The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-06-12 06:59:20

ilovepdf_merged (1)

ilovepdf_merged (1)

7หน่วยการเรียนรทู้ ่ี

ยืม

สาระการเรียนรู้

1. ความหมายและลักษณะของสญั ญายมื โดยทั่วไป
2. ยมื ใช้คงรูปและยืมใช้ส้นิ เปลอื ง
3. การกู้ยมื เงนิ
4. การคิดดอกเบย้ี กยู้ ืม
5. อายุความในการฟ้องคดี

จุดประสงค์การเรยี นรู้

1. อธิบายความหมายและลักษณะของสัญญายืม

ยมื โดยทว่ั ไปได้
2. อธบิ ายความหมายยมื ใชค้ งรปู และยมื ใชส้ น้ิ เปลอื งได้
3. อธบิ ายการกู้ยมื เงินตามกฎหมายได้
4. บอกการคดิ ดอกเบย้ี กยู้ มื ได้
5. บอกอายคุ วามในการฟ้องคดีได้

สมรรถนะประจ�ำ หน่วย

1. แสดงความรเู้ ก่ียวกบั หลกั การของกฎหมายลักษณะยมื
2. จัดทำ�เอกสารสัญญายืมได้ตามหลักการของประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 7 139

ยืม

ยืม (Loan) เป็นสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สินที่ฝ่ายผู้ให้ยืมยอมให้ฝ่ายผู้ยืมได้ใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินนั้น
และส่งคืนผู้ให้ยืมเมื่อใช้เสร็จแล้ว สัญญายืมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ สัญญายืมใช้คงรูปและสัญญายืมใช้
ส้นิ เปลือง สญั ญายมื โดยทว่ั ไปไม่มแี บบ สญั ญายืมจะสมบูรณ์เมอื่ มีการส่งมอบทรพั ยส์ ินทย่ี มื

1. ความหมายและลักษณะของสัญญายืมโดยท่ัวไป

1.1 ความหมายของสัญญายมื

สัญญายมื เปน็ ลกั ษณะหน่ึงของเอกเทศสญั ญา ซึง่ บัญญตั ไิ วใ้ นบรรพ 3 ลกั ษณะ 9 แหง่ ประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มิได้บญั ญตั ิบทวเิ คราะห์ศพั ทค์ �ำวา่ “ยืม” เอาไวโ้ ดยเฉพาะ แต่ไดว้ เิ คราะหศ์ พั ท์ยมื ใช้คงรปู และ
ยมื ใชส้ ้ินเปลืองไว้ในมาตรา 640 และมาตรา 650 ซ่งึ จะไดก้ ล่าวตอ่ ไป

1.2 ลกั ษณะของสญั ญายมื โดยท่วั ไป

เม่ือพิจารณาความหมายจากประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าว แยกลักษณะของสัญญายืมได้
ดังตอ่ ไปน้ี
1.2.1 เป็นสัญญาเกี่ยวกับทรัพย์สิน วัตถุของสัญญายืมคือทรัพย์สิน กล่าวคือ สัญญายืมต้องมีบุคคล
อย่างน้อย 2 ฝ่าย ท�ำข้อตกลงกนั หรือมีสัญญากนั ระหว่างคสู่ ัญญาเก่ยี วกับเร่ืองทรัพย์สิน
1.2.2 เปน็ สญั ญายนิ ยอมให้ใช้ทรพั ย์สิน กลา่ วคือ เจ้าของทรัพยส์ นิ เรียกวา่ ผใู้ ห้ยืม ยินยอมใหอ้ ีกฝ่าย
คอื ผูย้ มื ได้ใชท้ รพั ยส์ นิ น้ัน สว่ นระยะเวลาในการใช้จะก�ำหนดเวลาไว้หรอื ไมก่ �ำหนดเวลาไว้กไ็ ด้
1.2.3 เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน กล่าวคือ เป็นสัญญาก่อให้เกิดหน้าท่ีหรือเกิดหนี้แต่เพียงฝ่ายเดียว
ได้แก่ ผู้ยืมมีหน้าที่ในการใช้ทรัพย์สินตามสัญญา ต้องรักษาทรัพย์สินที่ยืม และต้องคืนทรัพย์สินที่ยืมนั้น ส่วน
ผู้ให้ยืมไม่มีหน้าที่แต่ประการใด แต่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินที่ยืมน้ันคืนได้เม่ือถึงก�ำหนดเวลาท่ียืม อย่างไรก็ตาม
สัญญาให้กยู้ มื เงนิ นน้ั อาจเปน็ สัญญามคี า่ ต่างตอบแทนไดท้ ่เี รยี กว่า “ดอกเบย้ี ” กไ็ ด้
1.2.4 เป็นสัญญาไม่มีแบบ กล่าวคือ กฎหมายไม่ได้ก�ำหนดให้สัญญายืมต้องท�ำตามแบบแห่งนิติกรรม
แตอ่ ยา่ งใด สญั ญายมื จงึ ท�ำการยืมดว้ ยวาจาหรอื ปากเปล่า ด้วยหนงั สือ หรอื โดยปรยิ ายอนั เปน็ ท่ที ราบกนั ระหว่าง
คู่สัญญาก็ใชบ้ งั คบั กันไดแ้ ลว้
1.2.5 เป็นสัญญาที่ต้องมีการส่งมอบทรัพย์สิน สัญญายืมเป็นสัญญาท่ีผู้ให้ยืมจะต้องส่งมอบทรัพย์สิน
ใหแ้ กผ่ ยู้ มื “ตราบใดทยี่ งั ไมม่ กี ารสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทยี่ มื สญั ญายมื กค็ งไมส่ มบรู ณ”์ สาระส�ำคญั มากทสี่ ดุ ของสญั ญา
ยืมต้องมีการส่งมอบ กล่าวคือ ผู้ให้ยืมต้องส่งมอบทรัพย์สินท่ียืมให้แก่ผู้ยืม หากมีการท�ำสัญญากันเรียบร้อย
แตไ่ มไ่ ด้มกี ารสง่ มอบทรพั ย์สนิ น้ัน สัญญายืมก็ถือว่าไม่บรบิ รู ณ์ นัน่ คือสญั ญายมื ใช้บังคบั ตอ่ กันไม่ได้

140 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

2. ยืมใช้คงรูปและยมื ใชส้ ้ินเปลอื ง

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้แบ่งลักษณะของยืมออกเป็น 2 ประเภท คือ สัญญายืมใช้คงรูป
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 640) และสญั ญายมื ใช้สนิ้ เปลือง (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
มาตรา 650) โดยพจิ ารณาจากประเภทของทรพั ยส์ นิ ทยี่ มื และเจตนาของคสู่ ญั ญาวา่ มคี วามประสงคจ์ ะใชท้ รพั ยส์ นิ
ทีย่ ืมในลักษณะใด ดังต่อไปนี้
- สญั ญายมื ใช้คงรูป คอื สัญญาซึง่ บุคคลคนหน่ึงเรยี กว่าผใู้ หย้ ืม ใหบ้ คุ คลอีกคนหน่ึงเรยี กวา่ ผู้ยมื ใช้สอย
ทรัพย์สินสิ่งใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า โดยผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินนั้นเมื่อได้ใช้สอยเสร็จแล้ว วัตถุแห่งสัญญายืมใช้
คงรปู ไดแ้ ก่ อสงั หารมิ ทรัพย์
- สัญญายืมใชส้ ้ินเปลอื ง คือ สัญญาซงึ่ ผใู้ หย้ ืมโอนกรรมสิทธิ์ในทรพั ยส์ นิ ชนิดใช้ไปสิน้ เปลืองหมดไปน้นั
อันเป็นปริมาณมีก�ำหนดให้แก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณเช่นเดียวกัน
ให้แทนทรพั ย์สินซ่งึ ใหย้ มื นน้ั วัตถุแหง่ สัญญายืมใช้สนิ้ เปลอื ง ได้แก่ สงั หารมิ ทรัพย์และโภคยทรพั ย์

2.1 ความหมายและลกั ษณะของสัญญายืมใชค้ งรูป

2.1.1 ความหมายของสัญญายืมใช้คงรูป สัญญายืมใช้คงรูปเป็นลักษณะหนึ่งของเอกเทศสัญญา
ซ่งึ บญั ญตั ไิ ว้ในบรรพ 3 แห่งประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ดังนี้
มาตรา 640 บัญญัติว่า “อันว่ายืมใช้คงรูปน้ัน คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผู้ให้ยืม ให้บุคคล
อีกคนหน่ึงเรียกว่า ผู้ยืม ใช้สอยทรัพย์สินส่ิงใดสิ่งหนึ่งได้เปล่า และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินน้ันเมื่อได้ใช้สอย
เสร็จแล้ว”
2.2.2 ลักษณะของสัญญายืมใช้คงรูป จากบทบัญญัติดังกล่าวข้างต้นแยกพิจารณาลักษณะส�ำคัญ
ของสัญญายมื ใช้คงรปู ได้ดังต่อไปน้ี

1) เป็นสัญญาไม่มีค่าตอบแทน สัญญายืมใช้คงรูปเป็นสัญญาที่ไม่มีค่าตอบแทน คือ ผู้ยืมไม่มี
หน้าท่ีตามกฎหมายที่จะต้องให้ค่าตอบแทนในการใช้ทรัพย์สิน สัญญายืมใช้คงรูปจะมีค่าตอบแทนไม่ได้ เพราะ
หากมีค่าตอบแทนเม่ือไรก็อาจจะกลายเป็นสัญญาเช่าไป นอกจากกล่าวในลักษณะท่ัวไปว่า สัญญายืมเป็นสัญญา
ไมต่ า่ งตอบแทนแลว้ สญั ญายมื ใชค้ งรปู ยงั เปน็ สญั ญาไมม่ คี า่ ตอบแทนอกี ดว้ ย กลา่ วคอื ผยู้ มื ไมม่ หี นา้ ทตี่ ามกฎหมาย
ที่จะต้องให้ค่าตอบแทนในการใช้ทรัพย์สินนั้น และผู้ให้ยืมก็ไม่มีสิทธิที่จะเรียกค่าตอบแทนจากผู้ยืมแต่ประการใด
ถือวา่ ผูย้ มื ไดใ้ ช้ทรัพย์สินนัน้ แบบไดเ้ ปลา่

ตัวอยา่ ง นายปูให้นายปลายืมรถจักรยานยนตไ์ ปใช้ 1 วัน ถา้ นายปเู รียกค่าตอบแทนจากนายปลา
กรณเี ช่นนี้ก็จะไมเ่ ปน็ สญั ญายมื แตจ่ ะกลายเป็นสัญญาเชา่ ทรพั ย์
2) เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน กล่าวคือ ผู้ยืมเพียงฝ่ายเดียวท่ีมีหน้าที่หรือหนี้ต้องช�ำระให้แก่
ผู้ใหย้ มื

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 7 141

3) สัญญายืมถือเอาตัวผู้ยืมเป็นสาระส�ำคัญของสัญญา กล่าวคือ ผู้ให้ยืมก่อนตัดสินใจให้ผู้ยืม
ได้ยืมและใช้ทรัพย์สินของตน จะพิจารณาว่าผู้ยืมมีความน่าไว้วางใจและความน่าเช่ือถือมากน้อยเพียงใด ดังนั้น
หากผู้ยืมถึงแก่ความตายก่อนส่งคืนทรัพย์สินน้ันได้ แต่ไม่อยู่ในฐานะรับโอนกรรมสิทธ์ิแต่อย่างใด เม่ือสัญญา
ไม่โอนกรรมสทิ ธิ์ จึงก่อให้เกดิ ผลดงั น้ี
(1) ผู้ยืมไม่จ�ำเปน็ ต้องเปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธ์ิทรัพย์สนิ ทใ่ี หย้ ืม
(2) ผู้ยืมได้ครอบครองทรัพย์สินนั้นแทนเจ้าของ หากผู้ยืมทุจริตเบียดบังทรัพย์สินน้ันไปเป็น
ประโยชน์ส่วนตน ยอ่ มมคี วามผิดอาญาฐานยกั ยอกทรพั ย์ได้
(3) ถ้าหากทรัพย์สินท่ีให้ยืมสูญหายหรือบุบสลาย โดยไม่ใช่ความผิดของผู้ให้ยืม หรือจะเอา
ความผิดจากผู้ใดมิได้ ก็เป็นบาปเคราะห์ของผู้ให้ยืมเองคือ เป็นพับแก่เจ้าของที่ต้องยอมรับในความเสียหาย
แก่ทรพั ย์สนิ น้ัน ผู้ใหย้ มื กย็ ่อมต้องรับผดิ ต่อเจา้ ของทรพั ยส์ ินนน้ั

4) สญั ญายืมใช้คงรปู มีความบรบิ รู ณเ์ มื่อส่งมอบทรพั ย์สนิ ที่ให้ยืม หมายความว่า ถา้ ยังไมส่ ่งมอบ
ทรัพย์สินท่ียืมต่อกัน สัญญายืมก็ไม่บริบูรณ์แต่ไม่ถึงขนาดเป็นโมฆะ เมื่อได้ท�ำให้ถูกต้องเสียแล้ว สัญญายืมก็เกิด
และบริบรู ณ์หรือสมบรู ณ์ทันที
5) วัตถุแห่งสัญญายืมใช้คงรูปได้แก่ทรัพย์สิน ค�ำว่า “ทรัพย์สิน” หมายความรวมทั้งทรัพย์ คือ
วัตถุที่มีรูปร่างซึ่งอาจมีราคาและอาจถือเอาได้ แต่โดยทั่วไปยืมใช้คงรูปจะเป็นทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์
ซึ่งเมื่อใช้ไปไม่เสียสภาวะเส่ือมสลายไปหรือสิ้นเปลืองหมดไป เช่น รถจักรยานยนต์คันใดคันหนึ่ง ช้างเชือกใด
เชือกหนง่ึ เปน็ ต้น
ในบางกรณีสังหาริมทรัพย์หรือโภคยทรัพย์อาจน�ำมาให้ยืมใช้คงรูปได้เช่นกัน หากผู้ยืมมีเจตนา
เพื่อจะยืมใช้คงรูป เช่น ขอยืมข้าวสารหอมมะลิไปเป็นตัวอย่างในงานแสดงสินค้าการเกษตร ดังน้ีเจตนาของผู้ยืม
มใิ ชน่ �ำข้าวสารหอมมะลิไปหงุ รับประทาน จงึ เป็นการยืมใช้คงรูป ไมใ่ ช่ยมื ใชส้ ิ้นเปลอื ง เป็นต้น
6) สญั ญายมื ใชค้ งรปู จะไมโ่ อนกรรมสทิ ธใ์ิ นทรพั ยส์ นิ ผใู้ หย้ มื คงเปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธใิ์ นทรพั ยส์ นิ
ท่ีให้ยืมเสมอ ไม่ว่าผู้ยืมจะยึดถือทรัพย์สินน้ันไว้นานเท่าใดก็ตาม แม้ว่าผู้ให้ยืมจะส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้ยืม
การส่งมอบท�ำให้สัญญายืมสมบูรณ์และผู้ยืมน�ำทรัพย์สินไปใช้ อย่างไรก็ตามทรัพย์สินที่ยืมน้ันเป็นประเภท
คงสภาพเดิม ไม่เสยี สภาวะเสอ่ื มสลายไปเพราะการใช้ ผูย้ มื จงึ มีเพียงสทิ ธิครอบครองและใช้สอยทรัพย์สินเท่านั้น
ดงั รปู ท่ี 7.1

142 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

ทรพั ย์สนิ คงสภาพเดมิ

ไมม่ ีการโอนกรรมสิทธิ์ ยืมใชค้ งรปู ผู้ยมื ตอ้ งใชท้ รัพยส์ ินให้ถกู ตอ้ ง
คืนทรพั ย์สนิ อันเดิม


รปู ที่ 7.1

อย่างไรก็ตามสัญญายืมใช้คงรูปผู้ให้ยืมอาจเป็นเจ้าของหรือไม่เป็นเจ้าของในทรัพย์สินท่ียืม เพราะ
ไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินท่ีให้ยืม ในกรณีที่ผู้ให้ยืมไม่ได้เป็นเจ้าของทรัพย์สิน หากเจ้าของทรัพย์สิน
ที่ยืมกนั นัน้ ไมย่ นิ ยอม เจ้าของทรัพยส์ ินก็มสี ทิ ธิตดิ ตามเอาคืนได้

7) สัญญายืมใช้คงรูปไม่มีแบบแห่งนิติกรรม คู่สัญญาตกลงยืมกันด้วยวาจา สัญญายืมก็เกิดข้ึน
สมบูรณ์แลว้ แตท่ ัง้ นต้ี ้องมีการสง่ มอบทรพั ย์สนิ ท่ใี ห้ยมื ดว้ ย (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 64)

หน่วยการเรยี นรูท้ ่ี 7 143

ตวั อย่าง

สญั ญายมื ใช้คงรปู

ท�ำท่.ี ....................................................................................
.......................................................................................

วันที…่ .......….เดอื น……………………….....……..…พ.ศ. ................................
สญั ญานที้ �ำข้นึ ระหว่าง……………….....................……….......อายุ……..........ปี อย่บู า้ นเลขท.ี่ ...................................................
ถนน…………………………….………ต�ำบล/แขวง……………..……………………….……..อ�ำเภอ/เขต...................................................................
จงั หวัด…………...…………….ซง่ึ ตอ่ ไปในสัญญาน้จี ะเรยี กวา่ “ผใู้ หย้ มื ” ฝา่ ยหนึ่งกบั .................................................................................
อายุ…………………..…..ปี อยู่บ้านเลขที…่ …………………..…..ถนน…………...………………...…ต�ำบล/แขวง……………………………...................
อ�ำเภอ/เขต…………………………………….จงั หวดั ………….…….……..……………ซึง่ ต่อไปในสญั ญาน้ี จะเรยี กว่า “ผยู้ ืม” อกี ฝา่ ยหนงึ่ ท้ังสอง
ฝ่ายตกลงท�ำสัญญาน้ขี น้ึ เพือ่ เปน็ หลักฐาน
ขอ้ 1 ผู้ใหย้ ืมตกลงให้ยืม และผู้ยืมตกลงยมื ทรพั ยส์ ินคือ.……………………….................................…….…….……...................
เพอ่ื ประโยชน…์ …………………………………………………………………………….................................................................................................
โดยผยู้ มื ยอมช�ำระคา่ ตอบแทนใหแ้ กผ่ ู้ให้ยืมเปน็ …………......................................…………………………………………………..........................
ข้อ 2 ในขณะท�ำสญั ญาน้ี ผใู้ หย้ มื ไดส้ ง่ มอบและผยู้ มื ไดร้ บั มอบทรพั ยส์ นิ ดงั กลา่ วในขอ้ 1 จากผใู้ หย้ มื ถกู ตอ้ งเรยี บรอ้ ยแลว้
และผู้ยืมยอมรับว่าทรัพย์สินที่ผู้ยืมได้รับมอบจากผู้ให้ยืมอยู่ในสภาพที่ซ่อมแซมดีแล้วสามารถน�ำไปใช้สอยหรือเอาไปใช้การ
อันเป็นปกตแิ กท่ รพั ย์สินนน้ั ได้ดีทุกประการ
ข้อ 3 ผยู้ มื ตกลงสง่ คนื ทรพั ยส์ นิ ซง่ึ ยมื ไปตามสญั ญานใี้ หแ้ กผ่ ใู้ หย้ มื ภายในวนั ท…่ี ………เดอื น.………….…………พ.ศ. ……………
และในวนั ส่งคนื ผู้ยืมรับรองว่าทรพั ยส์ ินจะอย่ใู นสภาพเช่นเดยี วกับวนั ที่ยืมมาทกุ ประการ
ข้อ 4 ถึงแม้เป็นเพราะเหตุสุดวิสัยหรือไม่ก็ตาม หากปรากฏว่าทรัพย์สินซึ่งยืมตามสัญญาน้ีสูญหาย หรือช�ำรุดเสียหาย
บุบสลายอย่างใดอย่างหนึ่ง เพราะผู้ยืมเอาทรัพย์สินซึ่งยืมตามสัญญาน้ีไปใช้ในการอย่างอ่ืน นอกจากการอันเป็นปกติแก่ทรัพย์สิน
ซงึ่ ยมื หรอื นอกจากการอนั ปรากฏในสญั ญานหี้ รอื เอาไปใหบ้ คุ คลภายนอกใชส้ อย หรอื คา่ ทดแทนเตม็ จ�ำนวนใหแ้ กผ่ ใู้ หย้ มื จนครบถว้ น
ขอ้ 5 ผูย้ มื ใหส้ ัญญาวา่ ผยู้ มื จะสงวนทรพั ยส์ ินท่ยี มื ให้เหมือนเช่นผ้ยู มื พึงสงวนทรัพยส์ นิ น้นั เปน็ ของตนเอง
ข้อ 6 ค่าซ่อมแซมเล็กน้อยหรือซ่อมแซมใหญ่ตลอดค่าใช้จ่ายอันเป็นปกติแก่การบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินที่ยืม ผู้ยืมตกลง
เปน็ ฝา่ ยออกเองทัง้ ส้นิ
ข้อ 7 ผู้ยืมยอมวางเงินจ�ำนวน……………............…..บาท (……….......……………………………………………….) ไว้กับผู้ให้ยืม
เพื่อเปน็ ประกันความสญู หายหรือช�ำรุดเสยี หายบุบสลาย ซง่ึ อาจเกิดขน้ึ แกท่ รพั ย์สินท่ียมื กันตามสญั ญานี้
ขอ้ 8 หากผยู้ มื ผดิ สญั ญาขอ้ ใดขอ้ หนงึ่ ผใู้ หย้ มื มสี ทิ ธบิ อกกลา่ วใหผ้ ยู้ มื ปฏบิ ตั ติ ามสญั ญานใี้ หถ้ กู ตอ้ ง หรอื บอกเลกิ สญั ญา
ไดท้ ันที
สัญญาน้ีท�ำขึ้นเป็นสองฉบับโดยมีข้อความตรงกัน คู่สัญญาต่างฝ่ายต่างเข้าใจข้อความแห่งสัญญาน้ีโดยตลอดดีแล้ว
จงึ ลงลายมอื ชอ่ื ไว้เป็นส�ำคญั ตอ่ หน้าพยานและตา่ งยึดถอื ไวฝ้ า่ ยละฉบบั

ลงชือ่ ……………..…….......…...……………………ผู้ใหย้ ืม ลงช่ือ……………..…….......…...……………………ผใู้ หย้ ืม
(……………….......……………….........……) (……………….......……………….........……)

ลงชอื่ ……………..…….......…...……………………พยาน ลงชอ่ื ……………..…….......…...……………………พยาน
(……………….......……………….........……) (……………….......……………….........……)

144 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

2.2 ความหมายและลักษณะของสัญญายมื ใช้สนิ้ เปลือง

2.2.1 ความหมายของสญั ญายมื ใชส้ นิ้ เปลอื ง สญั ญายมื ใชส้ น้ิ เปลอื งเปน็ ลกั ษณะหนง่ึ ของเอกเทศสญั ญา
ซ่งึ บญั ญัติไว้ในบรรพ 3 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ดงั น้ี
มาตรา 650 บัญญัติวา่ “อนั วา่ ยืมใช้ส้ินเปลืองนั้น คอื สัญญาซงึ่ ผใู้ ห้ยมื โอนกรรมสิทธ์ใิ นทรัพย์สินชนิดใช้
ไปสิ้นไปนั้นเป็นปริมาณมีก�ำหนดให้ไปแก่ผู้ยืม และผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิด และปริมาณ
เช่นเดียวกนั ให้แทนทรพั ยส์ นิ ซงึ่ ใหย้ มื น้ัน สญั ญานีย้ อ่ มบริบูรณต์ ่อเมอื่ ส่งมอบทรัพย์สนิ ที่ยืม”
2.2.2 ลกั ษณะของสัญญายมื ใช้ส้ินเปลอื ง จากบทบญั ญตั ดิ ังกล่าวข้างตน้ แยกพจิ ารณาลักษณะส�ำคัญ
ของสญั ญายมื ใช้สน้ิ เปลอื งได้ ดงั ต่อไปนี้
1) เป็นการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินท่ียืม กล่าวคือ กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินที่ยืมนั้นตกไปเป็น
ของผู้ยืมทันที ผู้ยืมจึงมีสิทธิในการใช้ทรัพย์สินท่ียืมนั้นอย่างเจ้าของและจะจ�ำหน่ายจ่ายโอนทรัพย์สินท่ียืมมานั้น
อย่างไรก็ได้ ดังน้ันผู้ให้ยืมจึงต้องเป็นผู้มีกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินที่ให้ยืม กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินจะถูกโอนไปยังผู้ยืม
ทันที

2) วัตถุแห่งสัญญายืมเป็นประเภทสังหาริมทรัพย์และโภคยทรัพย์ กล่าวคือ ทรัพย์สินท่ีใช้
สน้ิ เปลืองไป ได้แก่ ทรพั ยส์ นิ ทยี่ ืมเปน็ ประเภทอาหาร เช่น ข้าวสาร นำ�้ มันพืช นำ�้ ตาล น�ำ้ ปลา เป็นต้น หรือของใช้
หมดไป เช่น ไม้ขีดไฟ ฟิล์มถ่ายรูป เงินตรา กระดาษช�ำระ เป็นต้น เมื่อใช้ทรัพย์สินที่ยืมนั้นแล้ว ทรัพย์สินน้ัน
ย่อมสน้ิ สภาพไป สลายไป หรอื หมดไปแต่อาจใช้ของซึ่งเป็นประเภท ชนิดเดียวกัน และปริมาณเทา่ กนั มาแทนได้

3) การคนื ทรพั ยส์ นิ ทยี่ มื กฎหมายก�ำหนดใหผ้ ยู้ มื คนื ทรพั ยส์ นิ ทยี่ มื เปน็ ประเภท ชนดิ และปรมิ าณ
เทา่ กบั ทีย่ มื มา

ตัวอย่าง ยืมข้าวสารไม่จ�ำเป็นต้องคืนข้าวสารถุงเดิม หรือยืมเงินตราเป็นเงิน 1,000 บาท ก็ไม่
จ�ำเป็นต้องคืนธนบัตร 1,000 บาท ฉบับเดิม แต่จะคืนข้าวสารหรือธนบัตรที่เป็นประเภท ชนิด และปริมาณ
เชน่ เดยี วกันแทนได้

4) ตอ้ งมกี ารส่งมอบทรัพย์สนิ ทยี่ ืม หากไมม่ กี ารสง่ มอบทรพั ย์สินทีย่ ืม สญั ญายมื กไ็ มบ่ ริบรู ณ์
5) เปน็ สญั ญาไม่ต่างตอบแทน เช่นเดียวกบั สญั ญายมื ใช้คงรปู เนือ่ งจากผู้ยืมเป็นหน้ีฝา่ ยเดียว
6) สัญญายืมใช้สิ้นเปลืองเป็นสัญญาท่ีอาจมีค่าตอบแทนได้ ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับเจตนาของคู่สัญญา
ที่จะให้มีค่าตอบแทนกันได้ ค่าตอบแทนในสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอาจเป็นเงินหรือทรัพย์สินแล้วแต่คู่สัญญาจะ
ตกลงกัน เช่น ยมื น้ำ� ตาลทรายขาว 10 กิโลกรัม เม่อื ครบก�ำหนดเวลาสง่ คนื ก็สง่ คนื น้ำ� ตาลทรายขาว 11 กโิ ลกรมั
หรอื ยมื เงนิ 10,000 บาท คดิ ดอกเบยี้ ในอตั รารอ้ ยละ 15 ตอ่ ปี ทงั้ นำ�้ ตาลทรายขาวและเงนิ ตา่ งถอื วา่ เปน็ คา่ ตอบแทน
เป็นต้น
7) วัตถุแห่งสัญญายืมใช้ส้ินเปลือง ได้แก่ ทรัพย์สินที่ให้ยืมซ่ึงต้องเป็นทรัพย์สินประเภท
สังหาริมทรัพย์และโภคยทรัพย์ ซ่ึงเป็นทรัพย์สินที่เมื่อใช้ไปสิ้นเปลืองหมดไป แต่อาจใช้ของซึ่งเป็นประเภท ชนิด
เดยี วกัน และปรมิ าณเทา่ กันมาแทนได้ เช่น ขา้ วสาร ถา่ น น้ำ� ตาล น�ำ้ ปลา เป็นตน้
8) สัญญายืมใช้ส้ินเปลืองเป็นสัญญาท่ีผู้ให้ยืมโอนกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินที่ให้ยืมให้แก่ผู้ยืม
หากผใู้ หย้ มื ไมโ่ อนกรรมสทิ ธใิ์ นทรพั ยส์ นิ ผยู้ มื กไ็ มอ่ าจใชส้ อยทรพั ยส์ นิ นนั้ ได้ เมอ่ื โอนกรรมสทิ ธแิ์ ลว้ ผยู้ มื จะใชส้ อย
ทรพั ยส์ นิ อยา่ งไรกไ็ ด้ หรอื จะเอาไปใหบ้ คุ คลภายนอกใชก้ ไ็ ด้ หรอื โอนกรรมสทิ ธติ์ อ่ ไปอกี กไ็ ด้ หากทรพั ยส์ นิ บบุ สลาย
หรอื สูญหาย ผู้ยมื ตอ้ งรับผลแห่งภยั พบิ ัติทเี่ กิดข้ึนเอง ดังรูปท่ี 7.2

