192
ึ
ิ
ั
ุ
ิ
“ปญหา” ตามพจนานกรมฉบับราชบัณฑตยสถาน หมายถง ข้อสงสัย ความสงสัย ส่งเข้าใจยาก
่
ิ
ิ
่
ึ
ื
ู
ั
ื
ี
็
้
ส่งทตนไม่รหรอค าถาม อันได้แก่โจทย์ในแบบฝกหัด หรอข้อสอบเพือประเมนผล เปนต้น ปญหาจะหมาย
รวมถง ปญหาส่วนตัว ปญหาครอบครว ปญหาเพือนร่วมงาน ปญหาจากผู้บังคับบัญชา ปญหาจากสภาวะ
ึ
ั
ั
ั
่
ั
ั
ั
ส่งแวดล้อมและอน ๆ
่
ื
ิ
ื
ึ
ปญหาเกิดข้นได้ 2 ทาง คอ
ั
ื
1) ปญหาทเกิดจากปจจัยภายนอก เช่น เมอเศรษฐกิจทรงตัวหรอซบเซา ท าให้รายได้ของเรา
ั
ี
่
ื
่
ั
ิ
ลดน้อยลง คนในสังคมมการด้นรนแก่งแย่งกัน การเอาตัวรอด การลักขโมย จ้ ปล้น ฆาตกรรม ส่งผลกระทบ
ี
ี
ต่อความเปนอยู่และความปลอดภัยในชวิตและทรพย์สน ปญหาหลายเรองสบเนองมาจากสขภาพอนามัย
ิ
ั
ื
ื่
ี
็
ุ
ั
ื่
ิ
์
็
ื
ภัยจากส่งเสพตดหรอปรากฏการณธรรมชาต เปนต้น
ิ
ิ
่
ั
ี
ี
่
ื
ุ
ั
2) ปญหาทเกิดจากปจจัยภายใน คอปญหาจากตัวมนษย์เอง คอ ปญหาทเกิดจากกิเลสในจตใจ
ั
ื
ั
ิ
ื
ิ
ี
่
ี
ิ
ี
ึ
ุ
ของมนษย์ ซงม 3 เรองส าคัญคอ โลภะ ได้แก่ความอยากได้ อยากม อยากเปน มากข้นกว่าเดม มการด้นรน
่
ึ
ื
็
ี
ี
ุ
ิ
ี
ิ
ุ
ี
ุ
ี
แสวงหาต่อไปอย่างไม่มทส้นสด ไม่มความพอเพียง เมอแสวงหาด้วยวิธสจรตไม่ได้ ก็ใช้วิธการทจรต ท าให้
่
ิ
่
ื
ี
ุ
่
ิ
เกิดความไม่สงบ ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ ไม่มทส้นสด โทสะ ได้แก่ความโกรธ ความอาฆาตพยาบาท
ี
ิ
่
ื
ิ
คนอน ความคดประทษรายคนอน โมหะ ได้แก่ ความไม่ร หรอรไม่จรง หลงเชอค าโกหก หลอกลวง ชักชวน
ื
ุ
ู
้
้
ื
้
่
ื่
ู
็
็
ิ
็
่
ื
ู
่
ี
ให้หลงกระท าส่งทไม่ถกต้อง ท าเรองเสยหาย หลงผิดเปนชอบ เหนกงจักรเปนดอกบัว เปนต้น
็
ี
่
็
่
ี
ึ
ั
ึ
่
2. ขนหาสาเหตุของปญหา ซงเปนขั้นตอนหนงของกระบวนการแก้ปญหาเปนขั้นตอนทจะ
็
ั
ั
้
ุ
็
ั
ี
วิเคราะหข้อมูลต่าง ๆ ทอาจเปนสาเหตของปญหา เปนตัวต้นตอของปญหาทั้งทเปนต้นเหตโดยตรง และท ี ่
์
่
็
่
ี
็
ั
ุ
่
ี
็
ุ
์
ุ
็
ี
เปนสาเหตทางอ้อม ทั้งน้ ีต้องวิเคราะหจากสาเหตทหลากหลายและมความเปนไปได้หลาย ๆ ทาง
ี
ื
์
ุ
การวิเคราะหหาสาเหตของปญหาอาจท าได้ง่าย ๆ ใน 2 วิธ คอ
ั
1) การวิเคราะหข้อมูล โดยการน าเอาข้อมูลทหลากหลายด้านต่าง ๆ มาแยกแยะและจัดกล่ม
์
ุ
่
ี
ของข้อมูลส าคัญ ๆ เช่น ข้อมูลด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สภาวะแวดล้อม วิทยาการใหม่ ๆ นโยบายและ
ี
ั
ทศทางในการบรหารจัดการ ปจจัยทางด้านเทคโนโลยี ฯลฯ ข้อมูลทน ามาวิเคราะหน้เมอจ าแนกแล้ว สาเหต ุ
์
ิ
ิ
ื
่
่
ี
ของปญหาอาจมาจากข้อมูลอย่างน้อย 3 ประการ คอ
ั
ื
ุ
ั
ุ
- สาเหตส าคัญมาจากตนเอง จากพื้นฐานของชวิตตนเองและครอบครว ความไม่สมดล
ี
ี
่
ี
่
ของการงานอาชพทพึงปรารถนา ความขัดข้องทเกิดจากโรคภัยของตนเอง ความโลภ โกรธ หลง ในใจของ
ี
ตนเอง ความคับข้องใจในการรกษาคณธรรม จรยธรรมของตนเอง ฯลฯ
ั
ิ
ุ
ุ
- สาเหตส าคัญมาจากสังคม ชมชนและสภาวะแวดล้อม ความไม่พึงพอใจต่อพฤตกรรม
ุ
ิ
ไม่พึงปรารถนาของเพือนบ้าน การขาดแหล่งเงนทนในการประกอบอาชพ ชมชนมการทะเลาะเบาะแว้ง
ี
ิ
ี
ุ
่
ุ
ขาดความสามัคค ฯลฯ
ี
ื
ุ
ู
่
่
ี
็
ั
ุ
้
- สาเหตส าคัญมาจากการขาดแหล่งข้อมูล แหล่งความรความเคลอนไหวทเปนปจจบัน
่
ิ
่
ู
ั
ั
ิ
ี
ิ
ี
ของวิชาการและเทคโนโลยีทเกียวข้องขาดภมปญญาทจะช่วยเตมข้อมูลทางปญญาในการบรหารจัดการฯลฯ
่
์
ุ
์
์
2) การวิเคราะหสถานการณ โดยการน าเอาสภาพเหตการณต่าง ๆ มาพัฒนาหาค าตอบ โดย
ี
ื
ุ
่
พยายามหาค าตอบในลักษณะต่อไปน้ให้มากทสด คอ อะไร ทไหน เมอไร เพียงใด ตัวอย่างเช่น
ี
ื
่
่
ี
193
ี
วิธการอะไรทก่อให้เกิดสภาพเหตการณเช่นน้ ี
ี
่
ุ
์
ุ
์
ิ
ส่งแวดล้อมอะไรทก่อให้เกิดสภาพเหตการณเช่นน้ ี
่
ี
ุ
ี
ุ
์
บคคลใดทก่อให้เกิดสภาพเหตการณเช่นน้ ี
่
ี
ึ
ผลเสยหายเกิดข้นมาได้อย่างไร
ึ
ี
ุ
ี
ท าไมจงมสาเหตเช่นน้เกิดข้น
ึ
ฯลฯ
จากนั้นจงกระท าการจัดล าดับความส าคัญของสาเหตต่าง ๆ คอ หาพลังของสาเหตทก่อให้เกิด
ุ
ื
ุ
ึ
่
ี
ื
ี
่
ั
ปญหา ทั้งน้เนองจาก
่
ั
- ปญหาแต่ละปญหาอาจเปนผลเนองมาจากสาเหตหลายประการ
ื
็
ุ
ั
ุ
ุ
- ทกสาเหตย่อมมอันดับความส าคัญ หรอพลังของสาเหตทก่อให้เกิดปญหาในอันดับ
่
ั
ุ
ี
ี
ื
แตกต่างกัน
ึ
ั
ุ
ี
ิ
็
- ทรพยากรมจ ากัด ไม่ว่าจะเปน บคลากร เงน เวลา วัสด ดังนั้นจงต้องพิจารณาจัดสรร
ุ
ู
ี
ั
การใช้ทรพยากรให้ตรงกับพลัง ทก่อปญหาสงสด
่
ุ
ั
่
์
่
่
ี
ี
3. ขันวิเคราะหเสนอทางเลือกของปญหา เปนขั้นตอนทต้องศกษาหาข้อมูลทเกียวข้อง
ึ
้
ั
็
อย่างหลากหลายและทั่วถง เพียงพอทั้งข้อมูลด้านบวกและด้านลบอย่างน้อย 3 กล่มข้อมูล คอ ข้อมูลทาง
ึ
ุ
ื
่
่
ี
์
ิ
วิชาการ ข้อมูลเกียวกับตนเอง และข้อมูลทเกียวข้องกับสังคมส่งแวดล้อม แล้วสังเคราะหข้อมูลเหล่านั้น
่
ึ
ี
็
็
ี
ข้นมาเปนทางเลอกในการแก้ไขปญหาหลาย ๆ ทางทมความเปนไปได้
ั
ื
่
ี
่
ั
้
่
ื
ี
็
ี
ี
4. ขันการตัดสนใจ เลอกทางเลอกในการแก้ปญหาทดทสดจากทางเลอกทั้งหมดทมอยู่ เปน
่
ุ
ี
ิ
ื
ื
่
์
ื
์
้
ี
ทางเลอกทได้วิเคราะหและสังเคราะหจากข้อมูลทั้ง 3 ด้าน ดังกล่าวแล้วอย่างพรอมสมบูรณแล้ว บางคร้ ัง
์
ี
่
ี
็
่
ื
ทางเลอกทดทสดอาจเปนทางเลอกทได้จากการพิจารณาองค์ประกอบทดทสดของแต่ละทางเลอก น ามา
ี
ื
ื
ุ
ี
่
่
ี
่
ี
ี
ุ
ผสมผสานกันก็ได้
ิ
ั
้
่
5. ขนนาผลการตัดสนใจไปสูการปฏิบัติ เมอได้ตัดสนใจด้วยเหตผลและไตร่ตรองข้อมูล
ิ
่
ุ
ื
อย่างรอบคอบพอเพียงและครบถ้วนทั้ง 3 ประการแล้ว นับว่าทางเลอกทตัดสนใจนั้นเปนทางเลอกทดทสด
่
ี
ี
่
ี
ิ
ื
็
ุ
ื
่
ี
แล้ว
ุ
ี
ื
ี
ี
่
่
ิ
ิ
ี
6. ขันติดตามประเมินผล เมอตัดสนใจด าเนนการตามทางเลอกทดทสดแล้ว พบว่ามความพอใจ
่
ื
้
ิ
ิ
ุ
ก็จะมความสข แต่ถ้าน าไปปฏบัตแล้วยังไม่พอใจ ไม่สบายใจ ยังขัดข้องเปนทกข์อยู่ ก็ต้องกลับไปศกษา
ึ
ุ
ี
็
่
ี
ื
ี
ิ
่
ค้นคว้าหาข้อมูลเพิ่มเตมด้านใดด้านหนงหรอทั้ง 3 ด้านทยังขาดตกบกพร่องอยู่ จนกว่าจะมข้อมูลทเพียงพอ
ี
ึ
่
ุ
ิ
ี
ั
ั
ท าให้การตัดสนใจคร้งนั้นเกิดความพอใจ และมความสขกับการแก้ปญหานั้น
ิ
์
่
ี
็
ุ
ั
อย่างไรก็ตาม สังคมในยุคโลกาภวัตนเปนสังคมแห่งการเปลยนแปลงทรวดเรวและรนแรง ปญหา
ี
็
่
่
่
ื
ี
ก็เปลยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ทกข์ก็เกิดข้ ึน ด ารงอยู่ และดับไป หรอเปลยนโฉมหน้าไปตามกาลสมัย
ุ
ี
ี
ู
่
กระบวนทัศนในการดับทกข์ก็ต้องพัฒนารปแบบให้ทันต่อการเปลยนแปลงเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลาให้เหมาะสม
์
ุ
194
ี
่
์
่
ี
ั
ุ
ุ
ื
กับสถานการณทเปลยนแปลงไปด้วย กระบวนการดับทกข์หรอแก้ปญหาก็จะหมนเวียนมาจนกว่าจะพอใจ
ี
็
ี
ี
อกเปนเช่นน้ อยู่อย่างต่อเนองตลอดชวิต
่
ื
ั
กระบวนการและขันตอนการแกปญหาของคนคิดเปน
้
็
้
ั
ุ
ั
1. ปญหา กระบวนการแก้ปญหา ความสข
ั
ี่
2. วิเคราะห์หาสาเหตุของปญหาจากข้อมูลทหลากหลายและพอเพียง
อย่างน้อย 3 ประการ
ิ
ตนเอง สังคมส่งแวดล้อม วิชาการ
6. ประเมินผล 3. วิเคราะหหาทางเลอกในการแก้ปญหาจากข้อมลทหลากหลาย
ี
ู
่
ั
์
ื
(ยังไม่พอใจ) 6. ประเมินผล
อย่างน้อย 3 ประการ (พอใจ)
ข้อมลเกียวกับ ข้อมูลด้าน
่
ู
ตนเอง สังคม
ิ
ข้อมูลด้าน ส่งแวดล้อม
วิชาการ
ี
ิ
ิ
ื
ั
ี่
ี
ุ
ี่
5. ปฏิบัติ 4. ตัดสนใจเลอกวิธการแก้ปญหาทดทสด 5. ปฏบัต ิ
195
้
่
็
ั
้
ตัวอยางกระบวนการและขันตอนการคิดแกปญหาแบบคนคิดเปน
กรณีศกษาเรอง การติดยาเสพติดของเยาวชน
ึ
ื่
ั
ปญหา
ึ
นายสามารถ เปนเยาวชนอาศัยอยู่กับเพือน ๆ ชานเมองกรงเทพ มอาชพเปนช่างก่อสราง ซงเปนช่าง
ี
่
็
็
ี
่
ุ
็
ื
้
ั
ั
็
ิ
ชาวบ้านในหมู่บ้าน รบจ้างต่อเตมซ่อมแซมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในหมู่บ้าน บางคร้งก็รบเปนคนงานรบจ้างรายวัน
ั
ั
็
็
ของบรษัทรบเหมาท างานไม้ งานปูน ทั่วไป ไม่มงานอยู่เปนประจ าเปนหลักแหล่ง รายได้ไม่แน่นอน
ั
ิ
ี
ื
่
็
่
ื
ิ
เคลอนย้ายไปตามแหล่งงานพรอม ๆ กับเพือนคนงานอน ๆ พื้นเพเดมพ่อแม่เปนเกษตรกรอยู่ต่างจังหวัด
้
่
ึ
ี
ู
ยากจนมลกหลายคน นายสามารถจงต้องมาเปนคนงานก่อสรางเพือหาเงนส่งไปให้พ่อแม่ แต่ปรากฏว่าล าพัง
็
ิ
้
่
ู
ี
ี
การเล้ยงตัวเองก็ไม่ค่อยจะพออยู่แล้ว ค่าครองชพในกรงเทพฯ ก็สง ค่าใช้จ่ายก็มากกว่าอยู่ต่างจังหวัด ชวิต
ี
ุ
ี
่
ึ
ู
ี
ี
ี
ก็โดดเดยวมแต่เพือน ๆ วัยเดยวกันไม่มผู้ใหญ่คอยดแล สามารถเรยนจบแค่ประถมศกษาจากต่างจังหวัด
่
ี
ี
ั
ั
ิ
แล้วไม่ได้เรยนต่อ ไม่ได้รบการแนะน าหรอได้รบความรเพิ่มเตมหลังจากออกจากโรงเรยนแล้ว เพือน ๆ
ู
้
ี
ื
่
ี
่
ุ
ร่วมงานก็จะมลักษณะเดยวกันแทบทกคน ผู้รบเหมาซงเปนคนจ้างงานก็ไม่เคยสนใจความเปนอยู่ของ
ึ
็
ั
ี
็
ี
่
คนงาน แต่ก็จ่ายค่าจ้างตามแรงงานไม่เอาเปรยบคนงาน เมองานมน้อยลง สามารถท างานบ่อยข้น คบเพือน
ึ
่
ี
ื
ิ
ุ
ิ
่
ี
ิ
เทยวเตร่มากข้น เร่มดมเหล้า และตดยาเสพตดตามเพือน ๆ ในทสด
ื
่
ี
ึ
่
่
้
ั
การท าความเขาใจกับปญหา
ประการแรก คดมสต เพือพิจารณาปญหาให้ชัดเจนและสรางความมั่นใจว่าสามารถแก้ปญหาได้
ั
ั
้
ิ
ิ
ี
่
ึ
ั
ึ
่
ิ
จากนั้นจงพิจารณาความล ้าลกและซับซ้อนของปญหาการตดยาของนายสามารถ เพือแยกแยะความหนักเบา
ื
ึ
ิ
่
ึ
ของการตดยา และมองช่องทางในการเข้าถงปญหารวมทั้งเข้าถงความเชอมโยงของสภาวะแวดล้อม
ั
่
ื
ื
ของการตดยาของสามารถว่าเกียวข้องกับเรองอะไรบ้าง อย่างไรในเบ้องต้น
่
ิ
การหาสาเหตุของปญหา
ั
่
ิ
ุ
ี
็
่
ึ
ี
ขั้นน้เปนการศกษาสาเหตของการตดยาของสามารถ ซงจะต้องศกษาจากข้อมูลทหลากหลายทั้งจาก
ึ
ึ
่
่
็
็
ิ
ื
เรองส่วนตัวของสามารถของในเรองประวัตครอบครว ความเปนมา สถานะความเปนอยู่ เศรษฐกิจสังคม
ื
ั
ิ
ิ
่
การท ามาหากิน นสัย ความประพฤต การพบเพือน ความอดทน ฯลฯ เพือดว่าเรองส่วนตัวของสามารถ
่
่
ู
ื
ึ
ี
ิ
่
ู
็
ั
ื
เรองใดจะเปนตัวน าไปส่ปญหาการตดยาของสามารถบ้าง ต้องศกษาข้อมูลจากสภาวะแวดล้อมทจะท าให้
่
ิ
ี
ุ
่
ั
สามารถประสบปญหาตดยา เช่น การคบเพือน การเสพสรา ลักษณะของการท างานทต้องเร่ร่อนไป
่
ื
ุ
ู
้
ั
ิ
่
็
ี
ู
ตลอดเวลา แหล่งความรหรอภมปญญาทจะเปนประโยชนในการเรยนร แหล่งมั่วสราทั้งการซ้อการขาย การ
้
ู
ื
ี
์
ี
ุ
่
ิ
ื
ู
เสพยาในชมชน ฯลฯ รวมทั้งข้อมูลทเกียวกับความรเรองยาเสพตดและอันตรายจากการเสพยา ความใส่ใจ
้
่
่
่
ื
์
ุ
ื
ของชมชนในเรองการรณรงค์ขัดกัน ภัยจากยาเสพตด การเข้าถงเอกสารและสอประชาสัมพันธและ
ึ
ิ
่
ประสทธภาพของสอปองกันส่งเสพตดของประชาชนในชมชน ฯลฯ ข้อมูลเหล่าน้ต้องน ามาวิเคราะหอย่าง
์
ิ
ิ
ิ
ิ
ี
ุ
ื
่
้
ั
ิ
ุ
หลากหลาย เพื่อสังเคราะหหาสาเหตของปญหาตดยาของสามารถ
์
196
้
้
ขันวิเคราะหหาทางเลือกในการแกไขปญหา
ั
์
์
ี
่
ุ
็
ี
ิ
่
่
ี
เปนขั้นตอนทจะต้องน าเอาสาเหตต่าง ๆ ทท าให้สามารถตดยาทวิเคราะหได้จากข้อมูลทั้ง 3 ด้าน
์
ั
ุ
ื
ของสามารถมาสังเคราะห สรปเปนทางเลอกในการแก้ไขปญหาหลาย ๆ ทางเลอกทมความเปนไปได้ เช่น
็
ี
ี
ื
็
่
ิ
่
ุ
ิ
่
ิ
ิ
ิ
ไปบวชเพือหนให้พ้นจากสังคมตดยาเสพตดในชมชน เลกคบเพือนทตดยาโดยส้นเชง เปลยนอาชพ
ี
ิ
่
ี
ี
่
ี
ี
ิ
่
ึ
ี
่
ู
้
ี
็
ไปท างานทเปนหลักแหล่งไม่เร่ร่อน ศกษาหาความรการประกอบอาชพใหม่ทห่างไกลจากยาเสพตด ปรกษา
ึ
ื
ิ
ี
่
ู
้
ี
่
ี
ึ
่
ผู้รและหน่วยงานทช่วยเหลอผู้ตดยาเพือเลกเสพยาและฝกอาชพใหม่ เพือให้มรายได้ กลับบ้านต่างจังหวัด
ิ
เพือไปบ าบัดการตดยาและอยู่กับครอบครว ฯลฯ
ิ
ั
่
่
่
้
ั
ั
้
ิ
ขนการตัดสนใจ เลือกทางแกปญหาทีดีทีสุด
่
็
่
ิ
ี
ื
ั
ี
เปนขั้นตอนทสามารถเองจะต้องตัดสนใจ เลอกทางแก้ปญหาการตดยาของตนเองทคดว่าดทสด
ี
ิ
ิ
่
ุ
ี
ิ
่
่
ี
ี
ิ
ึ
ิ
่
เหมาะสมกับตนเอง สามารถปฏบัตได้ด้วยความพอใจ เช่น เลกเทยวเตร่กับเพือนทเสพยาแล้วไปปรกษา
ู
ั
ุ
ิ
้
ุ
ู
กับผู้รขอเข้าโครงการบ าบัดการตดยาของหน่วยงานในชมชน และเข้ารบการฟนฟูสขภาพควบค่กับการ
ื้
ึ
ฝกอาชพทมรายได้เสรมเพิ่มข้น เปนต้น
ี
ี
ิ
ึ
็
ี
่
ขนนาผลการตัดสนใจไปสูการปฏิบัติ
้
ิ
่
ั
ขั้นตอนน้สามารถจะต้องเข้ารบการบ าบัดการตดยา ซงมขั้นตอนและวิธการโดยเฉพาะ สามารถต้อง
ิ
ี
ี
ึ
ี
ั
่
่
ี
ิ
ิ
อดทนรบการบ าบัดให้ครบถ้วนตามวิธการ และต้องมความตั้งใจแน่วแน่ทจะเลกตดยา สัญญากับตนเองว่า
ี
ี
ั
ิ
จะไม่หวนกลับมาเสพยาอก ต้องเข้ารบการดแลรกษาฟนฟูสขภาพทั้งร่างกายและจตใจ รวมทั้งเข้าศกษา
ึ
ี
ื้
ั
ู
ั
ุ
ี
ึ
ิ
ี
่
อาชพใหม่จากศูนย์ฝกอาชพ เพือจะได้มช่องทางในการท ามาหากินหลังจากบ าบัดการตดยาแล้ว
ี
ขันติดตามประเมินผล
้
ี
่
ี
ิ
ิ
็
ขั้นน้เปนการประเมนตนเองของสามารถว่าการตัดสนใจของตนเองทจะเลกเสพยา และตั้งใจจะเปน
็
ิ
ี
ี
ิ
ี
็
ี
่
ี
ุ
คนดมอาชพเสรมทจะเปนช่องทางในการท ามาหากินมรายได้ ไม่ต้องเปนทกข์แล้วหันไปเสพยาอกนั้น
ี
็
ื
ิ
ี
ื
ิ
ท าได้หรอไม่ในทางปฏบัต พอใจและสบายใจทจะเข้ารบการบ าบัดและฟนฟูสขภาพหรอไม่ ตั้งใจฝกอาชพ
ุ
่
ั
ี
ึ
ื้
ุ
ุ
ื
ิ
ั
ิ
ิ
เสรมเพียงใด ถ้าพอใจและสบายใจก็จัดว่าแก้ปญหาได้ แต่ถ้าลงมอปฏบัตแล้วยังไม่สบายใจ ยังทรนทราย
ื
ั
ู
ุ
ี
ึ
ยังไม่สงบสข ก็ต้องย้อนกลับไปดข้อมูลทั้ง 3 ด้านอกคร้งว่ายังไม่ได้ศกษาข้อมูลด้านใดอย่างพอเพียงหรอไม่
ื
ึ
์
ึ
จากนั้นจงศกษาหาข้อมูลนั้น ๆ จากแหล่งข้อมูลเพิ่มเตม แล้วน ามาคดวิเคราะห สังเคราะห หาทางเลอกใหม่
์
ิ
ิ
ิ
เพื่อการตัดสนใจแก้ปญหาต่อไป จนกว่าจะพบทางเลอกแก้ปญหาได้อย่างพอใจ
ั
ื
ั
197
ใบงานที่ 1
ุ
ื
ั
่
่
ั
ี
ี
ี
ให้ผู้เรยนส ารวจตนเอง ว่าเคยประสบปญหาส าคัญอะไรบ้างทหนักใจทสด เลอกมา 1 ปญหาแล้ว
ึ
ตอบค าถาม โดยการบันทกสั้น ๆ ในแต่ละข้อทก าหนดให้
่
ี
ื่
ั
1. ชอปญหา ....................................................................................................................................................
