The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

กองร้อยอาวุธเบา รส. 7-10

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by training7005, 2024-05-24 03:22:05

กองร้อยอาวุธเบา รส. 7-10

กองร้อยอาวุธเบา รส. 7-10

กองทัพบก คู่มือราชการสนาม ว่า ว่ ด้วย กองร้อยอาวุธ วุ เบา รส.๗-๑๐ พ.ศ.๒๕๓๔


คํานํา คู่มือเล่มนี้จัดทําขึ้นสําหรับทุกคนที่เป็นปัจจัยของความสําเร็จในสนามรบ ชัยชนะมิได้มาจาก การมียุทโธปกรณ์ทันสมัยเพียงพออย่างเดียว แต่อยู่ที่ตัวทหารทุกคนซึ่งเป็นผู้ใช้ด้วย กองทัพบกที่ ประกอบด้วยอาวุธชั้นเยี่ยมก็ไม่สามารถกําชัยชนะไว้ได้ถ้าปราศจากทหารที่มีใจรุกรบและได้รับการฝึก เป็นอย่างดี กองทัพบกจะต้องมีกําลังพลที่มีลักษณะผู้นํา และมีความรอบรู้ในวิธีการรบตลอดจนรู้ วิธีการอยู่รอดในสนามรบ คู่มือเล่มนี้เป็นคู่มือของทหารในการปฏิบัติการรบ กล่าวถึงวิธีการฝึกฝนให้เกิดความชํานาญ ในการรบให้ชนะและอยู่รอดได้ในสนามรบ ความรู้พื้นฐานเหล่านี้ทหารจะต้องได้เรียนรู้ตามที่กําหนด ในความชํานาญการทางทหาร (ชกท.) หากผู้ใช้คู่มือเล่มนี้ ประสงค์จะให้ข้อเสนอแนะในการเปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือมีข้อคิดเห็นใด ๆ กรุณาระบุหน้า หัวข้อ และบรรทัดที่ปรากฏในเล่ม พร้อมทั้งเหตุผลประกอบ เพื่อให้เกิดความเข้าใจ อย่างถ่องแท้ และสามารถนําไปประเมินค่าโดยสมบูรณ์ ข้อคิดเห็นเหล่านี้ขอให้ส่งไปยัง กองวิทยาการ ศูนย์การทหารราบ ค่ายธนะรัชต์ อําเภอปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ๗๗๑๖๐ ศูนย์การทหารราบ


สารบาญ หน้า บทที่ ๑ กล่าวนํา ๑ ตอนที่ ๑ การเตรียมความพร้อมเพื่อทําการรบ ๑ ตอนที่ ๒ การรบอากาศพื้นดิน ๒ ตอนที่ ๓ ระบบปฏิบัติการในสนามรบ ๗ ตอนที่ ๔ การจัดหน่วย ๘ บทที่ ๒ การควบคุมและการบังคับบัญชา ๑๑ ตอนที่ ๑ ระบบการควบคุมและการบังคับบัญชา ๑๔ ตอนที่ ๒ กรรมวิธีในการบังคับบัญชาและการควบคุม ๒๒ ตอนที่ ๓ การประมาณสถานการณ์ ๓๒ ตอนที่ ๔ การปฏิบัติการต่อเนื่อง ๕๖ บทที่ ๓ การเคลื่อนย้าย ๕๙ บทที่ ๔ การปฏิบัติการรุก ๗๖ ตอนที่ ๑ หลักพื้นฐานการรบด้วยวิธีรุก ๗๙ ตอนที่ ๒ การแทรกซึม ๘๘ ตอนที่ ๓ การเคลื่อนที่เข้าปะทะ ๙๓ ตอนที่ ๔ การเข้าตี ๑๐๖ ตอนที่ ๕ เทคนิคในการเข้าตี ๑๑๕ บทที่ ๕ การปฏิบัติการตั้งรับ ๑๓๙ ตอนที่ ๑ หลักพื้นฐานของการตั้งรับ ๑๔๑ ตอนที่ ๒ การวางแผนและการเตรียมการ ๑๔๔ ตอนที่ ๓ การปฏิบัติการยุทธ์ ๑๖๔ ตอนที่ ๔ เทคนิคการตั้งรับ ๑๗๒ บทที่ ๖ การปฏิบัติทางยุทธวิ ธีอื่น ๆ ๑๘๘ ตอนที่ ๑ การผ่านแนวทหารฝ่ายเดียวกัน ๑๘๘ ตอนที่ ๒ การผลัดเปลี่ยน ๑๙๒ ตอนที่ ๓ การปฏิบัติการร่นถอย ๑๙๙ ตอนที่ ๔ การบรรจบ ๒๐๗ ตอนที่ ๕ การข้ามลํานํ้า ๒๑๐ ตอนที่ ๖ การลาดตระเวน ๒๑๑ ตอนที่ ๗ การปฏิบัติการหลังแนวข้าศึก ๒๒๕ บทที่ ๗ การสนับสนุนการรบ ๒๒๘ ตอนที่ ๑ ความสัมพันธ์ทางการบังคับบัญชา ๒๒๘ ตอนที่ ๒ เครื่องมือที่ไม่อยู่ในอัตราการจัด ๒๒๙ ตอนที่ ๓ การวางแผนการยิงสนับสนุน ๒๓๘


หน้า บทที่ ๘ การสนับสนุนการช่วยรบ ๒๔๘ ตอนที่ ๑ หลักการพื้นฐาน ๒๔๙ ตอนที่ ๒ การปฏิบัติการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ ๒๕๒ ตอนที่ ๓ นํ้าหนักบรรทุกเป็นบุคคลของทหาร ๒๕๘ ตอนที่ ๔ การบริการกําลังพล ๒๖๓ ตอนที่ ๕ การสนับสนุนทางการแพทย์ ๒๖๕ ผนวก ก การปฏิบัติการของกําลังรบขนาดเบา/หนัก ๒๖๘ ผนวก ข เครื่องกีดขวาง ๒๘๒ ผนวก ค การสนับสนุนจากเครื่องบินปีกหมุน ๒๘๘ ผนวก ง การเคลื่อนย้ายทางพื้นดินและพื้นที่รวมพล ๓๐๔ ผนวก จ การใช้อาวุธต่อสู้รถถัง ๓๑๐


๑ บทที่ ๑ กล่าวนํา ๑ - ๑ กองร้อยทหารราบได้รับการจัดหน่วยเพื่อทําการสู้รบ ให้ได้รับชัยชนะในทุกพื้นที่การรบ โดยหลัก พื้นฐานการรบอากาศพื้นดินในระดับกองร้อยที่เพียงพอต่อการดําเนินกลยุทธ์ในการรบ จะต้องประกอบด้วย ผู้นําที่กล้าหาญมีจิตใจรุกรบ และพร้อมที่จะยอมรับการเสี่ยงที่ได้ใคร่ครวญแล้ว เพื่อผลักดันให้ภารกิจที่ได้รับ ประสพความสําเร็จ ผู้นําหน่วยทหารราบในสภาวะสงครามสมัยใหม่ จะต้องมีความสามารถในการใช้ความคิด ริเริ่มของตนเอง และตัดสินใจได้อย่างรวดเร็ว เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในโอกาสที่ไม่คาดคิด กําลังพลใน กองร้อยทหารราบจะต้องรุกรบ มีร่างกายที่แข็งแกร่ง มีวินัยและการจัดการฝึกที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งความ คล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ทางยุทธวิธี จะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึงความต้องการในการเตรียมการ สําหรับการนํา กําลังเข้าสู่การรบได้อย่างรวดเร็ว ทั้งนี้สมมุติฐานด้านขีดความสามารถและความเป็นไปได้ของภัยคุกคามที่ กองร้อยทหารราบอาจต้องเผชิญหน้า ย่อมทําให้กองร้อยทหารราบจําเป็นจะต้องดํารงไว้ซึ่งความพร้อมรบ ระดับสูงสุด ตอนที่ ๑ การเตรียมความพร้อมเพื่อทําการรบ ๑ - ๒ กองร้อยอาวุธเบาทหารราบ ได้รับการจัดกําลังพลและยุทโธปกรณ์ สําหรับเข้าประชิดข้าศึก เพื่อ สังหาร ทําลายยุทโธปกรณ์ และทําลายความพยายามที่จะต่อสู้ของฝ่ายข้าศึก การรบประชิดเป็นบุคคล ดังกล่าวนี้ต้องการหน่วยที่มีความพร้อมรบ ทั้งทหารที่มีความชํานาญการรบและผู้นําที่มีอํานาจ (ศักยภาพ) ซึ่งจะได้มาจากผลของการฝึกที่เข้มแข็ง จริงจังและการจัดทํากําหนดการฝึกตามความต้องการอย่างรอบคอบ โดยผู้นําหน่วยที่มีความเข้าใจในการใช้กําลังทหารราบอย่างมีประสิทธิภาพ ก. พลรบ ทหารราบจะต้องมีความเชี่ยวชาญในการยิงปืน การรบประชิดและการปฏิบัติงานในสนาม รวมทั้งความชํานาญในการใช้อาวุธชนิดอื่นที่มีอยู่ในอัตราของหน่วยให้ดีเท่ากับอาวุธประจํากายของตนเอง นอกจากนี้ควรมีความคุ้นเคยกับอาวุธของต่างชาติที่อาจมีโอกาสพบในสนามรบ ดังนั้นในการรบประชิด ทหารราบทุกคนจึงต้องมีความชํานาญในการใช้อาวุธทุกชนิด ทั้ง ปลย. ดาบปลายปืน อว.ตถ.ขนาดเบา ลูก ระเบิดขว้าง ทุ่นระเบิด และการต่อสู้ด้วยมือเปล่า จนสามารถใช้อาวุธดังกล่าวนี้ได้อย่างเต็มขีดความสามารถ ด้วยความมั่นใจสูงสุด อีกทั้งทหารราบทุกคนยังต้องมีความชํานาญในการใช้แผนที่เข็มทิศ การพราง เทคนิค การสะกดรอยและการล่าสังหาร ตลอดจนมีขีดความสามารถในการเคลื่อนที่เข้าใกล้ข้าศึกโดยที่ข้าศึกไม่รู้ตัว เพื่อทําการลาดตระเวนหาข่าว การแทรกซึมและการจู่โจมให้ประสพความสําเร็จในทุกการปฏิบัติการยุทธ์ ทั้งนี้ความชํานาญในการรบดังกล่าวข้างต้น มิใช่มีไว้เพียงเพื่อการรบประชิดเท่านั้น แต่เพื่อให้มีอํานาจกําลัง รบที่เหนือกว่า ข. ผู้นําการรบ ผู้นําหน่วยทหารราบจะต้องเป็นผู้ที่มีขีดความสามารถมากที่สุดในหน่วย ความเป็น ผู้นําดังกล่าวจะเป็นเครื่องวัดถึงความสําเร็จและความล้มเหลวในการรบ ดังนั้นผู้นําหน่วยจึงต้องมี ความสามารถทั้งด้านยุทธวิธีและเทคนิค โดยมีความชํานาญในการใช้แผนที่เข็มทิศและความรอบรู้อย่างลึกซึ้ง เกี่ยวกับลักษณะภูมิประเทศ เนื่องจากในแง่คิดเกี่ยวกับภูมิประเทศสําหรับทหารราบเดินเท้า จะเป็นได้ทั้ง อุปสรรคหรือเสริมสร้างความได้เปรียบในการรบ ซึ่งถ้าพิจารณาใช้ประโยชน์จากภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศ ได้อย่างถูกต้องเหมาะสมกับสภาพการยุทธ์ จะเป็นการเสริมสร้างอํานาจ (ศักยภาพ) การรบและสนับสนุนให้ บรรลุความสําเร็จของหน่วย ผู้นําหน่วยทหารราบจําเป็นจะต้องมีขีดความสามารถในการจัดกําลังเข้าทําการรบ


๒ มีความแน่วแน่มั่นคงและความเด็ดขาด โดยเฉพาะผู้นําของกองร้อยอาวุธเบาจะต้องเป็นผู้ผสมผสานการใช้ เครื่องมือที่มีอยู่เข้าทําการรบประชิดกับข้าศึก ดังนั้นจึงจําเป็นต้องมีความชํานาญสูงในการใช้อาวุธและ เครื่องมือที่มีอยู่ในลักษณะชุดรบผสม ผู้นําหน่วยทหารราบจะต้องมีความพลิกแพลงและอ่อนตัวในการใช้หน่วย ของตน อีกทั้งยังต้องมีความกระตือรือร้นในการติดตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยความรวดเร็ว และมี ความริเริ่มที่จะปฏิบัติการเป็นอิสระบนพื้นฐานของสถานการณ์ และเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชาโดยเฉพาะ อย่างยิ่งเหนือสิ่งอื่นใดจะต้องแสดงออกถึงความเป็นผู้นําที่เชี่ยวชาญ และใช้คุณลักษณะผู้นําที่จําเป็นอย่าง สูงสุดเพื่อความอยู่รอดและความสําเร็จในการรบประชิด ค. หน่วย ความแข็งแกร่งของหน่วยทหารราบเกิดจากความชํานาญ ความกล้าหาญและมีวินัยของ ทหารแต่ละบุคคล ขีดความสามารถของทหารเป็นรายบุคคลจะถูกยกระดับด้วยการทํางานเป็นชุด ความรัก ผูกพันภายในหมู่และหมวดมีความสําคัญอย่างยิ่งต่อความอยู่รอด และชัยชนะของหน่วยทหารราบในการรบ ประชิด สิ่งเหล่านี้จะส่งเสริมให้ทหารราบมีความมุ่งมั่น กล้าตัดสินใจและพร้อมที่จะยอมรับความยากลําบาก และปฏิเสธความพ่ายแพ้ซึ่งถือเป็นปัจจัยหลักในการตัดสินชัยชนะในการรบประชิด ในระดับหมู่และหมวด ความผูกพันและการทํางานเป็นชุด จะเป็นปัจจัยที่เกื้อกูลเป็นอย่างยิ่งต่อประสิทธิภาพการรบของหน่วย ความสัมพันธ์ภายในหมู่มีความสําคัญยิ่ง แต่ความสัมพันธ์ในทุกระดับภายในหน่วยทหารราบเป็นสิ่งที่ขาด ไม่ได้ ทั้งนี้ความสัมพันธ์ตามสายการบังคับบัญชาและช่วงการบังคับบัญชา จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทหารมี ความเชื่อมั่น และศรัทธาในตัวผู้บังคับบัญชาของตนอย่างสมบูรณ์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ย่อมได้มาจากการร่วมเผชิญกับ ความยากลําบากและการแสดงออกถึงความเป็นผู้นําที่มีอํานาจ (ศักยภาพ) โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์วิกฤต นอกจากนี้ในทํานองเดียวกันผู้นําจะต้องมีความเชื่อมั่นในตัวทหารเช่นกัน ง. การกําหนดแผนการฝึก แผนการฝึกของหน่วยจะต้องถูกนําไปใช้กับทหารทั้งเป็นบุคคลและเป็น หน่วยอย่างมีความเหมาะสม โดยมุ่งไปสู่การพัฒนาความพร้อมรบของหน่วยให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น ทั้งนี้การฝึก จะต้องประกอบไปด้วยเหตุการณ์ที่ยากลําบากและท้าทายหลายประการ เพื่อเตรียมความพร้อมให้แก่ทหาร ผู้นําและหน่วยสําหรับการรบประชิด โดยยึดถือปฏิบัติตามคู่มือราชการสนาม รส. ๒๕-๑๐๐ และคู่มือการฝึก ๗-๑๐ (คฝ.๗ –๑๐) ซึ่งควรมุ่งเน้นความสมบูรณ์แข็งแรงทางร่างกาย และความชํานาญในการยิงปืน ทหารทุก คนจะต้องได้รับความท้าทายที่จะฝึกความชํานาญการรบในทุกสถานการณ์วิกฤต เพื่อให้ประสพความสําเร็จ ด้วยความเชี่ยวชาญอย่างสูงสุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฝึกในเวลากลางคืนและการยิงปืนด้วยกระสุนจริงใน เวลากลางคืน ถือเป็นสิ่งที่จําเป็นอย่างยิ่งที่ไม่สมควรขาดการฝึกในเรื่องนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่สมจริงใน การฝึกรบประชิดจะต้องกระทําเสมอเท่าที่เป็นไปได้ เหตุการณ์ฝึกแต่ละครั้งจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้บังคับหน่วย รอง ได้ใช้ความคิดริเริ่มและมีเสรีในการปฏิบัติตามความจําเป็น เพื่อเตรียมการสําหรับการปฏิบัติแบบแยก การ ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติที่หน่วยจะต้องปฏิบัติ การฝึกจะต้องเข้มแข็งจริงจัง สมจริง เหมาะสมกับสภาพ ร่างกาย รวมทั้งการกดดันทางจิตใจเพื่อเตรียมทหารให้พร้อมสําหรับการรบ ทั้งนี้จะต้องพัฒนาความสามัคคี และความร่วมมืออย่างแน่นแฟ้นภายในหมู่และหมวด จึงจะสามารถฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง ซึ่งจะทําให้มั่นใจได้ ว่าหน่วยสามารถปฏิบัติภารกิจให้สําเร็จด้วยความปลอดภัย แผนการฝึกดังกล่าวนี้จะต้องกระทําอย่างต่อเนื่อง แม้แต่ภายหลังจากที่หน่วยเพิ่งจะเสร็จสิ้นการปฏิบัติการยุทธ์ เพื่อดํารงไว้ซึ่งประสิทธิภาพของหน่วย รวมทั้ง ความชํานาญการทํางานเป็นชุด และความสามัคคีจะต้องรักษาไว้อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน ตอนที่ ๒ การรบอากาศพื้นดิน ๑ - ๓ ผู้บังคับกองร้อยจะต้องเข้าใจแนวความคิดและหลักพื้นฐานการรบอากาศพื้นดิน เพื่อนํากองร้อยเข้า ทําการรบอย่างมีประสิทธิภาพ สิ่งที่สําคัญที่สุดประการแรกก็คือแนวความคิดเกี่ยวกับอํานาจกําลังรบ


๓ ก. อํานาจ (ศักยภาพ) กําลังรบ หลักพื้นฐานการรบอากาศพื้นดินได้ให้ความหมายของอํานาจ กําลังรบ ก็คือความสามารถในการสู้รบของหน่วยกับข้าศึกที่มีจํานวนเหนือกว่าและประสพชัยชนะ การรบ อากาศพื้นดินมีความต้องการผู้บังคับบัญชาที่สามารถรวมอํานาจกําลังรบได้อย่างรวดเร็ว ณ จุดแตกหักของ สนามรบ ดังนั้นผู้บังคับบัญชาจึงต้องเข้าใจในเรื่องดังต่อไปนี้ ๑) ทําอย่างไรจึงจะประยุกต์อํานาจ (ศักยภาพ) การรบของหน่วยตน ๒) ทําอย่างไรจึงจะทําให้เกิดอํานาจกําลังรบสูงสุด ๓) ข้าศึกจะพยายามทําอย่างไรที่จะลดอํานาจกําลังรบของหน่วยตน ๔) ลักษณะภูมิประเทศและปัจจัยแวดล้อมอื่น ๆ จะมีผลกระทบอย่างไรต่ออํานาจ (ศักยภาพ) การรบของหน่วยตนและฝ่ายข้าศึก ๕) ทําอย่างไรจึงจะดํารงไว้ซึ่งอํานาจกําลังรบของหน่วยตน ๑ - ๔ อํานาจ (ศักยภาพ) การรบก็คือ ความสามารถในการสู้รบของหน่วยก่อนที่ข้าศึกตรวจพบได้ อํานาจ กําลังรบที่แท้จริงก็คือ อํานาจ (ศักยภาพ) การรบซึ่งนําความยุ่งยากไปสู่ข้าศึก ทั้ง ๒ ประการดังกล่าวนี้จะ เปลี่ยนแปลงไปตามสถานการณ์ รวมทั้งผลกระทบจากการปฏิบัติของข้าศึกที่จะบั่นทอนขีดความสามารถใน การใช้อํานาจกําลังรบ ผู้บังคับบัญชาจะต้องแสวงหาสภาวะที่เกื้อกูลต่อการใช้ การดําเนินกลยุทธ์ อํานาจการ ยิงและการพิทักษ์หน่วยให้สัมพันธ์สอดคล้องกันได้เหนือกว่าฝ่ายข้าศึก อาทิเช่น กองร้อยทหารราบทําการสู้ รบในพื้นที่จํากัดซึ่งบีบบังคับให้ข้าศึกต้องเคลื่อนที่ด้วยเท้า หรือเข้าสู้รบในระยะใกล้กับข้าศึกจนทําให้เป็น ขีดจํากัดในการใช้อาวุธขนาดหนักอย่างมีประสิทธิภาพ หนทางหลักในการเพิ่มการพิทักษ์หน่วยของทหารราบ เดินเท้าก็คือการปฏิบัติการในเวลากลางคืน อํานาจกําลังรบไม่ได้ตัดสินกันด้วยจํานวนหรือระบบอาวุธที่หน่วย มีอยู่ แต่ขีดความสามารถในการรบย่อมขึ้นอยู่กับการดําเนินกลยุทธ์ อํานาจการยิง การพิทักษ์หน่วยและ ความเป็นผู้นํา ซึ่งจะวัดผลการปฏิบัติต่อกําลังข้าศึกได้ด้วยผลลัพธ์จากปัจจัย ทั้ง ๔ ประการในระหว่างการรบ อย่างไรก็ตามสิ่งสําคัญที่จะทําให้เกิดอํานาจกําลังรบสูงสุดได้ย่อมขึ้นอยู่กับความชํานาญของผู้บังคับหน่วยใน การผสมผสานปัจจัยทั้ง ๔ ประการของอํานาจกําลังรบอย่างเหมาะสม ก. การดําเนินกลยุทธ์ หมายรวมถึงการเคลื่อนที่ประกอบกับการสนับสนุนด้วยการยิงไปยังตําบลที่ ได้เปรียบซึ่งสามารถทําลาย หรือคุกคามข้าศึกให้ล่อแหลมต่อการถูกทําลาย กองร้อยอาวุธเบาได้รับการจัดให้ เคลื่อนที่ด้วยเท้า กองร้อยจึงต้องใช้วิธีการลักลอบ การพรางและการกระจายกําลังเพื่อเข้าไปใกล้ข้าศึก โดยใช้ ภูมิประเทศและการยิงสนับสนุนทั้งหมดที่มีอยู่ (ในอัตราและนอกอัตรา) สนับสนุนการเคลื่อนที่ การยิง สนับสนุนอาจไม่จําเป็นต้องใช้เสมอไป แต่กองร้อยจะต้องวางแผนการใช้อยู่เสมอ การดําเนินกลยุทธ์ถือเป็น หนทางหลักที่จะได้มาหรือดํารงไว้ซึ่งความริเริ่ม อีกทั้งยังดํารงเสรีในการปฏิบัติของกองร้อย และลดความ ล่อแหลมจากการยิงของข้าศึก กองร้อยทหารราบต้องใช้ความได้เปรียบด้วยขีดความสามารถ ในการเคลื่อนที่ ผ่านภูมิประเทศยากลําบากในทุกสภาพอากาศเพื่อจู่โจมข้าศึก ผู้บังคับหน่วยทหารราบจะต้องเข้าใจถึงขีด ความสามารถในการเคลื่อนที่ของหน่วยตนเป็นอย่างดี และหลีกเลี่ยงการสู้รบกับกําลังรบขนาดหนักในภูมิ ประเทศที่กําลังรบขนาดหนัก สามารถใช้ประโยชน์จากความได้เปรียบด้านความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ อย่างเห็นได้ชัด แนวความคิดของผู้บังคับบัญชาต้องมุ่งไปสู่จุดแตกหักโดยใช้การเคลื่อนที่อ้อมไปข้างหน้า ด้วยการหลีกเลี่ยงจุดเข้มแข็งของข้าศึก โดยเคลื่อนที่ผ่านช่องว่างหรือจุดอ่อนหรืออ้อมทางด้านปีกเปิด แล้ว เข้าโจมตีข้าศึก ณ ตําบลวิกฤต เพื่อทําลายความพยายามและความสามารถในการสู้รบของข้าศึกให้เร็วที่สุด นอกจากนี้ผู้บังคับกองร้อยจะต้องเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างเวลาและพื้นที่ รวมทั้งผลกระทบต่อความ คล่องแคล่วจากการบรรจุสิ่งอุปกรณ์ของทหาร เพื่อนําไปใช้ในการวางแผนให้สอดคล้องกับปัจจัยดังกล่าวนี้ ด้วย ข. อํานาจการยิง อํานาจการยิงตามอัตรามีความสําคัญต่อการใช้กองร้อยอาวุธเบาอย่างคุ้มค่า โดยมี การยิงสนับสนุนทั้งด้วยวิธีเล็งตรงและเล็งจําลอง ส่วนดําเนินกลยุทธ์และส่วนยิงสนับสนุนเป็นองค์ประกอบที่


๔ ควบคู่กัน การดําเนินกลยุทธ์ต้องเกื้อกูลต่อการใช้ระบบอาวุธที่มีอยู่ไปยังตําบลที่ได้เปรียบได้อย่างมีประสิทธิ- ภาพ โดยมีความมุ่งหมายที่สําคัญในการยิงเพื่อให้เกิดผลกระทบต่อฝ่ายข้าศึก การยิงด้วยอาวุธจํานวนน้อย อย่างแม่นยําจะได้ผลด้านการจู่โจมและข้าศึกเกิดความตื่นตระหนก ได้มากกว่าการยิงด้วยอาวุธจํานวนมากแต่ ขาดความแม่นยํา อํานาจการยิงสนับสนุนการดําเนินกลยุทธ์ด้วยการยิงข่มระบบอาวุธของ ข้าศึก กองร้อย ทหารราบทําลายกําลังข้าศึกและความพยายามในการสู้รบ ด้วยการยิงอย่างแม่นยําไปยังเป้าหมายวิกฤต ต่าง ๆ ผู้นําหน่วยทุกระดับต้องเข้าใจเทคนิคของการควบคุมและรวมอํานาจการยิงทั้งหมดที่มีอยู่รวมทั้งขีด ความสามารถของอาวุธในอัตราและที่มาสนับสนุน เพื่อให้มีความเชี่ยวชาญในการกําหนดที่ตั้งยิงและใช้งาน ระบบอาวุธดังกล่าวนี้ ค. การพิทักษ์หน่วย การพิทักษ์หน่วยเป็นการดํารงรักษาไว้ซึ่งอํานาจ (ศักยภาพ) ในการรบของกําลัง ทหาร ซึ่งหมายรวมถึงการปฏิบัติทั้งปวงที่บั่นทอนขีดความสามารถข้าศึกในการดําเนินกลยุทธ์หรือวางการยิง ต่อกําลังฝ่ายเรา การปฏิบัติในการพิทักษ์หน่วยประกอบด้วย มาตรการรักษาความปลอดภัย การจํากัดการ ตรวจการณ์จากข้าศึก การกําบังและการซ่อนพราง การป้องกันภัยทางอากาศ การพรางและการกระจายกําลัง รวมทั้งการดํารงรักษาสุขภาพร่างกายและขวัญกําลังใจของทหาร การดําเนินกลยุทธ์ทําให้เกิดการพิทักษ์ หน่วยสําหรับกองร้อย โดยการป้องกันไม่ให้ข้าศึกทําให้หน่วยหยุดอยู่กับที่และรวมอํานาจการยิงมายังฝ่ายเรา ได้ ในทํานองเดียวกันอํานาจการยิงสามารถส่งเสริมการพิทักษ์หน่วยได้เช่นกัน อาทิเช่น การยิงข่มระหว่างการ เข้าตี กองร้อยทหารราบสามารถทําให้เกิดการพิทักษ์หน่วยเพิ่มขึ้น ด้วยการหลีกเลี่ยงการตรวจจับของข้าศึก ในขณะเคลื่อนที่ และดัดแปลงที่มั่นการรบในขณะหยุดอยู่กับที่ ง. ความเป็นผู้นํา ถือเป็นองค์ประกอบที่สําคัญที่สุดของอํานาจกําลังรบ ผู้บังคับกองร้อยและผู้บังคับ หน่วยรองทุกคนต้องตกลงใจว่าจะใช้หน่วยของตนอย่างไร อํานาจกําลังรบจะเกิดขึ้นได้ย่อมขึ้นอยู่กับการ พัฒนาแผนและแนวความคิดของผู้บังคับหน่วย ผู้นําหน่วยทุกระดับในกองร้อยทหารราบจะนําหน่วยได้ตามที่ มุ่งหวังไว้ ด้วยการกระทําตนเป็นแบบอย่างที่ดีและกําหนดแนวทางปฏิบัติให้กับทหารของตน ผู้นําหน่วยทุก ระดับในกองร้อยทหารราบจะต้องอยู่ ณ ตําบลที่สามารถตกลงใจ ทั้งในการดํารงการควบคุมหน่วย การ เข้าใจสถานการณ์ และสั่งการตามที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว พร้อมทั้งมีความสามารถในการปลุกเร้ากําลังพล ภายในหน่วย ให้ปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงอันตรายภายใต้สภาพแวดล้อมที่ยากลําบากได้ประสพความสําเร็จ ทั้งนี้ ผู้นําหน่วยจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ มีความเด็ดขาดและจิตใจมั่นคงไม่ว่าจะตกอยู่ภายใต้ สถานการณ์ใด ๆ ก็ตาม ๑ - ๕ หลักพื้นฐานการรบอากาศพื้นดิน ถือเป็นหลักการปฏิบัติที่สําคัญต่อความสําเร็จในการรบ ซึ่งสามารถ นําไปประยุกต์ใช้ในระดับกองร้อยได้ในทุกการปฏิบัติการยุทธ์ องค์ประกอบของหลักพื้นฐานการรบอากาศ พื้นดิน ๔ ประการ ได้แก่ ก. ความริเริ่ม ซึ่งแสดงถึงจิตใจรุกรบในการปฏิบัติทางยุทธวิธี เพื่อดํารงรักษาความริเริ่ม หน่วยรอง อาจต้องปฏิบัติการเป็นอิสระตามขั้นตอนของแผนที่วางไว้ โดยอาศัยความเชี่ยวชาญ ความพลิกแพลง และ การรุกรบ ประกอบกับวิจารณญาณและการตกลงใจด้วยความสุขุม รอบคอบ หนักแน่น ซึ่งจะนําไปสู่การ ปฏิบัติอย่างเหมาะสมที่ก่อให้เกิดการครองความริเริ่มแต่เนิ่น โดยเฉพาะกองร้อยทหารราบมีความจําเป็นอย่าง ยิ่งที่จะต้องมีความชํานาญในการรบและขีดความสามารถในการรวมกําลังเข้าปฏิบัติการต่อข้าศึก ข. ความรวดเร็ว (ว่องไว) คือขีดความสามารถของกําลังฝ่ายเราที่จะปฏิบัติการได้รวดเร็วกว่าข้าศึก ซึ่งผู้นําหน่วยจะต้องสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว และปฏิบัติโดยไม่ ต้องรีรอ การควบคุมและบังคับบัญชา ( C2 ) จะต้องอํานวยให้ผู้บังคับหน่วยทางยุทธวิธีภาคพื้นดินมีความ อ่อนตัว โดยสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ที่แตกต่างกันและเปลี่ยนแปลงเมื่อจําเป็น กองร้อย ทหารราบ จะต้องมีความสามารถใช้ความลึกของสนามรบอย่างเต็มพื้นที่ และรวมกําลังอย่างรวดเร็วหรือ โยกย้ายกําลังรบไปใช้ ณ ตําบลและเวลาที่เหมาะสม