หนว่ ยการเรยี นรทู้ ่ี 7 145

ทรพั ยส์ ินใช้ส้ินเปลืองหมดไป

โอนกรรมสทิ ธิ์ ยืมใช้ ใช้ทรัพยส์ ินอยา่ งไรกไ็ ด้
สิน้ เปลือง

คืนทรพั ยส์ ินใหม่

รปู ที่ 7.2

ตัวอย่าง นายเอยืมไมแ้ ละสงั กะสขี องนายบีเพอื่ น�ำไปใชส้ ร้างบ้าน นายเอจะตอ้ งตัดไม้และสังกะสี
เพื่อสร้างบ้าน เช่นน้ีนายเอจึงไม่อาจรักษาทรัพย์สินท่ียืมไว้ในสภาพเดิมได้ การยืมทรัพย์สินชนิดน้ีเป็นการยืมใช้
ส้นิ เปลือง เพราะกรรมสิทธิใ์ นทรัพยส์ นิ โอนไปเป็นของนายเอแล้ว

2.3 ความแตกต่างระหวา่ งสญั ญายืมใชค้ งรปู และยมื ใชส้ นิ้ เปลอื ง

ลักษณะของข้อแตกต่าง ยืมใช้คงรปู ยืมใช้สิ้นเปลอื ง
✦ ผู้ใหย้ มื
✦ การโอนกรรมสิทธิ์ ✦ ผมู้ กี รรมสิทธ์ิ หรอื ผูค้ รอบ ✦ ต้องเปน็ เจ้าของและมีกรรมสิทธ์ิ
✦ ค่าตอบแทน ครองทรพั ยส์ นิ แมไ้ มใ่ ชเ่ จา้ ของ ในทรพั ยส์ นิ ท่ใี ห้ยืมน้ัน
✦ การสง่ คืนทรพั ย์สนิ กอ็ าจใหย้ มื ได้
✦ ไมม่ กี ารโอนกรรมสิทธ์ิ ผู้ ✦ มกี ารโอนกรรมสิทธ์ิ ผู้ยมื มีสทิ ธิ
✦ ผยู้ ืมตายก่อนส่ง ยมื เพยี งมสี ิทธคิ์ รอบครอง จำ�หน่าย จ่าย โอนทรัพย์ทีย่ ืมเสมือน
ทรพั ยส์ นิ ทย่ี มื คนื ทรพั ยส์ นิ ที่ยืม ผเู้ ปน็ เจา้ ของทรพั ยน์ ั้น
✦ ผู้ยืมเสมือนไดเ้ ปล่า คอื ✦ อาจมีคา่ ตอบแทนได้ กรณีกูย้ มื เงิน
ไมต่ อ้ งเสียค่าตอบแทนใด ๆ ต้องเสยี ดอกเบ้ยี
ทง้ั สิ้น
✦ ผยู้ ืมตอ้ งส่งคนื ทรัพย์สนิ ✦ ไม่จำ�เป็นต้องคืนทรัพยส์ ินอนั เดิม
อันเดมิ ทีย่ มื ไปเมื่อใชส้ อยเสร็จ แตม่ สี ทิ ธสิ ง่ คนื ทรัพย์สินทเ่ี ปน็ ประเภท
แล้ว ชนิด และปริมาณเดียวกนั กบั ทรัพย์สิน
ท่ไี ดย้ ืมไป
✦ สัญญายอ่ มระงบั ทายาทผูย้ ืม ✦ สัญญาไม่ระงับ เพราะกรรมสิทธิ์
ตอ้ งนำ�ส่งคืนทันที ในทรพั ย์สินที่ยืม โอนไปยงั ผู้ยืมแล้ว
เปน็ หน้าที่ของทายาทต้องปฏบิ ตั ิ
ตามสญั ญายืมต่อไป

146 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

ตวั อย่าง

สัญญายมื ใชส้ น้ิ เปลือง

ท�ำท.่ี ....................................................................................
.......................................................................................

วนั ท่ี….......….เดือน……………………….....……..…พ.ศ. ................................

สญั ญาฉบบั นท้ี �ำขึน้ ระหว่าง..................................................................................................................อาย.ุ ......................ปี
อยูบ่ า้ นเลขท.่ี .....................ถนน...................................แขวง/ต�ำบล............................................เขต/อ�ำเภอ.........................................
จงั หวดั .......................................................ซง่ึ ต่อไปในสญั ญานจ้ี ะเรียกวา่ “ผใู้ ห้ยมื ” ฝ่ายหนงึ่ กบั .........................................................
อาย.ุ ...............ปี อย่บู ้านเลขท.่ี ......................ถนน..............................แขวง/ต�ำบล..............................เขต/อ�ำเภอ...............................
จังหวัด..........................................ซึ่งต่อไปในสัญญาน้ีจะเรียกว่า “ผู้ยืม” อีกฝ่ายหน่ึง คู่สัญญาท้ังสองฝ่ายตกลงท�ำสัญญากัน
มขี ้อความดงั ตอ่ ไปน้ี
ข้อ 1 ผู้ให้ยืมตกลงให้ยืมและผู้ยืมตกลงยืมทรัพย์สินคือ............................................................................. (ซ่ึงต่อไปใน
สัญญานี้จะเรียกว่า “ทรัพย์ท่ีให้ยืม”) ท้ังน้ีให้กรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินที่ให้ยืมโอนไปเป็นของผู้ยืมนับแต่เม่ือได้ท�ำสัญญากัน โดยผู้ยืม
ยินยอมช�ำระคา่ ตอบแทนให้แก่ผู้ใหย้ มื เป็น...........................................................
ขอ้ 2 ในขณะท�ำสญั ญานผี้ ใู้ หย้ มื ไดส้ ง่ มอบและผยู้ มื ไดร้ บั มอบทรพั ยท์ ใี่ หย้ มื จากผใู้ หย้ มื ในสภาพเรยี บรอ้ ยดแี ละผยู้ มื ยนื ยนั
วา่ เปน็ ทรัพยป์ ระเภท ชนิดและปริมาณตรงตามที่คสู่ ัญญาได้ตกลงกัน
ขอ้ 3 ผู้ยืมตกลงว่าจะคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิดและปริมาณเช่นเดียวกันกับทรัพย์สินท่ีให้ยืมนั้นคืนให้แก่ผู้ให้ยืม
ภายในวันท่ี.............................................หากผู้ยืมไม่สามารถคืนทรัพย์สินเป็นประเภท ชนิดและปริมาณเดียวกันกับท่ียืมได้ ผู้ยืม
ยอมรับผดิ ชดใชค้ า่ เสียหายเต็มจ�ำนวนให้แก่ผใู้ หย้ มื ท้ังหมดจนครบถว้ น
ข้อ 4 คา่ ฤชาธรรมเนยี มในการท�ำสัญญานี้ ค่าส่งมอบและค่าสง่ คนื ทรพั ย์สนิ ทย่ี ืม ผูย้ มื เปน็ ผูอ้ อกทัง้ หมด
ขอ้ 5 หากผู้ยืมผิดนัดผิดสัญญาหรือไม่ปฏิบัติตามสัญญานี้ข้อหนึ่งข้อใด ผู้ให้ยืมย่อมมีสิทธิบอกกล่าวให้ผู้ยืมปฏิบัติ
ตามสัญญานี้ใหถ้ กู ตอ้ งหรอื บอกเลิกสญั ญาไดท้ นั ที
สัญญานี้ท�ำข้ึนไว้สองฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกัน คู่สัญญาต่างฝ่ายต่างเข้าใจข้อความแห่งสัญญานี้โดยตลอดดีแล้ว
เหน็ วา่ ถกู ต้องตรงตามเจตนาของตนทกุ ประการ จงึ ลงลายมอื ชื่อไวเ้ ปน็ ส�ำคญั ต่อหนา้ พยานและต่างยดึ ถือไวฝ้ า่ ยละฉบบั

ลงชอ่ื ……………..…….......…...……………………ผู้ใหย้ มื
(...................................................)
ลงชอ่ื ……………..…….......…...……………………ผู้ยืม
(...................................................)
ลงชือ่ ……………..…….......…...……………………พยาน
(...................................................)
ลงช่ือ……………..…….......…...……………………พยาน
(...................................................)

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 7 147

3. การกู้ยมื เงนิ

การกู้ยืมเงินมีวัตถุที่ให้ยืมเป็นเงินตรา การกู้ยืมเงินจึงเป็นสัญญายืมใช้สิ้นเปลืองอย่างหนึ่ง ดังนั้น
หลักกฎหมายต่าง ๆ ทก่ี ลา่ วมาขา้ งตน้ ตามมาตรา 650 ถึงมาตรา 652 จึงน�ำมาใชก้ ับการกูย้ ืมเงนิ ได้ทุกประการ

3.1 หลักฐานแห่งการกยู้ มื เงิน

ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 1 บัญญัติว่า “การกู้ยืมเงินกว่า 2,000 บาท
ข้ึนไปน้ัน ถ้ามิได้มีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหน่ึงลงลายมือช่ือผู้ยืมเป็นส�ำคัญ จะฟ้องร้อง
ให้บังคบั คดีหาไดไ้ ม”่
จากบทบัญญตั ดิ งั กล่าว การกู้ยมื มลี ักษณะส�ำคญั แยกพิจารณาได้ดงั ตอ่ ไปน้ี
3.1.1 การกู้ยืมเงิน 2,000 บาท หรือน้อยกว่า 2,000 บาท เช่น 1,900 บาท 1,200 บาท หรือ
1,000 บาท เปน็ ต้น ไมต่ ้องมีหลักฐานแหง่ การกยู้ ืมเปน็ หนังสอื กส็ ามารถฟอ้ งรอ้ งใหบ้ งั คับคดกี ันได้
3.1.2 การกู้ยืมเงินเกินกว่า 2,000 บาทขึ้นไปน้ัน จะต้องมีหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสืออย่างใด
อย่างหน่ึงลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นส�ำคัญ จึงจะสามารถฟ้องร้องให้บังคับคดีกันได้ อย่างไรก็ตามแม้ไม่มีหลักฐาน
ดังกลา่ ว สญั ญากู้ยมื กส็ มบรู ณ์เพยี งแต่ฟอ้ งร้องกันไมไ่ ดเ้ ทา่ นั้น
ค�ำว่า “มีหลักฐานเป็นหนังสือ” กฎหมายไม่ได้ก�ำหนดรูปลักษณะว่าจะต้องท�ำอย่างไร จะมีลักษณะ
รูปร่างอย่างใด ๆ ก็ได้ เพียงแต่มีลายมือชื่อผู้กู้ยืมเป็นส�ำคัญ มีข้อความแสดงว่าได้เป็นหน้ีกันจริงก็ใช้ได้ เช่น
จดหมาย บนั ทึกประจ�ำวนั ของสถานตี �ำรวจ เปน็ ตน้ หลกั ฐานเป็นหนังสอื น้ีแมไ้ ม่มคี �ำวา่ “ผกู้ ”ู้ หรือ “ผู้ยมื ” อยู่ใน
เอกสาร แต่มีข้อความว่ามีการกู้ยืมกันก็ใช้ได้แล้ว และไม่จ�ำเป็นว่าจะต้องท�ำขณะตกลงกู้ยืม หากท�ำหลักฐาน
เป็นหนังสือภายหลังก็ใช้บังคับได้ ดังนั้นหลักฐานการกู้ยืมเงินจะกระท�ำเมื่อใดก็ได้ แต่จะต้องมีหลักฐานเป็น
หนังสือที่แสดงว่ามีการกู้ยืมกันและต้องลงลายมือช่ือผู้ยืม (ผู้กู้) เป็นส�ำคัญด้วย ส่วนลายมือผู้ให้ยืม (ผู้ให้กู้)
ไมม่ กี ารลงลายมอื ชอื่ ก็ใช้ฟอ้ งร้องบงั คับคดีกนั ได้

ตวั อย่าง นางดาวกู้เงินนางเดือน 3,000 บาท แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือก็ไม่เป็นโมฆะ เพียงแต่จะ
ฟ้องรอ้ งบังคับคดไี ม่ได้เท่าน้นั

3.2 หลกั ฐานแหง่ การช�ำ ระหนีก้ ู้ยืมเงิน

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 653 วรรค 2 บญั ญตั วิ า่ “ในการกยู้ มื เงนิ มหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื
น้ัน ท่านว่าจะน�ำสืบการใช้เงินได้ต่อเม่ือมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือช่ือผู้ให้ยืมมาแสดง
หรือเอกสารอนั เป็นหลกั ฐานแหง่ การกยู้ ืมนน้ั ไดเ้ วนคืนแลว้ หรอื ไดแ้ ทงเพิกถอนลงในเอกสารนั้นแล้ว”
จากบทบญั ญัตดิ ังกล่าวแสดงวา่ หลกั ฐานแหง่ การช�ำระหนีก้ ้ยู มื กรณีการกู้ยมื เงนิ ทม่ี ีหลกั ฐานเป็นหนังสอื
ไม่ว่าการกู้ยมื เงนิ นนั้ จะมีจ�ำนวนเงนิ มากน้อยเพียงใด เช่น การกู้ยืมเงนิ กนั เพยี ง 1,000 บาท หรือ 100,000 บาท
เปน็ ต้น แตม่ ีหลกั ฐานการกูย้ ืมเงนิ เป็นหนงั สอื กอ็ ยใู่ นบังคับคดีน้ดี ว้ ย ซง่ึ หากผกู้ ้จู ะน�ำสืบว่าได้ช�ำระหนี้แล้วจะตอ้ ง
มีหลกั ฐาน หรอื การกระท�ำอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ ดงั ตอ่ ไปนี้

148 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

3.2.1 มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือช่ือผู้ให้ยืมมาแสดง ซึ่งเป็นไปในท�ำนอง
เดียวกับหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืม ในกรณีการให้กู้ยืมเงินตามมาตรา 653 วรรค 1 กล่าวคือ
กฎหมายไม่ได้ก�ำหนดว่าจะต้องท�ำอย่างไร จะเป็นหนังสืออะไรก็ได้ท่ีแสดงว่ามีการช�ำระหนี้เงินกู้กันแล้ว และ
ตอ้ งลงลายมือชือ่ ผู้ใหย้ ืมด้วย
3.2.2 เอกสารอันเปน็ หลกั ฐานแหง่ การกยู้ ืมน้ันได้เวนคนื แล้ว หมายถึง ผู้ให้ยมื สง่ มอบหนังสอื สญั ญากู้
หรือหลกั ฐานการกู้ยืมเงินทผ่ี กู้ ทู้ �ำไวค้ ืนให้แกผ่ ูก้ ู้ อย่างไรกต็ ามการคนื หลกั ประกันของสัญญากกู้ รณเี ปน็ โฉนดที่ดิน
ไม่ใชก่ ารเวนคนื หลักฐานแห่งการก้ยู มื
3.2.3 ไดแ้ ทงเพกิ ถอนลงในเอกสารนัน้ แลว้ หมายถึง การบนั ทกึ ขอ้ ความลงในสญั ญากู้ หรอื หลักฐาน
แหง่ การกูย้ มื แสดงวา่ ไดม้ กี ารช�ำระเงนิ ตามสญั ญาหรอื หลักฐานน้แี ล้ว
1) ถ้าเป็นการช�ำระดอกเบี้ยเงินกู้ มิใช่ช�ำระเงินต้นท่ีกู้กัน ลูกหนี้สามารถน�ำพยานบุคคลมาสืบ
ได้ว่ามีการช�ำระดอกเบี้ยกันแล้ว แม้ไม่มีหลักฐานการใช้เงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา
653 วรรค 2 ก็ตาม
2) ถ้าเป็นการช�ำระหน้ีเงินกู้ด้วยสิ่งอ่ืนมิใช่ช�ำระด้วยเงินสด ก็ไม่อยู่ในข้อบังคับตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 653 วรรค 2 เชน่ เดยี วกัน

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 7 149

ตัวอย่าง

สญั ญากู้ยืมเงนิ

ท�ำที่.....................................................................................
.......................................................................................

วันท…ี่ .......….เดือน……………………….....……..…พ.ศ. ................................

สัญญานี้ท�ำขน้ึ ระหวา่ ง……………….................................................…..อายุ……............ปี อยู่บ้านเลขท่ี.................................
ถนน………………..........…แขวง/ต�ำบล……………….....................……........เขต/อ�ำเภอ...............................................................................
จงั หวดั …………….....................................ซึง่ ต่อไปน้ีในสญั ญานี้เรียกว่า “ผขู้ าย” ฝ่ายหน่งึ กับ................................................................
อาย…ุ ……..............…ปี อยู่บา้ นเลขที่................ถนน...................................................แขวง/ต�ำบล........................................................
เขต/อ�ำเภอ…………………....…...........……………………………..จงั หวัด………………………..............................................................................
ซ่ึงตอ่ ไปในสัญญานี้ เรียกว่า “ผซู้ ือ้ ” อีกฝ่ายหน่ึง ท้ังสองฝ่ายตกลงท�ำสัญญาซื้อขายกัน มีรายละเอยี ดดงั ต่อไปนี้
ขอ้ 1 ผ้กู ู้ไดก้ ู้ยืมเงนิ ของท่านผูใ้ หก้ ้ไู ปเปน็ จ�ำนวนเงนิ ………..........................................บาท....................................สตางค์
(.......................................................................................) ซ่ึงผกู้ ้ไู ด้รับเงินจากผใู้ หก้ ู้ถกู ตอ้ งครบถว้ นแล้วในวันท�ำสัญญาน้ี
ข้อ 2 ผูก้ ้ยู อมเสียดอกเบ้ียแก่ผูใ้ หก้ ้ใู นอตั ราร้อยละ.....................................................บาทต่อปี (......................................
.................................................ตอ่ ป)ี ก�ำหนดสง่ เปน็ รายเดอื นทกุ  ๆ เดอื น ภายในวนั ท่ี ................................ของเดอื นในวนั เวลาท�ำงาน
ของผใู้ ห้กู้ แตถ่ า้ วันก�ำหนดสง่ ดอกเบ้ียเชน่ ว่านี้ ตรงกบั วันหยุดงานของผใู้ หก้ ู้ กใ็ หเ้ ลอื่ นไปสง่ ในวันเปดิ งานทถ่ี ดั ไป ทัง้ น้หี ากผกู้ ผู้ ิดนัด
ในการสง่ ช�ำระดอกเบีย้ งวดใดงวดหนึง่ ให้ถือวา่ เปน็ การผิดนัดท้ังหมด และยินยอมใหผ้ ู้ใหก้ ู้ฟ้องรอ้ งคดตี ่อศาลได้ทนั ที
ขอ้ 3 ผู้กู้ตกลงจะช�ำระหน้ีตามสัญญาน้ีภายในวันท่ี...............เดือน......................................พ.ศ. ................... แต่ทั้งน้ี
ไม่เป็นการตัดสิทธิของผู้ให้กู้ท่ีจะเรียกร้องให้ผู้กู้ช�ำระหนี้ตามสัญญาน้ีท้ังหมดหรือแต่บางส่วนก่อนก�ำหนดที่กล่าวมาก็ได้ ตามแต่ผู้ให้
กจู้ ะเหน็ สมควร และโดยมพิ กั ตอ้ งชแี้ จงแสดงเหตุ ผกู้ สู้ ญั ญาวา่ ในกรณที ผ่ี ใู้ หก้ เู้ รยี กรอ้ งดงั กลา่ วมานผี้ กู้ จู้ ะช�ำระหนตี้ ามทเ่ี รยี กรอ้ งทนั ที
ข้อ 4 ผู้กู้สัญญาว่าถ้าผู้กู้ย้ายต�ำบลท่ีอยู่จากภูมิล�ำเนาดังกล่าวข้างต้นตามสัญญาน้ี ผู้กู้มีหน้าท่ีแจ้งให้ผู้ให้กู้ทราบภายใน
7 วัน มฉิ ะน้นั ถือว่าผู้กูผ้ ดิ สญั ญาในขอ้ สาระส�ำคัญ ผู้ให้ก้มู ีสทิ ธิเรียกเงินก้ทู ัง้ หมดคนื โดยทันที
ข้อ 5 ถ้าผู้กู้ผิดนัดข้อตกลงในข้อใดข้อหน่ึงแห่งสัญญาน้ี ผู้กู้ยอมรับผิดใช้ค่าเสียหายท้ังส้ิน บรรดาที่ผู้ให้กู้จะพึงได้รับ
อนั เนอื่ งมาจากความผดิ ขอ้ ตกลงของผกู้ ู้ รวมทงั้ คา่ ใชจ้ า่ ยในการเดอื นเรยี กรอ้ งทวงถามด�ำเนนิ คดแี ละบงั คบั การช�ำระหนจี้ นเตม็ จ�ำนวน
ทกุ อยา่ งทุกประการ
ผ้กู ไู้ ดเ้ ขา้ ใจข้อความในหนังสอื น้โี ดยตลอดแลว้ จึงลงลายมอื ช่อื ไว้ตอ่ หนา้ พยาน ณ วนั , เดอื น, ปี ทีร่ ะบขุ า้ งต้น

ลงชอ่ื ……………..…….......…...……………………ผูก้ ู้ ลงชื่อ……………..…….......…...……………………ผูใ้ ห้กู้
(……………….......……………….........……) (……………….......……………….........……)

ลงชอื่ ……………..…….......…...……………………พยาน ลงช่ือ……………..…….......…...……………………พยาน
(……………….......……………….........……) (……………….......……………….........……)

150 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจท่ี 7.1

ตอนท่ี 1 จงเขียนเครื่องหมาย ✓ หนา้ ขอ้ ความท่ถี ูก และเขียนเครอื่ งหมาย ✗ หนา้ ข้อความทผี่ ิด
................ 1. สญั ญายืมแบ่งออกเปน็ 2 ประเภท คือ สญั ญายืมใช้คงรปู และสัญญายมื ใชส้ น้ิ เปลือง
................ 2. ยมื เงินเปน็ สญั ญายืมใช้คงรูป
................ 3. สญั ญายืมใช้คงรปู นน้ั ถอื ว่ากรรมสทิ ธ์ใิ นทรัพย์สินทยี่ ืมนนั้ ยังเป็นของผ้ใู หย้ มื อยู่
................ 4. สญั ญายืมใช้คงรูป คือ สัญญาซงึ่ บุคคลหนงึ่ เรยี กว่าผูใ้ ห้ยืม
................ 5. สัญญายมื ใชส้ น้ิ เปลอื ง คอื สญั ญาซง่ึ ผ้ใู ห้ยมื โอนกรรมสิทธใ์ิ นทรพั ยค์ นื ชนิดใช้ไปสิ้นเปลอื งหมดไป
................ 6. ยืมเงินต้องมีหลักฐานการกู้ยืมเงินเป็นหนังสือลงลายมือช่ือผู้ยืมเป็นสำ�คัญจึงนำ�คดีฟ้องร้องต่อ

ศาลได้ ดังนั้นถ้ากยู้ ืมเงินกนั ไม่ถึง 2,000 บาท แตไ่ มม่ หี ลกั ฐานการกยู้ ืมเงนิ เป็นหนังสอื จงึ นำ�คดมี า
ฟอ้ งร้องตอ่ ศาลไมไ่ ด้
................ 7. สัญญายืมเงินกำ�หนดดอกเบี้ยในสัญญาร้อยละ 20 ต่อปี สัญญายืมยังคงใช้ได้ แต่จะเป็นโมฆะ
เฉพาะสว่ นดอกเบี้ยเทา่ น้ัน
................ 8. คา่ ตอบแทนในการยมื ใช้ส้ินเปลอื ง ผู้ยืมเสมือนได้เปลา่ ไม่ตอ้ งเสียค่าตอบแทน แต่ยืมใชค้ งรปู อาจมี
คา่ ตอบแทนได้ คอื กรณีกู้ยมื เงนิ ต้องเสียดอกเบีย้ ตามกฎหมาย
................ 9. ยมื ใช้คงรูปไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ ผยู้ ืมคงมแี ตส่ ทิ ธิ์ครอบครวั ทรัพย์สนิ ทยี่ ืมเทา่ นั้น
................ 10. การกยู้ มื กนั จะตอ้ งมหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื ลงลายมอื ชอื่ ผใู้ หย้ มื เปน็ ส�ำ คญั หากไมม่ หี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื
ลงลายมือช่ือฝ่ายผใู้ หย้ ืมย่อมไมส่ ามารถฟอ้ งบงั คบั คดกี นั ได้
ตอนท่ี 2 จงตอบค�ำถามต่อไปนี้
1. จงบอกลักษณะส�ำคญั ของสญั ญายืมใชค้ งรูปแบบยมื ใชส้ ิน้ เปลอื ง
2. จงอธบิ ายการก้ยู มื เงินทมี่ ีผลบังคับใช้ไดต้ ามกฎหมาย

กจิ กรรมตามสมรรถนะวชิ าชพี ที่ 7.1
เรือ่ ง การจัดทำ�เอกสารสญั ญากยู้ ืมเงิน

จุดประสงค์การเรยี นรู้
จดั ท�ำเอกสารสัญญายืมกูย้ มื เงินได้ตามหลักการกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้
กิจกรรม
1. ใหผ้ ู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลมุ่ ละ 4 คน ศึกษาค้นควา้ เกี่ยวกับสัญญาก้ยู ืมเงนิ เพ่มิ เติมจากอินเทอร์เนต็
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนร่างสัญญากู้ยืมเงิน โดยให้ผู้เรียนจ�ำนวน 2 คนเป็นคู่สัญญา และผู้เรียน
อีกจ�ำนวน 2 คนเปน็ พยาน
3. น�ำร่างสัญญาก้ยู มื เงินทดี่ �ำเนนิ การเสร็จแลว้ รว่ มกันอภปิ รายหน้าชนั้ เรยี น กลุ่มละ 3-5 นาที
4. ผู้สอนและผู้เรยี นร่วมกันสรปุ ภาพรวม

