พระอารามหลวง เลม่ ๑ พระพอารระาอมาหราลมวหงลว
กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม เล่ม ๑เล่ม
พทุ ธศักราช ๒๕๖๔
กรมการศาสนากรมการศา
กระทรวงวฒั นธกรรระมทรวงวฒั น
พระอำรำมหลวง
เล่ม ๑
กรมก�รศ�สน�
กระทรวงวฒั นธรรม
พระอ�ร�มหลวง เลม่ ๑
ผู้จัดพิมพ์ กรมการศาสนา กระทรวงวัฒนธรรม
พิมพค์ รงั้ ที่ ๑ พ.ศ. ๒๕๕๑ พมิ พจ์ าำ นวน ๓,๐๐๐ เลม่
พมิ พ์ครั้งท่ี ๒ พ.ศ. ๒๕๖๔ พิมพจ์ าำ นวน ๑,๕๐๐ เลม่
ท่ปี รกึ ษ� ๑. นายเกรยี งศกั ด ์ิ บญุ ประสทิ ธ์ ิ อธิบดกี รมการศาสนา
๒. นายสด แดงเอียด ผู้ทรงคุณวฒุ ิ
๓. นายมานัส ทารตั น์ใจ ทป่ี รกึ ษากรมการศาสนา
๔. นายชวลติ ศริ ภิ ิรมย ์ ทป่ี รึกษากรมการศาสนา
คณะทำ�ง�นปรบั ปรุงหนังสือ ครั้งที่ ๒
๑. นายสำารวย นักการเรียน รองอธบิ ดีกรมการศาสนา
๒. นายพจนาถ ปัญญาศลิ ป ผูอ้ ำานวยการกองศาสนูปถัมภ์
๓. นางสาวฐติ มิ า สุภภคั ผูอ้ ำานวยการสำานักพฒั นาคณุ ธรรมจริยธรรม
๔. นางสรุ ีย์ เกาศล เลขานกุ ารกรม
๕. นายโอสธ ี ราษฎร์เรอื ง ผู้อาำ นวยการกองศาสนพิธี
๖. นางสุพตั รา หะยอี บั ดลุ รอมาน นกั วชิ าการศาสนาชำานาญการพเิ ศษ
๗. นายศกั ดเ์ิ พชร ยานะแก้ว นกั วิชาการศาสนาชำานาญการพิเศษ
๘. นายสุรยิ า ววิ ัฒนก์ ิจเลิศ นกั วชิ าการศาสนาชาำ นาญการพเิ ศษ
๙. นายบณุ ยเกียรติ เกยี รติบรรจง นกั วิชาการศาสนาชาำ นาญการพิเศษ
๑๐. นางฉววี รรณ วงค์ศร ี นักวิชาการศาสนาชำานาญการพิเศษ
๑๑. นางสาววรกร สทุ ธพิ งษ ์ นกั วิชาการศาสนาปฏบิ ัติการ
๑๒. นางสาวพิจติ รา นทรี ตั น์ นกั วิชาการศาสนาปฏบิ ตั ิการ
๑๓. นายศุภโชค ภมรสูตร เจ้าหน้าทีด่ ้านศาสนา
ผู้รวบรวมเรยี บเรยี ง นายวิเชยี ร อนันตศิริรัตน์
พมิ พท์ ี่ โรงพิมพ์ชมุ นุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำากดั
๗๙ ถนนงามวงศ์วาน แขวงลาดยาว เขตจตุจกั ร กรงุ เทพมหานคร ๑๐๙๐๐
โทรศัพท ์ ๐-๒๕๖๑-๔๕๖๗ โทรสาร ๐-๒๕๗๙-๕๑๐๑
นายโชคดี ออสุวรรณ ผูพ้ ิมพ์ผู้โฆษณา
ค�ำนำ�
กรมการศาสนา กระทรวงวฒั นธรรม ไดจ้ ดั พมิ พห์ นงั สอื “พระอารามหลวง ครง้ั ท่ี ๑ เมอ่ื ปพี ทุ ธศกั ราช
๒๕๕๑ เป็นการรวบรวมประวัติความเป็นมา สถานะและท่ีตั้ง สิ่งสำ�คัญในพระอารามหลวงทั่วประเทศ
จ�ำ นวน ๒๙๐ พระอาราม โดยแบง่ การจดั พมิ พอ์ อกเปน็ ๒ เลม่ คอื พระอารามหลวง เลม่ ๑ และพระอารามหลวง
เลม่ ๒ เนอ่ื งจากมเี นอ้ื หาจ�ำ นวนมากไมส่ ามารถจะจดั พมิ พ์ใหค้ รบถว้ นภายในเลม่ เดยี วได้ เพราะจะท�ำ ใหห้ นงั สอื
มีความหนามากเกินไป
การจัดพิมพ์หนังสือพระอารามหลวงคร้ังนี้ เป็นการจัดพิมพ์ครั้งท่ี ๒ เนื่องจากมีวัดราษฎร์ท่ีได้รับ
การยกฐานะเปน็ พระอารามหลวงเพิม่ ข้นึ เมอื่ ปพี ุทธศกั ราช ๒๕๕๕ อกี จ�ำ นวน ๒๐ พระอาราม กรมการศาสนา
จึงได้พิจารณาเห็นว่า เพ่ือสนับสนุนภารกิจของกรมการศาสนา และเพื่ออำ�นวยความสะดวกในการศึกษา
คน้ ควา้ อา้ งองิ แก่สว่ นราชการตา่ ง ๆ รวมถงึ บรษิ ทั หา้ งร้าน คณะบคุ คล หรือบคุ คล ในการขอรับผา้ พระกฐิน
พระราชทาน จงึ ไดจ้ ดั ท�ำ ขอ้ มลู ประวตั ขิ องพระอารามหลวงใหค้ รบถว้ นทง้ั ๓๑๐ พระอาราม และจดั พมิ พข์ นึ้ ใหม่
ยังคงประวัติพระอารามหลวง และขอ้ มลู อ่นื ๆ ทม่ี อี ยู่ในการจัดพมิ พค์ รั้งแรกดว้ ย โดยปรับปรุงแก้ไขเพ่มิ เติม
ขอ้ มูลและรูปภาพใหถ้ กู ตอ้ ง โดยแบง่ การจัดพมิ พ์ออกเปน็ ๒ เลม่ เชน่ เดยี วกบั การจัดพิมพ์คร้งั แรก
กรมการศาสนา ขอกราบขอบพระคุณเจ้าอาวาสพระอารามหลวงทั้ง ๒๐ พระอาราม ท่ีได้รับ
การยกฐานะเป็นพระอารามหลวง ท่ีให้ความเมตตาในการตรวจสอบความถูกต้องของประวัติ และขอ
ขอบคุณสำ�นักงานวัฒนธรรมจังหวัดท้ัง ๑๖ จังหวัด ท่ีได้ช่วยประสานงานในการจัดทำ�ประวัติและภาพถ่าย
ของพระอารามหลวงในพ้ืนท่ี ทำ�ให้ได้รับข้อมูลพระอารามหลวงที่ครบถ้วน จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือ
ชุดน้ีจักอำ�นวยประโยชน์แก่หน่วยงานหรือบุคคลท่ีจะขอรับพระราชทานผ้าพระกฐินพระราชทาน
ไปถวาย ณ พระอารามหลวงต่าง ๆ รวมท้ังผู้สนใจให้ได้รับความสะดวกในการค้นคว้าศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับ
พระอารามหลวงเพอ่ื จะไดร้ ว่ มกนั ท�ำ นบุ �ำ รงุ พทุ ธศาสนสถาน ธ�ำ รงรกั ษาสถาบนั ศาสนา และสถาบนั พระมหากษตั รยิ ์
ใหม้ น่ั คงย่งั ยนื สบื ไป
(นายเกรยี งศกั ดิ์ บญุ ประสิทธิ)์
อธบิ ดีกรมการศาสนา
คำ� นำ�
ในการพมิ พ์คร้ังที่ ๑
พระอารามหลวง มีความหมายว่า วัดท่ีพระเจ้าแผ่นดินได้ทรงสร้างหรือทรงบูรณปฏิสังขรณ์
วัดที่มีผู้มีจิตศรัทธาสร้างถวายพระเจ้าแผ่นดิน หรือวัดท่ีได้รับยกฐานะให้เป็นพระอารามหลวง ปัจจุบัน
มีพระอารามหลวงทั้งสิ้น ๒๙๐ พระอาราม ในแต่ละปี พระมหากษัตริย์จะเสด็จไปถวายผ้าพระกฐิน
ยังพระอารามหลวงที่ส�ำคัญ ๑๖ พระอาราม ด้วยพระองค์เอง หรือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
พระบรมวงศานุวงศ์ แทนพระองค์ ส่วนพระอารามหลวงนอกจากนี้จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้
หน่วยงาน บริษัท ห้างร้าน บุคคล น�ำไปถวาย เรียกว่า กฐินพระราชทาน และผู้ที่จะได้เป็นเจ้าภาพ
กฐินพระราชทานจะต้องได้รับพระบรมราชานุญาต โดยจะต้องยื่นแสดงความจ�ำนงไปท่ีกรมการศาสนา
เพื่อกรมการศาสนาจะได้ด�ำเนินการขอพระบรมราชานุญาตเป็นปี ๆ ไป ดังน้ัน ในแต่ละปีจะมีส่วนราชการ
บริษัท ห้างร้าน บุคคล มีจิตศรัทธา ขอรับเป็นเจ้าภาพเพ่ือน้อมน�ำผ้าพระกฐินพระราชทานไปถวายยัง
พระอารามหลวงตา่ ง ๆ เปน็ จ�ำนวนมาก เพอื่ อ�ำนวยความสะดวกในการคน้ ควา้ ขอ้ มลู เกย่ี วกบั พระอารามหลวง
กรมการศาสนาจึงได้รวบรวมประวัติความเป็นมา สถานะและที่ต้ัง ตลอดจนสิ่งส�ำคัญในพระอารามหลวง
ท่ัวประเทศมาจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม แต่เน่ืองจากพระอารามหลวงมีจ�ำนวนมาก ไม่สามารถจะจัดพิมพ์ให้จบ
ภายในเล่มเดียวได้ เพราะจะท�ำให้หนังสือมีขนาดหนามากเกินไปจึงได้แบ่งการจัดพิมพ์เป็น ๒ เล่ม
เรียกว่า พระอารามหลวง เล่ม ๑ และพระอารามหลวง เล่ม ๒ ในตอนท้ายของหนังสือได้น�ำเอาความรู้
เก่ยี วกับกฐินมาลงไว้ เน่ืองจากกฐินและพระอารามหลวงมีความเกี่ยวข้องกนั
การจัดพิมพ์หนังสือพระอารามหลวงของกรมการศาสนาครั้งน้ี มีความจ�ำกัดท้ังเวลาและ
ข้อมูลของพระอารามหลวงต่าง ๆ บางพระอารามได้รับข้อมูลมามากแต่ไม่สามารถจะน�ำมาลงได้ทั้งหมด
บางพระอารามได้รับข้อมูลมาน้อยไม่สามารถจะน�ำมาลงได้ครบถ้วน ดังน้ัน หากข้อมูลของพระอารามใด
ไมค่ รบถ้วนหรือผดิ พลาดในส่วนใด กรมการศาสนาต้องกราบขออภยั มา ณ ทน่ี ี้ หวังเปน็ อยา่ งยงิ่ วา่ ในโอกาส
ต่อไปหากได้จัดพิมพ์ข้ึนอกี กจ็ ะไดป้ รบั ปรงุ แก้ไขข้อมลู ต่าง ๆ ใหม้ คี วามถูกต้องครบถ้วนและสมบรู ณ์ยงิ่ ขึ้น
(นายสด แดงเอียด)
อธบิ ดีกรมการศาสนา
ค�ำช้แี จง
ในการจัดพมิ พค์ รง้ั ท่ี ๒
หนงั สือ “พระอารามหลวง เลม่ ๑ และเลม่ ๒” (พมิ พ์คร้ังที่ ๒) ชดุ นี้ ไดร้ วบรวมประวัติความเป็นมา
สถานะและที่ต้ัง ส่ิงสำ�คัญของพระอารามหลวงท่ัวประเทศ จำ�นวนท้ังส้ิน ๓๑๐ พระอาราม โดยการพิมพ์
คร้ังท่ี ๒ ได้เพิ่มเติมข้อมูลประวัติวัดราษฎร์ที่ได้รับการยกฐานะเป็นพระอารามหลวง ตั้งแต่วันท่ี ๒๙
พฤษภาคม ๒๕๕๕ ตามประกาศราชกิจจานุเบกษา เลม่ ๑๒๙ ตอนที่ ๗๑ ง ลงวนั ท่ี ๕ กรกฎาคม ๒๕๕๕
จ�ำ นวน ๒๐ พระอาราม ดงั นี้
๑. วดั ธาตทุ อง เขตวฒั นา กรงุ เทพมหานคร
๒. วดั ยาง เขตสวนหลวง กรุงเทพมหานคร
๓. วดั เสมยี นนารี เขตจตจุ กั ร กรงุ เทพมหานคร
๔. วดั คูยาง อ�ำ เภอเมืองกำ�แพงเพชร จังหวดั กำ�แพงเพชร
๕. วัดชยั มงคล อ�ำ เภอบางละมงุ จงั หวัดชลบุรี
๖. วดั ชัยสามหมอ อำ�เภอแกง้ คร้อ จังหวัดชยั ภมู ิ
๗. วดั พระธาตุดอยสะเก็ด อ�ำ เภอดอยสะเก็ด จงั หวัดเชียงใหม่
๘. วดั คิรวี ิหาร อำ�เภอเมืองตราด จงั หวดั ตราด
๙. วดั พราหมณี อำ�เภอเมอื งนครนายก จงั หวัดนครนายก
๑๐. วัดชลประทานรงั สฤษด์ิ อ�ำ เภอปากเกรด็ จังหวดั นนทบุรี
๑๑. วัดเซกาเจติยาราม อำ�เภอเซกา จังหวดั บงึ กาฬ
๑๒. วัดชจู ิตธรรมาราม อ�ำ เภอวังน้อย จังหวดั พระนครศรอี ยธุ ยา
๑๓. วัดเพชรวราราม อ�ำ เภอเมอื งเพชรบูรณ์ จังหวัดเพชรบรู ณ ์
๑๔. วัดเมืองยะลา อำ�เภอเมืองยะลา จงั หวดั ยะลา
๑๕. วัดหนองหอย อ�ำ เภอเมอื งราชบรุ ี จงั หวดั ราชบรุ ี
๑๖. วดั มหาพุทธาราม อ�ำ เภอเมืองศรีสะเกษ จังหวัดศรีสะเกษ
๑๗. วดั บางพลีใหญ่ใน อำ�เภอบางพลี จงั หวัดสมทุ รปราการ
๑๘. วดั อาษาสงคราม อำ�เภอพระประแดง จงั หวัดสมุทรปราการ
๑๙. วดั ราษฎรศ์ รทั ธาธรรม อ�ำ เภอศรีนคร จังหวดั สุโขทัย
๒๐. วัดสองพน่ี อ้ ง อำ�เภอสองพนี่ อ้ ง จงั หวัดสุพรรณบุรี
และในท้ายหนงั สือพระอารามหลวง เลม่ ๑ และเลม่ ๒ ได้รวบรวมความรเู้ ร่ือง “กฐิน”
การจัดพิมพ์คร้ังนี้ ได้มีการจัดเรียงลำ�ดับข้อมูลพระอารามหลวงใหม่ทั้งหมด เพื่อความสะดวก
ในการสืบค้น ดังน้ี
๑. เรียงข้อมูลตามลำ�ดับจังหวัด โดยเริ่มต้นจังหวัดที่ ๑ คือ กรุงเทพมหานคร และเรียงรายช่ือ
จังหวดั อน่ื ๆ ตามลำ�ดับพยัญชนะไทย (ก - ฮ)
๒. รายชือ่ พระอารามหลวงในแตล่ ะจังหวดั จะเรียงตามล�ำ ดับพยญั ชนะไทย (ก - ฮ)
๓. กรุงเทพมหานคร ได้เรียงลำ�ดับตามรหัสเขตการปกครองที่ใช้ในราชการ โดยเริ่มต้นเขตที่ ๑
คือ เขตพระนคร เปน็ ตน้ ไป
๔. พระอารามหลวง ๑๘ พระอาราม ซึง่ รับพระกฐินหลวง ไม่ไดแ้ ยกไวต้ ่างหากเหมือนการจัดพิมพ์
ครงั้ แรก แตไ่ ดน้ �ำ ไปเรยี งไวก้ บั พระอารามหลวงอนื่ ในเขตหรอื ในจงั หวดั นน้ั ๆ ตามล�ำ ดบั พยญั ชนะไทย (ก - ฮ)
๕. ข้อมูลและรูปภาพของพระอารามหลวงบางแหง่ ได้มกี ารเพ่ิมเตมิ แก้ไขจากการจดั พิมพ์ครั้งแรก
๖. พระอารามหลวง เลม่ ๑ มปี ระวตั พิ ระอารามหลวง จำ�นวน ๑๔๑ พระอาราม โดยเรยี งล�ำ ดับ
จังหวัดตามพยัญชนะไทยตั้งแต่ ก - ต เร่ิมจากพระอารามหลวงในกรุงเทพมหานคร ลำ�ดับสุดท้ายคือ
จังหวัดตาก
๗. พระอารามหลวง เล่ม ๒ มีประวัติพระรามหลวงจำ�นวน ๑๖๙ พระอาราม โดยเรียงลำ�ดับ
จังหวัดตามพยัญชนะไทยตั้งแต่ น - อ เริ่มจากพระอารามหลวงในจังหวัดนครพนม ลำ�ดับสุดท้ายคือ
จงั หวัดอำ�นาจเจรญิ
สารบัญ
หน้า หนา้
๘๒
คำ�นำ� วัดสุทัศนเทพวราราม ๘๗
ค�ำ ช้ีแจง วดั อินทรวหิ าร ๙๐
บทน�ำ ๑ เขตดสุ ิต จ�ำ นวน ๔ วัด ๙๓
ประวตั กิ ารสร้างวัดในพระพทุ ธศาสนา ๑ วดั เทวราชกุญชร ๙๙
ประวตั ิการสร้างวัดในประเทศไทย ๒ วดั เบญจมบพติ รดุสิตวนาราม ๑๐๒
ประเภทของวัด ๔ วัดราชผาตกิ าราม ๑๐๕
ประวัตวิ ัดหลวงหรอื พระอารามหลวง ๔ วัดราชาธิวาสวิหาร ๑๐๘
วดั ท่ีสมควรไดร้ ับยกฐานะเป็นพระอารามหลวง ๖ เขตบางรกั จ�ำ นวน ๒ วดั ๑๑๑
ลำ�ดบั ชัน้ ของพระอารามหลวง ๖ วดั มหาพฤฒาราม ๑๑๓
พระอารามหลวง จำ�นวน ๑๘ วดั วดั หวั ลำ�โพง ๑๑๕
