วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๗๑ เพราะทำความเคารพพระพุทธรัตนะ อันเป็นดังโอสถอันอุดมเลิศ เกื้อกูลแก่ เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ขอให้อุปัทวะทั้งหลายทั้งปวงจงพินาศไปสิ้น ขอให้ทุกข์ ทั้งหลายของท่านจงสงบไปโดยดี เพราะทำความเคารพพระธรรมรัตนะ อันเป็นดังโอสถอันอุดมประเสริฐ เป็นเครื่องระงับดับความความกระวนกระวาย ด้วยเดชแห่งพระธรรม ขอให้อุปัทวะ ทั้งหลายทั้งปวงจงพินาศไปสิ้น ขอให้ภัยทั้งหลายของท่านจงสงบไปโดยดี เพราะทำความเคารพพระสังฆรัตนะ อันเป็นดังโอสถอันอุดมดี ควรเพื่อวัตถุ อันเขานำมาบูชา ควรเพื่อวัตถุอันเขาต้อนรับ ด้วยเดชแห่งพระสงฆ์ขอให้อันตราย ทั้งหลายทั้งปวงจงพินาศไปสิ้น ขอให้โรคทั้งหลายของท่านจงสงบไปโดยดี ขอเสนียดจัญไรทั้งปวงจงบำราศไป โรคทั้งปวงจงพินาศไป อันตรายอย่าได้ มีแก่ท่าน ขอท่านจงมีแต่ความสุขมีอายุยืน นรชนผู้มีนิสัยกราบไหว้อ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่เป็นนิตย์ย่อมเจริญด้วย ธรรม ๔ ประการ คือ อายุวรรณะ สุขะ พละ ฯ อังคุลิมาลปริตร อังคุลิมาลปริตร เป็นปริตรที่มีเนื้อความกล่าวถึงสัจจาธิษฐานของ พระองคุลิมาลเถระที่ตั้งขึ้นเพื่อช่วยหญิงมีครรภ์คนหนึ่งให้คลอดบุตรได้ง่าย นอกเหนือจากการคลอดบุตรง่ายแล้ว ยังมีอานุภาพแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าอย่าง ปัจจุบันทันด่วน คลายปัญหาจากเหตุการณ์ฉับพลันสุดวิสัย บทสวด ยะโตหัง ภะคินิอะริยายะ ชาติยา ชาโต, นาภิชานามิสัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา. เตนะ สัจเจนะ โสตถิเต โหตุโสตถิคัพภัสสะ.
๗๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ยะโตหัง ภะคินิอะริยายะ ชาติยา ชาโต, นาภิชานามิสัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา. เตนะ สัจเจนะ โสตถิเต โหตุโสตถิคัพภัสสะ. ยะโตหัง ภะคินิอะริยายะ ชาติยา ชาโต, นาภิชานามิสัญจิจจะ ปาณัง ชีวิตา โวโรเปตา. เตนะ สัจเจนะ โสตถิเต โหตุโสตถิคัพภัสสะ. คำแปล ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วโดยชาติอริยะ ไม่รู้จักแกล้งปลงสัตว์มีชีพ จากชีวิต ด้วยคำสัตย์นี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของ ท่าน ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วโดยชาติอริยะ ไม่รู้จักแกล้งปลงสัตว์มีชีพ จากชีวิต ด้วยคำสัตย์นี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของ ท่าน ดูก่อนน้องหญิง ตั้งแต่เราเกิดแล้วโดยชาติอริยะ ไม่รู้จักแกล้งปลงสัตว์มีชีพ จากชีวิต ด้วยคำสัตย์นี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่าน ขอความสวัสดีจงมีแก่ครรภ์ของ ท่าน ฯ โพชฌังคปริตร โพชฌังคปริตร ถือเป็นพุทธมนต์ที่ช่วยให้คนป่วยที่ได้สดับตรับฟังธรรมบท นี้แล้วสามารถหายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ ที่เชื่ออย่างนี้เพราะมีเรื่องในพระไตรปิฎก เล่าว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้เสด็จไปเยี่ยมพระมหากัสสปะที่อาพาธ พระองค์ทรง แสดงสัมโพชฌงค์แก่พระมหากัสสปะ พบว่าพระมหากัสสปะสามารถหายจากโรค ได้ อีกครั้งหนึ่ง พระองค์ได้ทรงแสดงธรรมบทนี้แก่พระโมคคัลลานะซึ่งอาพาธ หลังจากนั้น พบว่าพระโมคคัลลานะก็หายจากอาพาธได้ ในที่สุด เมื่อพระพุทธองค์
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๗๓ เองทรงอาพาธ จึงตรัสให้พระจุนทเถระแสดงโพชฌงค์ถวาย ซึ่งพบว่าพระพุทธเจ้าก็ หายประชวร พุทธศาสนิกชนจึงพากันเชื่อว่า โพชฌงค์นั้น สวดแล้วช่วยให้หายโรค ซึ่งใน พระไตรปิฎกกล่าวว่า ธรรมที่พระองค์ทรงแสดง เป็นธรรมเกี่ยวกับปัญญาเป็นธรรม ชั้นสูง ซึ่งเป็นความจริงในเรื่องการทำใจให้สว่าง สะอาดผ่องใส ซึ่งสามารถช่วย รักษาใจ เพราะจิตใจมีความสัมพันธ์และเกี่ยวข้องกับร่างกาย เนื่องจากกายกับใจ เป็นสิ่งที่อาศัยกันและกัน หลักของโพชฌงค์เป็นหลักปฏิบัติทั่วไปซึ่งไม่จำกัดเฉพาะ ผู้ป่วยเท่านั้น เพราะโพชฌงค์แปลว่า องค์แห่งโพธิหรือองค์แห่งโพธิญาณ เป็นองค์ แห่งการตรัสรู้ซึ่งเป็นเรื่องของปัญญา บทสวด โพชฌังโค สะติสังขาโต ธัมมานัง วิจะโย ตะถา, วิริยัมปีติปัสสัทธิ- โพชฌังคา จะ ตะถาปะเร. สะมาธุเปกขะโพชฌังคา สัตเตเต สัพพะทัสสินา, มุนินา สัมมะทักขาตา ภาวิตา พะหุลีกะตา. สังวัตตันติ อะภิญญายะ นิพพานายะ จะ โพธิยา, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. เอกัส๎มิง สะมะเย นาโถ โมคคัลลานัญจะ กัสสะปัง, คิลาเน ทุกขิเต ทิส๎วา โพชฌังเค สัตตะ เทสะยิ. เต จะ ตัง อะภินันทิต๎วา โรคา มุจจิงสุ ตังขะเณ, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. เอกะทา ธัมมะราชาปิ เคลัญเญนาภิปีฬิโต, จุนทัตเถเรนะ ตัญเญวะ ภะณาเปต๎วานะ สาทะรัง. สัมโมทิต๎วา จะ อาพาธา ตัม๎หา วุฏฐาสิ ฐานะโส,
๗๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. ปะหีนา เต จะ อาพาธา ติณณันนัมปิ มะเหสินัง, มัคคาหะตะกิเลสา วะ ปัตตานุปปัตติธัมมะตัง, เอเตนะ สัจจะวัชเชนะ โสตถิ เต โหตุ สัพพะทา. คำแปล โพชฌงค์๗ ประการ คือ สติสัมโพชฌงค์ธรรมวิจัยสัมโพชฌงค์วิริยสัมโพชฌงค์ปีติสัมโพชฌงค์ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์สมาธิสัมโพชฌงค์อุเบกขาสัมโพชฌงค์เหล่านี้อันพระมุนีเจ้าผู้เห็นธรรมทั้งสิ้นตรัสไว้ชอบแล้ว อันบุคคลมาเจริญ ทำให้มากแล้ว ย่อมเป็นไปเพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อนิพพาน และเพื่อความตรัสรู้ด้วยการ กล่าวคำสัตย์นี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ ในสมัยหนึ่ง พระโลกนาถเจ้าทอดพระเนตรพระมหาโมคคัลลานะและพระ มหากัสสปะเป็นไข้ถึงทุกขเวทนาแล้ว ทรงแสดงโพชฌงค์๗ ประการ ท่านทั้ง ๒ ก็ เพลิดเพลินภาษิตนั้น หายจากโรคในขณะนั้น ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ขอความ สวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ ครั้งหนึ่ง แม้พระธรรมราชา อันความประชวรเบียดเบียนแล้ว รับสั่งให้พระ จุนทเถระแสดงโพชฌงค์นั้นโดยยินดีก็ทรงบันเทิงพระหฤทัย หายจากประชวรนั้น ไปโดยฐานะ ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ขอความสวัสดีจงมีแก่ท่านทุกเมื่อ ก็อาพาธทั้งหลายนั้น อันพระมหาฤษีทั้ง ๓ องค์ละได้แล้ว ถึงความไม่บังเกิด เป็นธรรมดา ดุจกิเลสอันมรรคกำจัดแล้ว ด้วยการกล่าวคำสัตย์นี้ขอความสวัสดีจง มีแก่ท่านทุกเมื่อ ฯ
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๗๕ อภยปริตร อภยปริตร เป็นคาถาแห่งการให้อภัยและอโหสิกรรมในเหตุการณ์ที่ทำให้ เกิดความขัดแย้งในชีวิตและสังคม เนื้อหาของบทอภยปริตร กล่าวถึงการตั้งจิตน้อม เอาอานุภาพแห่งคุณพระรัตนตรัยช่วยบำบัดปัดเป่าลางร้าย อันเกิดจากสิ่งที่ทำให้ ไม่สบายใจ บาปเคราะห์ ฝันร้าย และอันเป็นอัปมงคลทั้งหลายทั้งปวง ให้พินาศไป บทสวด ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง พุทธานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ. ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง ธัมมานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ. ยันทุนนิมิตตัง อะวะมังคะลัญจะ โย จามะนาโป สะกุณัสสะ สัทโท ปาปัคคะโห ทุสสุปินัง อะกันตัง สังฆานุภาเวนะ วินาสะเมนตุ. คำแปล ลางร้ายอันใด สิ่งอวมงคลอันใด เสียงนกที่ไม่น่าพึงใจอันใด บาปเคราะห์อัน ใด และฝันร้ายที่ไม่น่าปรารถนาอันใด ขอจงถึงความพินาศไปด้วยพุทธานุภาพ โดย สิ้นเชิงเถิด
