กฎหมายพาณิชย์
20001-1005
หมวดวิชาสมรรถนะวชิ าชพี
กลมุ่ สมรรถนะวิชาชีพพ้นื ฐาน
หลกั สตู รประกาศนียบัตรวชิ าชพี พทุ ธศักราช 2562
สุภาวดี ภิรมย์รตั น์
จดั ทำ�โดย
ผู้เขียน : สภุ าวดี ภริ มยร์ ัตน์
ผู้ทรงคณุ วฒุ ิ : วชิ าญ โพธสิ ทิ ธิ์
การสงั่ ซื้อ : สง่ ธนาณัติสง่ั จา่ ย ไปรษณีย์ลาดพรา้ ว ในนาม บรษิ ทั แมค็ เอ็ดดเู คชั่น จ�ำ กัด
เลขที่ 9/99 อาคารแม็ค ซอยลาดพรา้ ว 38 ถนนลาดพร้าว แขวงจันทรเกษม
เขตจตจุ ักร กรงุ เทพฯ 10900
% : 0-2938-2022-7 FAX : 0-2938-2028
www.MACeducation.com
พมิ พค์ รง้ั ท ่ี : 1
จำ�นวนท่ีพิมพ ์ : 5,000 เล่ม
ราคาจ�ำ หนา่ ย : 73 บาท
ปที พี่ ิมพ ์ : 2563
พมิ พ์ท ่ี : บรษิ ัท พี อาร์ คัลเลอร์พร้ินท์ จำ�กดั
(สงวนลขิ สิทธต์ิ ามกฎหมาย ห้ามลอกเลยี น ไม่วา่ จะเปน็ สว่ นหนึ่งสว่ นใดของหนงั สอื เล่มนน้ี อกจากจะได้รับอนญุ าตเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร)
ค�ำ นำ�
ตามท่ีกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ พุทธศักราช 2562
เพ่ือมุ่งผลิตและพัฒนากำ�ลังคนระดับฝีมือให้มีสมรรถนะ มีคุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
สามารถประกอบอาชีพอิสระ เป็นผู้ประกอบการที่มีคุณภาพ หรือประกอบอาชีพอื่น ๆ ได้ตรงตาม
ความต้องการของสถานประกอบการทัง้ ในประเทศและในภูมิภาคอาเซยี น
บรษิ ทั แมค็ เอด็ ดเู คชน่ั จ�ำ กดั ผผู้ ลติ และจ�ำ หนา่ ยหนงั สอื เรยี น สอ่ื การเรยี นรู้ และวารสารทางการศกึ ษา
ทง้ั ในระดบั การศกึ ษาขน้ั พนื้ ฐาน ระดับอาชีวศึกษา ตระหนักถึงภารกจิ สำ�คัญในการมีส่วนรว่ มในการสนับสนุน
ส่งเสริมการศึกษาระดับอาชีวศึกษาให้บรรลุผลสมดังเจตนารมณ์ที่ต้ังไว้ จึงได้แต่งตั้งคณะทำ�งาน
ซึ่งประกอบด้วยนักวิชาการและผ้สู อนท้ังในระดับอาชีวศึกษาและระดับอุดมศึกษาที่มีความเช่ียวชาญ
ดา้ นหลกั สตู รและการจดั การเรยี นรู้ ด�ำ เนนิ การวเิ คราะหห์ ลกั สตู รประกาศนยี บตั รวชิ าชพี พทุ ธศกั ราช 2562
ในแต่ละสาขาวิชาเพอื่ จดั ทำ�ส่อื การเรยี นรู้ อันประกอบด้วย
1. หนังสือเรียนท่ีจัดทำ�ให้ตรงกับจุดประสงค์รายวิชา สมรรถนะรายวิชา และคำ�อธิบายรายวิชา
ท้ังนโ้ี ดยคำ�นงึ ถึงความสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการศกึ ษาวชิ าชีพทั้ง 3 ด้าน คือ ด้านคณุ ธรรม จริยธรรมและ
คณุ ลักษณะท่พี ึงประสงค์ ดา้ นสมรรถนะแกนกลาง และด้านสมรรถนะวชิ าชพี
2. แผนการจัดการเรียนรู้ที่มุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะของผู้เรียนผ่านกิจกรรมการเรียนรู้
หลากหลายรูปแบบ เพื่อเป็นแนวทางให้ผู้สอนนำ�ไปปรับให้เหมาะสมกับธรรมชาติของผู้เรียนและจุดเน้น
ของสถานศึกษา
จุดเด่นของหนงั สอื เรยี นชุดใหม่ มดี ังน้ี
1. นำ�เสนอในรูปแบบหน่วยการเรียนรู้ ที่เน้ือหาง่ายต่อการเรียนรู้ แต่ยังคงไว้ซึ่งความเข้มข้น
และทันสมัย ท้ังนี้เน้ือหาในหนังสือเรียนมุ่งเน้นให้สัมพันธ์กับจุดประสงค์การเรียนรู้ หลักการเรียนรู้
ตามสภาพจริง (Authentic Learning) และการประเมินผลตามสภาพจริง (Authentic Assessment)
2. แทรกกิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจ กิจกรรมตามสมรรถนะรายวิชา กิจกรรมการฝึก
กระบวนการคิด (Thinking Skills) และกิจกรรมบรู ณาการให้แกผ่ ูเ้ รียน
3. พฒั นาสมรรถนะแกนกลางและสมรรถนะวชิ าชีพผา่ นกระบวนการปฏิบัตงิ านโดยใชใ้ บชว่ ยสอน
เปน็ สอ่ื ส�ำ หรบั การฝกึ กระบวนการเรยี นรทู้ ส่ี �ำ คญั เชน่ การเรยี นรจู้ ากโครงงาน (Project-based Learning)
4. มีแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน โดยจัดทำ�แบบทดสอบให้สอดคล้องกับจุดประสงค์
การเรยี นรปู้ ระจ�ำ หน่วยการเรยี นนั้น ๆ ท้ายหนว่ ยการเรียนรู้ทุกหนว่ ย
5. สนับสนุนการใช้เทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศในการสืบค้นความรู้ ดังนั้นหนังสือเรียน
อาชวี ศึกษาแมค็ 4.0 จึงได้มีการเสริมเน้ือหาเพม่ิ เตมิ ที่ไดผ้ า่ นการคดั กรองมาแลว้ วา่ เหมาะสมกบั การเรยี นรู้
แทรกไว้ในเนื้อหาบางหน่วย โดยใช้สัญลักษณ์ ผู้เรียนสามารถใช้สมาร์ตโฟนสแกน QR Code
หรอื เปดิ ในเว็บไซต์ maceducation.com ซ่ึงมีฐานข้อมลู ทส่ี ามารถ Download มาศกึ ษาได้
บรษิ ทั แมค็ เอ็ดดูเคช่นั จำ�กัด ขอขอบคณุ สถานศกึ ษา ครู คณาจารย์ ผู้สอน ผู้เรียน และผ้ทู ่ีสนใจ
ทุกท่านที่ให้ความไว้วางใจในสื่อการเรียนรู้ของบริษัท บริษัทหวังเป็นอย่างย่ิงว่าส่ือการเรียนรู้ชุดนี้จะมี
ส่วนช่วยให้การจัดการเรียนรู้มีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพ่ือพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณภาพทัดเทียม
ระดบั สากลตอ่ ไป
บรษิ ัท แมค็ เอ็ดดูเคชัน่ จำ�กัด
รหสั 20001-1005
วิชากฎหมายพาณชิ ย์
ทฤษฎี 2 ชัว่ โมง ปฏบิ ัติ - ชว่ั โมง 2 หนว่ ยกติ
จดุ ประสงค์รายวชิ า เพื่อให้
1. มีความเข้าใจหลกั การท่เี กยี่ วข้องกบั บคุ คล นติ กิ รรม สญั ญา และหนี้
2. มคี วามเข้าใจหลกั การกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
3. มีเจตคติทด่ี ตี อ่ วิชาชีพ เขา้ ใจหลักการ วิธกี าร
สมรรถนะรายวชิ า
1. แสดงความรูเ้ ก่ียวกบั หลักการของกฎหมายพาณิชย์
2. จดั ท�ำเอกสารประกอบที่เก่ียวข้องกบั กฎหมายพาณิชย์
ค�ำอธบิ ายรายวชิ า
ศึกษาเก่ียวกับประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยบุคคล นิติกรรม สัญญา หนี้ และ
เอกเทศสัญญา เฉพาะสัญญาท่ีเกีย่ วกบั ซ้อื ขาย เชา่ ซื้อ จา้ งท�ำของ รบั ส่งของ การยืม การคำ้� ประกัน
การจ�ำนอง-จ�ำน�ำ การฝากทรพั ย์ เก็บของในคลังสินคา้ ตวั แทน นายหน้าและประกันภยั และวิธกี าร
จดั ท�ำเอกสารท่เี ก่ียวขอ้ งกบั กฎหมาย
ตารางวเิ คราะหส์ มรรถนะประจำ�หนว่ ย
หนว่ ย ชื่อหน่วยการเรยี นรู้ สมรรถนะประจ�ำ หน่วย
การเรียนรู้ท่ี
1. แสดงความร้เู ก่ียวกบั หลักการของกฎหมายลกั ษณะ
1 บคุ คลและนติ กิ รรม บุคคลและนติ กิ รรม
2 สญั ญาและหนี้ 2. จดั ท�ำเอกสารทีเ่ กีย่ วข้องกับลักษณะบคุ คล และ
นิตกิ รรมไดต้ ามหลักการของประมวลกฎหมายแพง่
3 ซอื้ ขาย และพาณิชย์
4 เชา่ ทรพั ยแ์ ละเชา่ ซอ้ื
5 จา้ งท�ำของและรบั ขนของ 1. แสดงความรเู้ กี่ยวกบั หลักการของกฎหมายลกั ษณะ
สัญญาและหนี้
2. จดั ท�ำเอกสารประกอบท่เี กีย่ วข้องกบั ลกั ษณะสญั ญา
ต่าง ๆ ตามหลักการของประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์
1. แสดงความรเู้ กยี่ วกับหลกั การของกฎหมายลกั ษณะ
ซื้อขาย
2. จัดท�ำเอกสารสัญญาทเี่ กี่ยวข้องกบั ลักษณะซื้อขายได้
ตามหลกั การของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
1. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั หลักการของกฎหมายลักษณะ
เชา่ ทรัพยแ์ ละเชา่ ซื้อ
2. จัดท�ำเอกสารสัญญาเช่าทรัพยแ์ ละเชา่ ซื้อได้ตาม
หลกั การของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
1. แสดงความรเู้ กย่ี วกบั หลักการของกฎหมายลกั ษณะ
จ้างท�ำของและรับขนของ
2. จดั ท�ำเอกสารสัญญาจา้ งท�ำของและรับขนของได้
ตามหลักการของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หน่วย ชือ่ หน่วยการเรยี นรู้ สมรรถนะประจำ�หน่วย
การเรยี นร้ทู ี่
1. แสดงความรเู้ กีย่ วกับหลักการของกฎหมายลกั ษณะ
6 ฝากทรพั ยแ์ ละเกบ็ ของ ฝากทรัพย์และเก็บของในคลังสนิ คา้ ได้
ในคลงั สนิ คา้
2. จดั ท�ำเอกสารสญั ญาฝากทรพั ย์และเก็บของในคลงั
7 ยมื สนิ ค้าได้ตามหลกั การของประมวลกฎหมายแพง่
8 คำ้� ประกนั และพาณชิ ย์
9 จ�ำนอง-จ�ำน�ำ 1. แสดงความร้เู กี่ยวกับหลกั การของกฎหมายลักษณะยืม
2. จัดท�ำเอกสารสญั ญายืมไดต้ ามหลกั การของประมวล
10 ตวั แทนและนายหนา้
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
11 ประกนั ภยั และวธิ กี าร 1. แสดงความรูเ้ กีย่ วกับหลกั การของกฎหมายลักษณะ
จดั ท�ำเอกสารทเ่ี กย่ี วขอ้ ง
กบั กฎหมาย ค�้ำประกนั
2. จัดท�ำเอกสารสัญญาคำ้� ประกันได้ตามหลกั การ
ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
1. แสดงความรู้เกีย่ วกับหลักการของกฎหมายลักษณะ
จ�ำนอง-จ�ำน�ำ
2. จัดท�ำเอกสารสญั ญาจ�ำนองและจ�ำน�ำได้ตามหลักการ
ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการของกฎหมายลักษณะ
ตวั แทนและนายหนา้
2. จดั ท�ำเอกสารสญั ญาตวั แทนและสัญญานายหนา้ ได้
ตามหลกั การของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
แสดงความรเู้ กยี่ วกบั หลกั การของกฎหมายลกั ษณะ
ประกนั ภยั และวธิ กี ารจดั ท�ำเอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั กฎหมาย
ไดต้ ามหลกั การของประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
สารบญั หนา้
หน่วยการเรยี นร้ทู ่ี 1 บคุ คลและนิติกรรม 1
1. ความหมายและประเภทของบคุ คล 2
2. การเรมิ่ ตน้ และสิน้ สุดของสภาพบุคคล 2
3. ส่วนประกอบของบคุ คล 4
4. นติ ิบุคคล 9
5. ความหมายและลักษณะของนิติกรรม 12
6. แบบแห่งนิติกรรม 13
7. การแสดงเจตนา 14
8. โมฆกรรมและโมฆียกรรม 16
แบบทดสอบเพือ่ ประเมนิ ผลหลังการเรียนร ู้ 21
หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 2 สัญญาและหน้ี 23
1. ความหมายและลักษณะส�ำคญั ของสัญญา 24
2. ประเภทของสัญญา 25
3. มดั จ�ำและเบ้ยี ปรับ 27
4. การเลิกสัญญา 28
5. ความหมายและลักษณะส�ำคัญของหน้ ี 32
6. บอ่ เกิดแห่งหนี้ 33
7. ความระงับแหง่ หน้ ี 34
แบบทดสอบเพื่อประเมนิ ผลหลังการเรียนรู ้ 40
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 ซื้อขาย 42
1. ความหมายและลกั ษณะของสัญญาซ้ือขาย 43
2. ทรพั ย์สินที่ซือ้ ขายกนั ได้และไมไ่ ด ้ 44
3. แบบของสญั ญาซื้อขาย หน้า
4. การโอนกรรมสทิ ธ์ใิ นทรัพยส์ นิ 45
5. สิทธิ หน้าท่ี และความรับผิดของผูข้ าย 49
6. สทิ ธแิ ละหนา้ ท่ีของผ้ซู ้ือ 50
7. การซ้อื ขายเฉพาะบางอย่าง 54
แบบทดสอบเพือ่ ประเมินผลหลังการเรียนรู้ 55
63
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 4 เช่าทรัพย์และเชา่ ซอ้ื
65
1. ความหมายและลักษณะของสญั ญาเช่าทรัพย์
2. หลกั เกณฑ์ในการท�ำสญั ญาเช่าทรพั ย ์ 66
3. ก�ำหนดเวลาในการท�ำสญั ญาเชา่ ทรพั ย์ 70
4. สทิ ธิ หน้าท่ี และความรบั ผดิ ของผู้ใหเ้ ชา่ และผเู้ ชา่ 72
5. ความระงับแห่งสญั ญาเชา่ ทรพั ย ์ 73
6. ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาเชา่ ซอ้ื 77
7. แบบของสญั ญาเช่าซ้ือ 81
8. สทิ ธแิ ละหน้าทขี่ องผู้ให้เชา่ ซอื้ และผเู้ ช่าซือ้ 83
9. การเลกิ สัญญาและความระงับแหง่ สัญญาเชา่ ซ้ือ 86
10. ความแตกต่างระหวา่ งเชา่ ซ้อื ซอ้ื ขายเงินผอ่ น และเชา่ ทรพั ย์ 87
แบบทดสอบเพือ่ ประเมินผลหลังการเรยี นร ู้ 90
94
หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 5 จ้างท�ำของและรับขนของ
96
1. ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาจา้ งท�ำของ
2. แบบและหลกั เกณฑ์ในการท�ำสญั ญาจ้างท�ำของ 97
3. สิทธิ หน้าที่ และความรบั ผดิ ของผู้รบั จ้าง 101
4. สทิ ธิ หนา้ ท่ี และความรบั ผิดของผูว้ า่ จ้าง 101
5. ความระงับแหง่ สญั ญาจา้ งท�ำของ 105
6. ความแตกตา่ งระหวา่ งจ้างแรงงานและจา้ งท�ำของ 107
7. ความหมายและลกั ษณะของสัญญารับขนของ 108
8. สิทธิและหน้าที่ของคู่สัญญารบั ขนของ 111
แบบทดสอบเพื่อประเมนิ ผลหลังการเรียนรู ้ 112
118
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 6 ฝากทรัพย์และเก็บของในคลงั สินคา้ หน้า
1. ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาฝากทรพั ย ์ 120
2. สิทธแิ ละหน้าท่ีของผ้ฝู ากทรพั ย์และผู้รบั ฝากทรพั ย ์
3. วธิ ีเฉพาะการฝากเงิน 121
4. ความหมายและลักษณะของสญั ญาเกบ็ ของในคลงั สินคา้ 122
5. การเก็บของในคลงั สนิ ค้ากับการฝากทรัพย์ 124
6. สทิ ธิและความรับผดิ ของนายคลงั สนิ ค้า 126
7. ใบรับของคลังสินคา้ และประทวนสินค้า 128
8. วธิ ีการจ�ำน�ำและการบงั คบั จ�ำน�ำสนิ คา้ ท่ีเก็บในคลังสินคา้ 129
แบบทดสอบเพอ่ื ประเมินผลหลังการเรยี นรู ้ 131
131
หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 7 ยมื 136
1. ความหมายและลกั ษณะของสัญญายมื โดยท่วั ไป 138
2. ยมื ใชค้ งรูปและยืมใช้สน้ิ เปลอื ง
3. การก้ยู ืมเงิน 139
4. การคิดดอกเบยี้ กูย้ ืม 140
5. อายคุ วามในการฟอ้ งคด ี 147
แบบทดสอบเพื่อประเมินผลหลงั การเรยี นร้ ู 151
152
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 8 ค้�ำประกนั 156
1. ความหมายและลักษณะของสญั ญาค�ำ้ ประกนั 158
2. แบบของสัญญาคำ้� ประกัน
3. ผ้รู ับเรือนและผูค้ �้ำประกนั หลายคน 159
4. ความรบั ผิดของผคู้ ้ำ� ประกัน 161
5. สิทธขิ องผคู้ �้ำประกนั 166
6. ความระงบั แห่งสญั ญาค�ำ้ ประกนั 168
แบบทดสอบเพื่อประเมินผลหลังการเรยี นร ู้ 170
172
177
หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 9 จ�ำนอง-จ�ำน�ำ หน้า
1. ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาจ�ำนอง 179
2. ทรัพย์สนิ ทีจ่ �ำนองและแบบของสัญญาจ�ำนอง
3. ขอบเขตสทิ ธทิ จี่ �ำนอง 180
4. สทิ ธแิ ละหนา้ ท่ีของผู้จ�ำนองและผู้รับจ�ำนอง 181
5. การบังคบั จ�ำนองและความระงับแหง่ สัญญาจ�ำนอง 184
6. ความหมายและลักษณะของสัญญาจ�ำน�ำ 185
7. วธิ กี ารท�ำสัญญาจ�ำน�ำ 188
8. สทิ ธิ หนา้ ที่ และความรับผิดของผรู้ บั จ�ำน�ำและผู้จ�ำน�ำ 193
9. การบังคบั จ�ำน�ำและความระงบั แห่งสญั ญาจ�ำน�ำ 195
10. ความแตกตา่ งระหวา่ งสัญญาจ�ำนองและสญั ญาจ�ำน�ำ 198
แบบทดสอบเพอ่ื ประเมนิ ผลหลงั การเรยี นรู้ 199
201
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 10 ตวั แทนและนายหน้า 206
1. ความหมายและลกั ษณะของสัญญาตัวแทน 209
2. การแต่งตั้งตวั แทน
3. ประเภทของตวั แทน 210
4. หน้าทแ่ี ละความรบั ผดิ ของตวั แทนตอ่ ตวั การและของตวั การต่อตวั แทน 213
5. ความระงบั ส้นิ ไปแหง่ สญั ญาตัวแทน 215
6. ความหมายและลกั ษณะของสัญญานายหน้า 216
7. สิทธิ หนา้ ท่ี และความรับผดิ ของนายหนา้ 217
8. ความระงับส้นิ ไปแห่งสัญญานายหนา้ 219
9. ความแตกต่างระหว่างสัญญาตวั แทนและสญั ญานายหนา้ 222
แบบทดสอบเพอื่ ประเมนิ ผลหลังการเรียนร ู้ 222
223
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 11 ประกันภยั และวธิ กี ารจัดท�ำเอกสารท่เี กี่ยวขอ้ งกบั กฎหมาย 227
1. ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาประกนั ภยั 229
2. ประเภทและบุคคลท่ีเกี่ยวขอ้ งในสญั ญาประกนั ภัย
3. หลกั เกณฑ์ในการท�ำสัญญาประกันภัย 230
232
233
4. สญั ญาประกนั วนิ าศภยั หนา้
5. สญั ญาประกนั ชีวติ 235
6. อายุความของสญั ญาประกันภัย 238
7. วิธีการจัดท�ำเอกสารทีเ่ ก่ยี วขอ้ งกบั กฎหมาย 242
แบบทดสอบเพอ่ื ประเมนิ ผลหลงั การเรียนร้ ู 242
248
บรรณานุกรม
250
1หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี
บคุ คลและนิตกิ รรม
สาระการเรยี นรู้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. ความหมายและประเภทของบุคคล 1. อธิบายความหมายและประเภทของบคุ คลได้
2. การเริ่มตน้ และส้ินสดุ ของสภาพบคุ คล 2. อธิบายการเรม่ิ ตน้ และสน้ิ สดุ ของสภาพบุคคลได้
3. ส่วนประกอบของบุคคล 3. บอกส่วนประกอบของบคุ คลได้
4. นติ ิบุคคล 4. ระบุนติ ิบุคคลตามกฎหมายได้
5. ความหมายและลักษณะของนติ ิกรรม 5. อธิบายความหมายและลกั ษณะของนิติกรรมได้
6. แบบแห่งนติ ิกรรม 6. บอกแบบแห่งนติ ิกรรมได้
7. การแสดงเจตนา 7. อธบิ ายการแสดงเจตนาได้
8. โมฆกรรมและโมฆยี กรรม 8. อธิบายความหมายของโมฆกรรมและโมฆยี กรรมได้
บคุ คล
และนิติกรรม
สมรรถนะประจ�ำ หน่วย
1. แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการของกฎหมายลักษณะบุคคล
และนิตกิ รรม
2. จัดทำ�เอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับลักษณะบุคคลและนิติกรรมได้
ตามหลักการของประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
2 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)
บคุ คลและนติ กิ รรม
บุคคลและนิติกรรม เป็นหลักเกณฑ์ท่ัวไปในการศึกษากฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพ่ือเป็นพื้นฐาน
ในการศกึ ษากฎหมายเอกเทศสญั ญาซงึ่ มลี กั ษณะเปน็ การเฉพาะตอ่ ไป
บคุ คล (Persons) คอื สงิ่ ทสี่ ามารถมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทไ่ี ดต้ ามกฎหมาย เฉพาะมนษุ ยเ์ ทา่ นนั้ ทสี่ ามารถมสี ทิ ธิ
และหนา้ ท่ี สตั วไ์ มม่ สี ทิ ธแิ ละหนา้ ทต่ี ามกฎหมายจงึ ไมใ่ ชบ่ คุ คล ยงั มสี ง่ิ อนื่ ซง่ึ มสี ภาพบคุ คลซง่ึ เปน็ บคุ คลตามกฎหมาย
เรยี กวา่ “นติ บิ คุ คล” อกี ดว้ ย
นติ กิ รรม (Juristic Acts) เปน็ การกระท�ำใด ๆ อนั ท�ำลงโดยชอบดว้ ยกฎหมายและดว้ ยใจสมคั รมงุ่ โดยตรง
ตอ่ การผกู นติ สิ มั พนั ธข์ น้ึ ระหวา่ งบคุ คลเพอื่ กอ่ ใหเ้ กดิ การเปลย่ี นแปลงและเคลอ่ื นไหวในสทิ ธทิ มี่ อี ยู่
1. ความหมายและประเภทของบุคคล
1.1 ความหมายของบคุ คล
บคุ คล คอื สงิ่ ทส่ี ามารถมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทไี่ ดต้ ามกฎหมาย เฉพาะมนษุ ยเ์ ทา่ นนั้ ทส่ี ามารถมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ที่
สตั วไ์ มม่ สี ทิ ธแิ ละหนา้ ทต่ี ามกฎหมายจงึ ไมใ่ ชบ่ คุ คล ยงั มสี ง่ิ อนื่ ซง่ึ มสี ภาพบคุ คลดว้ ย ไดแ้ ก่ หมคู่ น กองทรพั ยส์ นิ หรอื
กจิ การอนั ใดอนั หนงึ่ เชน่ สมาคม มลู นธิ ิ หรอื กระทรวง ทบวง กรม ซงึ่ สามารถมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทต่ี ามกฎหมาย เชน่
สามารถท�ำการซอ้ื ขายได้ สามารถเชา่ ทรพั ยส์ นิ ได้ เปน็ ตน้ บคุ คลประเภทนจี้ งึ เรยี กวา่ “นติ บิ คุ คล”
1.2 ประเภทของบคุ คล
บคุ คลแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1.2.1 บุคคลธรรมดา หมายถึง ส่ิงมีชีวิต จิตใจ ร่างกาย และวิญญาณ อันได้แก่ คนหรือมนุษย์ไม่ว่า
จะมรี า่ งกายปกตสิ มบรู ณ์ หรอื แมแ้ ตค่ นทมี่ คี วามผดิ ปกตทิ างรา่ งกาย ทกุ เพศ ทกุ วยั กถ็ อื วา่ เปน็ บคุ คลธรรมดาทง้ั สนิ้
1.2.2 นิติบุคคล ได้แก่ บุคคลท่ีกฎหมายก�ำหนดขึ้น ไม่ใช่บุคคลท่ีมีชีวิตจิตใจ แต่ประกอบด้วยบุคคล
หลายคนร่วมกันท�ำกิจการอันใดอันหนึ่ง แล้วก่อต้ังข้ึนเป็นนิติบุคคลตามวิธีการท่ีกฎหมายก�ำหนด ท�ำให้มีสิทธิ
หนา้ ทตี่ า่ ง ๆ ภายในขอบวตั ถปุ ระสงคท์ ก่ี �ำหนดไว้ ซงึ่ จะกลา่ วรายละเอยี ดในล�ำดบั ตอ่ ไป
2. การเร่ิมตน้ และสน้ิ สดุ ของสภาพบุคคล
สภาพบุคคล เปน็ บทบัญญัตพิ ื้นฐานของกฎหมายลกั ษณะบคุ คลซงึ่ อยู่ในประเภทบุคคลธรรมดา บคุ คล
ธรรมดาจะเรมิ่ ตน้ ดว้ ยสภาพบคุ คล อนั เปน็ จดุ เรมิ่ ตน้ ของการมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทตี่ ามกฎหมาย สภาพบคุ คลจะเรม่ิ ตน้
จากการเกดิ และสนิ้ สภาพบคุ คลเมอ่ื ตาย
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 3
การเริ่มต้นและส้ินสุดของสภาพบุคคล กฎหมายได้บัญญัติเรื่องบุคคลในบรรพ 1 ลักษณะ 2 แห่ง
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ดงั ตอ่ ไปน้ี
มาตรา 15 “สภาพบคุ คลยอ่ มเรม่ิ แตเ่ มอื่ คลอดแลว้ อยรู่ อดเปน็ ทารกและสนิ้ สดุ ลงเมอื่ ตาย ทารกในครรภ์
มารดากส็ ามารถมสี ทิ ธติ า่ ง ๆ ได้ หากวา่ ภายหลงั คลอดแลว้ อยรู่ อดเปน็ ทารก”
2.1 การเรม่ิ ต้นของสภาพบุคคล
การเริ่มต้นของสภาพบุคคลน้ัน เป็นไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าวข้างต้น ความว่า
“สภาพบคุ คลเรมิ่ แตเ่ มอ่ื คลอดแลว้ อยรู่ อดเปน็ ทารก”
2.1.1 คลอด หมายความว่า คลอดออกจากครรภ์มารดา ล่วงพ้นจากครรภ์มารดาออกมาแล้วทั้งหมด
อย่างสมบูรณ์โดยไม่มีอวัยวะส่วนใดของทารกติดค้างอยู่ ในส่วนของการท�ำคลอดท่ีมีการตัดสายสะดือแล้วหรือ
ยงั ไมเ่ ปน็ ขอ้ ส�ำคญั กฎหมายถอื วา่ ทารกคลอดออกมาโดยสมบรู ณแ์ ลว้
2.1.2 อยู่รอดเป็นทารก หมายความว่า ทารกที่คลอดออกจากครรภ์มารดาต้องสามารถหายใจได้และ
มีชีวิตอยู่โดยล�ำพังตนแยกห่างจากมารดา การมีชีวิตของทารกไม่มีกฎเกณฑ์ว่าจะต้องอยู่นานเท่าไร แม้เพียง
ช่ัวขณะหน่ึงหรือหายใจได้เพียงคร้ังเดียวสองครั้งก็เป็นการเพียงพอแล้ว ถือว่าเป็นบุคคลมีชีวิตอยู่รอดเป็นทารก
แมร้ า่ งกายจะมอี วยั วะครบทกุ สว่ นหรอื ไมก่ ไ็ มใ่ ชส่ าระส�ำคญั สว่ นทารกทตี่ ายกอ่ นคลอด เชน่ ตายในครรภข์ องมารดา
หรอื ตายขณะคลอด เปน็ ตน้ กลา่ วคอื ยงั ไมม่ กี ารหายใจเลยกไ็ มถ่ อื วา่ มสี ภาพบคุ คล วธิ กี ารพสิ จู นว์ า่ มสี ภาพบคุ คล
หรอื ไม่ คอื ชนั สตู รโดยตรงวา่ ถงุ ลมในปอดของทารกมอี ากาศหรอื ไม่ หากมลี มในปอดแสดงวา่ มกี ารตายภายหลงั
การคลอด หากไมม่ ลี มในปอดกแ็ สดงวา่ ทารกนนั้ ตายแลว้ คลอด หรอื เรยี กวา่ ไมม่ ชี วี ติ อยรู่ อดเปน็ ทารก
2.2 การส้นิ สดุ ของสภาพบุคคล
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าวข้างต้น ความว่า “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอด
แล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดเมื่อตาย...” ค�ำว่า “ส้ินสุดเมื่อตาย...” แสดงว่าสภาพบุคคลย่อมสิ้นสุดเมื่อตาย
ดงั นนั้ การสน้ิ สภาพบคุ คลเมอื่ ตาย แยกพจิ ารณาไดด้ งั น้ี
2.2.1 การตายโดยธรรมชาติ การสน้ิ สภาพบคุ คลกรณนี ห้ี มายถงึ บคุ คลจะถงึ แกค่ วามตายตามธรรมชาติ
เมอ่ื หยดุ หายใจและหวั ใจหยดุ เตน้ กลา่ วคอื ตายจรงิ ๆ หมายถงึ สนิ้ ชวี ติ สนิ้ ลมหายใจนนั่ เอง
2.2.2 การสาบสูญ เป็นการส้ินสภาพบุคคลโดยผลของกฎหมาย ผู้ใดถูกศาลสั่งให้เป็นคนสาบสูญ
ก็ถือว่าถึงแก่ความตาย การเป็นคนสาบสูญหรือตายโดยผลของกฎหมายนั้น เนื่องจากไม่สามารถพบตัวหรือ
ไมส่ ามารถตดิ ตอ่ ได้ ไดแ้ ก่ กรณบี คุ คลหายจากภมู ลิ �ำเนาหรอื ถน่ิ ทอี่ ยู่ และไมม่ ใี ครรแู้ นว่ า่ บคุ คลนนั้ ยงั มชี วี ติ อยหู่ รอื ไม่
หากศาลได้มีค�ำสั่งให้เป็นคนสาบสูญแล้ว กฎหมายให้ถือว่าบุคคลนั้นถึงแก่ความตาย คือ ตายตามข้อสันนิษฐาน
ของกฎหมายใหเ้ ปน็ คนสาบสญู แยกเปน็ กรณดี งั ตอ่ ไปนี้
1) กรณีธรรมดา ถ้าบุคคลใดได้ไปจากภูมิล�ำเนาหรือถิ่นที่อยู่ และไม่มีใครรู้แน่ว่าบุคคลนั้นยังมี
ชวี ติ อยหู่ รอื ไมต่ ลอดระยะเวลา 5 ปี
4 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
2) กรณพี เิ ศษหรอื กรณอี ยใู่ นเหตกุ ารณพ์ เิ ศษ ลดระยะเวลาลงเหลอื 2 ปี ในกรณดี งั ตอ่ ไปนี้
(1) นับแต่วันท่ีการรบหรือสงครามสิ้นสุดลง ถ้าบุคคลนั้นอยู่ในการรบหรือสงครามและ
หายไปในการรบหรอื สงครามดงั กลา่ ว
(2) นับแต่วันท่ียานพาหนะท่ีบุคคลน้ันเดินทาง อับปาง ถูกท�ำลาย หรือสูญหายไป เช่น
เรอื อบั ปาง หรอื เครอื่ งบนิ ตก เปน็ ตน้
(3) นับแต่วันท่ีเหตุอันตรายแก่ชีวิตนอกจากที่ระบุไว้ในข้อ (1) หรือข้อ (2) ได้ผ่านพ้นไป
ถา้ บคุ คลนน้ั ตกอยใู่ นอนั ตรายเชน่ วา่ นน้ั เชน่ ไปส�ำรวจในปา่ ทบึ แลว้ ไมก่ ลบั มา หรอื ถกู โจรกอ่ การรา้ ยจบั ตวั ไป เปน็ ตน้
การสาบสูญในกรณีดังกล่าวทั้ง 2 กรณี เมื่อครบก�ำหนดระยะเวลาตามที่ก�ำหนดไว้ข้างต้นแล้ว
ผมู้ สี ว่ นไดเ้ สยี เชน่ บดิ า มารดา สามี ภรรยา บตุ ร เปน็ ตน้ หรอื พนกั งานอยั การ มสี ทิ ธริ อ้ งขอตอ่ ศาลเพอื่ ใหศ้ าล
มคี �ำสงั่ แสดงการสาบสญู เมอื่ ศาลไดม้ คี �ำสงั่ ใหเ้ ปน็ คนสาบสญู แลว้ กฎหมายใหถ้ อื วา่ บคุ คลนน้ั ถงึ แกก่ รรมความตาย
โดยผลของกฎหมาย (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 61-62)
3. สว่ นประกอบของบุคคล
สว่ นประกอบของบคุ คลหรอื สภาพบคุ คล มดี งั ตอ่ ไปนี้
3.1 ช่ือ เป็นค�ำท่ีใช้เรียกบุคคลเพ่ือให้ทราบว่าแต่ละคนเป็นใคร มีสิทธิและหน้าท่ีตามกฎหมายอย่างไร
มฐี านะทางสงั คมและเศรษฐกจิ อยา่ งไร ตามพระราชบญั ญตั ชิ อ่ื บคุ คล พ.ศ. 2505 สว่ นประกอบของชอื่ บคุ คลมดี งั นี้
3.1.1 ชื่อตัว หมายความว่า ชื่อประจ�ำบุคคล โดยช่ือตัวต้องไม่พ้องหรือมุ่งหมายให้คล้ายกับ
พระปรมาภไิ ธย พระนามของพระราชนิ หี รอื ราชทนิ นาม และตอ้ งไมม่ คี าํ หรอื ความหมายหยาบคาย (พระราชบญั ญตั ิ
ชอื่ บคุ คล (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2548 มาตรา 6 วรรคแรก)
3.1.2 ช่ือรอง หมายความวา่ ชอื่ ประกอบถดั จากชอ่ื ตวั การใชช้ อ่ื รอง คสู่ มรสอาจใชน้ ามสกลุ ของ
อีกฝ่ายหนึ่งเป็นชื่อรองได้เมื่อได้รับความยินยอมของฝ่ายน้ันแล้ว โดยสามารถย่ืนค�ำร้องขอเพ่ิมชื่อรองได้ท่ีอ�ำเภอ
ทตี่ นเองมที ะเบยี นบา้ นอยู่ (พระราชบญั ญตั ชิ อื่ บคุ คล (ฉบบั ท่ี 3) พ.ศ. 2548 มาตรา 6 วรรค 2)
3.1.3 ชื่อสกุล หมายความว่า ชื่อประจ�ำวงศ์สกุล การใช้ชื่อนามสกุลหลังการสมรส คู่สมรสมีสิทธิ
ใชช้ อ่ื สกลุ ของฝา่ ยใดฝา่ ยหนง่ึ ตามทตี่ กลงกนั หรอื ตา่ งฝา่ ยตา่ งใชน้ ามสกลุ เดมิ ของตน การตกลงกนั นคี้ สู่ มรสจะกระท�ำ
เมอ่ื มกี ารสมรสหรอื ในระหวา่ งสมรสกไ็ ด้ หรอื จะตกลงเปลยี่ นแปลงภายหลงั กไ็ ด้ (พระราชบญั ญตั ชิ อื่ บคุ คล (ฉบบั ท่ี 3)
พ.ศ. 2548 มาตรา 12) ซง่ึ จะท�ำใหค้ สู่ มรสเลอื กใชน้ ามสกลุ ไดด้ งั ตอ่ ไปน้ี
1) นามสกลุ คงเดมิ ทงั้ คู่ คอื ชายใชน้ ามสกลุ ชาย หญงิ ใชน้ ามสกลุ หญงิ
2) นามสกลุ ตามรปู แบบเดมิ คอื ชายใชน้ ามสกลุ ชาย หญงิ ใชน้ ามสกลุ ชาย
3) นามสกลุ ชายเปลย่ี นแตห่ ญงิ ไมเ่ ปลยี่ น คอื ชายใชน้ ามสกลุ หญงิ หญงิ ใชน้ ามสกลุ หญงิ
4) นามสกลุ ใชส้ ลบั กนั คอื ชายใชน้ ามสกลุ หญงิ หญงิ ใชน้ ามสกลุ ชาย
ส�ำหรบั หญงิ ทม่ี สี ามซี งึ่ ใชน้ ามสกลุ สามกี อ่ นวนั ทก่ี ฎหมายดงั กลา่ วใชบ้ งั คบั ใหม้ สี ทิ ธใิ ชน้ ามสกลุ สามี
ต่อไปได้ หรือจะกลับมาใช้นามสกุลเดิมของตนก็ได้ หรือจะตกลงใหม่ระหว่างสามีภรรยาเป็นประการอื่นได้
(พระราชบญั ญตั ชิ อ่ื บคุ คล (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2548 มาตรา 9)
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 5
●● การหย่าหรอื ความตายของคู่สมรส
เมื่อการสมรสสิ้นสุดลงด้วยการหย่า หรือศาลพิพากษาให้เพิกถอนการสมรส ให้ฝ่ายซึ่งใช้ช่ือสกุลของ
อกี ฝา่ ยหนง่ึ กลบั ไปใชช้ อื่ สกลุ เดมิ ของตน
เมอ่ื การสมรสสน้ิ สดุ ลงดว้ ยความตาย ใหฝ้ า่ ยซง่ึ ยงั มชี วี ติ อยแู่ ละใชช้ อื่ สกลุ ของอกี ฝา่ ยหนง่ึ มสี ทิ ธใิ ชช้ อื่ สกลุ
นนั้ ไดต้ อ่ ไป แตเ่ มอื่ จะสมรสใหม่ ใหก้ ลบั ไปใชช้ อื่ สกลุ เดมิ ของตน (พระราชบญั ญตั ชิ อื่ บคุ คล (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2548
มาตรา 13)
●● ค�ำ นำ�หน้านามหญงิ
พระราชบัญญัติค�ำน�ำหน้านามหญิง พ.ศ. 2551 เป็นกฎหมายท่ีส่งเสริมความเสมอภาคระหว่างหญิง
และชาย ซึง่ เปดิ โอกาสใหผ้ ู้หญงิ สามารถเปลยี่ นใช้ค�ำน�ำหนา้ นามไดต้ ามความสมัครใจ ผลดีทต่ี ามมาเห็นไดช้ ัดคอื
เร่ืองการสมัครงาน เนื่องจากผู้หญิงท่ีมีค�ำหน้านามเป็น “นาง” เวลาไปสมัครงานอาจถูกเลือกปฏิบัติจาก
สถานประกอบการได้ เปน็ ตน้
พระราชบญั ญตั คิ �ำน�ำหนา้ นามหญงิ พ.ศ. 2551 ไดอ้ อกและมผี ลใชบ้ งั คบั ตง้ั แตว่ นั ท่ี 4 มถิ นุ ายน 2551
เปน็ ตน้ มา กฎหมายดงั กลา่ วสรปุ สาระส�ำคญั ได้ ดงั น้ี
1) หญงิ ซง่ึ มอี ายุ 15 ปบี รบิ รู ณข์ น้ึ ไป และยงั ไมไ่ ดจ้ ดทะเบยี นสมรส ใหใ้ ชค้ �ำน�ำหนา้ นามวา่ “นางสาว”
2) หญงิ ซงึ่ จดทะเบยี นสมรสแลว้ สามารถเลอื กใชค้ �ำน�ำหนา้ นามวา่ “นาง” หรอื “นางสาว” ไดต้ าม
ความสมคั รใจ
3) หญิงซึ่งจดทะเบียนสมรสแล้ว ต่อมาการสมรสได้สิ้นสุดลง สามารถเลือกใช้ค�ำน�ำหน้านามว่า
“นาง” หรอื “นางสาว” ไดต้ ามความสมคั รใจ
การด�ำเนนิ การตามขอ้ 2) และขอ้ 3) ใหห้ ญงิ นน้ั แจง้ ตอ่ นายทะเบยี น ณ ส�ำนกั งานเขตและทวี่ า่ การอ�ำเภอ
ตา่ ง ๆ ตามทต่ี นมที ะเบยี นบา้ นอยู่
3.2 สญั ชาติ คอื สงิ่ ชตี้ วั บคุ คลวา่ เปน็ สมาชกิ ของประเทศเจา้ ของสญั ชาตแิ ละตวั ก�ำหนดสทิ ธหิ นา้ ทพ่ี งึ มี
ในฐานะทเี่ ปน็ พลเมอื งของประเทศนนั้ ๆ ดว้ ย อยา่ งไรกต็ ามบคุ คลทอ่ี ยใู่ นประเทศไทยมไิ ดห้ มายความวา่ จะตอ้ งมี
สัญชาติไทยเสมอไป เพราะมีบุคคลบางประเภทอยู่ในประเทศไทยเป็นสมาชิกของประเทศไทย แต่เข้ามา
ในประเทศไทยแบบมเี งอื่ นไข บคุ คลประเภทนี้ ไดแ้ ก่ คนตา่ งดา้ ว โดยสรปุ บคุ คลทกุ คนตอ้ งมสี ญั ชาติ จะไมม่ สี ญั ชาติ
ไมไ่ ด้ แตบ่ คุ คลคนเดยี วอาจมหี ลายสญั ชาตไิ ด้ การไดส้ ญั ชาตขิ องบคุ คลทวั่ ไปรวมทง้ั คนไทยดว้ ยอาจไดม้ า 2 ทาง
คอื ไดม้ าโดยการเกดิ และไดม้ าโดยการแปลงสญั ชาติ
3.3 ภมู ลิ ำ� เนา คอื ถนิ่ อนั บคุ คลมสี ถานทอี่ ยเู่ ปน็ แหลง่ ส�ำคญั ภมู ลิ �ำเนาเปน็ ทอี่ ยตู่ ามกฎหมายของบคุ คล
บคุ คลอาจมที อ่ี ยหู่ ลายแหง่ หรอื ทอ่ งเทย่ี วไปมา ไมม่ ที อี่ ยแู่ นน่ อน แตต่ อ้ งมภี มู ลิ �ำเนาทกี่ ฎหมายไดก้ �ำหนดใหแ้ หง่ ใด
แหง่ หนง่ึ การก�ำหนดภมู ลิ �ำเนาของบคุ คลมดี งั ตอ่ ไปน้ี
3.3.1 ภมู ลิ ำ� เนาของบคุ คลธรรมดา ไดแ้ ก่ ถน่ิ อนั บคุ คลนน้ั มสี ถานทอ่ี ยเู่ ปน็ แหลง่ ส�ำคญั (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 37) ภมู ลิ �ำเนาของบคุ คลมลี กั ษณะดงั นี้
1) เป็นถิ่นอันเป็นสถานที่อยู่ของบุคคล สถานที่ท่ีบุคคลได้อยู่อาศัย เช่น บ้านเรือน ตึกแถว
อาคารชดุ โรงแรม เรอื วดั เปน็ ตน้ ค�ำวา่ “ถน่ิ ” มไิ ดม้ คี วามหมายไปถงึ ต�ำบล อ�ำเภอ หรอื จงั หวดั แตห่ มายความจ�ำกดั
ถงึ ตวั ถนิ่ ทต่ี งั้ แหง่ สถานทพ่ี กั อาศยั
6 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
2) สถานที่อยู่นั้นต้องเป็นแหล่งส�ำคัญ บุคคลบางคนอาจจะมีท่ีอยู่หลายแห่ง เช่น นายรวย
ท�ำงานท่ีกรุงเทพฯ มีบ้านพักอยู่ท่ีกรุงเทพฯ หลังหน่ึง และมีบ้านพักอยู่ที่จังหวัดเชียงใหม่และสงขลาอีกหลังหนึ่ง
นายรวยไปพกั ผอ่ นทบี่ า้ นพกั ทจี่ งั หวดั เชยี งใหมแ่ ละสงขลาปลี ะประมาณ 1-2 ครงั้ กรณนี ยี้ อ่ มถอื ไดว้ า่ บา้ นพกั ของ
นายรวยท่ีกรุงเทพฯ เป็นสถานที่อยู่ท่ีเป็นแหล่งส�ำคัญ ไม่ใช่เป็นที่พักช่ัวคราวเหมือนที่พักท่ีจังหวัดเชียงใหม่
และสงขลา ดงั นน้ั บา้ นพกั ทก่ี รงุ เทพฯ จงึ เปน็ ภมู ลิ �ำเนาของนายรวย เปน็ ตน้ แตถ่ า้ นายรวยมสี ถานทอ่ี ยแู่ หง่ เดยี ว
ทก่ี รงุ เทพฯ การก�ำหนดภมู ลิ �ำเนาจงึ ไมม่ ปี ญั หาแตอ่ ยา่ งใด
●● ปัญหาในการก�ำ หนดภมู ลิ �ำ เนา
1) กรณที บี่ คุ คลมที อี่ ยหู่ ลายแหง่ และแตล่ ะแหง่ มคี วามสำ� คญั เทา่ ๆ กนั ถา้ บคุ คลธรรมดามถี น่ิ ทอี่ ยู่
หลายแห่งซ่ึงอยู่สับเปล่ียนกันไป หรือมีหลักแหล่งที่ท�ำการงานเป็นปกติหลายแห่ง ให้ถือเอาแห่งใดแห่งหน่ึงเป็น
ภมู ลิ �ำเนาของบคุ คลนนั้ คอื เลอื กภมู ลิ �ำเนาไดน้ นั่ เอง (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 38)
2) กรณีที่ภูมิล�ำเนาของบุคคลไม่ปรากฏ ถ้าภูมิล�ำเนาไม่ปรากฏ ให้ถือว่าถิ่นท่ีอยู่เป็นภูมิล�ำเนา
(ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 39)
3) กรณีบุคคลไม่มีที่อยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง บุคคลธรรมดาซ่ึงเป็นผู้ไม่มีท่ีอยู่ปกติเป็นหลักแหล่ง
หรือเป็นผู้ครองชีพในการเดินทางไปมาปราศจากหลักแหล่งท่ีท�ำการงาน หากพบตัวในถ่ินไหนให้ถือว่าถ่ินนั้น
เปน็ ภมู ลิ �ำเนาของบคุ คลนนั้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 39)
3.3.2 ภมู ลิ ำ� เนาตามทศ่ี าลกำ� หนด ไดแ้ ก่
1) ภูมิล�ำเนาของสามีและภริยา ได้แก่ ถ่ินที่อยู่ที่สามีและภริยาอยู่กินด้วยกันฉันสามีภริยา
เวน้ แตส่ ามหี รอื ภรยิ าไดแ้ สดงเจตนาใหป้ รากฏวา่ มภี มู ลิ �ำเนาแยกตา่ งหากจากกนั (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 43)
2) ภูมิล�ำเนาของผ้เู ยาว์ ไดแ้ ก่ ภูมลิ �ำเนาของผู้แทนโดยชอบธรรมซึ่งเป็นผใู้ ช้อ�ำนาจปกครอง
หรือผู้ปกครอง ในกรณีท่ีผู้เยาว์อยู่ใต้อ�ำนาจปกครองของบิดามารดา ถ้าบิดาและมารดามีภูมิล�ำเนาแยกต่างหาก
จากกนั ภมู ลิ �ำเนาของผเู้ ยาว์ ไดแ้ ก่ ภมู ลิ �ำเนาของบดิ าหรอื มารดาซงึ่ ตนอยดู่ ว้ ย (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 44)