ที่รับพระกฐินหลวง ๗ เขตบางเขน จำ�นวน ๑ วัด ๑๑๗
ประวตั พิ ระอารามหลวง จำ�นวน ๑๔๑ วัด ๘ วดั พระศรีมหาธาต ุ ๑๒๐
กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ จำ�นวน ๑ วดั ๑๒๓
เขตพระนคร จำ�นวน ๑๙ วดั วัดเทพลีลา ๑๒๘
วัดชนะสงคราม ๙ เขตปทุมวัน จำ�นวน ๒ วัด ๑๓๒
วัดตรีทศเทพ ๑๒ วดั บรมนวิ าส ๑๓๔
วัดเทพธดิ าราม ๑๕ วัดปทมุ วนาราม ๑๓๗
วัดนรนาถสุนทรกิ าราม ๑๘ เขตปอ้ มปราบศัตรูพ่าย จำ�นวน ๓ วดั ๑๓๙
วดั บวรนเิ วศวหิ าร ๒๑ วดั เทพศริ ินทราวาส ๑๔๒
วดั บุรณศิรมิ าตยาราม ๒๙ วัดสระเกศ ๑๔๕
วดั ปรนิ ายก ๓๒ วัดโสมนัสวหิ าร ๑๔๘
วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม ๓๔ เขตพระโขนง จำ�นวน ๑ วดั
วัดมกฏุ กษตั ริยาราม ๔๑ วัดวชิรธรรมสาธติ
วดั มหรรณพาราม ๔๔ เขตสมั พันธวงศ์ จำ�นวน ๖ วดั
วดั มหาธาตุยุวราชรงั สฤษฎ์ิ ๔๗ วัดจักรวรรดิราชาวาส
วดั ราชนดั ดาราม ๕๓ วดั ชยั ชนะสงคราม
วัดราชบพิธสถติ มหาสีมาราม ๕๗ วดั ไตรมิตรวิทยาราม
วัดราชบุรณะ ๖๕ วัดบพติ รพิมุข
วัดราชประดิษฐสถติ มหาสมี าราม ๗๐ วัดปทุมคงคา
วัดสงั เวชวิศยาราม ๗๖ วัดสัมพนั ธวงศาราม
วัดสามพระยา ๗๙
เขตธนบุรี จ�ำ นวน ๙ วดั สารบญั (ตอ่ ) หนา้
วดั กลั ยาณมติ ร
วัดจันทาราม หน้า ๒๑๑
วัดบุปผาราม เขตตลิง่ ชนั จ�ำ นวน ๓ วดั ๒๑๔
วัดประยุรวงศาวาส ๒๑๗
วดั โพธินิมติ รสถิตมหาสมี าราม ๑๕๐ วดั กาญจนสงิ หาสน ์ ๒๒๐
วดั ราชคฤห์ ๑๕๓ วดั ชยั พฤกษมาลา ๒๒๓
วดั เวฬุราชิณ ๑๕๕ วดั รัชฎาธษิ ฐาน ๒๒๖
วดั หริ ัญรูจี ๑๕๘ เขตบางกอกนอ้ ย จำ�นวน ๗ วดั ๒๒๘
วดั อนิ ทาราม ๑๖๐ วดั ชิโนรสาราม ๒๓๒
เขตบางกอกใหญ่ จ�ำ นวน ๗ วดั ๑๖๓ วดั ดสุ ดิ าราม ๒๓๕
วัดเครอื วัลย์ ๑๖๖ วัดพระยาท�ำ ๒๓๗
วัดนาคกลาง ๑๖๙ วดั ระฆังโฆสิตาราม ๒๔๐
วัดโมลโี ลกยาราม ๑๗๒ วัดศรีสุดาราม ๒๔๓
วัดราชสิทธาราม ๒๔๗
วัดสงั ขก์ ระจาย วดั สุวรรณาราม ๒๔๙
วัดหงสร์ ตั นาราม ๑๗๔ วัดอมรนิ ทราราม ๒๕๒
วดั อรุณราชวราราม ๑๗๖ เขตภาษเี จริญ จำ�นวน ๖ วดั ๒๕๖
เขตหว้ ยขวาง จ�ำ นวน ๑ วดั ๑๗๘ วดั คหู าสวรรค ์ ๒๕๙
วัดพระราม ๙ กาญจนาภเิ ษก ๑๘๑ วดั นางชี ๒๖๒
เขตคลองสาน จ�ำ นวน ๕ วดั ๑๘๔ วัดนมิ มานรด ี ๒๖๕
วัดทองธรรมชาต ิ ๑๘๗ วัดนวลนรดิศ ๒๖๘
วัดทองนพคุณ ๑๙๐ วดั ปากนำ�้ ๒๗๑
วดั พชิ ยญาติการาม
วัดเศวตฉตั ร วัดอปั สรสวรรค์
วัดอนงคาราม ๑๙๕ เขตบางพลัด จ�ำ นวน ๕ วัด
วัดคฤหบดี
๑๙๗ วดั ดาวดงึ ษาราม
๒๐๐ วัดบวรมงคล
๒๐๓ วัดภคนิ นี าถ
๒๐๖ วดั อาวธุ วกิ สติ าราม
๒๐๙
เขตสาทร จ�ำ นวน ๑ วดั สารบญั (ตอ่ ) หน้า
วดั ยานนาวา
เขตบางซ่ือ จ�ำ นวน ๑ วดั หนา้ ๓๑๑
วดั สรอ้ ยทอง จังหวดั กระบี่ จ�ำ นวน ๑ วดั ๓๑๓
เขตจตจุ ักร จ�ำ นวน ๑ วดั ๓๑๖
วัดเสมยี นนาร ี ๒๗๔ วดั แก้วโกรวาราม ๓๑๙
เขตบางคอแหลม จ�ำ นวน ๑ วัด จงั หวดั กาญจนบุรี จำ�นวน ๓ วดั ๓๒๒
วัดราชสิงขร ๓๒๕
เขตสวนหลวง จำ�นวน ๑ วดั ๒๗๗ วัดไชยชมุ พลชนะสงคราม ๓๒๘
วดั ยาง วดั เทวสังฆาราม ๓๓๑
เขตจอมทอง จำ�นวน ๓ วดั ๓๓๔
วัดนางนอง ๒๗๙ วัดพระแทน่ ดงรงั ๓๓๗
วดั ราชโอรสาราม จังหวดั กาฬสินธ์ุ จำ�นวน ๑ วดั ๓๓๙
วัดหนงั ๓๔๒
เขตดอนเมอื ง จ�ำ นวน ๑ วัด ๒๘๒ วัดกลาง ๓๔๔
วัดดอนเมือง จงั หวัดกำ�แพงเพชร จำ�นวน ๓ วัด ๓๔๖
เขตวฒั นา จ�ำ นวน ๑ วัด ๓๔๙
วดั ธาตุทอง ๒๘๕ วัดคยู าง ๓๕๒
เขตบางแค จ�ำ นวน ๑ วดั วัดนาควชั รโสภณ ๓๕๕
วัดบุณยประดษิ ฐ์ ๓๕๘
เขตหลักสี่ จำ�นวน ๑ วดั ๒๘๘ วดั พระบรมธาต ุ ๓๖๑
วัดหลกั ส่ี ๒๙๐ จังหวัดขอนแก่น จ�ำ นวน ๓ วดั ๓๖๔
เขตบางนา จำ�นวน ๑ วัด ๒๙๔ วดั ธาตุ ๓๖๗
วัดบางนาใน
วดั ศรีจนั ทร์
๒๙๗ วัดหนองแวง
จงั หวดั จนั ทบุรี จำ�นวน ๒ วัด
๓๐๐ วดั บูรพาพทิ ยาราม
วัดไผ่ลอ้ ม
๓๐๓ จงั หวดั ฉะเชิงเทรา จำ�นวน ๒ วดั
วดั ปิตลุ าธิราชรงั สฤษฎิ ์
๓๐๖ วัดโสธรวราราม
จงั หวดั ชลบุรี จำ�นวน ๖ วัด
๓๐๙ วดั เขาบางทราย
วดั จุฑาทิศธรรมสภาราม
วัดชยั มงคล
วัดญาณสังวราราม
วดั บางพระ
วัดใหญอ่ ินทาราม
สารบัญ (ต่อ)
หนา้ หนา้
จงั หวดั ชยั นาท จำ�นวน ๒ วัด จงั หวัดตรัง จำ�นวน ๒ วดั
วัดธรรมามลู ๓๗๐ วดั กะพงั สุรินทร ์ ๔๓๐
วดั พระบรมธาต ุ ๓๗๒ วัดตนั ตยาภริ ม ๔๓๒
จังหวดั ชัยภมู ิ จำ�นวน ๒ วัด จังหวดั ตราด จ�ำ นวน ๒ วัด
วัดชยั สามหมอ ๓๗๔ วดั คิรีวิหาร ๔๓๔
วัดทรงศิลา ๓๗๖ วัดโยธานิมิต ๔๓๗
จงั หวัดชุมพร จ�ำ นวน ๓ วดั จงั หวัดตาก จ�ำ นวน ๑ วัด
วดั ขันเงิน ๓๗๙ วดั มณีบรรพต ๔๓๙
วัดชุมพรรังสรรค ์ ๓๘๑ ความรู้เรื่อง “กฐนิ ” ๔๔๑
วัดราษฎรบ์ ูรณาราม ๓๘๔ กฐนิ หลวง ๔๔๔
จังหวดั เชียงราย จำ�นวน ๓ วัด กฐินราษฎร์ ๔๔๘
วัดเจด็ ยอด ๓๘๗ บรรณานุกรม ๔๕๙
วดั พระแกว้ ๓๙๐ คำ�สงั่ กรมการศาสนา ที่ ๒๑๙/๒๕๖๔ ๔๖๑
วดั พระสิงห์ ๓๙๓ ค�ำ สง่ั กรมการศาสนา ท่ี ๒๐๘/๒๕๕๑ ๔๖๒
จงั หวัดเชียงใหม่ จ�ำ นวน ๑๐ วัด
วดั เจ็ดยอด ๓๙๖
วัดเจดีย์หลวง ๔๐๑
วัดท่าตอน ๔๐๔
วดั ป่าดาราภิรมย ์ ๔๐๗
วดั พระธาตดุ อยสะเกด็ ๔๑๑
วัดพระธาตุดอยสุเทพ ๔๑๔
วดั พระธาตศุ รีจอมทอง ๔๑๗
วัดพระสงิ ห์ ๔๒๑
วัดศรโี สดา ๔๒๔
วดั สวนดอก ๔๒๗
บทนำ�
วัด คือ ศาสนสถานใช้ประกอบกิจกรรมทางศาสนา ซ่ึงหมายถึงตัวอาคารและปูชนียวัตถุ รวมถึง
บริเวณวัด เพื่อใช้เป็นท่ีอยู่อาศัยของพระสงฆ์และการบ�ำเพ็ญศาสนกิจของพุทธศาสนิกชน ในสมัยพุทธกาล
การประกอบพิธีกรรมหรือกิจกรรมทางศาสนา ไม่จ�ำเป็นต้องมีอาคารแบบถาวร เพียงแต่ก�ำหนดขอบเขต
หรือใช้สถานท่ีที่มีอยู่ตามธรรมชาติ หรืออาคารท่ีมีอยู่แล้วตามสภาพความจ�ำเป็น และความเหมาะสม
ต่อสถานการณ์ คร้ันเมื่อพระพุทธศาสนาได้รับการยอมรับนับถือกันแพร่หลาย มีพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา
มากข้ึน มีผู้ศรัทธามากขึ้น วัดก็กลายเป็นสิ่งส�ำคัญท่ีจะต้องก่อสร้างข้ึนอย่างถาวร ประณีตตามประเพณี
ท่ีถือปฏิบัติกันและตามก�ำลังศรัทธาบารมีของผู้สร้าง หากผู้สร้างมีศรัทธามีบารมีสูง อาจจะเป็นผู้ปกครอง
แผน่ ดิน หรอื พระมหากษัตริยก์ ย็ อ่ มจะก่อสร้างวัดได้ใหญ่โต ประณตี และตกแต่งอยา่ งวิจติ รดว้ ยวสั ดุท่ีมีคา่
และฝีมอื ของช่างช้นั สงู
ประวัตกิ ารสร้างวดั ในพระพทุ ธศาสนา
วดั ในพระพทุ ธศาสนามมี าแต่สมัยพทุ ธกาล เมือ่ พระพทุ ธเจ้าทรงตรสั รู้และมพี ุทธประสงค์จะแสดง
พระธรรมโปรดพระเจ้าพิมพิสาร จึงได้เสด็จไปยังกรุงราชคฤห์เมืองหลวงแห่งแคว้นมคธพร้อมด้วย
พระสงฆ์สาวก ในคร้ังนั้น พระเจ้าพิมพิสารได้ถวายพระราชอุทยานเวฬุวันให้เป็นพระอารามที่ประทับ
ของพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวก เรียกชื่อว่า เวฬุวนาราม วัดเวฬุวนารามจึงเป็นวัดแห่งแรก
ในพระพุทธศาสนา วัดในสมัยพุทธกาลพระพุทธเจ้าและพระสงฆ์สาวกจะประทับอาศัยอยู่เพียงชั่วคราว
เม่ือเสด็จจาริกไปสั่งสอนในท่ีอ่ืน พระอารามก็จะว่างไม่มีพระสงฆ์อยู่ประจ�ำ ต่อมาเมื่อพระพุทธเจ้า
เสดจ็ ดบั ขนั ธปรนิ พิ พานแลว้ จงึ ไดม้ วี ดั ทม่ี พี ระสงฆอ์ ยปู่ ระจ�ำ สมเดจ็ กรมพระยาด�ำรงราชานภุ าพ ไดท้ รงอธบิ าย
ไว้ว่า “น่าจะมีมูลเหตุมาจากการที่พุทธสาวกท่ีร�ำลึกถึงพระพุทธองค์ แล้วพากันไปสักการะสังเวชนียสถาน
แห่งใดแห่งหนึ่ง จึงเกิดเป็นต�ำบลที่สมาคมของพวกพุทธบริษัทท้ังพระและคฤหัสถ์ มีผู้ศรัทธาสร้าง
ท่ีอยู่อาศัยถวายพระสงฆ์ และมีพระสงฆ์ท่ีสมัครใจอยู่ประจ�ำ ท�ำการบ�ำรุงรักษาสังเวชนียสถานเพื่อการกุศล
จึงเกิดมีวัดท่ีมีพระสงฆ์อยู่เป็นประจ�ำขึ้น” เม่ือมีการสร้างวัด ณ ท่ีอ่ืนในเวลาต่อมา ก็ย่อมมีการสร้าง
สงิ่ สักการบูชาแทนองคส์ มเดจ็ พระสัมมาสมั พุทธเจ้า เช่น พระพุทธรูป สถปู เจดยี ์ ในวัด จึงมที ั้งส่วนท่เี ปน็
พทุ ธาวาสและสังฆาวาส
พระอารามหลวง เลม่ ๑ 1
ประวตั กิ ารสรา้ งวดั ในประเทศไทย
ด้วยเหตุท่ีวัดหรือศาสนสถานมักสร้างด้วยวัสดุท่ีแข็งแรงทนทาน เพราะเป็นการสร้างด้วย
ศรัทธาอันสูงส่ง ถือเป็นการสร้างกุศลอันยิ่งใหญ่ จะเห็นได้จากโบราณสถานท่ีมีอยู่มากมายทั่วทุกภาค
ของประเทศไทยทม่ี ีอายสุ มยั ต่าง ๆ กนั นบั ร้อยนับพันปี สว่ นใหญ่ได้แกส่ ิง่ ก่อสร้างประเภทศาสนสถาน
โบราณสถานดังกล่าว เป็นหลักฐานให้เราได้ทราบว่าในแผ่นดินไทยเราน้ี ได้มีการสร้างวัด
ในพระพุทธศาสนามาแล้วเป็นเวลานับ ๑,๐๐๐ ปี ทั้งนี้ โดยได้รับคติทางศาสนาทั้งพุทธและพราหมณ์
มาจากอนิ เดีย ผา่ นทางพอ่ คา้ นกั บวช และคนในวรรณะอ่ืน ๆ ทีเ่ ดินทางเข้ามาในดนิ แดนทีเ่ ปน็ ประเทศไทย
ปจั จุบัน และประเทศตา่ ง ๆ ทางแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพือ่ ท�ำการคา้ ขายแสวงโชคและเผยแผ่ศาสนา
ดังได้พบหลักฐานที่แสดงว่ามีการติดต่อค้าขายจากอินเดียมาตั้งแต่สมัยก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลาย
เช่น ได้พบลูกปัดหินสีแบบอินเดียเป็นจ�ำนวนมากที่แหล่งโบราณคดีบ้านดอนตาเพชร จังหวัดกาญจนบุรี
ซงึ่ ก�ำหนดอายไุ ด้ประมาณ ๑,๗๐๐-๒,๐๐๐ ปมี าแลว้ และยังได้พบในแหลง่ อ่ืน ๆ ในสมัยเดยี วกนั อกี หลายแหง่
รวมทั้งได้พบโบราณวัตถุประเภทรูปเคารพทางศาสนาท่ีมีลักษณะศิลปะอินเดียอย่างแท้จริง น่าเช่ือได้ว่า
เป็นของท่ีพ่อค้าชาวอินเดียน�ำติดตัวมา เช่น พระพุทธรูปแบบศิลปะอมราวดี (ราวพุทธศตวรรษท่ี ๖-๙)
แบบคุปตะ (ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๙-๑๑) เปน็ ตน้
การเข้ามาติดต่อค้าขายหรือเข้ามาโดยวัตถุประสงค์อื่น ๆ ของชาวอินเดีย ซ่ึงส่วนหนึ่งได้มา
ตั้งหลักแหล่งเป็นสถานการค้าหรือท�ำมาหากินอยู่ในท้องถ่ินต่าง ๆ ท�ำให้วัฒนธรรมอินเดียแพร่ไปสู่
คนพ้ืนเมืองและผสมผสานเข้ากับวัฒนธรรมดั้งเดิม เกิดเป็นวัฒนธรรมรูปแบบเฉพาะข้ึนในภูมิภาคต่าง ๆ
เม่ือประมาณพทุ ธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒
โบราณวัตถุและโบราณสถาน เป็นรูปแบบวัฒนธรรมต่าง ๆ ดังกล่าว ที่เหลือให้เราได้เห็น
เป็นประจักษ์พยานและศึกษาค้นคว้า ล้วนเป็นของที่เกี่ยวเนื่องในศาสนาเป็นส�ำคัญ เร่ิมตั้งแต่วัฒนธรรม
ที่รู้จกั ในชอ่ื “ทวาราวดี” ซึง่ เป็นวัฒนธรรมทางพระพทุ ธศาสนา มีอายุในราวพุทธศตวรรษท่ี ๑๒-๑๖ เจริญข้นึ
ทางภาคกลาง และแพรห่ ลายไปทางภาคตะวนั ออกเฉยี งเหนอื พระพุทธศาสนาในสมัยน้ีเปน็ พระพทุ ธศาสนา
ลัทธิเถรวาท (หินยาน) เป็นหลัก โบราณสถานในวัฒนธรรมทวาราวดีที่ได้พบส่วนใหญ่เป็นสถูปรูปแบบ
ต่าง ๆ เหลือเพียงส่วนฐานหรือเหนือขึ้นมาเล็กน้อย เช่น พบเป็นกลุ่มใหญ่ท่ีเมืองโบราณที่อ�ำเภออู่ทอง
จังหวัดสุพรรณบุรี เมืองโบราณต�ำบลคูบัว อ�ำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี เมืองโบราณฟ้าแดดสงยาง
อ�ำเภอกมลาไสย จงั หวดั กาฬสนิ ธ์ุ เปน็ ตน้ ทเ่ี ปน็ วหิ ารพบเพยี งสว่ นนอ้ ยเหลอื อยเู่ พยี งสว่ นฐาน เชน่ ทเ่ี มอื งโบราณ