ี
ั
ั
2. ลักษณะของปญหา ปญหาการเรยน
ั
ปญหาการงาน
ั
ปญหากับครอบครว
ั
ปญหาสังคม
ั
อน ๆ (ระบ)
ื่
ุ
ั
ี่
ื
3. สาเหต หรอทมาของปญหา .........................................................................................................................
ุ
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
ั
ี
4. อธบายผลเสย หรอผลกระทบทเกิดข้นจากปญหาดังกล่าว
ึ
ิ
ื
่
ี
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
ั
ี
ื
่
ี
็
5. ปญหานั้นได้มการแก้ไขเปนทพอใจหรอไม่ แก้ไขอย่างไร
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
198
ใบงานที่ 2
่
ื
์
ี
ื
ี
็
1. ให้ผู้เรยนไปสนทนา หรอสัมภาษณเพือน ๆ หรอคนใกล้เคยง อย่างไม่เปนทางการสัก 3 - 4 คน ใน
หัวข้อเรองต่อไปน้ แล้วบันทกข้อมูลไว้
ึ
ี
ื
่
่
ี
ั
ั
่
ี
ื
1) ปญหาคร้งใหญ่สดทเคยประสบในชวิตทผ่านมาคออะไร
ุ
ี
ุ
ี
่
ั
ื
2) สาเหตทเกิดปญหานั้นคออะไร
ี
ื
ั
ี
่
็
ั
3) ปญหานั้นมการแก้ไขทส าเรจด้วยความพอใจหรอไม่ ใช้ข้อมูลอะไรในการแก้ไขปญหาบ้าง
ื
หรอไม่อย่างไร
ี
ั
4) มวิธการแก้ไขปญหาอย่างไร มขั้นตอนในการแก้ไขปญหาอย่างไรบ้าง
ี
ั
ี
ี
ี
ิ
5) ถ้าเกิดปญหาลักษณะนั้นข้ ึนอก จะใช้วิธในการแก้ปญหาแบบเดมหรอจะมวิธใหม่ หรอม
ื
ี
ั
ี
ั
ี
ื
ื
ขั้นตอนใหม่อย่างไรหรอไม่
่
ี
ั
ี
6) ให้เปรยบเทยบปญหา สาเหตของปญหา และกระบวนการแก้ปญหาของเพือน หรอบคคลใกล้เคยง
ุ
ี
ั
ั
ุ
ื
ี
ี
่
ี
ื
ดังกล่าวว่ามอะไรบ้างทเหมอนกัน และมอะไรบ้างทต่างกัน
่
ี
ั
ี
ิ
ั
์
ี
่
ั
ิ
7) ท่านจะสรปแนวคดในการแก้ปญหา จากประสบการณทได้รบคร้งน้อย่างไรบ้าง อธบายสั้น ๆ
ุ
ใบงานที่ 3
ี
ุ
ิ
บ้านของท่านอยู่ในแหล่งชมชนใกล้วัดทมเยาวชนมั่วสมด้วยการซ้อขายและเสพยาเสพตด มคด
ี
ื
ี
ุ
่
ี
ั
็
็
ึ
ี
ี
่
ื
ลักเล็กขโมยน้อยไปจนถงปล้น จ้ ข่มขน และฆาตกรรม เปนปญหาทเปนอยู่เปนประจ า แต่ยังไม่เคยเกิด
็
ข้นกับท่าน และครอบครวของท่าน
ึ
ั
ประเด็น
ั
็
1. ท่านคดว่าปญหาน้เปนปญหาของท่านหรอไม่ เพราะอะไร
ื
ี
ิ
ั
ี
ึ
ื
ิ
ั
2. ท่านคดว่าปญหาน้เกิดข้นจากอะไร มทางเลอกในการแก้ปญหาอย่างไรบ้าง ขอให้เรยงล าดับ
ั
ี
ี
ความเปนไปได้ของทางเลอกเหล่านั้นทจะน าไปแก้ไข
ื
่
ี
็
3. แหล่งข้อมูลอะไรบ้างทควรน ามาพิจารณา เพือใช้ประกอบการคดแก้ปญหา
ี
่
ิ
ั
่
4. ให้ท่านบันทกค าตอบของทกข้อ ส่งให้ครพิจารณา
ึ
ู
ุ
199
ี
้
ื่
ั
้
้
เรองที่ 3 ลักษณะของขอมูลและการเปรยบเทียบขอมูล ดานวิชาการ ตนเอง และสงคม
ิ่
้
สงแวดลอม และทักษะเบื้องตน การวิเคราะห สงเคราะหขอมูลทังสามดานเพื่อ
้
้
ั
์
้
้
์
ิ
้
็
ั
ประกอบการตัดสนใจแกปญหาแบบคนคิดเปน
ี
ิ
็
ั
ู
ู
ิ
็
ี
ึ
ผู้เรยนได้เรยนรถง “การคดเปน” และการเชอมโยงส่ “ปรชญาคดเปน” และได้ตรวจสอบความคด
่
ิ
ื
้
็
กับเพือนในกล่มด้วยการท ากิจกรรมร่วมกันบ้างแล้ว พฤตกรรมส าคัญของการคดเปนอย่างหนง คอการใช้
ิ
ุ
ึ
่
่
ิ
ื
่
ี
ข้อมูลทหลากหลายและพอเพียงเพือประกอบการคดและตัดสนใจ โดยเฉพาะข้อมูลทเกียวข้องกับวิชาการ
่
ิ
ี
ิ
่
่
ิ
ตนเอง และสังคมส่งแวดล้อม
ขอมูลคืออะไร
้
ื
่
ี
่
ข้อมูล คอ ข่าวสารรายละเอยดต่าง ๆ ทเกิดข้นภายในองค์กรหรอส่งแวดล้อมทางกายภาพ ก่อนทจะ
ื
ี
ึ
ี
ิ
ิ
มการจัดระบบให้เปนรปแบบทคนสามารถเข้าใจ และน าไปใช้ได้ เปนข้อเท็จจรงหรอตัวแทนของข้อเท็จจรง
็
ี่
ู
็
ี
ิ
ื
ี
่
ิ
ี
่
์
ี
ของส่งทเราสนใจทมอยู่ในชวิตประจ าวัน ข้อเท็จจรงทเกียวกับเหตการณทเกิดข้นอย่างต่อเนอง เช่น จ านวน
ุ
ิ
ึ
่
ี
่
ี
ื
่
่
ี
ิ
ิ
่
่
ู
ี
์
ื
ผู้ปวยทตดเช้อเอดสในหมู่บ้าน ราคาพืชผักผลไม้ต่าง ๆ ข้อเท็จจรงทเปนสัญลักษณ ตัวเลขจ านวนลกค้า
็
ี่
์
ี
่
่
์
ิ
ตัวเลขทเกียวกับจ านวนชั่วโมงทท างานในแต่ละสัปดาห ตัวเลขทเกียวกับสนค้าคงคลังเพือรายการสั่งของ
่
ี
่
่
่
ี
ี
่
็
็
ตัวเลขทเปนน ้าหนักและส่วนสงของคน หรอตัวเลขทเปนรายได้ประจ าเดอน ตัวเลขทเปนคะแนนการสอบ
ื
ื
ี
่
่
ี
ู
็
ิ
ี
ี
ู
ึ
่
เปนต้น ข้อมูลเปนข้อความหรอรายละเอยดซงอาจอยู่ในรปแบบต่าง ๆ เช่น รปภาพ เสยง วีดโอ ค าอธบาย
ี
็
็
ื
ู
ิ
ื
ุ
ี
่
์
่
พื้นฐานหรอเหตการณทเกียวข้องกับส่งต่างๆ เปนต้น
็
้
ขอมูล (Data) กับสารสนเทศ (Information)
ี
ี
่
ี
่
์
ข้อมูล และ สารสนเทศมความหมายทแตกต่างกัน แต่มความคล้ายคลงและสัมพันธเกียวข้องกัน
ึ
อยู่มาก
ี
่
่
ข้อมูล หมายถง ข้อมูลดบทเปนข้อเท็จจรง หรอเหตการณต่าง ๆ ทเกิดข้นในชวิตประจ าวันทเก็บ
ี
ี
ึ
ึ
์
่
ี
ุ
ิ
็
ื
ิ
ี
รวบรวมมาจากแหล่งต่าง ๆ อาจเปนตัวเลข ตัวอักษร หรอสัญลักษณ รปภาพ และเสยง ถอว่าเปนข้อมูล
็
ื
ื
์
ู
็
ื
ี
ู
ี
็
่
่
ระดับปฏบัตการ ข้อมูลทดจะต้องมความถกต้องแม่นย าและเปนปจจบัน เช่น ปรมาณ ระยะทาง ชอ ทอยู่
ั
ี
ิ
ุ
ิ
ี
ิ
่
เบอรโทรศัพท์ คะแนนการสอบ บันทก รายงาน ฯลฯ
์
ึ
์
ื
ี
่
สารสนเทศ คอ ข้อมูลทน ามาผ่านกระบวนการประมวลผล วิเคราะหจนสามารถน าไปใช้ในการ
ตัดสนใจต่อไปได้ทันท ี
ิ
ตัวอย่าง ข้อแตกต่างระหว่างข้อมูลและสารสนเทศ
ี
ู
ี
ข้อมูล : ผู้เรยนศูนย์ กศน.อ าเภอ ก. มจ านวน 30,000 คน มครผู้สอนจ านวน 30 คน
ี
ี
สารสนเทศ : อัตราส่วนครผู้สอนต่อผู้เรยนศูนย์ กศน.อ าเภอ ก. เท่ากับ 30,000/30 = 1,000
ู
200
้
ลักษณะของขอมูล
่
ื
ิ
ข้อมูลเมอจ าแนกตามลักษณะแล้วสามารถแบ่งออกได้ 2 ชนด คอ
ื
่
ี
ิ
1. ขอมูลเชงคุณภาพ (Qualitative Data) หมายถง ข้อมูลทเปนนามธรรมไม่สามารถบอกได้ว่า
ึ
็
้
มค่ามากหรอน้อยเพียงใด แต่จะสามารถบอกได้ว่าดหรอไม่ด หรอบอกลักษณะความเปนกล่มของข้อมูล เช่น
ุ
ี
ี
็
ื
ี
ื
ื
ิ
ี
ุ
เพศ ศาสนา สผม คณภาพสนค้า ความพึงพอใจ ฯลฯ
ี
2. ขอมูลเชงปรมาณ (Quantitative Data) หมายถง ข้อมูลทสามารถวัดค่าได้ว่ามมากหรอน้อย
ึ
ื
ี
่
ิ
้
ิ
ซงสามารถวัดค่าออกมาเปนตัวเลขได้ เช่น คะแนนสอบ อณหภม ส่วนสง น ้าหนัก ปรมาณต่าง ๆ ฯลฯ
ู
ู
ุ
ิ
่
ึ
็
ิ
้
ประเภทของขอมูล
ื
ื
่
ิ
่
็
ี
ข้อมูลเมอจ าแนกตามแหล่งทมาแล้ว สามารถแบ่งออกได้เปน 2 ชนด คอ
็
ึ
1. ขอมูลปฐมภูมิ (Primary Data) หมายถง ข้อมูลทผู้ใช้เปนผู้เก็บรวบรวมข้อมูลข้นเอง เช่น
ึ
ี
่
้
การเก็บจากแบบสอบถาม การทดลองในห้องทดลอง
่
ื
ี
ื
่
ึ
ี
่
2. ขอมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) หมายถง ข้อมูลทผู้ใช้น ามาจากหน่วยงานอน หรอผู้อนทได้
่
ื
้
ี
่
ท าการเก็บรวบรวมมาแล้วในอดต เช่น รายงานประจ าปของหน่วยง่านต่าง ๆ ข้อมูลท้องถ่นซงแต่ละ อบต.
ึ
ิ
ี
เปนผู้รวบรวมไว้ ฯลฯ
็
คุณสมบัติทีเหมาะสมของขอมูล
่
้
ี
ี
้
่
1. ความถูกตอง หากมการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วข้อมูลเหล่านั้นเชอถอไม่ได้จะท าให้เกิดผลเสย
ื
ื
่
ึ
ิ
อย่างมาก ผู้ใช้ไม่กล้าอ้างองหรอน าเอาไปใช้ประโยชน์ ซงเปนเหตให้การตัดสนใจของผู้บรหาร
็
ื
ิ
ุ
ิ
ี
ี
ิ
ึ
ี
่
ึ
้
ขาดความแม่นย า และมโอกาสผิดพลาดได้ โครงสรางข้อมูลทออกแบบต้องค านงถงกรรมวิธการด าเนนงาน
่
ิ
ี
ู
ี
ุ
เพือให้ได้ความถกต้องแม่นย ามากทสด โดยปกตความผิดพลาดของสารสนเทศส่วนใหญ่มาจากข้อมูลทไม่ม ี
่
่
ื
่
ึ
ึ
ึ
่
ึ
่
ื
ุ
ื
ี
ความถกต้อง ซงอาจมสาเหตมาจากคนหรอเครองจักร การออกแบบระบบจงต้องค านงถงในเรองน้ ี
ู
็
2. ความรวดเรวและเปนปจจุบัน การได้มาของข้อมูลจ าเปนต้องให้ทันต่อความต้องการของผู้ใช้
็
ั
็
มการตอบสนองต่อผู้ใช้ได้เรว ตความหมายสารสนเทศได้ทันต่อเหตการณหรอความต้องการ มการ
ี
ี
ี
ื
็
์
ุ
ออกแบบระบบการเรยกคน และรายงานตามความต้องการของผู้ใช้
ี
ื
ี
3. ความสมบูรณ ความสมบูรณของสารสนเทศข้ ึนกับการรวบรวมข้อมูลและวิธการ
์
์
ิ
ทางปฏบัตด้วย ในการด าเนนการจัดท าสารสนเทศต้องส ารวจและสอบถามความต้องการการใช้ข้อมูล
ิ
ิ
ี
์
ี่
ี่
ึ
่
เพื่อให้ได้ข้อมูลทมความสมบูรณในระดับหนงทเหมาะสม
4. ความชดเจนและกะทัดรด การจัดเก็บข้อมูลจ านวนมากจะต้องใช้พื้นทในการจัดเก็บข้อมูลมาก
ี
่
ั
ั
็
ื
ั
่
ื
จงจ าเปนต้องออกแบบโครงสรางข้อมูลให้กะทัดรดสอความหมายได้ มการใช้รหัสหรอยืนย่อข้อมูล
่
ึ
ี
้
่
ให้เหมาะสมเพือทจะจัดเก็บเข้าไว้ในระบบคอมพิวเตอร ์
ี
่
ี
ึ
่
ื
ี
่
5. ความสอดคลอง ความต้องการเปนเรองทส าคัญ ดังนั้น จงต้องมการส ารวจเพือหา
็
่
้
ึ
ู
ความต้องการของหน่วยงานและองค์การ ดสภาพการใช้ข้อมูล ความลกหรอความกว้างของขอบเขตของ
ื
ี
่
ข้อมูลทสอดคล้องกับความต้องการ
201
้
้
่
์
้
ั
การจดการขอมูลเพือใหเกิดประโยชนกับการใชงาน
็
็
การท าข้อมูลให้เปนสารสนเทศทจะเปนประโยชนต่อการใช้งาน จ าเปนต้องอาศัยเทคโนโลยี
์
็
่
ี
ิ
เข้ามาช่วยในการด าเนนการตามขั้นตอน ดังน้ ี
1. การเก็บรวบรวมขอมูล เปนเรองของการเก็บรวบรวมข้อมูลซงมจ านวนมาก และต้องเก็บให้ได้
ี
ึ
่
ื
็
่
้
ั
ี
ี
ุ
ี
อย่างทันเวลา เช่น ข้อมูลการลงทะเบยนเรยนของนักเรยน ข้อมูลประวัตบคลากร ปจจบันมเทคโนโลยี
ุ
ิ
ี
็
ช่วยในการจัดเก็บอยู่เปนจ านวนมาก เช่น การปอนข้อมูลเข้าเครองคอมพิวเตอร การอ่านข้อมูลจากรหัสแท่ง
่
ื
์
้
ี
ี
ี
่
ิ
็
ี
การตรวจใบลงทะเบยนทมการฝนดนสอในต าแหน่งต่าง ๆ เปนวิธการเก็บรวบรวมข้อมูลเช่นกัน
ี
่
็
ี
2. การตรวจสอบขอมูล เมอมการเก็บรวบรวมข้อมูลแล้วจ าเปนต้องมการตรวจสอบข้อมูล
ื
้
ื
่
ี
่
เพือตรวจสอบความถกต้องข้อมูลทเก็บเข้าในระบบต้องมความเชอถอได้ หากพบทผิดพลาดต้องแก้ไข
ู
ี
ื
่
ี
่
ี
ี
ุ
์
ี
้
้
การตรวจสอบข้อมูลมหลายวิธ เช่น การใช้ผู้ปอนข้อมูลสองคนปอนข้อมูลชดเดยวกันเข้าคอมพิวเตอร
ี
ี
แล้วเปรยบเทยบกัน
้
3. การประมวลขอมูล
็
ิ
การด าเนนการประมวลข้อมูลให้กลายเปนสารสนเทศ อาจประกอบด้วยกิจกรรมดังต่อไปน้ ี
ุ
ี
ั
- การจดแบงกลุมขอมูล ข้อมูลทจะต้องมการแบ่งแยกกล่ม เพือเตรยมไว้ส าหรบการใช้งาน
ี
ี
่
่
่
้
ั
่
่
ี
้
้
ี
ิ
ี
ี
การแบ่งแยกกล่มมวิธการทชัดเจน เช่น ข้อมูลในโรงเรยนมการแบ่งแฟมประวัตนักเรยน และแฟม
ี
ี
ุ
ิ
ุ
ี
ิ
ื
่
ลงทะเบยน สมดโทรศัพท์หน้าเหลอง มการแบ่งหมวดสนค้าและบรการเพือความสะดวกในการค้นหา
ี
ี
็
ุ
ี
- การจดเรยงขอมูล เมอจัดแบ่งกล่มเปนแฟมแล้ว ควรมการจัดเรยงข้อมูลตามล าดับตัวเลข
ื
่
้
ั
้
ี
ื
่
ี
ี
หรอตัวอักษร เพือให้เรยกใช้งานได้ง่ายประหยัดเวลา ตัวอย่างการจัดเรยงข้อมูล เช่น การจัดเรยงบัตรข้อมูล
ี
ื
ื
่
ผู้แต่งหนังสอในต้บัตรรายการของห้องสมดตามล าดับตัวอักษร การจัดเรยงชอคนในสมดรายนาม
ู
ุ
ุ
ี
ผู้ใช้โทรศัพท์ ท าให้ค้นหาได้ง่าย
ี
้
ุ
ื
่
็
็
ี
ี
- การสรุปผล บางคร้ ังข้อมูลทจัดเก็บมเปนจ านวนมาก จ าเปนต้องมการสรปผลหรอสราง
ิ
ี
ี
ิ
ี
ุ
่
์
่
รายงานย่อ เพือน าไปใช้ประโยชน ข้อมูลทสรปได้น้อาจสอความหมายได้ดกว่า เช่น สถตจ านวนนักเรยน
ี
่
ื
แยกตามชั้นเรยนแต่ละชั้น
ี
ี
่
ี
่
- การค านวณ ข้อมูลทเก็บมเปนจ านวนมาก ข้อมูลบางส่วนเปนข้อมูลตัวเลขทสามารถ
็
็
ี
่
้
น าไปค านวณเพือหาผลลัพธบางอย่างได้ ดังนั้น การสรางสารสนเทศจากข้อมูลจงอาศัยการค านวณข้อมูล
์
ึ
่
ทเก็บไว้ด้วย
ี
4. การดูแลรกษาสารสนเทศเพือการใชงาน
้
ั
่
ึ
่
ั
ื
ึ
- การเก็บรกษาขอมูล การเก็บรกษาข้อมูล หมายถง การน าข้อมูลมาบันทกเก็บไว้ในสอ
ั
้
บันทกต่าง ๆ เช่น แผ่นบันทกข้อมูล นอกจากน้ยังรวมถงการดแล และท าส าเนาข้อมูลเพือให้ใช้งานต่อไป
ี
ึ
ู
ึ
ึ
่
ในอนาคตได้
202
้
ุ
้
่
ี
ี
ี
่
- การคนหาขอมูล ข้อมูลทจัดเก็บไว้มจดประสงค์ทจะเรยกใช้งานต่อไป การค้นหาข้อมูล
ี
ู
ี
ึ
ี
์
็
ี
จะต้องค้นได้ถกต้องแม่นย า รวดเรว จงมการน าคอมพิวเตอรเข้ามามส่วนช่วยในการท างาน ท าให้เรยกค้น
กระท าได้ทันเวลา
ั
ี
- การท าสาเนาขอมูล การท าส าเนาเพื่อทจะน าข้อมูลเก็บรกษาไว้ หรอน าไปแจกจ่ายใน
่
ื
้
ึ
ี
ื
ั
ภายหลัง จงควรจัดเก็บข้อมูลให้ง่ายต่อการท าส าเนา หรอน าไปใช้อกคร้งได้โดยง่าย
ี
ื
- การสอสาร ข้อมูลต้องกระจายหรอส่งต่อไปยังผู้ใช้งานทห่างไกลได้ง่าย การสอสารข้อมูล
่
่
ื
ื่
่
ี
่
ื
็
จงเปนเรองส าคัญและมบทบาททส าคัญยิ่งทจะท าให้การส่งข่าวสารไปยังผู้ใช้ท าได้รวดเรวและทันเวลา
ี
ี
ึ
็
่
ู
ู
5. เทคนคการรวบรวมขอมูล ผู้เรยนสามารถรวบรวมข้อมูลต่าง ๆ เช่น ตาด (สังเกต) หฟง (สนใจ
้
ั
ี
ิ
ื่
ุ
ึ
ิ
ื
ุ
ุ
ุ
ั
ตอบรบ) ปากถาม (กระต้น ซักถาม ชวนคย) สมองคดจ า (เชอมโยง สมเหตสมผล) และมอจด (สรป บันทก)
เพื่อจับประเด็นและสามารถท าการรวบรวมข้อมูลได้ด้วยวิธการทางวิชาการต่าง ๆ พอสังเขป ดังน้ ี
ี
ื
ิ
1. การสังเกต ได้แก่ การค้นหาข้อมูลด้วยตนเองโดยตรง เช่น การสังเกตพฤตกรรม หรอเหตการณ ์
ุ
ต่าง ๆ ในชวิตประจ าวัน สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลโดยใช้ทมงานหรอไปสังเกตด้วยตนเอง
ื
ี
ี
ุ
ื่
์
2. การสัมภาษณ ได้แก่ การรวบรวมข้อมูลจากบคคลอน ๆ โดยผู้ถามใช้ค าพูดในการถาม และ
่
ิ
ั
่
ผู้ตอบให้ค าพูดในการตอบจากครอบครว ญาต พีน้อง เพือนบ้าน ซงสามารเก็บรวบรวมข้อมูลด้วยตนเอง
่
ึ
ี
ื
่
3. การตอบแบบสอบถาม ได้แก่ แบบรายการค าถามทให้ผู้อนตอบค าถามตามทผู้ถามต้องการ
่
่
ี
ั
ี
การสอบถามทางโทรศัพท์ สามารถให้ตอบและจัดรบส่งทางไปรษณย์
ี
่
ื
ึ
4. การศกษาเอกสารหรอแหล่งทเก็บข้อมูล ได้แก่ ข้อมูลจากหนังสอพิมพ์ วารสาร คอมพิวเตอร ์
ื
ึ
ี
็
ึ
เทปบันทกภาพ เทปบันทกเสยง ข้อมูลสารสนเทศ ทางอเมล์ ทางเว็บไซต์ เพื่อใช้เปนหลักฐาน