3) ภูมิล�ำเนาของคนไร้ความสามารถ ได้แก่ ภูมิล�ำเนาของผู้อนุบาล (ประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณชิ ย์ มาตรา 45)
4) ภมู ลิ ำ� เนาของขา้ ราชการ ไดแ้ ก่ ถน่ิ อนั เปน็ ทท่ี �ำการตามต�ำแหนง่ หนา้ ท่ี หากมใิ ชเ่ ปน็ ต�ำแหนง่
หนา้ ทชี่ วั่ คราว ชว่ั ระยะเวลา หรอื เปน็ เพยี งแตง่ ตงั้ ไปเฉพาะการครง้ั เดยี วคราวเดยี ว (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 46)
5) ภมู ลิ ำ� เนาของผทู้ ถี่ กู จำ� คกุ ภมู ลิ �ำเนาของผทู้ ถ่ี กู จ�ำคกุ ตามค�ำพพิ ากษาถงึ ทส่ี ดุ ของศาล หรอื
ตามค�ำสงั่ โดยชอบดว้ ยกฎหมาย ไดแ้ ก่ เรอื นจ�ำหรอื ทณั ฑสถานทถ่ี กู จ�ำคกุ อยู่ จนกวา่ จะไดร้ บั การปลอ่ ยตวั (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 47)
หน่วยการเรียนรู้ท่ี 1 7
3.4 สถานะ สถานะของบคุ คล คอื ฐานะหรอื ต�ำแหนง่ ทบ่ี คุ คลด�ำรงอยใู่ นสงั คม เชน่ เปน็ เพศชายหรอื
เพศหญงิ เปน็ เดก็ หรอื ผใู้ หญ่ เปน็ คนไทย เปน็ ตน้ เมอ่ื เรารสู้ ถานะของบคุ คลจะท�ำใหเ้ รารถู้ งึ สทิ ธแิ ละหนา้ ทวี่ า่ มอี ยู่
อยา่ งไร เชน่ เพศหญงิ ไมต่ อ้ งเปน็ ทหาร แตเ่ พศชายตอ้ งเปน็ ทหาร เดก็ ทอ่ี ายไุ มถ่ งึ 20 ปบี รบิ รู ณย์ อ่ มยงั ไมบ่ รรลนุ ติ ภิ าวะ
เมอื่ จะท�ำนติ กิ รรมตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมจากผแู้ ทนโดยชอบธรรม เปน็ ตน้
3.5 ความสามารถ บคุ คลเกดิ มายอ่ มมคี วามสามารถ กลา่ วคอื มคี วามสามารถในการมสี ทิ ธแิ ละใชส้ ทิ ธิ
ตามกฎหมาย แตม่ บี คุ คลทห่ี ยอ่ นความสามารถหรอื ถกู กฎหมายจ�ำกดั ความสามารถในการใชส้ ทิ ธิ ดงั ตอ่ ไปนี้
3.5.1 ผเู้ ยาว์ คอื ผทู้ ยี่ งั ไมบ่ รรลนุ ติ ภิ าวะ เปน็ ผทู้ ย่ี งั ออ่ นในดา้ นสตปิ ญั ญา ความคดิ และรา่ งกาย
ผเู้ ยาวไ์ มส่ ามารถท�ำนติ กิ รรมไดต้ ามล�ำพงั ตนเอง ผเู้ ยาวจ์ ะบรรลนุ ติ ภิ าวะไดด้ งั ตอ่ ไปนี้
1) บรรลุนิติภาวะโดยอายุ บุคคลย่อมพ้นจากภาวะผู้เยาว์และบรรลุนิติภาวะเม่ือมีอายุ
20 ปบี รบิ รู ณ์ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 19)
2) บรรลนุ ติ ภิ าวะโดยการสมรส ผเู้ ยาวย์ อ่ มบรรลนุ ติ ภิ าวะเมอ่ื ท�ำการสมรส หากการสมรสนน้ั
ไดท้ �ำเมอื่ ชายและหญงิ มอี ายุ 17 ปบี รบิ รู ณแ์ ลว้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 20 และมาตรา 1448)
การท�ำนิติกรรม ผู้เยาว์จะท�ำนิติกรรมโดยล�ำพังมิได้ จะต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดย
ชอบธรรมกอ่ น หากไมไ่ ดร้ บั ความยนิ ยอมจากผแู้ ทนโดยชอบธรรม นติ กิ รรมนนั้ ยอ่ มตกเปน็ “โมฆยี ะ” (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ าตรา 21)
3.5.2 คนไร้ความสามารถ บุคคลที่จะถูกศาลสั่งให้เป็นคนไร้ความสามารถน้ัน จะต้องเป็นบุคคล
วิกลจริต และการวิกลจริตนั้นต้องเป็นอย่างมากและเป็นอยู่ประจ�ำ การท�ำนิติกรรมของคนไร้ความสามารถน้ัน
คนไร้ความสามารถจะท�ำนิติกรรมโดยล�ำพังไม่ได้ หรือท�ำโดยได้รับความยินยอมจากผู้อนุบาลไม่ได้
คนไรค้ วามสามารถจะตอ้ งใหผ้ อู้ นบุ าลท�ำนติ กิ รรมแทน มฉิ ะนน้ั นติ กิ รรมจะตกเปน็ “โมฆยี ะ”
3.5.3 คนเสมือนไร้ความสามารถ เป็นบุคคลท่ีไม่ถึงขั้นวิกลจริต แต่เป็นบุคคลที่มีเหตุบกพร่อง
บางประการไมส่ ามารถจดั การงานของตนได้ ซง่ึ ศาลอาจสงั่ ใหบ้ คุ คลเปน็ คนเสมอื นไรค้ วามสามารถ ไดแ้ ก่
1) กายพกิ าร ไมว่ า่ สว่ นไหนของรา่ งกายจะพกิ ารกไ็ ด้ เชน่ หหู นวก ตาบอด เปน็ ใบ้ แขนขาด
ขาขาด ซงึ่ อาจเปน็ มาโดยก�ำเนดิ หรอื เกดิ ขนึ้ ภายหลงั เชน่ เกดิ จากอบุ ตั เิ หตุ โรคภยั ไขเ้ จบ็ หรอื ชราภาพ เปน็ ตน้
2) จติ ฟน่ั เฟอื นไมส่ มประกอบ หมายถงึ บคุ คลทจี่ ติ ผดิ ปกติ สมองพกิ าร แตย่ งั ไมถ่ งึ ขน้ั วกิ ลจรติ
ยงั มคี วามคดิ ค�ำนงึ อยบู่ า้ ง และสามารถท�ำกจิ กรรมหลายอยา่ งไดด้ ว้ ยตนเอง
3) ประพฤติสุรุ่ยสุร่ายเสเพลเป็นอาจิณ ชอบประพฤติเสเพลใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือใช้จ่ายเงิน
เกนิ กวา่ ฐานะอยเู่ ปน็ ประจ�ำ และการใชจ้ า่ ยดงั กลา่ วไมเ่ กดิ ประโยชนใ์ นทางเศรษฐกจิ แตอ่ ยา่ งใด
4) ตดิ สรุ ายาเมา เชน่ ดม่ื สรุ าจดั เมาตลอดเวลา ตดิ ฝน่ิ เฮโรอนี เปน็ ประจ�ำจนละเวน้ เสยี ไมไ่ ด้
ท�ำใหร้ า่ งกายออ่ นแอ ความรสู้ กึ ผดิ ชอบลดนอ้ ยลงไป เปน็ ตน้
โดยปกติแล้วคนเสมือนไร้ความสามารถย่อมท�ำนิติกรรมใด ๆ ได้โดยมีผลสมบูรณ์ ยกเว้นนิติกรรม
บางประเภททจี่ ะตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมจากผพู้ ทิ กั ษก์ อ่ น ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 34 ไดแ้ ก่
นติ กิ รรมดงั ตอ่ ไปนี้
8 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)
1) น�ำทรพั ยส์ นิ ไปลงทนุ
2) รบั คนื ทรพั ยส์ นิ ทไี่ ปลงทนุ ตน้ เงนิ หรอื ทนุ อยา่ งอน่ื
3) กยู้ มื หรอื ใหก้ ยู้ มื เงนิ ยมื หรอื ใหย้ มื สงั หารมิ ทรพั ยอ์ นั มคี า่
4) รบั ประกนั โดยประการใด ๆ อนั มผี ลใหต้ นตอ้ งถกู บงั คบั ช�ำระหน้ี
5) เชา่ หรอื ใหเ้ ชา่ สงั หารมิ ทรพั ยม์ กี �ำหนดระยะเวลาเกนิ กวา่ 6 เดอื น หรอื อสงั หารมิ ทรพั ยม์ กี �ำหนด
ระยะเวลาเกนิ กวา่ 3 ปี
6) ใหโ้ ดยเสนห่ าเวน้ แตก่ ารใหท้ พ่ี อควรแกฐ่ านานรุ ปู เพอ่ื การกศุ ลการสงั คมหรอื ตามหนา้ ทธ่ี รรมจรรยา
7) รบั การใหโ้ ดยเสนห่ าทมี่ เี งอื่ นไขหรอื คา่ ภาระตดิ พนั หรอื ไมร่ บั การใหโ้ ดยเสนห่ า
8) ท�ำการอยา่ งหนง่ึ อยา่ งใดเพอื่ จะไดม้ า หรอื ปลอ่ ยไปซงึ่ สทิ ธใิ นอสงั หารมิ ทรพั ยห์ รอื ในสงั หารมิ ทรพั ย์
อนั มคี า่
9) กอ่ สรา้ งหรอื ดดั แปลงโรงเรอื นหรอื สง่ิ ปลกู สรา้ งอยา่ งอน่ื หรอื ซอ่ มแซมอยา่ งใหญ่
10) เสนอคดีต่อศาลหรือด�ำเนินกระบวนการใด ๆ เว้นแต่การร้องขอตามมาตรา 35 หรือขอร้อง
ขอถอนผพู้ ทิ กั ษ์
11) ประนปี ระนอมยอมความ หรอื มอบขอ้ พพิ าทใหอ้ นญุ าโตตลุ าการวนิ จิ ฉยั
ถ้ามีกรณีอื่นใดนอกจากท่ีกล่าวมาแล้วข้างต้น ซ่ึงคนเสมือนไร้ความสามารถอาจจัดการไปในทาง
เสอื่ มเสยี แกท่ รพั ยส์ นิ ของตนหรอื ครอบครวั ในการสง่ั ใหบ้ คุ คลใดเปน็ คนเสมอื นไรค้ วามสามารถ หรอื เมอ่ื ผพู้ ทิ กั ษ์
ร้องขอในภายหลัง ศาลมีอ�ำนาจส่ังให้คนเสมือนไร้ความสามารถน้ันต้องได้รับความยินยอมของผู้พิทักษ์ก่อน
จงึ จะท�ำการนน้ั ได้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 34 วรรคสอง)
ในกรณที ค่ี นเสมอื นไรค้ วามสามารถไมส่ ามารถจะท�ำการอยา่ งหนงึ่ อยา่ งใดทกี่ ลา่ วมาทง้ั หมดขา้ งตน้
ดว้ ยตวั เอง เพราะเหตมุ กี ายพกิ ารหรอื จติ ฟน่ั เฟอื นไมส่ มประกอบ ศาลจะสง่ั ใหผ้ พู้ ทิ กั ษเ์ ปน็ ผมู้ อี �ำนาจกระท�ำการนน้ั
แทนคนเสมือนไร้ความสามารถน้ันก็ได้ ในกรณีเช่นน้ีให้น�ำบทบัญญัติเกี่ยวกับผู้อนุบาลมาบังคับใช้แก่ผู้พิทักษ์
โดยอนโุ ลม (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 34 วรรคสาม)
การใด ๆ ที่คนเสมือนไร้ความสามารถกระท�ำลงโดยปราศจากความยินยอมดังกล่าวมาข้างต้นนั้น
ยอ่ มมผี ลเปน็ “โมฆยี ะ” (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 34 วรรคทา้ ย)
อยา่ งไรกต็ ามถา้ ศาลเหน็ วา่ เหตทุ ศี่ าลไดส้ ง่ั ใหเ้ ปน็ คนเสมอื นไรค้ วามสามารถไดส้ น้ิ สดุ ลงแลว้ ศาลจะตอ้ งมี
ค�ำสั่งเพิกถอนการเป็นคนเสมือนไร้ความสามารถน้ันเสีย และค�ำส่ังของศาลนั้นย่อมมีผลต้ังแต่วันที่ศาลมีค�ำสั่ง
เพกิ ถอนค�ำสงั่ เดมิ การเปน็ คนเสมอื นไรค้ วามสามารถของบคุ คลนน้ั กจ็ ะสน้ิ สดุ ลง (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 36)
3.5.4 คสู่ มรส หมายความถงึ สามภี รรยาทจี่ ดทะเบยี นสมรสตามกฎหมาย โดยหลกั ทว่ั ไปแลว้ คสู่ มรส
ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดสามารถท�ำนิติกรรมโดยล�ำพังด้วยตนเองได้ โดยไม่ต้องได้รับความยินยอมจากคู่สมรสอีกฝ่ายหนึ่ง
แตม่ ขี อ้ ยกเวน้ ในการท�ำนติ กิ รรมบางประเภทเทา่ นน้ั ซง่ึ เกย่ี วกบั การจดั การสนิ สมรส กฎหมายก�ำหนดใหก้ ารท�ำนติ กิ รรม
นนั้ ๆ คสู่ มรสตอ้ งไดร้ บั ความยนิ ยอมจากคสู่ มรสอกี ฝา่ ยหนง่ึ เชน่ ขาย ขายฝาก เชา่ ซอ้ื จ�ำนอง ใหเ้ ชา่ อสงั หารมิ ทรพั ย์
เกนิ กวา่ 3 ปี ใหก้ ยู้ มื เงนิ เปน็ ตน้
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 1 9
4. นิตบิ คุ คล
นติ บิ คุ คล คอื บคุ คลทกี่ ฎหมายสมมตหิ รอื ก�ำหนดขนึ้ วา่ เปน็ บคุ คลมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทต่ี ามกฎหมายก�ำหนดไว้
เชน่ เดยี วกบั บคุ คลธรรมดาเฉพาะในสว่ นทนี่ ติ บิ คุ คลจะพงึ กระท�ำได้ นติ บิ คุ คลจงึ เปน็ บคุ คลอกี ประเภทหนงึ่ ทเ่ี กดิ ขนึ้
โดยอาศยั อ�ำนาจของกฎหมาย และกฎหมายไดร้ บั รองสถานะของนติ บิ คุ คลวา่ เปน็ บคุ คลเพม่ิ ขนึ้ จากบคุ คลธรรมดา
นติ บิ คุ คลจงึ ไมใ่ ชบ่ คุ คลทม่ี ชี วี ติ จติ ใจ แตป่ ระกอบดว้ ยบคุ คลหลายคนรว่ มกนั ท�ำกจิ การอนั ใดอนั หนง่ึ แลว้ กอ่ ตงั้ ขน้ึ
เปน็ นติ บิ คุ คลตามวธิ กี ารตามทกี่ ฎหมายก�ำหนด ท�ำใหม้ สี ทิ ธหิ นา้ ทตี่ า่ ง ๆ ภายในขอบวตั ถปุ ระสงคท์ กี่ �ำหนดไว้ นติ บิ คุ คล
จงึ เกดิ ขนึ้ โดยกฎหมายเทา่ นนั้ มดี งั ตอ่ ไปนี้
4.1 นติ บิ คุ คลตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ เมอ่ื จดั ตงั้ แลว้ จะตอ้ งน�ำไปจดทะเบยี นตอ่ พนกั งาน
เจา้ หนา้ ทเ่ี สมอ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยน์ ติ บิ คุ คล มดี งั ตอ่ ไปน้ี
4.1.1 สมาคม เปน็ ลกั ษณะของคณะบคุ คลรว่ มกนั กอ่ ตง้ั เพอื่ กระท�ำการใด ๆ อนั มลี กั ษณะตอ่ เนอ่ื ง
เพอ่ื ท�ำการอนั ใดอนั หนงึ่ มใิ ชเ่ ปน็ การแสวงหาก�ำไรหรอื หารายไดม้ าแบง่ ปนั กนั และตอ้ งอยภู่ ายในกรอบขอ้ บงั คบั
ทกี่ ฎหมายก�ำหนดไว้ และตอ้ งจดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ที่ สมาคมมตี วั แทนเรยี กวา่ “คณะกรรมการ”
4.1.2 มูลนิธิ เป็นกองทรัพย์สินที่จัดไว้โดยเฉพาะเพ่ือการกุศล สาธารณะ การศาสนา ศิลปะ
วทิ ยาศาสตร์ วรรณคดี การศกึ ษา หรอื เพอื่ สาธารณประโยชนอ์ ยา่ งอน่ื มไิ ดม้ งุ่ หาประโยชนห์ รอื ก�ำไรมาแบง่ ปนั กนั
การจัดการทรัพย์สินก็ต้องกระท�ำเพ่ือผลประโยชน์ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิ และต้องจดทะเบียนต่อพนักงาน
เจา้ หนา้ ที่ มลู นธิ มิ ตี วั แทนเรยี กวา่ “คณะกรรมการ”
4.1.3 หา้ งหนุ้ สว่ นทจ่ี ดทะเบยี นแลว้ หา้ งหนุ้ สว่ น คอื คณะบคุ คลโดยมบี คุ คลตง้ั แต่ 2 คนขนึ้ ไป
ตกลงเข้ากันเพ่ือท�ำกิจกรรมร่วมกัน ด้วยความประสงค์จะแบ่งก�ำไรอันจะพึงได้แก่กิจการท่ีท�ำนั้น ห้างหุ้นส่วนมี
2 ประเภท คือ ห้างหุ้นส่วนที่ไม่ได้จดทะเบียน เรียกว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญ และห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนแล้ว
เรยี กวา่ หา้ งหนุ้ สว่ นสามญั นติ บิ คุ คลและหา้ งหนุ้ สว่ นจ�ำกดั ซงึ่ มตี วั แทนเรยี กวา่ “หนุ้ สว่ นผจู้ ดั การ”
4.1.4 บรษิ ทั จำ� กดั มลี กั ษณะคลา้ ยคลงึ กบั หา้ งหนุ้ สว่ น กลา่ วคอื เปน็ คณะบคุ คลทตี่ กลงเขา้ หนุ้ กนั
เพอ่ื กระท�ำกจิ การรว่ มกนั เพอ่ื แสวงหาก�ำไร และน�ำก�ำไรมาแบง่ ปนั กนั ระหวา่ งสมาชกิ ทรี่ ว่ มกนั เปน็ คณะ สมาชกิ
ทร่ี ว่ มกนั จดั ตง้ั บรษิ ทั ตอ้ งเปน็ บคุ คลมจี �ำนวนตง้ั แต่ 3 คนขน้ึ ไป (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 1097)*
การจดั ตงั้ บรษิ ทั นนั้ กฎหมายบงั คบั ใหต้ อ้ งจดทะเบยี น เมอ่ื จดทะเบยี นแลว้ บรษิ ทั จะมสี ภาพเปน็ นติ บิ คุ คลซง่ึ ไดแ้ ก่
บรษิ ทั จ�ำกดั และบรษิ ทั มหาชนจ�ำกดั มตี วั แทนเรยี กวา่ “กรรมการผจู้ ดั การ”
4.2 นติ บิ คุ คลตามพระราชบญั ญตั ติ า่ ง ๆ การเปน็ นติ บิ คุ คลตามพระราชบญั ญตั ติ า่ ง ๆ นนั้ พระราชบญั ญตั ิ
ว่าด้วยหนว่ ยงานนั้น ๆ มีบญั ญตั ิไวห้ รอื มกี ฎหมายอ่ืนรองรับไวใ้ ห้เปน็ นิติบุคคลโดยไมต่ อ้ งจดทะเบยี นต่อพนักงาน
เจา้ หนา้ ที่ ดงั ตอ่ ไปน้ี
4.2.1 เมืองพัทยา มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการเมืองพัทยา
พ.ศ. 2542 มาตรา 7
4.2.2 เนติบัณฑิตยสภา มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติเนติบัณฑิตยสภา พ.ศ. 2507
มาตรา 3
* มาตรา 1097 แก้ไขโดย พระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพมิ่ เติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2551 มาตรา 6
10 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
4.2.3 คณะกรรมการการศึกษาข้ันพน้ื ฐาน คณะกรรมการการอาชวี ศึกษา และคณะกรรมการ
อุดมศึกษา มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพ่ิมเติม (ฉบับที่ 2)
พ.ศ. 2545 มาตรา 35 วรรคสาม
4.2.4 คณะกรรมการการเลือกตั้ง มีฐานะเป็นนิติบุคคลตามพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ
วา่ ดว้ ยคณะกรรมการการเลอื กตง้ั พ.ศ. 2541 มาตรา 25
4.2.5 วดั มฐี านะเปน็ นติ บิ คุ คลตามพระราชบญั ญตั คิ ณะสงฆ์ (ฉบบั ท่ี 2) พ.ศ. 2535 จะตอ้ งเปน็ วดั
ในพระพทุ ธศาสนาและเปน็ วดั ทไ่ี ดร้ บั พระราชทานวสิ งุ คามสมี า
4.2.6 มสั ยดิ มฐี านะเปน็ นติ บิ คุ คลตามพระราชบญั ญตั มิ สั ยดิ อสิ ลาม พ.ศ. 2520
ฯลฯ
4.3 นติ บิ คุ คลตามกฎหมายมหาชน ตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บราชการแผน่ ดนิ ไดก้ �ำหนดใหจ้ ดั ระเบยี บ
บริหารราชการแผ่นดินออกเป็น 3 ส่วน คือ ระเบียบบริหารราชการแผ่นดินส่วนกลาง ระเบียบบริหารราชการ
ส่วนภูมิภาค และระเบียบบริหารราชการส่วนท้องถ่ิน เช่น กระทรวง ทบวง กรม จังหวัด มีฐานะเป็นนิติบุคคล
ตามพระราชบญั ญตั ริ ะเบยี บบรหิ ารราชการแผน่ ดนิ พ.ศ. 2534 โดยมหี วั หนา้ สว่ นราชการนนั้ ๆ เปน็ ตวั แทน เชน่
รฐั มนตรี อธบิ ดี ผวู้ า่ ราชการจงั หวดั เปน็ ตน้
นอกจากทก่ี ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ เชน่ มหาวทิ ยาลยั ของรฐั สหกรณ์ สหภาพแรงงาน กองทพั ตา่ ง ๆ เปน็ ตน้
มฐี านะเปน็ นติ บิ คุ คลตามทก่ี ฎหมายโดยเฉพาะบญั ญตั ใิ หเ้ ปน็ นติ บิ คุ คล
กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจที่ 1.1
ตอนท่ี 1 จงเขยี นเครอ่ื งหมาย ✓ หนา้ ขอ้ ความทถ่ี กู และเขยี นเครอ่ื งหมาย ✗ หนา้ ขอ้ ความทผ่ี ดิ
............... 1. บคุ คลบรรลนุ ติ ิภาวะเมือ่ อายคุ รบ 18 ปบี รบิ รู ณ ์
............... 2. ผ้เู ยาว์ทำ�นิติกรรมโดยลำ�พังไม่ได้ ต้องให้ผู้อนุบาลท�ำ การแทน
............... 3. คนไรค้ วามสามารถทำ�นติ กิ รรมโดยล�ำ พงั ผลจะเป็นโมฆียะ
............... 4. คนเสมอื นไรค้ วามสามารถท�ำ นิตกิ รรมโดยล�ำ พัง ผลจะเปน็ โมฆะ
............... 5. คนเสมอื นไรค้ วามสามารถท�ำ นติ ิกรรมโดยล�ำ พงั ไมไ่ ด้ ตอ้ งใหผ้ ูอ้ นบุ าลท�ำ แทน
............... 6. การขายบ้านหรอื ขายฝากบา้ น จะตอ้ งได้รับความยนิ ยอมจากค่สู มรส
............... 7. ผู้เยาว์ย่อมบรรลุนิติภาวะเมื่อทำ�การสมรส หากการสมรสนั้นได้ทำ�เมื่อชายและหญิงมีอายุ 17 ปี
บริบรู ณแ์ ลว้
............... 8. หญงิ ซึง่ จดทะเบียนสมรสแลว้ สามารถเลอื กใชค้ ำ�นำ�หนา้ นามวา่ “นาง” หรอื “นางสาว” ได้ตาม
ความสมคั รใจ โดยจะเลือกใช้นามสกลุ ของคสู่ มรสหรือไม่ก็ได้
............... 9. นติ บิ ุคคลเป็นบุคคลกฎหมายสมมติหรอื กำ�หนดขนึ้ ว่าเปน็ บุคคลมีสิทธแิ ละหนา้ ทไี่ ดต้ ามกฎหมาย
.............. 10. บริษทั จำ�กัดเปน็ นิติบุคคล สมาชิกทีร่ ว่ มกนั จดั ต้ังบริษทั ตอ้ งเป็นบุคคล มจี �ำ นวนต้งั แต่เจด็ คนข้ึนไป
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 1 11
ตอนท่ี 2 จงตอบคำ� ถามตอ่ ไปน้ี
1. สภาพบคุ คลเมือ่ ใดเริ่มตน้ และส้ินสดุ เมือ่ ใด
2. นติ ิบุคคลตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์มีกีป่ ระเภท อะไรบ้าง
กิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชีพท่ี 1.1
เร่อื ง บคุ คล
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธบิ ายความหมายและประเภทของบคุ คลได้
2. อธบิ ายการเรมิ่ ตน้ และสนิ้ สดุ ของสภาพบคุ คลได้
3. บอกสว่ นประกอบของบคุ คลได้
4. ระบนุ ติ บิ คุ คลตามกฎหมายได้
กจิ กรรม
1. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเปน็ 4 กลมุ่ ศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู ตามหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี
1.1 ความหมายและประเภทของบคุ คล กลมุ่ ท่ี 1
1.2 การเรมิ่ ตน้ และสน้ิ สดุ ของสภาพบคุ คล กลมุ่ ที่ 2
1.3 สว่ นประกอบของบคุ คล กลมุ่ ท่ี 3
1.4 นติ บิ คุ คล กลมุ่ ที่ 4
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มท่ีได้รับมอบหมายตามหัวข้อ 1.1-1.4 ศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับเร่ือง
กฎหมายลักษณะบุคคลและค�ำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ โดยค้นคว้าเพ่ิมเติมจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น
อนิ เทอรเ์ นต็ หนงั สอื จากหอ้ งสมดุ เปน็ ตน้
3. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิดสรุปหลักกฎหมายลักษณะบุคคลที่เป็นประเด็นส�ำคัญในรูปของ
ผงั มโนทศั น์ (Mind Mapping) หรอื สรปุ ประเดน็ ส�ำคญั ในรปู แบบของการแสดงบทบาทสมมตุ ิ
4. จากขอ้ 3 ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ เลอื กและน�ำเสนอภาระงานหนา้ ชน้ั เรยี น กลมุ่ ละ 3-5 นาที
5. ผสู้ อนและผเู้ รยี นรว่ มกนั สรปุ ภาพรวม
12 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
5. ความหมายและลักษณะของนติ กิ รรม
ในเรื่องนิติกรรมน้ีเป็นหลักเกณฑ์ที่จะน�ำไปปรับประยุกต์ใช้ในการจัดท�ำเอกสารท่ีเกี่ยวข้องกับกฎหมาย
และสญั ญาตา่ ง ๆ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยไ์ ดใ้ นทกุ ๆ เรอ่ื ง เชน่ ซอ้ื ขาย เชา่ ทรพั ย์ เชา่ ซอื้ จ�ำนอง
จ�ำน�ำ เปน็ ต้น เพราะนิตกิ รรมเปน็ ความผกู พันทางกฎหมายโดยเจตจ�ำนงของผูท้ �ำนติ ิกรรม เพอื่ ใหน้ ิติกรรมนนั้ ๆ
สมบรู ณถ์ กู ตอ้ ง และมผี ลบงั คบั ใชต้ ามกฎหมาย ทงั้ นผ้ี ทู้ ที่ �ำนติ กิ รรมจะตอ้ งเปน็ บคุ คลทมี่ ี “ความสามารถ” ในการ
ท�ำนติ กิ รรมดว้ ย ตามทไ่ี ดก้ ลา่ วมาแลว้ ขา้ งตน้ ในเรอื่ งความสามารถของบคุ คล หลกั เกณฑต์ า่ ง ๆ ในการท�ำนติ กิ รรม
จงึ เปน็ เรอ่ื งพน้ื ฐานทางกฎหมายทตี่ อ้ งศกึ ษาท�ำความเขา้ ใจใหช้ ดั เจนเปน็ อยา่ งยง่ิ
5.1 ความหมายของนิติกรรม
นิติกรรมเป็นลักษณะหน่ึงของหลักทั่วไปของกฎหมายแพ่ง ซ่ึงบัญญัติไว้ในบรรพ 1 ลักษณะ 4 แห่ง
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ดงั น้ี
มาตรา 149 “นติ กิ รรม หมายความวา่ การใด ๆ อนั ท�ำลงโดยชอบดว้ ยกฎหมาย และดว้ ยใจสมคั รมงุ่ โดยตรง
ตอ่ การผกู นติ สิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล เพอื่ จะกอ่ เปลยี่ นแปลง โอน สงวน หรอื ระงบั ซง่ึ สทิ ธ”ิ
5.2 ลกั ษณะของนิติกรรม
จากบทบญั ญตั ดิ งั กลา่ ว นติ กิ รรมมลี กั ษณะส�ำคญั แยกพจิ ารณาได้ ดงั ตอ่ ไปนี้
5.2.1 ตอ้ งมกี ารแสดงเจตนากระทำ� กลา่ วคอื มกี ารกระท�ำทแี่ สดงออกมาถงึ ความประสงคข์ องตนทม่ี อี ยู่
ในใจ ซง่ึ อาจแสดงเจตนาโดยชดั แจง้ หรอื โดยปรยิ ายกไ็ ด้
5.2.2 ตอ้ งกระทำ� โดยสมคั รใจ หมายความวา่ เปน็ การแสดงเจตนาโดยอสิ ระ ปราศจากการขม่ ขู่ ลอ่ ลวง
ฉอ้ ฉล หรอื หลอกลวงใหส้ �ำคญั ผดิ ใด ๆ ถา้ สมคั รใจแลว้ แมจ้ ะตกลงใหไ้ ดเ้ ปรยี บหรอื เสยี เปรยี บแกก่ นั อยา่ งไรกใ็ ชไ้ ด้
5.2.3 ต้องกระท�ำโดยมุ่งจะก่อให้เกิดนิติสัมพันธ์ระหว่างบุคคล หมายความว่า ผู้กระท�ำประสงค์จะ
ให้เกิดความผูกพันทางกฎหมายซ่ึงกันและกัน ความผูกพันทางกฎหมายอาจเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้
ซงึ่ กอ่ ใหเ้ กดิ สทิ ธแิ ละหนา้ ทรี่ ะหวา่ งกนั รวมทง้ั ตอ้ งการใหม้ ผี ลบงั คบั ไดต้ ามกฎหมาย เชน่ นายเอท�ำสญั ญาซอื้ ขาย
โทรศพั ทม์ อื ถอื กบั นายบี นายเอผขู้ ายกป็ ระสงคจ์ ะไดร้ บั เงนิ จากการขายโทรศพั ทม์ อื ถอื สว่ นนายบผี ซู้ อื้ กป็ ระสงค์
จะไดร้ บั โทรศพั ทม์ อื ถอื เปน็ ตน้
5.2.4 เปน็ การทำ� ลงโดยชอบดว้ ยกฎหมาย หมายความวา่ ไดท้ �ำลงโดยถกู ตอ้ งตามกฎหมาย ไมว่ า่ จะเปน็
เร่ืองวัตถุประสงค์ของนิติกรรม ความสามารถของบุคคล ตลอดจนถูกต้องตามแบบท่ีกฎหมายก�ำหนดไว้ ถ้าเป็น
การกระท�ำทไี่ มช่ อบดว้ ยกฎหมาย ไดแ้ ก่ การกระท�ำทมี่ วี ตั ถปุ ระสงคเ์ ปน็ การตอ้ งหา้ มชดั แจง้ โดยกฎหมาย เปน็ การ
พน้ วสิ ยั เปน็ การขดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ยหรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน มผี ลท�ำใหน้ ติ กิ รรมตกเปน็ โมฆะ
หน่วยการเรียนรู้ที่ 1 13
5.2.5 เปน็ การกระทำ� ทม่ี คี วามประสงคจ์ ะกอ่ ใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวในสทิ ธิ หมายความวา่ นติ กิ รรมนน้ั
ตอ้ งเปน็ การกระท�ำทม่ี วี ตั ถปุ ระสงคจ์ ะกอ่ ใหเ้ กดิ การเคลอ่ื นไหวในสทิ ธขิ องบคุ คลอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ มี 5 ประการ
ไดแ้ ก่ กอ่ สทิ ธิ เปลยี่ นแปลงสทิ ธิ โอนสทิ ธ์ิ สงวนสทิ ธ์ิ หรอื การระงบั สทิ ธิ ดงั นี้
1) กอ่ สทิ ธิ หมายความวา่ ท�ำใหเ้ กดิ สทิ ธิ เชน่ นายเอน�ำทด่ี นิ ไปจ�ำนองเปน็ ประกนั การช�ำระหนกี้ ยู้ มื
เงนิ กบั ธนาคารออมสนิ สทิ ธทิ ก่ี อ่ ใหเ้ กดิ ขนึ้ คอื สทิ ธกิ ยู้ มื เงนิ และสทิ ธจิ �ำนองทด่ี นิ เปน็ ตน้
2) เปลย่ี นแปลงสทิ ธิ หมายความวา่ นติ กิ รรมนน้ั มผี ลท�ำใหส้ ทิ ธขิ องผทู้ �ำนติ กิ รรมเปลยี่ นแปลงไป
เช่น นายด�ำกู้ยืมเงินจากนายแดง เม่ือถึงก�ำหนดช�ำระหนี้เงินกู้ นายด�ำไม่มีเงินเพราะยังไม่ได้รับเงินจากโครงการ
รับจ�ำน�ำข้าวของรัฐบาล จึงขอชดใช้หนี้นายแดงด้วยข้าวเปลือกที่มีเหลือจ�ำนวนหนึ่งแทนเงิน การกระท�ำเช่นน้ี
เปน็ การเปลยี่ นแปลงสทิ ธดิ ว้ ยการแปลงหนใี้ หม่ จากเงนิ เปน็ ขา้ วเปลอื กแทน เปน็ ตน้
3) โอนสทิ ธิ์ หมายความวา่ ผมู้ สี ทิ ธอิ ยแู่ ลว้ ประสงคท์ จ่ี ะโอนสทิ ธข์ิ องตนใหผ้ อู้ นื่ เชน่ นายเอเชา่ บา้ น
นายบี ตอ่ มานายบขี ายบา้ นใหน้ ายซแี ละโอนกรรมสทิ ธบ์ิ า้ นใหน้ ายซี การเชา่ บา้ นไมร่ ะงบั เพราะเหตกุ ารโอนกรรมสทิ ธ์ิ
สทิ ธติ ามสญั ญาเชา่ เหลอื เวลาเทา่ ไร นายซผี รู้ บั โอนผอ่ นรบั โอนไปทงั้ สทิ ธแ์ิ ละหนา้ ทต่ี อ่ จากนายบี เปน็ ตน้
4) สงวนสทิ ธ์ิ หมายความวา่ ผมู้ สี ทิ ธอิ ยแู่ ลว้ เกรงวา่ สทิ ธขิ องตนจะระงบั ไป จงึ ไดท้ �ำนติ กิ รรมเพอื่
สงวนสิทธิ์ของตนไว้ เช่น หน้ีใกล้จะขาดหมดอายุความ เจ้าหนี้จึงให้ลูกหนี้ท�ำหนังสือรับสภาพหนี้ไว้ จึงเป็นการ
สงวนสทิ ธมิ์ ใิ หข้ าดอายคุ วามหรอื ขอใชส้ ทิ ธนิ น้ั ตอ่ ไป เปน็ ตน้
5) การระงับสิทธิ หมายความว่า ผู้มีสิทธิประสงค์จะให้สิทธิของตนระงับไป จึงท�ำนิติกรรมข้ึน
เชน่ การบอกลา้ งโมฆยี กรรม การปลดหนใ้ี หล้ กู หนี้ เปน็ ตน้
●● ประเภทของนติ ิกรรม
นติ กิ รรมแบง่ ออกเปน็ 2 ประเภท ไดแ้ ก่
1) นติ กิ รรมฝา่ ยเดยี ว หมายถงึ นติ กิ รรมทมี่ ผี ทู้ �ำนติ กิ รรมแสดงเจตนาแตเ่ พยี งฝา่ ยเดยี ว ไมต่ อ้ งมผี รู้ บั
การแสดงเจตนายอ่ มมผี ลตามกฎหมายแลว้ เชน่ การท�ำพนิ ยั กรรม ค�ำมนั่ ตา่ ง ๆ การปลดหน้ี การตง้ั มลู นธิ ิ เปน็ ตน้
2) นิติกรรมสองฝ่ายหรือสองฝ่ายข้ึนไป หมายถึง นิติกรรมท่ีมีผู้กระท�ำตั้งแต่สองฝ่ายขึ้นไป มีการ
แสดงเจตนาเป็นค�ำเสนอ และมีผู้รับค�ำสนองซึ่งตรงกัน ท�ำให้เกิดสัญญาหรือข้อตกลงต่าง ๆ เช่น สัญญาซื้อขาย
สญั ญาเชา่ ทรพั ย์ สญั ญาเชา่ ซอ้ื สญั ญากยู้ มื เปน็ ตน้
6. แบบแหง่ นิตกิ รรม
แบบแห่งนิติกรรม คือ หลักเกณฑ์หรือวิธีการอันใดอันหน่ึงที่กฎหมายก�ำหนดไว้ว่า การท�ำนิติกรรม
ประเภทใดจะตอ้ งท�ำตามหลกั เกณฑท์ กี่ �ำหนดหรอื บงั คบั หากไมป่ ฏบิ ตั ติ ามการกระท�ำนนั้ จะเสยี เปลา่ หรอื สญู เปลา่
คอื ตกเปน็ “โมฆะ” ตามทป่ี ระมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยบ์ ญั ญตั ไิ ว้ ดงั ตอ่ ไปนี้
มาตรา 152 “การใดมไิ ดท้ �ำใหถ้ กู ตอ้ งตามแบบทก่ี ฎหมายบงั คบั ไว้ การนน้ั เปน็ โมฆะ”
14 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
ค�ำวา่ “การใด” ในทน่ี ห้ี มายถงึ ลกั ษณะหรอื ชนดิ ของเอกเทศสญั ญาทจ่ี ะตอ้ ง “กระท�ำ” ตอ่ กนั ของบคุ คล
แม้วา่ กฎหมายจะเคารพในการแสดงเจตนาของบคุ คล แต่ถา้ การแสดงเจตนาของบคุ คลถ้าท�ำตามแบบท่กี ฎหมาย
ก�ำหนด กฎหมายกไ็ มบ่ งั คบั ให้ และยงั ก�ำหนดใหก้ ารนนั้ ตกเปน็ โมฆะทนั ที กลา่ วคอื ไมเ่ กดิ ผลเปน็ นติ กิ รรมแตอ่ ยา่ งใด
แบบแหง่ นติ กิ รรม เปน็ วธิ กี ารทกี่ ฎหมายก�ำหนดไวเ้ ปน็ พเิ ศษ เพอื่ เปน็ หลกั บงั คบั ใหผ้ ทู้ �ำนติ กิ รรมตอ้ งท�ำตาม
ใหค้ รบถว้ น มฉิ ะนน้ั นติ กิ รรมจะตกเปน็ โมฆะ มี 4 แบบ ไดแ้ ก่
6.1 แบบที่ต้องท�ำเป็นหนังสือ นิตกิ รรมบางอย่างมีความส�ำคญั ตอ้ งใหผ้ ู้ท�ำนติ ิกรรมบันทกึ ขอ้ ตกลงไว้
เปน็ หนงั สอื ลงลายมอื ชอ่ื ผทู้ เ่ี กยี่ วขอ้ งทกุ ฝา่ ยไว้ ถา้ ตกลงเพยี งวาจา สญั ญานนั้ เปน็ โมฆะ เชน่ สญั ญาเชา่ ซอื้ หรอื
การท�ำพนิ ยั กรรมแบบธรรมดา เปน็ ตน้
ตวั อยา่ ง นายรวยตกลงท�ำสญั ญาเชา่ ซอ้ื โทรศพั ทม์ อื ถอื ยห่ี อ้ iPhone 11 ราคา 24,900 บาท แตไ่ มไ่ ด้
ท�ำเปน็ หนงั สอื ดงั นสี้ ญั ญาเชา่ ซอื้ ยอ่ มตกเปน็ โมฆะ
6.2 แบบที่ต้องท�ำเป็นหนังสือต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ กล่าวคือ ผู้ท�ำนิติกรรมต้องไปบันทึกไว้ต่อหน้า
เจา้ พนกั งานจงึ จะมผี ล ถา้ ไมท่ �ำเปน็ หนงั สอื ตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทยี่ อ่ มใชบ้ งั คบั ไมไ่ ด้ เชน่ การท�ำพนิ ยั กรรมแบบเอกสาร
ฝา่ ยเมอื งหรอื แบบลบั เปน็ ตน้
ตัวอย่าง นายสมศักดิ์ต้องการท�ำพินัยกรรมแบบเอกสารลับ ซึ่งนายสมศักดิ์ได้เขียนพินัยกรรมและ
ผนกึ พนิ ยั กรรมพรอ้ มลงลายมอื ชอื่ คาบรอยผลกึ จะตอ้ งท�ำพนิ ยั กรรมดงั กลา่ วไปแสดงตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ที่
6.3 แบบที่ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ แบบของนิติกรรมประเภทนี้กฎหมายก�ำหนดเพียง
ต้องจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่เท่าน้ัน ไม่ได้บังคับว่าต้องท�ำเป็นหนังสือแต่อย่างใด เช่น การจดทะเบียน
หา้ งหนุ้ สว่ นบรษิ ทั การจดทะเบยี นสถานะของบคุ คล เชน่ การเกดิ การตาย การสมรส การหยา่ การรบั รองบตุ ร
เปน็ ตน้
ตวั อยา่ ง นายแสนจดั พธิ มี งคลสมรส ณ โรงแรมดสุ ติ ธานี ซง่ึ เปน็ งานใหญม่ าก จงึ ตกเปน็ ขา่ วในสอ่ื หนงั สอื พมิ พ์
ทุกฉบับและทีวีทุกช่อง ดังนี้ไม่ถือว่าเป็นการสมรสตามกฎหมาย เพราะการสมรสตามกฎหมายต้องจดทะเบียน
ตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทเี่ ทา่ นนั้
6.4 แบบท่ีต้องท�ำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี นับว่าเป็นแบบที่มีความส�ำคัญ
มาก นอกจากจะตอ้ งท�ำเปน็ หนงั สอื แลว้ กฎหมายยงั ก�ำหนดใหไ้ ปจดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ทดี่ ว้ ย มฉิ ะนนั้
จะตกเปน็ โมฆะ เชน่ สญั ญาซอื้ ขายอสงั หารมิ ทรพั ย์ หรอื สงั หารมิ ทรพั ยช์ นดิ พเิ ศษ สญั ญาจ�ำนอง เปน็ ตน้
ตวั อยา่ ง นายชาตติ กลงซอ้ื ทดี่ นิ ทจ่ี งั หวดั เชยี งใหมแ่ ปลงหนง่ึ ราคา 900,000 บาท โดยมนี ายชายเปน็ เจา้ ของ
ท่ีดินดังกล่าว ท้ังสองตกลงซ้ือขายกันและนายชาติได้ช�ำระราคาทั้งหมดแล้ว การซ้ือขายที่ดินกรณีน้ีตกเป็นโมฆะ
เพราะไมท่ �ำตามแบบทกี่ ฎหมายก�ำหนดไวค้ อื ท�ำเปน็ หนงั สอื และจดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท่ี
7. การแสดงเจตนา
การแสดงเจตนาของผทู้ ำ� นติ กิ รรม การแสดงเจตนาเปน็ ผลการกระท�ำของบคุ คลทท่ี �ำใหอ้ กี ฝา่ ยรถู้ งึ ความ
ประสงคท์ จ่ี ะผกู นติ สิ มั พนั ธข์ องผแู้ สดงเจตนา เจตนาทแ่ี ทจ้ รงิ ของบคุ คลยอ่ มเกดิ ขน้ึ ในใจกอ่ น ตอ่ มาจงึ แสดงออก
ซึ่งเจตนาท่ีแท้จริงอยู่ในใจนั้น ถ้าแสดงเจตนาท่ีแท้จริงในใจกับเจตนาท่ีแสดงออกตรงกันปัญหาก็ไม่เกิดข้ึน แต่ถ้า
หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 1 15
ไม่ตรงกันจะเป็นโดยตั้งใจ คือ ตั้งใจในการแสดงเจตนาหรือไม่ตั้งใจคือแสดงโดยไม่รู้ตัว ปัญหาย่อมเกิดขึ้น เพื่อ
ปอ้ งกนั ปญั หาดงั กลา่ ว กฎหมายจงึ วางหลกั เรอ่ื งการแสดงเจตนา 6 ประการ ดงั นี้
7.1 เจตนาซ่อนเร้น คือ การแสดงเจตนาท่ีไม่ตรงกับใจจริง กล่าวคือ เจตนาท่ีแท้จริงในใจกับเจตนา
ทแ่ี สดงออกไมต่ รงกนั ซงึ่ หลกั กฎหมายก�ำหนดวา่ การแสดงเจตนาแมใ้ นใจผแู้ สดงจะมไิ ดเ้ จตนาใหต้ นตอ้ งผกู พนั ตาม
ที่ได้แสดงออกมาก็ตาม หาเป็นมูลเหตุในการแสดงเจตนานั้นเป็นโมฆะไม่ เว้นแต่คู่กรณีอีกฝ่ายหน่ึงจะได้รู้เจตนา
อนั ซอ่ นอยใู่ นใจของผแู้ สดงนน้ั (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 154)
7.2 เจตนาลวง หลักกฎหมายก�ำหนดว่า การแสดงเจตนาลวงโดยสมรู้กับคู่กรณีอีกฝ่ายหนึ่งเป็นโมฆะ
แต่จะยกข้ึนเป็นข้อต่อสู้บุคคลภายนอกผู้กระท�ำการโดยสุจริตและต้องเสียหายจากการแสดงเจตนาลวงนั้นมิได้
(ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 155 วรรคแรก)
การแสดงเจตนาลวง หมายถงึ ผแู้ สดงเจตนารตู้ วั ขณะแสดงเจตนาออกไปไมต่ รงกบั เจตนาทแ่ี ทจ้ รงิ ของตน
ทมี่ อี ยใู่ นใจซงึ่ คลา้ ย ๆ กบั เจตนาซอ่ นเรน้ แตแ่ ตกตา่ งกนั ตรงทจ่ี �ำนวนตวั บคุ คลผแู้ สดงเจตนา คอื เจตนาซอ่ นเรน้
เป็นการแสดงเจตนาเพียงคนเดียวเพื่อให้อีกฝ่ายเข้าใจผิด แต่เจตนาลวงเป็นการแสดงร่วมกัน 2 ฝ่าย โดย
สมรรู้ ว่ มคดิ กนั แสดงเจตนาทไ่ี มต่ รงกบั เจตนาทแี่ ทจ้ รงิ เปน็ การท�ำพนิ ยั กรรมหลอก ๆ กนั ไว้ เพอ่ื ลวงใหบ้ คุ คลอนื่ หรอื
ฝา่ ยทสี่ ามเขา้ ใจผดิ กฎหมายใหก้ ารแสดงเจตนาลวงนเ้ี ปน็ โมฆะ ใชบ้ งั คบั ไมไ่ ด้ แตจ่ ะยกขน้ึ เปน็ ขอ้ ตอ่ สกู้ บั บคุ คลภายนอก
ผกู้ ระท�ำการโดยสจุ รติ และตอ้ งเสยี หายจากการแสดงเจตนาลวงมไิ ด้
7.3 นติ กิ รรมอำ� พราง คอื การแสดงเจตนาลวงดงั กลา่ วในขอ้ 7.2 กระท�ำเพอื่ อ�ำพรางนติ กิ รรมอนื่ คอื
ปกปดิ นติ กิ รรมทแ่ี ทจ้ รงิ กฎหมายก�ำหนดไวว้ า่ ใหบ้ งั คบั ตามนติ กิ รรมทถ่ี กู อ�ำพรางหรอื ปกปดิ ไว้ (ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา 155 วรรคสอง)
7.4 การแสดงเจตนาโดยสำ� คญั ผดิ คอื การแสดงออกของบคุ คลไมต่ รงกบั เจตนาทแี่ ทจ้ รงิ เพราะเขา้ ใจผดิ
หลงผดิ หรอื พลาดไป การแสดงเจตนาโดยส�ำคญั ผดิ ตอ้ งส�ำคญั ผดิ ในประการนี้ คอื ส�ำคญั ผดิ ในสง่ิ ซง่ึ เปน็ สาระส�ำคญั
แห่งนิติกรรมจะท�ำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะทันที และอีกประการหน่ึงคือ ส�ำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือ
ทรพั ยส์ นิ จะท�ำใหน้ ติ กิ รรมตกเปน็ โมฆยี ะ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 156)
7.5 การแสดงเจตนาเพราะถกู กลฉอ้ ฉล เนอื่ งจากท�ำนติ กิ รรมเพราะถกู อกี ฝา่ ยหลอกลวงหรอื ใชอ้ บุ ายหลอก
ใหอ้ กี ฝา่ ยหลงผดิ เพราะปกปดิ ความจรงิ จนท�ำนติ กิ รรมดว้ ย เชน่ นเ้ี รยี กวา่ แสดงเจตนาท�ำนติ กิ รรมเพราะถกู กลฉอ้ ฉล
เปน็ ผลใหน้ ติ กิ รรมนน้ั ตกเปน็ โมฆยี ะ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 159)
7.6 การแสดงเจตนาเพราะถกู ขม่ ขู่ หลกั กฎหมายบญั ญตั ใิ หก้ ารแสดงเจตนาทแ่ี สดงออกไปเพอื่ ท�ำนติ กิ รรม
เพราะถกู ขม่ ขใู่ หต้ กเปน็ โมฆยี ะ
ลกั ษณะการขม่ ขทู่ จ่ี ะท�ำใหก้ ารแสดงเจตนาเปน็ โมฆยี ะ มี 2 ประการ คอื
7.6.1 ภยั ทข่ี ม่ ขตู่ อ้ งเปน็ ภยั ใกลจ้ ะถงึ เชน่ ผขู้ ม่ ขเู่ ขา้ มาใกลป้ ระชดิ ตวั เปน็ ตน้
7.6.2 ภยั ทผ่ี ถู้ กู ขม่ ขตู่ อ้ งรา้ ยแรงถงึ ขนาด เชน่ เมอ่ื ผถู้ กู ขม่ ขเู่ ขา้ มาใกลป้ ระชดิ ตวั แลว้ ยงั ใชม้ ดี จอ่ ทคี่ อ