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 7 151

4. การคดิ ดอกเบยี้ กู้ยมื

การคิดดอกเบ้ยี กูย้ มื มีดงั น้ี
4.1 การคดิ ดอกเบ้ียตามกฎหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 654 บัญญตั วิ า่ “ทา่ น
ห้ามมิให้คิดดอกเบ้ียเกินร้อยละ 15 ต่อปี ถ้าในสัญญาก�ำหนดดอกเบ้ียเกินกว่านั้น ก็ให้ลดลงมาเป็นร้อยละ 15
ต่อปี”
การยืมเงินกันนั้น อาจจะมีการคิดดอกเบี้ยหรือไม่คิดดอกเบ้ียก็ได้ ถ้ามีการคิดดอกเบ้ียกฎหมายห้ามคิด
ดอกเบี้ยเกินรอ้ ยละ 15 ตอ่ ปี (รอ้ ยละ 1.25 บาทต่อเดอื น) ถ้ามกี ารคิดดอกเบี้ยเกนิ กว่านี้ ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา 654 บญั ญัตใิ หล้ ดลงมาเป็นร้อยละ 15 ตอ่ ปี
อย่างไรก็ตามกรณีที่มีการคิดดอกเบ้ียเกินร้อยละ 15 ต่อปีน้ี ข้อตกลงเร่ืองดอกเบี้ยที่คิดเกินร้อยละ
15 ต่อปี ตกเป็นโมฆะทั้งส้ิน ซ่ึงเป็นไปตามพระราชบัญญัติห้ามเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา พ.ศ. 2475 มาตรา 3
บญั ญตั เิ ปน็ ความผดิ อาญาถา้ มกี ารเรยี กดอกเบยี้ เกนิ อตั ราทก่ี ฎหมายก�ำหนด แตท่ ง้ั นเ้ี งนิ ตน้ ทก่ี ยู้ มื กนั ยงั คงสมบรู ณ์
ลูกหนี้มีหน้าท่ีต้องช�ำระเงินต้นคืนให้แก่เจ้าหนี้ตามปกติ เพียงแต่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ยในส่วนที่เกินกว่ากฎหมาย
ก�ำหนดเทา่ น้นั
ตัวอย่าง นายมีกู้เงินจากนายมา 50,000 บาท นายมาให้กู้พร้อมคิดดอกเบ้ียร้อยละ 15 ต่อเดือน
ดังนส้ี ่วนดอกเบ้ยี ตกเปน็ โมฆะ สว่ นเงินต้นหาเป็นโมฆะไม่ นายมตี ้องช�ำระเงนิ ต้น 50,000 บาทใหก้ ับนายมาผใู้ หก้ ู้
(เทยี บเคียงค�ำพพิ ากษาฎกี าท่ี 1565/2524)
อย่างไรก็ตามในกรณีที่ผู้กู้กับผู้ให้กู้ตกลงกันว่าให้คิดดอกเบี้ย แต่ไม่ได้ตกลงกันในเรื่องอัตราดอกเบี้ยว่า
ให้คิดร้อยละเท่าใดต่อปี ให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 7.5 ต่อปี ซ่ึงเป็นไปตามบทบัญญัติแห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดงั นี้
มาตรา 7 บัญญัติว่า “ถ้าจะต้องเสียดอกเบี้ยแก่กันและมิได้ก�ำหนดอัตราดอกเบี้ยไว้โดยนิติกรรม หรือ
โดยบทกฎหมายอนั ชัดแจง้ ให้ใชอ้ ตั ราร้อยละ 7.5 ต่อปี”
มาตรา 11 บญั ญตั วิ า่ “ในกรณที มี่ ขี อ้ สงสยั ใหต้ คี วามไปในทางทเี่ ปน็ คณุ แกค่ กู่ รณี ฝา่ ยซง่ึ จะเปน็ ผตู้ อ้ งเสยี
ในมูลหน้ีนัน้ ”
ตัวอย่าง นางโก้กู้เงินจากนางเก๋ระบุไว้ในสัญญาเงินกู้เร่ืองดอกเบ้ียว่า “ยอมให้ดอกเบ้ียตามกฎหมาย
อย่างสูง” ดังน้ีก�ำหนดอัตราดอกเบี้ยโดยชัดแจ้งแนน่ อนวา่ เป็นอตั ราอย่างสงู เท่าไร ตอ้ งตคี วามไปในทางท่ีเปน็ คุณ
แก่นางโก้ผู้กู้ตามมาตรา 11 นางเก๋ผู้ให้กู้จึงมีสิทธิเรียกดอกเบ้ียได้ร้อยละ 7.5 ต่อปี ตามมาตรา 7 (เทียบเคียง
พิพากษาฎกี าที่ 3708/2528)
4.2 ข้อยกเว้นให้คิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปีได้ ในปัจจุบันน้ีประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หา้ มคิดดอกเบี้ยเกินร้อยละ 15 ต่อปี ใชบ้ ังคบั เฉพาะกรณีประชาชนหรือบคุ คลธรรมดาทวั่ ไปเปน็ ผใู้ หก้ ู้ยืม แต่ถา้
เป็นสถาบันการเงินต่าง ๆ เป็นผู้ให้กู้ยืม ได้มีพระราชบัญญัติดอกเบ้ียเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน พ.ศ. 2523
มาตรา 4 ให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดยค�ำแนะน�ำของธนาคารแห่งประเทศไทย มีอ�ำนาจประกาศ
ก�ำหนดอตั ราสงู สุดของดอกเบย้ี ทส่ี ถาบันการเงนิ เหลา่ นี้ คิดจากผกู้ ยู้ มื สงู กวา่ รอ้ ยละ 15 ตอ่ ปีได้ ถอื เป็นกฎหมาย
พเิ ศษมายกเว้นกฎหมายท่ัวไป สถาบนั การเงนิ ดังกล่าวนี้ ไดแ้ ก่

152 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

1) ธนาคารแห่งประเทศไทย
2) ธนาคารพาณชิ ย์ตามกฎหมายวา่ ดว้ ยการธนาคารพาณชิ ย์
3) บรษิ ทั เงินทนุ บริษทั หลักทรัพย์ และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าดว้ ยการประกอบ
ธุรกจิ เงินทนุ ธรุ กจิ หลกั ทรัพย์ และธุรกิจเครดติ ฟองซเิ อร์
4) สถาบันการเงินอื่นที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังก�ำหนด โดยค�ำแนะน�ำของธนาคารแห่ง
ประเทศไทยซ่ึงประกาศในราชกิจจานุเบกษา
4.3 การคดิ ดอกเบยี้ ทบต้น ดอกเบ้ยี ทบตน้ หมายถึง ดอกเบี้ยทค่ี ิดจากเงินต้นเร่ิมแรกบวกกับดอกเบี้ย
ท่ีได้รับในแต่ละงวดที่ผ่านมา โดยมีการน�ำจ�ำนวนดอกเบ้ียที่ได้รับในงวดก่อน ๆ อันจะมีผลให้ดอกเบี้ยท่ีค�ำนวณ
ได้เพิ่มขึ้นทุกปีตามเงินต้นที่เพิ่มขึ้นนั้น การคิดดอกเบ้ียทบต้นประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ได้บัญญัติไว้
ดงั ต่อไปน้ี
มาตรา 655 บญั ญัตวิ ่า “ท่านหา้ มมิใหค้ ิดดอกเบ้ียในดอกเบย้ี ท่ีค้างช�ำระ แต่ทวา่ เมอื่ ดอกเบย้ี คา้ งช�ำระ
ไม่น้อยกว่าปีหน่ึง คู่สัญญากู้ยืมจะตกลงกันให้เอาดอกเบ้ียน้ันทบเข้ากับเงินต้นแล้ว ให้คิดดอกเบ้ียในจ�ำนวนเงิน
ที่ทบเข้ากนั นัน้ กไ็ ด้ แตก่ ารตกลงเช่นน้นั ต้องท�ำเปน็ หนังสอื
ส่วนประเพณีการค้าขายที่ค�ำนวณดอกเบ้ียทบต้นในบัญชีเดินสะพัดก็ดี ในการค้าขายอย่างอ่ืนท�ำนอง
เชน่ วา่ น้กี ด็ ี หาอยูใ่ นบังคบั แหง่ บทบัญญัติซึง่ กล่าวมาในวรรคก่อนนัน้ ไม่”
โดยปกติแล้วกฎหมายห้ามคิดดอกเบ้ียในดอกเบ้ียท่ีค้างช�ำระ (คือห้ามคิดดอกเบี้ยทบต้น) แต่ถ้าจะคิด
เช่นนไี้ ดก้ ็ต่อเม่ือเข้าเกณฑ์ครบท้งั 2 ข้อตอ่ ไปน้ี
1) ดอกเบยี้ น้ันค้างช�ำระไมน่ อ้ ยกว่า 1 ปี (คือคา้ งช�ำระดอกเบี้ยตง้ั แต่ 1 ปขี ึน้ ไป) และ
2) มีขอ้ ตกลงเปน็ หนงั สอื ยอมใหม้ กี ารคดิ ดอกเบย้ี ทบต้นได้
ส่วนประเพณีการค้าขายท่ีค�ำนวณดอกเบ้ียทบต้นในบัญชีเดินสะพัด หรือในการค้าขายอย่างอื่นท�ำนอง
เดียวกนั น้ี กฎหมายอนญุ าตใหม้ กี ารคดิ ดอกเบีย้ ทบตน้ ได้ ตวั อยา่ งของบัญชีเดนิ สะพัดทเ่ี หน็ ได้ชัดคือ สัญญากูเ้ บิก
เงินเกินบัญชี ธนาคารตกลงให้ลูกค้ากู้ยืมโดยใช้บัญชีกระแสรายวันของลูกค้าเป็นบัญชีลงรายการเบิกเงินหักทอน
และคดิ ดอกเบี้ยทบต้น อนั เป็นประเพณที างการค้าของธนาคารย่อมท�ำได้

5. อายคุ วามในการฟอ้ งคดี

อายุความในการฟอ้ งคดี มีดังนี้
5.1 อายุความในการฟ้องคดียืมใช้คงรูป ความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนเกี่ยวกับยืมใช้คงรูป ห้ามมิให้
ฟ้องเม่อื พ้นเวลา 6 เดอื น นบั แตว่ นั สน้ิ สญั ญา (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 649) แตถ่ ้าเป็นการ
ฟ้องผู้ยืมให้คืนทรัพย์สินท่ียืม หรือถ้าฟ้องผู้ยืมให้ใช้ราคาทรัพย์สินท่ียืมในกรณีที่ผู้ยืมน�ำทรัพย์สินที่ยืมไปสูญหาย
หรือเสียหายจนใช้การไม่ได้ อายุความดังกล่าวมีก�ำหนด 10 ปี นับแต่วันท่ีผู้ให้ยืมใช้สิทธิเรียกร้องเป็นต้นไป
(ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 193/30 และ มาตรา 193/12)

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 7 153

5.2 อายคุ วามในการฟอ้ งคดยี มื ใชส้ น้ิ เปลอื ง กฎหมายมไิ ดก้ �ำหนดอายคุ วามไวโ้ ดยเฉพาะจงึ ตอ้ งใชอ้ ายุ
ความทว่ั ไป 10 ปี นบั แตว่ นั ทผี่ ใู้ หย้ มื มสี ทิ ธเิ รยี กรอ้ งเปน็ ตน้ ไป (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย ์ มาตรา 193/30
และมาตรา 193/12)

กิจกรรมตรวจสอบความเขา้ ใจท่ี 7.2

ตอนที่ 1 จงเขียนเครือ่ งหมาย ✓ หนา้ ขอ้ ความที่ถูก และเขียนเครือ่ งหมาย ✗ หนา้ ขอ้ ความที่ผดิ
............... 1. ธนาคารต่าง ๆ สามารถคิดดอกเบีย้ เงนิ กู้ได้เกินกวา่ อัตราร้อยละ 12 ตอ่ ปี
............... 2. การกูย้ มื เงนิ จะคิดดอกเบย้ี ทบตน้ ได้ เมือ่ ดอกเบ้ยี นน้ั คา้ งชำ�ระไม่นอ้ ยกว่าระยะเวลา 1 ปี
............... 3. ผู้กู้กับผู้ให้กู้ตกลงกันว่าให้คิดดอกเบี้ย แต่ไม่ได้ตกลงกันในเร่ืองอัตราดอกเบี้ย ให้คิดดอกเบ้ีย

ได้ไมเ่ กินรอ้ ยละ 7.5 ต่อปี
............... 4. สถาบนั การเงิน ไดแ้ ก่ ธนาคารแห่งประเทศไทยและบริษทั หลกั ทรพั ย์
............... 5. ดอกเบ้ียทบต้น หมายถึง ดอกเบี้ยท่ีคิดจากเงินต้นเร่ิมแรกบวกกับดอกเบี้ยท่ีได้รับในแต่ละงวด

ทผ่ี ่านมา
............... 6. มาตรา 655 บัญญัติว่า ห้ามมิให้คิดดอกเบ้ียในดอกเบ้ียที่ต้องชำ�ระ แต่ทว่าเมื่อดอกเบ้ียค้างชำ�ระ

ไมน่ ้อยกวา่ 2 ปี
............... 7. ตวั อยา่ งของบัญชีเดินสะพัดคือสัญญากู้เบกิ เงนิ เกินบญั ชี
............... 8. ความรับผิดเพื่อเสียค่าทดแทนเก่ียวกับยืมใช้รูป ห้ามมิให้ฟ้องเม่ือพ้นเวลา 5 เดือน นับแต่วัน

สน้ิ สญั ญา
............... 9. การฟ้องผู้ยืมให้ใช้ราคาทรัพย์สินท่ียืมในกรณีที่ผู้ยืมนำ�ทรัพย์สินท่ียืมไปสูญหายหรือเสียหายจนใช้

การไมไ่ ด้ อายุความดงั กล่าวมีก�ำ หนด 11 ปี
............... 10. อายคุ วามในการฟอ้ งคดยี มื ใชส้ น้ิ เปลอื งจะใชอ้ ายคุ วามทวั่ ไป 10 ปี นบั แตว่ นั ทผ่ี ใู้ หย้ มื มสี ทิ ธเิ รยี กรอ้ ง

เปน็ ตน้ ไป
ตอนท่ี 2 จงตอบคำ� ถามตอ่ ไปนี้
นายมกี ้เู งนิ นายมั่ง 20,000 บาท ท�ำเป็นหนงั สอื สัญญามีลายมือชือ่ นายมผี กู้ ู้ แต่มิไดร้ ะบอุ ตั ราดอกเบยี้ ไว้
เมอื่ ครบก�ำหนดนายมไี มม่ เี งนิ ช�ำระ นายมง่ั จงึ น�ำคดมี าฟอ้ งรอ้ งพรอ้ มเรยี กดอกเบย้ี ดงั นนี้ ายมงั่ มสี ทิ ธเิ รยี กดอกเบยี้
ไดห้ รือไม่ หากเรียกไมไ่ ด้เพราะเหตุใด หรอื หากเรียกได้ จะเรยี กได้ร้อยละเทา่ ใด ตั้งแต่เม่ือใด

154 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

กิจกรรมตามสมรรถนะวชิ าชพี ท่ี 7.2
เรอื่ ง การคิดดอกเบีย้ กยู้ ืม

จุดประสงค์การเรยี นรู้
1. บอกการคิดดอกเบย้ี กู้ยืมได้
2. บอกอายคุ วามในการฟอ้ งคดไี ด้
กิจกรรม
1. ให้ผเู้ รยี นแบ่งกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม ศกึ ษาคน้ ควา้ ข้อมลู ตามหัวข้อต่อไปนี้
1.1 การคิดดอกเบ้ียกยู้ ืม กลุม่ ท่ี 1
1.2 อายุความในการฟ้องคดี กลุ่มที่ 2
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มท่ีได้รับมอบหมายตามหัวข้อ 1.1-1.2 ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับเร่ือง
กฎหมายลักษณะการคิดดอกเบ้ียกู้ยืมและค�ำพิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ โดยค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้
ต่าง ๆ เช่น อินเทอร์เน็ต หนังสือจากห้องสมุด เป็นต้น
3. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ ระดมความคดิ สรปุ หลกั กฎหมายลกั ษณะการคดิ ดอกเบยี้ กยู้ มื ทเี่ ปน็ ประเดน็ ส�ำคญั
ในรูปของผงั มโนทศั น์ (Mind Mapping) หรอื สรุปประเด็นส�ำคญั ในรูปแบบของการแสดงบทบาทสมมุติ
4. จากขอ้ 3 ให้ผเู้ รยี นเลอื กและน�ำเสนอภาระงานหน้าชั้นเรยี น กล่มุ ละ 3-5 นาที
5. ผสู้ อนและผูเ้ รยี นร่วมกนั สรปุ ภาพรวม

สรุป

สัญญายืมแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ยืมใช้คงรูปและยืมใช้ส้ินเปลือง ยืมใช้คงรูปเป็นสัญญา
ทย่ี มื ทรพั ยส์ นิ ใดมา เวลาสง่ คนื กต็ อ้ งคนื ทรพั ยส์ นิ นน้ั ใหแ้ กผ่ ใู้ หย้ มื สว่ นยมื ใชส้ นิ้ เปลอื ง คอื การยมื ทรพั ยส์ นิ
ประเภทใชแ้ ลว้ สนิ้ ไป เวลาสง่ คนื จงึ ตอ้ งคนื ทรพั ยส์ นิ ทเ่ี ปน็ ประเภท ชนดิ และปรมิ าณเชน่ เดยี วกบั ทไ่ี ดย้ มื มา
โดยปกตแิ ลว้ สญั ญายืมเป็นสัญญาไม่ตา่ งตอบแทน แตก่ ารกยู้ ืมเงินทถ่ี อื ว่าเปน็ การยืมใชส้ ้ินเปลืองประเภท
หนงึ่ ซึ่งอาจมคี ่าตอบแทนกนั ท่ีเรยี กว่า “ดอกเบ้ีย” หรือไมก่ ไ็ ด้ การคิดดอกเบ้ยี กฎหมายก�ำ หนดไว้รอ้ ยละ
15 บาทต่อปี ถา้ เปน็ การกู้ยืมเงินกนั เกินกว่า 2,000 บาทข้นึ ไป จะต้องมหี ลกั ฐานเป็นหนังสอื ลงลายมอื ช่ือ
ผู้ยืม มิเช่นน้ันจะฟ้องร้องให้บังคับคดีกันไม่ได้ซึ่งต่างกับสัญญายืมโดยท่ัวไปท่ีสัญญายืมสมบูรณ์ด้วยการ
สง่ มอบทรัพย์สนิ ท่ียมื

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 7 155

แบบประเมินสมรรถนะรายวิชาหนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 7
เร่อื ง ยืม

ค�ำชี้แจง จงเขียนเครื่องหมาย ✓ ลงในชอ่ งวา่ งทีต่ รงกบั ความคดิ เห็นของผเู้ รยี นตามความเปน็ จรงิ มากทส่ี ุด
เกณฑก์ ารประเมิน 5 = ดีมาก 4 = ด ี 3 = ปานกลาง 2 = นอ้ ย 1 = น้อยที่สุด

หวั ขอ้ ระดบั ความคิดเห็น
54321
1. ดา้ นความรู้
1.1 อธิบายความหมายและลกั ษณะของสญั ญายืมโดยทัว่ ไปได้
1.2 อธิบายความหมายยืมใช้คงรปู และยืมใชส้ ้นิ เปลืองได้
1.3 อธิบายการก้ยู มื เงินตามกฎหมายได้
1.4 บอกการคดิ ดอกเบี้ยกยู้ มื ได้
1.5 บอกอายคุ วามในการฟ้องคดไี ด้
2. ดา้ นทกั ษะ
2.1 ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามท่ไี ด้รับมอบหมายเสร็จตามกำ�หนดเวลา
2.2 เกดิ สมรรถนะในการปฏบิ ัตกิ จิ กรรม
2.3 จัดท�ำ เอกสารทเี่ กย่ี วขอ้ งกับลกั ษณะสัญญากยู้ ืมเงินได้ตามหลกั การ

กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ได้
3. ดา้ นเจตคติ

3.1 มคี วามซ่ือสัตย์สจุ รติ
3.2 มีวนิ ัย ตรงต่อเวลา และมคี วามรบั ผดิ ชอบ
3.3 มีมนุษยสมั พันธ์ในการปฏิบตั กิ จิ กรรม และท�ำ งานร่วมกับผู้อน่ื ได้
3.4 มีเจตคติทีด่ ีในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม

156 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

แบบทดสอบเพอื่ ประเมินผลหลังการเรยี นรู้

จงเลือกคำ� ตอบทถ่ี ูกต้องเพียงข้อเดียว

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่ 1 อธบิ ายความหมายและลกั ษณะ 2. สญั ญายมื ใชค้ งรปู นน้ั ผยู้ มื ตอ้ งเสยี คา่ ตอบแทน
ของสัญญายมื โดยทัว่ ไปได้ สัญญายืมใช้ส้ินเปลืองน้ันผู้ยืมไม่ต้องเสีย
1. ข้อใดคือลกั ษณะของสัญญายมื โดยทัว่ ไป ค่าตอบแทนใด ๆ ทั้งสน้ิ
1. เปน็ สญั ญาเก่ยี วกบั ทรพั ยส์ นิ 3. สัญญายืมใช้คงรูปผู้ยืมต้องส่งคืนทรัพย์สิน
2. เปน็ สญั ญายนิ ยอมใหใ้ ชท้ รพั ย์สิน อันใหม่หลังใช้สอยเสร็จแล้ว สัญญายืมใช้
3. เป็นสญั ญาไม่ตา่ งตอบแทน สิ้นเปลืองผู้ยืมต้องส่งคืนทรัพย์สินอันเดิมท่ียืม
4. เป็นสญั ญาทีต่ ้องมีการสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ไปเมื่อใชส้ อยเสร็จแล้ว
5. ถูกตอ้ งทุกข้อ 4. สัญญายืมใช้คงรูปถ้าผู้ยืมตายสัญญาไม่ระงับ
จุดประสงค์การเรียนรู้ท่ี 2 อธิบายความหมายยืมใช้คงรูป เปน็ หนา้ ทขี่ องทายาทตอ้ งปฏบิ ตั ติ ามสญั ญายมื
และยืมใชส้ นิ้ เปลอื งได้ แต่สัญญายืมใช้ส้ินเปลืองถ้าผู้ยืมตายสัญญา
2. สญั ญายมื ขอ้ ใดทก่ี รรมสทิ ธิ์ไมโ่ อน และเปน็ สญั ญา ยอ่ มระงับ ทายาทผ้ยู ืมตอ้ งน�ำส่งคืนทนั ที
ทไี่ มม่ คี า่ ตอบแทน 5. ถกู ต้องทุกข้อ
1. สญั ญากู้ยืมเงนิ จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ 3 อธิบายการกู้ยืมเงินตาม
2. สัญญายืมแล้วคนื กฎหมายได้
3. สัญญายมื ใช้คงรูป 5. การกู้เงินเกินกว่า 2,000 บาทข้ึนไป จะต้องท�ำ
4. สญั ญายืมใชส้ นิ้ เปลือง อยา่ งไรจงึ จะฟ้องร้องให้บงั คับคดีกันได้
5. ถูกต้องทุกขอ้ 1. ท�ำเปน็ หนังสอื
3. ขอ้ ใดเปน็ สัญญายมื ใช้ส้นิ เปลือง 2. ตกลงกันด้วยวาจา
1. มกี ารส่งมอบทรัพย์สินทยี่ ืม 3. มหี ลกั ฐานเปน็ หนังสอื
2. มกี ารโอนกรรมสทิ ธใิ์ นทรัพยส์ นิ ที่ยืม 4. ท�ำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน
3. เป็นสัญญาไม่ต่างตอบแทน แต่อาจมีค่า เจา้ หน้าที่
ตอบแทนได้ 5. ถกู ตอ้ งทุกข้อ
4. วัตถุแหง่ สัญญายืมเปน็ ประเภทสังหาริมทรัพย์ 6. นายเฮงกยู้ มื เงนิ จากนายรวยจ�ำนวนเงนิ 1,000 บาท
และโภคยทรัพย์ โดยตกลงกันด้วยวาจา และส่งมอบเงินจ�ำนวน
5. ถูกต้องทุกขอ้ ดงั กลา่ วโดยไมไ่ ดท้ �ำสญั ญากยู้ มื เงนิ กนั แตม่ ลี กู จา้ ง
4. ข้อใดเป็นข้อแตกต่างระหว่างสัญญายืมใช้คงรูป ในร้านของนายรวยเห็นว่าการส่งมอบเงินจ�ำนวน
และสัญญายมื ใชส้ ิ้นเปลือง ดงั กลา่ วใหแ้ กน่ ายเฮงแลว้ กรณดี งั กลา่ วสญั ญายมื
1. สัญญายืมใช้คงรูปไม่มีการโอนกรรมสิทธิ์ มีผลตามกฎหมายอยา่ งไร
สญั ญายมื ใช้ส้นิ เปลอื งกรรมสทิ ธโ์ิ อน

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 7 157

1. โมฆะ 9. การให้กู้ยืมกันโดยไม่ได้ก�ำหนดอัตราดอกเบี้ย
2. โมฆยี ะ โดยชัดแจ้งแน่นอนว่าเป็นอัตราร้อยละเท่าใด
3. สมบูรณ์ กรณีน้ีผู้ให้กู้มีสิทธิได้รับดอกเบ้ียร้อยละเท่าใด
4. สมบรู ณฟ์ ้องรอ้ งคดกี ันได้ ต่อปี
5. สมบรู ณฟ์ ้องรอ้ งคดกี ันไมไ่ ด้ 1. 5 บาท 2. 7.5 บาท
7. กฎหมายก�ำหนดการกยู้ มื เงินกนั ไวใ้ นข้อใด 3. 10 บาท 4. 15 บาท
1. ห้ามมใิ หค้ ดิ ดอกเบยี้ เกนิ กว่าร้อยละ 15 ตอ่ ปี 5. ถกู ต้องทุกขอ้
2. กู้ยืมเงินจะสมบูรณ์ต่อเมื่อมีการส่งมอบเงิน
ใหแ้ กผ่ ้ยู ืม จุดประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ่ี 5 บอกอายคุ วามในการฟ้องคดไี ด้
3. สัญญากู้ยืมลงลายมือผู้กู้ยืมแต่ไม่ได้ลงลายมือ 10. ข้อใดเปน็ อายุความในการฟ้องคดียมื ใช้สนิ้ เปลอื ง
ช่ือผใู้ ห้กู้ยมื กใ็ ช้ฟอ้ งร้องได้ 1. 1 ปี นับแตว่ ันทผ่ี ู้ใหย้ มื มสี ิทธิเรียกรอ้ ง
4. ธนาคารเปน็ สถาบนั การเงนิ จงึ สามารถท�ำสญั ญา 2. 5 ปี นบั แตว่ ันที่ผยู้ ืมมสี ิทธิเรียกร้อง
กู้ยืมเงินโดยคิดดอกเบี้ยเกินกว่าร้อยละ 15 3. 5 ปี นบั แต่วันทผ่ี ูใ้ ห้ยืมมีสทิ ธเิ รยี กรอ้ ง
ตอ่ ปไี ด้ 4. 10 ปี นบั แตว่ ันท่ีผ้ยู ืมมีสิทธเิ รยี กร้อง
5. ถกู ต้องทกุ ขอ้ 5. 10 ปี นบั แตว่ ันท่ีผู้ใหย้ มื มสี ิทธเิ รียกร้อง

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้ท่ี 4 บอกการคดิ ดอกเบ้ยี กยู้ ืมได้
8. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ห้ามมิให้
คดิ ดอกเบย้ี เงินกู้ยมื เกินร้อยละเทา่ ใดตอ่ ปี
1. 5 บาท 2. 7.5 บาท
3. 10 บาท 4. 15 บาท
5. ถูกต้องทุกขอ้

8หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี

คำ้� ประกนั

สาระการเรียนรู้ จุดประสงคก์ ารเรียนรู้

1. ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาคำ�้ ประกนั 1. อธิบายความหมายและลักษณะของ
2. แบบของสญั ญาคำ�้ ประกนั สัญญาคำ้� ประกันได้
3. ผรู้ บั เรือนและผูค้ ้�ำประกนั หลายคน 2. อธิบายแบบของสัญญาค้ำ� ประกนั ได้
4. ความรับผดิ ของผ้คู ำ�้ ประกนั 3. อธิบายความหมายของผู้รับเรือนและ
5. สิทธขิ องผคู้ ำ้� ประกัน ผ้คู ำ�้ ประกนั หลายคนได้
6. ความระงบั แหง่ สญั ญาค้ำ� ประกนั 4. บอกความรบั ผดิ ของผูค้ ้ำ� ประกันได้
5. บอกสทิ ธิของผู้คำ้� ประกันได้
ค้ำ� ประกนั 6. บอกความระงับแหง่ สญั ญาคำ�้ ประกนั ได้

สมรรถนะประจ�ำหน่วย

1. แสดงความรู้เก่ียวกับหลักการของกฎหมาย
ลักษณะคำ้� ประกนั
2. จดั ทำ� เอกสารสญั ญาคำ้� ประกนั ไดต้ ามหลกั การ
ของประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 8 159

