๒๔๗ ๒) ถ้าการทําสัญญาณอยู่บนที่หมาย ผู้ ร้องขอจะบอก “ ถูกตําบลหมาย ” ๓) ถ้ามีการใช้อากาศยานหลายแบบในการโจมตีทําลาย อากาศยานลําที่ ๒ สามารถที่จะได้รับ การปรับจากการทิ้งระเบิดของอากาศยานลําแรก “ จากเครื่องนําระเบิด ๔๐๐ ม. ทางใต้ ” ๔) สําหรับใน ๘ บรรทัดแรก จะให้เพียงข่าวสาร ไม่ต้องอ่านหัวข้อหรือหมายเลขบรรทัด สําหรับ บรรทัดที่ ๙ ให้ระบุว่าเป็นทิศทางบินออกเสมอก่อนที่จะให้ข่าวสารต่อ ” ๕) ในการหยุดภารกิจในเวลาใด ก่อนที่จะมีการปล่อยระเบิดผู้ร้องขอจะบอก “ ยกเลิก ยกเลิก ยกเลิก ” ๑. จุดเริ่ม : เนิน ๔๒๕ (จุดเริ่มต้นนี้ สําหรับอากาศยานใช้เป็นตําบลสําหรับวิถีของลูกระเบิด ควรเป็นจุดเด่น) ๒. มุมภาค : ๙๕ ( สิ่งนี้จะเป็นการหันทิศจากจุดเริ่มไปยังเป้าหมาย โดยให้เป็นองศาแม่เหล็กในช่วงเวลานี้ ผู้ร้องขอจะต้องให้ระยะแนวแกนว่าเป็นทางซ้ายหรือขวา ซึ่งใช้เพื่อ ก. ช่วยนักบินในการรู้ถึงเป้าหมาย ข. กําหนดที่ตั้งของอากาศยานให้ขนานหรือเกือบขนานกับกําลังฝ่ายเรา ค. กําหนดที่ตั้งของอากาศยานสําหรับเครื่องมือเลเซอร์ ง. กําหนดให้อากาศยานหลีกเลี่ยง อาวุธ ปตอ. ของข้าศึก ๓. ระยะ : ๕.๗ ( ระยะนี้ (ทศนิยม ๑ ตําแหน่ง) จากจุดเริ่มไปยังเป้าหมายแบบนอติคอลไมล์) ๔. ระดับเป้าหมาย : ๓๔๐ ฟุตระดับนํ้าทะเล ( กําหนดความมุ่งหมายเป้าหมาย เป็นฟุตจากระดับนํ้าทะเล) ๕. อธิบายเป้าหมาย : ยานเกราะ ๗ คัน (คําอธิบายที่สั้นกระชับของเป้าหมายที่จะให้นักบินมองหา) ๖. ที่ตั้งเป้าหมาย : NJ ๕๗๒๘๙๕ (กําหนดเป็นพิกัดกริด ๖ ตัว) ๗. แบบหมายสัญญาณ : WP รหัส : (ไม่มี) (วิธีการทําสัญญาณหมายเป้าหมายที่จะใช้ตามปกติจะอยู่ในระยะ ๓๐๐ ม. และ ๓๐ วินาที ก่อนที่เวลาเครื่องบินจะอยู่เหนือเป้าหมาย รหัสจะต้องการก็ต่อเมื่อใช้เครื่องมือเลเซอร์ในการ พิสูจน์ทราบคลื่น) ๘. ฝ่ายเรา : ทางตะวันตก ๔๐๐ ม. ( กําหนดเป็นมุมภาคทิศ และระยะเป็นเมตรจากเป้าหมายไปยังฝ่ายเราที่อยู่ใกล้ที่สุด) ๙. ทิศทางบินออก : ใต้ ( เป็นทิศทางที่ออกจากพื้นที่เป้าหมาย โดยให้เป็นมุมภาคทิศ) รูปที่ ๗ - ๓ คําขอการสนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิด ๙ บรรทัด
๒๔๘ บทที่ ๘ การสนับสนุนการช่วยรบ “ ผู้บังคับบัญชาหน่วยทางยุทธวิธีสามารถ ทําให้ศักยภาพการรบของหน่วยถึงขีดสูงสุด และบรรลุใน การประสานสอดคล้องของการปฏิบัติการได้ก็ด้วยการใช้ระบบในการดํารงความต่อเนื่อง อย่างมีประสิทธิภาพ เท่านั้น เขาเหล่านี้จะต้องประกันว่าแผนการทางยุทธวิธีเหล่านั้นมีสภาพความเป็นจริงในการที่จะสะท้อนให้เห็น ถึงข้อจํากัดในการส่งกําลังบํารุง และมีการขยายผลขีดความสามารถในการสนับสนุนการช่วยรบอย่างเต็มที่ ” รส. ๑๐๐ - ๕ ก. การปฏิบัติการสนับสนุนการช่วยรบเป็นส่วนสําคัญมาก ในการปฏิบัติของทหารราบ ประสิทธิภาพ ของการสนับสนุนการช่วยรบ อาจจะกําหนดความสําเร็จหรือความล้มเหลวของหน่วย เช่นเดียวกับการ สนับสนุนการรบ การสนับสนุนการช่วยรบจะเป็นตัวคูณอํานาจกําลังรบเช่นกัน การสนับสนุนการช่วยรบที่ ก่อให้เกิดผลกระทบอย่างมากต่อการปฏิบัติการทางยุทธวิธีของกองร้อยอาวุธเบาได้แก่ นํ้าหนักบรรทุกของ ทหาร ข. ในระหว่างการยกพลขึ้นบกที่นอร์มังดี การสูญเสียจํานวนมากเกิดจากสาเหตุของการแบกนํ้าหนัก บรรทุกเกินขนาดของทหารสหรัฐในขณะที่ทหารสหรัฐพยายามที่จะขึ้นฝั่งและข้ามชายหาด กองร้อยที่ ๓ ของ กองพันทหารราบที่ ๖ ได้บาดเจ็บและสูญเสียไปถึง ๑๐๕ คน ในวันเดียวในเหตุการณ์นี้ทหาร ๑๐๔ คน สูญเสียที่ชายหาด โดยส่วนใหญ่เกิดจากการบรรทุกเกิน ทหารหลายคนล้มลงตรงแนวชายนํ้าและจมนํ้าตาย จากการขึ้นของกระแสนํ้า นํ้าหนักบนหลังมีมากเกินไปจนทําให้ทหารเคลื่อนที่ไปได้เพียงไม่กี่ก้าว ก่อนที่จะ ล้มลงบนทรายในการนี้ต้องใช้เวลามากกว่า ๑ ชั่วโมง สําหรับกองร้อยในการเคลื่อนที่ ๒๕๐ ม. ในการข้ามหาด ค. ทหารพลร่มที่กระโดดลงที่นอร์มังดี บรรทุกสิ่งของต่อไปนี้ ๑) ปลยบ. ๘๘ หรือ ปสบ.๘๗ ๑ กระบอก ๒) กระสุน ๘๐ นัด ๓) ระเบิดมือ ๒ ลูก ๔) ทุ่นระเบิด ๑ ลูก ๕) ถุงสนาม ๑ ใบ ๖) ชุดหลบหนี ๑ ชุด ๗) หมวกเหล็กรองใน ๑ ชุด ๘) หมวกอ่อน ๑ ใบ ๙) กางเกงใน ๑ ตัว ๑๐) ถุงเท้า ๒ คู่ ๑๑) อาหารแห้ง ๖ ชุด ๑๒) ชุดกระโดดลงนํ้า ๑ ชุด ๑๓) เครื่องแบบ ๑ ชุด ๑๔) พลั่วสนาม ๑ เล่ม ๑๕) หน้ากากป้องกันไอพิษ ๑ ชุด ๑๖) ชุดปฐมพยาบาล ๑ ชุด ๑๗) ช้อน ๑ คัน
๒๔๙ ๑๘) ที่ปกคลุมป้องกันแก๊ส ๒ ผืน ๑๙) ซัลเฟอร์ ๑ ห่อ ๒๐) อุปกรณ์ชําระล้าง ๑ ชุด ง. แม้ว่าทหารพลร่มจะต้องทําการกระโดดด้วยนํ้าหนักบรรทุกมาก แต่เมื่อถึงพื้นดินทหารแต่ละบุคคล จะทิ้งสิ่งของที่ไม่จําเป็นและออกเดินทางด้วยนํ้าหนักบรรทุกที่เบา เพราะมีความเข้าใจจากการที่ได้รับการฝึกว่า ความสําเร็จของพวกเขาจะขึ้นอยู่กับความคล่องแคล่ว การอําพรางและการจู่โจม จ. แม้ว่าหน่วยพลร่มนี้จะไม่ได้รับการเพิ่มเติม สป.หลายวัน แต่ในการบันทึกเหตุการณ์ที่หน่วยพลร่ม ยอมแพ้ก็เนื่องมาจากการขาดกระสุนเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น ฉ. การบรรทุกนํ้าหนักเกินของทหาร คําตอบที่เป็นหลักนิยมที่มีอยู่จะได้มาจากการถกแถลงกัน ภายหลังจากการศึกษาบทนี้และสิ่งที่เป็นจริงก็คือ สิ่งนี้เป็นความรับผิดชอบในการบังคับบัญชา ผู้บังคับบัญชา จะต้องยอมรับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นในทุกปฏิบัติการในการป้องกันทหารของตนมิให้เกิดความเหนื่อยล้าจากผล ของการแบกนํ้าหนักบรรทุกที่มากเกินไป ผู้บังคับหน่วยต้องบังคับให้มีวินัยในการบรรทุกสิ่งที่ต้องการในทุก หน่วยของทหารราบด้วย ตอนที่ ๑ หลักการพื้นฐาน การดํารงความต่อเนื่องของกองร้อยในการทําสงครามเป็นความท้าทายอย่างมากสําหรับผู้บังคับ กองร้อยทหารราบที่จะเผชิญ เครื่องมือในการสนับสนุนการช่วยรบของเขาจะช่วยให้เขาเอาชนะปัญหานี้ได้ ๘ - ๑ ส ิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการรบอากาศพื้นดิน ความจําเป็นในการดํารงอยู่ในสงครามอากาศพื้นดินจะ ถูกนํามาประยุกต์ใช้ในระดับกองร้อย ในการนํามาประยุกต์ใช้ข้อกําหนดเหล่านี้จะเป็นการช่วยเพิ่มอํานาจกําลัง รบของกองร้อย ข้อกําหนดในการดํารงอยู่อย่างต่อเนื่องจะประกอบด้วย การคาดการณ์ล่วงหน้า การผนึกกําลัง ความต่อเนื่อง การสนองตอบ และการปฏิบัติการอย่างฉับพลันทันที ก. การคาดการณ์ล่วงหน้า ผู้บังคับหน่วยในกองร้อยทุกนายต้องคาดการณ์ความต้องการสนับสนุนการ ช่วยรบล่วงหน้าของหน่วยตน เขาจะต้องรู้สถานภาพปัจจุบันของหน่วย และใช้เวลาเท่าไรในการได้รับการ แจกจ่ายสิ่งอุปกรณ์นั้น ๆ (นํ้า อาหาร กระสุน และอื่น ๆ ) จากข้อจํากัดในการสนับสนุนการช่วยรบใน โครงสร้างของกองร้อยที่จะทําการสนับสนุน ผู้บังคับกองร้อยจะต้องวางแผนล่วงหน้าและส่งคําร้องขอให้เร็ว ที่สุดเมื่อสถานการณ์อํานวย สิ่งนี้จะทําให้กองพันสามารถแก้ปัญหา ในการบรรจุสิ่งอุปกรณ์และส่งให้แก่ กองร้อยได้ ข. การผนึกกําลัง ในทุกปฏิบัติการที่กองร้อยปฏิบัติต้องมีความสมบูรณ์และมีการผนึกแผนการ สนับสนุนการช่วยรบอย่างเต็มกําลัง เพราะว่าเป็นความสัมพันธ์ระหว่างแผนยุทธวิธีของผู้บังคับบัญชา นํ้าหนัก บรรทุกของทหารและความต้องการในการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ ผู้บังคับบัญชาต้องพิจารณาสิ่งเหล่านี้และการ ส่งกลับผู้บาดเจ็บในขณะที่ทําการพัฒนาในแต่ละหนทางปฏิบัติ ค. ความต่อเนื่อง การสนับสนุนการช่วยรบของกองร้อยต้องมีความต่อเนื่อง โดยจะมีความวิกฤติสูงสุด ในระหว่างการรบ และหลังจากที่ภารกิจสําเร็จแล้วกิจกรรมในการสนับสนุนการช่วยรบจะกลายเป็นจุดรวมของ กองร้อย รปจ. ของกองร้อยควรจะครอบคลุมการพัก และการฝึกทบทวนของทหาร การปรนนิบัติบํารุง ยุทโธปกรณ์ การปฏิบัติในการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ การให้บริการทางศาสนา การไปรษณีย์ และการดําเนินการ กิจกรรมอื่น ๆ
๒๕๐ ง. การสนองตอบ โครงสร้างของการ สนับสนุนการช่วยรบสําหรับกองร้อยต้องมีการ สนองตอบอย่างเร็ว จากการเปลี่ยนไปของภารกิจและสถานการณ์ในการพัฒนาขีดความสามารถนี้ กองร้อยจะ มีความต้องการผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการสนับสนุนการช่วยรบที่เข้มแข็ง และ รปจ. ที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากว่า นายสิบส่งกําลัง เป็นเพียงผู้เดียวที่เป็นตัวแทนกองร้อยในขบวนสัมภาระของกองพัน เขาต้องเฝ้าติดตามสถานการณ์ทางยุทธวิธี และปรับแผนการสนับสนุนการช่วยรบเมื่อมีความจําเป็น จ. การปฏิบัติการอย่างฉับพลันทันที เพราะว่าความเคร่งครัดในระบบ สสช. และแนวทางในการรบของ กองร้อย (การปฏิบัติการแบบต่อเนื่องรูปขบวนในการกระจายกําลัง และการเคลื่อนที่ระยะไกลผ่านภูมิประเทศ ที่ยากลําบาก) ระบบ สสช. ที่มีประสิทธิภาพจะขึ้นอยู่กับความ ริเริ่มและการสร้างสรรค์ความรับผิดชอบดังกล่าว ในการสนับสนุนทหารราบ ระบบ สสช. มักจะถูกผลักดันจนถึงขีดจํากัดในการสนับสนุนแผน ๘ - ๒ การสนับสนุนของกองพัน ตอน ฝอ. ๑ - ๔ ของกองพันและ มว.บริการ มว.ยานยนต์และซ่อมบํารุง มว.เสนารักษ์ และ มว.สื่อสาร จะเตรียมการให้การสนับสนุนการช่วยรบแก่กองร้อย รายละเอียดที่อธิบายของ ตอนและหมวดดังกล่าวจะหาได้ใน รส.๗ - ๒๐ ก. การจัดการ กองร้อยจะเสนอความต้องการทั้งหมดและรายงานสถานภาพ ซึ่งจะรวมเอาการจัดการ กําลังพล ขวัญ วินัย กฎและข้อบังคับให้แก่ตอน ฝอ.๑ ของกองพัน ตอน ฝอ.๑ จะเตรียมการสนับสนุนในการ จัดการทั้งหมดให้แก่กองร้อย ข. การส่งกําลังบํารุง ตอน ฝอ.๔ ของกองพัน และหมวดบริการมีความรับผิดชอบในการเตรียมให้ กองร้อยในเรื่องสิ่งอุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ที่ต้องการในการดํารงอยู่โดยต่อเนื่อง กองร้อยจะส่งคําร้องขอและ สถานภาพทั้งหมดซึ่งได้แก่สิ่งอุปกรณ์ และยุทโธปกรณ์ให้แก่ ฝอ.๔ ฝอ.๔ และกําลังพลของ มว. บริการจะทํา การประสานงานและช่วยเหลือในการแจกจ่ายสิ่งอุปกรณ์และยุทโธปกรณ์ให้แก่กองร้อย ค. การติดต่อสื่อสาร กองร้อยจะส่งคืนเครื่องมือสื่อสารที่ใช้งานไม่ได้ให้แก่หมวดสื่อสาร โดยผ่านไป ยังจ่ากองร้อยในระหว่างการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ ซึ่งจะเป็นสถานที่ที่ทําการซ่อมบํารุงหรือส่งคืนสิ่งอุปกรณ์ ให้แก่หน่วยซ่อมบํารุงที่สูงกว่า ง. การซ่อมบํารุง โครงสร้างในการซ่อมบํารุงที่สนับสนุนในกองร้อยจะมีอย่างจํากัด ทั้งในอัตราการจัด และขีดความสามารถ วิธีการที่พึงประสงค์คือการแลกเปลี่ยนอาวุธยุทโธปกรณ์โดยตรงซึ่งมักจะทําไม่ได้ กองร้อยทหารราบจะต้องทําให้มั่นใจได้ว่าการซ่อมบํารุงของหน่วยมีประสิทธิภาพ และความต่อเนื่องเพื่อลด ความต้องการในการสนับสนุนการซ่อมบํารุงโดยตรง จ. เสนารักษ์ หมวดเสนารักษ์ ของกองพันจะให้การรักษาและส่งกลับผู้ป่วยและบาดเจ็บ มว.เสนารักษ์ จะดํารงอัตรามูลฐานของเวชภัณฑ์ไว้สําหรับกองพัน และเตรียมนายสิบเสนารักษ์ไว้ให้แก่แต่ละหมวดปืนเล็ก รถพยาบาลจะให้การสนับสนุนโดยตรงแก่กองร้อยในการส่งกลับผู้ป่วยเจ็บ หมู่พยาบาลจะจัดตั้งและปฏิบัติการ ในที่พยาบาลของกองพัน หมวดเสนารักษ์จะต้องถูกใช้ในส่วนหน้าในทุกสถานการณ์ เพื่อช่วยเหลือในความ พยายามที่จะส่งกลับผู้ป่วยเจ็บของกองร้อย ๘ - ๓ ความรับผิ ดชอบและการจัด บก.ร้อย. มีความรับผิดชอบในการประสานงานและปฏิบัติการ ในพันธกิจ สสช. ภายในกองร้อยซึ่งจะรวมเอาการรายงานสถานการณ์ปัจจุบัน การร้องขอสิ่งอุปกรณ์หรือการสนับสนุน และจากนั้นจะปฏิบัติการสนับสนุนการช่วยรบภายในหน่วยอย่างมีประสิทธิภาพ พันธกิจหลักในการ สสช. ที่ ต้องการของกองร้อยจะมีการส่งกลับผู้ป่วยเจ็บ การปฏิบัติการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ การซ่อมบํารุง และการ สนับสนุนการบริการกําลังพล ก. การวางแผน แผนและการตกลงใจที่สําคัญในการ สสช. จะกระทําโดย ผบ.พัน. ผบ.ร้อย. และ ฝอ. ๔ ซึ่งทั้ง ๒ อย่างจะได้รับการสร้างเสริมโดย ฝอ.๔ นายทหารส่งกําลัง จ่ากองร้อย รอง ผบ.ร้อย. นายสิบส่ง
๒๕๑ กําลังของกองร้อย รองผู้บังคับหมวดและผู้บังคับ หมู่ ผู้บังคับหมวดจะวางแผนและตกลงใจในการ สสช. เพื่อทําภารกิจที่ได้รับมอบให้สําเร็จตามแนวทางจาก บก.หน่วยเหนือและ รปจ. รปจ. ของหน่วยควรที่จะ มีการวางแผน การเสริม และความรับผิดชอบในรายละเอียดให้มีมาตรฐานดีพอจนเหมือนการปฏิบัติการ สนับสนุนการช่วยรบโดยปกติเท่าที่เป็นไปได้ ข. ขบวนสัมภาระ ขบวนสัมภาระของกองร้อยเป็นจุดรวมในการปฏิบัติการในการดํารงอยู่ของกองร้อย ขนาดและการประกอบกําลังของขบวนสัมภาระของกองร้อยจะแปรเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ทางยุทธวิธี ซึ่ง อาจจะไม่มีอะไรเลย นอกจากแผนวางล่วงหน้าบนพื้นดิน (มาตรการควบคุมเช่นจุดตรวจ) ในระหว่างการ ปฏิบัติการรุกที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว หรืออาจจะมียานยนต์ทางยุทธวิธี ๒ - ๕ คันในระหว่างการปฏิบัติการ เพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ ปกติขบวนสัมภาระของกองร้อยจะถูกสถาปนาขึ้นก็ต่อเมื่อมีพันธกิจในการส่งกลับ (ผู้บาดเจ็บ อาวุธ ยุทโธปกรณ์) และเมื่อมีความต้องการในการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ เมื่อใดที่กองร้อยได้รับการ แจกจ่ายรถพยาบาล ปกติแล้วจะอยู่กับขบวนสัมภาระกองร้อยด้วย ที่ตั้งขบวนสัมภาระของกองร้อยจะอยู่ใน การปกปิดและกําบัง และมีความใกล้กองร้อยเพียงพอในการสนับสนุน แต่ต้องไม่อยู่ในระยะยิงเล็งตรงของ ข้าศึก จะมีการจัดการระวังป้องกันขนาดเล็กให้ เมื่อมีการสถาปนาขบวนสัมภาระในห้วงเวลาสั้นๆ หรือเมื่อ ต้องการ และอาจจะทําโดยการกําหนดที่ตั้งของขบวนสัมภาระให้ใกล้กับหมวดและหมู่ที่เป็นส่วนกําลังรบ ค. ความรับผิดชอบของแต่ละบุคคล บุคคลดังต่อไปนี้จะมีความรับผิดชอบในการสนับสนุนการช่วยรบ ของกองร้อยได้แก่ ๑) ผบ.ร้อย จะต้องมั่นใจว่าการปฏิบัติการ สสช. จะทําให้ศักยภาพในการรบของกองร้อยตนดํารง อยู่อย่างต่อเนื่อง ผบ.ร้อย. จะต้องรวมเอาการปฏิบัติการ สสช. เข้าในแผนทางยุทธวิธี และจะเป็นผู้ให้ แนวทางแก่ผู้ที่ทําหน้าที่ในการ สสช. ๒) รอง ผบ.ร้อย. เป็นผู้ทําการประสานและกํากับดูแลความพยายามในการส่งกําลังบํารุงของ กองร้อย ในระหว่างการวางแผนจะได้รับรายงานสถานภาพจาก ผบ.หมวด/จ่ากองร้อย/ส.ประจําหมวด ทําการ ทบทวนแผนทางยุทธวิธีร่วมกับผู้บังคับบัญชาเพื่อกําหนดการ สสช. ของกองร้อยที่ต้องการ และทําการ ประสานความต้องการเหล่านี้ร่วมกับ ฝอ.๔ กองพัน ในระหว่างการปฏิบัติการ รอง ผบ.ร้อย. จะเป็นหมายเลข ๒ ในสนามรบซึ่งผู้บังคับบัญชาเป็นผู้กําหนด จะทําการกํากับดูแล การปฏิบัติการดํารงอยู่ ต้องทําให้มั่นใจว่า ความต้องการในการ สสช. ของหน่วย ที่มาสมทบได้รับการสนองตอบด้วย ๓) จ่ากองร้อย ความรับผิดชอบเพิ่มเติมทางยุทธวิธีที่มีอยู่ในบทที่ ๒ จ่ากองร้อย จะเป็นผู้ ปฏิบัติการหลักในการ สสช. ของกองร้อย ซึ่งจะปฏิบัติตามแผนการ สสช. ของกองร้อย และกํากับดูแลขบวน สัมภาระของกองร้อย ต้องทําให้มั่นใจว่า รอง ผบ.ร้อย. ได้รับรายงานสถานการณ์ปัจจุบันจากทุกหน่วยภายใต้ บังคับบัญชา ช่วยเหลือรอง ผบ.ร้อย. ในการเตรียมการ รายงาน/การร้องขอไปยังกองพัน และช่วยเหลือ รอง ผบ.ร้อย. หรือ ผบ.ร้อย. เตรียมการในข้อ ๔ ของคําสั่งยุทธการ ก) จ่ากองร้อย จะทําการส่งกําลังบํารุงทั้งหมดไปข้างหน้า การกําลังพลและการรายงานการ สูญเสีย ไปยังที่บังคับการของขบวนสัมภาระรบ กํากับดูแลในการส่งกลับผู้บาดเจ็บ สูญเสียและเชลยศึก รวมทั้งยุทโธปกรณ์ที่ชํารุด และกํากับดูแลการปฏิบัติต่าง ๆ ในการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ของกองร้อย ข) จ่ากองร้อยจะเฝ้าติดตามการปฏิบัติในการซ่อมบํารุงของกองร้อยด้วย จ่ากองร้อยจะทําการ ปฐมนิเทศและบรรจุผู้มาทดแทน ให้แก่หมู่และหมวด ตามคําแนะนําของ ผบช. จะดํารงไว้ซึ่งบัญชีทหารในการ รบของกองร้อย และจะส่งรายงานการ สสช.อื่น ตามที่ต้องการตาม รปจ. ทางยุทธวิธีของหน่วย ค) จ่ากองร้อยจะได้ข่าวสารจาก รอง ผบ.หมวด หรือ รอง ผบ.ตอน นายทหารประทวน ดังกล่าวจะมีหน้าที่รับผิดชอบในการรายงานการ สสช. ทุกอย่างตาม รปจ.ของกองร้อย
