หนังสอเรยนสาระทักษะการเรยนร ้
ี
ู
ี
ื
้
ี
รายวิชาทักษะการเรยนรู
(ทร31001)
ึ
ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
ั
(ฉบับปรบปรุง 2560)
ู
ึ
ึ
หลักสตรการศกษานอกระบบระดับการศกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2551
ึ
ึ
ส านักงานส่งเสรมการศกษานอกระบบและการศกษาตามอัธยาศัย
ิ
ส านักงานปลัดกระทรวงศกษาธการ
ิ
ึ
ิ
กระทรวงศกษาธการ
ึ
่
หามจ าหนาย
้
หนังสอเรยนเล่มน้จัดพิมพ์ด้วยเงนงบประมาณแผ่นดนเพือการศกษาตลอดชวิตส าหรบประชาชน ลขสทธ์ ิ
ั
ี
ึ
ิ
ิ
ิ
ิ
ื
่
ี
ี
เปนของ ส านักงาน กศน. ส านักงานปลัดกระทรวงศกษาธการ
ิ
ึ
็
เอกสารทางวิชาการล าดับท 34/2555
ี่
ี
ู
ื
ี
หนังสอเรยนสาระทักษะการเรยนร ้
รายวิชาทักษะการเรยนรู (ทร31001)
ี
้
ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
ึ
ุ
ั
(ฉบับปรบปรง 2560)
ึ
ลขสทธ์เปนของ ส านักงาน กศน. ส านักงานปลัดกระทรวงศกษาธการ
ิ
็
ิ
ิ
ิ
ี่
เอกสารทางวิชาการล าดับท 34 /2555
สารบัญ
หนา
้
ค านา
สารบัญ
ค าแนะนาการใชแบบเรยน
ี
้
ึ
้
ี
โครงสรางรายวิชาทักษะการเรยนรู ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
้
ู
้
ี
บทที่ 1 การเรยนรด้วยตนเอง 1
ี
บทที่ 2 การใช้แหล่งเรยนร ู ้ 61
บทที่ 3 การจัดการความร ู ้ 126
็
ิ
บทที่ 4 การคดเปน 172
บทที่ 5 การวิจัยอย่างง่าย 222
ี
่
ี
บทที่ 6 ทักษะการเรยนรและศักยภาพหลักของพื้นทในการพัฒนาอาชพ 240
ู
ี
้
ค านา
ึ
ึ
ู
ึ
ิ
กระทรวงศกษาธการได้ประกาศใช้หลักสตรการศกษานอกระบบระดับการศกษาขั้นพื้นฐาน
ึ
ี
ี
ื่
ี่
พุทธศักราช 2551 เมอวันท 18 กันยายน พ.ศ. 2551 แทนหลักเกณฑ์และวิธการจัดการศกษานอกโรงเรยน
่
ู
่
ึ
็
ึ
ู
ั
ี
ตามหลักสตรการศกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ซงเปนหลักสตรทพัฒนาข้นตามหลักปรชญาและ
ึ
ื
ึ
ี
่
ี
ี
่
ู
ี
้
ู
้
็
้
ุ
ี
ความเชอพื้นฐานในการจัดการศกษานอกโรงเรยนทมกล่มเปาหมายเปนผู้ใหญ่มการเรยนรและสั่งสมความร
ื
่
และประสบการณอย่างต่อเนอง
์
ิ
์
ึ
ื
่
ี
ในปงบประมาณ 2554 กระทรวงศกษาธการได้ก าหนดแผนยุทธศาสตรในการขับเคลอนนโยบาย
่
ี
ี
่
ี
ึ
้
ี
ทางการศกษาเพือเพิ่มศักยภาพและขดความสามารถในการแข่งขันให้ประชาชนได้มอาชพทสามารถสราง
ึ
่
็
ี
ุ
ี่
ิ
ี่
รายได้ทมั่งคั่งและมั่นคง เปนบคลากรทมวินัย เปยมไปด้วยคณธรรมและจรยธรรม และมจตส านก
ุ
ิ
ี
ี
ุ
รบผิดชอบต่อตนเองและผู้อน ส านักงาน กศน. จงได้พิจารณาทบทวนหลักการ จดหมาย มาตรฐาน ผลการ
ั
ื
่
ึ
ู
ี
ี
ุ
ี
ู
้
่
ื
เรยนร ู ้ ทคาดหวัง และเน้อหาสาระ ทั้ง 5 กล่มสาระการเรยนร ของหลักสตรการศกษานอกระบบระดับ
ึ
ิ
ึ
ี
การศกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ให้มความสอดคล้องตอบสนองนโยบายกระทรวงศกษาธการ
ึ
ุ
ี
ซงส่งผลให้ต้องปรบปรงหนังสอเรยน โดยการเพิ่มและสอดแทรกเน้อหาสาระเกียวกับอาชพ คณธรรม
ื
่
ุ
ึ
ั
่
ี
ื
่
ี
ู
์
ิ
ี
่
้
จรยธรรมและการเตรยมพรอม เพือเข้าส่ประชาคมอาเซยน ในรายวิชาทมความเกียวข้องสัมพันธกัน
่
ี
ี
แต่ยังคงหลักการและวิธการเดมในการพัฒนาหนังสอทให้ผู้เรยนศกษาค้นคว้าความรด้วยตนเอง ปฏบัต ิ
ึ
้
ู
ี
ี
ิ
ิ
ื
ี
่
้
ี
ี
ึ
ื
่
ุ
่
ึ
กิจกรรม ท าแบบฝกหัด เพือทดสอบความรความเข้าใจ มการอภปรายแลกเปลยนเรยนรกับกล่ม หรอศกษา
ู
ู
้
ี
ิ
ู
้
ิ
ู
ิ
ื่
ี
ั
ื่
เพิ่มเตมจากภมปญญาท้องถ่น แหล่งการเรยนรและสออน
ิ
การปรบปรงหนังสอเรยนในคร้งน้ ได้รบความร่วมมออย่างดยิ่งจากผู้ทรงคณวุฒในแต่ละสาขาวิชา
ั
ุ
ิ
ั
ื
ี
ุ
ี
ื
ั
ี
ื
่
ี
่
ึ
่
ี
และผู้เกียวข้องในการจัดการเรยนการสอนทศกษาค้นคว้า รวบรวมข้อมูลองค์ความรจากสอต่าง ๆ มาเรยบ
ี
ู
้
ี
เรยงเน้อหาให้ครบถ้วนสอดคล้องกับมาตรฐาน ผลการเรยนรทคาดหวัง ตัวช้วัดและกรอบเน้อหาสาระ
ี
ื
ี
้
ู
ื
่
ี
่
ี
ุ
ี
ุ
ี
ื
ของรายวิชา ส านักงาน กศน. ขอขอบคณผู้มส่วนเกียวข้องทกท่านไว้ ณ โอกาสน้ และหวังว่าหนังสอเรยน
็
่
ู
์
ี
ุ
ี
ุ
ชดน้ ีจะเปนประโยชนแก่ผู้เรยน คร ผู้สอน และผู้เกียวข้องในทกระดับ หากมข้อเสนอแนะประการใด
ั
ุ
ส านักงาน กศน. ขอน้อมรบด้วยความขอบคณยิ่ง
้
ั
ี
ค าแนะนาการใชหนงสอเรยน
ื
่
ี
ั
ู
ี
หนังสอเรยนสาระทักษะการเรยนร ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย เปนแบบเรยนทจัดท าข้นส าหรบ
้
ึ
ึ
ื
ี
็
ี
ี่
ี
็
ึ
ผู้เรยนทเปนนักศกษานอกระบบ
ี
ึ
ี
ี
ิ
ิ
ู
ในการศกษาหนังสอเรยนสาระทักษะการเรยนร ผู้เรยนควรปฏบัต ดังน้ ี
ื
้
ึ
1. ศกษาโครงสรางรายวิชาให้เข้าใจในสาระส าคัญ ผลการเรยนรทคาดหวัง และขอบข่ายเน้อหา
ื
ี
้
้
ู
ี
่
ี
่
ี
ี
2. ศกษารายละเอยดเน้อหาของแต่ละบทอย่างละเอยด และท ากิจกรรมตามทก าหนด แล้วตรวจสอบ
ึ
ื
กับแนวตอบกิจกรรมทก าหนด ถ้าผู้เรยนตอบผิดควรกลับไปศกษาและท าความเข้าใจในเน้อหาใหม่ให้เข้าใจ
ี
ี
่
ึ
ื
ี
ึ
ก่อนทจะศกษาเรองต่อไป
่
ื
่
ุ
่
็
่
ื
ื
่
ู
้
3. ปฏบัตกิจกรรมท้ายเรองของแต่ละเรองเพือเปนการสรปความรความเข้าใจของเน้อหาในเรองนั้น
ิ
่
ื
ิ
ื
่
ู
ี
ื
ิ
่
ี
ั
ื
ๆ อกคร้ง และการปฏบัตกิจกรรมของเน้อหาแต่ละเรอง ผู้เรยนสามารถน าไปตรวจสอบกับครและเพือน ๆ ท ่ ี
ิ
ร่วมเรยนในรายวิชาและระดับเดยวกันได้
ี
ี
ื
ี
ี
4. แบบเรยนน้ม 6 บท คอ
ี
้
ี
บทท 1 การเรยนรด้วยตนเอง
ู
ี่
บทท 2 การใช้แหล่งเรยนร ้
ี
ู
ี
่
ู
้
บทท 3 การจัดการความร
ี่
็
ิ
ี่
บทท 4 การคดเปน
บทท 5 การวิจัยอย่างง่าย
่
ี
ี่
ี
ี
่
้
ี
ู
บทท 6 ทักษะการเรยนรและศักยภาพหลักของพื้นทในการพัฒนาอาชพ
ี
้
โครงสรางการเรยนรูดวยตนเอง
้
้
ึ
ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
สาระสาคัญ
ื
ี
ี
ี
ี
้
ู
ู
้
ี
่
รายวิชาทักษะการเรยนร มเน้อหาเกียวกับการพัฒนาทักษะการเรยนรของนักเรยนในด้านการเรยนร ้ ู
ู
ี
ุ
้
้
็
ู
ี
ิ
ด้วยตนเอง การใช้แหล่งเรยนร การจัดการความร การคดเปนและการวิจัยอย่างง่าย โดยมวัตถประสงค์เพื่อให้
้
ผู้เรยนสามารถก าหนดเปาหมาย วางแผนการเรยนรด้วยตนเอง เข้าถงและเลอกใช้แหล่งเรยนรจัดการความร
ู
ี
ู
้
ี
ู
ึ
้
ี
ื
้
ุ
้
ู
ิ
ี
ื
ี
ี
กระบวนการแก้ปญหาและตัดสนใจอย่างมเหตผล ทจะสามารถใช้เปนเครองมอช้น าตนเอง ในการเรยนร
่
ื
ี
็
่
ั
ี
ุ
่
และการประกอบอาชพให้สอดคล้องกับหลักการพื้นฐาน และการพัฒนา 5 ศักยภาพหลักของพื้นทใน 5 กล่ม
ี
ี
ิ
ิ
อาชพใหม่ คอ กล่มอาชพด้านการเกษตรกรรม อตสาหกรรม พาณชยกรรม ความคดสรางสรรค์ การบรหาร
ุ
ื
ิ
ี
ุ
้
่
์
ึ
ิ
ื
ิ
ี
จัดการและการบรการ ตามยุทธศาสตร 2555 กระทรวงศกษาธการ ได้อย่างต่อเนองตลอดชวิต
ผลการเรยนรูทีคาดหวัง
่
้
ี
บทที 1 การเรยนรูดวยตนเอง
ี
่
้
้
็
ู
้
ุ
1. ประมวลความร และสรปเปนสารสนเทศ
้
ิ
ู
2. ท างานบนฐานข้อมูลด้วยการแสวงหาความรจนเปนลักษณะนสัย
็
ี
ั
3. มความช านาญในทักษะการอ่าน ทักษะการฟง ทักษะการสังเกต และทักษะการ
ึ
จดบันทกอย่างคล่องแคล่ว รวดเรว
็
บทที 2 การใชแหลงเรยนรู
้
ี
่
่
้
ู
ี
้
ี
ู
็
1. ผู้เรยนมความรความเข้าใจ เหนความส าคัญของแหล่งเรยนร ้
ี
ุ
ู
้
ี
ี
2. ผู้เรยนสามารถใช้แหล่งเรยนร ห้องสมดประชาชนได้
้
บทที 3 การจดการความรู
ั
่
้
ู
ุ
1. ออกแบบผลตภัณฑ์ สรางสตร สรปองค์ความรใหม่
ิ
ู
้
ุ
ี
็
2. ประพฤตตนเปนบคคลแห่งการเรยนร ู ้
ิ
ั
ุ
้
3. สรางสรรค์สังคมอดมปญญา
็
บทที่ 4 การคิดเปน
่
ื
ึ
่
1. อธบายถงความเชอพื้นฐานทางการศกษาผู้ใหญ่ของคนคดเปน และการเชอมโยงไปส่ ู
ิ
ิ
ื
็
ึ
การเรยนรเรองการคดเปน ปรชญาคดเปน การคดแก้ปญหา อย่างเปนระบบ แบบคน
ี
ั
็
็
ั
ิ
ิ
ิ
็
้
ื่
ู
ิ
็
คดเปนได้
่
ี
็
์
ิ
2. วิเคราะหจ าแนกลักษณะของข้อมูลการคดเปนทั้ง 3 ด้าน ทน ามาใช้ประกอบการคด
ิ
่
่
ิ
และการตัดสนใจ ทั้งข้อมูลด้านวิชาการ ข้อมูลเกียวกับตนเอง ข้อมูลเกียวกับสังคมและ
ุ
่
ี
ุ
สภาวะแวดล้อม โดยเน้นทข้อมูลด้านคณธรรมจรยธรรมทเกียวข้องกับบคคล
่
ี
่
ิ
ุ
ั
ี่
ุ
ิ
็
็
ครอบครว และชมชน ทเปนจดเน้นส าคัญของคนคดเปนได้
ิ
็
ิ
ึ
ิ
็
ั
ิ
ี
3. ฝกปฏบัตการคดการแก้ปญหาอย่างเปนระบบ การคดเปน ทั้งจากกรณตัวอย่างและ
ุ
่
์
ึ
ิ
็
่
ิ
ุ
หรอสถานการณจรงในชมชน โดยน าข้อมูลด้านคณธรรมจรยธรรม ซงเปนส่วนหนง
ึ
ื
ของข้อมูลทางสังคมและสภาวะแวดล้อมมาประกอบการคดการพัฒนาได้
ิ
่
่
ั
บทที่ 5 การวิจยอยางงาย
1. อธบายความหมายและความส าคัญของการวิจัยได้
ิ
2. ระบกระบวนการ ขั้นตอนของการท าวิจัยอย่างง่ายได้
ุ
ิ
ี
ิ
ิ
่
ิ
3. อธบายสถตง่าย ๆ และสามารถเลอกใช้สถตทเหมาะสมกับการวิจัยในแต่ละเรองของ
่
ื
ิ
ื
ตนเองได้อย่างถกต้อง
ู
4. สรางเครองมอการวิจัยได้
ื
้
ื่
5. เขยนโครงการวิจัยได้
ี
ี
6. เขยนรายงานการวิจัยและเผยแพร่งานวิจัยได้
ั
ี
ี
้
บทที่ 6 ทักษะการเรยนรูและศกยภาพหลักของพื้นที่ในการพัฒนาอาชพ
ิ
่
ี
่
1. อธบายความหมาย ความส าคัญของทักษะการเรยนร และศักยภาพหลักของพื้นทท
ี
ู
ี
้
แตกต่างกัน
่
ี
2. ยกตัวอย่างศักยภาพหลักของพื้นททแตกต่างกัน
ี
่
ื
่
ี
่
3. สามารถบอกหรอยกตัวอย่างเกียวกับศักยภาพหลักของพื้นทของตนเอง
4. ยกตัวอย่างอาชพทใช้หลักการพื้นฐานของศักยภาพหลักในการประกอบอาชพในกล่ม
่
ุ
ี
ี
ี
ี
อาชพใหม่ได้
ขอบขายเนื้อหา
่
้
บทที 1 การเรยนรูดวยตนเอง
ี
่
้
ื่
้
ี
ู
เรองท 1 ความหมาย ความส าคัญ และกระบวนการของการเรยนรด้วยตนเอง
ี่
เรองท 2 ทักษะพื้นฐานทางการศกษาหาความร ทักษะการแก้ปญหา
ู
ี่
ั
ึ
้
ื่
และเทคนคในการเรยนรด้วยตนเอง
ู
้
ิ
ี
ี่
ื่
ิ
เรองท 3 การท าแผนผังความคด
ี่
้
ี่
็
ั
เรองท 4 ปจจัยทท าให้การเรยนรด้วยตนเองประสบความส าเรจ
ู
ี
ื่
้
่
บทที 2 การใชแหลงเรยนรู
้
่
ี
ี่
ี
เรองท 1 ความหมาย ความส าคัญ ประเภทของแหล่งเรยนร ้
ื่
ู
ี
่
เรองท 2 แหล่งเรยนรประเภทห้องสมด
ี
ุ
้
ู
ื
่
ึ
ุ
ื่
ี่
เรองท 3 ทักษะการเข้าถงสารสนเทศของห้องสมด
้
ู
่
เรองท 4 การใช้แหล่งเรยนรส าคัญ ๆ ในประเทศ
ื
่
ี
ี
เรองท 5 การใช้แหล่งเรยนรผ่านเครอข่ายอนเทอรเนต
์
ี
ี
่
้
็
ู
ิ
ื
ื
่
ั
บทที 3 การจดการความรู
้
่
เรองท 1 ความหมาย ความส าคัญ หลักการ
ี่
ื่
่
ี
ื
ุ
่
่
ี
เรองท 2 กระบวนการจัดการเรยนร การรวมกล่มเพือต่อยอดความร ู ้
ู
้
่
และการจัดท าสารสนเทศเพือเผยแพร่ความร ้ ู
ู
ี่
ื่
้
เรองท 3 ทักษะกระบวนการจัดการความร
บทที่ 4 การคิดเปน
็
่
ึ
เรองท 1 ความเชอพื้นฐานทางการศกษาผู้ใหญ่กับกระบวนการคดเปน การเชอมโยงส่ ู
ี่
ื่
ื
็
ื
่
ิ
ปรชญาคดเปน และการคดการตัดสนใจแก้ปญหาอย่างเปนระบบแบบคนคดเปน
ิ
็
ิ
ั
ั
ิ
็
ิ
็
เรองท 2 ระบบข้อมูล การจ าแนกลักษณะของข้อมูล การเก็บข้อมูล การวิเคราะห ์
ื่
ี่
สังเคราะห ข้อมูลทั้งด้านวิชาการ ด้านตนเอง และสังคมสภาวะแวดล้อม โดยเน้น
์
ั
ุ
ุ
่
ุ
ิ
่
ไปทข้อมูลด้านคณธรรมจรยธรรมทเกียวข้องกับบคคล ครอบครวและชมชน เพือ
ี
ี
่
่
ิ
ิ
ั
็
น ามาใช้ประกอบการตัดสนใจแก้ปญหาตามแบบอย่างของคนคดเปน
ี
ึ
ั
ี่
่
์
ิ
ิ
ื่
ิ
ิ
เรองท 3 กรณตัวอย่าง และสถานการณจรงในการฝกปฏบัตเพือการคด การแก้ปญหา
็
ิ
แบบคนคดเปน
่
ั
บทที่ 5 การวิจยอยางงาย
่
ื่
เรองท 1 ความหมาย ความส าคัญของการวิจัย
ี่
เรองท 2 กระบวนการและขั้นตอนการท าวิจัยอย่างง่าย
่
ี
ื
่
ิ
ิ
ี
่
่
เรองท 3 สถตง่าย ๆ เพื่อการวิจัย
ื
ื
ื่
ี่
้
เรองท 4 การสรางเครองมอวิจัย
ื่
เรองท 5 การเขยนโครงการวิจัย
ี
ี่
ื่
ี
่
เรองท 6 การเขยนรายงานการวิจัยอย่างง่ายและการเผยแพร่ผลงานวิจัย
่
ื
ี
่
ี
ี
บทที่ 6 ทักษะการเรยนรและศักยภาพหลักของพื้นทในการพัฒนาอาชพ
้
ู
ี
เรองท 1 ความหมาย ความส าคัญของศักยภาพหลักของพื้นท ่ ี
ี่
ื่
ี
ี
่
่
ื
ี
ุ
เรองท 2 กล่มอาชพใหม่ 5 ด้าน และศักยภาพหลักของพื้นท 5 ประการ
่
เรองท 3 ตัวอย่างการวิเคราะหศักยภาพหลักของพื้นท ี ่
ื่
์
ี่
1
บทที่ 1
้
การเรยนรูดวยตนเอง
ี
้
สาระสาคัญ
ู
้
ิ
้
ี
ิ
การเรยนรด้วยตนเอง เปนกระบวนการเรยนรทผู้เรยนรเร่มการเรยนรด้วยตนเอง ตามความสนใจ
ู
ี
็
ี
่
ี
้
ู
ี
้
ี
ี
ี
ั
้
ู
้
ื
ี
ู
ความต้องการ และความถนัด มเปาหมาย รจักแสวงหาแหล่งทรพยากรของการเรยนร เลอกวิธการเรยนร ู ้
ี
จนถงการประเมนความก้าวหน้าของการเรยนรของตนเอง โดยจะด าเนนการด้วยตนเอง หรอร่วมมอ
ิ
ิ
้
ื
ื
ู
ึ
่
ื
ี
้
ู
ึ
ื
ช่วยเหลอกับผู้อนก็ได้ ดังนั้นมาตรฐานการเรยนรระดับมัธยมศกษาตอนปลายสามารถประมวลความร ้ ู
ี
ั
็
ท างานบนฐานข้อมูล และมความช านาญในการอ่าน ฟง จดบันทก เปนสารสนเทศอย่างคล่องแคล่วรวดเรว
็
ึ
่
้
ึ
ี
ุ
ึ
ู
ในทกวันน้คนส่วนใหญ่แสวงหาการศกษาระดับทสงข้น จ าเปนต้องรวิธวินจฉัยความต้องการในการเรยน
ิ
ี
ี
ู
ี
็
ของตนเอง สามารถก าหนดเปามายในการเรยนรของตนเอง สามารถระบแหล่งความรทต้องการ และ
ี
้
ุ
ี
ู
ู
้
้
่
ี
ิ
่
ื
ี
ื
วางแผนการใช้ยุทธวิธ สอการเรยน และแหล่งความรเหล่านั้น หรอแม้แต่ประเมนและตรวจสอบความ
ู
้
้
ู
ถกต้องของผลการเรยนรของตนเอง
ี
ู
ี
่
ผลการเรยนรูทีคาดหวัง
้
้
ู
ุ
็
1. ประมวลความร และสรปเปนสารสนเทศ
็
้
ู
ิ
2. ท างานบนฐานข้อมูลด้วยการแสวงหาความรจนเปนลักษณะนสัย
3. มความช านาญในทักษะการอ่าน ทักษะการฟง ทักษะการสังเกต และทักษะการจดบันทกอย่าง
ี
ึ
ั
็
คล่องแคล่ว รวดเรว
ื
่
ขอบขายเน้อหา
้
ู
เรองท 1 ความหมาย ความส าคัญ และกระบวนการของการเรยนรด้วยตนเอง
ื่
ี
ี่
ิ
ี่
ู
้
ึ
ู
ี
้
ื่
ั
เรองท 2 ทักษะพื้นฐานทางการศกษาหาความร ทักษะการแก้ปญหา และเทคนคในการเรยนร
ด้วยตนเอง
ิ
ี่
ื่
เรองท 3 การท าแผนผังความคด
ี่
ั
เรองท 4 ปจจัยทท าให้การเรยนรด้วยตนเองประสบความส าเรจ
ื่
ี่
้
็
ี
ู
2
ี
ื่
้
้
เรองที่ 1 ความหมาย ความสาคัญ และกระบวนการของการเรยนรูดวยตนเอง
์
ึ
ั
ี
ู
็
ในปจจบันโลกมความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ความรต่าง ๆ ได้เพิ่มข้นเปน
ุ
้
ู
้
้
ู
อันมาก การเรยนรจากสถาบันการศกษาไม่อาจท าให้บคคลศกษาความรได้ครบทั้งหมด การไขว่คว้าหา
ุ
ึ
ี
ึ
ุ
ี
่
ี
ุ
่
ื
่
ึ
็
ึ
ี
่
ี
้
ี
ู
ความรด้วยตนเอง จงเปนอกวิธหนงทจะสนองความต้องการของบคคลได้ เพราะเมอใดก็ตามทบคคลมใจ
่
ื
ิ
รกทจะศกษา ค้นคว้า ส่งทตนต้องการจะร บคคลนั้นก็จะด าเนนการศกษาเรยนรอย่างต่อเนองโดยไม่ต้อง
ู
้
่
ี
ุ
ึ
ิ
ี
่
ี
ั
ู
้
ึ
ี
ึ
ึ
ี
้
ี
ั
ี
ู
มใครบอก ประกอบกับระบบการศกษาและปรชญาการศกษาเพื่อเตรยมคนให้สามารถเรยนรได้ตลอดชวิต
ู
ี
้
ู
้
่
แสวงหาความรด้วยตนเอง ใฝหาความร รแหล่งทรพยากรการเรยน รวิธการหาความร มความสามารถ
ู
ู
ี
ี
ั
้
้
ู
้
ั
็
ี
็
ิ
ี
ิ
็
ในการคดเปน ท าเปน แก้ปญหาเปน มนสัยในการท างานและการด ารงชวิต และมส่วนร่วมในการ
ี
ปกครองประเทศ
ี
้
้
ี
การเรยนรูดวยตนเอง สามารถช่วยให้ผู้เรยนพัฒนาและเพิ่มศักยภาพ
ิ
ุ
ี
่
ี
่
ี
ของตนเองโดยการค้นพบความสามารถและส่งทมคณค่าในตนเองทเคย
มองข้ามไป
(“...it is possible to help learners expand their potential by discovered that
which is yet untapped…”) (Brockett & Hiemstra, 1991)
ึ
การศกษาตามหลักสตรการศกษานอกระบบระดับการศกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 เปนการ
ู
ึ
็
ึ
ี
่
ี
ี
ึ
่
็
ึ
ี
จัดการศกษาทมความเหมาะสมกับสภาพปญหา และความต้องการของผู้เรยนทอยู่นอกระบบ ซงเปนผู้ทม ี