ค้�ำประกนั

คำ้� ประกนั (Suretyship) เปน็ การประกนั หนดี้ ว้ ยบคุ คล ซง่ึ ผคู้ ำ้� ประกนั เปน็ บคุ คลภายนอกเขา้ มาผกู พนั
ตนต่อเจ้าหนี้ด้วยการท�ำสัญญาค�้ำประกันกับเจ้าหน้ีว่า ถ้าลูกหนี้ไม่ช�ำระหน้ีแล้ว ผู้ค�้ำประกันจะช�ำระหน้ีแทน
ปัจจุบันได้มีกฎหมายค้�ำประกันฉบับใหม่ คือ พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
(ฉบับท่ี 20) พ.ศ. 2557 มีผลบังคับใช้ในวันท่ี 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558 ซ่ึงมีวัตถุประสงค์เพ่ือสร้างความ
เปน็ ธรรมใหแ้ กผ่ ู้ค้�ำประกนั โดยเปลี่ยนแปลงในสทิ ธิของผู้คำ�้ ประกนั มติ ้องรบั ผิดเสมอื นลูกหนี้รว่ มกบั ลกู หน้ชี ัน้ ต้น

1. ความหมายและลักษณะของสัญญาค้�ำประกนั

1.1 ความหมายของสัญญาค้ำ� ประกัน

สัญญาค�ำ้ ประกนั เปน็ การประกนั การชำ� ระหนีด้ ว้ ยบุคคล (ประกันด้วยบุคคล) มผี ลให้เจา้ หน้มี ีบุคคลสิทธิ
ทจ่ี ะเรยี กใหผ้ คู้ ำ�้ ประกนั ชำ� ระหนไ้ี ด้ โดยบงั คบั เอาจากทรพั ยส์ นิ ทวั่  ๆ ไปของผคู้ ำ้� ประกนั ตา่ งจากสญั ญาจำ� นองและ
สญั ญาจ�ำนำ� ซ่ึงเป็นการประกนั ดว้ ยทรพั ย์ เจา้ หน้ีมที รัพยสทิ ธิเหนือทรัพยท์ ีจ่ �ำนองหรือจ�ำนำ� เทา่ นัน้ ถ้าไมไ่ ดต้ กลง
กนั ไว้เปน็ พเิ ศษ จะบังคับชำ� ระหนี้จากทรพั ยส์ ินอน่ื ของผู้จำ� นองและจำ� นำ� ไมไ่ ด้ ดงั นั้นสญั ญาค�ำ้ ประกนั จงึ เป็นการ
ประกนั หนดี้ ว้ ยบคุ คล สว่ นสญั ญาจำ� นองและจำ� นำ� เปน็ การประกนั หนดี้ ว้ ยทรพั ย์ สญั ญาคำ�้ ประกนั เปน็ ลกั ษณะหนง่ึ
ของเอกเทศสัญญา ซ่งึ บัญญตั ไิ ว้ในบรรพ 3 ลกั ษณะ 11 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนี้
มาตรา 680 “อนั ว่าค�ำ้ ประกันน้ัน คือ สญั ญาซงึ่ บคุ คลภายนอกคนหนง่ึ เรยี กว่า ผคู้ ำ้� ประกัน ผกู พนั ตน
ต่อเจา้ หนคี้ นหนึ่งเพอ่ื ชำ� ระหน้ใี นเม่อื ลกู หน้ไี มช่ �ำระหนีน้ นั้ ”

1.2 ลักษณะของสญั ญาค้ำ� ประกัน

จากบทบญั ญตั ติ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 680 ดงั กลา่ ว สญั ญาคำ�้ ประกนั มีลักษณะ
ที่ส�ำคญั ดงั น้ี
1.2.1 ผูค้ �้ำประกนั ตอ้ งเปน็ บคุ คลภายนอกหรือบุคคลทีส่ าม ดงั นัน้ ในสัญญามีบุคคลสามฝ่ายเสมอ คือ
เจ้าหนี้ ลูกหน้ี และผู้คำ้� ประกนั โดยจะขาดฝา่ ยใดฝ่ายหนง่ึ ไม่ได้ ผู้ค้ำ� ประกันเปน็ บุคคลภายนอกซึ่งไมใ่ ช่ทงั้ เจ้าหน้ี
และลูกหนี้แห่งสัญญาประธาน และผู้ค้�ำประกันที่จะเข้าค้�ำประกันหน้ีประธานหนี้ใดหนี้หนึ่งน้ัน อาจเป็นบุคคล
ธรรมดาหรอื นติ ิบคุ คลก็ได้
ตัวอย่าง นายบีกู้ยืมเงินนายเอ ซ่ึงนายบีได้ตกลงกับนายเอว่า ถ้านายบีไม่ใช้หน้ี นายบีจะใช้หนี้แทน
จะเหน็ วา่ นายบเี ปน็ ทงั้ ลกู หนแ้ี ละผคู้ ำ้� ประกนั เปน็ ไปไมไ่ ด้ หรอื นายเอเจา้ หนจี้ ะเปน็ ทงั้ เจา้ หนแี้ ละผคู้ ำ�้ ประกนั ไมไ่ ด้
เชน่ กัน สญั ญาคำ้� ประกันมบี คุ คล 3 ฝ่าย ไดแ้ ก่ นายเอ (เจา้ หน้)ี นายบี (ลูกหนี้) และนายซี (ผูค้ ้�ำประกนั ) ภายใต้
บคุ คล 3 ฝา่ ยน้ี มสี ัญญา 2 สัญญาเกดิ ข้ึนเรยี กว่า หนปี้ ระธานและหนอี้ ุปกรณ์ สญั ญาทหี่ น่ึง ได้แก่ หนีป้ ระธาน

160 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

ระหว่างนายเอและนายบีซึ่งกู้ยืมเงินกัน 5,000,000 บาท ซึ่งต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 563 ว่าด้วยการกู้ยืมเงิน ส่วนสัญญาที่สอง ได้แก่ หน้ีอุปกรณ์ระหว่างนายซีกับนายเอ ซ่ึงเป็นสัญญา
ค�้ำประกนั ตอ้ งปฏิบัตติ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 680 วรรค 2 ซึง่ จะไดก้ ลา่ วต่อไป ดังรูป

1. เจา้ หนี้ กยู้ ืม (หนปี้ ระธาน) 2. ลูกหน้ี
นายเอ 5,000,000 บาท นายบี

ค้ำ� ประกัน (หน้อี ปุ กรณ์) 3. ผคู้ �ำ้ ประกนั

นายซี (บคุ คลภายนอกหรือบคุ คลทสี่ าม)

1.2.2 มีข้อผูกพันระหว่างคสู่ ญั ญา ถ้าลูกหนไี้ มช่ �ำระหนผี้ คู้ ำ�้ ประกนั จะช�ำระหน้ีแทน ลักษณะท่ีสำ� คญั
ของสัญญาคำ้� ประกัน คือ มีข้อผูกพนั ระหว่างผคู้ ำ�้ ประกันกับเจา้ หน้ี ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ท่ีวา่
“ถ้าลูกหน้ีไม่ช�ำระหนี้ ผู้ค�้ำประกันจะช�ำระหน้ีแทนให้แก่เจ้าหนี้” สัญญาค้�ำประกันเป็นความผูกพันระหว่าง
ผู้ค้�ำประกันกับเจา้ หนี้ แมล้ ูกหนี้ไมร่ ้เู ห็นหรือยนิ ยอมให้ทำ� สญั ญาค�้ำประกัน สญั ญาคำ�้ ประกันกถ็ อื วา่ มีผลสมบรู ณ์
ตามกฎหมายแล้ว
สญั ญาคำ�้ ประกนั มผี รู้ บั ผดิ เพยี งฝา่ ยเดยี ว กลา่ วคอื สญั ญาคำ�้ ประกนั เปน็ สญั ญาทผี่ คู้ ำ้� ประกนั ผกู พนั ตนเอง
ต่อเจ้าหน้ีเพ่ือช�ำระหน้ี ในเมื่อลูกหนี้ไม่ช�ำระหนี้นั้น ผู้ค�้ำประกันตกเป็นลูกหนี้ฝ่ายเดียว คือ ผู้ค้�ำประกันมี
ความรับผิดแต่ฝา่ ยเดยี ว สว่ นเจ้าหนไ้ี มม่ หี นี้ทจ่ี ะตอ้ งปฏบิ ัตติ อ่ ผู้ค้ำ� ประกนั
1.2.3 เปน็ สัญญาอุปกรณ์ สัญญาอปุ กรณ์ หมายถึง สญั ญาประกอบกบั สญั ญาหลักหรอื สญั ญาประธาน
ซงึ่ ก็คือสัญญาก้ยู ืมนน่ั เอง สัญญาคำ�้ ประกนั เปน็ สญั ญาอุปกรณ์ กลา่ วคอื จะตอ้ งมีหนเี้ ดิมระหวา่ งเจา้ หน้กี บั ลกู หน้ี
ซ่ึงเรียกว่าหนี้ประธาน และมีหนี้ระหว่างเจ้าหนี้กับผู้ค้�ำประกันซ่ึงเรียกว่า “หน้ีอุปกรณ์” หนี้อุปกรณ์นั้นจะต้อง
อาศัยหน้ีประธานเป็นหลัก ถ้าไม่มีหนี้ประธานแล้วหน้ีอุปกรณ์จะมีไม่ได้ ส่วนหนี้ท่ีค�้ำประกันได้อาจเป็นหน้ีท่ีเกิด
จากสัญญาหรอื เกดิ จากมลู ละเมิดก็ได้
ตัวอย่าง นายแดงกูเ้ งินจากนายเขยี ว 1,000,000 บาท โดยมนี ายขาวเป็นผ้คู ำ้� ประกนั ดังนห้ี นที้ ี่เกดิ ขน้ึ
ระหวา่ งนายแดงกับนายเขียวเปน็ หนีป้ ระธาน ส่วนหนีท้ ี่เกดิ ขน้ึ ระหวา่ งนายเขยี วกบั นายขาวเป็นหนอี้ ุปกรณ์
ลักษณะส�ำคัญของสัญญาค้�ำประกัน เป็นการประกันการช�ำระหน้ีซ่ึงเป็นสัญญาอุปกรณ์ ถ้าหน้ีประธาน
ไม่เกิดขึ้น สัญญาอุปกรณ์คือสัญญาค้�ำประกันย่อมไม่เกิดขึ้นด้วย ซึ่งการลงลายมือช่ือในสัญญาค�้ำประกัน จะท�ำ
สัญญาแยกต่างหากออกมาอีกฉบับหนึ่งหรือจะลงลายมือชื่อต่อท้ายสัญญาประธานว่าเป็นผู้ค้�ำประกันหนี้รายน้ี
อยู่ในฉบบั เดียวกนั กใ็ ช้บงั คบั กนั ได้

หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 8 161

ตัวอย่าง สัญญากู้ยมื เงินระหว่าง นาย ก ลูกหน้ี กบั ธนาคารทเ่ี ป็นเจ้าหน้ี โดยมี นาย ข บุคคลภายนอก
เขา้ มารว่ มท�ำสัญญาอุปกรณก์ ับธนาคาร คือ นาย ข ทำ� สญั ญาค�้ำประกัน ระบวุ ่าถ้าลกู หน้ีไมช่ ำ� ระเงนิ กูใ้ หธ้ นาคาร
นาย ข ยินดีชดใช้หนี้เงินกู้จ�ำนวนดังกล่าวแทนให้นาย ก พร้อมลงลายมือช่ือว่าเป็นผู้ค�้ำประกัน ก็ใช้บังคับได้
แต่ถ้าหากนาย ข ผู้คำ้� ประกนั จะเซ็นชื่อตอ่ ท้ายสัญญาเงินกแู้ ลว้ ระบวุ ่าเป็นผคู้ ้�ำประกัน ก็ยงั บงั คับไดเ้ ช่นเดียวกนั
1.2.4 ผู้ค้�ำประกันต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้ ในการท�ำสัญญาค้�ำประกันนั้น ผู้ค้�ำประกันไม่จ�ำเป็นต้องได้รับ
ความรู้เห็นหรือยินยอมจากลูกหน้ีด้วยก็ได้ เพราะผู้ค�้ำประกันมีความรับผิดต่อเจ้าหน้ีอันเกิดจากหนี้อุปกรณ์
ซึ่งแยกออกมาจากหนี้ของลูกหน้ีอันเป็นประธานแล้ว อีกท้ังการท�ำสัญญาค้�ำประกันเป็นการตกลงระหว่าง
ผู้ค้�ำประกันกับเจ้าหนี้เท่านั้น ลูกหนี้มิได้เข้ามาเก่ียวข้องในการท�ำสัญญาค�้ำประกันด้วย ดังนั้นผู้ค�้ำประกัน
จึงสามารถท�ำสญั ญาคำ้� ประกันได้โดยตรงกบั เจา้ หนี้
1.2.5 คำ้� ประกนั ต้องมหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สือลงลายมือช่อื ผคู้ �ำ้ ประกัน หากคำ�้ ประกันไม่มีหลักฐานเปน็
หนังสือลงลายมือช่ือของผู้ค้�ำประกันแล้ว จะฟ้องร้องให้ผู้ค�้ำประกันรับผิดชอบการช�ำระหนี้ตามสัญญาค�้ำประกัน
ไมไ่ ด้

2. แบบของสัญญาค้�ำประกัน

2.1 ความหมายของแบบของนิติกรรมและหลกั ฐานเปน็ หนงั สอื
2.1.1 แบบของนติ กิ รรม หมายถงึ วธิ กี ารในการแสดงเจตนาทำ� นติ กิ รรมซง่ึ เปน็ วธิ กี ารตามทกี่ ฎหมาย
ก�ำหนดไว้และบังคับให้ผู้แสดงเจตนาท�ำนิติกรรมต้องปฏิบัติตาม เพื่อให้การแสดงเจตนานั้น ๆ สมบูรณ์ ซึ่งหาก
ผู้แสดงเจตนาไม่ท�ำให้ถูกต้องตามแบบท่ีกฎหมายก�ำหนดไว้ นิติกรรมก็เป็นโมฆะ กล่าวคือ เม่ือกฎหมายก�ำหนด
แบบไวแ้ ต่ไมป่ ฏบิ ตั ติ าม นติ ิกรรมนัน้ จะตกเป็นโมฆะทันที
2.1.2 หลักฐานเป็นหนงั สอื หมายถงึ หลักฐานในลกั ษณะที่เปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษรเพ่ือแสดงว่าได้ทำ�
นิติกรรมนั้น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการลงลายมือช่ือผู้ท่ีต้องรับผิดไว้เป็นส�ำคัญ มิฉะน้ันจะฟ้องร้องบังคับคดี
กันหาได้ไม่ แต่หากไม่ปฏิบัติตามแล้วนิติกรรมไม่ตกเป็นโมฆะ แต่ฟ้องร้องบังคับคดีกันไม่ได้เท่าน้ัน หลักฐาน
เป็นหนังสือนน้ั จะมีอยู่กอ่ นหรอื ภายหลังการทำ� นิตกิ รรมกไ็ ด้ (คำ� พพิ ากษาฎีกาที่ 3464/2528)
2.2 สัญญาค้�ำประกันไม่ต้องท�ำตามแบบ การท�ำสัญญาค�้ำประกันไม่ต้องท�ำตามแบบแต่จะท�ำเป็น
หนงั สือหรือตกลงกันดว้ ยวาจาก็ได้ เนื่องจากกฎหมายไมไ่ ด้บญั ญตั เิ ร่ืองแบบของสญั ญาค�ำ้ ประกันไว้แต่อยา่ งใด
2.3 สัญญาค้�ำประกันต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ การท�ำสัญญาค�้ำประกันน้ันไม่ต้องท�ำตามแบบ
แตอ่ ยา่ งใด เพยี งแต่กฎหมายบงั คบั ให้มีหลกั ฐานเป็นหนังสอื ลงลายมอื ชอ่ื ผู้ค้ำ� ประกนั ตามประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 680 วรรค 2 บญั ญัตไิ ว้วา่
“อน่ึง สัญญาค�้ำประกันนั้น ถ้ามิได้มีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างใดอย่างหนึ่งลงลายมือชื่อผู้ค�้ำประกัน
เปน็ สำ� คญั ทา่ นว่าจะฟอ้ งรอ้ งให้บังคบั คดหี าไดไ้ ม่”
หลักฐานเปน็ หนงั สือนน้ั จะเปน็ อะไรกไ็ ดซ้ ่งึ มขี อ้ ความแสดงว่ามีการค�ำ้ ประกนั จรงิ เชน่ จดหมาย หนงั สอื
สัญญาค�้ำประกัน เป็นต้น ท้ังนี้เพื่อให้มีหลักฐานใช้พิสูจน์เม่ือมีการฟ้องร้องบังคับคดี ถ้าสัญญาค้�ำประกันไม่มี
หลกั ฐานเป็นหนงั สือแลว้ ก็ไม่ท�ำใหส้ ญั ญาคำ้� ประกันเป็นโมฆะ เพยี งแตจ่ ะฟอ้ งร้องบังคับคดไี ม่ไดเ้ ท่านั้น

162 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

ตวั อย่าง นายจนกูย้ มื เงินนายรวย 30,000 บาท โดยนายศรรามเป็นผู้ค้�ำประกนั ด้วยวาจา ไม่มหี ลักฐาน
เปน็ หนงั สอื แตอ่ ยา่ งใด ตอ่ มานายจนไมช่ ำ� ระหนใ้ี หแ้ กน่ ายรวย นายรวยจงึ ใหน้ ายศรรามรบั ผดิ ในฐานะผคู้ ำ้� ประกนั
ดังน้ีนายศรรามจะปฏิเสธความรับผิดไม่ได้ และนายรวยจะฟ้องร้องบังคับคดีกับนายศรรามไม่ได้เพราะสัญญา
ค�ำ้ ประกนั มไิ ด้มีหลกั ฐานเป็นหนังสอื
หลักฐานเป็นหนังสือที่จะถือได้ว่าเป็นสัญญาค�้ำประกันต้องมีข้อความแสดงออกชัดว่าเป็นการค�้ำประกัน
และต้องมีลายมือช่ือผู้ค้�ำประกัน หากไม่มีลายมือชื่อผู้ค้�ำประกันก็ใช้ฟ้องร้องไม่ได้ ลายมือชื่อจะเป็นชื่อเล่น
ชื่อย่อ ชื่อจริง หรือเขียนตัวบรรจงหรือหวัดแกมบรรจงก็ได้ทั้งสิ้น ไม่จ�ำเป็นต้องมีลายมือชื่อเจ้าหนี้และลูกหนี้
อาจทำ� สัญญาค้�ำประกันแยกตา่ งหาก หรอื อยูใ่ นฉบับเดียวกนั กบั หน้ปี ระธาน (สญั ญาก้ยู มื ) กไ็ ด้

อนึ่ง ค้�ำประกันมีได้แต่เฉพาะหน้ีอันสมบูรณ์ นอกจากสัญญาค้�ำประกันจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ลงลายมือช่ือผู้ค้�ำประกันเป็นส�ำคัญแล้ว มิฉะน้ันสัญญาค้�ำประกันจะฟ้องร้องบังคับคดีกันหาได้ไม่ดังกล่าวแล้ว
ข้างตน้ นน้ั สัญญาค�ำ้ ประกนั จะมีไดแ้ ตเ่ ฉพาะหน้อี นั สมบรู ณ์ ดงั น้ี
2.3.1 หนปี้ ระธานสมบรู ณ์ ค้ำ� ประกนั จะมีได้แต่เฉพาะเพ่อื หนอ้ี นั สมบรู ณ์ (ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา 681 วรรค 1) หมายถึง หน้ีท่ีบังคับได้ตามกฎหมาย มีผลผูกพันตามกฎหมาย ไม่เป็นหน้ี
ท่เี สยี เปลา่ จนตกเปน็ โมฆะ
ตัวอย่าง นายเอซ้ือยาบ้าจากนายบีแต่ค้างช�ำระเงิน โดยมีนายขาวเข้ามาค�้ำประกันให้ ดังน้ี
การค้�ำประกันไม่มีผลตามกฎหมาย เพราะหน้ีจากการซ้ือยาบ้าเป็นหน้ีประธานท่ีไม่สมบูรณ์ เน่ืองจากเป็นหน้ี
ที่เกิดจากการกระท�ำผิดกฎหมาย หน้ีประธานจึงตกเป็นโมฆะ หากนายเอไม่ช�ำระหน้ีให้นายบี นายบีจะมาฟ้อง
นายขาวให้รับผิดชำ� ระหนี้แทนไมไ่ ด้
2.3.2 หนี้ประธานในอนาคตหรือหนี้มีเง่ือนไข หนี้ในอนาคตหรือหนี้มีเง่ือนไขจะประกันไว้
เพ่ือเหตกุ ารณ์ซงึ่ หนน้ี ั้นอาจเป็นผลไดจ้ ริงก็ประกันได้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 681 วรรค 2)
แต่ต้องระบุวัตถุประสงค์ในการก่อหนี้รายท่ีค้�ำประกัน ลักษณะของมูลหน้ี จ�ำนวนเงินสูงสุดท่ีค�้ำประกันและ
ระยะเวลาในการแกอ่ หนท้ี จี่ ะคำ้� ประกนั เวน้ แตเ่ ปน็ การคำ�้ ประกนั เพอ่ื กจิ การเนอื่ งกนั ไปหลายคราวตามมาตรา 699
จะไม่ระบรุ ะยะเวลาดังกล่าวก็ได1้
หน้ีในอนาคต หมายถงึ หนีอ้ ันอาจเกิดขนึ้ และมีผลสมบรู ณ์ในอนาคต เช่น หน้ีตามสัญญากเู้ บิกเงนิ
เกนิ บญั ชี หนคี้ วามเสยี หายอนั เกดิ จากการกระทำ� ของลกู จา้ งในอนาคต เปน็ ตน้ หนมี้ เี งอื่ นไข หมายถงึ เงอื่ นไขบงั คบั
ก่อนอันมีผลให้หน้ีนั้นเป็นผลสมบูรณ์เม่ือเง่ือนไขนั้นส�ำเร็จ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 183)
หนี้ที่จะท�ำสัญญาค�้ำประกันน้ันยังไม่เกิดข้ึนในขณะท�ำสัญญาค�้ำประกันจนกว่าเงื่อนไขจะส�ำเร็จ อย่างไรก็ตาม
ก็อาจท�ำสัญญาค�้ำประกันหน้ีนั้นล่วงหน้าได้ เช่น ค้�ำประกันการช�ำระหน้ีตามสัญญาซื้อขายท่ีมีเงื่อนไขบังคับ
ก่อนวา่ ใหส้ ญั ญาซือ้ ขายมีผลก็ตอ่ เมอื่ ผซู้ อื้ สอบไลไ่ ด้ เปน็ ต้น

1 มาตรา 681 วรรค 2 พระราชบัญญัติแกไ้ ขเพิม่ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบบั ท่ี 20) พ.ศ. 2557

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 163

การค้�ำประกันหน้ใี นอนาคตหรือหนีม้ เี งอ่ื นไข เช่น ความเสียหายทเี่ กิดจากการคำ้� ประกนั บุคคล เป็นตน้
จะตอ้ งกำ� หนดรายละเอยี ดของหนแี้ ละขอบเขตความรบั ผดิ ของผคู้ ำ้� ประกนั รวมทง้ั จำ� กดั ความรบั ผดิ ของผคู้ ำ�้ ประกนั
ไวเ้ ฉพาะหน้ตี ามสัญญานน้ั โดยจะตอ้ งระบวุ ่าผู้ค้ำ� ประกนั จะต้องรับผดิ ในวงเงินไม่เกนิ เท่าไร ดงั นี้
1) สัญญาค้�ำประกันต้องระบุหน้ีหรือท�ำสัญญาค้�ำประกันไว้โดยชัดแจ้ง โดยผู้ค�้ำประกันย่อม
รบั ผดิ เฉพาะหน้ีหรือสัญญาทรี่ ะบุไว้เท่านั้น2 ซึ่งสัญญาคำ้� ประกันจะมสี าระสำ� คญั ดงั น้ี
(1) สัญญาค�ำ้ ประกนั ระบุว่าประกนั หนใี้ ห้กบั ผใู้ ด เช่น ค�ำ้ ประกันให้นางสาวตุก๊ ก้ี ทำ� ดี เป็นต้น
(2) ลักษณะของมลู หน้ี เชน่ มลู หน้ใี นสญั ญากู้ยืมเงินทน่ี างสาวตุ๊กกี้ ท�ำดี กยู้ มื เงินจากนายรวย
มั่งคงั่ ตามสัญญากู้ยมื เงนิ ลงวันที่ 9 กันยายน 2559 เปน็ ต้น
(3) มีระบุจ�ำนวนเงินซ่ึงเป็นหนี้ท่ีต้องรับผิดไว้ชัดแจ้ง เช่น ท�ำสัญญาค้�ำประกันเงินกู้ยืมไว้
100,000 บาท ระบุความรับผิดไว้เตม็ จำ� นวน 100,000 บาท หรอื จะรับผดิ ค้ำ� ประกันไมเ่ ตม็ จำ� นวน 50,000 บาท
ก็จะต้องระบุไวช้ ัดแจ้ง ซ่ึงจะส่งผลใหผ้ ูค้ ้�ำประกนั รับผิดตามทร่ี ะบจุ ำ� นวนเงินไว้ชัดแจ้ง เปน็ ตน้
(4) ระยะเวลาในการค้�ำประกัน เช่น นางสาวตุ๊กก้ี ท�ำดี ท�ำสัญญากู้ยืมเงินจากนายรวย ม่ังค่ัง
มีก�ำหนดระยะเวลา 3 ปี มีนายณเดช แซ่ตั้ง เป็นผู้ค้�ำประกัน ซึ่งจะค้�ำประกันตลอดระยะเวลา 3 ปี หรือระบุ
ระยะเวลาเพียง 1 ปี โดยระบุใหช้ ดั แจ้ง เวน้ แตเ่ ปน็ การค�ำ้ ประกันตอ่ เนอื่ งหลายคราว ไม่จ�ำกัดเวลา อาจบอกเลิก
ในคราวเปน็ อนาคตก็ได้ เป็นต้น
2) สัญญาค้�ำประกันก�ำหนดให้ผู้ค�้ำประกันรับผิดอย่างลูกหนี้ร่วมไม่ได้ ข้อตกลงใดที่กําหนดให้
ผู้ค้�ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหน้ีร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม ข้อตกลงนั้นเป็นโมฆะ สัญญา
ค�้ำประกันถ้ามีข้อตกลงก�ำหนดให้ผู้ค้�ำประกันเป็นลูกหน้ีร่วมกับลูกหนี้ช้ันต้น ข้อตกลงในส่วนน้ันจะตกเป็นโมฆะ
ซง่ึ หมายความวา่ ข้อตกลงดงั กลา่ วน้นั ใช้บงั คบั กนั ไม่ได้
“บรรดาข้อตกลงเกี่ยวกับการค้�ำประกันท่ีแตกต่างไปจากมาตรา 681 วรรคหนึ่ง วรรคสอง และ
วรรคสาม มาตรา 694 มาตรา 698 และมาตรา 699 เป็นโมฆะ”3
ตวั อย่างที่ 1 นายเอสมัครเข้าท�ำงานท่ีบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จ�ำกัด โดยมีนายบีเป็นผู้ค้�ำประกัน
ความเสยี หายอยา่ งใด ๆ อนั เกดิ จากการปฏิบตั ิของนายเอ ในสญั ญาระบุความรบั ผดิ ในการประกนั ความเสยี หายนี้
ไวใ้ นวงเงินไมเ่ กิน 100,000 บาทภายในเวลา 5 ปี นับตั้งแต่นายเอเขา้ ทำ� งาน แม้ในขณะท�ำสัญญาค้ำ� ประกนั ยงั
ไม่เกิดหนี้ก็สามารถค้�ำประกันหนี้ในอนาคตได้ หากบริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จ�ำกัด ได้รับความเสียหายจากการ
กระท�ำของนายเอ นายบีในฐานะผู้ค้�ำประกันจะต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์ จ�ำกัด
โดยระบุความรับผดิ ไว้แนน่ อนแล้ว และระยะเวลาทีจ่ ะชำ� ระหนีแ้ ทนตามสญั ญาค�้ำประกันไว้แล้ว
ตัวอย่างท่ี 2 นายอาทติ ยท์ ำ� สญั ญาขายบา้ นเดย่ี วพรอ้ มทดี่ นิ ใหก้ บั นายรวยในราคา 5,000,000 บาท
ถ้านายอาทิตย์กลับจากต่างประเทศซึ่งถือเป็นเงื่อนไข โดยในการตกลงดังกล่าวน้ีมีนายขาวเข้ามาค�้ำประกันว่า
หากนายอาทติ ยไ์ ม่ท�ำตามสญั ญา ตนเองจะชดใช้คา่ เสยี หายให้นายรวยเป็นเงิน 100,000 บาท ภายในเวลา 1 ปี
นับแต่วันท�ำสัญญาซ้ือขายบ้าน การน้ีเป็นการค้�ำประกันในหนี้อันมีเง่ือนไข และระบุความรับผิดไว้แน่นอนแล้ว
และระยะเวลาทจี่ ะชำ� ระหน้ีแทนตามสญั ญาค�ำ้ ประกันไว้แลว้