๕ ค. ความลึก คือ การขยายการปฏิบัติทั้งด้านพื้นที่ เวลา และทรัพยากร โดยในการปฏิบัติทาง ยุทธวิธีผู้บังคับหน่วยต้องทําการสู้รบ หรือกดดันข้าศึกตลอดความลึกของที่มั่นอย่างต่อเนื่องด้วยการยิงและ การโจมตีทางปีก ด้านหลัง และส่วนสนับสนุนต่าง ๆ ของข้าศึก ผู้บังคับหน่วยต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะ ช่วงชิงความได้เปรียบในห้วงเวลาทัศนวิสัยจํากัด ความลึกในการรบด้วยวิธีรุก เกิดขึ้นโดยการโจมตีต่อส่วน ควบคุมบังคับบัญชา และการติดต่อสื่อสาร ( C3 ) ตลอดจนส่วนกําลังรบ ส่วนสนับสนุนการรบ และส่วน สนับสนุนการช่วยรบในพื้นที่ส่วนหลังของข้าศึก สําหรับความลึกในการรบด้วยวิธีรับ เกิดขึ้นโดยการเข้าโจมตี ตลอดรูปขบวนการรบของข้าศึกเพื่อรั้งหน่วง รบกวน และทําลายข้าศึกในที่สุด ทั้งนี้ในทางยุทธวิธีโดยทั่วไป กองหนุนจะถูกเก็บไว้ใช้ เมื่อมีโอกาสสูงสุดที่จะได้มาซึ่งความริเริ่มดํารงรักษาเสรีในการปฏิบัติ และสามารถ ใช้ให้เกิดประโยชน์ในสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดมาก่อน ง. ความประสานสอดคล้อง คือการรวมการใช้อํานาจกําลังรบที่มีอยู่ทั้งปวง ให้ประสานสอดคล้องกัน ณ ตําบล และเวลาที่ต้องการทําลายจุดศูนย์ดุลของข้าศึก และบรรลุความสําเร็จตามเป้าหมายทางยุทธวิธี สําหรับกองร้อยทหารราบ ความประสานสอดคล้องหมายถึง ความจําเป็นที่ต้องใช้กําลังพลและยุทโธปกรณ์ ณ ตําบลและเวลาที่ตกลงใจขยายผลต่อจุดอ่อนของข้าศึก โดยอํานาจกําลังรบที่มีอยู่ทั้งหมดจะมุ่งต่อการสนับสนุน ความพยายามหลัก หมายเหตุ จุดศูนย์ดุล ( CENTER OF GRAVITY ) หมายถึง จุดศูนย์กลางแห่งอํานาจ (ศักยภาพ) การรบ ซึ่งหากถูกทําลายลงไปจะส่งผลกระทบต่อขีดความสามารถในการสู้รบเป็นอย่างยิ่ง และ นําไปสู่ความพ่ายแพ้ในที่สุด ทั้งนี้ในระดับยุทธการและยุทธวิธี จุดศูนย์ดุลอาจเป็นที่บังคับการ ศูนย์ควบคุม บังคับบัญชา ที่ตั้งส่วนสนับสนุนการรบ/การช่วยรบเส้นทางคมนาคมหลัก และภูมิประเทศสําคัญ เป็นต้น ๑ - ๖ หลักการปฏิบัติการรบ เพื่อปฏิบัติการรบให้บรรลุผลตามที่กล่าวไว้ในหลักนิยมการรบอากาศพื้นดิน ผู้ บังคับหน่วยต้องเข้าใจหลักการปฏิบัติที่เป็นปัจจัยสนับสนุนหลักการรบอากาศพื้นดิน แต่ละหลักการปฏิบัติเป็น ผลกระทบที่เกี่ยวข้องกับหลักการสงครามหลายประการ หลักการปฏิบัติดังกล่าวนี้มีความสําคัญเป็นอย่างยิ่ง ต่อความผิดพลาดที่อาจนําไปสู่ความปราชัยได้ หลักการปฏิบัติที่เกี่ยวกับการรบถูกกําหนดขึ้น เพื่อช่วยเหลือผู้ บังคับหน่วย ในการวางแผน ตกลงใจและควบคุมการยุทธ์จึงถือว่าเป็นปัจจัยแห่งความสําเร็จซึ่งมีดังต่อไปนี้ ก. ทําให้มั่นใจเอกภาพในการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดเอกภาพในการปฏิบัติสําหรับทหารราบ ผู้บังคับ หน่วยจําเป็นต้องกําหนดเจตนารมณ์ แนวทางปฏิบัติ และมูลเหตุจูงใจที่แสดงถึงขอบเขตผลกระทบของความ ขัดแย้ง ผู้บังคับหน่วยแสดงตนเป็นตัวอย่างและมั่นใจว่าผู้บังคับหน่วยรอง ได้เข้าใจในเจตนารมณ์ของตนแล้ว นําไปปฏิบัติและยอมรับการเสี่ยง การฝึกทําการรบ และระเบียบปฏิบัติประจําจะต้องทําการซักซ้อมให้เป็นที่ เข้าใจ ภารกิจต้องชัดเจนและรัดกุม แผนต้องง่าย ความพยายามหลักต้องกําหนดไว้เสมอ ข. การคาดการณ์ล่วงหน้าถึงเหตุการณ์สําคัญที่น่าจะเกิดขึ้นในสนามรบ ผู้บังคับหน่วยต้อง คาดการณ์ล่วงหน้าถึงการปฏิบัติของข้าศึกและการตอบโต้อีกทั้งต้องสามารถคาดการณ์ล่วงหน้าได้ว่าการสู้รบ จะพัฒนาไปอย่างไร ต้องรู้ข้าศึก รู้ขีดความสามารถของหน่วยตน คาดการณ์ล่วงหน้าว่าอะไรที่น่าจะเป็นไปได้ และเตรียมการสําหรับสิ่งนี้ ต้องมีไหวพริบความเชี่ยวชาญในการรบ และสามารถที่จะตอบโต้ได้ทันที การ คาดการณ์ล่วงหน้าและมองการณ์ไกลมีความสําคัญยิ่งต่อการดํารงความริเริ่ม และบังคับให้ข้าศึกต้องตกอยู่ใน สภาวะที่เสียเปรียบการสู้รบแต่เนิ่น ค. การรวมอํานาจกําลังรบเข้าทําลายจุดอ่อนของข้าศึก ผู้บังคับหน่วยต้องค้นหาให้ได้ว่าบริเวณใด เป็นจุดอ่อนมากที่สุดของข้าศึก ผู้บังคับหน่วยจะต้องศึกษาข้าศึก เรียนรู้ถึงกําลัง ความเข้มแข็ง จุดอ่อนต่าง ๆ ของข้าศึก และรู้ว่าจะก่อให้เกิดจุดอ่อนขึ้นใหม่ได้อย่างไร จึงจะสามารถทําการขยายผลขั้นแตกหัก อํานาจ กําลังรบต้องรวมกําลัง ณ จุดอ่อนของข้าศึกอย่างรวดเร็วโดยไม่สูญเสียความประสานสอดคล้อง ง. การกําหนด ดํารงรักษา และโยกย้ายความพยายามหลัก โดยหลักการปฏิบัติผู้บังคับหน่วยต้อง กําหนดและดํารงรักษาไว้ซึ่งความพยายามหลัก การโยกย้ายความพยายามหลักในระหว่างการปฏิบัติกระทํา


๖ ตามความจําเป็น หน่วยรับผิดชอบด้านความพยายามหลักจะได้รับมอบกิจเฉพาะที่มีความสําคัญมากที่สุด เพื่อให้บรรลุผลสําเร็จภายใต้แนวความคิดของผู้บังคับบัญชา ถ้าสถานการณ์เปลี่ยนแปลง และความสําเร็จ ของภารกิจทั้งหมดสามารถได้รับอย่างคุ้มค่าหรือรวดเร็วกว่าจากวิถีทางอื่น ผู้บังคับหน่วยอาจโยกย้ายความ พยายามหลักของตนไปยังหน่วยอื่น จ. การกดดันการสู้รบ ผู้บังคับหน่วยทุกระดับต้องกดดันการสู้รบอย่างห้าวหาญ การสู้รบที่ได้รับ ชัยชนะย่อมขึ้นอยู่กับความสําเร็จในการใช้กําลังเข้ากดดัน ด้านความพยายามหลักจนกว่าการสู้รบจะสิ้นสุด ความรู้เกี่ยวกับข้าศึกและขีดความสามารถของหน่วยตน ผู้บังคับหน่วยย่อมได้รับจากหน่วยของตนมากที่สุด ก่อนหน่วยเหนือ กําลังทหารราบจะต้องมีสภาพร่างกายและจิตใจที่สามารถปฏิบัติการได้อย่างกว้างขวางและ ต่อเนื่อง ผู้บังคับหน่วยต้องยอมรับการเสี่ยง และความกดดัน จนถึงขีดจํากัดที่สามารถทนทานได้ให้นานที่สุด ตามความจําเป็น ฉ. เคลื่อนที่เร็ว โจมตีอย่างรุนแรง และบรรลุความสําเร็จอย่างรวดเร็ว ทหารราบเดินเท้ามีความ คล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ในภูมิประเทศปิดหรือจํากัดมากกว่าทหารราบยานยนต์หรือยานเกราะ สิ่งนี้จะ อํานวยให้ทหารราบเดินเท้าเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจากที่มั่นหนึ่งไปยังอีกที่มั่นหนึ่ง เพื่อเข้าตีข้าศึกจากทางปีก และด้านหลัง การปะทะกระทําอย่างรวดเร็วปฏิบัติด้วยความรุนแรง และจู่โจมอย่างสูงสุด ทหารราบเดินเท้าจะ ทําลายข้าศึกโดยอาศัยการจู่โจมก่อนที่ข้าศึกจะรู้ตัวและตอบโต้ ช. การใช้ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศ การลาดตระเวนหาข่าวและการรวบรวมข่าวสาร จะช่วยให้ผู้ บังคับหน่วยสามารถตกลงใจในการพิจารณาใช้ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศ เพื่อให้เกิดความได้เปรียบในการ รบ สภาพภูมิประเทศยากลําบากและลมฟ้าอากาศที่เลวร้ายเป็นประโยชน์ต่อทหารราบเดินเท้า ซึ่งอาจกล่าว ได้ว่าการใช้ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศอย่างเหมาะสม ถือเป็นสิ่งสําคัญต่อการเพิ่มพูนประสิทธิภาพการรบ ซ. การสงวนกําลังเพื่อปฏิบัติการรบแตกหัก ผู้บังคับหน่วยทุกระดับต้องสงวนกําลังของหน่วยตน ให้ มีความแข็งแกร่ง ณ ตําบลและเวลาทําการรบแตกหัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งทหารราบเดินเท้าจะได้รับ ผลกระทบอย่างเด่นชัด เกี่ยวกับนํ้าหนักบรรทุกและความเครียดทางร่างกาย ดังนั้นผู้บังคับหน่วยต้องป้องกัน รักษาให้กําลังพลมีความปลอดภัย สุขภาพดี มีวินัย และอยู่ในสภาพที่มีขวัญสูง โดยดํารงสภาวะการฝึกของ หน่วยให้มีมาตรฐานสูงสุด ด. การใช้อํานาจกําลังรบผสมเหล่าอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกัน การใช้อํานาจกําลังรบจะบังเกิด ผลเมื่อกําลังรบ พร้อมด้วยส่วนสนับสนุนการรบเต็มอัตราและกําลังเพิ่มเติม ได้มีการผสมผสานให้เกิดความ พร้อมรบซึ่งกันและกัน จนทําให้ข้าศึกต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่วิกฤต โดยในขณะที่ข้าศึกหลีกเลี่ยงผลกระทบ จากอาวุธและกําลังรบของหน่วยหนึ่ง ก็จะเปิดเผยตนเองและล่อแหลมต่อการถูกโจมตีจากอาวุธและกําลังรบ ของหน่วยอื่น ในลักษณะเช่นเดียวกัน การปฏิบัติดังกล่าวนี้กระทําได้หลายหนทาง อาทิเช่น การสนธิทหาร ช่างทําลายในการจัดเฉพาะกิจ เพื่อช่วยเหลือในการเตรียมเครื่องกีดขวาง ป้อมสนาม และการเจาะช่อง เครื่องกีดขวาง ต. เข้าใจถึงผลกระทบของการรบที่มีต่อตัวทหาร หน่วย และผู้บังคับหน่วย ซึ่งถือเป็นสิ่งสําคัญที่ ผู้บังคับบัญชา และฝ่ายอํานวยการของตนต้องเข้าใจถึงผลกระทบ ของการรบที่มีต่อตัวทหาร หน่วย และผู้ บังคับหน่วย เพราะว่าสงครามเป็นมูลฐานการสู้รบด้วยความสมัครใจ การต่อสู้โดยใช้คนไม่ใช่เครื่องจักร ผู้ บังคับหน่วยต้องเตรียมพร้อมเพื่อเผชิญกับความเหนื่อยล้า ความกลัว การเสียวินัย และขวัญที่ลดลง ผู้บังคับ หน่วยต้องมีมาตรการป้องกันในการขจัดผลกระทบดังกล่าวนี้ก่อนที่ผลกระทบจะสะสมจนผลักดันให้หน่วยไปสู่ จุดเริ่มต้นแห่งความล้มเหลว กําลังพลที่มีความพร้อมของสภาพร่างกาย และได้รับการฝึกเป็นอย่างดีในหน่วย ที่มีความเป็นปึกแผ่น และมีการนําหน่วยที่ดีจะสามารถดํารงการรุกรบในสถานการณ์การรบต่าง ๆ ได้เป็น อย่างดีแม้แต่ในสถานการณ์วิกฤต


๗ ตอนที่ ๓ ระบบปฏิบัติการในสนามรบ ๑ - ๗ ระบบปฏิบัติการในสนามรบ ซึ่งมีทั้งหมด ๗ ระบบ จะทําให้ผู้บังคับหน่วยสามารถวิเคราะห์งานที่ แตกต่างกันไปของหน่วยในการรบ โดยแผนการปฏิบัติของผู้บังคับหน่วยจะสนธิแต่ละระบบดังกล่าวนี้ เพื่อให้ บรรลุภารกิจอย่างมีประสิทธิภาพ ก. ระบบการข่าวกรอง ผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบาแม้ว่าโดยปกติจะอาศัยข่าวกรองจากหน่วยเหนือ เป็นหลักในการปฏิบัติทุกครั้ง แต่อย่างไรก็ตามผู้บังคับกองร้อยสามารถรวบรวมข่าวสารที่สําคัญตามที่ ต้องการ เพื่อให้แผนการปฏิบัติของตนมีความสมบูรณ์ ทั้งนี้ในการรวบรวมข่าวสารต้องการความพยายามใน การลาดตระเวนที่รุกรบและต่อเนื่อง โดยหน่วยขนาดเล็กเคลื่อนที่ลักลอบเข้าไปใกล้ข้าศึก ซึ่งจะทําให้กองร้อย สามารถช่วยเหลือความพยายามในการรวบรวมข่าวสารของกองพัน ทั้งนี้ผู้บังคับกองร้อยสามารถมอบหมาย งานด้านการลาดตระเวนและระวังป้องกันให้กับหมวดปืนเล็กของตน สิ่งอุปกรณ์ในอัตราเช่นเครื่องมือแจ้งเตือน และเครื่องมือตรวจการณ์ในเวลากลางคืน จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการรวบรวมข่าวสารข้าศึกให้กับ กองร้อยอาวุธเบา รวมทั้งเครื่องมืออื่น ๆ เช่น หมวดลาดตระเวนกองพัน และเครื่องมือตรวจจับความ เคลื่อนไหว อาจนํามาใช้สนับสนุนให้กับกองร้อยอาวุธเบา ข. ระบบการดําเนินกลยุทธ์ เครื่องมือหลักในการดําเนินกลยุทธ์ของ ผบ.ร้อย.อวบ. ก็คือ มว.ปล. ซึ่งมีอยู่ในอัตรา ๓ มว.ปล. จะทําให้ ผบ.ร้อย.สามารถดําเนินกลยุทธ์ได้อย่างอิสระ การดําเนินกล ยุทธ์และการวางกําลังของ มว.ปล. จะต้องอํานวยให้ ผบ.ร้อย.อวบ. สามารถใช้อํานาจการยิงกดดันไปยัง ข้าศึก ผบ.ร้อย.อวบ. จะต้องรู้ถึงขีดความสามารถของ มว.ปล.เป็นอย่างดี รวมทั้งการใช้อาวุธต่อสู้รถถังและ เครื่องยิงลูกระเบิด ให้มีอํานาจการยิงที่ส่งผลกระทบต่อข้าศึกอย่างมีประสิทธิภาพ ผู้บังคับหน่วยจะต้องพัฒนา ความรอบรู้เกี่ยวกับอัตราความเร็วในการเคลื่อนที่ของหน่วยรองในทุกสภาพภูมิประเทศ ในระหว่างการ ปฏิบัติ ร้อย.อวบ. อาจได้รับการเพิ่มเติมเครื่องมือดําเนินกลยุทธ์ เช่น ถ. หรือ มว.ปล.จากหน่วยอื่น ดังนั้นขีด ความสามารถการยิงเล็งตรงของเครื่องมือเหล่านี้ ก็จะนํามาพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของระบบการดําเนินกลยุทธ์ ค. ระบบการยิงสนับสนุน ระบบการยิงสนับสนุนหลักตามอัตราสําหรับ ร้อย.อวบ. ก็คือ มว.ค.๖๐ มม. ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ทําให้ ผบ.ร้อย.อวบ. สามารถสนองตอบการร้องขอการยิงสนับสนุนภายในกองร้อยได้ อย่างทันที ผบ.ร้อย.อวบ.จะต้องรอบรู้ถึงขีดความสามารถและขีดจํากัดของอาวุธดังกล่าวนี้ พร้อมทั้งต้อง สามารถรวมอํานาจการยิงได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกการปฏิบัติการยุทธ์ โดยปกติกองร้อยมักจะได้รับการยิง สนับสนุนจาก ป.สนาม ทั้งนี้ในระดับกองพันจะได้รับการสมทบชุดยิงสนับสนุน (ชยส.) ซึ่งมีนายทหารยิง สนับสนุน (นยส.) ควบคุมการปฏิบัติของ ชยส. เพื่อช่วยเหลือ ผบ.พัน.ร. เกี่ยวกับการวางแผนและการ ประสานการยิงสนับสนุนของอาวุธเล็งจําลองทั้งหมด ทั้งที่มีอยู่ในอัตราและมาให้การสนับสนุนกองพัน สําหรับ ในระดับ ร้อย.อวบ. จะมีผู้ตรวจการณ์หน้า (ผตน.) ของ ป.สนาม ทําหน้าที่วางแผนและประสานการยิง สนับสนุน รวมทั้งการกําหนดเป้าหมาย การร้องขอและปรับการยิงสนับสนุน ให้เป็นไปตามแนวความคิดใน การปฏิบัติของ ผบ.ร้อย.อวบ. ง. ระบบความคล่องแคล่ว การต่อต้านความคล่องแคล่วและการดํารงความอยู่รอด แม้ว่าจะไม่ได้รับ การสนับสนุนเพิ่มเติม แต่ ร้อย.อวบ. ก็ยังมีขีดความสามารถปฏิบัติงานช่างสนาม การดัดแปลงที่มั่นรบ การ สร้างเครื่องกีดขวาง การเตรียมสนามทุ่นระเบิด การเจาะช่องหรือลดประสิทธิภาพเครื่องกีดขวางของข้าศึก ซึ่งถือว่าเป็นการปฏิบัติในความรับผิดชอบของ ร้อย.อวบ.ทุกหน่วย ในระหว่างการปฏิบัติ ร้อย.อวบ.อาจได้รับ การสนับสนุนจากหน่วยเหนือและเครื่องมือช่างสนาม แม้ว่า ผบ.ร้อย.อวบ.จะเชื่อมั่นในคําแนะนําของ ผบ. หน่วยทหารช่าง แต่ ผบ.ร้อย.อวบ. ต้องมีความเข้าใจถึงขีดความสามารถของหน่วยและเครื่องมือช่างสนาม ผบ.ร้อย.อวบ. จะต้องกําหนดความเร่งด่วนของงานช่างสนาม และต้องมั่นใจได้ว่างานช่างสนามทั้งปวง สามารถสนับสนุนแผนการดําเนินกลยุทธ์และการยิงสนับสนุน ให้กับกําลังฝ่ายเดียวกันได้ตามลําดับขั้นตอน


๘ การปฏิบัติ สําหรับความอยู่รอดในสนามรบจะรวมถึงการปฏิบัติดังกล่าวข้างต้น และการป้องกันอันตรายจาก อาวุธ นชค. ด้วย จ. ระบบการป้องกันภัยทางอากาศ หนทางปฏิบัติหลักในการป้องกันภัยทางอากาศของ ร้อย.อวบ. ก็คือ มาตรการเชิงรับเพื่อป้องกันการตรวจจับและโจมตีจากข้าศึก การเคลื่อนที่ภายใต้ทัศนวิสัยที่จํากัด การ ใช้การกําบังและการซ่อนพราง รวมทั้งการพรางอย่างมีประสิทธิภาพ ถือเป็นมาตรการเชิงรับหลักที่ ร้อย. อวบ. ใช้ นอกจากนี้ ร้อย.อวบ. สามารถใช้ระบบอาวุธยิงเล็งตรงในการป้องกันภัยทางอากาศได้ เช่นเดียวกัน โดยมีการฝึกเป็นอย่างดีเกี่ยวกับเทคนิคการใช้อาวุธปืนเล็กต่อสู้กับอากาศยานข้าศึก ทหารทุก คนจะต้องรู้ด้วยว่าภายใต้เงื่อนไขหรือสภาวะใดบ้างที่ทหารจะมีเสรีในการยิงต่อสู้อากาศยาน ทั้งนี้ ร้อย.อวบ. อาจได้รับการสนับสนุนระบบอาวุธป้องกันภัยทางอากาศ ดังนั้น ผบ. ร้อย.อวบ. จะต้องมั่นใจว่าได้สนธิการ ใช้อาวุธดังกล่าวนี้ทั้งหมดไว้ในแผนของตนเอง ฉ. ระบบการช่วยรบ ร้อย.อวบ. มีโครงสร้างการสนับสนุนการช่วยรบตามอัตราอย่างจํากัดมากกว่า หน่วยอื่น ๆ จึงทําให้การดํารงความต่อเนื่องในการรบของร้อย.อวบ.เป็นสิ่งที่ท้าทายที่สุดสําหรับ ผบ.ร้อย.อวบ. ซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงเทคนิคทั้งการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ การรักษาพยาบาลและการส่งกลับสายแพทย์ โดย มี รอง ผบ.ร้อย. จ่ากองร้อยและนายสิบส่งกําลัง เป็นผู้ปฏิบัติงานหลักทางด้านระบบงานช่วยรบของร้อย.อวบ. แผนงานซ่อมบํารุงภายใน ร้อย.อวบ.จะต้องมีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง และต้องมีผู้นําเข้าไปเกี่ยวพันในทุก ระดับ ช. ระบบการบังคับบัญชาและการควบคุม ระบบการบังคับบัญชาและการควบคุม ประกอบด้วย กิจกรรมและกรรมวิธีที่ใช้โดยผู้บังคับบัญชา เพื่อวางแผน สั่งการ ประสานงาน และควบคุม ร้อย.อวบ. ซึ่งจะ รวมไปถึงกําลังพลและสิ่งอุปกรณ์ที่ช่วยเหลือผู้บังคับบัญชาในการบังคับบัญชาและควบคุม ผบ.ร้อย.อวบ. ใช้ หน่วยของตนให้เหมาะสมสอดคล้องกับแนวทางและคําสั่งที่ได้รับจากกองพัน โดยกระจายอํานาจให้กับ ผบ. หน่วยรอง และแบ่งมอบหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างชัดเจน รอง ผบ.ร้อย. ซึ่งถือเป็นผู้บังคับบัญชาคนที่สอง ของ ร้อย.อวบ. และช่วยเหลือ ผบ.ร้อย.อวบ. ตามการหน้าที่ ทั้งนี้ ผบ.ร้อย.อวบ. ต้องไม่จํากัดเสรีในการ ปฏิบัติของหน่วยรองด้วยการกําหนดมาตรการควบคุมที่ไม่จําเป็น แต่สมควรใช้คําสั่งแบบมอบภารกิจและทํา การฝึกหน่วยรองให้ปฏิบัติภายใต้กรอบแนวความคิดของตนเอง ดังนั้น ผบ.ร้อย.อวบ. จึงต้องกําหนด เจตนารมณ์ของตนให้ชัดเจน เพื่อให้ทุกคนภายในหน่วยสามารถปฏิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วยการใช้ ความริเริ่มของตนเอง นอกจากนี้ ผบ.ร้อย.อวบ. ยังต้องมีความเชี่ยวชาญในการวิเคราะห์สถานการณ์ เพื่อ พัฒนาแผนที่จะทําให้มีโอกาสมากที่สุด ในการบรรลุภารกิจโดยสูญเสียกําลังพลและยุทโธปกรณ์น้อยที่สุด ตอนที่ ๔ การจัดหน่วย ๑ - ๘ การจัดกองร้อยอาวุธเบาของทหารราบนั้นมีการจัดอยู่หลายแบบขึ้นอยู่กับกองพันที่เป็นหน่วยแม่ กองร้อยทหารราบส่งทางอากาศและกองร้อยทหารราบเคลื่อนที่ทางอากาศมีความแตกต่างเพียงเล็กน้อยจาก กองร้อยทหารราบเบา กองร้อยจู่โจมและกองร้อยอาวุธเบาทหารราบมีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงในด้านการ จัด แต่ภารกิจและการพิจารณาในการใช้มีความใกล้เคียงกัน ยุทธวิธีในการรบในส่วนที่สําคัญของแต่ละ กองร้อยนั้นเหมือนกัน ก. ภารกิจ ภารกิจของร้อย อวบ.ทหารราบนั้น คือ การเข้าประชิดข้าศึกด้วยการยิงและการ ดําเนินกลยุทธ์เพื่อทําลายและจับข้าศึก หรือผลักดันการเข้าตีของข้าศึกด้วยการยิง การรบประชิดและการตี โต้ตอบ ข. ข้อพิจารณาในการใช้หน่วย ข้อพิจารณาพื้นฐานในการใช้กองร้อยทหารราบมาจากผลการจัด หน่วยยุทโธปกรณ์และขีดความสามารถของแต่ละหน่วย ขีดความสามารถจะเกิดจากแผนงานการฝึกของ


๙ หน่วย ความเป็นผู้นํา ขวัญ ความแข็งแกร่งของกําลังพลและองค์ประกอบอื่น ๆ ซึ่งจะขึ้นอยู่กับสถานภาพและ สถานการณ์ในขณะนั้น ผบ.หน่วยทหารราบจะต้องมีความรู้ซึ้งถึงเรื่องดังกล่าวและสามารถวางแผนได้อย่าง สอดคล้องกับขีดความสามารถทั้งนี้ข้อพิจารณาเฉพาะสําหรับกองร้อยทหารราบนั้นมีดังนี้ ๑) ขีดความสามารถ ก) ปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุก และวิธีรับในสภาพแวดล้อมทางการยุทธ์ทุกรูปแบบ โดยเฉพาะ ในเวลากลางคืน มีกิจเฉพาะดังนี้ (๑) แย่งยึด ป้องกัน ยึดครองและรักษาภูมิประเทศ (๒) ทําลาย กวาดล้าง บดขยี้ ขัดขวาง รบกวน สะกัดกั้นบีบบังคับและตรึงข้าศึก (๓) เจาะช่องเครื่องกีดขวางของข้าศึก (๔) ใช้การลวงและแสดงกําลังเพื่อให้ข้าศึกเกิดความสับสน (๕) กําบังและป้องกันหน่วยฝ่ายเดียวกัน (๖) ลาดตระเวน หลีกเลี่ยง อ้อมผ่าน กวาดล้าง และแยกกําลัง โดยอาจมุ่งเน้นต่อ ภูมิประเทศและข้าศึก (๗) ปฏิบัติการเป็นหน่วยขนาดเล็ก (๘) ร่วมปฏิบัติการยุทธ์โจมตีเคลื่อนที่ทางอากาศ (จคอ.) (๙) ร่วมปฏิบัติการยุทธ์ส่งทางอากาศ (๑๐) ปฏิบัติการร่วมกับหน่วยกําลังรบขนาดหนัก อาทิเช่น ถ. หรือยานเกราะ, ยานยนต์ และหน่วยรบพิเศษ (๑๑) ร่วมปฏิบัติการยุทธ์สะเทินนํ้าสะเทินบก ๒) ข้อพิจารณาเฉพาะ ก) เครื่องมือ สสก. และ สสช.มีอย่างจํากัด ข) ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ด้วยยานพาหนะมีอยู่อย่างจํากัด ค) ล่อแหลมต่ออันตรายจากยานเกราะ ปืนใหญ่และอากาศยานของข้าศึก ง) ล่อแหลมต่ออันตรายจากการถูกโจมตีด้วยอาวุธ นชค. และขีดความสามารถในการ ต่อต้านมีอยู่อย่างจํากัด ๓) การจัดกองร้อยอาวุธเบา ร้อย.อวบ.อาจมีการจัดหน่วยแบบทหารราบเบา หน่วยทหารราบ โจมตีเคลื่อนที่ทางอากาศ หน่วยทหารราบส่งทางอากาศ หน่วยจู่โจมหรือทหารราบตาม อจย.ปัจจุบัน (มาตรฐาน) แม้ว่าการจัดหน่วยแต่ละรูปแบบในระดับกองร้อยจะแตกต่างกันไปบ้าง แต่ทุกรูปแบบจะมีขนาด จํานวน มว.ปล.และขีดความสามารถที่คล้ายคลึงกัน อย่างไรก็ตาม หน่วย ร. เดินเท้า ซึ่งปัจจุบัน ทบ.ไทย มี การจัดหน่วย ๒ รูปแบบ คือ ทหารราบเบาและทหารราบ อจย.ปัจจุบัน (มาตรฐาน) ทั้งสองรูปแบบ สามารถ นําไปใช้ปฏิบัติการยุทธ์โจมตีเคลื่อนที่ทางอากาศ การยุทธ์ส่งทางอากาศ รวมทั้งการยุทธ์สะเทินนํ้าสะเทินบก และการปฏิบัติการแบบหน่วยจู่โจมได้ โดยไม่จําเป็นต้องจัดหน่วยดังกล่าวนี้ไว้โดยเฉพาะเพียงแต่ดํารงการฝึก ให้พร้อมที่จะปฏิบัติการยุทธ์ดังกล่าวข้างต้น และอาจเพิ่มเติมกําลังในลักษณะการจัดเฉพาะกิจเป็นการ ชั่วคราว ให้เหมาะสมกับภารกิจที่ได้รับมอบและสภาพแวดล้อมทางการยุทธ์ สําหรับการจัดหน่วย ร.เบา และ ร.มาตรฐานทั่วไป มีโครงสร้างการจัดหน่วยเหมือนกัน ประกอบด้วย บก.ร้อย. ๓ มว.ปล. และ ๑ มว.ค. (ค.๖๐ มม.)