อทู่ อง ทห่ี น้าวดั พระเมรุ จังหวัดนครปฐม ทวี่ ัดธรรมจกั รเสมาราม อ�ำเภอสูงเนิน จงั หวดั นครราชสมี า เป็นต้น
จงึ กล่าวได้วา่ โบราณสถานในวฒั นธรรมทวาราวดนี ้ี คอื วัดในพระพทุ ธศาสนาสมัยแรก ๆ ของประเทศไทย
2 พระอารามหลวง เลม่ ๑
ในขณะท่ีวัฒนธรรมแบบทวาราวดีเกิดขึ้นในภาคกลางน้ัน ทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
กม็ วี ัฒนธรรมแบบขอมหรอื เขมรโบราณอยู่ในราวพทุ ธศตวรรษที่ ๑๒-๑๘ ไดพ้ บโบราณวตั ถุและโบราณสถาน
จ�ำนวนมาก โดยเฉพาะทางตอนล่างของภาคลงมาทางภาคตะวันออกถึงจังหวัดปราจีนบุรี และ
ภาคกลางบางส่วน เช่นท่ีปรากฏอยู่ในจังหวัดลพบุรี สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี โบราณสถานเหล่าน้ี
มที ้งั ของศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธ โดยชว่ งตน้ พทุ ธศตวรรษมกั จะเปน็ ศาสนาพราหมณ์ เชน่ ปราสาท
เขาน้อย จังหวัดปราจนี บุรี ปราสาทพนมรงุ้ ปราสาทเมอื งต�่ำ จงั หวดั บุรรี มั ย์ และปราสาทอ่ืน ๆ อีกมากมาย
เป็นพทุ ธสถานก็มี เชน่ ปราสาทหินพมิ าย จังหวดั นครราชสีมา ในช่วงปลายพทุ ธศตวรรษที่ ๑๘ ศาสนาพุทธ
ลัทธิมหายาน ได้กลายเป็นศาสนาท่ีได้รับการนับถือแพร่หลายแทนท่ีศาสนาพราหมณ์ โบราณสถาน
จึงเป็นพุทธสถานหรือวัดในพระพุทธศาสนา เช่น พระปรางค์สามยอด จังหวัดลพบุรี ปราสาทเมืองสิงห์
จงั หวัดกาญจนบรุ ี เป็นต้น
สว่ นในภาคใต้กม็ ีรูปแบบศิลปะหรือวฒั นธรรมทเ่ี รียกกันวา่ ศรีวิชยั อายุราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๘
โบราณสถานส่วนใหญเ่ ปน็ พุทธสถานตามอิทธพิ ลทางศาสนาทีเ่ ข้ามาจากทางตะวนั ออกเฉยี งเหนือของอินเดีย
ซึ่งเป็นพุทธศาสนาลัทธิมหายาน ตัวอย่างโบราณสถานแบบศรีวิชัย ได้แก่ วัดพระบรมธาตุไชยา วัดแก้ว
วัดหลง อ�ำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี และมีกลุ่มพุทธสถานกลุ่มใหญ่ที่อ�ำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี
ซงึ่ ภายในอาคารมพี ระพมิ พ์และสถปู จ�ำลองบรรจุอยูเ่ ป็นจ�ำนวนมาก อยา่ งไรก็ตามในสมยั น้นั ได้มีพุทธศาสนา
ลัทธิเถรวาทที่เข้ามาจากลังกา โบราณสถานท่ีปรากฏ เช่น พระสถูปองค์เดิมภายในพระเจดีย์ วัดมหาธาตุ
วรมหาวิหาร จังหวัดนครศรีธรรมราช จึงเป็นพระสถูปที่สร้างตามแบบศิลปะลังกา ในนิกายเถรวาท
หรือหินยาน ส่วนโบราณสถานในศาสนาพราหมณ์ก็มีปรากฏอยู่บ้าง เช่น ท่ีเขาคา อ�ำเภอสิชล
จังหวดั นครศรีธรรมราช
คร้ันเมื่ออาณาจักรไทยท่ีตั้งแว่นแคว้นเป็นรัฐอิสระอยู่ทางตอนเหนือของดินแดนประเทศไทย
รวมตัวกันเป็นปึกแผ่นก่อตั้งเป็นประเทศข้ึนในสมัยสุโขทัย ศาสนาพุทธที่เดิมเป็นพุทธในนิกายมหายาน
ได้เปลี่ยนเป็นพุทธลัทธิเถรวาทหรือหินยานที่เข้ามาจากลังกา และได้มาเป็นที่นับถืออย่างแพร่หลาย
สืบเน่ืองมาจนถึงทุกวันน้ี ศาสนสถานทีส่ รา้ งต้ังแต่สมยั สุโขทยั หรอื ตั้งแตร่ าวพุทธศตวรรษท่ี ๑๘ เปน็ ต้นมา
จึงเป็นวดั ในพระพทุ ธศาสนาเกือบท้งั สิ้น ดงั ทีเ่ ห็นเปน็ โบราณสถานอยมู่ ากมาย เช่น ในอทุ ยานประวตั ิศาสตร์
สุโขทัย ศรีสัชนาลัย เชียงแสน เชียงใหม่ ล�ำพูน พะเยา ก�ำแพงเพชร อยุธยา ฯลฯ โดยมีเทวสถาน
ในศาสนาพราหมณ์ปรากฏอยู่เพียงส่วนน้อย เช่น ศาลตาผาแดง หอเทวาลัยมหาเกษตรพิมานในเขตอุทยาน
ประวัติศาสตร์สุโขทยั เป็นต้น
โบราณสถานดังกล่าว หากเป็นวัดหรือศาสนสถานของพราหมณ์ ส่ิงที่เหลืออยู่ก็คือ เทวาลัย
หรืออาคารท่ีสร้างถวายเป็นที่สถิตของพระเจ้า หรือเป็นอาคารท่ีเก็บคัมภีร์ ประดิษฐานรูปเคารพซ่ึงสร้าง
ด้วยอิฐ หิน และศิลาแลง ไม่ใช่ที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์หรือพราหมณ์ พุทธสถานก็เช่นเดียวกันท่ีมีอายุ
อยู่ในสมัยแรก ๆ จะพบแต่ซากเจดีย์ ซากวิหาร หรือซากโบสถ์ ซ่ึงเป็นส่วนพุทธาวาสไม่พบส่ิงก่อสร้าง
ท่เี ปน็ สังฆาวาสอันเป็นท่ีอย่อู าศัยของพระสงฆ์ ทงั้ นเี้ ข้าใจวา่ อาคารที่อยู่อาศัยของพระสงฆ์คงจะสร้างด้วยไม้
เพราะเป็นวัสดุท่ีหาง่ายและเหมาะต่อการอยู่อาศัยในภูมิอากาศท่ีร้อนชื้นของประเทศไทย จึงได้ผุพัง
เสอื่ มสลายไปตามกาลเวลา คงเหลอื แต่ส่วนของพุทธาวาส ไดแ้ ก่ ซากเจดยี ์ วหิ าร พระพทุ ธรปู ซงึ่ สร้างด้วย
วสั ดุทท่ี นทานถาวรกวา่
พระอารามหลวง เลม่ ๑ 3
ประเภทของวดั
วัดในประเทศไทย แบ่งออกเป็น ๓ ประเภท คือ วัดหลวง หรือพระอารามหลวง วัดราษฎร์
และสำ� นกั สงฆ์ โดยสามารถอธบิ ายความได้ ดงั นี้
วัดหลวง หรือพระอารามหลวง คือ วัดท่ีพระมหากษัตริย์ หรือพระบรมวงศานุวงศ์ ทรงสร้าง
หรือทรงบูรณปฏิสังขรณ์ หรือมีผู้สร้างน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระอารามหลวง หรือวัดที่
ราษฎรสร้างหรือบูรณปฏิสังขรณ์ แล้วขอพระราชทานให้ทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง ปัจจุบันมีจ�ำนวน
ท้ังสิน้ ๓๑๐ วัด
วดั ราษฎร์ คอื วดั ที่ประชาชนสรา้ งหรอื บูรณปฏิสังขรณ์ ซึง่ มจี �ำนวนมากกวา่ วดั หลวง
ส�ำนักสงฆ์ ได้แก่ ท่ีพักสงฆ์ แม้ในทางกฎหมายจะเรียกว่า วัด แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ เนื่องจาก
ยงั ไมไ่ ด้รบั อนุญาตใหต้ ั้งวัด และได้รบั พระราชทานวสิ งุ คามสมี า
แต่จะกล่าวโดยสรุป วัดจะแบ่งออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ วัดท่ีได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
และวัดที่ยังไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา วัดท่ีได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา คือวัดท่ีมีอุโบสถเป็นที่
ท�ำสังฆกรรม ค�ำว่า วิสุงคามสีมา ในที่นี้หมายถึงเขตท่ีพระมหากษัตริย์พระราชทานแก่สงฆ์เพื่อใช้เป็นท่ี
สร้างอุโบสถ ซึ่งเป็นเขตพิเศษส�ำหรับให้พระสงฆ์ท�ำสังฆกรรม ส่วนวัดที่ยังไม่ได้รับพระราชทานวิสุงคามสีมา
ยงั ไม่มอี โุ บสถ พระสงฆ์ไม่สามารถท�ำสังฆกรรมได้
ประวตั ิวดั หลวงหรอื พระอารามหลวง
โบราณสถานที่เป็นวัดสมัยต่าง ๆ เหล่าน้ัน ส่วนหนึ่งและอาจจะเป็นส่วนใหญ่จะเป็นวัดท่ี
พระมหากษัตริย์ทรงสร้างข้ึน จึงเรียกกันว่า วัดหลวง เพราะการสร้างวัดจะต้องใช้ก�ำลังคนก�ำลังทรัพย์
มากมาย ผู้ที่สร้างวัดต้ังแต่สมัยพุทธกาลเป็นต้นมา จึงมักจะเป็นกษัตริย์หรือเศรษฐีท่ีมีฐานะสูงท้ังใน
สังคมและทางเศรษฐกิจ ดังจะเห็นจากพุทธประวัติว่า ผู้สร้างวัดถวายได้แก่กษัตริย์แห่งแคว้นต่าง ๆ เช่น
พระเจ้าพิมพิสารกษัตริย์แห่งแคว้นมคธ ได้สร้างวัดเวฬุวนาราม ซ่ึงเป็นวัดแรกในพระพุทธศาสนา และ
เศรษฐีท่ีมีฐานะม่ังคั่งเป็นท่ียกย่อง เช่น อนาถบิณฑิกเศรษฐี ผู้สร้างวัดพระเชตวันมหาวิหาร นางวิสาขา
มหาอุบาสิกา เศรษฐีนี ผู้สรา้ งวดั บุพพาราม
ส�ำหรับวัดโบราณก่อนสมัยสุโขทัย ท่ีเหลือเป็นโบราณสถานในประเทศไทย ปัจจุบันมีหลักฐาน
ท่ีเชื่อถือได้ว่า เป็นวัดหลวงหรือวัดท่ีกษัตริย์หรือราชวงศ์ทรงสร้าง คือ ศิลาจารึก ซึ่งบางหลักมีข้อความ
กล่าวชัดเจนถึงการสร้างวัดของพระราชา บางหลักไม่ได้ระบุชัดเจน แต่กล่าวถึงการอุปถัมภ์ การถวายท่ีดิน
ข้าทาส ส่ิงของต่าง ๆ แก่วิหารหรือศาสนสถานของพระราชาหรือพระราชวงศ์ ศิลาจารึกบางหลักที่พบ
ณ โบราณสถานนั้น ๆ เป็นหลักฐานที่ยืนยันได้ว่า เป็นวัดที่สร้างหรืออุปถัมภ์โดยพระมหากษัตริย์หรือ
พระราชวงศ์ เช่น ศลิ าจารกึ หินขอน ๑ มอี ายอุ ยู่ในพุทธศตวรรษท่ี ๑๓-๑๔ ตัวอกั ษรปลั ลวะ (รูปอกั ษรแบบ
ที่ใช้อยู่ในราชวงศ์ปัลลวะในประเทศอินเดียตอนใต้) ภาษาสันสกฤตจารึกลงบนเสาสี่เหล่ียม ต้ังอยู่บริเวณ
สถานบ้านหินขอน อ�ำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา ซ่ึงสันนิษฐานว่าน่าจะเป็นวัดในพระพุทธศาสนา
เพราะมีเสาศิลาต้ังคู่กันเป็นใบเสมา และบางเสามีภาพจ�ำหลักรูปสถูป ข้อความจารึกกล่าวถึงเจ้าชาย
ที่ออกบวช มีต�ำแหน่งเป็นราชภิกษุ ได้สร้างเสมาศิลา ๔ หลัก ได้ถวายวัด ๑๐ วัด แก่คณะสงฆ์
และกล่าวถึงการบริจาคทานถวายส่ิงของต่าง ๆ รวมทัง้ สวน นา และทาส
4 พระอารามหลวง เล่ม ๑
ศิลาจารึกบางหลักมีข้อความระบุชัดถึงการสร้างวัดของพระราชา แต่ไม่สามารถพบแหล่ง
ท่ีสร้างได้ชัดเจนว่ามาจากศาสนสถานแห่งใด เช่น จารึกวัดเสมาเมืองพบที่วัดเสมาเมือง ต�ำบลเวียงศักดิ์
อ�ำเภอเมอื งนครศรีธรรมราช จงั หวดั นครศรีธรรมราช เนือ่ งจากไดเ้ คลื่อนยา้ ยนานแล้ว และหลกั ฐานตา่ ง ๆ
ไม่สอดคล้องกัน เป็นเหตุให้ไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่าศิลาจารึกหลักน้ีได้มาจากโบราณสถานใด ศิลาจารึก
ดงั กลา่ วจารึกดว้ ยอกั ษรหลงั ปัลลวะภาษาสันสกฤต ระบพุ ุทธศักราช ๑๓๑๘ มีข้อความกล่าวถึงการสรา้ งวัด
ของพระเจ้ากรุงศรีวิชัยว่า ได้สร้างอาคารอิฐ ๓ หลัง ให้เป็นท่ีประทับของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชนะมาร
ของพระโพธิสัตว์ และยังมีพระบรมราชโองการให้พระเถระราชาคณะสร้างสถูปอีก ๓ องค์ นอกจากนี้
ยังมีศิลาจารึกอีกเป็นจ�ำนวนหลายหลักจารึกขึ้นในช่วงสมัยต่าง ๆ ท่ีกล่าวถึงกษัตริย์หรือราชวงศ์ ตลอดจน
ผมู้ ตี �ำแหนง่ สงู สรา้ ง อปุ ถมั ภ์ และถวายสงิ่ ของ ทด่ี นิ หรอื ทาส แกพ่ ระศาสนา ซง่ึ มที ง้ั ทเี่ ปน็ วดั ในศาสนาพราหมณ์
และวัดในพระพุทธศาสนา
เมื่อถึงสมัยสุโขทัย มีการจารึกเร่ืองราวของบ้านเมืองและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์
ลงในศิลาจารึก ซ่ึงบอกให้ทราบว่า พระมหากษัตริย์ทรงเลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาท
ซง่ึ เขา้ มาจากลงั กาอย่างลกึ ซ้ึง ทรงท�ำนบุ �ำรงุ ตลอดจนให้ประชาชนนบั ถอื และปฏิบัติ จารึกหลายหลักกล่าวถึง
การสร้างวัดของพระมหากษัตริย์ประกอบกับหลักฐานที่ปรากฏให้เห็นว่ามีวัดจ�ำนวนมาก ทั้งวัดในเมือง
(ฝา่ ยคามวาสี) และวัดนอกเมือง (ฝา่ ยอรัญวาส)ี ในเขตอรญั ญกิ ในเมืองสุโขทัยและเมอื งบริวาร จงึ เชื่อไดว้ ่า
วัดเหล่าน้ีส่วนใหญ่เป็นวัดหลวงที่สร้างและอุปถัมภ์โดยพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะในรัชกาล
พ่อขุนรามค�ำแหง และพระมหาธรรมราชาลิไท ซ่ึงครองราชย์เป็นเวลานาน และได้ท�ำการฟื้นฟูบ�ำรุง
พระพุทธศาสนาเปน็ อยา่ งมาก แม้ในศิลาจารกึ จะไม่ได้ระบุชดั เจนวา่ พระมหากษตั รยิ ์องค์ใดสร้างวัดใดบ้าง
ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา มีการบันทึกเร่ืองราวเหตุการณ์บ้านเมืองในเอกสารต่าง ๆ เช่น
พระราชพงศาวดาร จดหมายเหตุ เป็นต้น เรื่องราวเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าพระมหากษัตริย์ทรงสร้างวัด
แทบทุกรัชกาล ยกเว้นรัชกาลท่ีครองราชย์เพียงระยะส้ัน หรือมีเหตุการณ์ที่บ้านเมืองไม่ปกติ ถึงสมัย
กรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์แม้ในช่วงต้น ๆ ยังต้องคอยรบทัพจับศึกเพ่ือป้องกันเอกราชและบ้านเมือง
