The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by , 2022-06-12 06:59:20

ilovepdf_merged (1)

ilovepdf_merged (1)

188 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

4.4 หน้าทข่ี องผู้รับจ�ำนอง

เน่ืองจากสาระส�ำคัญบางประการในลักษณะจ�ำนองคล้ายกับลักษณะค�้ำประกัน กฎหมายจึงให้น�ำเอา
บทบญั ญตั บิ างมาตราว่าด้วยคำ้� ประกนั เฉพาะในส่วนทค่ี ลา้ ยกบั ลักษณะจำ� นองมาบงั คบั ใช้ในลักษณะจำ� นองดว้ ย
ตามสมควร เชน่ การกระทำ� ของผรู้ บั จำ� นองเปน็ เหตใุ หผ้ จู้ ำ� นองไมอ่ าจเขา้ รบั ชว่ งสทิ ธไิ ดท้ ง้ั หมดหรอื แตบ่ างสว่ นกด็ ี
ผู้จ�ำนองย่อมหลุดพ้นความรับผิดเพียงเท่าท่ีตนเสียหาย หรือกรณีหนี้มีก�ำหนดเวลาช�ำระหน้ีแน่นอนและหน้ี
ถึงก�ำหนดช�ำระแล้ว ผู้รับจ�ำนองต้องรับช�ำระหนี้จากลูกหนี้ หรือกรณีผู้รับจ�ำนองผ่อนเวลาให้ลูกหนี้โดยผู้จ�ำนอง
ไมย่ นิ ยอม ผจู้ �ำนองย่อมพ้นความรบั ผดิ เป็นต้น