๑๐ ••• ••• บก.ร้อย. ค. • บก.มว. ค. • • บก.มว. ปก. การจัดร้อย.อวบ.ร.เบา และ ร.มาตรฐานทั่วไป แม้ว่ามีโครงสร้างการจัดหน่วยและใช้ยุทโธปกรณ์ เหมือนกัน แต่มีอัตรากําลังพลแตกต่างกัน ดังนี้ ก) บก.ร้อย.อวบ. (๑) พลทางสาย/พลนําสาร หน่วย ร. มาตรฐานทั่วไป (อจย.ปัจจุบัน) อัตรา ๓ นาย แต่ ร.เบาอัตรา ๒ นาย (๒) หน่วย ร.มาตรฐานทั่วไป มีอัตราพลขับรถ ๓ นาย, นายสิบสูทกรรม ๑ นาย, พล สูทกรรม ๑๖ นาย และช่างวิทยุ ๑ นาย แต่หน่วย ร.เบา ไม่มีการจัดอัตรากําลังพลดังกล่าวนี้ ข) การจัดกําลังพล มว.ค.(๖๐ มม.) มีอัตราเท่ากันทั้ง บก.มว.และ ๓ หมู่ ค. ค) การจัดกําลังพล หมู่.ปล. โดยหน่วย ร.มาตรฐานทั่วไปมีอัตรา ๑๑ นาย แต่หน่วย ร.เบา มีอัตรา ๙ นาย ง) สรุปอัตรากําลังพลทั้งกองร้อย หน่วย ร.มาตรฐานทั่วไป มีทั้งสิ้น ๒๐๗ นาย แยกเป็น นายทหาร ๖ นาย, นายสิบ ๕๓ นาย และพลทหาร ๑๔๘ นาย สําหรับหน่วย ร.เบา มีทั้งสิ้น ๑๖๗ นาย แยกเป็นนายทหาร ๖ นาย, นายสิบ ๔๘ และพลทหาร ๑๑๓ นาย เนื่องจากการจัดกําลังพลตามที่กล่าวมาแล้ว จึงทําให้หน่วย ร.เบา มีอํานาจกําลังรบและขีด ความสามารถด้อยกว่า หน่วย ร. มาตรฐานทั่วไป โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สสช. มีอยู่อย่างจํากัดมาก แต่จะ เกื้อกูลต่อการปฏิบัติการรบในสภาพแวดล้อมที่จํากัดมากกว่า


๑๑ บทที่ ๒ การควบคุมและการบังคับบัญชา ความเปลี่ยนแปลงไม่แน่นอนในสนามรบยิ่งมีมากเท่าไร ความยากและความสําคัญในการพิสูจน์ทราบ จุดแตกหักและการรวมอํานาจกําลังรบ ณ บริเวณใดจะยิ่งมากขึ้นเท่านั้น การติดต่อสื่อสารจะถูกรบกวนจาก การกระทําของข้าศึก ณ เวลาวิกฤติ ผู้บังคับหน่วยรองจะต้องคาดการณ์ที่จะปฏิบัติจากความคิดริเริ่มของ ตนเอง ที่อยู่ในกรอบของเจตนารมณ์ผู้บังคับบัญชา (รส.๑๐๐ - ๕) การบังคับบัญชาและการควบคุมเป็นขบวนการในการกําหนดประสานงานและการควบคุมหน่วยที่จะทํา ให้บรรลุภารกิจ วัตถุประสงค์ของการบังคับบัญชาและการควบคุมคือทําให้ความต้องการของผู้บังคับบัญชา ประสบความสําเร็จตามวัตถุประสงค์ของหน่วยการบังคับบัญชาและการควบคุมเป็นได้ ทั้งระบบและขบวนการ ในระดับกองร้อย ระบบจะประกอบด้วย บุคคล ยุทโธปกรณ์ ระเบียบปฏิบัติ และเสนอความคิดในการที่จะ ผลักดันให้ขบวนการการบังคับบัญชาและการควบคุมดําเนินการได้ ส่วนประกอบที่สําคัญของขบวนการและ ระบบคือความเป็นผู้นํา การบังคับบัญชาและการควบคุมที่มีประสิทธิภาพเป็นหัวใจแห่งความสําเร็จในสนามรบ เรื่องราวในอดีตที่ชัดเจนและสําคัญสําหรับพื้นฐานมีดังนี้ ในระหว่างปฏิบัติการ จัสคอส ในปานามาเมื่อ ธันวาคม ๒๕๓๓ กองร้อยที่ ๑ กองพันที่ ๔ กรม ทหารราบที่ ๑๗ ได้รับมอบหมายภารกิจในการเข้ายึดค่ายทหารแห่งหนึ่งของ ปานามาชื่อค่ายเอสปิน่า เพื่อ ป้องกันไม่ให้กองร้อยของปานามาใช้กําลังในที่มั่นรบ ที่หมายประกอบด้วย อาคารคอนกรีตสูง ๒ ชั้น ซึ่ง ล้อมรอบด้วยกําแพงอิฐสูง ๒ ฟุตและมีลวดหนามอยู่ด้านบน ทหารปานามาประมาณ ๙๕ นายพร้อมด้วยอาวุธ ปืนเล็กอาวุธกลและเครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง อาร์พีจี ๑๘ ได้ยึดรักษาที่มั่นนี้ไว้ อย่างไรก็ดีผู้บังคับกองร้อย ได้รับการบอกกล่าวขั้นต้นว่าข้าศึกมีประมาณ ๑๕๐ - ๑๖๐ นาย แนวความคิดของผู้บังคับกองร้อยต้องการแยกและกดดันที่หมาย ด้วยส่วนสนับสนุนที่ประกอบด้วย ๑ หมวดปืนเล็ก ที่ตั้งส่วนยิงสนับสนุนของ ปก.เอ็ม ๖๐ พร้อมทหารราบ๓ นาย ที่ตั้งของส่วนที่ ๓ เป็นตอน ต่อสู้รถถังของกองร้อยและหน่วย ปตอ.วัลแคน ขนาด ๒๐ มม.ที่ตั้งของส่วนสนับสนุนทั้ง ๓ ได้แยกกันตาม ความจําเป็นอย่างเพียงพอที่จะดํารงไว้ซึ่งการยิงทางด้านขวาต่อที่หมายที่เป็นอาคารหลักทั้ง ๒ และแยกที่ หมายออกจากกันอย่างชัดเจน


๑๒ รปูท ี่ ๒ - ๑ แผน่ภาพพืน้ท่ีท ี่ หมาย


๑๓ รอง ผบ.ร้อย. ได้ถูกกําหนดให้เป็นผู้ควบคุมส่วนสนับสนุนในขณะที่ ผบ.ร้อย. ไปกับส่วนโจมตี (ความ พยายามหลักของกองร้อย) ภารกิจของส่วนสนับสนุนคือการยิงกดข้าศึกที่อยู่ในอาคารดังกล่าว เพื่ออํานวย ความสะดวกให้แก่ส่วนเจาะดําเนินการเจาะเครื่องกีดขวางตามเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา สําหรับส่วน สนับสนุนคือการสนับสนุนต่อส่วนเจาะให้ทําการเจาะช่องได้สําเร็จ ส่วนสนับสนุนยังมีกิจเฉพาะ ได้แก่ การแยก พื้นที่ที่หมายออกจากกันและทําการยิงกดเพื่อให้ส่วนโจมตีทําการกวาดล้างที่หมาย คําสั่งของ รอง ผบ.ร้อย. ก็คือการริเริ่มทําการยิงไปยังโรงทหารของทหารปานามา เวลา น-๒ นาที ถึง น+๑/๒ นาทีแล้วหยุดยิง (ทํา การเฝ้าฟังวิทยุ) ทําการยิง รวม ๒ นาทีครึ่งหลังจากนั้นหยุดยิงเพื่อคอยการประกาศยอมแพ้ของข้าศึก ในขณะที่หน่วยเจาะต้องการใช้การยิงกดนี้เพื่อสนับสนุน การเคลื่อนที่จากฐานออกตีไปยังตําบลที่กําหนดเป็น ฐานเจาะและเตรียมการใช้วัตถุระเบิด หน่วยที่ทําการจู่โจมดังกล่าวได้หลงทางและเสียเวลาไป ๒๖ นาทีก่อนเวลา น. เมื่อการยิงเปิดฉากขึ้นที่ โคโคโลซึ่งอยู่ห่างออกไป ๒ กม. ๑๐ นาทีต่อมา การเปิดฉากระดมยิงได้เริ่มขึ้นอีก ที่อีกอาคารหนึ่ง ของค่าย เอสปิน่า จากหมวดของกองพันข้างเคียงได้เคลื่อนที่เข้ายึดที่หมาย รอง ผบ.ร้อย.ได้ถูกกดดันจากกําลังพลในหน่วยให้เริ่มเปิดฉากการยิงก่อนเวลาเพราะกําลังทหาร ปานามาได้รู้ตัวแล้ว แต่รอง ผบ.ร้อย.ได้ปฏิเสธความกดดันนั้น โดยยังคงมีความรอบคอบที่จะเตือนให้กําลัง ทหารในบังคับบัญชาให้ควบคุมการลั่นกระสุนไว้ก่อน และเมื่อถึงตามกําหนดเวลา รอง ผบ.ร้อย.จึงได้เริ่มเปิด ฉากการยิง รอง ผบ.ร้อย. มีความเข้าใจถึงเจตนารมณ์ของ ผบ.พัน. ที่กําหนดวัตถุประสงค์สําหรับ กองร้อยของเขา เพื่อป้องกันการใช้กําลังของทหารปานามาในที่มั่นรบ เพราะว่าเขาสามารถตรวจการณ์เห็นที่หมาย ซึ่งเขา สามารถเปิดฉากการยิงได้ทันทีที่เห็นทหารปานามาเริ่มเคลื่อนที่เข้าที่ตั้งยิง และเขายังเข้าใจต่อเจตนารมณ์ ของ ผบ.ร้อย. เป็นอย่างดีว่า ไม่ได้ต้องการให้ใช้อํานาจการยิงนี้เพื่อทําให้ทหารปานามาเกิดการบาดเจ็บล้ม ตายสูงสุด แต่ต้องการที่จะใช้คุ้มครองการเคลื่อนที่ของส่วนเจาะในขณะเคลื่อนที่เข้าหา และเตรียมการใช้ ตอปิโดทําลายเครื่องกีดขวางของข้าศึก ดังนั้นถ้าเริ่มเปิดฉากการยิงก่อนเวลาที่กําหนด อาจไม่สามารถ ช่วยเหลือ ส่วนเจาะและส่วนโจมตีที่ยังคงเคลื่อนที่อยู่ในป่า เพราะเหตุผลดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่าปัจจัย ที่ กล่าวมาแล้วมีความเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง ส่วนโจมตีพึ่งผ่านมาถึงแนวชายป่าในขณะที่ รอง ผบ.ร้อย. เริ่มสั่ง เปิดฉากการยิง ซึ่งทําให้ส่วนโจมตีสามารถเคลื่อนที่ได้โดยไม่ถูกตรวจพบ ไปยังฐานของอาคารภายใต้การ ยิงข่มของฝ่ายเราเป็นอย่างดี เนื่องจากผลการตัดสินใจที่ถูกต้องของ รอง ผบ.ร้อย. จึงทําให้ภารกิจสําเร็จได้ในระดับที่เกือบสมบูรณ์ กองร้อยสามารถจับข้าศึกได้ ๘๔ นายและสังหารได้อีกจํานวนหนึ่ง กองร้อยที่ ๑ ไม่มีผู้ใดได้รับการบาดเจ็บ แต่ประการใดและยังคงมีความพร้อมรบในการปฏิบัติการต่อไปหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจนี้ ผลการปฏิบัติของกองร้อยที่ ๑ นั้น ได้แสดงให้เห็นตัวอย่างที่ดีหลาย ๆ ประการของ หลักการพื้นฐาน ในการควบคุมบังคับบัญชาที่เน้นภารกิจ และประโยชน์ของเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา คือ หลักการพื้นฐาน ที่ต้องการความเข้าใจในเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือทั้ง ๒ ระดับ ในการกําหนดภารกิจที่ชัดเจน (กิจเฉพาะและวัตถุประสงค์) สําหรับหน่วยรองตามแนวความคิดในการปฏิบัติของ ผบช. ผู้บังคับบัญชา จะต้องมีความมั่นใจว่าผู้ใต้บังคับบัญชาของตนมีความสามารถและมีประสิทธิภาพ ในการใช้ความคิดริเริ่ม ระหว่างการปฏิบัติที่มีการกระจายอํานาจอีกอย่างหนึ่ง การกําหนดชี้ชัดถึงหน่วยใดที่เป็นความพยายามหลักจะ ทําให้หน่วยความพยายามสนับสนุนจะรวมการสนับสนุนต่อการปฏิบัตินั้น เนื่องจากการที่ ผบช. ได้ใช้คําสั่ง ยุทธการที่มีประสิทธิภาพ จะทําให้เขาสามารถเชื่อมั่นในตัวของผู้ใต้บังคับบัญชาที่จะตัดสินใจในการปฏิบัติที่ ถูกต้องเพื่อที่จะส่งผลให้ผู้บังคับกองร้อยที่๑ สามารถควบคุมบังคับกําลังเคลื่อนที่ไปข้างหน้าได้เป็นอย่างดีและ กําหนดที่อยู่ของตนเอง ณ จุดรบแตกหักด้านความพยายามหลัก


๑๔ ตอนที่ ๑ ระบบการควบคุมและการบังคับบัญชา ระบบการบังคับบัญชาและควบคุมของกองร้อยจะต้องมีความเชื่อถือได้ มีการตอบสนองและมีความ มั่นคง โดยจะต้องดํารงอยู่แม้ว่าจะขาดผู้บังคับบัญชาก็จะต้องสามารถดําเนินงานได้ แม้ว่าระบบนี้จะเป็นสิ่งที่มี ความซับซ้อนที่สุดของกองร้อย แต่ผลที่ออกมาจะต้องมีความชัดเจน คําแนะนําที่กระทัดรัดที่มุ่งตรงไปยัง ส่วนรวมของหน่วยและวัตถุประสงค์ของกองร้อย ในตอนนี้จะอธิบายโครงสร้างและแนวความคิดที่สําคัญของ ระบบการบังคับบัญชาและการควบคุม ๒ - ๑ ความสําเร็จในสนามรบจะต้องผสมผสานกันระหว่างการบังคับบัญชาและการควบคุม สัดส่วนที่ เหมาะสมของการบังคับบัญชาและการควบคุมจะถูกกําหนดโดยสถานการณ์ ผบช.ต้องมีการเน้นยํ้าเกี่ยวกับ การบังคับบัญชาและลดมาตรการควบคุมที่เข้มงวดซึ่งกระทบต่อเสรีในการปฏิบัติของผู้ใต้บังคับบัญชา ก. การบังคับบัญชา การบังคับบัญชาเป็นกระบวนการที่จะทําให้ความต้องการของผู้บังคับบัญชาได้ ถ่ายทอดไปยังผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งได้กําหนดเป้าหมายและแนวทางให้แก่กองร้อย คุณลักษณะความเป็นผู้นํา จะแสดงออกในทุกส่วนของการบังคับบัญชา ข. การควบคุม การควบคุมเป็นส่วนหนึ่งของการบังคับบัญชาที่ต้องการตกลงใจและลดความ เบี่ยงเบนจากแนวความคิดของผู้บังคับบัญชา การควบคุมจะจัดเตรียมการกํากับดูแล การปฏิบัติการให้เกิดการ ประสานสอดคล้องของระบบและการปฏิบัติทั้งหมด ค. ความประสานสอดคล้อง ผู้บังคับบัญชาต้องละเว้นการเข้าไปควบคุมอย่างใกล้ชิดต่อหน่วยของ เขาที่จะทําให้การประสานสอดคล้องบรรลุผล สิ่งดังกล่าวจะทําให้เกิดความล่าช้าในการปฏิบัติและจํากัด ความคิดริเริ่มของหน่วยรอง ความประสานสอดคล้องจะต้องถูกดํารงไว้ในระหว่างการปฏิบัติด้วยการตัดสินใจที่ ถูกต้องของผู้ใต้บังคับบัญชา ความเข้าใจที่ชัดเจนในเจตนารมณ์ของ ผบช. และแนวความคิดง่าย ๆ ที่มี ประสิทธิภาพจะเป็นหัวใจสําคัญในการดํารงความประสานสอดคล้อง ๒ - ๒ ความเป็ นผู้นําของผู้บังคับบัญชา ความเป็นผู้นําเป็นส่วนสําคัญยิ่งทั้งอํานาจกําลังรบและระบบการ ควบคุมบังคับบัญชา เนื่องจากความเป็นผู้นําจะทําให้ ผบช. สามารถที่จะประสพความสําเร็จในกิจเฉพาะที่ ได้รับมอบโดยเฉพาะสถานการณ์ที่ยากยิ่ง ผบช. จะต้องมีความเข้าใจในความรู้ (ปรัชญา) ความเป็น ผู้นําใน รส. ๒๒ - ๑๐๐ ปัจจัยต่อไปนี้เป็นหลักการสําคัญต่อขีดความสามารถของ ผบ.ร้อย. ในการนํากองร้อย เข้าสู่สมรภูมิการรบอากาศ - พื้นดิน ก. ความมุ่งมั ่นเด็ดเดี่ยว ผู้ที่จะเป็นผู้ชนะในสนามรบต้องเป็นผู้ที่ปฏิเสธความพ่ายแพ้ ผู้นําที่มี ความสามารถและความอดทน การฝึกที่สมจริงจะเป็นหัวใจหลักในการพัฒนาข้อกําหนดนี้ ผบ.ร้อย. ต้อง พัฒนาความปรารถนาในการเอาชนะให้เกิดขึ้นแก่ทหารในกองร้อยของตน ข. ความศรัทธา ผบ.ร้อย. ต้องได้รับความศรัทธาจากทหารในหน่วย ทหารจะต้องมีความมั่นใจ ในความสามารถของ ผบ.ร้อย.และ ผบ.ร้อย. ก็ต้องมีความเชื่อมั่นในผู้ใต้บังคับบัญชาและทําการพัฒนา บรรยากาศในการบังคับบัญชาเพื่อให้ผู้ใต้บังคับบัญชาได้มีการตัดสินใจด้วยตนเอง ค. การแบ่งมอบอํานาจ หลังจากมีความมั่นใจในผู้ใต้บังคับบัญชาว่ามีการฝึกฝนที่ดีแล้ว ผบ.ร้อย. จะต้องแบ่งมอบอํานาจที่เหมาะสมและให้เสรีแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาของตน ผบช. จะต้องใช้รวบรวมเวลาและ อํานาจ (ศักยภาพ) มุ่งไปยังสิ่งใด ๆ ที่เป็นความวิกฤติและมอบอํานาจที่นอกเหนือไปจากนี้ให้แก่ ผู้ใต้บังคับบัญชา ง. วินัย ผบ.ร้อย. ต้องดํารงไว้ซึ่งวินัยของทหารในหน่วย วินัยจะทําให้มั่นใจในมาตรฐานที่ต้องดํารง ไว้แม้ในขณะที่ไม่มีการกํากับดูแลจากผู้นํา ในการปฏิบัติการที่มีการกระจายอํานาจจะมีความต้องการความมี วินัยของทหารแต่ละบุคคลในกองร้อยตลอดห้วงการปฏิบัติตามวงรอบ


๑๕ ๒ - ๓ การบังคับบัญชาและการควบคุมที่มุ่งเน้นภารกิจ การบังคับบัญชาและการควบคุมที่เน้นภารกิจเป็น หลักนิยมหนึ่งของกองทัพบกเพื่อที่จะมุ่งไปสู่การบังคับบัญชาและการควบคุมในสนามรบ พื้นดิน-อากาศ การ บังคับบัญชาและการควบคุมเป็นวิธีการในการดําเนินการทางทหารที่กระตุ้นการคาดหวังให้หน่วยภายใต้การ บังคับบัญชาปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างสอดคล้องกับเจตนารมณ์และแนวความคิดของหน่วยเหนือ หลักการต่อไปนี้ เป็นพื้นฐาน ที่เตรียมสําหรับการบังคับบัญชาและการควบคุมที่เน้นภารกิจ ก. คาดการณ์ในความไม่แน่นอน ผู้บังคับบัญชาต้องมีความเข้าใจในสภาพแวดล้อมของการรบ การทําการรบเป็นรูปแบบเคลื่อนไหวและไม่เป็นแนว การติดต่อสื่อสารจะถูกรบกวนจากข้าศึกและความ ยุ่งยากสับสนในการรบมักจะเป็นสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้ผู้บังคับบัญชาได้รับทราบสิ่งที่เกิดด้วยสามัญสํานึกของ ตนเอง สถานการณ์ในระหว่างการวางแผนจะมีการเปลี่ยนแปลงเสมอก่อนที่จะปฏิบัติ ข. ลดการแทรกแซงจากผู้นํา ในการวางแผนและการดําเนินการในการปฏิบัติมีความต้องการ แทรกแซงที่น้อยที่สุด เมื่อกําลังทหารคาดหวังให้ผู้บังคับบัญชาทําการตกลงใจหรือริเริ่มการปฏิบัติ ถ้ามีการ แทรกแซงเกิดขึ้นทหารจะมีความรู้สึกต่อต้านขึ้น ในระหว่างการควบคุมที่ละเอียดเพื่อต้องการความประสาน สอดคล้อง เช่น ในการปฏิบัติที่ต้องดําเนินการตามลําดับขั้น ผู้บังคับบัญชาต้องเตรียมข้อกําหนดหรือเงื่อนไข ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเพื่อใช้ในการตัดสินใจ ผู้นําจะต้องสํานึกไว้ว่าการสูญเสียบ้างในขั้นตอนรายละเอียดย่อม ดีกว่าการไม่ปฏิบัติอะไรเลย ค. เพ ิ่มเวลาในการวางแผนให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้บังคับกองร้อยต้องเสริมสร้างความมั่นใจในการ ใช้เวลาในการวางแผนที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แม้ว่าการวางแผนส่วนใหญ่จะดําเนินการในระดับ กองร้อย แต่หมวดและหมู่ยังคงต้องการเวลาเพิ่มเติมในการซักซ้อมและตรวจสอบเป็นอย่างดี ระเบียบปฏิบัติ ประจําและคําสั่งเตือนจะเป็นเครื่องมือหลักในการลดการใช้เวลาเป็นอย่างดี ง. ให้เสรีมากที่สุดแก่ผู้ใต้บังคับบัญชาในการปฏิบัติ กําหนดเงื่อนไขของสนามรบแก่ ผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้นําในทุกระดับจะต้องละเว้นข้อกําหนดที่ไม่จําเป็นที่จํากัดเสรีของผู้ใต้บังคับบัญชา ผู้นําที่ อยู่ในตําแหน่งที่ต้องตกลงใจจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้ ผ่านการฝึกฝนและมีเสรีที่จะทําการตกลงใจในการ สนับสนุนเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชาได้อย่างถูกต้อง จ. บังคับบัญชาหรือนําหน่วยไปข้างหน้าอย่างดี ผู้บังคับกองร้อยกําหนดที่อยู่ตนเองในที่ที่สามารถ ทําให้กองร้อยของตนทําการรบได้ดีที่สุด สิ่งดังกล่าวจําเป็นต้องใช้ปัจจัยในการตกลงใจหลายอย่าง การปรากฏ ตัวของผู้บังคับบัญชาจะทําให้มองเห็นสถานการณ์และผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถเห็นผู้นําของเขาจะเป็นการ เพิ่มประสิทธิภาพสูงสุดของการเป็นผู้นํา แต่เนื่องจากผู้บังคับบัญชาไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ทุกแห่งได้ ผู้ บังคับกองร้อยจะต้องมุ่งไปยังการปฏิบัติที่สําคัญที่สุดเพื่อทําให้บรรลุภารกิจ ตามปกติผู้บังคับกองร้อยจะอยู่กับ ส่วนความพยายามหลัก (หน่วยรองที่ถูกกําหนดให้ปฏิบัติการที่สําคัญสูงสุด) เพื่อใช้ความเป็นผู้นําและ กําหนดการเปลี่ยนแปลงหรือปรับเปลี่ยนกิจสําคัญยิ่งใหม่ให้แก่ส่วนความพยายามหลัก ๒ - ๔ เจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา การรับรู้ถึงเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชาจะทําให้ผู้บังคับบัญชา สามารถที่จะใช้ความคิดริเริ่มของตนเองในระหว่างการปฏิบัติ ข้อความที่กระทัดรัด ชัดเจนในการกําหนด เจตนารมณ์ จะทําให้เกิดความมั่นใจว่ากําลังทหารทั้งมวลจะมีความเข้าใจได้เป็นอย่างดี สิ่งเหล่านี้จะต้องทําให้ มีความเข้าใจที่ชัดเจนด้วย การติดต่อสื่อสารทุกวิถีทาง การเขียน การแจ้งตรงตัว หรือการแจ้งผ่านทางวิทยุ หรือโทรศัพท์ ความสัมพันธ์ระหว่างเจตนารมณ์ของผู้บังคับกองพันสําหรับกองร้อย บทบาทของกองร้อยตาม แนวความคิด การกําหนดความพยายามหลัก การพัฒนา แนวความคิดของผู้บังคับกองร้อยตลอดจนการ กําหนดเจตนารมณ์ให้ผู้ใต้บังคับบัญชาจะเป็นความมุ่งหมายของคําสั่งแบบมอบภารกิจ


๑๖ ก. เจตนารมณ์ เจตนารมณ์หมายความถึงผลที่ผู้บังคับบัญชาได้คาดหวังให้หน่วยปฏิบัติให้สําเร็จใน แต่ละภารกิจเฉพาะ ในระดับหน่วยทางยุทธวิธีที่ตํ่าที่สุด (กองร้อยและตํ่ากว่า) โดยปกติเจตนารมณ์ก็คือ วัตถุประสงค์ที่ได้จากข้อความในภารกิจ เช่นข้อความที่กําหนดโดยผู้บังคับกองพัน เมื่อตกลงใจที่จะมอบ ภารกิจให้แก่กองร้อย ข้อความในภารกิจจะประกอบด้วยภารกิจสําคัญยิ่งที่ต้องปฏิบัติให้สําเร็จและ วัตถุประสงค์ (ผลลัพธ์) ที่หน่วยต้องการ ข. แนวความคิดของผู้บังคับบัญชา ในระหว่างที่ผู้บังคับกองพันพัฒนาแนวความคิดได้ตกลงใจ กําหนดภารกิจให้แก่กองร้อย โดยประการแรกคือกําหนดวัตถุประสงค์ให้แก่กองร้อยที่ต้องทําให้สําเร็จ ต่อจากนั้นจะกําหนดกิจเฉพาะของกองร้อยที่คาดว่าจะทําให้กองร้อยทําให้วัตถุประสงค์นั้นประสพความสําเร็จ ในระหว่างทําการสู้รบ ถ้ากิจเฉพาะที่กําหนดไม่สามารถทําให้วัตถุประสงค์นั้นสําเร็จได้ ผู้บังคับกองร้อยอาจ ได้รับการปรับเปลี่ยนกิจเฉพาะใหม่เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ กําลังพลทุกนายจะต้องใช้ความพยายามทุก อย่างที่จะให้ข่าวสารในการปฏิบัติของตนต่อผู้บังคับบัญชาโดยไม่ต้องคอยคําสั่งในการปฏิบัติ ตัวอย่างหนึ่งใน การกําหนดแนวทางการปฏิบัติของวัตถุประสงค์หรือ เจตนารมณ์ ได้แก่ ในระหว่างการปฏิบัติ ผู้บังคับ กองร้อยเห็นโอกาส ในความสําเร็จต่อวัตถุประสงค์ได้อย่างรวดเร็วหรือลดการสูญเสียด้วยการปฏิบัติทันที เมื่อทําการตกลงใจผู้บังคับกองร้อยจะต้องพิจารณาบทบาทของกองร้อยตามแนวความคิดของผู้บังคับบัญชา เขาต้องพยายามในทุกวิถีทางที่จะปฏิบัติในกรอบแนวความคิดของผู้บังคับกองพัน เพราะสิ่งนี้ได้เตรียมเพื่อ การประสานสอดคล้องและการรวมอํานาจการรบสําหรับการปฏิบัติภารกิจ ถ้าได้ตกลงใจแล้วว่าการปฏิบัติของ ตนไม่ได้สร้างอันตรายต่อหน่วยหรือภารกิจในระหว่างขาดการติดต่อสื่อสาร ผบ.ร้อย. จะต้องกระทําทันที ค. การพัฒนาแนวความคิด ในการปฏิบัติภารกิจที่ได้รับให้สําเร็จ ผู้บังคับกองร้อยจะกําหนด ภารกิจให้แก่หมวดและหมู่เหมือนกับผู้บังคับกองพันกําหนดภารกิจให้แก่กองร้อยและกําหนดความพยายาม หลักของเขา ผู้บังคับกองร้อยกระทําในทํานองเดียวกันต่อกองร้อย โดยที่เขาจะต้องมีความมั่นใจว่า แนวความคิดของตนจะต้องสอดคล้องกับแนวความคิดของผู้บังคับกองพัน ผลลัพธ์ของความเป็นหนึ่งเดียวของ ความพยายามแต่สนับสนุนการแบ่งมอบอํานาจการปฏิบัติในแต่ละระดับผู้บังคับบัญชาจะได้รับภารกิจจาก หน่วยเหนือ การพัฒนาแนวความคิดในการบรรลุภารกิจ การจัดหน่วยเข้าทําการรบตามแนวความคิดในการ ปฏิบัติและกําหนดความรับผิดชอบให้แก่หน่วยรอง สิ่งที่ใช้เตรียมข่าวสารดังกล่าวข้างต้นได้แก่คําสั่งยุทธการ ง. ความพยายามหลัก หมวดที่ได้รับกิจเฉพาะที่สําคัญที่สุดในแนวความคิดของผู้บังคับกองร้อยจะ เป็นความพยายามหลัก หน่วยดังกล่าวจะเป็นจุดศูนย์รวมของหน่วยต่าง ๆ ที่เหลือต้องสนับสนุนความสําเร็จ ของความพยายามหลักอย่างเร็ว ความสําเร็จของความพยายามหลักมักจะเป็นผลต่อเนื่องในการประสพ ความสําเร็จของภารกิจผู้บังคับบัญชา การพิจารณาการปฏิบัติการที่เป็นอิสระ ผู้นําแต่ละคนจะต้องทําการตก ลงใจในการปฏิบัติโดยมีพื้นฐานความสัมพันธ์กับความพยายามหลัก การต่อเชื่อมระหว่างความพยายาม สนับสนุนและความพยายามหลักจะต้องดํารงไว้ ยกเว้นในกรณีที่จําเป็นอย่างยิ่ง เช่น ผู้บังคับหน่วยความ พยายามสนับสนุน เห็นโอกาสที่จะสามารถทําให้ภารกิจของความพยายามหลักบรรลุวัตถุประสงค์ ผู้บังคับ หน่วยดังกล่าวจะต้องตอบคําถามให้ได้ว่า “ ผู้บังคับบัญชาจะทําอย่างไรถ้าเขารู้เหมือนกับที่ข้าพเจ้ารู้ ” เพราะ การตอบสนองที่ถูกต้องสามารถที่จะปรับเปลี่ยนความพยายามหลักมาเป็นของหน่วยตนเอง ซึ่งจะต้องทําการ ปรับกิจเฉพาะของตนเองอย่างทันทีเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่กําหนดให้แก่ความพยายามหลัก และถ้าผู้บังคับ หน่วยความพยายามหลักเดิมได้รับข่าวสารการปรับเปลี่ยนความพยายามหลักแล้ว ก็จะต้องทําการตกลงใจ กําหนดวิธีการสนับสนุนความพยายามหลักใหม่ให้ดีที่สุด พร้อมทั้งปรับกิจเฉพาะของตนเอง ส่งคําสั่งเป็น ส่วน ๆ ให้แก่กําลังพลของตนและเข้าร่วมในการทําการรบ ๒ - ๕ คําสั ่งแบบมอบภารกิจ หลักนิยมการรบ อากาศ-พื้นดิน ต้องการใช้คําสั่งแบบมอบภารกิจ คําสั่งแบบ มอบภารกิจจะรวมศูนย์ไปยังกิจเฉพาะที่จะต้องทําให้สําเร็จโดยมิได้กําหนดแน่ชัดถึงวิธีการในการปฏิบัติ ใน