แตพ่ ระมหากษตั รยิ ต์ ง้ั แตส่ มยั กรงุ ธนบรุ ี กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ รชั กาลท่ี ๑ ถงึ รชั กาลท่ี ๕ กท็ รงสรา้ งและปฏสิ งั ขรณ์
วดั เปน็ จ�ำนวนมาก รวมท้งั เจ้านายในพระบรมราชวงศ์ก็รว่ มสร้างและปฏิสังขรณ์ด้วย
หลังจากรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา สถานการณ์บ้านเมืองเปล่ียนไป เน่ืองจากรับกระแสวัฒนธรรม
ทางตะวันตกมากข้ึน จึงจ�ำเป็นต้องปรับปรุงพัฒนาประเทศให้ทันกับความเปล่ียนแปลง อย่างไรก็ตาม
พระมหากษัตริย์ยังทรงเล่ือมใสและอุปถัมภ์พระพุทธศาสนา ตลอดจนวัดวาอารามอย่างสม�่ำเสมอ
แต่ในสมยั นคี้ วามจ�ำเปน็ ในการสรา้ งวดั ลดนอ้ ยลง เมอื่ เทยี บกบั ความจ�ำเปน็ ในการพฒั นาประเทศและประชาชน
ในด้านอ่ืน ๆ เช่น การศึกษา การสาธารณสุข จึงไม่ปรากฏว่าพระมหากษัตริย์ต้ังแต่รัชกาลท่ี ๖ เป็นต้นมา
ทรงสร้างวดั ขน้ึ ใหม่ เว้นแตร่ ัฐบาลหรือประชาชนสร้างถวาย
พระอารามหลวง เลม่ ๑ 5
วัดทีส่ มควรได้รบั ยกฐานะเป็นพระอารามหลวง
วดั ทสี่ มควรไดร้ บั ยกฐานะเปน็ พระอารามหลวง จะตอ้ งเปน็ วดั ทมี่ เี สนาสนะถาวรวตั ถุ หรอื มปี ชู นยี วตั ถุ
ท่ีเป็นโบราณสถานหรือโบราณวัตถุ หรือศิลปะวัตถุ เป็นวัดที่มีการปกครองเป็นระเบียบเรียบร้อย มีการศึกษา
และการเผยแผ่พระพุทธศาสนาท่ีเป็นหลักฐาน เป็นวัดท่ีมีการพัฒนาและมีกิจกรรมที่เป็นประโยชน์
ตอ่ สาธารณชน มีพระสงฆ์จ�ำพรรษาตง้ั แต่ ๒๐ รูปขึ้นไป ตดิ ตอ่ กนั เป็นเวลา ๕ ปี ถึงปีที่ได้รบั การพจิ ารณา
ให้เป็นพระอารามหลวง เป็นวัดส�ำคัญของท้องถิ่น หรือเป็นสถานท่ีประกอบพิธีทางศาสนาของทางราชการ
เป็นประจ�ำ หรือเปน็ วัดส�ำคญั ทางประวตั ศิ าสตร์ และตอ้ งมอี ายุ ๕๐ ปขี ึ้นไป
ลำ�ดบั ช้นั ของพระอารามหลวง
การจัดล�ำดับช้ันของพระอารามหลวง เริ่มมีขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๕ ซ่ึงทรงโปรดให้จัดระเบียบแบ่งล�ำดับชั้นพระอารามหลวงออกเป็น ๓ ชั้น คือ
ชนั้ เอก ชนั้ โท และชนั้ ตรี แตล่ ะชนั้ ยงั แยกระดบั ออกไปอกี หลายระดบั โดยมสี รอ้ ยตอ่ ทา้ ยชอื่ วดั ตามฐานะ ดงั นี้
๑. พระอารามหลวง ช้ันเอก ไดแ้ ก่ วัดที่มีความส�ำคัญ มเี จดียสถานบรรจพุ ระบรมอัฐิ หรือเป็นวัด
ท่ีมีเกียรติสงู มี ๓ ระดบั คือ
๑.๑ ราชวรมหาวหิ าร
๑.๒ ราชวรวิหาร
๑.๓ วรมหาวิหาร
๒. พระอารามหลวง ชัน้ โท ไดแ้ ก่ วดั ทม่ี เี จดยี สถานส�ำคญั หรอื วัดทีม่ ีเกยี รติ มี ๔ ระดบั คอื
๒.๑ ราชวรมหาวหิ าร
๒.๒ ราชวรวหิ าร
๒.๓ วรมหาวหิ าร
๒.๔ วรวหิ าร
๓. พระอารามหลวง ชนั้ ตรี ไดแ้ ก่ วัดทม่ี ีเกยี รติ วดั ประจ�ำหัวเมอื ง หรอื วดั ทีม่ ีความส�ำคญั ชั้นรอง
มี ๓ ระดบั คือ
๓.๑ ราชวรวหิ าร
๓.๒ วรวิหาร
๓.๓ วดั ท่ีไมม่ สี ร้อยต่อท้าย (สามญั )
6 พระอารามหลวง เลม่ ๑
พระอารามหลวง จ�ำ นวน ๑๘ วัด ท่รี บั พระกฐินหลวง กรงุ เทพมหานคร
๑. วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
๒. วดั พระเชตพุ นวิมลมังคลาราม กรงุ เทพมหานคร
๓. วดั สุทศั นเทพวราราม กรงุ เทพมหานคร
๔. วดั ราชบพธิ สถิตมหาสมี าราม กรุงเทพมหานคร
๕. วดั ราชประดษิ ฐสถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร
๖. วดั ราชาธวิ าสวหิ าร กรงุ เทพมหานคร
๗. วดั มกุฏกษตั รยิ าราม กรงุ เทพมหานคร
๘. วัดเทพศริ นิ ทราวาส กรงุ เทพมหานคร
๙. วดั เบญจมบพิตรดสุ ิตวนาราม กรงุ เทพมหานคร
๑๐. วัดราชโอรสาราม กรงุ เทพมหานคร
๑๑. วัดมหาธาตยุ ุวราชรังสฤษฎิ์ กรุงเทพมหานคร
๑๒. วัดอรณุ ราชวราราม พระนครศรอี ยธุ ยา
๑๓. วัดนเิ วศธรรมประวัติ นครปฐม
๑๔. วัดพระปฐมเจดีย์ พระนครศรีอยธุ ยา
๑๕. วดั สุวรรณดาราราม พษิ ณุโลก
๑๖. วัดพระศรรี ัตนมหาธาตุ กรุงเทพมหานคร
๑๗. วดั โสมนัสวิหาร สระบรุ ี
๑๘. วดั พระพทุ ธบาท
พระอารามเหล่าน้ี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชด�ำเนินไปถวายผ้าพระกฐิน
ด้วยพระองค์เอง แต่มิได้เสด็จไปทั้ง ๑๘ วัด จะเสด็จพระราชด�ำเนินเพียงบางวัดเท่าน้ัน นอกจากน้ัน
ทรงพระกรุณาโปรดเกลา้ ฯ ใหพ้ ระบรมวงศานวุ งศ์ หรอื องคมนตรี หรอื ผทู้ รงเหน็ สมควรเปน็ ผู้แทนพระองค์
ไปถวาย ส่วนพระอารามหลวงนอกจากน้ีอีกจ�ำนวน ๒๙๒ วัด พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา
โปรดเกล้าฯ ให้สว่ นราชการ หนว่ ยงาน องคก์ ร บรษิ ัท ห้างร้าน บคุ คล น�ำไปถวาย
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 7
ประวตั พิ ระอำรำมหลวง
จำ� นวน ๑๔๑ วัด
วัดชนะสงคราม
ประวัตคิ วามเปน็ มา
วดั ชนะสงคราม เป็นวดั โบราณ สรา้ งสมัยกรุงศรีอยธุ ยา เดิมเรยี กว่า วัดกลางนา เพราะบรเิ วณ
รอบวัดเป็นทุ่งนา สมัยรัชกาลท่ี ๑ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท ทรงรวมชาวรามัญและพระสงฆ์
รามัญ เข้ามาต้ังหลักฐานอยู่รอบวัดกลางนา และปฏิสังขรณ์เพ่ือให้พระสงฆ์รามัญจ�ำพรรษา และต้ังนามว่า
วัดตองปุ รัชกาลที่ ๑ โปรดให้วัดตองปุเป็นวัดพระสงฆ์ฝ่ายรามัญ เพ่ือตอบสนองที่สมเด็จกรมพระราชวัง
บวรมหาสุรสิงหนาท เป็นก�ำลังส�ำคัญในการรบกับพม่า เมื่อบ้านเมืองสงบสุข สมเด็จกรมพระราชวังบวร
มหาสุรสิงหนาท ได้บูรณะพระอุโบสถและเสมา รัชกาลท่ี ๑ โปรดพระราชทานนามว่า วัดชนะสงคราม
ต่อมาได้มกี ารบรู ณปฏิสังขรณม์ าตามล�ำดบั
พระอารามหลวง เลม่ ๑ 9
สถานะและทีต่ ั้ง
วัดชนะสงคราม เป็นพระอารามหลวงชั้นโท ชนิดราชวรมหาวิหาร ต้ังอยู่เลขที่ ๗๒๗
แขวงชนะสงคราม เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร มีทดี่ ินตั้งวัด เนื้อท่ี ๒๘ ไร่ ๓ งาน ๒ ตารางวา
สิ่งสำ�คญั
พระอุโบสถ สมเด็จพระบวร
ราชเจ้ามหาสุรสิงหนาท โปรดให้สร้างเป็น
อาคารก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง
ประดับช่อฟา้ ใบระกา หางหงส์ มีเสาราย
อยู่ข้างใน มีพระระเบียงด้านหน้าและ
ด้านหลัง หน้าบันแกะสลักเป็นรูปซุ้มประตู
มนี ารายณท์ รงครุฑอยู่เบ้ืองบน ลอ้ มรอบ
ด้วยรูปเทพชุมนุม ภายในวงล้อม
ลายกระหนก ซุ้มประตูเป็นปูนปั้น
ลายกระหนก บานประตจู �ำหลกั ลายกระหนก
ลงรักปิดทอง ประดับกระจก ล้อมกรอบด้วยรูปข้าวหลามตัด
หน้าต่างมีซมุ้ เรอื นแกว้ ปนู ปั้น บานหน้าต่างเปน็ ลายรดน้�ำ ภายใน
เปน็ ภาพเขยี นลายตา่ ง ๆ ผนงั ภายในเขยี นภาพรปู เทวดา อสรู ยกั ษ์
เซี่ยวกาง และรูปภาพสัตวต์ า่ ง ๆ
10 พระอารามหลวง เล่ม ๑
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปูนปั้น ลงรักปิดทอง
ปางมารวิชัย มีพระนามว่า พระพุทธนรสีห์ตรีโลกเชฏฐ์
มเหทธศิ กั ดิ์ ปชู นยี ะชยันตะโคดม บรมศาสดา อนาวรญาณ
ประดิษฐานบนฐานสงู ๒ เมตร มพี ระอคั รสาวกซ้ายขวา และ
มพี ระพทุ ธรปู ปางมารวิชัย ๑๕ องค์ อยู่รายรอบพระประธาน
พระเจดยี เ์ หลีย่ ม มีลกั ษณะกอ่ อิฐถือปูน ย่อไม้ย่สี บิ
ทรงจอมแห ๒ องค์ ฐานกว้างด้านละ ๙ เมตร สูง ๑๕ เมตร
อยู่ทางด้านหนา้ ของพระอโุ บสถ
พระเจดีย์กลม ๒ องค์ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง
๔ เมตร สูง ๘ เมตร อยทู่ างดา้ นหลงั พระอโุ บสถ
ศาลาราย ลักษณะคล้ายศาลาดินขนาดย่อม หลังคา
มงุ กระเบือ้ งเคลอื บ มี ๘ หลัง ล้อมพระอโุ บสถ ท้งั ๔ ด้าน
ดา้ นละ ๒ หลงั มกี �ำแพงแก้วเชอ่ื มติดตอ่ กนั ทกุ หลัง
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 11
วดั ตรที ศเทพ
ประวัตคิ วามเป็นมา
วัดตรีทศเทพ เริ่มสร้างในสมัยรัชกาลท่ี ๔ โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหม่ืนวิษณุนาถนิภาธร
พระราชโอรสองค์ที่ ๒ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสร้างใกล้วังของพระองค์ ริมคลอง
บางล�ำพฝู ั่งเหนอื หลงั จากทรงก�ำหนดพืน้ ทที่ ่จี ะสร้างวัดกส็ นิ้ พระชนม์
ปีพุทธศักราช ๒๔๐๕ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรมราชโองการ ให้พระเจ้า
บรมวงศ์เธอ กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส ซึ่งเป็นพระเชษฐาได้ด�ำเนินการสร้างต่อ โปรดให้ขุดคลองเขตวัด
ท้ัง ๔ ด้าน ท�ำรากฐานพระอโุ บสถ พระวิหาร พระเจดยี ์ และก�ำแพง การก่อสรา้ งยังไม่ทนั ส�ำเร็จก็ส้นิ พระชนม์
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้พระยาราชสงคราม หรือพระยาเวียงใน
เป็นผู้จัดการสร้างต่อส�ำเร็จเรียบร้อยในปีเดียวกัน ได้รับพระราชทานนามว่า วัดตรีทศเทพ หมายถึง
วัดที่เทพสามองค์สร้าง ได้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหม่ืนวิษณุนาถนิภาธร พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
กรมหมื่นมเหศวรศิววิลาส และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ต่อมาได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์
และสร้างถาวรวตั ถุเพ่มิ เตมิ
12 พระอารามหลวง เลม่ ๑
สถานะและทต่ี งั้
วัดตรีทศเทพ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร ตั้งอยู่เลขท่ี ๑๖๗ ถนนประชาธิปไตย
แขวงบา้ นพานถม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีทีด่ นิ ตั้งวดั เนอ้ื ท่ี ๑๖ ไร่ ๓ งาน ๙๓ ตารางวา
สงิ่ สำ�คัญ
พระอุโบสถ เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก
ลักษณะทรงตรีมุข หลังคามุงกระเบ้ือง ประดับ
ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันเป็นลายปูนปั้น
พระปรมาภิไธย ภ.ป.ร. อยู่ภายใต้พระมหาพชิ ัยมงกุฎ
สองข้างมีรูปฉัตรและเทพพนม พ้ืนประดับกระจก
ประดิษฐานพระพุทธรูปส�ำคัญ คือ พระประธาน
หล่อด้วยโลหะผสม ปางสมาธิ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ
พระองคเ์ จ้าพกั ตรพมิ ลพรรณ ทรงสรา้ งกับพระพทุ ธรปู
ยืนอุ้มบาตร ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดให้สรา้ งอทุ ศิ เป็นพระพุทธรปู ฉลองพระองคข์ อง
พระเจา้ บรมวงศ์เธอ กรมหม่นื วิษณนุ าถนิภาธร และ
พระพทุ ธรปู ยนื อกี องคห์ นงึ่ ทที่ รงอทุ ศิ เปน็ พระพทุ ธรปู
ฉลองพระองค์ของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหม่ืน
มเหศวรศวิ วิลาส
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปหล่อด้วย
โลหะผสม ปางสมาธิ ขนาดหน้าตักกว้าง ๑๖.๙ น้ิว
สูง ๘๙ น้ิว พระรัศมี ๑๔ นิ้ว ฐานถึงบัว ๑๙ น้ิว
นามว่า พระพุทธนวราชบพิธ พระบาทสมเด็จ
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช
บรมนาถบพิตร ได้เสด็จเป็นองค์ประธานเททองหล่อ
เมอื่ วันท่ี ๑๙ สิงหาคม พทุ ธศักราช ๒๕๓๐
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 13
พระวหิ าร เป็นอาคารคอนกรตี เสริมเหลก็
หลังคามงุ กระเบ้ือง ประดับชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์
หน้าบันประดับลายปูนปั้น ขนาดกว้าง ๑๒ เมตร
