92
ั
ี
่
ั
หอสมุดแหงชาติประโคนชย บุรรมย ์
ถนนโชคชัย - เดชอดม ต าบลประโคนชัย อ าเภอประโคนชัย
ุ
จังหวัดบรรมย์ 31140
ั
ุ
ี
โทรศัพท์ 044 - 671 - 239 โทรสาร 044 - 671 - 239
ิ
ิ
เวลาเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร-วันเสาร ์
ิ
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร - และวันนักขัตฤกษ์
ิ
์
หอสมุดแหงชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจาสรกิติ ์
่
้
ิ
ิ
ิ
พระบรมราชนนาถ นครพนม
ี
ถนนอภบาลบัญชา อ าเภอเมอง จังหวัดนครพนม 48000
ื
ิ
โทรศัพท์ 144 - 512 - 200, 042 - 512 - 204
โทรสาร 042 - 516 - 246
ิ
ิ
เวลาเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร-วันเสาร ์
ิ
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร - และวันนักขัตฤกษ์
ิ
์
93
ั
ภาคตะวนออก
หอสมุดแหงชาติชลบุร ี
่
ื
ุ
้
ิ
ถนนวชรปราการ ต าบลบางปลาสรอย อ าเภอเมอง จังหวัดชลบร ี
20000 โทรศัพท์ 038 - 286 - 339 โทรสาร 038 - 273 - 231
เวลาเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร - วันเสาร ์
ิ
ิ
ิ
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร - และวันนักขัตฤกษ์
์
ิ
หอสมุดแหงชาติรชมังคลาภิเษก จนทบุร ี
ั
ั
่
ถนนเทศบาล 3 อ าเภอเมอง จังหวัดจันทบร 22000
ี
ุ
ื
โทรศัพท์ 039 - 321 - 333, 039 - 331 - 211, 322 - 168
ิ
ิ
เวลาเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร-วันเสาร ์
ิ
์
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร และวันนักขัตฤกษ์
ิ
94
ภาคใต ้
หอสมุดแหงชาตินครศรธรรมราช
ี
่
ื
ิ
ื
ถนนราชด าเนน ต าบลในเมอง อ าเภอเมอง จังหวัดนครศรธรรมราช
ี
80000 โทรศัพท์ 075 - 324 - 137, 075 - 324 - 138
โทรสาร 075 - 341 - 056
ิ
ิ
ิ
เวลาเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร - วันเสาร ์
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร และวันนักขัตฤกษ์
ิ
์
หอสมุดแหงชาติกาญจนาภิเษก สงขลา
่
ื
ซอยบ้านศรทธา ถนนน ้ากระจาย-อ่างทอง ต าบลพะวง อ าเภอเมอง
ั
จังหวัดสงขลา 90100
โทรศัพท์ 074 - 333 - 063 -5 โทรสาร 074 - 333 - 065
ิ
เวลาเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร - วันเสาร ์
ิ
ิ
์
ิ
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร และวันนักขัตฤกษ์
95
หอสมุดแหงชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจาสรกิต ์
ิ
ิ
่
้
ี
ิ
พระบรมราชนนาถ สงขลา
สวนสาธารณะเทศบาลนครหาดใหญ่ ถนนกาญจนวานช
ิ
์
ต าบลคอหงส อ าเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา 90110
โทรศัพท์ 074 - 212 - 211, 212 - 250 โทรสาร 074 - 212 - 211,
212 - 250 ต่อ 201
ิ
ิ
เวลาเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร - วันเสาร ์
ิ
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร และวันนักขัตฤกษ์
์
ิ
ั
หอสมุดแหงชาติ วัดดอนรก สงขลา
่
ี
ถนนไทรบร ต าบลย่อบาง อ าเภอเมอง จังหวัดสงขลา 90000
ุ
ื
โทรศัพท์ 074 - 313 - 730 โทรสาร 074 - 212 - 211
ิ
ิ
ิ
เวลาเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร-วันเสาร ์
์
ิ
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร และวันนักขัตฤกษ์
96
ิ
่
หอสมุดแหงชาติเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจาสรกิติ ์
ิ
้
ั
ี
พระบรมราชนนาถ ตรง
ิ
ิ
ิ
วัดมัชฌมภูม ถนนหยองหวน ต าบลทับเทยง อ าเภอเมอง
ื
ี่
จังหวัดตรง 92000
ั
โทรศัพท์ 075 - 215 - 450 โทรสาร 075 - 215 - 450
เวลาเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร - วันเสาร ์
ิ
ิ
ิ
ิ
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร และวันนักขัตฤกษ์
์
ิ
หอสมุดแหงชาติวัดเจรยสมณกิจ ภูเก็ต
่
วัดหลังศาล ต าบลเขาโต๊ะแซะ อ าเภอเมอง จังหวัดภเก็ต 83000
ู
ื
โทรศัพท์ 076 - 217 -780 - 1 โทรสาร 076 - 217 - 781
เปดเปด-ปดท าการ/บรการ : 09.00 - 17.00 น. วันอังคาร - วันเสาร ์
ิ
ิ
ิ
ิ
ิ
หยุดวันอาทตย์ - วันจันทร และวันนักขัตฤกษ์
์
97
้
หองสมุดเฉพาะ
ุ
ึ
่
็
ึ
่
ุ
ื
ื
ห้องสมดเฉพาะคอห้องสมดซงรวบรวมหนังสอในสาขาวิชาบางสาขาโดยเฉพาะ มักเปนส่วนหนง
ื
้
ู
ของหน่วยราชการ องค์การ บรษัทเอกชน หรอธนาคาร ท าหน้าทจัดหาหนังสอและให้บรการความร ข้อมูล
ื
ิ
ี่
ิ
่
ุ
ี
่
ิ
่
ื
และข่าวสารเฉพาะเรองทเกียวข้องกับการด าเนนงานของหน่วยงานนั้น ๆ ห้องสมดเฉพาะจะเน้นการ
ิ
ี่
ื่
่
ุ
รวบรวมรายงานการค้นคว้าวิจัย วารสารทางวิชาการ และเอกสารเฉพาะเรองทผลต เพือการใช้ในกล่ม
่
ิ
ุ
ื
วิชาการ บรการของห้องสมดเฉพาะจะเน้นการช่วยค้นเรองราว ตอบค าถาม แปลบทความทางวิชาการ จัดท า
ื่
ี
ส าเนาเอกสาร ค้นหาเอกสาร จัดท าบรรณานกรมและดรรชนค้นเรองให้ตามต้องการ จัดพิมพ์ข่าวสาร
ุ
ึ
เกียวกับส่งพิมพ์เฉพาะเรองส่งให้ถงผู้ใช้ จัดส่งเอกสารและเรองย่อของเอกสารเฉพาะเรองให้ถงผู้ใช้ตาม
ื
ื
่
่
ิ
ื
ึ
่
่
ความสนใจเปนรายบคคล
็
ุ
ี
ื
ื
่
ิ
ิ
ื
ุ
่
ั
ในปจจบันน้เนองจากการผลตหนังสอและส่งพิมพ์อน ๆ โดยเฉพาะวารสารทางวิชาการ รายงาน
็
ี
การวิจัย และรายงานการประชมทางวิชาการมปรมาณเพิ่มข้นมากมาย แต่ละสาขาวิชามสาขาแยกย่อยเปน
ุ
ี
ึ
ิ
่
ี
ุ
ี
ี
รายละเอยดลกซ้ ึง จงยากทห้องสมดแห่งใดแห่งหนงจะรวบรวมเอกสารเหล่าน้ได้หมดทกอย่างและ
ุ
่
ึ
ึ
ึ
ึ
ี
ิ
ื
ื
ให้บรการได้ทกอย่างครบถ้วน จงเกิดมหน่วยงานด าเนนการเฉพาะเรอง เช่น รวบรวมหนังสอและส่งพิมพ์
ิ
ิ
ุ
่
่
ื
ื
ี
่
ื
ื่
์
อน ๆ เฉพาะสาขาวิชาย่อย วิเคราะหเน้อหา จัดท าเรองย่อ และดรรชนค้นเรองนั้น ๆ แล้วพิมพ์ออกเผยแพร่
่
ื
ึ
ให้ถงตัวผู้ต้องการข้อมูล ตลอดจนเอกสารในเรองนั้น
้
ตัวอยางหองสมุดเฉพาะ
่
ุ
ู
ิ
ุ
ิ
้
ี
ุ
ห้องสมดมารวย เตมความร เตมความสนก ทกอรรถรสแห่งการเรยนร ้ ู
ความเปนมา
็
่
ุ
็
ั
ึ
่
ี
จัดตั้งข้นเมอป พ.ศ. 2518 ในนาม “ห้องสมดตลาดหลักทรพย์แห่งประเทศไทย” เพือเปนแหล่ง
ื
ี่
์
่
ุ
ุ
ื่
ั
ู
ี
สารสนเทศด้านตลาดเงน ตลาดทน และสาขาวิชาทเกียวข้อง ก่อนจะปรบปรงรปลักษณใหม่ และเปลยนชอ
่
ิ
็
ิ
่
็
ุ
ิ
เปน “ห้องสมดมารวย” ในป พ.ศ. 2547 เพือเปนเกียรตแก่ ดร.มารวย ผดงสทธ์ ิ กรรมการผู้จัดการตลาด
ุ
ี
ี่
ั
ทรพย์ทรพย์ฯ คนท 5
ั
วัตถุประสงค ์
ุ
1. เพือให้บรการเผยแพร่ข้อมูล ความรด้านการเงน การออม และการลงทน
ิ
่
ิ
้
ู
2. เพือให้ประชาชนผู้สนใจมช่องทางในการเข้าถงแหล่งความรผ่านศูนย์การค้าชั้นน าได้สะดวก
ึ
่
ู
ี
้
ึ
ยิ่งข้น
3. เพือขยายฐานและสรางผู้ลงทนหน้าใหม่
่
ุ
้
การด าเนนการ
ิ
ิ
ุ
ั
ห้องสมดมารวยได้จัดมมบรการส าหรบกล่มเปาหมายในการใช้บรการ ดังน้ ี
ิ
ุ
ุ
้
98
1. Library Zone
่
ิ
่
ี
่
รวบรวมข้อมูลสอส่งพิมพ์ทผลตโดย ตลท. บจ. บลจ. กลต. สมาคมฯ ทเกียวข้อง เผยแพร่
ิ
ี
ื่
่
็
ู
ุ
ิ
่
ี
้
่
ความรด้านการวางแผนทางการเงน การออม และการลงทน ตลอดจนเอกสารต่าง ๆ ทเกียวข้องให้เปนทรจัก
ู
้
ี
่
อย่างกว้างขวาง ประกอบด้วยข้อมูลเกียวกับ
- SET Corner
- Magazine & Nespaper
- Listed Company : Annual Report
- Personal Finance
- Business & Management
ื
- Literature & Best Seller : หนังสอจาก MOU ระหว่างตลาดหลักทรพย์ฯ และ
ั
ส านักพิมพ์ชั้นน ้า
่
ื่
่
ิ
ุ
ื
- อน ๆ ประกอบด้วยหนังสอทเกียวข้องกับวัฒนธรรมการออม การลงทน และ จรยธรรม
ี
เปนต้น
็
2. E - Learing & Internet Zone
์
ุ
ิ
จัดคอมพิวเตอรน าเสนอข้อมูลทางอนเทอรเนตในการตดตามห้น รวมทั้งส่งค าสั่งซ้อ - ขาย
็
ิ
ื
์
ี
่
ื
็
ุ
ี
่
่
ู
ึ
็
่
ได้อย่างสะดวกรวดเรว เพือดงดดลกค้าทเปนนักลงทนนั่งผ่อนคลายโดยทไม่พลาดความเคลอนไหวส าคัญท ี่
ู
ู
้
ู
ื
เกียวกับการซ้อ - ขายหลักทรพย์ ตลอดจนความรในรปแบบ e-learing, e-book รวมทั้งการ สบค้นข้อมูลจาก
ื
่
ั
็
ิ
์
อนเทอรเนต
3. Coffee Zone
ื
ิ
่
่
่
ื
เพือให้สอดคล้องกับ Lifestyle ของผู้ใช้บรการ โดยจ าหน่ายเครองดม ชา กาแฟ จาก
Settrade.com
4. Activity Zone
ิ
ี
ิ
ี่
ื่
์
เปนการจัดกิจกรรมและการประชาสัมพันธต่าง ๆ อาท การเชญผู้ทมชอเสยงมา สัมภาษณใน
็
ี
์
่
ื
็
เรองน่าสนใจและเชอมโยงเน้อหาเกียวข้องกับวิธการบรหารเงน และการลงทน หรอเปนกิจกรรมและน า
ุ
่
ิ
ิ
ื
ี
่
ื
ื
หนังสอขายด หรอการจัดเสวนาให้ความรด้านการออม การเงน การลงทนจากตัวแทน บล. บลจ. เปนต้น
ี
็
ื
ู
ื
ิ
้
ุ
กิจกรรม
ให้ผู้เรยนค้นคว้าห้องสมดเฉพาะจากอนเทอรเนต แล้วท ารายงานส่งคร ู
ิ
ุ
ี
็
์
99
วัด โบสถ และมัสยิด
์
1.วัด
็
็
่
็
วัดเปนศานสถานทเปนรากฐานของวัฒนธรรมในด้านต่าง ๆ และเปนส่วนประกอบส าคัญของ
ี
ึ
่
ิ
็
ุ
ิ
ท้องถ่น และเปนศูนย์กลางในการท ากิจกรรมการศกษาทหลากหลายของชมชนในท้องถ่น วัดในประเทศ
ี
ื
ไทยสามารถแบ่งได้ 2 ประเภท คอ
ิ
ึ
ึ
์
้
ื
ิ
ก. พระอารามหลวง หมายถง วัดทพระเจ้าแผ่นดนทรงสรางหรอบูรณะปฏสังขรณข้นใหม่ หรอ
ี
ื
่
ี่
เปนวัดทเจ้านายหรอขุนนางสรางแล้วถวายเปนวัดหลวงพระอารามหลวง แบ่งออกเปน 3 ชั้น ได้แก่ พระ
็
้
ื
็
็
อารามหลวงชั้นเอก ชั้นโท และชั้นตร ี
็
่
็
ข. พระอารามราษฎร เปนวัดทผู้สรางไม่ได้ยกถวายเปนวัดหลวง ซงมจ านวนมาก กระจายอยู่
่
้
ี
ี
ึ
์
ตามท้องถ่นต่าง ๆ ทั่วไป
ิ
็
ื
ั
ี
ึ
่
อนง นอกเหนอจากการแบ่งวัดออกเปน 2 ประเภทแล้ว ยังมวัดประจ ารชกาลซงตามโบราณราช
่
ึ
ั
ิ
ประเพณ จะต้องมการแต่งตั้งวัดประจ ารชกาลของพระเจ้าแผ่นดนแต่ละพระองค์
ี
ี
ความสาคัญของวัด วัดมความส าคัญนานัปการต่อสังคม เปนแหล่งความรของคนในชมชน ทมค่า
่
ุ
้
ี
ู
ี
็
ี
มากในทกด้าน ไม่ว่าจะเปนด้านการอบรมสั่งสอนโดยตรงแก่ประชาชนทั่วไป และการอบรมสั่งสอน
็
ุ
ั
ี
ิ
็
่
่
โดยเฉพาะแก่กุลบตรเพือให้เตรยมตัวออกไปเปนผู้น าครอบครวและท้องถ่นทดในอนาคตหรอการให้
ื
ี
ุ
ี
ิ
ี
ึ
ิ
ี่
การศกษาในด้านศลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนยมประเพณ ี พิธกรรมต่าง ๆ นอกจากน้บรการต่าง ๆ ทวัด
ี
ี
ึ
ู
ิ
็
ให้แก่คนในท้องถ่นในรปของกิจกรรมทางศาสนาต่าง ๆ นั้น นับเปนการให้การศกษาทางอ้อม ประชาชน
ึ
สามารถศกษาเรยนรได้ด้วยตนเอง จากการสังเกตพูดคย ปรกษาหารอ หรอเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ทวัดจัด
ุ
ึ
ี่
ู
ื
ี
้
ื
ี
ื่
็
ให้บรการ ในส่วนทเปนสถานทพักผ่อนหย่อนใจนั้น เมอประชาชนเข้าไปในวัด เพือพักผ่อนหย่อนใจ ก็จะ
่
ิ
ี
่
่
้
ิ
ี
ิ
ิ
ู
ิ
้
ี
ู
ี
เกิดการเรยนรส่งต่าง ๆ ไปด้วยในตัว เช่น เรยนรวิธปฏบัตให้จตใจผ่องใส สงบเยือกเย็น ตามหลักธรรมค าสั่ง
ิ
ี
ี
ิ
ิ
ู
่
ึ
้
สอนของพุทธศาสนา ซงพระจะเปนผู้ถ่ายทอดความรและวิธปฏบัตให้ นอกจากน้หากวัดบางวัดยังจัดบรเวณ
็
ู
ื
ื่
ี
ี
ี
ู
สถานทให้เอ้อต่อการเรยนรด้วยตนเอง เช่น ปลกต้นไม้นานาพรรณ และเขยนชอต้นไม้ตดไว้ ผู้ทเข้าวัดก็ม ี
้
ิ
่
่
ี
ึ
โอกาสจะศกษาหาความรในเรองชนดของพรรณไม้เหล่านั้นได้ด้วยตัวเอง
้
ู
่
ื
ิ
่
ี
วัดกับการจดกิจกรรมการศกษา กิจกรรมการศกษาทพบในวัด ได้แก่
ึ
ึ
ั
ี
ี
ึ
ื
ึ
ก. ศกษาและฝกอบรมศลธรรม สั่งสอนวิชาการต่าง ๆ ทั้งโดยตรง คอแก่ผู้มาบวชตาม ประเพณ
็
และแก่เดกทมาอยู่วัด และโดยอ้อมคอแก่ผู้มาท ากิจกรรมต่าง ๆ ในวัด หรอมาร่วมกิจกรรมในวัด ทั้งวิชา
ื
ี
่
ื
ื
หนังสอและวิชาช่างต่าง ๆ
ิ
ื
ิ
ข. ก่อก าเนดและอนรกษ์ศลปวัฒนธรรม สบทอดวัฒนธรรม รวบรวมศลปกรรมเสมอนเปนพิพิธภัณฑ์
ื
็
ุ
ิ
ั
ค. สงเคราะหช่วยให้บตรหลานชาวบ้านทยากจนได้มาอาศัยเล้ยงชพพรอมไปกับได้ศกษาเล่าเรยน
้
ี
ี
่
ี
ึ
ุ
ี
์
่
ั
ี่
ี
ี
ึ
ั
รบเล้ยงและฝกอบรมเดกทมปญหา เด็กอนาถา ตลอดจนผู้ใหญ่ซงไร้ทพักพิง
ึ
่
็
ี
100
่
ู
ึ
ี
้
ั
ื
ึ
ง. ให้ค าปรกษาแนะน าเกียวกับปญหาชวิต ความทกข์ ความเดอดรอน ความรสกคับแค้นข้องใจ
้
ุ
ี
ื
ต่าง ๆ และปรกษาหารอให้ค าแนะน าสั่งสอนเกียวกับวิธแก้ปญหา
ึ
่
ั
ื่
ั
ี
ื
จ. ไกล่เกลยระงับข้อพิพาท โดยอาศัยความเคารพนับถอ เชอฟง พระสงฆ์ท าหน้าทประดจ ศาล
่
ี่
ุ
่
ุ
ิ
ี
็
ี
ตัดสนความทม่งในทางสมัครสมานสามัคค เปนส าคัญ
ิ
ุ
ฉ. ให้ความบันเทงจัดงานเทศกาล งานสนกสนานร่าเรง และมหรสพต่าง ๆ ของชมชน รวมทั้ง
ิ
ุ
็
็
เปนทเล่นสนกสนานของเดก ๆ
ุ
่
ี
่
ี
่
็
ี
้
่
ื
ื
ช. เปนสถานทพักผ่อนหย่อนใจทให้ความร่มรนสดชนของธรรมชาต พรอมไปกับให้
่
ิ
บรรยากาศทสงบเยือกเย็นทางจตใจของพระศาสนา
ี่
ิ
ึ
ี่
ุ
ุ
ซ. เปนสถานทพบปะประดจสโมสรทชาวบ้านนัดพบ เปนทชมนมสังสรรค์ สนทนาปรกษา
ุ
ี่
็
็
ี่
หารอกันในกิจกรรมทเหมาะสม และผ่อนคลาย
่
ี
ื
์
ฌ. เปนสถานทแจ้งข่าว แพร่ข่าว และสอสัมพันธเกียวกับกิจการของท้องถ่น ข่าวภายใน ท้องถ่น
ิ
่
ิ
่
ื
ี
่
็
ุ
ิ
์
่
็
ื
ิ
ข่าวจากภายนอกท้องถ่น เช่น ข่าวเกียวกับเหตการณของประเทศชาตบ้านเมอง อาศัยวัดเปนศูนย์เผยแพร่ท ่ ี
็
ี่
ี
ุ
ี
ั
ื
่
ื
ื
ส าคัญทสด และวัดหรอศาลาวัดเปนทส าหรบก านันหรอผู้ใหญ่บ้าน ตลอดจนนายอ าเภอเรยกชาวบ้าน หรอ
ุ
ี
ี่
ลกบ้านมาประชม หรอถอโอกาสทมชมชนในงานวัด แจ้งข่าวคราว กิจกรรมต่าง ๆ
ุ
ื
ื
ู
ุ
็
่
็
ื
ญ. เปนสถานทจัดกิจกรรมของชมชน ตลอดจนด าเนนการบางอย่างของบ้านเมอง เช่น เปนท ี่
ิ
ี
ี
่
ั
กล่าวปราศรยหาเสยงของนักการเมอง ทจัดลงคะแนนเสยงเลอกตั้ง
ี
ื
ื
ี
็
ฎ. เปนสถานพยาบาล และเปนททรวบรวมสบทอดต ารายาแผนโบราณ ยากลางบ้านทรกษา
ี่
ี่
ี่
ั
ื
็
ู
้
ึ
ิ
ื
ผู้ปวยเจ็บตามภมรซงถ่ายทอดสบ ๆ มา
่
่
ู
ุ
ิ
ิ
ิ
ี่
ี่
ฏ. ให้บรการทพักคนเดนทาง ท าหน้าทดจโรงแรม ส าหรบผู้เดนทางไกล โดยเฉพาะจากต่างถ่น
ิ
ั
ี
ิ
และไม่มญาตเพือนพ้อง
่
ึ
่
ฐ. เปนคลังพัสด ส าหรบเก็บอปกรณและเครองใช้ต่าง ๆ ซงชาวบ้านจะได้ใช้ร่วมกันเมอมงานท ่ ี
็
ั
์
ื
ุ
่
ี
ุ
ื
่
วัดหรอยืมไปใช้เมอตนมงาน
ื่
ี
ื
็
ี
ฑ. เปนสถานทประกอบพิธกรรม หรอให้บรการด้านพิธกรรม ซงผูกพันกับชวิตของทกคนใน
่
ึ
ี
ิ
ุ
ี่
ี
ื
์
ุ
ี
ระยะเวลาและเหตการณต่าง ๆ ของชวิต ตามวัฒนธรรมประเพณชมชนไทยแต่ละชมชน เช่น แต่ละหมู่บ้าน
ุ