่
ั
ี
่
ประสบการณจากการท างานและการประกอบอาชพ โดยการก าหนดสาระการเรยนร มาตรฐานการเรยนร ู ้
ู
้
ี
ี
ี
์
ุ
้
การจัดการเรยนร การวัดและประเมนผล ให้การพัฒนากับกล่มเปาหมายด้านจตใจ ให้มคณธรรม ควบค่ไป
ู
ู
ี
้
ิ
ิ
ุ
ี
ู
้
้
้
ิ
ู
ี
กับการพัฒนาการเรยนร สรางภมค้มกัน สามารถจัดการกับองค์ความร ทั้งภมปญญาท้องถ่นและเทคโนโลยี
ู
ิ
ั
ิ
ุ
ู
้
ุ
ิ
ู
ี
่
่
่
ี
ี
ี
เพือให้ผู้เรยนสามารถปรบตัวอยู่ในสังคมทมการเปลยนแปลงตลอดเวลา สรางภมค้มกันตามแนวเศรษฐกิจ
ั
ู
้
ึ
ึ
ี
ิ
ี
่
พอเพียง รวมทั้งค านงถงธรรมชาตการเรยนรของผู้ทอยู่นอกระบบ และสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจ สังคม
ิ
การเมอง การปกครอง ความเจรญก้าวหน้าของเทคโนโลยีและการสอสาร ดังนั้น ในการศกษาแต่ละรายวิชา
ื
ื่
ึ
ู
ี
ึ
ผู้เรยนจะต้องตระหนักว่า การศกษาตามหลักสตรการศกษานอกระบบระดับการศกษาขั้นพื้นฐาน
ึ
ึ
ู
ิ
ี
ี
้
ิ
ี
ึ
พุทธศักราช 2551 น้ จะสัมฤทธ์ ิผลได้ด้วยดหากผู้เรยนได้ศกษาพรอมทั้งการปฏบัตตามค าแนะน าของคร
ึ
่
ื
ี
แต่ละวิชาทได้ก าหนดเน้อหาเปนบทต่าง ๆ โดยแต่ละบทจะมค าถาม รายละเอยดกิจกรรมและแบบฝกปฏบัต ิ
ี
ิ
็
ี
ี
ึ
ี
่
ึ
ิ
ต่าง ๆ ซงผู้เรยนจะต้องท าความเข้าใจในบทเรยน และท ากิจกรรม ตลอดจนท าตามแบบฝกปฏบัตทได้
ิ
่
ี
ก าหนดไว้อย่างครบถ้วน ซงในหนังสอแบบฝกปฏบัตของแต่ละวิชาได้จัดให้มรายละเอยดต่าง ๆ ดังกล่าว
ี
ื
ึ
ิ
ิ
ึ
่
ี
ี
่
ี
ิ
ู
้
ิ
ี
้
ู
ตลอดจนแบบประเมนผลการเรยนรเพือให้ผู้เรยนได้วัดความรเดมและวัดความก้าวหน้าหลังจากทได้เรยนร ู ้
ี
่
3
ี
ิ
่
ี
ี
็
ี
่
ี
์
ี
รวมทั้งการทผู้เรยนจะได้มการทบทวนบทเรยน หรอส่งทได้เรยนร อันจะเปนประโยชนในการเตรยมสอบ
ื
ู
ี
้
ต่อไปได้อกด้วย
ี
้
ี
ู
้
ี
็
การเรยนรในสาระทักษะการเรยนร เปนสาระเกียวกับรายวิชาการเรยนรด้วยตนเอง รายวิชาการใช้
ู
้
ู
่
ี
ู
ี
แหล่งเรยนร รายวิชาการจัดการความร รายวิชาการคดเปน และรายวิชาการวิจัยอย่างง่าย ในส่วนของรายวิชา
็
ิ
้
้
ู
ู
ี
้
ี
็
ู
้
่
้
ู
ี
ี
้
ู
การเรยนรด้วยตนเองเปนสาระการเรยนรเกียวกับการพัฒนาทักษะการเรยนร ในด้านการเรยนรด้วยตนเอง
ี
ิ
่
ี
ี
ิ
้
ิ
ุ
เปดโอกาสให้ผู้เรยนได้ศกษา ค้นคว้า ฝกทักษะในการเรยนรด้วยตนเอง เพือม่งเสรมสรางให้ผู้เรยนมนสัยรก
ึ
ั
ี
้
ึ
ู
ู
้
ุ
็
็
่
ื
ี
ื
่
ี
่
การเรยนรซงเปนทักษะพื้นฐานของบคคลแห่งการเรยนรทยั่งยืน เพือใช้เปนเครองมอในการช้น าตนเองใน
ี
ู
ี
้
่
ึ
่
ื
ี
้
ู
การเรยนรได้อย่างต่อเนองตลอดชวิต
ี
่
ู
้
ี
้
ู
ี
ี
่
ึ
็
การเรยนรด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) เปนแนวทางการเรยนรหนงทสอดคล้องกับการ
ุ
้
ี
ั
ี
เปลยนแปลงของสภาพปจจบัน และเปนแนวคดทสนับสนนการเรยนรตลอดชวิตของสมาชกในสังคมส่การ
ิ
ู
ี
่
ิ
็
ี่
ู
ุ
็
ี
ู
ี
้
ี
่
ี
ู
้
ุ
ู
็
้
ู
ี
ิ
ี
ิ
้
เปนสังคมแห่งการเรยนร โดยการเรยนรด้วยตนเองเปนการเรยนรทท าให้บคคลมการรเร่มการเรยนรด้วยตนเอง
่
ี
ู
้
ู
ื
ี
่
มเปาหมายในการเรยนรทแน่นอน มความรบผิดชอบในชวิตของตนเอง ไม่พึงคนอน มแรงจงใจ ท าให้ผู้เรยน
ี
ั
้
ี
ี
่
ี
ี
เปนบคคลทใฝร ใฝเรยน ทมการเรยนรตลอดชวิต เรยนรวิธเรยน สามารถเรยนรเรองราวต่าง ๆ ได้มากกว่าการ
ี
้
้
ู
ู
ี
ี
็
ุ
ี
ี
่
ี
่
้
ี
่
ี
ู
้
ื
่
่
ี
ี
ู
ี
ู
ี
ี
้
่
ู
ี
้
เรยนทมครปอนความรให้เพียงอย่างเดยว
่
ึ
ุ
็
ึ
ั
ู
้
ึ
ี
การเรยนรด้วยตนเองเปนหลักการทางการศกษาซงได้รบความสนใจมากข้นโดยล าดับในทกองค์กร
ู
ี่
ึ
ุ
ี
้
ี
่
ึ
การศกษา เพราะเปนแนวทางหนงทสนับสนนการเรยนรตลอดชวิต ในอันทจะหล่อหลอมผู้เรยนให้มทักษะ
ี่
ี
ี
็
ี
ิ
ิ
ิ
ี
่
การเรยนรตลอดชวิต ตามทม่งหวังไว้ในพระราชบัญญัตการศกษาแห่งชาต พ.ศ. 2542 และทแก้ไขเพิ่มเตม
ี
้
ู
่
ี
ึ
ุ
ิ
ี่
(ฉบับท 2) พ.ศ. 2545 การเรยนรด้วยตนเอง เปนหลักการทางการศกษาทมแนวคดพื้นฐานมาจากทฤษฎของ
ึ
็
ี
ี่
ี
ี
ู
้
็
็
ี
ิ
ี
ี
่
ุ
ิ
ึ
ุ
ื
่
ี
ุ
กล่มมนษยนยม (Humanism) ซงเชอว่า มนษย์ทกคนมธรรมชาตเปนคนด มเสรภาพและความเปนตนเอง
ุ
ู
้
ิ
ิ
ั
มความเปนปจเจกชน มีศักยภาพ และการรบรตนเอง มความเปนจรงในส่งทตนสามารถเปนได้ มการรบร
็
็
ี
ี
ี
ั
ั
่
ี
็
ู
้
มความรบผิดชอบและความเปนมนษย์
ั
ี
ุ
็
ี
่
้
ี่
ี่
ี
ี
ี
ึ
่
ดังนั้น การทผู้เรยนสามารถเรยนรด้วยตนเองได้นับว่าเปนคณลักษณะทดทสด ซงมอยู่ในตัวบคคล
ุ
ุ
ี
็
ุ
ู
ุ
ุ
ี
ทกคน ผู้เรยนควรจะมคณลักษณะของการเรยนรด้วยตนเอง การเรยนรด้วยตนเองจัดเปนกระบวนการเรยนร ้ ู
็
ี
ี
้
้
ี
ี
ู
ู
ู
้
ี
่
ี
ี
ี
ิ
ั
ี
ตลอดชวิต ยอมรบในศักยภาพของผู้เรยนว่าผู้เรยนทกคนมความสามารถทจะเรยนรส่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง
ี
ุ
ี
่
ุ
่
ี
ี
่
ี
ี
่
่
ี
เพือทตนเองสามารถทด ารงชวิตอยู่ในสังคมทมการเปลยนแปลงอยู่ตลอดเวลาได้อย่างมความสข
ี
้
ี
้
ี
้
ี
่
ในการปฏิบัติกิจกรรมการเรยนรูในบทที 1 การเรยนรูดวยตนเองน้
ผูเรยนจะตองรวบรวมผลการปฏิบัติกิจกรรมซงเปนหลักฐานของ
็
ี
้
ึ่
้
การเรยนรู โดยใหผูเรยนบรรจุในแฟมสะสมผลงาน (Portfolio) ของ
้
้
้
ี
ี
้
ผูเรยนแตละบุคคล ดังนน เมือสนสุดการเรยนรูในบทที 1 ทักษะ
่
้
่
ิ
้
ี
้
ี
่
ั
้
้
ี
่
้
้
ี
ี
้
้
การเรยนรูดวยตนเองน้ ผูเรยนจะตองมีแฟมสะสมผลงานสงครู
4
แบบประเมินตนเองกอนเรยน
ี
่
้
้
ี
ี
้
้
แบบวัดระดับความพรอมในการเรยนรูดวยตนเองของผูเรยน
ึ
ื่
ชอ........................................................นามสกุล................................................ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
่
้
ิ
ี
ี
ู
ค าชแจง แบบสอบถามฉบับน้ เปนแบบสอบถามทวัดความชอบและเจตคตเกียวกับการเรยนรของท่าน
่
็
ี
้
ี
ึ
ี
่
่
ให้ท่านอ่านข้อความต่าง ๆ ต่อไปน้ ซงมด้วยกัน 58 ข้อ หลังจากนั้น โปรดท าเครองหมาย
ื
ี
่
ี
ี
็
่
ิ
ุ
ลงในช่องทตรงกับ ความเปนจรง ของตัวท่านมากทสด
ระดับความคิดเห็น
ี่
็
ู
ุ
้
ึ
มากทสด หมายถง ท่านรสกว่า ข้อความนั้นส่วนใหญ่เปนเช่นน้ ี
ึ
่
ู
ึ
้
็
มาก หมายถง ท่านรสกว่า ข้อความเกินครงมักเปนเช่นน้ ี
ึ
ึ
ู
ึ
่
ึ
ึ
ึ
้
่
ปานกลาง หมายถง ท่านรสกว่า ข้อความจรงบ้างไม่จรงบ้างครงต่อครง
ิ
ิ
น้อย หมายถง ท่านรสกว่า ข้อความเปนจรงบ้างแต่ไม่บ่อยนัก
ึ
้
ิ
็
ึ
ู
้
ึ
็
ุ
น้อยทสด หมายถง ท่านรสกว่า ข้อความไม่จรง ไม่เคยเปนเช่นน้ ี
ี่
ึ
ู
ิ
ความคิดเห็น
รายการค าถาม มาก มาก ปาน นอย นอย
้
้
ทีสุด กลาง ทีสุด
่
่
้
ู
ี
ี
1. ข้าพเจ้าต้องการเรยนรอยู่เสมอตราบชั่วชวิต
ี
2. ข้าพเจ้าทราบดว่าข้าพเจ้าต้องการเรยนอะไร
ี
ี่
ี
่
ื่
ิ
ี
3. เมอประสบกับบางส่งบางอย่างทไม่เข้าใจ ข้าพเจ้าจะหลกเลยงไป
จากส่งนั้น
ิ
ู
ี
้
ิ
ู
้
ี
4. ถ้าข้าพเจ้าต้องการเรยนรส่งใด ข้าพเจ้าจะหาทางเรยนรให้ได้
้
5. ข้าพเจ้ารกทจะเรยนรอยู่เสมอ
ั
่
ี
ี
ู
6. ข้าพเจ้าต้องการใช้เวลาพอสมควรในการเร่มศกษาเรองใหม่ ๆ
ึ
ื
ิ
่
ี
ี
่
ี
7. ในชั้นเรยนข้าพเจ้าหวังทจะให้ผู้สอนบอกผู้เรยนทั้งหมดอย่างชัดเจนว่า
ต้องท าอะไรบ้างอยู่ตลอดเวลา
ื
่
่
ี
8. ข้าพเจ้าเชอว่า การคดเสมอว่าตัวเราเปนใครและอยู่ทไหน และจะท า
ิ
็
ุ
ึ
็
อะไร เปนหลักส าคัญของการศกษาของทกคน
9. ข้าพเจ้าท างานด้วยตนเองได้ไม่ดนัก
ี
ี
ี
่
ี
10. ถ้าต้องการข้อมูลบางอย่างทยังไม่ม ข้าพเจ้าทราบดว่าจะไปหาได้
ี่
ทไหน
ู
้
ิ
11. ข้าพเจ้าสามารถเรยนรส่งต่าง ๆ ด้วยตนเองได้ดกว่าคนส่วนมาก
ี
ี
5
ความคิดเห็น
รายการค าถาม มาก มาก ปาน นอย นอย
้
้
ทีสุด กลาง ทีสุด
่
่
่
ี
ี
ิ
ิ
ิ
ื
ี
ู
12. แม้ข้าพเจ้าจะมความคดทด แต่ดเหมอนไม่สามารถน ามาใช้ปฏบัตได้
13. ข้าพเจ้าต้องการมส่วนร่วมในการตัดสนใจว่าควรเรยนอะไร และจะ
ี
ี
ิ
ี
เรยนอย่างไร
่
ื
ี
่
่
ี
14. ข้าพเจ้าไม่เคยท้อถอยต่อการเรยนส่งทยาก ถ้าเปนเรองทข้าพเจ้าสนใจ
็
ิ
ี
ี
ื
่
่
ั
15. ไม่มใครอนนอกจากตัวข้าพเจ้าทจะต้องรบผิดชอบในส่งทข้าพเจ้า
่
ิ
ี
ี
เลอกเรยน
ี
ื
16. ข้าพเจ้าสามารถบอกได้ว่า ข้าพเจ้าเรยนส่งใดได้ดหรอไม่
ี
ี
ิ
ื
ี่
ี
้
17. ส่งทข้าพเจ้าต้องการเรยนรมีมากมาย จนข้าพเจ้าอยากให้แต่ละวันม ี
ู
ิ
มากกว่า 24 ชั่วโมง
18. ถ้าตัดสนใจทจะเรยนรอะไรก็ตาม ข้าพเจ้าสามารถจะจัดเวลาทจะ
ี่
ู
้
่
ี
ิ
ี
ู
ี
ิ
้
เรยนรส่งนั้นได้ ไม่ว่าจะมภารกิจมากมายเพียงใดก็ตาม
ี
ื
ี
ั
่
่
ี
19. ข้าพเจ้ามปญหาในการท าความเข้าใจเรองทอ่าน
20. ถ้าข้าพเจ้าไม่เรยนก็ไม่ใช่ความผิดของข้าพเจ้า
ี
ี่
้
ี
ื่
ู
ื่
ี
21. ข้าพเจ้าทราบดว่า เมอใดทข้าพเจ้าต้องการจะเรยนรในเรองใด
ื่
ึ
่
ึ
เรอง หนงให้มากข้น
ู
22. ขอให้ท าข้อสอบให้ได้คะแนนสง ๆ ก็พอใจแล้ว ถงแม้ว่าข้าพเจ้ายัง
ึ
ื
่
ไม่เข้าใจเรองนั้นอย่างถ่องแท้ก็ตาม
ี
่
่
ี
ุ
่
23. ข้าพเจ้าคดว่า ห้องสมดเปนสถานททน่าเบอ
ิ
็
ื
ื่
ิ
24. ข้าพเจ้าชนชอบผู้ทเรยนรส่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ
้
ู
ี่
ี
ี
ี
ิ
ั
25. ข้าพเจ้าสามารถคดค้นวิธการต่าง ๆ ได้หลายแบบ ส าหรบการเรยนร ู ้
หัวข้อใหม่ ๆ
ื
้
26. ข้าพเจ้าพยายามเชอมโยงส่งทก าลังเรียนกับเปาหมายระยะยาว ทตั้งไว้
ิ
่
ี
่
่
ี
่
ู
้
ุ
27. ข้าพเจ้ามความสามารถเรยนร ในเกือบทกเรอง ทข้าพเจ้าต้องการจะร ้ ู
ี
ี
่
ื
ี
ั
28. ข้าพเจ้าสนกสนานในการค้นหาค าตอบส าหรบค าถามต่าง ๆ
ุ
ี
ึ
ี
่
่
ู
29. ข้าพเจ้าไม่ชอบค าถามทมค าตอบถกต้องมากกว่าหนงค าตอบ
่
ิ
30. ข้าพเจ้ามความอยากรอยากเหนเกียวกับส่งต่าง ๆ มากมาย
ี
ู
็
้
ุ
ู
ี
้
ี
31. ข้าพเจ้าจะดใจมาก หากการเรยนรของข้าพเจ้าได้ส้นสดลง
ิ
6
ความคิดเห็น
รายการค าถาม มาก มาก ปาน นอย นอย
้
้
่
ทีสุด กลาง ทีสุด
่
ี
่
่
ี
ื
ี
ู
้
32. ข้าพเจ้าไม่ได้สนใจการเรยนร เมอเปรยบเทยบกับผู้อน
ื
่
33. ข้าพเจ้าไม่มปญหาเกียวกับทักษะเบ้องต้นในการศกษาค้นคว้า ได้แก่
ั
ึ
ี
ื
ั
ี
ทักษะการฟง อ่าน เขยน และจ า
ิ
34. ข้าพเจ้าชอบทดลองส่งใหม่ๆ แม้ไม่แน่ใจว่า ผลนั้นจะออกมา อย่างไร
่
ึ
ิ
ี
ื
็
ี
่
ี
35. ข้าพเจ้าไม่ชอบ เมอมคนช้ให้เหนถงข้อผิดพลาด ในส่งทข้าพเจ้า
ก าลังท าอยู่
ี
ี
ิ
่
ี
36. ข้าพเจ้ามความสามารถในการคดค้น หาวิธแปลกๆ ทจะท าส่งต่าง ๆ
ิ
ึ
ิ
37. ข้าพเจ้าชอบคดถงอนาคต
้
ู
่
ี
ี
ิ
ื
ี
่
38. ข้าพเจ้ามความพยายามค้นหาค าตอบในส่งทต้องการรได้ด เมอเทยบ
ี
ื
่
กับผู้อน
ั
่
ี
็
็
39. ข้าพเจ้าเหนว่าปญหาเปนส่งทท้าทาย ไม่ใช่สัญญาณให้หยุดท า
ิ
ิ
่
ี
40. ข้าพเจ้าสามารถบังคับตนเอง ให้กระท าส่งทคดว่าควรกระท า
ิ
ี
ั
41. ข้าพเจ้าชอบวิธการของข้าพเจ้า ในการส ารวจตรวจสอบปญหาต่าง ๆ
42. ข้าพเจ้ามักเปนผู้น ากล่มในการเรยนร ู ้
ี
ุ
็
ี
่
ื
่
43. ข้าพเจ้าสนกทได้แลกเปลยนความคดเหนกับผู้อน
ิ
่
ี
็
ุ
ู
44. ในแต่ละปข้าพเจ้าได้เรยนรส่งใหม่ ๆ หลายๆ อย่างด้วยตนเอง
ิ
ี
ี
้
้
ู
ี
ิ
ี
45. การเรยนรไม่ได้ท าให้ชวิตของข้าพเจ้าแตกต่างไปจากเดม
ี่
ี
ี
ี
ี
46. ข้าพเจ้าเปนผู้เรยนทมประสทธภาพ ทั้งในชั้นเรยน และการเรยนร ้ ู
็
ิ
ิ
ด้วยตนเอง
ี
47. ข้าพเจ้าเหนด้วยกับความคดทว่า “ผู้เรยนคอ ผู้น า”
ี
ื
ิ
่
็
7
การเรมตนเรยนรูดวยตนเองทีดีทีสุดนน เรามาเรมตนที่ความพรอม ในการ
ั
้
่
ิ่
ิ่
้
้
้
่
้
้
ี
้
้
้
้
่
่
้
ี
เรยนรูดวยตนเอง และทานคงทราบในเบื้องตนแลววา ระดับ ความพรอม
่
ี
้
้
่
่
ในการเรยนรูดวยตนเองของทาน อยูในระดับใด (มากทีสุด มาก ปานกลาง
่
้
นอย นอยทีสุด)
้
ความพรอมในการเรยนรูดวยตนเอง
ี
้
้
้
ในการเรยนรด้วยตนเองเปนบคลกลักษณะส่วนบคคลของผู้เรยน ทต้องการให้เกิดข้นในตัวผู้เรยน
ี
ิ
ึ
็
ู
้
ุ
่
ี
ี
ี
ุ
้
ี
ี
ี่
ึ
้
ี
ุ
ี
ั
ตามเปาหมายของการศกษา ผู้เรยนทมความพรอมในการเรยนด้วยตนเองจะมความรบผิดชอบส่วนบคคล
ิ
ั
์
ุ
ความรบผิดชอบต่อความคดและการกระท าของตนเอง สามารถควบคมและโต้ตอบสถานการณ สามารถ
ี่
่
ิ
ุ
ี
ึ
็
ื
่
ั
ิ
ี
ควบคมตนเองให้เปนไปในทศทางทตนเลอก โดยยอมรบผลทเกิดข้นจากการกระท าทมาจากความคด
ตัดสินใจของตนเอง
“เด็กตามธรรมชาตต้องพึงพิงผู้อนและต้องการผู้ปกครองปกปองเล้ยงดและตัดสนใจแทน
่
้
่
ื
ิ
ู
ี
ิ
เมอเตบโตเปนผู้ใหญ่ก็พัฒนามความอสระ พึงพิงจากภายนอกลดลงและเปนตัวเอง
ื
่
็
็
ี
ิ
่
ิ
ุ
้
ี
ี
ู
ี
จนมคณลักษณะการช้น าตนเองในการเรยนร”
้
ความหมาย และความสาคัญของการเรยนรูดวยตนเอง
้
ี
ี
ู
ิ
ุ
ี
ี
่
้
็
ื
ี
ี
การเรยนรเปนเรองของทกคน ศักด์ศรของผู้เรยนจะมได้เมอมโอกาสในการเลอกเรยนในเรองท ่ ี
ี
ื
ื
ื
่
่
ี
้
ี
ื
ู
หลากหลายและมความหมายแก่ตนเอง การเรยนรมองค์ประกอบ 2 ด้าน คอ องค์ประกอบภายนอก ได้แก่
ี
็
ิ
สภาพแวดล้อม โรงเรยน สถานศกษา ส่งอ านวยความสะดวก และคร องค์ประกอบภายใน ได้แก่ การคดเปน
ี
ู
ิ
ึ
ู
ี
ี
ุ
้
่
ึ
ิ
ี
ี
่
ิ
ิ
ิ
ิ
่
้
ิ
้
พึงตนเองได้ มอสรภาพ ใฝร ใฝสรางสรรค์ มความคดเชงเหตผล มจตส านกในการเรยนร มเจตคตเชงบวก
ู
ี
ึ
่
ิ
ึ
ี
้
ู
ึ
ต่อการเรยนร การเรยนรทเกิดข้นมได้เกิดข้นจากการฟงค าบรรยายหรอท าตามทครผู้สอนบอก แต่อาจเกิดข้น
ี
ู
่
ี
ี
ั
ู
้
ื
ี
์
ได้ในสถานการณต่าง ๆ ต่อไปน้
ิ
1. การเรยนรูโดยบังเอิญ การเรยนรแบบน้เกิดข้นโดยบังเอญ มได้เกิดจากความตั้งใจ
ู
ิ
้
ึ
ี
ี
้
ี
ี
ี
้
ี
็
่
ู
ู
ึ
้
้
ี
2. การเรยนรูดวยตนเอง เปนการเรยนรด้วยความตั้งใจของผู้เรยน ซงมความปรารถนาจะรใน
้
เรองนั้น ผู้เรยนจงคดหาวิธการเรยนด้วยวิธการต่าง ๆ หลังจากนั้นจะมการประเมนผลการเรยนรด้วยตนเอง
้
ิ
ี
ู
ี
ื
่
ี
ึ
ิ
ี
ี
ี
ู
ุ
ึ
ี
่
้
ิ
็
จะเปนรปแบบการเรยนรททวีความส าคัญในโลกยุคโลกาภวัตน์ บคคลซงสามารถปรบตนเองให้ตามทัน
ั
ี่
ู
ความก้าวหน้าของโลกโดยใช้สออปกรณยุคใหม่ได้ จะท าให้เปนคนทมคณค่าและประสบความส าเรจ
็
ื
่
ี่
์
ุ
ุ
็
ี
ได้อย่างดี
8
ี
ี
ิ
่
ุ
ี
ี
่
ู
้
ี
้
3. การเรยนรูโดยกลุม การเรยนรแบบน้เกิดจากการทผู้เรยนรวมกล่มกันแล้วเชญผู้ทรงคณวุฒ มา
ุ
ิ
ี
ู
บรรยายให้กับสมาชก ท าให้สมาชกมความรเรองทวิทยากรพูด
ิ
ื่
ี่
้
ิ
็
ี
4. การเรยนรูจากสถาบันการศกษา เปนการเรยนแบบเปนทางการ มหลักสตร การประเมนผล
ี
ี
ิ
้
ู
็
ึ
ิ
ึ
่
ี
ี
ี
ื
่
ี
่
มระเบยบการเข้าศกษาทชัดเจน ผู้เรยนต้องปฏบัตตามกฎระเบยบทก าหนด เมอปฏบัตครบถ้วนตามเกณฑ์
ิ
ิ
ิ
ี
ี
ื
ั
่
ิ
ี
ี
ทก าหนดก็จะได้รบปรญญา หรอประกาศนยบัตร
ู
ี
้
็
ี
ี
์
้
ู
ี
ู
้
จากสถานการณการเรยนรดังกล่าวจะเหนได้ว่า การเรยนรอาจเกิดได้หลายวิธ และการเรยนรนั้น
ไม่จ าเปนต้องเกิดข้นในสถาบันการศกษาเสมอไป การเรยนรอาจเกิดข้นได้จากการเรยนรด้วยตนเอง หรอ
ู
ี
้
ี
้
ึ
ื
ึ
็
ู
ึ
ึ
ี
ิ
ี
ุ
้
ี
ุ
ู
่
จากการเรยนโดยกล่มก็ได้ และการทบคคลมความตระหนักเรยนรอยู่ภายในจตส านกของบคคลนั้น
ี
ุ
ี
็
ี
้
ู
้
ู
การเรยนรด้วยตนเองจงเปนตัวอย่างของการเรยนรในลักษณะทเปนการเรยนร ทท าให้เกิดการเรยนร
ึ
ู
็
ี
่
ี
ี
ี
้
้
่
ู
่
ึ
ี
ุ
่
ี
ุ
ี
ั
ตลอดชวิต ซงมความส าคัญสอดคล้องกับการเปลยนแปลงของโลกปจจบัน และสนับสนนสภาพ
ี
ี
็
“สังคมแห่งการเรยนร” ได้เปนอย่างด
ู
้
“การเรยนรเปนเพื่อนทดทสดของมนษย์”
ุ
ี่
ี่
ี
ู
้
ี
ุ
็
(LEARNING makes a man fit company for himself) ... (Young)...