ี
5. การทดสอบ/ทดลอง และการส ารวจ ได้แก่ การทดสอบเรองต่าง ๆ ท าการทดลองกับส่งของ
ิ
่
ื
ิ
ิ
่
ื
้
ื
ื
และการส ารวจข้อมูลรานค้าในบรเวณใกล้เคยง เช่น อาหาร เครองดม หรอสนค้าอะไรขายดทสดในหมู่บ้าน
ี
ุ
ี
่
ี
่
ิ
ี่
ึ
็
ื
หรอไปถงสถานทจรง ๆ เปนต้น
้
การบันทึกขอมูล
่
ึ
ื
ี
เมอได้มการศกษา จัดเก็บ และรวบรวมข้อมูลอย่างหลากหลาย ก็ต้องมการบันทกข้อมูลเหล่านั้นไว้
ี
ึ
่
ิ
์
ี
ี
ิ
ึ
ิ
์
ี
เพื่อการวิเคราะหและสังเคราะหต่อไป การบันทกข้อมูลทมประสทธภาพนั้น เทคนคการเรยงความ ตความ
ี
ย่อความ สรปความ ทได้ศกษาจากสาระวิชาภาษาไทย และสาระวิชาอน ๆ มาแล้ว สามารถน าทักษะเหล่านั้น
ุ
ี
่
ึ
่
ื
์
มาประยุกต์ใช้ได้ และยังสามารถน าไปบันทกผลการวิเคราะห สังเคราะหข้อมูล การจัดกระท าข้อมูล
์
ึ
็
็
ี
่
ึ
ี
ิ
เปนสารสนเทศได้อกด้วย หากมข้อมูลจ านวนมากต้องบันทก หลักการย่อความเปนเทคนคทควรฝกฝน
ี
ึ
ิ
และน าไปปฏบัตดังน้ ี
ิ
ี
1. อ่านข้อความทจะย่อให้เข้าใจ หาใจความส าคัญของแต่ละย่อหน้าและใจความรองทส าคัญ ๆ
่
ี
่
2. น าใจความส าคัญและใจความรองมาเรยบเรยงด้วยส านวนของตนเอง
ี
ี
ื
ื
ี
่
่
3. ถ้าข้อความทอ่านไม่มชอเรองต้องตั้งชอข้นเอง กรณตัวเลขหรอจ านวนต้องระบหน่วยชัดเจน
ุ
่
่
ึ
ื
ื
ี
ี
่
ี
4. ข้อความรอยกรอง ต้องเปลยนเปนรอยแก้วในความย่อ
้
็
้
203
็
้
่
ขอมูลเพือการคิดเปน
ิ
ั
ื
ิ
ิ
็
การคดการตัดสนใจแก้ปญหาตามแนวทางของ “การคดเปน” นั้น กระบวนการส าคัญ คอ การใช้
ิ
ข้อมูลอย่างน้อย 3 ประการมาประกอบการคดการตัดสนใจ ข้อมูล 3 ประการดังกล่าวได้แก่ ข้อมูลด้านวิชาการ
ิ
ข้อมูลเกียวกับตนเอง และข้อมูลเกียวกับสังคม ส่งแวดล้อม ลักษณะของข้อมูลทั้ง 3 ประการดังกล่าว อาจ
่
ิ
่
็
ุ
สรปเปนตัวอย่างได้ดังต่อไปน้ ี
ขอมูลเกียวตนเอง
่
้
์
ิ
ี
ี
ั
ั
ิ
พื้นฐานของชวิต ข้อมูลภายในครวเรอน อาชพ ญาตพี่น้อง ครอบครว ความสัมพันธ ทัศนคต ทัศนะ
ื
ื
่
ิ
ทเกียวข้อง ความสามารถส่วนบคคล ความเชอ นสัยใจคอ อารมณ บคลกภาพ คณธรรม และพฤตกรรม
ุ
์
ิ
ุ
่
ิ
ี
ุ
่
็
สภาพภายในภายนอกของตนเอง เปนต้น
ขอมูลทางวิชาการ
้
ี
ี
่
ึ
่
ี
์
ั
ุ
่
หลักวิชาการด้านต่าง ๆ ทเกียวข้องกับปญหาทั้งทศกษาจากทฤษฎ เอกสาร ต าราของทกศาสตร
้
ู
ู
ั
้
ิ
ิ
ี
ุ
ี่
ทกสาขาวิชา ทเรยนรจากนักปราชญ์ ผู้ร ภูมปญญา จากธรรมชาต ผลงานวิจัย กฎหมาย ระเบยบข้อบังคับ
ี
ิ
เทคโนโลยีสารสนเทศ ธรรมะ ข้อมูลทางอาหารและยา และการวินจฉัยของแพทย์ ข้อมูลทางการเกษตร ฯลฯ
ิ่
ขอมูลทางสงคมสงแวดลอม
้
้
ั
ิ
ข้อมูลทั่วไปเกียวกับเศรษฐกิจและสังคม วัฒนธรรมจารตประเพณ ข้อมูลพื้นฐานบรบททางสังคม
ี
่
ี
ั
ิ
ื
ชมชน การปกครอง อนามัย กิจกรรมของชมชน สภาพการบรโภคทรพยากรธรรมชาต โรงเรอน บ้าน วัด
ิ
ุ
ุ
่
่
ี
มัสยิด แหล่งเรยนร ข้อมูลเกียวกับบคคลทเกียวข้องรอบ ๆ ข้าง
่
ู
ุ
ี
้
์
ิ
ั
การวิเคราะหและสงเคราะหขอมูลเพือนามาใชประกอบการตัดสนใจ
้
์
้
่
้
์
การวิเคราะหขอมูล
็
์
ื
ึ
การวิเคราะหข้อมูล หมายถง การแยกแยะข้อมูลหรอส่วนประกอบของข้อมูลออกเปนส่วนย่อย ๆ
่
ี
ิ
็
ุ
ื
ี
่
ศกษารายละเอยดของข้อมูลแต่ละเรองเพือตรวจสอบข้อมูลให้ได้มากทสด โดยเฉพาะข้อมูลการคดเปนทั้ง
ึ
่
่
ี
ี
3 ประการว่า แต่ละด้านมข้อมูลอะไรบ้าง เปนการหาค าตอบว่า ใคร ท าอะไร ทไหน อย่างไร ฯลฯ
็
ี
ึ
์
ู
การวิเคราะหข้อมูลจะมการศกษาและตรวจสอบข้อมูลรอบด้านทั้งด้านบวกและด้านลบ ดความหลากหลาย
ี
และพอเพียงเพือให้ได้ข้อมูลทแม่นย า เทยงตรง เชอถอได้ สมเหตสมผล การวิเคราะหข้อมูลมประโยชน์
์
่
ุ
ี
่
ื
่
ี
่
ื
ื
ี
ิ
่
ี
่
ตรงทท าให้เราสามารถเข้าใจเรองราวปรากฏการณต่าง ๆ ทแท้จรง ช่วยให้มการแสวงหาข้อมูลหลากหลาย
่
์
ี
ุ
โดยไม่เชอค าบอกเล่าหรอค ากล่าวอ้างของใครง่าย ๆ เปนการมองข้อมูลหลากหลายมต เกิดมมมองเชงลก
ิ
ิ
ิ
็
ึ
่
ื
ื
และกว้าง เพียงพอ ครบถ้วน
ั
์
้
การสงเคราะหขอมูล
่
ู
ี
ุ
ุ
ุ
็
ี
เปนการน าข้อมูลทเกียวข้อง ถกต้อง ใกล้เคยง กล่มเดยวกันมารวบรวม จัดกล่ม จัดระบบ เปนกล่ม
ี
่
็
่
ใหญ่ ๆ ในเชงบูรณาการโดยเฉพาะน าข้อมูลการคดเปนทั้ง 3 ด้าน คอ ข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลเกียวกับ
ิ
ิ
ื
็
่
่
์
่
ี
ตนเอง และข้อมูลทเกียวกับสังคมส่งแวดล้อม ทวิเคราะหแม่นย า เทยงตรง หลากหลายและพอเพียงทั้งด้าน
ิ
ี
่
ี
่
ี
ั
็
บวกและลบไว้แล้วมาจัดกล่มทางเลอกในการแก้ปญหาทเปนข้อมูลเชงบูรณาการ ข้อมูลทั้ง 3 ด้าน หลาย ๆ
ิ
ุ
ื
204
็
ื
ี
่
ื
ื
์
ทางเลอก โดยแต่ละทางเลอกจะมข้อมูลทั้ง 3 ด้านมาสังเคราะหรวมเข้าไว้ด้วยกันเพือให้เปนทางเลอกในการ
ี
ื
ิ
ื
ตัดสนใจ เลอกทางเลอกทเหมาะสมเปนทยอมรบและพอใจทสดน ามาแก้ปญหาต่อไป
่
่
่
ี
ั
ุ
ั
ี
็
์
้
ิ
ั
เรองที่ 4 คุณธรรม จรยธรรม : องคประกอบที่สาคัญของการคิดแกปญหาแบบคนคิดเปน
ื่
็
1. ความหมายของคุณธรรมและจรยธรรม
ิ
ี
ุ
ื
ี
ิ
่
ึ
ุ
ุ
คณธรรม (Moral) คอ คณ + ธรรม หมายถง คณงามความดทเปนธรรมชาตก่อให้เกิดประโยชน
็
์
ุ
ต่อตนเองและสังคม ซงรวมสรปว่า คอ สภาพคณงาม ความด ี
ุ
ื
่
ึ
ื
ี
็
ี่
ิ
คณธรรม คอ ความดงามในจตใจทท าให้บคคลประพฤตด ผู้มคณธรรมเปนผู้มความเคยชนในการ
ุ
ี
ุ
ุ
ิ
ิ
ี
ี
ู
ิ
่
ี
ึ
้
ุ
ึ
ประพฤตดด้วยความรสกในทางดงาม คณธรรมเปนส่งทตรงกันข้ามกับกิเลส ซงเปนความไม่ดในจตใจ ผู้มี
็
ี
ิ
ี
่
ี
็
ิ
คณธรรมจงเปนผู้ไม่มักมากด้วยกิเลส ซงจะได้รบการยกย่องว่าเปนคนด ี
ั
ึ
่
ุ
็
็
ึ
ดวงเดอน พันธนาวิน (2543 : 115) ได้ให้ความหมายของคณธรรมในแง่ส่งดงามไว้ว่า หมายถง ส่งท ี ่
ี
ิ
ิ
ึ
ื
ุ
ุ
ุ
บคคลยอมรบว่าเปนส่งดงาม มประโยชนมาก มโทษน้อย คณธรรมในแต่ละสังคมอาจต่างกันข้นอยู่กับ
ี
์
ี
ี
ิ
็
ุ
ึ
ั
วัฒนธรรม เศรษฐกิจ ศาสนาและการศกษาของคนในสังคมนั้น ๆ
ึ
ุ
ี
พจนานกรมฉบับราชบัณฑตยสถาน (2546 : 190) ได้ให้ความหมายของคณธรรมไว้ในแบบ เดยวกันว่า
ิ
ุ
ุ
ึ
ี
ุ
ิ
็
ุ
เปนสภาพคณงามความด ส่วนธวัชชัย ชัยจรฉายากุล และวราพรรณ น้อยสวรรณ กล่าวถงคณธรรมในทาง
พุทธศาสนาว่า หมายถง ความรก ความรคด
ึ
ิ
ู
ั
้
ิ
ั
่
ี
็
ึ
ี
่
ึ
ี
ิ
สรปแล้ว คณธรรม หมายถง ส่งทสังคมยอมรบว่าเปนส่งดงามทเกิดจากส่วนร่วมของการศกษา
ุ
ุ
ิ
ิ
์
็
ี
่
การปฏบัต ฝกอบรม และการกระท าจนเคยชนเกิดเปนลักษณะนสัย เปนส่งทมคณประโยชน ต่อตนเองต่อ
ี
ิ
็
ิ
ิ
ึ
ุ
ื
ผู้อนและต่อสังคม
่
ิ
ึ
ิ
ิ
ิ
ิ
ื
จรยธรรม (Ethics) คอ จรย ได้แก่ ความประพฤต + ธรรมะ ได้แก่ หลักปฏบัต หมายถง หลักแห่ง
ิ
ความประพฤตหรอแนวทางของการประพฤต มผู้ให้ความหมายของค าว่า จรยธรรมไว้หลายทัศนะ เช่น ดวง
ิ
ื
ี
ิ
ิ
ึ
ุ
ิ
ี
ื
เดอน พันธมนาวิน (2543 : 113) กล่าวว่า จรยธรรม หมายถง ระบบการท าความด ความชั่ว พระธรรมปฎก
ุ
ิ
่
็
ื
์
็
ื
่
ี
(2546 : 7) กล่าวว่า จรยธรรมเปนเรองของความสัมพันธของชวิตกับส่งแวดล้อมทางสังคมและวัตถ เปนเรอง
ิ
ื่
์
ิ
็
ิ
ั
ู
ของจตใจและเปนเรองของปญญา ความร ความคด พนัส หันนคนทร อ้างใน ธวัชชัย ชัยจรฉายากุล และ
ิ
ิ
้
ึ
ิ
่
ิ
วราพรรณ น้อยสวรรณ (2546 : 69) อธบายว่า จรยธรรม หมายถง ความประพฤตทปฏบัตตามหลักจรยธรรม
ิ
ุ
ี
ิ
ิ
ิ
ึ
ิ
ิ
ู
้
จะต้องประกอบด้วยกันทั้งการปฏบัตทางกายและความรสกทางใจสอดคล้องกัน
็
ิ
ิ
็
่
ดังนั้น ความหมายของจรยธรรมโดยรวมจะเหนตรงกันว่า เปนส่งทเชอกันว่า เปนความดงามทควรยึด
่
ี
็
ื
่
ี
ี
็
เปนหลักในการประพฤต ปฏบัตต่อตนเอง ต่อผู้อนและต่อสังคม ทั้งการกระท าด้วยกายและตระหนักด้วยใจ
ื
่
ิ
ิ
ิ
ิ
็
จากการให้ความหมายของคณธรรม และจรยธรรมในหลายทัศนะน้ จะเหนได้ว่า แม้ความหมายของ
ุ
ี
ู
ุ
คณธรรม และจรยธรรมจะแตกต่างกัน แต่ก็มความหมายใกล้เคยงและสัมพันธกัน และบางคนก็ใช้ควบค่
์
ิ
ี
ี
ุ
ั
ิ
ึ
กันไปเปนคณธรรม จรยธรรม ซงหมายถง การกระท าหรอการประพฤตปฏบัตทดทปลกฝงอยู่ในอปนสัย
ื
ิ
ี
ิ
่
ิ
ิ
่
ี
ี
ึ
็
่
ู
ุ
ู
่
ึ
ิ
ี
ึ
ี
ู
ั
้
ึ
ึ
ี
่
ุ
อันดงามของคน ตลอดจนความรสกนกคดทถกต้อง ซงอยู่ในจตส านกความรบผิดชอบชั่วดของบคคลนั้น ๆ
ิ
205
่
่
ี
ี
็
ื
่
ิ
ี
่
ิ
ุ
ุ
ั
ุ
่
อันเปนเครองเหนยวร้งและควบคมความประพฤตของบคคลทแสดงออกเพือให้บรรลในส่งทปรารถนา เช่น
็
ี
่
ความซอสัตย์ ความสามัคค ความมวินัย ความกตัญญ และความเอ้อเฟอเผือแผ่ เปนต้น
ื่
ื
ี
ู
ื้
2. ความสาคัญของคุณธรรมและจรยธรรม
ิ
ุ
ี
ั
็
สภาพสังคมไทยในปจจบันมการเปลยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจและสังคมอย่างรวดเรว พรอมทั้ง
่
ี
้
่
ี
่
ื
ื
ิ
่
ความเจรญทางด้านเทคโนโลยีการสอสารทสามารถสอสารกันทั่วทั้งโลกภายในระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้
ู
ั
ี
ประชาชนและเยาวชนเกิดการรบรข้อมูลข่าวสาร ศลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยมประเพณ รปแบบ
ิ
ี
้
ู
่
การด ารงชวิตของเพือนร่วมโลก แล้วถอเปนตัวแบบในการด ารงชวิตของตน โดยขาดการคดวิเคราะหถง
ึ
ื
็
์
ี
ี
ิ
่
ึ
ี
่
ิ
ั
ุ
ู
ความเปนมาและเหตผลทแท้จรงอย่างถกต้อง ซงปรากฏอยู่ในสังคมปจจบัน และส่งผลกระทบต่อคณภาพ
็
ุ
ุ
ั
ุ
ึ
ึ
ิ
ิ
ุ
การทจรตคอรปชั่นในวงการราชการ การทจรตในการสอบเข้าศกษาต่อในสถาบันการศกษาต่าง ๆ โดยใช้
่
ื
ี่
ื
ั
็
ิ
ึ
็
ิ
ิ
เทคโนโลยีททันสมัยเปนเครองมอ รวมทั้งปญหาการขายบรการทางเพศของนสตนักศกษา เปนต้น
่
ึ
ซงปญหาต่าง ๆ เหล่าน้แสดงให้เหนถงการหย่อนยานทางด้านคณธรรม จรยธรรมของประชาชนในชาต
ุ
ิ
็
ิ
ี
ึ
ั
ี
เปนอย่างมาก และควรทจะได้รบการแก้ไขอย่างเร่งด่วน
็
ั
่
ิ
็
ุ
ุ
ื
ี
คณธรรมและจรยธรรมมความส าคัญมาก เพราะเปนรากฐานของความเจรญร่งเรองของสังคม
ิ
็
่
ิ
ี
่
และเปนส่งทก าหนดความเจรญและความล่มสลายของสังคม ดังนั้น ผู้บรหารประเทศ และผู้ทเกียวข้องต้อง
ี
ิ
่
ิ
ตระหนักและเล็งเหนความส าคัญในการทจะแก้ปญหา เร่งพัฒนาจตใจและพฤตกรรมของบคคลในทก
ิ
ุ
็
ุ
ิ
ั
ี
่
ุ
ิ
ู
ระดับชั้นร่วมกันหาแนวทางในการแก้ปญหาคณธรรมและจรยธรรมในสังคม และหาทางปลกฝงให้บคคล
ั
ุ
ั
่
ุ
ี
ี
่
ุ
ี
ิ
ุ
ในสังคมมคณธรรม จรยธรรม เพือให้บคคลสามารถทจะด ารงอยู่ในสังคมได้อย่างมความสข
ิ
์
3. องคประกอบของคุณธรรม จรยธรรม
ื
ิ
็
ิ
ื
่
ิ
์
3.1 องคประกอบของคุณธรรมในระดับองคกร จรยธรรมเปนเครองมอก าหนดหลักปฏบัต
์
้
ี
ในการด ารงอยู่ขององค์กร แนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบเรยบรอยประกอบด้วยองค์ประกอบ
ดังต่อไปน้ ี
ี
ี
็
็
1. ระเบยบวินัย (Discipline) เปนองค์ประกอบส าคัญยิ่ง การหย่อนยานระเบยบวินัย เปนการ
ี
ละเมดสทธและหน้าทตามบทบาทของแต่ละคน
ิ
่
ิ
ิ
ุ
ี
ี
2. สังคม (Society) การรวมกล่มกันประกอบกิจกรรมอย่างมระเบยบแบบแผน ก่อให้เกิด
ี
ี
ขนบธรรมเนยมประเพณทดงาม มวัฒนธรรมอันเปนความมระเบยบเรยบรอย และศลธรรมอันด ของ
ี
ี
ี
ี
ี
ี่
ี
้
็
ี
ประชาชน
่
3. อสระเสร (Autonomy) ความมส านกในมโนธรรมทพัฒนาเปนล าดับก่อให้เกิดความอสระ
ี
ี
ี
็
ิ
ึ
ิ
ู
ี
สามารถด ารงชวิตจากส่งทได้เรยนรจากการศกษา และประสบการณในชวิต มความสข อยู่ในระเบยบวินัย
้
ึ
ี
ี
ี
ุ
ี
่
์
ี
ิ
ี
ั
็
่
ี
ู
ุ
และสังคมของตน เปนค่านยมสงสดทคนได้รบการขัดเกลาแล้วสามารถบ าเพ็ญตนตามเสรภาพเฉพาะตน
ิ
ิ
ได้อย่างอสระสามารถปกครองตนเอง และชักน าตนเองให้อยู่ในท านองครองธรรม
206
ี
ื
ิ
3.2 คุณธรรมจรยธรรมในระดับบุคคล มองค์ประกอบ 3 ประการ คอ
ิ
1. ด้านความเปนเหตเปนผล (Moral Reasoning) คอ ความเข้มแข็งทางจตใจในเหตผล
็
ุ
ุ
ื
็
ี
ู
ิ
ิ
ของความถกต้องดงาม สามารถตัดสนแยกความถูกต้องออกจากความไม่ถกต้องได้ด้วยการคด
ู
2. ด้านความเชอและทัศนคต (Moral Attitude and Belief) คอ ความพึงพอใจ ศรทธา
ั
ิ
ื
ื่
ิ
ิ
ื่
เลอมใส ความนยมยินดทจะรบจรยธรรมมาเปนแนวทางในการประพฤตปฏบัต ิ
ิ
ี่
ั
ี
ิ
็
ื
3. ด้านพฤตกรรม (Moral Conduct) คอ การกระท าหรอการแสดงออกของบคคล
ุ
ิ
ื
ิ
ิ
ึ
ในสถานการณต่าง ๆ ซงเชอว่าเกิดจากอทธพลของสององค์ประกอบข้างต้น
่
์
่
ื
่
้
ิ
ั
4. คุณธรรม จรยธรรมเพือการคิดแกปญหา
ิ
4.1 คณธรรม จรยธรรม 4 ประการ ตามแนวทางพระบรมราโชวาทของพระบาทสมเด็จ
ุ
ุ
ิ
พระปรมนทรมหาภูมพลอดลยเดช (รชกาลท 9)
ั
ี่
ิ
ิ
ี
ุ
ิ
พระบาทสมเด็จพระปรมนทรมหาภูมพลอดลยเดช (รชกาลท 9) ทรงมพระราชด ารสในพระ
ั
ี่
ั
ิ
่
ี
็
ี
ิ
ราชพิธบวงสรวงสมเดจพระบูรพามหากษัตรยาธราชเจ้า เมอวันท 5 เมษายน พุทธศักราช 2525 ความว่า
ื
่
ิ
ึ
ิ
ี
่
ี
ี
ุ
่
“...คณธรรมททกคนควรจะศกษาและน้อมน ามาปฏบัต มอยู่สประการ
ุ
ิ
ิ
ิ
ิ
ี
่
ิ
็
ี
ั
1) คอ การรกษาความสัจ ความจรงใจต่อตัวเองทจะประพฤตปฏบัตแต่ส่งทเปนประโยชน ์
ื
่
็
และเปนธรรม
ิ
้
ู
ี
2) คอ การรจักข่มใจตนเอง ฝกฝนตนเอง ให้ประพฤตปฏบัตอยู่ในความสัจความดนั้น
ิ
ื
ิ
ึ
ื
ิ
ิ
่
ี
3) คอ การอดทน อดกลั้น และอดออมทจะไม่ประพฤตล่วง ความสัจสจรต ไม่ว่าด้วยเหต ุ
ุ
ประการใด
้
ู
์
ุ
4) คอ การรจักละวางความชั่ว ความทจรต และรจักสละประโยชนส่วนน้อยของตน เพื่อ
้
ิ
ู
ื
่
ี
ิ
ุ
์
ั
ประโยชนส่วนใหญ่ของบ้านเมอง คณธรรมสประการน้ ถ้าแต่ละคนพยายามปลกฝงและบ ารงให้เจรญงอก
ู
ี
ื
ุ
ุ
ึ
ิ
งามข้นโดยทั่วถงกัน จะช่วยให้ประเทศชาตบังเกิดความสข ความร่มเย็น และมโอกาสทจะปรบปรงพัฒนา
่
ี
ั
ึ
ุ
ี
ให้มั่นคงก้าวหน้าต่อไปดังประสงค์...”