๑๗ สถานการณ์ที่มีความเป็นไปได้จะได้รับคําสั่งแบบปากเปล่าโดยตรง ณ บริเวณที่มีการรบเกิดขึ้น คําสั่งแบบ มอบภารกิจต้องการผู้ใต้บังคับบัญชาที่ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีและมีความเข้าใจเป็นอย่างดีถึงเจตนารมณ์ และแนวความคิดของผู้บังคับบัญชาทั้ง ๒ ระดับ ก. คําสั ่งแบบมอบภารกิจจะให้ข่าวสารที่สําคัญ เว้นรายละเอียดที่ไม่จําเป็น ไม่กล่าวถึงหลัก นิยมหรือระเบียบปฏิบัติประจํา การพัฒนาระเบียบปฏิบัติประจําเพื่อลดความเยิ่นเยอของ คําสั่ง การใช้คําพูด ที่กระทัดรัดชัดเจนประกอบกับแผนผังภาพ รส.๑๐๑-๕-๑ จะเป็นแหล่งของหลักนิยมคําอธิบายและแผนผังภาพ ผู้บังคับหน่วยทุกนายจะต้องมีความเข้าใจในสิ่งต่าง ๆ ดังกล่าวนี้ ข. ผู้บังคับบัญชาจะกําหนดความต้องการให้หมวดของตน กระทําให้สําเร็จและสื่อความต้องการ นี้ให้ชัดเจน ในกรณีที่ผู้บังคับหน่วยรองของตนยังไม่มีความเชื่อถือหรือมิได้แสดงออกถึงความสามารถทาง ยุทธวิธีในการปฏิบัติภารกิจ คําสั่งนี้จะต้องถูกปรับให้เหมาะสมกับพื้นฐานของการฝึกฝน ประสบการณ์ และ ขีดความสามารถของผู้บังคับหน่วยที่ได้รับคําสั่ง ๑) สิ่งนี้อาจรวมถึงการให้คําแนะนําเพิ่มเติม การกําหนดมาตรการควบคุมที่จํากัดเพิ่มขึ้น การ กําหนดวิธีการเฉพาะในการใช้เครื่องมือที่หน่วยมีอยู่ เช่น การกําหนดที่ตั้งของกําลังพลที่ใช้ระเบิดขว้าง เพื่อ ขัดขวางการเคลื่อนที่ขึ้นมาของข้าศึกจากหุบเขาเพื่อมิให้ข้าศึกทําการโอบทางปีก ๒) หรือในสถานการณ์ที่ไม่ปกติ ผู้บังคับกองร้อยอาจให้รายละเอียดแก่ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก ว่าจะ ดําเนินการต่อหมวดปืนเล็กของตนอย่างไร การกําหนดข้อจํากัดที่ชัดเจนในการใช้ความริเริ่ม หรือการ กําหนดให้ตนเองหรือรองผู้บังคับกองร้อยร่วมไปกับหมวดปืนเล็ก สิ่งเหล่านี้จะใช้แก้ปัญหาช่วงสั้น ๆ ผู้บังคับ หน่วยจะต้องได้รับการฝึกให้มีความสามารถตามหน้าที่ของตน ๒ - ๖ หน้าที่และความรับผิ ดชอบของตําแหน่งที่สําคัญ กองร้อยจะต้องทํากิจเฉพาะต่าง ๆ ให้สําเร็จ ได้แก่ การปฏิบัติทางยุทธวิธี การบริหารงาน การส่งกําลังบํารุง ในการที่จะดําเนินการที่กล่าวให้สําเร็จ หน้าที่ความรับผิดชอบของเจ้าหน้าที่หลักจะต้องกําหนด โดยมีการประสานและทําความเข้าใจกันอย่างชัดเจน ก. ผู้บังคับกองร้อย ๑) ผู้บังคับกองร้อยรับผิดชอบต่อทุกสิ่งทุกอย่างที่กองร้อยปฏิบัติหรือไม่ได้ปฏิบัติ ทั้งนี้รวมไปถึง การปฏิบัติทางยุทธวิธี การฝึก การบริหารงาน การจัดการบุคคล และการดํารง ประสิทธิภาพของกองร้อย ผบ.ร้อย. จะต้องทราบถึงขีดความสามารถของกําลังพลและอาวุธยิงสนับสนุนและวิธีการใช้ในทางยุทธวิธี และ ต้องรู้ถึงขีดความสามารถของข้าศึกอีกด้วย ๒) ผู้บังคับกองร้อยจะทําการบังคับบัญชาผ่านทาง ผู้บังคับหน่วยรอง ๓) ผู้บังคับกองร้อยจะใช้กองร้อยของตนเพื่อสนับสนุนการบรรลุภารกิจของกองพันหรือกรม โดย ร้องขอการสนับสนุนเพิ่มเติมจากกองพันได้เมื่อมีความต้องการ ข. รองผู้บังคับกองร้อย ๑) รองผู้บังคับกองร้อยเป็นอันดับที่ ๒ ในการบังคับบัญชา บทบาทหลักคือการช่วยเหลือผู้ บังคับกองร้อยในการนํากองร้อยเข้าทําการรบ รอง ผบ.ร้อย.จะต้องทําให้มั่นใจได้ว่าการรายงานทางยุทธวิธี จากหมวดปืนเล็กจะถูกส่งไปยังที่บังคับการทางยุทธวิธีของกองพัน รองผู้บังคับกองร้อยจะอยู่ในตําบลที่เขา สามารถที่จะดํารงการติดต่อสื่อสารกับผู้บังคับกองร้อยและที่บังคับการทางยุทธวิธีของกองพันได้ โดยอาจร้อง ขอกําลังทหารเพิ่มเติมในการเพิ่มการรักษาความปลอดภัยและเพิ่มขีดความสามารถอื่น ๆ รองผู้บังคับ กองร้อยจะเข้าปฏิบัติหน้าที่แทน ผบ.ร้อย. เมื่อกองร้อยมีความต้องการ ๒) ก่อนการรบจะเกิดขึ้นรองผู้บังคับกองร้อย (และจ่ากองร้อย) จะวางแผนและกํากับดูแล ด้าน การช่วยรบของกองร้อย ทั้งนี้จะต้องทําให้มั่นใจได้ว่าการตรวจความพร้อมรบจะต้องมีความสมบูรณ์


๑๘ โดยประมาณความต้องการสนับสนุนการส่งกําลังบํารุงจากหน่วยงานที่มาสนับสนุน ในขณะที่จ่ากองร้อย กระทําเช่นเดียวกันแต่เป็นการภายใน เพื่อเตรียมการหรือช่วยเหลือในการจัดทําข้อที่ ๔ ของคําสั่งยุทธการ และยังมีหน้าที่ช่วยผู้บังคับกองร้อยในการวางแผนการยุทธ์ของแต่ละภารกิจ ๓) รองผู้บังคับกองร้อยประสานกับหน่วยเหนือและหน่วยข้างเคียงและหน่วยสนับสนุน นอกจากนี้ยังช่วยในการควบคุมลําดับขั้นในการรบ เช่น การข้ามแนวขั้นต่าง ๆ การเชื่อมต่อ ช่องว่าง การ เจาะเครื่องกีดขวาง หรือการเข้าควบคุมหมวดปืนเล็กที่ได้รับการสมทบในระหว่างการเคลื่อนที่ ๔) รองผู้บังคับกองร้อยอาจจะได้รับภารกิจทางยุทธวิธี โดยปฏิบัติหน้าที่ดังนี้ ก) นายทหารควบคุมพื้นที่การส่งลงหรือการรับขึ้น ซึ่งอาจจะรวมถึงการควบคุมทหารพลัด หน่วย การส่งกลับผู้บาดเจ็บ การปฏิบัติการเพิ่มเติม สิ่งอุปกรณ์ หรือเป็นนายทหารติดต่ออากาศพื้นดิน ข) นายทหารควบคุมบังคับบัญชาหน่วยสมทบหรือหน่วยที่มาสนับสนุน รองผู้บังคับกองร้อย อาจทําหน้าที่ควบคุมบังคับบัญชาส่วนต่าง ๆ ของหลาย ๆ กองร้อยที่มารวมกัน ซึ่งอาจมีวัตถุประสงค์เพื่อ เสริมการปฏิบัติของกองร้อย เป็นหน่วยลาดตระเวน รักษาความปลอดภัย กําหนดพื้นที่รวมพลหรือที่มั่นรบ หรือทําหน้าที่เป็นส่วนที่เหลือไว้ปะทะ ในขณะที่กองร้อยทําการเคลื่อนที่ไปยังที่ตั้งแห่งใหม่หรือกําลัง ปฏิบัติการรบ ค) ผู้บังคับส่วนสนับสนุน รองผู้บังคับกองร้อยอาจถูกกําหนดภารกิจและการจัดส่วนงานต่าง ๆ เพื่อให้บรรลุภารกิจ โดยอาจได้รับมอบหมายให้ทําการควบคุมปืนกลของกองร้อย มว.ค.๖๐ และ ๑ หมวด ปืนเล็กในการเป็นผู้บังคับส่วนความพยายามสนับสนุน สําหรับการตีโฉบฉวยหรือเข้าตีของกองร้อย ภารกิจ โดยปกติจะประกอบด้วย (๑) ผู้บังคับหน่วยกองหนุน (๒) ผู้บังคับส่วนที่เหลือไว้ปะทะในระหว่างการถอนตัว (๓) ควบคุมหน่วยที่ขึ้นสมทบกับกองร้อย ค. จ่ากองร้อย ๑) จ่ากองร้อยเป็นนายทหารประทวนที่อาวุโสสูงสุด โดยปกติจะเป็นทหารที่มีประสบการณ์มาก ที่สุดของกองร้อยจะเป็นผู้ให้คําปรึกษาทางยุทธวิธีหลัก โดยมีความเชี่ยวชาญและความชํานาญในงานของ นายทหารประทวน เพื่อช่วยเหลือผู้บังคับบัญชาในการวางแผนการประสานงาน และการกํากับดูแลกิจกรรม ต่างๆ ที่จะสนับสนุนภารกิจของหน่วย โดยดําเนินการให้เป็นไปตามที่ผู้บังคับกองร้อยสั่งการหรือเมื่อหน้าที่ กําหนดให้ปฏิบัติ ๒) หน้าที่เฉพาะของจ่ากองร้อยจะประกอบด้วย ก) ปฏิบัติและกํากับดูแลงานประจํา ซึ่งรวมไปถึงการบังคับให้ระเบียบปฏิบัติประจําทาง ยุทธวิธีมีผลทั้งการวางแผนการประสานงานในการฝึกการประสานงานและรายงาน การบริหารบุคลากรและ การกํากับดูแลสิ่งอุปกรณ์ การปรนนิบัติบํารุง การติดต่อสื่อสาร อนามัยส่วนบุคคลและการส่งกลับผู้ป่วยเจ็บ ข) กํากับดูแล ตรวจสอบ หรือติดตามเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้บังคับกองร้อยกําหนดขึ้น (ตัวอย่างเช่น การตรวจการณ์และรายงานพื้นที่รับผิดชอบของกองร้อยตรวจสอบ มว.ค. หรือตรวจแผ่นจด ระยะ) ค) ช่วยเหลือและประสานงานร่วมกับรองผู้บังคับกองร้อย และเตรียมที่จะปฏิบัติหน้าที่แทน รองผู้บังคับกองร้อย ง) ควบคุมบังคับบัญชาส่วนเฉพาะกิจหรือหน่วยรองตามที่ได้รับมอบหมายภารกิจ ง. นายทหารยิงสนับสนุน


๑๙ ๑) นายทหารยิงสนับสนุนจะช่วยในการวางแผนประสานงาน และปฏิบัติการในการยิง สนับสนุนของกองร้อย ในระหว่างการวางแผนจะช่วยพัฒนาแผนการยิงสนับสนุนโดยใช้แนวทางจาก แนวความคิดของผู้บังคับกองร้อย พร้อมทั้งประสานแผนการยิงสนับสนุนกับนายทหารยิงสนับสนุนของกองพัน ๒) ในระหว่างการวางแผน นายทหารยิงสนับสนุนจะมีหน้าที่อื่น ๆ ดังนี้ ก) ให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บังคับกองร้อยถึงขีดความสามารถ และสถานภาพของอาวุธยิง สนับสนุนที่มีอยู่ ข) ช่วยเหลือผู้บังคับกองร้อยในการพัฒนาคําสั่งยุทธการ เพื่อให้ความมั่นใจว่าได้มี การรวมอํานาจการยิงทั้งมวลตามแนวความคิดของผู้บังคับบัญชา ค) กําหนดเป้าหมายและมาตรการควบคุมการยิงตลอดจนตกลงใจในการใช้วิธีการที่จะใช้ต่อ เป้าหมายและรับผิดชอบต่อการยิงต่อที่หมาย ง) ตกลงใจสําหรับกิจเฉพาะและคําแนะนําที่ต้องการในการปฏิบัติและควบคุมแผนการยิง จ) บรรยายสรุปแผนการยิงสนับสนุน ในฐานะเป็นส่วนหนึ่งของคําสั่งยุทธการของกองร้อย และทําการประสานกับผู้ตรวจการณ์หน้าของหมวดปืนเล็ก เพื่อให้มีความมั่นใจได้ว่าพวกเขาเข้าใจในความ รับผิดชอบของตน ฉ) รวบรวมเป้าหมายของหมวดปืนเล็ก ให้เป็นแผ่นภาพเป้าหมายของกองร้อยและตาราง เป้าหมาย และทําการส่งผลการปฏิบัติดังกล่าวให้แก่ส่วนยิงสนับสนุนของกองพัน ๓) ในระหว่างการทําการรบ โดยปกตินายทหารยิงสนับสนุนจะอยู่กับผู้บังคับกองร้อย สิ่งนี้จะ ทําให้เกิดความอ่อนตัวเป็นอย่างมากในการปฏิบัติและการปรับแผนการยิงสนับสนุน นายทหารยิงสนับสนุนจะ ให้ข่าวสารที่สําคัญแก่ผู้บังคับกองร้อยโดยใช้ข่ายวิทยุของตน ๔) นายทหารยิงสนับสนุนต้องมีความเข้าใจในยุทธวิธีของทหารราบ สิ่งนี้มิได้เป็นเพียงแต่จะ เป็นการรวมอํานาจการยิงสนับสนุนที่ดีเท่านั้น แต่ยังจะทําให้นายทหารยิงสนับสนุนสามารถปฏิบัติหน้าที่ แทนผู้บังคับกองร้อยได้ในกรณีที่เกิดบาดเจ็บจนกว่ารองผู้บังคับกองร้อยจะมาปฏิบัติหน้าที่แทนต่อไป ๕) นายทหารยิงสนับสนุนจะช่วยในการประสานงานในการสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด และการยิงสนับสนุนจากเรือรบ หรือกําหนดการควบคุม มว.ค. ของกองร้อย ๖) นายทหารการยิงสนับสนุน จะต้องทําให้มั่นใจได้ว่าแผนการยิงเล็งจําลองจะเป็นส่วนหนึ่ง ในการซักซ้อมของแต่ละกองร้อย จ. นายสิบสื่อสาร ๑) มีหน้าที่ในการกํากับการปฏิบัติ การปรนนิบัติบํารุงและทําการติดตั้ง การติดต่อสื่อสารทั้งทาง สายและทางวิทยุอีกทั้งยังรวมไปถึงการรับและส่งข่าวสารประจํารวมทั้งทําการตรวจสอบการสื่อสารเมื่อ ต้องการ ๒) กํากับดูแลที่บังคับการเพื่อทําการส่งต่อข่าวสาร เฝ้าฟังสถานการณ์ทางยุทธวิธี จัดตั้งแผนใน การรักษาความปลอดภัยต่อที่บังคับการ เฝ้าฟังวิทยุตามกําหนดเวลา ให้ข่าวสารแก่ผู้บังคับบัญชาและ ผู้ใต้บังคับบัญชาถึงเหตุการณ์ที่สําคัญ ๓) ขจัดหรือลดปัญหาที่เกิดขึ้นจากอุปกรณ์การติดต่อสื่อสาร และเตรียมการที่จะซ่อมบํารุง เครื่องมือในการติดต่อสื่อสารระหว่างกองร้อยและกองพัน ๔) รับผิดชอบในการกํากับดูแลการใช้เครื่องมือสื่อสาร ตลอดจนการร้องขอ การเบิกรับ การฝึก การรักษาสภาพ การรักษาความปลอดภัย และการใช้สิ่งอุปกรณ์และชิ้นส่วนต่าง ๆ ๕) ให้ข้อเสนอแนะแก่ผู้บังคับกองร้อยในการวางแผน และการใช้ระบบการติดต่อสื่อสารตาม แนวทางที่ผู้บังคับกองร้อยกําหนดให้ พร้อมทั้งเตรียมการหรือช่วยเหลือในการเตรียมคําสั่งยุทธการ ข้อที่ ๕


๒๐ ฉ. พลวิทยุโทรศัพท์ ๑) พลวิทยุโทรศัพท์มีความรับผิดชอบในฐานะปฏิบัติและทําหน้าที่ปรนนิบัติบํารุงวิทยุโทรศัพท์ที่ ได้รับการแบ่งมอบตลอดจนเตรียมการสําหรับการปฏิบัติการพิเศษ (การปฏิบัติการทางนํ้าพื้นที่หนาวจัด การ ยุทธ์ส่งทางอากาศ การยุทธ์โจมตีทางอากาศ) ๒) การเข้าและถอดรหัสของเอกสาร การปรับเสาอากาศในสนามยามฉุกเฉิน ๓) พลวิทยุโทรศัพท์ต้องมีความเข้าใจในภารกิจของกองร้อย เมื่อเกิดเหตุการณ์ที่ผู้บังคับ กองร้อยได้รับบาดเจ็บ พลวิทยุโทรศัพท์จะเป็นผู้เดียวที่ใช้วิทยุในเวลานั้น ณ เวลาดังกล่าว โดยอาจร้อง ขอและปรับการยิงปืนใหญ่ ร้องขอการส่งกลับทางการแพทย์หรือขอเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ ๔) พลวิทยุโทรศัพท์อาจช่วยเหลือในการเตรียมคําสั่งยุทธการ ด้วยการทําสําเนาแผ่นบริวารหรือ การสร้างโต๊ะทราย ช. นายสิบส่งกําลัง ๑) นายสิบส่งกําลังรับผิดชอบร้องขอ เบิกรับ แจกจ่าย เก็บรักษาและดํารงสภาพหมุนเวียนสิ่ง อุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ของกองร้อย โดยประสานความต้องการกับจ่ากองร้อยและนายทหารส่งกําลังบํารุง ๒) ในขณะที่อยู่กับขบวนสัมภาระของกองพัน นายสิบส่งกําลังจะอยู่ภายใต้การกํากับดูแลของผู้ บังคับกองร้อยสนับสนุนการช่วยรบหรือนายทหารส่งกําลัง โดยจะใช้ข่ายวิทยุธุรการและส่งกําลังของกองพันใน การติดต่อสื่อสารกับกองร้อย ๓) เฝ้าฟังสถานการณ์ทางยุทธวิธีและมีส่วนร่วมเมื่อมีการร้องขอการส่งกําลังบํารุงในบทที่ ๘ จะมีรายละเอียดในการร้องขอการสนับสนุนการช่วยรบเพิ่มเติม ซ. นายสิบช่างอาวุธ ๑) ปฏิบัติหน้าที่ปรนนิบัติบํารุงอาวุธของกองร้อย ทําการประเมินผลสถานภาพอาวุธให้แก่ หน่วยซ่อมบํารุง โดยปกติจะช่วยนายสิบส่งกําลังบริเวณขบวนสัมภาระพัก ๒) อาจปฏิบัติหน้าที่ส่วนหน้าบริเวณที่บังคับการกองร้อย เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการของที่ บังคับการกองร้อย ด. ผู้บังคับหมวดเครื่องยิงลูกระเบิด ๑) รับผิดชอบในการใช้หมวดเครื่องยิงลูกระเบิด ๒) จะต้องทําให้มั่นใจได้ว่าการสนับสนุนการยิงด้วยเครื่องยิงลูกระเบิดของกองร้อย มี ประสิทธิภาพสูงสุด พร้อมทั้งช่วยเหลือผู้บังคับกองร้อยในการวางแผนการใช้หมวดเครื่องยิงลูกระเบิด ประสานงานกับนายทหารยิงสนับสนุนและผู้ตรวจการณ์หน้า ตลอดจนควบคุมการใช้หมวดเครื่องยิงลูกระเบิด ในระหว่างการปฏิบัติทางยุทธวิธี ๒ - ๗ ความสําเร็จในการบังคับบัญชา สายการบังคับบัญชาจะทําให้การบังคับบัญชาประสพความสําเร็จได้ ในกรณีที่ผู้บังคับบัญชาได้รับบาดเจ็บ ในระดับกองร้อยอาวุธเบานั้นเริ่มจากผู้บังคับกองร้อย รองผู้บังคับ กองร้อย ผู้บังคับหมวดปืนเล็กตามลําดับอาวุโส นายทหารเหล่ารบอื่น จ่ากองร้อย และนายทหารประทวน ตามลําดับอาวุโส ก. ในการสถาปนาสายการบังคับบัญชาขึ้นมาใหม่ ผู้บังคับบัญชาคนใหม่จะต้องสถาปนาการ ติดต่อสื่อสารกับกองพันและส่วนต่าง ๆ ในกองร้อยจะต้องให้ทุกคนรับทราบสถานการณ์ รับทราบการ รายงานสถานภาพจากกองร้อยและคําสั่งใหม่จากกองพัน ที่จะใช้เป็นแนวทางปฏิบัติการต่อไปทั้งนี้อาจ แจกจ่ายคําสั่งเป็นส่วน ๆ เมื่อมีความต้องการ ข. ระเบียบปฏิบัติประจําทางยุทธวิธีของกองร้อย ควรจะครอบคลุมการสถาปนาสายการบังคับบัญชา ขึ้นใหม่ การแจกจ่ายข่ายวิทยุและที่ตั้งทางการบังคับบัญชาที่สถาปนาขึ้นมาใหม่จะต้องสามารถปฏิบัติการได้ ทั้งในระหว่างสถานการณ์ที่หยุดนิ่งและมีการเลื่อนไหล


๒๑ ๒ - ๘ กลุ่มของคําสั ่ง กลุ่มจัดทําคําสั่งที่มีความมาตรฐานจะช่วยให้การวางแผนและการกระจายข่าวสาร เป็นไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้เกิดความมั่นใจเจ้าหน้าที่หลักจะต้องเชื่อฟังคําสั่งยุทธการ โดยปกติกลุ่มจัดทํา คําสั่งจะประกอบด้วย รองผู้บังคับกองร้อย จ่ากองร้อย นายสิบสื่อสาร นายทหารยิงสนับสนุน ผู้บังคับ หมวดปืนเล็ก ผู้บังคับหมวดเครื่องยิงลูกระเบิด และผู้บังคับหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ คําสั่งเตือนจะประกอบด้วย เวลาและสถานที่ที่กลุ่มจัดทําคําสั่งจะต้องไปรวมกัน ก. การจัดกลุ่มจัดทําคําสั่งขึ้นอยู่กับพื้นฐาน ตั้งอยู่บนพื้นฐานแนวทางการปฏิบัติของผู้บังคับบัญชา สมาชิกกลุ่มจัดทําคําสั่งเตรียมการแบ่งคําสั่งยุทธการเป็นส่วน ๆ และเครื่องมือช่วยในการบรรยายสรุป (โต๊ะ ทราย แผนผังภาพ แผ่นบริวาร ตารางประสานสอดคล้อง และอื่น ๆ) กิจกรรมนี้จะกํากับดูแลโดยรองผู้ บังคับกองร้อยหรือจ่ากองร้อย เพื่อให้อิสระแก่ผู้บังคับกองร้อยในการปฏิบัติหน้าที่อื่น (ลาดตระเวน ประมาณ สถานการณ์ในรายละเอียดพักผ่อน) ข. ระเบียบปฏิบัติประจําทางยุทธวิธีของหน่วย ควรที่จะกําหนดการจัดกลุ่มและหน้าที่ของกลุ่มจัดทํา คําสั่ง เช่น จ่ากองร้อยสามารถเตรียมในข้อที่ ๔ และนายสิบสื่อสารเตรียมในข้อ ๕ ข. ๒ - ๙ ที่บังคับการกองร้อย ที่บังคับการกองร้อยไม่มีการกําหนดการจัดตายตัว อาจประกอบด้วย ผู้บังคับ กองร้อย บุคคลอื่น ๆ และยุทโธปกรณ์ที่ต้องการเพื่อสนับสนุนกระบวนการบังคับบัญชาและการควบคุม สําหรับภารกิจที่กําหนด ผู้บังคับกองร้อยจะตกลงใจในการเลือกที่ตั้งที่สามารถสนับสนุนกระบวนการบังคับ บัญชาและควบคุมได้ดีที่สุด วัตถุประสงค์ต้องการให้สามารถติดต่อสื่อสารกับหน่วยเหนือ หน่วยรอง หน่วย ข้างเคียงและหน่วยสนับสนุน ช่วยเหลือผู้บังคับกองร้อยในการวางแผน ประสานงานและแจกจ่ายคําสั่ง ยุทธการ และยังสามารถสนับสนุนการปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง โดยทั่วไปที่บังคับการกองร้อยจะมีการ จัดตั้งการรักษาความปลอดภัยของตนเอง ก. โดยปกติที่บังคับการกองร้อยจะประกอบด้วย ผู้บังคับกองร้อย พลวิทยุโทรศัพท์ ผู้ตรวจการณ์ หน้า นายสิบสื่อสาร รองผู้บังคับกองร้อย จ่ากองร้อย นายสิบช่างอาวุธ ผู้บังคับหน่วยกองหนุน และผู้ บังคับหน่วยสมทบ หน่วยสนับสนุนต่าง ๆ อาจจะอยู่ที่บังคับการกองร้อย ก็ได้ ข. เมื่อมีการเลือกที่ตั้งที่บังคับการกองร้อย ผู้บังคับกองร้อยจะทําการพิจารณาความต้องการในการ ติดต่อสื่อสาร ความปลอดภัย และเหนืออื่นใดต้องเป็นสถานที่ที่เขาสามารถนํากองร้อยเข้าทําการรบได้ดีที่สุด ๑) ในขณะที่อยู่กับที่ (พื้นที่รวมพล ที่มั่นรบ) ที่บังคับการกองร้อยที่ตั้งอยู่กับที่ มักจะกําหนดโดย ผู้บังคับกองร้อย การติดต่อสื่อสารทางสายที่สถาปนาขึ้นระหว่างกองพันและกองร้อยต่าง ๆ สายอากาศสนาม ฉุกเฉินจะถูกติดตั้ง ที่มั่นรบจะต้องทําการขุด เตรียมการสําหรับจุดที่ พลนําสารสามารถรับส่งข่าวสารได้ ที่ บังคับการกองร้อยควรจะห่างจากเส้นแบ่งทางธรรมชาติที่มีอยู่และไม่ควรอยู่บริเวณภูมิประเทศสําคัญ ที่ บังคับการกองร้อยจะต้องมีการซ่อนพรางจากการตรวจการณ์ทั้งทางอากาศและภาคพื้นดิน การรักษาความ ปลอดภัยจะต้องมีการกําหนด ไม่ว่าจะเป็นการมอบให้แก่ หมวดปืนเล็ก หรือใช้จากกองหนุน หรืออาจจัด จากกําลังพลที่มีอยู่เอง ในกรณีที่ผู้บังคับกองร้อยออกจากที่บังคับการกองร้อย ปกติแล้วรองผู้บังคับกองร้อย หรือจ่า กองร้อยจะเข้าทําการควบคุมแทน ๒) ในระหว่างการเคลื่อนที่ผู้บังคับกองร้อยจะกําหนดว่าที่บังคับการกองร้อยจะเคลื่อนที่อยู่ ณ ส่วนใด ของรูปขบวน ผู้บังคับกองร้อยอาจอยู่ห่างจากที่บังคับการกองร้อย เช่น ในการควบคุมการเคลื่อนที่ของ กองร้อยให้ดี ผู้บังคับกองร้อยควรจะไปกับหมวดปืนเล็กที่นํา หรือในการเข้าตีผู้บังคับกองร้อยควรจะอยู่กับ ส่วนความพยายามหลัก ในสถานการณ์ดังที่กล่าวมาแล้วนั้น ผู้บังคับกองร้อยจะกําหนดการจัดกําลังพล บางส่วนจากที่บังคับการกองร้อย (พลวิทยุโทรศัพท์นายทหารการยิงสนับสนุน) ให้การเคลื่อนที่ร่วมไปด้วย ค. กําลังพลในที่บังคับการกองร้อยจะช่วยเหลือผู้บังคับกองร้อยด้วยการเตรียมส่วนต่าง ๆ ของคําสั่ง ยุทธการและงานอื่น ๆ ได้แก่ ๑) เตรียมข้อเสนอแนะและข้อมูลที่สําคัญในระหว่างการวางแผน