การเรยนรูดวยตนเองคืออะไร
้
ี
้
่
ี
้
ู
ี
ึ
ี
ิ
ิ
การเรยนด้วยตนเอง หมายถง กระบวนการเรยนรทผู้เรยนรเร่มการเรยนรด้วยตนเอง ตามความ
้
ี
ู
ี
ั
สนใจ ความต้องการ และความถนัด มเปาหมาย รจักแสวงหาแหล่งทรพยากรของการเรยนร เลอกวิธการ
ี
ู
ู
ี
ื
้
้
้
ี
เรยนร จนถงการประเมนความก้าวหน้าของการเรยนรของตนเอง โดยจะด าเนนการด้วยตนเองหรอร่วมมอ
ิ
ื
ี
ิ
้
ู
ึ
้
ื
ู
ี
่
ื
ี
ุ
ี
ื
ช่วยเหลอกับผู้อนหรอไม่ก็ได้ ซงผู้เรยนจะต้องมความรบผิดชอบและเปนผู้ควบคมการเรยนของตนเอง
ั
็
ื
่
ี
ึ
ิ
ุ
่
การเรยนด้วยตนเอง มแนวคดพื้นฐานมาจากแนวคดทฤษฎกล่มมนษยนยมทมความเชอในเรอง
ื
ี
ุ
ี
่
ื
่
ี
ิ
ี
ี
ิ
็
้
็
ความเปนอสระและความเปนตัวของตัวเองของมนษย์ว่ามนษย์ทกคนเกิดมาพรอมกับความด มความเปน
ิ
ี
็
ุ
ุ
ุ
ี
็
ี
ื
ิ
อสระ เปนตัวของตัวเอง สามารถหาทางเลอกของตนเอง มศักยภาพและสามารถพัฒนาศักยภาพของตนเอง
ได้อย่างไม่มขดจ ากัด รวมทั้งมความรบผิดชอบต่อตนเองและผู้อน ซงการเรยนด้วยตนเองก่อให้เกิดผลใน
ี
่
ี
ื
่
ึ
ั
ี
ี
่
ื
ี
ี
ู
ี
ทางบวกต่อการเรยน โดยจะส่งผลให้ผู้เรยนมความเชอมั่นในตนเอง มแรงจงใจในการเรยนมากข้น ม ี
ี
ึ
ี
ี
ี
ี
ี่
ึ
ี
ู
ผลสัมฤทธ์ ิทางการเรยนสงข้น และมการใช้วิธการเรยนทหลากหลาย การเรยนด้วยตนเองจงเปนมาตรฐาน
ี
ึ
็
่
ึ
ี
ึ
ุ
ื
การศกษาทควรส่งเสรมให้เกิดข้นในตัวผู้เรยนทกคน เพราะเมอใดก็ตามทผู้เรยนมใจรกทจะศกษา ค้นคว้า
่
ี
ิ
่
ี
ึ
ั
ี
ี
่
ี
ึ
ี
ี
ื
ี
่
ื
จากความต้องการของตนเอง ผู้เรยนก็จะมการศกษาค้นคว้าอย่างต่อเนองต่อไปโดยไม่ต้องมใครบอกหรอ
ุ
็
ู
้
ู
ู
ี
ิ
ุ
่
ี
บังคับ เปนแรงกระต้นให้เกิดความอยากรอยากเหนต่อไปไม่มทส้นสด ซงจะน าไปส่การเปนผู้เรยนรตลอด
ึ
็
้
็
่
ี
้
ี
ึ
ชวิตตามเปาหมายของการศกษาต่อไป
9
็
ี่
็
ี
ุ
ี
การเรยนด้วยตนเองมอยู่ 2 ลักษณะคอ ลักษณะทเปนการจัดการเรยนรทมจดเน้นให้ผู้เรยนเปน
้
ื
ู
ี่
ี
ี
ี
ี
ิ
ี
ิ
ั
ศูนย์กลางในการเรยนโดยเปนผู้รบผิดชอบและควบคมการเรยนของตนเองโดยการวางแผน ปฏบัตการ
็
ุ
้
เรยนร และประเมนการเรยนรด้วยตนเอง ซงไม่จ าเปนจะต้องเรยนด้วยตนเองเพียงคนเดยวตามล าพัง และ
ึ
ี
ี
ู
ิ
้
ี
ี
่
ู
็
ึ
ี
ี
้
ู
ี่
ผู้เรยนสามารถถ่ายโอนการเรยนรและทักษะทได้จากสถานการณหนงไปยังอกสถานการณหนงได้ ในอก
ี
์
ี
์
่
่
ึ
็
่
่
ึ
ลักษณะหนงเปนลักษณะทางบคลกภาพทมอยู่ในตัวผู้ทเรยนด้วยตนเองทกคน ซงมอยู่ในระดับทไม่เท่ากัน
ี
ึ
่
ี
่
ี
ี
ุ
ี
ี
่
ุ
ิ
่
ในแต่ละสถานการณการเรยน โดยเปนลักษณะทสามารถพัฒนาให้สงข้นได้และจะพัฒนาได้สงสดเมอมการ
ี
ู
็
ึ
ู
ุ
ื
ี
์
่
ี
่
ี
ื
ี
้
ู
จัดสภาพการจัดการเรยนรทเอ้อกัน
็
ี่
ี
ี
ิ่
้
ี
้
ิ
ู
ี
้
้
้
ู
การเรยนดวยตนเอง (Self-Directed Learning) เปนกระบวนการเรยนรทผูเรยนรเรมการเรยนรดวย
้
้
ู
ตนเอง ตามความสนใจ ความตองการ และความถนัด มเปาหมาย รจกแสวงหาแหลงทรพยากรของการ
ั
่
ี
ั
้
ึ
ู
ิ
ี
เรยนร เลอกวธการเรยนร จนถงการประเมนความกาวหนาของการเรยนรของตนเอง โดยจะด าเนนการดวย
้
้
ี
้
้
ู
ื
ี
ิ
ู
ิ
้
้
ี
ึ่
้
ี
่
ื่
้
่
ตนเองหรอรวมมอชวยเหลอกับผูอนหรอไมก็ได ซงผูเรยนจะตองมความรบผดชอบและเปนผูควบคมการ
็
ื
ื
้
ิ
่
้
ื
ั
ี
ุ
ื
้
เรยนของตนเอง
ี
้
ี
การเรยนรูดวยตนเองมีความสาคัญอยางไร
่
้
ู
ี
็
้
่
้
ี
ึ
การเรยนรด้วยตนเอง (Self-Directed Learning) เปนแนวทางการเรยนรหนงทสอดคล้องกับการ
ี
ู
่
ุ
เปลยนแปลงของสภาพปจจบัน และเปนแนวคดทสนับสนนการเรยนรตลอดชวิตของสมาชกในสังคมส่การ
ี
ิ
่
ุ
ี
่
็
ู
ู
้
ิ
ี
ี
ั
็
ี
้
ุ
ิ
้
ู
ู
้
ู
ี
็
ู
้
ิ
ี
ี
เปนสังคมแห่งการเรยนร โดยการเรยนรด้วยตนเองเปนการเรยนรทท าให้บคคลมการรเร่มการเรยนรด้วย
ี
่
ี
ี
่
ี
ู
ี
ี
้
่
ี
่
ื
ี
ั
้
ตนเอง มเปาหมายในการเรยนรทแน่นอน มความรบผิดชอบในชวิตของตนเอง ไม่พึงคนอน มแรงจูงใจ
ี
ี
ื
ท าให้ผู้เรยนเปนบคคลทใฝร ใฝเรยน ทมการเรยนรตลอดชวิต เรยนรวิธเรยน สามารถเรยนรเรองราวต่าง ๆ
ี
ี
ุ
่
่
ี
ี
้
่
็
ู
่
่
ี
ู
ี
ี
ี
ู
้
้
้
ี
ู
ู
ี
ี
ี
่
ี
้
ู
ี่
ู
้
ุ
้
ี
ได้มากกว่าการเรยนทมครปอนความรให้เพียงอย่างเดยว การเรยนรด้วยตนเองได้นับว่าเปนคณลักษณะทด ี
็
ี
่
ุ
่
ทสดซงมอยู่ในตัวบคคลทกคน ผู้เรยนควรจะมคณลักษณะของการเรยนรด้วยตนเอง การเรยนรด้วยตนเอง
ี
ึ
ู
้
้
ี
ู
ี
ุ
ุ
ุ
ี
ี
ี่
ี
้
ู
ี
ั
ี
ี
ี
ุ
จัดเปนกระบวนการเรยนรตลอดชวิต ยอมรบในศักยภาพของผู้เรยนว่าผู้เรยนทกคนมความสามารถทจะ
็
ี
่
้
่
ี
ี
ิ
ู
เรยนรส่งต่าง ๆ ได้ด้วยตนเอง เพือทตนเองสามารถทด ารงชวิตอยู่ในสังคมทมการเปลยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
่
ี
ี
่
ี
ี
่
ี
ุ
ี
ี
้
ู
ได้อย่างมความสข ดังนั้น การเรยนรด้วยตนเองมความส าคัญดังน้ ี
่
1. บคคลทเรยนรด้วยการรเร่มของตนเองจะเรยนได้มากกว่า ดกว่า มความตั้งใจ มจดม่งหมายและม ี
ี
ี
ุ
ี
ู
ิ
ุ
ี
ุ
ิ
้
ี
ี
่
์
้
ู
แรงจงใจสงกว่า สามารถน าประโยชนจากการเรยนรไปใช้ได้ดกว่าและยาวนานกว่าคนทเรยนโดยเปนเพียง
ี
ู
็
ี
ู
ี
ี
ั
ผู้รบ หรอรอการถ่ายทอดจากคร ู
ื
10
ี
ิ
2. การเรยนรด้วยตนเองสอดคล้องกับพัฒนาการทางจตวิทยา และกระบวนการทางธรรมชาต ท าให้
ิ
้
ู
ี
็
ุ
ู
ิ
ื
ุ
ึ
่
ิ
ี
่
ื
็
ึ
บคคลมทศทางของการบรรลวุฒภาวะจากลักษณะหนงไปส่อกลักษณะหนง คอ เมอตอนเดก ๆ เปน
่
้
ิ
ิ
่
ี
่
ื
ธรรมชาตทจะต้องพึงพิงผู้อน ต้องการผู้ปกครองปกปองเล้ยงด และตัดสนใจแทนให้ เมอเตบโตมพัฒนาการ
่
ื
่
ิ
ู
ี
ี
ู
่
ื
็
ึ
ข้นเรอยๆ พัฒนาตนเองไปส่ความเปนอสระ ไม่ต้องพึงพิงผู้ปกครอง คร และผู้อน การพัฒนาเปนไปใน
็
ื
่
ู
ิ
่
สภาพทเพิ่มความเปนตัวของตัวเอง
่
ี
็
็
3. การเรยนรด้วยตนเองท าให้ผู้เรยนมความรบผิดชอบ ซงเปนลักษณะทสอดคล้องกับพัฒนาการ
ี
ี
่
ี
ั
่
้
ู
ึ
ี
ู
ิ
ึ
ใหม่ ๆ ทางการศกษา เช่น หลักสตร ห้องเรยนแบบเปด ศูนย์บรการวิชาการ การศกษาอย่างอสระ
ิ
ิ
ึ
ี
้
ู
ั
ิ
ี
มหาวิทยาลัยเปด ล้วนเน้นให้ผู้เรยนรบผิดชอบการเรยนรเอง
ี
ุ
ั
ู
ี
้
่
ี
4. การเรยนรด้วยตนเองท าให้มนษย์อยู่รอด สามารถปรบตัวให้ทันต่อความเปลยนแปลงใหม่ ๆ
ี
ึ
็
ู
้
่
ู
้
ี
ทเกิดข้นเสมอ จงมความจ าเปนทจะต้องศกษาเรยนร การเรยนรด้วยตนเองจงเปนกระบวนการต่อเนอง
ึ
ี่
ี
่
ื
ึ
็
ึ
ี
ี
ตลอดชวิต
การเรยนรูดวยตนเอง เปนคณลักษณะทส าคญตอการด าเนนชวตทมประสทธภาพ ชวยใหผูเรยน
ี
ุ
่
่
้
้
ั
้
ี่
ี่
ี
้
ี
็
ิ
ิ
ิ
ิ
ี
มความตั้งใจและมแรงจงใจสง มความคดรเรมสรางสรรค มความยดหยุนมากข้น มการปรบพฤตกรรม
ิ
่
ี
ี
ิ
ู
ื
ู
ี
ิ่
ึ
ั
ี
้
ี
ิ
์
์
์
ั
ั
้
ิ
้
ี
ื่
ู
้
ั
้
ู
ั
้
้
่
ิ
ิ
การท างานรวมกับผูอนได รจกเหตุผล รจกคดวเคราะห ปรบและประยุกตใชวธการแกปญหาของตนเอง
้
ี
้
ี
้
ู
ั
ั
ี
้
ี
้
ึ
้
ึ
์
จดการกับปญหาไดดข้น และสามารถน าประโยชนของการเรยนรไปใชไดดและยาวนานข้น ท าใหผูเรยน
ประสบความส าเร็จในการเรียน
ี
้
้
การเรยนรูดวยตนเองมีลักษณะอยางไร
่
ี
ี
้
้
ั
ู
การเรยนรดวยตนเอง สามารถจ าแนกออกเปน 2 ลักษณะส าคญ ดังน้
็
ุ
ี่
ี
ุ
็
ี
1. ลักษณะทเปนบคลกคณลักษณะส่วนบคคลของผู้เรยน ในการเรยนด้วยตนเอง จัดเปน
ิ
็
ุ
ู
ี่
ี
ี
องค์ประกอบภายในทจะท าให้ผู้เรยนมแรงจงใจอยากเรยนต่อไป โดยผู้เรยนทมคณลักษณะในการเรยนด้วย
ี
ี
ุ
่
ี
ี
ี
ี
ิ
่
ิ
ตนเองจะมความรบผิดชอบต่อความคดและการกระท าเกียวกับการเรยน รวมทั้งรบผิดชอบในการบรหาร
ี
ั
ั
ี
ู
ี
่
ื
ึ
่
ู
จัดการตนเอง ซงมโอกาสเกิดข้นได้สงสดเมอมการจัดสภาพการเรยนรทส่งเสรมกัน
้
่
ี
ี
ึ
ิ
ุ
ี
้
ี
2. ลักษณะทเปนการจัดการเรยนรให้ผู้เรยนได้เรยนด้วยตนเอง ประกอบด้วย ขั้นตอนการวาง
ี
ี่
็
ู
ี
ี
แผนการเรยน การปฏบัตตามแผน และการประเมนผลการเรยน จัดเปนองค์ประกอบภายนอกทส่งผลต่อการ
ิ
่
ิ
็
ี
ิ
เรยนด้วยตนเองของผู้เรยน ซงการจัดการเรยนรแบบน้ ีผู้เรยนจะได้ประโยชนจากการเรยนมากทสด
ี
ี
ุ
ี
์
ึ
้
ี
่
ี
ู
ี
่
ี
ี
็
Knowles (1975) เสนอให้ใช้สัญญาการเรยน (Learning contracts) เปนการมอบหมายภาระงานให้แก่ผู้เรยน
้
ู
่
ิ
ิ
ื
ั
ว่าจะต้องท าอะไรบ้างเพือให้ได้รบความรตามเปาประสงค์และผู้เรยนจะปฏบัตตามเงอนไขนั้น
้
่
ี
11
้
ี
้
์
องคประกอบของการเรยนรูดวยตนเองมีอะไรบาง
้
ี
ี
องคประกอบของการเรยนรดวยตนเอง มดังน้
ู
้
้
์
ี
1. การวิเคราะหความต้องการของตนเอง
์
2. การก าหนดจดม่งหมายในการเรยน โดยเร่มจากบทบาทของผู้เรยนเปนส าคัญ ผู้เรยน
ุ
ิ
็
ี
ี
ุ
ี
ี
ุ
ึ
ุ
ุ
ุ
ิ
ควรศกษาจดม่งหมายของวิชา แล้วเขยนจดม่งหมายในการเรยนของตนให้ชัดเจน เน้นพฤตกรรมท ี่
ี
ุ
ุ
คาดหวัง วัดได้ มความแตกต่างของจดม่งหมายในแต่ละระดับ
ี
ุ
ี
3. การวางแผนการเรยน ให้ผู้เรยนก าหนดแนวทางการเรยนตามวัตถประสงค์ทระบไว้
ี่
ี
ุ
ี
ื
ู
ี
จัดเน้อหาให้เหมาะสมกับสภาพความต้องการและความสนใจของตน ระบการจัดการเรยนรให้
ุ
้
เหมาะสมกับตนเองมากทสด
ี
ุ
่
ุ
ุ
4. การแสวงหาแหล่งวิทยาการทั้งทเปนวัสดและบคคล
็
่
ี
็
ุ
ึ
่
็
์
ี
4.1 แหล่งวิทยาการทเปนประโยชนในการศกษาค้นคว้า เช่น ห้องสมด พิพิธภัณฑ์ เปนต้น
็
ี
่
4.2 ทักษะต่าง ๆ ทมส่วนช่วยในการแสวงแหล่งวิทยาการได้อย่างสะดวกรวดเรว เช่น
ี
็
ทักษะการตั้งค าถาม ทักษะการอ่าน เปนต้น
ุ
่
ี
ิ
ี
ิ
5. การประเมนผล ควรประเมนผลการเรยนด้วยตนเองตามทก าหนดจดม่งหมายของการ
ุ
ี
ิ
ิ
เรยนไว้ และให้สอดคล้องกับวัตถประสงค์เกียวกับความร ความเข้าใจ ทักษะ ทัศนคต ค่านยม มี
ู
้
ุ
่
ื
ขั้นตอนในการประเมน คอ
ิ
ุ
5.1 ก าหนดเปาหมาย วัตถประสงค์ให้ชัดเจน
้
็
ึ
่
ุ
5.2 ด าเนนการให้บรรลวัตถประสงค์ซงเปนส่งส าคัญ
ุ
ิ
ิ
่
ิ
่
5.3 รวบรวมหลักฐานจากผลการประเมนเพือตัดสนใจซงต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของ
ิ
ึ
ี่
ข้อมูลทสมบูรณและเชอถอได้
์
ื่
ื
่
ี
ี
ี
ู
ี
ี
ี
5.4 เปรยบเทยบข้อมูลก่อนเรยนกับหลังเรยนเพือดว่าผู้เรยนมความก้าวหน้าเพียงใด
ู
ิ
็
5.5 ใช้แหล่งข้อมูลจากครและผู้เรยนเปนหลักในการประเมน
ี
ี
์
้
้
้
์
ี
้
องคประกอบของการเรยนรูดวยตนเอง ผูเรยนควรมีการวิเคราะหความตองการ วิเคราะห ์
เน้อหา ก าหนดจุดมุงหมายและการวางแผนในการเรยน มีความสามารถในการแสวงหาแหลง
ี
ื
่
่
วิทยาการ และมีวิธในการประเมินผลการเรยนรูดวยตนเอง โดยมีเพือนเปนผูรวมเรยนรูไปพรอม
้
็
้
้
้
ี
้
่
ี
ี
่
้
็
้
ึ
้
้
ี
้
ี
กัน และมีครูเปนผูชแนะ อ านวยความสะดวก และใหค าปรกษา ทังน้ ครูอาจตองมีการวิเคราะห ์
้
่
้
็
้
็
่
้
ี
้
้
ื
ี
้
ความพรอมหรอทักษะทีจาเปนของผูเรยนในการกาวสูการเปนผูเรยนรูดวยตนเองได
12
กิจกรรม
้
ิ
ี
ู
กิจกรรมที่ 1 ให้อธบายความหมายของค าว่า “การเรยนรด้วยตนเอง” โดยสังเขป
กิจกรรมที่ 2 ให้อธบาย “ความส าคัญของการเรยนรด้วยตนเอง” โดยสังเขป
ู
้
ิ
ี
ู
้
ี
กิจกรรมที่ 3 ให้สรปสาระส าคัญของ “ลักษณะการเรยนรด้วยตนเอง” มาพอสังเขป
ุ
ี
ุ
ู
้
กิจกรรมที่ 4 ให้สรปสาระส าคัญของ “องค์ประกอบของการเรยนรด้วยตนเอง” มาพอสังเขป
ี
้
้
กระบวนการของการเรยนรูดวยตนเอง
้
ู
ี
กระบวนการของการเรยนรด้วยตนเอง ความรบผิดชอบในการเรยนรด้วยตนเองของผู้เรยน เปนส่ง
ิ
ั
ู
ี
็
ี
้
ี
ึ
ั
้
้
ู
ี
ู
ี
ู
ส าคัญทจะน าผู้เรยนไปส่การเรยนรด้วยตนเอง เพราะความรบผิดชอบในการเรยนรด้วยตนเองนั้น หมายถง
ี
่
ี
ื
ุ
่
ี
ี
ู
้
การทผู้เรยนควบคมเน้อหา กระบวนการ องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมในการเรยนรของตนเอง ได้แก่
ิ
การวางแผนการเรยนของตนเอง โดยอาศัยแหล่งทรพยากรทางความรต่าง ๆ ทจะช่วยน าแผนส่การปฏบัต ิ
ี
้
ู
ั
ู
ี
่
ู
้
ี
ี
ู
ื
ี
ั
ี
แต่ภายใต้ความรบผิดชอบของผู้เรยน ผู้เรยนรด้วยตนเองต้องเตรยมการวางแผนการเรยนรของตน และเลอก
้
ี
ี
ี
่
ี
ู
ื
้
ี
้
ิ
่
ส่งทจะเรยนจากทางเลอกทก าหนดไว้ รวมทั้งวางโครงสรางของแผนการเรยนรของตนอกด้วย ในการวางแผน
ื
ิ
้
ี
่
ิ
การเรยนร ผู้เรยนต้องสามารถปฏบัตงานทก าหนด วินจฉัยความช่วยเหลอทต้องการ และท าให้ได้ความ