๗๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ลางร้ายอันใด สิ่งอวมงคลอันใด เสียงนกที่ไม่น่าพึงใจอันใด บาปเคราะห์อัน ใดและฝันร้ายที่ไม่น่าปรารถนาอันใด ขอจงถึงความพินาศไปด้วยธัมมานุภาพ โดย สิ้นเชิงเถิด ลางร้ายอันใด สิ่งอวมงคลอันใด เสียงนกที่ไม่น่าพึงใจอันใด บาปเคราะห์อัน ใดและฝันร้ายที่ไม่น่าปรารถนาอันใด ขอจงถึงความพินาศไปด้วยสังฆานุภาพ โดย สิ้นเชิงเถิด ฯ โอสถปริตร พระคาถาบทนี้เป็นพระคาถาที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประทาน ให้เทพบุตรอุณหิสวิชัยใช้สาธยาย จึงได้มีอายุยืนอยู่ในสวรรค์ต่อไป ผู้ใดหมั่นสวดพระคาถานี้ จะระงับโรคภัยไข้เจ็บ มีอายุยืนยาว โบราณใช้เสก ยากินแก้โรค และถ้าหากผู้ใดสวดเจริญอยู่เป็นนิจ นอกจากจะปราศจากโรคภัยไข้ เจ็บรบกวนแล้ว ยังแคล้วคลาดจากภัยต่าง ๆ เช่น ราชภัย โจรภัย เป็นต้น บทสวด สักกัต๎วา พุทธะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง, หิตัง เทวะมะนุสสานัง พุทธะเตเชนะ โสตถินา, นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ทุกขา วูปะสะเมนตุ เต. สักกัต๎วา ธัมมะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง, ปะริฬาหูปะสะมะนัง ธัมมะเตเชนะ โสตถินา, นัสสันตุปัททะวา สัพเพ ภะยา วูปะสะเมนตุ เต. สักกัต๎วา สังฆะระตะนัง โอสะถัง อุตตะมัง วะรัง, อาหุเนยยัง ปาหุเนยยัง สังฆะเตเชนะ โสตถินา,
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๗๗ นัสสันตุปัททะวา สัพเพ โรคา วูปะสะเมนตุ เต. คำแปล เพราะทำความเคารพพระพุทธรัตนะ ซึ่งเป็นประหนึ่งโอสถอันประเสริฐ เยี่ยมยอด เกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเดชแห่งพระพุทธเจ้า ขอให้ อันตรายทั้งหลายทั้งปวง จงพินาศไปสิ้น ขอให้ทุกข์ทั้งหลายของท่าน จงสงบไปโดย ดี เพราะทำความเคารพพระธรรมรัตนะ ซึ่งเป็นประหนึ่งโอสถอันประเสริฐ เยี่ยมยอด เกื้อกูลแก่เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ด้วยเดชแห่งพระธรรม ขอให้ อันตรายทั้งหลายทั้งปวง จงพินาศไปสิ้น ขอให้ภัยทั้งหลายของท่าน จงสงบไปโดยดี เพราะทำความเคารพพระสังฆรัตนะ อันเป็นดั่งโอสถอันอุดมประเสริฐ เป็น ผู้ควรแก่สักการะที่เขานำมาบูชา เป็นผู้ควรแก่สักการะที่เขาจัดไว้ต้อนรับ ด้วยเดช แห่งพระสงฆ์ขอสรรพอุปัทวะทั้งหลายจงพินาศไป ขอโรคทั้งหลายของท่านจงสงบ ไปโดยสวัสดีฯ เทวตาอุยโยชนคาถา เทวตาอุยโยชนคาถา เป็นคาถาส่งเทวดา ใช้สวดเพื่ออัญเชิญเทวดากลับ วิมาน เมื่อแรกที่จะเจริญพระปริตร ได้มีการชุมนุมเทวดาหรืออัญเชิญเทวดามาเพื่อ ฟังการเจริญพระปริตร ซึ่งถือว่าเป็นการแบ่งส่วนบุญไปให้สรรพสัตว์ทุกจำพวกทุก หมู่เหล่า แม้กระทั่งเทวดาซึ่งมองไม่เห็นตัวก็แผ่เมตตาจิตไปถึง เนื้อความในท่อน แรกของคาถานี้ เริ่มต้นด้วยการแผ่เมตตาจิตไปในหมู่สัตว์ทั้งหลายให้พ้นจากทุกข์ โศกโรคภัย จากนั้นได้กล่าวเชิญเทวดาให้อนุโมทนาบุญกุศลที่บำเพ็ญมา ซึ่งก็รวมถึง บุญอันเกิดจากการเจริญพระปริตร เพื่อเทวดาจะได้อานิสงส์แห่งบุญนั้นด้วย ต่อจากนั้น ก็เป็นการแนะนำเทวดาให้เกิดศรัทธาในการให้ทาน รักษาศีล บำเพ็ญ ภาวนาแล้วเชิญให้เทวดากลับ ต่อจากนั้นก็ขออานุภาพแห่งพระพุทธเจ้า
๗๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลายให้คุ้มครองรักษา เทวตาอุยโยชนคาถานี้ จะต้องสวดทุกครั้งที่มีการชุมนุมเทวดา บทสวด ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา ภะยัปปัตตา จะ นิพภะยา, โสกัปปัตตา จะ นิสโสกา โหนตุ สัพเพปิ ปาณิโน. เอตตาวะตา จะ อัม๎เหหิ สัมภะตัง ปุญญะสัมปะทัง, สัพเพ เทวานุโมทันตุ สัพพะสัมปัตติสิทธิยา. ทานัง ทะทันตุ สัทธายะ สีลัง รักขันตุ สัพพะทา, ภาวะนาภิระตา โหนตุ คัจฉันตุ เทวะตาคะตา. สัพเพ พุทธา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญจะ ยัง พะลัง, อะระหันตานัญจะ เตเชนะ รักขัง พันธามิ สัพพะโส. คำแปล สัตว์มีชีวิตแม้ทั้งหมด ผู้ถึงซึ่งทุกข์จงเป็นผู้ไม่มีทุกข์ และที่ถึงแล้วซึ่งภัย จงเป็นผู้ไม่มีภัย และที่ถึงแล้วซึ่งโศก จงเป็นผู้ไม่มีโศก และขอเหล่าเทพเจ้าทั้งปวง จงอนุโมทนาซึ่งสมบัติอันเราทั้งหลายก่อสร้างแล้ว ด้วยเหตุมีประมาณเท่านี้เพื่อ ความสำเร็จสมบัติทั้งปวง มนุษย์ทั้งหลาย จงให้ทานด้วยศรัทธา จงรักษาศีลในที่ทั้ง ปวง จงเป็นผู้ยินดีแล้วในการภาวนา เทวดาทั้งหลายที่มาแล้ว เชิญกลับไปเถิด พระพุทธเจ้าทั้งหลายล้วนทรงพระกำลังทั้งหมด กำลังใดแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย และแห่งพระอรหันต์ทั้งหลายมีอยู่ ข้าพเจ้าขอผูกความรักษา ด้วยเดชแห่งกำลังนั้น โดยประการทั้งปวง ฯ
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๗๙ สุนักขัตตคาถา สุนักขัตตคาถา เป็นคาถาแสดงเวลาที่สัตว์ประพฤติชอบ เป็นฤกษ์งามยาม ดีเป็นส่วนแห่งสุปุพพัณหสูตร อังคุตตรนิกาย ติกนิบาต บทสวด สุนักขัตตัง สุมังคะลัง สุปะภาตัง สุหุฏฐิตัง, สุขะโณ สุมุหุตโต จะ สุยิฏฐัง พ๎รัห๎มะจาริสุ. ปะทักขิณัง กายะกัมมัง วาจากัมมัง ปะทักขิณัง, ปะทักขิณัง มะโนกัมมัง ปะณิธีเต ปะทักขิณา, ปะทักขิณานิ กัต๎วานะ ละภันตัตเถ ปะทักขิเณ. คำแปล เวลาที่สัตว์ประพฤติชอบ ชื่อว่า ฤกษ์ดี มงคลดี สว่างดี รุ่งดี และขณะดี ครู่ ดี บูชาดีแล้ว ในพรหมจารีบุคคลทั้งหลาย กายกรรมเป็นประทักษิณ วจีกรรมเป็น ประทักษิณ มโนกรรมเป็นประทักษิณ ความปรารถนาของท่านเป็นประทักษิณ สัตว์ ทั้งหลายทำกรรมอันเป็นประทักษิณแล้ว ย่อมได้ประโยชน์ทั้งหลาย อันเป็น ประทักษิณ ฯ สุมังคลคาถา สุมังคลคาถา เป็นคาถาขออานุภาพพระรัตนตรัย ให้ประทานความสวัสดี และขอให้เทวานุภาพช่วยคุ้มครองรักษาตลอดไป บทสวด โหตุ สัพพัง สุมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะพุทธานุภาเวนะ โสตถี โหนตุ นิรันตะรัง. โหตุ สัพพัง สุมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา
๘๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา สัพพะธัมมานุภาเวนะ โสตถี โหนตุ นิรันตะรัง. โหตุ สัพพัง สุมังคะลัง รักขันตุ สัพพะเทวะตา สัพพะสังฆานุภาเวนะ โสตถี โหนตุ นิรันตะรัง. คำแปล ขอศุภมงคลทั้งสิ้นจงมี ขอเทวดาทั้งปวงจงรักษา ด้วยอานุภาพแห่ง พระพุทธเจ้าทั้งหมด ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีเสมอไม่มีระหว่าง ขอศุภมงคลทั้งสิ้นจงมี ขอเทวดาทั้งปวงจงรักษา ด้วยอานุภาพแห่งพระ ธรรมทั้งหมด ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีเสมอไม่มีระหว่าง ขอศุภมงคลทั้งสิ้นจงมี ขอเทวดาทั้งปวงจงรักษา ด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ทั้งหมด ขอความสวัสดีทั้งหลาย จงมีเสมอไม่มีระหว่าง ฯ ปริตตาวสานคาถา เรียกโดยทั่วไปว่า บทนักขัตตยักข์เป็นคาถาแสดงอานุภาพแห่งพระปริตร ว่าสามารถป้องกันบาปเคราะห์อันเกิดจากอำนาจแห่งดวงดาวนักขษัตร (ดาว เคราะห์) เหล่ายักษ์และภูตผีปีศาจทั้งหลาย บทสวด นักขัตตะยักขะภูตานัง ปาปัคคะหะนิวาระณา ปะริตตัสสานุภาเวนะ หันต๎วา เตสัง อุปัททะเว. นักขัตตะยักขะภูตานัง ปาปัคคะหะนิวาระณา ปะริตตัสสานุภาเวนะ หันต๎วา เตสัง อุปัททะเว. นักขัตตะยักขะภูตานัง ปาปัคคะหะนิวาระณา ปะริตตัสสานุภาเวนะ หันต๎วา เตสัง อุปัททะเว.
