสสติและเมตตาธรรม บทสวด เอวัมเม สุตัง, เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สาวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ, อาราเม. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ภะทันเตติเต ภิกขูภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ, ฉะยิเม ภิกขะเว ธัมมา สาราณียา ปิยะกะระณา คะรุกะระณา, สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตันติ. กะตะเม ฉะ. ๑. อิธะ ภิกขะเว ภิกขุโน, เมตตัง กายะกัมมัง ปัจจุปัฏฐิตัง โหติ, สะพ๎รัห๎มะจารีสุ อาวิเจวะ ระโห จะ. อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ, สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ. ๒. ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุโน, เมตตัง วะจีกัมมัง ปัจจุปัฏฐิตัง โหติ, สะพ๎รัห๎มะจารีสุ อาวิเจวะ ระโห จะ. อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย


๑๓๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ, สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกี- ภาวายะ สังวัตตะติ. ๓. ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุโน, เมตตัง มะโนกัมมัง ปัจจุปัฏฐิตัง โหติ, สะพ๎รัห๎มะจารีสุ อาวิเจวะ ระโห จะ. อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ, สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกี- ภาวายะ สังวัตตะติ. ๔. ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ, เย เต ลาภา ธัมมิกา ธัมมะลัทธา. อันตะมะโส ปัตตะปะริยาปันนะมัตตัมปิ, ตะถารูเปหิ ลาเภหิ อัปปะฏิ- วิภัตตะโภคี โหติ, สีละวันเตหิ สะพ๎รัห๎มะจารีหิ สาธาระณะโภคี. อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ, สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ. ๕. ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ, ยานิ ตานิ สีลานิ อะขัณฑานิ อะฉิททานิ อะสะพะลานิ อะกัมมาสานิ, ภุชิสสานิ วิญญูปะสัตถานิ อะปะรามัตถานิ สะมาธิสังวัตตะนิกานิ, ตะถารูเปสุ สีเลสุ สีละสามัญญะคะโต วิหะระติ, สะพ๎รัห๎มะจารีหิ อาวิ เจวะ ระโห จะ. อะยัมปิ ธัมโม สาราณีโย ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ, สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ. ๖. ปุนะ จะปะรัง ภิกขะเว ภิกขุ, ยายัง ทิฏฐิ อะริยา นิยยานิกา. นิยยาติ ตักกะรัสสะ สัมมาทุกขักขะยายะ, ตะถารูปายะ ทิฏฐิยา ทิฏฐิสามัญญะคะโต วิหะระติ, สะพ๎รัห๎มะจารีหิ อาวิ เจวะ ระโห จะ. อะยัมปิธัมโม สาราณีโย ปิยะกะระโณ คะรุกะระโณ, สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตะติ.


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๓๑ อิเม โข ภิกขะเว ฉะ ธัมมา สาราณียา ปิยะกะระณา คะรุกะระณา, สังคะหายะ อะวิวาทายะ สามัคคิยา เอกีภาวายะ สังวัตตันตีติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง, อะภินันทุนติ. คำแปล ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ในพระวิหารเชตวัน อารามของ อนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้กรุงสาวัตถี ณ ที่นั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุ ทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นกราบทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า ข้า แต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์จึงตรัสคำต่อไปนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้ เป็นสาราณียธรรม (ธรรมเครื่อง ระลึกถึงกัน) สร้างความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อการสงเคราะห์กัน เพื่อการ ไม่ทะเลาะวิวาท เพื่อความสามัคคีเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ธรรม ๖ ประการเป็นไฉน ๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งกายกรรม ประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็ เป็นสาราณียธรรม ธรรมเครื่องระลึกถึงกัน สร้างความรัก ก่อความเคารพ เป็นไป เพื่อสงเคราะห์กัน เพื่อการไม่ทะเลาะวิวาท เพื่อความสามัคคี เพื่อความเป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน ๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งวจีกรรมประกอบด้วย เมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นธรรม เครื่องระลึกถึงกัน สร้างความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กัน เพื่อการ ไม่ทะเลาะวิวาท เพื่อความสามัคคี เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าไปตั้งมโนกรรม ประกอบด้วยเมตตา ในเพื่อนพรหมจรรย์ทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็


๑๓๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา เป็นธรรมเครื่องระลึกถึงกัน สร้างความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์ กัน เพื่อการไม่ทะเลาะวิวาท เพื่อความสามัคคี เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ๔. อีกประการหนึ่ง ภิกษุแบ่งปันลาภที่ประกอบด้วยธรรม ได้มาอย่าง ถูกต้อง แม้อาหารบิณฑบาต ไม่จำเพาะเจาะจงผู้นี้ แต่บริโภคร่วมกันกับเพื่อน พรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นธรรมเครื่องระลึกถึงกัน สร้างความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กัน เพื่อการไม่ทะเลาะวิวาท เพื่อความสามัคคีเพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ๕. อีกประการหนึ่ง ภิกษุผู้มีศีลไม่ขาด ไม่ทะลุ ไม่ด่าง ไม่พร้อย เป็นไท อัน วิญญูชนสรรเสริญ อันตัณหาและทิฏฐิแตะต้องไม่ได้เป็นไปพร้อมเพื่อสมาธิ มีศีล เสมอกันกับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นธรรม เครื่องระลึกถึงกัน สร้างความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กัน เพื่อการ ไม่ทะเลาะวิวาท เพื่อความสามัคคี เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ๖. อีกประการหนึ่ง ทิฏฐิอันประเสริฐใด เป็นเครื่องนำสัตว์ออกจากทุกข์ ย่อมนำผู้กระทำตามออกไปเพื่อความสิ้นไปแห่งทุกข์โดยชอบ ภิกษุผู้มีทิฏฐิเช่นนั้น เสมอกันกับเพื่อนพรหมจารีทั้งหลาย ทั้งต่อหน้าและลับหลัง แม้ข้อนี้ก็เป็นธรรม เครื่องระลึกถึงกัน สร้างความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กัน เพื่อ การไม่ทะเลาะวิวาท เพื่อความสามัคคี เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ธรรม ๖ ประการนี้เหล่านี้เป็นธรรมเครื่องระลึกถึงกัน สร้างความรัก ก่อความเคารพ เป็นไปเพื่อสงเคราะห์กัน เพื่อการไม่ทะเลาะวิวาท เพื่อความสามัคคี เพื่อความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๓๓ ภิกขุอปริหานิยธัมมสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตตรนิกาย สัตตกนิบาต อปริหานิยธรรมสูตร เป็นพระสูตรที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรง แสดงแก่หมู่ภิกษุ เมื่อคราวเสด็จประทับอยู่ ณ เขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุงราชคฤห์มี เนื้อหาที่กล่าวถึงหลักปฏิบัติที่เป็นไปเพื่อความเจริญรุ่งเรืองแห่งหมู่สงฆ์ ปิดกั้นทาง แห่งความเสื่อม เป็นคุณธรรมดำรงหมู่มีอยู่ ๗ ประการ พระสูตรบทนี้ นิยมสวดคู่กับสาราณียธรรมสูตร เป็นการเจริญเมตตา สามัคคีธรรม เช่นเดียวกัน บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, ราชะคะเห วิหะระติ, คิชฌะกูเฏ ปัพพะเต, ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ. สัตตะ โว ภิกขะเว อะปะริหาริเย ธัมเม เทเสสสามิ, ตัง สุณาถะ สาธุกัง มะนะสิ กะโรถะ ภาสิสสามีติ. เอวัมภันเตติ โข เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ. กะตะเม จะ ภิกขะเว สัตตะ อะปะริหานิยา ธัมมา. ๑. ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, อะภิณ๎หะสันนิปาตา ภะวิสสันติ สันนิปาตะพะหุลา, วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ๒. ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, สะมัคคา สันนิปะติสสันติ, สะมัคคา วุฏฐะหิสสันติ, สะมัคคา สังฆะกะระณียานิ กะริสสันติ. วุฑฒิ- เยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ๓. ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, อะปัญญัตตัง นะ ปัญญะเปสสันติ, ปัญญัตตัง นะ สะมุจฉินทิสสันติ, ยะถาปัญญัตเตสุ สิกขา-


๑๓๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ปะเทสุ สะมาทายะ วัตติสสันติ, วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ๔. ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, เย เต ภิกขู เถรา รัตตัญญู จิระปัพพะชิตา, สังฆะปิตะโร สังฆะปะริณายะกา, เต สักกะริสสันติ คะรุกะริสสันติ มาเนสสันติ ปูเชสสันติ, เตสัญจะ โสตัพพัง มัญญิสสันติ, วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ๕. ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, อุปปันนายะ ตัณหายะ โปโนพภะวิกายะ โน วะสัง คัจฉิสสันติ, วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ๖. ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, อารัญญะเกสุ เสนาสะเนสุ สาเปกขา ภะวิสสันติ, วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ๗. ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว ภิกขู, ปัจจัตตัญเญวะ สะติง อุปัฏฐะเปสสันติ, กินติ อะนาคะตา จะ เปสะลา สะพ๎รัห๎มะจารีอาคัจเฉยยุง, อาคะตา จะ เปสะลา สะพ๎รัห๎มะจารี ผาสุง วิหะเรยยุนติ,วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานิ. ยาวะกีวัญจะ ภิกขะเว อิเม สัตตะ อะปะริหานิยา ธัมมา ภิกขูสุ ฐัสสันติ, อิเมสุ จะ สัตตะสุ อะปะริหานิเยสุ ธัมเมสุ ภิกขู สันทิสสิสสันติ, วุฑฒิเยวะ ภิกขะเว ภิกขูนัง ปาฏิกังขา โน ปะริหานีติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง, อะภินันทุนติ.