พระบรมราโชวาทเรองคณธรรม 4 ประการน้ ี สอดคล้องกับหลักพุทธธรรมในเรอง
ื
่
ื่
ุ
ื
ฆราวาสธรรม 4 คอ
ี
ี
ิ
่
่
ี
ั
1) สัจจะ มความจรงใจต่อตนเองทจะรกษาสัจจะทให้ไว้กับตน
ิ
้
ู
ี
่
ิ
่
ี
2) ทมะ การรจักข่มใจตนเองทจะปฏบัตตามสัจจะทก าหนด
ิ
ิ
3) ขันต มความอดทนอดกลั้นทจะปฏบัตตามสัจจะนั้นให้ส าเรจลล่วง
่
ี
ิ
ี
ุ
็
ุ
4) จาคะ การสละความชั่วความทจรตตามสัจจะนั้น ๆ
ิ
ุ
4.2 คณธรรมตามแนวคดของอรสโตเตล ซงอรสโตเตลนักปราชญ์ชาวกรก ได้ให้แนวทางของ
ิ
ิ
่
ิ
ึ
ิ
ิ
ี
ื
ุ
คณธรรมหลัก ๆ ไว้ 3 ประการ คอ
ิ
ิ
ิ
1) ความรอบคอบ คอ รว่าอะไรควรประพฤตปฏบัต อะไรไม่ควรประพฤตปฏบัต ิ
ิ
ื
้
ู
ิ
ิ
ิ
ื
2) ความกล้าหาญ คอ ความกล้าเผชญต่อความเปนจรง
็
207
ู
ุ
3) การรจักประมาณ คอ รจักควบคมความต้องการและการกระท าให้เหมาะสมกับสภาพ
้
้
ู
ื
และฐานะของตน
4.3 กรมวิชาการ กระทรวงศกษาธการ ได้วิเคราะหคณธรรม จรยธรรมทควรเร่งพัฒนาส่งเสรม
่
ี
ุ
์
ิ
ิ
ึ
ิ
ื
ึ
ุ
ุ
ิ
ให้เกิดข้ ึน ในระดับประถมศกษา ควรพัฒนาคณธรรม จรยธรรม 3 ประการคอ ความเมตตากรณา
ื
ิ
ความซอสัตย์สจรต และความขยันหมั่นเพียร ส่วนระดับมัธยมศกษาควรพัฒนาทั้ง 3 ประการ และเพิ่ม
่
ึ
ุ
ั
จรยธรรมอก 2 ประการ คอ การใฝสัจธรรมและการใช้ปญญาในการแก้ปญหา ซงกรมวิชาการได้ก าหนด
ึ
ื
่
่
ั
ิ
ี
ิ
ิ
ุ
พฤตกรรม คณธรรมจรยธรรมต่าง ๆ ไว้ดังต่อไปน้ ี
ุ
่
่
่
ี
ิ
1) การใฝสัจธรรม ได้แก่ พฤตกรรมทเกียวข้องกับการเลอกแนวทางความเชอทมเหตผล
ี
่
ื
ื
่
ี
ั
ี
่
ื
ี
การแสดงความพอใจกับค ากล่าวทมเหตผล การแสดงความพอใจกับการยึดถอและยอมรบความจรง การ
ิ
ุ
่
แสดงความพอใจกับการแสวงหาความจรง การซักถาม ค้นคว้า เพือตอบข้อสงสัย การซักถาม ค้นคว้า เพือหา
ิ
่
้
ู
ิ
ความรค าอธบายเพิ่มเตม
ิ
ั
ื
ิ
2) การใช้ปญญาแก้ปญหา ได้แก่ พฤตกรรมทางด้านการเลอกแนวทางแก้ปญหา หรอ
ื
ั
ั
ั
์
์
ี
ุ
ื
ิ
ด าเนนงานอย่างมเหตผล การวิเคราะหตามกระบวนการวิทยาศาสตรได้ การพอใจแนวทางแก้ปญหา หรอ
ิ
ิ
็
่
ุ
ี
ิ
็
ี
ึ
ั
ิ
ี
แนวปฏบัตทมเหตผล การปฏบัตงานแก้ปญหา เช่น ท าแบบฝกหัด ท ารายงาน ค้นคว้า ส าเรจเปนทน่าพอใจ
่
ึ
การตอบค าถามทข้นต้นด้วยค าว่า “ท าไม” “เราควรท าอย่างไร” ได้อย่างมเหตผล
ี
่
ี
ุ
ิ
ึ
4.4 ส านักคณะกรรมการการประถมศกษาแห่งชาต (2541 : 34) ได้ก าหนดขอบข่ายของ
คณธรรม จรยธรรม ทจ าเปนการด ารงชวิตไว้ว่า คณธรรม จรยธรรม ทจ าเปนในการด ารงชวิตของคนไทย
ี
ี
็
ิ
ี
็
ิ
่
่
ุ
ุ
ี
็
ี
ั
ี
ี
ื
่
ุ
ได้แก่ ความมเมตตากรณา ความมระเบยบวินัย ความรบผิดชอบ ความซอสัตย์ ความเสยสละไม่เหนแก่ตัว
ี
ื
ี
ู
ความประหยัด และความกตัญญกตเวท ซงจัดหมวดหมู่ได้ 2 ประการ คอ
ึ
่
็
์
ี
็
่
ั
1. ความไม่เหนแก่ตัว ซงได้แก่ การแบ่งปน ความปรารถนาด เหนแก่ประโยชนส่วนรวม
ึ
มากกว่าส่วนตัว ความเมตตากรณา และความกตัญญกตเวท ี
ู
ุ
่
ึ
ิ
่
ี
ั
ุ
ิ
2. ความรบผิดชอบ ซงได้แก่ ความม่งมั่นตั้งใจปฏบัตหน้าทด้วยความผูกพัน พากเพียร
ี
่
ื
ี
่
ี
ละเอยดรอบคอบ ความซอสัตย์ต่อหน้าท เคารพกฎระเบยบ มวินัยในตนเอง ความตรงต่อเวลา และการ
ี
ั
ยอมรบผลการกระท าของตนเองเสมอ
ั
่
ึ
ิ
ุ
4.5 กระทรวงศกษาธการได้ประกาศนโยบายทจะเร่งรดการปฏรปการศกษา โดยยึดคณธรรม
ี
ึ
ิ
ู
ิ
ู
ึ
้
ี
้
น าความรสรางความตระหนักส านกคณค่าของความสมานฉันท์ สันตวิธ วิถประชาธปไตย โดยการพัฒนา
ี
ุ
ิ
ู
้
ี
คนให้เปนคนด มความร และอยู่ดมสข ดังน้ ี
ี
็
ี
ุ
ี
ิ
่
ี
1) ขยัน คอ ความเพียรพยายามท าหน้าทการงาน สงานไม่ท้อถอย ตั้งใจอย่างจรงจัง
ื
้
ู
็
ี
่
่
ุ
ี
2) ประหยัด คอ อยู่อย่างเรยบง่าย พอเพียง ไม่ฟมเฟอย ระมัดระวังรายจ่ายของตนทจ าเปน
ื
ื
ื
ิ
ี
3) ซอสัตย์ คอ มความประพฤตตรงต่อหน้าท จรงใจ ไม่คดโกง
ื
่
ี
่
ิ
ิ
ื
ี
ิ
4) มวินัย คอ ปฏบัตตนอยู่ในกฎระเบยบแบบแผนข้อบังคับรวมถงต่อตนเองและสังคม
ึ
ี
ุ
5) สภาพ คอ อ่อนน้อมถ่อมตน มสัมมาคารวะ เรยบรอยทั้งกาย วาจา ใจ และมมารยาท
ี
ื
้
ี
ี
่
ื
ิ
ี
ิ
ั
6) สะอาด คอ รกษาร่างกาย ทอยู่อาศัยและส่งแวดล้อม ท าจตใจให้แจ่มใส สวยงาม
208
่
ุ
ี
ื
ั
ื
ิ
็
7) สามัคค คอ ช่วยเหลอรบฟง เกื้อกูลทั้งความคดเหนของผู้อนและตนเองอย่างมเหตผล
ี
ั
ื
่
ื
็
ื
็
ี
็
ี
ุ
8) มน ้าใจ คอ อาสาช่วยเหลอสังคม รจักแบ่งปน เสยสละ เหนอกเหนใจผู้อน เหนคณค่าของ
ู
้
ั
ื
ุ
้
ื
ิ
ุ
เพือนมนษย์ เอ้ออาทรต่อเพือนมนษย์ด้วยแรงกายและสตปญญา ร่วมสรางสรรค์ส่งดงามแก่สังคม และ
่
ั
ิ
่
ี
ชมชน
ุ
ั
4.6 คณธรรมทใช้ในการแก้ปญหาชวิต
ุ
ี
ี
่
ั
คณธรรมทใช้ในการแก้ปญหาชวิต ได้แก่ อรยสัจ 4 หมายถง ความจรงอันประเสรฐ 4 ประการ
ี
ิ
ิ
่
ิ
ึ
ุ
ี
ุ
ี
ุ
ิ
ื
ั
ในการด าเนนชวิตของบคคลหรอการท างานในกิจการต่าง ๆ มักจะประสบกับปญหาและอปสรรค
ิ
นานาประการ ซงถ้ามหลักธรรมต่าง ๆ ดังทกล่าวมาแล้วเปนหลักยึดเพือการประพฤตปฏบัต บคคลผู้นั้นก็
่
ุ
ิ
็
่
ิ
ึ
ี
่
ี
ี
่
ุ
ุ
ย่อมจะผ่านอปสรรคต่าง ๆ ไปได้ และประสบความส าเรจในท้ายทสด สาระส าคัญยิ่งของอรยสัจ 4 มดังน้ ี
ี
ิ
็
ื
่
ุ
ื
ึ
1) ทุกข์ คอ ความไม่สบายกายไม่สบายใจทเกิดข้น เนองจากสาเหตนานาประการ
ี
่
ี
ุ
่
่
ึ
2) สมทัย คอ เหตทท าให้เกิดทกข์ ซงเกิดจากตัณหาทั้งหลาย
ุ
ื
ุ
ี่
ุ
ุ
็
ิ
3) นโรธ คอ ความดับทกข์ โดยการดับตัณหาให้หมดจะเปนภาวะทปลอดทกข์
ื
ื
ุ
ุ
ี่
4) มรรค คอ วิถทางในการดับทกข์ ได้แก่ ข้อปฏบัตต่าง ๆ ทท าให้ทกข์หมดไป นั่นคอ
ิ
ี
ื
ิ
อรยมรรค 8 ประการ
ิ
ั
ั
ส าหรบนักศกษาสามารถน าหลักธรรมดังกล่าวไปใช้แก้ปญหา ดังน้ ี
ึ
ุ
็
ึ
ทกข์ คอ สภาพทเราขาดความสขทนไม่ได้ มันท าให้เราว้าวุ่น ทกข์จงเปนปญหา
ุ
ั
ี
ื
ุ
่
ุ
สมทัย คอ สาเหตของปญหา อะไรท าให้เราว้าวุ่นใจ อะไรท าให้เราวิตกกังวล
ุ
ื
ั
่
่
ี
ิ
ื
ื
นโรธ คอ แนวทางแก้ไข ลองนั่งนกว่าจะแก้ไขเรองทว้าวุ่นได้อย่างไร หาหลาย ๆ แนวทาง ลองนั่ง
ึ
เขยนเปนข้อ ๆ แยกแยะข้อดข้อเสย
ี
ี
ี
็
มรรค คอ แนวทางปฏบัตในเชงพฤตกรรมทเปนไปได้ทจะไม่ให้เกิดปญหาอก
ี
่
ื
ิ
็
ี
่
ิ
ี
ั
ิ
ิ
ิ
้
5. แนวทางการพัฒนาบุคลากรดานคุณธรรมจรยธรรม
ิ
ุ
ี
เพื่อให้การพัฒนาคณธรรมจรยธรรม เปนไปในทศทางเดยวกัน จงได้มการก าหนดคณลักษณะ
ิ
็
ึ
ี
ุ
ุ
ี
ิ
ของผู้มคณธรรมจรยธรรมไว้ ดังน้ ี
็
ิ
ี
1. เปนผู้ทมความเพียรพยายามประกอบความด ละอายต่อการปฏบัตชั่ว
ี
ี
ิ
่
2. เปนผู้มความซอสัตย์สจรต ยุตธรรม และมเมตตากรณา
ิ
ุ
ื่
ี
ี
ิ
ุ
็
ั
3. เปนผู้มสตปญญา รตัวอยู่เสมอ ไม่ประมาท
ี
ิ
้
ู
็
ู
ี
่
็
่
้
4. เปนผู้ใฝหาความร ความสามารถในการประกอบอาชพ เพือความมั่นคง
็
่
ั
5. เปนผู้ทรฐสามารถอาศัยเปนแกนหรอฐานให้กับสังคม ส าหรบการพัฒนาใด ๆ ได้
็
ื
ั
ี
่
ิ
ุ
ิ
ี
ั
ี
ิ
ุ
แนวทางการพัฒนาคณภาพและจรยธรรมทก าหนดโดยรฐบาล จากคณสมบัตของผู้มจรยธรรม
ุ
็
ี
็
ี่
็
ึ
ี
ดังกล่าว แสดงถงความเปนคนมคณภาพ มภาวะความเปนผู้น า อันเปนทต้องการขององค์การและสังคม
็
ิ
ทกระดับ รฐบาลไทยได้เหนความส าคัญของการพัฒนาคณภาพของประชาชนในด้านจรยธรรมและ
ุ
ั
ุ
ึ
ิ
ิ
คณธรรมในสังคม จงได้บรรจไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาต โดยเน้นการพัฒนาจตใจใน
ุ
ุ
ี
ุ
ุ
ื
่
ั
ั
ลักษณะทสอดคล้องและเหมาะสมกับสภาพทางเศรษฐกิจและสังคมปจจบัน ซงผลทปรากฏในปจจบันก็คอ
่
่
ี
ึ
209
ี
ี
มการเผยแพร่ธรรมะทางสอต่าง ๆ มากมาย วัดวาอารามก็ได้เข้ามามส่วนร่วมส่วนช่วยในการอบรมสั่งสอน
ื
่
ิ
ิ
ุ
็
ิ
็
ี
ุ
ด้วยจรยธรรมเปนจรยสมบัต หน่วยงานต่าง ๆ ก็ให้การสนับสนนเปนอย่างด คนไทยวัยหน่มสาว และ
็
ื่
ี
ิ
เยาวชนได้ให้ความสนใจเปนจ านวนมาก จากทเหนได้จากสอและข่าวต่าง ๆ เนองจากจรยธรรม เปน
่
็
่
็
ื
ุ
ื
ี
คณสมบัตทท าหน้าทเปนเครองมอในการวัดคณภาพของคน ซงมความส าคัญต่อการด ารงชวิตของประชากร
็
ี
่
ี
่
ิ
ึ
ื
ุ
่
ี
่
ั
ึ
ทั้งประเทศ รฐบาลจงได้ก าหนดแนวทางการพัฒนาคณธรรมและจรยธรรมไว้ดังน้ ี
ิ
ุ
ี
ิ
ิ
่
1. พัฒนาจตใจประชากรกล่มเปาหมาย โดยให้ผู้น าแต่ละกล่มเปนผู้บรหารเปลยนแปลง
้
ุ
็
ุ
่
ั
ู
ี
2. ให้สถาบันของสังคมและครอบครวท าหน้าทอันถกต้องชอบธรรมของตนเอง แก้ไข
ข้อบกพร่องโดยรบด่วน
ี
ู
ิ
ิ
ุ
3. บรรจการพัฒนาจตใจในหลักสตร การฝกอบรมทกหลักสตร และให้ด าเนนการพัฒนา
ึ
ุ
ู
่
ต่อเนองต่อไป
ื
ั
ิ
ี
ี
4. ให้มการพัฒนาวิธปลกฝง อบรม สั่งสอนศลธรรม จรยธรรม ตามความเหมาะสม
ู
ี
็
ุ
้
่
ของกล่มเปาหมายให้เปนทน่าสนใจ
ี
ิ
ิ
้
ิ
5. สรางสรรค์ส่งแวดล้อมของสังคมอันได้แก่ ศลปะ วัฒนธรรม จรยธรรม และค่านยม
ิ
ิ
ี่
ี
ี
ู
ทถกต้องดงามตามหลักศลธรรมและจรยธรรม
ุ
ี
ั
นอกจากการพัฒนาของรฐบาลดังกล่าว องค์กรควรได้ส่งเสรมและพัฒนาบคลากรในวิธเดยวกัน
ี
ิ
เพื่อให้บคลากรขององค์กรเปนทรพยากรมนษย์ทพึงประสงค์โดยแท้จรง การพัฒนาทรพยากรมนษย์
ุ
ุ
ั
ิ
ี่
ั
ุ
็
ี
ั
ี
ึ
้
่
่
ื
โดยวิธดังกล่าวอาจเปนส่วนหนงส าหรบการพัฒนาองค์กร ทส าคัญก็คอ องค์กรควรให้มการสรางบรรยากาศ
็
ี
ี
ื
หรอสภาวะแวดล้อมในการท างานให้ดด้วย ดังเช่นไม่ให้คนมงานท ามากเกินไปหรอน้อยเกินไป
ี
ื
ุ
ี
การพิจารณาความดความชอบให้มความยุตธรรม มธรรมาภบาลและส่งเสรมด้วยมนษยสัมพันธภายใน
ิ
์
ี
ี
ิ
ิ
ึ
ิ
ี
ึ
ี
ุ
องค์กรด้วย ซงบรรยากาศทดจะช่วยการพัฒนาจตใจ ในด้านสถาบันการศกษาก็ควรได้มการบรรจหลัก
่
่
ี
ิ
็
ุ
่
คณธรรมไว้ในหลักสตร เพือเปนการพัฒนาและให้การศกษากับคนทั้งชาต เพือการพัฒนาจตใจของคนใน
ิ
ึ
่
ู
ชาตให้มคณภาพ
ี
ุ
ิ
ี
ี
ุ
ึ
ุ
ึ
การพัฒนาบคคลด้วยคณธรรมต้องฝกฝนให้มความรสกตระหนักว่าอะไรด อะไรควร อะไรไม่ควร
ู
้
ิ
ิ
ู
ี
ี
่
่
ี
อะไรไม่ด และปฏบัตแต่ในทางทถกทควรให้เปนปกตวิสัย การพัฒนาในส่งดังกล่าวควรใช้ส่งโน้มน าให้ม ี
ิ
ิ
ิ
็
ึ
ี
ึ
้
คณธรรมสง มความระลกได้ว่าอะไรไม่ควร และความรสกตัวว่าก าลังท าอะไรอยู่ ผู้หวังความสงบสข
ุ
ู
ุ
ู
ุ
ิ
ึ
ี
ุ
ิ
็
ิ
ความเจรญและความมั่นคงแก่ตนเองและประเทศชาต ต้องฝกฝนตนเองให้มคณธรรม คณธรรมเปนส่งท ี ่
ุ
ิ
ุ
ั
ุ
็
ส าคัญและจ าเปนมากส าหรบบคลากร ควรให้การส่งเสรมสนับสนนและชักจูงให้บคลากรขององค์กรสนใจ
ุ
คณธรรมและพรอมน ามาปฏบัตกับชวิตการท างานของตนเอง
ิ
ี
้
ิ
210
บทสรุป
ี
ี
่
ื
่
่
ื
ี
ี
ี
์
ิ
คนเราเมอเกิดมามชวิต มการท างาน สัมพันธตดต่อกับคนอน ๆ ในสังคมทมความแตกต่างกัน
ี
่
็
ึ
ี
ิ
ิ
ิ
ั
อย่างหลากหลาย การเผชญกับปญหาก็เปนธรรมชาตหนไม่พ้น คนจงต้องมสต มสมาธ เพือให้เกิดปญญา
ั
ี
ิ
ุ
ี
ั
ในการแสวงหาข้อมูลทหลากหลายและเพียงพอมาใช้ประกอบการคด การแก้ปญหาเหล่านั้นให้ลล่วงไป
ิ
่
ึ
็
ุ
สภาพสังคมไทยปจจบันเปนยุคโลกาภวัตน ความเจรญทางด้านเทคโนโลยีการสอสารถงกันทั่วโลก ใน
ั
ิ
่
ิ
์
ื
ระยะเวลาอันสั้น ส่งผลให้เยาวชนและประชาชนเกิดการรบรข่าวสาร ศลปวัฒนธรรม รปแบบการด ารงชวิต
ั
ู
ี
ิ
้
ู
ั
ี
่
ั
็
ของเพือนร่วมโลก และรบมาเปนตัวแบบในการด ารงชวิตของตน โดยไม่มการไตร่ตรองปรบแต่งให้
ี
ื
์
่
ี
ึ
สอดคล้องกับวัฒนธรรม ประเพณและความเชอของไทยเราเอง ขาดการวิเคราะหถงความเปนมา และแนว
็
ี
ี
ั
ุ
ิ
ิ
ิ
ี
ี
่
ปฏบัตทแท้จรงของเขา ส่งผลให้เกิดปญหาด้านวัฒนธรรมและวิถชวิต กระทบต่อคณภาพชวิตของประชาชน
ั
ี
ิ
เปนอันมาก เช่น ปญหาการท างานทไม่โปร่งใสของผู้มอ านาจ การทจรตคอรปชั่นเชงนโยบายในวงราชการ
ั
่
ุ
ิ
ี
็
ึ
ั
ั
ั
ปญหาขายบรการทางเพศของนักศกษา ปญหาการพนันบอล ปญหาตดยา ปญหาหน้นอกระบบ ครอบครว
ิ
ั
ั
ี
ิ
ั
ิ
็
ั
็
้
ั
แตกแยก ปญหาการแต่งงานก่อนวัยอันควร ปญหาการหย่ารางบ่อยคร้ ัง ปญหาเดกซ่ง เดกแว้น ปญหา
ั
โรคเอดส ฯลฯ ปญหาเหล่าน้แสดงให้เหนถงการหย่อนทางด้านคณธรรม จรยธรรมของประชาชนในชาตท ี ่
ั
ิ
ึ
ุ
ิ
ี
์
็
ุ
่
ื
ี
็
ึ
ต้องแก้ไขอย่างรบด่วน คณธรรมจรยธรรมหลายเรอง จงมความส าคัญต้องน ามาเปนข้อมูลประกอบการคด
ิ
ี
ิ
ิ
้
ิ
ู
ิ
่
ึ
ิ
ุ
้
ี
ึ
การตัดสนใจของคนคดเปนมากข้น ทั้งการน ามาเรยนร น ามาฝกพัฒนาบคลากร น ามาปฏบัตเพือปองกันและ
็
่
ุ
่
ื
ิ
ื
ี
ั
็
ุ
ิ
แก้ไขปญหา อย่างไรก็ตาม คณธรรมและจรยธรรมก็เปนเรองของบรบทของแต่ละชมชนทไม่เหมอนกัน การ
็
ั
ุ
น าคณธรรมจรยธรรมไปใช้ในการคดการแก้ปญหาของคนคดเปนจงต้องใช้วิจารญาณไตร่ตรอง พัฒนาให้
ิ
ึ
ิ
ิ
ุ
ุ
ิ
เหมาะสมกับบรบทของชมชนและวัฒนธรรมของชมชนด้วย
่
็
่
้
ั
ิ
้
ตัวอยางคุณธรรม จรยธรรมทีใชประกอบการคิดการแกปญหาแบบคนคิดเปน
สงคหวัตถุ 4
ั
ั
ิ
ี
1. ทาน ได้แก่ การให้ปน ซงมทั้งอามสทาน ธรรมทาน และอภัยทาน
่
ึ
2. ปยวาจา ได้แก่ การพูดจาอ่อนหวาน อ่อนน้อม ถ่อมตนให้เกียรตผู้อน
่
ิ
ื
ิ
3. อัตถจรยา การรจักช่วยเหลอเจอจน ไม่น่งดดายท าตนให้เปนประโยชน ์
ิ
้
็
ื
ุ
ื
ิ
ู
ู
4. สมานัตตตา ได้แก่ การวางตนให้สม าเสมอ เหมาะสมเสมอต้นเสมอปลาย
่
ธรรมเพื่อการบรหาร
ิ
ั
1. ปญญาพละ ได้แก่ ก าลังความร ู ้
2. วิรยพละ ได้แก่ ก าลัง ความเพียร
ิ
ี
ื่
3. อนวัชชพละ ได้แก่ ก าลังความด ความซอสัตย์
์
ื
4. สังคหพละ ได้แก่ ก าลังสงเคราะห ช่วยเหลอ
ู
ธรรมสุภาษิตสาหรบชาวบาน เปนคณธรรมจรยธรรมทคนในสมัยโบราณใช้อบรมสั่งสอนลกหลาน
ี
้
ิ
ั
็
่
ุ
ุ
็
ิ
้