๒๕๒ ๔) นายสิบส่งกําลัง เป็นตัวแทนของ กองร้อยในขบวนสัมภาระของกองพัน ทําการ รวบรวมหีบห่อการส่งกําลังบํารุง และส่งไปข้างหน้าให้กองร้อยช่วยเหลือจ่ากองร้อยด้วยการเพิ่มเติมสิ่ง อุปกรณ์และประสานความต้องการในการ สสช. ของกองร้อยกับ นายทหารส่งกําลัง ฝอ.๔ และ ผบ.ร้อย.สสช. นอกจากนี้จะมีหน้าที่ในการส่งกลับผู้ตาย เชลยศึก และยุทโธปกรณ์ที่ชํารุด และนํากําลังพลทดแทนไปส่งให้แก่ หน่วยข้างหน้า นายสิบส่งกําลังอาจจะทําหน้าที่ในการควบคุมรถพยาบาลในเวลาที่ไม่สามารถจะอยู่ส่วนหน้า ร่วมกับกองร้อยได้ นายสิบส่งกําลังจะเฝ้าติดตามสถานการณ์ทางยุทธวิธี และทําการปรับแผนการสนับสนุนการช่วยรบให้ เหมาะสม อาจจะช่วยผู้บังคับบัญชาโดยการจัดตั้งที่เก็บสิ่งอุปกรณ์ และคาดถึงการอุปโภคบริโภคของกองร้อย ในเรื่อง อาหาร นํ้า แบตเตอรี่ โดยยึดถือข้อมูลจากการปฏิบัติการ ตอนที่ ๒ การปฏิบัติการเพ ิ่ มเติมส ิ่งอุปกรณ์ การปฏิบัติการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ ปกติแล้วจะกระทํา ๑ ครั้งต่อวัน เมื่อเป็นไปได้จะทําการปฏิบัติใน ระหว่างทัศนวิสัยจํากัด มีวิธีการหลายอย่างในการปฏิบัติการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ ในบทนี้จะอธิบายวิธีการ บางอย่าง ผู้บังคับบัญชาพิจารณาสถานการณ์เพื่อการกําหนดหนทางที่ดี ที่สุดสําหรับการเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ ให้กองร้อยของตนเอง ๘ - ๔ ความต้องการ การเพิ่มเติมสิ่งอุปกรณ์ของกองร้อย จะเป็นระบบการผลักดันไปข้างหน้าเป็นหลัก กองร้อยจะได้รับบรรจุ สป.ตามมาตรฐานของสิ่งอุปกรณ์ จากกองพันโดยยึดถือปัจจัยในการใช้ที่ผ่านมาและ ประมาณการในการวางแผน รูปที่ ๘ - ๑ จะบอกถึงประเภทของสิ่งอุปกรณ์ ก. ฝอ.๔ จะเป็นผู้วางแผนการบรรจุ สป. ปกติแล้วสิ่งอุปกรณ์จะได้รับการจัดและรวบรวมที่ขบวน สัมภาระพักของกองพัน โดยนายสิบส่งกําลังของกองร้อยภายใต้การกํากับดูแลของ ผบ.ร้อย.สสช. และ นายทหารส่งกําลัง ถ้าเป็นไปได้ สป. ควรที่จะครบทุกชนิด ยุทโธปกรณ์และสิ่งที่กําลังพลต้องการในการดํารง อยู่ของกองร้อยใน ๒๔ ชั่วโมงข้างหน้า หรือจนกว่าจะมีการส่ง สป. ข. การร้องขอ สป. จะถูกส่งไปยัง ฝอ.๔ ของกองพันซึ่งอยู่ที่บังคับการของขบวนสัมภาระรบ โดยอาจจะ ส่งไปยัง ฝอ.๔ โดยเครือข่ายธุรการและส่งกําลัง ผ่านไปยังนายสิบส่งกําลังของ กองร้อย หรือโดยพลนําสาร ของกองร้อย ถ้าข่ายธุรการและส่งกําลังไม่ปลอดภัย การรายงานควรมีการเข้ารหัสตาม นปส. ค. การรายงานสถานภาพของกองร้อย จะถูกเปลี่ยนให้เป็นคําขอสิ่งอุปกรณ์อยู่เสมอ หรืออาจจะให้ ข่าวสารเพื่อให้ ฝอ.๔ สามารถคาดความต้องการของกองร้อยได้ล่วงหน้า ตัวอย่างเช่น ยอดรวมกําลังพลแต่ละ วันที่ส่งมาจาก ฝอ.๑ จะแสดงให้เห็นจํานวนกําลังพลในสนามที่ ฝอ.๔ สามารถใช้ในการวางแผนการ เพิ่มเติม สป.๑ ได้
๒๕๓ รปูท ี่ ๘ - ๑ ประเภทต่าง ๆ
๒๕๔ ๘ - ๕ การแจกจ่ายส ิ่งอุปกรณ์จากกองพันไปยัง กองร้อย กองร้อยจะได้รับ สป.จากกองพัน ด้วย การส่งมาเป็น สป. ด้วยการส่งกําลังบํารุงหรือจัดตั้งไว้ในตําบลที่เหมาะสมก่อน ดู รส.๗ - ๒๐ สําหรับ กระบวนการนี้ในรายละเอียด ก. สป. ในการส่งกําลังบํารุง เมื่อใดที่ สป.ได้มีการสะสมในขบวนสัมภาระพัก ก็จะมีความพร้อมที่จะ เคลื่อนย้ายไปข้างหน้า ภายใต้การควบคุมของนายสิบส่งกําลัง นายทหารส่งกําลังหรือ ผู้ช่วย ฝอ.๔ ปกติแล้ว จะทําการจัดขบวนบรรทุกสําหรับเคลื่อนย้าย สป. ตามเส้นทางการส่งกําลังไปถึงตําบลจ่าย ซึ่งเป็นที่ที่ จ่ากองร้อยหรือพลนําทางของหน่วยจะเข้าควบคุม ตําบลจ่ายต้องใกล้กับที่ตั้งของกองร้อยเพียงพอในการ อํานวยความสะดวกในการเพิ่มเติมการส่งกําลัง เพราะว่ากองร้อยอาจไม่มียานพาหนะพอเพียงในอัตราจ่า กองร้อยหรือพลนําทางควบคุมการแจกจ่ายโดยการใช้เทคนิคในการเพิ่มเติม สป. ซึ่งจะอยู่ในย่อหน้าที่ ๘ - ๖ จ่ากองร้อยจะแจ้งให้นายสิบส่งกําลังทราบถึงความต้องการ สป. ในครั้งต่อไป และต้องทําให้มั่นใจว่าการ เคลื่อนย้ายกําลังพลและยุทโธปกรณ์ที่ต้องการนั้นได้ย้ายไปทางด้านหลัง เช่นเดียวกันกับไปรษณีย์ที่จะส่งจะ ฝากไปกับนายสิบส่งกําลัง จากนั้น สป.จะถูกดําเนินการตาม รปจ.ของหน่วย และกลับไปยังตําบลจ่ายหรือ ขบวนสัมภาระ ข. ตําบลวางสิ่งอุปกรณ์ล่วงหน้า ตําบลวางสิ่งอุปกรณ์ล่วงหน้าจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อกองพันได้วางสิ่ง อุปกรณ์ไว้ในสนามรบ และกําหนดให้กองร้อยไปยังตําบลดังกล่าว ซึ่งจะทําให้กองร้อยสามารถนํา สป. นั้นมา ได้ในขณะที่ทําการเคลื่อนที่จากที่หนึ่งไปยังที่หนึ่ง ๘ - ๖ เทคนิคในการเพิ่ มเติม สป.ของกองร้อย เทคนิคในการเพิ่มเติม สป.ของกองร้อย เป็นวิธีการในการ ใช้เครื่องมือในการส่งกําลังบํารุงของกองร้อย (กําลังพลและยุทโธปกรณ์) เพื่อให้เกิดผลในการเพิ่มเติม สป. กับ ส่วนใต้บังคับบัญชา เทคนิคเหล่านี้จะแยกต่างหากจากวิธีการที่กองร้อยได้รับ สป. จาก บก.หน่วยเหนือ โดยที่ จะพิจารณาถึงการแจกจ่าย สป. ให้กับหมวดหรือตอนเป็นหลัก มีเทคนิคในการเพิ่มเติม สป. ของกองร้อย ๓ วิธี คือ ในที่ตั้ง นอกที่ตั้ง และที่ตั้งล่วงหน้า ก. ในที่ตั้ง กองร้อยจะปฏิบัติในการเพิ่มเติม สป. ในที่ตั้งโดยการเคลื่อนย้าย สป. ที่ต้องการ หรือ ยุทโธปกรณ์ไปข้างหน้า ในขณะที่หมวดยังคงอยู่ในที่มั่นสู้รบ เทคนิคนี้จะใช้เมื่อมีความจําเป็นอย่างยิ่งในการ ดํารงไว้ซึ่งอํานาจกําลังรบไปข้างหน้า (ในระหว่างการปะทะหรือการปะทะใกล้จะเกิด ) เมื่อมีการกระจายกําลัง ของกองร้อยเป็นบริเวณกว้าง ถ้ายานยนต์ไม่สามารถเคลื่อนที่เข้าไปใกล้หมวดเพราะว่าการยิงของข้าศึก กําลัง ทหารบางส่วนของหมวดอาจจะช่วยในการเพิ่มเติม สป. ในการเคลื่อนย้าย สป. และยุทโธปกรณ์ไปข้างหน้า ข. นอกที่ตั้ง กองร้อยจะทําการเพิ่มเติม สป. นอกที่ตั้ง โดยการกําหนดให้หมวดไปรับ สป. และ ยุทโธปกรณ์ดังต่อไปนี้ ๑) กองร้อยจะจัดตั้งจุดเพิ่มเติม สป. ในที่กําบังและซ่อนพราง ทางด้านหลังของที่ตั้งหมวด ๒) หมวดจะเคลื่อนที่ออกจากที่มั่นสู้รบไปยังจุดเพิ่มเติม สป. ๓) หมวดจะรับ สป. ๔) หมวดจะเคลื่อนผ่านกลับไปยังที่มั่นสู้รบของตน เทคนิคนี้จะใช้ในเวลาที่สถานการณ์ไม่บังคับต้องใช้อํานาจกําลังรบทั้งหมดไปข้างหน้า (การปะทะ ไม่น่าจะเกิด) การกําหนด รปจ. ของกองร้อยจะกําหนดให้ทุกส่วนหรือบางส่วนของหมวดเคลื่อนที่มาเพิ่มเติม สป. ในคราวเดียวกัน การผันแปรของเทคนิคนี้อาจจะมีการกําหนดจุดเพิ่มเติม สป.ให้แต่ละหมวด และการ เปลี่ยนย้ายที่ตั้งของกอง สป. ค. ที่ตั้งล่วงหน้า กองร้อยหรือกองพันจะกําหนดที่ตั้งล่วงหน้าสําหรับ สป. และยุทโธปกรณ์ตาม เส้นทางที่ผ่านหรือในตําบลที่หมวดจะทําการเคลื่อนที่ผ่าน และจุดเหล่านี้จะกําหนดให้หมวดเข้ามาหา สป.หรือ ยุทโธปกรณ์เหล่านี้อาจจะบรรทุกอยู่บนยานยนต์หรือกองอยู่บนพื้น มีการระวังป้องกันหรืออาจจะไม่มี
๒๕๕ การซ่อนพรางหรือเปิดเผย ปัจจัยของสนามรบจะ เป็นตัวกําหนดว่ามาตรการอะไรที่ต้องการอย่าง แน่นอน เทคนิคนี้จะใช้เสมอในการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรับในเวลาที่มีการตั้งตําบล สป. ในที่มั่นตามลําดับขั้นที่ ซ่อน สป. จะเป็นจุดวาง สป. ไว้ล่วงหน้าและมีการซ่อนพราง ซึ่งสามารถใช้ได้ในทุกที่ของการปฏิบัติการ ๑) ที่ซ่อน สป. สามารถจัดตั้งสําหรับภารกิจเฉพาะ หรือมาตรการเผชิญเหตุ ที่ซ่อน สป. จะ เป็นเครื่องมือที่ดีมากในการลดนํ้าหนักบรรทุกของทหาร ที่ตั้งที่ซ่อน สป. จะมีลักษณะเหมือนกับจุดนัดพบ ณ ที่หมาย หรือฐานลาดตระเวน สป. อาจจะทําการซ่อนพรางใต้ดินหรือบนดินก็ได้ ที่ซ่อน สป. บนดินจะมีความ ง่ายที่จะหา แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะพบโดยข้าศึก พลเรือนและสัตว์ โดยจะมีความเสี่ยงในการระวังป้องกัน เสมอ เมื่อกลับไปยังที่ซ่อน สถานที่ซ่อน สป. ควรจะได้รับการตรวจสอบว่าจะไม่มีการปรากฏของข้าศึกและมี การระวังป้องกันก่อนใช้งานอาจจะมีกับระเบิดหรืออาจจะอยู่ภายใต้การตรวจการณ์ของข้าศึก ๒) ในการรุกที่ซ่อน สป. อาจจะมีการจัดตั้งขึ้นตลอดเส้นทางที่ถูกกําหนดเป็นเส้นหลักใน การเคลื่อนที่ไปยังที่หมายโดยส่วนนํา ที่ซ่อน สป. อาจจะมีการจัดตั้งในเขตที่ปฏิบัติการต่อเนื่อง โดยไม่ ต้องการการเพิ่มเติม สป. ทางอากาศหรือพื้นดิน ซึ่งอาจจะทําให้ข้าศึกตรวจพบที่ตั้งของกองร้อยได้ ในการ ซ่อน สป. อาจจะถูกจํากัดด้วยนํ้าหนักบรรทุกของทหาร อย่าปล่อยให้การปฏิบัติในที่ซ่อน สป. ก่อให้เกิด อันตรายต่อภารกิจในการรุก ในบางกรณีหน่วยรบพิเศษ กําลังพันธมิตร หน่วยกองโจร อาจจะช่วยในการตั้งที่ ซ่อน สป. ๓) ในการตั้งรับ อาจจะมีการจัดตั้งที่ซ่อน สป. โดยทั่วไปในพื้นที่ปฏิบัติการโดยหน่วยที่ทํา การตั้งรับในระหว่างขั้นการเตรียมการ ควรที่จะมีที่ซ่อนเพิ่มเติม และที่ซ่อนสํารอง ตลอดความลึกของพื้นที่ตั้ง รับ ในระหว่างการปฏิบัติการหลังแนวข้าศึก หรือในพื้นที่การตั้งรับที่สถานการณ์เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยที่ มีข้าศึกอยู่โดยรอบที่ซ่อน สป.อาจจะเป็นเพียงแหล่ง สป. สําหรับห้วงเวลาการปฏิบัติการที่ขยายออกไปเท่านั้น ง. การระวังป้องกัน เทคนิคนี้ถูกใช้ทั้งการปฏิบัติการรบด้วยวิธีรุกและวิธีรับ ในการถ่ายโอน สป. ของกองร้อยตามปกติแล้วจะปฏิบัติจากลักษณะการตั้งรับ ดังนั้น ข้อพิจารณาในการระวังป้องกันสําหรับ การปฏิบัติการเพิ่มเติม สป. จะเหมือนกับการตั้งรับรอบตัว ๘ - ๗ ข้อพิจารณา เทคนิคที่กล่าวไว้ในย่อหน้าที่ ๘ - ๖ จะใช้วิธีการตามปกติในการเพิ่มเติม สป. ภายใน กองร้อย อย่างไรก็ตามความเข้าใจพื้นฐานของเทคนิคที่ไม่เป็นมาตรฐาน วิธีการส่งที่แตกต่าง และการ แจกจ่าย สป. พิเศษ อาจต้องถูกนํามาใช้เพื่อให้บรรลุพันธกิจในการดํารงอยู่ ก. การค้นหาและการกวาดเก็บ เทคนิคในการเพิ่มเติม สป. ทั้ง ๒ อย่าง ไม่ได้มีการนํามากล่าวก่อน หน้านี้เพราะไม่มีการใช้บ่อยนักคือ การค้นหาและการกวาดเก็บ กําลังทหารราบไม่ควรจะใช้เทคนิคทั้ง ๒ นี้ เว้นแต่อยู่ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ปกติ การค้นหาเป็นการรวบรวม สป. และยุทโธปกรณ์ที่จําเป็นในความต้องการ อยู่รอดพื้นฐาน (อาหาร นํ้า ที่กําบังอื่น ๆ) จากภายในพื้นที่ปฏิบัติการ การกวาดเก็บเป็นการรวบรวม สป. หรือยุทโธปกรณ์ (ฝ่ายเราและข้าศึก) ภายในพื้นที่ปฏิบัติการ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้บรรลุภารกิจทางทหาร ผบ. หน่วยต้องมั่นใจในความปลอดภัยของทหาร โดยการกําหนดลงไปว่า อาหารหรือนํ้าใดที่มีความปลอดภัย หรือ ยุทโธปกรณ์ใดที่เป็นกับระเบิด ซึ่งต้องมั่นใจอีกด้วยว่าในการกระทําดังกล่าวนั้นถูกต้องตามกฏของสงคราม ทางบก รส. ๒๗ - ๑๐ ข. การเพิ่มเติม สป.ทางอากาศ วิธีการส่งนี้อาจจะถูกใช้ในการเตรียม สป. และยุทโธปกรณ์ให้แก่ กองร้อย ในการปฏิบัติการเพิ่มเติม สป. ทําในพื้นที่ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของฝ่ายเราและห่างจากการตรวจ การณ์โดยตรงของข้าศึก (ลาดหลังเนินของที่มั่นตั้งรับโดยที่มีการลาดตระเวนไปข้างหน้าเป็นอย่างดี) ในการ เพิ่มเติม สป. ควรที่จะกระทําให้ห่างจากหน่วยหลักในพื้นที่ที่สามารถทําการป้องได้ในเวลาอันสั้น ในการส่ง สป. ควรที่จะมีการเคลื่อนย้ายออกจากพื้นที่ทิ้งลงหรือที่ทิ้งลง หรือส่งลงอย่างรวดเร็ว นายสิบส่งกําลังของ กองร้อย
๒๕๖ จะรับผิดชอบในการบรรจุหีบห่อขึ้นเครื่องบินโดยกระทําที่ขบวนสัมภาระ ผู้บังคับบัญชาต้องพิจารณาขีด ความสามารถของข้าศึกในการค้นหาที่ตั้งของหน่วย จากการตรวจการณ์ทางอากาศ ค. การเกลี่ยระดับ การเกลี่ยระดับจะเป็นการแจกจ่าย สป. ง่าย ๆ ภายในหน่วย ปกติแล้วจะ กระทําโดยอัตโนมัติในชุดยิงหรือหมู่ หลังจากมีการสู้รบทุกครั้ง กองร้อยอาจจะมีการเกลี่ยระดับ สป. ระหว่าง หมวดได้เมื่อการเพิ่มเติม สป. ไม่สามารถกระทําได้ ในช่วงเวลาสั้น บางครั้ง สป. อาจจะไม่สามารถทําการ แจกจ่ายได้ ตัวอย่างเช่น ในระหว่างการโจมตีสนามเพลาะของข้าศึก หมวดที่ได้รับมอบงานในการสนับสนุน ด้วยการยิงอาจจะได้รับการร้องขอ ลูกระเบิดขว้างไปให้แก่หน่วยที่มีงานในการกวาดล้างสนามเพลาะ ง. การขนกลับ การขนกลับเป็นวิธีการที่ใช้ขีดความสามารถของยานยนต์และกําลังพลอย่างมาก ในการขนย้ายมาข้างหลัง การขนกลับจะเป็นการนําเอา สป. ยุทโธปกรณ์ หรือขยะมาทางด้านหลังสําหรับการ เคลื่อนย้ายที่ตั้ง จ. นํ้า ต้องมั่นใจว่าทหารได้รับและดื่มนํ้าอย่างเพียงพอ ซึ่งจะเป็นหนึ่งในการ สสช.หลัก และ เป็นพันธกิจของ ผบ.หน่วยในทุกระดับชั้นตามสายการบังคับบัญชาของกองร้อย แม้แต่ในเขตหนาว ทหารทุก นายจะมีความต้องการดื่มนํ้าอย่างน้อยวันละ ๒ กระติก ในการดํารงไว้ซึ่งประสิทธิภาพทหารจะดื่มนํ้าในอัตราที่ สูงขึ้นในสภาวการณ์รบ ๑) ในการส่งนํ้าจะอยู่ภายใต้การควบคุมของกองร้อยหรือกองพัน โดยส่งให้เป็นถัง ๕ แกลลอน บรรทุกใส่หลังหรือเป็นถุงบรรจุนํ้า เมื่อมีการจัดตั้งพื้นที่เลี้ยงดูกลาง ตําบลจ่ายนํ้าจะถูกกําหนดขึ้นใน พื้นที่เลี้ยงดู ตําบลจ่ายนํ้าจะถูกกําหนดขึ้นในพื้นที่รับประทานอาหาร และทหารแต่ละคนจะเติมนํ้าใส่กระติก เมื่อเข้ามา เมื่อใดที่ สป.๑ ได้ทําการแจกจ่ายจากกองร้อย นํ้าจะสามารถเพิ่มเติมได้โดยการรวบรวมแล้วเติม กระติกเปล่าหรือด้วยการแจกจ่ายถังบรรจุนํ้าให้แก่หมวด ๒) นํ้าถือว่าเป็น สป.ประเภทหนึ่ง ขีดความสามารถในการควบคุมการแจกจ่ายนํ้าจะถูก จํากัดด้วยขีดความสามารถของส่วนทํานํ้าประปาของกองพลที่ทําการสนับสนุนในการกรองนํ้า และการรักษา นํ้าไว้ รวมไปถึงขีดความสามารถของระบบการส่งกําลังในการขนส่ง ระบบในการส่งกําลังอาจจะไม่สามารถ เข้าถึงความต้องการของหน่วยเสมอไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการปฏิบัติการแบบกระจายกําลัง โดยจะมี ความผันแปรไปได้หลายทาง อย่างไรก็ตาม หน่วยจะต้องทําให้มั่นใจได้ว่าจะมีการได้รับนํ้า ๓) ในเวลาที่นํ้าไม่ได้หายาก ผบ.หน่วยต้องสั่งให้ทหารดื่มนํ้า แม้ว่าจะไม่มีความกระหาย เพราะว่ากลไกในความกระหายนํ้าของร่างกายไม่ได้แสดงออกโดยทันทีต่อการสูญเสียนํ้าในการปฏิบัติตามปกติ ประจําวัน อัตราในการเกิดความต้องการนํ้าจะขึ้นอยู่กับเงื่อนไข สภาพอากาศ และระดับการออกกําลังกาย ๔) ถ้ามีการขาดแคลนนํ้า ต้องมีการเก็บนํ้าไว้ ตามคําแนะนําทางสุขวิทยาอนามัยด้วย นํ้า ที่ใช้ในการผสมกาแฟหรือชาจะทําให้เกิดการสูญเสียนํ้าจากร่างกาย เพราะว่าเครื่องดื่มดังกล่าวจะเพิ่มการ ปัสสาวะให้บ่อยขึ้น เมื่อขาดแคลนนํ้าก็ไม่ควรใช้นํ้าในการอุ่นอาหารให้ร้อน อย่างไรก็ตาม นํ้าซุบจะเป็นวิธีการ ที่มีประสิทธิภาพในการได้ทั้งนํ้าและสารอาหารเมื่อนํ้าหายาก สิ่งนี้จะเป็นความจริงโดยเฉพาะในภูมิอากาศเย็น ที่ต้องการอุ่นอาหารตามต้องการ จุดให้ความร้อนส่วนกลางสามารถที่จะใช้ในการต้มนํ้าได้ และยังให้ความร้อน แก่อาหารพร้อมรับประทาน ๕) ในสภาพแวดล้อมส่วนใหญ่ นํ้าจะสามารถหาได้จากแหล่งธรรมชาติ ทหารควรได้รับการ ฝึกในการหา ทําให้สะอาด (ใช้สารเคมี หรืออุปกรณ์ธรรมชาติ) และการใช้นํ้าจากธรรมชาติ ดู รส. ๒๑ - ๗๖ เพิ่มเติม