ุ
ี
ี
มวัดประจ าชมชนของตน และต่างก็ยึดถอว่าวัดน้เปนวัดของตน เปนสมบัตร่วมกันของคนทั้งหมดใน
ิ
ื
็
ี
็
ุ
ึ
ึ
ื
่
ี
ุ
็
ี่
ุ
ชมชน วัดแต่ละวัดจงเปนเครองผนกชมชนให้รวมเปนหน่วยหนง ๆ ของสังคม วัดทส าคัญ ปูชนยสถานท ี่
่
็
ึ
็
่
ประชาชนเคารพอย่างกว้างขวางก็เปนเครองรวมใจประชาชนทั้งเมอง ทั้งจังหวัด ทั้งภาค หรอทั้งประเทศ
ื
ื
ื
ุ
ี่
ึ
พระสงฆ์ซงเปนทเคารพนับถอ ก็ได้กลายเปนส่วนประกอบส าคัญในระบบ การรวมพลังและควบคมทาง
็
็
่
ื
สังคม
101
ั
ี่
ู
ุ
รป : การนวดแผนโบราณเพื่อรกษาโรค ทวัดพระเชตพนฯ
โบสถ (ครสตศาสนา)
ิ
์
์
ิ
ื
ในทางครสต์ศาสนา โบสถ์ หมายถง อาคารหรอสถานททผู้นับถอศาสนาครสต์มารวมกัน เพื่อ
ิ
่
ี
ื
ี
่
ึ
ิ
ื
ประกอบพิธหรอท าศาสนกิจร่วมกัน เปนเอกลักษณประการหนงของวิถชวิตของครสตชน และครสตชน
ิ
ึ
์
่
ี
ี
ี
็
่
็
ึ
ี
็
ส านกตนเองว่าเปนประชากรของพระเจ้า และพวกเขาก็มารวมตัวกันถวายนมัสการในฐานะทเปนประชากร
่
สวนประกอบของโบสถ ์
ิ
ี
ค าว่า “โบสถ์” (Church) มาจากภาษากรกว่า “ekklesia” ตรงกับค าภาษาลาตนว่า “ecclesai”
ึ
ี
ั
ื
ความหมายตามอักษร “ekklesia” คอ ผู้ได้รบเรยก (จากพระจตเจ้า) ให้เรารวมตัวกัน หมายถง ตัวอาคาร
ิ
ี
่
็
่
ี
ึ
่
ุ
ี
ี
โบสถ์ ซงเปนสถานทให้การต้อนรบผู้ทมาชมชนกันน้ ความหมายของค าว่า “โบสถ์” มพัฒนาการอัน
ั
ยาวนาน ตลอดประวัตศาสตรของพระศาสนจักร โบสถ์มส่วนประกอบคร่าว ๆ ดังน้ ี
ี
์
ิ
102
์
้
ลานหนาโบสถ (Church Courtyard)
ื
ุ
ี
ี
ี
ี่
ึ
่
ลานหน้าโบสถ์ถอว่ามความส าคัญมากทจะต้องมเผื่อไว้ เพราะลานน้จะแสดงออกซงคณค่าของ
็
ู
การให้การต้อนรบเปนด่านแรก ดังนั้น อาจออกแบบเปนรปลานหน้าโบสถ์ทมเสาเรยงรายรองรบ ซ้มโค้งอยู่
ั
ุ
ั
็
ี่
ี
ี
่
ี
ื
ื
ู
่
โดยรอบ ๆ ด้าน หรอรปแบบอย่างอนทจะส่งผลคล้ายคลงกัน บางคร้งก็ใช้ลานดังกล่าวในการประกอบพิธ ี
ั
ึ
ด้วย หรอบางทก็ใช้เปนทางผ่านเข้า เปน “ตัวเชอมโยง” ระหว่าง “ภายนอกโบสถ์” และ “ภายในโบสถ์” โดย
ื
ี
็
ื่
็
ุ
ิ
ั
ิ
ี
จะต้องไม่ให้ส่งผลกระทบทกลายเปนการปดกั้น แต่มวัตถประสงค์เพือการปรบสภาพจตใจจากความสับสน
็
่
ี
่
วุ่นวายของชวิตภายนอก เตรยมจตใจเข้าส่ความสงบภายในโบสถ์
ู
ี
ี
ิ
์
ระเบียงทางเขาสูอาคารโบสถ =(Atrium หรอ Nathex) และประตูโบสถ ์
ื
้
่
่
ู
ี
ิ
้
การสรางโบสถ์ในคตเดมเพือจะผ่านเข้าส่โถงภายในอาคารโบสถ์ จะต้องผ่านระเบยงทางเข้าส่ ู
ิ
ี
ื
ื
ี
ิ
ี
ี
ี
ู
่
ิ
อาคารโบสถ์ทเรยกกันว่า Atrium หรอ Nathex ก่อน และบรเวณนั้นจะมประตอยู่ด้วย ระเบยงน้คอบรเวณท ี ่
ั
ื
ี
ื
ี
่
ึ
ุ
ุ
ให้การต้อนรบบรรดาสัตบรษผู้มาร่วมพิธซงเปรยบเสมอนพระศาสนจักร เหมอน “มารดา ผู้ให้การต้อนรบ
ั
ื
ี
ู
็
ลก ๆ ของพวกเธอ” และประตทางเข้าอาคารโบสถ์ก็เปรยบเสมอน “พระครสตเจ้า ผู้ทรงเปนประตูของ
ู
ิ
ึ
บรรดาแกะทั้งหลาย” (เทยบ ยน : 10:7) ดังนั้นหากจะมภาพตกแต่งทประตกลาง ก็ให้ค านงถงความหมาย
ู
่
ี
ี
ี
ึ
ู
ดังกล่าวขนาดของประตและทางเข้าน้ นอกจากจะต้องค านงถงสัดส่วนให้เหมาะสมกับขนาดความจของโถง
ึ
ึ
ุ
ี
ี
็
่
ึ
ภายในโบสถ์แล้ว ยังจะต้องค านงถงความจ าเปนของขบวนแห่ อย่างสง่าทจะต้องผ่านเข้า - ออกด้วย
ึ
หอระฆัง (Bell Tower) และระฆังโบสถ (Bell)
์
ึ
ึ
ในการออกแบบก่อสรางโบสถ์ ควรจะค านงถงบรเวณการก่อสรางหอระฆัง และก าหนดให้มการ
้
ี
ิ
้
ุ
ุ
ิ
ี
่
ื
ใช้ระฆัง เพือประโยชนใช้สอยแบบดั้งเดม นั่นคอ การเรยกสัตบรษให้มาร่วมชมนมกันในวันพระเจ้าหรอ
ุ
ุ
์
ื
ื
เปนการแสดงออกถงวันฉลองและสมโภช รวมทั้งเปนการสอสารให้ทราบกันด้วยสัญญาณการเคาะระฆัง
่
็
็
ึ
ื
เช่น ระฆังเข้าโบสถ์วันธรรมดา ระฆังพรหมถอสาร ระฆังวันสมโภช ระฆังผู้ตาย ฯลฯ ควรละเว้นการใช้
ี
ื่
ี
เสยงระฆังจากเครองเสยงและล าโพง
รูปพระ
ิ
ู
ิ
ี
ี
สอดคล้องกับธรรมเนยมประเพณดั้งเดมของพระศาสนจักร พระรปของครสตเจ้า, พระแม่มาร
ี
ุ
ุ
ุ
ู
ี
่
ี
และนักบญได้รบการเคารพในโบสถ์ต่าง ๆ แต่รปพระเหล่าน้จะต้องจัดวางในลักษณะทจะไม่ท าให้สัตบรษ
ั
ู
ี
่
ี
ิ
วอกแวกไปจากการประกอบพิธทก าลังด าเนนอยู่และไม่ควรมจ านวนมาก และจะต้องไม่มรปนักบญองค์
ี
ี
ุ
ี
่
ั
ึ
ึ
ู
เดยวกันมากกว่าหนงรป รวมทั้งจัดขนาดให้เหมาะสมด้วย โดยปกตแล้วควรจะค านงถงความศรทธาของหมู่
ิ
ึ
้
คณะทั้งหมดในการตกแต่งและการจัดสรางโบสถ์ (I.G.278)
อางน้าเสก (Holy water Font)
่
ึ
อ่างน ้าเสกเตอนให้ระลกถงอ่างล้างบาป และน ้าเสกทสัตบรษใช้ท าเครองหมายกางเขนบนตนเอง
ื
ึ
่
ี
ุ
ุ
่
ื
็
นั้น เปนการเตอนใจให้ระลกถงศลล้างบาปทเราได้รบ ด้วยเหตน้เองทน ้าเสกจงตั้งไว้ตรงทางเข้าโบสถ์
ึ
ี
ื
ี
ึ
ี่
ั
ุ
่
ึ
ี
นอกจากน้ยังก ากับให้ใช้วัสดเดยวกัน มรปแบบและรปทรงสอดคล้องกับอ่างล้างบาปด้วย
ี
ู
ู
ี
ุ
ี
103
ี
่
ิ
รูปสบสภาค (Stations of the Cross)
ู
้
ี
ื
ิ
ู
ี
่
ไม่ว่ารปสบสภาคจะประกอบด้วยพระรปพรอม ทั้งไม้กางเขน หรอมเฉพาะไม้กางเขนเพียงอย่างเดยว
ี
ั
ก็ให้ประดษฐานไว้ในโบสถ์ หรอ ณ สถานทเหมาะสมส าหรบตดตั้งรปสบสภาค เพื่อความสะดวกของ
ื
ี่
ิ
ิ
ิ
ี
ู
่
ุ
ุ
ื
สัตบรษ (หนังสอเสก และอวยพร บทท 34 ข้อ 1098)
ี่
ั
ื่
ื
เครองเรอนศกดิสทธ (Sacred Futnishings)
ิ
์
ิ
์
์
ุ
็
ี่
้
ี
็
ี่
ิ
การประกอบพิธกรรมของครสตชนต้องใช้อปกรณหลายอย่าง ทั้งทเปนโครงสรางถาวรและทเปน
ื
ื
่
่
ี
็
ื
ื
ื่
ื
แบบเคลอนย้ายได้ มทั้งเปนเครองเรอนหรอภาชนะ เราใช้ชอรวมเรยกอปกรณเหล่าน้ว่า “เครองเรอน
ี
ี
ุ
์
ื่
ศักด์สทธ์ หรอ “เครองเรอนพิธกรรม” ซงอปกรณเหล่านั้นมไว้ใช้สอยในระหว่างการ ประกอบพิธการ
ื
ิ
ี
ี
ื
ื่
ึ
์
ิ”
ุ
ิ
่
ี
ปฏรปพิธกรรมสังคายนาก็ได้กล่าวถงเรองน้ด้วย “พระศาสนจักรเอาใจใส่กวดขันเปนพิเศษ ให้เครองเรอนท ี่
ื
ื่
่
ี
ื
ึ
็
ิ
ู
ี
ใช้ในศาสนาสวยงามสมทจะให้คารวกิจมความสง่างาม พระศาสนจักรจงยอมให้มการเปลยนแปลงรปทรง
่
ี่
ี
ึ
ี
ี
ู
่
การตกแต่งทเกิดจากความก้าวหน้าทางวิชาการตามยุคสมัย (S.C.122)
ี
ิ
์
ี
ครสตศาสนาในประเทศไทยมหลายนกาย แต่ละนกายจะมจารตและการใช้ค าสัญลักษณทแตกต่างกัน
ิ
ิ
ี
ี
่
ี
้
ิ
ิ
ิ
ิ
่
นกายทมประชาชนรจักและนับถอกันมากมอยู่ 2 นกาย คอ นกายโรมันคอทอลก (ครสตัง) และนกาย
ี
ิ
ิ
ี
ื
ู
ื
ี
ี
ี
ิ
ี
ิ
่
ิ
ิ
ี
ี
ี
โปรเตสแตนต์ (ครสเตยน) แต่ละนกายจะมวิธเรยกทแตกต่างกัน เช่น นกาย โรมันคาทอลก จะเรยกโบสถ์
ั
ของตนเองว่า โบสถ์พระแม่มาร โบสถ์ในนกายน้จะแตกต่างด้านสถาปตยกรรมยุโรป ประดับประดาด้วยรป
ี
ู
ี
ิ
ปนต่าง ๆ แต่นกายโปรแตสแตนสและเรยกโบสถ์ของตนเองว่า ครสตจักร เช่น ครสตจักรพระสัญญา
ิ
ี
์
ิ
ิ
ั้
ื
อาคารของโบสถ์จะเน้นความเรยบง่ายเหมอนอาคารทั่วไป ไม่เน้นรปเคารพ หรอรปปน อาจจะมไม้กางเขน
ู
ู
ื
ี
ี
ั้
ื่
็
ึ
เล็กพอเปนเครองหมายแสดงถงอาคารทางด้าน ศาสนกิจเท่านั้น (อางจาก http: www.panyathai.or.th)
้
มัสยิด
ุ
มัสยิด หรอสเหร่า หรอสะกดว่า มัสญด เปนศาสนสถานของชาวมสลม ชาวมสลมในแต่ละชมชน
ื
ิ
ุ
ฺ
ิ
ื
ุ
ุ
็
็
ิ
่
ี
้
ี
่
ึ
จะสรางมัสยิดข้นเพือเปนสถานทปฏบัตพิธกรรมทางศาสนา อันได้แก่ การนมาซ และการวิงวอน การปลก
ิ
ี
ฺ
ิ
ิ
ี
็
ตนเพื่อบ าเพ็ญตบะ หาความสันโดษ (ออตกาฟ และคอลวะห) นอกจากน้มัสยิดยังเปนโรงเรยนสอนอัลกุ
ฺ
ี
ี่
ี
ี่
ุ
ุ
ี่
ุ
รอานและศาสนาสถานทชมนมพบปะ ประชม เฉลมฉลอง ท าบญเล้ยง สถานทท าพิธสมรส และสถานทพัก
ิ
ุ
ี
พิงของผู้สัญจรผู้ไรทพ านัก โดยทจะต้องรกษามารยาทของมัสยิด เช่น การไม่คละเคล้าระหว่างเพศชายและ
ั
ี่
้
ี่
ี
ิ
หญง การกระท าทขัดกับบทบัญญัตห้ามของอสลาม (ฮะรอม) ทั้งมวล
ิ
่
ิ
ิ
ค าว่า มัสยิด หรอมัสญด เปนค าทยืมมาจากภาษาอาหรบ แปลว่า สถานทกราบ
็
ื
ี่
ี่
ั
็
ค าว่า สเหร่า เปนค าทยืมมาจากภาษามลายู Surau
ี่
ุ
ศาสนสถานของศาสนาอสลามทส าคัญทสด คอ อัลมัสญด อัลฮะรอม (มัสญดต้องห้าม) ในนคร
ื
ิ
ี่
ุ
ิ
ิ
ี่
ี
ฺ
ี
ิ
ิ
็
็
มักกะห อันเปนทตั้งของกะอบะห มะกอมอบรอฮม (รอยเท้าของศาสดาอบรอฮม) ข้าง ๆ นั้นเปนเนนเขา อัศ
ุ
ฺ
่
ี
ิ
ี่
ศอฟา และอัลมัรวะห อัลมัสญด อัลฮะรอม เปนสถานทนมาซประจ าวัน และสถานทบ าเพ็ญฮัจน์ เพราะยาม
็
ี่
ฺ
ิ
104
ทมสลม ประกอบพิธฮัจญ์ต้องฏอวาฟรอบกะอบะห นมาซหลังมะกอมอบรอฮม และ เดน (สะอยุ) ระหว่าง
ี่
ิ
ฺ
ฺ
ุ
ิ
ี
ฺ
ิ
ี
อัศศอฟา และอัลมัรวะห ฺ
ี
ุ
ึ
่
ิ
ื
ั
ื
รองลงมาคอ อัลมัสญด อัลนะบะวีย์ คอ มัสญดของศาสนทูตมฮัมมัด ซงมร่างของท่านฝงอยู่
ิ
อัลมัสญด อัลอักศอ เปนมัสญดทมความส าคัญทางประวัตศาสตรอสลาม เพราะศาสนทูตมฮัมมัด
ิ
็
ิ
ุ
์
ิ
ี่
ิ
ี
ึ
ได้ข้นส่ฟากฟา (มอรอจญ์) จากทนั่น (htt://www.wikipedia.org/wike)
ู
้
่
ี
ิ
ฺ
กิจกรรม
่
ุ
็
ี
ี
ให้ผู้เรยนแต่ละคนไปส ารวจวัด โบสถ์ และมัสยิดทอยู่ในชมชน/ต าบล แล้วเขยนเปนประวัตความ
ิ
ี
ิ
้
ู
็
่
ี
ี
็
เปนมา ความส าคัญ ส่งทจะเรยนรได้จากวัด โบสถ์ มัสยิด จัดท าเปนรายงานส่งคร ู
พิพิธภัณฑ ์
่
์
ี่
ี
ิ
พิพิธภัณฑ์ เปนทรวบรวม รกษา ค้นคว้า วิจัย และจัดแสดงหลักฐานวัตถส่งของทสัมพันธกับ
ุ
ั
็
ิ
มนษย์และส่งแวดล้อม เปนบรการการศกษาทให้ทั้งความรและความเพลดเพลนแก่ประชาชนทั่วไป เน้นการ
ิ
ู
้
่
็
ี
ึ
ิ
ิ
ุ
ู
ู
ี
ี
่
ี
ี
ื
้
จัดกิจกรรมการศกษาทเอ้อให้ประชาชนสามารถเรยนรด้วยตัวเอง พิพิธภัณฑ์ มหลากหลายรปแบบ มการ
ึ
จัดแบ่งประเภทแตกต่างกันไป ซงกล่าวโดยสรปแบ่งออกได้ 6 ประเภท ดังน้ ี
ุ
ึ
่
็
ี่
1. พิพิธภัณฑสถานประเภททั่วไป (Encyclopedia Museum) เปนสถาบันทรวมวิชาการทุกสาขา
็
เข้าด้วยกัน โดยจัดเปนแผนก ๆ
ุ
ี่
ิ
ิ
็
2. พิพิธภัณฑสถานศลปะ (Museum of Arts) เปนสถาบันทจัดแสดงงานศลปะทกแขนง
์
็
3. พิพิธภัณฑสถานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี (Museum of Science and Technology) เปน
่
ี
สถาบันทจัดแสดงวิวัฒนาการทางวิทยาศาสตรด้านต่าง ๆ เช่น เครองจักรกล โทรคมนาคม ยานอวกาศ และ
ื่
์
่
็
ื
วิวัฒนาการเกียวกับเครองมอการเกษตร เปนต้น
่
ื
็
4. พิพิธภัณฑสถานธรรมชาตวิทยา (Natural Science Museum) เปนสถาบันทจัดแสดง เรองราว
ี่
ื่
ิ
่
ของธรรมชาตเกียวกับเรองของโลก ดน หน แร่ สัตว์ พืช รวมทั้งสวนสัตว์ สวนพฤกษชาต วนอทยาน และ
ิ
ิ
่
ิ
ิ
ุ
ื
พิพิธภัณฑ์สัตว์น ้าและสัตว์บกด้วย
็
ี่
์
ิ
5. พิพิธภัณฑสถานประวัตศาสตร (Historical Museum) เปนสถาบันทจัดแสดงหลักฐานทาง
ื
่
ี
ี
็
ี
ึ
ประวัตศาสตร แสดงถงชวิตความเปนอยู่ วัฒนธรรมและประเพณ พิพิธภัณฑ์ประเภทน้อาจแยกเฉพาะเรองก็ได้
ิ
์
ี
่
่
ื
เช่น พิพิธภัณฑ์ทรวบรวมและจัดแสดงหลักฐานทางประวัตศาสตรซงเกียวกับการเมอง การทหาร เศรษฐกิจ
่
ึ
ิ
์
ี่
ุ
ึ
สังคม หรอการแสดงบ้านและเมองประวัตศาสตร ทั้งน้รวมถงโบราณสถาน อนสาวรย์ และสถานทส าคัญ
ื
ิ
ี
ื
ี
์
ทางวัฒนธรรม
105
์
ุ
ื
ี
ิ
6. พิพิธภัณฑสถานชาตพันธวิทยาและประเพณพื้นเมอง (Museum of Ethnology) และการ
่
่
ื
ึ
ิ
ี
จ าแนกชาตพันธ และอาจจัดเฉพาะเรองของท้องถ่นใดท้องถ่นหนง ซงเรยกว่าพิพิธภัณฑสถานพื้นฐาน และ
์
ิ
่
ิ
ึ
ุ
ี
ู
ิ
ถ้าจัดแสดงกลางแจ้งโดยปลกโรงเรอน จัดสภาพแวดล้อมให้เหมอนสภาพจรง ก็เรยกว่าพิพิธภัณฑสถาน
ื
ื
กลางแจ้ง (Open-air Museum)
ั
ึ
่
่
ิ
็
อนง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตนั้น เปนพิพิธภัณฑ์ทอยู่ภายใต้การดแลของรฐ สามารถแบ่งประเภทได้
ี
ู
ื
3 ประเภท คอ
ี
ิ
ก. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตทเปนสถานทสะสมศลปโบราณวัตถของวัด และประกาศเปน
็
็
ุ
ี่
่
ิ
ี
ิ
ี
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต ขณะน้มจ านวน 10 แห่ง ได้แก่
ุ
ุ
1. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต วัดพระเชตพนวิมลมังคลาราม กรงเทพมหานคร
ิ
ิ
2. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต วัดเบญจมบพิตร กรงเทพมหานคร
ุ
3. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต วัดมหาธาต อ าเภอไชยา จังหวัดสราษฎรธาน ี
์
ิ
ุ
ุ
ี
ิ
4. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต มหาวีรวงศ์ วัดสทธจนดา จังหวัดนครราชสมา
ิ
ิ
ุ
ิ
ุ
์
5. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต อนทบร วัดโบสถ์ อ าเภออนทบร จังหวัดสงหบร ี
ุ
ิ
ี
ี
ิ
ิ
ุ
6. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต พระปฐมเจดย์ จังหวัดนครปฐม
ี
ิ
ี
7. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต วัดพระมหาธาต จังหวัดนครศรธรรมราช
ุ
ิ
ุ
ิ
ุ
ิ
8. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต วัดพระธาตหรภญชัย จังหวัดล าพูน
9. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต วัดมัชฌมาวาส จังหวัดสงขลา
ิ
ิ
ุ
ี
10. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต ชัยนาทมน วัดพระบรมธาต จังหวัดชัยนาท
ิ
ุ
ิ
์
ข. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาต แหล่งอนสรณสถาน (Site Museum) พิพิธภัณฑสถานประเภทน้
ุ
ี
ิ
ิ
็
ึ
่
ื
เกิดข้นเมอกรมศลปากรด าเนนการส ารวจขุดค้นและขุดแต่งบูรณะโบราณสถานในจังหวัดต่าง ๆ เปนต้น เหต ุ
ิ
ิ
ึ
ุ
็
ิ
ึ
้
ให้พบศลปวัตถโบราณเปนจ านวนมาก กรมศลปากรจงด าเนนนโยบายจัดสรางพิพิธภัณฑสถานข้นตรง
่
ุ
ี
ิ
แหล่งทพบศลปะโบราณวัตถให้เปนสถานทรวบรวม สงวนรกษา และจัดแสดงส่งทค้นพบจากแหล่ง
่
ี
ิ
ั
่
็
ี
ุ
โบราณสถาน เพื่อให้ประชาชนทได้มาชมโบราณสถานได้ชมโบราณวัตถ ศลปวัตถทขุดค้นพบด้วย ท าให้
ิ
ี่
ี่
ุ
้
ู
เกิดความร ความเข้าใจในเรองศลปวัฒนธรรม ประวัตศาสตร โบราณคดของแต่ละแห่ง ได้เข้าใจเหนคณค่า
ิ
ิ
็
ุ
์
ื่
ี
็
และเกิดความภาคภมใจ ช่วยกันหวงแหนรกษาสมบัต วัฒนธรรมให้เปนมรดกของชาตสบไป
ื
ิ
ิ
ั
ู
ิ
์
่
ี
้
ิ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตในแหล่งอนสรณสถานทสรางข้นแล้ว ได้แก่
ึ
ุ
ี
ิ
ี
1. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตเชยงแสน จังหวัดเชยงราย
ิ
2. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตเจ้าสามพระยา จังหวัดพระนครศรอยุธยา