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๓๕ คำแปล ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ เขาคิชฌกูฏ ใกล้กรุง ราชคฤห์ ณ ที่นั้นแล พระองค์ตรัสเรียกภิกษุทั้งหลาย ด้วยพระดำรัสว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เราตถาคตจักแสดงธรรมไม่เป็นที่ตั้งแห่งความเสื่อม ๗ ประการ แก่พวกเธอ ขอเธอทั้งหลายจงตั้งใจฟังธรรมนั้นให้ดีเราตถาคตจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น กราบทูลรับพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว พระองค์จึงตรัสคำต่อไปนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗ ประการเป็นไฉน ๑. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักหมั่นประชุมกันเนืองนิตย์อยู่เพียงใด พวกเธอพึงหวังได้ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเพียงนั้น ๒. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักพร้อมเพรียงกันประชุม พร้อมเพรียง กันเลิก พร้อมเพรียงกันทำกิจสงฆ์อยู่เพียงใด พวกเธอพึงหวังได้ความเจริญอย่าง เดียว ไม่มีเสื่อมเพียงนั้น ๓. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุจักไม่บัญญัติสิ่งที่เรามิได้บัญญัติ ไม่ถอนสิ่งที่ เราบัญญัติไว้แล้ว ยึดมั่นประพฤติตนอยู่ในสิกขาบททั้งหลาย ตามที่ได้บัญญัติไว้อยู่ เพียงใด พวกเธอพึงหวังได้ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเพียงนั้น ๔. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เหล่าภิกษุผู้เป็นเถระรัตตัญญูบวชนาน พวกภิกษุจัก สักการะท่านเหล่านั้นเป็นสังฆบิดร สังฆปริณายก เคารพ นับถือ บูชา และเชื่อฟัง ถ้อยคำของท่านเหล่านั้นเพียงใด พวกเธอพึงหวังได้ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ๕. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักไม่ลุอำนาจตัณหา อันจะก่อให้เกิดภพ ใหม่ ซึ่งเกิดขึ้นแล้วอยู่เพียงใด พวกเธอพึงหวังได้ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อม เพียงนั้น ๖. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจักยินดีเสนาสนะป่าอยู่เพียงใด พวกเธอ พึงหวังได้ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเพียงนั้น


๑๓๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ๗. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุจะเข้าไปตั้งสติไว้ภายในตนว่า ไฉนหนอ เพื่อนพรหมจารี ผู้มีศีลเป็นที่รักที่ยังไม่มา พึงมา และที่มาแล้ว พึงอยู่สบาย ดังนี้ อยู่เพียงใด พวกเธอพึงหวังได้ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเพียงนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้ จักดำรงอยู่ในหมู่ภิกษุ และหมู่ภิกษุสนใจในอปริหานิยธรรม ๗ ประการนี้อยู่เพียงใด พวกเธอพึงหวังได้ ความเจริญอย่างเดียว ไม่มีเสื่อมเพียงนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระดำรัสนั้นจบแล้ว พวกภิกษุเหล่านั้นชื่นชม ภาษิตของพระองค์ ด้วยประการฉะนี้ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๓๗ เมตตานิสังสสุตตปาฐะ เมตตานิสังสสุตตปาฐะ เป็นพุทธพจน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ว่าด้วยอานิสงส์ของการเจริญเมตตา ซึ่งได้รับการบันทึกไว้ในพระสุตตันตปิฎก และ ในเวลาต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในบทสวดมนต์ที่ชาวพุทธนิยมสวดสาธยาย ได้รับ การรวบรวมไว้ในภาณวารหรือหนังสือสวดมนต์ฉบับหลวง บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สาวัตถิยัง วิหะระติ เชตะวะเน, อะนาถะปิณฑิกัสสะ อาราเม. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ ภิกขะโวติ. ภะทันเตติ เต ภิกขู ภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง ภะคะวา เอตะทะโวจะ, เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา, อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลีกะตายะ ยานีกะตายะ, วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ, ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ, เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขา. กะตะเม เอกาทะสะ. สุขัง สุปะติ, สุขัง ปะฏิพุชฌะติ. นะ ปาปะกัง สุปินัง ปัสสะติ. มะนุสสานัง ปิโย โหติ. อะมะนุสสานัง ปิโย โหติ. เทวะตา รักขันติ. นาสสะ อัคคิ วา วิสัง วา สัตถัง วา กะมะติ. ตุวะฏัง จิตตัง สะมาธิยะติ. มุขะวัณโณ วิปปะสีทะติ. อะสัมมุฬîโหกาลัง กะโรติ. อุตตะริง อัปปะฏิวิชฌันโต พ๎รัห๎มะโลกูปะโค โหติ. เมตตายะ ภิกขะเว เจโตวิมุตติยา อาเสวิตายะ ภาวิตายะ พะหุลี- กะตายะ ยานีกะตายะ, วัตถุกะตายะ อะนุฏฐิตายะ, ปะริจิตายะ สุสะมารัทธายะ, อิเม เอกาทะสานิสังสา ปาฏิกังขาติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะนา เต ภิกขูภะคะวะโต ภาสิตัง, อะภินันทุนติ.


๑๓๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา คำแปล ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่เชตวันมหาวิหาร อารามของ อนาถบิณฑิกคฤหบดีแห่งสาวัตถีในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเรียก พระภิกษุทั้งหลายว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุเหล่านั้นทูลรับว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ เจริญ พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสคำนี้ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมตตาอันเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตนี้อันบุคคล บำเพ็ญจนคุ้นแล้ว ทำให้มากแล้ว คือชำนาญให้ยิ่ง เป็นที่พึ่งของใจ ทำให้เป็นที่อยู่ ของใจ ตั้งไว้เป็นนิจ อันบุคคลสั่งสมอบรมแล้ว บำเพ็ญให้มากแล้ว ย่อมมีอานิสงส์ ๑๑ ประการ อย่างนี้ อานิสงส์ ๑๑ ประการ อะไรบ้าง คือ ผู้เจริญเมตตาจิตนั้น ย่อมหลับเป็นสุข เมื่อตื่นขึ้นก็ย่อมอยู่เป็นสุข หลับอยู่ก็ไม่ฝันร้าย เป็นที่รักของเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย เป็นที่รักของเหล่าอมนุษย์ทั้งหลาย เทวดาย่อมคุ้มครองรักษา ไฟก็ดี ยาพิษก็ดี ศัสตราก็ดีย่อมทำอันตรายไม่ได้เลย จิตย่อมเป็นสมาธิได้รวดเร็วอย่างยิ่ง ผิวหน้า ย่อมผ่องใส เป็นผู้ไม่ลุ่มหลงเมื่อทำกาลกิริยา (ตาย) เมื่อยังไม่บรรลุคุณวิเศษอันยิ่ง ๆ ขึ้นไป ย่อมเป็นผู้เข้าถึงพรหมโลกแล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมตตาอันเป็นไปเพื่อความหลุดพ้นแห่งจิตนี้อันบุคคล บำเพ็ญจนคุ้นแล้ว ทำให้มากแล้ว คือชำนาญให้ยิ่ง เป็นที่พึ่งของใจ ทำให้เป็นที่อยู่ ของใจ ตั้งไว้เป็นนิจ อันบุคคลสั่งสมอบรมแล้ว บำเพ็ญให้มากแล้ว ย่อมมีอานิสงส์ ๑๑ ประการอย่างนี้แล พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสธรรมปริยายอันนี้แล้ว พระภิกษุทั้งหลาย เหล่านั้น ก็มีใจยินดีชื่นชมในภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ด้วย ประการฉะนี้แล ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๓๙ สติปัฏฐานปาฐะ สติปัฏฐานปาฐะ เป็นส่วนแห่งสติปัฏฐานสูตร หรือ มหาสติปัฏฐาน สูตร เป็นพระสูตรสำคัญในพระพุทธศาสนาที่พระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัส แก่ชาวกุรุชนบท ทรงแสดงหนทางสายเอกเพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง เพื่อทำให้แจ้ง ซึ่งพระนิพพาน มหาสติปัฏฐานสูตร เมื่อพิจารณาจากพระพุทธพจน์ตอนเริ่มพระสูตร อาจ กล่าวได้ว่า หลักการในพระสูตรนี้ เป็นหลักแนวปฏิบัติตรงที่เน้นเฉพาะเพื่อการรู้ แจ้ง คือให้มีสติพิจารณากำกับดูสิ่งทั้งหลายให้รู้เห็นเท่าทันตามความเป็นจริง โดย ไม่ให้ถูกครอบงำไว้ด้วยอำนาจกิเลสต่าง ๆ โดยมีแนวปฏิบัติเป็นขั้นตอน ๔ ระดับ คือ พิจารณากาย, ความรู้สึก (เวทนา), จิต, และธรรมที่เกิดในจิต การสวดสาธยายพระสูตร หรือปาฐะบทนี้ เป็นการเจริญสติและวิปัสสนา กรรมฐาน และนิยมสวดในงานทำบุญต่ออายุ หรือสวดก่อนเจริญสติปัฏฐานภาวนา บทสวด อัตถิ โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ. เอกายะโน อะยัง มัคโค สัมมะทักขาโต, สัตตานัง วิสุทธิยา, โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ, ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ, ญายัสสะ อะธิคะมายะ, นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานา, กะตะเม จัตตาโร. อิธะ ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา


๑๔๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ, อาตาปี สัมปะชาโน สะติมา วิเนยยะ โลเก อะภิชฌาโทมะนัสสัง. ๑. กะถัญจะ ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตัง วา กาเย กายานุปัสสีวิหะระติ, พะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสีวิหะระติ, อัชฌัตตะพะหิทธา วา กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ, สะมุทะยะธัมมานุปัสสีวา กายัส๎มิง วิหะระติ, วะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ, สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา กายัส๎มิง วิหะระติ, อัตถิ กาโยติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ, ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ. อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. เอวัง โข ภิกขุ กาเย กายานุปัสสี วิหะระติ. ๒. กะถัญจะ ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตัง วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ, พะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ, อัชฌัตตะพะหิทธา วา เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ, สะมุทะยะธัมมานุปัสสีวา เวทะนาสุวิหะระติ, วะยะธัมมานุ- ปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ, สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา เวทะนาสุ วิหะระติ, อัตถิ เวทะนาติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ, ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ. อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. เอวัง โข ภิกขุ เวทะนาสุ เวทะนานุปัสสี วิหะระติ. ๓. กะถัญจะ ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตัง วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ, พะหิทธา วา จิตเต จิตตานุ- ปัสสี วิหะระติ, อัชฌัตตะพะหิทธา วา จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ,