ยาว ๒๒ เมตร ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป
ปางตา่ ง ๆ หลายองค์
พระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับประทาน
จากสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช
สกลมหาสงั ฆปริณายก วดั บวรนเิ วศวหิ าร ใหอ้ ัญเชญิ
มาบรรจไุ ว้ในองคพ์ ระเจดยี ภ์ ายในวัด
14 พระอารามหลวง เลม่ ๑
วดั เทพธดิ าราม
ประวัติความเป็นมา
วัดเทพธิดาราม เดิมชื่อ วัดพระยาไกรสวนหลวง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้
สถาปนาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๗๙ เพ่ือเฉลิมพระเกียรติพระราชทานแด่สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ พระองค์เจ้า
วลิ าส พระราชธิดาพระองค์ใหญ่ และภายหลังทรงสถาปนาขนึ้ เปน็ กรมหม่นื อัปสรสดุ าเทพ
การกอ่ สรา้ งพระอาราม โปรดให้สมเด็จพระเจ้าลกู ยาเธอ กรมหมื่นภูมินทรภักดี (พระองค์เจา้ ชาย
ลดาวัลย์) เป็นแม่กองอ�ำนวยการสร้างในต�ำบลสวนหลวงพระยาไกร สร้างเสร็จเม่ือปีพุทธศักราช ๒๓๘๒
พระราชทานนามว่า วัดเทพธิดาราม เนื่องจากสมเด็จพระเจา้ ลูกเธอ กรมหมื่นอปั สรสดุ าเทพ ไดท้ รงบรจิ าค
ทุนทรัพย์ส่วนพระองค์ร่วมในการก่อสร้างพระอารามน้ีมีส่ิงก่อสร้างประดับด้วยลวดลาย กระเบื้องเคลือบ
และตกุ๊ ตาจีน
สถานะและท่ตี งั้
วัดเทพธิดาราม เป็นพระอารามหลวงช้ันตรี ชนิดวรวิหาร ต้ังอยู่เลขท่ี ๗๐ ถนนมหาไชย
แขวงส�ำราญราษฎร์ เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร มีทดี่ ินตัง้ วัด เนื้อท่ี ๑๓ ไร่ ๒ งาน ๒๔.๕ ตารางวา
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 15
สิง่ ส�ำ คัญ
พระอุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน
หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ หน้าบันประดับด้วย
กระเบ้ืองเคลือบ ผนังภายในเขียนลายพุ่มข้าวบิณฑ์
ตามแบบศลิ ปะ สมัยรชั กาลที่ ๓ บานประตหู น้าต่าง
เขียนลายรดน�้ำ มีตุ๊กตารูปคนแต่งกายแบบจีน
และไทย มีตุ๊กตารูปสิงโตจีนตั้งอยู่ที่หน้าพระอุโบสถ
พระวิหาร และศาลาการเปรียญแห่งละ ๑ คู่
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย
สลักด้วยศิลาขาวบริสุทธิ์ ประดิษฐานอยู่เหนือ
เวชยันต์บุษบก พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดให้อัญเชญิ มาจากพระบรมมหาราชวงั เรียกนาม
สามัญว่า หลวงพ่อขาว ต่อมาพระบาทสมเด็จ
พระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานนามว่า พระพุทธ
เทววิลาส
พระวิหาร เป็นอาคารกอ่ อฐิ ถือปูน หลงั คา
มุงกระเบื้องหน้าบันประดับด้วยกระเบื้องเคลือบ
บานประตูหน้าต่างเขียนลายรดน้�ำ ภายในมีรูปหล่อ
ด้วยดบี กุ เปน็ รูปพระอริยสาวิกา ๕๒ องค์ ซึ่งไดร้ บั เอตทัคคะจากองค์สมเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจ้า
ศาลาการเปรยี ญ เปน็ อาคารก่ออิฐถอื ปูน หลงั คามุงกระเบ้อื ง ลกั ษณะสถาปตั ยกรรมแบบจนี
ศาลาราย มีท้ังหมด ๑๐ หลัง สร้างคร่อมก�ำแพงรอบพระอุโบสถ ๘ หลัง ใช้ได้ทั้งด้านนอก
และดา้ นใน เปน็ ศาลา ๒ หนา้ ส่วนอีก ๒ หลัง อยู่บรเิ วณดา้ นหนา้ พระวหิ าร ใชเ้ ปน็ ทบ่ี �ำเพญ็ กุศล และเป็น
สถานท่ีศึกษาพระปริยัตธิ รรมของพระภิกษุสามเณร
16 พระอารามหลวง เล่ม ๑
หอไตร เป็นอาคารกอ่ อิฐถือปูน มี ๒ หลงั
ยกพื้นสูง หลังคาประดับช่อฟ้า ใบระกา หน้าบัน
ปดิ ทองลอ่ งชาด เปน็ ทเ่ี กบ็ รกั ษาพระไตรปฎิ ก หนงั สอื
พระธรรม และคัมภีรต์ า่ ง ๆ
หอระฆัง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคา
มงุ กระเบ้ือง ประดับชอ่ ฟา้ ใบระกา
พระปรางค์ มีท้ังหมด ๔ องค์ อยู่ตรง
มุมพระอุโบสถท้ัง ๔ มุม ตั้งอยู่บนฐานทักษิณสูง
ท่ีฐานพระปรางค์แต่ละองค์มีรูปท้าวจตุโลกบาลคือ
ท้าวธตรฐ ท้าววิรฬุ หก ท้าววริ ปู ักข์ และท้าวกุเวร
อนุสรณ์สถานกวีเอก พระศรีสุนทรโวหาร
(ภู่) หรือรู้จักกันในนามว่า สุนทรภู่ กวีเอกของ
กรุงรัตนโกสินทร์ ได้อุปสมบทและจ�ำพรรษาที่
พระอารามนี้ระหว่างปีพุทธศักราช ๒๓๘๒-๒๓๘๕
สุนทรภู่ได้สร้างงานประพันธ์ ไว้เป็นจ�ำนวน
มาก เร่ืองที่เก่ียวข้องกับวัดเทพธิดารามมากที่สุด
คือ ร�ำพันพิลาป ท่านได้พรรณนาให้เห็นลักษณะ
ปูชนียสถาน ปูชนียวัตถุ และความงามของพระอารามในสมัยนั้นอย่างละเอียด ปัจจุบันทางวัดได้อนุรักษ์
กุฏิซึ่งท่านเคยจ�ำพรรษาไว้ในฐานะบ้านกวี ตั้งช่ือว่า กุฏิสุนทรภู่ และหล่อรูปครึ่งตัวของท่านเม่ือยังเป็น
พระภิกษุ ประดษิ ฐานไว้เป็นอนสุ รณ์
ธรรมมาสน์ ธรรมาสน์แสดงพระธรรมเทศนาในพระอุโบสถ ได้รับพระราชทานเป็นเคร่ืองสังเค็ด
ในการถวายพระเพลงิ พระบรมศพพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอยู่หวั
พระอารามหลวง เลม่ ๑ 17
วดั นรนาถสนุ ทริการาม
ประวตั ิความเป็นมา
วดั นรนาถสุนทรกิ าราม เดิมชื่อวา่ วัดเทพยพลี บางคนเรียกว่า วัดฉิมพลี สร้างสมัยรชั กาลที่ ๒
ในปพี ทุ ธศกั ราช ๒๓๙๔ รชั กาลที่ ๔ โปรดใหข้ ดุ คลองผดงุ กรงุ เกษมและคลองนตี้ ดั ผา่ นพน้ื ทข่ี องวดั
สมัยต้นรัชกาลท่ี ๕ พระยาโชฎึกราชเศรษฐี (เสถียน โชติกเสถียร) กับคุณหญิงสุ่น ภรรยา
ไดม้ จี ติ ศรทั ธาสละทรพั ยป์ ฏสิ งั ขรณข์ นึ้ ใหมโ่ ดยสรา้ งพระอโุ บสถ พระวหิ าร ศาลาการเปรยี ญ พระเจดยี ์ และกฏุ ิ
คร้ันปฏิสังขรณ์เสร็จเรียบร้อย ได้น้อมเกล้าฯ ถวายแด่รัชกาลท่ี ๕
พระองค์ทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง และได้ทรงเปล่ียนเป็นวัด
ฝา่ ยธรรมยตุ กิ นกิ าย พระราชทานนามวา่ วัดนรนาถสนุ ทรกิ าราม
สมัยรัชกาลที่ ๗ ทรงเห็นความทรุดโทรมของวดั ในคราว
เสด็จพระราชด�ำเนินไปทรงถวายผ้าพระกฐิน จึงโปรดให้ซ่อมแซม
ทั้งวัด ต่อมาปีพุทธศักราช ๒๔๗๕ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนอู่ทอง
เขตขตั ิยนารี พระราชธิดาในพระวิมาดาเธอ กรมพระสุทธาสนิ นี าฎฯ
ได้ทรงซ่อมพระอุโบสถ พระวิหาร และกุฏิสงฆ์อีกคร้งั หนึง่
หลังสงครามโลกครั้งท่ีสอง ปูชนียวัตถุสถานภายในวัด
แตกร้าวหกั พงั ทางวัดได้ท�ำการบูรณปฏิสงั ขรณ์ สรา้ งกุฏิสงฆ์ และ
ศาลาการเปรยี ญ
18 พระอารามหลวง เลม่ ๑
สถานะและทีต่ ง้ั
วดั นรนาถสนุ ทรกิ าราม เปน็ พระอารามหลวงชนั้ ตรี ชนดิ สามญั ตง้ั อยเู่ ลขท่ี ๖๖ แขวงวดั สามพระยา
เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มที ี่ดินตัง้ วดั เน้ือท่ี ๑๓ ไร่ ๒ งาน ๓๗ ตารางวา
สงิ่ สำ�คญั
พระอโุ บสถ เปน็ อาคารกอ่ อฐิ ถอื ปนู ลกั ษณะทรงไทย
มงุ ดว้ ยกระเบอื้ งเคลอื บ ประดบั ชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์ หนา้ บนั
ดา้ นหนา้ และดา้ นหลงั ใชป้ นู ปน้ั เปน็ ลายเถาเปลว ตรงกลางหนา้ บนั
มีรูปปูนปั้นพระอินทร์ประทับน่ังบนแท่น ลงรักปิดทอง
ประดับกระจกสี พื้นปูด้วยแผ่นหินอ่อน ฝาผนังด้านนอก
ฉาบด้วยปูน ซุ้มประตูหน้าต่างด้านนอกเป็นปูนปั้น
ลายดอกไม้ทุกช่อง ฝาผนังด้านในฉาบปูนทาสีทอง
บานประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน�้ำลายดอกไม้
ก้านแย่ง ด้านในเขียนภาพพระพุทธประวัติด้วยสีน้�ำมันทุกบาน
มรี ะเบียงดา้ นหน้าและดา้ นหลัง
พระประธาน เป็นพระพทุ ธรูปลงรกั ปดิ ทอง ปางมารวิชยั
พระวิหาร เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ลักษณะแบบจีน หลังคา
มุงกระเบื้องเคลือบ มีระเบียงล้อมรอบก่ออิฐถือปูน ด้านหน้ามีรูปปั้น
สงิ โตคู่ ยนื หนั หนา้ เขา้ หากนั สรา้ งเม่ือปีพทุ ธศกั ราช ๒๔๑๘
พระอารามหลวง เลม่ ๑ 19
พ ร ะ เ จ ดี ย ์ ลั ก ษ ณ ะ ก ่ อ อิ ฐ ถื อ ปู น
ลักษณะทรงกลม ภายในเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก
สูง ๒๐ เมตร สรา้ งเม่อื ปีพุทธศักราช ๒๔๑๘
ศาลาการเปรียญ เป็นอาคารก่ออิฐ
ถือปูน ปูด้วยไม้กระดาน หลังคาไม้มุงด้วยกระเบื้อง
สรา้ งเม่ือปีพุทธศกั ราช ๒๔๑๘
หอไตร โครงสร้างเป็นไม้สักและเสา
คอนกรตี เสริมเหล็ก ๓ ตน้
พระพทุ ธบาทจ�ำลอง ประดษิ ฐานอยดู่ า้ นหนา้
ซุม้ พระพทุ ธรูปปางหา้ มสมทุ ร
20 พระอารามหลวง เล่ม ๑
วดั บวรนเิ วศวิหาร
ประวตั คิ วามเปน็ มา
วัดบวรนิเวศวิหาร สร้างข้ึนในสมัยรัชกาลที่ ๓ ในระหว่างพุทธศักราช ๒๓๖๗-๒๓๗๕
โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ สร้างใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาสท่ีสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ
เจ้าฟา้ กรมขุนอิศรานุรักษท์ รงสร้าง เรียกนามขณะนนั้ วา่ วดั ใหม่
พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้เล่ือนสมณศักด์ิ สมเด็จพระอนุชาธิราช
เจ้าฟ้ามงกุฎ ซึ่งผนวชจ�ำพรรษาอยู่ ณ วัดราชาธิวาส ข้ึนเสมอเจ้าคณะรอง และเชิญเสด็จมาครองวัดน้ี
ในปีพุทธศักราช ๒๓๗๙ โดยจัดขบวนแห่เหมือนอย่างพระมหาอุปราชแล้วจึงได้พระราชทานนามวัดว่า
วัดบวรนิเวศวิหาร หรือเรียกส้ัน ๆ ว่า วัดบน ขณะท่ีทรงผนวชอยู่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้ทรงปรับปรุงวางหลักเกณฑ์ความประพฤติปฏิบัติของพระสงฆ์ประพฤติปฏิบัติตามอย่างพระองค์มากข้ึน
ซงึ่ เรียกคณะสงฆน์ ว้ี า่ คณะธรรมยตุ กิ นกิ าย
พระอารามหลวง เลม่ ๑ 21
สมัยรัชกาลที่ ๖ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชด�ำริว่า วัดรังษีสุทธาวาส
อยตู่ ิดกบั วัดบวรนิเวศ มสี ภาพทรุดโทรมมาก จงึ โปรดให้ยุบรวมเข้าเป็นวดั เดยี วกบั วัดบวรนเิ วศวหิ าร เรยี กวา่
คณะรังษี และหลังจากถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลา้ เจ้าอยูห่ วั พระบาทสมเดจ็
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้อัญเชิญพระบรมราชสรีรังคารมาบรรจุไว้ ณ ใต้บัลลังก์พระพุทธชินสีห์
ในพระอุโบสถ เมื่อวันท่ี ๒๕ มนี าคม พทุ ธศกั ราช ๒๔๖๘
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงผนวชท่ีวัดพระศรีรัตนศาสดาราม
ปพี ทุ ธศักราช ๒๔๙๙ แลว้ เสดจ็ มาประทบั ทีว่ ัดนี้
สถานะและทต่ี ัง้
วัดบวรนิเวศวหิ าร เป็นพระอารามหลวงชัน้ เอก ชนดิ ราชวรวิหาร ต้งั อย่เู ลขท่ี ๒๔๘ ถนนพระสเุ มรุ
แขวงบวรนเิ วศ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีที่ดินตัง้ วดั เน้ือท่ี ๓๑ ไร่ ๙๓ ตารางวา
สง่ิ ส�ำคญั
พระอุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ลักษณะทรงตรีมุข
หันหน้าไปทางทิศเหนือ หลังคามุงกระเบ้ืองเคลือบลูกฟูกแบบจีน
หน้าบันประดับลวดลายด้วยกระเบื้องเคลือบ ตรงกลางเป็นตรา
พระมหามงกุฎและพระแสงขรรค์ประดิษฐานเหนือพานแว่นฟ้า
ผนังภายนอกบดุ ว้ ยหินอ่อน หัวเสาสลกั เป็นลายใบผักกาดเทศ ผนงั ด้านหน้า
มีใบเสมาศิลาติดอยู่ท่ีผนัง ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นปูนปั้นปิดทอง