2 มาตรา 681 วรรค 3 พระราชบัญญตั แิ ก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557
3 มาตรา 681/1 พระราชบญั ญตั ิแกไ้ ขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบบั ที่ 20) พ.ศ. 2557

164 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

2.3.3 หน้ีประธานท่ีเป็นโมฆียะ เป็นหนี้เกิดแต่สัญญาซ่ึงไม่มีผลผูกพันลูกหน้ี เพราะท�ำด้วย
ความส�ำคัญผิดหรือไร้ความสามารถน้ันก็อาจมีประกันหน้ีอย่างสมบูรณ์ได้ ถ้าหากผู้ค้�ำประกันรู้เหตุส�ำคัญผิดหรือ
ไร้ความสามารถในขณะท่ีเข้าท�ำสัญญาผูกพันตน4 (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 681 วรรค 3)
หนี้อันเกิดแต่สัญญาซ่ึงไม่มีผลผูกพันลูกหนี้เพราะท�ำด้วยความส�ำคัญผิด ซึ่งหมายถึงการส�ำคัญผิดในคุณสมบัติ
ของบุคคลหรือทรัพย์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 157 ซ่ึงส่งผลให้นิติกรรมเป็นโมฆียะ
ถ้าหากวา่ ผคู้ ำ้� ประกันรู้เหตสุ ำ� คญั ผดิ ในขณะท่ีเข้าท�ำสัญญายอ่ มจะผูกพนั ผคู้ ้�ำประกัน
ตัวอย่าง นายแดงจ้างนายเขียวให้มาร้องเพลงที่ร้านอาหารของตนโดยเข้าใจผิดว่านายเขียวเป็น
นักร้อง แต่ความจริงนั้นนายเขียวเป็นนักมวย ดังนั้นสัญญาจ้างร้องเพลงตกเป็นโมฆียะเพราะเป็นการส�ำคัญผิด
ในคุณสมบัติของบุคคล กรณีนี้หากปรากฏว่านายขาวเป็นผู้ค�้ำประกันการจ่ายค่าจ้างร้องเพลงให้นายเขียว
นายขาวจะตอ้ งรบั ผดิ ตามสญั ญาคำ้� ประกนั ถา้ เขา้ มาคำ�้ ประกนั ทง้ั  ๆ ทที่ ราบวา่ นายเขยี วไมใ่ ชน่ กั รอ้ งแตเ่ ปน็ นกั มวย
ส่วนหน้ีอันเกิดแต่สัญญาไม่มีผลผูกพันลูกหนี้ เพราะเป็นผู้ไร้ความสามารถน้ัน หมายถึง ผู้ไร้ความ
สามารถท�ำนิติกรรมสัญญา โดยมิได้รับความยินยอมจากผู้มีอ�ำนาจให้ความยินยอม ซ่ึงเป็นเหตุให้นิติกรรมตก
เป็นโมฆยี ะ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 153
ตัวอย่าง นางสาวดรุณีเป็นผู้เยาว์ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ได้ขายรถยนต์ให้นายสมบัติราคา
50,000 บาท โดยบิดามารดามิได้ยินยอมด้วย ดังนี้สัญญาซื้อขายตกเป็นโมฆียะ บิดามารดาของนางสาวดรุณี
มีสิทธิบอกล้างได้ เม่ือบอกล้างแล้วสัญญาย่อมตกเป็นโมฆียะ หากปรากฏว่านายขาวเข้ามาค�้ำประกัน และ
รู้อยูใ่ นขณะท�ำสัญญาคำ้� ประกนั ว่านางสาวดรุณีเป็นผ้เู ยาว์ นายขาวคงต้องรับผดิ ชำ� ระค่าเสียหายใหแ้ ก่นายสมบัติ
แม้ว่าสัญญาค�้ำประกันจะตกเป็นโมฆียะก็ตาม แต่ถ้าหากนายขาวผู้ค�้ำประกันไม่รู้เหตุที่ท�ำให้หน้ีประธานเป็น
โมฆยี ะกอ่ น หรอื ขณะทำ� สญั ญาคำ้� ประกนั หรอื มารภู้ ายหลงั ทท่ี ำ� สญั ญาคำ้� ประกนั ไปแลว้ ดงั นน้ี ายขาวผคู้ ำ�้ ประกนั
ไมต่ ้องรบั ผิด
จากหลักกฎหมายข้างต้น ขอบเขตความรับผิดของผู้ค�้ำประกันตามท่ีประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ได้บัญญัติไว้ เจ้าหนี้กับผู้ค�้ำประกันจะท�ำสัญญากันก�ำหนดไว้เป็นอย่างอื่นเพ่ือขยายความรับผิดของ
ผู้ค�้ำประกันให้แตกต่างไปจากที่กฎหมายก�ำหนดไว้ไม่ได้ หากฝ่าฝืนข้อตกลงที่ขยายความรับผิดของผู้ค�้ำประกันน้ี
จะตกเปน็ โมฆะ ซง่ึ หมายความว่าข้อตกลงที่ขยายความรับผิดของผูค้ ้ำ� ประกันใชบ้ ังคบั ไมไ่ ด้

4 มาตรา 681 วรรค 4 พระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพม่ิ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับท่ี 20) พ.ศ. 2557

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 8 165

ตวั อย่าง

สัญญาค�้ำประกนั

สญั ญาน้ีทำ� ข้ึนทบี่ ้านเลขที่....................ตรอก/ซอย..........................................................ถนน.............................................
ตำ� บล/แขวง.................................................อำ� เภอ/เขต.......................................................จงั หวดั ......................................................
เม่ือวันที่................เดือน..........................................พ.ศ. .............................โดยข้าพเจ้า.............................................อายุ............ปี
อยูบ่ า้ นเลขท.ี่ ................................ตรอก/ซอย..........................................................ตำ� บล/แขวง..........................................................
อ�ำเภอ/เขต..................................................จังหวัด................................................ซ่ึงต่อไปนี้จะเรียกว่า “ผู้ค�้ำประกัน” ตกลงท�ำ
สัญญาน้ีให้ไว้แก่..............................................................................................ซ่ึงต่อไปน้ีจะเรียกว่า “เจ้าหน้ี” ยึดถือไว้เป็นส�ำคัญ
มีข้อความดงั ตอ่ ไปน้ี
ข้อ 1 ผู้ค้�ำประกันยินยอมค้�ำประกันหนี้สินทุกชนิด...........................................................................................................
(ซึ่งต่อไปน้ีจะเรียกว่าลูกหนี้) ได้เป็นหน้ีต่อเจ้าหน้ีอยู่แล้วก่อนหรือขณะท�ำสัญญานี้ และรวมท้ังหน้ีสินที่อาจเกิดขึ้นต่อไปในภายหน้า
โดยมวี งเงินคำ�้ ประกนั ท้ังสน้ิ เปน็ จำ� นวน....................................บาท (............................................................................) และดอกเบ้ีย
ข้อ 2 ผคู้ ้ำ� ประกันจะไม่บอกเลกิ การคำ�้ ประกนั นี้ ตราบใดทเ่ี จา้ หนย้ี งั มิได้รบั ช�ำระหน้ที ่ีไดก้ ลา่ วไวใ้ นข้อ 1 จนครบถว้ น
ข้อ 3 หากลูกหนี้ผิดนัดไม่ช�ำระหนี้แก่ลูกหนี้ หรือลูกหนี้ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย เป็นบุคคลไร้ความสามารถ
หรือเป็นผู้สาบสูญ หรือตาย หรือไปเสียจากถ่ินท่ีอยู่โดยหาตัวไม่พบ หรือกรณีอ่ืนใดที่ท�ำให้เจ้าหน้ีไม่ได้รับช�ำระหนี้จากลูกหน้ี
จนครบถ้วน ผู้คำ�้ ประกนั ยอมเขา้ ร่วมรับผิดกับลกู หนี้ในฐานะลกู หนรี้ ่วมในบรรดาหนี้ทล่ี กู หน้ตี อ้ งช�ำระแก่เจ้าหนี้ทันที
ขอ้ 4 ในกรณีท่ีความปรากฏในภายหลังว่าลูกหน้ีไม่ต้องรับผิดช�ำระหนี้ เพราะเหตุส�ำคัญผิด เป็นผู้ไร้ความสามารถ
การค�้ำประกันหนี้ก็ยังมีผลผูกพันผู้ค้�ำประกันอย่างสมบูรณ์ โดยผู้ค�้ำประกันยินยอมที่จะไม่อ้างเหตุที่ไม่รู้ถึงเหตุส�ำคัญผิดหรือ
ไร้ความสามารถในขณะที่เขา้ ทำ� สัญญาน้ขี ้ึนตอ่ สู้เจ้าหนี้
ขอ้ 5 หากเจ้าหน้ีได้กระท�ำการอย่างใดอย่างหนึ่งเป็นเหตุให้ผู้ค้�ำประกันไม่อาจเช่ารับช่วงได้ท้ังหมด หรือแต่บางส่วน
ในสทิ ธิกด็ ี จ�ำนองก็ดี จำ� นำ� ก็ดี และบุรมิ สทิ ธอิ ันไดใ้ ห้ไวแ้ ก่เจา้ หนก้ี อ่ นหรอื ขณะท่ีท�ำสญั ญาค�้ำประกันนี้ ผู้คำ้� ประกันยงั คงยินยอมทีจ่ ะ
รบั ผดิ ตามสญั ญานี้
ข้อ 6 ในกรณีที่เจ้าหน้ีย่อมผ่อนเวลาช�ำระหนี้ให้แก่ลูกหน้ี โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ค้�ำประกัน ผู้ค�้ำประกันเป็น
อนั หลดุ พ้นจากความรบั ผิด
ข้อ 7 ผคู้ ำ�้ ประกนั สญั ญาวา่ จะแจง้ ใหเ้ จา้ หนที้ ราบถงึ ตำ� บลทอี่ ยใู่ หมท่ นั ทที ย่ี า้ ยจากภมู ลิ ำ� เนาทกี่ ลา่ วไวข้ า้ งตน้ ในสญั ญาน้ี
มิฉะนน้ั ผู้ค้�ำประกันต้องรับผดิ ในความเสยี หายอันเกดิ ขึ้นแกเ่ จา้ หน้ีเนอื่ งจากการไม่แจ้งนัน้
ข้าพเจ้าขอรับรองว่าข้อความข้างต้นถูกต้อง และเป็นความจริงทุกประการ โดยข้าพเจ้าได้อ่านและเข้าใจในข้อความ
ในสัญญาฉบบั นโ้ี ดยตลอดแลว้ จึงลงลายมอื ช่อื ไวเ้ ปน็ พยานหลักฐาน

ลงชื่อ.........................................................ผคู้ �้ำประกัน
(......................................................)

ลงช่อื .........................................................พยาน
(.......................................................)

ลงช่อื ..........................................................พยาน
(.......................................................)

166 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

3. ผู้รับเรอื นและผคู้ ้�ำประกันหลายคน

3.1 ผู้รับเรือน บุคคลจะยอมเข้าเป็นผู้ค�้ำประกันเป็นประกันของผู้ค�้ำประกันอีกชั้นหน่ึงก็ได้ (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 682 วรรคแรก) ผรู้ บั เรอื น หมายถงึ “ผปู้ ระกนั ของผคู้ ำ�้ ประกนั ” หรอื พดู ใหเ้ ขา้ ใจ
ง่ายย่ิงข้ึนว่า “ผู้รับเรือน” คือ ผู้ค�้ำประกันของผู้ค้�ำประกันอีกคนหนึ่งน่ันเอง รองจากผู้ค้�ำประกันคนแรก หาก
ผู้ค�้ำประกันคนแรกไม่ช�ำระหน้ี ผู้รับเรือนต้องช�ำระหน้ีนั้นแทน และเมื่อผู้รับเรือนได้ช�ำระหนี้ไปแล้วย่อมมีสิทธิ
ไล่เบ้ียเอาจากผคู้ �ำ้ ประกนั และลกู หน้ไี ด้
ตวั อยา่ ง นายเอกเู้ งนิ นายบโี ดยมนี ายขาวเปน็ ผคู้ ำ�้ ประกนั และนายเขยี วเปน็ ผรู้ บั เรอื น คอื คำ้� ประกนั นาย
ขาวอีกทอดหนึ่ง ต่อมานายเอไม่ช�ำระหนี้ นายบีเจ้าหน้ีจะเรียกให้นายขาวผู้ค�้ำประกันช�ำระหนี้แทนก็ได้
หากนายขาวในฐานะผู้ค�้ำประกันไม่ช�ำระหน้ี นายเขียวก็ต้องรับผิดช�ำระหน้ีแทนนายขาวในฐานะผู้รับเรือนของ
นายขาว และถ้านายเขียวช�ำระหน้ีใหน้ ายบีไปแล้วกย็ ่อมมีสิทธิไลเ่ บย้ี เอาเงนิ คนื จากนายขาวและนายเอได้
3.2 ผู้ค้�ำประกันหลายคน ถ้าบุคคลหลายคนยอมตนเข้าเป็นผู้ค้�ำประกันในหน้ีรายเดียว ผู้ค�้ำประกัน
เหลา่ นน้ั มคี วามรบั ผดิ อยา่ งลกู หนรี้ ว่ ม ถงึ แมว้ า่ จะมไิ ดเ้ ขา้ รบั คำ�้ ประกนั รวมกนั (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 682 วรรค 2) “ผู้ค�้ำประกันหลายคน” ตามกฎหมายจึงหมายถึง หนี้รายเดียวแต่มีผู้ค้�ำประกันหลายคน
ไม่ท�ำให้ความรับผิดของผู้ค�้ำประกันแต่ละคนที่มีต่อเจ้าหนี้นั้นต้องเปล่ียนแปลงไปจากเดิม เพราะผู้ค�้ำประกัน
เหล่านั้นมีความรับผิดอย่างลูกหน้ีร่วม โดยเจ้าหนี้มีสิทธิเรียกให้ผู้ค้�ำประกันคนใดคนหน่ึงช�ำระหนี้แทนลูกหนี้
ได้ท้ังหมดหรือบางส่วนก็ได้ และไม่ต้องค�ำนึงว่าผู้ค้�ำประกันเหล่าน้ันจะค้�ำประกันร่วมกันหรือแยกกันค�้ำประกัน
กต็ าม ผคู้ ำ�้ ประกนั ทกุ คนตอ้ งผกู พนั ในหนนี้ น้ั จนกวา่ หนจ้ี ะไดท้ ำ� การชำ� ระหนโ้ี ดยสน้ิ เชงิ หรอื ชำ� ระหนท้ี งั้ หมดนนั่ เอง
ผู้ค้�ำประกันอาจมีหลายคนค�้ำประกันในหน้ีรายเดียวดังกล่าว โดยผู้ค้�ำประกันหลายคนนั้นไม่ต้องเข้า
เป็นผู้ค�้ำประกันพรอ้ มกนั กไ็ ด้
ตัวอย่าง นายเอกู้เงินนายบี 50,000 บาท โดยมีนายซี นายดี และนายเอฟ เป็นผู้ค�้ำประกันหนี้ของ
นายเอแม้ว่าจะไม่ได้เข้าค�้ำประกันร่วมกัน ทุกคนต่างมีความรับผิดต่อนายบีอย่างลูกหนี้ร่วม เม่ือนายเอผิดนัด
ไม่ช�ำระหนี้แก่นายบี นายบีมีสิทธิเรียกให้นายซี หรือนายดี หรือนายเอฟ คนใดคนหนึ่งช�ำระหน้ีแทนนายเอ
ไดท้ ง้ั หมด แตค่ วามรบั ผดิ ในระหวา่ งผคู้ ำ�้ ประกนั นน้ั ตา่ งมคี วามรบั ผดิ เทา่  ๆ กนั คนใดชำ� ระหนไ้ี ปทงั้ หมดแลว้ กไ็ มม่ ี
สทิ ธไิ ล่เบ้ยี จากผคู้ ้ำ� ประกันคนอ่ืน ๆ ได้

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 8 167

กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจที่ 8.1

ตอนที่ 1 จงเขยี นเครอ่ื งหมาย 3 หนา้ ข้อความท่ถี กู และเขียนเครอ่ื งหมาย 7 หนา้ ข้อความท่ผี ิด
................ 1. สัญญาค�้ำประกันคือสญั ญาที่ผคู้ ำ�้ ประกนั ผกู พนั ตนวา่ จะช�ำระหน้ีในเมื่อลกู หน้ีไม่ชำ� ระหน้ี
................ 2. สญั ญาคำ้� ประกนั นน้ั ถา้ มไิ ดม้ หี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื ลงลายมอื ชอื่ ผคู้ ำ้� ประกนั แลว้ จะฟอ้ งรอ้ งบงั คบั คดี

ไม่ได้
................. 3. ลูกหนี้อาจทำ� สญั ญาคำ้� ประกนั ตนเองตอ่ เจา้ หนีไ้ ด้
................ 4. สญั ญาคำ�้ ประกนั ถา้ มขี อ้ ตกลงกำ� หนดใหผ้ คู้ ำ้� ประกนั รบั ผดิ อยา่ งลกู หนร้ี ว่ มหรอื ลกู หนช้ี นั้ ตน้ ขอ้ ตกลง

ในส่วนน้นั จะตกเป็นโมฆะซึง่ หมายความว่า ขอ้ ตกลงดงั กลา่ วนนั้ ใชบ้ งั คบั กันได้
................ 5. ในการค้�ำประกัน ผู้ค�้ำประกันอาจจะจ�ำกัดความรับผิดของตนอย่างไรก็ได้ โดยระบุไว้ในสัญญา

คำ�้ ประกนั
................ 6. สญั ญาคำ้� ประกนั ต้องท�ำเปน็ หนังสือและจดทะเบียนตอ่ พนักงานเจ้าหน้าท่ี
................ 7. สญั ญาค้�ำประกันเซ็นชือ่ ผคู้ �้ำประกนั ในสญั ญาเงินก้กู ็ได้
................ 8. นายเอ กเู้ งนิ นายบี 500,000 บาท มนี ายซเี ปน็ ผคู้ ำ้� ประกนั นายดเี ขา้ คำ้� ประกนั นายซอี กี ตอ่ หนง่ึ ถอื วา่

นายซเี ปน็ ผรู้ บั เรือน ไม่ใช่ผ้คู �้ำประกันของผู้ค�ำ้ ประกันแตเ่ ปน็ ลูกหน้ี
................ 9. กรณที เ่ี จา้ หนีม้ ไิ ดม้ ีหนงั สือบอกกล่าวภายใน 60 วนั นับแต่วันทลี่ ูกหนี้ผดิ นัด ผูค้ ้ำ� ประกันหลดุ พน้

จากความรับผิดในดอกเบี้ยและคา่ สนิ ไหมทดแทน
................1 0. ผู้ค้�ำประกันซึ่งได้ช�ำระหนี้แล้วย่อมมีสิทธิที่จะไล่เบี้ยเอาจากลูกหน้ีเพ่ือเงินต้นกับดอกเบ้ียและ

เพอ่ื การทีต่ ้องสญู เสียหรอื สูญหายอยา่ งใด ๆ เพราะการค้�ำประกันนั้น
ตอนท่ี 2 จงตอบค�ำถามตอ่ ไปนี้
1. สญั ญาคำ�้ ประกนั ต้องท�ำอย่างไรจงึ จะมผี ลตามกฎหมาย
2. นายสมบัติขายยาเสพติดให้แก่นายสมศักด์ิ โดยมีนายสมชายเป็นผู้ค�้ำประกันเงินที่ค้างช�ำระค่ายาเสพติด
จ�ำนวน 100,000 บาท ต่อมานายสมศักดิ์ไม่ช�ำระหน้ีตามสัญญาซ้ือขาย ดังนี้สัญญาค้�ำประกันจะมีผล
ตามกฎหมายหรือไม่ อยา่ งไร จงอธบิ าย พร้อมยกหลกั กฎหมายประกอบด้วย

168 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

กจิ กรรมตามสมรรถนะวิชาชพี ท่ี 8.1
เรือ่ ง การจัดทำ� เอกสารสญั ญาค้�ำประกัน

จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้
จัดท�ำเอกสารสัญญาคำ�้ ประกนั ได้ตามหลกั การกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยไ์ ด้
กิจกรรม
1. ให้ผ้เู รียนแบง่ กลมุ่ กลุม่ ละ 4 คน ศึกษาคน้ ควา้ เกี่ยวกบั สญั ญาค�ำ้ ประกัน
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนร่างสัญญาค้�ำประกัน โดยให้ผู้เรียนจ�ำนวน 2 คนเป็นคู่สัญญา และ
ผเู้ รยี นอกี จ�ำนวน 2 คนเป็นพยาน
3. น�ำรา่ งสัญญาค้ำ� ประกันทด่ี �ำเนนิ การเสร็จแล้วรว่ มกนั อภิปรายหน้าชนั้ เรียน กลุ่มละ 3-5 นาที
4. ผู้สอนและผเู้ รียนรว่ มกนั สรปุ ภาพรวม

4. ความรับผิดของผู้ค้ำ� ประกนั

ผู้ค�้ำประกันต้องรับผิดต่อเจ้าหน้ีเม่ือลูกหน้ีไม่ช�ำระหน้ี แต่ความรับผิดของผู้ค้�ำประกันจะมากหรือน้อย
ข้นึ อยูก่ บั ขอบเขตของการค�้ำประกัน ซึ่งแบง่ ได้ 2 ประเภท ดังน้ี
4.1 การค�้ำประกันประเภทไม่จ�ำกัดความรับผิด ในกรณีผู้ค�้ำประกันไม่ได้จ�ำกัดความรับผิดใด ๆ ไว้ใน
สัญญาค�้ำประกัน ถือว่าเป็นการค�้ำประกันอย่างไม่จ�ำกัดความรับผิด ถ้าลูกหนี้ต้องรับผิดต่อเจ้าหนี้อย่างไร
ผ้คู ้�ำประกนั จะต้องรับผิดต่อเจ้าหน้ีอยา่ งนั้น
การคำ้� ประกนั โดยไมจ่ ำ� กดั ความรบั ผดิ ผคู้ ำ้� ประกนั ตอ้ งรบั ผดิ ตอ่ เจา้ หนใ้ี นมลู หนเี้ ดมิ คอื เงนิ ตน้ ดอกเบย้ี
ค่าสินไหมทดแทนซ่ึงลูกหนี้ค้างช�ำระ ค่าภาระติดพันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 683)
“ค่าสินไหมทดแทนซึ่งลูกหน้ีค้างช�ำระ” หมายถึง ค่าสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายอันเกิดจากการ
ไมช่ �ำระหน้ขี องลูกหน้ี
“ค่าภาระตดิ พนั อันเป็นอปุ กรณ์แห่งหน้ี” หมายถึง คา่ ใชจ้ า่ ยต่าง ๆ อนั เกยี่ วพันกับหนีท้ ล่ี ูกหนีค้ ้างช�ำระ
ตวั อย่าง นายแดงส่ังซือ้ สนิ ค้าจากตา่ งประเทศ โดยวิธเี ปดิ เลตเตอร์ออฟเครดิตผ่านธนาคาร นายด�ำเป็น
ผู้ค�้ำประกันการช�ำระราคาสินค้าของนายแดง ต่อมานายแดงผิดนัดไม่รับสินค้าที่ส่งมาให้ ธนาคารมีสิทธิฟ้องให้
นายด�ำรับผิดช�ำระราคาสินค้า ค่าขนส่ง ค่าประกันภัย รวมถึงค่าฝากของในคลังสินค้าซ่ึงถือเป็นค่าภาระติดพัน
อันเป็นอปุ กรณแ์ ห่งหน้ที นี่ ายด�ำตอ้ งรบั ผิด

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 8 169

นอกจากนี้กฎหมายได้บัญญัติให้ผู้ค�้ำประกันต้องรับผิดในค่าฤชาธรรมเนียมความ ซ่ึงลูกหนี้จะต้องใช้ให้
แก่เจา้ หนี้ เว้นแตเ่ จ้าหนี้ฟอ้ งคดแี ก่ลกู หนี้โดยมิได้เรียกให้ผูค้ ำ้� ประกันชำ� ระหน้ีนน้ั กอ่ น ผู้คำ้� ประกนั จึงไม่ต้องรับผิด
ใช้ค่าฤชาธรรมเนียม (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 684)
4.2 การค�้ำประกันประเภทจ�ำกัดความรับผิด ผู้ค้�ำประกันอาจจะจ�ำกัดความรับผิดของตนอย่างใด
อยา่ งหนงึ่ ไวใ้ นสญั ญาคำ้� ประกนั กไ็ ด้ เชน่ ผคู้ ำ�้ ประกนั รบั ผดิ ไมเ่ กนิ เทา่ นนั้ เทา่ นี้ หรอื รบั ผดิ เฉพาะเงนิ ตน้ แตไ่ มร่ บั ผดิ
ในดอกเบี้ย หรืออาจจ�ำกัดระยะเวลาของความรับผิดช่วงใดช่วงหนึ่งไว้ เป็นต้น ถ้าผู้ค้�ำประกันจ�ำกัดความรับผิด
ของตนไวใ้ นสญั ญาคำ้� ประกนั โดยชดั แจง้ แลว้ เมอื่ ลกู หนผี้ ดิ นดั ตอ่ เจา้ หนแี้ ละเจา้ หนบี้ งั คบั ตามสญั ญาคำ้� ประกนั นนั้
ผู้ค�้ำประกันย่อมรับผิดช�ำระหน้ีเฉพาะเท่าที่ตนได้จ�ำกัดไว้เท่านั้น ถ้ามีหน้ีเหลืออยู่เท่าใดลูกหนี้ยังรับผิดต่อเจ้าหน้ี
ในสว่ นทีเ่ หลอื น้นั
ตัวอย่าง นายทองกู้ยืมเงินนายมี 100,000 บาท มีนางดาวเป็นผู้ค้�ำประกันเฉพาะเงินต้นไม่เกิน
50,000 บาท ตอ่ มานายทองผดิ นดั ไมช่ ำ� ระหนี้ นายมจี ะเรยี กใหน้ างดาวชำ� ระหนแ้ี ทนนายทองไดเ้ พยี ง 50,000 บาท
เทา่ นัน้ สำ� หรบั หนใ้ี นส่วนทเี่ หลอื รวมทงั้ ดอกเบีย้ คา่ สินไหมทดแทนใด ๆ น้ันนายทองต้องเป็นฝ่ายรบั ผิด
อนึ่ง เมื่อบังคับตามสัญญาค้�ำประกันนั้น ผู้ค�้ำประกันไม่ช�ำระหนี้ท้ังหมดของลูกหนี้ รวมทั้งดอกเบี้ย
คา่ สนิ ไหมทดแทน และอปุ กรณ์ด้วย หน้ยี ังเหลอื อยู่เทา่ ใด ลูกหน้ียังคงรบั ผดิ ตอ่ เจ้าหนใี้ นส่วนท่เี หลอื
ตัวอย่าง นายเอกู้เงินจากธนาคารออมสิน 500,000 บาท โดยมีนายบีเข้ามาเซ็นช่ือค้�ำประกันให้ หาก
นายเอไม่ชำ� ระหนี้ ธนาคารออมสนิ จึงฟ้องนายบใี ห้ชำ� ระหนี้แทนในฐานะผคู้ ้�ำประกนั ปรากฏวา่ นายบีไดช้ �ำระหน้ี
ให้ธนาคารเพียง 300,000 บาท โดยไม่มีทรัพย์สินจะช�ำระให้ได้อีกแล้ว ในส่วนที่เหลือ 200,000 บาท นายเอ
ลูกหนย้ี งั คงตอ้ งรบั ผดิ ต่อธนาคารออมสนิ
4.3 ผคู้ ำ้� ประกนั ไมต่ อ้ งรบั ผดิ อยา่ งลกู หนร้ี ว่ ม ขอ้ ตกลงใหผ้ คู้ ำ�้ ประกนั รบั ผดิ อยา่ งลกู หนร้ี ว่ มเปน็ “โมฆะ”
หากมีข้อตกลงให้ผู้ค้�ำประกันต้องรับผิดอย่างลูกหน้ีร่วม หรือเช่นเดียวกับลูกหนี้ช้ันต้นน่ันคือผู้ก่อให้เกิดหน้ี
กฎหมายก�ำหนดให้ข้อตกลงน้ันเป็นโมฆะ กล่าวคือ ใช้บังคับต่อกันมิได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ท่มี ีการแกไ้ ขเพ่ิมเตมิ ดงั ตอ่ ไปน้ี
“ข้อตกลงใดที่กําหนดให้ผู้ค้�ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหน้ีร่วมหรือในฐานะเป็นลูกหนี้ร่วม
ข้อตกลงน้ันเป็นโมฆะ”5