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๔๑ สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ, วะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ, สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา จิตตัส๎มิง วิหะระติ, อัตถิ จิตตันติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ, ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ. อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. เอวัง โข ภิกขุ จิตเต จิตตานุปัสสี วิหะระติ. ๔. กะถัญจะ ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. อิธะ ภิกขุ อัชฌัตตัง วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ, พะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ, อัชฌัตตะพะหิทธา วา ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ, สะมุทะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ, วะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ, สะมุทะยะวะยะธัมมานุปัสสี วา ธัมเมสุ วิหะระติ, อัตถิธัมมาติ วา ปะนัสสะ สะติ ปัจจุปัฏฐิตา โหติ, ยาวะเทวะ ญาณะมัตตายะ ปะฏิสสะติมัตตายะ. อะนิสสิโต จะ วิหะระติ นะ จะ กิญจิ โลเก อุปาทิยะติ. เอวัง โข ภิกขุ ธัมเมสุ ธัมมานุปัสสี วิหะระติ. อะยัง โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ, เอกายะโน มัคโค สัมมะทักขาโต, สัตตานัง วิสุทธิยา, โสกะปะริเทวานัง สะมะติกกะมายะ, ทุกขะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมายะ, ญายัสสะ อะธิคะมายะ, นิพพานัสสะ สัจฉิกิริยายะ. ยะทิทัง จัตตาโร สะติปัฏฐานาติ. เอกายะนัง ชาติขะยันตะทัสสี, มัคคัง ปะชานาติ หิตานุกัมปี, เอเตนะ มัคเคนะ ตะริงสุ ปุพเพ, ตะริสสะเร เจวะ ตะรันติ โจฆันติ.


๑๔๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา คำแปล หนทางสายนี้ ซึ่งเป็นทางไปสายเอก ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงรู้แจ้งเห็น จริง พระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ได้ตรัสไว้โดยชอบ เพื่อความหมดจด วิเศษของสัตว์ทั้งหลาย เพื่อก้าวล่วงความโศกและความร่ำไร เพื่อความอัสดงดับไป แห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน มีอยู่ แล หนทางสายนี้ ก็คือ สติปัฏฐาน ๔ สติปัฏฐาน ๔ มีอะไรบ้าง ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เนือง ๆ มี ความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติถอนความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้เธอย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มี ความเพียรเครื่องเผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติถอนความพอใจและความไม่พอใจ ในโลกออกเสียได้เธอย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่อง เผากิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ เธอย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายอยู่เป็นประจำ มีความเพียรเครื่งเผา กิเลส มีสัมปชัญญะ มีสติถอนความพอใจและความไม่พอใจในโลกออกเสียได้ ๑. ภิกษุย่อมเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่เป็นประจำอย่างไรเล่า ภิกษุ ในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายในภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น กายในกายในภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นกายทั้งภายในและภายนอกบ้าง ย่อม พิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมคือความ เสื่อมไปในกายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นและความเสื่อมไปใน กายบ้าง ก็หรือความระลึกว่า กายมีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่ เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น แค่เพียง สักว่าเป็นที่อาศัยระลึก แค่เพียงสักว่าเป็นที่รู้เธอย่อมไม่ติดอยู่ และย่อมไม่ยึดมั่น ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายในกายเนือง ๆ อยู่อย่างนี้แล ๒. ก็ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เนืองๆ อย่างไรเล่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเป็นภายในบ้าง


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๔๓ ย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็น เวทนาทั้งหลายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความ เกิดขึ้นในเวทนาทั้งหลายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปแห่ง เวทนาบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปแห่งเวทนา บ้าง ก็หรือความระลึกว่า เวทนามีอยู่ เข้าไปตั้งอยู่เฉพาะหน้าแก่เธอนั้น แค่เพียงสัก ว่าเป็นที่รู้ แค่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอย่อมไม่ติดอยู่ และย่อมไม่ยึดมั่นถือ มั่นอะไร ๆ ในโลก ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลายอยู่เนือง ๆ อย่าง นี้แล ๓. ก็ภิกษุพิจารณาเห็นจิตในจิตเนือง ๆ อยู่เป็นอย่างไร ภิกษุในพระธรรม วินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็นภายในบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตเป็น ภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตทั้งเป็นภายในทั้งเป็นภายนอกบ้าง ย่อม พิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้นในจิตบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความ เสื่อมไปในจิตบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในจิต บ้าง ก็หรือความระลึกว่า มีจิตปรากฏอยู่เฉพาะหน้าเธอนั่น แค่เพียงสักว่าเป็นที่รู้ แค่เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึก เธอย่อมไม่ติดอยู่และย่อมไม่ถือมั่นอะไร ๆ ในโลก ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่เนือง ๆ อย่างนี้แล ๔. ก็ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนือง ๆ อยู่อย่างไร ภิกษุ ในพระธรรมวินัยนี้ ย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเป็นภายในบ้าง ย่อม พิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเป็นภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมใน ธรรมทั้งหลายทั้งภายในทั้งภายนอกบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเกิดขึ้น ในธรรมทั้งหลายบ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาคือความเสื่อมไปในธรรมทั้งหลาย บ้าง ย่อมพิจารณาเห็นธรรมดาทั้งความเกิดขึ้นทั้งความเสื่อมไปในธรรมทั้งหลาย บ้าง ก็หรือความระลึกว่า ธรรมทั้งหลายมีอยู่ ย่อมปรากฏอยู่ต่อหน้าเธอ เพียงสักว่า รู้ เพียงสักว่าเป็นที่อาศัยระลึกเท่านั้น เธอย่อมไม่ติดอยู่ และย่อมไม่ยึดมั่นถือมั่น อะไร ๆ ในโลก ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นธรรมในธรรมทั้งหลายเนือง ๆ อยู่อย่างนี้แล


๑๔๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา หนทางสายนี้แหละ เป็นหนทางสายเอก ซึ่งพระผู้มีพระภาคผู้ทรงรู้แจ้งเห็น จริงอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์นั้น ตรัสไว้โดยชอบ เพื่อความหมดจดวิเศษ แห่งสัตว์ทั้งหลาย เพื่อความก้าวล่วงความเศร้าโศกและความคร่ำครวญพิไรรำพัน เพื่อความอัสดงดับไปแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุญายธรรม เพื่อกระทำพระ นิพพานให้แจ้ง หนทางที่กล่าวถึงซึ่งเป็นหนทางสายเอกนี้ก็คือ สติปัฏฐาน ๔ “พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เล็งเห็นพระนิพพาน ผู้ทรงอนุเคราะห์หมู่สัตว์ด้วย ประโยชน์เกื้อกูล ย่อมทรงรู้แจ้งซึ่งหนทางสายเอก ในอดีต อนาคต หรือแม้กระทั่ง ในปัจจุบัน สัตว์ทั้งหลายล้วนใช้หนทางสายเอกนั้น ข้ามห้วงน้ำคือกิเลส” ฯ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๔๕ โอวาทปาฏิโมกขาทิปาฐะ โอวาทปาติโมกข์ เป็นหลักคำสอนสำคัญของพระพุทธศาสนา เป็น "ปาติโมกข์" หรือ หัวข้อ ที่พระพุทธองค์ทรงแสดงในวันเพ็ญเดือนมาฆะ (เดือน ๓) หลังจากตรัสรู้แล้ว ๙ เดือน เป็นการแสดงปาติโมกข์ที่ประกอบด้วยองค์ ๔ เรียกว่า จาตุรงคสันนิบาต ซึ่งมีเพียงครั้งเดียวในพระศาสนาของพระพุทธเจ้าองค์ หนึ่ง ๆ หรือจะเรียกว่าเป็นการประกาศตั้งศาสนาก็ได้ อรรถกถาแสดงไว้ว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดง "โอวาทปาติโมกข์" นี้ ด้วย พระองค์เอง ท่ามกลางที่ประชุมสงฆ์ตลอด ๒๐ พรรษาแรก หลังจากนั้นทรงบัญญัติ ให้พระสงฆ์แสดง "อาณาปาติโมกข์" (สวดพระปาติโมกข์) แทน บทสวด อุททิฏฐัง โข เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ, โอวาทะปาฏิโมกขัง ตีหิ คาถาหิ, ขันตี ปะระมัง ตะโป ตีติกขา, นิพพานัง ปะระมัง วะทันติ พุทธา, นะ หิ ปัพพะชิโต ปะรูปะฆาตี, สะมะโณ โหติ ปะรัง วิเหฐะยันโต. สัพพะปาปัสสะ อะกะระณัง กุสะลัสสูปะสัมปะทา, สะจิตตะปะริโยทะปะนัง เอตัง พุทธานะ สาสะนัง. อะนูปะวาโท อะนูปะฆาโต ปาฏิโมกเข จะ สังวะโร, มัตตัญญุตา จะ ภัตตัส๎มิง ปันตัญจะ สะยะนาสะนัง, อะธิจิตเต จะ อาโยโค เอตัง พุทธานะ สาสะนันติ.