ี
3. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตรามค าแหง จังหวัดสโขทัย
ิ
ุ
4. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตอ่ทอง จังหวัดสพรรณบร ี
ุ
ุ
ิ
ู
5. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตก าแพงเพชร จังหวัดก าแพงเพชร
ิ
ุ
ิ
6. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตบ้านเล่า จังหวัดกาญจนบร ี
106
ี
7. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตพระปฐมเจดย์ จังหวัดนครปฐม
ิ
ี
ิ
8. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตบ้านเชยง จังหวัดอดรธาน ี
ุ
ี
ิ
9. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตวังจันทรเกษม จังหวัดพระนครศรอยุธยา
10. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตสมเดจพระนารายณ จังหวัดลพบร ี
์
ุ
ิ
็
ิ
ค. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตส่วนภมภาค (Regional Museun) เปนการด าเนนนโยบายเผยแพร่
ู
ิ
็
ิ
ศลปวัฒนธรรม ประวัตศาสตร และโบราณคดแก่ประชาชนในภาคต่าง ๆ โดยใช้พิพิธภัณฑสถานเปน
ิ
ิ
์
็
ี
ศูนย์กลางวัฒนธรรมให้การศกษาแก่ประชาชนแต่ละภาค ได้แก่
ึ
1. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตขอนแก่น จังหวัดขอนแก่น
ิ
ิ
2. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตเชยงใหม่ จังหวัดเชยงใหม่
ี
ี
ิ
ี
ี
3. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตนครศรธรรมราช จังหวัดนครศรธรรมราช
ี
ุ
ี
ิ
ี
ุ
4. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตปราจนบร จังหวัดปราจนบร ี
ุ
5. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตสวรรคโลก จังหวัดสโขทัย
ิ
ิ
6. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาตสงขลา จังหวัดสงขลา
พิพิธภัณฑกับการจดกิจกรรมการศกษา พิพิธภัณฑ์ได้มการจัดกิจกรรมการศกษาในรปแบบท ี ่
ึ
ี
ู
ั
ึ
์
ี
หลากหลาย ดังน้
ิ
ึ
ก. งานบรการให้การศกษา ได้แก่
ึ
ึ
่
่
ี
ิ
1. จัดบรการบรรยายและน าชมแก่นักเรยน นักศกษา ซงตดต่อนัดหมายวันเวลากับฝาย
ิ
การศกษา เจ้าหน้าทการศกษาจะบรรยายและน าชมตามระดับความร ความสนใจของนักเรยน และเน้นพิเศษ
ู
้
ึ
ี
ึ
ี่
ู
ื
ึ
่
ในเรองทสัมพันธกับหลักสตรวิชาเรยนของนักเรยนแต่ละระดับชั้นการศกษา
์
ี
ี
่
ี
ี่
2. จัดบรรยายและน าชมแก่ประชาชนในวันอาทตย์ เจ้าหน้าทการศกษาจะบรรยาย และ น าชม
ิ
ึ
็
ึ
ซงเปนบรการส าหรบประชาชน มทั้งการน าชมทั่วไป (Guided Tour) และการบรรยายแต่ละห้อง (Gallery
ิ
่
ี
ั
Talk)
ึ
้
่
ิ
ิ
ิ
็
3. เปดชั้นสอนศลปะแก่เดกระหว่างปดภาคฤดรอน ฝายการศกษาได้ท าการเปดสอน ศลปะแก่
ิ
ู
ิ
เดกทั้งไทยและต่างประเทศ
็
ิ
ี
ึ
ข. งานเผยแพร่ศละวัฒนธรรมแก่ชาวต่างประเทศ ฝายการศกษามเจ้าหน้าทจ ากัด ไม่สามารถ
่
่
ี
ุ
ึ
็
บรรยายและน าชมแก่ชาวต่างประเทศเปนภาษาต่าง ๆ ได้ จงได้จัดอาสาสมัครและท าการอบรมมัคคเทศก์
่
ี
ี
ี
อาสาสมัครทเปนชาวต่างประเทศทอยู่ในไทยมาช่วยงานพิพิธภัณฑสถาน เรยกชอ คณะชาวต่างประเทศว่า
่
็
ื่
“The National Museum Volunteer Group” คณะอาสาสมัครท ากิจกรรม ต่าง ๆ ได้แก่
็
ั
์
1. จัดมัคคเทศนชมพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ เปนภาษาอังกฤษ ภาษาฝร่งเศส ภาษาเยอรมัน
ุ
ุ
และภาษาญปน
่
ี่
ิ
2. จัดอบรมวิชาศลปะในประเทศไทยระยะเวลาคร้งละ 10-12 สัปดาห เปนภาษาอังกฤษ
ั
็
์
ึ
3. จัดรายการน าชมโบราณสถาน โดยมเจ้าหน้าทการศกษาร่วมไปด้วย
ี
ี
่
107
ี่
็
ิ
็
ิ
ุ
4. จัดรายการบรรยายทางวิชาการเปนประจ า โดยเชญผู้ทรงคณวุฒและผู้เชยวชาญเปน
ผู้บรรยาย
ุ
ิ
5. คณะอาสาสมัครช่วยงานห้องสมด งานห้องสมดภาพน่ง และงานวิชาการอน ๆ
ื่
ุ
ค. งานวิชาการ ได้แก่
ุ
ี
ิ
ุ
ึ
่
ั
ุ
1. จัดตั้งห้องสมดศลปโบราณคด ฝายการศกษาได้ปรบปรงห้องสมดกองกลางโบราณคด
ี
ื
ื
ี
ึ
ิ
ิ
ซงเดมมหนังสอส่วนใหญ่เปนหนังสอทพิมพ์ในงานฌาปนกิจ จงได้ตดต่อขอรบหนังสอจากมูลนธต่าง ๆ
็
ั
ื
่
ิ
ึ
ี
่
ิ
ี
ื
และได้จัดหาเงนจัดซ้อหนังสอประเภทศลปะและโบราณคดเข้าห้องสมด และจัดหาบรรณารกษ์อาสาสมัคร
ุ
ิ
ั
ิ
ื
ท าบัตรห้องสมดและดแลงานห้องสมด
ุ
ู
ุ
ุ
ิ
ิ
ิ
ุ
ี
2. จัดตั้งห้องสมดภาพน่ง (Slide Library) มภาพน่งศลปะ โบราณวัตถและโบราณสถาน
็
ิ
ุ
3. จัดท า Catalogue ศลปวัตถในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาต เปนภาษาอังกฤษ
ิ
4. จัดพิมพ์เอกสารทางวิชาการ
่
ึ
ี
ึ
อนง ในท้องถ่นทอยู่ห่างไกลจากแหล่งวิทยาการ จะมการจัดกิจกรรมพิพิธภัณฑ์เคลอนท ซงเปน
่
ี
ิ
่
็
ี
่
ื
่
รถเคลอนทไปตามสถานทต่าง ๆ มการจัดกิจกรรมหลากหลายในรถ อาท จัดนทรรศการ บรรยาย สาธต และ
่
ื
ิ
ิ
่
่
ี
ี
ิ
ี
ศกษาค้นคว้าเอกสารต่าง ๆ
ึ
รูป พิพิธภัณฑพยาธวิทยาเอลลิส
์
ิ
108
ั
ี
ั
รูป พิพิธภัณฑสตวน้าราชมงคลศรวิชย จ.ตรง
์
ั
์
รูป อาคารพิพิธภัณฑสถานแหงชาตินาน
่
่
์
109
ึ
อุทยานการศกษา
ิ
่
ึ
ึ
ุ
ึ
อทยานการศกษา หมายถง การออกแบบระบบการศกษาเพืออ านวยความสะดวกและบรการแก่
ิ
ื
ิ
ี
่
ประชาชนในท้องถ่นในเขตเมอง เปนการบรการทผสมผสานระหว่างการพักผ่อน หย่อนใจกับการศกษาตาม
็
ึ
ุ
็
ิ
ี
่
ื
ี
อัธยาศัย เพื่อพัฒนาคณภาพชวิตของคน แต่อย่างไรก็ตามได้มความเหนแตกต่างกันในเรองของนยามของ
“อทยานการศกษา” ซงสามารถสรปได้เปน 2 กล่ม คอ
ึ
ื
ุ
ุ
็
ุ
่
ึ
ึ
ุ
์
ก. กลุมพัฒนาการนยม จัดอทยานการศกษาเพื่อปญหาการขาดแคลนวัสด อปกรณ อาคาร
ุ
ั
ุ
ิ
่
ี
ี
ุ
่
่
ี
ึ
็
สถานท ส่งแวดล้อมและบคลากรทมความเชยวชาญหายากไว้ในทเดยวกัน โดยจัดเปนสถานศกษาขนาด
ี
ี
ี่
ิ
่
ี
ึ
ใหญ่ทสามารถให้การศกษาในหลักสตรทจัดไม่ได้ในโรงเรยนปกต ิ เพราะขาดทรพยากรการศกษา เพื่อ
ู
ั
่
่
ี
ึ
ี
ุ
ึ
ี
ี
เอ้ออ านวยโอกาสทางการศกษาแก่นักศกษา นักเรยนทกระดับชั้น ประชาชนทั่วไปทั้งใน และนอกเวลาเรยน
ื
ึ
ปกต เปนการตอบสนองต่อการให้การศกษาทั้งในระบบ นอกระบบ และการศกษาตลอดชวิต
ึ
ี
็
ึ
ิ
ุ
ุ
ั
่
ึ
่
์
ข. กลุมมนุษยนยม มการจัดอทยานการศกษาเพือแก้ปญหาการขาดแคลนวัสด อปกรณ อาคาร
ี
ุ
ิ
ี่
่
ุ
ี
ิ
ิ
ี
ี
ี
ุ
ี
่
่
สถานท ส่งแวดล้อมและบคลากรทมความเชยวชาญ หายากไว้ในทเดยวกันคล้ายกับกล่มพิพัฒนาการนยม
่
ี
่
ุ
แต่ในอทยานการศกษาของกล่มมนษยนยม เน้นให้มส่วนบรเวณทร่มรนเปนทพักผ่อนแก่ผู้ใช้อทยาน
ี
่
ื
็
ุ
ุ
ิ
ี
ิ
ึ
ุ
การศกษาเพิ่มข้นอกส่วนหนง
ี
่
ึ
ึ
ึ
ความสาคัญของอุทยานการศกษา
ึ
ี
ุ
อทยานการศกษามความส าคัญ ดังน้ ี
ึ
ิ
ี่
ิ
้
ี
ี
ก. ช่วยสรางความคดรวบยอด การทผู้เรยนมโอกาสได้เหน ได้สัมผัส ได้รบค าแนะน า สาธต
็
ั
ี่
ี
ู
ี
และได้ทดลองด้วยตนเอง ท าให้ผู้เรยนสามารถสรางมโนภาพทถกต้องได้ทันททเหน เช่น การได้ทดลองทอ
้
ี่
็
110
่
ุ
็
ผ้าด้วยกีกระตก ท าให้ผู้เรยนสามารถสรางความคดรวบยอดได้รวดเรวและถกต้องกว่าการอ่านจากเอกสาร
ิ
้
ี
ู
็
เปนต้น
ี
ื
์
ู
์
ู
ข. ให้ประสบการณทเปนรปธรรม การเรยนรประสบการณตรงหรอประสบการณจ าลองใน
็
์
้
ี่
อทยาน การศกษาท าให้สามารถเข้าใจสภาพทจรงแท้ขององค์ความร เช่น การศกษาสถาปตยกรรมของบ้าน
ิ
ี่
ั
ึ
ุ
ู
้
ึ
ทรงไทย และเพนยดคล้องช้างสมัยโบราณ เปนต้น
ี
็
็
่
ึ
ี่
ี
ื
่
ื
ู
่
ิ
้
้
ค. ช่วยสรางความใฝรในเรองอน ๆ เพิ่มข้น จากการทผู้เรยนสามารถสัมผัสและเหนสภาพจรง
ี
่
ิ
ู
้
ึ
ิ
ื่
ี
ื่
ของส่งทต้องการศกษา ท าให้เข้าใจง่าย และไปเสรมแรงจูงใจในการเรยนรเรองอน ๆ ต่อไป
ุ
ุ
ิ
ึ
ง. เปนแหล่งทให้การศกษาต่อเนอง อทยานการศกษาสามารถให้บรการแก่คนทกเพศ ทกวัย ทก
ื่
ุ
ี
ึ
่
็
ุ
้
ี
อาชพ ในรปแบบทหลากหลายทั้งทางด้านการพักผ่อนหย่อนใจ และการท ากิจกรรมการเรยนรส่งต่าง ๆ ทม ี
ิ
ู
ี
่
ู
ี่
ี
ึ
็
ุ
ุ
่
ิ
ึ
ิ
อยู่จ านวนมากมาย ซงล้วนแต่ส่งเสรมการพัฒนาคณภาพชวิตทั้งส้น จงเปนแหล่งททกคนสามารถแสวงหา
ี
ี
่
ิ
ื
่
่
ได้ทกอย่างทตนต้องการอย่างอสระและต่อเนอง
ุ
ี
ึ
รูป อุทยานการศกษารชกาลที 2
่
ั
้
ึ
่
รูป แสดงผูเรยนรอนทองในอุทยานการศกษา
ี
111
็
ิ
ี
่
ุ
ี
ิ
ิ
ี
จ. เปนแหล่งทให้ความเสมอภาคแก่ประชาชนทก ๆ คนมสทธเท่าเทยมกันในการให้บรการของ
็
ุ
อทยานการศกษา ไม่ว่าจะเปนด้านการท ากิจกรรมพัฒนาวิชาชพ การท ากิจกรรมสขภาพ ตามเวลาทต้องการ
ึ
ุ
ี่
ี
จะเรยน
ี
็
ุ
ี
ึ
ึ
ึ
อทยานการศกษากับการจัดกิจกรรมการศกษา อทยานการศกษามลักษณะเปนสวนสาธารณะท ี่
ุ
้
ึ
ิ
่
ึ
จัดสรางข้นเพือส่งเสรมการศกษาตามอัธยาศัย และการพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนกิจกรรมของ
ี่
ื
ุ
การศกษาทส าคัญของอทยานการศกษาม 2 ส่วน คอ
ี
ึ
ึ
่
ี
ื
่
ี
่
ิ
์
ี
ี
็
ุ
ส่วนท 1 เปนส่วนของอทยานทมภมทัศนเขยว สะอาด สงบ ร่มรน สวยงามตามธรรมชาต มสระ
ิ
ี
ู
ี่
น ้า ล าธารต้นไม้ใบหญ้าเขยวชอ่มตลอดป และมอาคารสถานท พรอมทั้งส่งอ านวยความสะดวกในการจัด
้
ุ
ิ
ี
ี
ี
ุ
่
ี
ุ
็
ึ
่
ี
กิจกรรม การศกษาตามอัธยาศัย และการพักผ่อนหย่อนใจของประชาชนทกเพศ ทกวัย พื้นทส่วนทเปน
ี
ึ
่
์
ู
พฤกษชาต มการปลูกและแสดงไม้ดอกและไม้ประดับของไทยไว้ให้สมบูรณครบถ้วน มสวนน ้าซงจัดปลก
ี
ิ
ุ
ิ
บัวทกชนด อาคารสัญลักษณ ศาลาพุ่มข้าวบณฑ์ และอาคารตรศร เปนศูนย์กลางของอทยาน มอาคารไทย
็
ิ
ุ
์
ี
ี
ั
ิ
่
ิ
ื
ุ
ั
สมัยปจจบันส าหรบจัดพิพิธภัณฑ์ นทรรศการ การสาธต และการจัดแสดงเรองต่าง ๆ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่
ื
่
ุ
ี
สวนสขภาพทั้งสวนกายและสวนจต มศาลาส าหรบการนั่งพักผ่อนกระจายอยู่ในบรเวณอทยานและมสอไทย
ั
ิ
ิ
ุ
ี
ื
4 ภาค คอ ภาคเหนอ ภาคตะวันออกเฉยงเหนอ ภาคกลาง และภาคใต้ สรางข้นตามรปแบบของสถาปตยกรรม
้
ื
ื
ั
ึ
ี
ู
่
ื
ิ
่
ในภาคนั้น ๆ รวมทั้งจัดแสดงส่งของ เครองใช้ทมลักษณะเฉพาะของภาคนั้น ๆ ในเรอนไทย ดังกล่าวด้วย
ี
ื
ี
ึ
ี
ึ
่
ส่วนท 2 เปนส่วนของกิจกรรมการศกษาตามอัธยาศัย ซงประกอบด้วย
่
็
ี
์
ิ
1) กิจกรรมส่งเสรมความรเกียวกับชวิตไทย เอกลักษณไทย ศลปวัฒนธรรมไทย วิทยาการ
่
ู
ิ
้
ี
ี
ี
ี
ก้าวหน้าและประยุกต์วิทยาทมผลต่อการด าเนนชวิตของคนไทยโดยส่วนรวมด้วย มการผลต และพัฒนา
ิ
่
ิ
่
ิ
ุ
์
ื
์
เทคโนโลยีการสอสารสมัยใหม่เสนอไว้ในอทยานการศกษา เช่น ภาพยนตร ภาพทัศน์ คอมพิวเตอร มัลตวิชั่น
ึ
ี่
ึ
็
ื่
และสอโสตทัศน์อน ๆ ทแสดงให้เหนถงวิวัฒนาการและการประยุกต์เทคโนโลยี การสอสารในประเทศไทย
ื่
ื่
มการจัดแสดงมหกรรม นทรรศการ และการสาธต ทั้งทจัดประจ าและจัดเปนคร้งคราว ทั้งทเกียวข้องกับ
ี
ี
ิ
ั
่
็
ี
่
่
ิ
ี
็
ึ
ึ
ื
่
การศกษาและเรองทั่วไป เช่น แสดงให้เหนถงวิวัฒนาการด้านวิทยุกระจายเสยง วิทยุโทรทัศน์ โทรศัพท์
ี
ี
็
ื
่
ื่
่
ี
โทรพิมพ์ และการสอสารผ่านดาวเทยม เปนต้น ตลอดจนมการจัดพิพิธภัณฑ์เฉพาะเรอง เฉพาะอย่างทไม่
็
ี
้
ื
ซ ้าซ้อนกับพิพิธภัณฑ์ทจัดกันอยู่แล้ว เช่น พิพิธภัณฑ์ ชวิตไทย และจัดสรางเรอนไทย 4 ภาค เปนต้น
ี
่
ิ
่
2) กิจกรรมส่งเสรมการพักผ่อนและนันทนาการ เพือให้ประชาชนได้ใช้เวลาว่างให้เปน
็
ื
ี
่
ี
ิ
่
ประโยชน์ ได้มสถานทพักผ่อนหย่อนใจทมบรรยากาศร่มรน สงบ สะอาด และปลอดภัย มงานอดเรกท ี่
ี
่
ี
ี
้
ี่
เหมาะสม รวมทั้งได้พัฒนาร่างกายและจตใจให้สมบูรณแข็งแรง โดยการจัดสรางศาลาทพักกระจายไว้ใน
ิ
์
ิ
บรเวณให้มากพอเพือใช้เปนทพักผ่อนหย่อนในวันหยุดของประชาชน จัดตั้งชมรมกล่มผู้สนใจงานอดเรก
ิ
ี
ุ
่
่
็
ต่าง ๆ และเปนศูนย์นัดพบเพือการท างานอดเรกร่วมกัน โดยอทยานการศกษาเปนผู้ประสานส่งเสรมและ
ึ
็
ิ
่
็
ุ
ิ
ิ
ุ
ี
อ านวยความสะดวก นอกจากน้มการจัดสวนสขภาพ ทั้งสวนกายและสวนจต เพื่อให้ผู้มาใช้ประโยชน์ได้มา
ี
ิ
ใช้ออกก าลังกายโดยสภาพธรรมชาต และการพัฒนาสขภาพจต
ุ
ิ
112
่
ิ
3) กิจกรรมส่งเสรมศลปวัฒนธรรมและประเพณอันดงามเกียวกับศลปะพื้นบ้าน การละเล่น
ิ
ิ
ี
ี
ื
ู
ื
ื่
ี่
ี
ู
พื้นบ้าน และงานประเพณในเทศกาลต่าง ๆ ของไทย โดยการเลอกสรรเรองทหาดได้ยาก หรอก าลังจะสญ
ั
์
่
หายมาแสดงเปนคร้งคราว จัดท าภาพยนตรและภาพวีดทัศน์ บันทกเรองต่าง ๆ ล้วนเสนอผ่านเทคโนโลยี
ิ
ื
ึ
็
การสอสารทจัดไว้ในอทยานการศกษา นอกจากน้ยังมการร่วมกับชมชนจัดงานประเพณในเทศกาลต่าง ๆ
ี
ี
ื่
ึ
ี
ุ
ุ
ี่
ุ
ู
ู
ี
ี
ั
่
็
โดยม่งธ ารงรกษารปแบบและวิธการจัดทถกต้องเหมาะสมไว้เปนตัวอย่าง
ี
อทยานแห่งชาต หมายถง พื้นทอันกว้างใหญ่ไพศาล ทประกอบด้วยทรพยากรธรรมชาตทสวยงาม
ั
่
ี่
ิ
ึ
ุ
ี่
ิ
่
็
์
ิ
ี
่
ื
ั
เหมาะส าหรบการพักผ่อนหย่อนใจ เปนแหล่งทอยู่อาศัยของสัตว์ปาหายาก หรอมปรากฏการณธรรมชาตท ี่
ี
ิ
่
อัศจรรย์ อทยานแห่งชาตทส าคัญได้แก่ อทยานแห่งชาตเขาใหญ่ อทยานแห่งชาตภกระดง อทยานแห่งชาต ิ
ี
ุ
ุ
ิ
ุ
ิ
ุ
ึ
ู
ิ
็
ุ
ุ
ตะรเตา อทยานแห่งชาตดอยขุนตาล เปนต้น
ิ
ี
ุ
ึ
อทยานแห่งชาตกับการจัดกิจกรรมการศกษา มดังน้ ี
ก. เปนสถานทศกษาด้านธรรมชาตวิทยา มการรกษาและอนรกษ์สายพันธธรรมชาต ของพืชและ
ิ
็
ิ
ี
ั
ุ
ุ
์
ั
ี่
ึ
ี
่
ื
์
์
ึ
สัตว์ปา ซงเอ้อประโยชนอย่างมหาศาลต่อการจัดกิจกรรมการศกษาด้านเกษตรศาสตร และชววิทยา
ึ
่
ุ
ิ
ั
ื
ุ
ิ
ข. การรกษาส่งแวดล้อมทางธรรมชาตของอทยานแห่งชาตเอ้อต่อการพัฒนาคณภาพกาย และ
ิ
ิ
สขภาพจตของมนษยชาต ิ
ุ
ุ
ุ
ุ
ี
็
ค. ใช้เปนแหล่งนันทนาการเพื่อการพัฒนาคณภาพชวิตของมนษย์
กิจกรรม
ุ
ุ
ให้ผู้เรยนแบ่งกล่ม ๆ ละ 8 - 10 คน แต่ละกล่มวางแผนการค้นคว้า เกียวกับ “ศลปวัฒนธรรมไทย”
่
ิ
ี
้
ู
ื่
ึ
ี
ื
่
ื่
ี่
เรองใดเรองหนง โดยใช้ขอบข่ายเน้อหา จากบทท 2 ว่าผู้เรยนสามารถใช้แหล่งเรยนรใดในการค้นคว้า
ี
ี
ู
้
ี
่
ี
เรยงล าดับอย่างน้อย 3 แหล่ง รวมทั้งบอกเหตผลว่า ท าไมจงใช้แหล่งเรยนรล าดับท 1, 2 และ 3 แล้วรายงาน
ุ
ึ
หน้าชั้น รวมทั้งจัดท าเปนรายการการค้นคว้าส่งคร ู
็
ี
็
้
ื่
้
่
่
่
ื
์
เรองที่ 5 : การใชแหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนต
็
มารูจกอินเทอรเนตกันเถอะ
ั
้
์
์
็
1. อินเทอรเนต (Internet) คืออะไร
ื
ื
์
ถ้าจะถามว่าอนเทอรเนต (Internet) คออะไร คงจะตอบได้ไม่ชัดเจน ว่า คอ 1) ระบบเครอข่าย