5 มาตรา 681/1 พระราชบญั ญตั แิ กไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับท่ี 20) พ.ศ. 2557

170 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

5. สิทธขิ องผูค้ �้ำประกัน

5.1 สิทธิของผู้ค�้ำประกันให้เจ้าหน้ีปฏิบัติต่อตนก่อน เม่ือลูกหน้ีผิดนัดไม่ช�ำระหนี้แต่ผู้ค้�ำประกันมิได้
เปน็ ผูผ้ ดิ นดั ดงั ตอ่ ไปนี้
5.1.1 ให้เจ้าหน้ีมีหนังสือบอกกล่าวไปยังผู้ค้�ำประกันภายใน 60 วัน นับแต่วันท่ีลูกหน้ีผิดนัด และ
ไมว่ า่ กรณจี ะเปน็ ประการใด เจา้ หนจ้ี ะเรยี กใหผ้ คู้ ำ�้ ประกนั ชาํ ระหนก้ี อ่ นทห่ี นงั สอื บอกกลา่ วจะไปถงึ ผคู้ ำ�้ ประกนั มไิ ด้
แตไ่ มต่ ัดสทิ ธิผคู้ ้ำ� ประกนั ทจ่ี ะชาํ ระหนเี้ มื่อหนถ้ี ึงกาํ หนดชําระ6
5.1.2 ในกรณที เ่ี จา้ หนม้ี ไิ ดม้ หี นงั สอื บอกกลา่ วภายใน 60 วนั นบั แตว่ นั ทล่ี กู หนผ้ี ดิ นดั ใหผ้ คู้ ำ�้ ประกนั
หลดุ พน้ จากความรบั ผดิ ในดอกเบยี้ และคา่ สนิ ไหมทดแทน ตลอดจนคา่ ภาระตดิ พนั อนั เปน็ อปุ กรณแ์ หง่ หนร้ี ายนนั้ 7
มาตรา 686 วรรคสอง
5.1.3 การช�ำระหน้ีของผู้ค้�ำประกัน ตามข้อ 5.1.1 ผู้ค�้ำประกันอาจชําระหนี้ทั้งหมด หรือใช้สิทธิ
ชาํ ระหนี้ตามเงื่อนไข และวิธีการในการชาํ ระหนี้ทล่ี กู หน้มี อี ยู่กบั เจ้าหน้ีก่อนการผดิ นดั ชําระหน8ี้ เช่น ให้ผ่อนชำ� ระ
เป็นงวด งวดละ 30 วัน เฉพาะในส่วนที่ผู้ค�้ำประกันจะต้องรับผิด หากเจ้าหน้ีไม่ยอมรับช�ำระหน้ี ผู้ค�้ำประกัน
ก็หลุดพน้ จากความรับผิด เปน็ ตน้
5.1.4 ในระหว่างที่ผู้ค้�ำประกันชําระหน้ีตามเง่ือนไข และวิธีการในการชําระหนี้ของลูกหนี้ตาม
เจ้าหนจี้ ะเรยี กดอกเบีย้ เพมิ่ ข้ึน เพราะเหตุทล่ี กู หนผ้ี ิดนดั ในระหวา่ งนั้นมไิ ด9้
5.2 สิทธขิ องผคู้ ำ�้ ประกันกอ่ นผคู้ ำ�้ ประกันช�ำระหน้ี มีดังน้ี
5.2.1 ผคู้ ำ้� ประกนั ไมจ่ ำ� เปน็ ตอ้ งชำ� ระหนกี้ อ่ นถงึ เวลากำ� หนด ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 687 บญั ญัตวิ า่ “ผูค้ �้ำประกนั ไมจ่ ำ� เป็นต้องช�ำระหนก้ี อ่ นถงึ เวลาก�ำหนดทจ่ี ะช�ำระ แม้ถงึ ว่าลูกหนีจ้ ะไมอ่ าจ
ถือเอาซ่ึงประโยชน์แห่งเงื่อนเวลาเร่ิมต้น หรือเวลาสิ้นสุดได้ต่อไปแล้ว” บทบัญญัติดังกล่าวหมายถึง เจ้าหนี้มี
สทิ ธฟิ อ้ งใหล้ กู หนช้ี ำ� ระหนไ้ี ดท้ นั ที โดยไมต่ อ้ งรอใหห้ นถี้ งึ กำ� หนดชำ� ระตามสญั ญาเมอ่ื ลกู หนไ้ี มอ่ าจถอื เอาประโยชน์
แหง่ เงือ่ นไขเวลาได้ เจา้ หน้ีจึงมีสิทธิเรยี กให้ลูกหนี้ช�ำระหนีไ้ ด้กอ่ นถึงเวลากำ� หนด แตเ่ จ้าหนจ้ี ะเรียกใหผ้ ้คู ้ำ� ประกัน
ช�ำระหน้กี อ่ นถึงเวลาก�ำหนดนน้ั ไม่ได้ เพราะผคู้ ำ�้ ประกันจะรบั ผดิ ตอ่ เจา้ หนเ้ี มอื่ หน้ีถงึ กำ� หนดช�ำระแล้ว
กรณที ่ีฝา่ ยลูกหนจ้ี ะถือเอาประโยชน์แหง่ เง่อื นเวลาเรมิ่ ต้น หรือเงือ่ นเวลาสิ้นสุดมไิ ด้ มดี ังต่อไปน้ี
1) ลูกหนีถ้ กู ศาลสั่งพทิ ักษท์ รพั ยเ์ ดด็ ขาดตามกฎหมายวา่ ด้วยลม้ ละลาย
2) ลูกหน้ีไมใ่ หป้ ระกันในเม่ือจ�ำตอ้ งให้
3) ลูกหน้ีไดท้ �ำลาย หรือทำ� ให้ลดน้อยถอยลงซง่ึ ประกันอนั ไดใ้ หไ้ ว้
4) ลกู หน้นี ำ� ทรัพยข์ องบุคคลอนื่ มาให้เป็นประกนั โดยเจา้ หนข้ี องทรพั ย์สินนน้ั มไิ ด้ยนิ ยอม

6 มาตรา 686 วรรคแรก พระราชบัญญตั แิ กไ้ ขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับท่ี 20) พ.ศ. 2557
7 มาตรา 686 วรรคสอง พระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพิ่มเตมิ ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ (ฉบับที่ 20) พ.ศ. 2557
8 มาตรา 686 วรรคสาม พระราชบญั ญตั ิแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบบั ที่ 20) พ.ศ. 2557
9 มาตรา 686 วรรคสี่ พระราชบญั ญตั แิ ก้ไขเพมิ่ เติมประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ (ฉบับท่ี 20) พ.ศ. 2557

หน่วยการเรียนรู้ท่ี 8 171

ตวั อยา่ ง นายเอกเู้ งนิ นายบี 100,000 บาท โดยมีนายซผี ้คู ำ�้ ประกัน หนถี้ ึงกำ� หนดช�ำระวนั ที่
1 เมษายน 2559 ซง่ึ ต่อมาวันท่ี 15 มกราคม 2559 นายเอถูกศาลส่งั พทิ กั ษ์ทรพั ย์เด็ดขาด ตามกฎหมายว่า
ด้วยล้มละลาย เช่นนี้นายบีมีสิทธิเรียกให้นายเอช�ำระหนี้ได้ทันทีโดยไม่ต้องรอให้หน้ีถึงก�ำหนด แต่นายบี
จะเรยี กนายซีใหช้ �ำระหนกี้ ่อนกำ� หนดไมไ่ ดจ้ นกวา่ จะถึงวันท่ี 1 เมษายน 2559
5.2.2 ผู้ค�้ำประกันมีสิทธิขอให้เจ้าหนี้เรียกลูกหนี้เพ่ือช�ำระหนี้ก่อน ประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 688 บัญญตั ิว่า “เม่อื เจา้ หนี้ทวงใหผ้ ู้ค้ำ� ประกนั ชำ� ระหน้ี ผู้ค�้ำประกนั จะขอให้เรียกลกู หน้ีชำ� ระ
หน้ีก่อนก็ได้ เว้นแต่ลูกหน้ีจะถูกศาลพิพากษาให้เป็นคนล้มละลายเสียแล้ว หรือไม่ปรากฏว่าลูกหน้ีไปอยู่แห่งใด
ในราชอาณาจักร” หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ ผู้ค�้ำประกันมีสิทธิบอกปัดไม่ช�ำระหนี้ กรณีลูกหนี้ยังมีตัวตนอยู่
เวน้ แต่
1) ลูกหนถ้ี กู ศาลส่ังเป็นบุคคลลม้ ละลาย หรอื
2) ลกู หนห้ี าตัวไมพ่ บในราชอาณาจักร
ตัวอยา่ ง นายเอก้เู งนิ นายบี 100,000 บาท โดยมนี ายซีเปน็ ผู้ค้�ำประกัน ต่อมาหนถ้ี งึ ก�ำหนดชำ� ระ
ถ้านายบีเรียกให้นายซีช�ำระหน้ีก่อน นายซีมีสิทธิจะให้นายบีไปเรียกนายเอช�ำระหน้ีได้ก่อนนายซี เว้นแต่นายเอ
ถกู ศาลพพิ ากษาใหเ้ ปน็ คนล้มละลาย หรอื ไม่ไดอ้ ยู่ในราชอาณาจกั ร
5.2.3 ผคู้ ำ�้ ประกนั มสี ทิ ธขิ อให้เจา้ หนี้เอาทรัพยส์ ินของลกู หน้ี ซง่ึ เปน็ ประกันชำ� ระหนกี้ อ่ น เม่ือ
เจา้ หนเี้ รยี กใหผ้ คู้ ำ้� ประกนั ชำ� ระหนแ้ี ทนลกู หน้ี ในขณะเดยี วกนั ถา้ เจา้ หนมี้ ที รพั ยส์ นิ ของลกู หนยี้ ดึ ถอื ไวเ้ ปน็ ประกนั
ชำ� ระหน้ี ถ้าผูค้ ำ้� ประกันรอ้ งขอ เจา้ หน้ตี อ้ งเอาทรัพยส์ นิ ซึง่ เป็นประกนั ออกช�ำระหนี้กอ่ น (ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา 690)
ตวั อยา่ ง นายแสงกเู้ งนิ นายเสยี ง 50,000 บาท โดยนำ� สรอ้ ยคอทองคำ� หนงึ่ เสน้ มาไวเ้ ปน็ หลกั ประกนั
การช�ำระหนี้ และให้นายสีเป็นผู้ค้�ำประกันหนี้รายนี้ด้วย เมื่อหนี้ถึงก�ำหนดช�ำระแล้วนายแสงผิดนัดไม่ช�ำระหน้ี
นายเสียงจึงเรียกให้นายสีช�ำระหน้ีแทน นายสีมีสิทธิท่ีจะให้นายเสียงเอาช�ำระหนี้จากสร้อยคอทองค�ำได้ก่อน
ถ้าผู้ค�้ำประกันต้องรับผิดร่วมกันกับลูกหนี้แล้ว ผู้ค�้ำประกันไม่มีสิทธิเรียกร้องให้เจ้าหนี้เรียกลูกหนี้ช�ำระหน้ีก่อน
หรือไม่มีสิทธิร้องขอให้เจ้าหนี้เอาช�ำระหน้ีจากทรัพย์สินของลูกหนี้ที่เจ้าหนี้ยึดถือไว้เป็นหลักประกันก่อน โดยยก
ข้อต่อสู้ขึ้นสู้เจ้าหน้ี (ถ้ามี) การที่ผู้ค้�ำประกันจะยกข้อต่อสู้ข้ึนสู้เจ้าหน้ีได้นั้นจะต้องมีข้อต่อสู้ที่สามารถจะใช้ต่อสู้
กบั เจา้ หนไี้ ดใ้ นเรื่องใดเรื่องหนึง่ ดังนี้
1) ความไม่สมบูรณ์ของสัญญาประธาน หรือสัญญาค้�ำประกันอันเป็นอุปกรณ์แห่งหนี้ เช่น
สัญญากู้ยืมระหว่างเจ้าหน้ีกับลูกหน้ี ลูกหน้ีไม่ได้ลงลายมือช่ือเป็นผู้กู้ยืมเงิน หรือสัญญาที่ค้�ำประกันผู้ค�้ำประกัน
ไม่ไดล้ งลายมือชื่อเปน็ ผคู้ ำ้� ประกนั
2) อายคุ วามของสญั ญาหรือหน้ปี ระธานระหวา่ งเจ้าหน้ีกับลกู หน้ีเกินกวา่ 10 ปี
5.2.4 ผคู้ ำ้� ประกนั มสี ทิ ธไิ ลเ่ บยี้ จากลกู หน้ี เมอื่ ผคู้ ำ้� ประกนั ไดช้ ำ� ระหนแ้ี ทนลกู หนแี้ ลว้ ผคู้ ำ้� ประกนั
ย่อมมีสิทธิไล่เบย้ี เอาจากลกู หน้ี ดงั ตอ่ ไปน้ี
1) เงนิ ต้น
2) ดอกเบีย้

172 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

3) การท่ีตอ้ งสูญหายหรอื เสียหายอย่างใด ๆ เพราะการคำ�้ ประกนั นน้ั (ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา 693)
ตัวอย่าง นายเอเป็นผู้ค�้ำประกันได้ช�ำระหนี้แทนให้กับนายบีซ่ึงเป็นเจ้าหนี้ไปแล้ว ดังน้ีนายเอในฐานะ
ผคู้ ำ้� ประกันยอ่ มมสี ทิ ธไิ ล่เบ้ยี จากนายซีซง่ึ เปน็ ลูกหนี้ไดท้ ้งั เงินต้นและดอกเบยี้ เพือ่ การที่ต้องสูญหายหรือเสียหาย
ไปอย่างใด ๆ เพราะการค้ำ� ประกันหนรี้ ายนี้

6. ความระงบั แหง่ สญั ญาคำ้� ประกนั

สญั ญาค�ำ้ ประกนั ยอ่ มระงับไปดว้ ยเหตดุ งั ต่อไปน้ี
6.1 เมอ่ื หนขี้ องลกู หนีร้ ะงับ ผู้ค�ำ้ ประกันย่อมหลดุ พน้ ความรับผิดในขณะเมือ่ หน้ขี องลูกหน้ีระงับส้นิ ไป
ไมว่ ่าเพราะเหตุใด ๆ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 698) กล่าวคือ สัญญาค้ำ� ประกันเปน็ หนีอ้ ปุ กรณ์
เมอ่ื หนข้ี องลกู หนซี้ ง่ึ เปน็ หนป้ี ระธานระงบั ไปแลว้ ยอ่ มทำ� ใหส้ ญั ญาคำ้� ประกนั ระงบั ไปดว้ ย เหตทุ ที่ ำ� ใหห้ นขี้ องลกู หน้ี
ระงับส้ินไป มดี ังต่อไปน้ี
6.1.1 การช�ำระหน้ี เม่ือลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกได้ช�ำระหน้ีให้แก่เจ้าหนี้โดยถูกต้องและครบ
จำ� นวนแล้ว หนี้ย่อมระงับสิ้นไป ผู้คำ้� ประกนั จงึ หลุดพน้ ความรบั ผิด
6.1.2 การปลดหน้ี ถา้ เจ้าหน้ีแสดงเจตนาต่อลกู หนวี้ ่าจะปลดหนี้ให้หนี้นน้ั ก็ระงบั สิ้นไป แตถ่ า้ หน้ี
นนั้ มหี นงั สอื เปน็ หลกั ฐาน การปลดหนกี้ ต็ อ้ งทำ� เปน็ หนงั สอื หรอื เวนคนื เอกสารอนั เปน็ หลกั ฐานแหง่ หนใี้ หแ้ กล่ กู หนี้
หรอื ขีดฆ่าเอกสารน้ันเสยี ในกรณีเช่นน้สี ัญญาคำ้� ประกันย่อมระงบั สนิ้ ไปดว้ ย
6.1.3 การหกั กลบลบหนี้ คือ การทีบ่ ุคคล 2 คนตา่ งมคี วามผกู พนั ซงึ่ กันและกนั (ตา่ งเป็นเจา้ หน้ี
และลูกหนี้กัน) โดยมูลหนอ้ี ันมีวัตถุเปน็ อยา่ งเดียวกนั และหน้ที ง้ั สองรายถึงก�ำหนดช�ำระ ถ้าลกู หนฝ้ี ่ายใดฝ่ายหนงึ่
แสดงเจตนาขอหักกลบลบหนี้ ถอื วา่ หน้ที ั้งสองรายระงบั ไปเพยี งเท่าจำ� นวนทต่ี รงกนั โดยการหกั กลบลบหนี้ และ
ถ้าหนนี้ นั้ มีการค้�ำประกนั ผู้ค�้ำประกันก็หลุดพ้นความรบั ผิดไปดว้ ย
6.1.4 การแปลงหน้ีใหม่ คือ การที่คู่กรณีแห่งสัญญาได้ท�ำสัญญาเปล่ียนสิ่งซ่ึงเป็นสาระส�ำคัญ
แหง่ หนี้ และเมอ่ื มกี ารแปลงหนใี้ หม่แลว้ หนเ้ี ดมิ กร็ ะงับ เมื่อหนเี้ ดิมระงบั สัญญาค้ำ� ประกันก็ระงับด้วย
6.1.5 หนเ้ี กลอ่ื นกลนื กนั ถา้ สทิ ธแิ ละความรบั ผดิ ในหนร้ี ายใดตกอยแู่ กบ่ คุ คลคนเดยี วกนั หนรี้ ายนน้ั
กร็ ะงบั สิน้ ไป เวน้ แตเ่ มอ่ื หนี้น้ันตกไปอยู่ในบังคับแห่งสทิ ธิของบคุ คลภายนอก
6.1.6 หน้ีประธานขาดอายุความ เม่ือหนี้ประธานขาดอายุความ และลูกหนี้ยกเป็นเหตุข้ึนต่อสู้
เจ้าหน้ี ผู้ค�้ำประกนั จงึ หลดุ พน้ ความรบั ผดิ

หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 8 173

ตัวอย่าง นายเอกู้เงินนายบี 10,000 บาท โดยมีนายซีเป็นผู้ค้�ำประกัน เมื่อหนี้ถึงก�ำหนดช�ำระ
นายเอไมช่ ำ� ระหน้ใี ห้แก่นายบี และนายบีละเลยไมไ่ ดฟ้ ้องร้องเป็นคดตี ่อศาล เมอ่ื เวลาพ้นกำ� หนดอายุความ 10 ปี
นายบีฟ้องร้องให้นายเอช�ำระหน้ี นายเอจึงยกเหตุอายุความข้ึนต่อสู้นายบีเจ้าหน้ี กรณีน้ีนายซีผู้ค�้ำประกันหนี้
จงึ หลดุ พ้นความรับผดิ เพราะหนี้ขาดอายคุ วาม
6.2 ผู้ค้�ำประกันบอกเลิกสัญญา ในกรณีการค้�ำประกันเพื่อกิจการท่ีต่อเนื่องกันไปหลายคราว และ
ไม่มีจ�ำกัดเวลา ผู้ค�้ำประกันอาจจะบอกเลิกสัญญาได้ โดยบอกกล่าวความประสงค์ให้เจ้าหนี้ทราบถึงการเลิก
ค้�ำประกันคราวต่อไปในอนาคต กรณีเช่นนี้ผู้ค�้ำประกันไม่ต้องรับผิดต่อกิจการท่ีลูกหน้ีกระท�ำภายหลัง
ค�ำบอกกลา่ วนั้น (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 699)
6.3 เมอ่ื เจา้ หนี้ผอ่ นเวลาช�ำระหน้ใี หล้ กู หนี้ เมอ่ื หนม้ี กี ำ� หนดเวลาช�ำระทีแ่ นน่ อน และเจ้าหนีย้ อมผอ่ น
เวลาให้แก่ลูกหนี้ โดยผคู้ ้�ำประกนั ไม่ได้ยินยอมผอ่ นเวลาช�ำระหนีน้ ้ันดว้ ย ผคู้ �้ำประกนั ย่อมหลดุ พ้นจากความรับผดิ
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 700 วรรคแรก)
6.4 เมอ่ื เจ้าหนี้ไม่ยอมรบั ช�ำระหนจ้ี ากผู้ค้ำ� ประกนั เม่อื หนถ้ี ึงก�ำหนดช�ำระและลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำ� ระหนี้
ผู้ค้�ำประกันขอช�ำระหน้ีให้แก่เจ้าหนี้ แต่เจ้าหนี้ไม่ยอมรับช�ำระหนี้ เช่นน้ีผู้ค�้ำประกันก็เป็นอันหลุดพ้นจาก
ความรบั ผดิ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 701)

กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจที่ 8.2

จงเขยี นเครือ่ งหมาย 3 หนา้ ขอ้ ความท่ถี กู และเขียนเครื่องหมาย 7 หนา้ ขอ้ ความทผี่ ดิ
................ 1. ในกรณีผู้ค้�ำประกันไม่ได้จ�ำกัดความรับผิดใดๆ ไว้ในสัญญาค�้ำประกัน ถือว่าเป็นการ
ค้ำ� ประกนั อย่างไมจ่ ำ� กัดความรับผิด
................ 2. การค้�ำประกันโดยไม่จ�ำกัดความรับผิด ผู้ค้�ำประกันไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหน้ีในมูลหน้ีเดิม
คอื เงนิ ต้นและดอกเบีย้
................ 3. ค่าสินไหมทดแทนซ่ึงลูกหนี้ค้างช�ำระ หมายถึง ค่าสินไหมทดแทนเพ่ือความเสียหายอัน
เกิดจากการไมช่ ำ� ระหน้ขี องลกู หนี้
................ 4. คา่ ภาระตดิ พนั อนั เป็นอปุ กรณแ์ หง่ หน้ี หมายถงึ ค่าใชจ้ า่ ยต่างๆ อันเก่ียวพนั กบั หนีท้ ่ลี ูกหนี้
ค้างชำ� ระ
................ 5. เมอ่ื บงั คบั ตามสญั ญาคำ้� ประกนั นน้ั ผคู้ ำ�้ ประกนั ไมช่ ำ� ระหนท้ี งั้ หมดของลกู หน้ี รวมทงั้ ดอกเบย้ี
ค่าสินไหมทดแทนและอุปกรณ์ด้วย หนี้ที่ยังเหลืออยู่ลูกหนี้ไม่ต้องรับผิดต่อเจ้าหน้ีในส่วน
ทเี่ หลือ

174 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

................ 6. ข้อตกลงใดที่ก�ำหนดให้ผู้ค้�ำประกันต้องรับผิดอย่างเดียวกับลูกหน้ีร่วมหรือในฐานะเป็น
ลกู หน้รี ่วม ขอ้ ตกลงนั้นเปน็ โมฆะ
................ 7. ในกรณีท่ีเจ้าหน้ีมิได้มีหนังสือบอกกล่าวภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ลูกหนี้ผิดนัด
ใหผ้ ้คู �ำ้ ประกนั หลดุ พน้ จากความรับผดิ ในดอกเบี้ยและคา่ สนิ ไหมทดแทน
................ 8. เจา้ หนี้มสี ิทธฟิ อ้ งใหล้ กู หนชี้ �ำระหนไ้ี ดท้ ันที โดยไมต่ ้องรอให้หนถ้ี ึงกำ� หนดชำ� ระตามสญั ญา
เมือ่ ลูกหน้ีไมอ่ าจถือเอาประโยชนแ์ ห่งเง่ือนไขเวลาได้
................ 9. เมอ่ื ผูค้ ำ�้ ประกนั ไดช้ �ำระหนี้แทนลกู หนี้แลว้ ผ้คู ้ำ� ประกันไมม่ สี ิทธิไลเ่ บ้ียเอาจากลกู หน้ไี ด้
................ 10. ผคู้ ำ้� ประกนั ยอ่ มหลดุ พน้ ความผดิ ในขณะเมอื่ หนข้ี องลกู หนรี้ ะงบั สน้ิ ไป ไมว่ า่ เพราะเหตใุ ด ๆ
กต็ าม
ตอนที่ 2 จงตอบคำ� ถามต่อไปน้ี
1. ผู้ค�ำ้ ประกนั ต้องรับผดิ ต่อเจ้าหน้ีเมอื่ ลูกหนไ้ี มช่ �ำระหน้ี แค่ความรบั ผิดของผูค้ �ำ้ ประกันจะมากหรือนอ้ ยข้นึ อยู่
กับสิง่ ใด และแบง่ ได้ก่ปี ระเภท อะไรบ้าง
2. นายเอกกู้เงินจากนายบีเป็นจ�ำนวน 100,000 บาท โดยมีนายซีเป็นผู้ค�้ำประกัน ต่อมาหน้ีถึงก�ำหนดช�ำระ
ถา้ นายบเี รยี กใหน้ ายซีช�ำระหนีก้ อ่ น นายซมี ีสิทธจิ ะให้นายบีไปเรียกนายเอชำ� ระหนไ้ี ด้กอ่ นนายซไี ด้หรอื ไม่
3. จงให้ความหมายการแปลงหนใ้ี หม่

กิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชีพท่ี 8.2
เร่อื ง ความรับผดิ ของผูค้ �ำ้ ประกัน

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. บอกความรับผิดของผู้ค้ำ� ประกันและสิทธขิ องผคู้ ำ�้ ประกนั ได้
2. บอกความระงับแหง่ สญั ญาค�ำ้ ประกันได้
กิจกรรม
1. ใหผ้ ูเ้ รียนแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ศกึ ษาค้นคว้าขอ้ มลู ตามหัวขอ้ ต่อไปนี้
1.1 ความรบั ผิดของผู้ค้ำ� ประกันและสทิ ธขิ องผคู้ ำ้� ประกนั กล่มุ ท่ี 1
1.2 ความระงับแหง่ สัญญาคำ�้ ประกนั กลมุ่ ท่ี 2
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มที่ได้รับมอบหมายตามหัวข้อ 1.1-1.2 ศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมเก่ียวกับเร่ือง
กฎหมายลักษณะความรับผิดของผู้ค�้ำประกันและค�ำพิพากษาฎีกาท่ีน่าสนใจ โดยค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่ง
การเรยี นรู้ตา่ ง ๆ เชน่ อินเทอร์เน็ต หนังสือจากห้องสมุด เป็นต้น

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 8 175

3. ใหผ้ เู้ รยี นแตล่ ะกลมุ่ ระดมความคดิ สรปุ หลกั กฎหมายลกั ษณะความรบั ผดิ ของผคู้ ำ้� ประกนั ทเี่ ปน็ ประเดน็
ส�ำคญั ในรูปของผังมโนทัศน์ (Mind Mapping) หรอื สรุปประเด็นสำ� คญั ในรูปแบบของการแสดงบทบาทสมมตุ ิ
4. จากข้อ 3 ใหผ้ เู้ รียนเลือกและนำ� เสนอภาระงานหนา้ ชัน้ เรียน กลมุ่ ละ 3-5 นาที
5. ผ้สู อนและผูเ้ รยี นรว่ มกนั สรุปภาพรวม