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๘๑ คำแปล พระปริตรสามารถป้องกันบาปเคราะห์อันเกิดจากอำนาจแห่งฤกษ์ ยาม ยักษ์ และภูตผีปีศาจทั้งหลายได้ ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตรที่ได้สวดมา ตั้งแต่ต้นจนจบ จงกำจัดอุปัทวันตรายทั้งหลายอันเกิดแต่อำนาจแห่งฤกษ์ยามเป็น ต้นให้พินาศหายไป พระปริตรสามารถป้องกันบาปเคราะห์อันเกิดจากอำนาจแห่งฤกษ์ ยาม ยักษ์ และภูตผีปีศาจทั้งหลายได้ ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตรที่ได้สวดมา ตั้งแต่ต้นจนจบ จงกำจัดอุปัทวันตรายทั้งหลายอันเกิดแต่อำนาจแห่งฤกษ์ยามเป็น ต้นให้พินาศหายไป พระปริตรสามารถป้องกันบาปเคราะห์อันเกิดจากอำนาจแห่งฤกษ์ ยาม ยักษ์ และภูตผีปีศาจทั้งหลายได้ ด้วยอานุภาพแห่งพระปริตรที่ได้สวดมา ตั้งแต่ต้นจนจบ จงกำจัดอุปัทวันตรายทั้งหลายอันเกิดแต่อำนาจแห่งฤกษ์ยามเป็น ต้นให้พินาศหายไป ฯ
๘๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา บทธัมมจักกัปปวัตตนสูตร พระธรรมเทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้า พระวินัยปิฎก มหาวรรค ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร เป็นพระสูตรที่มีความสำคัญในฐานะเป็นพระธรรม เทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้า ซึ่งบันทึกไว้ในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๔ เล่มที่ ๑๙ และเล่มที่ ๓๑ โดยคำว่า ธรรมจักร มีความหมายว่า “กงล้อคือพระธรรม” ในพระ สูตรนี้ พระพุทธองค์ทรงประกาศหลักการของพระพุทธศาสนาว่าเป็นศาสนา ประเภทอเทวนิยม ที่ไม่เชื่อเรื่องการเนรมิตของพระเจ้า ด้วยการตรัสเหตุแห่งทุกข์ ว่าคือตัณหา ทั้งปฏิเสธอาตมัน (ต้นกําเนิดและที่รวมของทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาล) ด้วยการตรัสทุกขสัจว่าคืออุปาทานขันธ์ ๕ ทรงแสดงแนวทางแห่งความพ้นทุกข์ คือ อริยมรรคมีองค์ ๘ และตรัสผลของการปฏิบัติว่าคือความดับตัณหา มีตำนานความ เป็นมา ดังนี้ ในวันเพ็ญเดือน ๘ ณ ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระ สูตรนี้แก่นักบวชปัญจวัคคีย์ ท่านอัญญาโกณฑัญญะสดับพระธรรมเทศนานี้แล้ว บรรลุเป็นพระโสดาบัน พระอริยบุคคลชั้นแรก พรหม ๑๘ โกฏิกับเทวดาจำนวน มากก็บรรลุธรรมด้วยพระสูตรนี้ กล่าวกันว่า พระสูตรนี้เป็นที่เคารพบูชายิ่งของเหล่าเทวดา เมื่อมีการสวด สาธยาย ณ ที่ใด เหล่าเทวดาจะประชุมอนุโมทนาสาธุการกันมาก บทขัด อะนุตตะรัง อะภิสัมโพธิง สัมพุชฌิต๎วา ตะถาคะโต ปะฐะมัง ยัง อะเทเสสิ ธัมมะจักกัง อะนุตตะรัง สัมมะเทวะ ปะวัตเตนโต โลเก อัปปะฏิวัตติยัง
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๘๓ ยัตถากขาตา อุโภ อันตา ปะฏิปัตติ จะ มัชฌิมา จะตูส๎วาริยะสัจเจสุ วิสุทธัง ญาณะทัสสะนัง เทสิตัง ธัมมะราเชนะ สัมมาสัมโพธิกิตตะนัง นาเมนะ วิสสุตัง สุตตัง ธัมมะจักกัปปะวัตตะนัง เวยยากะระณะปาเฐนะ สังคีตันตัมภะณามะ เส. คำแปล พระตถาคตเจ้าได้ตรัสรู้ซึ่งพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว เมื่อจะทรง ประกาศธรรมที่ใคร ๆ ยังมิได้ให้เป็นไปแล้วในโลก ให้เป็นไปโดยชอบแท้ ได้ทรง แสดงพระอนุตตรธรรมจักรใดก่อน คือในธรรมจักรใด พระองค์ตรัสซึ่งที่สุด ๒ ประการ และข้อปฏิบัติเป็นกลาง และปัญญาอันรู้เห็นอันหมดจดแล้วในอริยสัจทั้ง ๔ เราทั้งหลายจงสวดธรรมจักรนั้นที่พระองค์ผู้พระธรรมราชาทรงแสดงแล้ว ปรากฏโดยชื่อว่าธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นสูตรประกาศพระสัมมาสัมโพธิญาณอัน พระสังคีติกาจารย์ร้อยกรองไว้ โดยความเป็นพระบาลีประเภทร้อยแก้ว เทอญ ฯ บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, พาราณะสิยัง วิหะระติ, อิสิปะตะเน มิคะทาเย, ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขู อามันเตสิ. เท๎วเม ภิกขะเว อันตา ปัพพะชิเตนะ นะ เสวิตัพพา. โย จายัง กาเมสุ กามะสุขัลลิกานุโยโค. หีโน คัมโม โปถุชชะนิโก อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต. โย จายัง อัตตะกิละมะถานุโยโค, ทุกโข อะนะริโย อะนัตถะสัญหิโต. เอเต เต ภิกขะเว อุโภ อันเต อะนุปะคัมมะ, มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ.
๘๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา กะตะมา จะ สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค. เสยยะถีทัง. สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป, สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว, สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ. อะยัง โข สา ภิกขะเว มัชฌิมา ปะฏิปะทา ตะถาคะเตนะ อะภิสัมพุทธา, จักขุกะระณี ญาณะกะระณี อุปะสะมายะ อะภิญญายะ สัมโพธายะ นิพพานายะ สังวัตตะติ. อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขัง อะริยะสัจจัง, ชาติปิ ทุกขา ชะราปิ ทุกขา มะระณัมปิ ทุกขัง, โสกะปะริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา, อัปปิเยหิ สัมปะโยโค ทุกโข ปิเยหิ วิปปะโยโค ทุกโข ยัมปิจฉัง นะ ละภะติ ตัมปิ ทุกขัง, สังขิตเตนะ ปัญจุปาทานักขันธา ทุกขา. อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง. ยายัง ตัณî หา โปโนพภะวิกา นันทิราคะสะหะคะตา ตัต๎ระ ตัต๎ราภินันทินี. เสยยะถีทัง. กามะตัณîหา ภะวะตัณîหา วิภะวะตัณî หา. อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง. โย ตัสสาเยวะ ตัณîหายะ อะเสสะวิราคะนิโรโธ จาโค ปะฏินิสสัคโค มุตติ อะนาละโย. อิทัง โข ปะนะ ภิกขะเว ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง. อะยะเมวะ อะริโย อัฏฐังคิโก มัคโค. เสยยะถีทัง. สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปโป, สัมมาวาจา สัมมากัมมันโต สัมมาอาชีโว, สัมมาวายาโม สัมมาสะติ สัมมาสะมาธิ.
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๘๕ อิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญเญยยันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขัง อะริยะสัจจัง ปะริญญาตันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. อิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหาตัพพันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะสะมุทะโย อะริยะสัจจัง ปะหีนันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสะเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. อิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ.
๘๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกาตัพพันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรโธ อะริยะสัจจัง สัจฉิกะตันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. อิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินีปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาเวตัพพันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ, ตัง โข ปะนิทัง ทุกขะนิโรธะคามินี ปะฏิปะทา อะริยะสัจจัง ภาวิตันติ เม ภิกขะเว, ปุพเพ อะนะนุสสุเตสุ ธัมเมสุ, จักขุง อุทะปาทิ ญาณัง อุทะปาทิ ปัญญา อุทะปาทิ วิชชา อุทะปาทิ อาโลโก อุทะปาทิ. ยาวะกีวัญจะ เม ภิกขะเว อิเมสุ จะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เอวันติ- ปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง นะ สุวิสุทธัง อะโหสิ. เนวะ ตาวาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัห๎มะเก, สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง.
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๘๗ ยะโต จะ โข เม ภิกขะเว อิเมสุจะตูสุ อะริยะสัจเจสุ, เอวันติ- ปะริวัฏฏัง ท๎วาทะสาการัง ยะถาภูตัง ญาณะทัสสะนัง สุวิสุทธัง อะโหสิ. อะถาหัง ภิกขะเว สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพ๎รัห๎มะเก, สัสสะมะณะพ๎ราห๎มะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ ปัจจัญญาสิง. ญาณัญจะ ปะนะ เม ทัสสะนัง อุทะปาทิ, อะกุปปา เม วิมุตติ, อะยะมันติมา ชาติ, นัตถิทานิ ปุนัพภะโวติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา, อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขูภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง, อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน, อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ วิระชัง วีตะมะลัง ธัมมะจักขุง อุทะปาทิ, ยังกิญจิ สะมุทะยะธัมมัง สัพพันตัง นิโรธะธัมมันติ. ปะวัตติเต จะ ภะคะวะตา ธัมมะจักเก, ภุมมา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง, เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง, อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิ วา โลกัส๎มินติ. (หยุด) ภุมมานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, จาตุมมะหาราชิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. จาตุมมะหาราชิกานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ตาวะติงสา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ตาวะติงสานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ยามา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง.
๘๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ยามานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ตุสิตา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ตุสิตานัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, นิมมานะระตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. นิมมานะระตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, ปะระนิมมิตะวะสะวัตตี เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. ปะระนิมมิตะวะสะวัตตีนัง เทวานัง สัททัง สุต๎วา, พ๎รัห๎มะกายิกา เทวา สัททะมะนุสสาเวสุง. เอตัมภะคะวะตา พาราณะสิยัง อิสิปะตะเน มิคะทาเย อะนุตตะรัง ธัมมะจักกัง ปะวัตติตัง, อัปปะฏิวัตติยัง สะมะเณนะ วา พ๎ราห๎มะเณนะ วา เทเวนะ วา มาเรนะ วา พ๎รัห๎มุนา วา เกนะจิวา โลกัส๎มินติ. (หยุด) อิติหะ เตนะ ขะเณนะ เตนะ มุหุตเตนะ, ยาวะ พ๎รัห๎มะโลกา สัทโท อัพภุคคัจฉิ. อะยัญจะ ทะสะสะหัสสี โลกะธาตุ, สังกัมปิ สัมปะกัมปิ สัมปะเวธิ, อัปปะมาโณ จะ โอฬาโร โอภาโส โลเก ปาตุระโหสิ, อะติกกัมเมวะ เทวานัง เทวานุภาวัง. อะถะโข ภะคะวา อุทานัง อุทาเนสิ, อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญ, อัญญาสิ วะตะ โภ โกณฑัญโญติ. อิติหิทัง อายัส๎มะโต โกณฑัญญัสสะ, อัญญาโกณฑัญโญเต๎ววะ นามัง, อะโหสีติ. คำแปล ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้ เมืองพาราณสีในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนพระภิกษุปัญจวัคคีย์ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ที่สุดสองอย่างนี้อันบรรพชิตไม่ควรเสพ คือ การ ประกอบตนให้พัวพันด้วยกามสุขในกามทั้งหลายนี้ใดเป็นธรรมอันเลว เป็นเหตุให้ ตั้งบ้านเรือน เป็นของคนมีกิเลสหนา ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลส ไม่ประกอบด้วย
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๘๙ ประโยชน์อย่างหนึ่ง คือการประกอบความเหน็ดเหนื่อยด้วยตนเหล่านี้ใด ให้เกิด ทุกข์แก่ผู้ประกอบ ไม่ใช่ไปจากข้าศึกคือกิเลสไม่ประกอบด้วยประโยชน์อย่างหนึ่ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลายข้อปฏิบัติอันเป็นกลาง ไม่เข้าไปใกล้ที่สุดสองอย่างนั่น นั้น อันตถาคตได้ตรัสรู้แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ย่อมเป็นไป เพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดีเพื่อความดับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็ข้อปฏิบัติซึ่งเป็นกลางนั้นเป็นไฉน ที่ตถาคตได้ตรัสรู้ แล้วด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบ ระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดีเพื่อความดับ ทางมีองค์๘ เครื่องไปจากข้าศึกคือกิเลสนี้เองกล่าวคือ ปัญญาอันเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ ความเลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ ความ ระลึกชอบ ความตั้งจิตชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายอันนี้แลข้อปฏิบัติซึ่งเป็นกลางนั้น ที่ตถาคตได้ตรัสรู้แล้ว ด้วยปัญญาอันยิ่ง ทำดวงตา ทำญาณเครื่องรู้ย่อมเป็นไปเพื่อความเข้าไปสงบระงับ เพื่อความรู้ยิ่ง เพื่อความรู้ดีเพื่อความดับ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็นี้แล เป็นทุกข์อย่างแท้จริง คือความเกิดก็เป็นทุกข์ ความแก่ก็เป็นทุกข์ความตายก็เป็นทุกข์ความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์ โทมนัสและความคับแค้นใจก็เป็นทุกข์ความประสบสิ่งไม่เป็นที่รักทั้งหลายเป็น ทุกข์ความพลัดพรากจากสิ่งที่รักทั้งหลายเป็นทุกข์ปรารถนาอยู่ย่อมไม่ได้แม้อันใด แม้อันนั้นก็เป็นทุกข์โดยย่อแล้วอุปาทานขันธ์๕ เป็นทุกข์ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็นี้แลเป็นเหตุให้ทุกข์เกิดขึ้นอย่างจริงแท้คือความ ทะยานอยากนี้ทำให้มีภพอีกเป็นไปกับความกำหนัดยินดีด้วยอำนาจความพอใจ เพลิดเพลินในอารมณ์นั้น ๆกล่าวคือ ความทะยานอยากในอารมณ์ที่ใคร่คือความ ทะยานอยากในความมีความเป็น คือความทะยานอยากในความไม่มีไม่เป็น