ี
ิ
ี
่
ู
ี
ื
์
ู
้
ช่วยเหลอนั้น สามารถเลอกแหล่งความร วิเคราะห และวางแผนการการเรยนทั้งหมด รวมทั้งประเมน
ี
ิ
ื
ี
ความก้าวหน้าในการเรยนของตน
ในการเรยนรูดวยตนเองผูเรยนและครูควรมีบทบาทอยางไร
่
้
้
้
ี
ี
ี
้
้
ี
้
ี
การเปรยบเทียบบทบาทของครูและผูเรยนตามกระบวนการเรยนรูดวยตนเอง
ี
้
้
ี
้
้
้
ี
บทบาทของผูเรยนในการเรยนรูดวยตนเอง บทบาทของครูในการเรยนรูดวยตนเอง
้
์
1. การวิเคราะหความตองการในการเรยน 1. การวิเคราะหความตองการในการเรยน
ี
ี
้
์
ี
ุ
ิ
ี
วินจฉัยการเรยนร ู ้ สรางความค้นเคยให้ผู้เรยนไว้วางใจ เข้าใจ
้
้
ิ
ู
วินจฉัยความต้องการในการเรยนรของตน บทบาทคร บทบาทของตนเอง
ี
ู
ู
ี
ี
้
รบรและยอมรบความสามารถของตน วิเคราะหความต้องการการเรยนรของผู้เรยน
้
ั
ั
ู
์
ั
ี
ี
ี
ี
่
ิ
มความรบผิดชอบในการเรยนร ้ ู และพฤตกรรมทต้องการให้เกิดแก่ผู้เรยน
ี
ี่
้
้
ู
้
ู
สรางบรรยากาศการเรยนรทพอใจด้วยตนเอง ก าหนดโครงสรางคร่าว ๆ ของหลักสตร
ี
้
มส่วนร่วมในการระบความต้องการในการเรยน ขอบเขตเน้อหากว้าง ๆ สรางทางเลอกทหลากหลาย
ี่
ุ
ี
ื
ื
ี
ี
ี
ิ
เลอกส่งทจะเรยนจากทางเลอกต่าง ๆ ทก าหนด สรางบรรยากาศให้เกิดความต้องการการเรยน
้
ี่
ื
่
ื
วางโครงสรางของโครงการเรยนของตน
ี
้
13
้
ี
้
้
บทบาทของผูเรยนในการเรยนรูดวยตนเอง บทบาทของครูในการเรยนรูดวยตนเอง
้
ี
้
ี
์
ู
้
ี
ี
้
วิเคราะหความพรอมในการเรยนรของผู้เรยน
ี
้
โดยการตรวจสอบความพรอมของผู้เรยน
ิ
ี
มส่วนร่วมในการตัดสนใจในทางเลอกนั้น
ื
์
แนะน าข้อมูลให้ผู้เรยนคด วิเคราะหเอง
ี
ิ
ี
2. การก าหนดจุดมุงหมายในการเรยน 2. การก าหนดจุดมุงหมายในการเรยน
ี
่
่
ุ
้
ุ
ึ
ี
ฝกการก าหนดจดม่งหมายในการเรยน ก าหนดโครงสรางคร่าวๆ วัตถประสงค์การ
ุ
รจดม่งหมายในการเรยน และเรยนให้บรรล ุ เรยนของวิชา
ู
ี
ี
ุ
ุ
ี
้
จดม่งหมาย ช่วยให้ผู้เรยนเปลยนความต้องการทมอยู่ให้
่
ุ
ี
ุ
่
ี
ี
ี
ุ
็
ี
ุ
ู
็
้
้
ิ
่
ร่วมกันพัฒนาเปาหมายการเรยนร ู ้ เปนจดม่งหมายการเรยนรทวัดได้เปนได้จรง
ี
ี
ุ
ก าหนดจดม่งหมายจากความต้องการของตน เปดโอกาสให้มการระดมสมอง ร่วมแสดง
ิ
ุ
ี
็
ความคดเหนและการน าเสนอ
ิ
์
แนะน าข้อมูลให้ผู้เรยนคด วิเคราะหเอง
ิ
ี
ี
ี
3. การออกแบบแผนการเรยน 3. การออกแบบแผนการเรยน
์
ี
้
ึ
ฝกการท างานอย่างมขั้นตอนจากง่ายไปยาก เตรยมความพรอมโดยจัดประสบการณการ
ี
ี่
ิ
็
ี
ู
้
ี
ี่
การใช้ยุทธวิธทเหมาะสมในการเรยน เรยนร เสรมทักษะทจ าเปนในการเรยนร ู ้
ี
ี
ิ
ี
ิ
ี
ั
ี
มความรบผิดชอบในการด าเนนงานตามแผน มส่วนร่วมในการตัดสนใจ วิธการท างาน ต้อง
ุ
ื่
ั
ื
ี
ี
ร่วมมอ ร่วมใจรบผิดชอบการท างานกล่ม ทราบว่า เรองใดใช้วิธใด สอนอย่างไร มส่วนร่วม
ุ
ั
้
ู
ิ
ี
รบผิดชอบควบคมกิจกรรมการเรยนรของ ตัดสนใจเพียงใด
ี
่
ี
ี
ิ
ตนเองตามแผนการเรยนทก าหนดไว้ ยั่วยุให้เกิดพฤตกรรมการเรยนร ู ้
ิ
่
ี
ิ
้
ผู้ประสานส่งทตนเองรกับส่งทผู้เรยนต้องการ
ี
ี
ู
่
แนะน าข้อมูลให้ผู้เรยนคด วิเคราะหเองจนได้
ี
ิ
์
ื
่
แนวทางทแจ่มแจ้ง สรางทางเลอกทหลากหลาย
ี่
ี
้
ื
ี
ให้ผู้เรยนเลอกปฏบัตตามแนวทางของตน
ิ
ิ
4. การแสวงหาแหลงวิทยาการ 4. การแสวงหาแหลงวิทยาการ
่
่
้
ึ
ั
ื
ี่
ู
ฝกค้นหาความรตามทได้รบมอบหมายจาก สอนกลยุทธ์การสบค้นข้อมูล ถ่ายทอดความร ู ้
้
ู
แหล่งการเรยนรทหลากหลาย ถ้าผู้เรยนต้องการ
ี
่
ี
ี
่
่
ี
ี
ู
้
ุ
ื่
ื่
ุ
ี
ก าหนดบคคล และสอการเรยนทเกียวข้อง กระต้นความสนใจ ช้แหล่งความร แนะน าการใช้สอ
่
ู
ี่
ี
ื
ี
ื่
มส่วนร่วมในการสบค้นข้อมูลร่วมกับเพือนๆ จัดรปแบบเน้อหา สอการเรยนทเหมาะสม
ื
ั
ด้วยความรบผิดชอบ บางส่วน
14
ี
ี
ี
้
้
้
้
้
บทบาทของผูเรยนในการเรยนรูดวยตนเอง บทบาทของครูในการเรยนรูดวยตนเอง
ื
์
ื
่
ี
ิ
ี
ี
่
เลอกใช้ประโยชนจากกิจกรรมและยุทธวิธทม ี สังเกต ตดตาม ให้ค าแนะน าเมอผู้เรยนเกิด
ิ
่
ึ
ิ
ุ
ุ
ี
่
ประสทธภาพเพือให้บรรลวัตถประสงค์ทก าหนด ปญหาและต้องการค าปรกษา
ั
5. การประเมินผลการเรยนรู ้ 5. การประเมินผลการเรยนรู ้
ี
ี
้
้
ู
ึ
ู
ฝกการประเมนผลการเรยนรด้วยตนเอง ให้ความรและฝกผู้เรยนในการประเมนผลการ
ี
ี
ิ
ิ
ึ
ู
ี
ี่
ิ
้
ี
มส่วนร่วมในการประเมนผล เรยนรทหลากหลาย
ี
ี
ี
ิ
ิ
ิ
ผู้เรยนประเมนผลสัมฤทธ์ด้วยตนเอง เปดโอกาสให้ผู้เรยนน าเสนอวิธการ เกณฑ์
ประเมนผล และมส่วนร่วมในการตัดสนใจ
ี
ิ
ิ
ิ
่
จัดท าตารางการประเมนผลทจะใช้ร่วมกัน
ี
ี
ิ
ื่
ี
ี
แนะน าวิธการประเมนเมอผู้เรยนมข้อสงสัย
จะเหนได้ว่า ทั้งผู้เรยนและครต้องมการวินจฉัยความต้องการส่งทจะเรยน ความพรอมของ
ี
ี
ิ
ี
ู
ี
็
่
้
ิ
ผู้เรยนเกียวกับทักษะทจ าเปนในการเรยน การก าหนดเปาหมาย การวางแผนการเรยนร การแสวงหา
ี
ี
่
ี
้
ี
่
้
ู
็
ู
้
ึ
ู
ิ
็
ึ
่
ี
แหล่งวิทยาการ การประเมนผลการเรยนร ซงครเปนผู้ฝกฝน ให้แรงจูงใจ แนะน า อ านวยความสะดวก
ิ
ิ
ิ
ี
้
ื
ื
ี
ื
ึ
็
โดยเตรยมการเบ้องหลัง และให้ค าปรกษา ส่วนผู้เรยนต้องเปนผู้เร่มต้นปฏบัต ด้วยความกระตอรอรน
่
่
่
่
เอาใจใส และมีความรับผิดชอบ กระท าอย่างตอเนืองด้วยตนเอง เรียนแบบมีสวนรวม จึงท าให้ผู้เรียน
่
เปนผู้เรยนรด้วยตนเองได้ ดังหลักการทว่า “การเรยนรต้องเร่มต้นทตนเอง” และศักยภาพอันพรอมท ี่
ี
ู
ิ
็
้
ี
่
้
ี
่
ู
ี
้
จะเจรญเตบโตด้วยตนเองนั้น ผู้เรยนควรน าหัวใจนักปราชญ์ คอ สุ จิ ปุ ลิ หรอ ฟง คด ถาม เขยน
ี
ี
ิ
ั
ื
ิ
ื
ิ
ี
ึ
็
์
ิ
่
ู
้
ี
้
ู
มาใช้ในการสังเคราะหความร นอกจากน้ กระบวนการเรยนรในบรบททางสังคม จะเปนพลังอันหนง
่
ี
ึ
่
็
้
ี
ี
ู
ี
้
ี
ู
ในการเรยนรด้วยตนเอง ซงเปนการเรยนรในสภาพชวิตประจ าวันทต้องอาศัยสภาพแวดล้อมมส่วนร่วม
ื
่
ี
ิ
็
่
ในกระบวนการ ท าให้เกิดบรรยากาศการแลกเปลยน พึงพากัน แต่ภายใต้ความเปนอสระในทางเลอก
ของผู้เรียนด้วยวิจารณญาณที่อาศัย เหตุผล ประสบการณ์ หรือค าชี้แนะ จากผู้รู้ ครู และผู้เรียนจึงเป็น
ความรบผิดชอบร่วมกันต่อความส าเรจในการเรยนรด้วยตนเอง
ู
้
ั
็
ี
ี
้
้
้
ี
ลักษณะสาคัญในการเรยนรูดวยตนเองของผูเรยน มดังน้
ี
ี
้
ิ
ี
ู
1. การมส่วนร่วมในการวางแผน การปฏบัตตามแผน และการประเมนผลการเรยนร ได้แก่ ผู้เรยนม ี
ี
ิ
ิ
ี
ส่วนร่วมวางแผนกิจกรรมการเรยนรบนพื้นฐานความต้องการของกล่มผู้เรยน
ุ
้
ู
ี
ี
ี
ู
็
ี
2. การเรยนรทค านงถงความส าคัญของผู้เรยนเปนรายบคคล ได้แก่ ความแตกต่างในความสามารถ
ี่
ึ
ึ
้
ุ
ื
ื่
ความรพื้นฐาน ความสนใจเรยน วิธการเรยนร จัดเน้อหาและสอให้เหมาะสม
ี
ี
ี
้
้
ู
ู
15
ื
ึ
ี
้
ู
ิ
ี่
3. การพัฒนาทักษะการเรยนรด้วยตนเอง ได้แก่ การสบค้นข้อมูล ฝกเทคนคทจ าเปน เช่น การสังเกต
็
ี
การอ่านอย่างมจดประสงค์ การบันทก เปนต้น
ึ
็
ุ
ี
ึ
ั
ี
ู
้
่
4. การพัฒนาทักษะการเรยนรซงกันและกัน ได้แก่ การก าหนดให้ผู้เรยนแบ่งความรบผิดชอบใน
ู
้
็
ี่
ี
กระบวนการเรยนร การท างานเดยว และเปนกล่มทมทักษะการเรยนรต่างกัน
้
่
ู
ุ
ี
ี
ี
ี
่
ื
ื
ิ
ิ
5. การพัฒนาทักษะการประเมนตนเองและการร่วมมอในการประเมนกับผู้อน ได้แก่ การให้ผู้เรยน
ั
ิ
ู
ิ
เข้าใจความต้องการในการประเมน ยอมรบการประเมนจากผู้อน เปดโอกาสให้ประเมนหลายรปแบบ
ิ
ิ
ื่
ี่
ู
ี
้
็
กระบวนการในการเรยนรด้วยตนเอง เปนวิธการทผู้เรยนต้องจัดกระบวนการเรยนรด้วยตนเอง โดย
ี
ู
ี
้
ี
ิ
ด าเนนการ ดังน้
ี
1. การวินจฉัยความต้องการในการเรยน
ิ
ี
ี
ุ
ุ
2. การก าหนดจดม่งหมายในการเรยน
ี
3. การออกแบบแผนการเรยน : โดยเขยนสัญญาการเรยน, เขยนโครงการเรยนร ้ ู
ี
ี
ี
ี
ู
้
ิ
4. การด าเนนการเรยนรจากแหล่งวิทยาการ
ี
5. การประเมนผล
ิ
ี
ู
ี
การตอบสนองของผู้เรยนและครตามกระบวนการในการเรยนรด้วยตนเอง มดังน้
ี
ู
ี
้
ขันตอน การตอบสนองของผูเรยน การตอบสนองของครู
้
ี
้
ี
1. วินจฉัยความต้องการในการ 1. ศกษา ท าความเข้าใจ ค าอธบาย 1. กระต้นให้ผู้เรยนตระหนักถง
ึ
ุ
ิ
ึ
ิ
้
้
ู
ี
เรยนรของผู้เรยน รายวิชา ความจ าเปนในการเรยนรด้วย
ี
ู
ี
็
2. วินจฉัยความต้องการในการ ตนเอง
ิ
ิ
์
ี
เรยนของตนเอง ทั้งรายวิชาและ 2. วิเคราะหค าอธบายรายวิชา
ื
รายหัวข้อการเรยน จดประสงค์ เน้อหา กิจกรรมและ
ุ
ี
่
3. แบ่งกล่มอภปรายเกียวกับ การประเมนการเรยนรายวิชา
ิ
ิ
ุ
ี
ี
ิ
ความต้องการในการเรยนเพื่อให้ 3. อธบายให้ผู้เรยนเข้าใจ
ี
ผู้เรยนแต่ละคนมั่นใจในการ ค าอธบายรายวิชา
ี
ิ
วินจฉัยความต้องการในการเรยน 4. ให้ค าแนะน าแก่ผู้เรยนในการ
ี
ิ
ี
ิ
ี
ของตนเอง วินจฉัยความต้องการในการเรยน
5. อ านวยความสะดวกในการ
ี
เรยนแบบร่วมมอในกล่ม
ุ
ื
ี
ุ
ี
ี
ุ
2. ก าหนดจดม่งหมายใน 1. ผู้เรยนแต่ละคนเขยน 1. ให้ค าแนะน าแก่ผู้เรยนในการ
ุ
ุ
ี
การเรยน จดม่งหมาย การเรยนในแต่ละ เขยนจดม่งหมายการเรยนท ่ ี
ี
ี
ี
ุ
ุ
หัวข้อการเรยน ทวัดได้สอดคล้อง ถกต้อง
ู
ี
ี่
ี
กับความต้องการในการเรยนของ
ิ
ี
ผู้เรยนและอธบายรายวิชา
16
ขันตอน การตอบสนองของผูเรยน การตอบสนองของครู
้
ี
้
ี
่
่
ี
ี
3. วางแผนการเรยนโดยเขยน 1. ท าความเข้าใจเกียวกับความ 1. ให้ค าแนะน าแก่ผู้เรยนเกียวกับ
ี
็
สัญญาการเรยน จ าเปนและวิธการวางแผนการ ความจ าเปนและวิธการวางแผน
็
ี
ี
ี
เรยน การเรยน
ี
2. เขยนสัญญาการเรยนท ี่ 2. ให้ค าแนะน าผู้เรยนในการเขยน
ี
ี
ี
ี
ิ
สอดคล้องกับค าอธบายรายวิชา สัญญาการเรยน
ี
รวมทั้งความต้องการและความ
ี
สนใจของตนเอง ในการเรยน
ั
แต่ละคร้ง
่
ี
ี
ี
ี
้
ู
4. เขยนโครงการเรยนร 1. ร่วมกับผู้สอนและเพือนเขยน 1. ให้ค าแนะน าในการเขยน
้
ู
้
ี
ู
ี
โครงการเรยนรของทั้งชั้น โดย โครงการเรยนรรายวิชา
ู
ี
พิจารณาจากโครงการเรยนรท ี่ 2. พิจารณาโครงการเรยนร ู ้
ี
้
ี
ผู้สอนร่างมาและสัญญาการเรยน ร่วมกับผู้เรยนโดยกระต้นให้
ี
ุ
็
ิ
ของทกคน ผู้เรยนแสดงความคดเหนอย่าง
ุ
ี
ทั่วถง
ึ
3. ร่วมกับผู้เรยนสรปโครงการ
ุ
ี
เรยนรให้เหมาะสม
ู
ี
้
้
ี
ิ
ู
ี่
5. ด าเนนการเรยนร ู ้ 1. ทบทวนความรเดมของตนเองท 1. ทดสอบความรเดมของผู้เรยน
ิ
ี
้
ู
ิ
้
จ าเปนส าหรบการสรางความร ้ ู โดยใช้เทคนคการตั้งค าถามหรอ
ื
ิ
็
ั
ใหม่ โดยการตอบค าถามหรอท า ทดสอบ
ื
่
ู
้
แบบทดสอบ 2. ให้ความรเสรม เพือให้แน่ใจว่า
ิ
ี
ี
ิ
2. ผู้เรยนแต่ละคน ด าเนนการ ผู้เรยนจะสามารถเชอมโยงความร ู ้
ื่
ู
้
เรยนตามสัญญาการเรยนอย่าง เดมกับความรใหม่ได้
ิ
ี
ี
ื
ื
ุ
กระตอรอรน โดยการสบค้นและ 3. ตั้งค าถามเพือกระต้นให้ผู้เรยน
ี
ื
่
้
แสวงหาความรเพื่อสนองตอบ ค้นหา ค าตอบและประมวล
้
ู
ี
ความต้องการในการเรยนด้วย ค าตอบด้วยตนเอง
่
ี
ี่
วิธการทหลากหลาย และใช้แหล่ง 4. สรางบรรยากาศทส่งเสรม
ิ
ี
้
ี่
ทรพยากรการเรยนทเหมาะสม การเรยน
ี
ี
ั
ึ
ตามความต้องการของตนเอง โดย 5. ให้ค าปรกษา ให้ข้อมูล
์
ว
ิ
ช่
น าความรและประสบการณเดม หลอ และอ านวยความ
ู
ย
เ
้
ื
ทเกียวข้องกันมาใช้ในการค้นหา สะดวกในกิจกรรมการเรยนของ
ี
่
่
ี
ี
็
ค าตอบ ผู้เรยนตามความจ าเปนและความ
17
ขันตอน การตอบสนองของผูเรยน การตอบสนองของครู
้
้
ี
ี
ู
ี
ื
้
ิ
ุ
ี
5. ด าเนนการเรยนร (ต่อ) 3. แบ่งกล่มเรยนแบบร่วมมอ เพื่อ ต้องการของผู้เรยน
้
ู
ี
ุ
ศกษาในประเด็นทต้องตอบ 6. กระต้นให้ผู้เรยนใช้ความรและ
ี่
ึ
ุ
ุ
ั
่
ี่
์
ิ
ค าถาม โดยการปรบจดม่งหมาย ประสบการณเดมทเกียวข้องกัน
ี
ี
ในการเรยนของ ผู้เรยนแต่ละคน มาใช้ในการค้นหาค าตอบ โดยให้
ุ
เปนของกล่ม แล้วแบ่งบทบาท ยกตัวอย่างหรอเปรยบเทยบ
็
ี
ี
ื
ี่
้
ู
์
ุ
ี
่
่
หน้าทเพื่อแสวงหาความร โดยใช้ เหตการณทเกียวข้องกับเรอง
่
ื
ี่
ี
เทคนคการตั้งค าถามเพือน าไปส่ ู ทเรยน
่
ิ
การหาค าตอบ ทั้งน้กล่มผู้เรยนแต่ 7. ตดตามในการเรยนของผู้เรยน
ิ
ี
ุ
ี
ี
ี
ี
ู
ี
ละกล่มอาจมรปแบบในการท า ตามสัญญาการเรยนและให้
ุ
กล่มทแตกต่างกัน ค าแนะน า
ี
่
ุ
็
่
ต
ิ
4. ใช้ความคดอย่างเต็มท ดตามเปนระยะ ๆ และให้
ิ
8.