สรุป

การค�้ำประกันเป็นสัญญาที่ประกันการช�ำระหน้ีด้วยตัวบุคคล ซึ่งผู้ค้�ำประกันเป็นบุคคลภายนอก
ผูกพันตนเองกับเจ้าหนี้ โดยผู้ค้�ำประกันจะช�ำระหนี้แทนเม่ือลูกหน้ีไม่ช�ำระหน้ี ข้อตกลงที่ให้ผู้ค�้ำประกัน
รับผิดอย่างเดียวกับลูกหนี้ร่วมเป็นโมฆะ ผลคือเจ้าหน้ีจะต้องไปเรียกให้ลูกหนี้ช�ำระหนี้ก่อน จนกระท่ัง
ลูกหนี้ไม่สามารถช�ำระหน้ีได้แล้วจึงค่อยมีเรียกร้องเอากับผู้ค�้ำประกัน โดยเจ้าหน้ีจะต้องมีหนังสือ
บอกกลา่ วไปยังผู้ค้ำ� ประกันภายใน 60 วัน นบั แต่วันที่ลูกหนผี้ ดิ นดั ในสว่ นความรับผดิ ของผ้คู ำ�้ ประกันน้ัน
แบ่งเป็นค้�ำประกันประเภทไม่จ�ำกัดความรับผิด ซ่ึงผู้ค�้ำประกันรับผิดใช้หน้ีให้แก่เจ้าหนี้เท่ากับจ�ำนวนหนี้
ของลกู หนท้ี ้ังหมด สว่ นการคำ�้ ประกนั ประเภทจำ� กดั ความรบั ผดิ นน้ั ผคู้ ำ้� ประกนั จะรับผดิ เปน็ จ�ำนวนเทา่ ใด
ก็ได้ซึ่งไม่เท่ากับจ�ำนวนหนี้ของลูกหนี้ เมื่อผู้ค้�ำประกันที่ได้ช�ำระหนี้แทนลูกหน้ีไปแล้ว ก็ย่อมมีสิทธิไล่เบ้ีย
เอาจากลูกหนี้เพื่อเงินต้นกับดอกเบี้ย และเพ่ือการท่ีต้องสูญหายหรือเสียหายไปอย่างใด ๆ เพราะ
การคำ้� ประกนั นนั้ สญั ญาคำ�้ ประกนั จะตอ้ งมหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื ลงลายมอื ชอ่ื ผคู้ ำ้� ประกนั จงึ จะฟอ้ งรอ้ งกนั ได้

176 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

แบบประเมินสมรรถนะรายวิชาหนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 8
เรอ่ื ง คำ�้ ประกัน

ค�ำชแี้ จง จงเขียนเครอื่ งหมาย ✓ ลงในช่องว่างที่ตรงกบั ความคดิ เหน็ ของผู้เรยี นตามความเปน็ จรงิ มากท่ีสุด
เกณฑก์ ารประเมนิ 5 = ดมี าก 4 = ด ี 3 = ปานกลาง 2 = น้อย 1 = นอ้ ยทสี่ ดุ

หัวขอ้ ระดบั ความคิดเห็น
54321
1. ดา้ นความรู้
1.1 อธิบายความหมายและลักษณะของสัญญาค้ำ� ประกนั ได้
1.2 อธิบายแบบของสัญญาค�้ำประกนั ได้
1.3 อธบิ ายความหมายของผูร้ ับเรอื นและผ้คู �้ำประกนั หลายคนได้
1.4 บอกความรับผิดของผคู้ ำ้� ประกันได้
1.5 บอกสิทธขิ องผ้คู ้ำ� ประกันได้
1.6 บอกความระงับแหง่ สญั ญาค�ำ้ ประกันได้
2. ดา้ นทกั ษะ
2.1 ปฏิบตั กิ ิจกรรมตามทไ่ี ดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ตามกำ� หนดเวลา
2.2 เกิดสมรรถนะในการปฏบิ ตั ิกจิ กรรม
2.3 จดั ท�ำเอกสารทเ่ี กี่ยวขอ้ งกับลักษณะสญั ญาคำ�้ ประกันไดต้ ามหลักการ

ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
3. ดา้ นเจตคติ

3.1 มีความซอื่ สตั ย์สุจริต
3.2 มวี นิ ยั ตรงตอ่ เวลา และมีความรับผดิ ชอบ
3.3 มมี นษุ ยสมั พนั ธ์ในการปฏิบัติกิจกรรม และท�ำงานรว่ มกับผ้อู น่ื ได้
3.4 มีเจตคติท่ีดีในการปฏบิ ัติกิจกรรม

หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่ 8 177

แบบทดสอบเพือ่ ประเมินผลหลงั การเรยี นรู้

จงเลอื กคำ� ตอบท่ีถูกต้องเพยี งขอ้ เดียว

จดุ ประสงค์การเรยี นร้ทู ี่ 1 อธบิ ายความหมายและลกั ษณะ จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ 2 อธิบายแบบของสัญญา
ของสญั ญาค�ำ้ ประกันได้ ค�ำ้ ประกันได้
1. ขอ้ ใดเปน็ สัญญาค�ำ้ ประกนั 4. สญั ญาค้ำ� ประกันนน้ั ตอ้ งทำ� อย่างไรจึงจะฟอ้ งรอ้ ง
1. สัญญาระหวา่ งเจา้ หนก้ี ับลกู หนี้ ใหบ้ ังคับคดีกนั ไดต้ ามกฎหมาย
2. สัญญาประธานกบั สัญญาอุปกรณ์ 1. ท�ำเปน็ หนังสอื
3. สญั ญาระหว่างลูกหนี้กบั ผู้ค�้ำประกัน 2. มีหลักฐานเปน็ หนงั สอื
4. สญั ญาระหว่างเจ้าหน้ีกับผู้คำ�้ ประกนั 3. ตกลงกนั ด้วยวาจาก็ได้
5. สัญญาระหวา่ งเจ้าหน้ี ลูกหน้ี กบั ผคู้ �ำ้ ประกัน 4. ท�ำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน
2. การทำ� สญั ญาคำ�้ ประกนั โดยไมไ่ ดร้ บั ความยนิ ยอม เจา้ หนา้ ท่ี
จากลูกหนี้ สัญญาค�้ำประกันจะมผี ลอย่างไร 5. มีหลักฐานเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อ
1. สมบูรณ์ พนกั งานเจา้ หน้าท่ี
2. เป็นโมฆะ 5. นายด�ำท�ำสัญญาค้�ำประกันการกู้ยืมเงินระหว่าง
3. เปน็ โมฆยี ะ นายแดงและนายขาว โดยท�ำสัญญาค�้ำประกัน
4. ฟอ้ งรอ้ งให้บงั คบั คดีกนั ไมไ่ ด้ ด้วยวาจา ดงั นข้ี อ้ ใดถกู ตอ้ ง
5. ถกู ต้องทกุ ข้อ 1. สญั ญาสมบรู ณ์
3. ขอ้ ใดตอ่ ไปน้ีเป็นสัญญาคำ�้ ประกนั 2. สญั ญาตกเปน็ โมฆะ
1. นายเอก้เู งนิ จากนายบี 100,000 บาท แล้วนำ� 3. สญั ญาตกเปน็ โมฆยี ะ
ทองค�ำแท่ง 10 บาทมาเป็นประกันการ 4. สญั ญาจะฟ้องร้องบังคบั กนั ได้
ชำ� ระหนี้ 5. สัญญาจะฟ้องรอ้ งบงั คับกนั ไม่ได้
2. นายเอกเู้ งนิ จากนายบี 200,000 บาท แล้วนำ�
ทดี่ นิ แปลงหนง่ึ มาใหไ้ วเ้ ปน็ ประกนั การชำ� ระหน้ี จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่ 3 อธบิ ายความหมายของผรู้ บั เรอื น
3. นายเอกู้เงินจากนายบี 300,000 บาท โดยมี และผคู้ ำ้� ประกนั หลายคนได้
นายซีเข้ามาผูกพันตนต่อนายบีว่าถ้านายเอ 6. ผู้รบั เรือนหมายถงึ บคุ คลในขอ้ ใด
ไมช่ ำ� ระหน้แี ลว้ ตนจะชำ� ระหน้แี ทน 1. ผคู้ ำ้� ประกนั เจ้าหนี้
4. นายเอกู้เงินจากนายบี 300,000 บาท โดยมี 2. ผู้คำ�้ ประกันลกู หนี้
นายซีเอาทรัพย์สินของตนเข้าผูกพันต่อนายบี 3. ผู้ค�้ำประกันของผู้คำ�้ ประกัน
วา่ ถา้ นายเอไมช่ ำ� ระหนแี้ ลว้ ตนจะชำ� ระหนแี้ ทน 4. ผู้คำ้� ประกนั และรบั ผิดแทนลกู หนี้
5. ถูกตอ้ งทุกขอ้ 5. บุคคลภายนอกทม่ี ารับผิดใช้หนีแ้ ทนลูกหนี้

178 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

7. นายจันทร์กู้ยืมเงินนายอาทิตย์ 30,000 บาท จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่ 5 บอกสทิ ธขิ องผู้ค�ำ้ ประกันได้
มีนายตะวัน นางดาว และนางเดือน ให้สัญญา 9. ผู้ค้�ำประกันซึ่งช�ำระหนี้ให้แก่เจ้าหน้ีไปแล้ว
ต่อนายอาทิตย์ว่าถ้านายจันทร์ไม่ช�ำระหน้ี ผู้คำ้� ประกนั มสี ทิ ธไิ ล่เบ้ียอะไรจากลูกหนไ้ี ดบ้ า้ ง
ทั้งสามคนจะช�ำระหน้ีนั้นแทน แต่นายอาทิตย์ 1. เงนิ ต้นอยา่ งเดยี ว
ไม่เช่ือถือนางดาว ให้นางดาวหาบุคคลอื่นมา 2. ดอกเบย้ี อยา่ งเดียว
คำ�้ ประกนั หน้ี นางดาวนำ� นายสุริยามาค�ำ้ ประกนั 3. เงินตน้ และดอกเบ้ยี
ตนเอง ดงั น้ขี ้อใดไม่ถูกต้อง 4. เงนิ ตน้ ดอกเบย้ี และคา่ เสยี หาย
1. นายจนั ทรเ์ ปน็ ลกู หน้ี 5. เงนิ ต้น ดอกเบ้ียและค่าเสยี หาย
2. นายสุริยาเป็นผูร้ บั เรอื น จุดประสงค์การเรียนรู้ท่ี 6 บอกความระงับแห่งสัญญา
3. นายอาทติ ยเ์ ป็นผคู้ ำ�้ ประกนั นายจันทร์ ค�้ำประกนั ได้
4. นายตะวัน นางดาว และนางเดือน เป็น 10. สัญญาคำ�้ ประกนั ระงบั ลงไดใ้ นกรณีใด
ผู้ค้ำ� ประกันหลายคน 1. หนี้ประธานขาดอายุความ
5. ไมม่ ีขอ้ ใดถูกต้อง 2. ผู้ค้�ำประกันบอกเลิกสัญญา
3. เมื่อเจ้าหน้ีผ่อนเวลาชำ� ระหนี้ให้ลกู หนี้
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ่ี 4 บอกความรบั ผดิ ของผคู้ ำ้� ประกนั ได้ 4. เจา้ หนแ้ี สดงเจตนาต่อลกู หน้วี า่ จะปลดหน้ใี ห้
8. ขอ้ ใดเป็นความรบั ผิดของผคู้ �ำ้ ประกัน 5. ถกู ตอ้ งทุกข้อ
1. ผู้ค้ำ� ประกนั ต้องรับผดิ อยา่ งลกู หนร้ี ว่ ม
2. เมอ่ื ลกู หนผี้ ดิ นดั ผคู้ ำ้� ประกนั ตอ้ งชำ� ระหนที้ นั ที
3. เม่ือลูกหน้ีผิดนัด ผู้ค�้ำประกันต้องช�ำระหน้ี
โดยมกี ารบอกกล่าวด้วยวาจากอ่ น
4. เม่ือลูกหน้ีผิดนัด ผู้ค้�ำประกันต้องช�ำระหนี้
โดยลกู หนมี้ หี นงั สอื บอกกลา่ วไปยงั ผคู้ ำ้� ประกนั
ภายใน 60 วนั นบั แต่วันที่ลกู หนผี้ ดิ นดั
5. เมื่อลูกหน้ีผิดนัด ผู้ค้�ำประกันต้องช�ำระหนี้
โดยเจา้ หนม้ี หี นงั สอื บอกกลา่ วไปยงั ผคู้ ำ้� ประกนั
ภายใน 60 วนั นบั แต่วนั ทล่ี กู หนีผ้ ดิ นัด

9หน่วยการเรียนรู้ที่

จำ� นอง-จำ� น�ำ

สาระการเรยี นรู้ จดุ ประสงค์การเรยี นรู้

1. ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาจ�ำนอง 1. อธิบายความหมายและลักษณะของสญั ญาจ�ำนองได้
2. ทรัพย์สินที่จำ� นองและแบบของสัญญาจำ� นอง 2. บอกทรัพย์สนิ ท่ีจำ� นองและแบบของสญั ญาจำ� นองได้
3. ขอบเขตสทิ ธิทีจ่ ำ� นอง 3. บอกขอบเขตสทิ ธิท่จี �ำนองได้
4. สทิ ธิและหน้าที่ของผ้จู ำ� นองและผู้รับจ�ำนอง 4. อธิบายสทิ ธิและหนา้ ท่ีของผจู้ �ำนองและผูร้ ับจำ� นองได้
5. การบังคับจำ� นองและความระงับแหง่ สญั ญาจ�ำนอง 5. บอกการบังคบั จ�ำนองและความระงับแหง่ สญั ญาจ�ำนองได้
6. ความหมายและลกั ษณะของสัญญาจ�ำนำ� 6. อธิบายความหมายและลกั ษณะของสญั ญาจ�ำนำ� ได้
7. วธิ กี ารทำ� สญั ญาจำ� นำ� 7. อธบิ ายวิธกี ารท�ำสัญญาจำ� น�ำได้
8. สทิ ธิ หน้าท่ี และความรบั ผิดของผรู้ บั จ�ำน�ำและผู้จ�ำน�ำ 8. บอกสิทธิ หน้าท่ี และความรบั ผดิ ของผรู้ ับจำ� นำ� และผูจ้ ำ� น�ำได้
9. การบงั คับจำ� น�ำและความระงบั แห่งสัญญาจ�ำน�ำ 9. บอกการบังคับจำ� นำ� และความระงบั แหง่ สัญญาจ�ำน�ำได้
1 0. ความแตกตา่ งระหว่างสัญญาจ�ำนองและสัญญาจ�ำน�ำ 1 0. บอกความแตกต่างระหวา่ งสัญญาจ�ำนองและสัญญาจ�ำน�ำได้

จำ� นอง-จ�ำน�ำ

สมรรถนะประจ�ำหน่วย

1. แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการของกฎหมายลักษณะ
จำ� นอง-จำ� น�ำ
2. จัดท�ำเอกสารสัญญาจ�ำนองและจ�ำน�ำได้ตามหลักการ
ของประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์

180 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

จ�ำนอง-จำ� นำ�

1. ความหมายและลักษณะของสญั ญาจ�ำนอง

1.1 ความหมายของสัญญาจ�ำนอง

สัญญาจ�ำนองเป็นลักษณะหนึ่งของเอกเทศสัญญา ซึ่งบัญญัติไว้ในบรรพ 3 ลักษณะ 12 แห่งประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ดังนี้
มาตรา 702 “อันว่าจำ� นองนั้น คือ สญั ญาซึ่งบคุ คลคนหนง่ึ เรยี กวา่ ผู้จำ� นอง เอาทรพั ย์สินตราไวแ้ ก่บคุ คล
อกี คนหน่งึ เรยี กว่าผรู้ ับจ�ำนอง เปน็ ประกันการช�ำระหนโ้ี ดยไมส่ ง่ มอบทรพั ยส์ นิ น้นั ใหแ้ กผ่ รู้ ับจ�ำนอง
ผู้รับจ�ำนองชอบท่ีจะได้รับช�ำระหน้ีจากทรัพย์สินที่จ�ำนองก่อนเจ้าหนี้สามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่า
กรรมสทิ ธใิ์ นทรัพย์สนิ จะไดโ้ อนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่”

1.2 ลกั ษณะของสัญญาจ�ำนอง

จากบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 521 ดังกล่าว สัญญาจ�ำนองมีลักษณะ
ทส่ี �ำคญั ดงั นี้
1.2.1 เป็นสัญญาที่มีบุคคล 2 ฝา่ ยตกลงทำ� สญั ญากัน หมายถงึ ฝา่ ยหน่งึ ท่ีตกลงท�ำสัญญาจ�ำนอง คอื
“ผู้จ�ำนอง” และอีกฝ่ายหน่ึงท่ีตกลงท�ำสัญญาจ�ำนอง คือ “ผู้รับจ�ำนอง” ซึ่งผู้จ�ำนองอาจเป็นลูกหน้ีหรือบุคคล
ภายนอกก็ได้ แต่เจ้าหนี้หรือบุคคลภายนอกจะต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่จ�ำนองเท่าน้ัน ส่วนผู้รับจ�ำนองจะต้อง
เปน็ เจ้าหนเี้ สมอ
1.2.2 ผู้จ�ำนองเอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผรู้ ับจ�ำนอง ค�ำวา่ “ผู้จำ� นอง” อาจเปน็ ตัวลูกหนเ้ี องที่ทำ� สัญญา
จ�ำนองหรอื บุคคลภายนอกมาท�ำสญั ญาจ�ำนอง เพ่ือค�ำ้ ประกันลกู หนกี้ ็ได้ เพราะสญั ญาจำ� นองเป็นสัญญาอปุ กรณ์
รองลงมาจากสัญญาประธานหรือหนี้ประธาน กฎหมายใช้ค�ำว่า “...เอาทรัพย์สินตราไว้...” ค�ำว่า “ตราไว้”
หมายถึง การท�ำสัญญาจ�ำนองเป็นหนังสือ และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ในการจ�ำนองเท่ากับเป็นการ
สง่ มอบตราสารให้แกผ่ ู้รบั จ�ำนองนนั่ เอง จงึ เปน็ สญั ญาทมี่ แี บบแห่งนิตกิ รรม ซ่งึ จะไดก้ ลา่ วต่อไป
1.2.3 ผจู้ ำ� นองไมต่ อ้ งสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ใหแ้ กผ่ รู้ บั จำ� นอง ผจู้ ำ� นองยงั คงมกี รรมสทิ ธแ์ิ ละสทิ ธคิ รอบครอง
ในทรพั ยส์ ินทจ่ี �ำนอง การจ�ำนองไมใ่ ชส่ ัญญาโอนกรรมสทิ ธิ์ การจ�ำนองเพยี งท�ำสัญญาเปน็ หนงั สือ และจดทะเบียน
ต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี (ตราไว้เป็นประกัน) ก็ถือว่าเป็นสัญญาจ�ำนองท่ีสมบูรณ์โดยไม่ต้องส่งมอบทรัพย์สิน
ดังรูปท่ี 9.1

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 9 181

ผ้รู บั จำ� นอง (เจ้าหน)ี้

อสังหาริมทรพั ยห์ รอื ตราไว้ ไม่ตอ้ งส่งมอบ
จ�ำนอง สงั หารมิ ทรพั ย์ชนดิ พิเศษ

เครอื่ งจักรทจี่ ดทะเบยี น

ผจู้ �ำนอง (ลกู หน,ี้ บุคคลภายนอก)

รูปท่ี 9.1

1.2.4 ผรู้ บั จำ� นองมสี ทิ ธไิ ดร้ บั ชำ� ระหนจี้ ากทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นองกอ่ นเจา้ หนส้ี ามญั คำ� วา่ “เจา้ หนสี้ ามญั ”
หมายถึง เจ้าหนท้ี วั่ ไปท่ีไมไ่ ดย้ ึดทรพั ยส์ ินหรือตราไว้เพ่อื ประกนั การช�ำระหนี้ เช่น เจา้ หน้ีเงินกู้ยมื เจ้าหน้ซี ้อื ขาย
สงั หารมิ ทรัพย์ เปน็ ตน้ ซงึ่ จัดว่าอยู่ในประเภทเจ้าหนีส้ ามัญ แต่เจา้ หนี้จำ� นอง คือ เจา้ หนเ้ี ปน็ ผมู้ สี ิทธใิ นทรัพยส์ ิน
ที่มาจ�ำนองหรือตราไว้น้ัน เป็นการได้สิทธิอันเน่ืองมาจากการท�ำเป็นหนังสือ และจดทะเบียนจ�ำนองกับพนักงาน
เจา้ หนา้ ที่ แมว้ า่ จะไมไ่ ดค้ รอบครองทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นอง หรอื แมว้ า่ ทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นองนนั้ ไดโ้ อนกรรมสทิ ธไิ์ ปยงั บคุ คล
แล้วก็ตาม สิทธิจ�ำนองก็ยังติดตัวไปกับทรัพย์สินน้ัน เรียกว่า “ทรัพยสิทธิ” หนี้จ�ำนองจึงสามารถบังคับจ�ำนอง
ได้เสมอ

2. ทรพั ยส์ นิ ที่จำ� นองและแบบของสญั ญาจ�ำนอง

2.1 ทรพั ยส์ ินที่จ�ำนอง

ทรพั ย์สนิ ท่ีสามารถจำ� นองไดม้ ดี งั ตอ่ ไปนี้
2.1.1 อสังหารมิ ทรัพย์ อสังหารมิ ทรพั ยท์ ่ีจ�ำนองได้ ได้แก่
1) ท่ีดิน หมายถึง ท่ีดินมีโฉนด (น.ส.4) หรือที่ดินซึ่งมีหนังสือรับรองการท�ำประโยชน์ (น.ส.3),
(น.ส.3 ก), (น.ส.3 ข) เท่านน้ั จึงจะสามารถจ�ำนองได้ สำ� หรับทีด่ นิ ท่ีมใี บแจ้งการครอบครอง (ส.ค.1) หรอื ที่ดินท่ี
มีใบแสดงการเสียภาษีบ�ำรุงท้องท่ี (ภบท.5) นั้นจะไม่สามารถจ�ำนองได้ เพราะเอกสารดังกล่าวไม่ใช่เอกสาร
แสดงกรรมสทิ ธแ์ิ ละหรอื สิทธใิ นทดี่ นิ
2) ทรัพย์สินอันติดอยู่กับที่ดินมีลักษณะเป็นการถาวรหรือประกอบเป็นอันเดียวกับท่ีดิน เช่น
บา้ น อาคาร ตกึ แถว เปน็ ตน้ ซงึ่ เปน็ ทรพั ยส์ นิ ตดิ อยกู่ บั ทดี่ นิ ไมว่ า่ จะปลกู สรา้ งอยบู่ นทด่ี นิ ของผจู้ ำ� นองหรอื บนทดี่ นิ
ของผ้อู ื่นกย็ ่อมจ�ำนองได้
3) ทรพั ยสิทธิอันเกย่ี วกบั ท่ดี ินหรอื ทรพั ยอ์ นั ติดอยู่กบั ที่ดิน หรอื ประกอบเป็นอันเดยี วกบั ท่ีดนิ
เช่น สิทธิเก็บกิน สิทธิเหนือพ้ืนดิน เป็นต้น สิทธิเหนือพ้ืนดินอันได้จดทะเบียนสิทธิแล้วย่อมจ�ำนองได้ ส่วนสิทธิ
อาศยั และภาระติดพนั ในอสังหาริมทรพั ยท์ ่ีมกี ฎหมายห้ามโอนยอ่ มจ�ำนองไม่ได้

182 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

2.2.2 สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษ สังหาริมทรัพย์ชนิดพิเศษท่ีจ�ำนองได้จะต้องจดทะเบียนไว้แล้ว
ตามกฎหมาย ได้แก่
1) เรอื ทมี่ ีระวางตัง้ แต่ 5 ตนั ขึ้นไป คอื เรือบรรทุกที่มีน�ำ้ หนัก 5,000 กโิ ลกรมั ขน้ึ ไป
2) แพ (Floating House) หมายถงึ เรือแพท่ใี ช้อยู่อาศัยได้ มใิ ช่แพซุง
3) สตั ว์พาหนะ ได้แก่ ช้าง ม้า โค กระบอื ลา และล่อ ซง่ึ มตี วั๋ พิมพร์ ปู พรรณ
2.2.3 สังหาริมทรัพย์อ่ืน ๆ ท่ีกฎหมายบัญญัติไว้ให้จดทะเบียนจ�ำนองได้ ได้แก่ พระราชบัญญัติ
จดทะเบยี นเครอ่ื งจกั ร พ.ศ. 2514 ไดบ้ ญั ญตั ใิ หจ้ ำ� นองเครอื่ งจกั รซง่ึ เปน็ สงั หารมิ ทรพั ยแ์ ละไดจ้ ดทะเบยี นกรรมสทิ ธ์ิ
ตามพระราชบญั ญตั ฉิ บับน้ีแลว้

สาระนา่ รู้
กรณีรถยนต์และอาวุธปืนนั้นแม้จะมีกฎหมายบังคับให้จดทะเบียนก็ตาม แต่ไม่อาจจ�ำนองได้ เพราะ
วตั ถุประสงคก์ ารจดทะเบยี นเพอื่ ควบคุมและเกบ็ คา่ ธรรมเนยี ม ไมใ่ ชเ่ พื่ออนุญาตใหจ้ ำ� นอง

2.2 แบบของสัญญาจ�ำนอง

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชยไ์ ด้บญั ญัติไว้เกีย่ วกบั แบบของสัญญาจำ� นอง ดังตอ่ ไปน้ี
มาตรา 714 “อนั สัญญาจ�ำนองนนั้ ทา่ นว่าต้องทำ� เปน็ หนงั สือและจดทะเบียนต่อพนกั งานเจ้าหนา้ ที่”
สญั ญาจำ� นองนนั้ จะตกลงดว้ ยวาจาไมไ่ ด้ คสู่ ญั ญาจะตอ้ งทำ� ตามแบบของกฎหมายคอื ตอ้ งทำ� เปน็ หนงั สอื
และจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี เหตุผลท่ีกฎหมายก�ำหนดให้ท�ำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงาน
เจ้าหน้าที่ก็คือ ทรัพย์สินที่จ�ำนองเป็นอสังหาริมทรัพย์ มีสังหาริมทรัพย์ท่ีมีทะเบียนบางส่วนมาจ�ำนอง โดยไม่มี
การสง่ มอบทรพั ยส์ นิ หลกั ฐานทางทะเบยี นจะเปน็ สงิ่ สำ� คญั ทจ่ี ะตรวจสอบไดว้ า่ ทรพั ยส์ นิ นน้ั ยงั อยภู่ ายใตก้ ารจำ� นอง
ท้ังน้ีก็เพ่ือคุ้มครองบุคคลภายนอกผู้สุจริต เนื่องจากบุคคลภายนอกอาจขอดูหลักฐานทางทะเบียนกับพนักงาน
เจ้าหน้าท่ีก็ได้ เพื่อต้องการทราบว่าทรัพย์ที่จะรับจ�ำนองนั้นได้จ�ำนองมาแล้วหรือไม่ เพราะผู้จ�ำนองสามารถโอน
ขายต่อ ๆ ไป เอาทรัพย์สินไปจ�ำนองซ้�ำได้ บุคคลท่ีมาเก่ียวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้ซ้ือ หรือผู้รับจ�ำนองคนต่อ ๆ ไป
จะไดท้ ราบว่าทรพั ย์ทจี่ ำ� นองไว้เปน็ จ�ำนวนเทา่ ใด การจดทะเบยี นจึงเป็นการเปดิ เผยใหบ้ คุ คลภายนอกได้ทราบ
อย่างไรก็ตามหากคู่สัญญาไม่ท�ำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ สัญญาจ�ำนองย่อม
ตกเป็น “โมฆะ” แตใ่ นบางครั้งผจู้ ำ� นองมกั ไมท่ ำ� ตามแบบทก่ี ฎหมายก�ำหนด โดยฝ่ายลูกหน้จี ะน�ำโฉนดท่ีดินหรือ
หลกั ฐานอนื่ ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ทด่ี นิ มาใหไ้ วก้ บั เจา้ หนเี้ พอื่ ยดึ ถอื ไวเ้ ปน็ ประกนั การชำ� ระหน้ี ดงั นนั้ เมอ่ื ลกู หนไี้ มช่ ำ� ระหน้ี
ให้แก่เจ้าหน้ี เจ้าหนี้จะเอาที่ดินของลูกหนี้ออกขายทอดตลาดเพื่อน�ำเงินช�ำระหน้ีก็ไม่อาจท�ำได้ หรือถ้าเจ้าหน้ี
จะยดึ โฉนดท่ีดินไวไ้ ม่คนื ให้แก่ลูกหน้กี ไ็ มอ่ าจทำ� ได้เช่นกัน
ตัวอย่าง นายเอกู้ยืมเงินจากนายบี โดยน�ำที่ดินของตนมาจ�ำนองกันเอง และมีการส่งมอบโฉนดที่ดิน
ดงั กลา่ วใหน้ ายบยี ึดถอื ไว้เป็นประกันหนี้ ดังน้ีสัญญาจำ� นองท่ที ำ� กันเองไมม่ ผี ลตามกฎหมายและตกเปน็ “โมฆะ”
เพราะมไิ ด้ท�ำตามแบบที่กฎหมายก�ำหนด คือ มไิ ดน้ �ำไปจดทะเบยี นตอ่ พนักงานเจ้าหนา้ ท่ ี

หนว่ ยการเรียนรู้ที่ 9 183

ตัวอยา่ ง (ท.ด.15)


หนงั สอื สญั ญาจ�ำนองทดี่ นิ

โฉนดท.่ี .................................................เลขทดี่ นิ ......................หนา้ สำ� รวจ................................................................................
ต�ำบล.....................................................อำ� เภอ...........................................................จงั หวัด...............................................................
หนงั สอื สัญญานี้ไดท้ ำ� เมอื่ วันท.ี่ .................เดือน..........................................................พทุ ธศักราช.....................................
ณ ส�ำนกั งานทีด่ นิ จังหวัด......................................................................................................................................................................
.......................................................................... ....................
ระหวา่ ง .......................................................................... อายุ .................... ปี ผจู้ ำ� นอง สญั ชาติ ..............................
.......................................................................... ....................
บตุ ร.....................................................................................................อยทู่ บี่ า้ นเลข ท.ี่ ..................................................หมทู่ .ี่ .................
ตำ� บล......................................................................อำ� เภอ...........................................................จังหวดั ..............................................
.......................................................................... ....................
กบั .......................................................................... อาย ุ .................... ป ี ผรู้ ับจ�ำนอง สัญชาติ ............................
.......................................................................... ....................
บุตร...........................................................................อยูท่ ่ีบ้านเลขท.ี่ .......................................................หมทู่ ่.ี .....................................
ต�ำบล...............................................................อำ� เภอ.............................................................จงั หวัด ..................................................
ทง้ั สองฝ่ายไดต้ กลงทำ� สัญญากันดังตอ่ ไปนี้ คือ
ข้อ 1 ผู้จำ� นองตกลงจำ� นองทดี่ นิ แปลงท่กี ล่าวขา้ งบนนีท้ ้ังแปลงแก่ผ้รู บั จ�ำนองเพอ่ื เปน็ ....................................................
ประกัน...................................................................................................................................................................................................
เป็นจ�ำนวนเงิน............................................................บาท โดยให้ดอกเบ้ียร้อยละ.......................................................................ต่อปี
และตกลงน�ำสง่ ดอกเบย้ี ................................................ครงั้ เสมอไป
ข้อ 2 ผูร้ บั จ�ำนองตกลงรับจ�ำนองที่ดินแปลงนี้ตามขอ้ ตกลงในข้อ 1 ทกุ ประการ
ข้อ 3 ผจู้ �ำนองไดร้ ับเงนิ เป็นการเสรจ็ แล้ว
ขอ้ 4 .................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................
ท้ังสองฝ่ายได้ตกลงกันยอมให้.....................................................................เป็นผู้ถือโฉนดที่ดินรายน้ีในระหว่างเวลาที่ใช้
สัญญาจำ� นองน้ี
หนังสือสัญญานี้ได้ท�ำเป็นสามฉบับ มีข้อความตรงกันส�ำหรับส�ำนักงานที่ดินหน่ึงฉบับ ผู้ซื้อไว้ฉบับหนึ่ง (ฉบับน้ีส�ำหรับ
.......................................................................................................)
ทง้ั สองฝา่ ยไดต้ รวจดหู นงั สอื สญั ญาจำ� นองและเขา้ ใจขอ้ ความตลอดแลว้ จงึ ไดล้ งลายมอื ชอ่ื หรอื พมิ พล์ ายนว้ิ มอื ไวเ้ ปน็ สำ� คญั
ต่อหน้าพยานและเจ้าพนักงานทดี่ ิน
(ลงลายมือชอื่ ผู้จ�ำนอง)............................................................
(ลงลายมอื ช่อื ผรู้ ับจ�ำนอง)........................................................
(ลงลายมอื ชื่อพยาน)................................................................
(ลงลายมอื ชอ่ื พยาน).................................................................