๙๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็นี้แล เป็นความดับทุกข์อย่างแท้จริงคือความดับโดย สิ้นกำหนัด โดยไม่เหลือแห่งตัณหานั้นนั่นเทียวอันใด ความสละตัณหานั้น ความวาง ตัณหานั้น ความปล่อยตัณหานั้น ความไม่พัวพันแห่งตัณหานั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลายก็นี้แลเป็นข้อปฏิบัติให้ถึงความดับทุกข์อย่างแท้จริง คือ ทางมีองค์๘ เครื่องไปจากข้าศึกคือกิเลสนี้แล กล่าวคือ ปัญญาอันเห็นชอบ ความดำริชอบ วาจาชอบ การงานชอบ ความเลี้ยงชีวิตชอบ ความเพียรชอบ ความ ระลึกชอบ ความตั้งจิตชอบ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ญาณได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้ เกิดขึ้นแล้ว วิทยาได้เกิดขึ้นแล้วแสงสว่างได้เกิดขึ้นแล้วแก่เรา ในธรรมทั้งหลายที่ เราไม่เคยได้ฟังในกาลก่อนว่า นี้เป็นทุกขอริยสัจ. ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ความรู้ได้เกิดขึ้นแล้ว ปัญญาได้ เกิดขึเนแล้ว วิชชาได้เกิดขึ้นแล้ว ความสว่างไสวได้เกิดขึ้นแล้ว ในกาลก่อนว่า ก็ทุก ขอริยสัจนี้นั้นแลควรกำหนดรู้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯในกาลก่อนว่า ก็ทุกขอริยสัจนี้ นั้นแลอันเราได้กำหนดรู้แล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจักษุได้เกิดขึ้นแล้วฯลฯในกาลก่อนว่า นี้ทุกขสมุทัย อริยสัจ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้วฯลฯในกาลก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัย อริยสัจนี้นั้นแลควรละเสีย ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้วฯลฯในกาลก่อนว่า ก็ทุกขสมุทัย อริยสัจนี้นั้นแลอันเราได้ละแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้วฯลฯในกาลก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธ อริยสัจ
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๙๑ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้นั้นแลควรทำให้แจ้ง ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธอริยสัจนี้แลอันเราได้ทำให้แจ้งแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯในกาลก่อนว่า นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจ ดูก่อนภิกษุทั้งหลายจักษุได้เกิดขึ้นแล้วฯลฯกาลก่อนว่า ทุกขนิโรธคามินี- ปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแลควรให้เจริญ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุได้เกิดขึ้นแล้ว ฯลฯในกาลก่อนว่า ก็ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทาอริยสัจนี้นั้นแลอันเราเจริญแล้ว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงแล้วอย่างไร ในอริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้ยังไม่หมดจดเพียงใดดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย เราได้ยืนยันตนว่า เป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มี ความตรัสรู้อื่นจะยิ่งกว่าในโลก เป็นไปกับด้วยเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ทั้งสมณ พราหมณ์เทวดา มนุษย์ไม่ได้เพียงนั้น ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เมื่อใดแล ปัญญาอันรู้เห็นตามเป็นจริงอย่างไรใน อริยสัจ ๔ เหล่านี้ของเรา ซึ่งมีรอบ ๓ มีอาการ ๑๒ อย่างนี้หมดจดดีแล้ว เมื่อนั้น เราจึงได้ยืนยันตนว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ชอบ ไม่มีความ ตรัสรู้อื่นยิ่งกว่าในโลกเป็นไปกับด้วยเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์ทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา มนุษย์ก็แล ปัญญาอันรู้เห็นได้เกิดขึ้นแล้วแก่เราว่า ความพ้นพิเศษของเรา ไม่กลับกำเริบ ชาตินี้เป็นที่สุดแล้ว บัดนี้ภพใหม่ไม่มีอีก พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสธรรมปริยายนี้แล้ว ภิกษุปัญจวัคคีย์ก็มีใจยินดี เพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้าก็แล เมื่อเวยยากรณ์นี้อันพระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสอยู่จักษุในธรรม อันปราศจากธุลีปราศจากมลทิน ได้เกิดขึ้นแล้วแก่พระผู้มี
๙๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา อายุโกณฑัญญะว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีอันเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งปวงนั้นมีอันดับไป เป็นธรรมดา ก็ครั้นเมื่อธรรมจักรอันพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว เหล่าภุมมเทวดาก็ยังเสียงให้บันลือลั่นว่า นั่นจักรคือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้อันพระผู้มีพระ ภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสีอันสมณพราหมณ์เทวดา มาร พรหม และใครๆในโลก ยังให้เป็นไปไม่ได้ดังนี้ เทพเจ้าเหล่าชั้นจาตุมหาราชได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นภุมมเทวดาแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์ได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้น จาตุมมหาราชแล้วก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นยามาได้ฟังเสียงของเทพ เจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิตได้ฟังเสียงของ เทพเจ้าเหล่าชั้นดาวดึงส์แล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดีได้ ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นดุสิตแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น เทพเจ้าเหล่าชั้นปรนิม มิตวสวัตดีได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นนิมมานรดีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่น พรหมเหล่าชั้นที่เกิดในหมู่อกนิฏฐกะได้ฟังเสียงของเทพเจ้าเหล่าชั้นปะระนิมมิ ตะวาะสะวัตดีแล้ว ก็ยังเสียงให้บันลือลั่นว่า นั่นจักรคือธรรม ไม่มีจักรอื่นสู้ได้อัน พระผู้มีพระภาคเจ้าให้เป็นไปแล้ว ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี อัน สมณพราหมณ์เทวดา มาร พรหม และใคร ๆในโลกยังให้เป็นไปไม่ได้ดังนี้ โดยขณะครู่เดียวนี้เสียงขึ้นไปถึงพรหมโลก ด้วยประการฉะนี้ทั้งหมื่น โลกธาตุได้หวั่นไหวสะเทือนสะท้านลั่นไป ทั้งแสงสว่างอันยิ่งไม่มีประมาณได้ปรากฏ แล้วในโลกล่วงเทวานุภาพของเทวดาทั้งหลายเสียหมดลำดับนั้นแล พระผู้มีพระ ภาคเจ้าได้ทรงเปล่งอุทานว่า โกณฑัญญะได้รู้แล้วหนอ ผู้เจริญ โกณฑัญญะได้รู้แล้ว หนอ ผู้เจริญ เพราะเหตุนั้น นามว่า อัญญาโกณฑัญญะนี้นั่นเทียว ได้มีแล้วแก่ท่าน พระโกณฑัญญะด้วยประการฉะนี้แล ฯ
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๙๓ บทอนัตตลักขณสูตร พระวินัยปิฎก มหาวรรค อนัตตลักขณสูตร คือพระสูตรที่แสดงลักษณะ คือเครื่องกำหนดหมายว่า เป็นอนัตตา เป็นพระสูตรที่มีความสำคัญที่สุดพระสูตรหนึ่ง เนื่องจากหลังจากที่ พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระสูตรนี้แล้ว ได้บังเกิดพระอรหันต์ในพระบวรพุทธ ศาสนา ๕ องค์ รวมพระพุทธองค์เป็น ๖ องค์ ซึ่งพระสูตรนี้มีใจความเกี่ยวกับ ความไม่ใช่ตัวตนของขันธ์ ๕ ได้แก่ รูป คือ ร่างกาย, เวทนา คือ ความรู้สึกสุขทุกข์ หรือเฉย ๆ, สัญญา คือ ความจำได้หมายรู้, สังขาร คือ ความคิด หรือเจตนา, วิญญาณ คือ ความรู้อารมณ์ทางอายตนะทั้ง ๖ อันได้แก่สัมผัสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ พระสูตรนี้เป็นหนึ่งในพระสูตรสำคัญที่รวบรวมเอาหัวใจของพระบวรพุทธ ศาสนาไว้อย่างครอบคลุม กว้างขวาง จึงขนานนามกันว่าเป็น “ราชาธรรม” เช่น เดียวกับธัมมจักกัปปวัตนสูตรและอาทิตตปริยายสูตร ซึ่งสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าทรงแสดงไว้ และยังให้บังเกิดการประกาศพระศาสนาครั้งใหญ่ไปทั่วสากล จักรวาล และบังเกิดพระอรหันต์เป็นจำนวนมาก บทขัด ยันตัง สัตเตหิ ทุกเขนะ เญยยัง อะนัตตะลักขะณัง, อัตตะวาทาตตะสัญญานัง สัมมะเทวะ วิโมจะนัง. สัมพุทโธ ตัง ปะกาเสสิ ทิฏฐะสัจจานะ โยคินัง, อุตตะริง ปะฏิเวธายะ ภาเวตุง ญาณะมุตตะมัง. ยันเตสัง ทิฏฐะธัมมานัง ญาเณนุปะปะริกขะตัง, สัพพาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสุ อะเสสะโต.
๙๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ตะถา ญาณานุสาเรนะ สาสะนัง กาตุมิจฉะตัง, สาธูนัง อัตถะสิทธัตถัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะ เส. คำแปล อนัตตลักขณะอันใด อันสัตว์ทั้งหลายพึงรู้ได้โดยยาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้ทรงประกาศอนัตตลักขณะนั้น อันเป็นธรรมเครื่องปลดเปลื้องอัตตวาทุปาทาน (การถือมั่นด้วยอันกล่าวว่าเป็นตน) และอัตตสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นตนโดย ชอบแท้) แก่เหล่าพระโยคีคือปัญจวัคคีย์ผู้มีสัจจะอันเห็นแล้ว เพื่อให้เจริญญาณ อุดม เพื่อความตรัสรู้ธรรมอันยิ่ง จิตของพระปัญจวัคคีย์เหล่านั้น ผู้มีธรรมอันได้เห็น แล้ว ใคร่ครวญแล้วด้วยญาณ พ้นแล้วจากอาสวะทั้งปวงโดยไม่เหลือ ด้วยพระสูตร อันใด เราทั้งหลายจงสวดพระสูตรอันนั้น เพื่อสำเร็จประโยชน์แก่สาธุชนทั้งหลาย ผู้ปรารถนาจะทำคำสอนโดยระลึกตามญาณอย่างนั้นเทอญ ฯ บทสวด เอวัมเม สุตัง, เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, พาราณะสิยัง วิหะระติ, อิสิปะตะเน มิคะทะเย. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ปัญจะวัคคิเย ภิกขูอามันเตสิ. รูปัง ภิกขะเว อะนัตตา. รูปัญจะหิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, นะยิทัง รูปัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, ลัพเภถะ จะ รูเป, เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว รูปัง อะนัตตา, ตัส๎มา รูปัง อาพาธายะ สังวัตตะติ, นะ จะ ลัพภะติ รูเป, เอวัง เม รูปัง โหตุ เอวัง เม รูปัง มา อะโหสีติ. เวทะนา อะนัตตา. เวทะนา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, นะยิทัง เวทะนา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, ลัพเภถะ จะ เวทะนายะ, เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว เวทะนา อะนัตตา, ตัส๎มา เวทะนา อาพาธายะ สังวัตตะติ, นะ
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๙๕ จะ ลัพภะติ เวทะนายะ, เอวัง เม เวทะนา โหตุ เอวัง เม เวทะนา มา อะโหสีติ. สัญญา อะนัตตา. สัญญา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, นะยิทัง สัญญา อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, ลัพเภถะ จะ สัญญายะ, เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สัญญา อะนัตตา, ตัส๎มา สัญญา อาพาธายะ สังวัตตะติ, นะ จะ ลัพภะติ สัญญายะ, เอวัง เม สัญญา โหตุ เอวัง เม สัญญา มา อะโหสีติ. สังขารา อะนัตตา. สังขารา จะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสังสุ, นะยิทัง สังขารา อาพาธายะ สังวัตเตยยุง, ลัพเภถะ จะ สังขาเรสุ, เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว สังขารา อะนัตตา, ตัส๎มา สังขารา อาพาธายะ สังวัตตันติ, นะ จะ ลัพภะติ สังขาเรสุ, เอวัง เม สังขารา โหนตุ เอวัง เม สังขารา มา อะเหสุนติ. วิญญาณัง อะนัตตา. วิญญาณัญจะ หิทัง ภิกขะเว อัตตา อะภะวิสสะ, นะยิทัง วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตเตยยะ, ลัพเภถะ จะ วิญญาเณ, เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ. ยัส๎มา จะ โข ภิกขะเว วิญญาณัง อะนัตตา, ตัส๎มา วิญญาณัง อาพาธายะ สังวัตตะติ, นะ จะ ลัพภะติ วิญญาเณ, เอวัง เม วิญญาณัง โหตุ เอวัง เม วิญญาณัง มา อะโหสีติ. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว รูปัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ. อะนิจจัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนา-
๙๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา นิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว เวทะนา นิจจา วา อะนิจจา วาติ. อะนิจจา ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สัญญา นิจจา วา อะนิจจา วาติ. อะนิจจา ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว สังขารา นิจจา วา อะนิจจา วาติ. อะนิจจา ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัง กิง มัญญะถะ ภิกขะเว วิญญาณัง นิจจัง วา อะนิจจัง วาติ. อะนิจจัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วา ตัง สุขัง วาติ. ทุกขัง ภันเต. ยัมปะนานิจจัง ทุกขัง วิปะริณามะธัมมัง, กัลลัง นุ ตัง สะมะนุปัสสิตุง, เอตัง มะมะ เอโสหะมัส๎มิ เอโส เม อัตตาติ. โน เหตัง ภันเต. ตัส๎มาติหะ ภิกขะเว, ยังกิญจิ รูปัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง, อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หีนัง วา ปะณีตัง วา, ยันทูเร สันติเก วา, สัพพัง รูปัง, เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ. เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง.