ี
ี
ี
้
ิ
มปฏสัมพันธ โต้ตอบ คัดค้าน ข้อมูลปอนกลับแก่ผู้เรยน
์
ี่
ุ
สนับสนน และ แลกเปลยนความ 9. บันทกปญหาและข้อขัดข้อง
ั
ึ
ิ
คดเหนและความรสกทเปดกว้าง ต่าง ๆในการด าเนนกิจกรรมการ
ิ
ิ
็
้
ึ
ี่
ู
ุ
ี
ในกล่ม และรบฟงความคดเหน เรยนเพื่อเสนอแนะการปรบปรง
็
ิ
ุ
ั
ั
ั
ื่
ึ
ี
ของผู้อน เพื่อหาแนวทาง ให้ดข้น
ึ
ิ
ี่
ี
่
การได้มาซงค าตอบทต้องการ 10. ให้อสระแก่ผู้เรยนในการท า
ี
ุ
ุ
ของตนเองและของกล่ม กิจกรรม และกระต้นให้ผู้เรยนม ี
ี
5. แสดงความสามารถของตนเอง ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรยน
ี
และยอมรบความสามารถของ อย่างเต็มท ยอมรบฟงความ
ั
่
ั
ั
ิ
ื่
ิ
ผู้อน คดเหนของผู้เรยน และไม่ตัดสน
ี
็
ิ
็
6. ตัดสนใจ และช่วยแก้ปญหา ว่าความคดเหนของผู้เรยนไม่
ั
ิ
ี
ู
ต่างๆทเกิดข้นในกิจกรรมการ ถกต้อง
ี
่
ึ
เรยน 11. กระต้นให้ผู้เรยนสอสาร
ี
ื่
ุ
ี
ิ
ี่
ิ
ิ
ึ
้
7. ฝกปฏบัตทักษะทต้องศกษา ความรความ เข้าใจและแนวคด
ึ
ู
ุ
ตามจดม่งหมายการเรยน ของตนเองให้ผู้อน เข้าใจอย่าง
ี
ื่
ุ
ื
8. ขอความช่วยเหลอจากผู้สอน ชัดเจน
ตามความเหมาะสม
18
้
ขันตอน การตอบสนองของผูเรยน การตอบสนองของครู
ี
้
ี
ึ
5. ด าเนนการเรยนร (ต่อ) 9. ปรกษาผู้สอนเปนระยะๆ ตามท ี่ 12. กระต้นให้ผู้เรยนมส่วนร่วม
ี
็
ุ
ี
ิ
้
ู
ี่
ุ
ิ
ระบไว้ในสัญญาการเรยนเพื่อขอ ในการอภปรายแลกเปลยนความ
ี
ค าแนะน า ช่วยเหลอ คดเหนอย่างกว้างขวางทั้งในกล่ม
ิ
็
ุ
ื
ี่
10. ปรบเปลยนการด าเนนการเรยน และชั้นเรยน
ี
ิ
ี
ั
ี
ี
ตามความเหมาะสม และบันทกส่งท 13. สังเกตการเรยนของผู้เรยน
ิ
ี
่
ึ
ิ
ั
ึ
ี่
ี
ปรบเปลยนลงในสัญญาการเรยน บันทก พฤตกรรมและ
็
ให้ชัดเจน และน าไปเปนข้อมูลใน กระบวนการเรยนของผู้เรยน
ี
ี
ิ
ี
่
์
่
ุ
การวินจฉัยตนเองเพือตั้ง รวมทั้งเหตการณทส่งผลต่อการ
ี
ั
ุ
จดม่งหมายในการเรยนคร้งต่อไป เรยน
ี
ุ
ี่
ุ
11. อภปรายและสรปความรทได้ใน 14. กระต้นให้ผู้เรยนสรปความร ้ ู
ิ
ู
ุ
้
ี
ุ
ุ
ี
กล่ม ความเข้าใจในบทเรยนด้วยตนเอง
ี
ิ
12. น าเสนอวิธการเรยนและความร 15. กลั่นกรอง แก้ไข และเสรม
ี
ู
้
ทได้ต่อทั้งชั้น โดยใช้รปแบบใน สาระส าคัญของบทเรยนให้ชัดเจน
ี่
ี
ู
ี
ุ
ุ
ุ
่
การแสดงออกในส่งทตนได้เรยนร ้ ู และครอบคลมจดม่งหมายการ
ิ
ี
ทหลากหลาย เรยน
ี่
ี
็
ิ
ิ
ี
13. อภปราย แสดงความคดเหน 16. ร่วมกับผู้เรยนอภปราย
ิ
ู
้
่
่
ี
สะท้อนความรสกและให้ เกียวกับวิธการเรยนทม ี
ี
ึ
ี
่
ี
ิ
ิ
ข้อเสนอแนะเกียวกับ วิธการเรยน ประสทธภาพ ส่งทสนับสนนและ
่
ี
ุ
ิ
ี
่
ี
ิ
ี
ี
ิ
ิ
ี่
ด้วยตนเองทมประสทธภาพ ส่ง ส่งทขัดขวางการเรยน
ิ
ุ
ิ
สนับสนนและส่งขัดขวางการเรยน
ี
ี
การ เรยน
14. ร่วมกันสรปประเดนความรทได้
้
ู
็
ี่
ุ
ในชั้นเรยน
ี
15. เขยนรายงานผลการเรยนทั้งใน
ี
ี
ื
ี
ี
ด้านเน้อหาและวิธการเรยน รวมทั้ง
ึ
็
่
ความรสกเกียวกับความส าเรจ
ู
้
็
ี
หรอไม่ส าเรจในการเรยนเปน
็
ื
ุ
ุ
รายบคคลและรายกล่ม
19
้
้
ขันตอน การตอบสนองของผูเรยน การตอบสนองของครู
ี
ิ
ี
ุ
ี
ี
ู
ิ
6. ประเมนผลการเรยนร ้ 1. ประเมนผลการเรยนของตนเอง 1. กระต้นให้ผู้เรยนตรวจสอบ
ี
้
ี
ู
โดยเปรยบเทยบกับจดม่งหมายใน ความรความเข้าใจของตนเอง
ุ
ุ
การเรยนของตนเอง ตลอดเวลา
ี
่
2. ให้เพือนและครช่วยสะท้อนผล 2. ประเมนการเรยนของผู้เรยน
ิ
ี
ู
ี
ิ
ี
การเรยน จากการสังเกตพฤตกรรมในการ
่
ี
ี
3. ให้ข้อมูลปอนกลับแก่เพือนใน เรยน ความสามารถในการเรยน
้
ี
กล่ม ตามสัญญาการเรยน และผลงาน
ุ
ในแฟมสะสมงาน
้
ี
3. ให้ข้อมูลปอนกลับแก่ผู้เรยน
้
่
ุ
ุ
รายบคคลและรายกล่มเกียวกับ
กระบวนการเรยนด้วยตนเองและ
ี
ี
ิ
พฤตกรรมในการเรยนรวมทั้งให้
ข้อเสนอแนะตามความ เหมาะสม
ู
ี
ี
้
ลักษณะทเปนการจัดการเรยนรให้ผู้เรยนได้เรยนด้วยตนเองตามกระบวนการในการเรยนรด้วย
ี่
็
ู
้
ี
ี
์
ี
่
ึ
ตนเอง โนลส ( knowles 1975 ) เสนอให้ใช้สัญญาการเรยน ( Learning Contract ) ซงเปนการมอบหมาย
็
ิ
ั
ี
่
ู
ี
ิ
้
ภาระงานให้กับผู้เรยนว่าจะต้องท าอะไรบ้าง เพือให้ได้รบความรตามเปาประสงค์และผู้เรยนจะปฏบัตตาม
้
่
ื
เงอนไขนั้น
ั
การจดท าสญญาการเรยน (Learning Contract)
ั
ี
่
ุ
ื
ื
ึ
่
ั
ค าว่า สญญา โดยทั่วไปหมายถง ข้อตกลงระหว่างบคคล 2 ฝาย หรอหลายฝายว่าจะท าการหรอ
่
ี
ึ
้
ู
งดเว้นกระท าการอย่างใดอย่างหนง ความจรงนั้นในระบบการจัดการเรยนรก็มการท าสัญญากันระหว่างคร ู
ิ
ี
์
็
ี
ี
กับผู้เรยน แต่ส่วนมากไม่ได้เปนลายลักษณอักษรว่า ถ้าผู้เรยนท าได้อย่างนั้นแล้ว ผู้เรยนจะได้รบอะไรบ้าง
ี
ั
ี
ี
ื
ตามข้อตกลง สัญญาการเรยน จะเปนเครองมอทช่วยให้ผู้เรยนสามารถก าหนดแนวการเรยนของตัวเองได้ด ี
่
็
ี
่
ื
ี
ี
ุ
ุ
่
ู
็
่
ึ
ื
ยิ่งข้น ท าให้ประสบผลส าเรจตามจดม่งหมายและเปนเครองยืนยันทเปนรปธรรม
็
็
ุ
ค าว่า สัญญา แปลตามพจนานกรมฉบับราชบัณฑตยสถาน แปลว่า “ข้อตกลงกัน” ดังนั้น สัญญาการ
ิ
ี
ี
ี
ื
ู
้
่
ิ
ี
ิ
ู
่
เรยน ก็คอข้อตกลงทผู้เรยนได้ท าไว้กับครว่าเขาจะปฏบัตอย่างไรบ้างในกระบวนการเรยนรเพือให้บรรล ุ
ุ
ุ
จดม่งหมายของหลักสตรนั่นเอง
ู
สัญญาการเรยนเปนรปแบบของการเรยนรทแสดงหลักฐานของการเรยนรโดยใช้แฟมสะสมผลงาน
้
ู
ี่
ี
้
ี
็
ี
้
ู
ู
หรอ Portfolio
ื
20
1. แนวคิด
็
่
ู
้
ู
้
็
ู
ี
ี
ู
การจัดการเรยนรในระบบ เปนการเรยนรทครเปนผู้ก าหนดรปแบบ เน้อหา กิจกรรมเปนส่วนใหญ่
ื
ี
็
ึ
ี
ิ
็
ี
ิ
ี
ี
ผู้เรยนเปนแต่เพียงผู้ปฏบัตตาม ไม่ได้มโอกาสในการมส่วนร่วมในการวางแผนการเรยน นักการศกษาทั้งใน
ึ
็
ตะวันตกและแอฟรกา มองเหนว่าระบบการศกษาแบบน้เปนระบบการศกษาของพวกจักรพรรดนยมหรอ
ึ
ิ
ื
ี
็
ิ
ิ
็
่
ี
ึ
ุ
เปนการศกษาของพวกชนชั้นสงบ้าง เปนระบบการศกษาของผู้ถกกดขบ้าง สรปแล้วก็คอระบบการศกษา
ึ
็
ู
ื
ึ
ู
ี
ึ
้
็
ู
่
ึ
ึ
ี
ิ
ี่
แบบน้ไม่ได้ฝกคนให้เปนตัวของตัวเอง ไม่ได้ฝกให้คนรจักพึงตนเอง จงมผู้พยายามทจะเปลยนแนวคด
ี่
ึ
่
่
้
ู
ี
ึ
ี
ทางการศกษาใหม่ อย่างเช่นระบบการศกษาทเน้นการฝกให้คนได้รจักพึงตนเองในประเทศแทนซาเนย
ึ
็
ิ
ู
ุ
ึ
การศกษาทให้คนคดเปนในประเทศไทยเราเหล่าน้เปนต้น รปแบบของการศกษาในอนาคต ควรจะม่งไปส่ ู
ี
็
ึ
ี
่
ิ
ั
ี
ุ
ี
ตัวผู้เรยนมากกว่าตัวผู้สอน เพราะว่าในโลกปจจบันวิทยาการใหม่ ๆ ได้เจรญก้าวหน้าไปอย่างรวดเรวมหลาย
็
ิ
ู
้
ส่งหลายอย่างทมนษย์จะต้องเรยนร ถ้าจะให้แต่มาคอยบอกกันคงท าไม่ได้ ดังนั้นในการเรยนจะต้องมการ
ี
ี
ี
่
ี
ุ
้
่
ี
ี
ฝกฝนให้คดให้รจักการหาวิธการทได้ศกษาส่งทคนต้องการ กล่าวง่าย ๆ ก็คอ ผู้เรยนทได้รบการศกษาแบบท ี ่
่
ี
่
ื
ิ
ี
ึ
ึ
ิ
ึ
ั
ู
ี
ู
่
้
เรยกว่าเรยนรเพือการเรยนในอนาคต
ี
ี
ี
้
ี
2. ท าไมจะตองมีการท าสญญาการเรยน
ั
่
ื
่
่
ู
้
ี
ี
้
ู
ุ
ี
ี
ี
ผลจากการวิจัยเกียวกับการเรยนรของผู้ใหญ่ พบว่าผู้ใหญ่จะเรยนได้ดทสดก็ต่อเมอการเรยนรด้วย
็
ี
ิ
ื
ตนเอง ไม่ใช่การบอกหรอการสอนแบบทเปนโรงเรยน และผลจากการวิจัยทางด้านจตวิทยายังพบอกว่า
ี
่
ี
ี
่
่
ื
่
ี
ี
ี
ื
ผู้ใหญ่มลักษณะทเด่นชัดในเรองความต้องการทจะท าอะไรด้วยตนเองโดยไม่ต้องมการสอนหรอการช้แนะ
ี
ี
ื
มากนัก อย่างไรก็ดเมอพูดถงระบบการศกษาก็ย่อมจะต้องมการกล่าวถงคณภาพของบคคลทเข้ามาอยู่ใน
ึ
ึ
ุ
ุ
ี
ี
่
่
ึ
ึ
ึ
่
ึ
ึ
่
ระบบการศกษา จงมความจ าเปนทจะต้องก าหนดกฎเกณฑ์ข้นมาเพือเปนมาตรฐาน ดังนั้นถงแม้จะให้ผู้เรยน
ี
ี
็
ี
็
้
ี
ุ
ุ
ู
่
ึ
่
็
เรยนรด้วยตนเองก็ตามก็จ าเปนจะต้องสรางมาตรการข้นมาเพือการควบคมคณภาพของผู้เรยนเพือให้
้
ี
ี
ั
ี
ึ
มมาตรฐานตามทสังคมยอมรบ เหตน้สัญญาการเรยนจงเข้ามามบทบาทในการเรยนการสอนเปนการวาง
ี
ุ
ี
ี
่
ี
็
แผนการเรยนทเปนระบบ
ี
็
ี่
ี
ี
ู
้
ื
ิ
่
ี
ี
ข้อดของสัญญาการเรยน คอเปนการประสานความคดทว่าการเรยนร ควรให้ผู้เรยนก าหนดและ
ี
็
การศกษาจะต้องมเกณฑ์มาตรฐานเข้าด้วยกัน เพราะในสัญญาการเรยนจะบ่งระบว่าผู้เรยนต้องการเรยน
ึ
ุ
ี
ี
ี
ี
่
ี
ื
้
ู
ุ
ุ
เรองอะไรและจะวัดว่าได้บรรลตามความม่งหมายแล้วนั้นหรอไม่อย่างไร มหลักฐานการเรยนรอะไรบ้าง
ื
ี
ู
ี
ี
่
ทบ่งบอกว่าผู้เรยนมผลการเรยนรอย่างไร
ี
ี
้
3. การเขียนสญญาการเรยน
ั
ี
การเรยนรด้วยตนเอง ซงเร่มจากการจัดท าสัญญาการเรยนจะมล าดับการด าเนนการ ดังน้ ี
ี
ี
ู
่
้
ิ
ี
ิ
ึ
ู
ู
ขันที่ 1 แจกหลักสตรให้กับผู้เรยนในหลักสตรจะต้องระบ ุ
ี
้
ุ
จดประสงค์ของรายวิชาน้ ี
ื
ื่
ื
ื
ิ
รายชอหนังสออ้างองหรอหนังสอส าหรบทจะศกษาค้นคว้า
ึ
ี่
ั
ื
ี
ื
หน่วยการเรยนย่อย พรอมรายชอหนังสออ้างอง
่
ิ
้
21
ิ
ุ
ี
ุ
ู
ื
ครอธบาย และท าความเข้าใจกับผู้เรยนในเรองหลักสตร จดม่งหมายและหน่วย
ู
่
ี
การเรยนย่อย
์
ั
ี
ขันที่ 2 แจกแบบฟอรมของสญญาการเรยน
้
่
จุดมุงหมาย แหลงวิทยาการ/วิธการ หลักฐาน การประเมินผล
ี
่
ุ
ี
ี
่
ี
ี
ี
ี
่
ุ
่
็
็
็
ี
ี
็
ุ
ิ
เปนส่วนทระบว่าผู้เรยน เปนส่วนทระบว่าผู้เรยน เปนส่วนทมส่งอ้างอง เปนส่วนทระบว่าผู้เรยน
่
ิ
ู
ี่
็
็
้
ื
ี
ู
้
ี
ุ
ต้องการบรรลผลส าเรจ จะเรยนรได้อย่างไร หรอยืนยันทเปน สามารถเกิดการเรยนร
ี่
ู
้
ในเรองอะไร อย่างไร จากแหล่งความรใด รปธรรมทแสดงให้ ในระดับใด
ู
ื
่
ี
็
เหนว่าผู้เรยนได้เกิด
ี
้
ู
การเรยนรแล้วโดยเก็บ
็
้
รวบรวมเปนแฟมสะสม
งาน
ิ
ี
์
ี
ิ
้
ขันที่ 3 อธบายวิธการเขยนข้อตกลงในแบบฟอรมแต่ละช่องโดยเร่มจาก
ุ
ุ
จดม่งหมาย
ื
ี
ี
วิธการเรยนรหรอแหล่งวิทยาการ
ู
้
หลักฐาน
การประเมนผล
ิ
้
ขันที่ 4 ถามปญหาและข้อสงสัย
ั
ี
ุ
ี
ขันที่ 5 แจกตัวอย่างสัญญาการเรยนให้ผู้เรยนคนละ 1 ชด
้
ิ
ี
ี
ึ
้
ขันที่ 6 อธบายถงการเขยนสัญญาการเรยน
ี
ี
์
ผู้เรยนลงมอเขยนข้อตกลงโดยผู้เรยนเอง โดยเขยนรายละเอยดทั้ง 4 ช่องในแบบฟอรม
ี
ี
ี
ื
ุ
ี
ื
ี
ี
ี
ี
่
สัญญาการเรยน นอกจากน้ผู้เรยนยังสามารถระบระดับการเรยนทั้งในระดับด ดเยี่ยม หรอปานกลาง ซง
ึ
ี
ี
ี
่
ี
้
ู
ี
่
ี
ี
ี
ื
ุ
่
ี
ผู้เรยนมความตั้งใจทจะบรรลการเรยนในระดับดเยียมหรอมความตั้งใจทจะเรยนรในระดับด หรอพอใจ
ี
ื
ผู้เรยนก็ต้องแสดงรายละเอยด ผู้เรยนต้องการแต่ระดับด คอ ผู้เรยนต้องแสดงความสามารถตามวัตถประสงค์
ื
ี
ี
ุ
ี
ี
ี
่
ี
ี
ุ
ู
ี
ุ
ทกล่าวไว้ในหลักสตรให้ครบถ้วน การท าสัญญาระดับดเยี่ยม นอกจากผู้เรยนจะบรรลวัตถประสงค์ตาม
หลักสตรแล้ว ผู้เรยนจะต้องแสดงความสามารถพิเศษเรองใดเรองหนงโดยเฉพาะ อันมส่วนเกียวข้องกับ
่
ี
่
ี
ู
ื
่
ื
่
ึ
หลักสตร
ู
่
ี
ุ
ี
่
ี
้
ื
ี
ขันที่ 7 ให้ผู้เรยนและเพือนพิจารณาสัญญาการเรยนให้เรยบรอย ต่อไปให้ผู้เรยนเลอกเพือนในกล่ม
้
ี
้
ู
1 คน เพือจะได้ช่วยกันพิจารณาสัญญาการเรยนรของทั้ง 2 คน
่
22
ี
ในการพิจารณาสัญญาการเรยนให้พิจารณาตามหัวข้อต่อไปน้
ี
ื
็
ื
ุ
ุ
ี
ิ
1. จดม่งหมายมความแจ่มชัดหรอไม่ เข้าใจหรอไม่ เปนไปได้จรงหรอไม่บอกพฤตกรรมทจะให้เกิด
่
ี
ิ
ื
จรง ๆ หรอไม่
ิ
ื
ี
ุ
ิ
ี
ื
ี
่
ื
่
2. มจดประสงค์อนทพอจะน ามากล่าวเพิ่มเตมได้อกหรอไม่
ิ
ิ
ี
ี
3. แหล่งวิชาการและวิธการหาข้อมูลเหมาะสมเพียงใด มประสทธภาพเพียงใด
ี
่
4. มวิธการอนอกหรอไม่ ทสามารถน ามาใช้เพือการเรยนร
ี
ื
ี
ี
ี
่
ื
่
้
ู
ี
ุ
ี
ู
้
ุ
5. หลักฐานการเรยนรมความสอดคล้องกับจดม่งหมายเพียงใด
ื่
6. มหลักฐานอนทพอจะน ามาแสดงได้อกหรอไม่
ี่
ี
ื
ี
ื
ิ
7. วิธการประเมนผลหรอมาตรการทใช้วัดมความเชอถอได้มากน้อยเพียงใด
ื่
ี
ี
ี่
ื
ิ
ี
ู
8. มวิธการประเมนผลหรอมาตรการอนอกบ้างหรอไม่ ในการวัดผลและประเมนผลการเรยนร ้
ื
ี
ี
่
ี
ื
ิ
ื
ุ
ั
ี
ึ
ี
ี
่
ั
้
ขันที่ 8 ให้ผู้เรยนน าสัญญาการเรยนไปปรบปรงให้เหมาะสมอกคร้งหนง
่
ุ
ึ
่
ั
ขันที่ 9 ให้ผู้เรยนท าสัญญาการเรยนทปรบปรงแล้วให้ครและทปรกษาตรวจดอกคร้งหนงฉบับท ่ ี
ี
ู
ั
ี
ี
่
ี
ู
ี
ึ
้
ี
ี
ี่
ิ
ี
เรยบรอยให้ด าเนนการได้ตามทเขยนไว้ในสัญญาการเรยน
้
ขันที่ 10 การเรยนก่อนทจะจบเทอม 2 อาทตย์ ให้ผู้เรยนน าแฟมสะสมงาน (แฟมเก็บข้อมูล
ี
ี
้
้
้
ิ
ี
่
ี
ี่
ุ
Portfolio) ตามทระบไว้ในสัญญาการเรยนมาแสดง
่
้
ู
ี
ี
ี
้
ขันที่ 11 ครและผู้เรยนจะตั้งคณะกรรมการในการพิจารณาแฟมสะสมงานทผู้เรยนน ามาส่งและ
ี
ิ
ื
ส่งคนผู้เรยนก่อนส้นภาคเรยน
ี
23
ั
ี
์
แบบฟอรมสญญาการเรยน
ี่
ี
เขยนท.......................................................
ี่
ื
วันท.........เดอน........................พ.ศ. .............
็
ข้าพเจ้า (นาย/นาง/นางสาว)...................................................เปนนักศกษาระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
ึ
ึ
ศูนย์การศกษานอกระบบและการศกษาตามอัธยาศัยอ าเภอ...............................................ขอก าหนดเปาหมาย
้
ึ
ึ
ื
ี
ี
ึ
ี่
ี
ี
การเรยนในภาคเรยนท........ปการศกษา.........คอข้าพเจ้าจะท าให้ผลการเรยนในรายวิชา................................
ิ
ิ
ได้ระดับคะแนน............โดยการปฏบัตดังน้ ี
้
ี
ี
วิธการเรยนรู/
จุดมุงหมาย หลักฐาน การประเมินผล
่
่
แหลงวิทยาการ
่
้
ตารางการก าหนดเปาหมายการท างานในแตละวัน
(นาย/นาง/นางสาว)............................................................
วัน เดือน เวลา เปาหมายที่จะปฏิบัติ ผลการปฏิบัติ หมายเหตุ
้
็
ป ี สาเรจ ไมสาเรจ
็
่
24
้
้
้
ี
ี
ึ
เปาหมายการเรยนของขาพเจา ภาคเรยนที่ ........ ปการศกษา................
ี
รายวิชาที่ลงทะเบียนเรยน ระดับคะแนนที่คาดหวัง
ี
่
หนวยกิต A B C D
ื่
รหัสวิชา ชอวิชา
4 3 2 1
1. ................ .............................................................. ................. ........... ........... ........... ...........
2. ................ .............................................................. ................. ........... ........... ........... ...........
3. ................ .............................................................. ................. ........... ........... ........... ...........
4. ................ .............................................................. ................. ........... ........... ........... ...........
5. ................ .............................................................. ................. ........... ........... ........... ...........
6. ................ .............................................................. ................. ........... ........... ........... ...........
. .
รวม
เกรดเฉลย = ……
ี่
ื
โดยข้าพเจ้าจะเร่มปฏบัตตั้งแต่ วันท......เดอน.............พ.ศ. ......... ถง วันที......เดอน.............พ.ศ. .........
ึ
่
ิ
ิ
ิ
ี
ื
่
ิ
ี
ู
่
ี
ิ
ี
่
ข้าพเจ้าท าสัญญาฉบับน้ด้วยความสมัครใจ เพือยืนยันความตั้งใจทจะปฏบัตตามแผนการเรยนร ้
จนส าเรจ
็
ื่
ลงชอ....................................ผู้ท าสัญญา
( )
ลงชอ....................................พยาน
ื่
( )
ื่
ลงชอ....................................พยาน
( )
ู
่
ื
ลงชอ....................................ค่สัญญา
(..................................)
25
่
(ตัวอยาง)
การวางแผนการเรยนโดยใชสญญาการเรยน
ี
ั
ี
้
ี
ี
่
้
จุดมุงหมาย วิธการเรยนรู/แหลง หลักฐาน การประเมินผล
่
วิทยาการ
ี
ิ
เพื่อให้การเรยน 1. อ่านเอกสารอ้างองท ี ่ 1. ท ารายงานย่อ ให้เพื่อน 2 - 5 คน
รายวิชาทักษะการเรยนร ้ เสนอแนะไว้ใน ข้อคดเหนจากหนังสอ ประเมนรายงานย่อและ
ี
ิ
ื
ู
็
ิ
ี
ึ
่
ู
ี
ได้เกรด B หลักสตร ทอ่าน บันทกการเรยน โดย
ี
ิ
2. อ่านหนังสอท ่ ี 2. จดบันทกการเรยน ประเมนตามหัวข้อ
ึ
ื
่
เกียวข้องอน ๆ การอภปราย ต่อไปน้ ี
ื่
ิ
ู
3. สอบถามคร เมอพบ 3. ท ากิจกรรมทก าหนด 1. รายงานย่อครอบคลม
่
ุ
ื่
ี
ื
ี
ื
่
ข้อข้องใจในชั้นเรยน ในหนังสอ เน้อหามากพอทจะใช้
ี
ื
ื
หรอเมออ่านหนังสอ ในการสอบเพื่อให้
ื
่
ี
แล้วเกิดความสงสัย ได้เกรดตามทได้ม่ง
ุ
่
อันเปนอปสรรคต่อ หมายไว้
ุ
็
การท าความเข้าใจ 5 4 3 2 1
บทเรยน 2. ท าตารางการก าหนด
ี
้
4. รวมกล่มรายงานและ เปาหมายการท างาน
ุ
ื
ิ
่
อภปรายกับผู้เรยนอน ในแต่ละวัน โดยให้ม ี
ี
ิ
ิ
ุ
ื
ี
ื
หรอกล่มการเรยนอน ผลการปฏบัตตาม
่
เปาหมายด้วย
้
5 4 3 2 1
ี
3. รายงานมความ
ชัดเจนเพียงใด
5 4 3 2 1
ฯลฯ
ี
ทานไดเรยนรเกยวกับสญญาการเรยนทเนนความรบผดชอบ
้
ี่
่
ี
้
ู
ี่
้
ั
ิ
ั
ตองานทตนไดเปนผูก าหนดไวส าหรบการเรยนรของตน...