๒๕๗ ๘ - ๘ การขนส่ง ในการเคลื่อนย้าย สป. ยุทโธปกรณ์และกําลังพล ด้วยยานพาหนะที่มีอย่างจํากัด ต้องการ การวางแผนและการปฏิบัติที่ระมัดระวัง กองร้อยทหารราบเบา กองร้อยทหารราบส่งทางอากาศ กองร้อย ทหารราบโจมตีทางอากาศ กองร้อยจู่โจมจะไม่มีการขนส่งในอัตรา ยานพาหนะจะได้รับการแบ่งมอบให้ กองร้อยเหล่านี้จากกองพันหรือหน่วยในระดับที่สูงกว่า ปกติจะให้ยานพาหนะ ๑ คัน ไว้กับกองร้อย ก. เมื่อมีการจัดยานพาหนะให้กองร้อย ยานพาหนะจะต้องถูกใช้ให้เกิดประโยชน์ ในการปฏิบัติภารกิจที่ ต้องการ และจะต้องส่งกลับให้แก่กองร้อยที่ตามมาหรือภารกิจของหน่วยแม่ ตัวอย่างเช่น ในการบรรทุกของ จะเพิ่มปริมาณ ของกระสุนแต่ลดปริมาณนํ้า หรือการบรรทุกเครื่องหลังของหน่วยจะไม่มีที่ให้แก่การเพิ่มเติม สป. ผบ.ร้อย. จะต้องทําให้มั่นใจว่าเครื่องมือดังกล่าวจะถูกใช้ให้บรรลุภารกิจที่มีความสําคัญมากที่สุด เวลา จะมีความสําคัญและกองร้อยต้องลดเวลา ที่อยู่กับที่ซึ่งจะทําให้ความต้องการของทุกกองร้อยสามารถที่จะ บรรลุได้ ยานพาหนะส่วนใหญ่ไม่มีวิทยุ ผู้บังคับหน่วยต้องทําให้มั่นใจว่าพลขับรู้ที่ที่เขาจะไป และวิธีการที่จะ ไปถึงที่นั้น การฝึกในการค้นหาทิศทางบนดิน การทําเครื่องหมายตามเส้นทาง การใช้แผนที่สังเขปในการ อ้างถึงจุดต่างๆ บนพื้นจะเป็นวิธีการที่จะป้องกันไม่ให้พลขับหลงทาง ข. เนื่องจากการจํากัดของการขนส่งทางบก กําลังพลในกองร้อยต้องรู้ถึงการปฏิบัติในการรับของทาง อากาศ (ดู รส. ๙๐ - ๔) ความเข้าใจในการเลือกจุดรับและจุดส่งลง การใช้ลวดสลิง การทิ้งมัดสิ่งของ และการ บรรทุกห่อสัมภาระ ซึ่งเป็นความสําคัญต่อการดํารงอยู่ของกองร้อย ๘ - ๙ การซ่อมบํารุง การซ่อมบํารุงอาวุธและยุทโธปกรณ์จะต้องมีความต่อเนื่อง ทหารทุกคนต้องรู้ถึงการ รักษาอาวุธและยุทโธปกรณ์ในทางเทคนิคตามคู่มือ ผบ.ร้อย. รอง ผบ.ร้อย. และจ่ากองร้อยต้องเข้าใจในการ บํารุงรักษา ยุทโธปกรณ์ทุกชนิดในกองร้อย ก. รปจ. ของหน่วย ควรจะมีรายละเอียดในการปรนนิบัติบํารุงรักษา (อย่างน้อยวันละครั้งในสนาม) มาตรฐานอย่างใด และใครเป็นผู้ตรวจ (ปกติ ผบ.หมู่ และการตรวจเป็นจุดโดย รอง ผบ.หมวด ผบ.หมวด จ่ากองร้อย รอง ผบ.ร้อย. และ ผบ.ร้อย.) เทคนิคอย่างหนึ่งคือใช้การตรวจเป็นจุดแต่ละอย่างในหน่วยที่ต่างกัน เทคนิคอีกอย่างหนึ่งคือในแต่ละการตรวจจะใช้กับแบบอาวุธอย่างเดียว หรือชิ้นส่วนของยุทโธปกรณ์ของทุก หน่วยในแต่ละวัน ในการปฏิบัติดังกล่าวจะต้องรวมอยู่ใน รปจ. สําหรับฐานลาดตระเวน ที่รวมพลการตั้งรับ และการจัดระเบียบใหม่ สิ่งนี้จะทําให้มั่นใจว่าการบํารุงรักษาอาวุธยุทโธปกรณ์ จะทําได้โดยไม่ก่อให้เกิด อันตรายต่อความปลอดภัยของหน่วยและจะทําให้เกิดเป็นนิสัยของทหารทุกคน ข. สําหรับผู้ทําหน้าที่ในการซ่อมบํารุง ต้องคัดเลือกทหารที่ได้รับการฝึกให้ทําการซ่อมบํารุงอย่าง จํากัดต่ออาวุธที่ชํารุดเสียหาย และควบคุมการสับเปลี่ยนชิ้นส่วนจากอาวุธที่ถูกทําลาย ค. ในการซ่อมแก้ยุทโธปกรณ์ที่ชํารุดจะต้องให้ใกล้จากส่วนหน้าเท่าที่เป็นไปได้ เมื่อชิ้นส่วนของ ยุทโธปกรณ์เสียหาย ควรที่จะมีการตรวจสอบให้เห็นว่าสามารถที่จะซ่อมจุดเฉพาะนี้ได้หรือไม่ นายสิบช่าง อาวุธของกองร้อยจะเก็บชุดซ่อมอาวุธปืนเล็กไว้ที่ขบวนสัมภาระของกองพัน หรือยานพาหนะของกองร้อยที่ กําหนด ตอนสื่อสารของกองพันจะมีขีดจํากัดในการซ่อมวิทยุ ถ้าไม่สามารถทําการแก้ไขที่ส่วนหน้าได้ให้ทํา การส่งกลับโดยทันที (ในพื้นที่รวมพลหรือพื้นที่ตั้งรับ) หรือส่งคืนโดยการใช้วิธีการขนกลับ เมื่อมีการส่ง สป. อื่นๆ มายังแนวหน้า แม้ว่าสิ่งของจะไม่สามารถส่งกลับโดยทันที ระบบ สสช. จะต้องพร้อมในการร้องขอการ ทดแทน ถ้าสามารถทดแทนได้ (จากทหารที่ส่งกลับหรือวิธีการกู้เก็บ) ผบ.หน่วย จะต้องดําเนินการโดยใกล้ชิด โดยการจัดความเร่งด่วนในการใช้สิ่งอุปกรณ์ที่เหลืออยู่ ตัวอย่างเช่น การใช้วิทยุของหมู่ สําหรับข่ายการ บังคับบัญชาของกองร้อยถ้าวิทยุของหมวดชํารุด ง. การซ่อมบํารุงประยุกต์ใช้ได้ทุกยุทโธปกรณ์ สิ่งของต่าง ๆ เช่น ซองกระสุน กระสุน แบตเตอรี่ ก็สามารถซ่อมบํารุงและตรวจสอบได้ ในขณะที่มีการทดสอบการยิงในพื้นที่รวมพล ให้ทําเครื่องหมายที่ซอง กระสุนที่ไม่ป้อนกระสุน ถ้ามีการทําเครื่องหมายที่ซองกระสุนมากกว่า ๒ ครั้ง ซองกระสุนอาจจะเป็นเหตุ
๒๕๘ ให้เกิดการไม่ป้อนกระสุน ทําการตรวจสายกระสุนของ M60 และ M249 ไปพร้อม ๆ กับอาวุธ กระสุนที่ สกปรกและเป็นสนิมอาจจะทําให้อาวุธไม่ทํางานได้ ตอนที่ ๓ นํ้าหนักบรรทุกเป็ นบุคคลของทหาร นํ้าหนักบรรทุกเป็นบุคคลของทหารเป็นสิ่งที่ ผบ.หน่วย จะต้องสนใจอย่างมาก การกําหนดนํ้าหนัก บรรทุก ระยะทาง และสภาพภูมิประเทศ เป็นข้อพิจารณาภารกิจที่สําคัญ ในการวิจัยของกองทัพบกชี้ให้เห็นว่า ทหารจะสามารถบรรทุกนํ้าหนักเท่ากับ ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ของนํ้าหนักร่างกายและยังคงรักษาความว่องไว ความ อดทน ความตื่นตัว และความคล่องแคล่วไว้ได้ ความสําเร็จและหรือความอยู่รอดในการปฏิบัติการ กองร้อย อาวุธเบาจะปฏิบัติตามความต้องการได้ก็ต่อเมื่อทหารรักษาขีดความสามารถนี้ไว้ได้ ในเวลาที่ไม่สามารถ เคลื่อนที่ด้วยการพราง ว่องไว และตื่นตัวได้ หน่วยจะตกอยู่ในความเสี่ยง สําหรับทหารโดยเฉลี่ย (นํ้าหนักตัว ๗๒ กก.) จะสามารถบรรทุกได้ ๒๑ กิโลกรัม ในทุก ๆ กิโลกรัมที่มากกว่า ๓๐ เปอร์เซ็นต์ ทหารจะสูญเสีย ความสามารถในการปฏิบัติหน้าที่เป็นจํานวนที่เป็นเหมือน (ปฏิภาค)กัน เมื่อใดที่นํ้าหนักบรรทุกขึ้นถึง ๔๕ เปอร์เซ็นต์ ของนํ้าหนักตัว หรือ ๓๒ กก. ขีดความสามารถในการทําหน้าที่จะลดอย่างรวดเร็ว และมีโอกาสที่จะ เป็นผู้บาดเจ็บได้ ในการวิจัยชี้ให้เห็นด้วยว่าการฝึกสามารถที่จะเพิ่มความสามารถในการบรรทุกได้ดีที่สุดถึง ๑๐ - ๒๐ เปอร์เซ็นต์ ผลลัพธ์คือการเน้นที่การบังคับบัญชา ผบ.ร้อย. ต้องทําให้มั่นในได้ว่าทหารจะไม่บรรทุก เกิน ๒๑ กก. เมื่อมีการปะทะกับข้าศึก หรือคาดว่าจะมีการปะทะเกิดขึ้น ในบางเวลานํ้าหนักบรรทุกของทหาร ไม่ควรจะถึง ๓๒ กก. ในบางครั้งทหารอาจจะบรรทุกมากกว่านํ้าหนักรบที่แนะนํา ผบ.หน่วยจะต้องรู้ถึง นํ้าหนักส่วนเกินที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพของหน่วยอย่างไร ผนวก ก ใน รส.๒๑ - ๑๘ จะมีข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง นํ้าหนักบรรทุกของทหาร ๘ - ๑๐ การวางแผนการบรรทุก วัตถุประสงค์ของการวางแผนการบรรทุกมี ๒ ประการ คือ ประการแรกจะ ทําให้ผู้บังคับบัญชาใช้ประมาณสถานการณ์ในการกําหนดถึงกระสุนสิ่งอุปกรณ์ และยุทโธปกรณ์ที่มีความ จําเป็น ประการที่ ๒ จะทําให้รู้ถึงภาวะแฝง (ศักยภาพ)ที่กระทบต่อปัญหาในการบรรทุกของทหาร และเน้นใน ความต้องการที่จะบรรทุกเฉพาะในสิ่งที่จําเป็นเท่านั้น จากนั้นผู้บังคับบัญชาจะจัดการกับสิ่งของที่เหลืออยู่ว่า จะทําการเก็บรักษาไว้หรือทําการขนส่ง ในการปฏิบัตินี้ยุทโธปกรณ์ของหน่วยและของทหารจะต้องจัดเป็นชั้น ๆ สําหรับวัตถุประสงค์นี้ ผู้บังคับกองร้อยจะแบ่งยุทโธปกรณ์และ สป. ออกเป็น ๓ ระลอก คือ นํ้าหนัก บรรทุกการรบ (นํ้าหนักบรรทุกสู้รบ นํ้าหนักบรรทุกเดินเข้าประชิด) นํ้าหนักบรรทุกการดํารงอยู่ และนํ้าหนัก บรรทุกเผชิญเหตุ (รูปที่ ๘ - ๒)
๒๕๙ รปูท ี่ ๘ - ๒ ผงัการบรรทุกตามลาํดบั
๒๖๐ ก. นํ้าหนักบรรทุกรบ นํ้าหนักบรรทุกรบจะ ประกอบด้วยยุทโธปกรณ์ที่มีความจําเป็นในภารกิจ อย่างยิ่งเป็นอย่างน้อย ซึ่งจะกําหนดโดยผู้บังคับหน่วยในภารกิจนั้น ซึ่งจะรวมเฉพาะสิ่งที่ต้องการในการรบ และการปฏิบัติการรบที่ต้องการความอยู่รอดโดยทันที ซึ่งมีแบ่งออกเป็น ๒ ระดับ คือ นํ้าหนักบรรทุกการสู้รบ จะบรรทุกในการปฏิบัติการที่ต้องใช้การเคลื่อนที่ ที่คาดว่าจะมีการปะทะกับข้าศึกเกิดขึ้น และนํ้าหนักบรรทุก การเดินเข้าประชิด จะทําการบรรทุกก็ต่อเมื่อไม่มีการขนส่งจัดเตรียมไว้สําหรับยุทโธกรณ์ที่นอกเหนือจาก นํ้าหนักบรรทุกสู้รบ ๑) นํ้าหนักบรรทุกสู้รบ สิ่งนี้จะเป็นสิ่งที่ทหารทําการบรรทุก เมื่อเกิดมีการปะทะกับข้าศึก ซึ่งจะ ประกอบด้วยสิ่งของที่มีความจําเป็นเท่านั้นที่ทหารต้องการในการทําให้ผลสําเร็จในงานระหว่างการสู้รบ ใน การรบประชิดและการปฏิบัติการที่ต้องการการอําพราง นํ้าหนักบรรทุกทั้งหมดที่มากเกินไปจะกลายเป็น ข้อเสีย ในการแบกกระสุนของปืนกล ลูกระเบิด ค. อาวุธต่อสู้รถถังและวิทยุ จะทําให้นํ้าหนักบรรทุกรบส่วน ใหญ่เกิน ๒๑ กก. สิ่งนี้จะทําให้ต้องใช้การวิเคราะห์ความเสี่ยงมากสุด นํ้าหนักบรรทุกรบส่วนเกินของกําลังส่วน โจมตีจะต้องมีการแก้ไข ดังนั้นส่วนเกินสามารถที่จะทําการแจกจ่ายใหม่หรือทําการเก็บ (เหลือไว้แต่เพียง นํ้าหนักบรรทุกสู้รบ) ก่อนหรือเมื่อมีการปะทะกับข้าศึก ๒) นํ้าหนักบรรทุกเดินเข้าประชิด การบรรทุกนี้จะมีส่วนเพิ่มเติมที่ทหารต้องบรรทุกมากกว่า นํ้าหนักสู้รบ สิ่งของดังกล่าวจะปลดไว้ที่ฐานโจมตี จุดนัดพบ ณ ที่หมาย หรือจุดนัดพบอื่นๆ ก่อนหรือเมื่อเกิด การปะทะกับข้าศึก ในการปฏิบัติการเคลื่อนที่เป็นเวลานาน ทหารต้องบรรทุกยุทโธปกรณ์และกระสุน เพียงพอในการสู้รบตามเวลาที่ยืดออกไป จนกระทั่งแผนในการเพิ่มเติม สป.จะดําเนินการ นํ้าหนักบรรทุกนี้จะ แปรเปลี่ยนไป หรืออาจจะถึงขีดสุดคือ ๓๑ กก. นํ้าหนักบรรทุกเดินเข้าประชิดที่หนักกว่าสามารถที่จะสร้างชัย ชนะให้ได้ในยามฉุนเฉินในเวลาที่ภารกิจมีความต้องการให้ทหารทําการแบกนั้น นํ้าหนักบรรทุก ๔๕ กก. สามารถที่จะแบกไปได้เป็นระยะทางวันละ ๒๐ กม. เป็นเวลาหลายวัน นํ้าหนักบรรทุก ๖๘ กก. มีความเป็นไป ได้ แต่อาจจะทําให้เกิดความเสี่ยงในการเกิดการอ่อนล้าและการบาดเจ็บ อย่างไรก็ตามเมื่อใดที่มีการบรรทุก ดังกล่าว ควรจะหลีกเลี่ยงการปะทะกับข้าศึก อัตราการเดินจะต้องช้าอย่างมาก และทหารจะต้องได้รับการ พักผ่อนก่อนทําการรบ ข. นํ้าหนักบรรทุกดํารงอยู่ นํ้าหนักบรรทุกนี้จะประกอบด้วยยุทโธปกรณ์ ที่ผู้บังคับบัญชาต้องการให้ใช้ ในการปฏิบัติการต่อเนื่อง ยุทโธปกรณ์นี้ควรที่จะเก็บไว้โดยกองพัน ปกติแล้วจะเก็บไว้ที่พื้นที่สนับสนุนของ กรม และจะนํามาข้างหน้าเมื่อต้องการ ซึ่งอาจจะรวมเอาเครื่องหลังถุงบกของหมู่และชิ้นส่วนอะไหล่ เช่น เครื่อง แจ้งเตือนระดับหมวด หรือถุงนอน ในการรบอุปกรณ์ในการป้องกัน การคุกคามพิเศษ เช่น เสื้อเกราะ และชุด ป้องกันเคมีอาจจะเก็บไว้ที่บรรทุกของหน่วยก่อน ยุทโธปกรณ์เช่นกล้องส่องในเวลากลางคืนของดรากอน เชือก และโยธกา และเครื่องมือทางการขุดเจาะก็ต้องการการเก็บไว้ในคลังที่มีที่ตั้ง ที่หมวดบริการของกองพัน สามารถที่จะนํามาใช้ในส่วนหน้าได้เมื่อต้องการ ผู้บังคับบัญชาจะต้องประสานกับ ฝอ.๔ เพื่อให้มั่นใจว่า สิ่งของดังกล่าวสามารถนํามาใช้ได้เมื่อต้องการ ค. นํ้าหนักบรรทุกเผชิญเหตุ นํ้าหนักบรรทุกเผชิญเหตุ จะรวมเอาสิ่งของอื่น ๆ ทั้งหมดที่ไม่มีความ จําเป็นในการปฏิบัติการขั้นต่อไป ดังเช่น เสื้อผ้าพิเศษ สิ่งของส่วนตัว หรืออาจจะเป็นจรวดดรากอน หรือ จรวดโทว์ในสภาพแวดล้อมที่ไม่มีภัยคุกคามจากยานเกราะ ความยุ่งยากสําหรับผู้บังคับบัญชา คือการกําหนด ว่าอะไรบ้างที่จะต้องนําไปในการบรรทุก หรือใครจะเป็นผู้มีความรับผิดชอบสําหรับสิ่งของที่จะเก็บรักษา และ สิ่งของที่จะส่งไป ๘ - ๑๑ การคํานวณนํ้าหนักบรรทุก นํ้าหนักบรรทุกรบของทหารแต่ละคนจะประกอบด้วย ๓ ส่วน ได้แก่ สิ่งของที่จําเป็นโดยทั่วไปที่จะนําไป (หรือสวมใส่) โดยทหารทุกคนไม่คํานึงถึงการคุกคาม สภาวะแวดล้อม หรือภารกิจ นํ้าหนักบรรทุกตามตําแหน่งหน้าที่ จะประกอบด้วยทหารที่ได้รับการกําหนดอาวุธ (หรือ ส่วนประกอบ
๒๖๑ ของระบบอาวุธ) โดยรวมเอากระสุน และตัวแปรซึ่งประกอบด้วยสิ่งของอื่นๆ ทั้งหมดที่จะบรรทุก โดยยึดถือ จากการประมาณสถานการณ์ของผู้บังคับบัญชา คือสิ่งของที่เป็นส่วนประกอบของสิ่งแวดล้อม การป้องกันภัย คุกคาม และนํ้าหนักบรรทุกตามภารกิจ ก. ในการจัดนํ้าหนักบรรทุกให้เรียบร้อย จะทําให้ทหารบรรทุกนํ้าหนักน้อยกว่า ๓๑ กก. และแบ่ง นํ้าหนักบรรทุกรบออกเป็นนํ้าหนักบรรทุกสู้รบ และนํ้าหนักบรรทุกเดินเข้าประชิด ให้ทหารทําการบรรทุก เครื่องหลังและการบรรทุกในการโจมตีตามที่เห็นพ้อง ยุทโธปกรณ์อื่น ๆ ของกองร้อยเหลือเป็นนํ้าหนักบรรทุก ดํารงอยู่หรือนํ้าหนักบรรทุกเผชิญเหตุ ตัวอย่าง : นํ้าหนักบรรทุกรบของพลปืนเล็ก ๑. สิ่งของจําเป็น ปอนด์ ก. ชุดฝึกและรองเท้าสูงครึ่งน่อง ๘.๒๐ ข. เข็มขัดสนาม สายโยงบ่า ชุดปฐมพยาบาล ๑.๖๐ ค. กระติกนํ้า ถ้วยกระติกพร้อมถุงและนํ้า ๓.๓๐ ง. ผ้ากันฝน ๑.๗๐ จ. ถุงมือ ๐.๓๐ ฉ. ถุงเท้า ๐.๓๐ ช. อาหารพร้อมรับประทาน ๑.๐๐ ซ. ดาบปลายปืนพร้อมฝัก ๑.๓๐ รวม ๑๗.๗๐ ๒. นํ้าหนักบรรทุกตามหน้าที่ ก. M 16 A 1 (A2) พร้อมซองกระสุน ๓๐ นัด ๘.๒๐ ข. กระเป๋ ากระสุน ๒ ใบ ๑.๘๐ ค. ซองกระสุน ๖ ซอง/กระสุน ๑๘๐ นัด ๖.๓๐ ง. ลูกระเบิดขว้าง ๒ ลูก ๒.๐๐ รวม ๑๘.๓๐ ๓. ตัวแปร ก. สภาพแวดล้อม ๑) เสื้อกันหนาว ๓.๐๐ ๒) หมวกทรงอ่อน ๐.๒๖ ๓) กระติกนํ้าพร้อมซอง ๒ ควอท ๔.๘๐ ๔) รองในผ้ากันฝน ๑.๖๐ รวม ๙.๖๖ ข. การคุกคาม ๑) หน้ากาก ๓.๐๐ ๒) หมวกเหล็ก ๓.๔๐ รวม ๖.๔๐
๒๖๒ ค. ภารกิจ ๑) อุปกรณ์ในการช่วยบรรทุกพร้อมโครง ๖.๓๐ ๒) กระสุน ค.๖๐ มม. ๓.๕๐ ๓) ระเบิดควัน ๒.๕๖ ๔) จรวด ตถ.เบา ๔.๗๐ ๕) เข็มทิศ ๐.๒๕ รวม ๑๗.๓๑ ๔. รวมนํ้าหนักบรรทุกรบทั้งหมด ก. สิ่งของปกติ ๑๗.๗๐ ข. นํ้าหนักบรรทุกตามหน้าที่ ๑๘.๓๐ ค. ตัวแปร ง. สภาพแวดล้อม ๙.๖๖ จ. ภัยคุกคาม ๖.๔๐ ฉ. ภารกิจ ๑๗.๓๑ รวม ๖๙.๓๗ (๓๑.๕ กก.) ข. เมื่อใดที่มีการตกลงใจว่าสิ่งของใดที่จะนําไปใช้ในภารกิจ ผบ.หน่วยจะกําหนดว่าจะบรรทุกไปอย่างไร สิ่งของบางอย่างต้องใช้โดยทันทีเมื่อทหารต้องการ ในขณะที่สิ่งอื่นสามารถที่จะบรรทุกไปได้ในเครื่องหลัง ๘ - ๑๒ เทคนิคในการจัดการบรรทุก ความสําคัญในการบรรทุกอะไรโดยเฉพาะเป็นความจําเป็นที่จะทํา ให้ภารกิจสําเร็จ เทคนิคต่อไปนี้จะช่วยให้ผู้บังคับบัญชาจัดการกับการบรรทุก ก. มั่นใจว่าทหารได้เฉลี่ยนํ้าหนักบรรทุกที่เกินตัวหรือมากกว่าสายโยงบ่าจะรับได้ดี ทหารจะมีความ ง่ายในการบรรทุก ข. ในการบรรทุกสิ่งของที่จําเป็น โดยการเข้าถึงได้ง่าย นํ้า กระสุน และสิ่งของปฐมพยาบาลจะได้รับ การบรรทุกไว้บนสายโยงบ่า สิ่งของอื่น ๆ จะใส่ไว้ในกระเป๋ าชุดฝึกสนาม ในการกําหนดที่วางวัตถุอื่น ๆ ควรที่ จะกําหนดเป็นในหน่วย แต่จะต้องไม่ติดสิ่งใดไว้ข้างที่ทําการยิงของสายโยงบ่า เพราะจะรบกวนการเล็งปืนของ ทหาร ค. ในการเฉลี่ยนํ้าหนักบรรทุกภายในหน่วย ถ้ามีความจําเป็นจะต้องบรรทุกกระสุน สป.๑ นํ้า หรือ วัตถุระเบิด จํานวนมากให้แบ่งสิ่งของดังกล่าวเป็นการบรรทุกย่อยๆ โดยให้สอดคล้องกับปัจจัยของสนามรบ อย่างไรก็ตามต้องมั่นใจได้ว่าจะสามารถแจกจ่ายในสนามรบได้ในที่ที่ต้องการได้ ง. ในการผลัดเปลี่ยนกันบรรทุกของหนัก ๆ ในระหว่างทหารด้วยกัน วิทยุ ปืนกล เอ็ม.๖๐ (M60) ค. และจรวดดรากอน สามารถที่จะผลัดเปลี่ยนกันได้ ถ้าการปะทะข้าศึกใกล้จะเกิด ต้องมั่นใจว่าพลยิงที่ได้รับ มอบหมายจะอยู่ใกล้กับระบบอาวุธนั้นหรือเป็นผู้แบกในขณะนั้น จ. พิจารณาในการใช้เครื่องมือในการขนส่ง ในสมรภูมิการรบเพื่อการบรรทุกของเสมอ ยานพาหนะ ของประเทศหลักหรือประเทศพันธมิตร สัตว์ต่าง ๆ พลเรือนหรือแม้แต่จักรยานสามารถที่จะใช้บรรทุกทหาร และยุทโธปกรณ์ได้ อย่างไรก็ตามห้ามนํามาใช้ถ้าไม่มีอํานาจหรือสิทธิที่จะดําเนินการ ฉ. ปลดเครื่องหลังเมื่อปะทะกับข้าศึก หรือทิ้งไว้ที่จุดนัดพบ ณ ที่หมายที่ฐานออกตี หรือที่รวมพล ผบ.หน่วยร้องขอการนําเครื่องหลังเหล่านี้ไปยังหน่วยด้วยเครื่องมือขนส่งของกองพันหรือกองพลเมื่อเป็นไปได้ ทหารจะทําเครื่องหมายหน่วยที่เครื่องหลังของตนเพื่อความรวดเร็วในการส่งคืน
๒๖๓ ช. แบ่งปันหรือรวบรวมสิ่งของ ถ้าสภาพอากาศบีบบังคับให้ทหารต้องใช้ถุงนอน ให้นําไปให้เพียงพอ เฉพาะพอดีกับทหารที่จะหลับในผลัดเดียวกัน ทหารทําการแบ่งปันถุงนอนกันในขณะที่ทําการผลัดเปลี่ยนใน การระวังป้องกัน ในลักษณะเดียวกัน ทหารกลุ่ม ๒ - ๓ นาย สามารถแบ่งเครื่องหลังและหมุนเวียนการบรรทุก ได้ ซ. พิจารณาตัดเสบียงให้เหลือ ๒ หรือ ๑ ต่อคนต่อวัน สําหรับอาหารพร้อมรับประทานในช่วงเวลา สั้น ๆ ให้ใช้วิธีการหาอาหารตามธรรมชาติหรือซื้อในท้องถิ่นเพื่อทดแทนอาหารที่หมดลง ด. ในขณะที่ทําการบรรทุกเครื่องหลัง ให้ใช้นํ้าหรืออาหารที่บรรทุกอยู่เป็นอันดับแรก ถ้าทหาร จําเป็นต้องปลดเครื่องหลังสิ่งที่สามารถนําไปกับชุดฝึกหรือสายโยงบ่าได้ก็คือ นํ้าและอาหาร ให้ทดแทนกระสุน นํ้า เสบียงที่บรรทุกบนสายโยงบ่าไว้ภายหลังจากที่ถูกใช้ไปแล้วให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ ต. เมื่อบรรทุกวิทยุติดเครื่องหลังให้บรรทุกไว้กับส่วนที่ติดแผ่นหลัง เพื่อง่ายในการนําออกใช้และใช้ เมื่อมีการปลดเครื่องหลัง ถ. พิจารณาที่ซ่อน สป. การสนับสนุนของหน่วยบรรจบ การยึดคลัง สป. การค้นหา สําหรับอาหาร นํ้า ผ้าเต๊นท์ เสื้อกันฝน อาวุธและยุทโธปกรณ์ เพื่อลดความต้องการในการแบก สป.ของกําลังพล ท. หลีกเลี่ยงการเคลื่อนย้ายและการเปลี่ยนที่ตั้งที่ไม่จําเป็น เพื่อรักษาความเข้มแข็งของทหาร จะต้องวางแผนให้มีประสิทธิภาพมากที่สุดเท่าที่จะทําได้ อย่าทําการเคลื่อนย้ายหมวดถ้าสามารถเคลื่อนย้ายหมู่ ในการทํางานนั้นได้ ถ้ามีการหลงทางให้ ผบ.หน่วยหยุด แล้วกําหนดที่อยู่ของหน่วยก่อนการเคลื่อนที่ ถ้า จําเป็นให้ส่งกําลังพลออกไปสํารวจเพื่อยืนยันที่ตั้งหน่วยก่อน น. กํากับดูแลการบรรทุกของทหารโดยใกล้ชิด ทหารอาจจะทําการบรรทุกสิ่งของที่ไม่จําเป็น เมื่อมี การเริ่มภารกิจและจะโยนสิ่งของที่จําเป็นทิ้งไป เมื่อเกิดความเหนื่อยอ่อน รายการสิ่งของบรรทุกในการจัดการ กับเครื่องหลัง และรายการตรวจของ ผบ.หน่วย ก่อนและในระหว่างปฏิบัติภารกิจ จะต้องทําให้มั่นใจว่าสิ่งของ ที่จําเป็นเท่านั้นที่จะทําการบรรทุกไป การจัดการกับเครื่องหลังจะส่งผลต่อประสิทธิภาพในการใช้พลังงานของ ทหารและทําให้มั่นใจในสิ่งของที่จําเป็นมากจะสามารถนํามาใช้ได้เมื่อต้องการในการทําการรบ บ. ข่ายกองร้อยไม่มีความต้องการเครื่องมือในการรักษาความปลอดภัย เพื่อทําหน้าที่อย่างมี ประสิทธิภาพเสมอไป ผู้บังคับบัญชาจะต้องตระหนักว่าภัยคุกคามที่เกิดขึ้นจะทําให้นํ้าหนักบรรทุกเพิ่มขึ้น สําหรับพลวิทยุโทรศัพท์ ป. พิจารณาการกําหนดนํ้าหนักบรรทุกการเดินเข้าประชิดหรือนํ้าหนักบรรทุกการดํารงอยู่สําหรับ ๒ หมวด เท่านั้น สิ่งนี้จะทําให้หมวดนําทําการเคลื่อนที่ด้วยการอําพรางและมีความตื่นตัวเพิ่มขึ้น และไม่เป็น ภาระในการบรรทุกในกรณีที่เกิดการปะทะ จากนั้นหมวดสามารถที่จะผลัดเปลี่ยนกันแบกเครื่องหลังได้ เช่นเดียวกับการผลัดเปลี่ยนกันเป็นหมวดนํา ตอนที่ ๔ การบริ การกําลังพล การดําเนินการทางด้านเอกสารของกองร้อยอย่างรวดเร็ว เป็นสิ่งจําเป็นสําหรับประสิทธิภาพและขวัญ ศูนย์บริหารและจัดการกําลังพลของกองพันจะให้การสนับสนุนการบริหารของกองร้อยมากที่สุด ข่าวสารจะถูก ส่งจากกองร้อยไปยังศูนย์บริหารและจัดการกําลังพลเพื่อส่งต่อไปยัง ฝอ.๑ หรือผู้กํากับดูแลศูนย์บริหารและ จัดการกําลังพล แม้ว่าระบบนี้จะทําแบบไม่เป็นทางการ แต่ข่าวสารต้องมีความถูกต้องและทันเวลา การ บริหารงานของกองร้อยจะประกอบด้วยการบริการกําลังพลและการทดแทนกําลังพล