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๙๗ ยา กาจิ เวทะนา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา, อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา, โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หีนา วา ปะณีตา วา, ยา ทูเร สันติเก วา, สัพพา เวทะนา, เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ. เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง. ยา กาจิ สัญญา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา, อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา, โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หีนา วา ปะณีตา วา, ยา ทูเร สันติเก วา, สัพพา สัญญา, เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มินะ เมโส อัตตาติ. เอวะ เมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง. เย เกจิ สังขารา อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนา, อัชฌัตตา วา พะหิทธา วา, โอฬาริกา วา สุขุมา วา, หีนา วา ปะณีตา วา, เย ทูเร สันติเก วา, สัพเพ สังขารา, เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มินะ เมโส อัตตาติ. เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง. ยังกิญจิ วิญญาณัง อะตีตานาคะตะปัจจุปปันนัง, อัชฌัตตัง วา พะหิทธา วา, โอฬาริกัง วา สุขุมัง วา, หีนัง วา ปะณีตัง วา, ยันทูเร สันติเก วา, สัพพัง วิญญาณัง, เนตัง มะมะ เนโสหะมัส๎มิ นะ เมโส อัตตาติ. เอวะเมตัง ยะถาภูตัง สัมมัปปัญญายะ ทัฏฐัพพัง. เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุต๎วา อะริยะสาวะโก, รูปัส๎มิงปินิพพินทะติ, เวทะนายะปิ นิพพินทะติ, สัญญายะปิ นิพพินทะติ, สังขาเรสุปิ นิพพินทะติ, วิญญาณัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. นิพพินทัง วิรัชชะติ. วิราคา วิมุจจะติ. วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมีติ ญาณัง โหติ, ขีณา ชาติ, วุสิตัง พ๎รัห๎มะจะริยัง, กะตัง กะระณียัง, นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ.
๙๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะนา ปัญจะวัคคิยา ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง. อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน, ปัญจะวัคคิยานัง ภิกขูนัง อะนุปาทายะ, อาสะเวหิ จิตตานิ วิมุจจิงสูติ. คำแปล ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ว่า สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน ใกล้ เมืองพาราณสีในกาลนั้นแล พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนพระภิกษุปัญจวัคคีย์ (ให้ ตั้งใจฟังภาษิตนี้ว่า) ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย รูป (คือร่างกายนี้) เป็นอนัตตา (มิใช่ตัวตน) ดูก่อนภิกษุ ทั้งหลาย ก็รูปนี้จักได้เป็นอัตตา (ตน) แล้ว รูปนี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ (ความ ลำบาก) อนึ่ง สัตว์พึงได้ในรูปตามใจหวังว่า รูปของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุใดแล ภิกษุทั้งหลาย รูปจึงเป็นอนัตตา เพราะ เหตุนั้น รูปจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้ในรูปตามใจหวังว่า รูปของเรา จงเป็นอย่างนี้เถิด รูปของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย เวทนา (คือความรู้สึกอารมณ์) เป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็เวทนานี้ จักได้เป็นอัตตาแล้ว เวทนานี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ อนึ่ง สัตว์พึงได้ในเวทนา ตามใจหวังว่า เวทนาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด เวทนาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้น เลย ก็เพราะเหตุใดแล ภิกษุทั้งหลาย เวทนาจึงเป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้น เวทนาจึง เป็นไปเพื่ออาพาธ อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้ในเวทนาตามใจหวังว่า เวทนาของเราจงเป็น อย่างนี้เถิด เวทนาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย สัญญา (คือความจำ) เป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สัญญานี้จักได้เป็น อัตตาแล้ว สัญญานี้ก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ อนึ่ง สัตว์พึงได้ในสัญญาตามใจหวังว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุ ใดแล ภิกษุทั้งหลาย สัญญาจึงเป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้น สัญญาจึงเป็นไปเพื่อ
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๙๙ อาพาธ อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้ในสัญญาตามใจหวังว่า สัญญาของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สัญญาของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย สังขาร (คือสภาพที่เกิดดับกับใจ ปรุงแต่งใจให้ดีบ้างชั่วบ้าง) เป็น อนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็สังขารทั้งหลายนี้จักได้เป็นอัตตาแล้ว สังขาร ทั้งหลายก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ อนึ่ง สัตว์พึงได้ในสังขารทั้งหลายตามใจหวัง ว่า สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเราอย่าได้เป็น อย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุใดแล ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายจึงเป็นอนัตตา เพราะ เหตุนั้น สังขารทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้ในสังขารทั้งหลาย ตามใจหวังว่า สังขารทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด สังขารทั้งหลายของเรา อย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย วิญญาณ (คือใจ) เป็นอนัตตา ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ก็วิญญาณนี้จักได้เป็น อัตตาแล้ว วิญญาณทั้งหลายก็ไม่พึงเป็นไปเพื่ออาพาธ อนึ่ง สัตว์พึงได้ในวิญญาณ ทั้งหลายตามใจหวังว่า วิญญาณทั้งหลายของเราจงเป็นอย่างนี้เถิด วิญญาณ ทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ก็เพราะเหตุใดแล ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณ ทั้งหลายจึงเป็นอนัตตา เพราะเหตุนั้น วิญญาณทั้งหลายจึงเป็นไปเพื่ออาพาธ อนึ่ง สัตว์ย่อมไม่ได้ในวิญญาณทั้งหลายตามใจหวังว่า วิญญาณทั้งหลายของเราจงเป็น อย่างนี้เถิด วิญญาณทั้งหลายของเราอย่าได้เป็นอย่างนั้นเลย ท่านทั้งหลายสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย รูปเที่ยงหรือไม่เที่ยง ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า เป็นทุกข์พระเจ้า ข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือเพื่อจะตาม เห็นสิ่งนั้นว่า นั้นของเรา เราเป็นนั่นเป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา หาอย่างนั้นไม่พระ เจ้าข้า ท่านทั้งหลายสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย เวทนาเที่ยงหรือไม่ เที่ยง ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือเพื่อ
๑๐๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั้นของเรา เราเป็นนั่นเป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา หาอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า ท่านทั้งหลายสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย สัญญาเที่ยงหรือไม่ เที่ยง ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือเพื่อ จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั้นของเรา เราเป็นนั่นเป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา หาอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า ท่านทั้งหลายสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย สังขารเที่ยงหรือไม่ เที่ยง ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า เป็นทุกข์ พระเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือเพื่อ จะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั้นของเรา เราเป็นนั่นเป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา หาอย่างนั้นไม่ พระเจ้าข้า ท่านทั้งหลายสำคัญความข้อนั้นเป็นไฉน ภิกษุทั้งหลาย วิญญาณเที่ยง หรือไม่เที่ยง ไม่เที่ยงพระเจ้าข้า สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์หรือเป็นสุขเล่า เป็น ทุกข์ พระเจ้าข้า ก็สิ่งใดไม่เที่ยง เป็นทุกข์มีความแปรปรวนไปเป็นธรรมดา ควรหรือ เพื่อจะตามเห็นสิ่งนั้นว่า นั้นของเรา เราเป็นนั่นเป็นนี่ นั่นเป็นตนของเรา หาอย่าง นั้นไม่พระเจ้าข้า เพราะเหตุนั้นแล ภิกษุทั้งหลาย รูปอย่างใดอย่างหนึ่ง ที่เป็นอดีตก็ดีอนาคต ก็ดีปัจจุบันก็ดีภายในก็ดีภายนอกก็ดีหยาบก็ดีละเอียดก็ดีเลวก็ดีประณีตก็ ดีอันใดมีในที่ไกลก็ดีในที่ใกล้ก็ดีรูปทั้งหมดก็เป็นสักว่ารูป นั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่ เป็นนั่นเป็นนี่ นั่นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้ ข้อนี้อันท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้วอย่าง นั้น เวทนาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีตก็ดีอนาคตก็ดีปัจจุบันก็ดีภายในก็ ดีภายนอกก็ดีหยาบก็ดีละเอียดก็ดีเลวก็ดีประณีตก็ดีอันใดมีในที่ไกลก็ดีในที่