๑๔๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา อะเนกะปะริยาเยนะ โข ปะนะ เตนะ ภะคะวะตา ชานะตา ปัสสะตา อะระหะตา สัมมาสัมพุทเธนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง สะมาธิ สัมมะทักขาโต ปัญญา สัมมะทักขาตา. กะถัญจะ สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. เหฏฐิเมนะปิ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. อุปะริเมนะปิปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. กะถัญจะ เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา, อิธะ อะริยะสาวะโก ปาณาติปาตา ปะฏิวิระโต โหติ, อะทินนาทานา ปะฏิวิระโต โหติ, กาเมสุ มิจฉาจารา ปะฏิวิระโต โหติ, มุสาวาทา ปะฏิวิระโต โหติ, สุราเมระยะมัชชะปะมาทัฏฐานา ปะฏิวิระโต โหตีติ. เอวัง โข เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะตา. กะถัญจะ อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. อิธะ ภิกขุ สีละวา โหติ, ปาฏิโมกขะสังวะระสังวุโต วิหะระติ อาจาระโคจะระสัมปันโน, อะณุมัตเตสุ วัชเชสุ ภะยะทัสสาวีสะมาทายะ สิกขะติ สิกขาปะเทสูติ. เอวัง โข อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, สีลัง สัมมะทักขาตัง ภะคะวะตา. กะถัญจะ สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. เหฏฐิเมนะปิ ปะริยาเยนะ, สมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. อุปะริเมนะปิปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. กะถัญจะ เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. อิธะ อะริยะสาวะโก โวสสัคคารัมมะณัง กะริต๎วา, ละภะติ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๔๗ สะมาธิง ละภะติ จิตตัสเสกัคคะตันติ. เอวัง โข เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. กะถัญจะ อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. อิธะ ภิกขุวิวิจเจวะ กาเมหิ วิวิจจะ อะกุสะเลหิ ธัมเมหิ, สะวิตักกัง สะวิจารัง วิเวกะชัมปีติสุขัง ปะฐะมัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. วิตักกะวิจารานัง วูปะสะมา, อัชฌัตตัง สัมปะสาทะนัง เจตะโส เอโกทิภาวัง อะวิตักกัง อะวิจารัง, สะมาธิชัมปีติสุขัง ทุติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. ปีติยา จะ วิราคา อุเปกขะโก จะ วิหะระติ สะโต จะ สัมปะชาโน, สุขัญจะ กาเยนะ ปะฏิสังเวเทติ, ยันตัง อะริยา อาจิกขันติ อุเปกขะโก สะติมา สุขะวิหารีติ, ตะติยัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระติ. สุขัสสะ จะ ปะหานา ทุกขัสสะ จะ ปะหานา, ปุพเพ วะ โสมะนัสสะโทมะนัสสานัง อัตถังคะมา, อะทุกขะมะสุขัง อุเปกขาสะติ- ปาริสุทธิง, จะตุตถัง ฌานัง อุปะสัมปัชชะ วิหะระตีติ. เอวัง โข อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, สะมาธิ สัมมะทักขาโต ภะคะวะตา. กะถัญจะ ปัญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. เหฏฐิเมนะปิ ปะริยาเยนะ, ปัญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. อุปะริเมนะปิ ปะริยาเยนะ, ปัญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. กะถัญจะ เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, ปัญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. อิธะ อะริยะสาวะโก ปัญญะวา โหติ. อุทะยัตถะคามินิยา ปัญญายะ สะมันนาคะโค, อะริยายะ นิพเพธิกายะ สัมมา ทุกขักขะยะคามินิยาติ. เอวัง โข เหฏฐิเมนะ ปะริยาเยนะ, ปัญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา.


๑๔๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา กะถัญจะ อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, ปัญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. อิธะ ภิกขุ อิทัง ทุกขันติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ. อะยัง ทุกขะสะมุทะโยติ ยะถาภูตัง ปะชานาติ, อะยัง ทุกขะนิโรโธติยะถาภูตัง ปะชานาติ, อะยัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทาติยะถาภูตัง ปะชานาตีติ. เอวัง โข อุปะริเมนะ ปะริยาเยนะ, ปัญญา สัมมะทักขาตา ภะคะวะตา. สีละปะริภาวิโต สะมาธิ มะหัปผะโล โหติ มะหานิสังโส. สะมาธิ- ปะริภาวิตา ปัญญา มะหัปผะลา โหติมะหานิสังสา. ปัญญาปะริภาวิตัง จิตตัง สัมมะเทวะ อาสะเวหิ วิมุจจะติ. เสยยะถีทัง. กามาสะวา ภะวาสะวา อะวิชชาสะวา. ภาสิตา โข ปะนะ ภะคะวะตา ปะรินิพพานะสะมะเย อะยัง ปัจฉิมะวาจา, หันทะทานิ ภิกขะเว อามันตะยามิ โว, วะยะธัมมา สังขารา, อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถาติ. ภาสิตัญจิทัง ภะคะวะตา, เสยยะถาปิ ภิกขะเว ยานิ กานิจิ ชังคะลานัง ปาณานัง ปะทะชาตานิ, สัพพานิตานิหัตถิปะเท สะโมธานัง คัจฉันติ, หัตถิปะทัง เตสัง อัคคะมักขายะติ, ยะทิทัง มะหันตัตเตนะ. เอวะเมวะ โข ภิกขะเว เย เกจิ กุสะลา ธัมมา, สัพเพ เต อัปปะมาทะมูละกา อัปปะมาทะสะโมสะระณา, อัปปะมาโท เตสัง อัคคะมักขายะตีติ. ตัส๎มาติหัมเหหิ สิกขิตัพพัง, ติพพาเปกขา ภะวิสสามะ, อะธิสีละสิกขาสะมาทาเน อะธิจิตตะสิกขาสะมาทาเน, อะธิปัญญาสิกขาสะมาทาเน, อัปปะมาเทนะ สัมปาเทสสามาติ. เอวัญหิ โน สิกขิตัพพัง. คำแปล พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงยกโอวาทปาฏิโมกข์ (พระ โอวาทสำคัญ) ขึ้นแสดงแล้วด้วยพระคาถา ๓ บทว่า ความอดทน ความอดกลั้นเป็น


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๔๙ ตบะ (เครื่องแผดเผากิเลส) อย่างยิ่ง พระพุทธเจ้าทั้งหลายตรัสว่า พระนิพพานเป็น ธรรมอย่างยิ่ง ผู้ทำร้ายผู้อื่นเบียดเบียนผู้อื่น ไม่ชื่อว่าเป็นบรรพชิต เป็นสมณะเลย การไม่ทำบาปทั้งปวง การยังกุศลให้ถึงพร้อม การทำจิตของตนให้ผ่องใส นี้ เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหลาย การไม่กล่าวร้าย การไม่ทำร้าย ความ สำรวมในพระปาฏิโมกข์ ความเป็นผู้รู้จักประมาณในอาหาร ที่นั่งที่นอนอันสงัด การประกอบความเพียรในอธิจิต (คือการทำจิตให้เป็นสมาธิ) นี้ เป็นคำสั่งสอนของ พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ตรัสศีล สมาธิ ปัญญา ไว้โดย ชอบแล้ว โดยเอนกปริยาย ก็พระผู้มีพระภาค ตรัสถึงศีลไว้โดยชอบแล้วอย่างไร พระองค์ตรัสไว้โดย ชอบแล้ว โดยบรรยายเบื้องต่ำบ้าง โดยบรรยายเบื้องสูงบ้าง พระผู้มีพระภาค ตรัส ถึงศีลไว้แล้วโดยชอบโดยบรรยายเบื้องต่ำอย่างไร ตรัสโดยชอบแล้วอย่างนี้ว่า อริย สาวกในพระศาสนานี้ เว้นขาดจากปาณาติบาต อทินนาทาน กาเมสุมิจฉาจาร มุสาวาท และการดื่มสุราเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสถึงศีลไว้โดยชอบแล้ว โดยบรรยายอย่างสูงอย่างไร พระองค์ตรัสแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ มีศีล สำรวมในพระปาฏิโมกข์ สมบูรณ์ด้วยอาจาระ (ความ ประพฤติ) และโคจร (ที่บิณฑบาตเลี้ยงชีพ) อยู่ เห็นภัยในโทษเล็กน้อย สมาทาน ศึกษาในสิกขาบททั้งหลาย พระผู้มีพระภาคตรัสแสดงสมาธิไว้โดยชอบแล้วอย่างไร พระองค์ตรัสไว้โดย ชอบแล้ว ทั้งโดยบรรยายอย่างต่ำและโดยบรรยายอย่างสูง พระผู้มีภาคเจ้าตรัส สมาธิไว้โดยชอบแล้ว โดยบรรยายอย่างต่ำอย่างไร พระองค์ตรัสไว้แล้วอย่างนี้ว่า อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ทำการสละอารมณ์ได้แล้ว ได้สมาธิ ได้ความที่จิตเป็น เอกัคคตา (มีอารมณ์เลิศเป็นหนึ่ง คือไม่ฟุ้งซ่าน) พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสสมาธิไว้ โดยชอบแล้ว โดยบรรยายอย่างสูงอย่างไร พระองค์ตรัสแล้วอย่างนี้ว่า ภิกษุในธรรม วินัยนี้ สงัดจากกามทั้งหลาย สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายแล้ว บรรลุปฐมฌานมี