ิ
็
ื
คอมพิวเตอร (Computer Network) ขนาดใหญ่ ซงเกิดจากน าเอาคอมพิวเตอรและเครอข่ายคอมพิวเตอรจาก
ื
์
์
่
ึ
์
ื
ื
ี
์
ื
่
ทั่วโลกมาเชอมต่อกันเปนเครอข่ายเดยวกัน โดยใช้ข้อตกลงในการสอสารระหว่างคอมพิวเตอรในเครอข่าย
่
็
ื
หรอใช้ภาษาสอสารหลัก (Protocol) เดยวกัน คอ TCP/IP (Transmission Control Protocol/Internet
ื่
ื
ื
ี
ื
่
ี
่
็
Protocol) 2) เปนแหล่งข้อมูลขนาดใหญ่ ใช้เปนเครองมอในการค้นหาข้อมูลทต้องการได้เกือบทกประเภท
ื
ุ
็
113
ื่
็
ุ
ุ
ื
ื่
ิ
็
ื่
เปนเครองมอสอสารของคนทกชาต ทกภาษาทั่วโลก และ 3) เปนสอ (Media) เผยแพร่ข้อมูลได้หลาย
ิ
ื่
ื่
็
ประเภท เช่น สอส่งพิมพ์, สอโทรทัศน์ สอวิทยุ สอโทรศัพท์ เปนต้น
ื
่
ื่
่
์
2. อินเทอรเนตสาคัญอยางไร
็
เทคโนโลยีสนเทศ (Information Technology) หลายประเทศทั่วโลกก าลังให้ความส าคัญ
ึ
ี
ี
ู
เทคโนโลยีสารสนเทศ หรอเรยกโดยย่อว่า “ไอท (IT) ซงหมายถงความรในวิธการประมวลผล จัดเก็บ
ี
่
ื
ึ
้
์
ี
รวบรวม เรยกใช้ และน าเสนอข้อมูลด้วยวิธการทางอเล็กทรอนกส เครองมอทจ าเปนต้องใช้ส าหรบงานไอท
็
ั
ิ
ื
ี
ี่
ิ
ื่
ี
ุ
่
ื่
คอ คอมพิวเตอร อปกรณสอสาร โทรคมนาคม โครงสรางพื้นฐานด้านการสอสาร ไม่ว่าจะเปนสายโทรศัพท์
้
์
์
ื
็
ื
ิ
ิ
็
ื
์
่
ดาวเทยม หรอเคเบ้ลใยแก้วน าแสง อนเทอรเนตเปนเครองมอส าคัญอย่างหนงในการประยุกต์ใช้ไอท หาก
็
ื
ี
ื
่
ึ
ี
์
็
็
ึ
็
ิ
เราจ าเปนต้องอาศัยข้อมูลข่าวสารในการท างานประจ าวัน อนเทอรเนตจะเปนช่องทางทท าให้เราเข้าถง
่
ี
ั
ี
ื
็
ุ
ข้อมูลข่าวสารหรอเหตการณความเปนไปต่าง ๆ ทั่วโลกทเกิดข้นได้ในเวลา อันรวดเรว ในปจจบันสามารถ
่
์
็
ุ
ึ
็
์
สบค้นข้อมูลได้ง่ายๆ กว่าสออนๆ อนเทอรเนตเปนแหล่งรวบรวมข้อมูล แหล่งใหญ่ทสดของโลก และเปนท ี่
ิ
ื
่
ี
่
ื
็
ื
่
ุ
็
ื
็
์
ื
่
ิ
็
ื
ื
รวมทั้งบรการเครองมอสบค้นข้อมูลหลายประเภท จนกระทั่งกล่าวได้ว่าอนเทอรเนตเปนเครองมอส าคัญ
่
ื
ิ
อย่างหนงในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีสารสนเทศทั้งในระดับบคคลและองค์กร
่
ุ
ึ
ิ
ี
(อ้างองจาก http://www.montfort.ac.th/mcs/dept/computer/Internet/whatinet.html 7 มนาคม 2552)
3. ความหมายของอินเทอรเนต
็
์
อนเทอรเนต (Internet) หมายถง เครอข่ายคอมพิวเตอรขนาดใหญ่ ทมการเชอมต่อระหว่าง
ิ
ื
ี
ึ
่
ื
่
ี
์
์
็
์
ื่
ี
เครอข่ายหลายๆ เครอข่ายทั่วโลก โดยใช้ภาษาทใช้สอกลางกันระหว่างคอมพิวเตอรทเรยกว่า โพรโทรคอล
ื
ี่
ื
่
ี
(Protocol) ผู้ใช้เครอข่ายน้สามารถสอสารถงกันได้ในหลายๆ ทาง อาทเช่น อเมล์ (E-mail), เว็บบอรด (Web
ิ
ี
ี
์
ึ
ื
ื
่
้
bord), แชทรม (Chat room) การสบค้นข้อมูลและข่าวสารต่าง ๆ รวมทั้งคัดลอกแฟมข้อมูลและโปรแกรมมา
ู
ื
ิ
ใช้ได้ (อ้างองจาก http : //th.wikipedai.org/wiki/)
ั
่
็
ี
้
์
็
อินเทอรเนตในลักษณะเปนแหลงเรยนรูสาคัญในโลกปจจุบัน
้
ู
ี
ถ้าจะพูดถงว่าอนเทอรเนตมความจ าเปนและเปนแหล่งเรยนรทส าคัญทสดคงจะไม่ผิดนัก เพราะ
็
ี
่
ุ
ึ
ี
่
ี
ิ
์
็
็
ึ
ุ
ี
เราสามารถใช้ช่องทางน้ท าอะไรได้มากมายโดยทเราก็คาดไม่ถง ซงพอสรปความส าคัญได้ดังน้ ี
่
ี
ึ
่
ื
1. เหตุผลสาคัญทีท าใหแหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนตไดรบความนยมแพรหลาย คอ
่
็
่
่
์
ี
ั
้
้
่
้
ื
ิ
่
่
์
ิ
ี
็
1. การสอสารบนอนเทอรเนตเปนแหล่งเรยนรทไม่จ ากัด ระบบปฏบัตการของเครองคอมพิวเตอร ท ี่
ู
้
่
ี
ื่
ื
็
ิ
ิ
์
ิ
ื
ิ
ิ
ต่างระบบปฏบัตการก็สามารถตดต่อสอสารกันได้
่
็
์
ี
ิ
้
2. แหล่งเรยนรผ่านเครอข่ายอนเทอรเนตไม่มข้อจ ากัดในเรองของระยะทาง ไม่ว่าจะอยู่ภายใน
ื
ู
ี
่
ื
อาคารเดยวกัน ห่างกันคนละมมโลก ข้อมูลก็สามารถส่งผ่านถงกันได้ด้วยเวลารวดเรว
ี
ุ
็
ึ
ี
ู
็
์
ี
ื
็
ี
ึ
3. อนเทอรเนตไม่จ ากัดรปแบบของข้อมูล ซงมได้ทั้งมูลมูลทเปนข้อความอย่างเดยว หรออาจม ี
่
่
ิ
ิ
ี
ิ
ภาพประกอบ รวมไปถงข้อมูลชนดมัลตมเดย คือ มทั้งภาพเคลอนไหวและมเสยงประกอบด้วยได้
ึ
ี
ี
ี
่
ี
ื
114
่
์
ี
้
็
้
2. หนาทีและความสาคัญของแหลงเรยนรูอินเทอรเนต
่
ั
ื่
ึ
ุ
้
ุ
็
้
การสอสารในยุคปจจบันเปนยุคไรพรมแดน การเข้าถงกล่มเปาหมาย จ านวนมาก ๆ ได้ใน
็
็
่
ิ
ุ
่
ี
์
็
็
ิ
ุ
เวลาอันรวดเรว และใช้ต้นทนในการลงทนต า เปนส่งทพึงปรารถนาของทกหน่วยงาน และอนเทอรเนตเปน
ุ
ี
่
ึ
็
่
ื
สอทสามารถตอบสนองต่อความต้องการดังกล่าวได้ จงเปนความจ าเปนททกคนต้องให้ความสนใจและ
ี่
ุ
็
ี
ปรบตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่น้ เพื่อจะได้ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี ดังกล่าวอย่างเต็มท ่ ี
ั
ื
์
ิ
่
ื
็
็
อนเทอรเนตถอเปนระบบเครอข่ายคอมพิวเตอรสากลทเชอมต่อเข้าด้วยกัน ภายใต้
ี
์
่
ื
ื
ื
ื
ี
ื
็
่
ื
่
มาตรฐานการสอสารเดยวกัน เพือใช้เปนเครองมอสอสารและสบค้นสารสนเทศจากเครอข่ายต่าง ๆ ทั่วโลก
่
ื
่
ุ
์
็
็
ิ
ุ
ุ
ดังนั้น อนเทอรเนตจงเปนแหล่งรวมสารสนเทศจากทกมมโลก ทกสาขาวิชา ทกด้าน ทั้งบันเทงและวิชาการ
ึ
ุ
ิ
ุ
ิ
ตลอดจนการประกอบธรกิจต่าง ๆ (อ้างองจาก http://www.srangfun.net/web/ Knowlage/BasicCom/09.htm)
3. ความสาคัญของแหลงเรยนรูอินเทอรเนตกับงานดานตางๆ
้
์
้
่
่
ี
็
ดานการศกษา
้
ึ
ื
็
1. สามารถใช้เปนแหล่งค้นคว้าหาข้อมูล ไม่ว่าจะเปนข้อมูลทางวิชาการ ข้อมูลด้านการเมอง ด้าน
็
การแพทย์ และอน ๆ ทน่าสนใจ
ื่
่
ี
์
ี
่
ุ
็
ิ
ื
2. ระบบเครอข่ายอนเทอรเนตจะท าหน้าทเสมอนเปนห้องสมดขนาดใหญ่
ื
็
ี
3. ผู้ใช้สามารถใช้อนเทอรเนตตดต่อกับแหล่งเรยนรอน ๆ เพือค้นหาข้อมูลทก าลังศกษาอยู่ได้ ทั้งท ่ ี
์
่
่
ิ
้
ึ
่
ู
ื
็
ิ
ี
็
่
็
ี่
ข้อมูลทเปนข้อความ เสยง ภาพเคลอนไหวต่าง ๆ เปนต้น
ื
ี
้
ดานธุรกิจและการพาณิชย ์
ิ
ิ
ุ
ุ
่
1. ในการด าเนนงานทางธรกิจ สามารถค้นหาข้อมูลต่าง ๆ เพือช่วยในการตัดสนใจทางธรกิจ
์
ิ
2. สามารถซ้อขายสนค้าผ่านระบบเครอข่ายอนเทอรเนต
ื
ิ
็
ื
ิ
ื
ิ
ุ
ื
ิ
ู
3. บรษัทหรอองค์กรต่าง ๆ ก็สามารถเปดให้บรการและสนับสนนลกค้าของตนผ่านระบบเครอข่าย
ิ
็
์
ั
อนเทอรเนตได้ เช่น การให้ค าแนะน า สอบถามปญหาต่าง ๆ ให้แก่ลกค้า แจกจ่ายตัวโปรแกรมทดลองใช้
ู
็
(Shareware) หรอโปรแกรมแจกฟร (Freeware) เปนต้น
ี
ื
ดานการบันเทิง
้
์
ื
1. การพักผ่อนหย่อนใจ สันทนาการ เช่น การค้นหาวารสารต่าง ๆ ผ่านระบบเครอข่ายอนเทอรเนต ท ี่
็
ิ
ี
่
เรยกว่า Magazine Online รวมทั้งหนังสอพิมพ์และข่าวสารอน ๆ โดยมภาพประกอบทจอคอมพิวเตอร
์
ี
ื
ี่
ื
ื
เหมอนกับวารสารตามรานหนังสอทั่ว ๆ ไป
้
ื
ั
็
ื
ื่
ี่
ิ
ิ
็
์
์
2. สามารถฟงวิทยุผ่านระบบเครอข่ายอนเทอรเนตได้ อนเทอรเนตได้น ามาใช้เครองมอทจ าเปนส าหรบ
ั
็
ื
ุ
ึ
ี
่
ี
ิ
งานไอท ท าให้เกิดช่องทางในการเข้าถงข้อมูลทรวดเรว ช่วยในการตัดสนใจและบรหารงาน ทั้งระดับบคคล
็
ิ
และองค์กร (อ้างองจาก http://www.geocities.com/edtecthno251/nuntiya/6thml)
ิ
115
์
่
ื
็
่
้
ี
่
3. ความสาคัญของแหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนต
ู
็
็
ี
่
ิ
้
ี
์
ิ
ความส าคัญของข้อมูลแหล่งเรยนรผ่านเครอข่ายอนเทอรเนต เปนส่งทตระหนักกันอยู่เสมอ
ื
่
่
ี
ื
ั
ื
้
1. การจดเก็บขอมูลจากแหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนต ได้ง่ายและสอสารได้รวดเรว การ
่
็
็
์
้
่
ี
จัดเก็บข้อมูลจากแหล่งเรยนรผ่านเครอข่ายอนเทอรเนต ซงอยู่ในรปแบบของสัญญาณอเล็กทรอนกส ผู้เรยน
ิ
ิ
้
์
ู
ู
ื
ึ
์
ิ
็
ี
่
ื่
ึ
สามารถจัดเก็บไว้ในแผ่นบันทกข้อมูล สามารถบันทกได้มากกว่า 1 ล้านตัวอักษร ส าหรบการสอสารข้อมูล
ึ
ั
้
ื
ู
์
ิ
็
์
จากแหล่งเรยนรผ่านเครอข่ายอนเทอรเนตนั้น ข้อมูลสามารถส่งผ่านสัญญาณอเล็กทรอนกส ได้ด้วยอัตรา
ิ
ิ
ี
่
ี
ี
ี
120 ตัวอักษรต่อวินาท และสามารถส่งข้อมูล 200 หน้า ได้ในเวลาเพียง 40 นาท โดยทผู้เรยนไม่ต้องเสยเวลา
ี
ี
้
ี
นั่งปอนข้อมูลเหล่านั้นช้าใหม่อก
้
่
้
2. ความถูกตองของขอมูลจากแหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนต โดยปกตมการส่งข้อมูลด้วย
้
ื
ี
ี
็
่
์
ิ
่
ี
ี
ึ
สัญญาณอเล็กทรอนกสจากจดหนงไปยังจดหนงด้วยระบบดจตอล วิธการรบส่งข้อมูลจะมการตรวจสอบ
ุ
่
ิ
ิ
ึ
่
ิ
ิ
์
ั
ุ
ี
ี
ี
ู
ั
ู
ี
้
ั
สภาพของข้อมูล หากข้อมูลผิดพลาดก็มการรบรและพยายามหาวิธแก้ไขให้ข้อมูลทได้รบมความถกต้อง
่
ี
ู
่
โดยอาจให้ท าการส่งใหม่ กรณทผิดพลาดไม่มาก ผู้รบอาจใช้โปรแกรมของตนแก้ไขข้อมูลให้ถกต้องได้ด้วย
ี
ั
ตนเอง
ิ
็
3. ความรวดเรวของการท างานจากแหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนต โดยปกตสัญญาณทาง
่
้
่
ื
์
ี
็
่
ไฟฟาจะเดนทางด้วยความเรวเท่าแสง ท าให้การส่งผ่านข้อมูลจากแหล่งเรยนรผ่านเครอข่ายอนเทอรเนตจาก
์
็
้
ิ
ู
ิ
ื
้
็
ี
้
ู
ซกโลกหนงสามารถท าได้รวดเรว ถงแม้ว่าข้อมูลจากฐานข้อมูลของแหล่งเรยนรนั้น จะมขนาดใหญ่ก็ตาม
ึ
่
ึ
ี
ี
ี
็
ความรวดเรวของระบบเครอข่ายอนเทอรเนตจะท าให้ผู้เรยนสะดวกสบายอย่างยิ่ง เช่น การท าบัตรประจ าตัว
์
ื
็
็
ี
ิ
ี
่
่
่
ี
ื
ิ
ประชาชน ผู้รบบรการสามารถท าทใดก็ได้ เพราะระบบฐานข้อมูลจะเชอมต่อถงกันได้ทกททั่วประเทศ ท า
ึ
ั
ุ
ิ
ให้เกิดความสะดวกกับประชาชนผู้รบบรการ
ั
็
ื
่
์
่
็
้
4. แหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนตมีตนทุนประหยัด การเชอมต่อคอมพิวเตอรเข้าหากันเปน
ี
่
่
้
์
ื
ื
์
ื
็
ิ
ุ
ื
เครอข่ายเพือรบและส่งหรอส าเนาข้อมูลจากแหล่งเรยนรผ่านเครอข่ายอนเทอรเนต ท าให้ราคาต้นทนของ
ู
ั
้
ี
่
่
ี
ี
ี
ึ
่
่
ื
การใช้ข้อมูลประหยัดมาก เมอเปรยบเทยบกับการจัดส่งแบบอน ซงผู้เรยนสามารถรบและส่งข้อมูลจาก
ื
ั
ิ
้
็
ิ
ู
์
ี
แหล่งเรยนรให้ระหว่างกันผ่านทางสัญญาณอเล็กทรอนกสได้สะดวก รวดเรว และถกต้อง
ู
5. ชอและเลขทีอยูไอพีของแหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนต
่
่
่
้
ื
ื
่
่
็
่
ี
์
่
ุ
คอมพิวเตอรทกเครองทต่ออยู่บนเครอข่ายอนเทอรเนตจะมเลขทอยู่ไอพี (IP address) และแต่ละ
์
ื
ี
ิ
ี
์
่
็
่
ื
ี
็
ื
ี
่
ี
่
เครองทั่วโลกจะต้องมเลขทอยู่ไอพีไม่ซ ้ากัน เลขทอยู่ไอพีน้จะได้รบการก าหนดเปนกฎเกณฑ์ให้แต่ละ
ี
ี
ั
่
่
ื
่
ี
ื
ิ
ี
ื
ิ
ิ
ิ
ิ
ึ
องค์กรน าไปปฏบัตเพื่อ ให้ระบบปฏบัตการเรยกชอง่ายและการบรหารจัดการเครอข่ายท าได้ด จงก าหนดชอ
่
ื
แทนเลขทอยู่ไอพี เรยกว่า โดเมน โดยจะมการตั้งชอส าหรบเครองคอมพิวเตอรแต่ละเครองทอยู่บนเครอข่าย
ี
ื
่
่
์
ี
ี
ี
่
ั
ื
่
ื
ี
ี
่
่
ึ
่
ี
ื
เช่น nfe.go.th ซงใช้แทนเลขทอยู่ไอพี 203.172.142.0 การก าหนดให้มการใช้ ระบบชอโดเมนมการก าหนด
ื
็
รปแบบเปนล าดับชั้น คอ
ู
116
http://www.nfe.go.th
บรการจากอินเทอรเนต
็
์
ิ
ู
ื
ื
ื่
1. การสบค้นข้อมูลความรจากเว็บไซต์ต่าง ๆ เพียงแต่พิมพ์ค าส าคัญจากเน้อหา หรอเรอง ท ี่
ื
้
ื
ื
่
ี
ต้องการค้นคว้าก็จะได้ชอเว็บไซต์จ านวนมาก ผู้เรยนสามารถเลอกหาอ่านได้ตามความต้องการ เช่น กล้วยไม้
ี
ู
ุ
ิ
ึ
ี
ี
ิ
สัตว์สงวน ข่าวด่วนวันน้ ราคาทองค า อณหภมวันน้ อัตราแลกเปลยนเงน ฯลฯ (ผู้เรยน สามารถฝกการใช้
ี่
ื
ุ
้
ู
ื
ิ
์
อนเทอรเนตจากห้องสมดประชาชน หรอเรยนรด้วยตนเองจากหนังสอ)
็
ี
ิ
ิ
์
่
2. ไปรษณย์อเล็กทรอนกส (E-mail) หรอทเรยกกันว่า อเมล์ เปนการตดต่อสอสารด้วย
ี
ี
ี
ื
่
ิ
็
ี
ื
็
ั
็
ิ
ื
ี่
ตัวหนังสอแบบใหม่ แทนจดหมายบนกระดาษ สามารถรบส่งข้อมูลระหว่างกันได้อย่างรวดเรว เปนทนยม
ุ
ในปจจบัน
ั
ิ
็
์
ื
็
3. การสนทนาหรอห้องสนทนา (Chat room) เปนการสนทนาผ่านอนเทอรเนต สามารถ โต้ตอบ
ี
ู
ี
ั
้
ี
กันได้ทันท แลกเปลยนเรยนร ถามตอบปญหาได้หลาย ๆ คนในเวลาเดยวกัน
ี่
ี
4. กระดานข่าว (Web Board) ผู้ใช้สามารถแลกเปลยนข้อมูลข่าวสารต่าง ๆ การให้ข้อเสนอ
่
ข้อคดเหน อภปรายโต้ตอบ ทกคนสามารถเข้าไปให้ข้อคดเหนได้โดยมผู้ให้บรการเปนผู้ตรวจสอบเน้อหา
ิ
็
ิ
ื
ุ
็
ิ
ี
ิ
็
และสามารถลบออกจากข้อมูลได้
ี
์
ิ
5. การโฆษณาประชาสัมพันธหน่วยงานต่าง ๆ จะมเว็บไซต์ให้บรการข้อมูลและ ประชาสัมพันธ ์
ิ
องค์กรหรอหน่วยงาน เราสามารถเข้าไปใช้บรการ เช่น สถานทตั้งของห้องสมด บทบาท ภารกิจของ
่
ื
ุ
ี
ี
ู
่
พิพิธภัณฑ์ สวนสัตว์อยู่ทใดบ้าง แหล่งเรยนรมทใดบ้าง ตารางสอบของนักศกษา กศน. เปนต้น
ี
้
ึ
็
ี
ี
่
117
ิ
ื
ี
6. การอ่านข่าว มเว็บไซต์บรการข่าว เช่น CNN New York Time ตลอดจนข่าวจาก หนังสอพิมพ์
ต่าง ๆ ในประเทศไทย
ิ
ิ
่
ื
ี
ิ
ื
ี
่
ิ
็
7. การอ่านหนังสอ วารสาร และนตยสาร มบรษัททผลตสอส่งพิมพ์จ านวนมากจัดท าเปน
ิ
ิ
ิ
ิ
นตยสารออนไลน์ เช่น นตยสาร MaxPC นตยสาร Interment ToDay นตยสารดฉัน เปนต้น
ิ
็
์
ิ
็
8. การส่งการดอวยพร สามารถส่งการดอวยพรอเล็กทรอนกส หรอ E-Card ผ่าน อนเทอรเนต
์
ิ
ื
์
์
ิ
ี
โดยไม่เสยค่าใช้จ่าย สะดวก รวดเรว
็
ิ
ื
9. การซ้อสนค้าและบรการเปนการซ้อสนค้าออนไลน โดยสามารถเลอกดสนค้าพรอมทั้ง
็
ิ
ื
ื
ิ
้
์
ู
ิ
ื
้
ิ
ุ
ิ
ิ
ิ
ี
ี
คณสมบัตของสนค้า และสั่งซ้อสนค้าพรอมช าระเงนด้วยบัตรเครดตในทันท บรษัทต่าง ๆ จึงมการ โฆษณา
ิ
ิ
็
์
ิ
ิ
ิ
ึ
่
ั
ิ
ิ
ิ
็
ขายสนค้าผ่านอนเทอรเนต เปนการใช้อนเทอรเนตเชงพาณชย์ ซงได้รบความนยมในต่างประเทศมาก
็
์
ี
ื
ิ
ื
็
์
ุ
10. สถานวิทยุและโทรทัศน์บนเครอข่าย ปจจบันสถานวิทยุบนเครอข่ายอนเทอรเนต มหลายรอย
้
ั
ี
ี
ั
ื
ิ
ี
ี
ี
ี
ื
สถาน ผู้ใช้สามารถเลอกสถานและได้ยินเสยงเหมอนการเปดฟงวิทยุ ขณะเดยวกันก็มการส่งกระจายภาพ
ี
่
ี
วิดโอบนเครอข่ายด้วย แต่ยังมปญหาตรงทความเรวของเครอข่ายทยังไม่สามารถรองรบการส่งข้อมูลจ านวน
ื
ั
ี
ี
ี
็
่
ื
ั
ุ
ื
มาก ท าให้คณภาพของภาพไม่ต่อเนอง
่
กิจกรรม
ิ
ึ
ื่
ี
ิ
ี่
ี
ื่
็
ื
์
ให้ผู้เรยนสบค้นข้อมูลจากอนเทอรเนตในเรองทผู้เรยนสนใจ 1 เรอง และบันทกผลการ ปฏบัต ิ
ชอเว็บไซต์ http://www.nfe.go.th
ื่
สรปเน้อหาทได้
ุ
ื
ี
่
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................................