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๐๑ ใกล้ก็ดีรูปทั้งหมดก็เป็นสักว่ารูป นั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่ นั้นไม่ใช่ตน ของเรา ดังนี้ ข้อนี้อันท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้วอย่าง นั้น สัญญาอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีตก็ดีอนาคตก็ดีปัจจุบันก็ดีภายในก็ ดีภายนอกก็ดีหยาบก็ดีละเอียดก็ดีเลวก็ดีประณีตก็ดีอันใดมีในที่ไกลก็ดีในที่ ใกล้ก็ดีรูปทั้งหมดก็เป็นสักว่ารูป นั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่ นั้นไม่ใช่ตน ของเรา ดังนี้ ข้อนี้อันท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้วอย่างนั้น สังขารอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีตก็ดีอนาคตก็ดีปัจจุบันก็ดีภายในก็ดีภายนอก ก็ดีหยาบก็ดีละเอียดก็ดีเลวก็ดีประณีตก็ดีอันใดมีในที่ไกลก็ดีในที่ใกล้ก็ดีรูป ทั้งหมดก็เป็นสักว่ารูป นั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่ นั้นไม่ใช่ตนของเรา ดังนี้ ข้อนี้อันท่านทั้งหลายพึงเห็นด้วยปัญญาอันชอบตามเป็นจริงแล้วอย่างนั้น วิญญาณอย่างใดอย่างหนึ่งที่เป็นอดีตก็ดีอนาคตก็ดีปัจจุบันก็ดีภายในก็ ดีภายนอกก็ดีหยาบก็ดีละเอียดก็ดีเลวก็ดีประณีตก็ดีอันใดมีในที่ไกลก็ดีในที่ ใกล้ก็ดีรูปทั้งหมดก็เป็นสักว่ารูป นั้นไม่ใช่ของเรา เราไม่เป็นนั่นเป็นนี่ นั้นไม่ใช่ตน ของเรา ดังนี้ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับแล้วเห็นอยู่อย่างนี้ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในรูป ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในเวทนา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัญญา ย่อมเบื่อหน่ายทั้ง ในสังขารทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในวิญญาณ เมื่อเบื่อหน่ายย่อมคลายความ กำหนัด เพราะคลายความกำหนัด จิตก็หลุดพ้น เมื่อจิตหลุดพ้นแล้ว ก็เกิดญาณรู้ว่า พ้นแล้ว ดังนี้อริยสาวกนั้น ย่อมทราบชัดว่าชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์เราได้อยู่จบ แล้ว กิจที่ควรทำเราได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสพระสูตรนี้จบลงแล้ว พระภิกษุปัญจวัคคีย์ก็มีใจ ยินดีเพลิดเพลินในภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็แลเมื่อเวยยากรณ์นี้อันพระผู้มี
๑๐๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา พระภาคเจ้าตรัสอยู่จิตของพระภิกษุปัญจวัคคีย์พ้นแล้วจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือ มั่นด้วยอุปาทานแล ฯ
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๐๓ บทอาทิตตปริยายสูตร พระวินัยปิฎก มหาวรรค อาทิตตปริยายสูตร เป็นธรรมที่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงแสดงแก่ หมู่ภิกษุชฎิล ทั้ง ๑,๐๐๓ รูป ขณะที่พระบรมศาสดาทรงแสดงพระธรรมเทศนาอยู่ นั้น ภิกษุชฎิล ทั้ง ๑,๐๐๓ รูป ส่งกระแสจิตไปตามวาระแห่งพระธรรมเทศนา จิต ของพวกเธอก็หลุดพ้นจากกิเลสาสวะทั้งปวง สำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพด้วยกัน ทั้งหมด และพระภิกษุชฎิลทั้งหมดนั้นก็ได้เป็นกำลังสำคัญในการประกาศ พระพุทธศาสนาที่เมืองราชคฤห์ เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธ ทำให้แคว้นมคธเป็นฐาน อำนาจสำคัญในการเผยแพร่พระพุทธศาสนาในเวลาต่อมา อาทิตตปริยายสูตร เป็นพระสูตรที่มีเนื้อหาแสดงถึงความรุ่มร้อนของจิตใจ (อินทรีย์ ๖) ด้วยอำนาจของกิเลส เปรียบได้กับความร้อนของไฟที่ลุกโพลงอยู่ ดังนั้นจึงได้ชื่อว่า อาทิตตปริยายสูตร แสดงให้เห็นว่าความร้อนที่แท้จริงคือความ ร้อนจากภายใน แต่ทว่าความสุขหรือความทุกข์ร้อนจากกิเลสทั้งปวงนั้นล้วนเป็นสิ่ง ที่ไม่เที่ยง คือตั้งอยู่ไม่ได้ตลอดไป ไม่มีอะไรที่ควรยึดถือ น่าเบื่อหน่ายในความผัน แปร พระสูตรนี้จึงเป็นพระสูตรสำคัญในพระพุทธศาสนา เชื่อกันว่า ที่ไหนมีเหตุการณ์ร้อนรุ่มวุ่นวายเพราะมนุษย์หรืออมนุษย์ก็ตาม ท่านให้สวดสาธยายอาทิตตปริยายสูตรนี้ บทขัด เวเนยยะทะมะโนปาเย สัพพะโส ปาระมิง คะโต, อะโมฆะวะจะโน พุทโธ อะภิญญายานุสาสะโก. จิณณานุรูปะโต จาปิ ธัมเมนะ วินะยัง ปะชัง, จิณณาคคิปาริจะริยานัง สัมโพชฌาระหะโยคินัง. ยะมาทิตตะปะริยายัง เทสะยันโต มะโนหะรัง,
๑๐๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา เต โสตาโร วิโมเจสิ อะเสกขายะ วิมุตติยา. ตะเถโวปะปะริกขายะ วิญญูนัง โสตุมิจฉะตัง, ทุกขะตาลักขะโณปายัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะ เส. คำแปล พระพุทธเจ้าได้ทรงถึงพระบารมีแล้วโดยประการทั้งปวง ในอุบายฝึกเวไนย สัตว์มีพระวาจาไม่เปล่าจากประโยชน์ ทรงพร่ำสอนเพื่อความตรัสรู้ยิ่ง และทรง แนะนำหมู่สัตว์โดยธรรมตามสมควรแก่อุปนิสัยที่เคยประพฤติมา ทรงแสดง อาทิตตปริยายอันใด อันเป็นเครื่องนำใจของพวกพระโยคีผู้จะตรัสรู้ซึ่งเป็นชฎิลเคย บำเรอไฟ ได้ทรงยังพระโยคีผู้สดับเหล่านั้นให้พ้นแล้ว ด้วยอเสกขวิมุตติเรา ทั้งหลาย จงสวดอาทิตตปริยายสูตรนั้น เป็นอุบายเครื่องกำหนดความทุกข์เพื่อ วิญญูชนทั้งหลายผู้ปรารถนาเพื่อจะฟัง โดยความใคร่ครวญอย่างนั้นเทอญ ฯ บทสวด เอวัมเม สุตัง, เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, คะยายัง วิหะระติ คะยาสีเส, สัทธิง ภิกขุสะหัสเสนะ. ตัต๎ระ โข ภะคะวา ภิกขู อามันเตสิ. สัพพัง ภิกขะเว อาทิตตัง. กิญจะ ภิกขะเว สัพพัง อาทิตตัง. จักขุง ภิกขะเว อาทิตตัง, รูปา อาทิตตา, จักขุวิญญาณัง อาทิตตัง, จักขุ- สัมผัสโส อาทิตโต, ยัมปิทัง จักขุสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติเวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัมปิอาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา, อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิโทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. โสตัง อาทิตตัง, สัททา อาทิตตา, โสตะวิญญาณัง อาทิตตัง, โสตะสัมผัสโส อาทิตโต, ยัมปิทัง โสตะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๐๕ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา, อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิโทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. ฆานัง อาทิตตัง, คันธา อาทิตตา, ฆานะวิญญาณัง อาทิตตัง, ฆานะสัมผัสโส อาทิตโต, ยัมปิทัง ฆานะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา, อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, โสเกหิปะริเทเวหิทุกเขหิ โทมะนัสเสหิอุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. ชิวîหา อาทิตตา, ระสา อาทิตตา, ชิวîหาวิญญาณัง อาทิตตัง, ชิวîหาสัมผัสโส อาทิตโต, ยัมปิทัง ชิวîหาสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา, อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, โสเกหิปะริเทเวหิทุกเขหิโทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. กาโย อาทิตโต, โผฏฐัพพา อาทิตตา, กายะวิญญานัง อาทิตตัง, กายะสัมผัสโส อาทิตโต, ยัมปิทัง กายะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา, อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, โสเกหิ ปะริเทเวหิ ทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ.
๑๐๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา มะโน อาทิตโต, ธัมมา อาทิตตา, มะโนวิญญาณัง อาทิตตัง, มะโนสัมผัสโส อาทิตโต, ยัมปิทัง มะโนสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัมปิ อาทิตตัง. เกนะ อาทิตตัง. อาทิตตัง ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา, อาทิตตัง ชาติยา ชะรามะระเณนะ, โสเกหิปะริเทเวหิทุกเขหิ โทมะนัสเสหิ อุปายาเสหิ อาทิตตันติ วะทามิ. เอวัง ปัสสัง ภิกขะเว สุตะวา อะริยะสาวะโก, จักขุส๎มิงปิ นิพพินทะติ, รูเปสุปินิพพินทะติ, จักขุวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, จักขุสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ, ยัมปิทัง จักขุสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. โสตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ, สัทเทสุปิ นิพพินทะติ, โสตะวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, โสตะสัมผัสเสปินิพพินทะติ, ยัมปิทัง โสตะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ฆานัส๎มิงปิ นิพพินทะติ, คันเธสุปิ นิพพินทะติ, ฆานะวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ฆานะสัมผัสเสปินิพพินทะติ, ยัมปิทัง ฆานะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. ชิวîหายะปิ นิพพินทะติ, ระเสสุปิ นิพพินทะติ, ชิวîหาวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, ชิวîหาสัมผัสเสปินิพพินทะติ, ยัมปิทัง ชิวîหาสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ.