๑๕๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา วิตกวิจาร มีปีติและสุขที่เกิดจากวิเวกอยู่ เธอบรรลุทุติยฌาน มีความผ่องใสแห่งใจ เป็นไปในภายใน เป็นธรรมอันเกิดผุดขึ้น ไม่มีวิตกวิจาร เพราะสงบวิตกวิจารไว้ได้ มีปีติและสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่ เธอเป็นผู้วางเฉย เพราะปีติหมดไป มีสติสัมปชัญญะ อยู่ เสวยสุขด้วยนามกาย บรรลุตติยฌาน ซึ่งพระอริยบุคคลทั้งหลายกล่าวว่าเป็นผู้ วางเฉย มีสติ มีปกติอยู่ด้วยสุขวิหารธรรม (คือธรรมะเครื่องให้อยู่อย่างสงบสุข) เธอ บรรลุจตุตถฌาน อันไร้ทุกข์ไร้สุข มีอุเบกขาและความบริสุทธิ์แห่งสติ เพราะละสุข ทุกข์เสียได้ เพราะดับโสมนัส (ความดีใจ) และโทมนัส (ความเสียใจ) ตั้งแต่ตอนแรก เสียได้ พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสปัญญาไว้โดยชอบแล้วอย่างไร พระองค์ตรัสไว้ ชอบแล้ว ทั้งโดยบรรยายอย่างต่ำ และโดยบรรยายอย่างสูง พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสปัญญาไว้โดยชอบแล้ว โดยบรรยายอย่างต่ำอย่างไร พระองค์ตรัสไว้โดยชอบ แล้วอย่างนี้ว่า อริยสาวกในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้มีปัญญา พร้อมด้วยปัญญาเครื่องดับ กิเลส ปัญญาเครื่องแทงกิเลสชั้นยอด อันเป็นเครื่องให้ถึงความสิ้นทุกข์ได้อย่างดี พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสปัญญาไว้โดยชอบแล้ว โดยบรรยายอย่างสูงไว้อย่างไร พระองค์ตรัสไว้แล้วโดยชอบ อย่างนี้ว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ รู้ชัดความเป็นจริงว่า นี้ ทุกข์ นี้สมุทัย เหตุเกิดทุกข์ นี้ทุกขนิโรธ ความดับทุกข์ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์ ดังนี้ สมาธิที่ศีลอบรมมีผลานิสงส์ยิ่งใหญ่ ปัญญาที่สมาธิอบรมมีผลานิสงส์ยิ่งใหญ่ จิตที่ปัญญาอบรม ย่อมพ้นจากอาสวะกิเลส คืออาสวะที่เกิดจากกาม อาสวะที่เกิด จากภพ อาสวะที่เกิดจากอวิชชา ก็ในเวลาใกล้เสด็จดับขันธปรินิพพาน พระผู้มีพระ ภาคตรัสพระวาจาเป็นครั้งสุดท้าย (ปัจฉิมวาจา) ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราขอ เตือนพวกเธอ สังขารทั้งหลาย มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา ขอพวกเธอจงยังชีวิต ให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทเถิด พระองค์ตรัสเปรียบเทียบไว้ดังนี้ว่า ภิกษุ ทั้งหลาย รอยเท้าของสัตว์ทั้งหลายที่คืบคลานไปบนแผ่นดิน รอยเท้าเหล่านั้นทุก


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๕๑ ชนิด รวมลงที่รอยเท้าช้าง บัณฑิตกล่าวว่า รอยเท้าช้างเป็นยอดแห่งรอยเท้า เหล่านั้น เพราะว่าเป็นรอยเท้าใหญ่ ข้อนี้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย กุศลธรรม ทั้งหลายเหล่าใดเหล่าหนึ่ง เหล่านั้นทั้งหมดมีความไม่ประมาทเป็นเค้ามูล รวมลงที่ ความไม่ประมาท บัณฑิตกล่าวความไม่ประมาทว่า เป็นยอดแห่งกุศลธรรมเหล่านั้น ฉะนั้น เพราะเหตุนั้น พวกเราพึงทำความศึกษาว่า เราจักเป็นผู้มีความมุ่งหวังอย่าง แรงกล้า จักทำชีวิตให้สมบูรณ์ด้วยความไม่ประมาทในการศึกษาสมาทานในอธิศีล ในอธิจิต ในอธิปัญญา ฯ


๑๕๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา บทสวดสามภาณ (มงคลธรรมโอสถ) สามภาณ คือ มหากัสสปโพชฌังคสูตร... เรื่องย่อว่า พระมหากัสสปะ อาพาธหนัก พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปทรงเยี่ยม และทรงแสดง โพชฌงค์ ๗ ให้ฟัง พระมหากัสสปะ สดับตามธรรม ค่อย ๆ พิจารณาก็หายจากอาพาธ... มหาโมคคัลลานโพชฌังคสูตร... เรื่องย่อว่า พระมหาโมคคัลลานะ อาพาธ หนัก พระพุทธเจ้าก็เสด็จไปเยี่ยม...ฯลฯ..ทรงแสดงโพชฌงค์ ๗...ฯลฯ.. พระมหา โมคคัลลานะ ก็หายจากอาพาธ... มหาจุนทโพชฌังคสูตร... เรื่องย่อว่า พระพุทธเจ้าทรงอาพาธหนัก พระมหา จุนทะก็เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับ ...... พระพุทธเจ้าก็ทรงรับสั่งให้พระมหา จุนทะแสดงโพชฌงค์ ๗ ให้ทรงสดับ...หลังจากทรงสดับแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงหาย จากอาพาธ.... สามภาณนี้ อาจสรุปได้ว่า เมื่ออาพาธหรือป่วยไข้ก็ให้ใคร่ครวญโพชฌงค์ ๗ ก็อาจหายได้... เราจึงนิยมนำมาสวดให้ผู้สูงอายุฟัง หรือแพทย์แผนโบราณก็มักจะ ใช้เป็นคาถาเสกยาชนิดต่าง ๆ ทำนองธรรมโอสถ มหากัสสปโพชฌังคสุตตปาฐะ เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, ราชะคะเห วิหะระติ, เวฬุวะเน กะลันทะกะนิวาเป, เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ อายัส๎มา มะหากัสสะโป ปิปผะลิคุหายัง วิหะระติ, อาพาธิโก ทุกขิโต พาฬ๎หะคิลาโน. อะถะโข ภะคะวา สายัณหะสะมะยัง ปะฏิสัลลานา วุฏฐิโต, เยนายัส๎มา มะหากัสสะโป เตนุปะสังกะมิ, อุปะสังกะมิต๎วา ปัญญัตเต


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๕๓ อาสะเน นิสีทิ. นิสัชชะ โข ภะคะวา อายัส๎มันตัง มะหากัสสะปัง เอตะทะโวจะ กัจจิ เต กัสสะปะ ขะมะนียัง กัจจิ ยาปะนียัง, กัจจิทุกขา เวทะนา ปะฏิกกะมันติ โน อะภิกกะมันติ, ปะฏิกกะโมสานัง ปัญญายะติ โน อะภิกกะโมติ. นะ เม ภันเต ขะมะนียัง นะ ยาปะนียัง, พาฬ๎หา เม ทุกขา เวทะนา อะภิกกะมันติ, โน ปะฏิกกะมันติ, อะภิกกะโมสานัง ปัญญายะติ โน ปะฏิกกะโมติ. สัตติเม กัสสะปะ โพชฌังคา มะยา สัมมะทักขาตา, ภาวิตา พะหุลีกะตา อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตันติ. กะตะเม สัตตะ. สะติสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. วิริยะสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ปีติสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ปัสสัทธิสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. สะมาธิสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ.


๑๕๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา อุเปกขาสัมโพชฌังโค โข กัสสะปะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. อิเม โข กัสสะปะ สัตตะ โพชฌังคา มะยา สัมมะทักขาตา, ภาวิตา พะหุลีกะตา อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตันตีติ. ตัคฆะ ภะคะวา โพชฌังคา ตัคฆะ สุคะตะ โพชฌังคาติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะโน อายัส๎มา มะหากัสสะโป ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทิ. วุฏฐะหิ จายัส๎มา มะหากัสสะโป ตัม๎หา อาพาธา ตะถาปะหีโน, จายัส๎มะโต มะหากัสสะปัสสะ โส อาพาโธ, อะโหสีติ. คำแปล ข้าพเจ้า (พระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้น ท่านพระมหากัสสปะอาพาธไม่สบาย เป็นไข้ หนัก อยู่ที่ปิปผลิคูหา ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เข้า ไปหาท่านพระมหากัสสปะถึงที่อยู่ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้วได้ ตรัสถามท่านพระมหากัสสปะว่า ดูก่อนกัสสปะ เธอพออดทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้หรือ ทุกขเวทนาคลายลง ไม่กำเริบขึ้นแลหรือ ความทุเลาย่อมปรากฏ ความกำเริบขึ้นไม่ ปรากฏแลหรือ ? ท่านพระมหากัสสปะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์กำเริบ หนัก ยังไม่คลายไป ความกำเริบขึ้นย่อมปรากฏ ความทุเลาไม่ปรากฏ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๕๕ ดูก่อนกัสสปะ โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โพชฌงค์ ๗ เป็นไฉน ? ดูก่อนกัสสปะ สติสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, วิริยสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความ ตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, ปีติสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, ปัสสัทธิ สัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไป เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, สมาธิสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อ นิพพาน, อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ดูก่อนกัสสปะ โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แล เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญ แล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ท่าน พระมหากัสสปะกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค โพชฌงค์ดีนัก ข้าแต่พระสุคต โพชฌงค์ดีนัก พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว ท่านพระมหากัสสปะปลื้มใจ ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ท่านพระมหากัสสปะหายจากอาพาธนั้นแล้ว และ อาพาธนั้นอันท่านพระมหากัสสปะละได้แล้ว ด้วยประการฉะนี้แล ฯ


๑๕๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา มหาโมคคัลลานโพชฌังคสุตตปาฐะ เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, ราชะคะเห วิหะระติ เวฬุวะเน กะลันทะกะนิวาเป. เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ อายัส๎มา มะหาโมคคัลลาโน, คิชฌะกูเฏ ปัพพะเต วิหะระติ อาพาธิโก ทุกขิโต พาฬ๎หะคิลาโน. อะถะโข ภะคะวา สายัณหะสะมะยัง ปะฏิสัลลานา วุฏฐิโต, เยนายัส๎มา มะหาโมคคัลลาโน เตนุปะสังกะมิ, อุปะสังกะมิต๎วา ปัญญัตเต อาสะเน นิสีทิ. นิสัชชะ โข ภะคะวา อายัส๎มันตัง มะหาโมคคัลลานัง เอตะทะโวจะ. กัจจิ เต โมคคัลลานะ ขะมะนียัง, กัจจิ ยาปะนียัง, กัจจิ ทุกขา เวทะนา ปะฏิกกะมันติ โน อะภิกกะมันติ, ปะฏิกกะโมสานัง ปัญญายะติ โน อะภิกกะโมติ. นะ เม ภันเต ขะมะนียัง นะ ยาปะนียัง, พาฬ๎หา เม ทุกขา เวทะนา อะภิกกะมันติ, โน ปะฏิกกะมันติ, อะภิกกะโมสานัง ปัญญายะติ โน ปะฏิกกะโมติ. สัตติเม โมคคัลลานะ โพชฌังคา มะยา สัมมะทักขาตา, ภาวิตา พะหุลีกะตา อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตันติ. กะตะเม สัตตะ. สะติสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ.