็
ี่
้
ู
้
้
ี
ั
่
้
26
การประเมินผลการเรยนโดยใชแฟมสะสมงาน
้
้
ี
ี
ิ
ี่
้
็
การจัดท าแฟมสะสมงาน (Portfolio) เปนวิธการส าคัญทน ามาใช้ในการวัดผลและประเมนผลการ
้
ี
ู
ี
ี่
้
่
ี
่
ื
้
เรยนรทให้ผู้เรยนเรยนรด้วยตนเองโดยการจัดท าแฟมสะสมงานทมความเชอพื้นฐานทส าคัญมาจากการให้
ี
ู
่
ี
ี
ี
้
ุ
ี
ู
ิ
่
ึ
ี
ผู้เรยนเรยนรจากสภาพจรง (Authentic Learning) ซงมสาระส าคัญพอสรปได้ดังน้ ี
้
ี
1. ความเชอพื้นฐานของการเรยนรูตามสภาพจรง (Authentic Learning)
่
ื
ิ
่
ึ
ื
1.1 ความเชอเกียวกับการจัดการศกษา
่
มนษย์มสัญชาตญาณทจะเรยนร มความสามารถและมความกระหายทจะเรยนร ้
ี่
ี
ี
ุ
ี
ู
ี
ี่
ู
้
ี
ภายใต้บรรยากาศของสภาพแวดล้อมทเอ้ออ านวยและการสนับสนนจะท าให้มนษย์
ี
ุ
ุ
่
ื
ู
้
ี
ี
ิ
่
สามารถทจะรเร่มและเกิดการเรยนรของตนเองได้
ิ
ื่
้
มนษย์สามารถทจะสรางองค์ความรจากการปฏสัมพันธกับคนอนและจากสอทม ี
ี่
ู
์
ิ
ี
่
ื
ุ
้
่
ความหมายต่อชวิต
ี
์
ั
ี
ุ
ิ
มนษย์มพัฒนาการด้านร่างกาย ด้านอารมณ ด้านสังคม และด้านสตปญญาแตกต่างกัน
่
ื
่
ู
ี
1.2 ความเชอเกียวกับการเรยนร ้
็
ู
การเรยนรจะเร่มจากส่งทเปนรปธรรมไปส่นามธรรมโดยผ่านกระบวนการการส ารวจ
ี
่
ิ
ู
ิ
้
ู
ี
้
ิ
ิ
ู
ิ
ี
ี
้
์
้
ตนเอง การเสรมสรางบรรยากาศของการเรยนรและการสรางบรบทของสังคมให้ผู้เรยนได้ปฏสัมพันธกับ
ื่
ผู้เรยนอน
ี
ี
ี
ู
้
การเรยนรมองค์ประกอบทางด้านปญญาหลายด้านทั้งในด้านภาษา ค านวณ พื้นท ี ่
ั
่
่
ุ
ื
ื
์
ี
ดนตร การเคลอนไหว ความสัมพันธระหว่างบคคลและอน ๆ
ิ
การแสวงหาความรจะมประสทธภาพมากยิ่งข้นถ้าอยู่ในบรบททมความหมายต่อชวิต
ี
่
ิ
ู
ึ
้
ี
ี
ี
ิ
ี
ึ
่
ี
้
ู
การแสวงหาความรเปนกระบวนการทเกิดข้นตลอดชวิต
็
่
่
ื
1.3 ความเชอเกียวกับการสอน
การสอนจะต้องยึดผู้เรยนเปนศูนย์กลาง
ี
็
็
การสอนจะเปนทั้งรายบคคลและรายกล่ม
ุ
ุ
็
ี
ั
ู
ี
์
้
ี่
ี
่
การสอนจะยอมรบวัฒนธรรมทแตกต่างกันและวิธการเรยนรทเปนเอกลักษณของ
ี
ผู้เรยนแต่ละคน
่
ึ
ิ
่
การสอนกับการประเมนเปนกระบวนการต่อเนองและเกียวข้องซงกันและกัน
่
็
ื
ู
ุ
ี
ี
่
้
ู
ี
ิ
การสอนจะต้องตอบสนองต่อการขยายความรทไม่มทส้นสดของหลักสตรสาขาต่าง ๆ
่
่
ิ
่
ื
1.4 ความเชอเกียวกับการประเมน
การประเมนแบบน าคะแนนของผู้เรยนจ านวนมากมาเปรยบเทยบกัน มคณค่าน้อยต่อ
ุ
ี
ี
ี
ี
ิ
ี
การพัฒนาศักยภาพของผู้เรยน
การประเมนตามสภาพจรง (Authentic Assessment) ไม่ใช่ส่งสะท้อนความสามารถท ี ่
ิ
ิ
ิ
ิ
ิ
ุ
์
ี
ี
มอยู่ในตัวผู้เรยน แต่จะสะท้อนถงการปฏสัมพันธระหว่างบคคลกับส่งแวดล้อมและความสามารถทแสดง
ึ
ี
่
ออกมา
27
่
ิ
ี
การประเมนตามสภาพจรงจะให้ข้อมูลและข่าวสารทเทยงตรงเกียวกับผู้เรยนและ
ิ
่
ี
่
ี
ึ
กระบวนการทางการศกษา
2. ความหมายของการประเมินตามสภาพจรง (Authentic Assessment)
ิ
็
ึ
ิ
ิ
์
การประเมนตามสภาพจรง เปนกระบวนการของการสังเกตการณ บันทก การจัดท าเอกสารท ี่
่
่
ี
ี
เกียวกับงานหรอภารกิจทผู้เรยนได้ท า รวมทั้งแสดงวิธการว่าได้ท าอย่างไร เพือใช้เปนข้อมูลพื้นฐานเกียวกับ
่
่
ี
ื
็
ิ
ึ
ิ
การตัดสนใจทางการศกษาของผู้เรยนนั้น การประเมนตามสภาพจรงมความแตกต่างจากการประเมน
ิ
ี
ี
ิ
ี
่
ี
ี
ิ
ี่
โครงการตรงทการประเมนแบบน้ได้ให้ความส าคัญกับผู้เรยนมากกว่าการให้ความส าคัญกับผล อันทจะ
ิ
ิ
ี
ุ
ึ
เกิดข้นจากการดคะแนนของกล่มผู้เรยนและแตกต่างจากการทดสอบเนองจากเปนการวัดผลการปฏบัตจรง
ื
ิ
่
ู
็
ิ
่
(Authentic Assessment) การประเมนตามสภาพจรงจะได้ข้อมูลสารสนเทศเชงคณภาพอย่างต่อเนองท ี ่
ุ
ิ
ื
ิ
สามารถน ามาใช้ในการแนะแนวการเรยนส าหรบผู้เรยนแต่ละคนได้เปนอย่างด ี
ี
ี
็
ั
3. ลักษณะที่สาคัญของการประเมินตามสภาพจรง (Authentic Assessment)
ิ
ให้ความส าคัญขอบการพัฒนาและการเรยนร ้ ู
ี
เน้นการค้นหาศักยภาพน าเอามาเปดเผย
ิ
ี
ุ
ให้ความส าคัญกับจดเด่นของผู้เรยน
์
ิ
ี
ุ
ยึดถอเหตการณในชวิตจรง
ื
เน้นการปฏบัตจรง
ิ
ิ
ิ
ื
จะต้องเชอมโยงกับการเรยนการสอน
ี
่
ุ
ม่งเน้นการเรยนรอย่างมเปาหมาย
้
ี
้
ู
ี
เปนกระบวนการเกิดข้นอย่างต่อเนองในทกบรบท
ุ
ื
็
่
ึ
ิ
ช่วยให้มความเข้าใจในความสามารถของผู้เรยนและวิธการเรยนร ู ้
ี
ี
ี
ี
ู
ื่
ี
ช่วยให้เกิดความร่วมมอทั้งผู้ปกครอง พ่อแม่ คร ผู้เรยนและบคคลอน ๆ
ุ
ื
้
ี
้
4. การประเมินผลการเรยนโดยใชแฟมสะสมงาน
ี
ิ
่
ึ
็
แฟมสะสมงาน เปนวิธการประเมนผลการเรยนรตามสภาพจรง ซงเปนวิธการทครได้น าวิธการ
ี่
ู
้
้
ู
็
ิ
ี
ี
ี
ี
มาจากศลปน (artist) มาใช้ในทางการศกษาเพือการประเมนความก้าวหน้าในการเรยนรของผู้เรยน โดย
ู
ึ
ิ
ิ
่
ิ
ี
้
้
แฟมสะสมงานมประโยชน์ทส าคัญคอ
ื
ี่
ี
ผู้เรยนสามารถแสดงความสามารถในการท างานโดยทการสอบท าไม่ได้
่
ี
ี
ู
ี
เปนการวัดความสามารถในการเรยนรของผู้เรยน
้
็
ี
ี
ู
ี
ช่วยให้ผู้เรยนสามารถแสดงให้เหนกระบวนการเรยนร (Process) และผลงาน (Product)
็
้
ู
้
ี่
ู
็
ี
็
ช่วยให้สามารถแสดงให้เหนการเรยนรทเปนนามธรรมให้เปนรปธรรม
็
็
ื
่
้
ิ
ิ
แฟมสะสมงานไม่ใช่แนวคดใหม่ เปนเรองทมมานานแล้ว ใช้โดยกล่มเขยนภาพ ศลปน สถาปนก
ิ
ุ
่
ี
ี
ี
ิ
ึ
นักแสดง และนักออกแบบ โดยแฟมสะสมงานได้ถกน ามาใช้ในทางการศกษาในการเรยนการสอนทาง
ู
ี
้
28
่
ี
ี
ึ
็
้
ิ
์
ี
่
ื
ด้านภาษา คณตศาสตร วิทยาศาสตร และวิชาอน ๆ ทั้งน้ ีแฟมสะสมงานเปนวิธการทสะท้อนถงวิธการ
์
ึ
ี
ู
็
ประเมนผลการเรยนรตามสภาพจรง (Authentic Assessment) ซงเปนกระบวนการของการรวบรวมหลักฐานท ี่
ิ
่
้
ิ
ี
่
แสดงให้เหนว่าผู้เรยนสามารถท าอะไรได้บ้างและเปนกระบวนการของการแปลความจากหลักฐานทได้และ
็
ี
็
ิ
ื
ุ
ิ
็
ิ
ิ
ึ
ี
มการตัดสนใจหรอให้คณค่าการประเมนผลตามสภาพจรงเปนกระบวนการทใช้เพื่ออธบายถงภาระงานท ี่
ี่
ื
ิ
้
้
แท้จรงหรอ real task ทผู้เรยนจะต้องปฏบัตหรอสรางความร ไม่ใช่สรางแต่เพียงข้อมูลสารสนเทศ
ี
ู
่
ี
ิ
ื
้
ิ
การประเมนโดยใช้แฟมสะสมงานเปนวิธการของการประเมนทมองค์ประกอบส าคัญคอ
ี
ิ
้
ิ
ี่
ี
ื
็
ิ
ื
ี
ให้ผู้เรยนได้แสดงการกระท า - ลงมอปฏบัต ิ
ิ
ื
็
สาธตหรอแสดงทักษะออกมาให้เหน
ี
แสดงกระบวนการเรยนร ู ้
ิ
ิ
ผลตช้นงานหรอหลักฐานว่าเขาได้รและเขาท าได้
ื
ู
้
ึ
้
ิ
ี
ิ
ื
ิ
ซงการประเมนโดยใช้แฟมสะสมงานหรอการประเมนตามสภาพจรง โดยวิธการดังกล่าวน้จะ
ี
่
ี่
ื
มลักษณะทส าคัญ คอ
ี
ี
ิ
ี
่
ช้นงานทมความหมาย (meaningful tasks)
มมาตรฐานทชัดเจน (clear standard)
ี
ี่
มการให้สะท้อนความคด ความรสก (reflections)
ึ
ิ
้
ู
ี
ี
ิ
่
มการเชอมโยงกับชวิตจรง (transfer)
ี
ื
ุ
ั
็
เปนการปรบปรงและบูรณาการ (formative integrative)
ู
ิ
ี
่
่
ึ
เกียวข้องกับการคดในล าดับทสงข้นไป (high - order thinking)
ุ
ิ
ี่
ี
ิ
เน้นการปฏบัตทมคณภาพ (quality performance)
ี
ุ
ได้ผลงานทมคณภาพ (quality product)
ี่
5. ลักษณะของแฟมสะสมงาน
้
ึ
ี
็
ื
ึ
้
ี
นักการศกษาบางท่านได้กล่าวว่าแฟมสะสมงานมลักษณะเหมอนกับจานผสมส ซงจะเหนได้ว่า
่
่
ี
ื
็
่
็
จานผสมสเปนส่วนทรวมเรองสต่าง ๆ ทั้งน้แฟมสะสมงานเปนส่งทรวมการประเมนแบบต่าง ๆ เพือการ
ี
่
ี
ี
้
่
ิ
ิ
ี
ี่
็
ุ
ิ
็
ี่
วาดภาพให้เหนว่าผู้เรยนเปนอย่างไร แฟมสะสมงานไม่ใช่ถังบรรจส่งของ (Container) ทเปนทรวมของ
็
ี
้
็
ิ
่
้
ี
ื
่
ี
ี
ส่งต่าง ๆ ทจะเอาอะไรมากองรวมไว้หรอเอามาใส่ไว้ในทเดยวกัน แต่แฟมสะสมงานเปนการรวบรวม
ี
ู
ื
่
ี
ี
ี
่
ู
ี
หลักฐานทมระบบและมการจัดการโดยครและผู้เรยนเพือการตรวจสอบความก้าวหน้าหรอการเรยนร ้
ด้านความร ทักษะและเจตคตในเรองเฉพาะวิชาใดวิชาหนง
่
ึ
้
ื่
ู
ิ
ี
ื
่
ี
้
กล่าวโดยทั่วไป แฟมสะสมงานจะมลักษณะทส าคัญ 2 ประการ คอ
- เปนเหมอนส่งทรวบรวมหลักฐานทแสดงความรและทักษะของผู้เรยน
ิ
ี
่
ี
่
ี
ู
็
ื
้
ี
ู
้
ี
ี
- เปนภาพทแสดงพัฒนาการของผู้เรยนในการเรยนร ตลอดช่วงเวลาของการเรยน
็
่
ี
29
้
ี
6. จุดมุงหมายของการประเมินโดยใชแฟมสะสมงาน มีดังน้
้
่
ึ
ี
ี
ี
ุ
่
ู
ช่วยให้ครได้รวบรวมงานทสะท้อนถงความส าคัญของนักเรยนในวัตถประสงค์ใหญ่ของการเรยนร ู ้
ุ
ช่วยกระต้นให้ผู้เรยนสามารถจัดการเรยนรของตนเอง
ี
้
ู
ี
ช่วยให้ครได้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งในความก้าวหน้าของผู้เรยน
ี
ู
ี
ึ
ช่วยให้ผู้เรยนได้เข้าใจตนเองมากยิ่งข้น
ี
่
ช่วยให้ทราบการเปลยนแปลงและความก้าวหน้า ตลอดช่วงระหว่างการเรยนร
ู
ี
้
ิ
ึ
ี
้
ู
ช่วยให้ผู้เรยนได้ตระหนักถงประวัตการเรยนรของตนเอง
ี
ิ
ช่วยท าให้เกิดความสัมพันธระหว่างการสอนกับการประเมน
์
ั
้
7. กระบวนการของการจดท าแฟมสะสมงาน
้
การจัดท าแฟมสะสมงาน มกระบวนการหรอขั้นตอนอยู่หลายขั้นตอน แต่ทั้งน้ก็สามารถปรบปรง
ั
ี
ี
ุ
ื
้
ได้อย่างเหมาะสม Kay Burke (1994) และคณะ ได้ก าหนดขั้นตอนของการวางแผนจัดท าแฟมสะสมงานไว้ 10
ขั้นตอน ดังน้ ี
ู
ุ
ุ
่
ี
ขั้นท 1 ก าหนดจดม่งหมาย และรปแบบ
่
ี
ขั้นท 2 ขั้นการรวบรวมและจัดระบบของผลงาน
่
ี
ื
ขั้นท 3 ขั้นการเลอกผลงานหลักตามเกณฑ์ทก าหนด
่
ี
้
้
ขั้นท 4 ขั้นการสรางสรรค์แฟมสะสมผลงาน
่
ี
ื
ิ
ี
ึ
่
ู
้
ขั้นท 5 ขั้นการสะท้อนความคด หรอความรสกต่อผลงาน
ิ
ี
่
่
ขั้นท 6 ขั้นการตรวจสอบเพือประเมนตนเอง
ิ
ิ
ขั้นท 7 ขั้นการประเมนผล ประเมนค่าของผลงาน
ี
่
่
ื
ุ
่
ี
์
่
ี
ขั้นท 8 ขั้นการแลกเปลยนประสบการณกับบคคลอน
ขั้นท 9 ขั้นการคัดสรรและปรบเปลยนผลงานเพื่อให้ทันสมัย
ี่
่
ั
ี
้
ื
ิ
่
ี
์
ขั้นท 10 ขั้นการประชาสัมพันธ หรอจัดนทรรศการแฟมสะสมงาน
้
ิ
้
8. รูปแบบ (Model) ของการท าแฟมสะสมงาน สามารถด าเนนการไดดังน้ ี
ิ
ส าหรบผู้เร่มท าไม่มประสบการณมาก่อนควรใช้ 3 ขั้นตอน
์
ี
ั
ี
ขั้นท 1 การรวบรวมผลงาน
่
ี
่
ื
ขั้นท 2 การคัดเลอกผลงาน
่
ิ
ขั้นท 3 การสะท้อนความคด ความรสกในผลงาน
ี
ู
ึ
้
ี
ั
์
่
ส าหรบผู้ทมประสบการณใหม่ ๆ ควรใช้ 6 ขั้นตอน
ี
่
ขั้นท 1 ก าหนดจดม่งหมาย
ุ
ี
ุ
ี
่
ขั้นท 2 การรวบรวม
่
ขั้นท 3 การคัดเลอกผลงาน
ื
ี
30
ี
ิ
ขั้นท 4 การสะท้อนความคดในผลงาน
่
ี
่
ขั้นท 5 การประเมนผลงาน
ิ
ี
่
ี
ขั้นท 6 การแลกเปลยนกับผู้เรยน
ี
่
ั
ี
์
ส าหรบผู้ทมประสบการณพอสมควร ควรใช้ 10 ขั้นตอนดังทกล่าวข้างต้น
่
ี
่
ี
้
9. การวางแผนท าแฟมสะสมงาน
ี
่
การวางแผนและการก าหนดจดม่งหมาย ค าถามหลักทจะต้องท าให้ชัดเจน
ุ
ุ
◊ ท าไมจะต้องให้ผู้เรยนรวบรวมผลงาน
ี
้
◊ ท าแฟมสะสมงานเพื่ออะไร
้
ี
ื
ุ
ิ
ุ
◊ จดม่งหมายทแท้จรงของการท าแฟมสะสมงาน คออะไร
่
ี
ี
้
ี
◊ การใช้ แฟมสะสมงานในการประเมนมข้อด ข้อเสยอย่างไร
ิ
ี
แฟมสะสมงานไม่ใช่เปนเพียงการเรยนการสอนหรอการประเมนผล แต่เปนทั้งกระบวนการ
็
้
ื
ิ
็
ิ
เรยนการสอนและการวัดผลประเมนผล
ี
้
ี
ิ
็
ิ
ู
ี่
แฟมสะสมงาน เปนกระบวนการทท าให้ผู้เรยนเปนผู้ทลงมอปฏบัตเองและเรยนรด้วยตนเอง
ื
็
ี
ี่
้
้
ี
ิ
การใช้แฟมสะสมงานในการประเมนจะมหลักส าคัญ 3 ประการ
่
ื
ี
่
ู
1) เน้อหา ต้องเกียวกับเน้อหาทส าคัญในหลักสตร
ื
ี
ิ
็
ื
ิ
ู
2) การเรยนร ผู้เรยนเปนผู้ลงมอปฏบัตเอง โดยมการบูรณาการทจะต้องสะท้อน
ี
้
ี
ี่
้
ี
ู
กระบวนการเรยนรทั้งหมด
ี
่
ี
ิ
ั
ู
3) การเขยน การแก้ปญหา และการคดระดับทสงกว่าปกต ิ
ิ
10. การเก็บรวบรวมชนงานและการจดแฟมสะสมงาน
้
้
ั
ุ
ความหมายของแฟมสะสมงานคอ การรวบรวมผลงานของผู้เรยนอย่างมวัตถประสงค์
ี
้
ี
ื
็
ื
่
ึ
ี
ื
่
่
็
เพื่อการแสดงให้เหนความพยายาม ความก้าวหน้าและความส าเรจของผู้เรยนในเรองใดเรองหนง
ี
วิธการเก็บรวบรวม สามารถจัดให้อยู่ในรปแบบของส่งต่อไปน้
ี
ิ
ู
ุ
ิ
ู
้
แฟมงาน สมดบันทก ต้เก็บเอกสาร กล่อง อัลบั้ม แผ่นดสก์
ึ
่
ี
วิธการด าเนนการเพือการรวบรวม จัดท าได้โดยวิธการ ดังน้
ี
ี
ิ
่
รวบรวมผลงานทกช้นทจัดท าเปนแฟมสะสมงาน
ี
ุ
ิ
้
็
้
ื่
คัดเรองผลงานเพื่อใช้ในแฟมสะสมงาน
สะท้อนความคดในผลงานทคัดเรองไว้
ิ
ื่
ี่
ี
้
ู
ี
รปแบบของแฟมสะสมงาน อาจมองค์ประกอบดังน้
ิ
้
สารบัญและแสดงประวัตผู้ท าแฟมสะสมงาน
ส่วนทแสดงวัตถประสงค์/จดม่งหมาย
ี
ุ
ุ
่
ุ
ื
ส่วนทแสดงช้นงานหรอผลงาน
่
ิ
ี
31
ิ
่
ึ
ู
้
ื
ี
ส่วนทสะท้อนความคดเหนหรอความรสก
็
ส่วนทแสดงการประเมนผลงานด้วยตนเอง
่
ี
ิ
ิ
ส่วนทแสดงการประเมนผล
่
ี
่
ี
่
็
ื
ส่วนทเปนภาคผนวก ข้อมูลประกอบอน ๆ
้
ี
รูปแบบการเรยนรูดวยตนเอง
้
้
ี
ี
ื
ู
ผู้เรยนสามารถเลอกใช้รปแบบต่างๆในการเรยนรด้วยตนเองเพือให้การเรยนบรรลจดม่งหมาย
่
ี
ุ
ุ
ุ
ู
ี
ี
ทตั้งไว้ ได้ดังน้
่
ี
็
ี
ี
ึ
่
ี
1. การใช้โครงการเรยน (Learning project) ซงเปนตัวบ่งช้ของการมส่วนร่วมในการเรยนด้วย
ตนเอง ตามแนวคดโครงการเรยนแบบผู้ใหญ่ของ Tough (1971) โดยการน าข้อมูลทได้จากการส ารวจความ
ี
ี่
ิ
ู
่
ี
ุ
ี
ื
ี
้
ต้องการมาขยายเปนโครงการหรอแผนการเรยนทระบเกียวกับการจะเรยนรอย่างไร ทไหน เวลาใดท ี่
่
็
ี่
ี
ั
ี
ื
ี
เหมาะสม และนานเท่าใด จะใช้แหล่งทรพยากรการเรยนใด จะมใครช่วยเหลอได้บ้าง เลอกวิธการเรยน
ื
ี
ู
ี
้
ื
ุ
อย่างไร มคณค่าแค่ไหน ใช้เวลา แรงงาน และใช้งบประมาณเท่าใด ประหยัดหรอไม่ จะรได้อย่างไรว่าบรรล ุ
ี
็
เปาหมาย ควรแสดงผลงานของความส าเรจในการเรยนอย่างไร ต้องการเรยนมากแค่ไหน สัมพันธกับ
้
์
ี
ื
้
่
ุ
ุ
ี
เปาหมายชวิตอย่างไร ความรทเราจะแสวงหานั้นช่วยให้บรรลวัตถประสงค์ทตั้งไว้หรอไม่ ท าให้เกิดเจตคต ิ
ี
่
้
ี
ู
และความสนกสนานทจะเรยนหรอไม่ โดยการเขยนโครงการเรยนนั้นผู้เรยนต้องสามารถปฏบัตงานท ี่
ี
ี
ี
ุ
ิ
ิ
ี
ื
ี
่
่
ก าหนด วินจฉัยความช่วยเหลอทตนต้องการ และท าให้ได้มาซงความช่วยเหลอทต้องการ สามารถเลอก
ื
ี
ึ
ิ
ื
่
ื
ี
่
แหล่งทรพยากรการเรยน วิเคราะหและวางแผนโครงการเรยนทั้งหมด รวมทั้งสามารถประเมน
ั
ี
ิ
์
ี
ื่
ี
ี
ความก้าวหน้าของการเรยนได้ โดยการพิจารณาตัดสนใจในเรองความรและทักษะโดยละเอยด กิจกรรม สอ
ื่
้
ู
ิ
ี่
ี
ี่
ี
้
์
ั
ุ
ี
ี
ี่
การเรยน แหล่งทรพยากรการเรยน และอปกรณทใช้ในการเรยน สถานททใช้ในการเรยน เวลาและเปาหมาย
่
ทแน่นอน ระยะเวลาในการเรยน ขั้นตอนการเรยน ประมาณระดับของโปรแกรมการเรยน รวมทั้งการก าจัด
ี
ี
ี
ี
ึ
ี
ื
ี่
์
่
ี
ุ
ิ
ิ
อปสรรคและส่งทจะท าให้การเรยนขาดประสทธภาพ การทจะได้สออปกรณมา หรอไปถงแหล่งข้อมูล การ
ื่
ุ
ิ
้
ี่
ื
ื่
ี
ี่
ื่
เตรยมห้องทเหมาะสมหรอเงอนไขทางกายภาพอน ๆ งบประมาณทใช้ และการสรางแรงจูงใจในการเรยน
ี
ุ
และการฝาอปสรรคต่าง ๆ
่
ี
2. การท าสัญญาการเรยน (Learning contracts) ซงเปนเครองมอในการเรยนด้วยตนเองตาม
็
่
ึ
ื่
ี
ื
ิ
ี
แนวคดการเรยนเปนกล่มของ Knowles (1975) โดยเปนข้อตกลงระหว่างผู้เรยนและผู้สอน ในลักษณะการ
็
ี
ุ
็
ั
สอนรายบคคลทให้ผู้เรยนมความรบผิดชอบ มระเบยบวินัยในตนเอง เปนตัวของตัวเองให้มาก โดยการให้
ี
ี
ี
ี่
ี
็
ุ
ี
ื
ี่
ี
ส ารวจและค้นหาความสนใจทแท้จรงของตนเอง แล้วให้ผู้เรยนเลอกเรยนตามความสนใจ โดยสัญญาการ
ิ
32
ี
ี
่
ี
ึ
ิ
่
ี
เรยนจะช่วยให้ผู้เรยนได้เรยนด้วยตนเองมากข้นเพราะได้เปดเผยตัวเองอย่างเต็มท และพึงพาตนเองได้มาก
่
ื
ื
ี่
่
ี
ี
ึ
็
ุ
ี
ทสด ซงสัญญาการเรยนเปนเครองมอทมการลงนามระหว่างผู้เรยนและผู้สอน โดยมขั้นตอนในการท า
ี
ี
่
ิ
ี
สัญญาการเรยน ได้แก่ วินจฉัยความต้องการในการเรยน ก าหนดจดม่งหมายการเรยน ก าหนดวิธการเรยน
ุ
ี
ี
ี
ี
ุ
ั
ี
ี่
ุ
์
ิ
ุ
ี
ี
และแหล่งทรพยากรการเรยน ระบผลลัพธทจะได้หลังการเรยน ระบเกณฑ์การประเมนการเรยน ก าหนด
ั
ี่
วันทจะท างานส าเรจ โดยมการทบทวนสัญญาการเรยนกับอาจารย์ทปรกษา ปรบปรงสัญญาการเรยน และ
็
ี
่
ี
ุ
ี
ี
ึ
ี
ประเมนผลการเรยน ผู้เรยนทใช้สัญญาการเรยนในการเรยนด้วยตนเองจะได้รบประโยชน์ ดังน้
ี
ิ
ี
ี่
ั
ี
ี
็
ี
ี
(1) ผู้เรยนจะมความเข้าใจถงความแตกต่างของบคคลด้านความคด และทักษะทจ าเปน
ึ
ุ
ิ
ี่
ี
ี
ี
ู
ในการเรยน ได้แก่ รความแตกต่างระหว่างการเรยนโดยมผู้สอนเปนผู้ช้น า และการเรยนด้วยตนเอง
้
ี
ี
็
ี่
(2) ผู้เรยนจะมความสามารถในการสรางความสัมพันธอันดกับเพือน เพื่อทจะให้บคคล
่
ี
ุ
์
ี
้
ี
เหล่านั้นเปนผู้สะท้อนให้ทราบถงความต้องการในการเรยน การวางแผนการเรยนของตนเองรวมทั้งการ
ึ
็
ี
ี
่
ื
ช่วยเหลอผู้อน
ื
ิ
ิ
ี