๒๒ ๒) รับและส่งรายงานตามที่ได้รับการร้องขอ ๓) วางการติดต่อสื่อสารไปยังหน่วยรอง ง. ที่บังคับการกองร้อยจะต้องมีขีดความสามารถในการปฏิบัติการได้อย่างต่อเนื่อง ในตอนที่ ๔ ของบท นี้จะมีแนวทางเพิ่มเติม สําหรับการปฏิบัติที่จะดํารงไว้ซึ่งความต่อเนื่องในระหว่างการปฏิบัติ จากผลกระทบ ความเครียด ความเหนื่อยล้าที่เกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการการบังคับบัญชาและการควบคุม ผู้บังคับบัญชา จะต้องพิจารณาในสิ่งเหล่านี้ ๑) การจัดและกําหนดบุคคลในที่บังคับการกองร้อยให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่อง ๒) จัดให้มีการฝึกแลกเปลี่ยนหน้าที่ ๓) หารือการตกลงใจในสถานการณ์วิกฤติกับรองผู้บังคับกองร้อยและจ่ากองร้อย ๔) กําหนดแผนการพักผ่อนของเจ้าหน้าที่ในที่บังคับการกองร้อย โดยต้องมั่นใจว่าได้ดําเนินการ อย่างจริงจัง ๕) ต้องมั่นใจว่า เจ้าหน้าที่หลักในการตัดสินใจมีโอกาสได้พักผ่อน (อย่ารอจนกระทั่งเหนื่อยล้าเป็น ผู้กําหนด ให้เริ่มตั้งแต่เริ่มต้น) ตอนที่ ๒ กรรมวิธีในการบังคับบัญชาและการควบคุม ผู้บังคับหน่วยใช้กระบวนการบังคับบัญชาและควบคุมในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ใช้ตกลงใจว่า จะทําสิ่งใด บอกแก่กําลังพลว่าจะต้องทําอะไร จากนั้นก็ติดตามการปฏิบัติของกําลังพลว่าทําได้ดีอย่างไร ระเบียบการนําหน่วยเป็นเครื่องมือที่ใช้ในกระบวนการบังคับบัญชา และควบคุมระเบียบดังกล่าวเป็นกรอบ ปฏิบัติโดยทั่วไปสําหรับทุกส่วนที่จะประยุกต์ใช้กับกระบวนการบังคับบัญชาและควบคุม ยังมีอีก ๒ เครื่องมือ ที่ใช้ส่วนหนึ่งของกรรมวิธีบังคับบัญชา และควบคุมนั่นคือการประมาณสถานการณ์และการวิเคราะห์ปัจจัยใน สนามรบ ความสัมพันธ์ของเครื่องมือทั้ง ๓ ได้อธิบายตามรูปที่ ๒ - ๑ ๒ - ๑๐ ระเบียบการนําหน่วย ระเบียบการนําหน่วยเป็นกระบวนการปฏิบัติสําหรับผู้บังคับบัญชาใช้เมื่อ ได้รับคําสั่งวางแผนและปฏิบัติ ซึ่งมักจะเป็นสัญชาติญานหรือเป็นแนวทางที่คุ้นเคยกับการคิดของผู้บังคับ กองร้อย ลําดับขั้นตามระเบียบการนําหน่วยแต่ละบุคคลมักจะไม่ตายตัว มีการประยุกต์ให้เข้าหาภารกิจ สถานการณ์และเวลาที่มี ในบางขั้นตอนอาจจะเสร็จสิ้นไปแล้วแต่บางขั้นตอนยังคงมีความต่อเนื่องไปจนถึงขั้น การปฏิบัติการ ระเบียบการนําหน่วยเป็นเครื่องมือในการประหยัดเวลาเมื่อผู้บังคับหน่วยปฏิบัติตามระเบียบ การนําหน่วยหมายถึงการใช้เวลาที่มีอยู่ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ก. รับคําสั ่ง คําสั่งที่ได้รับมีได้หลายรูปแบบอาจจะเป็นลายลักษณ์อักษร คําสั่งเตือนด้วยวาจา คําสั่งยุทธการ คําสั่งเป็นส่วนๆ ผู้บังคับหน่วยจะอนุมานถึงความเปลี่ยนแปลงของภารกิจโดยใช้พื้นฐานการ เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เมื่อใดที่ไปรับคําสั่งยุทธการจากกองพัน ผู้บังคับกองร้อยควรต้องนําเอานายทหาร ยิงสนับสนุนไปร่วมรับคําสั่งด้วย ๑) เมื่อใดที่ได้วิเคราะห์ภารกิจเรียบร้อยแล้ว การปฏิบัติต่าง ๆ ของหน่วยต้องเริ่มเตรียมการ ผู้ บังคับกองร้อยเริ่มการวิเคราะห์ปัจจัยในสนามรบเพื่อทําการตกลงใจในการออกคําสั่งเตือน ๒) ด้วยข่าวสารที่มีอยู่ ผู้บังคับกองร้อยเตรียมตารางเวลาโดยกําหนดงานใดบ้างที่ต้องปฏิบัติ ให้สําเร็จ (กิจที่ต้องทําให้เสร็จตามเวลา) เพื่อเตรียมหน่วยสําหรับปฏิบัติการ ในการเตรียมการดังกล่าวจะ พิสูจน์ทราบโดยการใช้ข้อพิจารณาของภารกิจ ข้าศึก ภูมิประเทศ และกําลังทหารที่มีอยู่ การลาดตระเวน ขั้นต้น (อาจลาดตระเวนในแผนที่) จะได้รับการปฏิบัติ เพื่อที่จะช่วยให้ผู้บังคับหน่วยได้รู้ซึ้งถึงเวลาที่ต้องการ ในภารกิจนั้น ๆ หลังจากนั้นจะทําการพัฒนาตารางเวลาใหม่โดยเริ่มต้นจาก “เวลาที่เริ่มภารกิจ” แล้ววางแผน ย้อนหลังจนถึงเวลาปัจจุบัน เวลาที่เริ่มภารกิจจะเป็นเวลาที่วิกฤติที่สุด


๒๓ รปูท ี่ ๒ - ๒ ข่ายการบงัคบับญัชาของกองรอ้ย รปูท ี่ ๒ - ๓ ระบบการติดต่อสื่ อสารทางสายของกองรอ้ย


๒๔ ๓) ผู้บังคับกองร้อยจะต้องมั่นใจว่า หน่วยรองในทุกระดับจะมีเวลาที่เพียงพอในการวางแผน เตรียมการและซักซ้อมหลักการที่ใช้กันโดยกว้างขวางสําหรับผู้บังคับหน่วยในทุกระดับคือการใช้เวลาไม่เกิน หนึ่งในสามของเวลาที่มีอยู่ในการวางแผนและการส่งคําสั่งยุทธการ สิ่งนี้จะช่วยให้หน่วยรองได้ใช้เวลาที่เหลือ ในการวางแผนและเตรียมการ ต่อไปนี้เป็นตัวอย่างของตารางเวลาขั้นต้นที่อาจจะมีการปรับเปลี่ยนได้ใน ขณะที่ดําเนินการตามระเบียบการนําหน่วย • ๐๖๐๐ เริ่มปฏิบัติตามภารกิจ • ๐๕๓๐ ปรับแผนครั้งสุดท้าย โดยขึ้นอยู่กับการลาดตระเวนของผู้บังคับหน่วย • ๐๔๐๐ กําหนดจุดรวมพลต่าง ๆ เริ่มการลาดตระเวนของผู้บังคับหน่วย • ๐๒๐๐ เริ่มการเคลื่อนย้าย • ๒๑๐๐ ตรวจความพร้อมรบของหมวดปืนเล็ก • ๑๙๐๐ ซักซ้อมการปฏิบัติ • ๑๘๐๐ รับประทานอาหาร (อาหารสําเร็จ) • ๑๗๔๕ บรรยายสรุปกลับ (ผู้บังคับหมู่ต่อ ผู้บังคับหมวด) • ๑๖๓๐ หมวดปืนเล็กให้คําสั่งยุทธการ • ๑๕๐๐ บรรยายสรุปกลับ (ผู้บังคับหมวดต่อ ผู้บังคับกองร้อย) • ๑๓๓๐ ให้คําสั่งยุทธการกองร้อย • ๑๐๔๕ ทําการลาดตระเวน • ๑๐๓๐ ปรับแก้คําสั่งเตือนของกองร้อยเมื่อจําเป็น • ๑๐๐๐ รับคําสั่งยุทธการจากผู้บังคับกองพัน • ๐๙๐๐ รับคําสั่งเตือนจากกองพัน ให้คําสั่งเตือนแก่ หมวดปืนเล็ก ข. ให้คําสั ่งเตือน ไม่ต้องคอยข่าวสารที่เพิ่มเติม การให้คําสั่งเตือนโดยเร็วที่สุดจากข่าวสารที่มีอยู่ ถือเป็นสิ่งที่ดีที่สุดและปรับแก้เมื่อต้องการด้วยคําสั่งเตือนเพิ่มเติม คําสั่งเตือนจะทําให้หน่วยได้เตรียมการเข้า ทําการรบได้เร็วที่สุดหลังจากที่ได้มีการเตรียมพร้อมรับภารกิจ สิ่งนี้จะรวมไปถึงการปฏิบัติหลาย ๆ ประการที่ กําหนดอยู่ในระเบียบปฏิบัติประจํา คําสั่งเตือนจะแจ้งเรื่องที่ไม่อยู่ในระเบียบปฏิบัติประจําที่จะต้องปฏิบัติให้ เสร็จสิ้นก่อนที่จะปฏิบัติภารกิจ เรื่องเฉพาะต่างๆ ในแต่ละคําสั่งเตือนจะขึ้นอยู่กับแต่ละสถานการณ์ทางยุทธวิธี (ผนวก ช จะเป็นตัวอย่างของคําสั่งเตือน) ค. การวางแผนขั้นต้น แผนขั้นต้นจะเป็นพื้นฐานของคําสั่งยุทธการ ผู้บังคับหน่วยจะใช้การประมาณ สถานการณ์ของผู้บังคับบัญชาในการวิเคราะห์ปัจจัยข่าวสารการรบ พัฒนาและวิเคราะห์หนทางปฏิบัติ เปรียบเทียบหนทางปฏิบัติ ทําการตกลงใจ ทั้งหมดจะเป็นการทําแผนขั้นต้น ง. เร ิ่มการเคลื่อนย้าย สิ่งนี้จะปฏิบัติได้เสร็จเมื่อผู้บังคับหน่วยรองทําการเคลื่อนย้ายไปยังพื้นที่รวม พลหรือฐานออกตี คําแนะนําในการเคลื่อนย้ายนี้นั้นจะแจ้งอยู่ในคําสั่งเตือน ผู้บังคับกองร้อยจะต้องมั่นใจได้ ว่าในขั้นตอนนี้มีการรักษาความปลอดภัย และมีการกําหนดพื้นที่ระดมยิงในทุกขั้นตอนการเคลื่อนย้าย จ. ทําการลาดตระเวน การลาดตระเวนเป็นขบวนการที่ต่อเนื่องในระหว่างการปฏิบัติตามระเบียบการ นําหน่วย การวางแผนขั้นต้นควรจะรวมเอาแผนการลาดตระเวนและป้องกันไว้ด้วย การวางแผนและการ ลาดตระเวนจะเป็นการยืนยันหรือปรับแก้แผนขั้นต้น ความเข้าใจในแผนขั้นต้นทั้งหมดจะช่วยในการ ลาดตระเวน เพราะแนวทางในการลาดตระเวนและการป้องกันเฉพาะจะสามารถให้แก่หน่วยรองได้ ในทุก สถานการณ์ทางยุทธวิธีผู้บังคับกองร้อยจะมีความต้องการข่าวสารเพิ่มเติม โดยในเวลาเดียวกันจะต้องปกป้อง


๒๕ ไม่ให้ข้าศึกได้รับข่าวสารของกองร้อย ความต้องการต่อไปนี้จะเป็นจุดรวมของแผนการลาดตระเวนและการ ป้องกัน ๑) เตรียมแผนผู้บังคับกองร้อยตกลงใจในเรื่อง ก) มีข่าวสารใดบ้างที่ต้องการ ข) ความต้องการเรื่องความปลอดภัยมีอะไรบ้าง (หน่วยเหนือมักจะกําหนดความรับผิดชอบ แผน การลาดตระเวนและการป้องกันให้แก่กองร้อย) ค) การจัดความเร่งด่วนของความต้องการ ง) มีเครื่องมืออะไรบ้างที่ใช้ในการสนองตอบความต้องการดังกล่าว (ผู้บังคับกองร้อยสามารถ ร้องขอเครื่องมือได้จากหน่วยเหนือ หน่วยข้างเคียง และหน่วยที่สนับสนุนได้) จ) ต้องใช้เวลาเท่าไรในการรวบรวมข่าวสารหรือการสถาปนาการป้องกัน ฉ) อะไรเป็นความวิกฤติสูงสุดใน การลาดตระเวนของตัวผู้บังคับกองร้อย ช) ใครจะเป็นผู้ถูกกําหนดให้ทํา การลาดตระเวนและการป้องกันได้สําเร็จ ๒) แจกจ่ายแผน ผู้บังคับกองร้อยจะเตรียมคําแนะนําเพิ่มเติมเพื่อที่จะกําหนดกิจให้แก่หน่วยรอง ปริมาณรายละเอียดจะขึ้นอยู่กับสถานการณ์เฉพาะนั้น ๆ การลาดตระเวนของผู้บังคับหน่วยที่มีหน่วยรองหลาย หน่วยจะต้องการคําแนะนําเฉพาะมากขึ้นซึ่งอาจจะรวมสิ่งต่อไปนี้ ก) การเลือกทหารเป็นบุคคลจากหน่วยรองปฏิบัติกิจเฉพาะ เช่น พลวิทยุโทรศัพท์จาก หมวดปืนเล็กที่ ๑ ข) ตารางเวลาที่แน่นอนในการลาดตระเวน (รายงาน ตรวจ เวลาไปและกลับ) ค) เส้นทางและรูปขบวนเฉพาะ ง) แผนเผชิญเหตุ จ) การประสานการยิงสนับสนุน ฉ) แผนการถอนตัวจากพื้นที่ลาดตระเวน ช) การบรรจบกับกองร้อย ๓) การเลือกวิธีการลาดตระเวนของผู้บังคับหน่วยเป็นความเป็นความตายของทุกยุทธการ การ ลาดตระเวนของผู้บังคับหน่วยที่มีประสิทธิภาพ จะทําให้ได้รับข่าวสารที่ต้องการโดยไม่ถูกตรวจพบโดยข้าศึก อัตราการเสี่ยงที่จะถูกตรวจพบ และผลที่จะได้รับจากการเสียการจู่โจมจะต้องมีการเปรียบเทียบกับประโยชน์ที่ ได้รับจากการรวบรวมข่าวสาร โดยทั่วไปการลาดตระเวนยิ่งมีระยะใกล้ต่อที่หมายเท่าใดโอกาสในการถูกตรวจ พบจะยิ่งสูงขึ้นตามลําดับ มีวิธีการใหญ่ ๆ ๒ ประการในการลาดตระเวนของผู้บังคับหน่วย ก) การตรวจการณ์และเฝ้าตรวจระยะไกล ตามปกติการลาดตระเวนเป็นบุคคลจะอยู่นอกระยะ ยิงของอาวุธปืนเล็กจากที่หมาย และจะอยู่นอกแนวระวังป้องกันของข้าศึกด้วย ตําบลตรวจการณ์ขั้นต้นจะถูก เลือกจากการลาดตระเวนบนแผนที่และจะยืนยันหลังจากที่หน่วยได้เข้ารักษาจุดนัดพบ ณ ที่หมายแล้ว วิธีนี้จะ มีประสิทธิภาพสูงในเวลากลางวัน ถ้าเป็นไปได้ตําบลตรวจการณ์ควรจะครอบคลุมพื้นที่ ๓๖๐ องศาและมีการ เปลี่ยนที่ตั้งใหม่ในเวลากลางคืน ข) การตรวจการณ์และเฝ้าตรวจระยะใกล้ วิธีนี้ต้องการให้บุคคลที่ทําการลาดตระเวนเข้าไปใน พื้นที่ระวังป้องกันหรือในระยะยิงของอาวุธปืนเล็ก การปฏิบัตินี้จะขึ้นอยู่กับความสามารถในการคืบคลานและ การใช้การกําบังและการซ่อนพราง ทัศนวิสัยที่จํากัดจะช่วยสนับสนุนวิธีนี้ ๔) การทําการลาดตระเวน การลาดตระเวนของผู้บังคับหน่วยเหมือนกับการลาดตระเวนหาข่าวที่ นําเอาเฉพาะบุคคลที่จําเป็นไปด้วยเท่านั้น ขนาดของชุดลาดตระเวนยิ่งเล็กเท่าไรการถูกตรวจพบยิ่งยาก


๒๖ เท่านั้น ผู้บังคับหน่วยของหน่วยหลักอาจจะเข้าร่วมการลาดตระเวนนี้ด้วย งานที่เพิ่มเติมในการลาดตระเวนนี้ อาจมีได้คือ ก) ทดสอบการติดต่อสื่อสารถ้าได้รับอนุญาต ข) ประสานครั้งสุดท้ายเรื่องเวลาที่แน่นอน สื่อสัญญาณ ที่ตั้งของอาวุธ หรือบุคคลและ ความรับผิดชอบของหน่วยรอง ค) สถาปนาการระวังป้องกันและเฝ้าตรวจในพื้นที่เป้าหมาย ฉ. ทําแผนสมบูรณ์ ผู้บังคับกองร้อยต้องเตรียมปรับแก้แผนขั้นต้นโดยยึดถือผลจากการลาดตระเวน ทั้งนี้อาจจะต้องเปลี่ยนหนทางปฏิบัติถ้าสถานการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ ในกรณีนี้หนทางปฏิบัติ ก่อนหน้านี้อาจนํามาใช้ปรับเปลี่ยนเพื่อความรวดเร็วในการกําหนดแผนใหม่ขั้นสุดท้าย การประสานงานอย่าง ต่อเนื่องกับหน่วยสนับสนุน หน่วยเหนือและหน่วยข้างเคียง ในระหว่างการลาดตระเวนจะทําให้ผู้บังคับหน่วย ได้รับข่าวสารที่ต้องการนําไปขยายผลในแผนขั้นต้นที่จะนําไปสู่คําสั่งยุทธการ ช. แจกจ่ายคําสั ่ง ในการให้คําสั่งที่ดีควรจะสามารถมองเห็นแนวทางการเคลื่อนที่หรือการใช้เครื่องช่วย ในการมองเห็นภาพได้มากที่สุด (แผนผังภาพหรือภูมิประเทศจําลอง) จะทําให้การให้คําสั่งมีประสิทธิภาพมาก ยิ่งขึ้น ในเวลาที่ผู้บังคับกองร้อยทําการแจกจ่ายคําสั่งเตือนก่อนที่จะทําการลาดตระเวน อาจแจกจ่ายคําสั่ง เป็นส่วน ๆ ไปจนถึงการทําแผนก่อนการปฏิบัติจริง ซ. การกํากับดูแล แผนที่ดีที่สุดอาจล้มเหลวถ้าไม่ได้มีการจัดการที่ถูกต้อง การบรรยายสรุปกลับ การ ซักซ้อม การตรวจและการประสานแผนอย่างต่อเนื่อง จะต้องนํามาใช้ในการกํากับดูแลและการกลั่นกรองตาม ระเบียบการนําหน่วย การบรรยายสรุปกลับไม่เหมือนกับการซักซ้อม การบรรยายสรุปกลับจะเน้นยํ้าไปยัง กระบวนการวางแผน แต่การซักซ้อมจะเน้นยํ้าไปยังการปฏิบัติ ๑) การตรวจความพร้อมก่อนการรบ จะตรวจในเรื่องดังต่อไปนี้ ก) อาวุธและกระสุน ข) เครื่องแบบและอุปกรณ์ ค) อุปกรณ์ที่ใช้ในภารกิจพิเศษ ง) ความรู้และความเข้าใจของทหารในภารกิจของตนตลอดจนความรับผิดชอบเฉพาะ จ) การติดต่อสื่อสาร ฉ) อาหารและนํ้า ๒) การซักซ้อม การซักซ้อมจะมีอยู่เสมอ ซึ่งเป็นสิ่งที่มีความจําเป็นอย่างยิ่งที่จะมั่นใจถึงการ ประสานที่สมบูรณ์และความเข้าใจของหน่วยรอง คําสั่งเตือนควรจะให้รายละเอียดอย่างเพียงพอแก่ผู้บังคับ หน่วยรอง ในการซักซ้อมการปฏิบัติหรือระเบียบปฏิบัติประจําก่อนมารับคําสั่งยุทธการของกองร้อย การ ซักซ้อมหลังจากรับคําสั่งยุทธการจะเน้นไปยังงานเฉพาะในภารกิจ การซักซ้อมจะปฏิบัติเหมือนกับการฝึก โดยทั่วไปเว้นแต่ว่าพื้นที่ซักซ้อมนั้นควรจะต้องใกล้เคียงกับที่หมายให้มากที่สุด รวมไปถึงสภาพลมฟ้าอากาศ แบบจําลองของที่หมายควรจะนํามาใช้ในการฝึกด้วย ในการซักซ้อมจะรวมการบรรยายสรุปกลับของผู้บังคับ หน่วยในงานของแต่ละบุคคล โดยใช้โต๊ะทรายหรือแผนผังภาพในการบรรยายขั้นตอนต่าง ๆ ของแผน สิ่งที่จะ ตามมาด้วยคือการฝึกด้วยการเดินหลังจากนั้นจะใช้ความเร็วสูงสุด พร้อมด้วยการใช้กระสุนซ้อมรบหรือกระสุน จริง ผู้บังคับกองร้อยจะสถาปนาลําดับความเร่งด่วนจากเวลาที่มีอยู่ ลําดับความเร่งด่วนของการซักซ้อม เช่นเดียวกับการพัฒนาหนทางปฏิบัติจะเกิดจากจุดตัดสินใจของยุทธการนั้น ๆ ตัวอย่างเช่น การปฏิบัติ ณ ที่หมาย การฝึกการดําเนินกลยุทธ์ การปฏิบัติเมื่อปะทะข้าศึก วิธีการเคลื่อนที่และอื่น ๆ ที่จําเป็น การรักษา ความปลอดภัยต้องดํารงไว้ในระหว่างการซักซ้อม ๓) การบรรยายสรุปกลับ ผู้บังคับหน่วยรองควรที่จะบรรยายสรุปกลับทันที่หลังจากรับคําสั่ง ยุทธการ เพื่อมั่นใจว่าเขาได้มีความเข้าใจในคําสั่งดังกล่าว การบรรยายสรุปกลับของหน่วยรองควรจะทําด้วย


๒๗ เช่นกัน การบรรยายสรุปกลับนี้อาจทําในขณะรวมกลุ่มรับคําสั่ง อาจมีการแลกเปลี่ยนข่าวสาร วิธีซึ่งกันและกัน หรือการประสานงานระหว่างหน่วย ซึ่งจะทําให้สามารถรับทราบการเปลี่ยนแปลงแผนขั้นต้นได้อย่างรวดเร็ว ๔) การประสานงาน ผู้บังคับบัญชาตรวจเยี่ยม ผู้บังคับหน่วยรอง และหน่วยข้างเคียงเพื่อที่จะ ได้รับทราบแผนของพวกเขา ผู้บังคับกองร้อยต้องทําให้มั่นใจว่าการเตรียมการที่จําเป็นทั้งหมด ได้รับการ ปฏิบัติ ซึ่งรวมถึงการประสานการยิงสนับสนุนและการปฏิบัติของทหารช่าง การปรนนิบัติบํารุง การเพิ่มเติม สิ่งอุปกรณ์ การเคลื่อนย้าย และการปฏิบัติอื่น ๆ ที่สําคัญ ก) ทุกสิ่งที่ตัดออกจากแผนทั้งก่อนและระหว่างการปฏิบัติการ จะต้องทําการประสานกับผู้ บังคับกองพันหรือฝ่ายอํานวยการทุกครั้ง ข) ในระหว่างการปฏิบัติการ ผู้บังคับกองร้อยจะให้คําสั่งเป็นส่วน ๆ เพื่อทําการปรับและ กลั่นกรองแผนการปฏิบัติเมื่อสถานการณ์พัฒนาไป ผู้บังคับกองร้อยจะต้องกํากับดูแลและนําหน่วยในการ ปฏิบัติที่วิกฤติ ๒ - ๑๑ การติดต่อสื่อสาร ผู้บังคับกองร้อยทําการติดต่อสื่อสารเพื่อควบคุมหมวดปืนเล็กและระบบอาวุธ เพื่อ รวบรวมและกระจายข่าวสาร และร้องขอปืนใหญ่ ทั้งนี้จะต้องประกันให้ได้ว่าการติดต่อสื่อสารที่ต้องการ จะต้องมีอยู่เสมอและทําหน้าที่ได้ถูกต้อง ก. ผู้บังคับกองร้อยวิเคราะห์สถานการณ์เพื่อกําหนดผลกระทบของภูมิประเทศ ลมฟ้าอากาศ ข้าศึก ที่มีผลต่อขีดความสามารถของการติดต่อสื่อสาร โดยสามารถลดผลกระทบดังกล่าวด้วยการกําหนดที่ตั้งของ หน่วยที่ถูกต้อง กําหนดทัศนสัญญาณที่สามารถใช้ได้ในกรณีฉุกเฉิน ร้องขอสถานีถ่ายทอดสัญญาณจากกอง พันและมาตรการที่คล้ายกัน หนทางที่ดีที่สุดในการจํากัดผลที่เกิดขึ้นด้วยการลดความต้องการในการ ติดต่อสื่อสารตลอดการยุทธ์ โดยการพัฒนาแผนที่มีความง่าย และมีความต้องการแทรกแซงในการบังคับ บัญชาน้อยที่สุดตลอดการปฏิบัติ ข. หนทางปฏิบัติหลายหนทางในการติดต่อสื่อสารควรที่จะมีการวางแผนไว้ ซึ่งจะทําให้กองร้อยไม่ ต้องผูกติดอยู่กับการสื่อสารชนิดเดียว ข้อพิจารณาที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร ได้แก่ ๑) ใช้เวลาในการติดตั้งนานเท่าใด ๒) ใช้เวลานานเท่าไรในการส่งข่าวสาร ๓) มีคุณค่าเท่าไรต่อการปฏิบัติของข้าศึก ๔) มีความวิกฤตในการติดต่อสื่อสารอย่างไร ในเครือข่ายใดและเวลาใด ๕) ความเชื่อถือได้มีเท่าใด ๖) สิ่งที่ลงทุนในการให้ได้มา ค. การติดต่อสื่อสารที่ใช้ในกองร้อยมีหลายวิธีการ ผู้บังคับกองร้อยควรจะใช้แต่ละวิธีการอย่าง เหมาะสมและประกอบเข้าด้วยกันอย่างสมบูรณ์ ได้แก่ วิทยุ โทรศัพท์ ทัศนสัญญาณ เสียงสัญญาณและ พลนําสาร ๑) วิทยุเป็นเครื่องมือสื่อสารที่ใช้กันโดยทั่วไป วิทยุจะมีความเหมาะในการใช้เมื่อ กองร้อยทํา การเคลื่อนที่หรือเข้าตี ถ้าหน่วยต่างรูปแบบมักจะใช้วิทยุที่ต่างชนิดกัน แต่โดยพื้นฐานแล้ว ข่ายบังคับบัญชา ของกองร้อยควรจะมีใช้เหมือนกัน (รูปที่ ๒ - ๒) ปกติ ผู้บังคับกองร้อยจะใช้วิทยุ ๒ เครื่อง หนึ่งเครื่องสําหรับ ข่ายบังคับบัญชาของกองพัน อีกหนึ่งเครื่องสําหรับข่ายบังคับบัญชาของกองร้อย โดยอาจติดตั้งอยู่บน ยานพาหนะ (ถ้าได้รับ) ซึ่งจะทําการติดตั้งวิทยุบนยานพาหนะ ปกติแล้ววิทยุจะมีอุปกรณ์ในการรักษาความลับ ของคําพูดในระหว่างการติดต่อสื่อสารกับข่ายบังคับบัญชาของกองพัน รองผู้บังคับกองร้อยและผู้บังคับหมวด ปืนเล็กจะมีวิทยุสําหรับการติดต่อกับผู้บังคับกองร้อย แม้ว่าโดยทั่วไปแล้วกองร้อยทหารราบจะมีวิทยุสําหรับ รองผู้บังคับกองร้อย (กองบังคับการกองร้อยมีวิทยุ ๓ เครื่อง) แต่การขาดแคลน พลวิทยุโทรศัพท์และข้อจํากัด


๒๘ ในการใช้ จะจํากัดความสามารถในการติดต่อสื่อสารของรองผู้บังคับกองร้อยกับหน่วยเหนือและหน่วยข้างเคียง ในระหว่างการวางแผนการใช้การติดต่อสื่อสาร ผู้บังคับกองร้อยจะต้องพิจารณาปัจจัยหลายประการคือ ก) การตอบรับทางวิทยุโดยทันทีไม่เป็นสิ่งที่จําเป็นมากเสมอไป โดยทั่วไปจะขึ้นอยู่กับภูมิ ประเทศ ขีดจํากัดของวิทยุ แบบของการปฏิบัติ ดังนั้นการขาดการติดต่อจึงเกิดขึ้นได้ ในบางครั้งการรักษา ความลับมีความต้องการให้วิทยุทําการเฝ้าฟัง ผู้บังคับกองร้อยจะต้องตกลงใจว่าเมื่อใดและที่ไหนที่การ ติดต่อสื่อสารมีความวิกฤติในระหว่างปฏิบัติ และต้องทําให้มั่นใจได้ว่าหน่วยสามารถทําการติดต่อสื่อสารได้ ตามที่ต้องการ ข) จะต้องคํานึงถึงเส้นทางในการเคลื่อนที่ของกองร้อยโดยตลอดเพื่อให้มีความมั่นใจได้ว่าเมื่อใด ที่ภูมิประเทศจะขัดขวางการติดต่อสื่อสารทางวิทยุสิ่งที่สําคัญคือการดํารงรักษาแนวเส้นสายตาให้อยู่ภายใน ระยะวางแผนการติดต่อสื่อสารวิทยุ ระยะดังกล่าวสามารถขยายได้อีก ๒ - ๓ เท่า ถ้าใช้เสาอากาศสนาม เมื่อ มีความต้องการผู้บังคับกองร้อยสามารถสถาปนาหรือทําการร้องขอให้กองพันทําการติดตั้งเสาอากาศเชื่อมต่อ ได้ ค) จะต้องทําให้มั่นใจว่าผู้บังคับหน่วยทุกนายทราบว่าจะต้องทําอะไรถ้าไม่สามารถติดต่อทางวิทยุ ได้ การติดต่อสื่อสารเสริมจะต้องเตรียมผ่านทางข่ายการยิงสนับสนุนถ้ามีความต้องการแต่ควรจะเป็นหนทาง สุดท้ายถ้าจําเป็นต้องกระทํา ง) กองร้อยทหารราบมีขีดความสามารถในการรักษาความปลอดภัยข่ายการติดต่อของกองร้อย ใน การตัดสินใจนี้ควรขึ้นอยู่กับการคุกคามของข้าศึกและความสมดุลย์ต่อนํ้าหนักบรรทุกของทหารและความ เป็นไปได้ที่อุปกรณ์จะสูญเสียหรือถูกยึด ๒) ทางสาย ทางสายจะมีความปลอดภัยมากกว่าทางวิทยุ ทางสายจะทําให้การติดต่อสื่อสารดีกว่า เพราะถูกรบกวนจากภูมิประเทศและสิ่งกีดขวางที่มนุษย์สร้างขึ้นได้น้อยกว่า และไม่มีผลจากการปฏิบัติของ สงครามอิเล็กทรอนิกส์ของข้าศึก เช่น การรบกวนคลื่น การค้นหาทิศทาง แต่อย่างไรก็ดีสายโทรศัพท์อาจ ถูกทําลายได้จากการยิงเล็งตรงหรือการยิงเล็งจําลองและการจราจรทางบก ก) แม้ว่าทางสายจะมีความปลอดภัยกว่า แต่ก็ยังสามารถทําการดักฟังได้ ดังนั้นในการส่งข่าว ควรจะมีการเข้ารหัส เวลาที่ต้องการในการติดตั้งขึ้นอยู่กับภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศความยาวและสภาพ เส้นทางที่วาง เนื่องจากเหตุที่สายถูกทําลายได้จากอาวุธดังนั้นควรจะกลบดินถ้าทําได้ สําหรับพื้นที่ที่มี การใช้ยานยนต์อย่างคับคั่ง สายไม่ควรใช้การกลบฝังดินแต่ควรวางไว้เหนือศีรษะสายโทรศัพท์ควรจะมีการ ตรวจสอบอยู่เป็นประจําและทําการซ่อมเมื่อจําเป็น ข) การตกลงใจในการใช้ทางสายขึ้นอยู่กับภารกิจของกองร้อย ปริมาณของสายและเวลาที่มีอยู่ รวมทั้งขีดความสามารถของกองร้อยในการติดตั้งและการปรนนิบัติบํารุง กองร้อยทหารราบโดยส่วนใหญ่จะมี ปริมาณสายโทรศัพท์ที่จํากัด ยกเว้นทหารราบที่มีการจัดพิเศษถึงจะมีสายโทรศัพท์พร้อมด้วยอุปกรณ์และ กําลังพลเพียงพอ ในการใช้สายเป็นเครื่องมือสื่อสารหลักผู้บังคับกองร้อยจะต้องกําหนดความเร่งด่วนความ ต้องการในการติดต่อสื่อสารและใช้สายที่มีอยู่เมื่อมีความประสงค์ ค) เช่นเดียวกับข่ายวิทยุของกองร้อย กองร้อยทหารราบต่างรูปแบบย่อมมีอุปกรณ์ทางสายที่ แตกต่างกันไป แต่อย่างไรก็ดีข่ายทางสายของกองร้อยมักจะใช้ผู้ปฏิบัติเป็นคน ๆ เช่น เดียวกันกับข่ายวิทยุ ของกองร้อย ( รูปที่ ๒ - ๓ )