๒๖๔ ๘ - ๑๓ การบริการกาํลงัพล การบรกิารน้ีจะหมาย รวมถงึสถานภาพกาํลงัรบ การรายงานการสญูเสยี ระเบยีบการทดแทน การบนัทกึประวตักิาํลงัพล การปนูบาํเหนจ็รางวลัเช่น เหรยีญตรา การเล่อืนยศ และ การปรบัยา้ย และการจาํแนกประเภทสง ิ่ ทไ่ีม่ไดแ้บง่ ประเภทและการบรกิารทางศาสนา ก. กองรอ้ยจะมคีวามรบัผดิชอบเพยีงการรายงานการสญูเสยีหรอืการรายงานรอ้งขอปนูบาํเหนจ็ รางวลัของกาํลงัพล ข. จากพน้ืฐาน รปจ.โดยทวั่ ไปการรายงานสถานภาพกาํลงัรบจะถูกสง่ ไปยงัขบวนสมัภาระของกองพนั โดยใชข้า่ยธุรการและสง่กาํลงัรายละเอยีดของความพรอ้มรบระบุถงึจาํนวน นายทหารสญัญาบตัร นายทหาร ประทวน พลทหารและกาํลงัพลทม่ีาสมทบ ขอ้มลูของรายงานน้ตีอ้งรวบรวมใหเ้รว็และถูกตอ้งทส่ีดุเท่าทจ่ีะทาํ ได้เพราะขา่วสารทส่ีาํคญัน้จีะนําไปใชป้ระกอบการตกลงใจทส่ีาํคญัเม่อืสง่ต่อไปยงัสว่นหลงัการรายงาน สถานภาพจะช่วยในการกาํหนดปรมิาณของเสบยีง น้ํา และกระสนุทจ่ีะสง่ ไปใหแ้ต่ละกองรอ้ย รายงานน้ีจะ นําไปใชใ้นการวเิคราะหค์วามเขม้แขง็ลกัษณะและสถานภาพของกองรอ้ยดว้ย ในระดบัทส่ีงูขน้ึไป รายงานน้ี จะถูกนําไปใชใ้นการกาํหนดความเร่งด่วนเม่อืกาํลงัทดแทนมาถงึ ค. การรายงานการสญูเสยีแบบรายงาน (รปูท่ี๘ - ๓) จะไดร้บัการกรอกขอ้ความเม่อืเกดิการสญูเสยี หรอืโดยเรว็ทส่ีดุเม่อืสถานการณ์อาํนวย ปกตแิลว้สง ิ่ น้ีจะกระทาํ โดยผบู้งัคบัหม่ขูองทหารนนั้แลว้สง่ ไปยงัรอง ผบ.มว. ซง่ึจะสง่ต่อไปยงัจ่ากองรอ้ย การเขยีนบรรยายสนั้ๆ ว่าการสญูเสยีนนั้เกดิไดอ้ย่างไร โดยมสีถานท่ี เวลา และการปฏบิตัทิเ่ีกดิขน้ึรวมไปถงึใครหรอือะไรทท่ีาํ ใหเ้กดิการบาดเจบ็ดว้ย ถา้ผบ.หม่ไูมท่ราบว่าการ สญูเสยีนนั้เกดิไดอ้ย่างไร ผบ.หมู่จะตอ้งหาขา่วสารน้จีากทหารคนอ่นืทอ่ียใู่นเหตุการณ์หรอืทท่ีราบ แบบ รายงาน (รปูท่ี๘ - ๔) เป็นรายงานของผทู้อ่ีย่ใูนเหตุการณ์โดยมขีนาดเท่ากบักระเป๋าเสอ้ืจะใชร้ายงานการสญู หายการถูกจบัของทหารหรอืเมอ่ืเหตุการณ์ทเ่ีหลอืยงัไมไ่ดถู้กเปิดเผย แบบรายงานน้ีจะสมบรูณ์ดว้ย ทหารทร่ีู้ เหตุการณ์มากทส่ีดุเป็นผกู้รอกขอ้ความ ขา่วสารน้ีจะถูกใชเ้พ่อืใหญ้าตขิองทหารไดร้บัทราบและใชเ้ป็นสถติใิน การวเิคราะหย์ทุธวธิขีองฝ่ายเราและฝ่ายขา้ศกึผบู้งัคบับญัชาจะสง่ขา่วใหแ้ก่ญาตขิองทหารไดท้ราบ รปูท ี่ ๘ - ๓ รายงานการสูญเสีย
๒๖๕ รปูท ี่ ๘ - ๔ รายงานผอู้ยใู่นเหตกุารณ์ ๘ - ๑๔ การปฏิบตัิการทดแทน ในการนํากาํลงัพลทดแทนมารวมเขา้กบักองรอ้ยเป็นเร่อืงสาํคญัมาก ผทู้ม่ีา ใหม่ในสนามรบอาจจะมคีวามกลวัและไม่ไดร้บัขา่วสารทถ่ีูกตอ้งเช่นเดยีวกบัความไม่คุน้เคยกบัรปจ. และการ ปฏบิตักิารในยุทธบรเิวณ ก. ผบู้งัคบักองรอ้ยควรจะไปพบและกล่าวตอ้นรบัทหารเหล่านนั้เขา้หน่วย ปกตแิลว้จะเป็นการสรุป สนั้ๆ ผบู้งัคบับญัชาตอ้งมีรปจ. สาํหรบัการตอ้นรบัและการรวมผมู้าใหมใ่หเ้ขา้กบัหน่วย ข. ผบู้งัคบัหมวดและรองผบู้งัคบัหมวด จะกล่าวตอ้นรบักาํลงัพลทดแทนเขา้หน่วยแจง้เร่อืงมาตรฐาน ของหน่วยใหท้ราบ และแนะนําใหผ้บู้งัคบัหม่ไูดร้จู้กั ค. ผบู้งัคบัหม่จูะแนะนําผมู้าทดแทนใหห้ม่ไูดร้จู้กัและบรรยายสรุปถงึหน้าทต่ีามตําแหน่งของทหาร แต่ละคนใหท้ราบ จะตอ้งมนั่ ใจไดว้่ากาํลงัทดแทนแต่ละคนจะไดร้บัการปรนนิบตับิาํรุง อาวุธตงั้ศนูยป์ืนไดร้บั กระสนุเคร่อืงป้องกนัไอพษิและยุทโธปกรณ์ทส่ีาํคญัอ่นืๆ ในการบรรยายสรุปควรจะครอบคลุมกจิกรรมของ หม่ ูและหมวดในอดตี ปัจจุบนัและแผนทว่ีางไว้ ง. ผมู้าใหม่ควรจะไดร้บัการบอกกล่าวถงึรปจ. ทส่ีาํคญัและขา่วสารพเิศษในพน้ืทก่ีารปฏบิตัิเขา อาจจะไดร้บัแบบฟอรม์ ไปรษณยีท์จ่ีะสง่ ใหก้บัญาติจดหมายดงักล่าวควรทจ่ีะบอกถงึทอ่ีย่ใูนการสง่จดหมาย และสงิ่ของ บอกถงึการใชห้น่วยกาชาดยามฉุกเฉิน และแนะนําเขาถงึสายการบงัคบับญัชา ตอนท ี่ ๕ การสนับสนุนทางการแพทย์ ในระดบักองรอ้ย การสนบัสนุนในการบรกิารทางสขุภาพจะกาํหนดไว้๓ พน้ืท่ีคอืเวชกรรมป้องกนั การรกัษาพยาบาล และการสง่กลบัผปู้่วยเจบ็ ในแต่ละกองรอ้ยอาวุธเบาจะไดร้บันายสบิพยาบาลอย่างน้อย ๓ คน จากหมวดเสนารกัษข์องกองพนัมาสมทบเพ่อืใหบ้รกิารทางเสนารกัษ์ตามปกตแิละยามฉุกเฉิน ๘ - ๑๕ เวชกรรมป้องกนัมกีารเน้นย้าํ ในการป้องกนักเ็พราะว่าทหารอาจจะหมดประสทิธภิาพในการรบ จากเชอ้ืโรคหรอืการบาดเจบ็มใิช่จากการรบไดเ้ช่นเดยีวกบัการบาดเจบ็จากการรบ โดยความเขา้ใจและการ ประยุกตเ์อาหลกัการสขุวทิยาสนามมาใช้การป้องกนัการเจบ็ ป่วยจากสภาพอากาศ และการใหค้วามสนใจต่อ การเปลย่ีนแปลงของสง ิ่ แวดลอ้มทเ่ีกดิแก่ทหาร จะป้องกนัการสญูเสยีบางอย่างทอ่ีาจจะเกดิขน้ึได้ (รส.๒๑ - ๑๐, รส. ๒๑ - ๑๑)
๒๖๖ ๘ - ๑๖ การรักษา การสูญเสียเป็นสิ่งแน่นอนที่เกิดขึ้นในสงคราม โดยที่ผู้บังคับบัญชาจะต้องทําให้เกิดความ มั่นใจได้ว่าการสนับสนุนการบริการทางสุขภาพจะมีอยู่ นายสิบพยาบาลจะได้รับการฝึกมาให้ประเมินค่าและ รักษาผู้บาดเจ็บในการรักษาผู้บาดเจ็บสาหัสมักจะหมายถึงการทําให้ทหารนั้นยังมีชีวิตอยู่ได้จนกว่าจะสามารถ ทําการส่งกลับไปยังที่พยาบาลของกองพัน รปจ. ของหน่วยควรที่กําหนดให้ฝึกคนอย่างน้อย ๑ คนต่อหมู่ใน การเป็นผู้ช่วยชีวิตในการรบ เพื่อช่วยนายสิบเสนารักษ์ในการพยาบาลและช่วยส่งกลับผู้บาดเจ็บ เพราะว่านาย สิบเสนารักษ์และผู้ช่วยชีวิตไม่สามารถอยู่ได้ทุกที่ในสนามรบ ดังนั้นทหารทุกนายควรจะได้รับการฝึกให้ทําการ ปฐมพยาบาลเบื้องต้นได้ ๘ - ๑๗ การส่งกลับผู้ป่ วยเจ็บ การส่งกลับผู้ป่วยเจ็บที่มีประสิทธิภาพจะสร้างขวัญเพิ่มสูงขึ้นภายในหน่วย ในการพยาบาลผู้บาดเจ็บจะกระทําในที่ที่เกิดการบาดเจ็บ (หรือบริเวณใกล้ ๆ ที่มีการกําบังและซ่อนพราง) โดยนายสิบพยาบาล ผู้ช่วยชีวิต หรือเพื่อนทหารด้วยกัน ก. ในระหว่างการสู้รบ ผู้บาดเจ็บมักจะถูกให้อยู่กับที่ที่เขาได้รับการรักษาขั้นต้น (รักษาตัวเอง หรือ เพื่อนรักษาให้) เมื่อสถานการณ์อํานวย ผู้บาดเจ็บจะได้รับการเคลื่อนย้ายไปยังจุดรวมของหมวด จากนั้นจะ ถูกส่งกลับตรงไปยังที่พยาบาลของกองพันหรือไปยังจุดรวมของกองร้อย ที่ได้รับการกําหนดจากผู้บังคับ กองร้อยในคําสั่งยุทธการ รปจ.ของหน่วยควรที่จะเขียนถึงการปฏิบัติรวมไปถึงการทําเครื่องหมายผู้บาดเจ็บ ใน ระหว่างการปฏิบัติที่ทัศนวิสัยจํากัด หลอดเคมีเรืองแสงมาตรฐานขนาดเล็กจะเหมาะสมในการที่จะทําตาม วัตถุประสงค์นี้ เมื่อมีการรวบรวมผู้บาดเจ็บ การส่งกลับแล้ว จากนั้นจะเริ่มการส่งกลับไปยังที่รวบรวมผู้บาดเจ็บ ของกองพันหรือไปยังที่พยาบาล ปกติแล้วที่พยาบาลของกองพันจะมีที่ตั้งอยู่ร่วมกับตําบลรวบรวม ผู้บาดเจ็บ ของกองพัน ข. เทคนิคที่มีประสิทธิภาพโดยเฉพาะในระหว่างการเข้าตี จะมีการจัดเฉพาะกิจเป็นชุดส่งกําลังบํารุง ภายใต้การควบคุมของจ่ากองร้อย ทหารเหล่านี้จะบรรทุกกระสุนเพิ่มเติมไปข้างหน้าให้กับหมวด และทําการ ส่งกลับผู้บาดเจ็บไปยังตําบลรวบรวมผู้บาดเจ็บของกองร้อยหรือกองพัน ขนาดของชุดดังกล่าวจะกําหนดโดย ผบ.หน่วยในระหว่างการประมาณสถานการณ์ ค. เมื่อใดที่กองร้อยมีการกระจายเป็นบริเวณกว้าง ผู้บาดเจ็บอาจจะถูกส่งกลับตรงจากตําบล รวบรวมผู้บาดเจ็บของหมวดด้วยยานพาหนะหรือ ฮ. ปกติแล้วการส่งกลับทาง ฮ. จะถูกจํากัด เนื่องจากการ คุกคามของอาวุธ ปตอ.ของข้าศึก ในบางกรณีผู้บาดเจ็บต้องถูกเคลื่อนย้ายมายังตําบลรวบรวมผู้บาดเจ็บของ กองร้อยก่อนจะมีการส่งกลับ เมื่อใดที่รถพยาบาลในอัตราของกองพันมีไม่เพียงพอในการเคลื่อนย้ายผู้บาดเจ็บ ผู้บังคับหน่วยอาจจะสั่งให้ยานยนต์ที่รับส่ง สป. ทําการขนกลับผู้บาดเจ็บมายังที่พยาบาลของกองพันหลังจากที่ ทําการส่ง สป. เรียบร้อยแล้ว ในบางกรณีรอง ผบ.หมวด อาจจะสั่งให้ชุดพลเปลของหมวดทําการแบก ผู้บาดเจ็บมาข้างหลัง ง. ผู้บังคับหน่วยจะต้องกําหนดคนให้น้อยที่สุดในการที่จะส่งกลับผู้บาดเจ็บ ผู้บาดเจ็บเล็กน้อยที่ สามารถเดินเองได้ หรือบางทีอาจจะช่วยแบกผู้บาดเจ็บสาหัส เปลสนามจากธรรมชาติสามารถที่จะใช้โดยการ ตัดต้นไม้เล็ก ๆ โดยทําเป็นคานสอดผ่านไปตามแขนเสื้อของเครื่องแบบที่ติดกระดุมได้ ไม้คํ้ายันและไม้เลื่อน ลากอาจจะใช้ในการส่งกลับผู้บาดเจ็บด้วย ซึ่งเป็นแบบหนึ่งของเปลสนามที่มัดผู้ป่วยไว้ แล้วทําการลากด้วยคน คนเดียวได้ โดยสามารถที่จะใช้เนื้อผ้าที่ทนทาน ล้อพลาสติกแล้วทําการผูกกับไม้เลื่อนในการลาก ใน รส.๗ - ๒๐ จะอธิบายถึงเปลเลื่อนที่มีแจกจ่ายด้วย จ. ในพื้นที่ยากลําบาก (หรือในการลาดตระเวน) ผู้บาดเจ็บอาจจะถูกส่งกลับไปยังที่พยาบาลของ กองพัน โดยชุดเปลสนามและวิธีในการแบกจนกว่าจะมีการขนส่งของหน่วยสามารถรับต่อได้ หรืออาจจะต้อง ทิ้งไว้บริเวณนั้นก่อนแล้วมานํากลับไปภายหลัง
๒๖๗ ฉ. รปจ. ของหน่วยและคําสั่งยุทธการต้องกําหนดรายละเอียดในการส่งกลับผู้บาดเจ็บ โดยจะ ครอบคลุมถึงหน้าที่และความรับผิดชอบของกําลังพลหลัก การส่งกลับผู้บาดเจ็บจากสารเคมี (คนละเส้นทางกับ ผู้บาดเจ็บทั่วไป) และความเร่งด่วนสําหรับการปฏิบัติต่ออาวุธและตําแหน่งที่สําคัญ รปจ. และคําสั่งยุทธการ ควรกําหนดวิธีการส่งกลับเฉพาะที่ต้องการ และวิธีการสํารองรวมทั้งวิธีการจัดการสําหรับการส่งคืนและการ รักษาอาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์ของผู้บาดเจ็บ ผู้บาดเจ็บเล็กน้อยที่ได้รับการรักษา จะส่งไปปฏิบัติหน้าที่ ถึงระดับล่างให้มากที่สุดเท่าที่เป็นได้ ทหารที่ป่วยจะถูกส่งกลับโดยนายสิบพยาบาลมายังหมวด แล้วทําการ รักษาหรือไม่ก็ส่งกลับเมื่อจําเป็น ใช้วิธีการขนกลับด้วยยานยนต์ที่ส่ง สป. โดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทําได้ การ ส่งกลับผู้บาดเจ็บควรที่จะมีการซักซ้อมเหมือนกันกับการปฏิบัติการที่มีความสําคัญในส่วนอื่น ๆ
๒๖๘ ผนวก ก การปฏิบัติการของกําลังรบขนาดเบา/หนัก โดยทั่วไปหน่วยทหารราบมักจะได้รับการสนับสนุนจากกําลังที่มีการจัดแบบหนัก (ขนาดหนัก) (heavy forces) การประมาณสถานการณ์ (การคาดการณ์สถานการณ์ทางยุทธวิธี) จะเป็นเครื่องบ่งชี้ถึง การ จัดกําลังเฉพาะกิจ (ผสม) และความสัมพันธ์ทางการบังคับบัญชา (ขึ้นสมทบหรือขึ้นการควบคุมทางยุทธการ) เทคนิคและยุทธวิธีที่จะอธิบายในผนวกนี้ ใช้สําหรับหน่วยทหารราบในการปฏิบัติงานร่วมกับยานเกราะ เช่น M1, M60 A3, M551, M2 และ M3 ซึ่งสามารถนําไปประยุกต์ใช้สําหรับกองร้อยอาวุธเบาของทหารราบในการ ขึ้นสมทบกับกองพันแบบหนัก หลักพื้นฐานและหลักการซึ่งได้กล่าวไว้ในคู่มือเล่มนี้เกี่ยวกับการรบด้วยวิธีรุกรับ และการปฏิบัติทางยุทธวิธีอื่น ๆ ยังคงสามารถนํามาประยุกต์ใช้ได้ เพิ่มเติมด้วยผู้นําหน่วยทหารราบระดับ ต่าง ๆ จะต้องมีความเข้าใจในหลักนโยบายทางยุทธวิธีในการใช้ กองร้อยชุดรบ (FM 71-1) หมวดรถถัง (FM 17-15) และหมวดทหารราบยานเกราะ (FM 7-7, FM 7-7J) ก - ๑ คุณลักษณะของยานพาหนะ (ยานยนต์) ในการที่จะสามารถใช้หน่วยใด ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผู้นําหน่วย (ผบ.หน่วย) จะต้องมีความรู้ความเข้าใจในขีดความสามารถพิเศษและข้อจํากัดของหน่วยและ ยุทโธปกรณ์ของหน่วยนั้น ๆ ก. รถถัง รถถังแบบ M1 และ M60 A3 จัดเป็นรถถังที่สามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว ประกอบกับมีการ ป้องกันตัวเองอย่างดีและมีอํานาจการยิงที่รุนแรงและแม่นยําสูง ส่วนใหญ่จะปฏิบัติการขยายได้ผลสูงสุดในภูมิ ประเทศโล่งแจ้งและมีพื้นการยิงดี ๑) ความคล่องแคล่ว : ก) ขีดความสามารถ : ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ของรถถังมาจากขีดความสามารถใน การเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงทั้งบนถนนและในภูมิประเทศ (offroad) ขีดความสามารถในการข้ามคูต่าง ๆ ท่า ลุยข้ามและนํ้าตื้น ๆ และสามารถที่จะดันต้นไม้เล็ก ๆ พืชไร่และจากการที่มีสมรรถนะสูง จึงทําให้รถถังสามารถ เคลื่อนที่ได้อย่างมีประสิทธิภาพในหลายรูปแบบของภูมิประเทศ (ในภูมิประเทศหลายชนิด) ข) ข้อจํากัด : รถถังมีอัตราความสิ้นเปลืองนํ้ามันเชื้อเพลิงสูง (โดยเฉพาะแบบ M1) มีเสียงดัง มาก (โดยเฉพาะแบบ M60 A3) และรถถังทุกชนิดจะต้องทําการติดเครื่องยนต์เป็นระยะ ๆ ในขณะที่อากาศ หนาวเย็น หรือเมื่อใช้กล้องกลางคืน (Thermal night Sight) และวิทยุเพื่อทําการชาร์จแบตเตอรี่ให้เต็มอยู่ เสมอ เสียง ฝุ่น และควัน ที่เกิดจากรถถังทําให้เกิดความยุ่งยากแก่ทหารราบในการปฏิบัติการลักลอบและการ จู่โจม รถถังไม่สามารถข้ามลํานํ้าที่มีความลึกเกินกว่า ๔ ฟุตโดยไม่ใช้อุปกรณ์ลุยข้ามนํ้าลึกหรือสะพาน ๒) อํานาจการยิง : ก) ขีดความสามารถ : ปืนใหญ่ (ปืนหลัก) ของรถถังสามารถทําการยิงได้อย่างแม่นยําสูงสุด และรุนแรงที่ระยะไม่เกิน ๒,๕๐๐ เมตร และรถถังซึ่งปืนหลักมีเครื่อง Stabilizer จะสามารถทําการยิงได้อย่าง มีประสิทธิภาพแม้ขณะเคลื่อนที่ในภูมิประเทศด้วยความเร็วสูงและในสนามรบ รถถังยังถือว่าเป็นอาวุธต่อสู้ รถถังที่ดีที่สุด การที่รถถังมีปืนกลหลายชนิด (ปก.ขนาด .๕๐ นิ้ว ของ ผบ.รถ, ปก.ร่วมแกน ขนาด ๗.๖๒ มม. และ ปก.ขนาด ๗.๖๒ มม. ของพลบรรจุ ทําให้สามารถสนับสนุนด้วยการยิงในปริมาตรที่หนาแน่นให้แก่ทหาร ราบได้ โดยความสามารถในการเข้ายึดที่หมายของรถถังที่มีมากกว่าระบบทุกชนิดในกองพันทหารราบ กล้อง ความร้อน (Thermal Sight) เพิ่มประสิทธิภาพได้อย่างมากในการตรวจการณ์และการลาดตระเวน ซึ่ง สามารถที่จะใช้ในการพิสูจน์ทราบแหล่งความร้อนในเวลากลางวัน (บุคคลและยานพาหนะ) ถึงแม้ว่าจะมอง ผ่านพืชไร่ เครื่องวัดระยะด้วยแสงเลเซอร์จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้แก่หน่วยกําลังของทหารราบในการ กําหนดมาตรการควบคุมการยิง และสามารถกําหนดที่อยู่ (ที่ตั้ง) ที่แน่นอน
๒๖๙ ข) ข้อจํากัด : โดยทั่วไปอัตรามูลฐานสําหรับปืนใหญ่ (หลัก) ของรถถังจะเป็นกระสุน primarily APDS ต่อสู้รถถัง ซึ่งกระสุนเหล่านี้ไม่เหมาะในการทําลายยานเกราะขนาดเบา หรือยานยนต์ล้อ ป้อมสนาม แนวคูติดต่อ อาคาร หรือข้าศึกเป็นบุคคล นอกจากนั้นแล้วยังมีปัญหาในเรื่องความปลอดภัยเมื่อทําการยิงข้าม ทหารราบฝ่ายเดียวกันที่ไม่อยู่ในที่กําบัง (ไม่มีการกําบังเหนือศีรษะ) เนื่องจากชิ้นส่วนของที่ตกลงสู่พื้นดิน (ดูย่อหน้า ๘-๒) กระสุนระเบิด (HE) จะสามารถทําลายเป้าหมายดังกล่าวข้างต้นได้ดีกว่า (อย่างมีประสิทธิภาพ มากกว่า) ยกเว้นข้าศึกเป็นบุคคล ซึ่ง ปก.รถถังจะมีประสิทธิภาพในการทําลายมากที่สุด การส่งกําลังกระสุน เพิ่มเติมให้แก่รถถังทุกชนิด ถือเป็นเรื่องยุ่งยากและต้องการการสนับสนุนทางการส่งกําลังบํารุงจากกองพัน แบบหนัก ๓) การป้องกัน : ก) ขีดความสามารถ : โดยทั่ว ๆ ไป เกราะของรถถังจะให้การป้องกันแก่พลประจํารถอย่างดี เยี่ยม ด้านหน้าของรถถังซึ่งเป็นส่วนโค้งทํามุม ๖๐ องศา (Across the frontal 60-degree arc) รถถังสามารถ ทนต่ออาวุธทุกชนิด ยกเว้นจรวดต่อสู้รถถังขนาดหนัก หรือปืนใหญ่และปืนหลักของรถถังข้าศึก และเมื่อทํา การรบด้วยการปิดป้อม พลประจําจะปลอดภัยจากอาวุธปืนเล็ก กระสุนปืนใหญ่ (ยกเว้นถูกยิงตรง ๆ) และกับ ระเบิดสังหารบุคคลเครื่องยิงลูกระเบิดควัน และเครื่องทําควันของรถถังจะสามารถสร้างการพรางได้อย่าง รวดเร็วจากการตรวจการณ์ทั้งมวล ยกเว้นเครื่องตรวจจับความร้อน ข) ข้อจํากัด : รถถังมีจุดอ่อนอย่างมากจากอาวุธต่อสู้รถถังขนาดเบา จากทางปีก ด้านบน และด้านหลัง ด้านบนเป็นจุดอ่อนอย่างมากจากกระสุนนําวิถี (precision guided munitions) ทุ่นระเบิดดักรถถัง สามารถที่จะทําลายหรือทําให้รถถังไม่สามารถใช้งานได้ เมื่อต้องทําการสู้รบโดยปิดป้อมขีดความสามารถใน การมองเห็นตลอดจนการเข้ายึดและการทําลายที่หมายจะลดลงอย่างมาก (โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ในระยะ ประชิดกับทหารราบ) ข. ยานรบทหารราบ : แบบ M2/ M3 จะให้การป้องกันและความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ที่ดี รวมทั้งมีอํานาจการยิงรุนแรง มันสามารถปฏิบัติการได้ดีที่สุดในภูมิประเทศเช่นเดียวกับรถถัง แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับรถถังแล้วขีดความสามารถในการป้องกันตัวจะน้อยกว่า ซึ่งเป็นเรื่องหลักที่จะต้องพิจารณาในการ ใช้ ๑) ความคล่องแคล่ว ก) โดยความสามารถ : ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ของ M2/M3 จะมีพอ ๆ กับรถถัง (สามารถเทียบได้กับรถถัง) สิ่งที่ไม่เหมือนรถถังคือ M2/ M3 สามารถที่จะลอยนํ้าได้และเคลื่อนที่ในลํานํ้า ขนาดใหญ่ได้ด้วย ความเร็ว ๖.๔ กิโลเมตรต่อชั่วโมง โดยต้องมีหรือเตรียมการในเรื่องจุดลงและขึ้นจากนํ้า รถ M2/M3 ใช้พลประจํา ๓ คน และออกแบบมาเพื่อบรรทุกทหารราบอีก ๖ คน ข) ขีดจํากัด : รถ M2/ M3 มีอัตราความสิ้นเปลืองนํ้ามันเชื้อเพลิงสูง เสียงดังกว่ารถ M1 และ ต้องติดเครื่องยนต์เป็นระยะ ในขณะที่อากาศหนาวเย็นหรือเมื่อใช้กล้องกลางคืน (Thermal night Sight) และ วิทยุเพื่อทําการชาร์จแบตเตอรี่ เมื่อหน่วยยานเกราะและหน่วยทหารราบต้องเคลื่อนที่ไปด้วยกัน (บนแนวทาง การเคลื่อนที่ร่วมกัน) เสียง ควัน และฝุ่นที่เกิดจากหน่วยยานยนต์ ทําให้ทหารราบเกิดความยุ่งยากที่จะใช้ขีด ความสามารถในการเคลื่อนที่ด้วยการลักลอบและหลีกเลี่ยงจากการถูกข้าศึกตรวจพบ ๒) อํานาจการยิง : ก) ขีดความสามารถ อาวุธหลักของรถ M2/ M3 คือ ปืนขนาด ๒๕ มม. (Chain gun) ซึ่งใช้ กระสุน APDS HEI - T และ TPT เป็นอาวุธที่มีความแม่นยําสูงและอํานาจการทําลายสูงต่อยานยนต์หุ้มเกราะ ขนาดเบา ป้อมสนาม คูติดต่อ และเป้าหมายเป็นบุคคลที่ระยะตั้งแต่ ๒,๐๐๐ เมตรลงมา เครื่อง Stabilize ช่วย