บานประตูหน้าต่างด้านนอกแกะสลัก ผนังภายในมีภาพจิตรกรรม
ฝีมือขรัวอินโข่ง จิตรกรผู้มีช่ือเสียงท่านหน่ึงของกรุงรัตนโกสินทร์
แบ่งเน้ือเร่ืองออกเป็น ๒ ตอน ตอนบน เหนือหน้าต่างเป็นภาพฝร่ัง
แสดงปริศนาธรรม ตอนล่าง ระหว่างช่องหน้าต่าง เป็นภาพเก่ียวกับ
ขนบธรรมเนียมทางพระพุทธศาสนา ท่ีต้นเสาระบายพื้นเป็นสีต่าง ๆ
เขียนลวดลาย และภาพปริศนาธรรมฉฬาภิชาติ ภาพเหล่าน้ีพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชด�ำริให้เขียนขึ้น ต้ังแต่
ยังทรงผนวชและครองพระอารามนี้ ภายในประดิษฐานพระสุวรรณเขต
พระพุทธชินสหี ์ และพระอฏั ฐารส
บนฐานชุกชีเบ้ืองหน้าพระพุทธชินสีห์มีพระรูปสมเด็จ
พระสังฆราชเจา้ ประดษิ ฐานอยู่ ๓ องค์ องค์กลาง คอื พระรูปสมเดจ็
พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์ หล่อเมื่อปี
พุทธศักราช ๒๔๕๙ องค์ซ้าย คือ พระรูปสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส หล่อเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๖๒
องคข์ วา คือ พระรูปสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ กรมหลวงวชิรญาณวงศ์
หลอ่ เมอื่ ปีพทุ ธศักราช ๒๕๐๗
22 พระอารามหลวง เลม่ ๑
พระอโุ บสถนี้ สมเด็จพระบวรราชเจา้ มหาศักดิพลเสพทรงสร้าง
แต่ยังนับว่าไม่บริบูรณ์ เม่ือพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จมาครองพระอารามน้ีขณะด�ำรงสมณเพศ ในรัชกาลที่ ๓
ได้ทรงบูรณะเพ่ิมเติม เช่น เขียนภาพจิตรกรรมภายใน ท�ำซุ้มสาหร่าย
มีตรามงกุฎเบือ้ งหนา้ พระพทุ ธชินสหี ์ เปน็ ตน้ เมื่อเสด็จขึ้นครองราชยแ์ ลว้
ได้ทรงบูรณะอีก สังเกตได้จากลายพระมหามงกุฎและพระแสงขรรค์
ทหี่ น้าบนั และเดิมผูกพัทธสมี าเพยี งมขุ หน้า พระองค์ไดข้ อพระราชทาน
พระบรมราชานญุ าตจากรชั กาลท่ี ๓ ผกู พทั ธสมี าใหม่ทั้ง ๓ มุข ต่อมา
ปีพุทธศักราช ๒๓๙๐ ได้ขยายพัทธสีมาออกไปอีก โดยก�ำหนดนิมิต
๖ แหง่ ด้านหนา้ ก�ำหนดด้วยรุกขนิมติ คอื ตน้ จันทน์ ๒ ตน้ ด้านข้าง
ก�ำหนดด้วยอุทกนิมิต คือ บ่อน�้ำ ๒ แห่ง ด้านหลังก�ำหนดด้วยปาสาณ
นิมิต คือ หลักศิลา ๒ แห่ง รอบพระอุโบสถล้อมด้วยก�ำแพงแก้วกรุ
กระเบือ้ งปรุ
พระประธาน พระนามวา่ พระสวุ รรณเขต หรอื เรยี กวา่ หลวงพอ่ โต หรอื หลวงพอ่ เพชร ประดษิ ฐาน
อยดู่ า้ นในสดุ สมเดจ็ พระบวรราชเจา้ มหาศกั ดพิ ลเสพ อญั เชญิ มาจากวดั สระตะพานจงั หวดั เพชรบรุ ี เปน็ พระพทุ ธรปู
โลหะ ลงรักปิดทอง ปางมารวิชัย พระยาช�ำนิหัตถการ ได้เลาะเม็ดพระศกเดิมออก ประดับเม็ดพระศกใหม่
ดว้ ยดนิ เผาใหข้ นาดเลก็ ลง แลว้ ลงรกั ปดิ ทอง ดา้ นขา้ งพระพทุ ธรปู องคน์ มี้ รี ปู พระอคั รสาวกปนู ปน้ั ขา้ งละ ๑ องค์
พระพุทธชินสีห์ ประดิษฐานอยู่ด้านหน้า
พระสุวรรณเขต เป็นพระพุทธรูปโลหะ ปางมารวิชัย
สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ อัญเชิญ
มาจากพระวหิ ารทศิ เหนอื ของวดั พระศรรี ตั นมหาธาตุ
จังหวัดพิษณุโลก เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๗๔
เดิมประดิษฐานอยู่มุขหลังของพระอุโบสถ ต่อมา
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ย้าย
พระพุทธชินสีห์มาไว้หน้าพระประธานดังปัจจุบัน
เม่ือปีพุทธศักราช ๒๓๘๐ ได้ติดกะไหล่ทองพระรัศมี
ฝังพระเนตรและพระอณุ าโลมใหม่
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลท่ี ๔ หลังจากเสด็จขึ้นเสวยราชสมบัติแล้ว
โปรดใหแ้ ผแ่ ผน่ ทองค�ำลงยาราชาวดปี ระดบั พระรศั มเี ดมิ
ถวายฉัตรตาด ๙ ช้ัน ถวายผ้าทรงสพักตาด
ต้นไม้เงินทอง และหล่อฐานส�ำริดปิดทองใหม่
สองข้างพระพทุ ธชินสหี ม์ ีรูปพระอัครสาวกซ้ายขวา
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 23
พระอัฏฐารส หล่อขึ้นในสมัยรัชกาลท่ี ๓ ประดิษฐานอยู่
ทางมขุ ทิศตะวันออกและตะวนั ตกของพระอโุ บสถมุขละ ๑ องค์ เปน็
พระพุทธรปู ยืนปางหา้ มสมุทร มพี ระอัครสาวกซ้ายขวาทัง้ ๒ องค์
ซมุ้ ปรางคพ์ ระพทุ ธรูป อยู่ข้างพระอุโบสถนอกก�ำแพงแกว้
ข้างละซุ้ม ด้านหน้าทิศตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปยืน
ปางเสด็จลงจากดาวดึงส์ สมัยทวาราวดี สมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงอัญเชิญมาจากวัดตองปุ จังหวัดลพบุรี
ซุม้ ปรางคด์ า้ นหนา้ ทิศตะวนั ตก ประดิษฐานพระพุทธรูป พระไวโรจนะ
ธยานิพุทธเจ้า เป็นพระพุทธรูปศิลา อัญเชิญมาจากบุโรพุทโธ
ในเกาะชวา เม่ือปีพุทธศกั ราช ๒๔๓๙ ซ้มุ ปรางคด์ ้านหลังทศิ ตะวันออก
ประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู นาคปรกศลิ า ซมุ้ ปรางคท์ ศิ ตะวนั ตกประดษิ ฐาน
พระพุทธรูปนาคปรกเช่นกัน แต่เศียรเป็นปูนปั้นต่อใหม่ ซุ้มปรางค์นี้
เดิมเป็นหอระฆังน้อย แล้วซ่อมแปลงเป็นซุ้มพระพุทธรูปเมื่อปี
พุทธศกั ราช ๒๔๕๕
พระพุทธบาทโบราณ ประดิษฐานภายในศาลาติดก�ำแพงด้านทิศตะวันตก เป็นรอยพระบาทคู่
สลักบนศิลาแผ่นใหญ่ ยาว ๓.๖๐ เมตร กว้าง ๒.๑๗ เมตร หนา ๒๐ เซนติเมตร รอบรอยพระพุทธบาท
สลักภาพพระอสีติมหาสาวกมีตัวอักษรบอกชื่อ และด้านข้างแผ่นหินด้านปลายพระบาทมีค�ำจารึกภาษามคธ
อักษรขอม ๗ บรรทัด รอยพระพุทธบาทน้ีสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ทรงได้มาจาก
จังหวัดชัยนาท ประดิษฐานไว้ท่ีวัดบวรสถานสุทธาวาส (วัดพระแก้ววังหน้า) รัชกาลที่ ๕ โปรดให้ย้ายมา
เม่ือปีพุทธศักราช ๒๔๕๒
พลับพลาเปล้ืองเคร่ือง เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนอยู่ติดก�ำแพงด้านหน้า ใกล้กับซุ้มประตูเซ่ียวกาง
เปน็ พลับพลาขนาดยอ่ ม หลงั คาลด ๒ ช้ัน มชี ่อฟ้า ใบระกา หนา้ บนั มลี ายปูนปนั้ รปู พระมหามงกฎุ ประดิษฐาน
บนพานแว่นฟ้าแวดล้อมด้วยฉัตร บานประตูหน้าต่างเขียนสีลายพุ่มข้าวบิณฑ์ ด้านหน้าก�ำแพงมีเกยเทียบ
พระราชยาน ด้านในก�ำแพงมีบันได ๒ ข้าง เคยใช้เป็นท่ีประทับเปลี่ยนเคร่ืองทรงของพระมหากษัตริย์
เมือ่ เสด็จพระราชด�ำเนนิ โดยขบวนพยหุ ยาตรา
24 พระอารามหลวง เล่ม ๑
ประตูเซ่ียวกาง เป็นซุ้มประตูใหญ่ของก�ำแพงหน้าพระอุโบสถ มีลักษณะเลียนแบบศิลปะจีน
หลังคาซุ้มมุงกระเบ้ืองลอน หน้าบันประดับด้วยกระเบื้องปรุ บานประตูสลักเป็นอารักษ์ทวารบาลแบบจีน
ทเ่ี รียกว่า เซย่ี วกาง
ศาลาแดง ตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือสองข้างทางเข้าพระอุโบสถ เดิมเป็นศาลาที่ประทับในงาน
พระเมรุต้ังแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ ต้ังอยู่ริมก�ำแพงด้านนอก ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดใหย้ ้ายมาสรา้ งในก�ำแพงเมอื่ ปพี ุทธศกั ราช ๒๔๕๒ เปน็ ศาลาโถงทรงไทยทาสแี ดง
พระเจดีย์ สมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ ทรงสร้างในปีพุทธศักราช ๒๓๗๔ ในสมัย
รัชกาลท่ี ๓ ถึงสมัยรัชกาลที่ ๔ โปรดให้บูรณะแก้ไขพระเจดีย์ท่ีทรุดเอียงให้ตรง และให้หล่อรูปสิงห์
ม้า ช้าง และนกอนิ ทรดี ว้ ยส�ำริดตัง้ บนหลงั ซุ้มพระเจดยี ์ สมยั รชั กาลที่ ๖ มกี ารโบกปนู ใหม่และติดสายลอ่ ฟา้
ถงึ รัชกาลปัจจุบนั ไดม้ กี ารบูรณะปิดกระเบ้ืองสที องทอ่ี งค์พระเจดยี ์ในปีพทุ ธศกั ราช ๒๕๐๖
ลักษณะพระเจดีย์เป็นพระเจดีย์กลมขนาดใหญ่
มีฐานทักษิณส่ีเหล่ียม ๒ ช้ัน ท่ีองค์พระเจดีย์มีซุ้ม ๔ ซุ้ม ท่ีฐาน
ทักษิณช้ันบนมีซุ้มยอดปรางค์ ๔ มุม ประดิษฐานพระพุทธรูปยืน
ซุ้มด้านหน้าประดิษฐานพระบรมรูปหล่อของพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านเหนือมีเก๋งประดิษฐานพระไพรีพินาศ
ฐานทักษิณช้ันล่างมีทิมคดหลังคาเก๋ง ๔ มุม คูหาภายในพระเจดีย์
ประดิษฐานพระเจดีย์กะไหล่ทอง
บรรจพุ ระบรมธาตุ มฐี านศลิ าสลกั
เรื่องปฐมสมโพธิและพุทธวจนะ
หน้าพระเจดีย์ทองน้ีมีพระเจดีย์
ศิลาบรรจุพระพุทธวจนะ ซ่ึง
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ ัวโปรดใหส้ รา้ งขึ้น ๑ องค์
เรียกวา่ พระไพรีพินาศเจดยี ์
การบูรณะพระเจดีย์ระหวา่ งปพี ทุ ธศกั ราช ๒๕๐๗-๒๕๐๘ ทางวัดไดข้ อใหก้ รมศิลปากรสรา้ งเทวรูป
๖ องค์ มาประดษิ ฐานที่ฐานทักษณิ ช้นั ลา่ งของพระเจดีย์ เปน็ เทวรูปปนู ปนั้ ทาสีคล้ายศิลา ทิศเหนือประดิษฐาน
รปู พระพรหม และพระวสิ สุกรรม ทศิ ใต้ประดษิ ฐานรปู พระศิวะ และพระนารายณ์ ทิศตะวันตกประดษิ ฐาน
พระปญั จสงิ ขร และพระปรคนธรรพ
ในวโรกาสพระบาทสมเดจ็ พระเจา้ อยู่หวั ทรงครองสริ ิราชสมบตั คิ รบ ๖๐ ปี รฐั บาลไดบ้ รู ณปฏิสงั ขรณ์
พระเจดยี ์ เพอื่ เฉลิมพระเกยี รติ พุทธศกั ราช ๒๕๔๙
หอพระไตรปิฎก สร้างพร้อมกับพระอุโบสถ สันนิษฐานว่าน�ำพระไตรปิฎกฉบับพระราชวัง
บวรสถานมงคลมาประดิษฐาน เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จมาประทับแล้ว ต้ังอยู่
ทางทศิ ตะวันออกของพระเจดีย์
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 25
ศาลาการเปรียญ สร้างสมัยเดียวกับหอพระไตรปิฎก ต้ังอยู่ทางตะวันตกของพระเจดีย์ ภายใน
ประดิษฐานพระพทุ ธรูปปางลลี าสมัยสโุ ขทยั และพระพทุ ธรูปยืน ขนาดยอ่ มลงมาอกี ๒ องค์ ยกพระหตั ถ์ซา้ ย
องคห์ น่งึ ยกพระหัตถข์ วาองคห์ นึง่
ศาลาฤาษี ๔ หลัง ต้ังอยู่สี่มุมพระเจดีย์ มุมละ ๑ หลัง พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
ทรงบริจาคพระราชทรัพย์ถวายพระสงฆเ์ ปน็ ปัจจัยมลู องค์ละ ๒๐ บาท และพระสงฆ์ในวดั ไดร้ ว่ มบริจาคเงนิ
ร่วมกันสร้างศาลาข้ึน ภายในศาลาท�ำชอ่ งไว้รปู ฤาษีดดั ตนบา้ ง และศลิ าจารึกต�ำรายาบา้ ง
วิหารเก๋ง เป็นวิหารขนาด ๓ ห้อง มีเก๋งโถง ๒ ข้าง
ต้ังอยู่ระหว่างพระเจดีย์และพระวิหารพระศาสดา พระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างเพ่ือประดิษฐานพระพุทธรูป
ฉลององค์ของเจ้าอาวาส ในสมัยรัชกาลท่ี ๕ ทรงบูรณะและโปรดให้
ประดบั ตกแตง่ ดว้ ยลวดลายอยา่ งจนี เขยี นภาพจติ รกรรมเรอ่ื งสามกก๊
ภายในประดษิ ฐานพระพทุ ธรปู ๓ องค์ องคก์ ลางหนั พระพกั ตร์ไปทาง
ทศิ ใตเ้ ปน็ พระพทุ ธรปู ยนื ทรงเครอ่ื ง พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้
เจ้าอยู่หัว โปรดให้หล่อเป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์ในสมเด็จพระบรมชนกนาถ ถวายพระนามว่า
พระพุทธวชิรญาณ อัญเชิญมาประดิษฐานเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๒๘ องค์ท่ีประดิษฐานทางด้านสกัด
ทิศตะวันออก เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวริยาลงกรณ์
หล่อและประดิษฐานพร้อมกับพระพุทธวชิรญาณ เป็นพระพุทธรูปยืนครองจีวรคลุม ๒ พระอังสา พระนามว่า
พระพุทธปัญญาอังคะ เบ้ืองลา่ งบรรจพุ ระองั คารสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้ ฯ องคท์ ปี่ ระดษิ ฐานทางดา้ นสกัด