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๐๗ กายัส๎มิงปิ นิพพินทะติ, โผฏฐัพเพสุปิ นิพพินทะติ, กายะวิญญาเณปินิพพินทะติ, กายะสัมผัสเสปิ นิพพินทะติ, ยัมปิทัง กายะสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติเวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. มะนัส๎มิงปิ นิพพินทะติ, ธัมเมสุปิ นิพพินทะติ, มะโนวิญญาเณปิ นิพพินทะติ, มะโนสัมผัสเสปินิพพินทะติ, ยัมปิทัง มะโนสัมผัสสะปัจจะยา อุปปัชชะติ เวทะยิตัง, สุขัง วา ทุกขัง วา อะทุกขะมะสุขัง วา, ตัส๎มิงปิ นิพพินทะติ. นิพพินทัง วิรัชชะติ. วิราคา วิมุจจะติ. วิมุตตัส๎มิง วิมุตตะมิติ ญาณัง โหติ, ขีณา ชาติ, วุสิตัง พ๎รัห๎มะจะริยัง, กะตัง กะระณียัง, นาปะรัง อิตถัตตายาติ ปะชานาตีติ. อิทะมะโวจะ ภะคะวา. อัตตะมะนา เต ภิกขู ภะคะวะโต ภาสิตัง อะภินันทุง, อิมัส๎มิญจะ ปะนะ เวยยากะระณัส๎มิง ภัญญะมาเน, ตัสสะ ภิกขุสะหัสสัสสะ อะนุปาทายะ, อาสะเวหิ จิตตานิวิมุจจิงสูติ. คำแปล ข้าพเจ้า (คือพระอานนทเถระ) ได้สดับมาแล้วอย่างนี้ สมัยหนึ่ง พระผู้มีภาคเจ้าเสด็จประทับอยู่ที่คยาสีสะ ใกล้แม่น้ำคยา กับด้วย พระภิกษุพันหนึ่ง ในกาลนั้นแลพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสเตือนพระภิกษุทั้งหลาย (ให้ ตั้งใจฟังภาษิตนี้) ว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย จักษุ (คือตา) เป็นของร้อน รูปทั้งหลายเป็นของ ร้อน วิญญาณอาศัยจักษุเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยจักษุเป็นของร้อน ความรู้สึก อารมณ์นี้เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีทุกข์ก็ดีไม่ใช่สุขก็ ดี ไม่ใช่ทุกข์ก็ดีแม้อันนั้นก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟคือราคะ
๑๐๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่และ ความตาย เพราะความโศก เพราะความร่ำไรรำพัน เพราะความทุกข์เพราะความ เสียใจ เพราะความคับแค้นใจ เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน โสตะ (คือหู) เป็นของร้อน เสียงทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัยโสตะ เป็นของร้อน สัมผัสอาศัยโสตะเป็นของร้อน ความรู้สึกอารมณ์นี้เกิดขึ้นเพราะโสตะ สัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีทุกข์ก็ดีไม่ใช่สุขก็ดี ไม่ใช่ทุกข์ก็ดีแม้อันนั้นก็ เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่และความตาย เพราะความโศก เพราะความร่ำไรรำพัน เพราะความทุกข์เพราะความเสียใจ เพราะความคับแค้นใจ เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน ฆานะ (คือจมูก) เป็นของร้อน กลิ่นทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัย ฆานะเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยฆานะเป็นของร้อน ความรู้สึกอารมณ์นี้เกิดขึ้น เพราะฆานะสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีทุกข์ก็ดีไม่ใช่สุขก็ดี ไม่ใช่ทุกข์ก็ดี แม้อันนั้นก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่และความตาย เพราะความ โศก เพราะความร่ำไรรำพัน เพราะความทุกข์ เพราะความเสียใจ เพราะความคับ แค้นใจ เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน ชิวหา (คือลิ้น) เป็นของร้อน รสทั้งหลายเป็นของร้อน วิญญาณอาศัยชิวหา เป็นของร้อน สัมผัสอาศัยชิวหาเป็นของร้อน ความรู้สึกอารมณ์นี้เกิดขึ้นเพราะชิวหา สัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีทุกข์ก็ดีไม่ใช่สุขก็ดี ไม่ใช่ทุกข์ก็ดีแม้อันนั้นก็ เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟ คือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่และความตาย เพราะความโศก เพราะความร่ำไรรำพัน เพราะความทุกข์เพราะความเสียใจ เพราะความคับแค้น ใจ เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๐๙ กาย เป็นของร้อน โผฏฐัพพะ (คือสิ่งที่ถูกต้องร่างกาย) เป็นของร้อน วิญญาณอาศัยกายเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยกายเป็นของร้อน ความรู้สึกอารมณ์นี้ เกิดขึ้นเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีทุกข์ก็ดีไม่ใช่สุขก็ดี ไม่ใช่ ทุกข์ก็ดีแม้อันนั้นก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟคือราคะ เพราะไฟ คือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่และความตาย เพราะความโศก เพราะความร่ำไรรำพัน เพราะความทุกข์ เพราะความ เสียใจ เพราะความคับแค้นใจ เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน มนะ (คือใจ) เป็นของร้อน ธรรมทั้งหลาย (คืออารมณ์ที่เกิดแก่ใจ) เป็นของ ร้อน วิญญาณอาศัยมนะเป็นของร้อน สัมผัสอาศัยมนะเป็นของร้อน ความรู้สึก อารมณ์นี้เกิดขึ้นเพราะมนะสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีทุกข์ก็ดีไม่ใช่สุขก็ ดี ไม่ใช่ทุกข์ก็ดีแม้อันนั้นก็เป็นของร้อน ร้อนเพราะอะไร ร้อนเพราะไฟคือ ราคะ เพราะไฟคือโทสะ เพราะไฟคือโมหะ ร้อนเพราะความเกิด เพราะความแก่ และความตาย เพราะความโศก เพราะความร่ำไรรำพัน เพราะความทุกข์เพราะ ความเสียใจ เพราะความคับแค้นใจ เราจึงกล่าวว่าเป็นของร้อน ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย อริยสาวกผู้ได้สดับมาแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ย่อมเบื่อ หน่ายทั้งในจักษุย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรูปทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในวิญญาณ อาศัยจักษุย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัมผัสอาศัยจักษุความรู้สึกอารมณ์นี้เกิดเพราะจักษุ สัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดีไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก็ดีย่อมเบื่อ หน่ายทั้งในความรู้สึกนั้น ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในโสตะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในเสียงทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณอาศัยโสตะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัมผัสอาศัยโสตะความรู้สึกอารมณ์ นี้เกิดเพราะโสตะสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดีไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่ สุขก็ดีย่อมเบื่อหน่ายทั้งในความรู้สึกนั้น ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในกลิ่นทั้งหลาย ย่อมเบื่อ หน่ายทั้งในวิญญาณอาศัยฆานะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัมผัสอาศัยฆานะ ความรู้สึก
๑๑๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา อารมณ์นี้เกิดเพราะฆานะสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดีไม่ใช่ ทุกข์ ไม่ใช่สุขก็ดีย่อมเบื่อหน่ายทั้งในความรู้สึกนั้น ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในรสทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณอาศัยชิวหา ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัมผัสอาศัยชิวหา ความรู้สึกอารมณ์ นี้เกิดเพราะชิวหาสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดีไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่ สุขก็ดีย่อมเบื่อหน่ายทั้งในความรู้สึกนั้น ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในกาย ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในโผฏฐัพพะทั้งหลาย ย่อมเบื่อ หน่ายทั้งในวิญญาณอาศัยกาย ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัมผัสอาศัยกาย ความรู้สึก อารมณ์นี้เกิดเพราะกายสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดีไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขก็ดีย่อมเบื่อหน่ายทั้งในความรู้สึกนั้น ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในมนะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในธรรมทั้งหลาย ย่อมเบื่อหน่าย ทั้งในวิญญาณอาศัยมนะ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในสัมผัสอาศัยมนะ ความรู้สึกอารมณ์นี้ เกิดเพราะมนะสัมผัสเป็นปัจจัยแม้อันใด เป็นสุขก็ดีเป็นทุกข์ก็ดีไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุข ก็ดีย่อมเบื่อหน่ายทั้งในความรู้สึกนั้น เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายความกำนัดเพราะคลายความกำหนัด จิตก็พ้นเมื่อ จิตพ้น ก็มีญาณรู้ว่าพ้นแล้ว อริยสาวกนั้น ย่อมทราบชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์ ได้อยู่จบแล้ว กิจที่ควรทำได้ทำเสร็จแล้ว กิจอื่นอีกเพื่อความเป็นอย่างนี้มิได้มี พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสธรรมปริยายอันนี้แล้ว พระภิกษุเหล่านั้นก็มีใจ ยินดีเพลิดเพลินภาษิตของพระผู้มีพระภาคเจ้า ก็แลเมื่อเวยยากรณ์อันนี้อันพระผู้มี พระภาคเจ้าตรัสอยู่ จิตของพระภิกษุพันรูปนั้นก็พ้นจากอาสวะทั้งหลาย ไม่ถือมั่น ด้วยอุปาทานแล ฯ
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๑๑ บทมหาสมยสูตร พระสุตตันตปิฎก ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาสมยสูตร เป็นพระสูตรขนาดยาว จัดอยู่ในมหาวรรค หมวดทีฆนิกาย ในพระสุตตันตปิฎก เนื้อหาว่าด้วยการชุมนุมใหญ่ของเทวดาทั้งปวง โดยครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ ป่ามหาวัน ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ แคว้นสักกะ พร้อม ด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ ที่ล้วนแล้วแต่เป็นเจ้าชายศากยะ ประมาณ ๕๐๐ รูป ครั้งนั้น เทพชั้นสุทธาวาส ๔ ตน คิดว่า เทวดาจาก ๑๐ โลกธาตุประชุมกันเพื่อเฝ้าพระผู้มี พระภาคเจ้าพร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ น่าที่พวกตนจะไปเฝ้า และกล่าวคาถากันคนละบท โดยใจความพรรณนาความประสงค์ที่มา ความประพฤติชอบของพระสงฆ์ และ พรรณนาว่า ผู้ถึงพระพุทธเจ้าเป็นสรณะย่อมไม่ไปสู่อบาย ต่อจากนั้น พระผู้มีพระ ภาคเจ้าตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายมาแล้ว ตรัสเล่าว่า เทวดามาประชุมครั้งใหญ่ แล้ว ตรัสประกาศชื่อของเทวดาเหล่านั้นโดยละเอียด มหาสมัยสูตรนี้นิยมนำมาสวดในงานมงคลสำคัญ ดังมีความในสุมังคล วิลาสินีว่า “ก็เพราะมหาสมัยสูตรนี้เป็นที่รักที่ชอบใจของพวกเทวดา ฉะนั้น ใน สถานที่ใหม่เอี่ยม เมื่อจะกล่าวมงคล ก็พึงกล่าวแต่พระสูตรนี้นั่นเทียว” และยัง อธิบายต่อไปว่า “สูตรนี้เป็นที่รักที่ชอบใจของเทวดาทั้งหลายอย่างนี้ เทวดา ทั้งหลายย่อมถือว่าพระสูตรนั้นเป็นของเรา ด้วยประการฉะนี้” บทขัด ทุลละภัง ทัสสะนัง ยัสสะ สัมพุทธัสสะ อะภิณ๎หะโส โลกัม๎หิอันธะภูตัส๎มิง ทุลละภุปปาทะสัตถุโน สักเกสุกะปิละวัตถุส๎มิง วิหะรันตัง มะหาวะเน ตันทัสสะนายะ สัมพุทธัง ภิกขุสังฆัญจะ นิมมะลัง ทะสะธา สังคะเณยยาสุ โลกะธาตูสุ เทวะตา