ี
(3) ผู้เรยนจะมความสามารถในการวินจฉัยความต้องการในการเรยนอย่างแท้จรงโดย
ี
่
ื
ื
ร่วมมอกับผู้อน
ี
ุ
ี
(4) ผู้เรยนจะมความสามารถในการก าหนดจดม่งหมายการเรยนจากความต้องการในการ
ุ
ี
็
่
ุ
ิ
ี
เรยนของตนเองโดยเปนจดม่งหมายทสามารถประเมนได้
ี
ุ
ี
์
(5) ผู้เรยนจะมความสามารถในการเชอมความสัมพันธกับผู้สอนเพือขอความช่วยเหลอ
ี
ื
ื
่
่
หรอปรกษา
ึ
ื
(6) ผู้เรยนจะมความสามารถในการแสวงหาบคคลและแหล่งทรพยากรการเรยนท ่ ี
ุ
ั
ี
ี
ี
เหมาะสมสอดคล้องกับจดม่งหมายการเรยนทแตกต่างกัน
ุ
ี
่
ี
ุ
ี
ี
ี่
ื
(7) ผู้เรยนจะมความสามารถในการเลอกแผนการเรยนทมประสทธภาพ โดยใช้แหล่ง
ี
ิ
ิ
ี
์
ี
ี
ั
ิ
ิ
ี
ี
ประโยชนจากแหล่งทรพยากรการเรยนต่าง ๆ มความคดรเร่ม และมทักษะในการวางแผนอย่างด
ิ
ี
ี
ี
่
(8) ผู้เรยนจะมความสามารถในการเก็บข้อมูล และน าผลจากข้อมูลทค้นพบไปใช้ได้อย่าง
เหมาะสม
ี
็
ี
3. การเรยนแบบตัวต่อตัว (One - to - one learning) การเรยนด้วยรปแบบน้ผู้เรยนจะท างานเปนค่ ู
ู
ี
ี
่
ึ
เพือช่วยอ านวยความสะดวกซงกันและกันในการท างาน
่
ู
้
ี่
ี
ุ
็
4. การเรยนแบบร่วมมอในกล่ม (Collaborative learning) เปนการแลกเปลยนเรยนร ประสบการณ ์
ี
ื
์
่
ี
่
ึ
ทต่างคนต่างน ามาแลกเปลยนกัน ซงประสบการณของตัวเองอาจช่วยช้น าเพือนได้ และในทางตรงกันข้าม
ี
ี
่
่
่
ประสบการณจากเพือนก็อาจช่วยช้น าตนเองได้ พรอมกันน้ก็จะเปนการเรยนการสอนทมการแลกเปลยน
ี
่
์
ี
่
ี
ี
ี
้
็
ี
ี
่
์
ประสบการณความคดเหนระหว่างผู้สอนหรอผู้อ านวยความสะดวกกับผู้เรยนในกล่มด้วย ส่งทจะได้จากการ
ี
ุ
็
ิ
ื
ิ
ึ
เรยนแบบร่วมมอในกล่ม คอ การพัฒนาความรความเข้าใจในเน้อหาวิชา ทักษะทางสังคม ความรสกเหน
ื
ื
็
ุ
ี
ู
ื
้
้
ู
้
ู
ุ
ู
คณค่าในตนเอง การรจักตนเอง และเกิดแรงจงใจในการเรยน
ี
33
5. การท าบันทกการเรยน (Learning log) เพื่อบันทกข้อมูล ความคด ความรสก ความคาดหวัง
ึ
ิ
ึ
้
ู
ี
ึ
ื
็
้
ู
่
ี
่
ี
ึ
ี
ึ
ื
ี
ิ
เรองราวต่างๆทได้เรยนร ได้พัฒนา หรอเกิดข้นในสมองของผู้เรยน บันทกน้จะเปนธนาคารความคดทช่วย
ี
่
ี
เก็บสะสมเรองทได้อ่าน ปฏบัตการได้ใช้ความคดทละน้อยในชวิตประจ าวันเข้าไว้ด้วยกัน ซงจะท าให้ทราบ
่
ิ
ิ
ี
่
ึ
่
ื
ิ
ี
็
ึ
ี
ี
ี
ิ
แนวทางและวิธการเรยนเพิ่มเตมให้กว้างไกลออกไป บันทกการเรยนเปนส่งทมประโยชนมากในการ
ี
์
่
ิ
ี
็
ื
่
ี
ี
ประเมนการเรยนด้วยตนเอง ทมลักษณะเปนแฟมหรอสมดบันทกข้อมูลรายบคคลเกียวกับกิจกรรมทท า
ี
่
้
ี
ิ
ึ
ุ
ุ
่
่
ี
ึ
ซงจะเปนข้อมูลบ่งช้เกียวกับความคาดหวังของผู้เรยนแต่ละบคคล รวมทั้งความรบผิดชอบของผู้เรยนด้วย
ั
ี
ุ
็
ี
่
ผู้สอนสามารถใช้บันทกการเรยนเปนแรงเสรมจากผู้สอนโดยการเขยนข้อความสั้น ๆ ง่าย ๆ เพื่อให้
ี
็
ึ
ิ
ี
็
ี
ื
ิ
ข้อคดเหนหรอค าแนะน าแก่ผู้เรยน
ี
ี
้
ี
ี
ื่
ู
ู
ิ
ุ
ั
้
ี
่
6. การจัดช่วงเวลาส าหรบสรปส่งทเรยนร เนองจากในการเรยนด้วยตนเอง ผู้เรยนได้เรยนรและ
ิ
่
ุ
ึ
ี
ั
ิ
็
เผชญกับปญหาต่างๆด้วยตนเอง จงต้องมช่วงเวลาส าหรบสรปส่งทได้เรยนโดยผู้สอนเปนผู้น า
ี
ั
ี
7. การสรางห้องสมดของตนเอง หมายถง การรวบรวมรายชอ ข้อมูล แหล่งทรพยากร การเรยน
ุ
ึ
ั
ื่
ี
้
่
ื
ุ
ื
ต่าง ๆ อาท รายชอบคคล สถาบัน หนังสอ รายงานการประชมฝกอบรม สอการเรยนต่าง ๆ สถานท หรอ
ื
ึ
ี
ี่
ื่
ุ
ิ
ิ
ึ
ิ
ุ
่
ี
่
ประวัตบคคลทคดว่าจะเปนประโยชนตรงกับความสนใจเพือใช้ในการศกษาค้นคว้าต่อไป
็
์
ั
ี
ุ
้
ี
8. การหาแหล่งทรพยากรการเรยนในชมชน เช่น การสนทนากับผู้ร ผู้ช านาญในอาชพต่างๆ หรอ
ู
ื
ี
้
็
ึ
่
ปายประกาศตามสถานทต่าง ๆ เปนต้น แหล่งทรพยากรการเรยนเหล่าน้จะเปนแหล่งส าคัญในการ ค้นคว้าซง
็
ี
ั
ี
่
ี
็
ี
มผลต่อการเรยนด้วยตนเองเปนอย่างมาก
ู
ื
ุ
สรปได้ว่าการจัดการเรยนรให้ผู้เรยนมการเรยนด้วยตนเอง สามารถเลอกใช้รปแบบในการเรยนได้
ู
ี
ี
ี
้
ี
ี
ี
ี
ี
ู
ี
ี
หลายอย่าง โดยเฉพาะการท าสัญญาการเรยนและการเขยนโครงการเรยน ทั้งน้ครควรแนะน าวิธการและ
ี
ี
ขั้นตอนในการเรยนให้ผู้เรยนเข้าใจก่อนด าเนนการเรยนด้วยตนเอง สนับสนนให้ผู้เรยนมการเรยนแบบ
ี
ุ
ี
ิ
ี
ี
ี
ร่วมมอ และควรจัดช่วงเวลาส าหรบพบผู้สอนเพือประเมนการเรยนเปนระยะ ๆ ทั้งน้ผู้เรยนอาจวางแผน การเรยน
ี
ี
ั
ื
ี
็
่
ิ
็
็
ี
ี
ี
ี
ู
ด้วยตนเองโดยการเรยนเปนรายบคคล เรยนกับค่ทมความสามารถเท่ากัน เรยนเปนกล่ม หรอเรยนกับผู้ทม ี
่
ี
ุ
่
ุ
ื
ี
ี
่
ความรและประสบการณในเรองนั้นมากกว่าก็ได้
ู
้
ื
์
ิ
ี
Knowles (1975) ได้เสนอให้ผู้เรยนพิจารณาส่งต่าง ๆประกอบในการวางแผนการเรยน ดังน้
ี
ี
่
ี
ี
ิ
ี
ิ
ี
ี
่
ิ
ี
(1) การเรยนด้วยตนเองควรเร่มจากการทผู้เรยนมความต้องการทจะเรยนในส่งหนงส่งใด เพื่อการ
่
ึ
ู
ั
้
พัฒนาทักษะความร ส าหรบการพัฒนาชวิตและอาชพของตนเอง
ี
ี
ี
ู
ื
ึ
ี
ี
ุ
(2) การเตรยมตัวของผู้เรยนคอผู้เรยนจะต้องศกษาหลักการ จดม่งหมายและโครงสรางของหลักสตร
ุ
้
ุ
ุ
รายวิชาและจดม่งหมายของรายวิชาก่อน
ื
ี
้
(3) ผู้เรยนควรเลอกและจัดเน้อหาวิชาด้วยตนเอง ตามจ านวนคาบทก าหนดไว้ในโครงสรางและ
่
ี
ื
ุ
ิ
่
ิ
ุ
ี
็
ก าหนดวัตถประสงค์เชงพฤตกรรมลงไปให้ชัดเจนว่าจะให้บรรลผลในด้านใด เพือแสดงให้เหนว่าผู้เรยนได้
เกิดการเรยนในเรองนั้น ๆ แล้ว และมความคดเหนหรอเจตคตในการน าไปใช้กับชวิต สังคมและ
ิ
ี
็
่
ี
ิ
ี
ื
ื
ส่งแวดล้อมด้วย
ิ
34
็
ี
(4) ผู้เรยนเปนผู้วางโครงการเรยนการสอน และด าเนนกิจกรรมการเรยนการสอนนั้นด้วยตนเอง
ี
ิ
ี
ื
่
โดยอาจจะขอค าแนะน าช่วยเหลอจากผู้สอนหรอเพือน ในลักษณะของการร่วมมอกันท างานได้เช่นกัน
ื
ื
ิ
ี
ี
ิ
(5) การประเมนผลการเรยนด้วยตนเอง ควรเปนการประเมนร่วมกันระหว่างผู้สอนและผู้เรยน โดย
็
ร่วมกันตั้งเกณฑ์การประเมนผลร่วมกัน
ิ
ี
ี
ั
ี
ค าถามในการถามตนเองของผู้เรยนเพื่อให้ได้ค าตอบส าหรบการวางแผนการเรยน ดังน้
ี่
ี
ุ
้
ู
็
(1) จะเรยนรอย่างไร และเมอใดจงจะเรยนรได้เรวทสด
ื่
ู
ึ
้
ี
ี
ึ
ี
ื
่
(2) จะมวิธการอะไรในการศกษาเรองนั้น ๆ
ื
(3) จะใช้หนังสอหรอแหล่งข้อมูลอะไรบ้าง
ื
(4) จะก าหนดจดม่งหมายเฉพาะในการศกษาของตนอย่างไร
ึ
ุ
ุ
้
ู
(5) จะคาดหวังความร ทักษะ เจตคตอะไร
ิ
(6) จะประเมนผลการเรยนของตนเองอย่างไร
ิ
ี
(7) จะใช้เกณฑ์อะไรตัดสนว่าประสบความส าเรจ
ิ
็
ี
ี
ี
ึ
ในการเรยนด้วยตนเองผู้เรยนสามารถเรยนได้หลายวิธข้นอยู่กับความรเดมและทักษะของผู้เรยน
ี
้
ู
ี
ิ
ี
ี
ี
ี
ื
โดยใช้สัญญาการเรยนเปนเครองมอสนับสนน เพื่อบันทกและจัดการเรยน ทั้งน้ ผู้ทเรยนด้วยตนเองควรม ี
ื่
็
ึ
ุ
ี่
ั
ี
ิ
็
ทักษะในการตั้งค าถาม การสบค้น การใช้เทคโนโลยี การท างานเปนทม การแก้ปญหา การคดอย่างม ี
ื
ี
ี
้
ี
ี
ิ
็
วิจารณญาณ การคดสรางสรรค์ การวิจัย และการเปนผู้น า โดยผู้เรยนมบทบาทในการเรยนด้วยตนเองดังน้
1. วินจฉัยความต้องการในการเรยนของตนเอง
ิ
ี
ู
้
ู
2. ตั้งค าถามตามความอยากรอยากเหน ซงจะน าไปส่ความต้องการค้นหาค าตอบ
ึ
็
่
ี
ุ
้
3. ก าหนดเปาหมายและวัตถประสงค์ในการเรยนของตนเอง
ื
่
ุ
ุ
4. รบรจดม่งหมายของตนเองและการยอมรบการสะท้อนกลับจากผู้อนเกียวกับคณลักษณะ
ั
่
ู
ั
ุ
้
ี่
ุ
ทต้องปรบปรงของตนเอง
ั
5. วางแผนการเรยนของตนเอง
ี
ี
ื
ั
์
ุ
่
่
ี
็
6. เลอกแหล่งทรพยากรการเรยนทเปนบคคล ส่งของ หรอประสบการณทจะช่วยให้บรรล ุ
ิ
ื
ี
ี
ี
ุ
ุ
จดม่งหมายในการเรยนและสอดคล้องกับข้อมูลทต้องการ
่
7. เลอกและรบข้อมูลข่าวสารในการตอบค าถาม
ั
ื
ี
ี
่
8. เลอกและใช้วิธการทมประสทธภาพทสดในการตรวจสอบข้อมูลจากแหล่งการเรยนต่าง ๆ
ี
ี่
ุ
ื
ิ
ิ
ี
์
ู
ิ
ี่
ี่
9. จัดการ วิเคราะห และประเมนข้อมูลทจะท าให้ได้ค าตอบทถกต้อง
ั
ี
่
่
ี
10. ออกแบบแผนเกียวกับวิธการประยุกต์ใช้แหล่งทรพยากรการเรยนทสามารถตอบค าถาม
ี
ุ
ี
ื
หรอบรรลความต้องการในการเรยน
ิ
็
ี
็
11. ด าเนนการเรยนตามแผนอย่างเปนระบบและเปนล าดับขั้นตอน
็
12. ตรวจสอบความส าเรจตามจดม่งหมายในการเรยน
ุ
ี
ุ
13. ประเมนผลการเรยนของตนเอง
ี
ิ
35
ี
็
ี
สรปได้ว่า การเรยนด้วยตนเองเปนคณลักษณะทสามารถจัดได้ทั้งในสภาพการเรยนรในระบบ นอก
ุ
่
ี
ู
้
ุ
ี
ิ
ื
์
ี
ระบบ และตามอัธยาศัย โดยมหลักการคอ การเปดโอกาสให้ผู้เรยนได้วิเคราะหและแสดงความต้องการท ี่
ี
ุ
ี
ุ
ิ
ิ
ี
แท้จรงในการเรยนของตนเอง ให้อสระแก่ผู้เรยนในการก าหนดจดม่งหมายในการเรยน วิเคราะหปญหา
์
ั
ี
ี
ี
่
วางแผนการเรยน ก าหนดและแสวงหาแหล่งทรพยากรการเรยนทจะใช้ในการเรยน ก าหนดขั้นตอนและ
ั
ี
่
ิ
ี
ี
ิ
วิธการเรยนทเหมาะสมกับตนเอง ได้ด าเนนกิจกรรมการเรยน และการประเมนกระบวนการและผลการ
ี
ี
เรยนด้วย ตนเอง โดยมอสระจากการถกข่มขู่บังคับ การให้รางวัลหรอการลงโทษ ซงผู้สอนจะเปนผู้ช่วยให้
ิ
ี
ู
ึ
ื
่
ี
็
ู
็
ึ
็
้
ื
ผู้เรยนตระหนักถงความจ าเปนในการเรยน ตระหนักว่าตนต้องเปนผู้เรยนรและจัดการเรองการเรยนด้วย
ี
่
ี
ี
ี
ตัวเอง โดยเปดโอกาสให้ผู้เรยนรบผิดชอบการเรยนและควบคมกระบวนการเรยนของตนเองเพื่อให้บรรล ุ
ี
ี
ั
ุ
ี
ิ
ึ
ี
เปาหมายตามความต้องการของตนเอง และมการวางแผนกิจกรรมการเรยนการสอนโดยค านงถงความ
ึ
้
ี
ี
ี
ี
้
ิ
ึ
ี
ี
ุ
ี
่
แตกต่างระหว่างบคคลของผู้เรยน สรางบรรยากาศทส่งเสรมการเรยน สอนวิธการเรยนหลายๆวิธ ฝกทักษะ
็
ี
ื
ี
ี
การเรยนด้วยตนเองให้กับผู้เรยน รวมทั้งสังเกตกิจกรรมการเรยน เปนผู้ช่วยเหลอและอ านวยความสะดวก
ื
ิ
ื่
ี
ี
รวมทั้งประเมนผลการเรยนของผู้เรยนแต่ละคน โดยใช้สัญญาการเรยนเปนเครองมอในการให้ผู้เรยนได้
ี
็
ี
เรยนด้วยตนเอง โดยตระหนักว่าระดับของการเรยนด้วยตนเองของผู้เรยนอาจมตั้งแต่การเรยนด้วยตนเองใน
ี
ี
ี
ี
ี
่
ื
็
ู
ี
ี
ึ
่
ี
ู
ู
่
ี
ระดับต าคอมครเปนผู้น าไปจนถงการทผู้เรยนได้เรยนด้วยตนเองในระดับสงโดยไม่ต้องพึงพาคร
กิจกรรม
ุ
ี
ี
้
ู
กิจกรรมที่ 1 ให้สรปบทบาทของผู้เรยนในการเรยนรด้วยตนเอง มาพอสังเขป
้
ุ
ู
ู
ี
กิจกรรมที่ 2 ให้สรปบทบาทของครในการเรยนรด้วยตนเอง มาพอสังเขป
ี
ู
ี
ี
กิจกรรมที่ 3 ให้เปรยบเทยบบทบาทของผู้เรยนและคร มาพอสังเขป
ู
ุ
ี
้
กิจกรรมที่ 4 ให้สรปสาระส าคัญของ “กระบวนการเรยนรด้วยตนเอง” มาพอสังเขป
ี
ู
กิจกรรมที่ 5 ให้ผู้เรยนศกษาสัญญาการเรยนร (รายบคคล) และปรกษาคร แล้วจัดท าร่างกรอบ
ึ
ึ
ี
ุ
ู
้
แนวคดสัญญาการเรยนรรายวิชาทักษะการเรยนร ู ้
ิ
ี
้
ี
ู
ิ
่
ื
ี
้
เรองที 2 ทักษะพื้นฐานทางการศกษาหาความรู ทักษะการแกปญหาและเทคนคการเรยนรู
้
ึ
ั
่
้
้
ดวยตนเอง
้
ั
ค าถามธรรมดา ๆ ทเราเคยได้ยินได้ฟงกันอยู่บ่อย ๆ ก็คอ ท าอย่างไรเราจงจะสามารถฟงอย่างรเรอง
ื
่
ู
่
ึ
ี
ั
ื
ี
่
ื
็
ี
ื
ิ
ี
และคดได้อย่างปราดเปรอง อ่านได้อย่างรวดเรว ตลอดจนเขยนได้อย่างมออาชพ ทั้งน้ ก็เพราะเราเข้าใจกันด ี
ี่
็
็
็
ว่า ทั้งหมดน้ ีเปนทักษะพื้นฐาน (basic skills) ทส าคัญ และเปนความสามารถ (competencies) ทจ าเปน
ี่
ั
ี
ส าหรบการด ารงชวิตทั้งในโลกแห่งการท างาน และในโลกแห่งการเรยนร ้ ู
ี
36
ู
ั
ู
็
็
ิ
็
ั
้
ี
ี่
ั
การฟง เปนการรบรความหมายจากเสยงทได้ยิน เปนการรบสารทางห การได้ยินเปนการเร่มต้นของ
ิ
การฟงและเปนเพียงการกระทบกันของเสยงกับประสาทตามปกต จงเปนการใช้ความสามารถทางร่างกาย
ั
็
ึ
ี
็
ั
ี
ื
็
่
็
โดยตรง ส่วนการฟงเปนกระบวนการท างานของสมองอกหลายขั้นตอนต่อเนองจากการได้ยิน เปน
ี
่
ี
ู
้
ั
่
ี
ิ
ั
็
ู
ึ
่
ี
่
้
ความสามารถทจะได้รบรส่งทได้ยิน ตความและจับความส่งทรบรนั้น เข้าใจและจดจ าไว้ ซงเปน
ิ
ความสามารถทางสตปญญา
ั
ิ
ี
ื
่
่
ิ
ื
็
การพูด เปนพฤตกรรมการสอสารทใช้กันแพร่หลายทั่วไป ผู้พูดสามารถใช้ทั้งวจนภาษา (คอการ
ื
ื
ื
่
ั
ี
่
ั
สอสารโดยผ่านการฟง พูด อ่าน เขยน) และอวัจนภาษา (คอการสอสารโดยไม่ใช้การฟง การพูด การอ่าน
ิ
ั
์
็
ู
เช่น ภาษาท่าทาง รปลักษณต่าง ๆ) ในการส่งสารตดต่อไปยังผู้ฟงได้ชัดเจนและรวดเรว การพูด หมายถง การ
ึ
่
ู
สอความหมายของมนษย์โดยการใช้เสยง และกิรยาท่าทางเปนเครองถ่ายทอดความรความคด และความรสก
้
ื
ี
ื่
ิ
็
ิ
ุ
้
ึ
ู
ู
จากผู้พูดไปส่ผู้ฟง
ั
ุ
่
ี
ิ
่
้
ู
็
ั
ี
ั
ั
การอาน เปนพฤตกรรมการรบสารทส าคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าการฟง ปจจบันมผู้รนักวิชาการและ
้
ี
ื
้
ู
ี
ื
ิ
นักเขยนน าเสนอความร ข้อมูล ข่าวสารและงานสรางสรรค์ ตพิมพ์ ในหนังสอและส่งพิมพ์อน ๆ มาก
่
ื
ี
นอกจากน้แล้วข่าวสารส าคัญ ๆ หลังจากน าเสนอด้วยการพูด หรออ่านให้ฟงผ่านสอต่าง ๆ ส่วนใหญ่จะ
ั
ื
่
ุ
ี
็
ึ
ตพิมพ์รกษาไว้เปนหลักฐาน ความสามารถในการอ่านจงส าคัญและจ าเปนยิ่งต่อการเปนพลเมองทมคณภาพ
็
ี
่
ั
ี
ื
็
ั
ในสังคมปจจบัน
ุ
็
์
ื
ุ
ึ
ึ
ิ
็
้
ู
การเขียน เปนการถ่ายทอดความรสกนกคดและความต้องการของบคคลออกมาเปนสัญลักษณ คอ
็
ื่
ื่
ี
ตัวอักษร เพื่อสอความหมายให้ผู้อนเข้าใจจากความข้างต้น ท าให้มองเหนความหมายของการเขยนว่า มี
ี
้
ื
ู
่
็
ึ
ความจ าเปนอย่างยิ่งต่อการสอสารในชวิตประจ าวัน เช่น นักเรยน ใช้การเขยนบันทกความร ท าแบบฝกหัด
ี
ี
ึ
และตอบข้อสอบบคคลทั่วไป ใช้การเขยนจดหมาย ท าสัญญา พินัยกรรมและค ้าประกัน เปนต้น พ่อค้า ใช้
็
ี
ุ
ิ
ิ
ั
การเขยนเพื่อโฆษณาสนค้า ท าบัญช ใบสั่งของ ท าใบเสรจรบเงน แพทย์ ใช้บันทกประวัตคนไข้ เขยนใบสั่งยา
็
ึ
ี
ี
ิ
ี
และอน ๆ เปนต้น
ื่
็
37
ื
ุ
ั
่
็
ี
ี
กิจกรรมที่ 1 คณเปนผู้ฟงทดหรอเปล่า
ื
่
ให้ตอบแบบทดสอบต่อไปน้ ด้วยการท าเครองหมาย ในช่องค าตอบทางด้านขวา เพือประเมนว่า
ิ
่
ี
ั
คณเปนผู้ฟงได้ดแค่ไหน
ุ
ี
็
้
ั
ความบอยครง
่
ั
ลักษณะของการฟง เสมอ สวน บางครง นาน ๆ ไม ่
่
้
ั
ใหญ ่ ครง เคย
้
ั
1. ปล่อยให้ผู้พูดแสดงความคดของเขาจนจบโดยไม่
ิ
ขัดจังหวะ
2. ในการประชม หรอระหว่างโทรศัพท์ มการจดโน้ต
ุ
ื
ี
่
ิ
ี
สาระส าคัญของส่งทได้ยิน
ี
ี
่
3. กล่าวทวนรายละเอยดทส าคัญของการสนทนากับผู้พูด
ู
่
เพือให้แน่ใจว่าเราเข้าใจถกต้อง
ิ
ื
4. พยายามตั้งใจฟง ไม่วอกแวกไปคดเรองอน
่
ื
่
ั
ื
ี
่
5. พยายามแสดงท่าทว่าสนใจในค าพูดของผู้อน
้
ี
่
ี
ู
่
6. รดว่าตนเองไม่ใช่นักสอสารทด ถ้าผูกขาดการพูดแต่
ื
ี
ี
ผู้เดยว
ิ
ุ
ั
7. แม้ว่าก าลังฟงก็แสดงอาการต่าง ๆ เช่น ถาม จดสรปส่ง
ั
่
ี
็
ทได้ฟง กล่าวทวนประเดนส าคัญ ฯลฯ
8. ท าท่าต่าง ๆ เหมอนก าลังฟงอยู่ในทประชม เช่น ผงก
ุ
ื
ี
ั
่
็
ี
ศรษะเหนด้วยมองตาผู้พูด ฯลฯ
ื
่
ี
ู
9. จดโน้ตเกียวกับรปแบบของการสอสารทไม่ใช่ค าพูด
่
่
็
ี
ของค่สนทนา เช่น ภาษากาย น ้าเสยง เปนต้น
ู
10. พยายามทจะไม่แสดงอาการก้าวราว หรอตนเต้นเกินไป
ื
ี
่
้
ื
่
ี
ิ
็
ถ้ามความคดเหนไม่ตรงกับผู้พูด
38
ี
ค าตอบทั้ง 5 ค าตอบ (ในแต่ละช่อง) มคะแนนดังน้ ี
กิจกรรมที่ 2 เสมอ = 5 คะแนน
ทานคิดอยางไรกับ นาน ๆ คร้ง = 2 คะแนน
่
่
ั
้
่
่
ค ากลาวขางลางนี้ ส่วนใหญ่ = 4 คะแนน
การฟงนนสาคัญไฉน
โปรดอธบาย ั ้ ั
ิ
การฟงเปนประตูส าคัญทเปดไปส่ ู ไม่เคย = 1 คะแนน
ี
ิ
ั
่
็
็
่
“การพูดเปนทักษะหนึง บางคร้ง = 3 คะแนน
ั
ู
ี
้
ี
ู
้
การเรยนร การเรยนรก่อให้เกิดพัฒนาการ
่
่
ทีมีความสาคัญทีสุดของคนเรา น าคะแนนจากทั้ง 10 ข้อ มารวมกัน เพือดว่า คณจัด
่
ู
ุ
ดังนั้นจงอาจกล่าวได้ว่า การทเราเปนอย่าง
ึ
้
่
่
กอนทีเราจะพูดอะไรออกไปนัน ่ ี ็
ั
ุ
ุ
ี
ุ
ั
ทกวันน้ ส่วนหนงเปนผลมาจาก การฟง อยู่ในกล่มนักฟงประเภทไหนใน 3 กล่ม ต่อไปน้ ี
่
็
ึ
็
เราจะเปนนายของค าพูด ั ี
ไม่ว่าจะเปนการฟงในครอบครว ในโรงเรยน
็
ั
ั
้
ั
ึ
ั
ั
่
็
่
่
้
้
แตเมือเราไดพูดออกไปแลว 40 คะแนนข้นไป จดวาคุณเปนนกฟงชนยอด
ี่
ี่
สถานศกษา สถานทท างาน ในทประชม
ุ
ึ
้
ั
่
็
ั
่
ั
่
่
้
็
ค าพูดเหลานันก็จะกลับมาเปนนายเรา” 25 - 39 คะแนน คุณเปนนกฟงทีดีกวาผูฟงทัว ๆ ไป
ื
ุ
ึ
การปรกษาหารอ การพูดคย ฯลฯ แต่พวกเรา
่
่
้
้
็
ั
ิ
่
เขียนค าอธบายของทาน ั ี ่ ต ่ากวา 25 คะแนน คุณเปนผูฟงทีตองพัฒนาทักษะ
ี
่
ก็ไม่ค่อยสนใจทจะพัฒนาการฟง ทั้ง ๆ ทการ
.............................................................. การฟงเปนพิเศษ
ั
็
ี
ี
่
ื
ฟงเปนทักษะในการสอสารทส าคัญขนาดน้
็
ั
่
...............................................................