ในรปของสภาษตสอนใจ ส่วนใหญ่จะเน้นค ารอยกรอง เพราะคนไทยมักจะเปนคนเจ้าบทเจ้ากลอน
ู
ึ
ึ
็
เปนภาษาง่าย ๆ แต่ลกซ้งในความงามและความหมาย ตัวอย่างเช่น
211
1. ถ้าแคบนักมักขยับยาก
ี
ถ้ากว้างมากไม่มอะไรจะใส่สม
ถ้าสงนักมักจะลอยไปตามลม
ู
ถ้าต านักมักจะจมธรณ ี
่
2. ไม้สงกว่าแม่ มักจะแพ้ลมบน
ู
ู
คนสงเกินคน มักจะโค่นกลางคัน
๋
ี
ู
3 ผู้ใหญ่นะลกเอยต้องมพรหมวิหาร
ลบล้างสันดานโขดหน
ิ
้
ี
เสยงตูมต้องแสรงว่าไม่ได้ยิน
เสยงน ้าไหลรนรนลกต้องฟง
ู
ิ
ี
ิ
ั
แล้วต้องหยุดพินจพิจารณา
ิ
สดับเสยงนกกามันบ้า
ี
ู
ิ
ลกน้องพูดอะไรไม่อนัง
ลับหลังมันก็สับเอาสับเอา
ิ
ี
ี
4 จรงใจ ไม่ซเรยส
ี
ี
ุ
ดแลความสข ความทกข์ของผู้ร่วมงานอยู่เสมอ แต่ต้องไม่ซเรยสไปตามต ารา พอให้มความ
ุ
ู
ี
็
่
ึ
ิ
ิ
ู
้
ึ
จรงใจและใจจรง ซงเปนความรสกทส่งถงกันได้
่
ี
ึ
ุ
5 อนภาพของปาก
้
สรางความรก ความชังได้ทั้งโลก
ั
ให้สขโศก สดชน ให้ขนขม
ื่
ุ
ื่
ให้หวั่นหวาด กราดเกรยว ให้เกลยวกลม
ี
ี้
ื่
ื่
ิ
ให้นยม ชมชน ให้ตนตัว
ั
ี
ให้โกรธเกลยด เหยียดหยาม ให้ความรก
ให้แตกหัก สามัคค ให้ดทั่ว
ี
ี
ิ
ให้ความคด วิทยา ให้กล้ากลัว
ุ
ุ
สขทกข์ทั่ว ร่วหลาก จากปากคน
ั
ื
ั
จะพูดจากปราศรยกับใครนั้น อย่าตะคั้นตะคอกให้เคองห ู
ู
ไม่ควรพูดอ้อองข้นมงกู คนจะหล่ล่วงลามไม่ขามใจ
ึ
ื
ึ
ึ
ี
แม้จะเรยนวิชาทางค้าขาย อย่าปากรายพูดจาอัชฌาสัย
้
ิ
ิ
ื
ี
ื
จะซ้อง่ายขายดมก าไร ด้วยเขาไม่เคองจตคดระอา
ี
ู
( บทกลอนของ สนทรภ่ )
ุ
212
6. ความสามัคค ี
ี
นายมโค่นไผ่ นายใจขุดหลม
ุ
ุ
ุ
นายชั้นนายช่ม คมกันไปเกียวแฝก
่
เสรจแล้วเกลาเสา เอาโว้ยย้ายแยก
็
เลกงานข้าจะแจก ของแปลกแปลกให้กิน
ิ
ื
ี
7. เล้ยงช้างอย่ากินเน้อช้าง
เบกทรพย์วันละบาทซ้อ มังสา
ื
ั
ิ
ึ
ี
่
นายหนงเล้ยงพยัคฆา ไปอ้วน
่
สองสามสนายมา ก ากับ กันแฮ
ี่
ี
บังทรพย์สส่วนถ้วน บาทส้นเสอตาย
ั
่
ื
ิ
้
8. รจักโง่ให้เปน
็
ู
็
ิ
โง่ไม่เปนเปนใหญ่ยากฝากให้คด
็
ี
์
ทางชวิตจะร่งโรจนโสตถผล
ิ
ุ
่
ื
้
ู
้
ู
ต้องรโง่รฉลาดปราดเปรองตน
๋
ี
โง่สบหนดกว่าเบ่งเก่งเดยวเดยว
ี
ี
ิ
9. การครองตน
◦
นคคณเห นคคหารห
ิ
ฺ
ฺ
ิ
ฺ
ฺ
่
ก าราบคนทควรก าราบ
ี
◦
ฺ
ฺ
ปคคณเห ปคคหารห
ฺ
่
ี
ยกย่องคนทควรยกย่อง
213
เรองที่ 5 กิจกรรมเพื่อการฝกทักษะ
ึ
ื่
็
้
ื่
่
์
ใบงานที่ 1 กรณีตัวอยาง เรอง ออยอินเตอรเนต
้
“อ้อยได้รจักกับผู้ชายเยอะมากทาง Thaimail โดยการเข้าไป แชท ห้องข าขัน อ้อยชอบแอบ
ู
เล่นแชท พ่อแม่ไม่ให้เล่น เพราะกลัวลกโดนหลอก แต่อ้อยก็แอบเล่นตลอด เมอก่อนอ้อยเปนคนทตดเกม
่
ี
็
่
ื
ิ
ู
่
่
ี
มาก ๆ เหตทอ้อยมาเล่นแชท เพราะเข้าเว็บเพือเล่นเกมไม่ได้ เพือนในห้องแนะน าให้เล่นแชท แต่พอเล่นไป
่
ุ
ื
ั
ิ
ุ
ี
ื
ุ
ี
่
์
ื
่
่
เรอย ๆ ก็ตดอยากคยกับคนอน มคนเข้าคยด้วย เข้าไปทักคนอน บางคร้งก็มการให้เบอรโทรศัพท์
ึ
ุ
่
ึ
่
ื
่
ื
จนกระทั่งคนหนงอ้อยได้คยกับผู้ชายคนหนงชอโอ๊ค ซงเวลานั้น อ้อยไม่ได้คยกับโอ๊คคน
ึ
่
ุ
ื
์
ี
ุ
ี
่
เดยว แต่กลับคยกับผู้ชายอก 4 - 5 คน เมอคยกันอ้อยก็ได้เบอรโอ๊คมา ตอนแรกโอ๊คไม่ให้โทรไปเพราะโอ๊ค
ุ
ี
บอกว่านอนกับแม่ อ้อยก็คดว่าผู้ชายคนน้มอะไรแปลก ๆ คนอน ๆ เขาอยากให้โทรไปจะตาย แล้วอ้อยก็
ิ
ื
่
ี
ุ
ึ
ไม่ได้โทรไป ได้แต่ส่งข้อความไปว่า “ถ้าคยได้ ยิงมาด้วย” (“ยิงมาด้วย” หมายความว่ากดโทรออกถงใคร
้
ู
่
ี
แล้วรบวาง) โอ๊คเปนคนอยุธยา ตอนนั้นทเพิ่งรจักโอ๊คอยู่ ม.ปลาย แต่อ้อยอยู่ ม.ต้น อ้อยใช้ชอในแชท ว่า
ื
็
ี
่
ื
ื
่
จอย เพราะพีชายเคยบอกว่าไม่ให้ใช้ชอจรงเพราะมันเปนการขายชอ อ้อยก็เชอตลอดมา ช่วงแรก ๆ อ้อยคย
่
ิ
่
ื
็
ุ
่
ิ
ี
่
ุ
็
ื
ุ
ุ
ั
กับโอ๊คเพราะมาก ม “ครบ มีค่ะ” ทกค า แต่พอคยไปเรอย ๆ ก็เกิดความสนทสนม คยกันอย่างเปนกันเอง
่
ู
ื
ุ
้
ี
มาก ๆ อ้อยกับโอ๊คได้นัดพบกันและมอะไรกันในทสด จนอ้อยเกิดตั้งท้องได้ 3 เดอน และกลัวแม่จะรเลย
ี
ี
ิ
ิ
่
ื
่
ึ
ต้องไปท าแท้งทคลนกเถอนแห่งหนงในเขตปรมลฑล หลังจากนั้นผ่านมาหลายป อ้อยก าลังจะจบ ม.ปลาย
ิ
่
ี
้
ู
ึ
่
ิ
ช่วงนั้นทะเลาะกันบ่อยมาก โอ๊คบอกเลกกับอ้อยตลอด แต่อ้อยท าใจไม่ได้ จนกระทั่งวันหนงอ้อยรว่าวันน้ ี
ุ
ึ
้
ู
ี
ิ
่
ต้องมาถง อ้อยยอมรบในส่งทโอ๊คพูด แต่โอ๊คบอกว่าอ้อยต้องคยกับโอ๊คตลอดไปนะ อ้อยก็ไม่รว่าจะท าได้
ั
ิ
้
ื
ื
หรอเปล่า อ้อยรองไห้ทกคนเลย คดถงโอ๊คมาก ๆ อยากกลับไปเหมอนเดม แต่ก็ท าไม่ได้ เพือน ๆ รว่าเลกยัง
ื
ิ
ึ
ิ
ู
่
้
ุ
ี
ี
ุ
ื
ิ
ไม่เชอกันเลย เพราะเขาคบกันมา 4 ปกว่า ๆ ตอนน้อ้อยไม่ได้คยกับโอ๊คเลย เพราะคดว่าโอ๊คมคนใหม่แล้ว
่
ี
โทรไปก็ท าเหมอนราคาญ อ้อยก็เลยไม่ค่อยอยากโทรไปรบกวน”
ื
1. ปญหาเรองอ้อยอนเตอรเนต เกิดจากสาเหตใด
่
ื
ั
ิ
ุ
็
์
่
็
ิ
ี
ั
่
2. การแก้ปญหาโดยกระบวนการคดเปน จะต้องใช้ข้อมูลทเกียวข้องอะไรบ้าง
ข้อมูลทางวิชาการ
214
่
ข้อมูลเกียวกับตนเอง (อ้อย)
่
ข้อมูลเกียวกับสภาวะแวดล้อม
ี
ึ
ี่
่
ึ
ุ
ิ
่
็
3. ข้อมูลด้านคณธรรม จรยธรรม ซงเปนส่วนหนงทส าคัญของข้อมูลด้านสภาวะแวดล้อม มอะไรบ้าง
ี
่
่
ทเกียวข้องและสามารถน ามาใช้เปนองค์ประกอบในการคดแก้ปญหาน้ได้
็
ี
ั
ิ
215
ี
่
ี
ี
ื
ั
ี
่
็
4. มทางเลอกในการแก้ปญหาของอ้อยทมความเปนไปได้ กีวิธ อะไรบ้าง
ึ
ื
็
ุ
ี
ี
5. ถ้าท่านเปนอ้อย ท่านจะเลอกวิธใดจงจะดทสด เพราะเหตใด
่
ุ
ี
216
ใบงานที่ 2 กรณีตัวอยางเรอง สมศกดิติดเกม
์
่
ั
ื่
ิ
็
ี
่
็
็
ื
ิ
่
“สมศักด์ เปนเดกทท าอะไรก็ท าอย่างจรงจัง เมอชอบเล่นเกมก็เล่นจนน่าเปนห่วง เขากลายเปน
็
็
่
เดกตดเกม เขาเล่นเกมจนแทบไม่มเวลากินข้าว ความคลั่งไคล้ในเกมของเขาท าให้เพือน ๆ ตั้งฉายาเขาว่า
ี
ิ
ื
ั
ี
ึ
เกมแมน เวลาส่วนใหญ่ของเขาหมดไปกับการเล่นเกม เวลาส าหรบการเรยนจงเหลอน้อยลง ๆ จนเขา
่
ี
ี
่
ิ
ล้มปวย อ่อนเพลยมากต้องต้องน าตัวส่งโรงพยาบาล ในวันน้เขาไม่คดจะเล่นเกมอกแล้ว เพือน ๆ มาเยียมเขา
่
ี
่
ิ
ี่
ื
ิ
ื่
ทโรงพยาบาล เขาถามเพื่อนถงเรองทโรงเรยน เพือนบอกว่าอาทตย์หน้าจะสอบ สมศักด์ไม่ได้อ่านหนังสอ
ี
ึ
ี่
เลย หลังออกจากโรงพยาบาลสมศักด์เร่งอ่านหนังสออย่างหนัก จนเขาง่วงหลับไปฝนถงแต่เกมทตัวเองเล่น
ิ
ั
ื
ึ
่
ี
ึ
ื
ี
่
ึ
ุ
่
้
ึ
่
ิ
ิ
ู
ื
่
สมศักด์รสกเบอหน่ายการอ่านหนังสอ ทันใดนั้น สมศักด์ก็นกถงค าทเพือนร่นพีบอกเขาไว้ว่า ยาขยันกินแล้ว
่
ื
ื
่
ิ
ิ
ื
ตาแข็ง ไม่มหลับ อ่านหนังสอได้คนละหลายเล่ม สมศักด์คดจะไปหาเพือนร่นพีชอเสอเพือขอใช้สักเม็ด
่
่
ี
ื
ุ
ิ
ร่งเช้าสมศักด์ไปหาเสอตามทตั้งใจไว้โดยหวังว่าถ้าได้ยาคงอ่านหนังสอทันแน่นอน สมศักด์เดน
ิ
ื
ิ
ุ
ื
ี
่
ู
ิ
ี
ผ่านไปเจอเพือน ๆ เพือนถามเขาว่าจะไปไหน เขาบอกว่าจะไปหาพีเสอ เพือนได้ยินก็ช้ให้สมศักด์ดพีเสอ
ื
่
่
ื
่
่
่
ิ
ื
ี
ิ
่
ซงนอนชอกหมดสตเพราะใช้ยาบ้าจนตดงอมแงม จากนั้นเพือนถามสมศักด์ว่า นายยังจะคดใช้ยาบ้าอกหรอ
ิ
ิ
ึ
่
็
ิ
นายควรตั้งใจอ่านหนังสอโดยไม่พึงยาเสพตด สมศักด์ไม่คดว่ายาบ้าอันตรายขนาดน้ เขาไม่กล้าใช้แล้ว เขา
ี
ื
่
ิ
ิ
ื
ู
ื
ี
้
่
จะใช้ความสามารถของเขาเอง วางแผนการอ่านหนังสอด ๆ แม้จะอ่านไม่จบทั้งหมด แต่ก็น่าจะรเรองบ้าง
็
ิ
ิ
ี
่
่
ื
ื
พวกเพือน ๆ บอกสมศักด์ว่าจะเปนก าลังใจให้ สมศักด์อ่านหนังสออย่างตั้งใจและอดทน ไม่ลมทจะพักผ่อน
ื
ื่
ึ
ี
่
็
อย่างเพียงพอ ไม่ลมทจะกินอาหารให้เปนเวลา เมอถงวันสอบสมศักด์ตั้งใจท าข้อสอบ วันประกาศผลสอบ
ิ
ี
่
ิ
ุ
็
สมศักด์สอบผ่านหมดทกวิชา สมศักด์ดใจเปนทสดแม้คะแนนจะไม่สงนักแต่ก็สอบผ่านหมด ความส าเรจ
ุ
ู
็
ี
ิ
็
ี
ั
่
ี
ิ
ิ
จากการสอบคร้งน้เปนความสามารถของเขาล้วน ๆ ไม่มส่งเสพตดมาเกียวข้อง”
1. ปญหาเรองสมศักด์ตดเกม มสาเหตเนองมาจากอะไร
ิ
ิ
ั
ื
่
ุ
ื
่
ี
217
่
่
ี
ิ
ิ
็
ั
2. การแก้ปญหาของสมศักด์โดยกระบวนการคดเปน จะต้องใช้ข้อมูลทเกียวข้องทั้ง 3 ประการต่อไปน้ ี
ี่
ุ
อย่างไรบ้าง จะได้ข้อมูลจากทใดในชมชน
ข้อมูลทางวิชาการ
ข้อมูลเกียวกับตนเอง (สมศักด์)
ิ
่
ข้อมูลเกียวกับสภาวะแวดล้อม
่
ุ
ิ
็
3. จะใช้ข้อมูลด้านคณธรรม จรยธรรม อะไรบ้างมาเปนองค์ประกอบในการตัดสนใจแก้ไขปญหา และใช้
ิ
ั
อย่างไร
218
ี่
ื
็
ี่
ี
ี่
ุ
ี
ื
4. ให้เสนอทางเลอกทมความเปนไปได้ และให้เรยงล าดับจากทางเลอกทเหมาะสมทสดลงมา
็
ึ
ิ
5. ถ้าท่านเปนสมศักด์ ท่านจะเลอกปฏบัตอย่างไร จงจะพอใจ
ิ
ื
ิ
219
ื่
ใบงานที่ 3 กรณีตัวอยางเรองของสมพงษ
่
์
ี
่
ี
่
ึ
ี
ั
ี
ุ
ั
“นายสมพงษ์ เกิดมาในครอบครวทมฐานะยากจน มอาชพท าไร่ข้าวโพด ซงในปจจบัน
ื
ั
ี
ุ
ี
ั
อากาศ น ้า ก็ไม่เอ้ออ านวยในการท าการเกษตร รายได้ของครอบครวไม่แน่นอน ครอบครวน้มบตร 4 คน
ี
ี
ั
็
ุ
็
ั
สมพงษ์ เปนบตรชายคนโต อายุประมาณ 15 ป แต่เขาเปนคนรกด รกพ่อแม่พีน้อง บ้านทอยู่อาศัยมลักษณะ
ี
่
่
ี
็
ี่
ี
ี
่
ิ
้
ู
ึ
เปนไม้ชั้นเดยวแต่ก็ขอปลกอยู่ในทดนของปา จงต้องเสยค่าเช่าให้เปนรายป และการทนายสมพงษ์ เปน
ี
็
ี
็
ุ
ี
่
ึ
ี
ี
ื
่
่
บตรชายคนโตนั้น เขาต้องเสยสละออกจากโรงเรยนเมอจบประถมศกษาปท 6 เพือออกมาช่วยพ่อแม่ ท างาน
ี
ื
่
ั
ี
ึ
่
ี
ู
ิ
หาเงน ดแลน้อง แบ่งเบาภาระต่าง ๆ เนองจากสภาพครอบครวทยากจน ท าให้เขาเสยโอกาสทางการศกษา
ี
ี
ั
โดยไม่มข้อโต้แย้ง เขาท างานหนักหาเงนช่วยพ่อแม่ น ามาใช้จ่ายในครอบครว ส่งน้องเรยน เพราะเขา ไม่
ิ
ุ
่
ี
ี
่
ี
อยากให้น้อง ๆ ของเขาต้องเสยโอกาสทางการเรยนอย่างทเขาเจอ เขาตั้งใจท างานทกอย่างตามทมคนจ้าง
ี
ี
และด้วยทนายสมพงษ์ เปนผู้ทเสยโอกาสทางการศกษาแค่ ป.6 จงหางานท ายากมโอกาสแค่รบจ้างเขา
ี
ี่
ั
ึ
ี
ึ
ี
่
็
ั
ิ
ไปวัน ๆ ซงงานทท าอยู่ก็ไม่แน่นอน เงนทได้มาในแต่ละเดอนจงไม่แน่นอนท าให้รายได้ในครอบครวก็ไม่
่
ี
ี
่
่
ึ
ึ
ื
แน่นอนตามไปด้วย”
ุ
ั
ื
่
1. ปญหาเรองของสมพงษ์ เกิดจากสาเหตอะไรบ้าง
็
่
ิ
่
ี
ั
2. การแก้ปญหาโดยกระบวนการคดเปน จะต้องใช้ข้อมูลทเกียวข้องอะไรบ้างใน 3 ประการต่อไปน้ ี
ข้อมูลทางวิชาการ
ข้อมูลเกียวกับตนเอง (สมพงษ์)
่
220
่
ข้อมูลเกียวกับสภาวะแวดล้อม
็
ิ
ิ
็
ุ
3. ถ้าท่านเปนสมพงษ์ และจะต้องใช้ข้อมูลทางคณธรรม จรยธรรม มาเปนองค์ประกอบในการพิจารณาคด
ิ
แก้ไขปญหาแบบคนคดเปน ท่านจะเสนอคณธรรมจรยธรรมอะไรบ้าง
ิ
ั
ุ
็
221
่
ี
ื
ี
ี
ี
ี
็
่
ี
ื
ั
่
4. มทางเลอกในการแก้ปญหาทมความเปนไปได้กีวิธ ให้น าเสนอโดยการเรยงล าดับทางเลอกทเหมาะสม
ี่
ุ
็
ทสดเปนส าคัญ
ิ
ี
็
็
ิ
็
ั
5. ถ้าท่านเปนสมพงษ์ ท่านจะมแนวปฏบัตเปนขั้นเปนตอนในการแก้ไขปญหาของท่าน อย่างไร
222
บทที่ 5
การวิจัยอยางงาย
่
่
สาระสาคัญ
่
ี
้
ื
ั
่
ู
้
ู
ิ
ี
การแสวงหาความร ข้อมูล ข้อเท็จจรงอย่างมระบบเพือให้ได้รบค าตอบหรอความรใหม่ทเชอถอได้
่
ื
ื
สามารถท าได้โดยกระบวนการวิจัยและขั้นตอนการวิจัยอย่างง่าย
ผลการเรยนรูทีคาดหวัง
ี
้
่
ื
่
ี
ี
เมอจบบทน้ ผู้เรยนสามารถ
7. อธบายความหมายและความส าคัญของการวิจัยได้
ิ
8. ระบกระบวนการ ขั้นตอนของการท าวิจัยอย่างง่ายได้
ุ
ิ
ี
ิ
ื
ิ
9. อธบายสถตง่าย ๆ และสามารถเลอกใช้สถตทเหมาะสมกับการวิจัยในแต่ละเรองของตนเองได้
ื
ิ
่
่
ิ
ู
อย่างถกต้อง
้
10. สรางเครองมอการวิจัยได้
ื่
ื
ี
11. เขยนโครงการวิจัยได้
ี
12. เขยนรายงานการวิจัยและเผยแพร่งานวิจัยได้
่
ขอบขายเน้อหา
ื
ี่
ื่
เรองท 1 ความหมาย ความส าคัญของการวิจัย
่
เรองท 2 กระบวนการและขั้นตอนการท าวิจัยอย่างง่าย
ื
ี
่
เรองท 3 สถตง่ายๆ เพือการวิจัย
่
ิ
ื
่
ี
ิ
่
เรองท 4 การสรางเครองมอวิจัย
ี่
ื
ื่
ื่
้
ี
ื่
เรองท 5 การเขยนโครงการวิจัย
ี่
่
ี
่
เรองท 6 การเขยนรายงานการวิจัยอย่างง่ายและการเผยแพร่ผลงานวิจัย
ื
ี
สอการเรยนรู ้
ี
่
ื
1. บทเรยนวิจัยออนไลน์ (http://www.elearning.nrct.net/) ของส านักงานคณะกรรมการวิจัย
ี
แห่งชาต ิ
ื่
ี่
ึ
2. เข้าไปค้นข้อมูล โดยพิมพ์หัวข้อเรองวิจัยทต้องการศกษาใน http://www.google.co.th/
์
ิ
3. วารสาร เอกสาร งานวิจัย และวิทยานพนธ ต่าง ๆ
223
ื่
เรองที่ 1 ความหมาย ความสาคัญของการวิจัย
่
ื
ี
ื
่
ี
ึ
็
ู
่
้
เมอได้ยินค าว่า “การวิจัย” คนส่วนใหญ่จะรสกว่าเปนเรองทท ายาก มขั้นตอนมาก ต้องใช้เวลานาน
้
ี
ู
ื
ิ
ิ
้
ื
่
ต้องมความรในการสรางเครองมอการวิจัย และการใช้สถตต่าง ๆ ท าให้หลายคนไม่อยากท าวิจัย
ี
ี่
ื
ิ
ู
ข้อเท็จจรงคอ การวิจัยมหลายระดับตั้งแต่ระดับยาก ๆ ซับซ้อน ทต้องใช้ความรทางวิชาการด้าน
้
ี
ุ
ึ
็
็
่
่
ื
ต่างๆ และใช้เวลาเปนป ในการท าวิจัยแต่ละเรอง จนถงการวิจัยทง่าย แม้แต่เดกอนบาลหรอเดกประถมใน
ี
ื
็
ื
็
็
ึ
ี
่
ี
เมองนอกก็มการท าวิจัยหรอทเรยกเปนภาษาอังกฤษว่า Research เปนว่าเล่น ดังนั้นการวิจัยจงไม่ใช่เรองยาก
ี
ื
่
ื
่
ิ
อย่างทคดเสมอไป
ี
ื
์
ค าถามคอ การวิจัยคออะไร ท าไมต้องท าวิจัย ท าแล้วได้ประโยชนอย่างไร
ื
ี
ี
ื
่
่
่
้
็
็
ี
ู
การวิจัยเปนการหาค าตอบทอยากร ทสงสัย ทเปนปญหาข้อข้องใจ แต่ค าตอบนั้นต้องเชอถอได้
่
ั
ื
้
ุ
ึ
ี
ิ
ึ
ู
็
ื
ไม่ใช่การคาดเดา หรอคดสรปไปเองโดยใช้ความรสก วิธการหาค าตอบจงต้องเปนกระบวนการขั้นตอน
็
อย่างเปนระบบ
้
ตัวอย่าง เช่น ถ้าต้องการทราบว่านักรองในดวงใจของนักศกษามัธยมศกษาตอนปลาย ใน ศรช.