ให้ผู้เรยนศกษาสอในรปเว็บเพจเรองไปรษณย์อเล็กทรอนกสแล้วช่วยกันตอบค าถามต่อไปน้ ี
ื่
ื่
ู
ี
์
ิ
ิ
ี
ึ
์
ื
1. E-mail คออะไรมประโยชนอย่างไร.........................................................................................
ี
……………………………………………………………………………………………….…………........
2. ในการส่ง E-mail มส่วนกรอกข้อมูลต่อไปน้ ี
ี
ั
ช่อง To มไว้ส าหรบ ..................................................................................................................
ี
ช่อง Subject มไว้ส าหรบ...............................................................................................................
ั
ี
ช่อง CC และช่อง BCC มข้อแตกต่างในการใช้งานอย่างไร...........................................................
ี
3. ถ้าต้องการส่งแฟมข้อมูลไปพรอมกับ E-mail จะต้องท าอย่างไร……………………............
้
้
........................................................................................................................................................................
118
ื
่
4. เมอเราได้รบไปรษณย์อเล็กทรอนกสและต้องการท าส าเนาส่งต่อ ท าอย่างไร……………
ั
ี
์
ิ
ิ
.....................................................................................................................................................................
.....................................................................................................................................................................
ิ
็
ี
5. ให้ผู้เรยนสมัครเปนสมาชก เพื่อขอ E-mail Address จากเว็บไซต์ E-mail ใดก็ได้ เช่น
http:www.hotmail.com, yahoo.com thaimail.com gmail.com แล้วเขยนชอ E-mail ของตน
ื่
ี
……………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………….
้
็
์
่
ี
ประโยชน์ โทษ และมารยาทในการใชอินเทอรเนตเปนแหลงเรยนรู ้
็
้
่
ี
1. ประโยชนของแหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนต
์
่
็
ื
์
่
ิ
ื
์
็
ุ
็
ุ
ื
ุ
ี
ี
ึ
ิ
อนเทอรเนตเปรยบเสมอนชมชนเมองแห่งใหม่ของโลก เปนชมชนของคนทั่วมมโลก จงม บรการ
ี
ี
ึ
่
ึ
็
ต่าง ๆ เกิดข้นใหม่ตลอดเวลา ในทน้จะกล่าวถงประโยชนของอนเทอรเนตหลัก ๆ ดังน้ ี
์
์
ิ
ิ
ี
1.1 ไปรษณย์อเล็กทรอนกส (Electronic mail) หรอ E-mail เปนการส่งจดหมายอเล็กทรอนกส ์
์
ิ
ื
ิ
ิ
็
็
ู
ั
่
ื
่
ี
ิ
ผ่านเครอข่ายอนเทอรเนต โดยผู้ส่งจะต้องส่งข้อความไปยังทอยู่ของผู้รบ ซงเปนทอยู่ในรปแบบของอเมล์
่
ี
็
์
ึ
ี
ื
ี
ั
่
่
่
ั
ี
ี
เมอผู้ส่งเขยนจดหมาย 1 ฉบับ แล้วส่งไปยังทอยู่นั้น ผู้รบจะได้รบจดหมายภายในเวลาไม่กีวินาท แม้จะอยู่
ี
ื
ี
ี
ห่างกันคนละซกโลกก็ตาม นอกจากน้ยังสามารถส่งแฟมข้อมูลหรอไฟล์แนบไปกับอเมล์ได้ด้วย
้
็
็
่
ิ
ู
์
ึ
1.2 การขอเข้าระบบจากระยะไกลหรอเทลเนต (Telnet) เปนการบรการอนเทอรเนตรปแบบ หนง
ิ
ื
็
ี
ี
่
ื
่
ี
ี่
่
ี
โดยทเราสามารถเข้าไปใช้งานคอมพิวเตอรอกเครองหนงทอยู่ไกล ๆ ได้ด้วยตนเอง เช่น ถ้าเราอยู่ทโรงเรยน
์
ึ
่
ท างานโดยใช้อนเทอรเนตของโรงเรยนแล้วกลับไปทบ้าน เรามคอมพิวเตอรทบ้านและต่อ อนเทอรเนตไว้
ี
ิ
ี่
ิ
็
็
์
ี
่
ี
์
์
ี่
่
ี
ี
ี
ี่
ี
เราสามารถเรยกข้อมูลจากทโรงเรยนมาท าทบ้านได้ เสมอนกับเราท างานทโรงเรยนนั่นเอง
ื
ู
ื
ี
ิ
ึ
่
็
1.3 การโอนถ่ายข้อมูล (File Transfer Protocol หรอ FTP) เปนการบรการอกรปแบบหนง ของ
่
ระบบอนเทอรเนต เราสามารถค้นหาและเรยกข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ มาเก็บไว้ในเครองของเราได้ทั้งข้อมูล
์
็
ิ
ี
ื
ื
ู
ประเภทตัวหนังสอ รปภาพ และเสยง
ี
์
ึ
ื
1.4 การสบค้นข้อมูล (Gopher, Archie, World wide Web) หมายถง การใช้เครอข่าย อนเทอรเนต
ิ
ื
็
็
ี
ี
ี
่
ี
ในการค้นหาข่าวสารทมอยู่มากมายแล้วช่วยจัดเรยงข้อมูลข่าวสารหัวข้ออย่างมระบบ เปนเมนท าให้เราหา
ู
ื
ึ
ข้อมูลได้ง่ายหรอสะดวกมากข้น
ี
่
็
ิ
่
็
1.5 การแลกเปลยนข่าวสารและความคดเหน (Usenet) เปนการให้บรการแลกเปลยนข่าวสารและ
ิ
ี
่
ี
็
์
ิ
็
็
แสดงความคดเหนทผู้ใช้บรการอนเทอรเนตทั่วโลกสามารถพบปะกัน แสดงความคดเหนของตน โดยมการ
ิ
ิ
ิ
ี
ื
่
ี
จัดการผู้ใช้เปนกล่มหรอนวกรป (New Group) แลกเปลยนความคดเหนกันเปนหัวข้อต่าง ๆ เช่นเรอง
๊
ื
็
่
็
ิ
็
ิ
ุ
ุ
่
ื
ื
็
ี
ั
ี
ุ
หนังสอ เรองการเล้ยงสัตว์ ต้นไม้ คอมพิวเตอร และการเมอง เปนต้น ปจจบันม Usenet มากกว่า 15,000 กล่ม
์
ุ
ื
ี
ุ
ิ
็
นับเปนเวทขนาดใหญ่ให้ทกคนจากทั่วมมโลกแสดงความคดเหนอย่างกว้างขวาง
ุ
็
119
1.6 การสอสารด้วยข้อความ (Chat, IRC-Internet Relay Chat) เปนการพูดคยระหว่างผู้ใช้
ุ
็
ื่
ึ
ื่
่
ี่
ี
่
์
็
็
ิ
ึ
ี
ิ
ี
อนเทอรเนตโดยพิมพ์ข้อความตอบกัน ซงเปนวิธการสอสารทได้รบความนยมมากอกวิธหนง การสนทนา
ั
กันผ่านอนเทอรเนตเปรยบเสมอนเรานั่งอยู่ในห้องสนทนาเดยวกัน แต่ละคนก็พิมพ์ข้อความโต้ตอบกันไป
ิ
ื
ี
็
ี
์
ี
มาได้ในเวลาเดยวกัน แม้จะอยู่คนละประเทศหรอคนละซกโลกก็ตาม
ี
ื
(อ้างองจากhttp://www.geocities.com/useng_9/33.htm 9 มนาคม 2522)
ิ
ี
ื
ิ
1.7 การซ้อขายสนค้าและบรการ (E-Commerce = Electronic Commerce) เปนการจับจ่ายซ้อ
ื
ิ
็
ี
ุ
็
ั
์
์
่
ื
ี
ิ
ิ
ิ
็
ิ
สนค้าและบรการ เช่น ขายหนังสอ คอมพิวเตอร การท่องเทยว เปนต้น ปจจบันมบรษัทใช้ อนเทอรเนต ใน
ุ
็
ิ
ี
ึ
ี
ู
ิ
การท าธรกิจและให้บรการลกค้าตลอด 24 ชั่วโมง ในป พ.ศ. 2540 การค้าขายบนอนเทอรเนตมมูลค่าสงถง 1
์
ู
ี
ุ
แสนล้านบาท และจะเพิ่มเปน 1 ล้านล้านบาท ในอก 5 ปข้างหน้า ซงเปนโอกาสธรกิจแบบใหม่ทน่าสนใจ
ึ
็
่
็
ี
ี
่
ุ
ิ
ุ
และเปดทางให้ทกคนเข้ามาท าธรกรรมไม่มากนัก
ิ
1.8 การให้ความบันเทง (Entertain) ในอนเทอรเนตมบรการด้านความบันเทงในทกรปแบบต่าง ๆ
ิ
ู
ิ
ุ
ิ
็
์
ี
ิ
็
เช่น เกม เพลง รายการโทรทัศน์ รายการวิทยุ เปนต้น เราสามารถเลอกใช้ บรการเพื่อความบันเทง ได้ตลอด
ื
ิ
ิ
24 ชั่วโมง และจากแหล่งต่าง ๆ ทั่วทกมมโลก ทั้งประเทศไทย อเมรกา ยุโรป และ ออสเตรเลย เปนต้น
ุ
ี
ุ
็
ี
ื
่
็
2. โทษของแหลงเรยนรูผานเครอขายอินเทอรเนต
่
่
้
์
็
ี
ี
ทกสรรพส่งในโลกย่อมมทั้งด้านทเปนคณประโยชนและด้านทเปนโทษ เปรยบเสมอน เหรยญทม
ุ
ุ
ิ
ื
่
ี
์
ี่
่
ี
็
ี
ี
ี
ึ
2 ด้านเสมอ ข้นอยู่กับว่าเราจะเลอกใช้อย่างไรให้เกิดผลดต่อเรา ขอยกตัวอย่างโทษทอาจจะเกิดข้นได้จาก
ี
ึ
่
ื
การใช้งานอนเทอรเนต ดังน้ ี
ิ
็
์
2.1 โรคตดอนเทอรเนต (Webaholic) ถ้าจะถามว่าอนเทอรเนตก็เปนส่งเสพตดหรอ ก็คงไม่ใช่ แต่
์
ิ
ิ
็
ิ
ิ
ิ
ื
็
์
็
ี
ื
ุ
ี
็
ี
ถ้าเปรยบเทยบกันแล้วก็คงไม่แตกต่าง หากการเล่นอนเทอรเนตท าให้คณเสยงานหรอแม้แต่ท าลายสขภาพ
์
ิ
ุ
ิ
(อ้างองจาก www.kbyala.ca.th/web-subject/web-tec/pen/my%20web/mywebit7/pan8/word/tot.doc
ี
10 มนาคม 2552)
ู
้
็
์
ิ
็
็
ึ
์
ี
ิ
ุ
2.2 อนเทอรเนตท าให้รสกหมกม่น มความต้องการใช้อนเทอรเนตเปนเวลานานข้น ไม่สามารถ
ึ
็
็
์
ิ
ุ
ึ
้
ิ
ื่
ิ
ิ
ุ
ควบคมการใช้อนเทอรเนตได้ รสกหงดหงดเมอต้องใช้อนเทอรเนตน้อยลงหรอหยุดใช้ อนเทอรเนตเปนวิธ ี
ู
็
์
็
ื
์
ื
ั
ิ
ี
ึ
ื
ี
่
ั
็
ในการหลกเลยงปญหาหรอคดว่าการใช้อนเทอรเนตท าให้ตนเองรสกดข้น หลอกคนในครอบครวหรอเพื่อน
์
้
ู
ี
ึ
ิ
ู
ื่
เรองการใช้อนเทอรเนตของตัวเอง การใช้อนเทอรเนตท าให้เกิดการเสยงต่อการสญเสยงาน การเรยน และ
ิ
ิ
ี
็
์
ี
์
ี
่
็
120
็
์
ิ
ี
ี
ึ
ู
ิ
์
ความสัมพันธ ยังใช้อนเทอรเนตถงแม้ว่าต้องเสยค่าใช้จ่ายมาก มอาการผิดปกต อย่างเช่น หดห่ กระวน
ิ
็
์
์
็
ื่
ิ
ิ
กระวายเมอเลกใช้อนเทอรเนต ใช้เวลาในการใช้อนเทอรเนต นานกว่าทตัวเองได้ตั้งใจไว้
่
ี
ื่
ี
ี
2.3 เรองอนาจารผิดศลธรรม เรองของข้อมูลต่าง ๆ ทมเน้อหาไปในทางขัดต่อศลธรรม ลามก
ื่
ี
่
ี
ื
์
ื
ึ
๊
็
อนาจาร หรอรวมถงภาพโปเปลอยต่าง ๆ นั้นเปนเรองทมมานานพอสมควรแล้วบนโลกอนเทอรเนต แต่ไม่
ื
่
ี
็
ี
ิ
ื
่
ุ
ี
่
ี
ั
็
ื
่
โจ่งแจ้ง เนองจากสมัยก่อนเปนยุคท www ยังไม่พัฒนามากนัก ท าให้ไม่มภาพออกมา แต่ในปจจบันภาพ
เหล่าน้เปนทโจ่งแจ้งบนอนเทอรเนต และส่งเหล่าน้สามารถเข้าส่เดกและเยาวชนได้ง่าย โดยผู้ปกครองไม่
็
ิ
์
ี
ู
็
็
ี
ิ
ี
่
ี่
สามารถทจะให้ความดแลได้เต็มท เพราะว่าอนเทอรเนตนั้นเปนโลกทไรพรมแดน และเปดกว้างท าให้สอ
์
็
่
ี
้
ิ
ี่
ิ
ู
ื่
็
ี
เหล่าน้สามารถเผยแพร่ไปได้รวดเรว จนเราไม่สามารถจับกุมหรอเอาผิดผู้ทท าส่งเหล่าน้ข้นมาได้
ี
่
ี
ื
ึ
็
ิ
ิ
ิ
็
ู
ั
ี
2.4 ไวรส ม้าโทรจัน หนอนอนเทอรเนต และระเบดเวลา ท าให้ข้อมูลทเก็บไว้ถกท าลายหมด
่
์
ุ
ึ
ไวรส เปนโปรแกรมอสระซงจะสบพันธโดยการจ าลองตัวเองให้มากข้นเรอย ๆ เพื่อทจะท าลายข้อมูล หรอ
์
็
ึ
่
ื
ื
่
ี่
ื
ิ
ั
ี
ิ
อาจท าให้เครองคอมพิวเตอรท างานช้าลง โดยการแอบใช้สอยหน่วยความจ า หรอพื้นทว่างบนดสก์ โดย
์
ื
่
ื่
พลการ
ึ
์
้
หนอนอนเทอรเนต ถกสรางข้นโดย Robert Morris, Jr. จนดังกระฉ่อนไปทั่วโลก มันคอ
ื
็
ู
ิ
ุ
่
โปรแกรมทจะสบพันธโดยการจ าลองตัวเองมากข้นเรอย ๆ จากระบบหนง ครอบครองทรพยากร และท าให้
ึ
์
ั
ื
่
ื
่
ึ
ี
ระบบช้าลง
ิ
่
ี
็
ึ
่
ื่
ุ
ระเบดเวลา คือ รหัสซงจะท าหน้าทเปนตัวกระต้นรปแบบเฉพาะของการโจมตนั้น ๆ ท างาน เมอ
ี
ู
่
ึ
ิ
ี
ี
สภาพการโจมตนั้น ๆ มาถง เช่น ระเบดเวลาจะท าลายไฟล์ทั้งหมดในวันท 31 กรกฎาคม 2542
็
่
็
สวนโทษเฉพาะทีเปนภัยตอเด็กมีอยู 7 ประการ บนอนเทอรเนตสามารถจ าแนกออกได้ ดังน้ ี
่
ิ
์
่
่
ื่
ู
่
1. การแพร่สอลามก มทั้งทเผยแพร่ภาพลามกอนาจาร ภาพการสมส่ ภาพตัดต่อลามก
ี
ี
็
ุ
2. การล่อล่วง โดยปล่อยให้เดกและเยาวชนเข้าไปพูดคยกันใน Chat จนเกิดการล่อลวง นัดหมาย
ิ
ไปข่มขนหรอท าในส่งทเลวราย
้
ื
ื
ี
่
ิ
ี
ี
ิ
3. การค้าประเวณ มการโฆษณาเพื่อขายบรการ รวมทั้งชักชวนให้เข้ามาสมัครขายบรการ
ิ
ื่
ื
็
้
4. การขายสนค้าอันตราย มตั้งแต่ยาสลบ ยาปลกเซกซ์ ปน เครองชอตไฟฟา
ี
็
ุ
121
ี
ิ
ิ
5. การเผยแพร่การท าระเบด โดยอธบายขั้นตอนการท างานอย่างละเอยด
ู
6. การพนัน มให้เข้าไปเล่นได้ในหลายรปแบบ
ี
่
ี
ี
ิ
ั
ุ
7. การเล่มเกม มทั้งเกมทรนแรงไล่ฆ่าฟน และเกมละเมดทางเพศ
3. มารยาทในการใชอินเทอรเนตเปนแหลงเรยนรู ้
ี
่
้
็
์
็
็
ี
ุ
ทกวันน้อนเทอรเนตได้เข้ามามบทบาทและส่งผลกระทบต่อชวิตความเปนอยู่ของมนษย์ในแทบ
์
ิ
็
ี
ุ
ี
็
ื
ทกด้าน รวมทั้งได้ก่อให้เกิดประเดนปญหาข้นในสังคม ไม่ว่าในเรองความเปนส่วนตัว ความปลอดภัย
็
ึ
ุ
ั
่
่
ี
ิ
ิ
ื
ี
ึ
่
ี
ื่
ิ
เสรภาพของการพูดอ่านเขยน ความซอสัตย์ รวมถงความตระหนักในเรองพฤตกรรมทเราปฏบัตต่อกันและ
ื่
็
กันในสังคมอนเทอรเนต ในเรองมารยาท หรอจรรยามารยาทบนอนเตอรเนต ซงเปนพื้นททเปดโอกาสให้
ื
์
่
็
ี
ิ
์
่
ิ
่
ิ
็
ึ
ี
็
์
ุ
ื่
ผู้คนเข้ามาแลกเปลยน สอสาร และท ากิจกรรมร่วมกัน ชมชนใหญ่บ้างเล็กบ้างบนอนเทอรเนตนั้นก็ไม่ต่าง
ี่
ิ
ิ
ี
ิ
จากสังคมบนโลกแห่งความเปนจรงทจ าเปนต้องมกฎกตกา (Codes of Conducr) เพื่อใช้เปนกลไกส าหรบ
็
ั
็
็
่
ี
ิ
ู
ิ
การก ากับดแลพฤตกรรมและการปฏสัมพันธของสมาชก
ิ
์
กิจกรรม
ี
ู
ึ
้
ี