๒๙ รปูท ี่ ๒ - ๔ การดาํเนินกรรมวิธีวิเคราะห์ ๓) ทศันสญัญาณ ผบู้งัคบักองรอ้ยจะใชท้ศันสญัญาณในการสง่ขา่วสารทต่ีกลงไวก้ ่อนเพ่อืความ รวดเรว็และเพ่อืพสิจูน์ทราบทหารฝ่ายเดยีวกนัทศันสญัญาณประกอบดว้ยสญัญาณแขนและมอืธง แผ่น ผา้สญัญาณ แสงไฟ การยงิปืน (เลง็ตรงและเลง็จาํลอง) และอุปกรณ์ทศันสญัญาณเคมีทงั้น้ีอาจใชท้ศัน สญัญาณในการบอกตําแหน่งของทหารฝ่ายเดยีวกนัต่อเคร่อืงบนิอย่างไรกด็ทีศันสญัญาณอาจถูกตรวจพบโดย ขา้ศกึหรอืทาํ ใหท้หารฝ่ายเดยีวกนัเขา้ใจผดิได้ ก) อุปกรณ์ทศันสญัญาณเคมมีหีลายรปูแบบและหลากสีรวมไปถงึลกูระเบดิควนัสีควนั ดาวกระจาย พลุสอ่งสว่างกระสนุของปืนใหญ่และเคร่อืงยงิลกูระเบดิผบู้งัคบับญัชาใชอุ้ปกรณ์ทศันสญัญาณ เคมสีาํหรบัสง่สญัญาณ กาํหนดทต่ีงั้หน่วยทหารฝ่ายเดยีวกนัการควบคุมการยงิการกาํหนดทห่ีมาย และ การตดิต่อสอ่ืสารระหว่างพน้ืดนิกบัอากาศ การใชอุ้ปกรณ์ทศันสญัญาณเคมจีะอธบิายอย่ใูนระเบยีบปฏบิตัิ ประจาํหรอืคาํสงั่ยุทธการ ประโยชน์ทไ่ีดร้บัคอืการเพม ิ่ ความเรว็ในการสง่ขา่วสารทต่ีอ้งการ ข) การใชพ้ลุสญัญาณหลายสผีสมกนัในเวลาเดยีวกนัหรอืตามลาํดบัจะเป็นการเพม ิ่ โอกาส ของความผดิพลาด เพราะว่าเป็นการง่ายทจ่ีะผดิพลาดสว่นใดสว่นหน่ึงของลาํดบั ค) ทศันสญัญาณสามารถตรวจการณ์ไดจ้ากขา้ศกึไดด้เีช่นเดยีวกบั ฝ่ายเรา ขา้ศกึอาจจะทาํการ เลยีนแบบสญัญาณของฝ่ายเรา ดงันนั้เราไมค่วรจะเช่อืมนั่ต่อทศันสญัญาณทงั้หมดเวน้เสยีแต่ว่าจะไดร้บัการ พสิจูน์จากผใู้หส้ญัญาณ


๓๐ ๔) เสียงสัญญาณ ผู้บังคับกองร้อยอาจจะใช้นกหวีด ไซเรน เกราะ ปืน ระเบิด สําหรับการ ติดต่อสื่อสารด้วยเสียง ซึ่งสามารถที่จะดึงความสนใจ ส่งข่าวสารที่ตกลงไว้ก่อน กระจายสัญญาณเตือนภัย เสียงสัญญาณจะดีสําหรับระยะทางใกล้ ๆ เท่านั้น ระยะทางและความเชื่อถืออาจลดลงด้วยเสียงในสนามรบ เสียงสัญญาณต้องมีความธรรมดาเพื่อหลีกเลี่ยงการเข้าใจผิด ความหมายของเสียงสัญญาณควรที่จะกําหนดอยู่ ในระเบียบปฏิบัติประจําหรือคําแนะนําในการปฏิบัติการสื่อสาร ๕) พลนําสาร นอกเหนือจากการพบปะกันโดยตรง พลนําสารจะเป็นหนทางในการติดต่อสื่อสารที่ ปลอดภัยมากที่สุด พลนําสารจะประจําอยู่ ณ ที่บังคับการกองร้อย พลนําสารจะเป็นวิธีการพึงประสงค์ในการ ส่งข่าวสารที่เป็นข้อความยาว ๆ ความรวดเร็วจะขึ้นอยู่กับแบบของการเดินทาง สถานการณ์ทางยุทธวิธีและ ภูมิประเทศ อย่างไรก็ตามพลนําสารจะมีความล่อแหลมมากเมื่อข้าศึกจะปฏิบัติการอยู่ในพื้นที่ด้านหน้า และ ขาดการติดต่อระหว่างผู้รับและผู้ส่ง ข้อความที่ทําเป็นลายลักษณ์อักษรจะเป็นสิ่งที่มีความต้องการมากกว่า แบบวาจา ในกรณีที่ส่งข่าวสารด้วยวาจาแล้วพลนําสารจะต้องทวนคําสั่งเพื่อที่จะให้มั่นใจได้ว่าเขามีความเข้าใจ จริงในทํานองเดียวกัน หมวดปืนเล็กก็จะต้องมีพลนําสารไปยังที่บังคับการกองร้อย ๒ - ๑๒ มาตรการต่อต้านและตอบโต้อิเล็กทรอนิกส์ มาตรการต่อต้านอิเล็กทรอนิกส์ เป็นสิ่งที่กองร้อย จะต้องปฏิบัติเพื่อเอาชนะความพยายามในการทําสงครามอิเล็กทรอนิกส์ของข้าศึก แม้ว่าโดยปกติกองร้อยจะ ไม่ได้เพ่งเล็งไปยังการดักฟัง การรบกวนหรือการค้นหาทิศทาง แต่ระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้องของการรักษา ความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสารเป็นสิ่งที่ต้องกระทํา โดยพนักงานวิทยุโทรศัพท์ทุกนายในระดับของกองร้อย มาตรการต่อต้านอิเล็กทรอนิกส์จะประกอบด้วยวิธีการรักษาความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสาร และการ ต่อต้านการรบกวน แม้ว่าวิทยุรุ่นใหม่ ๆ จะมีระบบในการต่อต้านอิเล็กทรอนิกส์อยู่ในตัวเอง แต่หน่วยยังคงควร ใช้ระเบียบปฏิบัติที่ถูกต้องในการรักษาความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสารอยู่ดี ก. การรักษาความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสาร การใช้ การรักษาความปลอดภัยในการติดต่อสื่อสาร จะทําให้การส่งข่าวสารของข้าศึกช้าลงหรือหยุดชะงักลงได้ ซึ่งจะหมายรวมสิ่งต่อไปนี้ ๑) การรับรองฝ่าย ๒) ใช้เฉพาะรหัสที่มีการรับรองแล้ว ๓) เปลี่ยนความถี่และนามเรียกขานเมื่อมีสถานการณ์เฉพาะ ๔) เข้มงวดในการใช้วิทยุ ๕) ใช้กําลังส่งวิทยุที่น้อยที่สุดเท่าที่จะทําได้ ๖) ควบคุมวินัยในการใช้เครือข่ายและระเบียบการใช้วิทยุโทรศัพท์ที่ถูกต้อง ๗) ใช้เฉพาะนามเรียกขานและคําพูดที่ได้รับอนุมัติ ๘) จํากัดการใช้วิทยุสําหรับการใช้ในช่องทางราชการ ๙) ส่งข่าวด้วยข้อความสั้น ๑๐) เลือกสถานที่ใช้วิทยุบริเวณเนินเขาหรือที่มีสิ่งกีดขวางระหว่างวิทยุและข้าศึก ๑๑) ใช้เสาอากาศบังคับทิศเมื่อกระทําได้ ข. ระเบียบปฏิบัติในการต่อต้านการรบกวน พนักงานวิทยุควรจะใช้ระเบียบปฏิบัติในการต่อต้านการ รบกวนเพื่อเอาชนะความพยายามการรบกวนของข้าศึกตามลําดับ ดังนี้ ๑) การจําแนก สิ่งแรกที่พนักงานวิทยุจะต้องทําเป็นสิ่งแรกเมื่อมีเสียงแทรกวิทยุคือการหาสาเหตุ เขาไม่ควรที่จะตัดสินใจโดยทันทีว่าเป็นการรบกวน บางครั้งการรบกวนจะมีความคล้ายคลึงกับเสียงแทรกบาง ชนิด สิ่งที่ช่วยในการพิสูจน์ทราบปัญหา พนักงานจะต้องขยับเสาอากาศ ถ้าเสียงแทรกมีการลดลงจากการ ย้ายเสาอากาศแสดงว่าสาเหตุเกิดจากภายนอกและอาจเป็นการรบกวน ถ้าเสียงแทรกไม่ลดลงแสดงว่าปัญหา เกิดจากภายใน


๓๑ ๒) ดําเนินการต่อไป พนักงานควรจะดําเนินการการ รับ-ส่ง วิทยุต่อไปตามปกติ เมื่อใดที่การ รบกวนได้รับการยืนยัน ข้าศึกก็ยังไม่สามารถที่จะทราบได้ว่าการรบกวนของเขามีผลหรือไม่ กฎคือ ใน ระหว่างการถูกรบกวนให้คงดําเนินการต่อไปยกเว้นได้รับคําสั่งจากสถานีควบคุมให้ปิดหรือให้เปลี่ยนความถี่ พนักงานที่ถูกรบกวนจะต้องไม่แสดงออกผ่านวิทยุที่ไม่รักษาความลับว่า ตนเองกําลังถูกรบกวน ถ้ากองร้อยไม่ สามารถที่จะดําเนินการต่อได้จากการที่ถูกรบกวนข่าย และยังคงต้องดําเนินการปฏิบัติภารกิจต่อไป พวกเขา ควรจะเปลี่ยนไปยังความถี่ต่อต้านการรบกวนและดําเนินการปฏิบัติภารกิจต่อไป ค. การรายงาน การรายงานการรบกวนทุกรูปแบบตามที่กําหนด ควรใช้การส่งด้วยวิธีการ ติดต่อสื่อสารที่ปลอดภัยอย่างอื่น เช่น ทางสาย พลนําสารรูปแบบการรายงานสามารถกล่าวไว้ใน คําแนะนําใน การปฏิบัติการสื่อสาร หรือ ระเบียบปฏิบัติประจําของหน่วยซึ่งมีข้อความสําคัญดังต่อไปนี้ ๑) วันและเวลาที่ถูกรบกวน ๒) ความถี่ที่ถูกรบกวน ๓) รูปแบบและความเข้มของสัญญาณที่ถูกรบกวน ๔) ตําแหน่งของหน่วยที่รายงาน


๓๒ ตอนที่ ๓ การประมาณสถานการณ์ การประมาณสถานการณ์เป็นกระบวนการแสวงหาข้อตกลงใจ ซึ่งจะช่วยผู้บังคับหน่วยในการตกลงใจ ปฏิบัติภารกิจ เข้าใจในสถานการณ์และเลือกหนทางปฏิบัติที่ดีที่สุดในการบรรลุถึงความรับผิดชอบที่ได้รับมอบ ผู้บังคับหน่วยจะใช้การประมาณสถานการณ์ในการตกลงใจทางยุทธวิธีทุกครั้ง ประสบการณ์ ขีดความสามารถ และเวลาที่มีอยู่ จะเป็นปัจจัยที่กําหนด รายละเอียดในการวิเคราะห์ของแต่ละการประมาณสถานการณ์ การ ประมาณสถานการณ์เป็นกระบวนการที่มีความต่อเนื่อง เมื่อใดก็ตามที่ ผบ.ร้อย.ได้รับทราบข่าวสารใหม่ที่เขา รับข่าวสาร (ระหว่างการวางแผน การเคลื่อนที่เข้าสู่ที่หมาย หรือก่อนการโจมตีจะเกิดขึ้น) ผบ.ร้อย.จะต้อง ตัดสินใจทันทีว่าข่าวสารนี้มีผลต่อภารกิจของเขาหรือไม่ ถ้าเป็นเช่นนั้นต้องตกลงใจว่าจะต้องทําการปรับแผน อย่างไรเพื่อให้เหมาะสมกับสถานการณ์ใหม่ แม้ว่ากรณีเร่งด่วนผู้บังคับหน่วยก็สามารถตกลงใจอย่างเหมาะสม การประมาณสถานการณ์มี ๕ ขั้นดังนี้ ขั้นที่ ๑ วิเคราะห์ภารกิจ ขั้นที่ ๒ วิเคราะห์สถานการณ์ และพัฒนาหนทางปฏิบัติ ขั้นที่ ๓ วิเคราะห์หนทางปฏิบัติ (จําลองยุทธ์)์ ขั้นที่ ๔ เปรียบเทียบหนทางปฏิบัติ ขั้นที่ ๕ ตกลงใจ ๒ - ๑๓ การวิเคราะห์ภารกิจ ผู้บังคับหน่วยทําการวิเคราะห์ภารกิจอย่างละเอียดรอบคอบ เมื่อไรก็ตามที่รับ คําแนะนําสําหรับเริ่มปฏิบัติการใหม่ คําแนะนําดังกล่าวอาจจะเป็น คําสั่งเตือน คําสั่งยุทธการ คําสั่งเป็นส่วน ๆ ผู้บังคับหน่วยจะอนุมานการเปลี่ยนของภารกิจโดยใช้พื้นฐานการเปลี่ยนของสถานการณ์ ไม่ว่ากรณีใดก็ตามผู้ บังคับกองร้อยจะทําการวิเคราะห์ภารกิจเพื่อตกลงใจในเรื่องต่อไปนี้ • แนวความคิดและเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา (ผู้บังคับกองพัน และผู้บังคับการกรม) • งานทั้งหมดที่หน่วยจะต้องกระทําให้สําเร็จ • ข้อจํากัดที่จํากัดเสรีการปฏิบัติของหน่วย • ภารกิจแถลงใหม่ของหน่วย ก. แนวความคิดและเจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา ผู้บังคับกองร้อยจะต้องรู้ เจตนารมณ์ทั้งของผู้ บังคับกองพันและผู้บังคับการกรมว่าต้องการที่จะบรรลุสิ่งใดซึ่งจะเป็นผลลัพธ์ของการปฎิบัตินั้น พร้อมทั้งมี ความเข้าใจบทบาทและความรับผิดชอบที่อยู่ในแนวความคิดนั้นด้วย ข้อมูลดังกล่าวนี้สามารถได้มาจากคําสั่ง ยุทธการ ข. งานของหน่วย ผู้บังคับกองร้อยจะกําหนดงานที่หน่วยจะต้องทําให้สําเร็จ ซึ่งอาจค้นพบได้จากคําสั่ง ยุทธการงานดังกล่าวที่มีการกําหนดไว้อย่างชัดเจนในคําสั่งยุทธการ ในระหว่างการให้คําสั่งหรือบนแผ่นบริวาร เรียกว่ากิจเฉพาะ ตัวอย่างเช่น ๑) ยึดเนิน ๕๔๕ เพื่อคุ้มครองการเข้าตีโอบของ ร้อย.๒ ๒) จัด ๑ หมู่ ปล. ขนกระสุนให้แก่ มว.ค. ๘๑ มม. ๓) จัดตั้ง ตก. บริเวณ พิกัด _ _ _ _ _ ไม่ช้ากว่า ๓๐๑๕๐๐ พ.ย.๔๐ ก) เนื่องจากกิจเฉพาะดังกล่าวนี้ อาจมีความต้องการอื่นๆ เกิดขึ้นจากการวิเคราะห์คําสั่งสิ่งเหล่านี้ เรียกว่า กิจแฝง (ซึ่งมิได้เกิดขึ้นจากการปฏิบัติตาม รปจ.) โดยปกติแล้วแบบของกิจที่พิจารณาว่าเป็น รปจ. ได้แก่ (๑) จัดการระวังป้องกันระหว่างการเคลื่อนที่


๓๓ (๒) การส่งกําลังบํารุงเพิ่มเติม (๓) วางประสานกับหน่วยข้างเคียง ข) ถ้ากองร้อยได้รับมอบภารกิจเข้ายึดที่มั่นข้าศึกเพื่อความมุ่งหมายบางประการ อาจมีกิจแฝง ดังนี้ (๑) การจัดเฉพาะกิจเพื่อบรรลุภารกิจ (๒) จัดการ ลว.เพื่อค้นหาจุดอ่อนข้าศึก (๓) โดดเดี่ยวพื้นที่ที่ฝ่ายเราเข้าตี ค) ในบางกรณีหรือบางหน่วย อาจไม่สามารถกําหนดได้ว่าเป็นงานที่จะต้องปฏิบัติตามปกติ หรือ ตาม รปจ.หรือไม่ ในกรณีเช่นนี้ ผบ.ร้อย. (โดยอาศัยความเข้าใจในการฝึกและข้อจํากัดของหน่วยตน) จะ ยืนยันงานออกมาเป็นกิจแฝงโดยไม่จําเป็นต้องแยกประเภทของกิจ เพื่อหาความต้องการที่สําคัญ (กิจ) ซึ่ง หน่วยจะต้องทําให้สําเร็จภารกิจอย่างสมบูรณ์ เมื่อ ผบ.ร้อย. ยืนยันกิจเหล่านี้จะต้องมั่นใจว่าแผนของตนเอง ได้กล่าวถึงการกระทํากิจทั้งหมดอย่างครอบคลุม ค. ข้อจํากัดของหน่วย ในลําดับต่อมา ผบ.ร้อย. ต้องกําหนดมาตรการควบคุมหรือคําแนะนําทั้งหมด ที่จํากัดเสรีในการปฏิบัติของหน่วยสิ่งนี้เรียกว่าข้อจํากัด ในทุกการปฏิบัติมีมาตรการควบคุมที่จํากัดการดําเนิน กลยุทธ์ของหน่วย ซึ่งอาจกําหนดไว้บนแผ่นบริวารยุทธการหรือคําแนะนําในการประสาน รวมทั้งในคําสั่ง อาจระบุเวลาเฉพาะที่หน่วยต้องกระทําด้วย ดังเช่น ๑) ผ่านแนวออกตีเวลา ๑๐๐๐๓๐ ต.ค.๓๗ ๒) การป้องกันนิวเคลียร์ชีวะเคมีขั้น ๔ มีผลบังคับใช้ ๓) สถานภาพ อาวุธต่อสู้อากาศยานเตรียมพร้อม สถานภาพการแจ้งเตือน หรือในบางครั้ง อาจจะมีความสับสนระหว่างงานและข้อจํากัด เช่นตัวอย่างแรกที่ให้เป็นได้ทั้งกิจเฉพาะ (ผ่านแนวออกตี) และ เป็นข้อจํากัด (ณ เวลา ๐๐๓๐ ของวันที่ ๑๐ ต.ค.) สิ่งที่มีความสําคัญเป็นข่าวสารที่รวมอยู่ในแนวความคิดของผู้ บังคับกองร้อย ซึ่งผู้ใต้บังคับบัญชาทุกคนต้องเข้าใจและปฏิบัติตาม ง. กิจสําคัญยิ่ง หลังจากที่ได้ทบทวนปัจจัยต่าง ๆ ดังกล่าว ผู้บังคับกองร้อยจะต้อง พิสูจน์ทราบถึง กิจสําคัญยิ่งต่างๆ ความล้มเหลวในการทํากิจสําคัญยิ่งจะส่งผลให้กองร้อยประสบความล้มเหลวในวัตถุประสงค์ หลักของยุทธการนั้น คําสั่งยุทธการที่เขียนได้ดีนั้นผู้บังคับกองร้อยสามารถหากิจสําคัญยิ่งได้จากหัวข้อกลยุทธ์ จ. ภารกิจแถลงใหม่ ถ้าการวิเคราะห์ภารกิจเริ่มต้นในเวลาที่ได้รับคําสั่งยุทธการของกองพัน ข้อความ ของภารกิจควรที่จะกําหนดอย่างชัดเจนไว้ในแนวความคิดในการปฏิบัติในคําสั่งยุทธการของกองพัน (ข้อ ๓ ก) กิจสําคัญยิ่งและวัตถุประสงค์ของแต่ละกองร้อยควรจะถูกกําหนดอยู่ในขั้นตอนของการดําเนินกลยุทธ์ ๑) ถ้าการวิเคราะห์ภารกิจเริ่มต้นจากคําสั่งเป็นส่วน ๆ หรือการเปลี่ยนแปลงที่สําคัญของสถานการณ์ ภารกิจของกองร้อยอาจไม่ได้กําหนดอย่างชัดเจน ในกรณีนี้ ผบ.ร้อย.ต้องตกลงใจถึงกิจสําคัญยิ่งของตน โดย สามารถทําได้ด้วยการรับแนวความคิดของผู้บังคับกองพันและตกลงใจถึงบทบาทของกองร้อยสําหรับการ ปฏิบัติที่แตกหัก อะไรบ้างที่หน่วยจะต้องทําให้สําเร็จในการสนับสนุนภารกิจของกองพันให้สําเร็จ ความสัมพันธ์ ของหน่วยและความพยายามหลักของกองพันอาจทําให้กิจสําคัญยิ่งมีความชัดเจน ถ้ากองร้อยเป็นความ พยายามหลัก ก็ควรจะทําความสัมพันธ์ระหว่างวัตถุประสงค์ของกองร้อยและกองพันให้ตรงกัน ถ้าผู้บังคับ กองร้อยทบทวนงานแต่ละงานที่ได้รับมอบด้วยกระบวนการนี้ ก็สามารถที่จะกําหนดได้ว่างานใดมีความสําคัญ ยิ่งในการที่จะทําความสําเร็จให้แก่แนวความคิดของผู้บังคับกองพัน ๒) การวิเคราะห์เวลาต้องกระทําอย่างต่อเนื่องตลอดยุทธการ เมื่อใดที่ผู้บังคับกองร้อยทําการวิเคราะห์ ภารกิจ เขาจะเข้าใจได้ดีถึงเวลาที่หน่วยของเขาต้องการ ถ้าตารางเวลาได้ทําการแจกจ่ายก่อนการวิเคราะห์ ภารกิจอาจจะต้องทําการปรับแก้ทันที


๓๔ ๓) ภารกิจแถลงใหม่ จะเพ่งเล็งไปยังกระบวนการประมาณสถานการณ์ ข้อความที่ กระทัดรัด ชัดเจนของกิจสําคัญยิ่งต่าง ๆ จะทําให้สําเร็จโดยกองร้อยและวัตถุประสงค์ที่ต้องการให้บรรลุผล ข้อความ ของภารกิจปกติจะประกอบด้วย ใคร (กองร้อย) อะไร (งาน) เมื่อใด (เวลาวิกฤติ) ที่ไหน (พิกัด) และ ทําไม (วัตถุประสงค์ที่กองร้อยต้องบรรลุ) สิ่งเหล่านี้จะอยู่ใน ข้อ ๒ ของคําสั่งยุทธการกองร้อย กิจเฉพาะ กิจแฝงและข้อจํากัดอื่น ๆ จะถูกรวมอยู่ในแผนที่ต้องการ ตัวอย่างของภารกิจแถลงใหม่ ก) “(ใคร) กองร้อยอาวุธเบาเข้าตี (เมื่อใด) ๐๙๐๕๐๐ ธ.ค.๓๘ (อะไร) เพื่อยึดเนินเขา ๔๘๒ (ที่ ไหน) พิกัด NB ๔๕๙๘๗๕ (ที่หมายนํ้าเงิน) (ทําไม) เพื่อให้ความพยายามหลักของกองพันทําลายที่ตั้งควบคุม บังคับบัญชาและหมวดหนุนของข้าศึก ข) (ใคร) “กองร้อยอาวุธเบาที่ ๓ ตั้งรับ (เมื่อใด) ไม่ช้ากว่า ๒๘๑๕๓๐ ม.ค.๓๙ (อะไร) เพื่อ ทําลายกําลังของข้าศึกจาก (ที่ไหน) AH ๑๒๕๔๖๙ ถึง AH ๑๑๒๔๔๖ (ทําไม) เพื่อป้องกันข้าศึกโอบล้อม กอง พันทหารราบที่ ๑ จากทางทิศใต้ ๒ - ๑๔ การวิเคราะห์สถานการณ์จากภารกิจแถลงใหม่ขั้นที่ ๑ ผู้บังคับกองร้อยใช้การประมาณสถานการณ์ อย่างต่อเนื่อง ขั้นที่ ๒ จะรวมถึงการวิเคราะห์สถานการณ์ด้วยการใช้ปัจจัยวางแผนที่เหลือ (ข้าศึก ภูมิ ประเทศ กําลังที่มี และเวลา) การเตรียมสนามรบด้านการข่าวจะสนธิหลักนิยมของข้าศึก เข้ากับภูมิประเทศ และภูมิอากาศ เพื่อประเมินขีดความสามารถ จุดอ่อนข้าศึก และหนทางปฏิบัติที่เป็นไปได้ ก. เมื่อผู้บังคับกองร้อยได้ทําการประเมินสถานการณ์ทั้งหมดแล้ว ก็จะเริ่มพัฒนาหนทางปฏิบัติ หลาย ๆ หนทางที่จะสามารถบรรลุภารกิจได้ กระบวนการวิเคราะห์จะดําเนินการด้วยความละเอียดรอบคอบที ละขั้นตอนและลื่นไหลอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น ในขั้นการวิเคราะห์ภูมิประเทศจะกระทําก่อนการวิเคราะห์ ข้าศึก ในสถานการณ์ทางยุทธวิธี โดยปกติ ผบ.หน่วย จะต้องมีความรู้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับข้าศึก เพื่อให้การ ประมาณสถานการณ์และการตกลงใจเร็วยิ่งขึ้น แต่จะต้องหลีกเลี่ยงการข้ามขั้นตอนไปสู่การสรุปหรือตัดสินใจ อย่างเร่งรีบ โดยปราศจากการวิเคราะห์สถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา การปฏิบัติในขั้นตอนนี้โดยปกติจะ สิ้นเปลืองเวลามาก ข. ในระหว่างการวิเคราะห์ ผู้บังคับกองร้อยจะตกลงใจเกี่ยวกับข้อเท็จจริงของสถานการณ์ และ กําหนดคําถามในส่วนที่ไม่มีข้อเท็จจริง หลังจากนั้นเขาต้องพยายามตอบคําถามดังกล่าวด้วยการวิเคราะห์ หรือทําการลาดตระเวนเพิ่มเติม เมื่อใดที่คําถามดังกล่าวมีผลกระทบต่อขีดความสามารถในการพัฒนาหนทาง ปฏิบัติแล้วเขาจะต้องวางแผนจากการสมมุติฐาน ๑) สมมุติฐานจะใช้เมื่อขาดข้อเท็จจริง โดยมีพื้นฐานมาจากการพัฒนาข้อเท็จจริงที่มีอยู่ความรู้ เกี่ยวกับหลักนิยมข้าศึก และประสบการณ์จากการสู้รบกับข้าศึก ตัวอย่างสมมุติฐานที่มีผลกระทบ ได้แก่ ข้าศึก ได้สร้างสนามทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในเส้นทางของพลเดินเท้าเข้าสู่ที่ตั้งข้าศึก ที่ตั้งสนามทุ่นระเบิดที่มีความ เป็นไปได้สามารถอนุมานได้จากหลักนิยมของข้าศึกหรือความรู้ของผู้บังคับกองร้อยที่มีเกี่ยวกับยุทธวิธีของ ข้าศึก ในระหว่างที่ทําการวิเคราะห์สมมุติฐานจะได้รับการปฏิบัติเช่นเดียวกับข้อเท็จจริง เพื่อให้ผู้บังคับกองร้อย ได้อนุมานถึงผลที่อาจจะเกิดขึ้นกับหน่วยของตน ผู้บังคับกองร้อยจะลดข้อสมมุติฐานลงได้ด้วย การ ลาดตระเวนเพื่อการรวบรวมข้อเท็จจริงที่ต้องการ ๒) ผู้บังคับกองร้อยต้องทําการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงเพื่อกําหนดสิ่งที่มีผลกระทบกับภารกิจของ หน่วยและของข้าศึกอย่างไร ตัวอย่างเช่น การวิเคราะห์ภูมิประเทศของผู้บังคับกองร้อยได้ตรวจพบลําธารที่ เป็นสิ่งกีดขวางของทหารที่บรรทุกบนยานพาหนะ ผู้บังคับกองร้อยจะทําการวิเคราะห์ข้อเท็จจริงเพื่อทําการ อนุมานผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับการปฏิบัติ ถ้าปฏิบัติการตั้งรับจะต้องกําหนดว่าลําธารมีผลกระทบกับการ เคลื่อนที่ของข้าศึกได้อย่างไร ซึ่งอาจเป็นสิ่งกีดขวางเฉพาะยานล้อเท่านั้น โดยที่ไม่ขัดขวางการเคลื่อนที่ยานรบ สายพาน มีช่องทางบังคับตลอดแนวเครื่องกีดขวางที่สามารถรวมอํานาจการยิงไปยังข้าศึกหรือไม่