ทิศตะวันตก เป็นพระพุทธรูปฉลองพระองค์และบรรจุพระอังคารของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดให้สร้างและน�ำมาประดษิ ฐานในปพี ทุ ธศกั ราช ๒๔๗๓ เปน็ พระพทุ ธรูปยนื
พระวิหารพระศาสดา พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างในปีพุทธศักราช
๒๔๐๙ เดิมทีเป็นคูและที่ต้ังคณะลังกา แต่โปรดให้ถมและรื้อเพื่อสร้างพระวิหาร พระวิหารหลังนี้มีขนาด
๕ ห้อง มีเฉลียงรอบ ภายในแบ่งเป็น ๒ ตอน คือ
ทางทิศตะวันออก ๓ ห้อง ประดิษฐานพระศาสดา
ทิศตะวันตก ๒ ห้อง ประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์
การก่อสร้างค้างมาจนถึงรัชกาลที่ ๕ โปรดให้สร้างต่อ
จนแล้วเสรจ็
26 พระอารามหลวง เล่ม ๑
ศาลาจาน ตง้ั อยบู่ รเิ วณประตเู ขา้ พระต�ำหนกั เพชร
ใกล้ต้นโพธ์ิ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยา
ปวเรศวรยิ าลงกรณ์ โปรดใหส้ รา้ งขน้ึ ทางหนา้ พระต�ำหนกั
ผนงั ประดบั ดว้ ยถว้ ยจานของเก่า
พระต�ำหนักปั้นหยา พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างเพ่ือพระราชทาน
เป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวช ต่อมาเป็นที่ประทับของ
พระมหากษัตริย์และเจ้าฟ้าซึ่งทรงผนวชและประทับ
ณ พระอารามนี้ กล่าวกันว่าย้ายมาจากสวนขวา ได้รับ
การบูรณะครั้งแรกสมัยรัชกาลที่ ๔ และมีศิลาจารึก
พระราชด�ำรัสในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ห้ามมใิ ห้สตรีเพศเข้าไป
รชั กาลที่ ๕ หลงั จากสรา้ งพระต�ำหนกั ทรงพรต
และหอสหจรแล้วเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๓ เจ้านาย
ที่ทรงผนวชก็เสด็จไปประทับท่ีพระต�ำหนักทรงพรต
พระต�ำหนักปัน้ หยาจึงเปน็ ทป่ี ระทบั ตามประเพณเี ทา่ นั้น
พระต�ำหนักเดิม อยู่ใกล้กับพระต�ำหนักปั้นหยา เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๒ ชั้น พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างเพ่ือพระราชทานพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวขณะทรงผนวช
สรา้ งเสรจ็ สมัยรัชกาลท่ี ๔ โปรดใหเ้ ปน็ ทป่ี ระทบั ของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาปวเรศวรยิ าลงกรณ์
ปีพุทธศักราช ๒๔๓๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ถวายวิสุงคามสีมาเขต พระต�ำหนักนี้
แก่สมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ เพ่ือทรงกระท�ำอุโบสถสังฆกรรมในยามประชวร ต่อมาใช้เป็นท่ีประทับ
ของสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชริ ญาณวโรรส หลงั จากสิน้ พระชนม์แลว้ ทางวัดได้รักษาส่งิ ต่าง ๆ
ในพระต�ำหนักใหค้ งสภาพเดมิ เพอื่ เป็นอนุสรณแ์ ดพ่ ระองค์
พระต�ำหนักจันทร์ อยู่หน้าพระต�ำหนักเดิม
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้
สร้างด้วยพระราชทรัพย์ของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ
เจ้าฟ้าจันทราสรัทวาร กรมขุนพิจิตรเจษฎ์จันทร์
ถวายเป็นที่ประทับของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส พระราชทานนามว่า
พระตำ� หนกั จนั ทร์ ตามพระนามสมเดจ็ พระเจา้ ลกู เธอ
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 27
พระต�ำหนกั เพชร อยตู่ ดิ กบั พระต�ำหนกั จนั ทร์
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้
สรา้ งขนึ้ เปน็ ทอ้ งพระโรงของสมเดจ็ พระมหาสมณเจา้
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เมือ่ ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๔๕๗
ในสถานท่ีซึ่งเคยเป็นที่ตั้งโรงพิมพ์มหามกุฏราช
วิทยาลัย หลังจากสมเด็จพระมหาสมณเจ้าฯ
สิ้นพระชนม์แล้วใช้เป็นท่ีประชุมบ�ำเพ็ญกุศลถวาย
บางโอกาส ใช้เป็นท่ีประชุมกรรมการมหาเถรสมาคม
และเป็นที่ประชุมเก่ียวกับกิจการของมหามกุฏ
ราชวิทยาลัย ในห้องพระฉากเป็นท่ีประดิษฐาน
พระบรมรูปหล่อด้วยโลหะของพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกลา้ เจ้าอยหู่ ัว
พลับพลาสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ อยู่ติดกับรั้วเหล็กด้านทิศตะวันออกของต�ำหนักจันทร์
เปน็ พลบั พลาทป่ี ระทบั ของสมเดจ็ พระศรสี รุ เิ ยนทรามาตย์ ในปพี ทุ ธศกั ราช ๒๔๕๕ ยา้ ยมาปลกู ยงั สถานทปี่ จั จบุ นั
พระต�ำหนักบัญจบเบญจมา พระเจา้ บรมวงศเ์ ธอ พระองคเ์ จา้ บัญจบเบญจมา ทรงอุทศิ ทุนทรพั ย์
สร้างเป็นอาคารคอนกรตี เสรมิ เหลก็ มุงกระเบอื้ ง ๒ ชน้ั มี ๒ ตอน เปน็ ท่ปี ระทับของสมเดจ็ พระมหาสมณเจ้า
กรมหลวงวชริ ญาณวงศ์
พระต�ำหนักล่าง เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กมุงกระเบื้อง ๒ ชั้น มีมุขสั้น ๓ มุข ยาว ๑ มุข
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้สร้างเป็นท่ีประทับของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า
กรมพระยาวชิรญาณวโรรส เรยี กวา่ พระต�ำหนักลา่ ง เมื่อทรงย้ายไปประทับที่พระต�ำหนกั จันทร์ ได้ทรงอุทศิ
พระต�ำหนักล่างเป็นโรงเรียนพระปริยัติธรรม ปัจจุบันใช้เป็นส�ำนักงานคณะธรรมยุต กองอ�ำนวยการ
มหามกุฏราชวทิ ยาลยั ส�ำนกั ฝกึ อบรมพระธรรมทตู ไปตา่ งประเทศ
วัดบวรนิเวศวิหารเป็นพระอารามหลวงที่มีความส�ำคัญมากในอดีตคือ เป็นสถานที่ประทับของ
พระมหากษัตริยแ์ ละพระบรมวงศานวุ งศเ์ มอ่ื ทรงผนวช
28 พระอารามหลวง เลม่ ๑
วัดบรุ ณศริ ิมาตยาราม
ประวตั ิความเป็นมา
วัดบุรณศิริมาตยาราม สร้างโดยเจ้าพระยาสุธรรมมนตรี (บุญศรี) ขณะด�ำรงต�ำแหน่ง
พระยาพิพิฒน์โกษา สร้างข้ึนในสถานที่ซึ่งเป็นบ้านเกิดของท่าน พระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว
โปรดพระราชทานนามว่า วัดศิริอ�ำมาตยาราม ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน
นามใหม่ว่า วัดบุญศิริมาตยาราม ปัจจุบันเรียกว่า วัดบุรณศิริมาตยาราม แต่ไม่ปรากฏหลักฐานหรือเหตุผล
ของการเรียกดงั กล่าว
นับตั้งแต่สร้างพระอารามเป็นต้นมา ได้มีการบูรณปฏิสังขรณ์และสร้างเสนาสนะต่าง ๆ โดย
พระสงฆแ์ ละผู้มจี ติ ศรัทธา ถงึ สมยั พระเนกขมั มุนี (เสน) ด�ำรงต�ำแหนง่ เจา้ อาวาส ได้มีการบรู ณปฏสิ งั ขรณ์
และปรับปรงุ เสนาสนะต่าง ๆ อาทิ พระอุโบสถ พระเจดยี ์ และกฏุ สิ งฆ์
สถานะและท่ีตงั้
วัดบุรณศิริมาตยาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี
ชนิดสามญั ต้งั อย่เู ลขท่ี ๕ ถนนอัษฎางค์ แขวงศาลเจา้ พ่อเสือ
เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีท่ีดินต้ังวัด เน้ือท่ี ๘ ไร่
๑ งาน ๖๔ ตารางวา
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 29
สิ่งส�ำ คญั
พระอุโบสถ เป็นอาคาร
ก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง
ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์
มีพาไลหน้าหลังสองด้าน หน้าบัน
ประดบั กระจกสเี ป็นลวดลาย บานประตู
หนา้ ตา่ งเขยี นลายรดนำ�้ เพดานและขอื่
มีลายทอง มีก�ำแพงแก้วล้อมรอบ
ที่มุมก�ำแพงแก้ว ด้านหน้าพระอุโบสถ
มีซุ้มสี่เหล่ียมเล็ก ๆ ข้างละ ๑ ซุ้ม
หน้าพระอุโบสถ มีศาลาเก๋ง ๑ หลัง
ปพี ทุ ธศกั ราช ๒๔๕๑ ไดบ้ รู ณปฏสิ งั ขรณ์ใหมท่ งั้ หลงั เปลย่ี น
กระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องพ้ืนพระอุโบสถจากกระเบ้ืองหน้าวัว
เปน็ กระเบือ้ งซีเมนตม์ ีลาย เขียนลายทองทีเ่ สาพระอุโบสถทกุ เสา
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขนาดหนา้ ตัก
กว้าง ๑ ศอก ๒๐ น้ิว และมพี ระพทุ ธรูปขนาดต่าง ๆ
30 พระอารามหลวง เล่ม ๑
พระเจดีย์ ลักษณะกอ่ อฐิ ถอื ปนู ย่อไมส้ บิ สอง
อยู่หลังพระอุโบสถ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานพระราชทรัพย์ เป็น
คา่ ก่อสรา้ งรวม ๘๐ ช่งั
ปีพุทธศักราช ๒๔๕๑ ปลียอดพระเจดีย์
ถูกพายุพัดหัก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวง
สรรพศาสตร์ศุภกิจ ได้ประทานเงินเป็นค่าบูรณะ
ท�ำปลียอดขน้ึ ใหม่
ศาลาการเปรียญ เป็นอาคารคอนกรีต
เสรมิ เหลก็ ลักษณะทรงไทย สร้างเมื่อปีพุทธศักราช
๒๕๒๕
หอระฆัง เปน็ อาคารก่ออฐิ ถือปูน ลกั ษณะ
ศลิ ปะแบบจนี ผสมยุโรป
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 31
วัดปรนิ ายก
ประวัตคิ วามเป็นมา
วัดปรินายก สร้างสมัยรัชกาลที่ ๒ โดยเจ้าพระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี) เมื่อคร้ัง
ยังเป็นพระพรหมสุรินทร์ ต้ังชื่อว่า วัดพรหมสุรินทร์ และได้สร้างเสนาสนะเพิ่มข้ึน ถึงสมัยรัชกาลท่ี ๓
แต่ยังไมแ่ ลว้ เสรจ็
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงรับไว้เป็นพระอารามหลวง โปรดให้
หล่อพระพทุ ธรูปประธานในพระอุโบสถ และโปรดให้สรา้ งจนเสรจ็ บรบิ รู ณ์ พระราชทานนามวา่ วัดปรนิ ายก
เพื่อเปน็ อนุสรณ์แด่เจา้ พระยาบดินทรเดชา (สิงห์ สงิ หเสน)ี
สถานะและที่ตงั้
วัดปรนิ ายก เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนดิ วรวหิ าร ตัง้ อย่เู ลขท่ี ๑ ถนนปรินายก แขวงบ้านพานถม
เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร มีที่ดนิ ตั้งวดั เน้ือท่ี ๗ ไร่ ๒ งาน ๕๕ ตารางวา
32 พระอารามหลวง เลม่ ๑
ส่ิงส�ำ คญั
พระอุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคามุง
กระเบ้อื ง ประดบั ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หนา้ บันมีรูปครุฑ
ปิดทอง ประดบั กระจก ซัมุ ประตูและหนา้ ตา่ งลายปูนปัน้
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปส�ำริด ปางมารวิชัย ศิลปะสมัยสุโขทัย ซึ่งเจ้าพระยาบดินทรเดชา
อญั เชญิ มาประดษิ ฐานไว้ เดมิ เรยี กวา่ พระสารภี พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยหู่ วั เสดจ็ พระราชด�ำเนนิ
วัดปรินายก ไดท้ อดพระเนตรพระพุทธรูป มลี กั ษณะงดงาม พระราชทานนามวา่ พระสุรภพี ทุ ธพิมพ์
หอระฆัง เป็นอาคารกอ่ อฐิ ถือปูน ทรงสเ่ี หลี่ยม
สร้างเม่ือปพี ุทธศกั ราช ๒๔๖๔ อยู่ในก�ำแพงวิปสั สนา
ศาลาการเปรยี ญ เปน็ อาคารไม้ ลกั ษณะทรงไทย
เดมิ เปน็ ต�ำหนกั ราชวงศ์ สมยั รชั กาลท่ี ๕ อย่ใู กลพ้ ระอโุ บสถ
พระอารามหลวง เล่ม ๑ 33
วดั พระเชตุพนวมิ ลมงั คลาราม
ประวตั ิความเปน็ มา
วดั พระเชตพุ นวมิ ลมงั คลาราม เปน็ วดั โบราณ สรา้ งตง้ั แตส่ มยั กรงุ ศรอี ยธุ ยา เดมิ ชอื่ วา่ วดั โพธาราม
ไมป่ รากฏประวตั ิการสรา้ ง
ในปีพุทธศักราช ๒๓๑๑ เมื่อสมเด็จพระเจ้า
กรุงธนบุรี ทรงสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานี
โดยก�ำหนดเขตท้ังสองฝั่งแม่น้�ำเจ้าพระยาให้แม่น้�ำผ่าน
กลางพระนคร วดั โพธารามตงั้ อยู่ในเขตก�ำแพงพระนคร
ฝั่งตะวันออก จึงได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์ยกฐานะ