ุ
ุ
ี
มใครเคยถามตัวเองบ้างไหมว่า เราฟงได้ดแค่
ี
ั
............................................................... แต่ไม่ว่าจะอยู่ในกล่มไหนก็ตาม คณก็ควรจะพัฒนา
............................................................... ทักษะในการฟงของคณอยู่เสมอ เพราะว่าผู้ส่งสาร (ทั้งคน
ั
ุ
ิ
ไหน หลาย ๆ คน อาจคดว่าการฟงเปนเรอง
ื
็
ั
่
...............................................................
้
ู
็
ื
ง่าย แค่รว่าเขาพูดอะไรกันบ้างก็ถอว่าเปน
ี
์
่
ุ
ี
............................................................... และอปกรณเทคโนโลยีต่าง ๆ) นั้นมการเปลยนแปลงและม ี
...............................................................
็
ั
การฟงแล้ว ซงเปนความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง
ึ
่
ึ
............................................................... ความซับซ้อนมากข้นอยู่ตลอดเวลา
้
ั
ิ
เพราะการฟงที่แทจรง หมายถึงการใหความ
้
............................................................... การพูดเปนวิธการสอสารทมนษย์ใช้กันมานานนับพันป และใน
็
ี
่
ุ
ี
ื
่
ี
้
สนใจค าพูดอยางเต็มที่ จนเกิดความเขาใจ
่
...............................................................
ึ
ื
่
ื
ี
่
ี
่
ื
ิ
ี
ู
้
............................................................... โลกน้คงไม่มเครองมอสอสารใดทสามารถถ่ายทอดความคด ความรสกและ
้
ความหมายทุกนัยของค าพูดเหลานัน
่
............................................................... ส่งต่าง ๆ ในใจเราได้ดกว่าค าพูด ถงแม้ว่าปจจบันน้เทคโนโลยีในการสอสาร
ุ
ึ
ั
ี
ิ
่
ี
ื
...............................................................
ี
่
ึ
ั
ี
็
ุ
............................................................... จะได้รบการพัฒนาไปถงไหน ๆ แล้วก็ตาม สาเหตทเปนเช่นน้ ก็เพราะว่าการ
............................................................... พูดไม่ใช่แต่เพยงเสยงทเปล่งออกไปเปนค า ๆ แต่การพูดยังประกอบไปด้วย
ี
ี
็
่
ี
ี่
ู
ี
ี
็
น ้าเสยงสง-ต า ่ จังหวะช้า-เรว และท่าทางของผู้พูด ทท าให้การพูดมความ
่
ื
่
ื
ื
ี
ิ
ิ
ซับซ้อน และมประสทธภาพยิ่งกว่าเครองมอสอสารใด ๆ
การพูดนั้นเปรยบเสมอนดาบสองคม คอ สามารถให้ทั้งคณ
ื
ุ
ื
ี
และโทษแก่ตัวผู้พูดได้ นอกจากนี้การพูดยังเป็นอาวุธในการสือสารทีคน
่
่
ส่วนใหญ่ชอบใช้มากกว่าการฟังและการเขียน เพราะคิดว่าการพูดได้มากกว่า
่
่
คนอืนนั้นจะท าให้ตนเองได้เปรียบ ได้ประโยชน์ แต่ทั้ง ๆทีคิดอย่างนี้หลาย
คนก็ยังพาตัวเองไปสู่ความหายนะได้ด้วยปาก เข้าท านองปากพาจน ซึ่งเหตุที่
ี
ู
เปนเช่นน้ก็เพราะรกันแต่เพยงว่าฉันอยากจะพูด โดยไม่ คิดกอนพูด การพูด
็
้
ี
่
ี
่
ุ
ี
ทจะให้คณแก่ตนเองได้นั้นควรมลักษณะดังน้ ี
ถูกจังหวะเวลา ภาษาเหมาะสม
ั
ิ
ี
ื
เน้อหาชวนตดตาม น ้าเสยงชวนฟง
แนวการตอบ
ิ
์
กิรยาท่าทางด ี ็ ้ ิ มีอารมณขัน
การพูดทกครง จ าเปนตองคดและเปนการคดกอนพูด
ุ
็
ั้
่
ิ
ี
ให้ผู้ฟงมส่วนร่วม ้ ุ เปนธรรมชาตและเปน
ั
็
็
ิ
็
ึ
ั้
เราจงจะเปนนายของค าพูดไดทกครง
ตัวของตัวเอง
39
่
ุ
่
ื
่
ี
่
ื
กิจกรรมที่ 3 ให้อ่านเรอง “การมองโลกในแงดี” และสรปเรองทอ่าน ให้ได้ประมาณ 15 บรรทัด
เรอง “การมองโลกในแงดี”
่
ื่
่
ความหมายและความสาคัญของการมองโลกในแงดี
ี
่
ิ
ิ
ี
การด าเนนชวิตของมนษย์เรานั้นได้ใช้ความคดมาช่วยในการตัดสนใจเรองราวต่างๆ ทอยู่รอบตัวเรา
่
ื
ุ
ิ
ิ
ั
ึ
ุ
ได้อย่างเหมาะสม ซงในบางคร้งการมองโลกโดยใช้ความคดน้ ก็อาจจะมมมมองได้หลายด้าน เช่น ทางด้าน
ี
่
ี
ิ
้
ึ
ึ
ิ
ี
บวกและทางด้านลบ การมองโลกในลักษณะเช่นน้ สามารถถ่ายทอดความรสกนกคดออกมาทางจตใจ
ู
ี
ิ
เปนต้นว่า ถ้ามองโลกในแง่ดก็จะส่งผลต่อความรสกนกคดในด้านดโดยท าให้การแสดงออกของคน ๆ นั้นม ี
ี
ึ
ู
้
ึ
็
ึ
ี
ิ
ู
้
ความสขต่อการด าเนนชวิตได้ แต่ในทางกลับกันถ้ามองโลกในแง่รายก็จะส่งผลมายังความรสกนกคดท าให้
ุ
้
ึ
ิ
จตใจเกิดความวิตกกังวล ขาดความสขและอาจจะท าให้มองคนรอบข้างอย่างไม่เปนมตรได้ ฉะนั้น การมอง
ิ
็
ิ
ุ
์
็
ี
่
ิ
ี
ี
ิ
ั
ุ
โลกในแง่ดเพือให้เกิดประโยชนต่อการด าเนนชวิตควรมหลักอย่างไร ลองฟงความคดเหนของบคคลทั่วไป
ู
ว่าเขามความเข้าใจกันอย่างไรดบ้าง
ี
ั
ื
ิ
ึ
ี่
ี่
ี
ี
การมองโลกในแง่ด หมายถง มองส่งต่าง ๆ หรอมองปญหาต่าง ๆ ทเข้ามาในทางทด ในทางบวก
ุ
ี
ิ
ู
ไม่ใช่ในทางลบ มผลต่อสขภาพจตของเราด้วย มองส่งรอบข้าง รอบตัวเรา และมองดคนรอบข้างด้วย รวมทั้ง
ิ
มองตัวเราเองด้วย
่
ิ
ี
ุ
ส าหรบการมองโลกในแง่ด คดว่าถ้าเรามองคนรอบตัวหรอมองเหตการณทผ่านมา ถ้าเราคดในส่งท ี ่
ื
์
ี
ิ
ิ
ั
ู
ื
ึ
ิ
ี
ุ
่
ุ
ี
ด คอ ไม่คดมาก คดว่าคงจะไม่มเหตการณอะไรเข้ามาส่ตัวเรา จะท าให้จตใจเราเปนสข ซงจะส่งผลถง
ิ
ึ
็
ิ
์
ิ
ประสทธภาพในการท างานและครอบครวของเราด้วย
ิ
ั
หลักการมองโลกในแงดี
่
ี่
ี
ค าว่า การมองโลกในแง่ด โดยในแง่ของภาษาสามารถแยกออกเปน 3 ค าแตกต่างจากกัน ค าทหนง
่
็
ึ
ื
ื
ื
ี่
คอ การมอง ค าทสองคอ โลก ค าทสาม คอ ในแง่ด ี
ี่
็
ี
ี
เปาหมายของการมอง คอ เพื่อให้เหน การจะเหนส่งใดเรามวิธเหน 2 วิธ ี
็
ื
็
้
ิ
็
็
1. ใช้ตามอง เรยกว่ามองเหน เราเหนห้องน ้า กาแฟ เหนสรรพส่งในโลกเราใช้ตามอง
ิ
็
ี
ึ
2. คดเหน เช่น เรากับคณแม่อยู่ห่างกันแต่พอเราหลับตาเรายังนกถงคณแม่ได้ เราไม่ได้ไปเมองนอก
ึ
ื
ุ
็
ุ
ิ
ี
่
มานานหลับตายังนกถงสมัยเราเรยน ๆ ทตรงนั้น อย่างน้เรยกว่าคดเหน เพราะฉะนั้นการทจะเหนส่งใด
่
ี
ึ
็
ิ
ี
ึ
ี
ี
ิ
็
ิ
สามารถท าได้ทั้งตากับคด
ี
การมองโลกบางคร้งอาจมองดเหนป๊บคดเลย หรอบางทไม่ต้องเหนแต่จนตนาการ
ื
ั
ู
็
ั
ิ
ิ
็
ี
่
็
ี
ค าว่าโลก เราสามารถแยกเปน 2 อย่าง คอ โลกทเปนธรรมชาต ปาไม้ แม่น ้า ภเขา อย่างน้เรยกว่าเปน
ิ
็
ื
ี
็
ู
่
ุ
ี
ี
ื
ุ
ธรรมชาต โลกอกความหมายหนง คอ โลกของมนษย์อยู่เรยกว่าสังคมมนษย์ เพราะฉะนั้นเวลามองโลกอาจ
ิ
ึ
่
็
ิ
ิ
ุ
ิ
ู
ี
มองธรรมชาต บางคนบอกว่ามอง ภเขาสวย เหนทวไม้แล้วชอบ เรยกว่ามองธรรมชาต แต่บางคร้งมองมนษย์
ั
ื
ด้วยกัน มองเหนบคคลอนแล้วสบายใจ เรยกว่าการมองเหมอนกัน เพราะฉะนั้นโลกจงแยกออกเปน 2 ส่วน
็
ุ
ึ
ี
่
ื
็
ิ
ื
ุ
คอธรรมชาตกับมนษย์
40
ี
ิ
่
ี
ื
ั
ึ
ี
ี
ี
่
ค าว่าด เปนค าทมความหมายกว้างมาก ในทางปรชญาถอว่าด หมายถงส่งทจะน าไปส่ ตัวอย่างเช่น
ู
็
ี
ี
ื
ี
ื
ี
ั
ี
่
ู
ื
ู
ื
ึ
ี
ยาด หมายถงยาทน าไปส่ คอยารกษาโรคนั่นเอง มดด คอมดทน าไปส่ คอสามารถตัดอะไรได้ หรออาหารด ี
่
ี
ู
ึ
ี
หมายความว่าอาหารน าไปส่ให้เรามสขภาพดข้น เพราะฉะนั้นอะไรทน าไปส่สักอย่างหนงเราเรยกว่าด ดใน
ี
ึ
ู
่
ี
่
ี
ี
ุ
ื
็
ี
่
ุ
ื
ี
่
ี
ู
ทน้ดได้ 2 ทางคอ น าไปท าให้เราเกิดความสข หรอน าไปเพือให้เราท างานประสบความส าเรจ ชวิตเราหน ี
ุ
ู
การท างานไม่ได้ หนชวิตส่วนตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้นดว่ามองคนแล้วท าให้เราเกิดความสข ท าให้ท างาน
ี
ี
ประสบความส าเรจ
็
็
ื
ื
ถ้ารวม 3 ตัว คอ เราเหน หรอเราคดเกียวกับคน แล้วท าให้เรามความสข เรามอง เราคดกับคน ท าให้
ี
ิ
ิ
่
ุ
ี่
เราประสบความส าเรจ นคอความหมาย
ื
็
ุ
ี
ื
ื
สรปความส าคัญของค าว่า การมองโลกในแง่ด คอ 3 อย่างน้ต้องผูกพันกันเสมอคอ การคด การท า
ี
ิ
ิ
ี
ึ
ี
ี
ิ
ิ
และผลการกระท า ถ้าเราคดดเราก็ท าด ผลจะได้ดด้วย ตัวอย่างเช่น เราคดถงเรองอาหาร ถ้าเราคดว่าอาหารน้ ี
่
ื
ี
ิ
ุ
ี
ื
ด เราซ้ออาหารน้ และผลจะมต่อร่างกายเรา ถ้าเราคดถงสขภาพ เรองการออกก าลัง เราก็ไปออกก าลังกาย ผล
ี
ึ
่
ื
่
่
ทตามมาคอ ร่างกายเราแข็งแรง เพราะฉะนั้นถ้าเราคดอย่างหนง ท าอย่างหนง และผลการกระท าออกมาอย่าง
ิ
ี่
ึ
ื
ึ
ึ
่
หนงเสมอ
ี
ี
ิ
ุ
ี
ี
ถ้าการมองโลกจะมความส าคัญคอ จะช่วยท าให้ชวิตเรามความสข เพราะเราคดคนๆ น้ในแง่ด เรา
ื
ี
ิ
ี
ิ
ุ
ื
ี
ี
จะพูดดกับเขา ผลตามมาก็คอเขาจะมปฏกิรยาในทางดกับเรา ถ้าเราคดในทางรายต่อเขา เช่น สมมตคณก าลัง
้
ิ
ิ
ุ
ุ
ิ
ึ
ี
็
่
ุ
ิ
ยืนอยู่ มคนๆ หนงมาเหยียบเท้าคณ ถ้าคดว่าคนทมาเหยียบเท้าคณ เขาไม่สบายจะเปนลม แสดงว่าคณคดว่า
ี
่
ิ
ี
ุ
ี
ุ
เขาสขภาพไม่ด คณจะช่วยพยุงเขา แต่ถ้าคณคดว่าคนน้แกล้งคณ แสดงว่าคณมองในแง่ไม่ด คณจะมปฏกิรยา
ุ
ุ
ุ
ี
ิ
ิ
ี
ุ
ู
้
ี
คอผลักเขา เมอคณผลักเขาๆ อาจจะผลักคณและเกิดการต่อสกันได้ เพราะฉะนั้นคดทดจะช่วยท าให้ชวิตเราม ี
ื่
ี
ุ
ี
ิ
ื
่
ุ
ความสข ถ้าคดรายหรอคดทางลบชวิตเราเปนทกข์ ถ้าคดในทางทดเราท างานประสบความส าเรจ ถ้าคดในแง่
ี่
ี
็
ื
ุ
้
ี
็
ุ
ิ
ิ
ิ
ิ
ี
ลบงานของเราก็มทกข์ตามไปด้วย (ทมา: http://www.stou.ac.th/Thai/Offices/Oce/Knowledge/4-46/page6-
ุ
ี่
4-46.html)
สุขหรอทุกขข้นอยูกับอะไร?
ึ
์
่
ื
ี
ี่
ื
ี
ู
็
ข่าวทมผู้ถกหวยรฐบาลได้รางวัลเปนจ านวนหลายล้านบาท เรยกว่าเปนเศรษฐภายในชั่วข้ามคน
ี
็
ั
ี
ื
ุ
่
็
ุ
่
ี
่
ี
็
คงเปนข่าวททกท่านผ่านตามาแล้ว และก็ดเหมอนจะเปนทกขลาภอยู่ไม่น้อยทต้องหลบเลยงผู้ทมาหยิบยืม
ี
ู
่
ิ
ั
ิ
เงนทอง รวมทั้ง โจร - ขโมย จ้องจะแบ่งปนเงนเอาไปใช้
ี
ี
ู
่
ี
ในต่างประเทศ ก็เคยมการศกษาถงชวิตคนทถกหวยในลักษณะของกรณศกษาก็ค้นพบว่าหลายต่อ
ึ
ึ
ี
ึ
ี
หลายคน ประสบความทกข์ยากแสนสาหัสกว่าเดม หลายรายต้องสญเสยเงนทองจ านวนมาก มอยู่รายหนงท ี ่
่
ิ
ุ
ิ
ี
ึ
ู
็
ิ
็
ี
์
สดท้ายกลับไปท างานเปนพนักงานท าความสะอาด ความเปนจรงแล้ว พบว่า วิธคด หรอโลกทัศนของเรา
ุ
ื
ิ
ึ
ี
่
ต่างหากทบ่งบอกถงความสามารถในการมความสขหรอความทกข์
ุ
ื
ี
ุ
41
ี
ึ
่
่
วิธคิดอยางไร นามาซงความสุข?
ี
ี
่
ี
่
ึ
คงไม่ใช่วิธคดแบบเดยวอย่างแน่นอน แต่วิธคดซงมอยู่หลายแบบและน ามาซงความสขนั้น มักม ี
ิ
ึ
ี
ุ
ิ
็
พื้นฐานคล้าย ๆ กัน คอ การมองด้านบวกหรอคาดหวังด้านบวก รวมทั้งมองเหนประโยชนจากส่งต่าง ๆ
ิ
ื
์
ื
้
์
็
ุ
ี
่
(แม้ว่าจะเปนเหตการณทเลวรายก็ตาม)
ี
แต่กว่าทคนเราจะ "บรรลุ" ความเข้าใจได้ ก็อาจใช้เวลาเปนสบ ๆ ป เลยทเดยว ครสโตเฟอร รฟ
่
ี
ิ
์
ี
ี
ิ
็
ี
ิ
ึ
่
ุ
์
ุ
อดตดาราในบทบาทของซปเปอรแมน ได้ประสบอบัตเหตตกจากหลังม้า เขาเคยให้สัมภาษณในรายการหนง
์
ุ
ี
ี่
ว่า เขาต้องปรบตัวอย่างมากในช่วงแรก ๆ แล้วในทสด เขาก็สามารถมความสขได้ แม้ว่าจะไม่สามารถขยับ
ั
ุ
ี
ุ
แขนขยับขาได้ดังใจนกก็ตาม
ึ
ื
่
ี
ิ
ผู้บรหารคนหนงของบรษัทในเครอเยือกระดาษสยาม เล่าว่า เขาโชคดทถกลกค้าด่าเมอสบกว่าปท ี ่
ี
ี
ู
่
ิ
่
ื
่
ึ
ู
ิ
ุ
ิ
ิ
็
ึ
็
ู
่
แล้ว ในเวลานั้นลกค้าซงเปนผู้จัดการบรษัทแถวถนนสาธประดษฐ์ ไม่พอใจเซลล์ขายกระดาษคนก่อนเปน
อย่างยิ่งทปรบราคากระดาษโดยกะทันหัน จนท าให้บรษัทของเขาต้องสญเสยเงนจ านวนมาก เขา (เซลล์ขาย
่
ู
ั
ิ
ี
ี
ิ
ู
ี่
ี
กระดาษ) ท่านน้ได้ใช้ความพยายามเอาชนะใจลกค้าคนน้อยู่ 6 เดอนเต็ม ๆ อันเปนเวลาทออเดอรล๊อตปรากฎ
็
ื
ี
์
ุ
ึ
ี
์
ั
ข้น “ผมขอบคณวิกฤตการณในคร้งนั้นมาก มันท าให้ผมเข้าใจในอาชพนักขายและสอนบทเรยนทส าคัญมา
ิ
ี่
ี
จนถงปจจบัน”
ุ
ั
ึ
่
้
่
่
จากตัวอยางดังกลาว สามารถสรุปไดวา
ี
ิ
็
1. ผู้ประสบความส าเรจมักผ่านวิกฤตการณและได้บทเรยนมาแล้วทั้งส้น
ิ
์
ี
ั
ึ
่
็
ู
่
2. ผู้ทจะมความสขในการท างานและใช้ชวิตได้ ย่อมต้องใช้วิธคดทเปนด้านบวกซงได้รบการพิสจน์
ิ
ี
ี
ี่
ี
ุ
มาแล้ว
์
่
้
้
่
หากอยากมีความสุขตองเรมจากการสรางความคิดดานบวก มองเหตุการณอยางไดประโยชน
ิ
์
้
้
(ทมา: http://drterd.com/news/view.asp?id=4)
ี่
เรองที่ 3 การท าแผนผังความคิด
ื่
แผนผังความคิด (Mind Map)
การเขียนแผนผังความคิดคืออะไร
ุ
ี
ู
็
ื
้
ิ
การเขยนแผนผังความคด คอ การเอาความรมาสรปรวมเปนหมวดหมู่ เพิ่มการใช้ส และใช้รปภาพ
ู
ี
็
มาประกอบ ช่วยให้เรามองเหนภาพรวมได้ชัดเจน
แผนผังความคด (Mind Map) จะชวยใหเราฝกคดเปนรปภาพ
็
้
ิ
ึ
ิ
ู
่
จ าเปนภาพ เปนส ซงก็ตรงกับลักษณะการจ าตามธรรมชาตของสมอง
็
็
ี
ิ
ึ่