๓๕ เคร่อืงกดีขวางมผีลกระทบต่อหน่วยทหารฝ่ายเดยีวกนัหรอืไม่ มคีวามเป็นไปไดห้รอืไม่ในการทย่ีานพาหนะจะ ทาํการสง่กาํลงัเพม ิ่ เตมิหรอืสง่กลบัทางการแพทยไ์ปขา้งหน้าโดยผ่านลาํธารน้ีหรอืตอ้งใชท้หารเดนิเทา้ในการ สง่สง ิ่ อุปกรณ์และสง่กลบัผปู้่วยเจบ็เคร่อืงกดีขวางน้ีสามารถชว่ยใหเ้ขาบรรลุภารกจิน้ีไดห้รอืไม่ คุณภาพใน การอนุมานจะสง่ผลต่อประสทิธภิาพการพฒันาหนทางปฏบิตัภิายหลงัใน ขนั้ท่ี๒ รปูท่ี๒ - ๔ รปูท ี่ ๒ - ๕ แผน่บริวารเครอ ื่ งกีดขวางผสม ๓) ในการปฏบิตัติลอดขนั้ท่ี๒ ผบู้งัคบักองรอ้ยจะพสิจูน์ทราบตําบลรบแตกหกัทแ่ีน่นอนทเ่ีขา สามารถทาํ ใหเ้กดิการรวมอาํนาจการรบสงูสดุของขา้ศกึตําบลดงักล่าวน้ีอาจเป็นผลลพัธท์เ่ีกดิจากวเิคราะห์ ภูมปิระเทศ (ตําบลทท่ีาํ ใหเ้กดิผลดแีก่ฝ่ายเราหรอืสง่ผลเสยีแกข่า้ศกึ) จากการวเิคราะหข์า้ศกึ (การพสิจูน์ทราบ จุดอ่อนของขา้ศกึทเ่ีราสามารถขยายผลได)้หรอืความเป็นไปไดจ้ากการวเิคราะหเ์วลา (เวลาทศ่ีกัยภาพการรบ ของขา้ศกึลดลง) โดยปกตติําบลรบแตกหกัจะพสิจูน์ทราบจากบรเิวณทเ่ีป็นจุดอ่อนของขา้ศกึ โดยกาํหนดเวลา และทต่ีงั้ทจ่ีะใหก้องรอ้ยดาํเนินการใชอ้าํนาจการรบใหบ้รรลุความสาํเรจ็ของภารกจิ


๓๖ ๒ - ๑๕ การวิเคราะห์ภูมิ ประเทศ ปัจจัยพิจารณาวางแผนการรบ (METT-T) จะเป็นแนวทางให้ผู้บังคับ หน่วยนําไปใช้ในการประมาณสถานการณ์ แม้ว่าปัจจัยแรกจะเป็นการวิเคราะห์ภารกิจและปัจจัยต่อไปจะเป็น การวิเคราะห์ภูมิประเทศก่อนการวิเคราะห์ข้าศึก แต่ผู้บังคับหน่วยจะต้องมีความรอบรู้ถึงขีดความสามารถของ ข้าศึกและข้อจํากัดต่าง ๆ อย่างพอสมควร ก. ผู้บังคับหน่วยจะพิจารณาภูมิประเทศจากมุมมองของตนเองและจากข้าศึก กองพันจะแบ่งมอบ พื้นที่ปฏิบัติการให้แก่กองร้อย ถ้ามีภูมิประเทศหรือหน่วยของข้าศึกนอกพื้นที่ปฏิบัติการที่ได้รับมอบที่อาจมี ผลกระทบต่อภารกิจ ผู้บังคับหน่วยจะต้องให้ความสนใจด้วย ภูมิประเทศจะหมายรวมถึงพื้นที่ปฏิบัติการที่ เรียกว่าพื้นที่สนใจด้วย ผู้บังคับหน่วยทําการวิเคราะห์ภูมิประเทศในพื้นที่ปฏิบัติการอย่างละเอียด ข. ข้อพิจารณาลักษณะภูมิประเทศ (OCOKA)จะเป็นเครื่องมือทางทหารที่สําคัญเกี่ยวกับภูมิประเทศ ซึ่งจะช่วยผู้บังคับหน่วยในการวิเคราะห์ภูมิประเทศทั้งในเรื่องเครื่องกีดขวางแนวทางการเคลื่อนที่ ภูมิประเทศ สําคัญ การตรวจการณ์และการยิง การกําบังและการซ่อนพราง และเนื่องจากภูมิอากาศมีผลต่อภูมิประเทศ ดังนั้นการวิเคราะห์ลมฟ้าอากาศจึงควรกระทําไปพร้อมกับการวิเคราะห์ภูมิประเทศ ๑) เครื่องกีดขวาง ในการพิสูจน์ทราบว่าเครื่องกีดขวางตามธรรมชาติและที่มนุษย์สร้างขึ้น รวมทั้งภูมิประเทศที่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่ ทุกภูมิประเทศจะมีการประเมินค่าในลักษณะ ผ่านไม่ได้ ผ่านช้า หรือผ่านได้ดี เมื่อมีเวลาเพียงพอแผ่นบริวารเครื่องกีดขวางผสมจะได้รับการพัฒนาเป็นรูปลายเส้น เพื่อแสดงถึงขีดความสามารถในการเคลื่อนที่ผ่านภูมิประเทศตามรูปที่ ๒ - ๕ ก) ภูมิประเทศผ่านไม่ได้ คือภูมิประเทศที่การใช้กําลังรบตามรูปแบบกระทําไม่ได้ผล ในขณะเคลื่อนที่ผ่าน แต่ไม่ได้หมายความว่าหน่วยไม่สามารถผ่านภูมิประเทศนี้ได้ เพียงแต่ทําให้ความเร็วใน การเคลื่อนที่ลดลง นอกจากใช้ความพยายามเพิ่มเติมเพื่อเสริมความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ ตัวอย่างเช่น ลําธารที่ลุยข้ามไม่ได้และตลิ่งมีมุมลาดเอียงมากกว่า ๔๕ องศา ดังนั้นการเคลื่อนที่ด้วย ยานพาหนะจะต้องได้รับการสนับสนุนจากทหารช่างสนาม ข) ภูมิประเทศเคลื่อนที่ช้า คือ ภูมิประเทศที่เป็นอุปสรรคต่อการเคลื่อนที่ เช่น ตลิ่งที่มีมุม ลาดเอียงน้อยกว่าภูมิประเทศผ่านไม่ได้ แต่ไม่เกิน ๔๕ องศา ต้องใช้ความพยายามเพียงเล็กน้อยในการ เคลื่อนที่ (ตัวอย่างป่าโปร่ง และลํานํ้าที่สามารถลุยข้ามได้) ค) ภูมิประเทศผ่านได้ดี คือ ภูมิประเทศที่เกื้อกูลต่อการเคลื่อนที่ซึ่งไม่มีสิ่งกีดขวางในการ เคลื่อนที่ทางพื้นดิน (๑) ข้อพิจารณาในการรบด้วยวิธีรุก (ก) ข้าศึกจะใช้เครื่องกีดขวางนี้อย่างไร (ข) เครื่องกีดขวางนี้จะกระทบต่อการเคลื่อนที่ของหน่วยอย่างไร (ค) หน่วยหรืออาวุธจะตั้งอยู่ที่ใดในการคุ้มครองเครื่องกีดขวางนี้ (ง) กองร้อยจะหลีกเลี่ยงเครื่องกีดขวางนี้ได้อย่างไร (๒) ข้อพิจารณาในการรบด้วยวิธีรับ (ก) เครื่องกีดขวางตามธรรมชาติจะกระทบต่อข้าศึกอย่างไร (ข) เครื่องกีดขวางตามธรรมชาติจะสนับสนุนภารกิจนี้ได้อย่างไร ๒) แนวทางการเคลื่อนที่ การพัฒนาแนวทางเคลื่อนที่กระทําต่อจากเครื่องกีดขวางโดยพิจารณา ให้มีพื้นที่เพียงพอต่อการดําเนินกลยุทธ์สําหรับหน่วยตํ่ากว่า ๑ ระดับ ซึ่งปกติจะใช้กับการเคลื่อนที่ด้วย ยานพาหนะแต่ก็อาจนํามาประยุกต์ใช้กับทหารเดินเท้าได้เช่นกัน แนวทางการเคลื่อนที่ด้วยยานพาหนะและ เดินเท้าจะพิจารณาเหมือนกัน เมื่อทําการเลือกผู้บังคับหน่วยจะใช้การพิจารณาตกลงใจทางยุทธวิธีด้วยการ


๓๗ คํานึงถึงแบบของหน่วยที่ใช้ ทั้งนี้บางครั้งอาจ เคลื่อนที่ผ่านภูมิประเทศที่ผ่านได้ดี ผ่านไม่ได้หรือ ผ่านได้ช้า หน่วยทหาร ฝ่ายเราและข้าศึกจะใช้ข้อพิจารณาเช่นเดียวกัน ตามหลักนิยมความกว้างของแนวทางการเคลื่อนที่ระดับหมวด ปืนเล็ก ๒๕๐ เมตร กองร้อย ๕๐๐ เมตร และกองพัน ๑,๕๐๐ เมตร แนวทางการเคลื่อนที่ทางอากาศและทาง พื้นดินต้องมีการพิจารณาด้วยเช่นกัน ก) ข้อพิจารณาการรบด้วยวิธีรุก (๑) แนวทางการเคลื่อนที่จะสนับสนุนการเคลื่อนที่ของเราได้อย่างไร (๒) ข้อดีและข้อเสียของแต่ละแนวทางเคลื่อนที่ (พิจารณาจากข้าศึก ความเร็ว การกําบัง และซ่อนพราง) (๓) เส้นทางใดที่ข้าศึกน่าจะใช้ในการตีโต้ตอบ ข) ข้อพิจารณาในการรบด้วยวิธีรับ (๑) ข้าศึกสามารถใช้แนวทางการเคลื่อนที่นี้ได้อย่างไร (๒) แนวทางการเคลื่อนที่ใดที่มีอันตรายสูงสุดและน้อยที่สุด(จัดความเร่งด่วนแต่ละแนวทาง) (๓) เส้นทางการเข้าประชิดใดที่สนับสนุนการตีโต้ตอบ ๓) ภูมิประเทศสําคัญ ภูมิประเทศสําคัญคือสถานที่และพื้นที่ใดที่สามารถยึดได้รักษาไว้หรือควบคุม ไว้ได้ จะทําให้เกิดประโยชน์ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายใด การใช้แผนที่และข่าวสารที่รวบรวมมาได้ การค้นหาภูมิ ประเทศสําคัญ การครอบครองเส้นทางการเข้าประชิดที่หมาย จากนั้นค้นหาภูมิประเทศเด็ดขาด ซึ่งถ้ายึด ครองหรือควบคุมได้จะทําให้เกิดผลกระทบที่สําคัญต่อภารกิจในการรักษาหรือยึดภูมิประเทศเด็ดขาดมีความ จําเป็นอย่างยิ่งในการบรรลุภารกิจ ในระหว่างการจําลองยุทธ์ ภูมิประเทศอื่นๆ อาจจะได้รับการพิสูจน์ทราบ ์ เป็นจุดที่มีอํานาจ (ศักยภาพ) หรือมีความเด็ดขาด ซึ่งขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ จากการ วิเคราะห์ดังกล่าวผู้บังคับบัญชาควรจะรับเอาความรู้สึกที่ดีสําหรับที่ตั้งที่มีอํานาจ (ศักยภาพ) สําหรับหน่วยเรา และข้าศึก และระบบอาวุธที่ตั้งมีความสําคัญในการพัฒนาหนทางปฏิบัติ ก) ข้อพิจารณาในการรบด้วยวิธีรุก (๑) พิจารณาสําหรับการกําบังและการซ่อนพรางที่ดี (๒) พิสูจน์ทราบเส้นทางการเข้าประชิดที่หมาย ที่มีการกําบังและการซ่อนพรางไม่ดี (๓) พิจารณาการใช้ควันหรือทัศนวิสัยที่จํากัดในการซ่อนพราง ข) ข้อพิจารณาในการรบด้วยวิธีรับ (๑) เพ่งเล็งไปยังที่ตั้งสําหรับพื้นการยิงที่ดี (๒) คํานึงถึงว่าข้าศึกจะใช้การกําบังและการซ่อนพรางที่มีได้อย่างไร ๔) การตรวจการณ์และพื้นการยิง กําหนดที่ตั้งซึ่งเกื้อกูลต่อการตรวจการณ์และพื้นการยิงได้ดีที่สุด ตลอดทิศทางไปข้างหน้าใกล้ที่หมายหรือบนภูมิประเทศสําคัญ โดยตกลงใจจากขีดความสามารถของฝ่ายเรา และข้าศึก ในการเฝ้าตรวจหรือสนับสนุนการยิง ด้วยวิธีเล็งตรงระหว่างการเคลื่อนที่ของฝ่ายเดียวกัน ตลอดจน การตรวจการณ์ระหว่างการเคลื่อนที่ และกําหนดตําบลยิงจากที่ตั้งยิงต่าง ๆ ตลอดแนวทางการเคลื่อนที่ไป ข้างหน้า การวิเคราะห์พื้นการยิงถือเป็นเรื่องสําคัญที่เกี่ยวข้องกับความสามารถในการควบคุมภูมิประเทศด้วย การยิงเล็งตรง ดังนั้นที่ตั้งยิงจะต้องให้การตรวจการณ์ดีสําหรับชุดยิงสนับสนุนเช่นเดียวกัน การลาดตระเวน โดยอาศัยแง่คิดของฝ่ายข้าศึกจะได้ผลที่สุด เมื่อปฏิบัติการวิเคราะห์การตั้งรับ การตกลงใจรวมอํานาจ การ ยิง ณ ตําบลใด มีข้อพิจารณาดังนี้ ก) ข้อพิจารณาการรบด้วยวิธีรุก


๓๘ (๑) พื้นการยิงและการตรวจ การณ์สําหรับอาวุธของข้าศึก จากบนหรือใกล้ที่ หมายมีอยู่บริเวณใดบ้าง และระหว่างเส้นทางใด (๒) มีพื้นที่อับกระสุนโดยรอบที่หมายและบนเส้นทางเคลื่อนที่เข้าไปหรือไม่ (๓) พื้นการยิงและการตรวจการณ์จากที่ตั้งยิงสนับสนุนของฝ่ายเดียวกัน มีอยู่บริเวณ ใดบ้าง (๔) พื้นที่ใดที่ข้าศึกสามารถรวมอํานาจการยิง และพื้นที่ใดที่มีความเป็นไปได้ในการรวม อํานาจการยิงได้น้อยที่สุด ข) ข้อพิจารณาการรบด้วยวิธีรับ (๑) ที่ตั้งใดบ้างที่เกื้อกูลต่อการยิงและการตรวจการณ์ไปตามแนวทางการเคลื่อนที่เข้ามา ของข้าศึก (๒) ที่ตั้งดังกล่าวนี้มีความเด่นชัดอย่างไรต่อฝ่ายข้าศึก (๓) การกําหนดที่ตั้งยิงที่เป็นไปได้สําหรับอาวุธหลัก ได้แก่ ปืนกล อาวุธต่อสู้รถถังและ เครื่องยิงลูกระเบิด ๕) การกําบังและซ่อนพราง การวิเคราะห์เกี่ยวกับการกําบังและซ่อนพราง โดยทั่วไปแยกออก ไม่ได้จากการตรวจการณ์และพื้นการยิง ที่ตั้งยิงอาวุธจะต้องให้ผลดีทั้งด้านประสิทธิภาพการใช้อาวุธและการ ดํารงความอยู่รอดของพลประจําอาวุธ ทั้งนี้หน่วยทหารราบมีขีดความสามารถปรับปรุงที่ตั้งให้เกิดการกําบัง และซ่อนพรางอย่างเพียงพอต่อความอยู่รอดในสนามรบ รวมทั้งการใช้ลักษณะภูมิประเทศให้การกําบังและ ซ่อนพรางในขณะเคลื่อนที่ ซึ่งมีข้อพิจารณาดังนี้ ก) ข้อพิจารณาการรบด้วยวิธีรุก (๑) กําหนดเส้นทางเคลื่อนที่ซึ่งให้การกําบังและซ่อนพรางเป็นอย่างดี (๒) พิสูจน์ทราบพื้นที่ตลอดแนวทางการเคลื่อนที่ไปยังที่หมาย ซึ่งให้การกําบังและซ่อน พรางไม่ดี (๓) พิจารณาใช้ควันและทัศนวิสัยจํากัดเพื่อให้การกําบังและซ่อนพราง ข) ข้อพิจารณาการรบด้วยวิธีรับ (๑) เพ่งเล็งไปยังที่ตั้งซึ่งมีพื้นการยิงดี (๒) คํานึงถึงเกี่ยวกับข้าศึกจะใช้ประโยชน์จากการกําบังและซ่อนพราง ที่มีอยู่ได้อย่างไร (๓) แนวทางเคลื่อนที่ใดที่เกื้อกูลต่อการตีโต้ตอบของฝ่ายเรา ๖) ภูมิประเทศสําคัญ คือภูมิประเทศหรือพื้นที่ใดที่ฝ่ายใดสามารถยึดรักษาหรือควบคุมไว้ได้ จะทําให้ได้เปรียบในการรบเหนืออีกฝ่ายหนึ่งอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งเกื้อกูลต่อการบรรลุภารกิจทางยุทธวิธี การ ค้นหาภูมิประเทศสําคัญกระทําด้วยการพิจารณาจากแผนที่ และข่าวสารที่รวบรวมได้ให้เหมาะสมปัจจัยพื้นฐาน (METT-T) โดยเฉพาะภูมิประเทศสําคัญยิ่งมีความจําเป็นต่อการบรรลุภารกิจเป็นอย่างยิ่ง แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่ สําคัญในการพิจารณากําหนดภูมิประเทศสําคัญก็คือจะต้องอํานวยต่อภารกิจและหน่วยมีอํานาจ (ศักยภาพ) เพียงพอในการยึดรักษาหรือควบคุมไว้ได้ ดังนั้นการกําหนดภูมิประเทศสําคัญแต่ละระดับหน่วยจึงแตกต่าง กันไป โดยปกติมักจะพิจารณาจากพื้นที่ที่มีอิทธิพลเหนือแนวทางการเคลื่อนที่และที่หมายในระหว่างขั้นตอน การพัฒนาหนทางปฏิบัติ (ประมาณสถานการณ์หรือประมาณการ) ซึ่งมีข้อพิจารณาที่สําคัญตามรูปแบบ การยุทธ์ ดังนี้ ก) ข้อพิจารณาในการรบด้วยวิธีรุก (๑) ข้าศึกควบคุมภูมิประเทศสําคัญไว้หรือไม่ อย่างไร (๒) ภูมิประเทศดังกล่าวนี้มีผลกระทบต่อภารกิจอย่างไร


๓๙ (๓) ทําอย่างไรจึงจะสามารถ ควบคุมภูมิประเทศดังกล่าวนี้ ข) ข้อพิจารณาในการรบด้วยวิธีรับ (๑) จะทําอะไรให้ได้เปรียบเพื่อให้สามารถควบคุมภูมิประเทศสําคัญไว้ได้ (๒) ข้าศึกจะทําอย่างไรจึงสามารถควบคุมภูมิประเทศสําคัญ ค) ปัจจัยภูมิอากาศจะได้รับการพิจารณา ภูมิประเทศปกติจะเน้นไปที่อุณหภูมิและความชื้น หิมะ ลม เมฆและการมองเห็น ข้อมูลแสงสว่างจะได้รับการพิจารณาเป็นส่วนหนึ่งของการปกคลุมของเมฆและทัศน วิสัย ผู้บังคับบัญชาจะเพ่งเล็งไปยังภูมิอากาศที่มีผลกระทบต่อภูมิประเทศ ยุทโธปกรณ์และทหารของทั้ง ๒ ฝ่ายอย่างไร การวิเคราะห์ที่เหมาะสมของผลกระทบจากภูมิอากาศต่อกําลังของข้าศึก โดยที่ผู้บังคับหน่วย จะต้องทราบถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับทหารและยุทโธปกรณ์ของเขา ผู้บังคับกองร้อยทหารราบจะต้องขยายผลขีด ความสามารถของหน่วย ความต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับข้าศึกเพื่อที่จะพิสูจน์ทราบจุดอ่อนที่สําคัญของ ข้าศึกในระหว่าง ภูมิอากาศเลวร้ายและทัศนวิสัยจํากัด (๑) ภูมิประเทศ จะมีผลกระทบอย่างมากจากฝนหรืออุณหภูมิตํ่ากว่าจุดเยือกแข็ง ภูมิประเทศ ผ่านได้อาจกลายเป็นภูมิประเทศผ่านไม่ได้หลังจากที่ฝนตกหนัก เพราะว่าไม่สามารถใช้ในการเคลื่อนที่ด้วย ยานยนต์ได้ ความหนาวจนนํ้าแข็งในพื้นที่เดิมจะกลับกลายเป็นพื้นที่ซึ่งสามารถให้ยานพาหนะผ่านได้ และ พื้นที่นํ้าแข็งอาจขัดขวางการขุดที่ตั้งยิงได้เช่นเดียวกัน (๒) ยุทโธปกรณ์ อุณหภูมิและความชื้นจะทําให้ความต้องการปรนนิบัติบํารุงสูงขึ้นเพื่อรักษา ยุทโธปกรณ์ให้ทํางานได้ตามปกติ แบตเตอรี่จะอายุสั้นลง เสื้อผ้าและรองเท้าของทหารจะชํารุดง่ายขึ้นในบาง สภาวะ (ก) ยานพาหนะ และเครื่องบินอาจต้องจอดอยู่กับที่ด้วยสภาพอากาศที่เลวร้ายหลาย ๆ แบบ ยานพาหนะอาจถูกแช่แข็งบนพื้นดิน หรือเครื่องยนต์ไม่ทํางานในสภาพอากาศที่เย็นจัด อากาศที่ร้อน และมีฝุ่นมากจะทําให้ความต้องการปรนนิบัติบํารุงสูงขึ้นด้วยเช่นกัน (ข) ยุทโธปกรณ์และการปรนนิบัติบํารุงได้รับผลกระทบจากอากาศที่เลวร้ายเช่นกัน บางครั้งอาวุธอาจไม่ได้รับผลกระทบแต่ขีดความสามารถในการเล็งที่หมายจะลดลง ลมที่พัดแรงจะมีผลกระทบ ต่อความแม่นยําของอาวุธเล็งจําลองทุกชนิด (๓) ทหาร ขวัญและกําลังใจของทหารจะได้รับผลกระทบจากการรบในสภาพอากาศที่เลวร้าย พลังงานและทรัพยากรเพิ่มเติมที่จะต้องใช้ไปในการดํารงรักษาชีวิตมากกว่าการสู้รบกับข้าศึก การบาดเจ็บที่ มิใช่การรบอาจมีจํานวนมากกว่าการบาดเจ็บจากการรบ ๒ - ๑๖ การวิเคราะห์ข้าศึก บ่อยครั้งที่การวิเคราะห์ข้าศึกสําหรับผู้บังคับกองร้อย ส่วนหนึ่งได้มาจากฝ่าย การข่าวของกรมหรือกองพันซึ่งสามารถเข้าถึงข้อมูลได้มากกว่า ข่าวสารที่สําคัญเกี่ยวกับข้าศึกสําหรับผู้บังคับ กองร้อยจะระบุไว้ในหัวข้อ สถานการณ์ข้าศึก (ข้อ ๑ ก) ของคําสั่งยุทธการ ผู้บังคับกองร้อยจะต้องยอมรับ ข่าวสารดังกล่าวว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะผู้บังคับกองพันใช้เป็นพื้นฐานในการกําหนดแนวความคิดของเขา ถ้าผู้บังคับกองร้อยทําการพัฒนาแนวความคิดโดยใช้หนทางปฏิบัติของข้าศึกที่แตกต่างออกไป อาจขัดแย้งกับ แผนโดยรวมของกองพัน ดังนั้นผู้บังคับกองร้อยจะต้องเริ่มการวิเคราะห์ข้าศึกจากข่าวสารที่ได้รับจากกองพัน อย่างไรก็ตามสิ่งสําคัญที่ต้องระลึกอยู่เสมอว่า การวิเคราะห์ของฝ่ายการข่าวของกองพันมิได้เพ่งเล็งมายังข้าศึก ที่คาดว่าจะเข้ามาใน พื้นที่ของกองร้อยหรือส่วนหนึ่งของที่หมายกองร้อย โดยวาดภาพสถานการณ์จากมุมมอง ที่กว้างและให้ความสนใจที่แตกต่างกัน กองร้อยจะต้องรับผิดชอบกลั่นกรองและพัฒนารายละเอียดข่าวสาร ตามที่ต้องการ เพื่อนําไปสู่การกําหนดแนวความคิดในการปฏิบัติของกองร้อยที่สมบูรณ์และเหมาะสม การ เพ่งเล็งในการวิเคราะห์นี้จะมุ่งไปยังจุดแข็งของข้าศึก (เพื่อหลีกเลี่ยง) และจุดอ่อน (เพื่อการขยายผล) ผลลัพธ์ สุดท้ายของการวิเคราะห์ข้าศึกควรจะได้ข้อความในรายละเอียดเกี่ยวกับหนทางปฏิบัติที่ข้าศึกจะปฏิบัติมาก


๔๐ ที่สุดคืออะไร ทั้งนี้ผู้บังคับกองร้อยจะต้องทําการ วิเคราะห์ ทั้งในเรื่องการประกอบกําลัง วางกําลัง กิจกรรมล่าสุด ขีดความสามารถในการเพิ่มเติมกําลัง หนทางปฏิบัติที่เป็นไปได้และจุดอ่อนของข้าศึก ก. การประกอบกําลัง เป็นการวิเคราะห์ถึงกําลังและอาวุธที่ข้าศึกนํามาใช้ในการสู้รบเพื่อกําหนดความ เข้มแข็ง ชนิดของระบบอาวุธที่ข้าศึกมีและอาวุธเพิ่มเติมที่มาสนับสนุน ผู้บังคับกองร้อยจะต้องมีความรู้ เกี่ยวกับอาวุธของข้าศึกเหมือนกับอาวุธในหน่วยตนเอง ความรอบรู้รายละเอียดของคุณลักษณะอาวุธแต่ละ ชนิด จะทําให้ผู้บังคับกองร้อยสามารถกําหนดจุดอ่อนของข้าศึกได้ ข. การวางกําลัง การวางกําลังของข้าศึก ก็คือ ข้าศึกจะจัดรูปขบวนทําการรบอย่างไรในพื้นที่ ปฏิบัติการ เช่น การวางกําลังในการตั้งรับ ในพื้นที่รวมพล หรือรูปขบวนในการเคลื่อนที่ ด้วยการใช้แผ่น ภาพหลักนิยมของข้าศึกในการพัฒนาแผ่นภาพสถานการณ์ เพื่อพิจารณาว่าข้าศึกใช้เวลานานเท่าไรในการ เตรียมการตั้งรับหรือเข้าตี ในขณะที่ทําการวิเคราะห์แผ่นภาพสถานการณ์ จะต้องค้นหาจุดอ่อนของข้าศึกที่ สามารถขยายผลหรือทําลายข้าศึก หรือควบคุมพื้นที่ได้อย่างเด็ดขาด รวมทั้งพิจารณาว่าพื้นที่ใดที่ข้าศึกจะ ยอมรับการเสี่ยง พื้นที่ใดที่จํากัดขีดความสามารถของข้าศึก ในการตั้งรับ เข้าตี หรือได้มาซึ่งการสนับสนุนซึ่ง กันและกัน ประการสุดท้ายก็คือการกําหนดเจตนารมณ์ของข้าศึกว่าจะทําอะไรบ้าง ค. กิจกรรมล่าสุด พิสูจน์ทราบกิจกรรมที่สําคัญล่าสุดของข้าศึกที่อาจจะเป็นเครื่องบ่งชี้ เจตนารมณ์ ของข้าศึกในอนาคต กิจกรรมดังกล่าวอาจจะเป็นจุดอ่อนที่กองร้อยสามารถนําไป ขยายผลได้ กิจกรรมนี้จะบ่ง บอกอีกด้วยว่าอะไรที่ข้าศึกน่าจะกระทําเพื่อตอบโต้กองร้อยของเรา สิ่งนี้จะได้ผลเพิ่มขึ้นด้วยการจําลองยุทธ์์ ง. ขีดความสามารถในการเพิ่มเติมกําลัง กําหนดที่ตั้งของกองหนุนและเวลาโดยประมาณที่จะใช้ในการตี โต้ตอบหรือการเพิ่มเติมกําลัง แม้ว่าในการวิเคราะห์ข้าศึกจะเพ่งเล็งไปยังกําลังของข้าศึกที่อยู่ ณ ที่หมายของ กองร้อยหรือคาดการณ์ว่าจะเข้ามาพื้นที่ของกองร้อย แต่ผู้บังคับกองร้อยควรที่จะพิจารณากําลังของข้าศึก ทั้งหมดในพื้นที่สนใจด้วย เพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับกําลังข้าศึกทั้งมวลที่มีผลต่อภารกิจของกองร้อยและจะต้องรู้ ด้วยว่าข้าศึกจะทําอย่างไรจึงจะพัฒนาการสู้รบไปสู่การใช้กําลังขนาดใหญ่กว่า จ. หนทางปฏิบัติที่เป็นไปได้ กําหนดหนทางปฏิบัติที่เป็นไปได้ของข้าศึกและวิเคราะห์ หนทางปฏิบัติ ทั้งหมด เพื่อให้มั่นใจได้ว่ากําลังฝ่ายเราจะไม่ถูกจู่โจมในระหว่างการปฏิบัติ กําหนดหนทางปฏิบัติของข้าศึกที่ น่าจะปฏิบัติมากที่สุด เพื่อพัฒนาแผนเผชิญเหตุและงานด้านการรักษาความปลอดภัย โดยวาดภาพหนทาง ปฏิบัติของข้าศึกด้วยการบรรยายประกอบกับภาพลายเส้นตั้งแต่เริ่มต้นจนจบ ตามตัวอย่างดังต่อไปนี้ ๑) ข้าศึกยังคงดําเนินการตั้งรับแบบประณีตด้วยกําลัง ๑ มว.ปล. บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงเนิน ๔๘๒ ด้านทิศเหนือและตะวันตก โดยวางกําลังด้านทิศเหนือ ๒ หมู่ ปล. และปืนกล ๒ กระบอก ควบคุมแนวทาง การเคลื่อนที่ด้วยยานยนต์ สําหรับด้านทิศตะวันตกวางกําลัง ๑ หมู่ ปล.และปืนกล ๑ กระบอก ควบคุม แนวทางการเคลื่อนที่ด้วยเท้า ที่บังคับการหมวดตั้งอยู่บนยอดเนิน ๔๘๒ มีกําลังพลในที่มั่นประมาณ ๒๐ - ๓๐ คน มีสนามทุ่นระเบิดอยู่บริเวณเชิงเขาทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของที่มั่น นอกจากนี้ยังมีสนามทุ่นระเบิดที่ น่าสงสัยอยู่ทางทิศตะวันตกของที่มั่น ที่ตรวจการณ์ได้รับการยืนยันว่ามีการหมุนเวียนเปลี่ยนทุก ๘ ชั่วโมง มี กําลังลาดตระเวนป้องกัน ๕ - ๗ คน ปฏิบัติการด้านทิศเหนือและตะวันตกของที่มั่น โดยกระทําในลักษณะสุ่ม ตรวจเป็นห้วง ๆ พร้อมทั้งมีที่ตรวจการณ์อีกแห่งหนึ่งอยู่บริเวณพื้นที่ใกล้เคียงเนิน ๕๒๔ นอกจากนี้มีที่ตรวจ การณ์ที่น่าสงสัยอีก ๒ แห่ง บริเวณทางแยกเส้นทางลําลองด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือ และข้างเส้นทาง ลําลองด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ของที่มั่น คาดว่ากําลังข้าศึกหมวดนี้จะยึดรักษาที่มั่น เพื่อป้องกันไม่ให้กองร้อย หน่วยแม่ถูกโอบจากทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ถ้าในกรณีที่ต้องถอนตัวมีความเป็นไปได้มากที่สุดว่ากําลัง ส่วนนี้จะต้องเคลื่อนที่ไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งจะได้รับการยิงสนับสนุนจากกองร้อยหน่วยแม่ ทั้งนี้ กองร้อยหน่วยแม่สามารถเพิ่มเติมกําลังให้กับ มว.ปล. ได้ ๒๐ คน ภายในเวลา ๒๐ นาทีตามรูปที่ ๒ - ๖ แผ่น ภาพสถานการณ์ข้าศึก