ในความคดเหนของผู้เรยนคดว่าจะมวิธการจัดการอย่างไรทจะร เท่าทันถงโทษของแหล่งเรยนร ู ้
ิ
็
ิ
ี
่
ี
ี
ิ
ผ่านเครอข่ายอนเทอรเนต
ื
์
็
(อ้างองจาก http://th.answers.yahoo.com/question/indexMqid=20071130091130A4hQlq 10 มนาคม 2552
ี
ิ
ขนษฐา รจโรจน์ อ้างถงใน http://cc.swu.ac.th/ccnews/content/e1624/e1950/e3918/e3949/indez-th.html
ิ
ุ
ิ
ึ
ี
ิ
ี
มหาวิทยาลัยศรนครนทรวิโรฒ 9 มนาคม 2552)
122
แบบทดสอบ เรอง การใชแหลงเรยนรู ้
ื่
้
่
ี
ระดับมัธยมศกษาตอนปลาย
ึ
1. ข้อใดเปนแหล่งรวบรวมข้อมูลสารสนเทศ มากทสด
็
ุ
ี่
ุ
ก. ห้องสมด
ข. สวนสาธารณะ
์
็
ิ
ค. อนเทอรเนต
ง. อทยานแห่งชาต ิ
ุ
ี
ุ
ี
ื
่
่
ั
ี
2. ห้องสมดประเภทใดทเก็บรวบรวมทรพยากรสารสนเทศทมเน้อหาเฉพาะวิชา
ี
ก. ห้องสมดประชาชน “เฉลมราชกุมาร”
ุ
ิ
ี
ข. ห้องสมดโรงเรยนสวนกุหลาบ
ุ
ุ
ค. ห้องสมดมารวย
ง. ห้องสมดอ าเภอ
ุ
้
ึ
ี
3. แหล่งเรยนร หมายถงข้อใด
ู
ี่
้
ู
ก. สถานทให้ความรตามอัธยาศัย
่
์
ข. แหล่งค้นคว้าเพือประโยชนในการพัฒนาตนเอง
ค. แหล่งรวบรวมความรและข้อมูลเฉพาะสาขาวิชาใดวิชาหนง
ึ
ู
้
่
ง. แหล่งข้อมูลและประสบการณทส่งเสรมให้ผู้เรยนแสวงหาความรและเรยนรด้วยตนเอง
ู
้
์
ี
่
ู
ี
ี
้
ิ
้
ู
ิ
ึ
4. ถ้านักศกษาต้องการรเกียวกับโลกและดวงดาว ควรไปใช้บรการแหล่งเรยนรใด
ู
ี
้
่
ก. ท้องฟาจ าลอง
้
ข. เมองโบราณ
ื
ค. พิพิธภัณฑ์
ุ
ง. ห้องสมด
ื
5. หนังสอประเภทใดทห้ามยืมออกนอกห้องสมด
ุ
ี่
ื่
ก. เรองแปล
ข. หนังสออ้างอง
ื
ิ
ค. นวนยาย เรองสั้น
ิ
่
ื
ั
ง. วรรณกรรมส าหรบเด็ก
123
ี
ุ
ุ
ิ
ิ
ิ
6. เหตใดห้องสมดจงต้องก าหนดระเบยบและข้อปฏบัตในการเข้าใช้บรการ
ึ
่
ิ
ก. เพืออ านวยความสะดวกต่อผู้ใช้บรการ
ข. เพื่อสนองความต้องการแก่ผู้ใช้บรการ
ิ
่
้
็
ี
ุ
ค. เพือให้การบรหารงานห้องสมดเปนไปอย่างเรยบรอย
ิ
็
ง. เพือให้เกิดความเปนธรรมและความเสมอภาคแก่ผู้ใช้บรการ
ิ
่
ู
่
ื
7. การจัดท าค่มอการใช้ห้องสมดเพือให้ข้อมูลเกียวกับห้องสมด เปนบรการประเภทใด
ุ
ิ
็
ุ
่
ิ
ก. บรการข่าวสารข้อมูล
ิ
ข. บรการสอนการใช้ห้องสมด
ุ
ิ
ค. บรการแนะน าการใช้ห้องสมด
ุ
ิ
ง. บรการตอบค าถามและช่วยการค้นคว้า
ุ
ี
ี
ึ
่
8. ความส าคัญของห้องสมดข้อใดทช่วยให้ผู้ใช้บรการมจตส านกทดต่อส่วนรวม
ี
ิ
่
ิ
ี
้
ึ
ก. ช่วยให้รจักแบ่งเวลาในการศกษาหาความร ู ้
ู
ู
ข. ช่วยให้มความรเท่าทันโลกยุคใหม่ตลอดเวลา
้
ี
ั
ี
ค. ช่วยให้มนสัยรกการค้นคว้าหาความรด้วยตนเอง
ิ
้
ู
ิ
ง. ช่วยให้ระวังรกษาทรพย์สน ส่งของของห้องสมด
ั
ั
ุ
ิ
ุ
9. ห้องสมดประเภทใดให้บรการทกเพศ วัย และความร ู ้
ุ
ิ
ก. ห้องสมดเฉพาะ
ุ
ี
ข. ห้องสมดโรงเรยน
ุ
ค. ห้องสมดประชาชน
ุ
ง. ห้องสมดมหาวิทยาลัย
ุ
10. ห้องสมดมารวยเปนห้องสมดประเภทใด
็
ุ
ุ
ก. ห้องสมดเฉพาะ
ุ
ข. ห้องสมดโรงเรยน
ี
ุ
ค. ห้องสมดประชาชน
ุ
ุ
ง. ห้องสมดมหาวิทยาลัย
็
่
ี
็
ี
ู
้
11. ข้อใดเปนแหล่งเรยนรทส าคัญในการท ากิจกรรมทางศาสนาและสอนคนให้เปนคนด ี
ก. วัด
ข. มัสยิด
ค. โบสถ์
ู
ุ
ง. ถกทกข้อ
124
ิ
์
็
ื
ี
ั
ี่
12. ข้อใดต่อไปน้คอประโยชน์ทได้รบจากอนเทอรเนต
ิ
ิ
ก. ส่งจดหมายอเล็กทรอนกส ์
ข. ใช้ค้นหาข้อมูลท ารายงาน
ค. ดาวน์โหลดโปรแกรม
ุ
ู
ง. ถกทกข้อ
ื
13. เว็บไซต์คออะไร
ก. แหล่งรวบเว็บเพจ
่
ข. แหล่งทเก็บรวบรวมข้อมูล
ี
ี
่
ค. ส่วนทช่วยค้นหาเว็บเพจ
์
ง. คอมพิวเตอรเก็บเว็บเพจ
ิ
ี
14. เว็บเพจเปรยบเทยบกับส่งใด
ี
ิ
ก. ล้นชัก
้
ข. แฟมเอกสาร
ค. หนังสอ
ื
ง. หน้าหนังสอ
ื
์
15. ถ้าหากหน้าเว็บเพจโหลดไม่สมบูรณ ต้องแก้ไขอย่างไร
ก. กดปมกากบาท
่
ุ
ุ
ข. กดปม Refresh
่
ุ
่
ี่
์
ิ
ค. คลกเม้าสทปม
ุ
่
่
ี่
ิ
ุ
ง. กดปม Refresh และคลกเม้าส์ทปม
16. E-mail ใดต่อไปน้ได้มาฟร ไม่เสยค่าใช้จ่าย
ี
ี
ี
ก. [email protected]
ข. [email protected]
ค. [email protected]
ี
ง. เสยค่าใช้จ่ายทั้งหมด
ู
์
17. จดหมายฉบับใดต่อไปน้จะถกน าไปเก็บไว้ในโฟลเดอร Junk mail
ี
ก. จดหมายทมการแนบไฟล์ภาพ และไฟล์เอกสารมาพรอมกับจดหมาย
้
ี่
ี
ั
่
ี
ิ
ข. จดหมายทผู้รบได้เปดอ่านเรยบรอยแล้ว และท าการลบท้งไปแล้ว
ี
้
ิ
ี
ู
้
ุ
ี
่
่
ค. จดหมายทมข้อความอวยพรจากบคคลทเราไม่รจัก
ี
ง. จดหมายโฆษณายาลดน ้าหนักจากบรษัทหรอรานขายยา
ื
้
ิ
125
ื
่
ี
ื
18. ในการใช้งาน Hotmail เมอเราลมรหัสผ่าน เราสามารถเรยกค้นรหัสผ่านของเราได้โดยอะไร
ก. Sign-out Name
ข. Sign-in Name
ค. Secret Question
ุ
ู
ง. ถกทกข้อ
แนวค าตอบ
1. ค 2. ค 3. ง 4. ก 5. ข 6. ง 7. ค 8. ง 9. ค
10. ก 11. ง 12. ง 13. ข 14. ง 15. ข 16. ข 17. ง 18. ค
126
บทที่ 3
การจัดการความรู
้
สาระสาคัญ
ุ
ื
ู
้
ื่
็
ื
้
การจัดการความรเปนเครองมอของการพัฒนาคณภาพของงาน หรอสรางนวัตกรรมในการท างาน
การจัดการความรจงเปนการจัดการกับความรและประสบการณทมอยู่ในตัวคน และความรเด่นชัด น ามา
ู
้
็
ู
้
่
ี
ึ
ี
้
ู
์
ั
์
แบ่งปนให้เกิดประโยชนต่อตนเองและองค์กร ด้วยการผสมผสานความสามารถของคนเข้าด้วยกันอย่าง
ี
ี
็
้
เหมาะสม มเปาหมายเพื่อการพัฒนางาน พัฒนาคน และพัฒนาองค์กรให้เปนองค์กรแห่งการเรยนร ู ้
่
้
ี
ผลการเรยนรูทีคาดหวัง
ุ
้
ู
ู
1. ออกแบบผลตภัณฑ์ สรางสตร สรปองค์ความรใหม่ของขอบเขตความร ู ้
้
ิ
2. ประพฤตตนเปนบคคลแห่งการเรยนร ู ้
ี
็
ุ
ิ
3. สรางสรรค์สังคมอดมปญญา
้
ุ
ั
ขอบขายเน้อหา
ื
่
ี่
เรองท 1 ความหมาย ความส าคัญ หลักการ
ื่
เรองท 2 กระบวนการจัดการความร การรวมกล่มเพือต่อยอดความร ู ้
่
ี่
้
ู
ื่
ุ
และการจัดท าสารสนเทศเผยแพร่ความร ู ้
ี่
ื่
เรองท 3 ทักษะกระบวนการจัดการความร ้ ู
127
่
ี
แบบทดสอบกอนเรยน
ั
ื
แบบทดสอบเรองการจดการความรู ้
่
่
ค าช้แจง จงกากบาท X เลอกข้อทท่านคดว่าถกต้องทสด
ี
ื
ี
ู
ี
่
ิ
ุ
ู
ี
้
1. การจัดการความรเรยกสั้น ๆ ว่าอะไร
ก. MK
ข. KM
ค. LO
ง. QA
2. เปาหมายของการจัดการความรคออะไร
้
ู
้
ื
ก. พัฒนาคน
ข. พัฒนางาน
ค. พัฒนาองค์กร
ู
ุ
ง. ถกทกข้อ
ุ
ี่
ู
3. ข้อใดถกต้องมากทสด
ู
ก. การจัดการความรหากไม่ท า จะไม่ร ู ้
้
้
ข. การจัดการความร คอ การจัดการความรของผู้เชยวชาญ
ู
ื
้
ู
ี่
ู
้
ื
็
้
ค. การจัดการความร ถอเปนเปาหมายของการท างาน
ู
้
็
ื
ง. การจัดการความร คอ การจัดการความรทมในเอกสาร ต ารา มาจัดให้เปนระบบ
้
ี่
ู
ี
ู
ู
ุ
ื
ี
4. ขั้นสงสดของการเรยนรคออะไร
้
ก. ปญญา
ั
ข. สารสนเทศ
ค. ข้อมูล
ง. ความร ู ้
5. ชมชนนักปฏบัต (CoP) คออะไร
ื
ิ
ิ
ุ
ก. การจัดการความร ้ ู
ข. เปาหมายของการจัดการความร ู ้
้
ค. วิธการหนงของการจัดการความร ู ้
ี
่
ึ
ิ
ิ
ง. แนวปฏบัตของการจัดการความร ู ้
128
ึ
ู
ู
้
6. รปแบบของการจัดการความรตามโมเดลปลาทู ส่วน “ท้องปลา” หมายถงอะไร
้
ก. การก าหนดเปาหมาย
ี่
ข. การแลกเปลยนเรยนร ้ ู
ี
็
ค. การจัดเก็บเปนคลังความร ้ ู
ง. ความรทชัดแจ้ง
ี่
ู
้
ุ
้
ื
ี
่
่
ี
่
ี
7. ผู้ทท าหน้าทกระต้นให้เกิดการแลกเปลยนเรยนรคอใคร
ู
ี
ุ
ก. คณเอ้อ
ื
ข. คณอ านวย
ุ
ค. คณกิจ
ุ
ิ
ิ
ุ
ง. คณลขต
8. สารสนเทศเพือเผยแพร่ความรในปจจบันมอะไรบ้าง
ั
ี
ุ
้
ู
่
ก. เอกสาร
ข. วีซด ี
ี
ค. เว็บไซต์
ง. ถกทกข้อ
ู
ุ
ุ
9. การจัดการความรด้วยตนเองกับชมชนแห่งการเรยนรมความเกียวข้องกันหรอไม่ อย่างไร
่
ี
ู
้
ื
้
ี
ู
ก. เกียวข้องกัน เพราะการจัดการความรในบคคลหลาย ๆ คน รวมกันเปนชมชน
ู
้
ุ
่
็
ุ
ุ
ี
็
เรยกว่าเปนชมชนแห่งการเรยนร ู ้
ี
่
้
ู
ื
ข. เกียวข้องกัน เพราะการจัดการความรให้กับตนเองก็เหมอนกับจัดการความร ้ ู
ให้ชมชนด้วย
ุ
่
้
ั
ุ
็
ค. ไม่เกียวข้องกัน เพราะจัดการความรด้วยตนเองเปนปจเจกบคคล ส่วนชมชน
ู
ุ
ู
้
็
ื่
แห่งการเรยนรเปนเรองของชมชน
ุ
ี
ู
้
ี
ุ
ุ
ง. ไม่เกียวข้องกัน เพราะชมชนแห่งการเรยนรเปนการเรยนรเฉพาะกล่ม
่
ี
็
้
ู
เฉลย : 1) ข 2) ง 3) ก 4) ก 5) ค 6) ข 7) ข 8) ง 9) ก
129
เรองที่ 1 : แนวคิดเกียวกับการจดการความรู ้
่
ั
ื่
ความหมายของการจดการความรู ้
ั
ู
ู
้
การจัดการ (Management) หมายถง กระบวนการในการเข้าถงความร และการถ่ายทอด ความรท ี่
ึ
้
ึ
ี
ู
ิ
่
้
ิ
ิ
ต้องด าเนนการร่วมกันกับผู้ปฏบัตงาน ซงอาจเร่มต้นจากการบ่งช้ความรทต้องการใช้การสราง และแสวงหา
ิ
่
ี
ึ
้
้
ู
่
ู
้
้
ู
ื
่
่
้
ความร การประมวลเพือกลั่นกรองความร การจัดการความรให้เปนระบบ การสรางช่องทางเพือการสอสาร
็
ี่
้
ิ
ู
กับผู้เกียวข้อง การแลกเปลยนความร การจัดการสมัยใหม่กระบวนการทางปญญา เปนส่งส าคัญในการคด
ั
่
ิ
็
ิ
ึ
ี่
ิ
ตัดสนใจ และส่งผลให้เกิดการกระท า การจัดการจงเน้นไปทการปฏบัต ิ
ี่
ิ
ู
ู
้
้
ู
ิ
็
ความร (Knowledge) หมายถง ความรทควบค่กับการปฏบัต ซงในการปฏบัตจ าเปน ต้องใช้ความร ู ้
ิ
ิ
่
ึ
ึ
ิ
ิ
ุ
ิ
ื่
ทหลากหลายสาขาวิชามาเชอมโยงบูรณาการเพื่อการคดและตัดสนใจ และลงมอปฏบัต จดก าเนดของความร ู ้
ี่
ิ
ื
ิ
้
ู
ี
็
ึ
ี
ู
้
่
็
ั
ื
คอสมองของคน เปนความรทฝงลกอยู่ในสมอง ช้แจงออกมาเปนถ้อยค าหรอ ตัวอักษรได้ยาก ความรนั้นเมอ
ื
่
ื
ิ
น าไปใช้จะไม่หมดไป แต่จะยิ่งเกิดความรเพิ่มพูนมากข้นอยู่ในสมองของผู้ปฏบัต ิ
้
ึ
ู
ื
่
้
ุ
ึ
ในยุคแรก ๆ มองว่า ความร หรอทนทางปญญา มาจากการจัดกระบวนการตความ สารสนเทศ ซง
ี
ั
ู
ิ
ิ
ู
ี
สารสนเทศก็มาจากการประมวลข้อมูล ขั้นของการเรยนร เปรยบดังปรามดตามรป แบบน้ ี
้
ู
ี
ื
ความรูแบงไดเปน 2 ประเภท คอ
่
็
้
้
ื
้
่
ื
ู
ู
็
ิ
ิ
็
ี่
ั
้
่
1. ความรูเดนชด (Explicit Knowledge) เปนความรทเปนเอกสาร ต ารา ค่มอปฏบัตงานสอต่าง ๆ
ิ
ึ
กฎเกณฑ์ กตกา ข้อตกลง ตารางการท างาน บันทกจากการท างาน ความรเด่นชัดจงม ชอเรยกอกอย่างหนงว่า
ี
ี
ึ
ื
ู
ึ
่
่
ี
้
้
ู
“ความรในกระดาษ”
้
ั
้
ู
้
ู
็
ู
้
2. ความรซ่อนเรน / ความรฝงลก (Tacit Knowledge) เปนความรทแฝงอยู่ในตัวคน พัฒนาเปน
ี
ึ
็
่
ี
ื่
ั
ิ
ิ
่
ภูมปญญา ฝงอยู่ในความคด ความเชอ ค่านยม ทคนได้มาจากประสบการณสั่งสมมานาน หรอเปนพรสวรรค์
ื
็
ั
ิ
์
130
ี
ี
ี
่
ี
ิ
่
ื
อันเปนความสามารถพิเศษเฉพาะตัวทมมาแต่ก าเนด หรอเรยกอกอย่างหนงว่า “ความรในคน” แลกเปลยน
ี่
็
ึ
้
ู
ี
้
ู
่
็
ี
ิ
้
ู
้
ู
่
ี
ความรกันได้ยาก ไม่สามารถแลกเปลยนมาเปนความรทเปดเผยได้ทั้งหมด ต้องเกิดจากการเรยนรร่วมกัน
ุ
ื
ี
ู
้
ู
้
็
ผ่านการเปนชมชน เช่นการสังเกต การแลกเปลยนเรยนร ระหว่างการท างาน หากเปรยบความรเหมอนภูเขา
ี่
ี
น ้าแข็ง จะมลักษณะดังน้ ี
ี
่
ี
ี
้
ู
้
ื
ู
ื
ี
่
ี
ส่วนของน ้าแข็งทลอยพ้นน ้า เปรยบเหมอนความรทเด่นชัด คอ ความรทอยู่ในเอกสาร ต ารา ซด วีดโอ หรอ
ี
่
ี
ี
ื
ี่
ี
ี
ู
้
์
สออน ๆ ทจับต้องได้ ความรน้มเพียง 20 เปอรเซนต์
ื่
ื่
็
ื
ิ
ู
ี
ั
ส่วนของน ้าแข็งทจมอยู่ในน ้า เปรยบเหมอนความรทยังฝงลกอยู่ในสมองคน มความรจาก ส่งท ่ ี
ึ
ี
ู
้
่
้
ี
่
ี
ตนเองได้ปฏบัต ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเปนตัวหนังสอให้คนอนได้รบรได้ ความรทฝงลกในตัวคนน้ มี
ั
้
ู
ิ
่
ื
ื
ึ
ิ
้
่
ี
ู
ี
ั
็
ประมาณ 80 เปอรเซนต์
์
็
ความรู 2 ยุค
้
ู
้
้
ู
่
ี
้
่
้
ู
ึ
ความรูยุคที 1 เน้นความรในกระดาษ เน้นความรของคนส่วนน้อย ความรทสรางข้นโดย
้
ี
นักวิชาการทมความช านาญเฉพาะด้าน เรามักเรยกคนเหล่านั้นว่า “ผู้มปญญา” ซงเชอว่าคนส่วนใหญ่ไม่ม ี
ึ
ี่
ั
่
่
ี
ื
ี
้
้
ี่
ู
็
ู
ี
ี
ี่