๒๗๐ ให้ปืนสามารถทําการยิงได้อย่างมีประสิทธิภาพแม้ ในขณะเคลื่อนที่ในภูมิประเทศ จรวดโทว์เป็น อาวุธที่มีประสิทธิภาพในการทําลายรถถังของข้าศึก หรือเป้าหมายเป็นจุดอื่น ๆ ที่ระยะไกลออกไป ปืนกล ร่วมแกน ขนาด ๗.๖๒ มม. สามารถทําการยิงกดข้าศึกได้ในปริมาตรที่หนาแน่นเพื่อการป้องกันตนเองและสนับสนุนด้วย การยิงให้แก่ทหารราบ การผสมผสานระหว่างป้อมปืนที่ติดตั้ง Stabilizer กล้องความร้อน (Thermal sight) ปริ มาตรการยิงที่หนาแน่นและการผสมผสานของอาวุธและกระสุนหลาย ๆ ชนิด ทําให้รถ M2/ M3 เป็นอาวุธชั้น ยอดที่ใช้ในการยิงกดข้าศึก เพื่อสนับสนุนการเข้าโจมตีของทหารราบ ขีดความสามารถในการเข้ายึดที่หมาย ของ M2/ M3 ดีกว่า (เหนือกว่า) ขีดความสามารถระบบอื่น ๆ ในกองพันทหารราบ กล้องความร้อน (Thermal Sight) เป็นเครื่องเพิ่มขีดความสามารถในการตรวจการณ์และการลาดตระเวน ซึ่งสามารถที่จะใช้ในเวลา กลางวันเพื่อตรวจจับเป้าหมายที่เป็นแหล่งความร้อนได้ด้วย (บุคคล และยานพาหนะ) ถึงแม้ว่าจะอยู่ในพื้นที่ที่ เป็นป่าโปร่ง (light vegetation) ข) ข้อจํากัด : เมื่อใช้กล้องความร้อน (Thermal Sight) ในขณะที่ดับเครื่องยนต์เสียง “ คลิ๊ก ” ของกล้องจะสามารถได้ยินไปไกล และการส่งกําลังกระสุนเพิ่มเติมมีความยุ่งยากกว่า และต้องการการ สนับสนุนทางการส่งกําลังบํารุงจากภายนอก (นอกหน่วย) ๓) การป้องกัน ก) ขีดความสามารถ : โดยรวมแล้ว รถ M2/ M3 ให้การป้องกันดีเมื่อทําการรบ ในขณะที่ต้อง ปิดป้อม พลประจํารถจะได้รับการป้องกันอย่างดีจากการยิงของอาวุธปืนเล็กกระสุนแตกอากาศ และทุ่นระเบิด สังหารบุคคล เครื่องยิงลูกระเบิดควันและเครื่องทําควันของรถ M2/ M3 ช่วยให้มันสามารถช่วยพรางตัวเองได้ อย่างรวดเร็วเว้นการตรวจการณ์ของกล้องความร้อน ข) ข้อจํากัด : ยานรบชนิดนี้ (M2/ M3) มีจุดอ่อนจากการโจมตีของอาวุธต่อสู้รถถังในทุก ทิศทาง และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจากรถถังข้าศึก ทุ่นระเบิดดักรถถังสามารถที่จะทําลายหรือทําให้รถเสียหายจน ใช้การไม่ได้ และเมื่อพลประจํารถปฏิบัติการโดยไม่ปิดป้อม ก็จะมีจุดอ่อนจากการยิงของอาวุธปืนเล็กข้าศึก ค. M551 Sheridan : รถ M551 เป็นยานยนต์ลาดตระเวนขนาดเบา ซึ่งมีอํานาจการยิงและความ คล่องแคล่วดี แต่มีข้อจํากัดในเรื่องการป้องกันตัว เนื่องจากมีเกราะบาง ๑) ความคล่องแคล่ว : ยกเว้นเมื่อใช้ความเร็วสูงสุด (dash speed) ความคล่องแคล่วของรถ M551 เทียบได้คร่าว ๆ กับรถ M2/ M3 (ดีไม่เท่ารถ M2/ M3) ๒) อํานาจการยิง : อาวุธหลักของ M551 คือปืน/เครื่องยิง ขนาด ๑๕๒ มม. ซึ่งสามารถทําการ ยิงกระสุน HEAT และ HEP และยังสามารถทําการยิงจรวดต่อสู้รถถัง Shillelagh ได้ด้วย นอกจากนั้นยังมีปืน กลร่วมแกน ขนาด ๗.๖๒ มม. และปืนกลขนาด .๕๐ นิ้ว สําหรับการยิงกดข้าศึก และถึงแม้ว่ารถ M551 จะมี ขีดความสามารถในการต่อสู้รถถัง แต่มันก็ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อต่อสู้กับรถถังหลักของข้าศึก ระบบ ควบคุมการยิงไม่มี Stabilizer ๓) การป้องกัน : การป้องกันตัวของ M551 เช่นเดียวกับ M2/ M3 ง. M113 : รถ M113 เป็นยานลําเลียงพลหุ้มเกราะขนาดเบา ซึ่งมีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ดี บวกกับอํานาจการยิงและการป้องกันตัวพอใช้ ๑) ความคล่องแคล่ว : รถ M. 113 มีความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่น้อยกว่า รถ M2/ M3 อย่าง เห็นได้ชัดทั้งในด้านความเร็วและการข้ามเครื่องกีดขวาง กําลังพลหมู่ปืนเล็ก ๙ คน สามารถบรรทุกภายในรถ และสามารถบรรทุกด้านบนเพิ่มเติมได้ถ้ามีเชือกรัดตรึงให้ทหารเกาะรถ M113 มีความสิ้นเปลืองนํ้ามัน เชื้อเพลิงน้อยกว่า รถ M2/ M3 รถ M113 ถูกออกแบบมาให้สามารถลอยนํ้าและเคลื่อนที่ในนํ้าที่มีความเร็ว กระแสนํ้าไม่มาก (๑.๕ ม. ต่อวินาที) และจะต้องมีจุดลงและขึ้นจากนํ้าอย่างเพียงพอ
๒๗๑ ๒) อํานาจการยิง : ระบบอาวุธหลัก ของรถ M113 คือปืนกลขนาด .๕๐ นิ้ว ซึ่งไม่มี ระบบ Stabilizer ซึ่งพลยิงจะอยู่ในลักษณะเปิดเผยขณะทําการยิงและการยิงจะขาดความแม่นยําขณะที่รถ เคลื่อนที่ จากที่ตั้งที่อยู่กับที่มันสามารถทําการยิงกดต่อเป้าหมายเป็นพื้นที่ ที่ระยะหวังผลสูงสุด ๑,๘๐๐ เมตร พลยิงส่วนใหญ่สามารถทําการยิงกดลงต่อเป้าหมายเป็นจุดที่ระยะ ๗๐๐ เมตร และ ปก.ขนาด .๕๐ นิ้ว จะมี ขาหยั่งและอุปกรณ์ประกอบชุดสําหรับนําอาวุธลงจากรถไปเข้าที่ตั้งยิงที่จัดเตรียมไว้ ถึงแม้ว่ามันจะมีนํ้าหนัก มาก แต่ระบบอาวุธก็สามารถที่จะถอดประกอบออกเพื่อให้ทหารเป็นบุคคลสามารถที่จะบรรทุก และนําพาไป ในภูมิประเทศในระยะสั้น ๆ ได้ ๓) การป้องกัน : รถ M113 อํานวยให้มีการป้องกันจากการยิงของอาวุธปืนเล็ก (๗.๖๒ มม. และ เล็กกว่า) และกระสุนแตกอากาศ ก - ๒ ข้อพิ จารณาในเรื่องความปลอดภัย ผู้นําหน่วยทหารราบทุกระดับ จําเป็นต้องรู้ (ระมัดระวัง) ในเรื่อง ของความปลอดภัยเมื่อปฏิบัติการร่วมกับยานยนต์หุ้มเกราะ (รถเกราะ) กําลังพลทุกคนจําเป็นต้องทราบใน ข้อพิจารณาเหล่านี้และต้อง ตื่นตัว (ระมัดระวัง) ตลอดเวลา ขณะที่ปฏิบัติการร่วมระหว่างหน่วย เบา/หนัก เพื่อป้องกันการสูญเสียโดยไม่จําเป็น ก. ยานยนต์หุ้มเกราะ โดยเฉพาะกําลังพลประจํารถถัง จะไม่สามารถมองเห็นทหารราบที่อยู่ใกล้กับรถ มาก ๆ เช่นเดียวกัน ขณะที่ปฏิบัติการในขณะที่ทัศนวิสัยจํากัดในเวลากลางวัน หรือขณะที่ปิดป้อมการ ตรวจการณ์ของพลประจํารถจะเพ่งเล็ง (มุ่ง) ไปที่ข้าศึกหรือที่ตั้งของข้าศึกที่เป็นภัยคุกคามและไม่มีการ หลีกเลี่ยงทหารที่อยู่บริเวณที่รถจะเคลื่อนที่ไป (บริเวณรอบ ๆ รถ) และเป็นความรับผิดชอบของทหารทุกคนที่ จะต้องมีการระมัดระวังและอยู่ในที่ที่ปลอดภัยตลอดเวลาให้สัมพันธ์กับยานเกราะ ข. กําลังพลของทหารราบที่อยู่ใกล้กับยานเกราะจะเปิดเผยและได้รับผล (ตกเป็นเป้าหมาย) จากการยิง ของอาวุธยิงเล็งตรงของข้าศึกที่ทําการยิงมายังยานเกราะด้วย ทั้งขณะที่เคลื่อนที่และอยู่ในที่มั่นประจําที่ และ ขีดความสามารถของทหารราบในการหลีกเลี่ยงจากการถูกตรวจพบของข้าศึก จะถูกลดประสิทธิภาพลงอย่าง มาก เมื่ออยู่ร่วมกับยานยนต์หุ้มเกราะ แม้ว่าในขณะที่ยานเกราะต้องการการระวังป้องกันหรือการสนับสนุน โดยใกล้ชิดก็ตาม โดยทั่วไปแล้วทหารราบสามารถที่จะอยู่ห่างจากยานเกราะในระยะที่เหมาะสม (จําเป็น สมควร) เพื่อหลีกเลี่ยงจากผลการยิงเล็งตรงที่ข้าศึก ทําการยิงต่อยานเกราะ ค. มีข้อพิจารณาเพิ่มเติมหลายประการ ขณะที่ทหารราบปฏิบัติการใกล้ ๆ กับยานเกราะ ซึ่งมีเกราะ ปฏิกิริยา ได้ถูกออกแบบมาเหมือนกับเป็นดินระเบิดที่บรรรจุในกล่องเหล็กเมื่อถูกกระทบ (กระแทก) ด้วย กระสุนหัวรบเคมี มันจะระเบิดขึ้นทําการป้องกัน (ขัดขวาง) การทํางานตามขั้นตอนของปฏิบัติทางเคมีเพื่อ ไม่ให้สารเคมีผ่านเข้าไปในยานเกราะ ซึ่งเศษโลหะของกล่องเหล็กที่เกิดจากการระเบิดจะตกลงมาเป็นอันตราย ต่อทหารราบที่ไม่มีเครื่องป้องกันซึ่งอยู่ห่างจากตัวรถในระยะ ๓๕ เมตร ง. กระสุนเจาะเกราะความเร็วสูงของปืนใหญ่รถถังจะสลัดครอบ (Sabot round) และปืนขนาด ๒๕ มม. ของ M2/ M3 จะก่อให้เกิดปัญหาเรื่องความปลอดภัย เนื่องจาก ครอบหัวกระสุน ซึ่งตกลงดินหลังจากที่พ้นจาก ปากลํากล้องเพียงเล็กน้อยทําให้เกิดพื้นที่อันตรายตามแนวปืน เป้าหมายในระยะ ๔๐๐ เมตร และทํามุม ๑๐ องศาทั้งสองข้างของแนวปืนเป้าหมาย ในระยะ ๔๐๐ เมตร จากปากลํากล้องปืน กําลังพลทหารราบที่อยู่ใน พื้นที่นี้จะต้องมีที่กําบังเหนือศีรษะและการป้องกัน (berm หรือต้นไม้) จากทางด้านหลัง จ. ไอเสียจากรถถังแบบ M1 อาจจะร้อนมากกว่า ๑๗๐ องศา ทหารที่เคลื่อนที่ตามข้างหลังรถถังจะต้อง หลบไปอยู่ในตําแหน่งที่อยู่ทางด้านข้างของความร้อนจากไอเสีย (จากการถูก ความร้อน ไอเสีย) หรืออยู่ใน ระยะห่างที่ปลอดภัย ถ้าหากเคลื่อนที่ตามด้านหลังของรถถัง
๒๗๒ ฉ. ถ้าหากไม่มีสถานการณ์จําเป็นแล้ว ควรหลีกเลี่ยงการบรรทุกทหารราบไปบนรถถัง หรือถ้าหากจะ มีการบรรทุกก็ควรจะได้มีการพิจารณากําหนดเกี่ยวกับการปฏิบัติในเรื่องความปลอดภัยหลายประการ สําหรับ รายละเอียดในการบรรทุกทหารไปบนยานเกราะดูได้จาก ย่อหน้า ๓ - ๑๑ รส.๗ – ๘ ซึ่งอธิบายถึงอุปกรณ์ที่ ต้องการสําหรับการยึดตรึงและการบรรทุกทหารไปบนยานเกราะ ก - ๓ ข้อพิจารณาในการใช้ เมื่อกองร้อยปืนเล็กปฏิบัติการเป็นส่วนหนึ่งของชุดรบมักจะร่วมกับหน่วยรถถัง ซึ่งรถถังจะใช้ขีดความสามารถพิเศษที่มีอยู่สนับสนุนให้แก่หน่วยทหารราบต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ควรจะได้มีการ พิจารณาในระหว่างขั้นของ (กระบวนการ) การวางแผน ผู้บังคับหน่วยจะต้องรู้ถ้าจะใช้และสนับสนุนหน่วย เหล่านี้อย่างไร โดยทั่ว ๆ ไปแล้วรถถังสามารถที่จะช่วยเหลือสนับสนุนการลงรบเดินดิน ก โดยทําการยิงกดอย่างรุนแรง และเป็นฐานยิงเคลื่อนที่ให้แก่ทหารราบที่ลงรบเดินดิน ปืนกลที่ติดตั้ง บนยานพาหนะสามารถที่จะทําการยิงกดข้าศึกที่อยู่ในที่มั่นสังหารบุคคล และทําลายเป้าหมายยานเกราะ ขนาดเบา ข โดยใช้ความเร็วและกําลังชนเพื่อช่วยเหลือทหารราบในการเข้าโจมตีอย่างรวดเร็ว ปืนที่มีระบบ Stabilizer สามารถที่จะทําการยิงเล็งตรงได้อย่างแม่นยําแม้ขณะที่รถเคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูง ค โดยทําการยิงต่อสู้รถถังอย่างมีประสิทธิภาพ ปืนหลักสามารถที่จะทําลายรถถังยานเกราะและที่ มั่นดัดแปลง เช่น ป้อมสนาม ง โดยช่วยลดขีดจํากัดในเรื่องความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ของหน่วยลงรบเดินดิน(เดินเท้า) เพราะ รถถังสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วในภูมิประเทศ ข้ามคู ต้นไม้ และเครื่องกีดขวางขนาดเล็ก จ โดยการใช้อุปกรณ์ทางเทคนิคที่มีอยู่ (กล้องความร้อน, เครื่องวัดระยะ ฯลฯ) ช่วยในการกําหนด และวัดระยะของเป้าหมายที่อยู่ระยะไกลทั้งกลางวันหรือกลางคืน ฉ โดยการใช้เครื่องมือติดต่อสื่อสาร (ของรถ) ที่มีอยู่เพิ่มเติมการติดต่อสื่อสารที่มีอยู่ วิทยุของรถและ การใช้สัญญาณมือและแขนของพลประจํารถจะทําได้ การถ่ายทอดคําสั่งระหว่างพลประจํารถและกําลังที่เดิน เท้ารวดเร็วขึ้น ก - ๔ ข้อพิจารณาพิเศษ รถถังมีข้อจํากัดและมีจุดอ่อนซึ่งมีผลกระทบต่อการใช้งาน ในการสนับสนุนหน่วย ทหารราบ ดังต่อไปนี้ - มีจุดอ่อนต่อจรวดนําวิถีต่อสู้รถถัง ปืนต่อสู้รถถัง ทุ่นระเบิดดักรถถัง รถถัง และเครื่องบิน - มีความต้องการการส่งกําลังบํารุง สป.๓ ประจําวันในปริมาณที่มาก - มีความต้องการการซ่อมบํารุงมาก (extensive) ต้องการผู้ใช้งานและช่างเครื่องที่มีความชํานาญ ก. ฉากขัดขวาง หรือเครื่องกีดขวางที่มีการเสริมความมั่นคงจะเป็นเครื่องจํากัดหรือหยุดการเคลื่อนที่ ของรถถัง และเพราะว่ารถถังมักจะปฏิบัติงานร่วมกับทหารราบเดินเท้าในป่าทึบ ในเมือง หรือภูมิประเทศจํากัด ผู้นําหน่วยทหารราบจะต้องมีความเข้าใจในคุณลักษณะ ความคล่องแคล่วของรถถังที่ให้การสนับสนุนแก่หน่วย ๑) เมื่อถูกบังคับให้ต้องทําการรบโดยการปิดป้อม ทัศนวิสัยของพลประจํารถจะลดลง และจะ สามารถตรวจการณ์เห็นจากช่องมองเท่านั้น ๒) ในภูมิประเทศปิด (รกทึบ) การหมุนป้อมปืนอาจจะมีอุปสรรคจากต้นไม้ อาคาร และอื่น ๆ ๓) ในพื้นที่ที่เป็นป่า หรือชื้นแฉะพื้นดินอ่อน ซึ่งทหารราบสามารถเคลื่อนที่ผ่านไปได้โดยง่าย แต่ รถถังอาจจะต้องเคลื่อนที่อ้อมผ่านพื้นที่เหล่านั้นไป ข. ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ กระสุนตามอัตรามูลฐานอาจจะเป็นข้อจํากัดได้เช่นกัน ยานรบ M2/ M3 จะ ใช้กระสุน ขนาด ๒๕ มม. ผสมกันระหว่างกระสุน สลัดครอบทิ้งเอง (kinetic energy) และกระสุนระเบิดแรงสูง โดยปกติกระสุนอัตรามูลฐานของ M1 และ M60 A3 จะมีเฉพาะกระสุนสลัดครอบทิ้งเอง และระเบิดแรงสูง ตถ. และรถ M551 มีทั้งกระสุน ระเบิดแรงสูง ตถ. และระเบิดแรงสูงพลาสติก
๒๗๓ ก - ๕ การปฏิบัติการรวมกับยานเกราะ ่ (รถถัง) ผู้นําหน่วยจําเป็นต้องรู้ว่าหน่วยแบบหนักและแบบเบา แต่ละชนิดสามารถที่จะปฏิบัติ (ทํา) อะไร และต้องรู้ว่าจะติดต่อกันทางวิทยุ โทรศัพท์ และทัศนสัญญาณอย่างไร ก. ทหารราบ ช่วยกําลังแบบหนัก โดยการค้นหาและเจาะหรือทําเครื่องหมาย เครื่องกีดขวางรถถัง ทําการค้นหาและทําลายหรือทําการยิงกดต่ออาวุธต่อสู้รถถังของข้าศึก ทหารราบอาจจะกําหนดเป้าหมายให้ รถถังและคุ้มกันให้รถถังเมื่ออยู่ในภูมิประเทศปิด ข. กําลังของหน่วยแบบหนัก ช่วยทหารราบโดยนําทหารราบในภูมิประเทศเปิด และช่วยในเรื่องการ ป้องกันระบบอาวุธโจมตีเคลื่อนที่เร็ว (ขึ้นอยู่กับขีดความสามารถในการต่อสู้รถถังของข้าศึก หน่วยแบบหนัก ทําการกดและทําลายอาวุธต่าง ๆ ป้อมสนาม และรถถังของข้าศึก ด้วยการยิงและการดําเนินกลยุทธ์ และ อาจจะช่วยในการขนส่งเมื่อสถานการณ์ข้าศึกอํานวย ก - ๖ การเคลื่อนที่เข้าปะทะ กองร้อยอาวุธเบา (ทหารราบ) ใช้ทําการเคลื่อนที่เข้าปะทะโดยดําเนินการใช้ เทคนิคอย่างหนึ่งอย่างใดจาก ๒ ประการดังนี้ : วิธีการเคลื่อนที่ หรือเดินเข้าประชิด (approach - march) และการค้นหาและโจมตี (Search and attack) (บทที่ ๔) ก. วิธีการเคลื่อนที่ หรือเดินเข้าประชิด กองร้อยใช้วิธีการ (เทคนิค) การเคลื่อนที่ตามปกติ (Traveling Traveling overwatch and Bounding overwatch) ๑) รถถัง อาจจะเคลื่อนที่ตามและทําการเฝ้าระวังให้แก่หมวดปืนเล็กต่าง ๆ ในการเคลื่อนที่แบบ เดินทาง หรือเดินทางเฝ้าระวัง ในระยะห่างตามสมควรขึ้นอยู่กับลักษณะภูมิประเทศและการตรวจการณ์ ซึ่งจะ อํานวยให้หมวดปืนเล็กต่าง ๆ ทําการเคลื่อนที่ด้วยความเงียบ (ลักลอบ) ขณะที่มีการเฝ้าระวังจากรถถัง ๒) เมื่อต้องการความเร็วและในภูมิประเทศเปิด ยานเกราะอาจจะนําในการเคลื่อนที่แบบ เดินทาง หรือเดินทางเฝ้าระวัง และเมื่อรถถังนํา ปกติจะใช้วิธีการแบบเคลื่อนที่สลับการเฝ้าระวัง (ระดับหมวด) กําลังพล ของทหารราบบางส่วนอาจจะบรรทุกไปกับตอนรถถังที่ทําหน้าที่เฝ้าระวัง (overwatching) ซึ่งกําลังพลเหล่านี้จะ ทําหน้าที่ในการระวังป้องกันให้กับรถถังขณะที่หยุดอยู่กับที่ และหมวดจะทําหน้าที่ในการลงรบเดินดินเพื่อ กวาดล้าง (ตรวจค้น) พื้นที่อันตราย ๓) ในการเคลื่อนที่สลับการเฝ้าระวัง ปกติรถถังจะเป็นส่วนเฝ้าระวัง ในภูมิประเทศเปิด ยานพาหนะ ต่าง ๆ อาจจะเป็นส่วน เคลื่อนที่ ข. วิธีการเคลื่อนที่แบบค้นหาและโจมตี โดยปกติจะใช้รถถังในแผนการดําเนินกลยุทธ์ของกองพัน และ อาจจะปฏิบัติการร่วมกับกองร้อยเพื่อรวมอํานาจกําลังรบทําการโดดเดี่ยว ที่ตั้งข้าศึก หรือเข้าตีต่อฐานที่พัก ของข้าศึก รถถังอาจจะใช้คุ้มกันขบวนยานยนต์ในการเคลื่อนที่ผ่านในภูมิประเทศที่ข้าศึกวางกําลังอยู่ (ยึดครองอยู่) ก – ๗ การเข้าตี ในการเข้าตีทุกชนิดทั้งรถถังและทหารราบจะต้องทําการวางแผนอย่างดี มีการประสานกัน อย่างแน่นแฟ้น และมีการซักซ้อมอย่างเต็มที่ต้องมีการพิจารณาเป็นพิเศษในเรื่อง นปส. เพื่อให้มั่นใจในเรื่อง การสนับสนุนซึ่งกันและกัน และความอ่อนตัว ก. การเข้าตีคนละเส้นทางสอบเข้าหากัน วิธีนี้รถถังและทหารราบเคลื่อนที่คนละเส้นทางและไปพบกัน ณ ที่หมายต่างหน่วยต่างเคลื่อนที่บนเส้นทางที่เหมาะสมกับหน่วยของตน ในขั้นแรกรถถังอาจจะสนับสนุนด้วย การยิงให้แก่ทหารราบ แล้วจากนั้นเคลื่อนที่ทําการเข้าโจมตีต่อที่หมายร่วมกับทหารราบในเวลาที่เหมาะสม (รูปที่ ก - ๑) ซึ่งวิธีการนี้อาจต้องการให้ทหารราบทําการเจาะเครื่องกีดขวาง หรือทําลายระบบอาวุธต่อสู้รถถัง ของข้าศึกที่ทราบเพื่อช่วยเหลือให้ยานเกราะเข้าถึงที่หมายได้ รถถังเป็นยานเกราะชนิดเดียวที่ควรจะเข้าโจมตี จนถึงที่หมาย ถ้าหากข้าศึกไม่มีขีดความสามารถในการต่อต้านยานเกราะ