๑๑๒ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา อะเนกา อัปปะเมยยาวะ โมทะมานา สะมาคะตา ตาสัง ปิยัง มะนาปัญจะ จิตตัสโสทัคคิยาวะหัง ยัง โส เทเสสิสัมพุทโธ หาสะยันโตติเม สุตัง เทวะกายัปปะหาสัตถัง ตัง สุตตันตัง ภะณามะ เส. คำแปล การได้พบเห็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบ่อย ๆ เนือง ๆ หาได้ยาก กาลอันเป็น ที่เกิดขึ้นแห่งพระศาสนาในโลกอันมืดหาได้ยาก ดังนั้น เหล่าเทวดาจำนวนมากมาย จากโลกธาตุทั้ง ๑๐ จึงชื่นชมยินดีมาก มาประชุมกันเพื่อทัศนาพระสัมมาสัมพุทธ เจ้าและพระภิกษุสงฆ์ผู้บริสุทธิ์ซึ่งประทับ ณ ป่ามหาวัน ใกล้กรุงกบิลพัสดุ์ในสักกชนบท พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระสูตรอันเป็นที่รัก ที่พึงใจ และนำมาซึ่ง ความปีติปราโมทย์แก่เทวดาเหล่านั้น ข้าพเจ้าได้สดับมาอย่างนี้เราทั้งหลายจงสวด พระสูตรนี้เพื่อเป็นที่ร่าเริงแห่งเหล่าเทวดาทั้งหลาย เทอญ ฯ บทสวด เอวัมเม สุตัง. เอกัง สะมะยัง ภะคะวา, สักเกสุวิหะระติกะปิละวัตถุส๎มิง มะหาวะเน, มะหะตา ภิกขุสังเฆนะ สัทธิง ปัญจะมัตเตหิ ภิกขุสะเตหิสัพเพเหวะ อะระหันเตหิ. ทะสะหิจะ โลกะธาตูหิเทวะตา เยภุยเยนะ สันนิปะติตา โหนติภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ. อะถะโข จะตุนนัง สุทธาวาสะกายิกานัง เทวานัง เอตะทะโหสิ. อะยัง โข ภะคะวา สักเกสุวิหะระติกะปิละวัตถุส๎มิง มะหาวะเน, มะหะตา ภิกขุ- สังเฆนะ สัทธิง ปัญจะมัตเตหิภิกขุสะเตหิสัพเพเหวะ อะระหันเตหิ, ทะสะหิจะ โลกะธาตูหิ เทวะตา เยภุยเยนะ สันนิปะติตา โหนติ ภะคะวันตัง ทัสสะนายะ ภิกขุสังฆัญจะ, ยันนูนะ มะยัมปิเยนะ ภะคะวา เตนุปะสังกะเมยยามะ, อุปะสังกะมิต๎วา ภะคะวะโต สันติเก ปัจเจกะ-
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๑๓ คาถา ภาเสยยามาติ. อะถะโข ตา เทวะตา, เสยยะถาปินามะ พะละวา ปุริโส สัมมิญชิตัง วา พาหัง ปะสาเรยยะ ปาสาริตัง วา พาหัง สัมมิญเชยยะ, เอวะเมวะ สุทธาวาเสสุ เทเวสุอันตะระหิตา ภะคะวะโต ปุระโต ปาตุระหังสุ. อะถะโข ตา เทวะตา ภะคะวันตัง อะภิวาเทต๎วา เอกะมันตัง อัฏฐังสุ. เอกะมันตัง ฐิตา โข เอกา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. มะหาสะมะโย ปะวะนัส๎มิง เทวะกายา สะมาคะตา อาคะตัม๎หะ อิมัง ธัมมะสะมะยัง ทักขิตาเยวะ อะปะราชิตะสังฆันติ. อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. ตัต๎ระ ภิกขะโว สะมาทะหังสุ จิตตัง อัตตะโน อุชุกะมะกังสุ. สาระถีวะ เนตตานิคะเหต๎วา อินท๎ริยานิรักขันติปัณฑิตาติ. อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. เฉต๎วา ขีลัง เฉต๎วา ปะลีฆัง อินทะขีลัง โอหัจจะมะเนชา, เต จะรันติสุทธา วิมะลา จักขุมะตา สุทันตา สุสูนาคาติ. อะถะโข อะปะรา เทวะตา ภะคะวะโต สันติเก อิมัง คาถัง อะภาสิ. เย เกจิพุทธัง สะระณัง คะตา เส, นะ เต คะมิสสันติอะปายะภูมิง,
๑๑๔ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา ปะหายะ มานุสัง เทหัง เทวะกายัง ปะริปูเรสสันตีติ. อะถะโข ภะคะวา ภิกขูอามันเตสิ, เยภุยเยนะ ภิกขะเว ทะสะสุ โลกะธาตูสุ เทวะตา สันนิปะติตา โหนติตะถาคะตัง ทัสสะนายะ ภิกขุ- สังฆัญจะ, เยปิเต ภิกขะเว อะเหสุง อะตีตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา, เตสัมปิภะคะวันตานัง เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะติตา อะเหสุง. เสยยะถาปิมัย๎หัง เอตะระหิ, เยปิเต ภิกขะเว ภะวิสสันติอะนาคะตะมัทธานัง อะระหันโต สัมมาสัมพุทธา, เตสัมปิ ภะคะวันตานัง เอตะปะระมาเยวะ เทวะตา สันนิปะติตา ภะวิสสันติ. เสยยะถาปิมัย๎หัง เอตะระหิ, อาจิกขิสสามิภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ, กิตตะยิสสามิภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ, เทสิสสามิ ภิกขะเว เทวะกายานัง นามานิ, ตัง สุณาถะ สาธุกัง มะนะสิกะโรถะ ภาสิสสามีติ. เอวัมภันเตติโข เต ภิกขูภะคะวะโต ปัจจัสโสสุง. ภะคะวา เอตะทะโวจะ. สิโลกะมะนุกัสสามิ ยัตถะ ภุมมา ตะทัสสิตา เย สิตา คิริคัพภะรัง ปะหิตัตตา สะมาหิตา ปุถูสีหาวะ สัลลีนา โลมะหังสาภิสัมภุโน โอทาตะมะนะสา สุทธา วิปปะสันนะมะนาวิลา ภิยโย ปัญจะสะเต ญัต๎วา วะเน กาปิละวัตถะเว ตะโต อามันตะยิสัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ ภิกขะโว เต จะ อาตัปปะมะกะรุง สุต๎วา พุทธัสสะ สาสะนัง
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๑๕ เตสัมปาตุระหุญาณัง อะมะนุสสานะ ทัสสะนัง อัปเปเก สะตะมัททักขุง สะหัสสัง อะถะ สัตตะริง สะตัง เอเก สะหัสสานัง อะมะนุสสานะมัททะสุง อัปเปเกนันตะมัททักขุง ทิสา สัพพา ผุฏา อะหุง ตัญจะ สัพพัง อะภิญญายะ วะวักขิต๎วานะ จักขุมา ตะโต อามันตะยิสัตถา สาวะเก สาสะเน ระเต เทวะกายา อะภิกกันตา เต วิชานาถะ ภิกขะโว เย โวหัง กิตตะยิสสามิ คิราหิอะนุปุพพะโส. สัตตะสะหัสสา วะ ยักขา ภุมมา กาปิละวัตถะวา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ฉะสะหัสสา เหมะวะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. สาตาคิรา ติสะหัสสา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. อิจเจเต โสฬะสะสะหัสสา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. เวสสามิตตา ปัญจะสะตา ยักขา นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน
๑๑๖ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. กุมภิโร ราชะคะหิโก เวปุลลัสสะ นิเวสะนัง ภิยโย นัง สะตะสะหัสสัง ยักขานัง ปะยิรุปาสะติ กุมภิโร ราชะคะหิโก โสปาคะ สะมิติง วะนัง. ปุริมัญจะ ทิสัง ราชา ธะตะรัฏโฐ ปะสาสะติ คันธัพพานัง อาธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิโส. ปุตตาปิตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ทักขิณัญจะ ทิสัง ราชา วิรุฬ๎โห ตัปปะสาสะติ กุมภัณฑานัง อาธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิโส. ปุตตาปิตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ปัจฉิมัญจะ ทิสัง ราชา วิรูปักโข ปะสาสะติ นาคานัง อาธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิโส. ปุตตาปิตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. อุตตะรัญจะ ทิสัง ราชา กุเวโร ตัปปะสาสะติ ยักขานัง อาธิปะติ มะหาราชา ยะสัสสิโส. ปุตตาปิตัสสะ พะหะโว อินทะนามา มะหัพพะลา
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๑๗ อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. ปุริมะทิสัง ธะตะรัฏโฐ ทักขิเณนะ วิรุฬ๎หะโก ปัจฉิเมนะ วิรูปักโข กุเวโร อุตตะรัง ทิสัง. จัตตาโร เต มะหาราชา สะมันตา จะตุโร ทิสา ทัททัลละมานา อัฏฐังสุ วะเน กาปิละวัตถะเว. เตสัง มายาวิโน ทาสา อาคูวัญจะนิกา สะฐา มายา กุเฏณฑุเวเฏณฑุ วิฏูจะ วิฏุโต สะหะ จันทะโน กามะเสฏโฐ จะ กินนุฆัณฑุนิฆัณฑุจะ ปะนาโท โอปะมัญโญ จะ เทวะสูโต จะ มาตะลิ จิตตะเสโน จะ คันธัพโพ นะโฬราชา ชะโนสะโภ อาคูปัญจะสิโข เจวะ ติมพ๎รูสุริยะวัจฉะสา เอเต จัญเญ จะ ราชาโน คันธัพพา สะหะ ราชุภิ โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. อะถาคูนาภะสา นาคา เวสาลา สะหะตัจฉะกา กัมพะลัสสะตะรา อาคู ปายาคา สะหะ ญาติภิ ยามุนา ธะตะรัฏฐา จะ อาคูนาคา ยะสัสสิโน เอราวัณโณ มะหานาโค โสปาคะ สะมิติง วะนัง. เย นาคะราเช สะหะสา หะรันติ ทิพพา ทิชา ปักขิวิสุทธะจักขู เวหายะสา เต วะนะมัชฌะปัตตา จิต๎รา สุปัณณา อิติเตสะ นามัง
๑๑๘ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา อะภะยันตะทา นาคะราชานะมาสิ สุปัณณะโต เขมะมะกาสิพุทโธ สัณîหาหิวาจาหิอุปะว๎หะยันตา นาคา สุปัณณา สะระณะมะกังสุพุทธัง. ชิตา วะชิระหัตเถนะ สะมุททัง อะสุรา สิตา ภาตะโร วาสะวัสเสเต อิทธิมันโต ยะสัสสิโน กาละกัญชา มะหาภิส๎มา อะสุรา ทานะเวฆะสา เวปะจิตติสุจิตติจะ ปะหาราโท นะมุจีสะหะ สะตัญจะ พะลิปุตตานัง สัพเพ เวโรจะนามะกา สันนัยหิต๎วา พะลิง เสนัง ราหุภัททะมุปาคะมุง สะมะโยทานิภัททันเต ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. อาโป จะ เทวา ปะฐะวีจะ เตโช วาโย ตะทาคะมุง วะรุณา วารุณา เทวา โสโม จะ ยะสะสา สะหะ เมตตากะรุณากายิกา อาคูเทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. เวณฑูจะ เทวา สะหะลีจะ อะสะมา จะ ทุเว ยะมา จันทัสสูปะนิสา เทวา จันทะมาคูปุรักขิตา สุริยัสสูปะนิสา เทวา สุริยะมาคูปุรักขิตา นักขัตตานิปุรักขิต๎วา อาคูมันทะวะลาหะกา วะสูนัง วาสะโว เสฏโฐ สักโกปาคะ ปุรินทะโท
วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร : ๑๑๙ ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. อะถาคูสะหะภูเทวา ชะละมัคคิสิขาริวะ อะริฏฐะกา จะ โรชา จะ อุมมา ปุปผะนิภาสิโน วะรุณา สะหะธัมมา จะ อัจจุตา จะ อะเนชะกา สุเลยยะรุจิรา อาคู อาคูวาสะวะเนสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. สะมานา มะหาสะมานา มานุสา มานุสุตตะมา ขิฑฑาปะทูสิกา อาคู อาคูมะโนปะทูสิกา อะถาคูหะระโย เทวา เย จะ โลหิตะวาสิโน ปาระคา มะหาปาระคา อาคูเทวา ยะสัสสิโน ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. สุกกา กะรุม๎หา อะรุณา อาคูเวฆะนะสา สะหะ โอทาตะคัยî หา ปาโมกขา อาคูเทวา วิจักขะณา สะทามัตตา หาระคะชา มิสสะกา จะ ยะสัสสิโน ถะนะยัง อาคา ปะชุนโน โย ทิสา อะภิวัสสะติ ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน
๑๒๐ : หนังสือสวดมนต์ศาลาพระราชศรัทธา อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. เขมิยา ตุสิตา ยามา กัฏฐะกา จะ ยะสัสสิโน ลัมพิตะกา ลามะเสฏฐา โชตินามา จะ อาสะวา นิมมานะระติโน อาคู อะถาคูปะระนิมมิตา ทะเสเต ทะสะธา กายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน อิทธิมันโต ชุติมันโต วัณณะวันโต ยะสัสสิโน โมทะมานา อะภิกกามุง ภิกขูนัง สะมิติง วะนัง. สัฏเฐเต เทวะนิกายา สัพเพ นานัตตะวัณณิโน นามัน๎วะเยนะ อาคัญฉุง เย จัญเญ สะทิสา สะหะ ปะวุตถะชาติมักขีลัง โอฆะติณณะมะนาสะวัง ทักเขโมฆะตะรัง นาคัง จันทัง วะ อะสิตาติตัง สุพ๎รัห๎มา ปะระมัตโต จะ ปุตตา อิทธิมะโต สะหะ สันนังกุมาโร ติสโส จะ โสปาคะ สะมิติง วะนัง. สะหัสสะพ๎รัห๎มะโลกานัง มะหาพ๎รัห๎มาภิติฏฐะติ อุปะปันโน ชุติมันโต ภิส๎มากาโย ยะสัสสิโส ทะเสตถะ อิสสะรา อาคู ปัจเจกะวะสะวัตติโน เตสัญจะ มัชฌะโต อาคา หาริโต ปะริวาริโต เต จะ สัพเพ อะภิกกันเต สินเท เทเว สะพ๎รัห๎มะเก มาระเสนา อะภิกกามิ ปัสสะ กัณหัสสะ มันทิยัง เอถะ คัณหะถะ พันธะถะ ราเคนะ พันธะมัตถุโว สะมันตา ปะริวาเรถะ มา โว มุญจิตถะ โกจินัง