พรอ้ มพดู วา่ ถา้ ไมล่ งลายมอื ชอ่ื ในสญั ญาจะเอามดี แทงคอใหต้ าย เปน็ เหตใุ หผ้ ถู้ กู ขม่ ขกู่ ลวั จงึ ยอมลงลายมอื ชอื่ สญั ญา
เปน็ ตน้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 165)
16 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)
8. โมฆกรรมและโมฆยี กรรม
โมฆกรรมและโมฆียกรรมเป็นผลแห่งความไม่สมบูรณ์ของนิติกรรม ซ่ึงอาจท�ำให้นิติกรรมตกเป็นโมฆะ
หรอื โมฆยี ะ ดงั ตอ่ ไปนี้
8.1 โมฆกรรม (โมฆะ) หมายถึง นิติกรรมท่ีท�ำแล้วไม่มีผลบังคับใช้ทางกฎหมาย กล่าวคือ เมื่อท�ำข้ึน
นติ กิ รรมทเี่ ปน็ โมฆะแลว้ ถอื เสมอื นวา่ ไมไ่ ดม้ กี ารท�ำนติ กิ รรมนนั้ ๆ จงึ เปน็ นติ กิ รรมทเี่ สยี เปลา่ มาตง้ั แตเ่ รมิ่ ตน้ ไมส่ ามารถ
ทจ่ี ะใหส้ ตั ยาบนั หรอื บอกลา้ งในภายหลงั ไดแ้ ตอ่ ยา่ งใด
สาเหตขุ องโมฆกรรม หรอื เหตทุ ท่ี �ำใหน้ ติ กิ รรมตกเปน็ โมฆะ มดี งั ตอ่ ไปน้ี
8.1.1 นิติกรรมที่มีวัตถุประสงค์ต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย หรือ
ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน หรอื เปน็ การพน้ วสิ ยั (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 150)
8.1.2 นิติกรรมที่ไม่ท�ำให้ถูกต้องตามแบบท่ีกฎหมายก�ำหนด (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 152)
8.1.3 นิติกรรมที่เกิดจากการแสดงเจตนาซ่อนเร้น โดยคู่กรณีรู้ถึงเจตนาที่ซ่อนอยู่ในใจของผู้แสดง
แสดงเจตนาลวง อ�ำพราง หรือส�ำคัญผิดในสาระส�ำคัญของนิติกรรม (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 154-156)
8.1.4 นิติกรรมท่ีเป็นโมฆะเพราะเหตุอ่ืน ๆ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
เชน่ การท�ำนติ กิ รรมของผเู้ ยาวท์ อ่ี ายไุ มค่ รบ 15 ปบี รบิ รู ณ์ เปน็ ตน้
8.2 โมฆียกรรม (โมฆียะ) หมายถึง นิติกรรมที่สมบูรณ์ตามกฎหมาย จนกว่าจะมีการบอกล้าง หรือ
ให้สัตยาบัน เม่ือมีการให้สัตยาบันแล้วถือว่ามีผลสมบูรณ์ต้ังแต่เริ่มแรก การให้สัตยาบัน คือ การรับรองนิติกรรม
ทเี่ ปน็ โมฆยี ะใหม้ ผี ลสมบรู ณโ์ ดยผมู้ สี ทิ ธบิ อกลา้ งโมฆยี กรรม เชน่ น.ส.เยาวภา อายุ 17 ปี ท�ำสญั ญาซอ้ื รถจกั รยานยนต์
ราคา 40,000 บาท โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้แทนโดยชอบธรรม นิติกรรมมีผลไม่สมบูรณ์ตกเป็นโมฆียะ
แตถ่ า้ บดิ าหรอื มารดาซง่ึ เปน็ ผแู้ ทนโดยชอบธรรมเหน็ วา่ รถดงั กลา่ วเปน็ รถใหมร่ าคาถกู จงึ ไมบ่ อกลา้ งแตใ่ หก้ ารรบั รอง
หรอื ใหส้ ตั ยาบนั นติ กิ รรมดงั กลา่ วจงึ ถอื วา่ มผี ลสมบรู ณต์ ง้ั แตเ่ รมิ่ แรก เปน็ ตน้
สาเหตขุ องโมฆยี กรรมหรอื เหตทุ ท่ี �ำใหน้ ติ กิ รรมตกเปน็ โมฆยี ะ มดี งั ตอ่ ไปน้ี
8.2.1 การท�ำนติ กิ รรมของผบู้ กพรอ่ งในเรอ่ื งความสามารถ เชน่ ผเู้ ยาว์ บคุ คลเสมอื นไรค้ วามสามารถ
บคุ คลไรค้ วามสามารถ เปน็ ตน้
8.2.2 การท�ำนิติกรรมที่เกิดจากการส�ำคัญผิดในคุณสมบัติของบุคคลหรือทรัพย์สิน (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 157)
8.2.3 การท�ำนติ กิ รรมทเี่ กดิ จากการใชก้ ลฉอ้ ฉล (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 159)
เพราะถกู ขม่ ขู่ หรอื ใชก้ ลฉอ้ ฉล
8.2.4 การท�ำนติ กิ รรมทเี่ กดิ จากการขม่ ขู่ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 164)
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 1 17
●● อายุความ
โมฆียกรรมอาจบอกล้างภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่เวลาท่ีอาจให้สัตยาบันได้ (การให้สัตยาบัน คือ
การรบั รองนติ กิ รรมนน้ั ใหส้ มบรู ณข์ น้ึ มา) หรอื 10 ปี นบั แตไ่ ดท้ �ำนติ กิ รรมอนั เปน็ โมฆยี ะนน้ั (ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา 181)
สาระนา่ รู้
โมฆียกรรม (Voidable Act) หมายถึง นิติกรรมซ่ึงอาจบอกล้าง เพิกถอน หรือให้สัตยาบันได้
ถ้าบอกล้างก็เป็นโมฆียะมาแต่เริ่มแรก ถ้าให้สัตยาบันก็มีผลสมบูรณ์มาแต่เริ่มแรก ท้ังนี้กฎหมายเขียนเป็น
“โมฆียะกรรม” ตามรปู แบบการเขียนโบราณในสมัยรชั กาลท่ี 6 ซงึ่ ยงั ไม่มกี ารบงั คับใหก้ ารเขยี นสะกดคำ�
ต้องเปน็ ไปตามพจนานกุ รมของทางราชการ
กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจที่ 1.2
ตอนท่ี 1 จงเขยี นเครอื่ งหมาย ✓ หนา้ ขอ้ ความทถ่ี กู และเขยี นเครอ่ื งหมาย ✗ หนา้ ขอ้ ความทผ่ี ดิ
…………... 1. นติ ิกรรมอาจมฝี ่ายเดยี วหรือหลายฝา่ ยก็ย่อมได้
…………... 2. นายเอตอ้ งการพานายบซี งึ่ เปน็ นอ้ งชายไปขน้ึ รถไฟเพอ่ื เดนิ ทางไปตา่ งจงั หวดั ในชว่ งวนั หยดุ เทศกาล
สงกรานต์ ถือได้วา่ เป็นการทำ�นิตกิ รรมอยา่ งหนง่ึ
…………... 3. การก่อสิทธิ การเปลี่ยนแปลงสิทธิ การโอนสิทธิ การสงวนสิทธิ และการระงับสิทธิ หากเป็นการ
กระทำ�ให้เกิดผูกพนั ระหวา่ งบุคคลแลว้ ถอื วา่ การกระท�ำ น้นั เปน็ นติ ิกรรม
…………... 4. การใดมิได้ทำ�ใหถ้ ูกตอ้ งตามแบบของนิติกรรม การนน้ั ยอ่ มมีผลเปน็ โมฆะ
…………... 5. ผลแหง่ นิติกรรมทีเ่ ป็นโมฆะ คือ สมบรู ณ์อยจู่ นกวา่ จะถูกบอกล้าง
…………... 6. ผลแหง่ นติ ิกรรมทเ่ี ปน็ โมฆียะ คอื เสียเปล่าจนกว่าจะถูกบอกล้าง
…………... 7. สัญญาซ้ือขายอสงั หาริมทรัพย์ หรอื สังหารมิ ทรพั ยช์ นิดพิเศษ หรอื สัญญาจำ�นอง ต้องท�ำ ตามแบบ
ท่ีกฎหมายกำ�หนดคือ ทำ�เป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี มิฉะนั้นจะเป็น
นิตกิ รรมทต่ี กเป็นโมฆะ
…………... 8. การแสดงเจตนาเพราะถกู กลฉอ้ ฉล หรือถกู ขม่ ขู่ ผลท�ำ ใหน้ ิติกรรมน้นั ตกเป็นโมฆยี ะ
…………... 9. โมฆียกรรมอาจบอกล้างภายในระยะเวลา 1 ปี นับแต่ได้ทำ�นิติกรรมอันเป็นโมฆียะ หรือ 10 ปี
นบั แตเ่ วลาที่อาจใหส้ ตั ยาบันได้
…………... 10. การให้สตั ยาบัน คือ การรับรองนิติกรรมนัน้ ใหส้ มบรู ณข์ ้ึนมา
18 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
ตอนท่ี 2 จงตอบคำ� ถามตอ่ ไปน้ี
1. จงเขียนความหมายของนิติกรรมตามกฎหมาย
2. โมฆะกับโมฆียะมคี วามหมายเหมอื นหรือต่างกนั อยา่ งไร
กิจกรรมตามสมรรถนะวชิ าชพี ท่ี 1.2
เร่อื ง นติ กิ รรม
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธบิ ายความหมายและลกั ษณะของนติ กิ รรมได้
2. บอกแบบแหง่ นติ กิ รรมได้
3. อธบิ ายการแสดงเจตนาได้
4. อธบิ ายความหมายของโมฆกรรมและโมฆยี กรรมได้
กจิ กรรม
1. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเปน็ 4 กลมุ่ ศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู ตามหวั ขอ้ ตอ่ ไปน้ี
1.1 ความหมายและลกั ษณะของนติ กิ รรม กลมุ่ ท่ี 1
1.2 แบบแหง่ นติ กิ รรม กลมุ่ ท่ี 2
1.3 การแสดงเจตนา กลมุ่ ท่ี 3
1.4 โมฆกรรมและโมฆยี กรรม กลมุ่ ท่ี 4
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มท่ีได้รับมอบหมายตามหัวข้อ 1.1-1.4 ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเร่ือง
กฎหมายลักษณะนิติกรรมและค�ำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ โดยค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น
อนิ เทอรเ์ นต็ หนงั สอื จากหอ้ งสมดุ เปน็ ตน้
3. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิดสรุปหลักกฎหมายลักษณะนิติกรรมที่เป็นประเด็นส�ำคัญในรูป
ของผงั มโนทศั น์ (Mind Mapping) หรอื สรปุ ประเดน็ ส�ำคญั ในรปู แบบของการแสดงบทบาทสมมตุ ิ
4. จากขอ้ 3 ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ เลอื กและน�ำเสนอภาระงานหนา้ ชนั้ เรยี น กลมุ่ ละ 3-5 นาที
5. ผสู้ อนและผเู้ รยี นรว่ มกนั สรปุ ภาพรวม
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 1 19
สรปุ
บุคคล คือ สิ่งท่ีสามารถมีสิทธิและหน้าที่ได้ตามกฎหมาย ซึ่งได้แก่ บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล
สภาพบคุ คลเรม่ิ ตง้ั แตเ่ มอ่ื คลอดแลว้ อยรู่ อดเปน็ ทารกและสน้ิ สดุ ลงเมอื่ ตาย บคุ คลธรรมดาบางคนอาจหยอ่ น
ในด้านความสามารถในการท่ีจะทำ�นิติกรรมใด ๆ ซ่ึงได้แก่ ผู้เยาว์ คนไร้ความสามารถและคนเสมือน
ไรค้ วามสามารถ สว่ นนติ บิ คุ คลนนั้ จดั วา่ เปน็ บคุ คลตามกฎหมายประเภทหนง่ึ ทไี่ มม่ ชี วี ติ อยา่ งบคุ คลธรรมดา
แต่สามารถมีสิทธแิ ละหน้าที่ไดต้ ามกฎหมายเทา่ ทก่ี ฎหมายให้สิทธนิ ้นั ไว้
นิติกรรม คือ การใด ๆ อันทำ�ลงโดยชอบด้วยกฎหมายและสมัครใจ มุ่งที่จะให้มีผลผูกพัน
ทางกฎหมายเพื่อท่ีจะก่อสิทธ์ิ เปลี่ยนแปลงสิทธิ โอนสิทธิ สงวนสิทธิ หรือการระงับสิทธิ นิติกรรม
มีท้ังนิติกรรมฝ่ายเดียวและนิติกรรมสองฝ่าย นิติกรรมจะสมบูรณ์ต่อเมื่อผู้ทำ�นิติกรรมมีความสามารถ
ตามกฎหมาย วัตถุประสงค์ไม่ขัดต่อกฎหมาย ต้องทำ�ให้ถูกต้องตามแบบที่กฎหมายกำ�หนดไว้ และ
มเี จตนาแท้จริงในการท�ำ นติ ิกรรม
20 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)
แบบประเมนิ สมรรถนะรายวชิ าหนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 1
เรื่อง บุคคลและนติ กิ รรม
คำ� ชแ้ี จง จงเขยี นเครอ่ื งหมาย ✓ ลงในชอ่ งวา่ งทตี่ รงกบั ความคดิ เหน็ ของผเู้ รยี นตามความเปน็ จรงิ มากทส่ี ดุ
เกณฑก์ ารประเมนิ 5 = ดมี าก 4 = ด ี 3 = ปานกลาง 2 = นอ้ ย 1 = นอ้ ยทสี่ ดุ
หวั ข้อ ระดับความคดิ เหน็
54321
1. ดา้ นความรู้
1.1 อธบิ ายความหมายและประเภทของบุคคลได้
1.2 อธิบายการเริ่มต้นและส้นิ สดุ ของสภาพบคุ คลได้
1.3 บอกสว่ นประกอบของบุคคลได้
1.4 ระบุนติ บิ คุ คลตามกฎหมายได้
1.5 อธบิ ายความหมายและลกั ษณะของนติ ิกรรมได้
1.6 บอกแบบแห่งนิติกรรมได้
1.7 อธบิ ายการแสดงเจตนาได้
1.8 อธิบายความหมายของโมฆกรรมและโมฆยี กรรมได้
2. ดา้ นทกั ษะ
2.1 ปฏบิ ัตกิ จิ กรรมตามท่ีไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ตามกำ�หนดเวลา
2.2 เกิดสมรรถนะในการปฏิบัติกิจกรรม
2.3 จดั ท�ำ เอกสารทเ่ี ก่ยี วขอ้ งกบั ลักษณะบุคคลและนติ กิ รรมไดต้ ามหลักการ
ของประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
3. ดา้ นเจตคติ
3.1 มีความซอื่ สตั ย์สุจรติ
3.2 มีวนิ ัย ตรงต่อเวลา และมคี วามรับผดิ ชอบ
3.3 มมี นุษยสัมพันธใ์ นการปฏิบตั กิ จิ กรรม และทำ�งานรว่ มกบั ผู้อื่นได้
3.4 มีเจตคติทดี่ ใี นการปฏบิ ัติกจิ กรรม
หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 1 21
แบบทดสอบเพือ่ ประเมินผลหลังการเรยี นรู้
จงเลอื กคำ� ตอบทถี่ กู ตอ้ งเพยี งขอ้ เดยี ว 2. 5 ปี กรณีธรรมดา 2 ปี กรณีพิเศษ
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่ 1 อธบิ ายความหมายและประเภท 3. 6 ปี กรณธี รรมดา 3 ปี กรณพี ิเศษ
ของบคุ คลได้ 4. 7 ปี กรณีธรรมดา 4 ปี กรณีพเิ ศษ
1. ขอ้ ใดคอื ความหมายและประเภทของบคุ คล 5. 10 ปี กรณธี รรมดา 5 ปี กรณพี เิ ศษ
1. บคุ คล คอื สงิ่ ทสี่ ามารถมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทไี่ ดต้ าม
กฎหมาย ไดแ้ ก่ ประเภทมนษุ ย์ จดุ ประสงค์การเรยี นรูท้ ่ี 3 บอกส่วนประกอบของบุคคลได้
2. บคุ คล คอื สงิ่ ทสี่ ามารถมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทไ่ี ดต้ าม 4. ข้อใดเป็นส่วนประกอบของสภาพบุคคล
กฎหมาย ได้แก่ ประเภทมนษุ ยแ์ ละสัตว์ 1. ชื่อ 2. สัญชาติ
3. บคุ คล คอื สง่ิ ทสี่ ามารถมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทไี่ ดต้ าม 3. ภมู ิล�ำเนา 4. ความสามารถ
กฎหมาย ไดแ้ ก่ ประเภทสมาคมและมลู นธิ ิ 5. ถูกต้องทกุ ขอ้
4. บคุ คล คอื สงิ่ ทส่ี ามารถมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทไี่ ดต้ าม 5. เมื่อสมรสแล้วการใช้ค�ำน�ำหน้าช่ือของหญิง และ
กฎหมายเฉพาะมนุษย์เทา่ นั้น ได้แก่ ประเภท การใช้นามสกุลของคู่สมรส ข้อใดกล่าวไว้อย่าง
บคุ คลธรรมดาและนติ บิ ุคคล ถูกตอ้ งตามกฎหมาย
5. บคุ คล คอื สงิ่ ทสี่ ามารถมสี ทิ ธแิ ละหนา้ ทไ่ี ดต้ าม 1. ใชค้ �ำน�ำหนา้ นามวา่ “นาง” หรอื “นางสาว”
กฎหมายเฉพาะสง่ิ มชี วี ติ เทา่ นนั้ ไดแ้ ก่ ประเภท ได้ตามความสมัครใจ และนามสกุลคงเดมิ ท้งั คู่
บคุ คลธรรมดาและนิติบุคคล - ชายใชน้ ามสกลุ ชาย หญิงใช้นามสกลุ หญิง
2. ใชค้ �ำน�ำหนา้ นามว่า “นาง” หรือ “นางสาว”
จุดประสงค์การเรียนรู้ท่ี 2 อธิบายการเริ่มต้นและส้ินสุด ได้ตามความสมัครใจ และนามสกุลตาม
ของสภาพบุคคลได้ รูปแบบเดิม - ชายใช้นามสกุลชาย หญิงใช้
2. สภาพบุคคลธรรมดาเร่ิมตน้ และส้ินสดุ เมือ่ ใด นามสกุลชาย
1. เริ่มตน้ ตั้งแตค่ ลอด และสิน้ สุดเม่อื ตาย 3. ใชค้ �ำน�ำหนา้ นามว่า “นาง” หรือ “นางสาว”
2. เรม่ิ ต้นตงั้ แต่คลอด ถึงแม้จะตายทันทที ่ีคลอด ได้ตามความสมัครใจ นามสกุลชายเปล่ียน
3. เรมิ่ ตน้ ตง้ั แตค่ ลอด คลอดแลว้ อยรู่ อดเปน็ ทารก แต่หญิงไม่เปลี่ยน - ชายใช้นามสกุลหญิง
และสน้ิ สุดลงไม่มลี มหายใจ หญงิ ใชน้ ามสกุลหญิง
4. เรมิ่ ตน้ ตงั้ แตค่ ลอด คลอดแลว้ อยรู่ อดเปน็ ทารก 4. ใชค้ �ำน�ำหนา้ นามวา่ “นาง” หรอื “นางสาว”
อยา่ งนอ้ ย 1 นาที และส้ินสดุ ลงเม่ือตาย ไดต้ ามความสมคั รใจ นามสกลุ ใชส้ ลบั กนั - ชาย
5. เรม่ิ ตน้ ตงั้ แตค่ ลอด คลอดแลว้ อยรู่ อดเปน็ ทารก ใชน้ ามสกลุ หญิง หญิงใชน้ ามสกุลชาย
ไม่ว่าจะอยู่รอดนานเพียงใดก็ได้ และสิ้นสุด 5. เลือกท�ำได้ทุกข้อต้ังแต่ข้อ 1-4 แต่ต้องแจ้ง
เม่อื ตาย ตอ่ นายทะเบยี น ณ ส�ำนักงานเขตและท่ีวา่ การ
3. ศาลจะสงั่ บคุ คลใดเปน็ คนสาบสญู ไดบ้ คุ คลนน้ั ตอ้ ง อ�ำเภอต่าง ๆ ตามทีต่ นมีทะเบียนบา้ นอยู่
ไดไ้ ปจากภมู ลิ �ำเนาหรอื ถนิ่ ทอี่ ยเู่ ปน็ เวลาตามขอ้ ใด
1. 2 ปี กรณธี รรมดา 1 ปี กรณีพเิ ศษ
22 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ 4 ระบุนิตบิ ุคคลตามกฎหมายได้ จุดประสงคก์ ารเรียนรทู้ ่ี 7 อธิบายการแสดงเจตนาได้
6. ข้อใดมีฐานะเป็นนิติบุคคลตามประมวลกฎหมาย 9. การแสดงเจตนาตามขอ้ ใดมีผลเป็นโมฆะ
แพง่ และพาณิชย์ 1. การแสดงเจตนาลวง
1. วัดวาอาราม 2. การแสดงเจตนาข่มขู่
2. ห้างหุน้ สว่ นจ�ำกดั 3. การแสดงเจตนาเพราะถกู ฉอ้ ฉล
3. จงั หวดั กรุงเทพมหานคร 4. การแสดงเจตนาโดยส�ำคัญผดิ ในตวั บคุ คล
4. คณะกรรมการการเลอื กตั้ง 5. การแสดงเจตนาโดยส�ำคัญผิดในส่ิงท่ีไม่ใช่
5. คณะกรรมการการอาชีวศกึ ษา สาระส�ำคัญของนิติกรรม
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่ 5 อธบิ ายความหมายและลกั ษณะ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ่ี 8 อธบิ ายความหมายของโมฆกรรม
ของนิติกรรมได้ และโมฆยี กรรมได้
7. ขอ้ ใดไม่ใชค่ วามหมายและลักษณะของนติ กิ รรม 10. นติ กิ รรมทเี่ ปน็ โมฆะและโมฆยี ะมผี ลตรงตามขอ้ ใด
1. นายเอน�ำสนุ ขั แสนรู้ไปเดินเทย่ี วท่สี วนสตั ว์ 1. นติ กิ รรมทเ่ี ปน็ โมฆะมผี ลคอื เสยี เปลา่ นติ กิ รรม
2. นายเอตกลงท�ำสัญญากู้ยืมเงินจากนายบี ทเ่ี ป็นโมฆียะต้องใช้วธิ บี อกลา้ ง
โดยมนี ายซเี ปน็ ผคู้ �้ำประกนั 2. นติ กิ รรมทเ่ี ปน็ โมฆะมผี ลคอื เสยี เปลา่ นติ กิ รรม
3. นายเอตกลงกู้ยืมเงินจากธนาคารออมสิน ทเ่ี ป็นโมฆยี ะไมอ่ าจให้สัตยาบนั แก่กนั ได้
โดยน�ำบ้านพร้อมท่ีดินมาจ�ำนองเพื่อเป็นการ 3. นิติกรรมท่ีเป็นโมฆะมีผลคือเสียเปล่าต้ังแต่
ประกนั การช�ำระหนี้ เรม่ิ ตน้ นติ กิ รรมทเี่ ปน็ โมฆยี ะมผี ลในทางกฎหมาย
4. นายเอโชคดีได้รับเงินรางวัลที่ 1 จากการ แต่อาจถูกบอกลา้ งได้
ถกู สลากกนิ แบง่ รฐั บาล จงึ ปลดหนใี้ หแ้ กน่ ายบี 4. นิติกรรมที่เป็นโมฆะมีผลคือเสียเปล่าต้ังแต่
ทคี่ า้ งช�ำระอยูเ่ ป็นเงิน 50,000 บาท เรมิ่ ตน้ นติ กิ รรมทเ่ี ปน็ โมฆยี ะมผี ลในทางกฎหมาย
5. นายเอตกลงท�ำสัญญาเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ ผูกพันกันได้ แต่อาจถูกบอกล้าง หรือให้
คนั หนง่ึ โดยตกลงผอ่ นช�ำระเปน็ งวด ๆ จ�ำนวน สัตยาบันได้
10 งวด โดยจ่ายเงินผ่อนช�ำระทุกส้ินเดือน 5. ถูกตอ้ งทกุ ข้อ
เดอื นละ 4, 000 บาท
จุดประสงค์การเรยี นรู้ท่ี 6 บอกแบบแห่งนิติกรรมได้