๒๗๔ รปูท ี่ ก - ๑ การเข้าตีคนละทิศทาง(ชุดรบ ร. - ถ.) ข. การเขา้ตบีนเสน้ทางเดยีวกนัเม่อืรถถงัและทหารราบเขา้ตบีนเสน้ทางเดยีวกนั (รปูท่ีก - ๒) ทงั้ สองสว่นอาจจะเคล่อืนทด่ีว้ยความเรว็เท่ากนัหรอืต่างกนั
๒๗๕ รปูท ี่ ก - ๒ การเข้าทิศทางเดียวกนั (ชุดรบ ร. - ถ.) ๑) ทงั้สองสว่นเคล่อืนทด่ีว้ยความเรว็เทา่กนัเม่อืไมม่ทีต่ีงั้เฝ้าระวงัทด่ีีหรอืเม่อืมคีวามตอ้งการการ สนบัสนุนซง่ึกนัและกนัอย่างใกลช้ดิตวัอย่างเช่น อาจจะมคีวามตอ้งการการสนบัสนุนซง่ึกนัและกนัเม่อืทราบว่า ขา้ศกึมอีาวุธต่อสรู้ถถงัและรถถงัแต่ไมท่ราบทต่ีงั้ทแ่ีน่นอน เม่อืทาํการเขา้ตดีว้ยความเรว็เท่ากนัทหารราบ อาจจะล้าํ ไปขา้งหน้าเลก็น้อย (แต่ไม่อย่ขูา้งหน้ารถถงั) เสมอหรอืเกอืบจะอย่ขูา้งหลงัรถถงั ๒) ทงั้สองสว่นเคล่อืนทด่ีว้ยความเรว็ต่างกนัเม่อืมเีคร่อืงกดีขวาง ซง่ึทหารราบตอ้งทาํการกวาดลา้ง ใหก้บัรถถงัหรอืเม่อืเสน้ทางการเคลอ่ืนทอ่ีาํนวยใหม้กีารกาํบงัและซ่อนพรางทด่ีใีหแ้ก่ทหารราบ แต่ไม่ เออ้ือาํนวยแก่รถถงั ในกรณีเหล่าน้ีในขนั้แรกจะใชร้ถถงัในการสนบัสนุนดว้ยการยงิขณะทท่ีหารราบเคล่อืนท่ี ไปเขา้เตรยีมตะลมุบอน จากนนั้รถถงัจงึเคล่อืนทเ่ีขา้ตะลุมบอนรว่มกบัทหารราบ โดยวธิอีย่างไรกแ็ลว้แต่รถถงั อาจจะนําทหารราบเขา้ทาํลายขา้ศกึซง่ึกาํลงัถูกการยงิกดหรอืขา้ศกึทอ่ียใู่นทม่ีนั่ทไ่ีม่ไดด้ดัแปลงแขง็แรงและ ไม่มทีก่ีาํบงัเหนือศรีษะ หรอืไมม่กีารคุกคามจากอาวธุต่อสรู้ถถงัของขา้ศกึ ค. รถถงัสนบัสนุนดว้ยการยงิอย่างเดยีว วธินี้ีใชเ้ม่อืมเีคร่อืงกดีขวางป้องกนัไม่ใหร้ถถงัเคล่อืนทเ่ีขา้ถงึ ทห่ีมาย ยานเกราะจะเขา้วางตวัในทต่ีงั้ทส่ีามารถใหก้ารสนบัสนุนการเขา้ตขีองทหารราบ (รปูท่ีก - ๓) และ เม่อืสามารถทาํการเจาะหรอืออ้มผ่านเคร่อืงกดีขวางได้รถถงัจะเขา้ร่วมกบัทหารราบอกีครงั้ ง. การจดัระเบยีบใหมแ่ละเสรมิความมนั่คง เม่อืกองรอ้ยชุดรบยดึทห่ีมายไดแ้ลว้ชุดรบจะทาํการเสรมิ ความมนั่คง ผบ.ชุดรบ (ผบ.รอ้ย.) จะกาํหนดให้ผบ.หน่วยรถถงัทาํการวางรถถงัในทม่ีนั่เฝ้าคุม้กนัขา้งหลงั ทหารราบ และพรอ้มทจ่ีะเคล่อืนทม่ีาขา้งหน้าเม่อืตอ้งการ หรอืกาํหนดใหอ้ย่รู่วมกบัทหารราบในทม่ีนั่ทม่ีกีาร กาํบงัป้อมเพ่อืคมุ้กนัเสน้ทางเขา้ตโีตต้อบของรถถงัขา้ศกึถา้หากสามารถตรวจการณ์พบขา้ศกึทก่ีาํลงัถอนตวั
๒๗๖ และอย่ใูนระยะยงิจะทาํการยงิต่อขา้ศกึต่อไป ชุดรบ ทาํการจดัระเบยีบใหมแ่ละทดแทนผนู้ ําหน่วยท่ี สญูเสยีตลอดการเขา้ตี รปูท ี่ ก - ๓ หน่วยยานเกราะเป็นฐานยิงสนับสนุนให้กบัหน่วยทหารราบ (รถถงั) ก – ๘ การตงั้รบัรถถงัใชเ้พม ิ่ ความแขง็แรง ความลกึและความคล่องแคล่วในการเคล่อืนทใ่ีหแ้ก่การตงั้รบั ผบ.หน่วยอาจจะวางรถถงัไวข้า้งหน้าในตอนตน้เพ่อืใชท้าํลายขา้ศกึในระยะไกล แลว้เคล่อืนยา้ยไปขา้งหน้า เพ่อืคุม้ครองแนวทางการเคล่อืนทเ่ีขา้มาของรถถงัขา้ศกึอย่างไรกต็าม ผบ.หน่วยจะตอ้งทาํการโยกยา้ยรถถงั ไปยงัตําบลทต่ีอ้งการจะรวมอาํนาจการยงิเพ่อืต่อตา้น (ทาํลาย) การเขา้ตขีองขา้ศกึและ ผบ.หน่วยควรจะใช้ รถถงัเพ่อืเพม ิ่ ความแขง็แรง (เพม ิ่ เตมิกาํลงั) ใหก้บักาํลงัในการตโีตต้อบอกีดว้ย ก. ผบ.หน่วยอาจจะวางรถถงัไวใ้นทต่ีงั้ชวั่คราว (ร่วมกบัทหารราบ เพ่อืการระวงัป้องกนั) ขา้ง หน้าทม่ีนั่ตงั้รบัของกองรอ้ย เพอ่ืบงัคบัใหข้า้ศกึใชก้าํลงัแต่เนิ่น และการวางรถถงัไวข้า้งหน้าเชน่น้ีอาจจะลวง ใหข้า้ศกึเขา้ใจผดิวา่เป็นทม่ีนั่ตงั้รบัของกองรอ้ย เม่อืขา้ศกึเคล่อืนทเ่ีขา้มาในระยะทเ่ีป็นอนัตรายต่อรถถงัรถถงั จะตอ้งถอนตวัไปเขา้ทม่ีนั่ตงั้รบัของตน โดยใชค้วนัช่วยในการถอนตวัและเน่ืองจากหมวดรถถงัไม่มีผตน. ผบ. รอ้ย. อาจจะสมทบ ผตน.ให้ (ใชข้า้งหน้า) เพ่อืช่วยเหลอืในการรอ้งขอและปรบัการยงิอาวธุวถิโีคง้และการ สนบัสนุนทางอากาศโดยใกลช้ดิ ข. ผบ.รอ้ย. ทหารราบ (อวบ.) สามารถทจ่ีะใชร้ถถงัในการตงั้รบัได้๒ วธิหีลกัๆ ทงั้สองวธิีผบ.รอ้ย. (ทหารราบ) จะทาํการเลอืกทต่ีงั้ทวั่ๆ ไป และเขตการยงิใหแ้ละ ผบ.หน่วยรถถงัจะเป็นผใู้หค้าํแนะนําแก่ ผบ.รอ้ย. (ทหารราบ) และเลอืกทต่ีงั้ทแ่ีน่นอนของตนเองและทาํการควบคุมในเร่อืงการยงิและการเคล่อืนท่ี
๒๗๗ ๑) วิธีการแรก คือวางหน่วยรถถังไว้ ร่วมกับทหารราบในพื้นที่ตั้งรับของกองร้อยทั้งทาง กว้างและทางลึก เพื่อให้ครอบคลุมแนวทางการเคลื่อนที่เข้ามาของรถถังข้าศึก (รูปที่ ก - ๔) วิธีนี้อาจจะใช้เมื่อ มีที่ตั้งที่มีพื้นการยิง (สามารถทําการยิงได้) ดีมีน้อย หรือเมื่อภูมิประเทศจํากัดต่อการเคลื่อนที่ของยานเกราะ รถถังแต่ละคันควรจะมีการช่วยเหลือและสนับสนุนซึ่งกันและกันกับรถถังคันอื่นอย่างน้อยหนึ่งคัน รถถังยังคง อยู่ภายใต้การควบคุมของ ผบ.มว. รถถัง (ผนวก จ อธิบายถึงการใช้ระบบอาวุธต่อสู้รถถัง) ๒) วิธีที่ ๒ ในการใช้รถถัง คือ เก็บหน่วยรถถังไว้เป็นกองหนุนในพื้นที่ข้างหลังหมวดปืนเล็กใน แนวหน้า (รูปที่ ก - ๕) วิธีนี้อาจจะปฏิบัติเมื่อในพื้นที่รับผิดชอบของกองร้อย มีพื้นที่รวมพลสําหรับรถถัง หลายแห่ง ซึ่งต้องมีที่ตั้งยิงที่เหมาะสมและเส้นทางของหน่วยรถถังในพื้นที่ตั้งรับอย่างพอเพียง เมื่อมีเป้าหมาย ปรากฏขึ้น รถถังจะเคลื่อนที่ไปเข้าที่ตั้งยิงทางด้านหน้าหรือทางปีก ซึ่งวิธีนี้จะอํานวยให้สามารถใช้รถถังใน ลักษณะของการวมกําลัง ณ ตําบลวิกฤต เพื่อทําการขับไล่ข้าศึกได้อย่างรวดเร็ว ผบ.ร้อย. ควรจะพิจารณาการ ตัดสินใจในจุดต่าง ๆ จุดสําคัญ ๆ สําหรับการริเริ่มจะเคลื่อนย้ายหน่วยรถถัง ผบ.หน่วย รถถังควรจะต้องรู้ว่า จะทําการเคลื่อนที่ (ย้ายหน่วย) เมื่อไร ในกรณีที่การติดต่อสื่อสารถูกตัดขาด (ไม่สามารถติดต่อสื่อสารกันได้)
๒๗๘ รปูท ี่ ก - ๔ ชุดรบ ร. - ถ.รว่มยึดท ี่ มนั่
๒๗๙ รปูท ี่ ก - ๕ การใช้มว.ถ. เป็นกองหนุนรว่มกบัมว.หนุนของกองรอ้ย อวบ.
๒๘๐ ค. จะใช้หน่วยรถถังวิธีใดก็ตาม ผบ.หมวดรถถังจะเป็นผู้เลือกที่ตั้งยิงจริง สํารอง และเพิ่มเติมของรถถัง แต่ละคันที่มีการกําบัง (กําบังป้อม) ดี และถ้าหากไม่มีที่ตั้งยิงที่มีการกําบังที่ดีพอ ผบ.มว.รถถังอาจจะกําหนด ที่มั่นซ่อนเร้นให้แทน ก - ๙ การปฏิบัติการรนถอย ่ ในการปฏิบัติการร่นถอย รถถังอาจจะใช้เพื่อสนับสนุนทหารราบเมื่อ ภูมิประเทศอํานวยหรือข้าศึกใช้ยานเกราะเป็นหลักในการปฏิบัติการในสถานการณ์อื่นๆ ทหารราบอาจจะทํา การคุ้มกันให้รถถังหรือวิธีการที่ ๒ อาจจะใช้รถถังแยกต่างหากโดยไม่อยู่ในที่รวมพลเดียวกับทหารราบ เมื่อ ปฏิบัติการสู้รบในพื้นที่ (รวมพล) เดียวกัน ทหารราบอาจจะผละออกจากการรบก่อนไปเข้าที่ตั้งใกล้ ๆ โดยมี รถถังคุ้มกันให้ จากนั้นรถถังจึงเคลื่อนที่ไปเข้าที่ตั้งเฝ้าคุ้มกัน ซึ่งสามารถทําการคุ้มครองการถอนตัวของ ทหารราบได้อย่างต่อเนื่อง (ที่สามารถทําการคุ้มกันการถอนตัวของทหารราบต่อไป) ถ้าหากเป็นการ ปฏิบัติการร่นถอยในขณะทัศนวิสัยจํากัด อาจจะมีทหารราบบางส่วนไว้อยู่ร่วมกับรถถังเพื่อทําการรวมให้กับ รถถัง ก - ๑๐ การสนับสนุนทางการส่งกําลังบํารุง มว.รถถัง เมื่อมาขึ้นการควบคุมทางยุทธการกับกองร้อย อาวุธเบาจะรับการสนับสนุนในเรื่องนํ้ามันเชื้อเพลิง การซ่อมบํารุงและการกู้ซ่อมและกระสุนจากกองร้อยต้น สังกัด (หน่วยแม่) โดยปกติ มว.รถถังเมื่อมาอยู่กับกองร้อยอาวุธเบาจะนําเอารถ สป.๓ และรถกระสุนของ ตนเองมาด้วย และถ้าหากกองร้อยรถถัง (หน่วยแม่) ไม่สามารถให้เครื่องมือในการกู้ซ่อม มว.รถถัง มว. สามารถที่จะปฏิบัติการกู้ซ่อมด้วยตัวเอง ผบ.มว.สามารถที่จะทําการติดต่อกับ ผบ.ร้อย. ของตนสําหรับขอรับ การสนับสนุน แต่อย่างไรก็ตาม ผบ.มว.รถถังจะต้องประสานกับ ผบ.ร้อย. อาวุธเบา(ทหารราบ) ในเรื่องสถานที่ และเวลาที่จะปฏิบัติการส่งกําลังบํารุงของตน ก - ๑๑ ทหารราบบรรทุกบนรถถัง อาจจะมีโอกาส (บางครั้ง) ที่รถถังและทหารราบจะต้องเคลื่อนที่จาก สถานที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ด้วยความรวดเร็วเพื่อปฏิบัติภารกิจร่วมกันในกรณีและสถานการณ์อํานวยให้เช่นมี ความเป็นไปได้น้อยและการปะทะข้าศึกยังอยู่ห่างไกล อาจจะให้ทหารราบบรรทุกไปบน (หลัง) (ดาดฟ้า, ป้อมปืน) รถถัง ก. การบรรทุกด้านนอกของรถถัง (ออกนอกตัวรถ) เป็นอันตรายมาก ทหารราบจึงควรจะบรรทุก ด้านบนของรถถังเมื่อมีความต้องการในเรื่องความเร็วอย่างมาก ขณะที่ทหารราบบรรทุกไปบนรถถังทหารราบ ให้รถถังในเรื่องการคุ้มกันอย่างดีที่สุด ขีดความสามารถในการเคลื่อนที่ด้วยความเงียบและการหลีกเลี่ยงจาก การถูกตรวจพบ ทหารที่บรรทุกไปบนรถถังจะมีจุดอ่อนจากการยิงของอาวุธทุกชนิดของข้าศึก และทหาร จะต้องทําการระวังจากเครื่องกีดขวางซึ่งอาจเป็นสาเหตุให้รถถัง (ยานเกราะ) พลิก (เซ ตะแคง) กระทันหันจาก ต้นไม้และกิ่งไม้ ซึ่งอาจจะเกี่ยวให้ตกลงมาและจากการหมุนป้อมปืน ซึ่งอาจจะทําให้ทหารตกลงมาได้ ข. สิ่งเดียวที่ทหารราบได้รับเพิ่มขึ้น (ได้เปรียบ) คือ ความสําเร็จในการเคลื่อนที่และเพิ่มขีด ความสามารถในเรื่องระยะทาง ในกรณีเช่นนี้ควรจะได้มีการประยุกต์ใช้ในเรื่องต่อไปนี้ ๑) หลีกเลี่ยงการบรรทุกบนรถนําทางตอนหรือหมวด เนื่องจากรถพวกนี้มีโอกาสปะทะกับข้าศึก มากที่สุด และจะสามารถปฏิบัติตอบโต้ของข้าศึกได้เร็วกว่า ถ้าหากไม่มีทหารราบบรรทุกอยู่ด้านบน ๒) ผบ.หน่วยทหารราบควรอยู่บนรถคันเดียวกับ ผบ.หน่วยรถถัง เพื่อปรึกษาและจัดเตรียมแผน ต่าง ๆ สําหรับการปฏิบัติในการปะทะหรือพื้นที่อันตราย และทหารราบควรลงจากรถทําการกวาดล้างช่องทาง บังคับ หรือพื้นที่อันตรายต่าง ๆ ๓) มอบการระวังป้องกันทางอากาศและเขตรับผิดชอบในการตรวจการณ์ ต้องเน้นยํ้า (มั่นใจว่า) กําลังพลทุกคนให้มีความตื่นตัวตลอดเวลาและเตรียมพร้อมที่จะลงจากรถได้ทันที เมื่อมีการปะทะเกิดขึ้น (ใน กรณีที่เกิดการปะทะ) รถถังจะทําการโต้ตอบทันทีและต้องการการป้องกันตนเอง ซึ่งทหารราบที่บรรทุกอยู่บน รถถังจะต้องรับผิดชอบตนเองในเรื่องความปลอดภัย จะต้องมีการซักซ้อมความรวดเร็วในการลงจากรถ
๒๘๑ ๔) พิจารณาที่จะบรรทุกเป้สนามของทหาร กระสุนและยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ ไปบนรถถัง โดยทหาร ราบเคลื่อนที่ไปคนละแนวทางการเคลื่อนที่ ซึ่งจะทําให้เพิ่มความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ให้กับทหารราบ และทําให้ทหารราบสามารถเคลื่อนที่ผ่านภูมิประเทศต่าง ๆ ได้อย่างเหมาะสมกว่า ค. การบรรทุกทหารไปบนรถถังทําให้ลดขีดความสามารถของรถถังในการดําเนินกลยุทธ์ และอาจทํา ให้เกิดข้อจํากัดในเรื่องอํานาจการยิงทหารราบอาจจะได้รับบาดเจ็บ หากรถถังต้องหันป้อมปืนเพื่อทําการยิงต่อ เป้าหมาย ดังนั้นทหารจะต้องทําการลงรถเพื่อกวาดล้างพื้นที่อันตรายหรือทันทีที่มีการปะทะกับข้าศึก ก - ๑๒ การติดต่อสื่อสารกับรถถัง (ยานเกราะ) ก่อนปฏิบัติการ ผบ.หน่วยทหารราบและรถถัง (ยานเกราะ) จะต้องมีการประสานงานกัน (การปฏิบัติ) เกี่ยวกับวิธีการติดต่อสื่อสาร ซึ่งควรจะรวมถึงการใช้วิทยุ โทรศัพท์ และทัศนสัญญาณ เช่น สัญญาณมือและแขน แถบสัญญาณ (แผ่นผ้าสัญญาณ) แสง ธงและพลุสัญญาณ รถถัง ทุกชนิด (ยกเว้น M1) มีโทรศัพท์ภายนอกรถอยู่ด้านหลัง เพื่อสําหรับติดต่อกับทหารราบซึ่งสามารถที่จะ ติดต่อกับพลประจํารถผ่านทางระบบโทรศัพท์ภายใน (Intercom) เมื่อทหารราบต้องการที่จะพูดกับพลประจํา รถก็เพียงแต่หยิบโทรศัพท์ขึ้นกดปุ่ม push to talk แล้วพูดได้เลย และเมื่อ ผบ.รถ ต้องการที่จะพูดกับทหาร ราบที่อยู่ใกล้ ๆ ก็จะเปิดไฟกระพริบสีส้มที่โทรศัพท์ด้านนอกตัวรถ สําหรับ M1 ทหารราบสามารถที่จะใช้การ ติดต่อทางสายไปยัง ผบ.รถ ผ่านทางป้อมปืนสายนี้สามารถที่จะทําการเกาะกับระบบการติดต่อสื่อสารของ รถถัง เพื่อให้เป็นวิธีการติดต่อสื่อสารกับทหารที่อยู่ใกล้ ๆ
๒๘๒ ผนวก ข เครื่องกีดขวาง เครื่องกีดขวาง คือ สิ่งกีดขวางใด ๆ ซึ่งเกิดจากธรรมชาติหรือมนุษย์สร้างขึ้น ซึ่งขัดขวางเปลี่ยน ทิศทาง ตรึง (หยุด) หรือ ปิดกั้นการเคลื่อนที่ ข - ๑ การใช้ เครื่องกีดขวางใช้ประโยชน์อย่างมากที่สุดในการตั้งรับ แต่สามารถที่จะใช้ได้ในการปฏิบัติ ทุกเรื่อง เครื่องกีดขวางทุกชนิด (หลาย ๆ ชนิด) ควรจะใช้โดยปกปิดไม่ให้ข้าศึกค้นพบ กวาดล้างหรืออ้อมผ่าน ก. ในการรบด้วยวิธีรุกกองร้อย ใช้เครื่องกีดขวาง ๑) เพื่อช่วยในการระวังป้องกันทางปีก ๒) จํากัดการตีโต้ตอบของข้าศึก ๓) เพื่อโดดเดี่ยวที่หมาย ๔) เพื่อตัดขาดการเพิ่มเติมกําลังหรือเส้นทางถอนตัว ข. ในการรบด้วยวิธีรับ : เครื่องกีดขวางถูกใช้เพื่อลดขีดความสามารถของข้าศึก ในการดําเนินกลยุทธ์ การรวมกําลังและเพิ่มเติมกําลัง รวมทั้งทําให้ข้าศึกเกิดจุดอ่อนต่อการยิงของฝ่ายเรา เครื่องกีดขวางบุคคล ทําหน้าที่ดังกล่าวมาแล้ว โดยปฏิบัติพันธกิจในการกีดขวางทางยุทธวิธี หรือในสี่ประการคือ ขัดขวาง เปลี่ยน ทิศทาง ตรึง (หยุด) หรือปิดกั้น ๑) ขัดขวาง เครื่องกีดขวางเหล่านี้ขัดขวางรูปขบวนเดิน ทําลายจังหวะเวลาการปฏิบัติ ทําให้ สิ้นเปลืองเครื่องมือในการเจาะ และแยกส่วนนํากับยานยนต์ส่งกําลังออกจากกัน เครื่องกีดขวางยังสามารถใช้ เพื่อขัดขวางรูปแบบ การเข้าตะลุมบอน (โจมตี) โจมตี (ทําลาย) ระบบการควบคุมบังคับบัญชาระดับตํ่าขณะที่ ฝ่ายเข้าตีตกอยู่ภายใต้การยิงเล็งตรง ๒) เปลี่ยน (หันเห) ทิศทาง : เครื่องกีดขวางเพื่อใช้หันเหทิศทางจะทําให้ข้าศึกต้องเปลี่ยนหรือ หันเหทิศทางเคลื่อนที่ไปพบกับกําลังฝ่ายเรา โดยการจูงหรือบังคับให้เคลื่อนที่ไปในทิศทางที่ฝ่ายเรากําหนด โดยทําการแยกรูปขบวนรบ โดยกําหนดช่องทางเคลื่อนที่ให้ข้าศึกหรือทําให้เกิดปีกเปิด ๓) ตรึง (หยุด) : เครื่องกีดขวางแบบตรึง (FIX) ทําให้ข้าศึกเคลื่อนที่ช้าลงหรือหยุดข้าศึกไว้ในที่ ที่กําหนด เพื่อทําลายด้วยการยิงหรือทําให้ข้าศึกต้องเสียเวลาในการหยุดการปะทะและผละออกจากการรบ (Break contact and disengage) ๔) ปิดกั้น (Block) : ด้วยตัวมันเองเครื่องกีดขวางจะไม่สามารถใช้ในการปิดกั้นกําลังของข้าศึก เครื่องกีดขวางแบบปิดกั้นมีความยุ่งยาก สลับขั้นวางในทางลึก และผสมผสานกับอํานาจการยิงเพื่อป้องกัน ไม่ให้ข้าศึกใช้แนวทางการเคลื่อนที่ที่มีอยู่ (หรือเคลื่อนที่ไปในเส้นทางที่สูญเสียขึ้นไม่สามารถยอมรับได้) เครื่อง กีดขวางแบบปิดกั้นใช้เป็นเครื่องจํากัด ซึ่งเราไม่ต้องการให้ข้าศึกเคลื่อนที่ไปทางด้านข้าง (ทางปีก) ค. ในการปฏิบัติการร่นถอย กองร้อยใช้เครื่องกีดขวางเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบหรือเพิ่มความ คล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ให้เหนือกว่าข้าศึกหรือเพิ่มความแข็งแรงแก่ที่มั่นรบหน่วงเวลา ง. โดยปกติทั่วไปแล้วทหารช่างจะเป็นผู้สร้างเครื่องกีดขวางโดยความช่วยเหลือของกองร้อย อาจจะ มีบางครั้งที่กองร้อยต้องทําการสร้างเครื่องกีดขวางโดยปราศจากความช่วยเหลือของทหารช่าง ซึ่งในกรณี เช่นนี้ ผบ.ร้อย. ควรจะขอคําแนะนําในเรื่องเทคนิคการใช้เครื่องมือจากทหารช่าง