ึ
ึ
ึ
ื
วัดแจ้งเปนใคร จะคาดเดาเองหรอไปสอบถามนักศกษาเพียงคน สองคน แล้วมาสรปว่านักรองในดวงใจของ
ุ
็
้
ี
่
็
ี
็
ึ
นักศกษาตอนปลายใน ศรช. วัดแจ้ง เปนคนนั้น คนน้ไม่ได้ แต่ต้องท าแบบสอบถามไปให้กล่มตัวอย่างทเปน
ุ
ี่
็
ตัวแทนของนักศกษามัธยมศกษาตอนปลายใน ศรช. วัดแจ้ง เปนผู้ตอบ แล้วน ามาสรปค าตอบข้อค้นพบทได้
ึ
ุ
ึ
เปนต้น
็
ู
้
ี
ั
์
่
ผลทได้จากการท าวิจัย นอกจากจะได้รบค าตอบทต้องการรแล้ว ผู้วิจัยเองก็ได้ประโยชนจากการท า
่
ี
ิ
ี
็
็
ี
วิจัย คอ การเปนคนช่างคด ช่างสังเกต ศกษาค้นคว้าหาความรและเขยนเรยบเรยงอย่างเปนระบบ
ื
ู
ึ
ี
้
์
นอกจากนั้นการวิจัยจะเกิดประโยชนในภาพรวม ดังน้ ี
1. การวิจัยท าให้เกิดความรทางวิชาการใหม่ ๆ
ู
้
2. การวิจัยช่วยให้เกิดนวัตกรรม ส่งประดษฐ์ แนวคดใหม่ ๆ
ิ
ิ
ิ
ั
้
ู
ี
3. การวิจัยช่วยตอบค าถามทอยากร ให้เข้าใจปญหาและช่วยในการแก้ไขปญหา
่
ั
ิ
4. การวิจัยช่วยในการวางแผนและการตัดสนใจ
ิ
5. การวิจัยช่วยให้ทราบผลและข้อบกพร่องจากการด าเนนงาน
ุ
ี
ื
์
กิจกรรมที่ 1 ให้ผู้เรยนแบ่งกล่ม ศกษาความหมายของการวิจัยและประโยชนของการวิจัยจากเอกสาร หรอ
ึ
Website แล้วสรปเปนความคดเหนของกล่ม ท าเปนรายงานและน าเสนอในการพบกล่ม
็
ุ
ุ
็
ุ
็
ิ
224
้
่
่
เรองที่ 2 กระบวนการและขันตอนการท าวิจัยอยางงาย
ื่
ิ
็
การท าวิจย ด าเนนการเปนขั้นตอน ดังน้ ี
ั
้
ิ
ั
็
ี
ู
้
ขันตอนแรก มักจะเร่มต้นจากผู้วิจัยอยากรอะไร มปญหาข้อสงสัยอะไร เปนขั้นตอนการก าหนด
ั
ค าถามวิจัย/ปญหาวิจัย
ื
ตัวอย่างค าถามการวิจัย เช่น นักรองในดวงใจวัยร่นคอใคร นักการเมองในดวงใจวัยร่นคอใคร วัยร่น
้
ุ
ื
ุ
ุ
ื
็
ใช้เวลาว่างท าอะไร เปนต้น
ตัวอย่างปญหาวิจัย เช่น ปญหาการตดเกมสของวัยร่น ปญหาการใช้เวลาว่างของวัยร่น ฯลฯ เปนต้น
ุ
ิ
ั
์
ั
็
ุ
ั
่
เมอก าหนดค าถามการวิจัย/ปญหาวิจัยแล้ว
ั
ื
ี
ิ
ี
ี
ึ
ื
่
้
ขันตอนที่สอง คอ การเขยนโครงการวิจัย ซงต้องเขยนก่อนการท าวิจัยจรง โดยเขยนให้
ื
่
ึ
ี
่
็
ื
ครอบคลมว่า จะท าวิจัยเรองอะไร (ชอโครงการวิจัย) ท าไมจงท าเรองน้ (ความเปนมาและความส าคัญ) อยาก
่
ื
ุ
ู
ี
ิ
ุ
้
รอะไรบ้างจากการวิจัย (วัตถประสงค์ของการวิจัย) มแนวทางขั้นตอนการด าเนนงานวิจัยอย่างไร
ิ
ี
ิ
ิ
ิ
ิ
็
ิ
(วิธด าเนนการวิจัย) ระยะเวลาการวิจัยและแผนการด าเนนงาน (ปฏทนปฏบัตงาน) การวิจัยน้ ีจะเปน
ประโยชนอย่างไร (ประโยชนของการวิจัยหรอผลทคาดว่าจะได้รบ)
ั
ื
ี
์
่
์
้
ิ
ื
ี
ขันตอนที่สาม คอ การด าเนนงานวิจัยตามแผนทก าหนดไว้ในโครงการวิจัย
่
ื
ี
ื
ขันตอนที่ส คอ การเขยนรายงานการวิจัย ส่วนใหญ่ประกอบด้วยหัวข้อ คอ
้
ี่
1. ชอเรอง
ื่
ื่
ื่
2. ชอผู้วิจัย
็
3. ความเปนมาของการวิจัย
4. วัตถประสงค์ของการวิจัย
ุ
5. วิธด าเนนการวิจัย
ี
ิ
6. ผลการวิจัย
7. ข้อเสนอแนะ
ิ
8. เอกสารอ้างอง (ถ้าม)
ี
ขนตอนสุดทาย คอ การเผยแพร่ผลงานวิจัย เพือให้บคคลหรอหน่วยงานทเกียวข้องน าผลงานวิจัยน้ ี
่
ื
่
ุ
ี
่
ื
้
้
ั
์
ไปใช้ประโยชนต่อไป
225
ั
่
้
ั
็
้
่
ี
โดยสรุปกระบวนการและขนตอนการท าวิจย อยางงาย เขยนเปนแผนภูมิได ดังน้ ี
ขั้นตอน
ั
1. ก าหนดค าถามวิจัย/ปญหาวิจัย
2. เขียนโครงการวิจัย
ิ
3. ด าเนนการตามแผนในโครงการวิจัย
4. เขียนรายงานการวิจัย
่
5. เผยแพรผลงานวิจัย
กิจกรรมที่ 2 ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม ก าหนดค าถามวิจัย/ปัญหาวิจัยตามความสนใจ และเขียนชือโครงการวิจัยที ่
่
สนใจจะท า น าเสนอเพือแลกเปลียนเรียนรู้ในกลุ่ม
่
่
่
ื่
เรองที่ 3 สถิติงาย ๆ เพื่อการวิจัย
่
ี
่
ี
่
ี
ิ
ิ
สถตทใช้ในการวิจัย โดยทั่วไปได้แก่ ความถ รอยละ และค่าเฉลย ซงมความหมายและวิธคดค านวณ
ิ
ี
ี
้
ึ
่
ดังน้ ี
1. ความถี่ (Frequency)
ี
่
ิ
ึ
ี่
ี
ความถ (Frequency) คอ การแจงนับจ านวนของส่งทเราต้องการศกษาว่ามจ านวนเท่าใด เช่น
ื
ื
ิ
็
ี
ี
่
ี
ิ
ิ
จ านวนผู้เรยนในห้องเรยน จ านวนส่งของ จ านวนคนทไปใช้สทธ์เลอกตั้ง เปนต้น
ี
ิ
ี
่
ี
วิธหาความถ ท าได้โดยการแจงนับจ านวนของส่งทเราต้องการศกษา ตัวอย่างเช่น
ึ
่
ชดตัวเลขต่อไปน้ ตัวเลขใดมความถมากทสด 10 15 18 10 13 10 10 15 18 18
ุ
่
ี
ุ
ี
ี
ี
่
226
่
ี
่
ี
ื
ค าตอบก็คอ 10 เพราะแจงนับความถได้ 4 รองลงมาคอตัวเลข 18 ทแจงนับความถได้ 3 ตัวเลข
ื
่
ี
ี
ี่
ี่
ี่
ื
ุ
15 ความถ 2 และตัวเลข 13 มความถน้อยทสด คอ 1
้
2. รอยละ (Percentage)
รอยละ (Percentage) เปนสถตทใช้กันมากในงานวิจัย เพราะค านวณและท าความเข้าใจได้ง่าย
ี
่
้
็
ิ
ิ
็
์
ิ
ี
ู
์
นยมเรยกว่า เปอรเซนต์ ใช้สัญลักษณ % การใช้สตรในการค านวณหาค่ารอยละมดังน้ ี
ี
้
้
ี
รอยละ = ตัวเลขที่ตองการเปรยบเทียบ × 100
้
จานวนเต็ม
้
ี
วิธการค านวณหาค่ารอยละ ดังตัวอย่างต่อไปน้ ี
ึ
ิ
็
่
ี
ิ
ตัวอยาง หมู่บ้านแห่งหนงมจ านวนประชากรรวมทั้งส้น 50 คน เปนหญง 20 คน เปนชาย 30 คน มประชากร
ี
็
่
ิ
้
ิ
็
หญงและชายคดเปนรอยละ ดังน้ ี
ิ
หญง 20 100 = ร้อยละ 40 หรือ 40%
50
ชาย 30 100 = ร้อยละ 60 หรือ 60%
50
ื
้
ี
หมายเหตุ การค านวณค่ารอยละ เมอรวมกันแล้วจะต้องได้รอยละ 100 หรอ 100% เสมอ ยกเว้นถ้ามจด
ุ
ื
้
่
ิ
ทศนยมและมการปดเศษ
ี
ั
3. คาเฉลี่ย (Mean)
่
ค่าเฉลย (Mean) คอ ค่ากลาง ๆ ของข้อมูล ค านวณโดยการน าค่าของข้อมูลทั้งหมดมารวมกัน
ี
่
ื
ู
แล้วหารด้วยจ านวนข้อมูลทมอยู่ การใช้สตรในการค านวณหาค่าเฉลยได้ดังน้ ี
ี
่
ี
ี
่
้
้
่
คาเฉลี่ย = ผลรวมของขอมูลทังหมด
้
่
จานวนขอมูลทีมีอยู ่
่
ี
ตัวอยาง ครอบครวหนงพ่ออายุ 58 ป แม่อายุ 42 ป ลก 3 คน มอายุ 12 ป, 10 ป, และ 5 ป ตามล าดับ ถ้าอยาก
ั
ี
ี
ึ
ี
ี
ี
ุ
่
ี
ั
้
่
ี
ู
รว่าคนในครอบครวน้มอายุเฉลยเท่าใด เราสามารถค านวณได้ ดังน้ ี
ี
ู
อายุเฉลยของคนในครอบครว = อายุพ่อ + อายุแม่ + อายุลกรวม 3 คน
ี่
ั
จ านวนคนในครอบครวทั้งหมด
ั
= 58 42 12 10 5
5
= 25.40
ั
ี
ี
ี่
ดังนั้นคนในครอบครวน้มอายุเฉลย = 25.40 ป ี
227
ู
ี
ิ
่
ี
กิจกรรมที่ 3 ให้ผู้เรยนค านวณค่าสถตต่อไปน้ โดยวงกลมค าตอบทถกต้อง
ี
ิ
ี
ี
ี
่
1. ชดตัวเลขต่อไปน้ ตัวเลขใดมความถมากท 3 5 7 9 8 6 3 10 3 2 3 9 3 9 8
่
ุ
ี
ก. 3
ข. 8
ค. 9
่
2. ข้อมูลการแจงนับต่อไปน้ มความถเท่าใด
ี
ี
ี
ก. 18
ข. 20
ค. 22
ึ
3. ในครอบครวหนง ปูอายุ 80 ป ย่าอายุ 75 ป พ่ออายุ 50 ป แม่อายุ 45 ป ลก2 คนอายุ 10 ป และ 8 ป ี
ี
ั
ี
ี
่
่
ี
ี
ุ
ั
ี
ี
ี
่
คนในครอบครวน้มอายุเฉลยเท่าใด
ก. 45 ป ี
ข. 44.7 ป ี
ค. 53.6 ป ี
ิ
ี
ั
ี
้
็
4. ครอบครวหนงมรายได้รวม 10,000 บาท มรายจ่ายเปนค่าอาหาร 4,000 บาท ค่าอาหารคดเปนรอยละ
ึ
่
็
เท่าไรของรายได้ทั้งหมด
้
ก. รอยละ 20
ข. ร้อยละ 30
้
ค. รอยละ 40
ิ
ื
5. ในการเลอกตั้งผู้แทนในหมู่บ้านแห่งหนง มผู้มสทธเลอกตั้งทั้งหมด 150 คน มผู้ชายไปใช้สทธ ิ
่
ี
ิ
ิ
ี
ี
ื
ึ
่
็
ื
ี
์
เลอกตั้ง 50 คน มผู้หญงไปใช้สทธเลอกตั้ง 30 คน ถามว่ามผู้ไม่ไปใช้สทธเลอกตั้งมกีเปอรเซนต์
ิ
ิ
ื
ื
ี
ิ
ิ
ี
ิ
ก. 20%
ข. 33.33%
ค. 46.67%
เรองที่ 4 การสรางเครองมือการวิจัย
้
ื่
ื่
ความหมาย ความสาคัญ ของเครองมือการวิจย
ื่
ั
์
็
ี
ี
ในการด าเนนงานวิจัย มความจ าเปนต้องมการรวบรวมข้อมูล เพื่อน ามาวิเคราะหหาค าตอบตาม
ิ
ิ
ี
่
่
ุ
ิ
ี
่
ื
วัตถประสงค์ของการวิจัยทก าหนด เครองมอการวิจัย เปนส่งส าคัญในการเก็บรวบรวมข้อมูลส่งทต้องการ
็
ื
ื่
็
ุ
ศกษา เครองมอทใช้ในการวิจัยมหลายประเภท แต่ไม่ว่าจะเปนเครองมอการวิจัยแบบใด ล้วนมจดม่งหมาย
ึ
่
ี
ื
ื
ี
ุ
ื
่
ี
228
่
ี
ิ
์
ี
ื
่
เดยวกัน คอต้องการได้ข้อมูลทตรงตามข้อเท็จจรง เพือท าให้ผลงานวิจัยเชอถอได้และเกิดประโยชนมาก
ื
ื
่
ุ
ี่
ทสด
ื
ิ
์
่
ื
ประเภทของเครองมอการวิจัยทนยมใช้กันมาก ได้แก่ การใช้แบบสอบถาม แบบสัมภาษณ และแบบ
่
ี
สังเกต
การสรางแบบสอบถาม
้
ิ
็
่
ี
ิ
ื
ิ
่
ื
ิ
แบบสอบถามเปนเครองมอการวิจัยทนยมน ามาใช้รวบรวมข้อมูลงานเชงปรมาณ เช่น การวิจัยเชง
ิ
็
ิ
ส ารวจ การวิจัยเชงอธบาย เปนต้น
ิ
แบบสอบถามมทั้งแบบสอบถามปลายปด และแบบสอบถามปลายเปด
ี
ิ
ิ
ื
ุ
็
ื
ี่
ิ
แบบสอบถามปลายปด เปนแบบสอบถามทระบค าตอบไว้แล้ว ให้ผู้ตอบเลอกตอบหรอาจให้เตมค า
หรอข้อความสั้นๆ เท่านั้น
ื
ตัวอยาง อาชพของท่านคออะไร
ื
่
ี
คร ู
พยาบาล
ทหาร
เกษตรกร
ุ
อนๆ ระบ......................
ื่
แบบสอบถามปลายเปด เปนแบบสอบถามทไม่ได้ก าหนดค าตอบไว้ แต่ให้ผู้ตอบได้เขยนแสดง
่
็
ี
ี
ิ
ิ
็
ิ
ความคดเหนอย่างอสระ
ิ
ตัวอยาง แบบสอบถามปลายเปด
่
ึ
ึ
ู
้
นักศกษานยมไปศกษาค้นคว้าข้อมูลทแหล่งการเรยนรใด เพราะอะไร
ี
ิ
ี
่
นักศกษาใช้เวลาว่างท าอะไรบ้าง
ึ
ี
ื่
นักศกษา มปญหาเรองการเรยนอะไรบ้าง
ี
ึ
ั
ฯลฯ
้
้
การสรางแบบสอบถาม มีขันตอนดังน้ ี
ี
ึ
ุ
่
ื
่
่
1. ศกษาค้นคว้าข้อมูลทเกียวข้องกับเรองทจะวิจัย และประชากรกล่มตัวอย่างทศกษา แล้วยกร่าง
่
ี
่
ี
ึ
แบบสอบถาม
2. น าไปให้ผู้มความรช่วยตรวจสอบ และให้ข้อเสนอแนะ
ู
้
ี
3. ปรบปรงแก้ไขตามข้อเสนอแนะ
ุ
ั
ุ
ุ
่
ื
่
ุ
4. น าไปทดลองใช้ก่อนเพือความเชอมั่นว่ากล่มตัวอย่าง (กล่มเล็ก ๆ ไม่ต้องทกคน) เข้าใจค าถาม
และวิธการตอบค าถาม แล้วน าผลการทดลองมาปรบปรงแก้ไขอกคร้งก่อนน าไปใช้จรง
ี
ั
ี
ุ
ั
ิ
5. น าไปเก็บรวบรวมข้อมูลกับกล่มตัวอย่างทั้งหมด
ุ
229
้
ั
การสรางแบบสมภาษณ ์
ื
ื
่
ี
ุ
์
การสัมภาษณ เปนเครองมอการวิจัยทใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูลงานวิจัยทกประเภท ทกสาขา แต่
ุ
่
็
่
ิ
ื
ิ
ี
ุ
ทนยมคอใช้กับการวิจัยเชงคณภาพ
์
์
็
การสัมภาษณ เปนการรวบรวมข้อมูลในลักษณะเผชญหน้ากันระหว่างผู้สัมภาษณ โดยผู้สัมภาษณ ์
ิ
็
็
์
เปนผู้ซักถามและผู้ให้สัมภาษณเปนผู้ให้ข้อมูลหรอตอบค าถามของผู้สัมภาษณ ์
ื
ี
้
์
์
ี
ิ
็
์
แบบสัมภาษณมทั้งแบบสัมภาษณแบบไม่มโครงสราง คอผู้สัมภาษณใช้ค าถามปลายเปด เปนค าถาม
ื
ิ
ี่
็
ั
์
ิ
์
กว้างๆ ปรบเปลยนได้ ให้ผู้ให้สัมภาษณแสดงความคดเหนได้อย่างอสระ และแบบสัมภาษณแบบม ี
ื
ี
็
์
่
โครงสราง ทผู้สัมภาษณก าหนดประเดนค าถาม หรอรายการค าถามเรยงล าดับไว้แล้วก่อนทจะสัมภาษณ ์
่
ี
ี
้
ู
ตัวอย่างการสัมภาษณแบบไม่มโครงสราง เช่น ครสัมภาษณนักศกษาเกียวกับปญหาในการเรยน
่
้
์
ั
ี
์
ึ
ี
ู
ู
ิ
ึ
การสอน ครจะตั้งค าถามอย่างไรก็ได้เพือให้นักศกษาแสดงความคดเหนต่อเรองทครอยากร ู ้
ื
่
่
็
ี
่
่
ึ
ี
์
้
ี
์
ตัวอย่างการสัมภาษณแบบมโครงสราง เช่น คณะกรรมการสอบสัมภาษณนักศกษาทสอบเข้า
ี
์
ี
้
มหาวิทยาลัยได้ คณะกรรมการอาจจะต้องเตรยมแบบสัมภาษณแบบมโครงสรางไว้ล่วงหน้า โดยก าหนด
รายการค าถามเพือการสัมภาษณไว้ก่อน แต่อาจปรบเปลยนค าพูดได้บ้างตามความเหมาะสม
่
ี
่
์
ั
้
การสรางแบบสงเกต
ั
่
ี
ุ
ื
ื
็
่
แบบสังเกตเปนเครองมอการเก็บรวบรวมข้อมูล ทใช้ได้กับงานวิจัยทกประเภทโดยเฉพาะงานวิจัย
เชงคณภาพ งานวิจัยเชงทดลอง
ุ
ิ
ิ
ุ
่
ี
ึ
่
็
แบบสังเกตแบ่งเปน แบบสังเกตทไม่มโครงร่างการสังเกต ซงเปนแบบทไม่ได้ก าหนดเหตการณ ์
ี
ี
่
็
ี
่
ี
ื
็
พฤตกรรม หรอสถานการณทจะสังเกตไว้ชัดเจน และแบบสังเกตทมโครงร่างการสังเกต เปนแบบทก าหนด
่
ิ
ี
่
ี
์
ไว้ล่วงหน้าแล้วว่า จะสังเกตอะไร สังเกตอย่างไร เมอใด และจะบันทกผลการสังเกตอย่างไร
่
ื
ึ
ี
่
ิ
ตัวอย่างแบบสังเกตทไม่มโครงร่างการสังเกต เช่น การสังเกตพฤตกรรมในการพบกล่มของ
ี
ุ
ึ
ึ
ิ
นักศกษาระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง ผู้สังเกตก็จะบันทกพฤตกรรมต่างๆ ของนักศกษาตามท ี ่
ึ
ึ
เปนจรง
็
ิ
ี
ตัวอย่างแบบสังเกตทมโครงร่างการสังเกต เช่น แบบสังเกตพฤตกรรมในการพบกล่มของนักศกษา
ุ
ึ
ิ
่
ี
ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช.