หนงั สอื สญั ญาฉบบั นไ้ี ดท้ ำ� ตอ่ หนา้ ....................................เจา้ พนกั งานทด่ี นิ
ประทับตราตำ� แหน่งเปน็ ส�ำคญั

184 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

3. ขอบเขตสิทธทิ ่จี �ำนอง

ค�ำว่า “สิทธิจ�ำนอง” หมายถึง สิทธิจ�ำนองครอบทรัพย์สินที่จ�ำนอง มีขอบเขตที่กฎหมายบัญญัติไว้
4 ประการ ดังน้ี
3.1 เพื่อประกันการช�ำระหน้ีประธานและหนี้อุปกรณ์ ทรัพย์สินซึ่งจ�ำนองย่อมเป็นการประกันเพ่ือ
การช�ำระหน้ีกับท้ังอุปกรณ์ต่อไปด้วย“ทรัพย์ที่จ�ำนองท�ำขึ้นเพื่อเป็นการประกันการช�ำระหน้ี” หมายถึง มูลหนี้
หรือหนี้ประธาน และให้รวมถึงหน้ีอุปกรณ์ต่าง ๆ ด้วย (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 715)
หน้ีอปุ กรณห์ รอื คา่ อุปกรณน์ น้ั ไดแ้ ก่
3.1.1 ดอกเบี้ย
3.1.2 ค่าสินไหมทดแทนในการไม่ช�ำระหน้ี หมายถึง ค่าเสียหายซึ่งผู้รับจ�ำนองหรือเจ้าหนี้ได้รับ
อันเน่ืองมาจากการไม่ชำ� ระหนข้ี องลกู หน้ี
3.1.3 ค่าฤชาธรรมเนียมในการบังคับจ�ำนอง เน่ืองจากการบังคับจ�ำนองจะต้องน�ำคดีขึ้นฟ้อง
ตอ่ ศาล เพอ่ื ขอใหศ้ าลมคี �ำพพิ ากษาสั่งยึดและน�ำทรัพย์ทจ่ี ำ� นองออกขายทอดตลาด การด�ำเนนิ ตามขั้นตอนตา่ ง ๆ
ต้องมคี า่ ธรรมเนยี ม เชน่ คา่ ข้ึนศาล ค่าธรรมเนยี มในการขายทอดตลาด เปน็ ต้น
3.2 ครอบทรพั ยส์ นิ ทกุ สงิ่ ทจ่ี ำ� นอง สทิ ธจิ ำ� นองยอ่ มครอบทรพั ยส์ นิ ทกุ สงิ่ ทจ่ี ำ� นอง การจำ� นองทรพั ยส์ นิ
หลายสงิ่ จ�ำนองจงึ ยอ่ มครอบไปถงึ บรรดาทรพั ย์สินซง่ึ จำ� นองหมดทุกสง่ิ แมจ้ ะได้ช�ำระหน้แี ลว้ บางส่วน (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 716) คำ� วา่ “ชำ� ระหนบ้ี างสว่ น” คอื ลกู หนชี้ ำ� ระหนไี้ ปบา้ งแลว้ แตไ่ มห่ มด ทรพั ย์
ท่ีจ�ำนองไว้ทุกส่วนก็ยังประกันหนี้ทั้งหมด แม้หน้ีประธานจะลดลง แต่หน้ีจ�ำนองคือหน้ีอุปกรณ์ยังเป็นประกันหน้ี
ทกุ ส่วนเหมอื นเดมิ
3.3 ครอบทรพั ยส์ นิ ทกุ สว่ นทจี่ ำ� นอง ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 717 บญั ญตั ใิ หท้ รพั ยส์ นิ
ที่น�ำมาจ�ำนองประกันหนี้แบ่งออกได้เป็นหลายส่วน จ�ำนองก็ยังครอบไปถึงส่วนเหล่านั้นหมดทุกส่วน เว้นแต่ผู้รับ
จ�ำนองจะยินยอมให้ส่วนใดส่วนหน่ึงปลดจ�ำนอง คือ ให้พ้นจากการติดจ�ำนองและความยินยอมให้ปลดจาก
การจำ� นองหน้ตี อ้ งท�ำการจดทะเบยี นไว้ มิฉะนัน้ จะยกเปน็ ข้อตอ่ ส้บู ุคคลภายนอกไมไ่ ด้
3.4 จำ� นองยอ่ มครอบไปถงึ ทรพั ยส์ นิ ทงั้ ปวงอนั ตดิ พนั อยกู่ บั ทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นอง แตต่ อ้ งอยภู่ ายในบงั คบั
ซ่ึงจ�ำกัดไว้ 3 ประการ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 718) มาตรานี้วางหลักไว้ว่า สิทธิจ�ำนอง
ยอ่ มครอบไปถงึ ทรพั ยท์ ง้ั ปวงอันตดิ พนั อยู่กับทรัพย์สนิ ซง่ึ จ�ำนอง เชน่ จำ� นองท่ดี ินย่อมครอบไปถงึ บ้านซง่ึ ปลกู อยู่
ในที่ดนิ นน้ั เพราะบา้ นเปน็ ส่วนควบของทดี่ นิ เปน็ ตน้ แต่อย่างไรกต็ ามกฎหมายบญั ญตั ิไวใ้ ห้อยูภ่ ายใต้บังคบั ของ
3 ประการ ดังนี้
3.4.1 จำ� นองทด่ี นิ ไมค่ รอบไปถงึ โรงเรอื นอนั ผจู้ ำ� นองปลกู สรา้ งลงภายหลงั วนั จำ� นอง เวน้ แตส่ ญั ญา
ระบไุ วใ้ หค้ รอบไปถงึ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 719)

หนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 9 185

3.4.2 จ�ำนองโรงเรือนหรือสิ่งปลูกสร้างอย่างอ่ืนซึ่งได้ท�ำข้ึนไว้บนดินหรือใต้ดิน ในที่ดิน
อันเป็นของบุคคลอื่นย่อมไม่ครอบไปถึงที่ดินนั้น ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 720) หมายความวา่ การจ�ำนองโรงเรือนของตนเองหรือสิ่งปลูกสรา้ งอย่างอ่ืนซง่ึ ปลูกอยใู่ นทด่ี นิ ของบุคคล
อ่ืนแล้ว สิทธิจ�ำนองย่อมครอบไปไม่ถึงท่ีดินของบุคคลอื่น ส่วนค�ำว่า “ฉันใดกลับกันก็ฉันนั้น” หมายความว่า
ในทางกลับกัน ถ้าจ�ำนองท่ีดินหรือสิ่งปลูกสร้างของผู้อ่ืนปลูกอยู่บนที่ดินท่ีจ�ำนองนั้น ไม่ว่าจะปลูกสร้างก่อน
หรอื หลงั การจ�ำนองย่อมไมค่ รอบไปถึงโรงเรือนหรือสิง่ ปลูกสรา้ งของผ้อู ืน่ ดว้ ยเชน่ กนั
3.4.3 จ�ำนองไม่ครอบไปถึงดอกผลแห่งทรัพย์สินซึ่งจ�ำนอง เว้นแต่เม่ือผู้รับจ�ำนองได้บอกกล่าว
ผ้จู �ำนองหรอื ผูร้ บั โอนแล้วว่าตนจะบงั คับจำ� นอง (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 721)
คำ� วา่ “ดอกผลแห่งทรพั ยส์ ิน” หมายถงึ ดอกผลธรรมดาและดอกผลนติ นิ ยั ตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 148
ดอกผลธรรมดา หมายถึง ส่ิงท่ีเกิดข้ึนตามธรรมชาติของทรัพย์สินซ่ึงได้มาจากตัวทรัพย์ โดยการ
มีหรือใช้ทรัพย์ตามปกตินิยม และสามารถถือเอาได้เมื่อขาดจากทรัพย์นั้น เช่น ผลมะม่วงคือดอกผลจาก
ต้นมะมว่ ง ซึ่งออกมาตามธรรมดาโดยธรรมชาติ ขนแกะเป็นดอกผลธรรมดาโดยธรรมชาตขิ องแกะ เป็นตน้
ดอกผลนติ ินยั เป็นดอกผลออกมาโดยกฎหมาย หมายถงึ ทรัพยห์ รอื ประโยชนอ์ ย่างอ่ืนทไ่ี ดม้ าเป็น
ครั้งคราวแก่เจ้าของทรัพย์จากผู้อื่นเพื่อการท่ีได้ใช้ทรัพย์น้ัน และสามารถค�ำนวณและถือเอาได้เป็นรายวัน หรือ
ตามระยะเวลาท่ีกำ� หนดไว้ เช่น ดอกเบ้ยี เป็นดอกผลจากสญั ญากูย้ มื เงนิ คา่ เชา่ บ้านเปน็ ดอกผลจากสัญญาเช่าบา้ น
เปน็ ต้น
ดอกผลดงั กลา่ วขา้ งตน้ จำ� นองไมค่ รอบไปถงึ เวน้ แตไ่ ดม้ กี ารบอกกลา่ วหรอื ตกลงลว่ งหนา้ วา่ จะบงั คบั
จำ� นอง

4. สิทธแิ ละหนา้ ทข่ี องผจู้ ำ� นองและผูร้ ับจ�ำนอง

สิทธิและหน้าที่ของผู้จ�ำนองและผู้รับจ�ำนองจะมีประการใดย่อมเป็นไปตามกฎหมาย อย่างไรก็ตาม
หากมีกฎหมายลักษณะจ�ำนองบัญญัติไว้ ให้คู่สัญญาตกลงกันไว้เท่าที่ไม่ขัดต่อบทบัญญัติของกฎหมายก็เป็นไป
ตามท่ีตกลงกันไวใ้ นสัญญาจำ� นองนน้ั แยกพจิ ารณาไดด้ ังนี้

4.1 สทิ ธิของผู้จำ� นอง

4.1.1 สทิ ธทิ จี่ ะเอาทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นองไวไ้ ปโอนตอ่ ได้ ทง้ั นเี้ พราะการจำ� นองเปน็ เพยี งนำ� ทรพั ยส์ นิ ตราไว้
เป็นจ�ำนองเท่านั้น ผู้จ�ำนองยังเป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิในทรัพย์สินที่จ�ำนองและมีสิทธิที่จะจ�ำหน่ายโอนทรัพย์สิน
ของตนได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336 และสอดคล้องกับประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา 702 วรรคท้าย ที่วา่ “ผูร้ บั จำ� นองชอบที่จะได้รับชำ� ระหนจ้ี ากทรพั ยส์ นิ ที่จำ� นองกอ่ นเจา้ หนสี้ ามญั
มพิ กั ต้องพเิ คราะห์วา่ กรรมสิทธใ์ิ นทรพั ยส์ นิ จะไดโ้ อนไปยงั บคุ คลภายนอกแลว้ หรือหาไม”่ จงึ ยืนยันได้ว่าทรัพยส์ นิ
ทจี่ �ำนองนน้ั ผ้จู �ำนองมีสิทธโิ อนตอ่ ไปยังบุคคลภายนอกได้

186 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

4.1.2 สิทธิที่จะเอาทรัพย์สินท่ีจ�ำนองไปจ�ำนองต่อได้ ดังได้กล่าวมาแล้วว่าทรัพย์สินที่จ�ำนองเม่ือ
จ�ำนองแล้วสามารถจ�ำนองกับผู้อ่ืนได้อีก (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 712) ซ่ึงเป็นสิทธิของ
ผู้จ�ำนองโดยชอบด้วยกฎหมาย ฉะนั้นหากมีข้อตกลงในสัญญาจ�ำนองว่า “ห้ามผู้จ�ำนองน�ำทรัพย์สินน้ันไปจ�ำนอง
ต่ออีก” ข้อตกลงน้ีก็ใช้บังคับไม่ได้ ปัจจุบันในทางปฏิบัติผู้รับจ�ำนองจะยึดเอกสารสิทธิ์ท่ีจ�ำนองไว้ เช่น ธนาคาร
ยึดโฉนดที่ดนิ ซ่งึ ใช้จำ� นองไว้ ท�ำใหไ้ ม่สามารถน�ำทรัพยส์ ินจ�ำนองต่อไปไดอ้ กี เปน็ ตน้
4.1.3 สิทธิช�ำระหนี้ล้างจ�ำนองเป็นงวด ๆ สิทธิของผู้จ�ำนองโดยกฎหมาย (ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณชิ ย์ มาตรา 713) กลา่ วคอื ถา้ มไิ ดต้ กลงกนั ไวเ้ ปน็ อยา่ งอน่ื ในสญั ญาจำ� นองผจู้ ำ� นองจะชำ� ระหนลี้ า้ งจำ� นองเปน็
งวด ๆ ก็ได้ แต่ข้อพึงระลึกก็คือ การช�ำระหน้ีแต่ละงวดนั้นต้องน�ำความไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ีด้วย
มิฉะน้ันจะยกขนึ้ เปน็ ขอ้ ต่อสบู้ คุ คลภายนอกไมไ่ ด้
4.1.4 สิทธิไล่เบี้ยเอาจากลูกหน้ีเม่ือช�ำระหนี้แทน หมายถึง บุคคลภายนอกได้เข้ามาจ�ำนองประกัน
การชำ� ระหนขี้ องลกู หน้ี เมอื่ ลกู หนไี้ มช่ ำ� ระผจู้ ำ� นองกต็ อ้ งชำ� ระแทน โดยเจา้ หนจ้ี ำ� นองจะบงั คบั จำ� นองเอาทรพั ยส์ นิ
ท่ีจ�ำนองเป็นประกันน้ัน เมื่อช�ำระหน้ีหรือถูกเจ้าหน้ีบังคับจ�ำนองตามค�ำพิพากษาไปแล้วก็มีสิทธิเรียกร้อง คือ
ไล่เบย้ี ใหล้ กู หนี้ช�ำระหน้คี ืนให้กบั ตนได้
4.1.5 สทิ ธขิ องผจู้ ำ� นองคนหลงั ยอ่ มหลดุ พน้ จากความรบั ผดิ เมอื่ ผจู้ ำ� นองคนกอ่ นไดร้ บั การปลดจำ� นอง
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 726) สิทธิของผู้จ�ำนองตามมาตรานี้ เป็นกรณีที่ผู้จ�ำนองหลายคน
ตา่ งจำ� นองทรพั ยส์ นิ ของตน เปน็ ประกนั หนร้ี ายเดยี วกนั และมกี ารระบลุ ำ� ดบั บงั คบั จำ� นองกอ่ นหลงั ไว ้ ตามประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 710 การบงั คบั จำ� นองจงึ จะเปน็ ไปตามล�ำดบั ในสัญญา
4.1.6 สิทธิของผู้จ�ำนองหลุดพ้น กรณีผู้ค้�ำประกัน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 727)
เป็นบทบัญญัติให้น�ำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 697 มาตรา 700 และมาตรา 701 ลักษณะ
คำ้� ประกันมาใชบ้ ังคับ
4.1.7 ผู้จ�ำนองไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้จ�ำนองร่วมคนอ่ืน กรณีบุคคลหลายคนต่างจ�ำนองทรัพย์สิน
ของตนประกันหน้ีรายเดียวกัน โดยมิได้ระบุล�ำดับการบังคับจ�ำนองไว้ ถ้าผู้จ�ำนองรายใดช�ำระหน้ีให้ผู้รับจ�ำนอง
หรอื ตนถูกบังคบั จำ� นอง ซ่งึ เจ้าหนีม้ ีสิทธบิ ังคบั จ�ำนองรายใดกไ็ ด้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 725)
ซ่ึงไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้จ�ำนองคนอ่ืน ๆ คงมีสิทธิไล่เบ้ียได้ เพราะลูกหน้ีซึ่งตนค้�ำประกันตามประมวลกฎหมาย
แพ่งและพาณิชย์ มาตรา 724 เทา่ นนั้ เพราะผจู้ �ำนองเหล่านั้นไมไ่ ด้รบั ผิดซึง่ กนั และกนั อยา่ งลกู หน้ีรว่ ม
อน่ึง การจ�ำนองประกันหน้ีของลูกหนี้เท่ากับเป็นการให้สัญญาต่อเจ้าหน้ีว่า ถ้าลูกหนี้ไม่ช�ำระหน้ีก็ให้
เจ้าหนี้บังคับช�ำระได้ ต่างกับการค�้ำประกันด้วยบุคคลที่ค�้ำประกัน สัญญาว่าถ้าลูกหน้ีไม่ช�ำระ ผู้ค้�ำประกันจะ
ชำ� ระหนี้ให้ และมีสิทธิให้เจ้าหนีต้ อ้ งบังคบั เอาจากทรพั ยส์ นิ ของลูกหน้กี ่อน แตก่ ารจำ� นองไม่มสี ิทธิเชน่ นี้เพราะตน
ไดใ้ ห้ผ้รู ับจ�ำนองบงั คบั เอาจากทรพั ย์สนิ ที่จำ� นองตัง้ แต่ท�ำสัญญาจ�ำนองแลว้ (คำ� พิพากษาฎกี าท่ี 1187/2517)
ข้อสังเกต ผู้จ�ำนองไม่มีสิทธิไล่เบี้ยเอาแก่ผู้จ�ำนองร่วมคนอ่ืน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 725) ต่างจากเรื่องค�้ำประกันตาม มาตรา 682 วรรค 2 ซึ่งเปน็ กรณผี ู้ค�ำ้ ประกนั หลายคน กฎหมายใหถ้ ือว่า
เป็นลูกหนี้ร่วม ผู้ค�้ำประกันคนหนึ่งช�ำระหนี้ให้กับเจ้าหนี้ไปแล้ว มีสิทธิไล่เบ้ียเอากับผู้ค้�ำประกันคนอื่น ๆ ได้
แต่จำ� นองท�ำไมไ่ ด้

หน่วยการเรยี นรทู้ ี่ 9 187

4.2 หน้าท่ขี องผ้จู �ำนอง

ผู้จำ� นองมีหนา้ ท่ีตอ่ ผรู้ บั จ�ำนอง ดังตอ่ ไปนี้
4.2.1 หน้าท่ีช�ำระหนี้ให้แก่ผู้รับจ�ำนอง เม่ือหน้ีประธานถึงก�ำหนดช�ำระแต่ลูกหนี้ไม่ช�ำระหน้ีให้แก่
เจา้ หนซ้ี ง่ึ เปน็ ผรู้ บั จำ� นอง ผจู้ ำ� นองจงึ ตอ้ งชำ� ระหนแี้ ทนลกู หนไี้ ป มฉิ ะนน้ั ผรู้ บั จำ� นองชอบทจ่ี ะบงั คบั จำ� นองทรพั ยส์ นิ
ท่จี ำ� นองได้และผ้จู ำ� นองจะช�ำระหนี้อย่างไรนน้ั แยกพจิ ารณาได้ดังน้ี
1) ผจู้ �ำนองจะช�ำระหนล้ี า้ งจ�ำนองเปน็ งวด ๆ กไ็ ด้ ถ้าไม่ได้ตกลงกันไว้เปน็ อยา่ งอนื่ ในสญั ญาจ�ำนอง
2) การช�ำระหนี้ไม่ว่าคร้ังใด ๆ โดยสิ้นเชิง หรือแต่เพียงบางส่วนก็ดี การระงับหน้ีอย่างใด ๆ ก็ดี
ตอ้ งน�ำความไปจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี
4.2.2 หน้าท่ีรักษาทรัพย์สินที่จ�ำนองมิให้สูญหายหรือบุบสลาย การจ�ำนองน้ัน ผู้จ�ำนองไม่ได้ส่งมอบ
ทรพั ยส์ นิ ใหแ้ กผ่ รู้ บั จำ� นอง เพยี งแตผ่ จู้ ำ� นองนำ� ทรพั ยไ์ ปตราไวเ้ ทา่ นน้ั แตผ่ จู้ ำ� นองยงั ครอบครองทรพั ยส์ นิ ตามปกติ
ดังนั้นผู้จ�ำนองต้องระวังป้องกันไม่ให้ทรัพย์สินนั้นสูญหายหรือบุบสลายไป หากทรัพย์สินสูญหายหรือบุบสลาย
แล้วก็ย่อมเป็นเหตุให้ไม่เพียงพอแก่การประกันหน้ี ผู้รับจ�ำนองชอบท่ีจะบังคับจ�ำนองได้ทันที เว้นแต่เมื่อเหตุน้ัน
ไม่ได้เป็นเพราะความผิดของผู้จ�ำนอง และผู้จ�ำนองก็เสนอจะจ�ำนองทรัพย์สินอื่นแทนให้มีราคาเพียงพอ หรือ
เสนอจะรับซ่อมแซมแกไ้ ขความบุบสลายนั้นภายในเวลาอนั สมควรแกเ่ หตุ

4.3 สิทธขิ องผูร้ ับจำ� นอง

4.3.1 สทิ ธจิ ะไดร้ บั ชำ� ระหนกี้ อ่ นเจา้ หนส้ี ามญั ผรู้ บั จำ� นองชอบทจี่ ะไดร้ บั ชำ� ระหนจ้ี ากทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นอง
ก่อนเจ้าหน้ีสามัญ มิพักต้องพิเคราะห์ว่ากรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินนั้นจะโอนไปยังบุคคลภายนอกแล้วหรือหาไม่
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 702 วรรคทา้ ย) จ�ำนองเป็น “ทรพั ยสทิ ธิ” หมายความว่า ตราบใด
ท่ียังไมไ่ ด้มีการไถ่ถอนจำ� นอง สิทธิจ�ำนองย่อมตดิ ไปกับตัวทรพั ย์นัน้ เสมอ
4.3.2 สิทธิผู้รับจ�ำนองคนก่อนได้รับช�ำระหน้ีก่อนผู้รับจ�ำนองคนหลัง กล่าวคือ ทรัพย์สินอันหน่ึง
อันเดยี วมีผู้รับจ�ำนองไว้หลายคน ผรู้ ับจำ� นองคนกอ่ นจะไดร้ ับชำ� ระหน้กี ่อนผู้รบั จำ� นองคนหลงั
4.3.3 สิทธิขอให้ลบทรัพยสิทธิท่ีจดทะเบียนภายหลังการจ�ำนอง (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 722) สิทธทิ ่อี าจจดทะเบียนภายหลงั ได้ เชน่ ภาระจำ� ยอม สิทธิอาศัย สทิ ธิเกบ็ กนิ เป็นต้น
4.3.4 สิทธิในการบังคับจ�ำนอง เม่ือลูกหน้ีผิดนัดไม่ช�ำระหนี้ ผู้รับจ�ำนองย่อมมีสิทธิบังคับจ�ำนองได้
หลักส�ำคัญประการหน่ึงของสัญญาจ�ำนองก็คือ หากลูกหน้ีไม่ช�ำระหนี้ให้ผู้รับจ�ำนองบังคับจ�ำนองได้ ดังน้ันเมื่อ
ลกู หน้ีผดิ นดั ไม่ชำ� ระหนี้ ผูร้ ับจำ� นองก็สามารถบังคบั จ�ำนองได้ การบงั คับจำ� นองนี้ถอื วา่ เป็นกรณีปกติ
สัญญาจ�ำนองเป็นการให้สัญญาแก่ผู้รับจ�ำนองว่า ถ้าลูกหนี้ไม่ช�ำระหน้ีให้ผู้รับจ�ำนองบังคับจ�ำนองได้
และยังมีบางกรณีถึงแม้หน้ียังไม่ถึงก�ำหนดช�ำระลูกหนี้ยังไม่ผิดนัด กฎหมายก็ให้สิทธิผู้รับจ�ำนองบังคับจ�ำนองได้
หากปรากฏตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 723 คือ ปรากฏว่าทรัพย์ท่ีจ�ำนองบุบสลายเป็นเหตุ
ใหไ้ มเ่ พยี งพอแกก่ ารประกนั ไซร้ ผรู้ บั จำ� นองจะบงั คบั จำ� นองเสยี ทนั ทที นั ใดกไ็ ด้ เวน้ แตเ่ หตนุ นั้ มไิ ดเ้ ปน็ ความยนิ ยอม
ของผจู้ ำ� นอง และผจู้ ำ� นองกไ็ ดเ้ สนอทรพั ยส์ นิ อน่ื แทนมรี าคาเพยี งพอ หรอื เสนอจะรบั ซอ่ มแซมแกไ้ ขความบบุ สลาย
น้ันภายในเวลาอันสมควรแก่เหตุแล้ว


Click to View FlipBook Version