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๕๗ วิริยะสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ปีติสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ปัสสัทธิสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. สะมาธิสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. อุเปกขาสัมโพชฌังโค โข โมคคัลลานะ มะยา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. อิเม โข โมคคัลลานะ สัตตะ โพชฌังคา มะยา สัมมะทักขาตา, ภาวิตา พะหุลีกะตา อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตันตีติ. ตัคฆะ ภะคะวา โพชฌังคา ตัคฆะ สุคะตะ โพชฌังคาติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะโน อายัส๎มา มะหาโมคคัลลาโน ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทิ. วุฏฐะหิจายัส๎มา มะหาโมคคัลลาโน ตัม๎หา อาพาธา ตะถาปะหีโน, จายัส๎มะโต มะหาโมคคัลลานัสสะ โส อาพาโธ, อะโหสีติ. คำแปล ข้าพเจ้า (พระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน กลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะอาพาธ ไม่สบาย เป็นไข้หนักอยู่ ณ ภูเขาคิชฌกูฏ


๑๕๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเสด็จออกจากที่เร้นในเวลาเย็น เข้าไปหาท่านพระ มหาโมคคัลลานะถึงที่อยู่ แล้วประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ ครั้นแล้ว ได้ตรัสถาม ท่านพระมหาโมคคัลลานะว่า ดูก่อนโมคคัลลานะ เธอพออดพอทนได้หรือ พอยังอัตภาพให้เป็นไปได้แล หรือ ทุกขเวทนาคลายลงไม่กำเริบขึ้นแลหรือ ความทุเลาย่อมปรากฏ ความกำเริบ ขึ้นไม่ปรากฏแลหรือ ? ท่านพระมหาโมคคัลลานะกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์อดทนไม่ได้ ยังอัตภาพให้เป็นไปไม่ได้ ทุกขเวทนาของข้าพระองค์ย่อม กำเริบหนัก ยังไม่คลายลง ความกำเริบย่อมปรากฏความทุเลาไม่ปรากฏ ดูก่อนโมคคัลลานะ โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคล เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน โพชฌงค์ ๗ เป็นไฉน ? ดูก่อนโมคคัลลานะ สติสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญ แล้ว กระทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน วิริยสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบ แล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, ปีติสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน ปัสสัทธิ-สัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน สมาธิสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคล เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน อุเบกขาสัมโพชฌงค์ เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อม เป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๕๙ ดูก่อนโมคคัลลานะ โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แล เรากล่าวไว้ชอบแล้ว อันบุคคล เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้เพื่อนิพพาน ท่านพระโมคคัลลานะกราบทูลว่า ข้าแต่พระผู้มีพระภาค โพชฌงค์ดีนัก ข้าแต่พระ สุคต โพชฌงค์ดีนัก พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไวยากรณภาษิตนี้แล้ว ท่านพระมหาโมคคัลลานะ ปลื้มใจ ชื่นชมภาษิตของพระผู้มีพระภาค ท่านพระมหาโมคคัลลานะหายจาก อาพาธนั้นแล้ว และอาพาธนั้นอันท่านพระมหาโมคคัลลานะละได้แล้ว ด้วยประการ ฉะนี้แล ฯ มหาจุนทโพชฌังคสุตตปาฐะ เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, ราชะคะเห วิหะระติ, เวฬุวะเน กะลันทะกะนิวาเป. เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ ภะคะวา อาพาธิโก โหติ ทุกขิโต พาฬ๎หะคิลาโน. อะถะโข อายัส๎มา มะหาจุนโท สายัณหะสะมะยัง ปะฏิสัลลานา วุฏฐิโต, เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ, อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง นิสีทิ. เอกะมันตัง นิสินนัง โข อายัส๎มันตัง มะหาจุนทัง, ภะคะวา เอตะทะโวจะ ปะฏิภันตุ ตัง จุนทะ โพชฌังคาติ. สัตติเม ภันเต โพชฌังคา ภะคะวะตา สัมมะทักขาตา, ภาวิตา พะหุลีกะตา อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตันติ. กะตะเม สัตตะ. สะติสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ.


๑๖๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ธัมมะวิจะยะสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. วิริยะสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ปีติสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. ปัสสัทธิสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. สะมาธิสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. อุเปกขาสัมโพชฌังโค โข ภันเต ภะคะวะตา สัมมะทักขาโต, ภาวิโต พะหุลีกะโต อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. อิเม โข ภันเต สัตตะ โพชฌังคา ภะคะวะตา สัมมะทักขาตา, ภาวิตา พะหุลีกะตา อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตันตีติ. ตัคฆะ จุนทะ โพชฌังคา ตัคฆะ จุนทะ โพชฌังคาติ. อิทะมะโวจายัส๎มา มะหาจุนโท. สะมะนุญโญ สัตถา อะโหสิ. วุฏฐะหิ จะ ภะคะวา ตัม๎หา อาพาธา ตะถาปะหีโน จะ, ภะคะวะโต โส อาพาโธ, อะโหสีติ. คำแปล ข้าพเจ้า (พระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๖๑ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวันกลันทกนิวาปสถาน ใกล้พระนครราชคฤห์ ก็สมัยนั้น พระผู้มีพระภาคทรงประชวร ไม่สบาย เป็น ไข้หนัก ครั้งนั้น ท่านพระมหาจุนทะเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคถึงที่ประทับ ถวาย บังคมพระผู้มีพระภาคแล้ว นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะ ท่านพระจุนทะว่า ดูก่อนจุนทะ โพชฌงค์จงแจ่มแจ้งกะเธอ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อ นิพพาน โพชฌงค์ ๗ เป็นไฉน ? ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ สติสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อ นิพพาน, ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน , วิริยสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มาก แล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, ปีติสัมโพชฌงค์ พระผู้ มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อ ความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความ ตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, สมาธิสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคล เจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน, อุเบกขาสัมโพชฌงค์ พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้ มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้เพื่อนิพพาน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ โพชฌงค์ ๗ เหล่านี้แล พระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบ แล้ว อันบุคคลเจริญแล้ว ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความตรัสรู้ เพื่อนิพพาน


๑๖๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ดูก่อนจุนทะ โพชฌงค์ดีนัก ดูก่อนจุนทะ โพชฌงค์ดีนัก ท่านพระมหาจุนทะได้กล่าวไวยากรณภาษิตนี้แล้ว พระศาสดาทรงพอ พระทัย ทรงหายจากประชวรนั้นและอาพาธนั้น อันพระผู้มีพระภาคทรงละแล้ว ด้วยประการฉะนี้แล ฯ จบสามภาณ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๖๓ คิริมานันทสุตตปาฐะ คิริมานนทสูตร เป็นพระสูตรที่กล่าวถึงเรื่องราวเมื่อคราวพระคิริมานนท์ อาพาธหนัก... พระอานนท์จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลให้ทรงทราบเพื่อจะ ได้เสด็จไปเยี่ยม... พระพุทธองค์รับสั่งให้พระอานนท์เรียนสัญญา ๑๐ ให้จำแล้ว นำไปแสดงให้พระคิริมานนท์ฟัง แล้วพระพุทธองค์ก็ทรงแสดงสัญญา ๑๐ ต่อพระอานนท์.... พระอานนท์ครั้นเรียนจำแล้วก็กลับมายังที่พักของพระคิริมานนท์... แสดง สัญญา ๑๐ ให้พระคิริมานนท์ฟังตามที่ได้เรียนมา... พระคิริมานนท์ครั้นได้สดับ สัญญา ๑๐ แล้ว ก็หายจากอาพาธ.. บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สาวัตถิยัง วิหะระติ, เชตะวะเน อะนาถะปิณฑิกัสสะ, อาราเม. เตนะ โข ปะนะ สะมะเยนะ อายัส๎มา คิริมานันโท, อาพาธิโก โหติทุกขิโต พาฬ๎หะคิลาโน. อะถะโข อายัส๎มา อานันโท, เยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะมิ, อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง นิสีทิ. เอกะมันตัง นิสินโน โข อายัส๎มา อานันโท ภะคะวันตัง เอตะทะโวจะ. อายัส๎มา ภันเต คิริมานันโท, อาพาธิโก ทุกขิโต พาฬ๎หะคิลาโน, สาธุ ภันเต ภะคะวา, เยนายัส๎มา คิริมานันโท เตนุปะสังกะมะตุ, อะนุกัมปัง อุปาทายาติ. สะเจ โข ต๎วัง อานันทะ, คิริมานันทัสสะ ภิกขุโน อุปะสังกะมิต๎วา ทะสะ สัญญา ภาเสยยาสิ, ฐานัง โข ปะเนตัง วิชชะติ ยัง คิริมานันทัสสะ ภิกขุโน ทะสะ สัญญา สุต๎วา, โส อาพาโธ ฐานะโส ปะฏิปปัสสัมเภยยะ. กะตะมา ทะสะ. อะนิจจะสัญญา อะนัตตะสัญญา, อะสุภะสัญญา อาทีนะวะสัญญา, ปะหานะสัญญา วิราคะสัญญา,