๔๑ รปูท ี่ ๒ - ๖ แผน่ภาพสถานการณ์ของข้าศึก ๒) ขา้ศกึจะไม่ทาํการเขา้ตกี่อนเวลา ๑๒๐๘๐๐ ธ.ค.๓๘ เพ่อืยดึทส่ีงูขม่บรเิวณเนิน ๔๖๔ ดว้ย ๒ กองรอ้ยปืนเลก็ยานยนต์(+) เป็นความพยายามหลกัตามแนวทางการเคล่อืนทน่ี้ําเงนิและมี๑ กองรอ้ยปืน เลก็ (+) เป็นระลอกท่ี๒ โดยจะมหีน่วยลาดตระเวนเป็นหน่วยแรกทจ่ีะทาํการคน้หาช่องว่างในการตงั้รบัของเรา เม่อืถงึแนวขนั้ก. คาดวา่กาํลงัสว่นใหญ่ของกองพนัปืนเลก็ยานยนต์จะทาํการเขา้ตดีว้ยการใชร้ถถงันําและ พยายามเขา้ยดึทห่ีมายทก่ีาํหนดไว้ โดยทห่ีมายเฉพาะของกองรอ้ยปืนเลก็ยานยนตท์เ่ีป็นหน่วยนํา ทน่ี่าจะ เป็นไปไดม้ากทส่ีดุกค็อืทางแยกบรเิวณพกิดั GL ๑๒๓๔๕๖ และเนิน ๔๖๔ การรวมอาํนาจการยงิของปืนใหญ่ น่าจะเปิดฉากการยงิมายงัเนิน ๔๖๔ ในขณะทข่ีา้ศกึผ่านแนวขนั้ขาว โดยใชค้วนัเป็นฉากกาํบงัดา้นปีกซา้ย แมว้่าขา้ศกึจะมขีดีความสามารถในการใชอ้าวธุเคมแีต่ไม่น่าจะมกีารใช้หลงัจากทข่ีา้ศกึสามารถยดึทห่ีมาย ดงักล่าวน้ีไดแ้ลว้ขา้ศกึน่าจะทาํการเขา้ตตี่อไปเพ่อืยดึทห่ีมายในพน้ืทส่ีว่นหลงัของกองพนัเรา นอกจากน้ียงั คาดวา่หน่วยลาดตระเวนยานยนตล์อ้/สายพานหุม้เกราะของขา้ศกึจะเขา้มาในพน้ืทภ่ีายในไม่เกนิ๒๔ ชวั่ โมง ขา้งหน้าในการพฒันาแผ่นภาพสถานการณ์ของผบู้งัคบักองรอ้ยเพ่อืถกแถลงถงึหนทางปฏบิตัทิข่ีา้ศกึน่าจะ กระทาํการพจิารณาขนาดกาํลงัขา้ศกึจะแตกต่างกนัไปตามรปูแบบการรบ ทงั้น้ใีนการรบดว้ยวธิรีุกผบู้งัคบั กองรอ้ยจะพฒันาแผ่นภาพสถานการณ์โดยพรรณนากาํลงัขา้ศกึถงึระดบัหม่ปูืนเลก็และทต่ีงั้ยงิอาวุธ รวมทงั้ ยานพาหนะแต่ละคนัอาวธุต่อสรู้ถถงัและพลประจาํอาวุธ สาํหรบัการรบดว้ยวธิรีบักาํลงัขา้ศกึทเ่ีขา้ตสีมควร พจิารณาถงึระดบัหมวดรวมทงั้การลาดตระเวนและป้องกนัทห่ีมายของปืนใหญ่เคร่อืงมอืในการบงัคบับญัชา และควบคมุเคร่อืงกดีขวาง ตลอดจนการพจิารณาเกย่ีวกบัการใชค้วนัสารเคมกีารสนบัสนุนทางอากาศโดย ใกลช้ดิและการปฏบิตักิารลวงของขา้ศกึจะกระทาํอย่างไร ฉ. ความอ่อนแอ ตอ้งพสิจูน์ทราบความออ่นแอของขา้ศกึ โดยบางสว่นอาจเป็นผลจากกระบวนการ จาํลองยุทธ์์แลว้กาํหนดวธิกีารขยายผลต่อความอ่อนแอดงักล่าว


๔๒ ๒ - ๑๗ การวิเคราะห์กําลังฝ่ ายเรา ผู้บังคับกองร้อยวิเคราะห์กําลังที่มีอยู่ของตนเอง เพื่อให้มั่นใจว่าได้รู้ถึง สถานภาพปัจจุบันของกองร้อย พร้อมทั้งพิจารณาสถานการณ์ฝ่ายเดียวกัน เพื่อกําหนดว่าหน่วยข้างเคียง และหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ มีผลกระทบต่อภารกิจของตนเองอย่างไรบ้าง โดยมีความมุ่งหมายในขั้นตอนนี้ก็ เพื่อพิสูจน์ทราบทรัพยากรที่มีอยู่ และข้อจํากัดใหญ่ ๆ ที่มีผลจากการสู้รบที่เพิ่งผ่านมาเมื่อเร็ว ๆ นี้ ด้วยการ พิจารณาปัจจัยเกี่ยวกับที่ตั้ง การประกอบกําลัง สถานภาพสิ่งอุปกรณ์และความเข้มแข็งของกําลังพลใน ปัจจุบัน โดยเพ่งเล็งเป็นพิเศษในเรื่องการสูญเสียผู้บังคับหน่วยหลักและอาวุธ สถานภาพกระสุนและขวัญของ กําลังพล นอกจากนี้ผู้บังคับกองร้อยยังต้องพิจารณาการจัดเฉพาะกิจปัจจุบันและแผนที่จะเปลี่ยนมีหรือไม่ รวมทั้งขีดความสามารถของหน่วยสมทบและหน่วยสนับสนุนต่าง ๆ ตลอดจนกําหนดลําดับความเร่งด่วน ของกองร้อยในการยิงสนับสนุนตามลําดับความเร่งด่วนของกองพัน นอกจากนี้ยังมีข้อพิจารณาอื่น ๆ ประกอบด้วย ก. ที่ตั้งขบวนสัมภาระของกองพันและที่พยาบาล ข. ที่ตั้งของที่บังคับการหลักของกองพันและกลุ่มบังคับบัญชา ๒ - ๑๘ การวิเคราะห์ปัจจัยเวลา ผู้บังคับกองร้อยปรับปรุงประมาณการเวลาและตารางการใช้อย่างต่อเนื่อง โดยพิจารณาเวลาตามที่กําหนดมาในคําสั่งยุทธการของกองพันและเวลาที่สําคัญอื่น ๆ ซึ่งเป็นผลลัพธ์จากการ วิเคราะห์สถานการณ์ของตนเอง ซึ่งจะช่วยทําให้หน่วยรองเกิดการประสานสอดคล้อง ผู้บังคับกองร้อยจะทํา การประเมินเวลาและพื้นที่ (ข้อพิจารณาสําหรับหน่วยโดยเฉพาะที่จะเคลื่อนที่เข้ามารับสถานการณ์อย่างไร เวลาที่ต้องการ รูปขบวนที่ใช้และอื่น ๆ ตลอดห้วงการประมาณสถานการณ์ ๒ - ๑๙ การพัฒนาหนทางปฏิบัติหนทางปฏิบัติที่กําหนดขึ้นจะต้องมีความเป็นไปได้ในการที่จะทําให้ภารกิจ ของกองร้อยบรรลุความสําเร็จ โดยจะมีรายละเอียดเท่าที่จําเป็นอย่างชัดเจนว่าหน่วยจะทําอย่างไรในการที่จะ บรรลุภารกิจ และเพื่อนําไปใช้ในการจําลองยุทธ์อย่างมีประสิทธิภาพภายหลังในขั้นที่ ์๓ ของการประมาณ สถานการณ์ โดยปกติขั้นตอนในการดําเนินกลยุทธ์จะอยู่ในแผ่นภาพสังเขปหนทางปฏิบัติ การอธิบายการ เคลื่อนย้ายกําลังของหมวดปืนเล็ก ตอนต่อสู้รถถังและ ตอน ค. ตลอดจนทรัพยากรที่มีความสําคัญอื่น ๆ เช่น หน่วยสมทบอาวุธ หรือทหารช่างที่มาสนับสนุน ก. โดยปกติ ๒ - ๓ หนทางปฏิบัติจะได้รับการพัฒนาขึ้นมา อย่างไรก็ดี เวลาที่มีอยู่ในการวางแผน อาจจํากัดให้ผู้บังคับกองร้อยกําหนดได้เพียงหนทางปฏิบัติเดียว ในกรณีนี้รองผู้บังคับกองร้อยอาจช่วยในการ พัฒนา หนทางปฏิบัติและจําลองยุทธ์ที่เหลือให้กับผู้บังคับกองร้อย ทั้งนี้ในแต่ละหนทางปฏิบัติจะต้องมี ์ องค์ประกอบ ได้แก่ ๑) ความเป็นไปได้ ในการบรรลุภารกิจและสนับสนุนแนวความคิดของผู้บังคับกองร้อย ๒) มีเหตุผล โดยกองร้อยยังคงมีกําลังที่มีประสิทธิภาพหลังจากสําเร็จภารกิจ ๓) มีความแตกต่างระหว่างหนทางปฏิบัติอย่างเด่นชัด ไม่ใช่แตกต่างกับหนทางปฏิบัติอื่น ๆ เพียงเล็กน้อย ข. ในระหว่างการวิเคราะห์สถานการณ์ ผู้บังคับกองร้อยจะรวบรวมข้อเท็จจริง การพิจารณาเหตุผล และวิเคราะห์อนาคต โดยเฉพาะก่อนการพัฒนาหนทางปฏิบัติจะต้องกําหนดข้อเท็จจริงที่วิกฤติที่สุดและ พิจารณาอย่างมีเหตุผล เพื่อเตรียมเพ่งเล็งเป็นพิเศษในระหว่างกรรมวิธีพัฒนาหนทางปฏิบัติ ดังตัวอย่าง ต่อไปนี้ ๑) จุดแตกหักที่สามารถเป็นไปได้ จะกําหนดขึ้นจากการสนธิการวิเคราะห์ภูมิประเทศและ ข้าศึก ๒) เวลาในการวางแผนมีอย่างจํากัด ต้องการตัดสินใจทันทีและปฏิบัติรวดเร็ว ๓) ความขาดแคลนกระสุนปืนกลอยู่ในสภาวะวิกฤติ


๔๓ ๔) ความผิดพลาดในการพิสูจน์ทราบเกี่ยวกับที่ตั้งยิงอาวุธของข้าศึก จะเป็นผลให้เกิดความ อ่อนแอในการตั้งรับ ๕) การขาดความสมบูรณ์ของข่าวสารเกี่ยวกับกําลังข้าศึก ค. ปัจจัยวิกฤตดังกล่าวนี้ตลอดจนภารกิจแถลงใหม่ ข้อเท็จจริงอื่น ๆ และการพิจารณาเหตุผลต่าง ๆ จะจัดเตรียมไว้เพ่งเล็งในขณะทําการพัฒนาหนทางปฏิบัติ โดยในแต่ละหนทางปฏิบัติควรเริ่มต้นพัฒนาจากจุด ตกลงใจที่สามารถเป็นไปได้ ถ้ามีสิ่งใดไม่อาจพิสูจน์ทราบได้ การพิจารณาให้เพ่งเล็งไปยังความมุ่งหมายของ ภารกิจกองร้อย ดังนี้ ๑) ยึดหรือรักษาพื้นที่ ซึ่งจะกําหนดอะไรคือภูมิประเทศสําคัญยิ่ง ดังนั้นถ้าพิสูจน์ทราบ ภูมิประเทศสําคัญยิ่งได้แล้ว จุดแตกหักก็น่าจะอยู่ ณ ตําบลดังกล่าวนี้ ๒) ทําลายข้าศึก ซึ่งจะกําหนดอะไรคือความอ่อนแอของข้าศึกโดยอาจเป็นผลมาจากการจัด หน่วยหลักนิยมการรบหรือการวางกําลังบนพื้นดิน ทั้งนี้อาจมีหน่วยอาวุธหรือเครื่องมือที่มีความล่อแหลม ซึ่ง มีความสําคัญยิ่งต่อข้าศึก ถ้าถูกทําลายไปจะมีผลกระทบรุนแรงต่อขีดความสามารถในการก่อให้เกิดอํานาจ กําลังรบของข้าศึก การปฏิบัติการลวงอาจทําให้ข้าศึกตอบโต้จนเปิดเผยจุดอ่อน ถ้าไม่สามารถพิสูจน์ทราบ จุดอ่อนของข้าศึกได้อย่างชัดเจน จะต้องค้นหาความเข้มแข็งเพื่อวางแผนหลีกเลี่ยง ในขณะที่พยายามทําให้ ข้าศึกเกิดความอ่อนแอด้วยการดําเนินกลยุทธ์หรือการยิงของกองร้อย ๓) การระวังป้องกันกําลังฝ่ายเดียวกัน ซึ่งจะกําหนดส่วนที่ล่อแหลมมากที่สุดของกําลังฝ่าย เดียวกัน พร้อมทั้งพิจารณาว่าข้าศึกจะทําอย่างไรในการเข้าตีหน่วยดังกล่าวนี้ โดยให้ความสนใจต่อภูมิประเทศ ซึ่งทําให้ข้าศึกได้เปรียบและพิจารณาถึงแนวทางเคลื่อนที่ที่ข้าศึกน่าจะใช้เข้าสู่ภูมิประเทศนี้ ทั้งนี้จากการ วิเคราะห์ดังกล่าวนี้ ผู้บังคับกองร้อยจะสามารถพิสูจน์ทราบพื้นที่ที่มีความเสี่ยงมากที่สุด และจุดแตกหักที่ เป็นไปได้ ง. เมื่อใดที่ผู้บังคับกองร้อยสามารถพิสูจน์ทราบจุดแตกหักที่เป็นไปได้แล้ว จะทําการพัฒนาหนทาง ปฏิบัติด้วยกรรมวิธีดังต่อไปนี้ ๑) กําหนดจุดแตกหักและเวลาที่จะรวมอํานาจกําลังรบ ๒) กําหนดผลลัพธ์ที่ต้องการทําให้สําเร็จ ณ จุดแตกหักเพื่อให้บรรลุภารกิจ ๓) กําหนดความมุ่งหมายที่จะต้องทําให้สําเร็จด้านความพยายามหลักและความพยายามรอง (ความพยายามรองจะต้องเชื่อมโยงกับความมุ่งหมายด้านความพยายามหลักอย่างชัดเจน) ๔) กําหนดกิจสําคัญยิ่งสําหรับหน่วยรอง (ความพยายามหลักและความพยายามรอง) ที่จะทํา ให้สําเร็จตามความมุ่งหมายดังกล่าวนี้ ๕) การจัดเฉพาะกิจระดับหมู่เพื่อการบรรลุแต่ละภารกิจที่กําหนดขึ้น (การขาดความเป็น ปึกแผ่นเมื่อมีการโยกย้ายหมู่ไปยังหมวดอื่นจะมีความล่อแหลม ดังนั้นโดยปกติจะไม่ทําการสมทบหมู่ข้าม หมวด) ๖) กําหนด การบังคับบัญชาและการควบคุม (กองบังคับการหมวด ผู้บังคับตอน รองผู้บังคับ กองร้อยและจ่ากองร้อย) รวมถึงผู้บังคับหน่วยอื่น ๆ ในกองร้อยที่ใช้ตามความต้องการ ๗) ทําการจัดเฉพาะกิจทั่วไปให้มีความสมบูรณ์ ด้วยการกําหนดหน้าที่ให้กับหน่วยในอัตรา และหน่วยที่ขึ้นสมทบทั้งหมด ๘) กําหนดมาตรการควบคุมที่มีความชัดเจนและสนับสนุนความสําเร็จของหมวดที่ได้รับมอบ ภารกิจ (อาจรวมทั้งเวลาวิกฤติสําหรับเหตุการณ์ที่สําคัญ) ๙) เตรียมการแถลงหนทางปฏิบัติพร้อมด้วยแผ่นภาพสังเขป


๔๔ ๑๐) ทบทวนกรรมวิธีดังกล่าวนี้เพื่อให้ได้หนทางปฏิบัติเพิ่มเติม (หนทางปฏิบัติอื่น ๆ อาจ เกิดขึ้นพร้อมด้วยจุดแตกหักที่แตกต่างจากเดิม หรืออาจรวมอํานาจกําลังรบที่เหมือนกัน โดยใช้กิจเฉพาะ ความมุ่งหมาย ที่ตั้งและปัจจัยอื่น ๆ ที่แตกต่างกัน) จ. ข้อพิจารณาระหว่างการพัฒนาหนทางปฏิบัติ มีดังต่อไปนี้ ๑) พื้นที่ใดที่สามารถเพิ่มนํ้าหนักขีดความสามารถให้กับด้านความพยายามหลัก โดยมีความ เสี่ยงที่ยอมรับได้ อะไรที่น่าจะกระทําของการปฏิบัติดังกล่าวนี้เพื่อให้ประสพชัยชนะโดยเด็ดขาด ๒) เครื่องมืออะไรที่มีความจําเป็นต่อหน่วยรอง สําหรับการบรรลุกิจเฉพาะและความมุ่งหมาย ที่ได้รับมอบ ทั้งนี้ต้องให้มั่นใจว่าความพยายามหลักได้รับทรัพยากรเป็นหน่วยแรกถ้าทรัพยากรที่เหลือไม่ สามารถประกันการบรรลุภารกิจด้านความพยายามรองได้ จะต้องเปลี่ยนแปลงกิจเฉพาะหรือปรับปรุงความมุ่ง หมายด้านความพยายามรอง ทั้งนี้อย่าได้นําทรัพยากรด้านความพยายามหลัก ไปใช้เพื่อลดความเสี่ยงใน พื้นที่มีความสําคัญน้อยกว่า ๓) ทําให้มั่นใจว่าการสนับสนุนซึ่งกันและกันสามารถปฏิบัติได้ สิ่งนี้จะทําได้ด้วยการกําหนด ที่ตั้งของหน่วยและอาวุธให้มีความสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน หรืออาจจะทําให้สําเร็จด้วยการเชื่อมต่อความมุ่ง หมายของหน่วยรองให้ชัดเจน บ่อยครั้งในระหว่างการปฏิบัติแบบแยกการการสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่าง ความพยายามหลักและความพยายามรองมักจะขึ้นอยู่กับการเชื่อมต่อความมุ่งหมายในภารกิจของหน่วยที่ ชัดเจน ๔) หน่วยรองมีเสรีในการปฏิบัติอย่างไรบ้าง ใช้มาตรการควบคุม (เส้นหลักการรุก ฐานออกตี ที่มั่นเตรียมตะลุมบอน ที่หมาย ที่มั่นรบ พื้นที่โจมตี.....) เพื่อให้มีการประสานสอดคล้องในการปฏิบัติของ หน่วยรองโดยไม่จํากัดความคิดริเริ่ม ฉ. ส่วนที่สําคัญของหนทางปฏิบัติคือการปฏิบัติการรบในพื้นที่แตกหัก (ปกติอยู่ ณ ที่หมาย) ซึ่ง จะต้องดําเนินการให้สมบูรณ์ อาจมีความต้องการในรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อที่จะนําไปสู่การจําลองยุทธ์ของแต่์ ละหนทางปฏิบัติจากเริ่มต้นจนจบ ซึ่งอาจประกอบด้วย ๑) การเคลื่อนที่ก่อนการดําเนินกลยุทธ์ ณ จุดแตกหักหรือการปฏิบัติแตกหักที่ติดตามมา ๒) ที่ตั้งเครื่องมือในการสู้รบ ดังเช่น ที่บังคับการกองร้อย เครื่องยิงลูกระเบิด หรือขบวน สัมภาระของกองร้อย และการกําหนดภารกิจให้กับส่วนต่าง ๆ ๓) การกําหนดมาตรการควบคุมการยิงหรือสัญญาณเพิ่มเติม ๔) การตกลงใจเกี่ยวกับนํ้าหนักบรรทุกของทหารตามความจําเป็น เช่น การปลดเครื่องหลัง จรวดดรากอน หรือเครื่องยิงลูกระเบิดไว้ข้างหลังก่อนการเข้าตี ถ้ารายละเอียดใดตามที่กล่าวมาแล้วไม่มีความจําเป็นต่อความชัดเจนของหนทางปฏิบัติ หรือไม่ ส่งผลต่อความสมบูรณ์ของกระบวนการจําลองยุทธ์ ก็ไม่จําเป็นที่จะต้องนํารายละเอียดดังกล่าวนี้มาพิจารณา ประกอบในการจําลองยุทธ์ เพื่อไม่ให้การจําลองยุทธ์มีความยุ่งยากมากขึ้น ช. แผ่นภาพของหนทางปฏิบัติจะช่วยเพิ่มความชัดเจน ซึ่งควรจะเป็นภาพลายเส้นที่รวบรวมเอา โครงร่างการดําเนินกลยุทธ์ของแต่ละหนทางปฏิบัติ มาตรการควบคุมที่เป็นลายเส้นที่ถูกต้องควรจะนํามาใช้ รวมทั้งภาพลายเส้นเพิ่มเติมที่อาจทําให้หนทางปฏิบัติมีความชัดเจน เมื่อใดที่มีการใช้แผ่นภาพแนวความคิดใน การปฏิบัติ (ส่วนหนึ่งของคําสั่งยุทธการ) ภาพลายเส้นใดที่ไม่เป็นมาตรฐานต้องมีคําอธิบายต่อท้าย ดังตัวอย่าง แสดงแผ่นภาพหนทางปฏิบัติในการเข้าตี (รูปที่ ๒ - ๗) และการตั้งรับ (รูปที่ ๒ - ๘) สําหรับข้อมูลเพิ่มเติม ในการพัฒนาแผ่นภาพแนวความคิดในการปฏิบัติตาม ผนวก ช ๑) หนทางปฏิบัติในการเข้าตี (รูปที่ ๒ - ๗)


๔๕ ก) แถลงภารกิจของกองร้อย กองร้อยอาวุธเบาที่ ๑ กองพันทหารราบที่ ๒ เข้าตีใน ๑๙๐๖๐๐ ต.ค.๔๐ เพื่อยึดพื้นที่สูงข่มบริเวณ NB ๔๕๙๒๗๐ (ที่หมาย ก) เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึกขัดขวาง การเข้าตีของกองพันทหารราบที่ ๓ (ความพยายามหลักของกรม) ข) แถลง หนทางปฏิบัติ กองร้อยผ่านแนวออกตีเวลา ๐๖๐๐ ตามทิศทางเข้าตีนํ้าเงิน และเข้าครอบครองจุดนัดพบ ณ ที่หมาย หลังจากการลาดตระเวนของผู้บังคับหน่วยจะใช้กําลัง ๑ มว.ปล. (-) (๒ หมู่ ปล. ๒ ดรากอน และ ค.๖๐ มม.) เข้ายึดครองที่มั่นสนับสนุนบริเวณใกล้ เนิน ๔๕๕ สําหรับการยิงกด ข้าศึกเพื่อสนับสนุนการเข้ายึด ที่หมาย ก. ตอนต่อสู้ยานเกราะ ติดตามหมวดสนับสนุนไปยังจุดตรวจสอบ ๑ แล้วทําการจัดตั้งที่มั่นซุ่มยิงบริเวณทางแยกของถนน NB ๔๕๙๒๖๐ เพื่อทําการโดดเดี่ยวที่หมาย ก. สําหรับ ๒ หมวดที่เหลือ (หมวดละ ๓ หมู่) เข้ายึดที่มั่นเตรียมตะลุมบอน หมวดนําจะทําการเข้ายึดที่ตั้งหมู่ของข้าศึก ทางด้านตะวันตกที่หมาย ข.) เพื่อให้หมวดที่ตามมาผ่านเข้ายึดภูมิประเทศแตกหัก หมวดที่ตามมา (ความ พยายามหลัก) ยังคงอยู่ที่ฐานออกตี เมื่อได้รับคําสั่งจะเคลื่อนที่ผ่านหมวดนํา เข้ายึดพื้นที่สูงข่ม บริเวณ NB ๔๕๙๒๗๐ (ที่หมาย ค.) เพื่อรบกวนการบังคับบัญชาและการควบคุมของข้าศึกและเข้าครอบครองที่ตั้งหมู่ที่ เหลือ หลังจากนั้นทําลายข้าศึกที่เหลือจากที่ตั้งปัจจุบันไปทางด้านทิศใต้และตะวันออก เพื่อป้องกันไม่ให้ข้าศึก ขัดขวางการเข้าตีของกองพันที่ ๓ โดยใช้จ่ากองร้อยและ ๑ หมู่ ปล. เคลื่อนที่ตามและสนับสนุนความพยายาม หลักในการเพิ่มเติม สป. ๕ และการส่งกลับทางการแพทย์ ๒) หนทางปฏิบัติของการตั้งรับ (รูปที่ ๒ - ๘) ก) แถลงภารกิจ กองร้อยที่ ๓ กองพันทหารราบที่ ๒ ปฏิบัติการตั้งรับไม่ช้ากว่า ๒๘๑๗๐๐ ส.ค.๔๐ เพื่อทําลายกําลังของข้าศึกจาก GL ๓๗๕๖๕๑ ถึง GL ๓๗๓๖๖๕ เพื่อป้องกันข้าศึก โอบล้อมกองร้อยที่ ๑ (ความพยายามหลัก) ข) แถลงหนทางปฏิบัติ กองร้อยทําการตั้งรับด้วย ๒ มว.ปล. ในพื้นที่ตั้งรับหน้า และ ๑ มว.ปล.ในที่มั่นรบทางลึก กําลังในพื้นที่ตั้งรับหน้าจัด ๑ มว.ปล.(-) หรือ ๒ หมู่ ปล. ทําลายกําลังข้าศึกที่เข้ามา ทางทิศเหนือ เพื่อป้องกันข้าศึกผ่านเข้าด้านหมวดที่เป็นความพยายามหลัก จัด ๑ มว.ปล. (๓ หมู่ ปล.และ ๒ ดรากอน) ทําลายข้าศึกที่เข้ามาทางทิศใต้เพื่อป้องกันข้าศึกรวมกําลังเข้าตีด้านความพยายามหลักของกองร้อย หมวดที่เป็นความพยายามหลัก (๓ หมู่ ปล.และ ๒ โทว์) ยึดรักษาเนิน ๖๕๗ เพื่อป้องกันการถูกโอบจากทาง ทิศใต้ของกองร้อยที่ ๑ (ความพยายามหลักของกองพัน) ตอนต่อสู้รถถังจัดตั้งที่มั่นซุ่มยิงบริเวณทางแยก ถนน (พิกัด GL ๓๗๗๖๕๓) เพื่อทําลายยานพาหนะข้าศึกป้องกันการรวมอํานาจกําลังรบเข้าตีหมวดที่เป็น ความพยายามหลัก โดยทําการยิงเมื่อส่วนลาดตระเวนข้าศึกเข้ามาถึงทางแยกหลักโดยทําการยิงเมื่อส่วน ลาดตระเวนข้าศึกเข้ามาถึงทางแยกดังกล่าวนี้ สําหรับเครื่องยิงลูกระเบิดของกองร้อยให้ตั้งยิงอยู่บริเวณ พิกัด GL ๓๗๗๖๖๔ ๒ - ๒๐ การวิเคราะห์หนทางปฏิบัติ ขั้นที่ ๓ การประมาณสถานการณ์คือการวิเคราะห์หนทางปฏิบัติ การ วิเคราะห์จะกระทําด้วยการจําลองยุทธ์ (วาดภาพการรบ) หนทางปฏิบัติของฝ่ายเราต่อหนทางปฏิบัติที่เป็นไป ได้มากที่สุดของข้าศึก ในขั้นตอนนี้ของการประมาณสถานการณ์ทําให้มั่นใจว่าหนทางปฏิบัติสามารถปฏิบัติได้ ทั้งนี้ผู้บังคับกองร้อยต้องมีความเข้าใจการสู้รบจะเกิดขึ้น ณ พื้นที่ใดและอย่างไร พร้อมทั้งแสดงให้เห็นโดย ชัดเจนว่าพื้นที่ใดที่กองร้อยจะเกิดความเสี่ยง พื้นที่ใดและเมื่อใดที่อาจต้องการความตกลงใจรวมทั้งข้อดีและ ข้อเสียของแต่ละหนทางปฏิบัติด้วย แต่ยังไม่ต้องเริ่มการเปรียบเทียบหนทางปฏิบัติของฝ่ายเรา ในกระบวนการ การประมาณสถานการณ์ขั้นตอนนี้ การเปรียบเทียบจะเกิดขึ้นในขั้นที่ ๔ ก. เทคนิค เทคนิคพื้นฐานในการจําลองยุทธ์ประกอบด้วย การวาดภาพการรบตามพื้นที่สําคัญ การ วาดภาพการรบตามแนวกว้างพื้นที่ปฏิบัติการ และการวาดภาพการรบตามแนวทางเคลื่อนที่


๔๖ ๑) การวาดภาพการรบตามพน้ืทส่ีาํคญัวธิกีารน้ีจะถูกใชเ้พ่อืเพ่งเลง็การจาํลองยุทธไ์ปยงัพน้ืท่ี เฉพาะแห่งในสนามรบ ซง่ึอาจจะเป็นพน้ืทท่ีห่ีมาย พน้ืทโ่ีจมตหีรอืพน้ืทว่ีกิฤตอิ่นืๆ ซง่ึการปฏบิตัแิตกหกัจะ เกดิขน้ึผบู้งัคบักองรอ้ยใชว้ธิกีารพจิารณาเช่นเดยีวกบัการปฏบิตัิ- การต่อตา้นการปฏบิตัิ- การตอบโตก้าร ปฏบิตัิแต่จะตอ้งจาํกดัการพจิารณาของตนเองใหอ้ย่เูฉพาะภายในพน้ืทส่ีาํคญัขนาดของพน้ืทส่ีาํคญัท่ี จะตอ้งพจิารณาจะถูกกาํหนดโดยสถานการณ์แต่จะรวมทงั้หน่วยและการปฏบิตัทิม่ีผีลกระทบต่อการรบ แตกหกัเม่อืมเีวลาทจ่ีาํกดัเทคนิคน้ีจะทาํ ใหม้นั่ ใจไดว้่ากระบวนการจาํลองยุทธพ์จิารณาถงึการรบแตกหกัแต่ ขอ้เสยีคอืการปฏบิตัหิรอืเหตุการณ์วกิฤตอิ่นืๆ อาจไม่ไดร้บัการพจิารณา รปูท ี่ ๒ - ๗ ภาพรา่งหนทางปฏิบตัิการรกุ


Click to View FlipBook Version