ั
่
ความร ไม่มปญญา ไม่สนใจทจะใช้ความรของคนเหล่านั้น โลกทัศน์ในยุคท 1 เปนโลกทัศน์ทคับแค้น
ื
์
้
ู
ั
ิ
็
ความรูยุคที 2 เปนความรในคน หรออยู่ในความสัมพันธระหว่างคน เปนการค้นพบ “ภูมปญญา”
็
่
้
ี
ู
่
ึ
ั
้
ุ
์
ุ
้
ู
ี
ทอยู่ในตัวคน ทกคนมความรเพราะทกคนท างาน ทกคนมสัมพันธกับผู้อน จงย่อมมความรทฝงลกในตัวคน
ี
ุ
่
่
ี
ึ
ื
ี
ี
่
ี
้
์
ี่
ี
ู
ึ
่
์
ทเกิดจากการท างาน และการมความสัมพันธกันนั้น เรยกว่า “ความรอันเกิดจากประสบการณ” ซงความรยุคท 2
ู
้
ี
น้มคณประโยชน 2 ประการ คอ ประการแรก ท าให้เราเคารพซงกันและกันต่างก็มความร ประการท 2 ท าให้
ุ
ี
์
้
ู
ื
ี่
ี
ึ
่
131
ุ
ี
่
้
ื
้
่
ี
ื
ี
หน่วยงานหรอองค์กรทมความเชอเช่นน้ สามารถใช้ศักยภาพแฝงของทกคนในองค์กรมาสรางผลงาน สราง
ึ
ี
นวัตกรรมให้กับองค์กร ท าให้องค์กรมการพัฒนามากข้น
การจดการความรู ้
ั
ู
ึ
์
ู
้
การจัดการความร (Knowledge Management) หมายถง การจัดการกับความรและ ประสบการณท ี่
้
ี
ั
ู
ั
์
้
มอยู่ในตัวคนและความรเด่นชัด น ามาแบ่งปนให้เกิดประโยชนต่อตนเองและครอบครว ด้วยการผสมผสาน
ความสามารถของคนเข้าด้วยกันอย่างเหมาะสม มเปาหมายเพื่อการพัฒนางาน พัฒนาคน และพัฒนาองค์กร
ี
้
ี
็
ให้เปนองค์กรแห่งการเรยนร ู ้
ี
ุ
ั
้
่
ึ
ู
ู
ู
ั
็
ในปจจบันและในอนาคต โลกจะปรบตัวเข้าส่การเปนสังคมแห่งการเรยนร ซงความรกลายเปน
้
็
้
็
ั
ปจจัยส าคัญในการพัฒนาคน ท าให้คนจ าเปนต้องสามารถแสวงหาความร พัฒนาและสรางองค์กรความร ู ้
้
ู
็
ิ
ิ
ื
่
ู
ี
ู
อย่างต่อเนอง เพือน าพาตนเองส่ความส าเรจ และน าพาประเทศชาตไปส่การพัฒนา มความเจรญก้าวหน้า
่
และสามารถแข่งขันกับต่างประเทศได้
ุ
ี
้
ู
็
คนทกคนมการจัดการความรในตนเอง แต่ยังไม่เปนระบบ การจัดการความรเกิดข้นได้ใน
ึ
ู
้
ู
ี
้
ิ
ครอบครวทมการเรยนรตามอัธยาศัย พ่อแม่สอนลก ปูย่า ตายาย ถ่ายทอดความรและภมปญญา ให้แก่
ั
้
ู
ู
ู
ั
่
ี
ี่
ุ
ิ
ั
ู
ลกหลานในครอบครว ท ากันมาหลายชั่วอายุคน โดยใช้วิธธรรมชาต เช่นพูดคย สั่งสอน จดจ า ไม่ม ี
ี
ู
็
ี
ื
็
ี
่
้
ู
กระบวนการทเปนระบบแต่อย่างใด วิธการดังกล่าวถอเปนการจัดการความรรปแบบหนง แต่อย่างใดก็ตาม
ึ
่
้
ู
่
ี
ี
ี
ุ
็
ั
โลกในยุคปจจบันมการเปลยนแปลงอย่างรวดเรวในด้านต่าง ๆ การใช้วิธการจัดการ ความรแบบธรรมชาต ิ
่
ี
ึ
ุ
ี่
็
็
อาจก้าวตามโลกไม่ทัน จงจ าเปนต้องมกระบวนการทเปนระบบ เพือช่วยให้องค์กรสามารถท าให้บคคลได้
ใช้ความรตามทต้องการได้ทันเวลา ซงเปนกระบวนการพัฒนาคนให้มศักยภาพ โดยการสรางและใช้ความร ู ้
่
ึ
็
้
ี่
ี
ู
้
ิ
ึ
ิ
ในการปฏบัตงานให้เกิดผลสัมฤทธ์ดข้นกว่าเดม การจัดการ ความรหากไม่ปฏบัตจะไม่เข้าใจเรองการจัดการ
ิ
ิ
ู
ิ
้
่
ื
ิ
ี
ึ
ู
ิ
ึ
้
ู
็
้
้
ความร นั่นคอ “ไม่ท า ไม่ร” การจัดการความรจงเปนกิจกรรมของนักปฏบัต กระบวนการจัดการความรจงม ี
ู
ิ
ู
้
ื
ื
้
่
่
ี
ี
่
ื
ู
้
ลักษณะเปนวงจรเรยนรทต่อเนองสม าเสมอ เปาหมายคอ การพัฒนางานและพัฒนาคน
็
ู
ุ
ิ
้
็
ิ
การจัดการความรทแท้จรง เปนการจัดการความรโดยกล่มผู้ปฏบัตงาน เปนการด าเนนกิจกรรม
ิ
ิ
็
ี่
ู
้
ร่วมกันในกล่มผู้ท างาน เพือช่วยกันดง “ความรในคน” และคว้าความรภายนอกมาใช้ในการท างาน ท าให้
้
้
ู
ุ
ึ
่
ู
ี่
ั
้
ื
ึ
็
ั
ึ
้
่
ู
ได้รบความรมากข้น ซงถอเปนการยกระดับความรและน าความรทได้รบการยกระดับไปใช้ในการท างาน
ู
้
ู
เปนวงจรต่อเนองไม่จบส้น การจัดการความรจงต้องร่วมมอกันท าหลายคน ความคดเหนทแตกต่างในแต่ละ
ื
ื
ิ
ิ
่
้
ึ
ี
ู
็
็
่
ุ
บคคลจะก่อให้เกิดการสรางสรรค์ด้วยการใช้กระบวนการแลกเปลยนเรยนร มปณธานม่งมั่นทจะท างานให้
ิ
ุ
ู
ี
ี
่
้
่
ี
ี
้
ื
ึ
ี
ื
ิ
ิ
็
ประสบผลส าเรจดข้นกว่าเดม เมอด าเนนการจัดการความรแล้วจะเกิดนวัตกรรมในการท างาน นั่นคอ การต่อ
่
ู
้
ู
้
ี
้
ู
ิ
ู
้
ิ
ยอดความร และมองค์ความรเฉพาะเพื่อใช้ในการปฏบัตงานของตนเอง การจัดการความรมใช่การเอาความร ้ ู
ิ
ทมอยู่ในต าราหรอจากผู้ทเชยวชาญมากองรวมกัน และจัดหมวดหมู่ เผยแพร่ แต่เปนการดงเอาความรเฉพาะ
่
ี
ู
้
ี
่
ี
ึ
็
่
ื
ี
ส่วนทใช้ในงานมาจัดการให้เกิดประโยชนกับตนเอง กล่ม หรอชมชน
ุ
ื
์
่
ี
ุ
132
“การจดการความรเปนการเรยนรจากการปฏบัต น าผลจากการปฏบัตมาแลกเปลยนเรยนรกัน
้
ู
ิ
ิ
ู
้
ู
้
ั
ี
ี
็
ี่
ิ
ิ
่
ี
้
ู
ิ
้
ื่
ุ
้
ิ
ี่
เสรมพลังของการแลกเปลยนเรยนรดวยการชนชม ท าใหเปนกระบวนการแหงความสข ความภูมใจ และการ
็
่
ึ่
่
ั
เคารพเหนคณคาซงกันและกัน ทกษะเหลาน้น าไปสการสรางนสยคดบวกท าบวก มองโลก ในแงด และ
ี
ุ
็
ิ
ี
ู
่
้
่
ิ
ั
้
ี
์
้
ี่
้
ั
์
้
่
ู
ื่
ี่
ั
สรางวัฒนธรรมในองคกรทผูคนสมพันธกันดวยเรองราวด ๆ ดวยการแบงปนความร และ แลกเปลยนความร ้ ู
้
ิ
ื่
ี่
ุ
่
ี
ุ
่
์
จากประสบการณซงกันและกัน โดยทกจกรรมเหลาน้สอดคลองแทรกอยูในการท างานประจ าทกเรอง ทก
้
ึ่
เวลา”
ศ.นพ.วจารณ พานช
ิ
ิ
์
ั
ความสาคัญของการจดการความรู ้
่
ี
ุ
้
ู
ื
ี่
้
หัวใจของการจัดการความร คอการจัดการความรทอยู่ในตัวบคคล โดยเฉพาะบคคลทม ี
ู
ุ
ู
ิ
ประสบการณในการปฏบัตงานจนงานประสบผลส าเรจ กระบวนการแลกเปลยนเรยนรระหว่าง คนกับคน
ี
้
็
่
ิ
์
ี
ุ
้
ี
่
ื
หรอกล่มกับกล่ม จะก่อให้เกิดการยกระดับความรทส่งผลต่อเปาหมายของการท างาน นั่นคอ เกิดการพัฒนา
ู
ุ
้
ื
ี
่
ู
ึ
ิ
ี
็
ประสทธภาพของงาน คนเกิดการพัฒนา และส่งผลต่อเนองไปถงองค์กรเปนองค์กรแห่งการเรยนร ผลทเกิด
้
ิ
่
ื
ึ
ี
ข้นกับการจัดการความรจงถอว่ามความส าคัญต่อการพัฒนาบคลากรในองค์กร ซงประโยชนทจะเกิดข้นต่อ
ุ
่
ู
้
ึ
่
์
ึ
ึ
ี
ื
บคคล กล่ม หรอองค์กร มอย่างน้อย 3 ประการ คอ
ื
ุ
ี
ื
ุ
1. ผลสัมฤทธ์ ิของงาน หากมการจัดการความรในตนเอง หรอในหน่วยงาน องค์กร จะเกิด
้
ู
ื
ี
ี
่
ผลส าเรจทรวดเรวยิ่งข้น เนองจากความรเพือใช้ในการพัฒนางานนั้นเปนความรทได้จากผู้ทผ่านการปฏบัต ิ
ี
่
็
็
็
ี
่
ู
้
ิ
่
ึ
้
ู
่
ื
โดยตรง จงสามารถน ามาใช้ในการพัฒนางานได้ทันท จะเกิดนวัตกรรมใหม่ในการท างาน ทั้งผลงานท ่ ี
ี
ึ
เกิดข้นใหม่ และวัฒนธรรมการท างานร่วมกันของคนในองค์กรทมความเอ้ออาทรต่อกัน
ึ
ี
่
ี
ื
้
2. บคลากร การจัดการความรในตนเองจะส่งผลให้คนในองค์กรเกิดการพัฒนาตนเอง และส่ง
ุ
ู
ุ
่
ี
ผลรวมถงองค์กร กระบวนการเรยนรจากการแลกเปลยนความรร่วมกัน จะท าให้บคลากรเกิดความมั่นใจใน
ู
ี
ึ
้
้
ู
็
่
ุ
้
ุ
็
ุ
ี
ตนเอง เกิดความเปนชมชนในหมู่เพือนร่วมงาน บคลากรเปนบคคลเรยนรและส่งผลให้องค์กรเปนองค์กร
็
ู
ี
ู
แห่งการเรยนรอกด้วย
้
ี
ี
ุ
้
้
ุ
3. ยกระดับความรของบคลากรและองค์กร การแลกเปลยนเรยนร จะท าให้บคลากรมความร ู ้
ี่
ู
ู
ี
ุ
ี
่
ื่
ึ
ิ
ึ
เพิ่มข้นจากเดม เหนแนวทางในการพัฒนางานทชัดเจนมากข้น และเมอน าไปปฏบัตจะท าให้บคลากรและ
็
ิ
ิ
้
ิ
องค์กรมองค์ความรเพื่อใช้ในการปฏบัตงานในเรองทสามารถน าไปปฏบัตได้ มองค์ความรทจ าเปนต่อการ
ู
ี
ู
้
็
ี
ี่
ิ
ิ
ี
ิ
ื่
่
ใช้งาน และจัดระบบให้อยู่ในสภาพพรอมใช้
้
133
ี่
้
ี่
ี
็
่
ิ
ู
้
่
ั
้
“การทเรามการจดการความรในตัวเอง จะพบวาความรในตัวเราทคดวาเรามเยอะแลว เปนจรง ๆ
ิ
ี
ู
ื่
่
ื่
ั
ื่
ี
้
ู
ี
้
้
่
ี่
แลว ยังนอยมากเมอเทยบกับบุคคลอน และหากเรามการแบงปนแลกเปลยนความรกับบุคคลอน จะพบวา มี
ู
ิ
้
ึ
ิ
ู
่
่
ิ
้
ี
ความรบางอยางเกดข้นโดยทเราคาดไมถง และหากเราเหนแนวทางมความร แลวไมน าไปปฏบัต ความรนั้น
้
ี่
ู
้
่
ึ
็
้
่
ิ
่
ก็จะไมมคณคาอะไรเลย หากน าความรนั้นไปแลกเปลยน และน าไปสการปฏบัตทเปนวงจรตอเนอง ไมรจบ
ู
็
ี
่
ี่
ื่
ี่
่
ิ
่
ู
้
ู
ุ
ื
ึ
ิ
ั
ี
ี่
้
่
ิ่
ิ่
่
ู
้
้
ิ่
จะเกดความรเพมข้นอยางมาก หรอทเรยกวา “ยงให ยงไดรบ”
ั
หลักการของการจดการความรู ้
ู
ื่
้
ู
ึ
่
ุ
ื่
็
ี
ี
้
การจัดการความร ไม่มสตรส าเรจในวิธการของการจัดการเพื่อให้บรรลเปาหมายในเรองใดเรองหนง
ี
ึ
ื
ุ
ี
่
ุ
แต่ข้นอยู่กับปณธานความม่งมั่นทจะท างานของตนหรอกิจกรรมของกล่มตนให้ดข้นกว่าเดม แล้วใช้วิธการ
ิ
ิ
ี
ึ
ื่
ื
ื
้
ู
็
้
จัดการความรเปนเครองมอหนงในการพัฒนางานหรอสรางนวัตกรรมในงาน มหลักการ ส าคัญ 4 ประการ
ี
่
ึ
ดังน้ ี
่
1. ใหคนหลากหลายทักษะ หลากหลายวิธคิด ท างานรวมกันอยางสรางสรรค การจัดการความร ้ ู
้
ี
์
้
่
ี
ี
ี
ี
ี
ื
ื
ื
่
ุ
ิ
่
่
ี
ี
ทมพลังต้องท าโดยคนทมพื้นฐานแตกต่างกัน มความเชอหรอวิธคดแตกต่างกัน (แต่มจดรวมพลังคอ มี
้
่
ู
้
ุ
ิ
เปาหมายอยู่ทงานด้วยกัน) ถ้ากล่มทด าเนนการจัดการความรประกอบด้วยคน ทคดเหมอน ๆ กัน การจัดการ
่
ื
ี่
ิ
ี
ี
ู
้
ความรจะไม่มพลังในการจัดการความร ความแตกต่างหลากหลาย มคณค่ามากกว่าความเหมอน
ุ
ื
ี
ู
้
ี
่
่
ี
่
ิ
ี
ุ
2. รวมกันพัฒนาวิธการท างานในรูปแบบใหม ๆ เพือบรรลประสทธผลทก าหนดไว้
ิ
่
ประสทธผลประกอบด้วยองค์ประกอบ 4 ประการ คือ
ิ
ิ
ึ
็
่
ั
ิ
2.1 การตอบสนองความต้องการ ซงอาจเปนความต้องการของตนเอง ผู้รบบรการ
ความต้องการของสังคม หรอความต้องการทก าหนดโดยผู้น าองค์กร
ื
ี
่
็
ี
ึ
2.2 นวัตกรรม ซงอาจเปนนวัตกรรมด้านผลตภัณฑ์ใหม่ ๆ หรอวิธการใหม่ ๆ ก็ได้
ิ
ื
่
2.3 ขดความสามารถของบคคล และขององค์กร
ุ
ี
ิ
2.4 ประสทธภาพในการท างาน
ิ
ึ
ี
่
้
ี
้
ู
็
้
3. ทดลองและการเรยนรู เนองจากกิจกรรมการจัดการความรเปนกิจกรรมทสรางสรรค์ จงต้อง
ื่
่
ึ
ี
ิ
ี
ทดลองท าเพียงน้อย ๆ ซงถ้าล้มเหลวก็ก่อผลเสยหายไม่มากนัก ถ้าได้ผลไม่ดก็ยกเลกความคดนั้น ถ้าได้ผลด ี
ิ
ี
่
จงขยายการทดลอง คอ ปฏบัตมากข้น จนในทสดขยายเปนวิธท างานแบบใหม่ หรอทเรยกว่า ได้วิธการ
ี
ิ
ื
ี
ิ
ึ
ึ
่
ี
ุ
ี
็
ื
ี
ปฏบัตทส่งผลเปนเลศ (Best Practice) ใหม่นั่นเอง
ิ
ิ
่
็
ิ
้
4. นาเขาความรูจากภายนอกอยางเหมาะสม โดยต้องถอว่าความรจากภายนอกยังเปนความรท
็
ู
ู
่
้
ี
่
้
้
ื
ิ
ู
“ดบ” อยู่ ต้องเอามาท าให้ “สก” ให้พรอมใช้ตามสภาพของเรา โดยการเตมความรทมตามสภาพของเราลงไป
้
ุ
ี่
ี
้
ิ
่
้
ี
ี
่
จงจะเกิดความรทเหมาะสมกับทเราต้องการใช้
ึ
ู
134
ุ
ึ
่
ิ
ิ
ี
ู
ี
่
หลักการของการจัดการความร จงม่งเน้นไปทการจัดการทมประสทธภาพ เพราะการจัดการ
้
ี
้
ี
่
ู
ื่
ื
้
ู
ู
็
้
ความรเปนเครองมอระดมความรในคน และความรในกระดาษทั้งทเปนความรจากภายนอก และความรของ
้
ู
้
็
ู
ู
ุ
ุ
ู
ึ
กล่มผู้ร่วมงาน เอามาใช้และยกระดับความรของบคคล ของผู้ร่วมงานและขององค์กร ท าให้งานมคณภาพสงข้น
้
ี
ุ
้
็
ู
ู
้
้
ึ
็
ิ
็
ี
ู
ี
ุ
็
คนเปนบคคลเรยนรและองค์กรเปนองค์กรแห่งการเรยนร การจัดการความร จงเปนทักษะสบส่วน เปน
ู
ิ
ู
้
้
ี
ี
ู
ความรเชงทฤษฏเพียงส่วนเดยว การจัดการความรจงอยู่ในลักษณะ “ไม่ท า - ไม่ร”
ึ
้
กิจกรรม
กิจกรรมท 1 ให้อธบายความหมายของ “การจัดการความร” มาพอสังเขป
ิ
่
ู
้
ี
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
ู
้
ี
ิ
่
กิจกรรมท 2 ให้อธบายความส าคัญของ “การจัดการความร” มาพอสังเขป
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
135
ี
่
ู
้
ิ
กิจกรรมท 3 ให้อธบายหลักของ “การจัดการความร” มาพอสังเขป
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
..........................................................................................................................................................