ึ
ตัวอยาง แบบสังเกตทมโครงสรางสังเกต
ี
่
้
ี่
ึ
ค าชแจง ให้ผู้สังเกตท าเครองหมาย ให้ตรงกับพฤตกรรมนักศกษาทพบ
ี
ี
ื่
ิ
้
่
พฤติกรรม พบ ไมพบ
่
1. นอนหลับ
2. กินขนม
3. ทะเลาะกัน
ู
4. ตั้งใจฟงครสอน
ั
5. ซักถามปญหา
ั
230
กิจกรรมที่ 4
ิ
1. ให้ผู้เรยนทกคนไปศกษาตัวอย่าง แบบสอบถาม แบบสัมภาษณและแบบสังเกต เพิ่มเตมจากเอกสาร
ึ
ี
ุ
์
่
ี
่
ื
หรอจาก website ทเกียวข้อง
2. จับฉลากแบ่งกล่มผู้เรยนเปน 3 กล่ม
ุ
ุ
ี
็
้
กล่มท 1 ให้สรางแบบสอบถาม เรองนักรองในดวงใจของนักศกษา ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
ี
ุ
่
้
ึ
่
ึ
ื
ศรช. วัดแจ้ง
ี
่
ี
ุ
ื
ื่
้
้
์
กล่มท 2 ให้สรางแบบสัมภาษณแบบมโครงสราง เรองนักการเมองในดวงใจ เพื่อสัมภาษณ ์
ึ
นักศกษาระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง
ึ
ี
้
่
ุ
่
ี
่
ี
ิ
กล่มท 3 ให้สรางแบบสังเกตทมโครงร่างการสังเกต เพือสังเกตพฤตกรรมการท างานกล่มของเพือน
ุ
่
กล่มท 1 และ 2
ุ
่
ี
ื่
เรองที่ 5 การเขียนโครงการวิจัย
ั
ความสาคัญของโครงการวิจย
็
ิ
ี
ื
ึ
ี
ิ
ี
ื
่
โครงการวิจัย คอ แผนการด าเนนวิจัยทเขยนข้นก่อนการท าวิจัยจรง มความส าคัญคอ เปน
่
แนวทางในการด าเนนการวิจัยส าหรบผู้วิจัยและผู้เกียวข้อง เช่น คร อาจารย์ หรอผู้ให้ทนสนับสนนการวิจัย
ู
ื
ุ
ุ
ั
ิ
เพือให้ค าปรกษาและตดตามความก้าวหน้าของการด าเนนงานวิจัย
ิ
ึ
่
ิ
ี
ี
ี
ุ
้
ี
ี
ี่
่
้
ื
ถ้าจะเปรยบกับการสรางบ้าน ทต้องมแปลนหรอพิมพ์เขยวทระบรายละเอยดของการสรางบ้าน
ู
ุ
้
ื
ั
็
ุ
ื
ื
ั
ทกขั้นตอน ส าหรบเปนเครองมอในการควบคม ก ากับดแลของเจ้าของบ้าน หรอผู้รบเหมา เพือให้การสราง
่
่
ี
บ้านเปนไปตามแบบทก าหนด โครงการวิจัยก็เปรยบเสมอนแปลนหรอพิมพ์เขยวเช่นกัน คอ เปนแนวทาง
็
ื
ี
ื
ื
็
่
ี
็
การด าเนนงานวิจัยให้เปนไปตามแผนการวิจัยทก าหนด
ิ
่
ี
องคประกอบของโครงการวิจย
์
ั
โดยทั่วไป โครงการวิจัยประกอบด้วยหัวข้อ ดังต่อไปน้ ี
1. ชอโครงการวิจัย
ื่
็
2. ความเปนมาและความส าคัญ
ุ
3. วัตถประสงค์ของการวิจัย
ี
่
4. ประโยชนทคาดว่าจะได้รบ
์
ั
5. การศกษาเอกสารทเกียวข้อง
ึ
่
ี
่
6. สมมตฐานการวิจัย
ุ
ิ
7. ขอบเขตการวิจัย
ิ
ี
8. วิธด าเนนการวิจัย
231
ิ
9. นยามศัพท์
ิ
10. ระยะเวลาด าเนนการ
ิ
11. แผนการด าเนนการ
ี่
12. สถานทท าการวิจัย
ั
13. ทรพยากรและงบประมาณ
14. ประวัตผู้วิจัย/คณะวิจัย
ิ
ี
ี
ึ
อย่างไรก็ตาม การเขยนโครงการวิจัยอาจมหัวข้อแตกต่างจาก 14 หัวข้อข้างต้น ข้นอยู่กับ
ี
ึ
ุ
ื
ข้อก าหนดของสถานศกษา แหล่งทน หรอความต้องการของผู้ให้ท าโครงการวิจัย และอาจมจ านวนหัวข้อ
ิ
ึ
มากกว่าหรอน้อยกว่า 14 หัวข้อก็ได้ ข้นอยู่กับประเภทของการวิจัย เช่นงานวิจัยเชงส ารวจ งายวิจัยเชง
ิ
ื
็
ี
ิ
็
คณภาพ ไม่จ าเปนต้องมสมมตฐานการวิจัย เปนต้น
ุ
่
่
เทคนคการเขียนโครงการวิจยอยางงาย
ั
ิ
ี
ี
ส าหรบผู้เร่มเขยนโครงการวิจัย อาจจะทดลองเขยนโครงการวิจัยอย่างง่ายๆ ไม่จ าเปนต้องม ี
ั
ิ
็
่
หัวข้อครบทั้ง 14 หัวข้อ ตามข้างต้น แต่ให้ครอบคลมว่าจะท าวิจัยเรองอะไร (ชอโครงการวิจัย) ท าไมจงท า
ุ
ื
ื
่
ึ
ุ
่
ี
ี
เรองน้ (ความเปนมาและความส าคัญ) อยากรอะไรบ้างจากการวิจัย (วัตถประสงค์ของการวิจัย) มแนวทาง
ื
็
้
ู
ขั้นตอนการด าเนนงานวิจัยอย่างไร (ปฏทนปฏบัตงาน) การวิจัยน้จะเปนประโยชนอย่างไร (ประโยชนของ
็
ิ
ิ
์
์
ี
ิ
ิ
ิ
ิ
ั
การวิจัยหรอผลทคาดว่าจะได้รบ) เทคนคการเขยนโครงการวิจัยอย่างง่าย ประกอบด้วยหัวข้อและค าอธบาย
ี
ื
ิ
ี
่
ี
การเขยน ดังต่อไปน้ ี
ี
ั
1. ชอโครงการวิจย ชอโครงการวิจัยควรกะทัดรด สอความหมายได้ชัดเจน มความ
ื่
ื่
ื่
ั
ี
่
เฉพาะเจาะจงในส่งทศกษา
ึ
ิ
ี
็
่
2. ความเปนมาและความสาคัญ เขยนอธบายให้เหนความส าคัญของส่งทศกษาเขยนให้ตรง
ิ
ี
ึ
็
ิ
ี
ี
ี
ึ
ี่
็
็
ิ
ุ
ประเด็น กระชับเปนเหตเปนผล มอ้างองเอกสารทศกษา (ถ้าม)
ื
ี่
ุ
ื
่
่
ึ
ี
3. วัตถุประสงคของการวิจย เขยนให้สอดคล้องกับชอโครงการวิจัย ครอบคลมเรองทศกษา
์
ั
ี
ื
ี
ี
เขยนให้ชัดเจน อาจมข้อเดยว หรอหลายข้อก็ได้
ุ
ี
ึ
ิ
ุ
ี
4. วิธด าเนนการวิจย ระบถงวิธการด าเนนการวิจัย ให้ครอบคลมหัวข้อต่อไปน้ ี
ั
ิ
ุ
ื
ึ
ิ
4.1 ประชากรกล่มตัวอย่าง ส่งทศกษาคออะไร มจ านวนเท่าไร
่
ี
ี
ี
ุ
ี
ื
4.2 วิธการเก็บรวบรวมข้อมูล ระบวิธการเก็บการบันทกข้อมูล ระยะเวลา หรอช่วงเวลา
ึ
สถานท ี่
่
ื
ื
4.3 เครองมอวิจัย ระบชนด เครองมอทใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล เช่น แบบสอบถาม
ุ
ี
่
ื
ิ
่
ื
์
แบบสัมภาษณ แบบส ารวจ
ุ
ี่
ี
์
ิ
4.4 การวิเคราะหข้อมูล ระบวิธการวิเคราะหข้อมูล สถตทใช้
ิ
์
ี
5. ปฏิทินปฏิบัติงาน เขยนขั้นตอนการด าเนนการวิจัยโดยละเอยด และระยะเวลาการ
ี
ิ
ิ
ด าเนนการแต่ละขั้นตอน
232
่
์
์
ี
ั
ึ
็
่
6. ประโยชนที่คาดวาจะไดรบ เขยนเปนข้อ ๆ ถงประโยชนทคาดว่าจะเกิดข้นจากการท าวิจัย
ี
้
ึ
่
่
ั
ตัวอยางการเขียนโครงการวิจยอยางงาย
่
ี
ตัวอย่างการเขยนวิจัยต่อไปน้ เกิดจากผู้วิจัยต้องการค าตอบว่านักศกษานอกโรงเรยนมการศกษา
ี
ึ
ี
ึ
ี
ี
ค้นคว้าด้วยตนเองอย่างไร เพราะการเรยนการสอนส่วนใหญ่ของการศกษานอกโรงเรยน ผู้เรยนจะได้รบ
ี
ี
ึ
ั
ู
ี
ู
้
ี
ึ
ึ
มอบหมายจากครให้ไปศกษาเรยนรด้วยตนเอง จงเขยนโครงการวิจัยอย่าง่ายๆ ดังต่อไปน้ ี
ึ
1. ชอโครงการวิจย “การศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษา
ึ
ี
ึ
ื่
ั
ี
ตอนปลาย ศูนย์การเรยนชมชนวัดแจ้ง”
ุ
็
2. ความเปนมาและความสาคัญ
ึ
ื
่
เนองจากนักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง ส่วน
ี
ึ
ึ
ื
ุ
็
ี
ื
ี
ใหญ่เปนผู้ใหญ่ มอาชพและภารกิจต่างๆ มากมาย จงมข้อจ ากัดเรองเวลา ไม่สามารถมาพบกล่มหรอเข้าเรยน
ี
่
ี
ึ
ู
ิ
ึ
ุ
ิ
์
ึ
ุ
ึ
ทกวันได้ สถานศกษาจงจัดให้นักศกษามาพบกล่มเฉพาะวันเสารและวันอาทตย์ เพื่อครได้สอนเสรมและให้
ี
้
ึ
ี่
ี
ึ
ั
ี
นักศกษามการแลกเปลยนเรยนร สอบถามปญหาการเรยน ตลอดจนมอบหมายให้นักศกษาไปศกษาค้นคว้า
ู
ึ
่
ี
ี
่
ี
ุ
ั
ในหัวข้อวิชาทเรยน ท ารายงานหรอน าเสนอเพือแลกเปลยนเรยนรในการพบกล่มคร้งต่อไป
ู
่
ี
้
ื
ี
การทครมอบหมายให้นักศกษาไปศกษาค้นคว้าเรยนรด้วยตนเองเปนส่วนใหญ่ จงน่าสนใจ
ึ
ี่
้
ู
ึ
ู
็
ึ
ี
ุ
ึ
ึ
ั
ึ
ี
ี
ศกษาว่านักศกษามวิธการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองอย่างไร และพบปญหาอปสรรคอะไรบ้าง มข้อเสนอแนะ
อย่างไร
ึ
ู
็
ข้อค้นพบจากการวิจัยคาดว่าจะท าให้ครและสถานศกษาสามารถน าไปเปนข้อมูลในการ
ึ
พัฒนาปรบปรง และสนับสนนการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษาให้เกิดประสทธภาพต่อไป
ุ
ิ
ั
ิ
ุ
ึ
์
3. วัตถุประสงคของการวิจยเพื่อศกษา
ึ
ั
ึ
3.1 ข้อมูลพื้นฐานของนักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช.
ึ
ี
ึ
วัดแจ้ง
ี
ึ
ี
ึ
ึ
ึ
3.2 วิธการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษา
ตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง
ั
ึ
ึ
3.3 ปญหาอปสรรคในการการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษาการศกษานอก
ุ
ึ
โรงเรยน ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง
ี
ึ
ึ
ึ
ี
ึ
3.4 ข้อเสนอแนะในการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษาการศกษานอกโรงเรยน
ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง
ึ
4. วิธด าเนนการวิจย
ี
ั
ิ
ึ
ี
ึ
4.1 ประชากร ได้แก่ นักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ป ี
ึ
การศกษา 2552 ศรช. วัดแจ้ง จ านวน 200 คน
ึ
ึ
ุ
ุ
4.2 กล่มตัวอย่าง ส่มตัวอย่างจากนักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษาตอน
ี
ึ
ึ
ปลาย ปการศกษา 2553 ศรช. วัดแจ้ง จ านวน 50 คน
ี
ึ
233
่
ื
4.3 เครองมอวิจัย ใช้แบบสอบถาม ม 4 ตอน คอ ข้อมูลพื้นฐานของนักศกษา วิธการศกษา
ื
ี
ี
ึ
ื
ึ
ั
ึ
ุ
ค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษา ปญหาอปสรรคทพบ และข้อเสนอแนะ
ี่
4.4 วิธการเก็บรวบรวมข้อมูล เก็บรวบรวมแบบสอบถามด้วยตนเองในเดอนธันวาคม 2553
ื
ี
ื
ี
่
ิ
4.5 การวิเคราะหข้อมูล ใช้สถต คอ ค่าความถ ค่ารอยละ ค่าเฉลย
์
ิ
้
่
ี
5. ปฏิทินปฏิบัติงาน
ั
้
ขันตอนการวิจย ต.ค. 53 พ.ย. 53 ธ.ค. 53 ม.ค. 54
ี
1. เขยนโครงการ
2. ศกษาเอกสารและกล่มตัวอย่าง
ุ
ึ
้
3. สรางแบบสอบถาม/ทดสอบ
4. เก็บรวบรวมข้อมูล
ุ
5. วิเคราะหข้อมูล/สรป/ เขยนรายงาน
ี
์
6. ประโยชนที่คาดวาจะไดรบ
์
่
้
ั
่
ั
ี
6.1 ครผู้สอนใช้เปนแนวทางปรบการเรยนการสอนเพือช่วยเหลอ สนับสนนการศกษา
ื
ุ
ู
็
ึ
้
ู
ค้นคว้าเรยนรด้วยตนเองของนักศกษา
ี
ึ
็
6.2 สถานศกษาใช้เปนแนวทางในการก าหนดกฎเกณฑ์ เพือส่งเสรม สนับสนนการศกษา
่
ุ
ิ
ึ
ึ
ู
้
ี
ค้นคว้าเรยนรด้วยตนเองของนักศกษา
ึ
กิจกรรมที่ 5
่
ุ
ื
ี
่
ี
ี
ุ
ึ
ให้ผู้เรยนแบ่งกล่มๆ ละไม่เกิน 5 คน แต่ละกล่มปรกษากันในเรองทสนใจจะท าวิจัยแล้วเขยน
โครงการวิจัย ตามหัวข้อต่อไปน้ ี
ชอโครงการวิจัย
ื่
ความเปนมาและความส าคัญ
็
ุ
วัตถประสงค์ของการวิจัย
วิธด าเนนงานวิจัย
ี
ิ
ิ
ปฏทนปฏบัตงาน
ิ
ิ
ิ
ั
่
ี
์
ประโยชนทคาดว่าจะได้รบ
234
่
่
ื่
่
เรองที่ 6 การเขียนรายงาน การวิจัยอยางงาย และการเผยแพรผลงานการวิจัย
องค์ประกอบในการเขยนรายงานการวิจัยอย่างง่าย ส่วนใหญ่เปนการน าเสนอในหัวข้อต่อไปน้ ี
ี
็
1. ชอเรอง
ื่
ื่
ื่
2. ชอผู้วิจัย
็
3. ความเปนมาของการวิจัย
4. วัตถประสงค์ของการวิจัย
ุ
ี
ิ
5. วิธด าเนนการวิจัย
6. ผลการวิจัย
7. ข้อเสนอแนะ
8. เอกสารอ้างอง (ถ้าม)
ิ
ี
ี
การเขยนรายละเอยดของรายงานการวิจัยอย่างง่าย มดังต่อไปน้ ี
ี
ี
ื่
1. ชอเรอง
ื่
่
ั
ี
ื
การเขยนชอเรองควรเขยนให้กะทัดรด ตอบค าถามให้ได้ว่า ใคร ท าอะไร กับใคร การเขยน
ี
ื
่
ี
ื
่
่
่
่
็
่
ี
ื
ื
ี
็
ื
ึ
่
่
ื
ชอเรองทสอความหมายชัดเจน จะท าให้เหนประเดนทจะศกษาอยู่ในชอเรอง
ื
้
่
2. ชอผูวิจย
ั
ึ
ึ
้
่
ี
ระบชอผู้ท าการวิจัย พรอมทั้งสถานศกษาทผู้เรยนก าลังศกษาอยู่
ี
ื
่
ุ
ั
็
3. ความเปนมาของการวิจย
ิ
ึ
การเขยนความเปนมาของการวิจัย คอ การระบให้ผู้อ่านได้ทราบว่าท าไมจงต้องท างานวิจัยช้นน้ ี
ี
ื
็
ุ
ื
ั
ึ
มทมาทไปอย่างไร ดังนั้น ผู้วิจัยควรจะกล่าวถงสภาพปญหาหรอสภาพทเปนอยู่ในปจจบัน ซงสภาพดังกล่าว
่
ุ
ี
ี
่
ั
ึ
็
่
ี
่
ี
ั
ั
ั
ึ
่
ื
็
ี
ก่อให้เกิดปญหาอะไรบ้าง หรอสภาพดังกล่าวถ้าได้รบการปรบปรงหรอพัฒนาให้ดข้นกว่าทเปนอยู่จะ
ื
ี
ุ
ั
ก่อให้เกิดปญหาอะไรบ้าง และใครคอผู้ได้รบประโยชนดังกล่าว มแนวคดอย่างไรในการแก้ปญหาหรอ แนว
์
ี
ิ
ื
ั
ั
ื
ั
ุ
ิ
ิ
ทางการพัฒนาปรบปรงแก้ไข และแนวคดดังกล่าวได้มาอย่างไร (แนวคดดังกล่าวอาจได้มากจากการศกษา
ึ
้
็
ุ
์
ิ
เอกสาร หรอจากประสบการณตรงทได้จากการสังเกต การสัมภาษณ เปนต้น) พรอมระบแหล่งอ้างอง
ี
์
่
ื
์
ั
4. วัตถุประสงคของการวิจย
ี
การเขยนวัตถประสงค์ของการวิจัย เปนการระบให้ผู้อ่านได้ทราบว่า งานวิจัยคร้ ังน้ ีผู้วิจัย
ุ
ุ
็
ุ
ื
ื
ต้องการท าอะไรกับใคร และจดหมายปลายทางหรอผลลัพธสดท้ายทผู้วิจัยต้องการคออะไร
์
ุ
่
ี
ี
ิ
5. วิธด าเนนการวิจย
ั
ิ
ี
ุ
การเขยนวิธด าเนนการวิจัย ควรครอบคลมหัวข้อดังต่อไปน้ ี
ี
ุ
5.1 กล่มเปาหมายทต้องการท าการวิจัย ควรระบให้ชัดเจนว่าคอใคร
ุ
่
ื
้
ี
ื
่
ี
ุ
ื
5.2 เครองมอทใช้ในการวิจัย ควรระบให้ชัดเจนว่าการวิจัยคร้งน้ใช้เครองมออะไรบ้างในการ
่
ื
ี
่
ื
ั
ึ
็
เก็บรวบรวมข้อมูล หรอแก้ปญหา เช่น แบบส ารวจ การสัมภาษณ การสังเกต การจดบันทก เปนต้น
ั
ื
์
235
ิ
5.3 การเก็บรวบรวมข้อมูล ควรระบให้ชัดเจนว่าผู้วิจัยด าเนนการวิจัยและรวบรวมข้อมูล
ุ
อย่างไร
์
ุ
5.4 การวิเคราะหข้อมูล ควรระบให้ชัดเจนว่าผู้วิจัยวิเคราะหข้อมูลอย่างไร ซงอาจเปนการ
่
็
ึ
์
ื
์
ิ
ุ
ิ
ิ
วิเคราะหข้อมูลในเชงปรมาณหรอเชงคณภาพก็ได้
6. ผลการวิจย
ั
็
้
การเขยนผลการวิจัยผู้วิจัยต้องสะท้อนให้เหนว่าการทจะบรรลเปาหมายของการวิจัยนั้น ผู้วิจัย
่
ุ
ี
ี
็
ี
ต้องด าเนนการทั้งหมดกีรอบ ในแต่ละรอบมการปรบปรงเปลยนแปลงอะไรบ้าง และผลทเกิดข้นเปน
่
ึ
ี
ุ
่
ั
ิ
่
ี
อย่างไร
้
7. ขอเสนอแนะ
ี
ื
็
ี
่
การเขยนข้อเสนอแนะต้องเปนข้อเสนอแนะทเปนผลสบเนองจากข้อค้นพบของการวิจัยในคร้งน้ ี
ื
่
็
ั
8. เอกสารอางอิง
้
ี
ี
ี
่
เน้อหาทมการน ามากล่าวอ้างในรายงานการวิจัย ต้องน ามาเขยนให้ปรากฏอยู่ในเอกสารอ้างอง
ิ
ื
ั
่
่
่
ตัวอยางการเขียนรายงานการวิจยอยางงาย
ี
ขอยกตัวอย่างจากโครงการวิจัยอย่างง่ายในหน้า ( ) มาเปนตัวอย่างในการเขยนรายงานการวิจัย
็
อย่างง่าย ดังน้ ี
ื่
ื่
1. ชอเรอง
ี
ึ
ึ
ึ
การศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษานอกโรงเรยน ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศูนย์การ
ุ
ี
เรยนชมชนวัดแจ้ง
ั
้
ื
่
2. ชอผูวิจย
ึ
ึ
ึ
นายสมหมาย ขยันยิ่ง นักศกษาระดับชั้นมัธยมศกษาตอนปลาย ศูนย์การศกษานอกระบบและ
ึ
การศกษาตามอัธยาศัยอ าเภอโพธ์ทอง จังหวัดอ่างทอง
ิ
็
ั
3. ความเปนมาของการวิจย
ึ
ี
่
ึ
ึ
เนองจากนักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง ส่วนใหญ่
ื
็
ี
ี
ื
่
ื
ี
ี
ุ
ึ
เปนผู้ใหญ่ มอาชพและภารกิจต่าง ๆ มากมาย จงมข้อจ ากัดเรองเวลา ไม่สามารถมาพบกล่มหรอเข้าเรยน
ึ
ุ
ึ
ึ
ู
์
ทกวันได้ สถานศกษาจงจัดให้นักศกษามาพบกล่มเฉพาะวันเสารและวันอาทตย์ เพือครได้สอนเสรมและให้
ิ
ิ
ุ
่
นักศกษามการแลกเปลยนเรยนร สอบถามปญหาการเรยน ตลอดจนมอบหมายให้นักศกษาไปศกษาค้นคว้า
ู
้
ั
ึ
ี่
ี
ึ
ี
ึ
ี
ุ
ั
ในหัวข้อวิชาทเรยน ท ารายงานหรอน าเสนอเพือแลกเปลยนเรยนรในการพบกล่มคร้งต่อไป