๒๘๓ ข - ๒ ชนิด (แบบ) โดยปกติทั่วไปแล้ว ผบ.ร้อย. จะพิจารณาแบบของเครื่องกีดขวางดังต่อไปนี้ : เครื่องกีด ขวางที่สร้างขึ้น เครื่องกีดขวางในภูมิประเทศ ก. เครื่องกีดขวางที่สร้างขึ้น : เป็นเครื่องกีดขวางที่สร้างขึ้นด้วยคนทําการก่อสร้างโดยหน่วย รวมทั้งการ ปิดถนน เครื่องกีดขวางลวดหนาม ซุงขัดขวาง (log cribs) คูดักรถถัง (log hurdles) สนามทุ่นระเบิดและ ลวดหนามหีบเพลง (Wire obstacles) ข. เครื่องกีดขวางในภูมิประเทศ : เป็นเครื่องกีดขวางที่รวมทั้งหมดที่มีอยู่ ณ ที่นั้น (ทั้งตามธรรมชาติ และที่สร้างขึ้น) เครื่องกีดขวางตามธรรมชาติจะมีอยู่เองตามธรรมชาติ (ธรรมชาติเป็นผู้สร้างหรือกําหนดขึ้น) ซึ่งรวมถึงสิ่งเหล่านี้ ลาดชัน หุบเขาลึก ร่องนํ้า คู แม่นํ้า กระแสนํ้า พืชที่ชื้นและเป็นหล่ม (Swamps) และป่าทึบ (Cultural obstacles) (เครื่องกีดขวางตามสภาพท้องถิ่น) เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่นอาคาร รั้ว และคลอง ข - ๓ การวางแผน (แผน) กองพันรับคําสั่งจากกรม ซึ่งอาจจะระบุ (กําหนด) แนวเครื่องกีดขวางที่แน่นอน จํากัดการใช้เครื่องกีดขวางทางยุทธวิธีของกองพันที่อยู่ภายใน (หลัง) แนวเครื่องกีดขวางและมุ่งไปที่การตั้งรับ ของ (ภายใน) กรม แนวเหล่านี้จะประกอบด้วยระบบเครื่องกีดขวางที่ออกแบบ (สร้าง) ขึ้นเพื่อทําหน้าที่อย่าง หนึ่งอย่างใดของพันธกิจหลัก ๔ ประการของเครื่องกีดขวาง ซึ่งจะอํานวยให้แก่หน่วยระดับกรมสามารถดําเนิน กลยุทธ์ด้านนอกของนอกแนวเครื่องกีดขวางได้ เครื่องกีดขวางป้องกันตนสามารถใช้ได้เฉพาะด้านนอกแนว เครื่องกีดขวางที่กําหนดหรือกรม อาจจะยอมให้กองพันมีความอ่อนตัวมากที่สุด และกําหนดให้กองพันมีอิสระ ในการใช้เครื่องกีดขวางทางยุทธวิธีตลอดพื้นที่รับผิดชอบของกองพันเพิ่มเติมด้วย แผนอาจจะรวมถึงเครื่องกีด ขวางที่ระบุแน่นอนของกรม หรือหน่วยเหนือซึ่งมีความสําคัญยิ่งต่อแผนของหน่วยระดับนี้ สิ่งเหล่านี้จะ กลายเป็นความเร่งด่วนของเครื่องกีดขวาง และอาจจะเป็นเครื่องกีดขวางสํารอง (สะสม) (การสะสมเครื่องกีด ขวาง) แผนของกรม จะกําหนด (ระบุ) การแจกจ่ายทรัพยากร (อุปกรณ์) ความเร่งด่วนในการต้านทานและเวลา แล้วเสร็จ (ดู รส.๕ - ๑๐๐) ก. หลังจากได้รับแผนเครื่องกีดขวางของกรม กองพันเริ่มทําการวางแผนเพื่อปฏิบัติตามแผนของ หน่วยเหนือในส่วนของตน ผบ.พัน และ ฝอ. ต้องพิจารณาปัจจัย METT-T ด้วย และพิจารณาว่าจะต้องทําการ สร้างเครื่องกีดขวางอะไรเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนแผนทางยุทธวิธีของกองพัน จากนั้นกองพันจะแจกจ่ายแผน ให้แก่ ผบ.ร้อย. เพื่อดําเนินการต่อไป ซึ่ง ผบ.พัน. จะกําหนดการแบ่งมอบเครื่องมือและอุปกรณ์ทางด้านการ ช่าง ที่จําเป็นต้องใช้ตามแผนให้ด้วย ข. ทันทีที่ได้รับแผนจากกองพัน ผบ.ร้อย.จะเริ่มทําการวางแผน เพื่อปฏิบัติในส่วนที่ตนต้องรับผิดชอบ ตามแผนของกองพัน ซึ่ง ผบ.ร้อย. ก็จะต้องพิจารณาในเรื่องปัจจัย METT-T เช่นกัน และพิจารณาว่าจําเป็น ที่จะต้องสร้างเครื่องกีดขวางอะไรเพิ่มเติม เพื่อสนับสนุนแผนทางยุทธวิธีของกองร้อย (ตน) (เครื่องกีดขวาง เหล่านี้จะต้องได้รับความเห็นชอบจากกองพันก่อนทําการสร้าง) ในการวางแผนเครื่องกีดขวาง ผบ.ร้อย. จะ พิจารณาในเรื่อง ๑) ภารกิจ : ภารกิจของกองร้อยคืออะไร (ตั้งรับ เข้าตี ถอนตัว หรือรบหน่วงเวลา) และนานเท่าไร ๒) ข้าศึก : ข้าศึกจะมาจากไหน บรรทุกยานเกราะ เดินเท้าหรือทั้งสองอย่าง และสามารถที่จะบีบ บังคับให้ข้าศึกไปทางไหน
๒๘๔ ๓) ภูมิประเทศและลมฟ้าอากาศ : อะไรคือเครื่องกีดขวางในภูมิประเทศ และจะมีผลกระทบต่อ ข้าศึกอย่างไร จะมีการเสริมความแข็งแรงให้กับเครื่องกีดขวางในภูมิประเทศได้อย่างไร ถ้าหากไม่มีเครื่องกีด ขวางในภูมิประเทศจะสร้างเครื่องกีดขวางสนับสนุนแผนทางยุทธวิธีของกองร้อยอย่างไร เครื่องกีดขวางเหล่านี้ จะสามารถทําการคุ้มครองด้วยการตรวจการณ์ และคุ้มครองด้วยการยิงเล็งตรงและเล็งจําลองอย่างไร สภาพลม ฟ้าอากาศจะมีผลกระทบต่อการใช้เครื่องกีดขวางอย่างไร ๔) กําลังพลและเวลาที่มีอยู่ : จะมีทหารช่างเพียงพอที่จะสนับสนุนหรือไม่ มีงานที่ทหารราบ สามารถทําได้เท่าไร มีวัสดุ อุปกรณ์ และการขนส่งอยู่เท่าไร มีปืนใหญ่ และ ฮ. สนับสนุนการวางสนามทุ่น ระเบิดหรือไม่ มีเวลาที่จะทําการสร้างเครื่องกีดขวางนานเท่าไร ค. ผบ.ร้อย. วางแผนเครื่องกีดขวางโดยใช้หลักการดังต่อไปนี้ ๑) สนับสนุนแผนทางยุทธวิธี เครื่องกีดขวางต้องใช้สนับสนุนแผนทางยุทธวิธี ผบ.ร้อย. ใช้เครื่อง กีดขวางเสริมอํานาจกําลังรบของตนเพื่อลดความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่ของข้าศึก และเป็นการรักษาความ ปลอดภัย (ระวังป้องกัน) แก่กองร้อย ขณะที่ทําการพิจารณาแนวทางการเคลื่อนที่ของข้าศึก ผบ.ร้อย. จะ พิจารณาความต้องการในการเคลื่อนที่ของตนไปด้วย เช่น เส้นทางการส่งกําลังเพิ่มเติม ถอนตัว ตีโต้ตอบ ลาดตะเวน และจุดตรวจการณ์ ๒) เชื่อมต่อกัน จะต้องทําการประสานและเชื่อมโยง เครื่องกีดขวางที่สร้างขึ้น และ เครื่องกีดขวางใน ภูมิประเทศเข้าด้วยกัน ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความยากให้แก่ข้าศึกในการอ้อมผ่านเครื่องกีดขวาง ผบ.ร้อย. ต้อง รวม (เชื่อม ประสาน) แผนเครื่องกีดขวางและแผนการยิงสนับสนุนเข้าด้วยกัน ๓) คุ้มครองด้วยการตรวจการณ์และการยิง : ผบ.ร้อย. ต้องมั่นใจว่าเครื่องกีดขวางทั้งหมดมีการ คุ้มครองจากการตรวจการณ์และการยิง ซึ่งจะทําให้ลดขีดความสามารถของข้าศึก ในการรื้อถอนหรือทําการ เจาะเครื่องกีดขวาง และเพิ่มความเป็นไปได้ในการใช้การยิงทําลายข้าศึก ขณะที่ประสบกับเครื่องกีดขวาง การ คุ้มครองเครื่องกีดขวางด้วยอาวุธยิงเล็งตรงเป็นสิ่งที่พึงประสงค์ แต่ถ้าหากไม่สามารถทําได้อาจจะใช้การ คุ้มครองจากการยิงเล็งจําลองก็ได้ ในกรณีนี้จะต้องมีการเฝ้าตรวจเครื่องกีดขวาง (มีการตรวจการณ์ต่อเครื่อง กีดขวาง) เพื่อร้องขอและปรับการยิง ในขณะที่ทัศนวิสัยจํากัด หน่วยต้องมีการเปลี่ยนที่ตั้งบ่อย ๆ เพื่อคุ้มครอง เครื่องกีดขวาง ๔) วางเครื่องกีดขวางทางลึก : ถึงแม้ว่ากองร้อยจะมีเครื่องมือและอุปกรณ์ในการสร้างเครื่องกีด ขวางอย่างจํากัด ผบ.ร้อย. ควรจะพยายามที่จะสร้าง เพื่อให้ข้าศึกต้องประสบกับเครื่องกีดขวางหลาย ๆ แห่ง ก่อนที่จะเข้ามาถึงที่มั่นของกองร้อย ๕) การพรางและการซ่อนพราง : กองร้อยทําการพรางและซ่อนพราง เครื่องกีดขวางของตนเพื่อลด ขีดความสามารถของข้าศึกในการตรวจพบและวางแผนเพื่อเจาะหรืออ้อมผ่านเครื่องกีดขวางของกองร้อย ระดับของการพรางและการซ่อนพราง สามารถบรรลุผลได้โดยเลือกที่ตั้งที่เหมาะสมและการหน่วงเวลา (ข้าศึก) ในการทําลายเครื่องกีดขวาง ๖) ทําให้ข้าศึกเสียเปรียบ : กองร้อยควรจะใช้ลวดหีบเพลง สนามทุ่นระเบิด กับระเบิดสังหารบุคคล (Booby Traps) เพื่อทําให้ข้าศึกไม่สามารถใช้การกําบังและการซ่อนพรางใด ๆ ซึ่งอาจจะทําได้โดยใช้เครื่อง กีดขวาง ๗) มีช่องทางผ่านและช่องว่าง : ผบ.ร้อย. ต้องวางแผนในเรื่องช่องทางผ่านและช่องว่างผ่านเครื่อง กีดขวาง สําหรับการเคลื่อนที่ของหน่วยทหารฝ่ายเดียวกัน (ของฝ่ายเรา) ซึ่ง ผบ.ร้อย. ต้องมั่นใจว่ามีการระวัง ป้องกัน (รักษาความปลอดภัย) อย่างแข็งแรงตลอดเวลาและมีแผนที่จะทําการปิดช่องทางผ่านและช่องว่างนั้น ก่อนการปะทะกับข้าศึก
๒๘๕ ง. เนื่องจากมักจะมีทรัพยากรไม่เพียงพอในการสร้างเครื่องกีดขวางตามที่ต้องการ เพื่อเป็นการบริหาร เวลาอย่างมีประสิทธิภาพต้องมีการจัดลําดับความเร่งด่วนของงาน ยุทโธปกรณ์ และวัสดุต่าง ๆ โดยปกติ เครื่องกีดขวางต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยเสริมการตั้งรับในการต้านทานยานเกราะข้าศึกจะทําการก่อสร้างก่อน จากนั้น จะเป็นเครื่องกีดขวางที่จะเสริมการตั้งรับด้านหน้า (ใกล้ชิด) และเครื่องกีดขวางทางปีกและทางหลังเป็นอันดับ สุดท้าย ข - ๔ เครื่องกีดขวางของข้าศึก เมื่อเผชิญกับเครื่องกีดขวางของข้าศึก กองร้อยจะทําการเจาะหรืออ้อมผ่าน การตัดสินใจว่าจะทําอะไรขึ้นอยู่กับปัจจัยภารกิจสถานการณ์และเครื่องมือที่มีอยู่ โดยปกติเครื่องกีดขวางที่ ต้องการให้มีการลงจากรถจะใช้ทุ่นระเบิดและลวดหนามหีบเพลง และมักจะมีการคุ้มครองด้วยการยิงทหารราบ เดินเท้า (ที่ลงจากรถ ลงรบเดินดิน) สามารถที่จะทําการอ้อมผ่านเครื่องกีดขวางหลาย ๆ ชนิดที่สร้างขึ้นเพื่อ หยุดหรือบังคับทิศทางการเคลื่อนที่ของหน่วยยานยนต์ (ยานเกราะ) อย่างไรก็ตามทหารเดินเท้าอาจจะต้องทํา การเจาะเครื่องกีดขวางเหล่านี้เพื่อให้รถถังและยานยนต์ที่สนับสนุนตนสามารถเคลื่อนที่ตามไปได้ ขณะที่ทํา การเจาะสนามทุ่นระเบิดทหารจะต้องทําการค้นหาทุ่นระเบิดสังหารบุคคล เช่นเดียวกับทุ่นระเบิดดักรถถัง ก. การอ้อมผ่าน : เมื่อทําการอ้อมผ่านเครื่องกีดขวาง ผบ.ร้อย. ต้องรายงานชนิดและที่ตั้งให้ ผบ.พัน. ทราบ และเนื่องจากข้าศึกอาจจะคุ้มครองเส้นทางอ้อมผ่านด้วยการยิง ผบ.ร้อย.ต้องเตรียมพร้อมที่จะปฏิบัติใน กรณีทีเกิดการปะทะกับข้าศึกโดยไม่คาดคิด (แบบฉับพลัน) ทําการยิงกดต่อที่ตั้ง (จุดต่าง ๆ) ที่ข้าศึกสามารถ คุ้มครองเครื่องกีดขวางด้วยการยิง ข. การเจาะ : การเจาะคือการใช้วิธีการใด ๆ ที่มีอยู่เพื่อผ่านเข้าไปหรือคุ้มครองการผ่านเครื่องกีดขวาง ของข้าศึก ๑) การเจาะมี ๒ แบบ คือ : แบบเร่งด่วนและแบบประณีต ก) ในการเจาะแบบเร่งด่วน กองร้อยทําการเข้าตีอย่างรวดเร็ว โดยใช้ควัน เพื่อซ่อนพรางการ เคลื่อนที่และเคลื่อนที่ผ่านเครื่องกีดขวางตามที่ได้ทําการฝึกและซักซ้อมตามแบบฝึกมาอย่างดี ขณะที่ควบคุม ฝั่งไกลด้วยการยิงกด ผบ.ร้อย. ทําการผสมผสานส่วนกําลังรบต่าง ๆ ให้เกิดการจู่โจมและความริเริ่มมากที่สุด เพื่อที่จะผ่านเครื่องกีดขวาง โดยสูญเสียนํ้าหนัก (ความหนุนเนื่อง) ในการเข้าตีน้อยที่สุด ข) การเจาะแบบประณีต เป็นการปฏิบัติหลังจากที่มีการลาดตระเวนในรายละเอียด มีการ วางแผนและเตรียมการ โดยปกติจะทําการวางแผนโดยกองพันและปฏิบัติโดยความช่วยเหลือของทหารช่าง ๒) กองร้อยอาจจะทําการเจาะเครื่องกีดขวางหลาย ๆ อย่าง โดยใช้เทคนิค (วิธีการ) ยุทโธปกรณ์ และวัตถุระเบิดที่แตกต่างกัน ยุทโธปกรณ์และวัตถุระเบิดบางอย่างที่อาจนํามาใช้ เช่น งูระเบิด เครื่องตรวจค้น ทุ่นระเบิด บังกาโลตอร์ปิโด อาวุธยิงเล็งตรง (เช่น ยานรบทหารช่าง) และการวางระเบิดด้วยมือ ซึ่งเมื่อมีการใช้ สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้กองร้อยควรจะขอคําแนะนําและความช่วยเหลือจากทหารช่าง ๓) หลักพื้นฐานสําหรับการเจาะเครื่องกีดขวางใด ๆ : ก) ทําการกดข้าศึก เพื่อให้ส่วนเจาะเข้าทําการเจาะ ข) ทําการป้องกัน (พราง) ไม่ให้ข้าศึกตรวจการณ์เห็นจุดที่ทําการเจาะ ค) ทําการระวังป้องกันจุดที่ทําการเจาะ ทําการเจาะ และระวังป้องกันฝั่งไกล ง) ลดการกีดขวางเพื่ออํานวยความสะดวกแก่กําลังที่เคลื่อนที่ตาม ๔) รปจ.ของกองร้อยควรได้มีการกล่าวถึงการปฏิบัติการเจาะเครื่องกีดขวางชุดเครื่องมือ (กล่อง เครื่องมือ) ในการเจาะสามารถที่จะเตรียมการและนําไปพร้อมกับขบวนสัมภาระของกองพัน ซึ่งอาจจะ ประกอบด้วย ตะขอเกี่ยวเชือก ที่ตัดน๊อต คีมตัดลวด ผ้าแถบหมายแนว แท่งเรืองแสง ลูกระเบิดควัน และชุด เครื่องมือระเบิดทําลาย
๒๘๖ ๕) เมื่อกองร้อยต้องทําการเจาะเครื่องกีดขวาง โดยปกติ ผบ.ร้อย. จะจํากัดกําลังหน่วยของตน ออกเป็นส่วนสนับสนุน ส่วนเจาะและส่วนโจมตี ก) ส่วนสนับสนุนมีภารกิจหลักในการกดการยิงของข้าศึก เพื่อสนับสนุนส่วนเจาะและส่วนโจมตี ขณะที่เคลื่อนที่ผ่านเครื่องกีดขวางและเคลื่อนที่เข้าทําลาย ข้าศึกที่เฝ้าคุ้มกันเครื่องกีดขวาง (๑) ทําการกดต่อฝั่งไกลด้านการยิงเล็งตรงและเล็งจําลอง (๒) อาจจะประสมและควบคุมอาวุธ / ยุทโธปกรณ์ที่ใช้เพื่อปิดกั้นการตรวจการณ์จุดที่ทํา การเจาะ ข) ส่วนเจาะมีภารกิจหลักในการลดการกีดขวาง (สร้างช่องทางผ่าน) เพื่อให้กําลังผ่านเครื่อง กีดขวางไปยังฝั่งไกล (๑) ทําการสร้างช่องทางผ่านเครื่องกีดขวางทุกแบบ (๒) ให้การระวังป้องกันเฉพาะบริเวณแก่กําลังพลที่ทําการสร้างช่องทางผ่าน (ช่องเจาะ) (๓) ทําเครื่องหมายช่องทางผ่าน (ช่องเจาะ) (๔) นํากําลังส่วนอื่น ๆ ผ่านช่องทางเจาะ (๕) ส่งมอบช่องทางผ่าน (ช่องเจาะ) ให้แก่กําลังส่วนหลังที่ตามมา (๖) อาจจะช่วยเหลือส่วนโจมตีในการระวังป้องกันฝั่งไกล ค) ส่วนโจมตีมีภารกิจหลักในการทําลายและขับไล่ข้าศึกบนฝั่งไกลของเครื่องกีดขวาง (๑) ทําการเคลื่อนที่ด้วยตนเองผ่านช่องทาง (ช่องเจาะ) ที่ส่วนเจาะได้ทําการเจาะ (๒) ทําการระวังป้องกันฝั่งไกลอย่างสูงสุดโดยการเข้ายึดพื้นที่ (๓) ทําการป้องกันให้กับการผ่านช่องเจาะและส่วนสนับสนุน ๖) ผบ.ร้อย. อาจจะตัดสินใจได้ (กําหนดได้) กําลังบางส่วนของหน่วย ปฏิบัติหน้าที่ (พันธกิจ) ๒ อย่าง เช่น ปฏิบัติทั้งการเจาะและการโจมตี ๗) คําแนะนําสําหรับการ เจาะสนามทุ่นระเบิด เครื่องกีดขวางลวดหนาม คูดักรถถัง การระเบิดถนน และการใช้ลวดหีบเพลง อธิบายอยู่ใน รส.๗-๘ และ รส.๒๐-๓๒ (FM 7 - 8 และ FM 20 - 32)
๒๘๗ รปูท ี่ ข - ๑ การเจาะเครอ ื่ งกีดขวาง
๒๘๘ ผนวก ค การสนับสนุนจากเครื่องบินปี กหมุน กองร้อยอาจจะปฏิบัติการโจมตีเคลื่อนที่ทางอากาศ ในกรอบ (เป็นส่วนหนึ่ง) ของกองพันหรือปฏิบัติ เป็นหน่วยอิสระเมื่อต้องทําการตีโฉบฉวย การปราบปรามกองโจร หรือภารกิจพิเศษอื่น ๆ และผู้ที่จัดทําแผน ขั้นต้นคือฝ่ายอํานวยการของกองพัน ผนวกนี้จะครอบคลุม (กล่าวถึง) ข้อมูลข่าวสาร (เรื่อง) ที่ ผบ.ร้อย. จําเป็นต้องรู้เพื่อปฏิบัติหน้าที่ตามความรับผิดชอบในภารกิจต่าง ๆ ให้เป็นผลสําเร็จ ค - ๑ การใช้ ผบ.ร้อย. อาจจะใช้เฮลิคอปเตอร์ (ฮ.) เมื่อต้องการแทรกซึมหรือถอนหน่วยลาดตระเวน นํา อาวุธและกําลังพลเข้าที่ตั้ง ส่งกําลังเพิ่มเติม-และส่งกลับผู้บาดเจ็บ กองร้อยควรจะมีระเบียบปฏิบัติประจํา (รปจ.) สําหรับการปฏิบัติงาน (ทํางาน) ร่วมกับ ฮ. รปจ. ควรจะครอบคลุมในเรื่องต่อไปนี้.- - การเลือกเขตรับขึ้นและเขตส่งลง - การระวังป้องกันเขตรับขึ้นและเขตส่งลง - กิจกรรมและการปฏิบัติการในเขตรับขึ้นและเขตส่งลง - แนวทางในการทําเครื่องหมายเขตรับขึ้นและเขตส่งลง - แนวทางในการปฏิบัติกรณีเครื่องตก - การเตรียมแผนการบรรทุก - แนวทางในการบรรทุก - การจัด (เฉพาะกิจ) สําหรับการยุทธ์ (โจมตี) เคลื่อนที่ทางอากาศ ก. การโจมตีเคลื่อนที่ทางอากาศหมายรวมถึง กําลังในการโจมตี (กําลังรบ สนับสนุนการรบ และ สนับสนุนทางการช่วยรบ) โดยการใช้อํานาจการยิง ความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่และการสนธิคุณลักษณะที่ ดีของ ฮ. ทั้งหมดและการดําเนินกลยุทธ์ในสนามรบทําการโจมตี และทําลายกําลังข้าศึก หรือทําการยึดและ รักษาภูมิประเทศสําคัญ ข. การเคลื่อนย้ายทางอากาศ หมายถึง การเคลื่อนย้ายหน่วยทหารบกทางอากาศ สําหรับภารกิจอื่น ๆ ที่ไม่ใช่การโจมตีเคลื่อนที่ทางอากาศ ค - ๒ แบบ (ชนิด) ของ ฮ. มี ฮ. หลายชนิดที่อาจนํามาใช้ในการโจมตี (ยุทธ์) เคลื่อนที่ทางอากาศ : ฮ. ตรวจการณ์ ฮ.ใช้งานทั่วไป ฮ.ลําเลียงขนส่ง และ ฮ.โจมตี ก. ตรวจการณ์ : ฮ. ตรวจการณ์เป็นหน่วยในอัตรา ซึ่งจะพบได้ภายในกองพล สําหรับการโจมตี (ยุทธ์) เคลื่อนที่ทางอากาศ ปกติแล้วกองพันจะเตรียม ฮ.ตรวจการณ์ไว้ ฮ.ตรวจการณ์ใช้เพื่อ ๑) การบังคับบัญชาและควบคุม ๒) การลาดตระเวนและตรวจการณ์ทางอากาศ ๓) การค้นหาเป้าหมายทางอากาศ ข. ทั่วไป : ฮ.ใช้งานทั่วไปเป็น ฮ. ที่มีขีดความสามารถสูงที่สุดในบรรดา ฮ.ทั้งหมด เป็น ฮ.ที่มีอยู่ใน แทบทุกหน่วยที่มีเครื่องบิน เพราะว่าสามารถปฏิบัติงานได้หลายอย่าง ฮ.ใช้งานทั่วไปใช้ในการปฏิบัติการโจมตี และให้การขนส่ง ควบคุมและบังคับบัญชาและส่งกําลังเพิ่มเติม เมื่อประกอบกับยุทโธปกรณ์พิเศษอาจจะใช้เพื่อ ๑) ทําการส่งกลับสายแพทย์ทางอากาศ ๒) ปฏิบัติการค้นหากัมมันตภาพรังสี ๓) การโปรยทุ่นระเบิด
๒๘๙ ค. ลําเลียงขนส่ง : ฮ.เหล่านี้เป็นหน่วยในอัตราของหน่วยบินของกองทัพ โดยปกติจะทําหน้าที่ขนส่ง ส่งกําลังเพิ่มเติม และทําการกู้ซ่อมเครื่องบินที่ตก ง. โจมตี : ฮ.โจมตี มีการจัดหน่วยแตกต่างกันไปจากกองร้อยถึงกองพัน แต่สามารถที่จะทําการ จัดเฉพาะกิจให้เหมาะสมกับภารกิจได้ อย่างไรก็ตาม ปกติมักจะไม่ใช้ตํ่ากว่าระดับกองพัน หน่วย ฮ. โจมตี จะถูกบรรจุมอบให้กับกรมทหารม้า กองพลต่าง ๆ และกองทัพ อาจจะใช้ ฮ.โจมตีเพื่อ : ๑) (ให้) ทําการเฝ้าระวัง ๒) ทําลายที่หมายเป็นจุด ๓) ทําการระวังป้องกัน ๔) ทําการยิงกดต่ออาวุธต่อสู้อากาศยาน ค - ๓ แผนยุทธวิ ธีทางพื้นดิน พื้นฐานของความสําเร็จของการโจมตี (ยุทธ์) เคลื่อนที่ทางอากาศคือแผน ยุทธวิธีของ ผบ.หน่วย ดําเนินกลยุทธ์ทางพื้นดิน ซึ่งใช้เป็นพื้นฐานของแผนอื่น ๆ ที่ตามมา (ที่เกี่ยวข้อง เป็น การกําหนดการปฏิบัติในพื้นที่ของที่หมาย (ณ ที่หมาย) อย่างชัดเจนและกล่าวถึงการปฏิบัติต่าง ๆ ที่ตามมา (ที่ต้องปฏิบัติต่อไป) สําหรับการโจมตี (ยุทธ์) เคลื่อนที่ทางอากาศ แผนยุทธวิธีทางพื้นดินมีความสําคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องมีและขาดไม่ได้เช่นเดียวกับการปฏิบัติการอื่นๆ ของทหารราบ ความแตกต่างของมันก็คือใช้ประโยชน์ จากความเร็วและความคล่องแคล่วในการเคลื่อนที่เพื่อให้ได้มา ซึ่งการโจมตีการสนธิเครื่องมือของหน่วยบิน ทหารบกเข้าไว้ในแผน ทําการประสานงาน และควบคุมโดยฝ่ายอํานวยการของกองพันตามแนวทางในการ วางแผนของ ผบ.พัน. สิ่งหนึ่งที่ต้องการเพิ่มเติมคือนักบินจะต้องรู้ (ทราบถึง) แผนยุทธวิธีทางพื้นดินและ เจตนารมณ์ของผู้บังคับบัญชา ค - ๔ แผนการลงสู่พื้น แผนการลงสู่พื้นจะต้องสนับสนุนแผนยุทธวิธีทางพื้นดิน แผนนี้เป็นการส่งหน่วย ต่าง ๆ เข้าสู่พื้นที่ปฏิบัติการตามลําดับ เป็นการทําให้มั่นใจว่าหน่วยต่าง ๆ มาถึงพื้นที่และเวลาตามที่กําหนด และเป็นที่ซึ่งหน่วยต่าง ๆ ได้เตรียมการพร้อมที่จะปฏิบัติตามแผนยุทธวิธีทางพื้นดินต่อไป ก. ปัจจัยต่าง ๆ ที่น่าสนใจ ขณะที่พัฒนาแผนการลงสู่พื้นให้พิจารณาปัจจัยต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ ๑) ขีดความสามารถที่มีอยู่ ที่ตั้งและขนาดของเขตส่งลงที่ใช้ได้ คือปัจจัยที่เป็นหัวใจสําคัญ ๒) กองร้อยจะเกิดจุดอ่อนมากที่สุดขณะลงสู่พื้น ๓) การสอดแทรกเพิ่มเติมหลาย ๆ ครั้ง ต้องการเขตส่งลงหลายแบบต้องไม่ใช้เขตส่งเดียวกัน สองครั้ง ๔) ส่วนต่าง ๆ ต้องทําการลงสู่พื้นด้วยความสมบูรณ์ทางยุทธวิธี ๕) ทหารจะเกิดการหลงทิศได้ง่าย ถ้าหากไม่มีการแจ้งให้ทราบกรณีที่มีการเปลี่ยนทิศทางจากที่ ได้มีการชี้แจงไว้ล่วงหน้า ๖) ในตอนต้นอาจจะไม่มีหน่วยทหารฝ่ายเดียวกันอยู่ในพื้นที่เลย กองร้อยจะต้องลงสู่พื้นในลักษณะ ที่พร้อมที่จะทําการต่อสู้ในทุกทิศทาง ๗) แผนการลงสู่พื้นควรจะมีความอ่อนตัว เพื่อที่จะทําให้การพัฒนาแผนการดําเนินกลยุทธ์มี ทางเลือกมากขึ้น ๘) ต้องมีการวาง (จัดทํา) แผนการยิงสนับสนุน (ปืนใหญ่ ปืนเรือ การสนับสนุนทางอากาศโดย ใกล้ชิด และ ฮ.โจมตี) ทั้งภายในและรอบ ๆ เขตส่งลงทุกแห่ง ๙) ถึงแม้ว่าที่หมายอาจจะอยู่เลยระบบยิงสนับสนุนของปืนใหญ่ก็ตาม ปืนใหญ่และ ค. อาจจะต้อง นําไปตั้งยิงในเขตส่งลงก่อนเพื่อทําการยิงสนับสนุนลงบนที่หมายสําหรับการเคลื่อนย้าย (ยกตัว) ที่จะตามมา ๑๐) แผนควรจะครอบคลุมถึงการเตรียมการสําหรับการส่งกําลังเพิ่มเติมและการส่งกลับสายแพทย์ ทางอากาศ