เรองที่ 2 : รูปแบบและกระบวนการในการจดการความรู ้
ื่
ั
1. รูปแบบการจดการความรู ้
ั
้
ี
่
ู
ี
ื
ี
ู
การจัดการความรนั้นมหลายรปแบบ หรอทเรยกกันว่า “โมเดล” มหลากหลายโมเดล หัวใจ ของ
ี
ื
ู
้
ี
่
็
ิ
้
้
ี
ู
การจัดการความร คอ การจัดการความรทอยู่ในตัวคนในฐานะผู้ปฏบัตและเปนผู้มความร การจัดการความร ้ ู
ิ
ู
ู
ทท าให้คนเคารพในศักด์ศรของคนอน การจัดการความรนอกจากการจัดการความรในตนเองเพือให้เกิด
้
ิ
ี
้
ื
่
ู
่
่
ี
ู
การพัฒนางานและพัฒนาตนเองแล้ว ยังมองรวมถงการจัดการความรในกล่มหรอ องค์กรด้วยรปแบบการ
้
ู
ื
ึ
ุ
จัดการความรจงอยู่บนพื้นฐานของความเชอทว่า ทกคนมความรปฏบัตในระดับความช านาญทต่างกัน
ุ
ิ
ื
่
ิ
ู
ี
ี
ึ
้
่
่
ู
้
ี
เคารพความรทอยู่ในตัวคน
ี
ู
้
่
ู
ุ
ู
ื
ื
้
ู
ดร.ประพนธ์ ผาสกยืด ได้คดค้นรปแบบการจัดการความรไว้ 2 รปแบบ คอ รปแบบ ปลาทูหรอท ี่
ู
ิ
ื
็
ี
ี
เรยกว่า “โมเดลปลาทู” และรปแบบปลาตะเพียน หรอทเรยกว่า “โมเดลปลาตะเพียน” แสดงให้เหนถง
ึ
ู
ี
่
ี
ุ
่
ี
ี่
้
ั
รปแบบการจัดการความรในภาพรวมของการจัดการทครอบคลมทั้งความรทชัดแจ้ง และความรทฝงลก
ึ
ู
ู
้
ู
ู
่
้
ดังน้ ี
โมเดลปลาทู
ึ
ู
ี
็
้
ู
ื
่
เพื่อให้การจัดการความร หรอ KM เปนเรองทเข้าใจง่าย จงก าหนดให้การจัดการความร เปรยบ
ี
่
ื
ึ
ื
ี
เหมอนกับปลาทูตัวหนง มส่งทต้องด าเนนการจัดการความรอยู่ 3 ส่วน โดยก าหนดว่า ส่วนหัว คอการ
ื
่
ู
่
ิ
ิ
ี
้
่
ึ
้
่
ี
้
้
ู
ี
่
ู
ก าหนดเปาหมายของการจัดการความรทชัดเจน ส่วนตัวปลาคอการแลกเปลยนความรซงกัน และกัน และ
ื
ู
ื
ส่วนหางปลาคอ ความรทได้รบจากการแลกเปลยนเรยนร ู ้
ี
ี่
ั
้
ี่
136
ู
้
รปแบบการจัดการความร ตาม โมเดลปลาทู
ู
ึ
้
ื
ู
้
่
สวนที่ 1 “หัวปลา” หมายถง “Knowledge Vision” KV คอ เปาหลายของการจัดการความร ผู้ใช้
่
้
้
ุ
่
ู
้
ื
ู
์
ต้องรว่าจะจัดการความรเพือบรรลเปาหมายอะไร เกียวข้องหรอสอดคล้องกับวิสัยทัศนพันธกิจ และ
์
ยุทธศาสตรขององค์กรอย่างใด เช่น จัดการความรเพือเพิ่มประสทธภาพของงาน จัดการความรเพื่อพัฒนา
ู
้
้
่
ิ
ิ
ู
ิ
ิ
ู
้
ี
ู
้
่
ทักษะชวิตด้านยาเสพตด จัดการความรเพือพัฒนาทักษะชวิตด้านส่งแวดล้อม จัดการความรเพื่อพัฒนาทักษะ
ี
ี
ั
ชวิตด้านชวิตและทรพย์สน จัดการความรเพือฟนฟูขนบธรรมเนยม ประเพณ ดั้งเดมของคนในชมชน
ิ
ิ
ี
ี
ี
ุ
้
ู
ื้
่
็
เปนต้น
็
ึ
้
ี
สวนที่ 2 “ตัวปลา” หมายถง “Knowledge Sharing” หรอ KS เปนการแลกเปลยนเรยนร หรอการ
ื
ี่
ื
ู
่
ั
ิ
ิ
็
่
่
ี
ั
ึ
ั
ี่
ู
้
ี่
แบ่งปนความรทฝงลกในตัวคนผู้ปฏบัต เน้นการแลกเปลยนวิธการท างานทประสบผลส าเรจ ไม่เน้นทปญหา
ี
ี
ิ
ึ
ิ
่
ื
ื่
ู
้
ี
เครองมอในการแลกเปลยนเรยนรมหลากหลายแบบ อาท การเล่าเรอง การสนทนาเชงลก การชนชมหรอการ
ื
ี่
ี
ื
ื่
่
ิ
สนทนาเชงบวก เพือนช่วยเพือน การทบทวนการปฏบัตงาน การถอดบทเรยน การถอดองค์ความร ู ้
่
ี
ิ
ิ
ู
ี่
ึ
ื
้
สวนที่ 3 “หางปลา” หมายถง “Knowledge Assets” หรอ KA เปนขุมความรทได้จากการ
็
่
ื
ู
้
แลกเปลยนความร มเครองมอในการจัดเก็บความรทมชวิตไม่หยุดน่ง คอ นอกจากจัดเก็บความร แล้วยังง่าย
ี่
ี
ื
่
้
ู
ื่
้
ี
ี
ี
ิ
ู
้
้
ู
ู
ิ
ในการน าความรออกมาใช้จรง ง่ายในการน าความรออกมาต่อยอด และง่ายในการปรบข้อมูลไม่ให้ล้าสมัย
ั
ี่
ึ
ี
ี
ี
่
ั
่
ส่วนน้จงไม่ใช่ส่วนทมหน้าทเก็บข้อมูลไว้เฉย ๆ ไม่ใช่ห้องสมดส าหรบเก็บสะสม ข้อมูลทน าไปใช้จรง
ิ
ี
ุ
ได้ยาก ดังนั้น เทคโนโลยีการสอสารและสารสนเทศ จงเปนเครองมอจัดเก็บความรอันทรงพลังยิ่งใน
่
ื
ึ
็
ู
้
ื
ื่
กระบวนการจัดการความร ู ้
137
ื
่
่
้
ั
่
ตัวอยางการจดการความรูเรอง “พัฒนากลุมวิสาหกิจชุมชน ในรูปแบบปลาทู
โมเดลปลาตะเพียน
ี
็
จากโมเดล “ปลาทู” ตัวเดยวมาส่โมเดล “ปลาตะเพียน” ทเปนฝูง โดยเปรยบแม่ปลา “ปลาตัวใหญ่” ได้กับ
ี
ู
ี่
้
ี
ี่
วิสัยทัศน์ พันธกิจ ขององค์กรใหญ่ ในขณะทปลาตัวเล็กหลาย ๆ ตัว เปรยบได้กับเปาหมายของการจัดการ
้
ื
ความรทต้องไปตอบสนองเปาหมายใหญ่ขององค์กร จงเปนปลาทั้งฝูงเหมอน “โมบายปลาตะเพียน” ของ
็
ึ
ู
ี
่
้
ี
ี
็
ื
่
ี
็
็
ิ
เล่นเดกไทยสมัยโบราณทผู้ใหญ่สานเอาไว้แขวนเหนอเปลเดก เปนฝูงปลาทหันหน้าไปในทศทางเดยวกัน
่
ี
่
และมความเพียรพยายามทจะว่ายไปในกระแสน ้าทเปลยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ี
ี
่
ี
่
ั
ปลาใหญ่อาจเปรยบเหมอนการพัฒนาอาชพตามแนวทางปรชญาเศรษฐกิจพอเพียง ในชมชนซง
่
ึ
ี
ี
ุ
ื
ึ
ุ
ี
่
การพัฒนาอาชพดังกล่าว ต้องมการแก้ปญหาและพัฒนาร่วมกันไปทั้งระบบเกิดกล่มต่าง ๆ ข้นในชมชนเพือ
ี
ุ
ั
ี
้
ี
ั
การเรยนรร่วมกัน ทั้งการท าบัญชครวเรอน การท าเกษตรอนทรย์ การท าปยหมัก การเล้ยงปลา การเล้ยงกบ
ี
ู
๋
ุ
ี
ื
ิ
ี
138
ั
้
ุ
่
็
ื
ี
หากการแก้ปญหาทปลาตัวเล็กประสบผลส าเรจ จะส่งผลให้ปลาใหญ่หรอ เปาหมายในระดับชมชนประสบ
ผลส าเรจด้วยเช่น นั่นคอ ปลาว่ายไปข้างหน้าอย่างพรอมเพรยงกัน
็
ื
้
ี
ทส าคัญ ปลาแต่ละตัวไม่จ าเปนต้องมรปร่างและขนาดเหมอนกัน เพราะการจัดการความรของ แต่
ี
็
ื
ู
้
ู
ี่
ี
ู
ละเรอง มสภาพของความยากง่ายในการแก้ปญหาทแตกต่างกัน รปแบบของการจัดการความรของแต่ละ
ี
ู
้
ั
ื่
่
ึ
้
่
ี
ี
หน่วยย่อยจงสามารถสรางสรรค์ ปรบให้เข้ากับแต่ละทได้อย่างเหมาะสม ปลาบางตัวอาจมท้องใหญ่ เพราะ
ั
้
ี
็
ู
ี
่
ี
่
่
ื
ี
อาจมส่วนของการแลกเปลยนเรยนรมาก บางตัวอาจเปนปลาทหางใหญ่ เด่นในเรองของการจัดระบบคลัง
ความรเพื่อใช้ในการปฏบัตมา แต่ทกตัวต้องมหัวและตาทมองเหน เปาหมายทจะไปอย่างชัดเจน
้
ิ
่
ุ
ี
ี่
ู
ี
้
็
ิ
็
ุ
ี
ิ
ิ
่
ี
้
ี
ู
้
ู
้
ิ
ู
การจัดการความรได้ให้ความส าคัญกับการเรยนรทเกิดจากการปฏบัตจรง เปนการเรยนรในทก
ี
ขั้นตอนของการท างาน เช่นก่อนเร่มงานจะต้องมการศกษาท าความเข้าใจในส่งทก าลังจะท า จะเปนการ
ึ
ิ
็
ี
่
ิ
ี่
ี
ิ
ึ
ี
้
ื
ื
ู
่
เรยนรด้วยตัวเองหรออาศัยความช่วยเหลอจากเพือนร่วมงาน มีการศกษาวิธการและเทคนคต่าง ๆ ทใช้ได้ผล
่
ุ
ี
ิ
ี
็
้
พรอมทั้งค้นหาเหตผลด้วยว่าเปนเพราะอะไร และจะสามารถน าส่งทได้เรยนรนั้นมาใช้งานทก าลังจะท าน้ได้
ี
ู
่
ี
้
ี
ี
่
ี
อย่างไร ในระหว่างทท างานอยู่เช่นกัน จะต้องมการทบทวนการท างาน อยู่ตลอดเวลา เรยกได้ว่าเปนการ
็
ุ
ี่
ู
ุ
เรยนรทได้จากการทบทวนกิจกรรมย่อยในทก ๆ ขั้นตอน หมั่นตรวจสอบอยู่เสมอว่าจดม่งหมายของงานท ่ ี
้
ุ
ี
ท าอยู่น้คออะไร ก าลังเดนไปถกทางหรอไม่ เพราะเหตใด ปญหาคออะไร จะต้องท าอะไร ให้แตกต่างไปจาก
ื
ื
ุ
ั
ื
ิ
ี
ู
ื
ื
ิ
ิ
ื
ื
เดมหรอไม่ และนอกจากนั้นเมอเสรจส้นการท างานหรอเมอจบโครงการ ก็จะต้องมการทบทวนส่งต่าง ๆ ท ี่
ิ
ี
็
่
่
ู
ี
ได้มาแล้วว่ามอะไรบ้างทท าได้ด มอะไรบ้างทต้องปรบปรงแก้ไขหรอรบไว้เปนบทเรยน ซงการเรยนรตาม
้
ึ
่
ุ
ื
ั
่
ี
ั
ี
ี
ี
ี
ี
็
่
ี่
ู
้
รปแบบปลาทูน้ ถอเปนหัวใจส าคัญของกระบวนการเรยนรทเปนวงจร อยู่ส่วนกลางของรปแบบการจัดการ
ื
ี
ู
็
็
ี
ู
้
ู
ความรนั่นเอง
139
ั
2. กระบวนการจดการความรู ้
ู
ึ
ี่
ึ
่
็
กระบวนการจัดการความร เปนกระบวนการแบบหนงทจะช่วยให้องค์กรเข้าถงขั้นตอน ทท าให้
ี
้
่
ื
ี
้
ู
่
ึ
ู
้
เกิดการจัดการความร หรอพัฒนาการของความรทจะเกิดข้นภายในองค์กร มขั้นตอน 7 ขั้นตอน ดังน้ ี
ี
้
ื
ี
1. การบ่งช้ความร เปนการพิจารณาว่า เปาหมายการท างานของเราคออะไร และเพื่อให้บรรล ุ
็
้
ู
เปาหมายเราจ าต้องรอะไร ขณะน้เรามความรอะไร อยู่ในรปแบบใด อยู่กับใคร
ี
ู
ู
ี
้
้
ู
้
้
้
ู
็
2. การสรางและแสวงหาความร เปนการจัดบรรยากาศและวัฒนธรรมการท างานของคนใน
่
ื
้
ี
้
ู
องค์กรเพือเอ้อให้คนมความกระตอรอรนในการแลกเปลยนความรซงกันและกัน ซงจะก่อให้เกิดการสราง
ึ
ึ
ื
่
ื
่
ี
่
้
่
ความรใหม่เพือใช้ในการพัฒนาอยู่ตลอดเวลา
ู
้
้
้
ู
ู
็
็
3. การจัดการความรให้เปนระบบ เปนการจัดท าสารบัญและจัดเก็บความรประเภทต่าง ๆ
็
ู
เพือให้การเก็บรวบรวมและการค้นหาความร น ามาใช้ได้ง่ายและรวดเรว
้
่
ู
ู
ู
4. การประมวลและกลั่นกรองความร เปนการประมวลความรให้อยู่ในรปเอกสาร หรอ รปแบบ
้
้
ื
ู
็
ั
ื
ุ
ี
ี่
่
อน ๆ ทมมาตรฐาน ปรบปรงเน้อหาให้สมบูรณ ใช้ภาษาทเข้าใจง่ายและใช้ได้ง่าย
ื่
ี
์
์
ึ
่
ื
็
ู
้
้
่
ู
้
ึ
ู
5. การเข้าถงความร เปนการเผยแพร่ความรเพือให้ผู้อนได้ใช้ประโยชน เข้าถงความรได้ง่ายและ
์
ื
์
สะดวก เช่น ใช้เทคโนโลยี เว็บบอรด หรอบอรดประชาสัมพันธ เปนต้น
็
์
ู
็
ี
่
ี
ั
ู
็
6. การแบ่งปนแลกเปลยนความร ท าให้หลายวิธการ หากเปนความรเด่นชัด อาจจัดท าเปน
้
้
ู
้
ู
็
้
็
่
ั
ึ
ี่
ี
เอกสาร ฐานความรทใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ หากเปนความรฝงลกทอยู่ในตัวคน อาจจัดท าเปนระบบ
้
้
ู
ี่
ู
ี
ี่
ี
่
ี
็
แลกเปลยนความรเปนทมข้ามสายงาน ชมชนแห่งการเรยนร พีเล้ยงสอนงาน การสับเปลยนงาน การยืมตัว
ุ
ี
้
ู
ี่
ี
็
เวทแลกเปลยนเรยนร เปนต้น
ึ
ึ
้
7. การเรยนร การเรยนรของบคคลจะท าให้เกิดความรใหม่ ๆ ข้นมากมาย ซงจะไปเพิ่มพูน องค์
ู
่
ู
ี
้
ี
ุ
ู
้
ื
่
ี
ี
้
ู
่
้
้
ู
ึ
ู
ความรขององค์กรทมอยู่แล้วให้มากข้นเรอย ๆ ความรเหล่าน้จะถกน าไปใช้เพือสรางความรใหม่ ๆ เปนวงจร
ี
ู
้
่
็
ี
่
ี
ทไม่ส้นสด เรยกว่าเปน “วงจรแห่งการเรยนร ้ ู
ุ
็
ี
ิ
ั
่
ตัวอยางของการะบวนการจดการความรู ้
้
่
“วิสาหกิจชุมชน” บานทุงรวงทอง
ี
่
1. การบงชความรู ้
้
่
ี
หมู่บ้านท่งรวงทองเปนหมู่บ้านหนงทอยู่ในอ าเภอจน จังหวัดพะเยา จากการทหน่วยงานต่าง ๆ ได้
็
ุ
ุ
ึ
่
่
ี
ิ
ึ
็
ุ
ไปส่งเสรมให้เกิดกล่มต่าง ๆ ข้นในชมชน และเหนความส าคัญของการรวมตัวกัน เพือเกื้อกูล คนในชมชน
ุ
่
ุ
ี
ี
้
ุ
่
ี
ึ
่
ึ
ให้มการพึงพาอาศัยซงกันและกัน จงมเปาหมายจะพัฒนาหมู่บ้านให้เปนวิสาหกิจชมชน จงต้องมการบ่งช้ ี
็
ึ
ี
็
ี
่
ี
็
่
ุ
้
ุ
ความรทจ าเปนทจะพัฒนาหมู่บ้านให้เปนวิสาหกิจชมชน นั่นคอ หาข้อมูลชมชนในประเทศไทยมลักษณะ
ู
ื
ื
ึ
่
ื
ุ
็
เปนวิสาหกิจชมชน และเมอศกษาข้อมูลแล้วท าให้รว่าความรเรองวิสาหกิจ ชมชนอยู่ทไหน นั่นคอ อยู่ท ี ่
ู
้
่
้
ู
ื
ุ
่
ี
ุ
เจ้าหน้าทหน่วยงานราชการทมาส่งเสรม และอยู่ในชมชนทมการท าวิสาหกิจชมชนแล้วประสบผลส าเรจ
็
ี
ิ
ุ
่
ี
ี
ี
่
่
140
้
2. การสรางและแสวงหาความรู ้
ุ
็
ี
่
่
ึ
ี
่
ื
จากการศกษาหาข้อมูลแล้วว่า หมู่บ้านทท าเรองวิสาหกิจชมชนประสบผลส าเรจอยู่ทไหน ได้
ี่
ี
ู
ประสานหน่วยงานราชการ และจัดท าเวทแลกเปลยนเรยนรเพื่อเตรยมการในการไปศกษาดงาน เมอไปศกษา
ี
ื่
ึ
ู
้
ี
ึ
ี่
ู
ึ
ู
ดงานได้แลกเปลยนเรยนร ท าให้ได้รบความรเพิ่มมากข้น เข้าใจรปแบบ กระบวนการ ของการท าวิสาหกิจ
ั
ี
้
ู
ู
้
่
้
ู
ชมชน และแยกกันเรยนรเฉพาะกล่ม เพือน าความรทได้รบมาปรบใช้ในการท าวิสาหกิจชมชนในหมู่บ้าน
้
ู
ี
ุ
ี
่
ั
ั
ุ
ุ
ี
่
ื่
ี
ี
ี
ของตนเอง เมอกลับมาแล้ว มการท าเวทหลายคร้ ัง ทั้งเวทใหญ่ทคนทั้งหมู่บ้านและหน่วยงานหลาย
ุ
ุ
ึ
ี
ิ
ี
หน่วยงานมาให้ค าปรกษาชมชนร่วมกันคด วางแผน และตัดสนใจ รวมทั้งมเวทย่อยเฉพาะกล่ม จากการ
ิ
ู
ี
ั
้
แลกเปลยนเรยนรผ่านเวทชาวบ้านหลายคร้ง ท าให้ชมชนเกิดการพัฒนาในหลายด้าน เช่น ความสัมพันธของ
์
ุ
ี
่
ี
ุ
ั
ิ
คนในชมชน การมส่วนร่วม ทั้งร่วมคด ร่วมวางแผน ร่วมด าเนนการ ร่วมประเมนผล และร่วมรบ
ิ
ิ
ี
่
ี
ผลประโยชนทเกิดข้นในชมชน
ึ
์
ุ
้
ั
็
3. การจดการความรูใหเปนระบบ
้
้
ู
ู
ี
้
็
ุ
ุ
็
้
การท าหมู่บ้านให้เปนวิสาหกิจชมชน เปนความรใหม่ของคนในชมชน ชาวบ้านได้เรยนรไปพรอม ๆ กัน
้
็
มการแลกเปลยนเรยนรกันอย่างเปนทางการและไม่เปนทางการ โดยมส่วนราชการและ องค์กรเอกชนต่าง ๆ
็
ู
ี
่
ี
ี
ี
ี
ิ
ู
ั
ร่วมกันหนนเสรมการท างานอย่างบูรณาการ และจากการถอดบทเรยนหลายคร้ง ชาวบ้านมความรเพิ่มมาก
ุ
ี
้
้
ู
ข้นและบันทกความรอย่างเปนระบบนั่นคอ มความรเฉพาะกล่ม ส่วนใหญ่จะบันทกในรปเอกสาร และมการ
ี
ู
ู
ี
ุ
ึ
ึ
้
ื
ึ
็
ุ
ท าวิจัยจากบคคลภายนอก
่
4. การประมวลและกลันกรองความรู ้
ี
มการจัดท าข้อมูล ซงมาจากการถอดบทเรยน และการจัดท าเปนเอกสารเผยแพร่เฉพาะกล่ม เปน
ี
็
่
็
ุ
ึ
ู
ึ
แหล่งเรยนรให้กับนักศกษา กศน. และนักเรยนในระบบโรงเรยน รวมทั้งมน าข้อมูลมาวิเคราะห เพื่อจัดท า
ี
์
ี
ี
้
ี
เปนหลักสตรท้องถ่นของ กศน. อ าเภอจน จังหวัดพะเยา
ุ
ู
ิ
็
้
5. การเขาถึงความรู ้
ี
ิ
ุ
นอกจากการมข้อมูลในชมชนแล้ว หน่วยงานต่าง ๆ โดยเฉพาะองค์การบรหารส่วนต าบล ได้จัดท า
ี
์
ู
ิ
ึ
็
ข้อมูลเพือให้คนเข้าถงความรได้ง่าย ได้น าข้อมูลใส่อนเตอรเนต และในแต่ละต าบลจะม อนเตอรเนตต าบล
่
็
์
้
ิ
ให้บรการ ท าให้คนภายนอกเข้าถงข้อมูลได้ง่าย และมการเข้าถงความรจากการ แลกเปลยนเรยนร่วมกันจาก
ี
้
ู
ี
ึ
่
ึ
ิ
ี
ู
การมาศกษาดงานของคนภายนอก
ึ
6. การแบงปนแลกเปลี่ยนความรู ้
ั
่
ในการด าเนนงานกล่ม ชมชน ได้มการแลกเปลยนเรยนรกันในหลายรปแบบ ทั้งการไปศกษาดงาน
ู
ี
ิ
ู
ู
่
ี
้
ี
ุ
ุ
ึ
ี
็
ิ
ึ
ิ
ุ
ุ
็
ี่
การศกษาเปนการส่วนตัว การรวมกล่มในลักษณะชมชนนักปฏบัต (CoP) ทแลกเปลยน เรยนร่วมกันทั้งเปน
ี่
ึ
ทางการและไม่เปนทางการ ท าให้กล่มได้รบความรมากข้น และบางกล่มเจอปญหาอปสรรคโดยเฉพาะเรอง
ั
้
็
ู
ุ
ั
่
ื
ุ
ุ
ุ
ุ
ื่
้
ิ
ี
การบรหารจัดการกล่ม ท าให้กล่มต้องมาทบทวนร่วมกันใหม่ สรางความเข้าใจร่วมกัน และเรยนรเรองการ
้
ู
บรหารจัดการจากกล่มอนเพิ่มเตม ท าให้กล่มสามารถด ารงอยู่ได้โดยไม่ล่มสลาย
ิ
่
ื
ุ
ุ
ิ
141
ี
7. การเรยนรู ้
ุ
ี
้
ู
ี
ิ
ุ
ุ
่
ี
กล่มได้เรยนรหลายอย่างจากการด าเนนการวิสาหกิจชมชน การทกล่มมการพัฒนาข้น นั่นแสดงว่า
ึ
้
ุ
ี
ึ
่
ี
ื
ู
กล่มมความรมากข้นจากการลงมอปฏบัตและแลกเปลยนเรยนรร่วมกัน การพัฒนา นอกจากความรทเพิ่มข้น
ิ
ิ
ึ
้
ี
่
ู
ี
ู
้
ุ
ิ
ุ
็
้
่
ู
็
ซงเปนการยกระดับความรของคนในชมชนแล้ว ยังเปนการพัฒนาความคด ของคนในชมชน ชมชนม ี
ุ
ึ
ิ
ี
ึ
่
ิ
ู
่
ี
้
ี
ความคดทเปลยนไปจากเดม มการท ากิจกรรมเพือเรยนรร่วมกันบ่อยข้น มความคดในการพึงพาตนเอง และ
ี่
ี่
ิ
ี
ุ
ุ
ุ
ึ
เกิดกล่มต่าง ๆ ข้นในชมชน โดยการมส่วนร่วมของคนในชมชน
กิจกรรม
ู
ี
1. รปแบบของการจัดการความรมอะไรบ้าง และมลักษณะอย่างไร
ู
ี
้
.........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
่
2. กระบวนการจัดการความรมกีขั้นตอน อะไรบ้าง
ี
ู
้
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
็
ิ
ี
ุ
ี่
ี
ื
ู
3. ให้ผู้เรยนยกตัวอย่างกล่ม หรอชมชนทมการจัดการความรประสบผลส าเรจ และอธบายด้วยว่า
้
ุ
ส าเรจอย่างไร เพราะอะไร
็
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................
........................................................................................................................................................................