๑๖๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา นิโรธะสัญญา สัพพะโลเก อะนะภิระตะสัญญา, สัพพะสังขาเรสุ อะนิจจะสัญญา อานาปานัสสะติ. กะตะมา จานันทะ อะนิจจะสัญญา. อิธานันทะ ภิกขุอะรัญญะคะโต วา รุกขะมูละคะโต วา สุญญาคาระคะโต วา, อิติ ปะฏิสัญจิกขะติ. รูปัง อะนิจจัง, เวทะนา อะนิจจา, สัญญา อะนิจจา, สังขารา อะนิจจา, วิญญาณัง อะนิจจันติ. อิติ อิเมสุ ปัญจะสุ อุปาทานักขันเธสุ, อะนิจจานุปัสสี วิหะระติ. อะยัง วุจจะตานันทะ อะนิจจะสัญญา. กะตะมา จานันทะ อะนัตตะสัญญา. อิธานันทะ ภิกขุอะรัญญะคะโต วา รุกขะมูละคะโต วา สุญญาคาระคะโต วา, อิติปะฏิสัญจิกขะติ. จักขุง อะนัตตา รูปา อะนัตตา, โสตัง อะนัตตา สัททา อะนัตตา, ฆานัง อะนัตตา คันธา อะนัตตา, ชิวî หา อะนัตตา ระสา อะนัตตา, กาโย อะนัตตา โผฏฐัพพา อะนัตตา, มะโน อะนัตตา ธัมมา อะนัตตาติ. อิติ อิเมสุ ฉะสุ อัชฌัตติกะพาหิเรสุอายะตะเนสุ, อะนัตตานุปัสสี วิหะระติ. อะยัง วุจจะตานันทะ อะนัตตะสัญญา. กะตะมา จานันทะ อะสุภะสัญญา. อิธานันทะ ภิกขุอิมะเมวะ กายัง อุทธัง ปาทะตะลา, อะโธ เกสะมัตถะกา, ตะจะปะริยันตัง, ปูรันนานัปปะการัสสะ อะสุจิโน ปัจจะเวกขะติ, อัตถิอิมัส๎มิง กาเย, เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ, มังสัง นะหารูอัฏฐีอัฏฐิมิญชัง, วักกัง หะทะยัง ยะกะนัง กิโลมะกัง ปิหะกัง ปัปผาสัง, อันตัง อันตะคุณัง อุทะริยัง กะรีสัง. ปิตตัง เสม๎หัง ปุพโพ โลหิตัง เสโท เมโท, อัสสุวะสา เขโฬ สิงฆาณิกา ละสิกา มุตตันติ. อิติอิมัส๎มิง กาเย, อะสุภานุปัสสี วิหะระติ. อะยัง วุจจะตานันทะ อะสุภะสัญญา.


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๖๕ กะตะมา จานันทะ อาทีนะวะสัญญา. อิธานันทะ ภิกขุอะรัญญะคะโต วา รุกขะมูละคะโต วา สุญญาคาระคะโต วา, อิติปะฏิสัญจิกขะติ. พะหุทุกโข โข อะยัง กาโย พะหุอาทีนะโวติ. อิติอิมัส๎มิง กาเย, วิวิธา อาพาธา อุปปัชชันติ. เสยยะถีทัง. จักขุโรโค, โสตะโรโค, ฆานะโรโค, ชิวîหาโรโค, กายะโรโค, สีสะโรโค, กัณณะโรโค, มุขะโรโค, ทันตะโรโค, กาโส สาโส ปินาโส, ฑะโห ชะโร กุจฉิโรโค, มุจฉา ปักขันทิกา สุลา วิสูจิกา, กุฏฐัง คัณโฑ กิลาโส, โสโส อะปะมาโร, ทัททุ กัณฑุ กัจฉุ, ระขะสา วิตัจฉิกา, โลหิตัง ปิตตัง มะธุเมโห, อังสา ปิฬะกา ภะคัณฑะลา, ปิตตะสะมุฏฐานา อาพาธา, เสม๎หะสะมุฏฐานา อาพาธา, วาตะสะมุฏฐานา อาพาธา, สันนิปาติกา อาพาธา, อุตุปะริณามะชา อาพาธา, วิสะมะปะริหาระชา อาพาธา, โอปักกะมิกา อาพาธา, กัมมะวิปากะชา อาพาธา, สีตัง อุณîหัง, ชิฆัจฉา ปิปาสา, อุจจาโร ปัสสาโวติ. อิติ อิมัส๎มิง กาเย อาทีนะวานุปัสสี วิหะระติ. อะยัง วุจจะตานันทะ อาทีนะวะสัญญา. กะตะมา จานันทะ ปะหานะสัญญา. อิธานันทะ ภิกขุอุปปันนัง กามะวิตักกัง นาธิวาเสติ. ปะชะหะติ วิโนเทติ, พ๎ยันตีกะโรติอะนะภาวัง คะเมติ, อุปปันนัง พ๎ยาปาทะวิตักกัง นาธิวาเสติ. ปะชะหะติวิโนเทติ, พ๎ยันตีกะโรติ อะนะภาวัง คะเมติ, อุปปันนัง วิหิงสาวิตักกัง นาธิวาเสติ, ปะชะหะติ วิโนเทติ, พ๎ยันตีกะโรติ อะนะภาวัง คะเมติ, อุปปันนุปปันเน ปาปะเก อะกุสะเล ธัมเม นาธิวาเสติ. ปะชะหะติวิโนเทติ, พ๎ยันตีกะโรติ อะนะภาวัง คะเมติ. อะยัง วุจจะตานันทะ ปะหานะสัญญา.


๑๖๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา กะตะมา จานันทะ วิราคะสัญญา. อิธานันทะ ภิกขุอะรัญญะคะโต วา รุกขะมูละคะโต วา สุญญาคาระคะโต วา, อิติปะฏิสัญจิกขะติ, เอตัง สันตัง เอตัง ปะณีตัง, ยะทิทัง สัพพะสังขาระสะมะโถ, สัพพูปะธิ- ปะฏินิสสัคโค, ตัณหักขะโย วิราโค นิพพานันติ. อะยัง วุจจะตานันทะ วิราคะสัญญา. กะตะมา จานันทะ นิโรธะสัญญา. อิธานันทะ ภิกขุอะรัญญะคะโต วา รุกขะมูละคะโต วา สุญญาคาระคะโต วา, อิติปะฏิสัญจิกขะติ, เอตัง สันตัง เอตัง ปะณีตัง, ยะทิทัง สัพพะสังขาระสะมะโถ, สัพพูปะธิ- ปะฏินิสสัคโค, ตัณîหักขะโย นิโรโธ นิพพานันติ. อะยัง วุจจะตานันทะ นิโรธะสัญญา. กะตะมา จานันทะ สัพพะโลเก อะนะภิระตะสัญญา. อิธานันทะ ภิกขุ, เย โลเก อุปายุปาทานา, เจตะโส อะธิฏฐานาภินิเวสานุสะยา, เต ปะชะหันโต วิระมะติ นะ อุปาทิยันโต, อะยัง วุจจะตานันทะ สัพพะโลเก อะนะภิะระตะสัญญา. กะตะมา จานันทะ สัพพะสังขาเรสุ อะนิจจะสัญญา. อิธานันทะ ภิกขุ สัพพะสังขาเรหิอัฏฏิยะติ หะรายะติ ชิคุจฉะติ. อะยัง วุจจะตานันทะ สัพพะสังขาเรสุ อะนิจจะสัญญา. กะตะมา จานันทะ อานาปานัสสติ. อิธานันทะ ภิกขุอะรัญญะคะโต วา รุกขะมูละคะโต วา สุญญาคาระคะโต วา. นิสีทะติปัลลังกัง อาภุชิต๎วา อุชุง กายัง ปะณิธายะ ปะริมุขัง สะติง อุปัฏฐะเปต๎วา. โส สะโต วะ อัสสะสะติ สะโต ปัสสะสะติ. ทีฆัง วา อัสสะสันโต ทีฆัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ, ทีฆัง วา ปัสสะสันโต ทีฆัง ปัสสะสามีติ


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๖๗ ปะชานาติ, รัสสัง วา อัสสะสันโต รัสสัง อัสสะสามีติ ปะชานาติ, รัสสัง วา ปัสสะสันโต รัสสัง ปัสสะสามีติ ปะชานาติ, สัพพะกายะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, สัพพะกายะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ปัสสัมภะยัง กายะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ปีติปะฏิสังเวทีอัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ปีติปะฏิสังเวทีปัสสะสิสสามีติสิกขะติ, สุขะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, สุขะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, จิตตะสังขาระปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, จิตตะสังขาระปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติสิกขะติ, ปัสสัมภะยัง จิตตะสังขารัง อัสสะสิสสามีติสิกขะติ, ปัสสัมภะยัง จิตตะสังขารัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, จิตตะปะฏิสังเวที อัสสะสิสสามีติสิกขะติ, จิตตะปะฏิสังเวที ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, อะภิปปะโมทะยัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, อะภิปปะโม ทะยัง จิตตัง ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, สะมาทะหัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, สะมาทะหัง จิตตัง ปัสสะสิสสามีติสิกขะติ, วิโมจะยัง จิตตัง อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, วิโมจะยัง จิตตัง ปัสสะสิสสามีติสิกขะติ, อะนิจจานุปัสสีอัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, อะนิจจานุปัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, วิราคานุปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, วิราคานุปัสสี ปัสสะสิสสามีติสิกขะติ, นิโรธานุปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, นิโรธานุปัสสี ปัสสะสิสสามีติสิกขะติ, ปะฏินิสสัคคานุปัสสี อัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, ปะฏินิสสัคคานุปัสสี ปัสสะสิสสามีติ สิกขะติ, อะยัง วุจจะตานันทะ อานาปานัสสะติ.