๒๙๐ ข. หลักการเลือกเขตส่งลง : ผบ.พัน. (หรือ ฝอ.๓) เป็นผู้เลือกเขตส่งลงด้วยการแนะนําทางด้าน เทคนิคจาก ผบ.ภารกิจบิน หรือนายทหารติดต่อจากหน่วยบิน ซึ่งจะทําการเลือกโดยใช้ปัจจัยที่สําคัญต่าง ๆ ดังนี้ ๑) ที่ตั้ง : กําหนดที่ตั้งเขตส่งลง บน ใกล้ หรือไกลจากที่หมายขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ๒) ความจุ : พิจารณาถึงขนาดของเขตส่งลงว่าสามารถที่จะส่งอํานาจกําลังรบลงในเขตส่งลงพร้อม ๆ กันครั้งละเท่าไร ซึ่งรวมถึงการพิจารณาความต้องการเขตส่งลง เพิ่มเติมหรือการแยกกันระหว่าง เครื่องบิน (ฮ.) ๓) เขตส่งลงสํารอง : ได้วางแผนใช้เขตส่งลงสํารองอย่างน้อย ๑ แห่ง สําหรับเขตส่งลงแต่ละแห่งที่ กําหนดไว้ ทั้งนี้เพื่อความอ่อนตัว ๔) การวางกําลังของข้าศึกและขีดความสามารถ ในการเลือกเขตส่งลงให้พิจารณาถึงศูนย์อํานาจ ของกําลังข้าศึก (enemy troop concentration) อาวุธต่อสู้อากาศยานและขีดความสามารถในการตอบโต้ของ ข้าศึกที่อยู่ใกล้ ๆ ขณะที่กองร้อยลงสู่พื้นด้วย ๕) การกําบังและการซ่อนพราง : เลือกเขตส่งลงที่ซ่อนพรางและป้องกันจากการตรวจการณ์ของ ข้าศึก และไม่สามารถตรวจการณ์ต่อกําลังฝ่ายเราทั้งหน่วยภาคพื้นดินและทางอากาศขณะที่เข้าหรือออก (และ ขณะอยู่ใน) เขตส่งลง ๖) เครื่องกีดขวาง : ถ้าเป็นไปได้ในการเข้าตีส่งกองร้อยลงสู่พื้นระหว่างข้าศึกกับเครื่องกีดขวาง ต่าง ๆ และใช้เครื่องกีดขวางในการป้องกันเขตส่งลงจากข้าศึกในครั้งต่อ ๆ ไป รักษาเขตส่งลงให้ปราศจาก เครื่องกีดขวาง จัดและสมทบทหารช่างสําหรับการเจาะเครื่องกีดขวางที่อาจจะมีขึ้น ๗) การบอกฝ่ายจากทางอากาศ : ทําเขตส่งลงให้พร้อมที่สามารถพิสูจน์ฝ่ายได้จากทางอากาศ ทําเครื่องหมายโดยใช้แท่งเคมีเรืองแสง (แบบอินฟราเรดเป็นสิ่งพึงประสงค์ (นิยม)) ๘) เส้นทางเข้าและออก : หลีกเลี่ยงการหันปีก (ด้านข้าง) ของเครื่องบินซึ่งไม่มีที่กําบังไปทาง ข้าศึกขณะที่บินเข้าและออก ๙) ลมฟ้าอากาศ : พิจารณาลมฟ้าอากาศทัศนวิสัยจํากัดหรือลมแรงอาจจะทําให้ไม่สามารถหรือ จํากัดการใช้เขตส่งลงเหลือเพียงครึ่งเดียว พิจารณาผลกระทบของทัศนวิสัยจํากัดและสภาพอากาศที่ไม่อํานวย ซึ่งเป็นข้อจํากัดต่อการบิน ค. ทางเลือกต่าง ๆ เพื่อพิจารณา : ถ้ามีหนทางต่าง ๆ ที่สามารถใช้ในการเลือกเขตส่งลงเลือกหนทาง หนึ่งหนทางใดที่ช่วยให้การปฏิบัติภารกิจได้สําเร็จที่สุด การเลือกนี้รวมถึงสภาพอากาศเพื่อทําการส่งลงบนและ ใกล้ที่หมาย การเคลื่อนที่ออกจากเขตส่งลงและคําสั่งที่ดําเนินกลยุทธ์บนพื้นดินเข้าสู่ที่หมาย หรือใช้เขตส่งลง แห่งเดียวหรือหลายแห่ง ปัจจัยสําคัญที่ต้องพิจารณามีดังต่อไปนี้ : ๑) อํานาจกําลังรบ : ซึ่งรวมถึง (ประกอบด้วย) ส่วนดําเนินกลยุทธ์ต่าง ๆ อํานาจการยิง และ เครื่องมือสนับสนุนการรบ ซึ่งสามารถนําเข้าไปในพื้นที่เมื่อเริ่มปฏิบัติการ (โดยปกติขึ้นอยู่กับจํานวนเครื่องบิน ที่สามารถใช้ได้และความเพียงพอของเขตส่งลงที่สามารถใช้ได้อย่างเหมาะสม) ๒) ข้าศึก : หมายถึง กําลังและการวางกําลังของข้าศึก ในและรอบ ๆ บริเวณ ที่หมาย รวมทั้ง ระบบการต่อสู้อากาศยานด้วย ๓) การจู่โจม : เป็นเป้าหมายซึ่งอาจสําเร็จได้ด้วยความรอบคอบในการใช้ภูมิประเทศเพื่อการ กําบังและซ่อนพราง ความมืด หรือลดขีดความสามารถในการมองเห็นด้วยสภาพอากาศหรือควัน การจู่โจม บางครั้งสามารถทําได้สําเร็จโดยการส่งลงบนที่หมาย ๔) เวลา : คือเวลาที่มีอยู่สําหรับการปฏิบัติภารกิจได้สําเร็จ โดยทั่ว ๆ ไป ถ้าต้องปฏิบัติภารกิจให้ สําเร็จโดยมีเวลาจํากัด มักจะทําการส่งลงบนหรือใกล้ ๆ ที่หมาย
๒๙๑ ๕) ความได้เปรียบของเขตส่งลงแห่งเดียว : การใช้เขตส่งลงเพียงแห่งเดียวทําให้สามารถรวม กําลังในพื้นที่แห่งเดียวได้ถ้าเขตส่งลงกว้างพอ ก) ข่ายในการควบคุมการปฏิบัติการ ข) รวมอํานาจการยิงสนับสนุนในและรอบ ๆ เขตส่งลง อํานาจการยิงจะกระจัดกระจายถ้าหาก มีเขตส่งลงที่ต้องจัดทํา (เตรียมการ) มากกว่า ๑ แห่ง ค) อํานวยให้มีการระวังป้องกันทางพื้นดินสําหรับการขนย้ายเที่ยวต่าง ๆ ไปได้ดีกว่า ง) มีความต้องการ ฮ.โจมตี จํานวนไม่มาก สําหรับการระวังป้องกัน จ) ลดจํานวนเส้นทางบินในพื้นที่ที่หมาย ทําให้เพิ่มความลําบากแก่แหล่งข่าวของข้าศึกใน การตรวจพบการปฏิบัติการโจมตี (ยุทธ์) เคลื่อนที่ทางอากาศ ฉ) สามารถปฏิบัติการเพิ่มเติมกําลัง (สป.) ตามความต้องการได้แบบรวมการ ช) สามารถรวมกําลังพลที่ควบคุมเขตส่งลงและทหารช่าง ซึ่งมีอยู่อย่างจํากัดไว้ ณ เขตส่งลง แห่งเดียว (ลดปัญหาเรื่องบุคลากรมีจํากัด) ๖) ข้อได้เปรียบของเขตส่งลงหลาย ๆ แห่ง การใช้เขตส่งลงหลาย ๆ แห่ง เป็นการหลีกเลี่ยงการ รวมทรัพยากรต่าง ๆ มาไว้ ณ ที่แห่งเดียวซึ่งอาจจะก่อให้เกิดเป้าหมายที่คุ้มค่า สําหรับ ป. ค. และการ สนับสนุนทางอากาศโดยใกล้ชิดของข้าศึก เขตส่งลงหลาย ๆ แห่ง ยังทําให้ : ก) อํานวยให้มีการกระจายกําลังกันอย่างรวดเร็วของกําลัง เพื่อปฏิบัติกิจเฉพาะต่าง ๆ ให้ สําเร็จในพื้นที่ต่าง ๆ ที่แยกจากกัน ข) ลดความสามารถของข้าศึกในการตรวจพบและโต้ตอบต่อเที่ยวบินแรกและเที่ยวต่อ ๆ มา ค) บังคับให้ข้าศึกต้องทําการต่อสู้มากกว่าหนึ่งทิศทาง ง) ไม่เกิดความคับคั่งของเครื่องบิน (ฮ.) จ) ทําให้ข้าศึกเกิดความยุ่งยากในการพิจารณาขนาดของกําลังในการโจมตี (ยุทธ์) เคลื่อนที่ทาง อากาศ ที่ตั้งที่แน่นอนของอาวุธยิงสนับสนุน หรือที่หมายของการโจมตีทางอากาศ หมายเหตุ : ถ้าหากทําการกําหนดที่หมายโดยใช้เลข ควรกําหนดเขตส่งลงด้วยตัวอักษรหรือรหัสคําพูด เพื่อ หลีกเลี่ยงความสับสนหรือจําผิด ให้หลีกเลี่ยงการกําหนดที่หมายและเขตส่งลงที่ใช้เลขซํ้ากัน ตัวอย่าง LZ1 และ ทม.๑ ง. การปฏิบัติในเขตส่งลง : การปฏิบัติเพื่อลงสู่พื้นจะมีการจัดลําดับความเร่งด่วนของงานเช่นเดียวกับ งานในการตั้งรับ ๑) การเลิกบรรทุก (การลงจากเครื่องบิน) : ห้ามลงจากเครื่องบินจนกว่าจะได้รับคําสั่งจากผู้บังคับ อากาศยานหรือนักบิน (รูปที่ ค - ๑)
๒๙๒ รปูท ี่ ค - ๑ แผนภาพการลงจากเครอ ื่ งบิน (ฮ.) ในพืน้ท ี่ รอ่นลง ก) ก่อนออกจากเคร่อืงบนิผบ.หน่วยการบรรทกุทาํการตรวจสอบทศิทางการลงสพู่น้ืและพกิดัท่ี อย่กูบันกับนิถา้หากไมไ่ดม้กีารพจิารณาขณะทเ่ีขา้ใกลเ้ขตสง่ลง ซง่ึจะช่วยในการกาํหนดทศิทางของเขตสง่ลง โดยเฉพาะอย่างยง ิ่ ในเวลากลางคนื ข) เม่อืเคร่อืงบนิลงสพู่น้ืทหารทุกคนปลดเขม็ขดัสายรดัทน่ีงั่ (เขม็ขดันิรภยั) แลว้รบีออกจากเคร่อืง (พรอ้มยุทโธปกรณ)์ ใหเ้รว็ทส่ีดุเท่าทจ่ีะเรว็ได้ ค) เคล่อืนทอ่ีอกห่างในระยะ ๑๕ ถงึ๒๐ เมตร จากทางดา้นขา้งของเคร่อืงแลว้หมอบลงหนัหน้า ออกจากเคร่อืงบนิ ในลกัษณะอาวุธพรอ้มใชง้านจนกว่าเคร่อืงจะบนิออกจากเขตสง่ลง ๒) การปฏบิตัอิย่างทนัททีนัใด ณ เขตสง่ลงฉุกเฉนิถา้หากตดัสนิใจใช้เขตสง่ลงฉุกเฉิน หรอืเกดิ การปะทะทนัททีล่ีงสพู่น้ืทหารทุกคนรบีลงจากเคร่อืง เคล่อืนทอ่ีอกห่างจากเคร่อืงในระยะ ๑๕ ถงึ๒๐ เมตร แลว้ทาํการยงิโตต้อบทนัทเีพ่อืทาํการคุม้กนัการบนิกลบัของเครอ่ืง ก) ถา้หากสถานการณ์อาํนวยใหท้หารทาํการยงิและเคล่อืนทอ่ีอกจากเขตสง่ลงไปยงัพน้ืทท่ีม่ีกีาร กาํบงัและซ่อนพรางทใ่ีกลท้ส่ีดุถา้หากไม่สามารถทาํ ได้และอยใู่กลก้บัทต่ีงั้ขา้ศกึ ใหท้าํการเขา้โจมตทีนัที ข) หน่วยทางพน้ืดนิหรอืบนอากาศ ทต่ีรวจพบขา้ศกึก่อนเรม ิ่ ทาํการยงิสนบัสนุนตามแผนท่ี ไดว้างไว้ ค) เม่อืสามารถผละออกจากขา้ศกึไดแ้ลว้ผบ.หน่วยการบรรทุกจะเคล่อืนยา้ยหน่วยไปยงัทต่ีงั้ทม่ีี การกาํบงัและซ่อนพราง ทาํการสาํรวจยอดกาํลงัพลและยุทโธปกรณ์ ประเมนิสถานการณ์และพยายามเขา้ บรรจบกบัสว่นอ่นืๆ ทม่ีาในเทย่ีวเดยีวกนัถา้หากไม่สามารถทาํการบรรจบหรอืเป็นหน่วยการบรรทุกเดยีวใน เขตสง่ลง ผทู้อ่ีาวโุสทาํการใหค้าํสงั่เป็นสว่น ๆ เพ่อืปฏบิตัภิารกจิต่อไปหรอืยกเลกิภารกจิ ๓) พน้ืทร่ีวมพลในเขตสง่ลงปกติเม่อืลงจากเคร่อืงบนิโดยใชเ้ขตสง่ลงปกติผบ.หน่วยการบรรทุก เคลอ่ืนหน่วยไปยงัจุดทก่ีาํหนดดว้ยวธิกีาร เคล่อืนทเ่ีฝ้าระวงักาํลงัพล (ทหาร) ทุกคนเคล่อืนทด่ีว้ยความเรว็ไป ยงัทต่ีงั้ทม่ีกีารซ่อนพรางทใ่ีกลท้ส่ีดุเม่อืไดเ้ขา้มาอย่ ูณ จุดรวมพลทม่ีกีารซ่อนพรางแลว้ผบ.หน่วย ทาํการ สาํรวจยอดกาํลงัพลและยุทโธปกรณ์แลว้ปฏบิตัภิารกจิต่อไป
๒๙๓ ค - ๕ แผนการเคลื่อนย้ายทางอากาศ แผนการ เคลื่อนย้ายทางอากาศ มีพื้นฐานมาจากแผนยุทธวิธี ทางพื้นดินและแผนการลงสู่พื้น เป็นการกําหนดตารางเวลาและรายละเอียด สําหรับการเคลื่อนย้ายหน่วยทหาร ยุทโธปกรณ์และสิ่งอุปกรณ์ต่าง ๆ โดยทางอากาศจากเขตรับขึ้นไปยังเขตส่งลง พร้อมกับมีคําแนะนําในการ ประสาน (เคลื่อนย้าย) เกี่ยวกับเส้นทางบินจุดควบคุมอากาศยาน ความเร็ว อากาศยาน ความสูง และรูปขบวน ในการบิน ค - ๖ แผนการบรรทุก ข้อความในตอนนี้ใช้เพื่อเป็นแนวทางสําหรับ ผู้นําหน่วยขนาดเล็ก (กองร้อยลงมา) สําหรับการรักษาความปลอดภัย ประสิทธิภาพและการปฏิบัติทางยุทธวิธีอย่างสมบูรณ์ ในการปฏิบัติการในและ รอบ ๆ เขตส่งขึ้น ก. การเลือกและการทําเครื่องหมาย เขตรับขึ้นและเขตส่งลง ผบ.หน่วย ขนาดเล็กควรจะมีความ เชี่ยวชาญในการเลือกและการทําเครื่องหมาย เขตรับขึ้นและเขตส่งลงและการควบคุมอากาศยานในการเลือก ต้องพิจารณาทั้งในแง่เทคนิคและยุทธวิธี ๑) วิธีการสําหรับทําเครื่องหมายเขตรับขึ้นและเขตส่งลงมีดังนี้ ก) ในเวลากลางวัน พลนําทางบนพื้นดินทําเครื่องหมายเขตรับขึ้นหรือเขต ส่งลงสําหรับ อากาศยานที่นําหน้าโดยถือ ปลย.M16 A1 เหนือศีรษะ โดยแสดงเครื่องให้สัญญาณหมายแนวไว้ระดับหน้าอก หรือโดยใช้วิธีการอื่น ๆ ที่สามารถแสดงตัวได้ พลนําทางบนพื้นดินต้องสวมแว่นและที่ป้องกันหู ข) ในเวลากลางคืน : ใช้รหัสตัวอักษรวาย (ตัว Y ตะแคง) ทําเครื่องหมายจุดลงสู่พื้นของ อากาศยานนําในเวลากลางคืน (รูปที่ ค - ๒) ใช้แท่งเคมีเรืองแสง หรือเครื่องให้แสงสัญญาณ เพื่อรักษาวินัย การใช้แสง เมื่อมีอากาศยานมากกว่า ๑ เครื่อง ลงสู่พื้นในเขตรับขึ้นหรือเขตส่งลงเดียวกัน ใช้แสงสัญญาณ เพิ่มเติมลําละ ๑ อัน สําหรับการตรวจการณ์ สําหรับอากาศยานใช้งานทั่วไปและโจมตีทําเครื่องหมายจุดส่งลง เพิ่มเติมสําหรับอากาศยานแต่ละลําด้วยการวางแสงสัญญาณ (๑ อัน) ณ จุดที่อากาศยานจะร่อนลง สําหรับ อากาศยานขนส่ง (CH - 47 CH - 53 และ CH - 54) ทําเครื่องหมายจุดลงสู่พื้นแต่ละแห่งด้วยแสงสัญญาณ ๒ อัน โดยวางห่างกัน ๑๐ เมตร ในแนวเดียวกับทิศทางการบินของอากาศยาน ๒) เครื่องกีดขวาง : รวมถึงอุปสรรคใด ๆ ซึ่งอาจจะขัดขวางการปฏิบัติงานของอากาศยานบน พื้นดิน ซึ่งไม่อาจกําจัดได้ เช่น ต้นไม้ ตอไม้ และก้อนหิน ในขณะที่สามารถมองเห็นเป็นความรับผิดชอบของ นักบินและกําลังพลในการหลีกเลี่ยงเครื่องกีดขวางบนเขตรับขึ้นหรือเขตส่งลง สําหรับการปฏิบัติการในขณะ ทัศนวิสัยจํากัด ให้ทําเครื่องหมายเครื่องกีดขวางทุกแห่งด้วยไฟสีแดง หลักการต่อไปนี้ใช้สําหรับการทํา เครื่องหมายเครื่องกีดขวาง ก) ถ้าเครื่องกีดขวางอยู่บนเส้นทางบินเข้า ให้ทําเครื่องหมายทั้งฝั่งใกล้และฝั่งไกลของเครื่อง กีดขวาง ข) ถ้าเครื่องกีดขวางอยู่บนเส้นทางบินออก ให้ทําเครื่องหมายฝั่งใกล้ของเครื่องกีดขวาง ค) ถ้าเครื่องกีดขวางยื่นเข้ามาในเขตรับขึ้นหรือเขตส่งลง แต่ไม่อยู่บนเส้นทางบินของอากาศ ยานให้ทําเครื่องหมายฝั่งใกล้ของเครื่องหมาย ง) ทําเครื่องหมายเครื่องกีดขวางใหญ่บนเส้นทางเคลื่อนที่เข้ามา โดยการวางไฟสีแดงเป็น วงกลมรอบเครื่องกีดขวาง
๒๙๔ รปูท ี่ ค - ๒ แผนภาพการเตรียมสนาม (สญัญาณ) ภาคพืน้ดินรปูตวัวาย (Y) สาํหรบัการรอ่นลงของเครอ ื่ งบิน ข. การควบคุมอากาศยาน : ควบคุมอากาศยานทบ่ีนิเขา้ โดยใชส้ญัญาณแขนและมอืเพ่อืสง่สญัญาณ การนําทางทป่ีลายทางสาํหรบัการลงสพู่น้ื โดยใหผ้ ใู้หส้ญัญาณ (พลนําอากาศยาน) อย่ทูางดา้นขวาหน้าของ อากาศยานซง่ึจะทาํ ใหน้กับนิมองเหน็ ในเวลากลางคนืใหส้ญัญาณโดยถอืระบบไฟ หรอืไฟฉายไวใ้นมอืแต่ ละขา้ง เม่อืใชไ้ฟฉายใหร้ะมดัระวงัการฉายเขา้ตานกับนิซง่ึจะทาํ ใหน้กับนิตาพร่า (มองไม่เหน็ ) ถอืกระบอกไฟ หรอืไฟฉายไวต้ลอดเวลาทท่ีาํการใหส้ญัญาณ ความเรว็ในการเคล่อืนไหวของแขนจะเป็นเครอ่ืงแสดงถงึความ ตอ้งการเพม ิ่ ความเรว็ของอากาศยานตามสญัญาณ ค. พน้ืทร่ีวมพล : ก่อนทอ่ีากาศยานจะมาถงึจดัการระวงัป้องกนัเขตรบัขน้ึทาํการวางกาํลงัชุด ควบคมุเขตรบัขน้ึนํากาํลงัพลและยุทโธปกรณ์เขา้ทต่ีงั้ในทร่ีวมพลของหน่วย ๑) การวางกาํลงัในทร่ีวมพลของหน่วย ขณะอย่ใูนทร่ีวมพลของหน่วยผนู้ ําหน่วยควรจะ ก) (จดั) ดาํรงใหม้กีารระวงัป้องกนัรอบตวัรอบ ๆ พน้ืทร่ีวมพล ข) ดาํรงการตดิต่อสอ่ืสาร ค) จดัวางกาํลงัพลและยุทโธปกรณ์เป็นหน่วยการบรรทกุตามแผนการเคล่อืนยา้ยทางอากาศ ของหน่วย ง) ชแ้ีจงเร่อืงความปลอดภยัและตรวจยุทโธปกรณ์ จ) กาํหนดความเร่งด่วนในการบรรทุกสาํหรบัทหารแต่ละคนและกาํหนดช่องว่างระหว่างบุคคล ฉ) กาํหนดทต่ีงั้ของจุดควบคมุทหารพลดัหน่วย ๒) การจดัหน่วยต่าง ๆ ในหน่วยการบรรทุก : ตอ้งมนั่ ใจว่าการจดัหน่วยการบรรทกุสนบัสนุน แผนยุทธวธิทีางพน้ืดนิยดึถอืหลกัการต่อไปน้ีสาํหรบัการบรรทุกอากาศยาน ก) ดาํรงความเป็นหน่วยทางยทุธวธิีโดยจดัชุดยงิและหม่ตู่าง ๆ เหมอืนเดมิ ข) ดาํรงความสมบรูณ์ในตวัเอง โดยการบรรทกุอาวุธ (ตถ.กลาง) และกระสนุไปในอากาศยาน ลาํเดยีวกนั
๒๙๕ ค) มั่นใจว่าเจ้าหน้าที่ตําแหน่งสําคัญ ๆ อาวุธต่าง ๆ และยุทโธปกรณ์ได้มีการเฉลี่ยการบรรทุก กันระหว่างอากาศยานเพื่อป้องกันการสูญเสียการควบคุมหรือสูญเสียทรัพยากรที่มีค่าไปพร้อม ๆ กันกับการ สูญเสียอากาศยานเพียงลําเดียว ๓) การวางกําลังของหน่วยการบรรทุกในพื้นที่รวมพล : เจ้าหน้าที่นําทางในการเข้าบรรจบจากชุด ควบคุมสนามบินจะพบกับหน่วยที่กําหนดในพื้นที่รวมพลของหน่วย และประสานการเคลื่อนที่ของแต่ละลํา เกี่ยวกับจุดแยกเมื่อแต่ละหน่วยการบรรทุกมาถึงจุดแยก เจ้าหน้าที่นําทางของแต่ละคนจะนํา หน่วยการบรรทุก ที่ตนรับผิดชอบไปยังที่รวมพลที่กําหนด (เพื่อเป็นการลดจํานวนพลนําทางให้น้อยลงให้ใช้พลนําทางคน เดียวกันสําหรับการเคลื่อนย้ายหน่วยจากที่รวมพลของหน่วยไปยังที่รวมพลของหน่วยการบรรทุก ถ้าเป็นส่วน หนึ่งของการโจมตี (ยุทธ์) เคลื่อนที่ทางอากาศขนาดใหญ่ ในพื้นที่รวมพลของหน่วยการบรรทุก ไม่ควรมีเกิน ๓ หน่วยการบรรทุก ในเวลาเดียวกันรักษาวินัยการใช้แสงและเสียง ตลอดการเคลื่อนที่เพื่อดํารงไว้ซึ่งการรักษา ความลับของเขตรับขึ้น ไม่อนุญาตให้กําลังพลเข้าไปในเขตรับขึ้น เว้นแต่ผู้ที่ทําหน้าที่ในการบรรทุกอากาศยาน ยึดตรึงยานพาหนะด้วย เครื่องมือยึดตรึง หรือกําหนดโดยชุดควบคุมเขตรับขึ้น ขณะที่อยู่ในคําสั่งของ หน่วย การบรรทุก กําหนดที่วางตัวให้ทหารแต่ละคน (ทุกคน) ในการระวังป้องกันในท่าหมอบ อาวุธพร้อมใช้งาน และหันหน้าออก (จากเขตส่งลง) เพื่อทําการระวังป้องกันภายในอย่างเร่งด่วน ก) ตัวอย่างของที่รวมพลขนาดใหญ่ข้างเดียวของเขตรับขึ้นแสดงให้เห็น ตามรูปที่ ค - ๓ หมายเหตุ : ทําการวางแผนการยิงสนับสนุนของ ค. และ ป. ๓๖๐ องศา รอบเขตรับขึ้น โดยมีความเร่งด่วน บริเวณของด้านไกลของที่โล่งขนาดใหญ่
๒๙๖ รปูท ี่ ค - ๓ พืน้ท ี่ รบัขึน้ด้านขา้งขนาดใหญ่ดา้นเดียว