่
่
ื
่
ี
ี
ี
ี
ู
้
ี
ู
ู
้
่
ี
็
ึ
ึ
ึ
การทครมอบหมายให้นักศกษาไปศกษาค้นคว้าเรยนรด้วยตนเองเปนส่วนใหญ่เช่นน้ ี จง
ึ
น่าสนใจศกษาว่านักศกษามวิธการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองอย่างไร และพบปญหาอปสรรคอะไรบ้าง
ึ
ี
ุ
ึ
ี
ั
ี
มข้อเสนอแนะอย่างไร
236
็
ู
ึ
ข้อค้นพบจากการวิจัยคาดว่าจะท าให้ครและสถานศกษาสามารถน าไปเปนข้อมูลในการพัฒนา
ปรบปรง และสนับสนนการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษาให้เกิดประสทธภาพต่อไป
ึ
ึ
ั
ุ
ิ
ุ
ิ
4. วัตถุประสงคของการวิจยเพื่อศกษา
ึ
์
ั
1.1 ข้อมูลพื้นฐานของนักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
ี
ึ
ึ
ึ
ศรช.วัดแจ้ง
1.2 วิธการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษา
ี
ี
ึ
ึ
ึ
ึ
ตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง
ั
1.3 ปญหาอปสรรคในการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษาการศกษานอกโรงเรยน
ึ
ึ
ุ
ี
ึ
ึ
ระดับการศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง
ึ
ึ
ึ
ี
1.4 ข้อเสนอแนะในการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับ
ึ
มัธยมศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง
5. วิธด าเนนการวิจย
ิ
ั
ี
ึ
ี
5.1 ประชากร ได้แก่ นักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ป ี
ึ
ึ
ึ
การศกษา 2552 ศรช. วัดแจ้ง จ านวน 200 คน
ึ
ึ
ุ
5.2 กล่มตัวอย่าง ส่มตัวอย่างจากนักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
ี
ึ
ุ
ึ
ี
ปการศกษา 2553 ศรช. วัดแจ้ง จ านวน 50 คน
ึ
ื
ื
่
5.3 เครองมอวิจัย ใช้แบบสอบถาม ม 4 ตอน คอ ข้อมูลพื้นฐานนักศกษา วิธการศกษาค้นคว้า
ึ
ื
ี
ี
ั
ึ
ุ
ี่
ด้วยตนเองของนักศกษา ปญหาอปสรรคทพบ และข้อเสนอแนะ
5.4 วิธการเก็บรวบรวมข้อมูล เก็บรวบรวมแบบสอบถามด้วยตนเองในเดอนธันวาคม 2553
ี
ื
ิ
ื
ิ
5.5 การวิเคราะหข้อมูล ใช้สถต คอ ค่าความถ ค่ารอยละ ค่าเฉลย
ี
่
้
่
ี
์
6. ผลการวิจย
ั
ึ
ึ
ี
ึ
ื่
การวิจัยเรอง “การศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษานอกโรงเรยน ระดับมัธยมศกษา
ุ
ตอนปลาย ศูนย์การชมชนวัดแจ้ง ผู้วิจัยได้ก าหนดวัตถประสงค์ของการวิจัย เพือศกษาข้อมูลพื้นฐานของ
่
ุ
ึ
นักศกษาการศกษานอกโรงเรยนระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง วิธการศกษาค้นคว้าด้วยตนเอง
ี
ึ
ึ
ึ
ึ
ี
ของนักศกษา ปญหาอปสรรคในการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองและข้อเสนอแนะต่างๆ ของนักศกษา
ุ
ึ
ั
ึ
ึ
ผลการวิจัยพบว่า
็
ึ
ี
6.1 นักศกษาการศกษานอกโรงเรยน ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย ศรช. วัดแจ้ง เปนชาย
ึ
ึ
ึ
ิ
ี
ื
็
ี่
28 คน เปนหญง 22 คน อายุเฉลยของนักศกษาคอ 22.5 ป
6.2 วิธการศกษาค้นคว้าด้วยตนเอง นักศกษาส่วนใหญ่รอยละ 60 ค้นคว้าในห้องสมด
ุ
ึ
ึ
้
ี
ี
้
แหล่งเรยนรต่างๆ ในชมชน รอยละ 20 ศกษาสอบถามจากผู้ร ปราชญ์ชาวบ้าน รอยละ 20 ทเหลอใช้วิธอน ๆ
ื
ี่
ุ
ื่
ึ
้
้
้
ู
ู
ี
ื
์
่
์
ิ
็
ุ
เช่น พูดคยปรกษาเพือน หาข้อมูลจากสอวิทยุ โทรทัศน อนเตอรเนต เปนต้น
ึ
็
่
237
้
ื
ึ
6.3 ปญหาอปสรรคในการศกษาค้นคว้าด้วยตนเองของนักศกษาส่วนใหญ่ รอยละ 90 คอ ไม่ม ี
ุ
ึ
ั
ื่
ี
ิ
เวลาไปศกษาค้นคว้า เนองจากตดภารกิจในการประกอบอาชพ นอกจากนั้น คอ แหล่งค้นคว้าอยู่ไกล
ึ
ื
จากบ้านเดนทางไม่สะดวก
ิ
ี
้
่
ื
ึ
ึ
6.4 นักศกษาส่วนใหญ่ รอยละ 80 เสนอแนะให้ทางสถานศกษาจัดเตรยมแหล่งค้นคว้า สอ
ึ
ิ
ึ
ี่
้
เอกสารต่าง ๆ ให้พรอมในสถานศกษาและมการให้บรการยืมไปศกษาค้นคว้าทบ้าน
ี
7. ขอเสนอแนะ
้
่
ี
ิ
ู
ั
ี
ึ
ผลการวิจัยคร้งน้ สถานศกษาและคร ศรช. ควรน าไปพิจารณาจัดหาแหล่งค้นคว้าทอยู่ในบรเวณ
ิ
่
ื
ใกล้เคยงสถานทพบกล่มหรอมฉะนั้นก็มหน่วยบรการสอเอกสารใกล้บรเวณทนักศกษาส่วนใหญ่สะดวกมา
ื
ี
ี
ิ
่
ึ
ี
่
ุ
ี
ิ
ิ
ใช้บรการ
ี
ี
ี่
ุ
กิจกรรมที่ 6 ให้ผู้เรยนไปค้นคว้าผลงานการวิจัยทตนเองสนใจใน Website แล้วน ามาเขยนสรปรายงาน
ี
่
้
ิ
่
ี
ู
การวิจัยอย่างง่าย ตามรปแบบทก าหนดพรอมอ้างองแหล่งทมาด้วย
ั
่
การเผยแพรผลงานการวิจย
่
์
ผลการวิจัยทท าข้นควรมการเผยแพร่เพือให้ผู้เกียวข้องน าไปใช้ประโยชนได้ การเผยแพร่ผลงานการ
่
ี
ึ
ี
่
ี
วิจัย ท าได้หลายวิธ เช่น
ุ
1. น าเสนอในเวลาการพบกล่ม หรอในทประชมต่าง ๆ
่
ี
ื
ุ
ี
2. เขยนลงวารสารต่าง ๆ
์
ึ
์
ิ
ิ
3. ตดบอรดของสถานศกษา บอรดนทรรศการ
4. ส่งรายงานการวิจัยให้หน่วยงานต่าง ๆ
5. น ารายงานการวิจัยข้น Website
ึ
ี
ี่
ี
่
กิจกรรมที่ 7 ให้ผู้เรยนน าผลงานการวิจัยทไปค้นคว้ามากจาก Website จากกิจกรรมท 6 มาน าเสนอในเวลา
พบกล่ม
ุ
238
เฉลยก ิจกรรม
กิจกรรมที่ 1
็
ี
ุ
ความหมายของการวิจัย อาจมหลายความหมาย แต่ค าตอบจะต้องให้ครอบคลมว่าการวิจัยเปน
ี่
ึ
้
ุ
ื
ู
็
การศกษาหาค าตอบทอยากรอย่างเปนกระบวนการขั้นตอน ไม่ใช่การคาดเดา หรอสรปค าตอบเอง
์
ั
ึ
็
ประโยชนของการวิจัย ส าหรบผู้วิจัยเอง คอ ฝกการเปนคนช่างคด ช่างสังเกต ศกษา ค้นคว้า และ
ึ
ิ
ื
็
ี
ี
ี
เขยนเรยบเรยงอย่างเปนระบบ
ั
ประโยชนของการวิจัยส าหรบหน่วยงาน / สถานศกษา ได้แก่
์
ึ
้
ู
1. ท าให้เกิดความรทางวิชาการใหม่ ๆ
ิ
ิ
ิ
2. ช่วยให้เกิดนวัตกรรม ส่งประดษฐ์ แนวคดใหม่ ๆ
่
้
ั
ู
3. ตอบค าถามทอยากร ให้เข้าใจปญหา/ช่วยแก้ปญหา
ั
ี
4. ช่วยในการวางแผนและการตัดสนใจ
ิ
ิ
5. ช่วยให้ทราบผลและข้อบกพร่องของการด าเนนงานต่าง ๆ
กิจกรรมที่ 2
ค าตอบเปนไปตามค าถามวิจัย/ปญหาการวิจัยและชอโครงการวิจัยตามความสนใจของแต่ละกล่ม
ื่
ุ
ั
็
กิจกรรมที่ 3
1.ก 2. ค 3. ข
4.ค 5. ค
กิจกรรมที่ 4
์
ุ
้
ี
ี
ี
่
แบบสอบถาม แบบสัมภาษณแบบมโครงสราง และแบบสังเกตทมโครงร่างการสังเกตของกล่ม
1,2,3 ให้มรปแบบตามเครองมอแต่ละประเภท และเน้อหาครอบคลมเรองทต้องการทราบ
ุ
่
ี
่
ื
ื
ื
ื
่
ี
ู
กิจกรรมที่ 5
ี
ี
่
ิ
ุ
ี
ค าตอบของโครงการวิจัย ให้เขยนครบทกหัวข้อทก าหนด และในแต่ละหัวข้อให้เขยนตามค าอธบาย
ให้ชัดเจน (ตามตัวอย่างการเขยนโครงการวิจัยอย่างง่าย)
ี
239
กิจกรรมที่ 6
ี
ึ
็
ุ
ี
่
ค าตอบให้เปนไปตามการศกษา ค้นคว้า รายงานการวิจัยอย่างง่ายทผู้เรยนสนใจ โดยให้ครอบคลม 7
ุ
็
ี
หัวข้อคอ ชอเรอง ชอผู้วิจัย ความเปนมาของการวิจัย วัตถประสงค์ของการวิจัย วิธด าเนนการ ผลการวิจัย
ิ
ื่
ื
ื่
ื่
และข้อเสนอแนะ
กิจกรรมที่ 7
่
็
ี
เปนไปตามกิจกรรมทก าหนด
240
บทที่ 6
ทักษะการเรยนรูและศกยภาพหลักของพื้นทีในการพัฒนาอาชพ
่
ี
ี
้
ั
ี
ี
ในปจจบันโลกมการแข่งขันกันมากข้น โดยเฉพาะการประกอบอาชพต่าง ๆ จ าเปนต้องม ี
ุ
ึ
็
ั
ี
่
ี
ิ
ู
้
ิ
ี
็
ความรความสามารถ ความช านาญการ ทั้งภาคทฤษฎ และปฏบัต ผู้ทประสบผลส าเรจในอาชพของตนเอง
้
ี
ี
ู
้
จะต้องมการค้นคว้า หาความรจากแหล่งเรยนรต่าง ๆ เพือเพิ่มพูนความรความสามารถให้สอดคล้องกับการ
ู
ู
้
่
่
ี
ี
ี
ี
็
ี
็
่
ั
เปลยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การทจะจัดการอาชพให้ได้ผลส าเรจนั้นจ าเปนต้องมปจจัยหลายด้าน การเรยนร ู ้
่
็
่
ื
ี
ปจจัยด้านศักยภาพหลักของพื้นท เปนเรองทส าคัญเรองหนงทต้องเรยนร ู ้
ื
่
ี
่
ั
ี
่
ี
ึ
่
เรองที่ 1 ความหมายความสาคัญของศกยภาพหลักของพื้นที่ในการพัฒนาอาชพ
ั
ื่
ี
์
่
ิ
ี
่
ี
ี
ท่ามกลางกระแสโลกาภวัตนทมแนวโน้มการเปลยนแปลงทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม ประชากร
่
ึ
ึ
พลังงาน ส่งแวดล้อม เทคโนโลยี ข้อมูล ข่าวสาร และความรอย่างเสร การศกษาซงเปนกลไกส าคัญของการ
็
ี
ิ
้
ู
ี
่
ิ
ั
พัฒนาทรพยากรของชาตให้ก้าวทันการเปลยนแปลง สามารถยืนหยัดอยู่ได้อย่างสง่างามในประชาคมโลก
ิ
ึ
ุ
ั
์
ู
ิ
็
การจัดการศกษาจงต้องให้ความส าคัญและเหนคณค่าของภมสังคม ภมรฐศาสตร ศักยภาพทกด้านทจะเปน
ี
่
ุ
ึ
ู
็
่
ู
ึ
ึ
ุ
ื
ต้นทนทางการศกษา รวมทั้งต่อยอดการศกษาส่การพัฒนาประเทศในด้านอน และเพิ่มขดความสามารถ
ี
ในการแข่งขันบนเวทโลก เพือยกระดับคณภาพชวิตและสังคมทั้งองคาพยพ มการมองหาศักยภาพในทกภาค
ุ
่
ุ
ี
ี
ี
ึ
็
่
ี
ั
ิ
ส่วนของสังคม ปจจัยภายนอก และปจจัยภายใน ทจะสามารถเปนเช้อเพลงในการขับเคลอนการศกษาได้
ื
่
ั
ื
่
เน้นการจัดการศกษาโดยยึดพื้นทเปนฐานในการพัฒนา โดยค านงถงสภาพแต่ละพื้นท ทมความแตกต่าง
ี
ึ
ี
่
ึ
ี
่
ี
็
ึ
ึ
็
่
ึ
ี
และมความต้องการท้องถ่นไม่เหมอนกัน การพัฒนาการศกษาจงต้องเน้นพื้นทเปนส าคัญ โดยมพื้นฐานอยู่
ิ
ื
ี
ี
บนศักยภาพด้านต่าง ๆ ของพื้นทนั้น โดยการพัฒนา และยกระดับคณภาพชวิตของประชาชน ให้มความ
่
ี
ี
ี
ุ
เปนอยู่ทด สรางความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจและความมั่นคงทางสังคมให้กับประเทศ และอกประการหนงท ่ ี
็
ี
ี
่
้
่
ึ
ี
ุ
ุ
ื
ี
ึ
่
ส าคัญในสภาพการปจจบัน คอ แม้ทผ่านมาประเทศไทยจะสามารถยกระดับคณภาพการศกษา ให้ประชาชน
ั
่
่
ในแต่ละพื้นทมงานท าแล้วในระดับหนง แต่ด้วยพลวัตของโลกทเปลยนแปลงอย่างรวดเรว และรนแรงของ
ี
ึ
ี
ี
่
็
ี
ุ
่
ี
สังคมโลกดังกล่าวได้ส่งผลต่อสังคมไทย ให้เข้าส่สังคมแห่งการแข่งขันอย่างหลกเลยงไม่ได้ ความอยู่รอด
ู
ี
่
ของประเทศ ปจจบันข้นอยู่กับความสามารถในการแข่งขัน และการพัฒนาศักยภาพของประเทศให้เกิด
ั
ึ
ุ
์
ึ
ู
ประโยชนสงสด ประเทศไทยจงต้องเพิ่มขดความสามารถในการแข่งขันในระดับโลก หากประเทศไทยไม่
ุ
ี
้
ี
ิ
ู
ี
เตรยมพรอม และไม่สามารถแข่งขันในเวทระดับภมภาคได้ จะท าให้เสยเปรยบประเทศเพือนบ้าน การ
ี
่
ี
ึ
ู
ิ
ึ
ยกระดับคณภาพการศกษา จงต้องยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้วย และไม่เพียงแต่ในภมภาค
ุ
ี
ิ
ื
่
่
ี
็
ิ
ุ
ู
ู
อาเซยนเท่านั้น หากแต่จะต้องเปนทกภมภาคของโลก เพราะทกภมภาคไม่ว่าจะเปนพื้นททเจรญแล้ว หรอ
ิ
ี
ุ
็
ี
ี
่
ี
ก าลังพัฒนาก็ตาม ล้วนมโอกาสทซ่อนอยู่ทั้งส้น หากการศกษาสรางคนทมความรความสามารถ มวิสัยทัศน์
ี
่
ิ
ู
้
ึ
้
ี
่
สามารถมองเหนโอกาสทซ่อนอยู่ จะท าให้ประเทศยืนอยู่บนเวทโลกได้อย่างมั่นคง และสามารถแข่งขันได้
ี
ี
็
ในระดับสากล ด้วยเหตน้ การศกษาจงมความส าคัญมากในการพัฒนาประเทศ และความเจรญก้าวหน้าของ
ี
ิ
ึ
ึ
ี
ุ
241
ุ
่
ุ
ี
ิ
ุ
ี่
ี
ี
ึ
ี
ึ
ี
ประเทศ จงต้องมพื้นฐานมาจากระบบการศกษาทมคณภาพ ทสามารถผลตบคลากรทมคณภาพออกมา
่
ิ
ิ
ึ
์
พัฒนาประเทศได้ และการเร่มต้นพัฒนาการศกษาต้องเร่มต้นจากการวิเคราะหและค้นหาศักยภาพภายใน
ู
ึ
็
ออกมาก่อน และควบค่ไปกับท าความเข้าใจการเปนไปของโลก กระบวนทัศนในการพัฒนาการศกษาจงต้อง
์
ึ
ู
ู
ี
ุ
่
ื
ิ
“ดเรา ดโลก” คอ เข้าใจตัวเอง และเข้าใจว่าโลกหมนไปทางใด เพือวิ่งไปโดยไม่ท้งใครไว้ข้างหลัง มความ
้
ู
รเท่าทันทนนยม และรข้อจ ากัดของเรา เพราะปลายทางของการพัฒนาการศกษา หัวใจคอประชาชน คอการ
ุ
ิ
้
ู
ื
ื
ึ
ู
ี
่
ี
ุ
ิ
ุ
ผลตบคลากรทมคณภาพในการพัฒนาประเทศ ส่ความมั่นคงยั่งยืน นั่นเอง
ี
ั
็
ี
ึ
การจัดการศกษาด้านอาชพในปจจบันมความส าคัญมาก เพราะจะเปนการพัฒนาประชากรของ
ุ
ั
ู
้
ี
ี
็
ประเทศให้มความร ความสามารถและทักษะในการประกอบอาชพ เปนการแก้ปญหาการว่างงานและ
์
ึ
ึ
ุ
ิ
่
ิ
ส่งเสรมความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจชมชน ซงกระทรวงศกษาธการได้ก าหนดยุทธศาสตร 2555 ภายใต้
ิ
ี
ี
ี่
กรอบเวลา 2 ป ทจะพัฒนา 5 ศักยภาพของพื้นทใน 5 กล่มอาชพใหม่ ให้สามารถแข่งขันได้ใน 5 ภูมภาคหลัก
่
ุ
ี
่
ี
่
ิ
ของโลก “รเขา รเรา เท่าทัน เพือแข่งขันได้ในเวทโลก” และกระทรวงศกษาธการได้ก าหนดภารกิจทจะ
้
้
ี
ึ
ู
ู
พัฒนายกระดับการจัดการศกษาเพือเพิ่มศักยภาพและขดความสามารถให้ประชาชนได้มอาชพทสามารถ
ึ
ี
ี
ี
่
ี่
ิ
่
ี
้
ี
สรางรายได้ทมั่นคง โดยการด าเนนการพัฒนายกระดับ และจัดการศกษาเพือเพิ่มศักยภาพ และขด
่
ึ
ความสามารถให้ประชาชนได้มอาชพทสามารถสรางรายได้ทมั่งคั่งและมั่นคง เพือเปนบคลากรทมวินัย
ี
ุ
้
ี
่
่
ี
่
็
ี
ี
่
ี
่
ิ
ั
ี
ี
่
เปยมไปด้วยคณธรรมจรยธรรมมส านกความรบผิดชอบต่อตนเอง ผู้อน และสังคม ภายใต้หลักการพื้นฐานท ี ่
ื
ึ
ุ
ึ
้
ุ
่
ี
ึ
ู
ี
ค านงถงศักยภาพและบรบทรอบ ๆ ตัวผู้เรยน เพือม่งส่เปาหมายของการเพิ่มขดความสามารถในการแข่งขัน
ิ
และยกระดับศักยภาพในการท างานให้กับบคลากรคนไทยให้แข่งขันได้ในระดับสากล โดยค านงถงหลักการ
ึ
ุ
ึ
ู
ี
ี
ึ
ึ
็
่
ิ
้
่
ี
พื้นฐานทค านงถงศักยภาพและบรบทรอบๆ ตัวผู้เรยน ดังนั้นสาระทักษะการเรยนร เปนสาระเกียวกับการ
ี
ิ
ี
้
ู
ี
ู
้
ี
พัฒนาทักษะการเรยนรของผู้เรยนในด้านการเรยนรด้วยตนเอง การใช้แหล่งเรยนร การจัดการความร การคด
้
ู
้
ู
้
็
ุ
ี
ี
ู
ี
เปน และการวิจัยอย่างง่าย โดยมวัตถประสงค์เพือให้ผู้เรยนสามารถก าหนดเปาหมาย วางแผนการเรยนรด้วย
้
่
ั
ี
ุ
ิ
ตนเอง เข้าถงและเลอกใช้แหล่งเรยนร จัดการความร กระบวนการแก้ปญหา และตัดสนใจอย่างมเหตผล ท ่ ี
ื
ี
้
ู
้
ู
ึ
้
สามารถใช้เปนเครองมอในการช้น าตนเองในการเรยนร และการประกอบอาชพให้สอดคล้องกับหลักการ
ู
็
ี
ี
ี
ื
ื
่
่
ื
ี
ี
ี
ุ
พื้นฐาน และการพัฒนา 5 ศักยภาพหลักของพื้นทใน 5 กล่มอาชพใหม่ คอ กล่มอาชพด้านเกษตรกรรม
ุ
ิ
อตสาหกรรม พาณชยกรรม ความคดสรางสรรค์ การบรหารจัดการและการบรการ ตามยุทธศาสตร 2555
ิ
ิ
์
้
ุ
ิ
ิ
่
ื
ึ
กระทรวงศกษาธการ ได้อย่างต่อเนองตลอดชวิต
ี
ื่
์
ั
ี
เรองที่ 2 พื้นที่หลักในการพัฒนาอาชพ และการวิเคราะหศกยภาพหลักของพื้นที่
ี
ในการพัฒนาอาชพ
่
ี
1. กลุมอาชพใหม 5 กลุมอาชพ
่
่
ี
1.1 กล่มอาชพด้านเกษตรกรรม
ุ
ี
ุ
ุ
ุ
ี
1.2 กล่มกล่มอาชพด้านอตสาหกรรม
ี
ิ
1.3 กล่มอาชพด้านพาณชยกรรม
ุ