๑๖๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา สะเจ โข ต๎วัง อานันทะ, คิริมานันทัสสะ ภิกขุโน อุปะสังกะมิต๎วา อิมา ทะสะ สัญญา ภาเสยยาสิ. ฐานัง โข ปะเนตัง วิชชะติ, ยัง คิริมานันทัสสะ ภิกขุโน อิมา ทะสะ สัญญา สุต๎วา, โส อาพาโธ ฐานะโส ปะฏิปปัสสัมเภยยาติ. อะถะโข อายัส๎มา อานันโท, ภะคะวะโต สันติเก อิมา ทะสะ สัญญา อุคคะเหต๎วา, เยนายัส๎มา คิริมานันโท เตนุปะสังกะมิ, อุปะสังกะมิต๎วา อายัส๎มะโต คิริมานันทัสสะ อิมา ทะสะ สัญญา อะภาสิ. อะถะโข อายัส๎มะโต คิริมานันทัสสะ อิมา ทะสะ สัญญา สุต๎วา โส อาพาโธ ฐานะโส ปะฏิปัสสัมภิ. วุฏฐะหิ จายัส๎มา คิริมานันโท ตัม๎หา อาพาธา, ตะถา ปะหีโน จะ ปะนายัส๎มะโต คิริมานันทัสสะ, โส อาพาโธ, อะโหสีติ. คำแปล ข้าพเจ้า (คือ พระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับในพระวิหารเชตวัน อันเป็น อารามของอนาถบิณฑิกคหบดีสร้างถวาย ใกล้เมืองสาวัตถี ก็โดยสมัยนั้นแล พระคิริมานนท์ผู้มีอายุเป็นผู้อาพาธ ประกอบด้วยทุกขเวทนา เป็นไข้หนัก ครั้งนั้น แล พระอานนท์ผู้มีอายุได้เข้าไปเฝ้าโดยที่พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ ครั้น เข้าไปเฝ้าแล้ว จึงถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง เมื่อ พระอานนท์นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่งแล้ว จึงกราบทูลคำนี้กะพระผู้มีพระภาคเจ้า ว่า พระเจ้าข้า พระคิริมานนท์ผู้มีอายุอาพาธ ประกอบด้วยทุกขเวทนา เป็นไข้ หนัก พระเจ้าข้า ดังข้าพระองค์ขอโอกาส ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปใกล้ โดยที่พระคิริมานนท์อยู่ เพื่อได้ทรงอนุเคราะห์พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า


วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๖๙ อานนท์ ถ้าท่านแลพึงเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์แล้ว แสดงสัญญา ๑๐ ข้อนี้เป็นเหตุ ให้อาพาธนั้นของภิกษุคิริมานนท์พึงระงับไปโดยฐานะ เพราะฟังสัญญา ๑๐ ประการ สัญญา ๑๐ ประการ เป็นอย่างไร ความกำหนดหมายว่าไม่เที่ยง ความ กำหนดหมายว่าไม่ใช่ตัวตน ความกำหนดหมายว่าไม่งาม ความกำหนดหมายว่าเป็น โทษ ความกำหนดหมายในกาละ ความกำหนดหมายในธรรมอันปราศจากราคะ ความกำหนดหมายในธรรมเป็นที่ดับ ความกำหนดหมายในความไม่ยินดีในโลกทั้ง ปวง ความกำหนดหมายในความไม่ปรารถนาในสังขารทั้งปวง สติกำหนดลมหายใจ เข้าออกเป็นอารมณ์ ๑. ดูก่อนอานนท์ อนิจจสัญญาเป็นอย่างไร ดูก่อนอานนท์ภิกษุในธรรมวินัย นี้ ไปในป่าก็ดีไปที่โคนไม้ก็ดี ไปที่เรือนว่างก็ดี เธอย่อมเป็นผู้พิจารณาอย่างนี้ว่า รูป ไม่เที่ยง เวทนาไม่เที่ยง สัญญาไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง วิญญาณไม่เที่ยง เธอย่อม เป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ โดยความเป็นของไม่เที่ยงในอุปาทานขันธ์ทั้ง ๕ นี้อย่างนี้ ดูก่อนอานนท์อันนี้เรา (ผู้ตถาคต) กล่าวว่า อนิจจสัญญา ๒. ดูก่อนอานนท์ อนัตตสัญญาเป็นอย่างไร ดูก่อนอานนท์ภิกษุในธรรม วินัยนี้ ไปในป่าก็ดีไปที่โคนไม้ก็ดี ไปที่เรือนว่างก็ดี เธอย่อมเป็นผู้พิจารณาอย่างนี้ ว่า ตาไม่ใช่ตัวตน รูปไม่ใช่ตัวตน หูไม่ใช่ตัวตน เสียงไม่ใช่ตัวตน จมูกไม่ใช่ตัวตน กลิ่นไม่ใช่ตัวตน ลิ้นไม่ใช่ตัวตน รสไม่ใช่ตัวตน กายไม่ใช่ตัวตน สิ่งที่จะพึงถูกต้อง ด้วยกายไม่ใช่ตัวตน มนะ (ใจ) ไม่ใช่ตัวตน ธรรมารมณ์ไม่ใช่ตัวตน เธอย่อมพิจารณา เนือง ๆ โดยความเป็นของไม่ใช่ตัวตน ในอายตนะทั้งภายในทั้งภายนอก ๖ นี้ อย่าง นี้ ดูก่อนอานนท์อันนี้เรา (ผู้ตถาคต) กล่าวว่า อนัตตสัญญา ๓. ดูก่อนอานนท์ อสุภสัญญาอย่างไร ดูก่อนอานนท์ ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เธอย่อมพิจารณานี้นี่แหละ เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นไป เบื้องล่างปลายผมลงมา มีหนัง หุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่าง ๆ มีอยู่ในกายนี้ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่


๑๗๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า น้ำดี เสลด น้ำเหลือง เลือด เหงื่อ มันข้น น้ำตา มันเหลว น้ำลาย น้ำมูก ไขข้อ มูตร เธอย่อมเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ โดยความไม่งาม แห่งกายนี้อย่างนี้ดูก่อนอานนท์อันนี้เรา (ตถาคต) กล่าวว่า เป็นอสุภสัญญา ๔. ดูก่อนอานนท์ อาทีนวสัญญาเป็นอย่างไร ดูก่อนอานนท์ภิกษุในธรรม วินัยนี้ ไปในป่าก็ดี ไปที่โคนไม้ก็ดี ไปที่เรือนว่างก็ดี เธอย่อมพิจารณาอย่างนี้ว่า กาย นี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก เพราะฉะนั้น อาพาธต่าง ๆ จึงเกิดขึ้นในกายนี้ คือ โรค นัยน์ตา โรคหู โรคจมูก โรคในลิ้น โรคในกาย โรคในศีรษะ โรคในใบหู โรคในปาก โรคที่ฟัน ไอ หืด หวัด ไข้พิษ ไข้เชื่อมมัว โรคในท้อง ลมจับ (สลบ อ่อนหวิว สวิงสวาย) โรคบิด (ลงท้อง) จุกเสียด (ปวดท้อง) โรคลงราก โรคเรื้อน ฝี โรคกลาก ไข้มองคร่อ ลมบ้าหมูหิดเปื่อย หิดด้าน คุดทะราด หูด ละลอก คุดทะราดบอน อาเจียนโลหิต โรคดีพิการ โรคเบาหวาน โรคเริม พุพอง ริดสีดวง ความเจ็บเกิดแต่ดี ให้โทษ ความเจ็บเกิดแต่เสมหะให้โทษ ความเจ็บเกิดแต่ลมให้โทษ ไข้สันนิบาต (คือ ความเจ็บเกิดแต่ดี เสมหะ และลมทั้ง ๓ เจือกัน) ให้โทษ ความเจ็บเกิดแต่ฤดู แปรปรวน ความเจ็บเกิดแต่การผลัดเปลี่ยนอิริยาบถไม่เสมอ ความเจ็บเกิดแต่ความ เพียรเกินกำลัง ความเจ็บเกิดแต่วิบากของกรรม ความเย็น ร้อน หิวข้าว กระหาย น้ำ ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ เธอย่อมเป็นผู้พิจารณาเนือง ๆ โดยความเป็นโทษ ในกายนี้อย่างนี้ ดูก่อนอานนท์ อันนี้เรา (ผู้ตถาคต) กล่าวว่า อาทีนวสัญญา ๕. ดูก่อนอานนท์ ปหานสัญญาเป็นอย่างไร ดูก่อนอานนท์ภิกษุในธรรม วินัยนี้ เธอย่อมไม่รับ ย่อมละเสีย ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้พินาศ ย่อมทำไม่ให้เกิด อีกต่อไป ซึ่งกามวิตก (ความตรึกในกามารมณ์) ที่เกิดขึ้นแล้ว เธอย่อมไม่รับ ย่อมละ เสีย ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้พินาศ ย่อมทำไม่ให้เกิดอีกต่อไป ซึ่งพยาบาทวิตก (ความตรึกในการแช่งสัตว์ให้ถึงความพินาศ) ที่เกิดขึ้นแล้ว เธอย่อมไม่รับ ย่อมละ เสีย ย่อมบรรเทา ย่อมทำให้พินาศ ย่อมทำไม่ให้เกิดอีกต่อไป ซึ่งวิหิงสาวิตก (ความ ตรึกในการเบียดเบียนสัตว์) ที่เกิดขึ้นแล้ว เธอย่อมไม่รับ ย่อมละเสีย ย่อมบรรเทา


Click to View FlipBook Version