ข้ึนเป็นพระอารามหลวง และมีพระราชาคณะปกครอง
ตลอดสมัยกรุงธนบรุ ี
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
มหาราช โปรดให้ปฏิสังขรณ์วัดโพธารามข้ึนใหม่
ท้ังพระอาราม สรา้ งพระอโุ บสถ พระระเบียง พระวิหาร
ตลอดจนส่ิงก่อสร้างที่จ�ำเป็นอื่น ๆ และสร้างถาวรวัตถุ
แล้วโปรดให้อัญเชิญพระพุทธรูปจากหัวเมืองต่าง ๆ
มาประดิษฐานบริเวณพระอุโบสถ พระวิหารทิศ และ
พระระเบยี ง ฯลฯ แลว้ พระราชทานนามวา่ วดั พระเชตพุ น
วิมลมงั คลาวาส
34 พระอารามหลวง เลม่ ๑
พทุ ธศักราช ๒๓๗๕-๒๓๙๑ พระบาทสมเดจ็
พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์
สิ่งใดช�ำรุดทรุดโทรมมากก็ร้ือสร้างใหม่ขยายรูปทรงบ้าง
สร้างเพิ่มขึ้นใหม่บ้าง ส่วนกุฏิสงฆ์สร้างใหม่เป็นตึก
และโปรดให้จารึกสรรพต�ำราต่าง ๆ ๘ หมวด
ลงแผ่นหินอ่อนประดับไว้ตามศาลารายเพ่ือเผยแพร่
ความรแู้ กป่ ระชาชน
ส มั ย รั ช ก า ล ท่ี ๔ พ ร ะ บ า ท ส ม เ ด็ จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ปฏิสังขรณ์พระรัศมี
พระพุทธไสยาสน์ ทรงสถาปนาพระมหาเจดีย์
ประจ�ำรัชกาล และแก้สร้อยนามพระอารามเป็น
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร
พระองค์ทรงริเริ่มพระราชประเพณีอันเน่ืองด้วย
วัดพระเชตุพนอย่างหนึ่ง คือ ประเพณีการเสด็จ
พ ร ะ ร า ช ด�ำ เ นิ น เ ลี ย บ พ ร ะ น ค ร ท า ง ส ถ ล ม า ร ค
เดิมไม่มีประเพณีท่ีพระมหากษัตริย์จะต้องเสด็จไปยัง
วัดพระเชตุพนก่อน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์องค์แรกท่ีเสด็จ
ไปทรงนมัสการพระพุทธเทวปฏิมากร พระประธาน
ในพระอุโบสถวัดพระเชตุพน และทรงบ�ำเพ็ญพระราชกุศล รัชกาลต่อมาจึงถือเป็นพระราชประเพณีว่า
เม่ือเสด็จพระราชด�ำเนินเลียบพระนครโดยทางสถลมารคจะเสด็จไปทรงนมัสการพระพุทธเทวปฏิมากร
ณ พระอุโบสถวัดพระเชตุพน สมัยรัชกาลที่ ๕ และรัชกาลท่ี ๖ ทรงมอบให้กระทรวงโยธาธิการ
บูรณปฏิสังขรณ์จนถึงรัชกาลปัจจุบัน โปรดให้ด�ำเนินการปฏิสังขรณ์ครั้งใหญ่ในปีพุทธศักราช ๒๕๑๔
เป็นตน้ มา
สถานะและที่ต้งั
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม เป็นพระอารามหลวงช้ันเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร ต้ังอยู่เลขท่ี ๒
แขวงพระบรมมหาราชวงั เขตพระนคร กรงุ เทพมหานคร มีทดี่ นิ ตัง้ วัด เน้อื ท่ี ๕๐ ไร่ ๓๘ ตารางวา
พระอารามหลวง เลม่ ๑ 35
สิ่งส�ำ คญั
พระอุโบสถ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน
แบบศิลปะรัตนโกสินทร์ คือ ฐานตรง เสาสี่เหล่ียม
หลังคามุขลด ๓ ช้ัน หลังคามุงกระเบ้ือง ประดับ
ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันประดับลายปูนปั้น
ลายเครือวัลย์ ผนังภายในมีภาพจิตรกรรมเขียนด้วย
สีน้�ำมันเร่ืองพระสาวกท่ีได้รับเอตทัคคะ เสาภายใน
ทั้ง ๑๖ เสา เขียนสีน้�ำมันเป็นลายดอกไม้ก้านแย่ง
สลับนก ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นซุ้มมงกุฎ บานประตู
ดา้ นในเขียนลายรดนำ้� เปน็ ภาพพัดพระราชาคณะ ฐานานกุ รม เปรียญฝ่ายอรัญวาสี และคามวาสี ทั้งในกรุง
และหัวเมือง ประตูด้านนอกประดับมุกเป็นภาพรามเกียรต์ิ บานหน้าต่างด้านนอกแกะสลักปิดทองประดับ
กระจก บานหน้าต่างภายในเขียนลายรดน�้ำเป็นตราเจ้าคณะสงฆ์ ก�ำแพงระเบียงพระอุโบสถเป็นหินอ่อน
มีภาพสลกั เรอ่ื งรามเกยี รต์ิ
พระประธาน เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิ
พระนามว่า พระพุทธเทวปฏิมากร พระบาทสมเด็จ
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้อัญเชิญ
มาจากวัดคูหาสวรรค์ (วดั ศาลาสีห่ นา้ ) ธนบุรี ใต้ฐานชุกชี
ประดษิ ฐานพระบรมอฐั ใิ นพระบาทสมเดจ็ พระพทุ ธยอดฟา้
จฬุ าโลกมหาราช
พระวหิ ารทงั้ สี่
พระวิหารทิศตะวันออกมุขหลัง ช้ันใน
เปน็ อาคารก่ออฐิ ถือปนู หลังคามงุ กระเบ้ือง ผนงั ภายใน
มีภาพจิตรกรรมภายในประดิษฐานพระพุทธรูปยืน
ปางห้ามสมุทร สูง ๒๐ ศอก พระบาทสมเด็จพระพุทธ
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้อัญเชิญมาจาก
วัดพระศรีสรรเพชญ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา
เดิมมีนามว่า พระโลกนาถ ศาสดาจารย์ ต่อมาพระบาท
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า
พระพุทธโลกนาถ ราชมหาสมมตวงศ์ องคอ์ นนั ตญาณ
สัพพัญญู สยัมภูพทุ ธบพิตร
พระวิหารทิศตะวันออก ชั้นนอก เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง ผนังภายใน
มีภาพจิตรกรรม ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปหล่อด้วยนาก ปางมารวิชัย อัญเชิญมาจากวัดเขาอินทร์
อ�ำเภอสวรรคโลก จังหวัดสุโขทัย เดิมพระราชทานนามว่า พระเจ้าตรัสรู้ในควงไม้พระมหาโพธิ์ เพราะมี
ต้นโพธ์ิประกอบ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามใหม่ว่า พระพุทธมารวิชัย
อภยั ปรปกั ษ์ อัครพฤกษ์โพธภิ ิรมยอ์ ภสิ มพุทธบพิตร ท่ผี นังพระวหิ ารมีภาพจิตรกรรม
36 พระอารามหลวง เล่ม ๑
พระวิหารทิศใต้ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง ผนังภายในมีภาพจิตรกรรม
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย อัญเชิญมาจากจังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีพระปัญจวัคคีย์
นั่งสดับ พระธรรมเทศนาประกอบ เดิมพระราชทานนามว่า พระพุทธเจ้าเทศนาพระธรรมจักร
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามใหม่ว่า พระพุทธชินราช วโรวาทธรรมจักร
อัครปฐมเทศนา นราศภบพิตร
พระวิหารทิศตะวันตก เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน หลังคามุงกระเบื้อง ผนังภายในมีภาพจิตรกรรม
ภายในประดิษฐานพระพุทธรูปปางมารวิชัย มีนาคปรก อัญเชิญมาจากลพบุรี เดิมพระราชทานนามว่า
พระนาคปรก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า พระพุทธชินสีห์มุนีนาถ
อุรคอาสนบัลล์ อุทธังทิศภาคนาคปรก ดิลกภพบพติ ร
พระวิหารทิศเหนือ ประดิษฐานพระพุทธรูปปางปาเลไลยก์ซึ่งโปรดให้หล่อขึ้นใหม่ เดิมพระราชทาน
นามว่า พระป่าเลไลยก์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานนามว่า พระพุทธปาลิไลยก์
ภิรัตไิ ตรวิเวก เอกจาริกสมาจาร วมิ ุตญิ าณบพติ ร
พระระเบียงรอบพระอุโบสถ ซึ่งเช่ือมต่อพระวิหารทั้ง ๔ สร้างสมัยรัชกาลที่ ๑ ทั้งช้ันนอก
และช้ันใน ต่อมารัชกาลท่ี ๓ โปรดให้เสริมผนังพระระเบียงชั้นในให้สูงกว่าเดิม ๒ ศอก สมัยรัชกาลที่ ๕
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ร้ือผนังสายบัวซ่ึงประดับกระเบ้ืองปรุของพระระเบียง
ทั้ง ๒ ชั้น ท้ังหมดถือปูนใหม่ ผนังภายในทาน้�ำปูน
สเี หลือง พระระเบียงดา้ นนอกทานำ้� ปูนสีขาว บรู ณะ
หลังคา เพดาน เสา พ้ืน ซุ้มประตู และเขียนลาย
บานประตูใหม่
ภายในพระระเบยี งทงั้ ๒ ช้ัน ประดษิ ฐาน
พระพุทธรูป ซงึ่ พระบาทสมเด็จพระพทุ ธยอดฟ้าจฬุ าโลก
มหาราช โปรดใหอ้ ญั เชญิ มาจากหวั เมอื งตา่ ง ๆ แลว้ น�ำ
มาบูรณะใหม่ รัชกาลที่ ๓ โปรดให้ท�ำฐานชุกชี
พระพุทธรูปขึ้นใหม่ พระพุทธรูปในพระระเบียงช้ันใน
มี ๑๕๔ องค์ ช้ันนอกมี ๒๔๔ องค์
ศาลาการเปรียญ เดิมเป็นพระอโุ บสถเกา่ ครัง้ ยงั เป็นวดั โพธาราม เป็นอาคารคอนกรตี เสรมิ เหลก็
ลักษณะทรงไทย หลังคามุงกระเบ้ืองประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันปิดทองประดับกระจก
เดมิ พ้นื ไม้ สมัยรัชกาลที่ ๓ เปลี่ยนเปน็ ปศู ิลาตอ่ เฉลียงรอบมเี สาราย ต่อมาได้รบั การปฏิสงั ขรณ์ในรัชกาลท่ี ๖
และรัชกาลที่ ๗ พระพุทธรปู พระประธานในศาลาการเปรียญเปน็ พระพุทธรูปหล่อปางสมาธิ ถึงรัชกาลท่ี ๔
พระราชทานนามวา่ พระพุทธศาสดา มหากรณุ าธคิ ณุ สุนทรธรรมทาน บรุ าณสคุ ตบพติ ร
พระมณฑป คือ หอพระไตรปิฎก เดิมในรัชกาลที่ ๑ เป็นอาคารไม้ท้ังหลัง หลังคามุงกระเบ้ือง
หุ้มดีบุก ฝาและเสามีลายรดน้�ำ ภายในมีตู้พระธรรมเป็นตู้ยอดมงกุฎจตุรมุข ปิดทองประดับกระจก
ต่อมาช�ำรุดมาก พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้รื้อสร้างใหม่เป็นมณฑปก่ออิฐถือปูนจตุรมุข
ยอดทรงมงกุฎ ประดับกระเบ้ืองเคลือบและกระเบื้องถ้วยสลับสี ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นลายปูนปั้น ปิดทอง
บานประตูหนา้ ตา่ งเป็นลายรดน�้ำ มีก�ำแพงแก้วกรุกระเบอ้ื งปรุเคลอื บโดยรอบ
พระอารามหลวง เลม่ ๑ 37
พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ สร้างในรัชกาลท่ี ๓ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนทรงไทย หลังคา
ลด ๓ ช้ัน ประดับช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ หน้าบันปิดทองประดับกระจก มีระเบียงเดินได้รอบพระวิหาร
ซุ้มประตูหน้าต่างเป็นลายปูนปั้นปิดทองทรงมงกุฎ ภายในประดิษฐานพระพุทธไสยาสน์ เป็นพระพุทธรูป
ปูนปั้น พระบาทประดับมุกเป็นภาพมงคล ๑๐๘ ประการ ผนังภายในมีภาพจิตรกรรมที่เพดานและเสา
เป็นลายทองบนพนื้ แดง
พระปรางค์มหาธาตุ ๔ องค์ อยู่ภายในวงพระระเบยี ง
สร้างในรัชกาลท่ี ๑ ต่อมารัชกาลท่ี ๓ ก่อเสริมให้สูงกว่าเดิม
องค์ละ ๓ ศอก ประดับศิลาใหม่ และมีการบูรณะซ่อมแซม
ต่อมาหลายคร้ัง
พระมหาเจดยี ป์ ระจ�ำรัชกาล ๔ องค์
๑. พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ พระบาท
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช โปรดให้สร้างครอบ
พระศรีสรรเพชญ์ พระพุทธรปู ยืนซ่ึงชะลอมาจากวัดพระศรสี รรเพชญ์
จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
พระเจดีย์สูง ๘๒ ศอก ลักษณะเป็นพระเจดีย์เหล่ียมย่อไม้ย่ีสิบ
ประดับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขยี ว พระนามวา่ พระมหาเจดยี ์
ศรสี รรเพชญดาญาณ เป็นพระมหาเจดียป์ ระจำ� รชั กาลที่ ๑
๒. พระมหาเจดยี ด์ ลิ กธรรมกรกนทิ าน พระบาทสมเดจ็
พระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้บูรณปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพน
ทั้งพระอาราม และสร้างพระมหาเจดีย์ ขนาดสูงเท่ากับ
พระมหาเจดีย์ศรีสรรเพชญดาญาณ ทรงพระราชอุทิศถวาย
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ประดับด้วย
กระเบื้องสีขาว พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชทานนามว่า พระมหาเจดีย์ดิลกธรรมกรกนิทาน เป็น
พระมหาเจดียป์ ระจ�ำรัชกาลท่ี ๒
๓. พระมหาเจดีย์มุนีปัตตบริขาร พระบาทสมเด็จ
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างเพ่ือพระองค์เอง องค์ทางใต้
ประดับด้วยกระเบื้องสีเหลือง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า
เจา้ อยหู่ วั พระราชทานนามวา่ พระมหาเจดยี ม์ นุ ปี ตั ตบรขิ าร เปน็
พระมหาเจดยี ป์ ระจ�ำรชั กาลที่ ๓
38 พระอารามหลวง เล่ม ๑