8. การใดที่ไม่ได้ท�ำให้ถูกต้องตามแบบของนิติกรรม
ตามทกี่ ฎหมายก�ำหนดไวย้ อ่ มจะมีผลตามขอ้ ใด
1. โมฆะ
2. โมฆยี ะ
3. สมบรู ณ์
4. ถูกบอกล้าง
5. สมบรู ณ์จนกว่าจะถกู บอกลา้ ง
2หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่
สญั ญาและหน้ี
สาระการเรียนรู้ จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. ความหมายและลักษณะสำ�คญั ของสัญญา 1. อธบิ ายความหมายและลกั ษณะส�ำ คญั ของสญั ญาได้
2. ประเภทของสญั ญา 2. บอกประเภทของสัญญาได้
3. มัดจำ�และเบยี้ ปรบั 3. อธบิ ายความหมายมดั จำ�และเบีย้ ปรับได้
4. การเลกิ สญั ญา 4. อธิบายการเลิกสัญญาได้
5. ความหมายและลักษณะสำ�คญั ของหนี้ 5. อธิบายความหมายและลักษณะส�ำ คัญของหนี้ได้
6. บ่อเกิดแห่งหนี้ 6. อธิบายบ่อเกดิ แห่งหนีไ้ ด้
7. ความระงบั แหง่ หน้ี 7. บอกความระงับแห่งหนี้ได้
สัญญาและหนี้
สมรรถนะประจำ�หน่วย
1. แสดงความรู้เก่ียวกับหลักการของกฎหมาย
ลักษณะสัญญาและหนี้
2. จัดทำ�เอกสารประกอบที่เก่ียวข้องกับลักษณะ
สัญญาต่าง ๆ ได้ตามหลักการของประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์
24 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)
สัญญาและหนี้
สัญญา (Contract) เป็นนิติกรรมท่ีเกิดจากการแสดงเจตนาของบุคคลตั้งแต่ 2 ฝ่ายขึ้นไป ซึ่งสัญญา
ยอ่ มเกดิ ขน้ึ จาก “ค�ำเสนอ” และ “ค�ำสนอง” ตรงกนั กลา่ วคอื ตอ้ งมฝี า่ ยหนงึ่ เปน็ ฝา่ ยเสนอ และมอี กี ฝา่ ยหนงึ่
มาสนองรับค�ำเสนอนน้ั หากค�ำเสนอไม่มีค�ำสนองตอบรับกลับมาแลว้ สัญญากจ็ ะไม่เกดิ ขน้ึ แต่อยา่ งใด เนื่องจาก
สญั ญาเปน็ บอ่ เกดิ แหง่ หนที้ สี่ �ำคญั ทสี่ ดุ จงึ มคี วามจ�ำเปน็ ทจี่ ะตอ้ งศกึ ษาเรอื่ งหนดี้ ว้ ย
หน้ี (Obligations) เปน็ ความผกู นติ สิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล 2 ฝา่ ย ฝา่ ยหนงึ่ เรยี กวา่ “ลกู หน”้ี มหี นา้ ท่ี
ตอ้ งช�ำระหนี้ ซึ่งอาจเปน็ การกระท�ำ งดเว้นการกระท�ำ หรอื สง่ มอบทรพั ยส์ ินอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ให้แกอ่ กี ฝ่ายหน่ึง
ซงึ่ เรยี กวา่ “เจา้ หน”้ี
1. ความหมายและลกั ษณะสำ�คัญของสัญญา
1.1 ความหมายของสัญญา
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยไ์ มไ่ ดบ้ ญั ญตั คิ วามหมายของสญั ญาไวแ้ นช่ ดั แตอ่ าจกลา่ วไดว้ า่ “สญั ญา”
หมายถึง นิติกรรม 2 ฝ่ายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงหรือความระงับแห่งนิติสัมพันธ์ ซึ่งนิติกรรมที่เกิดจากการ
แสดงเจตนาของบุคคลต้ังแต่ 2 ฝ่ายข้ึนไปนั้น จะเกิดสัญญาข้ึนได้น้ันจะต้องมาจากค�ำเสนอและค�ำสนองตรงกัน
กลา่ วคอื ตอ้ งมฝี า่ ยหนงึ่ เปน็ ฝา่ ยเสนอ และมอี กี ฝา่ ยหนง่ึ มาสนองค�ำเสนอนน้ั
สัญญาเป็นบ่อเกิดท่ีส�ำคัญที่สุดของหน้ี เพราะหน้ีส่วนใหญ่จะเกิดจากการท่ีคู่กรณีได้แสดงเจตนาตกลง
ท�ำสญั ญากนั เชน่ สญั ญาซอ้ื ขาย สญั ญาเชา่ ทรพั ย์ สญั ญาเชา่ ซอื้ สญั ญากยู้ มื สญั ญาจ�ำน�ำ สญั ญาจ�ำนอง เปน็ ตน้
1.2 ลักษณะส�ำ คัญของสญั ญา
จากความหมายของ “สญั ญา” ดงั กลา่ ว จะเหน็ ไดว้ า่ สญั ญามลี กั ษณะส�ำคญั ดงั ตอ่ ไปนี้
1.2.1 ตอ้ งมบี คุ คลตง้ั แต่ 2 ฝา่ ยขนึ้ ไป ถา้ ไมม่ คี สู่ ญั ญาหรอื บคุ คลตงั้ แต่ 2 ฝา่ ยขนึ้ ไป สญั ญากจ็ ะไมเ่ กดิ ขนึ้
อยา่ งไรกต็ ามบคุ คลตง้ั แต่ 2 ฝา่ ยน้ี แตล่ ะฝา่ ยอาจจะเปน็ บคุ คลคนเดยี ว หรอื หลายคนรวมกนั เปน็ ฝา่ ยเดยี วกไ็ ด้
ตวั อยา่ ง นายสมชาย นายสมบตั ิ และนายสมศกั ดิ์ เปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธใิ์ นทด่ี นิ แปลงหนง่ึ รว่ มกนั ทงั้ สามคน
เปน็ พนี่ อ้ งกนั ซงึ่ ตอ้ งการขายทดี่ นิ แปลงดงั กลา่ วเพอื่ น�ำเงนิ มาแบง่ กนั เมอื่ พนี่ อ้ งทงั้ สามคนตา่ งแสดงเจตนาจะขายทด่ี นิ
ซงึ่ เปน็ เจา้ ของรว่ มกนั แลว้ นายรวยซงึ่ เปน็ เศรษฐที ราบขา่ วกแ็ สดงเจตนาจะซอื้ ทดี่ นิ ทนั ที ดงั นจี้ ะเหน็ ไดว้ า่ คสู่ ญั ญา
ฝา่ ยผขู้ ายมบี คุ คลหลายคน สว่ นคสู่ ญั ญาฝา่ ยผซู้ อ้ื มเี พยี งบคุ คลเดยี ว
1.2.2 ตอ้ งมกี ารแสดงเจตนาถกู ตอ้ งตรงกนั การแสดงเจตนาในการท�ำสญั ญาเรยี กวา่ “ค�ำเสนอ” ตอ้ งมี
ความชดั เจนแนน่ อน และเมอื่ มี “ค�ำสนอง” ตอบรบั ตามค�ำเสนอนนั้ สญั ญาจงึ จะเกดิ ขน้ึ สว่ น “ค�ำสนอง” คอื การแสดง
เจตนาของผเู้ สนอตกลงรบั ท�ำสญั ญาตามค�ำเสนอ ซงึ่ ลกั ษณะของค�ำสนองนน้ั จะตอ้ งมคี วามชดั เจนแนน่ อนปราศจาก
เงอ่ื นไข ขอ้ จ�ำกดั หรอื ขอ้ เพม่ิ ใด ๆ กลา่ วคอื ค�ำสนองจะถกู ตอ้ งตรงตามค�ำเสนอของผเู้ สนอเทา่ นน้ั สญั ญาจงึ จะเกดิ ขนึ้
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 2 25
ตวั อยา่ งท่ี 1 นางสาวดาวมโี ทรศพั ทส์ มารต์ โฟนหลายเครอื่ ง จงึ บอกขายโทรศพั ทม์ อื ถอื กบั นายสมศกั ด์ิ
โดยเสนอขายโทรศพั ทส์ มารต์ โฟนยหี่ อ้ iPhone X สที อง ราคา 20,000 บาท ดงั นถี้ อื วา่ นางสาวดาวมคี �ำเสนอขาย
เมอื่ นายสมศกั ดมิ์ คี �ำสนองตอบตกลงซอ้ื สญั ญาซอ้ื ขายกเ็ กดิ ขน้ึ
ตวั อยา่ งท่ี 2 นางสาวดาวมโี ทรศพั ทส์ มารต์ โฟนหลายเครอ่ื ง จงึ บอกขายโทรศพั ทม์ อื ถอื กบั นายสมศกั ดิ์
โดยเสนอขายโทรศัพท์สมาร์ตโฟนย่ีห้อ iPhone X สีทอง ราคา 20,000 บาท แต่นายสมศักด์ิไม่ตกลงซ้ือ
เพราะเหน็ สภาพเกา่ แลว้ และราคาแพงเกนิ ไป ดงั นถ้ี อื วา่ นางสาวดาวมคี �ำเสนอขาย แตน่ ายสมศกั ดไิ์ มม่ คี �ำสนองตอบ
รบั วา่ จะซอื้ สญั ญาซอ้ื ขายจงึ ไมเ่ กดิ ขน้ึ หรอื อาจกลา่ วไดว้ า่ ค�ำเสนอและค�ำสนองของผขู้ ายและผซู้ อ้ื ไมถ่ กู ตอ้ งตรงกนั
จงึ ท�ำใหส้ ญั ญาซอื้ ขายไมเ่ กดิ ขนึ้
ตวั อยา่ งที่ 3 นางสาวดาวมโี ทรศพั ทส์ มารต์ โฟนหลายเครอื่ ง จงึ บอกขายโทรศพั ทม์ อื ถอื กบั นายสมศกั ด์ิ
โดยเสนอขายโทรศพั ทส์ มารต์ โฟนยห่ี อ้ iPhone X สที อง ราคา 20,000 บาท แตน่ ายสมศกั ดเ์ิ หน็ สภาพเกา่ แลว้
และราคาแพงเกินไป จึงตอบตกลงซื้อแต่ขอให้ลดราคาลงเหลือ 10,000 บาท ดังน้ีถือว่าสัญญาซ้ือขายยังไม่เกิด
เพราะค�ำสนองของนายสมศกั ดม์ิ กี ารแกไ้ ขไมต่ รงกบั ค�ำเสนอ ซง่ึ มผี ลตามกฎหมาย ใหถ้ อื วา่ เปน็ ค�ำบอกปดั ไมร่ บั ค�ำเสนอ
และท�ำใหค้ �ำสนองอนั มขี อ้ แกไ้ ขนนั้ กลายเปน็ ค�ำเสนอขน้ึ มาใหมใ่ นตวั หากนางสาวดาวตอบรบั วา่ ตกลงขายในราคา
10,000 บาท สญั ญาซอื้ ขายจงึ จะเกดิ ขน้ึ เพราะค�ำตอบตกลงของนางสาวดาวเปน็ ค�ำสนองอนั ตรงกบั ค�ำเสนอของ
นายสมศักดิ์ ถ้าค�ำตอบของนางสาวดาวมเี งื่อนไขอยา่ งไรอีก ก็เทา่ กบั เป็นค�ำเสนอข้นึ ใหม่ ตราบใดทคี่ �ำเสนอและ
ค�ำสนองยงั ไมถ่ กู ตอ้ งตรงกนั สญั ญายอ่ มไมเ่ กดิ ขน้ึ หากค�ำเสนอและค�ำสนองถกู ตอ้ งตรงกนั แลว้ สญั ญายอ่ มเกดิ ขนึ้
1.2.3 ตอ้ งมวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการทำ� สญั ญา เนอ่ื งจากสญั ญาเปน็ นติ กิ รรมประเภทหนงึ่ ดงั นนั้ หลกั ทว่ั ไป
ของนิติกรรมจึงย่อมน�ำมาใช้บังคับกับสัญญาได้ด้วย เว้นแต่จะมีบทบัญญัติเกี่ยวกับสัญญาบัญญัติไว้เฉพาะ
เป็นประการอื่น กล่าวคือ การแสดงเจตนาท�ำนิติกรรมทุกประเภทจะต้องมีวัตถุประสงค์ในการท�ำนิติกรรมท้ังส้ิน
หากไมม่ วี ตั ถปุ ระสงคก์ ย็ อ่ มไมเ่ กดิ เปน็ นติ กิ รรม ดงั นนั้ สญั ญายอ่ มไมเ่ กดิ ขน้ึ ดว้ ย และวตั ถปุ ระสงคใ์ นการท�ำสญั ญานนั้
ตอ้ งไมข่ ดั ตอ่ กฎหมาย ไมเ่ ปน็ การพน้ วสิ ยั หรอื ไมข่ ดั ตอ่ ความสงบเรยี บรอ้ ย หรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน
2. ประเภทของสัญญา
ในเรอ่ื งสญั ญาพอจะแบง่ ประเภทของสญั ญาได้ ดงั ตอ่ ไปนี้
2.1 สญั ญาตา่ งตอบแทนและสญั ญาไมต่ า่ งตอบแทน
2.1.1 สัญญาต่างตอบแทน หมายถึง สัญญาท่ีต่างฝ่ายต่างเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหนี้ซึ่งกันและกัน
หรอื ตา่ งฝา่ ยตา่ งไดร้ บั ประโยชนแ์ กก่ นั เปน็ การตอบแทน เชน่ สญั ญาซอ้ื ขาย ซงึ่ ฝา่ ยผซู้ อื้ ไดท้ รพั ยส์ นิ ทไ่ี ดซ้ อ้ื สว่ น
ผขู้ ายไดเ้ งนิ เปน็ การตอบแทน เปน็ ตน้
2.1.2 สญั ญาไมต่ า่ งตอบแทน หมายถงึ สญั ญาทมี่ ฝี า่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ ไดร้ บั ประโยชนเ์ พยี งฝา่ ยเดยี ว เชน่
สญั ญาใหผ้ รู้ บั จะไดป้ ระโยชนเ์ พยี งฝา่ ยเดยี ว สว่ นผใู้ หไ้ มต่ อ้ งไดร้ บั ประโยชนต์ อบแทนเนอ่ื งจากสญั ญาใหเ้ ปน็ การให้
โดยเสนห่ าจงึ ไมห่ วงั ผลตอบแทนใด ๆ เปน็ ตน้
26 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
2.2 สญั ญามคี า่ ตอบแทน (มบี ำ� เหนจ็ ) และสญั ญาไมม่ คี า่ ตอบแทน (ไมม่ บี ำ� เหนจ็ )
2.2.1 สญั ญามคี า่ ตอบแทน หมายถงึ สญั ญาทที่ �ำใหค้ สู่ ญั ญาตา่ งมสี ทิ ธไิ ดร้ บั คา่ ตอบแทนซง่ึ กนั และกนั
อาจจะเปน็ ทรพั ยส์ นิ แรงงาน หรอื ประโยชนอ์ น่ื ใดกไ็ ด้ เชน่ นายหนา้ ซงึ่ เปน็ สญั ญาทม่ี คี า่ ตอบแทนหรอื คา่ บ�ำเหนจ็
นายหนา้ เปน็ ตน้
2.2.2 สญั ญาไมม่ คี า่ ตอบแทน หมายถงึ สญั ญาทมี่ คี สู่ ญั ญาเพยี งฝา่ ยเดยี วทไี่ ดร้ บั คา่ ตอบแทนหรอื
ได้รับประโยชน์ อีกฝ่ายหน่ึงไม่ได้รับค่าตอบแทนหรือได้รับประโยชน์แต่อย่างใด เช่น สัญญายืมใช้คงรูป สัญญา
กยู้ มื เงนิ โดยไมม่ ดี อกเบยี้ เปน็ ตน้
2.3 สญั ญาประธานและสญั ญาอปุ กรณ์ เปน็ การแบง่ โดยพจิ ารณาในแงก่ ารเกดิ ขนึ้ และความเปน็ อยขู่ อง
สญั ญารวมทง้ั ความสมบรู ณข์ องสญั ญา
2.3.1 สัญญาประธาน หมายถึง สัญญาท่ีเกิดข้ึนและเป็นอยู่ได้โดยล�ำพัง ไม่ข้ึนกับสัญญาอ่ืนใด
ความสมบรู ณข์ องสญั ญาพจิ ารณาจากตวั สญั ญานนั้ เองเทา่ นนั้ เชน่ สญั ญาซอ้ื ขาย สญั ญายมื เปน็ ตน้
2.3.2 สัญญาอุปกรณ์ หมายถึง สัญญาที่ไม่สามารถเกิดขึ้นและเป็นอยู่ได้โดยล�ำพังตนเองไม่ได้
นอกจากสญั ญาอปุ กรณจ์ ะตอ้ งสมบรู ณต์ ามหลกั ความสมบรู ณข์ องตวั เองแลว้ ยงั ขน้ึ อยกู่ บั ความสมบรู ณข์ องสญั ญา
ประธานอกี ดว้ ย เชน่ สญั ญาคำ้� ประกนั สญั ญาจ�ำนอง สญั ญาจ�ำน�ำ เปน็ ตน้
โดยปกตทิ วั่ ไปแลว้ สญั ญาอปุ กรณจ์ ะเกดิ ขนึ้ ล�ำพงั เหมอื นสญั ญาประธานไมไ่ ด้ เชน่ สญั ญาคำ้� ประกนั
จะเกิดขน้ึ ไดน้ ้ันจะตอ้ งมสี ญั ญาประธานเกิดข้ึนกอ่ น ซึง่ สัญญาประธานอาจจะเป็นสัญญาก้ยู มื สญั ญาจา้ งแรงงาน
หรือสัญญาอ่ืนก็ได้ สัญญาค�้ำประกันอาจเป็นการประกันการช�ำระหนี้เงินกู้ตามสัญญาประธาน หรือสัญญา
คำ�้ ประกนั บคุ คลเขา้ ท�ำงานใหม่ หากไมม่ สี ญั ญาประธานคอื สญั ญากยู้ มื หรอื สญั ญาจา้ งแรงงานแลว้ สญั ญาคำ้� ประกนั
ซง่ึ เปน็ สญั ญาอปุ กรณย์ อ่ มไมเ่ กดิ ขน้ึ ดว้ ย
2.4 สญั ญามชี อื่ (เอกเทศสญั ญา) และสญั ญาไมม่ ชี อื่
2.4.1 สญั ญามชี อื่ หรอื เอกเทศสญั ญา หมายถงึ ลกั ษณะของสญั ญา วตั ถปุ ระสงค์ ผลทางกฎหมาย
รวมตลอดถึงสิทธิและหน้าท่ีของคู่สัญญาในสัญญาแต่ละประเภทกฎหมายท่ีบัญญัติไว้โดยเฉพาะเป็นเรื่อง ๆ ไป
ซง่ึ กฎหมายก�ำหนดไวใ้ นบรรพ 3 แหง่ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มี 22 ลกั ษณะ เชน่ เอกเทศสญั ญาวา่ ดว้ ย
ลกั ษณะตา่ ง ๆ เชน่ ซอื้ ขาย แลกเปลยี่ น ใหเ้ ชา่ ทรพั ย์ เชา่ ซอ้ื จา้ งแรงงาน จา้ งท�ำของ ยมื คำ�้ ประกนั จ�ำนอง จ�ำน�ำ เปน็ ตน้
2.4.2 สัญญาไม่มีช่ือ หมายถึง สัญญาซ่ึงกฎหมายไม่ได้ก�ำหนดช่ือไว้ให้เรียกขานโดยเฉพาะ
แตก่ ฎหมายไดร้ บั รองใหค้ สู่ ญั ญาเรยี กรอ้ งบงั คบั กนั ไดต้ ามกฎหมาย เชน่ สญั ญาชกมวย เปน็ ตน้
2.5 สญั ญาเพอ่ื ประโยชนข์ องบคุ คลภายนอก โดยปกตสิ ญั ญาทวั่ ไปจะมผี ลผกู พนั ในระหวา่ งคสู่ ญั ญาเทา่ นน้ั
อยา่ งไรกต็ ามมสี ญั ญาบางประเภทอาจก�ำหนดใหม้ ผี ลตอ่ บคุ คลภายนอกได้ กลา่ วคอื เปน็ สญั ญาซงึ่ คสู่ ญั ญาฝา่ ยหนงึ่
ตกลงกบั คสู่ ญั ญาอกี ฝา่ ยหนงึ่ วา่ จะช�ำระหนใ้ี หแ้ กบ่ คุ คลภายนอกซงึ่ ไมใ่ ชค่ สู่ ญั ญา (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 374)
หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 2 27
3. มดั จ�ำ และเบย้ี ปรบั
มดั จ�ำและเบย้ี ปรบั ถอื เปน็ เพยี งสว่ นประกอบของสญั ญาเทา่ นนั้ ไมถ่ อื วา่ เปน็ สาระส�ำคญั ของความสมบรู ณ์
ของสญั ญา ดงั นน้ั สญั ญาจะมขี อ้ ตกลงเรอื่ งมดั จ�ำหรอื เบย้ี ปรบั หรอื ไมก่ ไ็ ด้
3.1 มัดจ�ำ หมายถึง ทรัพย์สินที่คู่สัญญาฝ่ายหน่ึงมอบให้แก่คู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่ง เพื่อเป็นหลักฐานว่า
สัญญาได้ท�ำขึ้นแล้ว และเป็นการประกันว่าคู่สัญญาจะปฏิบัติตามสัญญาน้ัน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 377)
ตวั อยา่ ง นายอาทติ ยท์ �ำสญั ญาจะซอื้ จะขายทดี่ นิ ทจ่ี งั หวดั เชยี งใหมก่ บั นายตะวนั ในราคา 2,000,000 บาท
ในสัญญาจะซ้ือจะขายที่ดินแปลงดังกล่าว นายตะวันผู้จะซ้ือได้ช�ำระเงินสดในวันท�ำสัญญาจะซื้อจะขายเป็นเงิน
300,000 บาท และระบใุ นสญั ญาวา่ เงนิ ทเ่ี หลอื อกี 1,700,000 บาท นายตะวนั จะช�ำระทง้ั หมดใหแ้ กน่ ายอาทติ ย์
ในวนั โอนกรรมสทิ ธ์ิ ณ ส�ำนกั งานทดี่ นิ จงั หวดั เชยี งใหม่ ดงั นเี้ งนิ จ�ำนวน 300,000 บาททน่ี ายตะวนั มอบใหน้ ายอาทติ ย์
ในวนั ท�ำสญั ญาจะซอื้ จะขายเรยี กวา่ เปน็ “มดั จ�ำ”
ผลของการวางมดั จ�ำ
มดั จำ� คอื เงนิ หรอื สงิ่ มคี า่ อน่ื ซงึ่ คสู่ ญั ญาไดต้ กลงสง่ มอบใหไ้ วแ้ กก่ นั กไ็ ด้ เมอื่ มกี ารวางมดั จ�ำกนั แลว้ ถา้ มไิ ด้
มกี ารตกลงกนั ไวเ้ ปน็ อยา่ งอน่ื ตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามกฎหมายดงั ตอ่ ไปน้ี
1) ใหส้ ง่ คนื หรอื จดั เอาเปน็ การใชเ้ งนิ บางสว่ นในเมอ่ื ช�ำระหนกี้ นั แลว้
2) ใหร้ บิ ถา้ ฝา่ ยทว่ี างมดั จ�ำละเลยไมช่ �ำระหน้ี หรอื การช�ำระหนต้ี กเปน็ พน้ วสิ ยั เพราะพฤตกิ ารณ์
อนั ใดอนั หนงึ่ ซงึ่ ฝา่ ยนน้ั ตอ้ งรบั ผดิ หรอื ถา้ มกี ารเลกิ สญั ญาเพราะความผดิ ของฝา่ ยนน้ั
3) ใหส้ ง่ คนื ถา้ ฝา่ ยทรี่ บั มดั จ�ำละเลยไมช่ �ำระหนี้ หรอื การช�ำระหนตี้ กเปน็ พน้ วสิ ยั เพราะพฤตกิ ารณ์
อนั ใดอนั หนง่ึ ซงึ่ ฝา่ ยนนั้ ตอ้ งรบั ผดิ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 378)
3.2 เบย้ี ปรบั หมายถงึ คา่ เสยี หายหรอื คา่ สนิ ไหมทดแทน ซง่ึ ลกู หนสี้ ญั ญาแกเ่ จา้ หนวี้ า่ เมอ่ื ลกู หนไี้ มช่ �ำระ
หนห้ี รอื ช�ำระหนไี้ มถ่ กู ตอ้ ง ลกู หนยี้ อมใหเ้ จา้ หนร้ี บิ เงนิ คา่ เสยี หายทกี่ �ำหนดไวน้ นั้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 379)
เบย้ี ปรบั เปน็ คา่ เสยี หายทก่ี �ำหนดไวล้ ว่ งหนา้ ซง่ึ อาจเรยี กชอ่ื เปน็ อยา่ งอน่ื ได้ เชน่ คา่ ปรบั คา่ เสยี หาย เปน็ ตน้
ตวั อยา่ ง นายกฤษดาตกลงท�ำสญั ญาจะซอ้ื จะขายท่ีดินแปลงหนึ่งกับนายโชคชัยราคา 9,000,000 บาท
ถา้ นายกฤษดาซงึ่ เปน็ ผจู้ ะขายทด่ี นิ ไมไ่ ปโอนขายทด่ี นิ ใหแ้ กน่ ายโชคชยั ทเี่ ปน็ ผจู้ ะซอื้ ตามก�ำหนดนดั หมาย จะยอมให้
นายโชคชัยผู้จะซื้อฟ้องร้องบังคับและยอมเสียค่าเสียหายเป็นเงินจ�ำนวน 100,000 บาท ดังน้ีถือว่าเงินจ�ำนวน
100,000 บาทเปน็ เบย้ี ปรบั (เทยี บเคยี งค�ำพพิ ากษาฎกี า 3896/2535)
●● ขอ้ แตกตา่ งระหวา่ งมดั จ�ำ และเบยี้ ปรบั
1) มัดจ�ำมีการส่งมอบวัตถุแห่งสัญญา เช่น เงินหรือทรัพย์สินอย่างอ่ืน แต่เบี้ยปรับจะส่งมอบวัตถุ
แหง่ สญั ญาหรอื ไมก่ ไ็ ด้
28 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
2) มัดจ�ำเป็นหลักฐานหรือเป็นประกันในการที่จะปฏิบัติตามสัญญา แต่เบี้ยปรับเป็นการก�ำหนด
คา่ สนิ ไหมทดแทนในกรณที ไี่ มช่ �ำระหนี้ หรอื ลกู หนไี้ มช่ �ำระหนใี้ หถ้ กู ตอ้ งตามทไ่ี ดต้ กลงกนั ไวล้ ว่ งหนา้
3) มดั จ�ำ โดยปกตทิ รพั ยท์ วี่ างไวใ้ หอ้ กี ฝา่ ยหนงึ่ ยดึ ไวม้ จี �ำนวนนอ้ ย เมอ่ื เทยี บราคาแหง่ วตั ถขุ องสญั ญา
สว่ นเบย้ี ปรบั โดยปกตทิ รพั ยส์ นิ ทวี่ างไวม้ กั มจี �ำนวนมาก
4. การเลกิ สัญญา
สัญญาเมื่อเกิดขึ้นแล้วย่อมมีผลผูกพันให้คู่สัญญาจ�ำต้องปฏิบัติตามสัญญานั้น และเม่ือได้ปฏิบัติ
ตามสัญญาครบถ้วนแล้ว สัญญาก็เป็นอันระงับลง เพราะได้ปฏิบัติการช�ำระหน้ีตามสัญญาแล้ว หากคู่สัญญา
ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งละเลยไม่ช�ำระหนี้ คือ ไม่ยอมปฏิบัติตามข้อสัญญา สัญญานั้นยังหาระงับไปไม่ เจ้าหน้ีมีสิทธิ
ท่ีจะฟ้องร้องต่อศาลบังคับให้ลูกหนี้ช�ำระหน้ีตามสัญญา เจ้าหน้ีอาจจะเลือกใช้สิทธิในการบอกเลิกสัญญา
เพอื่ ท�ำลายความผกู พนั ทางกฎหมายทมี่ ตี อ่ กนั นนั้ เสยี กไ็ ด้
4.1 สทิ ธใิ นการบอกเลกิ สญั ญา
ฝา่ ยทต่ี อ้ งการจะบอกเลกิ สญั ญาจะตอ้ งเปน็ ฝา่ ยทมี่ สี ทิ ธใิ นการบอกเลกิ สญั ญาตามกฎหมายหรอื ตามขอ้ สญั ญา
ทค่ี สู่ ญั ญาไดต้ กลงกนั ไว้
การบอกเลกิ สญั ญาเปน็ นติ กิ รรมฝา่ ยเดยี ว ดงั นน้ั ถา้ หากฝา่ ยทม่ี สี ทิ ธใิ นการบอกเลกิ สญั ญาไดแ้ สดงเจตนา
บอกเลกิ สญั ญาตอ่ อกี ฝา่ ยหนงึ่ แลว้ สญั ญานนั้ กเ็ ปน็ อนั ระงบั ลง แตถ่ า้ หากฝา่ ยทไี่ มม่ สี ทิ ธใิ นการบอกเลกิ สญั ญาไดแ้ สดง
เจตนาบอกเลกิ สญั ญา สญั ญานน้ั กจ็ ะไมร่ ะงบั ลงแตอ่ ยา่ งใด
สทิ ธใิ นการบอกเลกิ สญั ญามไี ดใ้ น 2 กรณี ดงั จะกลา่ วตอ่ ไปน้ี
4.1.1 สทิ ธใิ นการบอกเลกิ สญั ญาโดยบทบญั ญตั แิ หง่ กฎหมาย มไี ด้ 3 กรณี ดงั ตอ่ ไปนี้
1) เมอ่ื คสู่ ญั ญาฝา่ ยหนงึ่ ไมช่ �ำระหน้ี คสู่ ญั ญาอกี ฝา่ ยหนงึ่ จะก�ำหนดระยะเวลาพอสมควร แลว้ บอก
กลา่ วใหฝ้ า่ ยนน้ั ช�ำระหนภี้ ายในระยะเวลานน้ั กไ็ ด้ และถา้ ฝา่ ยนนั้ ไมช่ �ำระหนภี้ ายในระยะเวลาทกี่ �ำหนดใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ
จะบอกเลกิ สญั ญาเสยี กไ็ ด้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 387)
ตัวอย่าง นายสมบัติตกลงขายคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กเคร่ืองหน่ึง นายส�ำรวยตกลงซ้ือแต่ยังไม่ยอม
ช�ำระเงนิ ใหน้ ายสมบตั ิ นายสมบตั จิ งึ บอกกลา่ วใหน้ ายส�ำรวยน�ำเงนิ มาช�ำระภายใน 15 วนั หากนายส�ำรวยไมน่ �ำเงนิ
มาช�ำระภายในระยะเวลาทกี่ �ำหนด นายสมบตั มิ สี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญาได้
2) เมอ่ื คสู่ ญั ญาฝา่ ยหนงึ่ ไมช่ �ำระหนซ้ี งึ่ โดยสภาพหรอื โดยเจตนาทคี่ สู่ ญั ญาไดแ้ สดงไว้ วตั ถปุ ระสงค์
แหง่ สญั ญาจะเปน็ ผลส�ำเรจ็ ไดก้ แ็ ตด่ ว้ ยการช�ำระหนี้ ณ เวลาทก่ี �ำหนดหรอื ภายในระยะเวลาทก่ี �ำหนด โดยไมต่ อ้ ง
บอกกลา่ วใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ ช�ำระหนภี้ ายในระยะเวลาทกี่ �ำหนดไว้ ตามมาตรา 387 (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 388)
หน่วยการเรียนรู้ที่ 2 29
ตัวอย่าง นางสาวเพชรชมพูส่งั ตัดชดุ ววิ าหเ์ พอื่ ใชใ้ นพธิ มี งคลสมรสในวนั ที่ 14 กมุ ภาพนั ธ์ 2562
เมอ่ื ถงึ วนั พธิ มี งคลสมรส ชา่ งยงั ตดั ชดุ ววิ าหด์ งั กลา่ วยงั ตดั ไมเ่ สรจ็ ดงั นนี้ างสาวเพชรชมพยู อ่ มมสี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญาได้
โดยไมต่ อ้ งบอกกลา่ วแตอ่ ยา่ งใด
3) เมอื่ การช�ำระหนที้ งั้ หมดหรอื แตบ่ างสว่ นกลายเปน็ พน้ วสิ ยั เพราะเหตอุ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ อนั จะโทษ
ลกู หนไ้ี ด้ เจา้ หนจี้ ะเลกิ สญั ญานน้ั กไ็ ด้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 389)
ตัวอย่าง นางสาวดาวท�ำสัญญาขายสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลให้แก่นางสาวบุปผา โดยนัดส่งมอบกันใน
วันสงกรานต์ที่ 13 เมษายน 2562 ก่อนส่งมอบสุนัขพันธุ์พุดเดิ้ลป่วยตายซึ่งเกิดจากความประมาทเลินเล่อของ
นางสาวดาว ดงั นนี้ างสาวบปุ ผาจะใชส้ ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญาดงั กลา่ วกไ็ ด้
4.1.2 สทิ ธใิ นการบอกเลกิ สญั ญาโดยขอ้ ตกลงในสญั ญา หมายความวา่ คสู่ ญั ญาไดต้ กลงกนั ก�ำหนดสทิ ธิ
ในการบอกเลกิ สญั ญาไวล้ ว่ งหนา้ วา่ ถา้ มเี หตกุ ารณอ์ ยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ตามทก่ี �ำหนดเอาไวเ้ กดิ ขนึ้ กใ็ หส้ ทิ ธใิ นการบอก
เลิกสัญญาแก่คู่สัญญาได้ เว้นแต่ข้อตกลงนั้นเป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย หรือขัดต่อความสงบเรียบร้อย
หรอื ศลี ธรรมอนั ดขี องประชาชน
ตัวอย่าง นางอุษาตกลงขายท่ีดินแปลงหน่ึงให้กับนางมณี โดยท�ำสัญญาก�ำหนดระยะเวลาในการโอน
กรรมสทิ ธก์ิ นั ณ ส�ำนกั งานทด่ี นิ จงั หวดั สงิ หบ์ รุ ี ในวนั ที่ 22 เมษายน 2562 เพราะก�ำหนดวนั โอนกรรมสทิ ธดิ์ งั กลา่ ว
เป็นวันมงคลและฤกษ์ดีในการท�ำสัญญาซ้ือขายกันตามค�ำท�ำนายทางโหราศาสตร์ หากนางมณีไม่ไปตามท่ีนัดไว้
นางอษุ าอาจบอกเลกิ สญั ญาซอ้ื ขายนก้ี ไ็ ด้
4.2 ผลของการบอกเลิกสญั ญา
เมอ่ื มกี ารบอกเลกิ สญั ญาอนั เปน็ เหตทุ �ำใหค้ วามผกู พนั ตามกฎหมายระหวา่ งคสู่ ญั ญาสน้ิ สดุ ลงแลว้ ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ยไ์ ดก้ �ำหนดผลของการบอกเลกิ สญั ญาไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
มาตรา 391 “เม่ือคู่สัญญาฝ่ายหน่ึงได้ใช้สิทธิเลิกสัญญาแล้ว คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจ�ำต้องให้อีกฝ่ายหน่ึง
ไดก้ ลบั คนื สฐู่ านะดงั ทเี่ ปน็ อยเู่ ดมิ แตท่ งั้ นจี้ ะใหเ้ ปน็ ทเ่ี สอื่ มเสยี แกส่ ทิ ธขิ องบคุ คลภายนอกหาไดไ้ ม่
ส่วนเงินอันจะต้องใช้คืนในกรณีดังกล่าวมาในวรรคต้นนั้น ท่านให้บวกดอกเบ้ียเข้าด้วย คิดตั้งแต่เวลา
ทไ่ี ดร้ บั ไว้
สว่ นทเี่ ปน็ การงานอนั ไดก้ ระท�ำใหแ้ ละเปน็ การยอมใหใ้ ชท้ รพั ยน์ น้ั การทจ่ี ะชดใชค้ นื ทา่ นใหท้ �ำไดด้ ว้ ยใชเ้ งนิ
ตามควรคา่ แหง่ การนนั้ ๆ หรอื ถา้ ในสญั ญามกี �ำหนดวา่ ใหใ้ ชเ้ งนิ ตอบแทนกใ็ หใ้ ชต้ ามนนั้
การใชส้ ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญานนั้ หากระทบกระทง่ั ถงึ สทิ ธเิ รยี กรอ้ งคา่ เสยี หายไม”่
จากบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 แยกพิจารณาผลของการบอก
เลกิ สญั ญาได้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
4.2.1 คู่สัญญาแต่ละฝ่ายจ�ำต้องให้อีกฝ่ายหนึ่งได้กลับคืนสู่ฐานะเดิม เมื่อคู่สัญญาฝ่ายหนึ่งได้ใช้สิทธิ
ในการบอกเลกิ สญั ญาแลว้ กฎหมายก�ำหนดใหค้ สู่ ญั ญาแตล่ ะฝา่ ยตอ้ งใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ ไดก้ ลบั คนื สฐู่ านะเดมิ (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 391 วรรคแรก) เชน่ ทรพั ยส์ นิ ทไี่ ดส้ ง่ มอบหรอื โอนใหแ้ กก่ นั ตามสญั ญา กต็ อ้ ง
สง่ คนื ใหใ้ นสภาพทเ่ี ปน็ อยเู่ ดมิ ในขณะทม่ี กี ารสง่ มอบและท�ำสญั ญากนั
30 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
หากทรพั ยส์ นิ ทจี่ �ำตอ้ งสง่ คนื นน้ั เปน็ เงนิ ตรา กฎหมายกก็ �ำหนดใหค้ ดิ ดอกเบยี้ โดยคดิ ตง้ั แตเ่ วลาทไ่ี ดร้ บั เงนิ
ไปด้วย (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสอง) ถ้ามิได้ก�ำหนดอัตราดอกเบ้ียไว้ ก็ให้ใช้
อตั ราดอกเบยี้ รอ้ ยละเจด็ ครง่ึ ตอ่ ปี
4.2.2 การเลิกสัญญานั้นจะไม่เป็นที่เสื่อมเสียสิทธิแก่บุคคลภายนอก ก่อนการเลิกสัญญาหากบุคคล
ภายนอกไดส้ ทิ ธโิ ดยสมบรู ณจ์ ากสญั ญานนั้ ไปกอ่ นแลว้ ตอ่ มาจงึ มกี ารเลกิ สญั ญาระหวา่ งคสู่ ญั ญา แมผ้ ลของการเลกิ
สญั ญานจ้ี ะท�ำใหค้ สู่ ญั ญากลบั คนื สฐู่ านะเดมิ แตไ่ มท่ �ำใหบ้ คุ คลภายนอกเสยี สทิ ธทิ ไ่ี ดม้ าโดยสมบรู ณแ์ ลว้ แตอ่ ยา่ งใด
(ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 391 วรรคแรกและวรรคทา้ ย)
4.2.3 การบอกเลกิ สญั ญาไมก่ ระทบถงึ สทิ ธขิ องเจา้ หนที้ จ่ี ะเรยี กเอาคา่ เสยี หาย การไดก้ ลบั คนื สฐู่ านะ
เดมิ นน้ั เปน็ ผลโดยตรงของการบอกเลกิ สญั ญา อยา่ งไรกต็ ามหากเจา้ หนมี้ สี ทิ ธทิ จ่ี ะเรยี กเอาคา่ เสยี หายจากลกู หน้ี
สทิ ธเิ ชน่ นนั้ กย็ งั คงมอี ยู่ การบอกเลกิ สญั ญาจงึ ไมต่ ดั สทิ ธหิ รอื ไมก่ ระทบสทิ ธขิ องเจา้ หนท้ี จี่ ะเรยี กเอาคา่ เสยี หายจาก
ลกู หนไี้ ดอ้ กี ดว้ ย (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 391 วรรคส)่ี
ตัวอย่าง นายเก่งเช่าซ้ือรถยนต์จากบริษัทกล้า จ�ำกัด นายเก่งผิดนัดไม่ช�ำระค่าเช่าซ้ือ 3 งวดติดต่อกัน
ผใู้ หเ้ ชา่ ซอ้ื ไดม้ หี นงั สอื บอกกลา่ วลว่ งหนา้ 30 วนั วา่ จะใชส้ ทิ ธเิ ขา้ ครอบครองรถยนตท์ เี่ ชา่ ซอ้ื พรอ้ มรบิ เงนิ ทเี่ ชา่ ซอื้
ทสี่ ง่ มาแลว้ 20 งวด และมสี ทิ ธเิ รยี กคา่ สนิ ไหมทดแทนเพราะการไมช่ �ำระหนขี้ องนายเกง่ ผเู้ ชา่ ซอื้ จนเปน็ เหตใุ หม้ ี
การบอกเลกิ สญั ญา ไดแ้ ก่ คา่ ใชร้ ถยนตต์ ลอดเวลาทผ่ี เู้ ชา่ ซอื้ ครอบครองรถยนตท์ เี่ ชา่ ซอ้ื อยู่ ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 วรรคสาม ถ้ารถยนต์ที่ริบคืนมาเสียหายเพราะนายเก่งผู้เช่าซ้ือน�ำรถยนต์ไปติดต้ัง
ถังแก๊สท�ำให้เคร่ืองยนต์เสียหายและผิดไปจากสภาพเดิมที่ให้เช่าซ้ือกัน นายเก่งผู้เช่าซื้อต้องรับผิดนอกเหนือ
ไปจากความเสยี หายอนั เกดิ จากการใชท้ รพั ยโ์ ดยชอบ ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 391 วรรคทา้ ย
กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจท่ี 2.1
ตอนท่ี 1 จงเขยี นเครอ่ื งหมาย ✓ หนา้ ขอ้ ความทถ่ี กู และเขยี นเครอ่ื งหมาย ✗ หนา้ ขอ้ ความทผ่ี ดิ
............... 1. สัญญาตอ้ งมีบคุ คลต้ังแต่สองฝ่ายขึ้นไปเสมอ
............... 2. สัญญายอ่ มเกดิ ขึ้นถ้ามีค�ำ เสนอและค�ำ เสนอตรงกนั
............... 3. สญั ญาจะต้องทำ�เป็นหนังสอื หรอื ลายลักษณอ์ ักษรเทา่ นั้น
............... 4. สัญญาเปน็ บ่อเกดิ ท่ีสำ�คัญทีส่ ุดของหน้ี
............... 5. ผลของการเลกิ สัญญาคือท�ำ ใหค้ สู่ ัญญากลบั คืนสูฐ่ านะเดิม
............... 6. นายหนุ่มมีโทรศัพท์สมาร์ตโฟนหลายเคร่ือง จึงบอกขายโทรศัพท์มือถือกับนายรวย โดยเสนอขาย
ราคา 30,000 บาท แต่นายรวยเห็นสภาพเก่าแล้วและราคาแพงเกินไป จึงตอบตกลงซื้อแต่ขอให้
ลดราคาลงเหลือ 10,000 บาท ดังนี้ถอื ว่าสญั ญาซื้อขายโทรศัพทด์ ังกล่าวเกดิ ขึน้ แลว้
............... 7. วัตถุประสงคใ์ นการทำ�สญั ญาน้นั ตอ้ งไม่ขดั ต่อกฎหมาย ไม่เป็นการพน้ วิสัย หรอื ไม่ขัดต่อความสงบ
เรยี บร้อย หรือศลี ธรรมอันดขี องประชาชน
หน่วยการเรียนรูท้ ี่ 2 31
............... 8. สัญญาต่างตอบแทน หมายถึง สัญญาที่ต่างฝ่ายต่างเป็นทั้งเจ้าหนี้และลูกหน้ีซึ่งกันและกัน หรือ
ต่างฝ่ายต่างได้รับประโยชน์แก่กันเป็นการตอบแทน
................ 9. สญั ญาอปุ กรณ์ หมายถงึ สญั ญาทส่ี ามารถเกดิ ขนึ้ และอยไู่ ดโ้ ดยล�ำ พงั ตนเองเพยี งสญั ญาเดยี วเทา่ นน้ั
.............. 10. มัดจำ� เป็นหลักฐานหรือเป็นประกันในการที่จะปฏิบัติตามสัญญา แต่เบ้ียปรับเป็นการกำ�หนด
คา่ สนิ ไหมทดแทนในกรณที ไ่ี มช่ �ำ ระหน ี้ หรอื ลกู หนไ้ี มช่ �ำ ระหนใ้ี หถ้ กู ตอ้ งตามทไี่ ดต้ กลงกนั ไวล้ ว่ งหนา้
ตอนท่ี 2 จงตอบคำ� ถามตอ่ ไปนี้
1. สญั ญามลี ักษณะส�ำคัญอย่างไรบ้าง
2. สญั ญาต่างตอบแทนมลี ักษณะอย่างไร
กจิ กรรมตามสมรรถนะวชิ าชพี ท่ี 2.1
เรื่อง สัญญา
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธบิ ายความหมายและลกั ษณะส�ำคญั ของสญั ญาได้
2. บอกประเภทของสญั ญาได้
3. อธบิ ายความหมายมดั จ�ำและเบย้ี ปรบั ได้
4. อธบิ ายการเลกิ สญั ญาได้
กจิ กรรม
1. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเปน็ 4 กลมุ่ ศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู ตามหวั ขอ้ ตอ่ ไปนี้
1.1 ความหมายและลกั ษณะส�ำคญั ของสญั ญา กลมุ่ ที่ 1
1.2 ประเภทของสญั ญา กลมุ่ ที่ 2
1.3 มดั จ�ำและเบยี้ ปรบั กลมุ่ ที่ 3
1.4 การเลกิ สญั ญา กลมุ่ ที่ 4
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มท่ีได้รับมอบหมายตามหัวข้อ 1.1-1.4 ศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับเรื่อง
กฎหมายลักษณะสัญญาและค�ำพิพากษาฎีกาท่ีน่าสนใจ โดยค้นคว้าเพ่ิมเติมจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น
อนิ เทอรเ์ นต็ หนงั สอื จากหอ้ งสมดุ เปน็ ตน้
3. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิดสรุปหลักกฎหมายลักษณะสัญญาที่เป็นประเด็นส�ำคัญในรูปของ
ผงั มโนทศั น์ (Mind Mapping) หรอื สรปุ ประเดน็ ส�ำคญั ในรปู แบบของการแสดงบทบาทสมมตุ ิ
4. จากขอ้ 3 ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ เลอื กและน�ำเสนอภาระงานหนา้ ชน้ั เรยี น กลมุ่ ละ 3-5 นาที
5. ผสู้ อนและผเู้ รยี นรว่ มกนั สรปุ ภาพรวม
32 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
5. ความหมายและลักษณะส�ำ คัญของหน้ี
5.1 ความหมายของหนี้
กฎหมายลักษณะหนี้ เป็นกฎหมายท่ีก�ำหนดหลักทั่วไปที่จะต้องน�ำมาใช้ท้ังกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ในเอกเทศสญั ญา เชน่ สญั ญาซอ้ื ขาย สญั ญาเชา่ ซอ้ื สญั ญายมื เปน็ ตน้
หนี้ หมายถงึ การผกู นติ สิ มั พนั ธร์ ะหวา่ งบคุ คล 2 ฝา่ ย ฝา่ ยหนง่ึ เรยี กวา่ “ลกู หน”ี้ เปน็ ฝา่ ยทต่ี อ้ งกระท�ำ
การอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ใหแ้ กอ่ กี ฝา่ ยหนง่ึ ซงึ่ เรยี กวา่ “เจา้ หน”ี้ ซง่ึ เปน็ ฝา่ ยทไ่ี ดร้ บั ผลจากการกระท�ำนน้ั การกระท�ำ
อยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ หรอื การช�ำระหนข้ี องลกู หนี้ หมายความรวมถงึ กระท�ำการ งดเวน้ กระท�ำการ หรอื สง่ มอบทรพั ยส์ นิ
ดว้ ย
5.2 ลักษณะสำ�คญั ของหนี้
จากความหมายของ “หน”้ี ดงั กลา่ ว จะเหน็ ไดว้ า่ หนม้ี ลี กั ษณะส�ำคญั ดงั ตอ่ ไปนี้
5.2.1 ตอ้ งมเี จา้ หนแี้ ละลกู หน้ี หมายความวา่ หนน้ี น้ั ตอ้ งมคี สู่ ญั ญา 2 ฝา่ ย ฝา่ ยหนง่ึ เรยี กวา่ “เจา้ หน”ี้
อกี ฝา่ ยหนง่ึ เรยี กวา่ “ลกู หน”ี้ ฝา่ ยเจา้ หนม้ี สี ทิ ธทิ จี่ ะเรยี กรอ้ งใหฝ้ า่ ยลกู หนจ้ี �ำตอ้ งช�ำระหนี้ ซง่ึ ฝา่ ยเจา้ หนแ้ี ละลกู หนี้
จะมฝี า่ ยละกค่ี นกไ็ ด้
5.2.2 ตอ้ งมีนติ สิ มั พันธห์ รอื ตอ้ งมผี ลผกู พนั ในทางกฎหมาย หมายความวา่ กฎหมายรบั รองว่าเจ้าหนี้
และลกู หนมี้ คี วามผกู พนั ในการช�ำระหน้ี กลา่ วคอื เจา้ หนม้ี สี ทิ ธเิ รยี กรอ้ งใหล้ กู หนช้ี �ำระหนไ้ี ดต้ ามกฎหมาย นติ สิ มั พนั ธ์
ระหวา่ งบุคคล 2 ฝ่าย ซ่ึงฝ่ายหนึ่งเรยี กว่า “ลูกหนี้” มีหน้าทต่ี ้องกระท�ำการอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ใหแ้ กอ่ กี ฝ่ายหนึ่ง
ซงึ่ เรยี กวา่ “เจา้ หน”ี้ หรอื หมายความถงึ การทคี่ สู่ ญั ญาตา่ งฝา่ ยตา่ งตอ้ งปฏบิ ตั กิ ารช�ำระหนใ้ี หแ้ กก่ นั และกนั นน่ั เอง
5.2.3 ต้องมีวัตถุแห่งหน้ี หมายความว่า มีข้อก�ำหนดให้ลูกหน้ีต้องช�ำระหนี้ให้กับเจ้าหน้ีโดยวิธีการใด
ซง่ึ แลว้ แตค่ กู่ รณจี ะไดต้ กลงกนั ไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
1) กระท�ำการ
2) งดเวน้ กระท�ำการ
3) สง่ มอบทรพั ยส์ นิ
ตวั อยา่ งท่ี 1 นางสาวเทพจี า้ งนายศลิ ปม์ าวาดภาพเหมอื นของตนและคสู่ มรสเพอ่ื ใชใ้ นงานมงคลสมรส
นายศิลป์จึงมีหน้ีท่ีต้องช�ำระซึ่งวัตถุแห่งหน้ี กรณีนี้คือการวาดภาพเหมือนของนางสาวเทพีและคู่สมรสซ่ึงเป็นหน้ี
“กระท�ำการ”
ตัวอย่างท่ี 2 นางเกษราท�ำสัญญากับนางก้อยซึ่งเคยเป็นลูกจ้างในร้านเบเกอรี่ มีหน้าที่ท�ำเค้ก
ปลาชอ่ นจ�ำหนา่ ยในรา้ นของนางเกษราทกุ วนั โดยท�ำสญั ญาวา่ นางกอ้ ยซง่ึ เปน็ ลกู จา้ งทราบสตู รการท�ำเคก้ ปลาชอ่ น
ของนางเกษราแลว้ ตนจะตอ้ งไมไ่ ปท�ำเคก้ ปลาชอ่ นขายแขง่ ขนั กบั รา้ นของนางเกษรา นางกอ้ ยเปน็ ลกู หนท้ี จี่ ะตอ้ ง
งดเวน้ การท�ำเคก้ ปลาชอ่ นขาย ดงั นว้ี ตั ถแุ หง่ หนใี้ นกรณนี คี้ อื การ “งดเวน้ กระท�ำการ”
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 33
ตวั อยา่ งที่ 3 นางสาวผกามาศท�ำสญั ญาขายโทรศพั ทม์ อื ถอื ใหก้ บั นางสาวบปุ ผา นางสาวผกามาศ
เปน็ ลกู หนโ้ี ดยจะตอ้ งสง่ มอบโทรศพั ทม์ อื ถอื ใหก้ บั นางสาวบปุ ผา วตั ถแุ หง่ หนใี้ นกรณนี ค้ี อื การ “สง่ มอบทรพั ยส์ นิ ”
6. บ่อเกดิ แห่งหน้ี
บ่อเกิดแห่งหนี้หรือที่มาแห่งหนี้ท่ีมีผลผูกพันบังคับกันได้ตามกฎหมาย หนี้มีสาเหตุหรือบ่อเกิดแห่งหน้ี
ทสี่ �ำคญั มี 3 ประเภท ดงั ตอ่ ไปนี้
6.1 นติ ิกรรมและสญั ญา
นิติกรรมและสัญญานับว่าเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ที่มีความส�ำคัญมากท่ีสุด เพราะเกิดจากเจตนาของบุคคล
ซ่ึงเป็นสาเหตุแห่งการเป็นหนี้มากที่สุดในปัจจุบัน โดยเฉพาะอย่างย่ิงสัญญาท่ีมีชื่อเฉพาะในเอกเทศสัญญา
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ บรรพ 3 เชน่ สญั ญาซอ้ื ขาย เชา่ ทรพั ย์ เชา่ ซอื้ จา้ งท�ำของ ยมื คำ้� ประกนั
จ�ำนอง จ�ำน�ำ เปน็ ตน้
6.2 นิติเหตุ
นติ เิ หตุ หมายถงึ เหตกุ ารณท์ เี่ กดิ ขน้ึ โดยผกู้ ระท�ำมไิ ดม้ เี จตนาจะกอ่ หนี้ แตก่ ฎหมายก�ำหนดผลใหเ้ กดิ หนี้
นติ เิ หตจุ งึ เปน็ บอ่ เกดิ แหง่ หนอ้ี กี ประเภทหนงึ่ มี 3 ประการ ดงั ตอ่ ไปนี้
6.2.1 ละเมิด คือ การท่ีบุคคลใดได้กระท�ำโดยจงใจหรือประมาทเลินเล่อ เป็นเหตุให้บุคคลอื่นได้รับ
ความเสยี หายแกช่ วี ติ รา่ งกาย อนามยั ทรพั ยส์ นิ หรอื สทิ ธอิ น่ื ใด ผกู้ ระท�ำโดยละเมดิ นน้ั ตอ้ งชดใชค้ า่ เสยี หาย หรอื
ค่าสินไหมทดแทนให้แก่ผู้เสียหายน้ัน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 420) เช่น นายซ่าขับรถยนต์
โดยประมาทเปน็ เหตชุ นเดก็ หญงิ มาลซี ง่ึ เปน็ นกั เรยี นทเ่ี ดนิ ขา้ มถนนมาพรอ้ มกบั เพอ่ื น ๆ จนไดร้ บั บาดเจบ็ สาหสั และ
ในเวลาตอ่ มาเดก็ หญงิ มาลถี งึ แกค่ วามตาย ดงั นถ้ี อื วา่ นายซา่ กระท�ำละเมดิ ตอ่ เดก็ หญงิ มาลี จ�ำตอ้ งชดใชค้ า่ สนิ ไหม
ทดแทน เชน่ คา่ รกั ษาพยาบาล คา่ ปลงศพ คา่ ท�ำขวญั ฯลฯ ใหแ้ กน่ างดอกไมซ้ ง่ึ เปน็ มารดาของเดก็ หญงิ มาลี เปน็ ตน้
6.2.2 จดั การงานนอกสง่ั คอื การทบี่ คุ คลหนง่ึ เขา้ ไปจดั กจิ การแทนผอู้ นื่ โดยทผี่ อู้ น่ื นนั้ มไิ ดว้ า่ ขานวาน
ใชใ้ หท้ �ำ หากบคุ คลนนั้ ไดน้ �ำไปในทางสมประโยชนแ์ กผ่ อู้ นื่ นน้ั แลว้ กย็ อ่ มมสี ทิ ธทิ จ่ี ะเรยี กรอ้ งคา่ ใชจ้ า่ ยทตี่ นไดเ้ สยี ไป
เนื่องจากกิจการนั้นคืนได้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 395) เช่น นางสาวกะรัตเป็นเจ้าของ
บ้านหลงั หนงึ่ ซ่งึ เป็นบ้านแฝดอยู่ติดกบั นางกงั้ โดยมหี ลงั คาตดิ กันมผี นงั ปูนกน้ั ระหว่างบ้านของนางสาวกะรตั และ
นางกงั้ ตอ่ มานางสาวกะรตั ไดเ้ ดนิ ทางไปท�ำธรุ ะทตี่ า่ งจงั หวดั หลายวนั ระหวา่ งนางสาวกะรตั ไมอ่ ยบู่ า้ นเกดิ มลี มพายุ
พดั ท�ำใหก้ ระเบอ้ื งมงุ หลงั คาบา้ นของนางสาวกะรตั และนางก้งั เสียหาย นางก้งั ซึ่งเปน็ เพื่อนบา้ นอยู่ติดกบั บา้ นของ
นางสาวกะรัตจึงเข้าจัดการหาช่างมามุงกระเบื้องให้ส้ินเงินไป 9,000 บาท โดยนางสาวกะรัตมิได้ว่าขานวานใช้
ให้ท�ำ ดังน้ีถือได้ว่านางก้ังได้จัดการงานนอกส่ัง นางก้ังมีสิทธิตามกฎหมายที่จะเรียกเอาเงินท่ีได้ใช้จ่ายไปน้ันจาก
นางสาวกะรตั ได้ เปน็ ตน้
34 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
6.2.3 ลาภมิควรได้ คือ การที่บุคคลใดได้มาซึ่งทรัพย์สินใด เพราะการท่ีบุคคลอีกคนหน่ึงกระท�ำเพ่ือ
การช�ำระหน้ี หรอื ไดม้ าดว้ ยประการอน่ื โดยปราศจากมลู อนั จะอา้ งกฎหมายได้ และเปน็ ทางใหบ้ คุ คลอกี คนหนง่ึ นน้ั
เสยี เปรยี บ บคุ คลผไู้ ดร้ บั ทรพั ยน์ น้ั ไวจ้ �ำตอ้ งคนื ทรพั ยน์ น้ั ใหแ้ กเ่ ขา (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 406)
เชน่ การครอบครองทรพั ยส์ นิ ของผอู้ นื่ การเกบ็ กระเปา๋ สตางคต์ กของคนอื่นได้ การช�ำระหนโี้ ดยส�ำคญั ผดิ วา่ เปน็
เจา้ หนี้ ผรู้ บั ช�ำระหนโี้ ดยไมไ่ ดเ้ ปน็ เจา้ หนต้ี อ้ งคนื เงนิ ใหแ้ กล่ กู หนใ้ี นฐานลาภมคิ วรได้ เปน็ ตน้
6.3 บทบญั ญัติแห่งกฎหมาย
บทบัญญัติแห่งกฎหมายอาจเกิดบ่อเกิดแห่งหน้ีได้เสมอ หากมีบทบัญญัติของกฎหมายก�ำหนดไว้ เช่น
กฎหมายก�ำหนดให้บุตรจ�ำต้องอุปการะเล้ียงดูบิดามารดา (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1563)
บดิ ามารดาจ�ำตอ้ งอปุ การะเลย้ี งดแู ละใหก้ ารศกึ ษาตามสมควรแกบ่ ตุ รในระหวา่ งทเ่ี ปน็ ผเู้ ยาว์ (ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา 1564) หรอื ประมวลรษั ฎากรไดก้ �ำหนดไวว้ า่ บคุ คลทม่ี เี งนิ ไดต้ ามเกณฑท์ กี่ �ำหนดมหี นา้ ทตี่ อ้ ง
เสยี ภาษใี หแ้ กร่ ฐั เปน็ ตน้
●● ผลแห่งหนี้
เมอื่ เกดิ ความผกู พนั ตามกฎหมาย อนั ท�ำใหเ้ กดิ หนข้ี นึ้ ระหวา่ งคกู่ รณแี ลว้ ผลแหง่ หนน้ี นั้ ยอ่ มกอ่ ใหเ้ กดิ สทิ ธิ
และหนา้ ที่ในระหว่างคู่กรณี คือ เจา้ หน้ีย่อมมสี ทิ ธิท่ีจะเรยี กใหล้ กู หนีป้ ฏิบตั ิการช�ำระหนี้ และลกู หนี้กพ็ งึ มีหน้าที่
ตอ้ งปฏบิ ตั กิ ารช�ำระหนนี้ น้ั เมอ่ื หนถ้ี งึ ก�ำหนดช�ำระและลกู หนไี้ ดป้ ฏบิ ตั กิ ารช�ำระหนแี้ ลว้ หนนี้ นั้ เปน็ อนั ระงบั ลง
7. ความระงับแห่งหนี้
ความระงับแห่งหน้ี หมายถึง การท่ีเจ้าหนี้และลูกหนี้สิ้นความผูกพันท่ีมีต่อกัน และท�ำให้เจ้าหน้ีหมด
สทิ ธทิ จ่ี ะบงั คบั ช�ำระหนเี้ อาแกล่ กู หนี้ ฝา่ ยทเี่ ปน็ ลกู หนก้ี ม็ หี นา้ ทจ่ี ะตอ้ งปฏบิ ตั กิ ารช�ำระหนเ้ี พอื่ ใหห้ นน้ี น้ั ระงบั สน้ิ ไป
อยา่ งไรกต็ ามวธิ กี ารทจี่ ะท�ำใหห้ นรี้ ะงบั ไปนน้ั นอกจากวธิ จี ากช�ำระหนตี้ ามปกตแิ ลว้ หนย้ี งั อาจจะระงบั ไปโดยอาศยั
เหตแุ ละวธิ กี ารทก่ี ฎหมายไดว้ างหลกั ไว้ มที งั้ สนิ้ 5 ประการ ดงั ตอ่ ไปนี้
7.1 การช�ำระหน้ี หมายถึง การท่ีลูกหน้ีได้ช�ำระหน้ีให้แก่เจ้าหนี้ตามความผูกพันท่ีมีต่อกันจนครบถ้วน
เมื่อเจ้าหนี้ได้รับช�ำระหนี้ไว้โดยถูกต้องแล้วหน้ีน้ันก็เป็นอันระงับส้ินไป เช่น นายตะวันกู้ยืมเงินจากนายรวย
50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 5 ต่อปี มีก�ำหนดช�ำระหนี้คืนภายในเวลา 1 ปี เม่ือครบก�ำหนด 1 ปี
นายตะวนั น�ำเงนิ ตน้ 50,000 บาทพรอ้ มดอกเบยี้ 2,500 บาท รวมเปน็ เงนิ ทง้ั สน้ิ 52,500 บาท มาช�ำระหนเี้ มอื่
นายรวยไดร้ บั ช�ำระหนค้ี รบจ�ำนวนทงั้ เงนิ ตน้ และดอกเบยี้ แลว้ หนเ้ี งนิ กนู้ จ้ี งึ ระงบั โดยการช�ำระหน้ี เปน็ ตน้
การช�ำระหน้ีซึ่งเป็นเหตุให้หน้ีระงับน้ัน ลูกหน้ีจะต้องมี “หลักฐานแห่งการช�ำระหนี้” เพ่ือป้องกันการ
ช�ำระหนซ้ี ำ�้ ใหแ้ กเ่ จา้ หนอ้ี กี ทงั้ ทลี่ กู หนไ้ี ดช้ �ำระหนใี้ หแ้ กเ่ จา้ หนไ้ี ปแลว้ แตข่ าดหลกั ฐานการช�ำระหนน้ี นั่ เอง หลกั ฐาน
การช�ำระหน้ี มดี งั ตอ่ ไปน้ี
หน่วยการเรยี นรู้ท่ี 2 35
7.1.1 ใบเสรจ็ รบั เงนิ จากผรู้ บั ช�ำระหนี้
7.1.2 การคนื เอกสารหลกั ฐานแหง่ หน้ี เชน่ ผชู้ �ำระหนไ้ี ดร้ บั คนื สญั ญากยู้ มื เงนิ จากผรู้ บั ช�ำระหนี้ เปน็ ตน้
7.1.3 การขดี ฆา่ เอกสารอนั เปน็ หลกั ฐานแหง่ หน้ี
7.1.4 ถ้าหลักฐานแห่งหนี้สูญหาย ผู้ช�ำระหนี้มีสิทธิให้เจ้าหน้ีจดแจ้งถึงการช�ำระหน้ีแล้วลงใน
ใบเสรจ็ รบั เงนิ หรอื เอกสารอกี ฉบบั หนงึ่
7.1.5 ถ้าเป็นการช�ำระหนี้บางส่วน หรือเอกสารหลักฐานแห่งหนี้ยังให้สิทธิอย่างอื่นใดแก่เจ้าหน้ี
ลกู หนมี้ สี ทิ ธทิ จี่ ะใหเ้ จา้ หนอ้ี อกใบเสรจ็ ไวใ้ ห้ หรอื จะใหเ้ จา้ หนจ้ี ดแจง้ ถงึ การไดร้ บั ช�ำระหนไ้ี วใ้ นเอกสารกไ็ ด้ (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 326)
7.2 การปลดหน้ี หมายถึง การที่เจ้าหนี้ยอมสละสิทธิ์เรียกร้องอันมีต่อลูกหนี้ให้แก่ลูกหนี้ไปโดยเสน่หา
ซงึ่ มผี ลท�ำใหห้ นน้ี น้ั ระงบั ลง กฎหมายไดว้ างหลกั เรอื่ งการปลดหนไ้ี ว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
7.2.1 เจา้ หนม้ี สี ทิ ธทิ จี่ ะท�ำใหห้ นร้ี ะงบั ไป โดยแสดงเจตนาตอ่ ลกู หนว้ี า่ จะปลดหนใ้ี หแ้ กล่ กู หน้ี
7.2.2 ถา้ หนนี้ นั้ มหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื การปลดหนต้ี อ้ งปฏบิ ตั ดิ งั ตอ่ ไปน้ี
1) ท�ำเปน็ หนงั สอื
2) เวนคนื เอกสารอนั เปน็ หลกั ฐานแหง่ หนใ้ี หแ้ กล่ กู หน้ี
3) ขดี ฆา่ เอกสารอนั เปน็ หลกั ฐานแหง่ หนี้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 340)
ตัวอย่าง นายเฮงกู้เงินจากนายรวยไป 50,000 บาท โดยท�ำสัญญากู้ยืมเงินกันไว้ หากนายรวยเจ้าหนี้
ประสงค์จะปลดหนี้ให้กับนายเฮง นายรวยเจ้าหนี้จะต้องท�ำหลักฐานเป็นหนังสือว่านายรวยปลดหน้ีให้กับนายเฮง
หรอื คนื หลกั ฐานการกยู้ มื เงนิ นน้ั ใหแ้ กน่ ายเฮง หรอื ขดี ฆา่ เอกสารสญั ญากยู้ มื เงนิ ฉบบั นน้ั เสยี กไ็ ด้
7.3 การหกั กลบลบหน้ี หมายถงึ การทบี่ คุ คล 2 คนตา่ งมคี วามผกู พนั ซงึ่ กนั และกนั โดยมลู หนอี้ นั เปน็
วตั ถอุ ยา่ งเดยี วกนั และหนท้ี ง้ั 2 รายนน้ั ถงึ ก�ำหนดช�ำระแลว้ ลกู หนฝี้ า่ ยใดฝา่ ยหนงึ่ ยอ่ มจะหลดุ พน้ จากหนข้ี องตน
ไดด้ ว้ ยการหกั กลบลบหนกี้ บั หนขี้ องอกี ฝา่ ยหนง่ึ เพยี งเทา่ จ�ำนวนทตี่ รงกนั ในมลู หนไ้ี ด้
กฎหมายวางหลกั ในเรอ่ื งการหกั กลบลบหนไ้ี ว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
7.3.1 มบี คุ คล 2 คน ตา่ งมคี วามผกู พนั ซง่ึ กนั และกนั โดยตา่ งกเ็ ปน็ เจา้ หนแี้ ละลกู หนกี้ นั
7.3.2 มลู หนท้ี ง้ั 2 ราย มวี ตั ถแุ หง่ หนเ้ี ปน็ อยา่ งเดยี วกนั
7.3.3 หนที้ งั้ 2 รายนนั้ ถงึ ก�ำหนดช�ำระแลว้
7.3.4 สภาพแหง่ หนที้ ง้ั สองรายเปดิ ชอ่ งใหห้ กั กลบลบหนไี้ ด้
7.3.5 การหกั กลบลบหนไ้ี มข่ ดั กบั เจตนาของคกู่ รณี (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 341)
ตวั อยา่ ง นายเอกยมื เงนิ จากนายทองเปน็ เงนิ จ�ำนวน 5,000 บาท ตอ่ มานายเอกไดบ้ อกขายโทรศพั ทม์ อื
ถอื เครอื่ งหนงึ่ ใหก้ บั นายทองในราคา 5,000 บาท ดงั นหี้ ากหนท้ี ง้ั สองรายนถ้ี งึ ก�ำหนดช�ำระ นายทองอาจแสดงเจตนา
ขอหกั กลบลบหนซี้ งึ่ มตี อ่ กนั ได้ โดยนายทองไมต่ อ้ งช�ำระราคาคา่ โทรศพั ทม์ อื ถอื และในขณะเดยี วกนั นายเอกกไ็ มต่ อ้ ง
ช�ำระหนท้ี ยี่ มื กนั มา กรณนี ที้ งั้ นายเอกและนายทองตา่ งช�ำระหนใ้ี หแ้ กก่ นั แลว้ ดงั นถี้ อื วา่ เปน็ การหกั กลบลบหนก้ี นั
ขอ้ ยกเวน้ การหกั กลบลบหนบี้ างกรณมี อิ าจท�ำได้ ถา้ สภาพแหง่ หนไ้ี มเ่ ปดิ ชอ่ งใหห้ กั กลบลบหนกี้ นั ได้
กลา่ วคอื หากหนท้ี ง้ั สองฝา่ ยนน้ั มวี ตั ถแุ หง่ หนค้ี นละอยา่ งแลว้ กรณนี จ้ี ะน�ำมาหกั กลบลบหนก้ี นั ไมไ่ ด้
36 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)
ตัวอย่าง นายเอเป็นหน้ีเงินต่อนายบี แต่นายบีเป็นหนี้การกระท�ำต่อนายเอ คือนายบีต้องวาดรูป
ใหก้ บั นายเอ กรณนี ปี้ รากฏวา่ หนท้ี งั้ สองฝา่ ยนน้ั มวี ตั ถแุ หง่ หนคี้ นละอยา่ งแลว้ ดงั นนั้ ยอ่ มไมส่ ามารถหกั กลบลบหน้ี
ไดแ้ ตอ่ ยา่ งใด
7.4 การแปลงหนใี้ หม่ หมายถงึ เมอื่ คกู่ รณที มี่ ที เี่ กยี่ วขอ้ งไดท้ �ำสญั ญาเปลยี่ นสง่ิ ซงึ่ เปน็ สาระส�ำคญั แหง่ หน้ี
ทม่ี อี ยตู่ อ่ กนั ท�ำใหห้ นเี้ ดมิ นนั้ เปน็ อนั ระงบั สนิ้ ไปดว้ ย “การแปลงหนใี้ หม”่ มาแทน กฎหมายไดก้ �ำหนดการแปลงหน้ี
ใหมไ่ ว้ ดงั ตอ่ ไปนี้
7.4.1 คกู่ รณมี มี ลู หนตี้ อ่ กนั อยแู่ ลว้
7.4.2 คกู่ รณนี น้ั ไดท้ �ำสญั ญากนั เพอื่ เปลย่ี นแปลงสาระส�ำคญั ของหนเี้ ดมิ การเปลยี่ นแปลงสาระส�ำคญั
ของหนเ้ี ดมิ ไดแ้ ก่
1) การเปลย่ี นแปลงหนที้ ม่ี เี งอื่ นเวลาเปน็ หนป้ี ราศจากเงอ่ื นไข
2) การเพม่ิ เตมิ เงอ่ื นไขเขา้ ไปในหนเี้ ดมิ ซงึ่ ปราศจากเงอ่ื นไข
3) การเปลยี่ นแปลงเงอื่ นไขอยา่ งหนงึ่ เปน็ เงอ่ื นไขอกี อยา่ งหนงึ่
4) การเปลย่ี นแปลงหนใี้ หมด่ ว้ ยการเปลย่ี นตวั เจา้ หน้ี
5) การเปลยี่ นแปลงหนใี้ หมด่ ว้ ยการเปลย่ี นตวั ลกู หนี้ แตก่ ารเปลยี่ นแปลงตวั ลกู หนน้ี จ้ี ะกระท�ำ
โดยขนื ใจลกู หนไ้ี มไ่ ด้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 349-350)
7.4.3 ท�ำใหห้ นเี้ ดมิ ระงบั ไป แปลงเปน็ หนใ้ี หม่
7.4.4 คกู่ รณผี กู พนั ตอ่ ไปตามหนใ้ี หม่
ตวั อยา่ งท่ี 1 นายเอเปน็ หนน้ี ายบี 2,000 บาท นายเอไดข้ อช�ำระหนโ้ี ดยการด�ำนาและเกยี่ วขา้ วแทน
ดงั นถ้ี อื วา่ เปน็ การแปลงหนใี้ หมด่ ว้ ยการเปลย่ี นวตั ถแุ หง่ หนี้
ตวั อยา่ งที่ 2 นายหนมุ่ กเู้ งนิ จากนายรวยเพอื่ น�ำไปเปน็ ทนุ ท�ำนาเปน็ เงนิ 20,000 บาท นายหนมุ่ ท�ำนา
แตข่ ายขา้ วไมไ่ ดจ้ งึ ไมม่ เี งนิ ช�ำระหนใ้ี หแ้ กน่ ายรวย นางสาวตกุ๊ กนี้ อ้ งสาวของนายหนมุ่ สงสารจงึ ท�ำสญั ญากเู้ งนิ จาก
นายรวยแทนเปน็ เงนิ 20,000 บาท เพอ่ื จะช�ำระหนใี้ หแ้ กน่ ายรวยแทนนายหนมุ่ ซงึ่ นายรวยเจา้ หนก้ี ต็ กลงยนิ ยอม
เพราะเหน็ วา่ นางสาวตกุ๊ กม้ี ฐี านะดกี วา่ นายหนมุ่ ดงั นถี้ อื วา่ เปน็ การแปลงหนใี้ หมโ่ ดยเปลยี่ นตวั ลกู หนขี้ องนายรวย
ท�ำใหห้ นเี้ ดมิ ทน่ี ายหนมุ่ เปน็ หนน้ี ายรวยระงบั สน้ิ ไป แตแ่ ปลงมาเปน็ หนใ้ี หมซ่ ง่ึ มนี างสาวตกุ๊ กเ้ี ปน็ ลกู หนข้ี องนายรวย
แทนนายหนมุ่
7.5 หน้ีเกลื่อนกลืนกัน หมายถึง ถ้าสิทธิและความรับผิดในหน้ีรายใดตกอยู่แก่บุคคลคนเดียวกันแล้ว
หนนี้ นั้ กเ็ ปน็ อนั ระงบั ไปดว้ ยหนเ้ี กลอ่ื นกลนื กนั กฎหมายไดว้ างหลกั เรอ่ื งหนเ้ี กลอื่ นกลนื กนั ไว้ ดงั ตอ่ ไปน้ี
7.5.1 คกู่ รณมี หี นต้ี อ่ กนั อยแู่ ลว้
7.5.2 สทิ ธแิ ละความรบั ผดิ ในหนรี้ ายนน้ั ตกมาอยกู่ บั บคุ คลคนเดยี วกนั (ประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณชิ ย์ มาตรา 353)
ตวั อยา่ ง นายเอเปน็ หนนี้ ายบเี ปน็ เงนิ จ�ำนวน 30,000 บาท ตอ่ มานายบตี ายปรากฏวา่ ไดท้ �ำพนิ ยั กรรม
ยกทรพั ยส์ นิ ของตนใหก้ บั นายบที ง้ั หมด ดงั นห้ี นข้ี องนายเอนจี้ งึ ระงบั ไปเพราะหนเี้ กลอื่ นกลนื กนั
หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 2 37
กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจท่ี 2.2
ตอนท่ี 1 จงเขยี นเครอื่ งหมาย ✓ หนา้ ขอ้ ความทถ่ี กู และเขยี นเครอ่ื งหมาย ✗ หนา้ ขอ้ ความทผ่ี ดิ
............... 1. การงดเวน้ การกระทำ�ไมถ่ ือว่าเป็นการช�ำ ระหน้ีตามกฎหมาย
............... 2. นายจนกูเ้ งนิ จากนายรวยไป 20,000 บาท โดยทำ�สญั ญากู้ยมื เงินกันไว้ หากนายรวยเจา้ หนีป้ ระสงค์
จะปลดหน้ีให้กับนายจน นายรวยเจ้าหน้ีจะต้องทำ�หลักฐานเป็นหนังสือว่านายรวยปลดหน้ีให้กับ
นายจน หรอื คนื หลักฐานการกยู้ มื เงินนัน้ ให้แกน่ ายจน
............... 3. นายเก่งเป็นหนี้นายขยัน 10,000 บาท นายเก่งได้ขอชำ�ระหนี้โดยการปลูกและเก็บผลทุเรียนให้
นายขยัน เปน็ การแปลงหน้ีใหม่ด้วยการเปล่ียนวัตถแุ หง่ หนี้
............... 4. การเก็บกระเป๋าสตางค์ตกของคนอื่นได้ การชำ�ระหน้ีโดยสำ�คัญผิดว่าเป็นเจ้าหนี้ ผู้รับชำ�ระหน้ี
โดยไม่ไดเ้ ปน็ เจ้าหนีต้ ้องคนื เงนิ ใหแ้ ก่ลูกหนี้ในฐานลาภมคิ วรได้
............... 5. วัตถแุ หง่ หนี้คอื การกระท�ำ เทา่ น้นั
............... 6. ผลของการเลิกสัญญาคอื ท�ำ ใหค้ ู่สัญญากลบั คืนสฐู่ านะเดมิ
............... 7. หนเ้ี ปน็ การผูกนิติสัมพันธ์ของบุคคลเพยี งฝา่ ยเดยี วหรือหลายฝา่ ยก็ได้
............... 8. วตั ถแุ หง่ หน้ี ได้แก่ การกระท�ำ การงดเว้นการกระท�ำ การส่งมอบทรัพย์สนิ
................ 9. บอ่ เกดิ แหง่ หน้ี ไดแ้ ก่ นติ กิ รรม-สญั ญา จดั การงานนอกสงั่ ลาภมคิ วรได้ ละเมดิ หรอื เกดิ จากบทบญั ญตั ิ
กฎหมายอ่ืน
.............. 10. หนย้ี ่อมระงบั ลงสิน้ ไปเม่ือมกี ารชำ�ระหน้ี และปลดหน้ี เทา่ นัน้
ตอนท่ี 2 จงตอบคำ� ถามตอ่ ไปน้ี
หนี้หมายความว่าอย่างไร และความระงับแห่งหนม้ี อี ะไรบ้าง
กจิ กรรมตามสมรรถนะวิชาชพี ที่ 2.2
เรอื่ ง หนี้
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธบิ ายความหมายและลกั ษณะส�ำคญั ของหนไ้ี ด้
2. อธบิ ายบอ่ เกดิ แหง่ หนไี้ ด้
3. บอกความระงบั แหง่ หนไ้ี ด้
กจิ กรรม
1. ใหผ้ เู้ รยี นแบง่ ออกเปน็ 3 กลมุ่ ศกึ ษาคน้ ควา้ ขอ้ มลู ตามหวั ขอ้ ตอ่ ไปนี้
1.1 ความหมายและลกั ษณะส�ำคญั ของหนี้ กลมุ่ ที่ 1
1.2 บอ่ เกดิ แหง่ หน้ี กลมุ่ ที่ 2
1.3 ความระงบั แหง่ หนี้ กลมุ่ ท่ี 3