5. การบังคบั จ�ำนองและความระงบั แห่งสญั ญาจ�ำนอง

5.1 การบังคบั จำ� นอง

เมื่อ­ลูกหน้ีผิดนัดไม่ช�ำระหนี้ เจ้าหนี้ผู้รับจ�ำนองมีสิทธิที่จะเลือกฟ้องตามมูลหนี้ประธานหรือฟ้องตามมูล
หน้ีจ�ำนองก็ได้ การฟ้องตามมูลหนี้จ�ำนอง คือ การฟ้องขอให้มีการบังคับจ�ำนองแก่ทรัพย์สินที่จ�ำนองเป็น
ประกนั หน้ี
การฟ้องร้องเป็นคดีต่อศาล ในกรณีท่ีลูกหน้ีเป็นผู้จ�ำนองทรัพย์สินของตนเอง และลูกหน้ีผิดนัดไม่ช�ำระ
หน้ีนัน้ เจ้าหนีม้ สี ิทธิฟอ้ งลูกหนีไ้ ด้วิธีใดวธิ ีหนึง่ ดังน้ี
5.1.1 ฟอ้ งบังคบั จำ� นอง มดี งั น้ี
1) ใหเ้ อาทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นองออกขายทอดตลาด เปน็ การนำ� เงนิ มาชำ� ระหนใ้ี หแ้ กผ่ รู้ บั จำ� นอง หรอื
2) ให้ทรพั ยส์ นิ ทจี่ �ำนองหลดุ เป็นกรรมสทิ ธ์ขิ องผู้รบั จ�ำนอง
5.1.2 ฟ้องอย่างเจ้าหน้ีสามัญ เป็นการที่ผู้รับจ�ำนองฟ้องลูกหนี้ให้ช�ำระหนี้โดยอาศัยมูลหนี้ประธาน
มิได้ฟ้องโดยอาศัยมูลหน้ีอุปกรณ์ คือ สัญญาจ�ำนอง แต่ถ้าลูกหน้ีมิได้เป็นผู้จ�ำนองทรัพย์สินของตนเองแล้ว
ผู้รบั จ�ำนองจะฟ้องผู้จ�ำนองอย่างเจา้ หน้สี ามัญไมไ่ ด้ แต่จะฟ้องบังคบั จำ� นองเอาแกผ่ จู้ ำ� นองได้
5.1.3 วธิ ีบงั คับจ�ำนอง มดี งั น้ี
1) วธิ กี ารบงั คบั จำ� นองโดยเอาทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นองออกขายทอดตลาด ตามประมวลกฎหมายแพง่
และพาณชิ ย์ มาตรา 728 บัญญัติไว้วา่ “เม่ือจะบงั คบั จ�ำนองนั้น ผู้รับจำ� นองต้องมีจดหมายบอกกล่าวไปยงั ลกู หน้ี
ก่อนว่าให้ช�ำระหนี้ภายในเวลาอันสมควร ซ่ึงก�ำหนดให้ในค�ำบอกกล่าวน้ัน ถ้าและลูกหน้ีละเลยเสียไม่ไปปฏิบัติ
ตามค�ำบอกกล่าว ผูร้ ับจ�ำนองจะฟ้องคดีตอ่ ศาลเพอื่ ให้พพิ ากษาส่งั ให้ยึดทรพั ยส์ ินซง่ึ จ�ำนองและให้ขายทอดตลาด
กไ็ ด”้
การบังคบั จ�ำนองโดยเอาทรัพยส์ นิ ทีจ่ �ำนองออกขายทอดตลาด มีวธิ ีปฏิบตั ดิ งั นี้
(1) ผู้รับจ�ำนองต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหน้ีให้ช�ำระหน้ีในเวลาอันสมควร ค�ำบอก
กล่าวนี้จะต้องเป็นหนังสือหรือจดหมาย ผู้รับจ�ำนองจะบอกกล่าวแก่ลูกหนี้ด้วยวาจาไม่ได้ ค�ำบอกกล่าวน้ีจะต้อง
ระบเุ วลาใหล้ กู หนชี้ ำ� ระดว้ ย เชน่ ใหล้ กู หนช้ี ำ� ระภายใน 15 วนั หรอื 30 วนั นบั แตว่ นั ไดร้ บั หนงั สอื บอกกลา่ ว เปน็ ตน้
ถ้าผู้รับจ�ำนองฟ้องบังคับจ�ำนองโดยไม่ได้มีหนังสือบอกกล่าวไปยังลูกหนี้ให้ช�ำระหนี้ในเวลาอันสมควรแล้ว ศาล
จะพิพากษายกฟ้องคดีบังคับจำ� นองของผรู้ บั จ�ำนองเสีย

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 9 189

(2) ผู้รับจ�ำนองต้องฟ้องคดีต่อศาลเพื่อให้พิพากษาสั่งให้ยึดทรัพย์สินซ่ึงจ�ำนองขายทอดตลาด
เม่ือผู้รับจ�ำนองบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหน้ีให้ช�ำระหนี้ในเวลาอันสมควรแล้ว หากลูกหนี้ยังไม่ช�ำระหน้ี
ตามกำ� หนดเวลาทก่ี ำ� หนดทร่ี ะบไุ วใ้ นคำ� บอกกลา่ ว ผรู้ บั จำ� นองตอ้ งฟอ้ งคดตี อ่ ศาลเพอื่ ใหพ้ พิ ากษาสงั่ ใหย้ ดึ ทรพั ยส์ นิ
ทจ่ี ำ� นองออกขายทอดตลาด เพอื่ นำ� เงนิ มาชำ� ระหนี้ ผรู้ บั จำ� นองไมม่ อี ำ� นาจจะไปยดึ ทรพั ยส์ นิ ของลกู หนมี้ าขายทอด
ตลาดเอง โดยไมฟ่ อ้ งคดตี อ่ ศาลไม่ไดเ้ ปน็ อันขาด

2) วธิ ีการบงั คับจ�ำนองโดยเอาทรพั ย์สินที่จ�ำนองหลุดเปน็ กรรมสทิ ธิ์ ประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณิชย์ มาตรา 729 บญั ญัตไิ ว้ว่า “นอกจากทางแกด้ ังบัญญตั ไิ วใ้ นมาตราก่อนนน้ั ผรู้ บั จำ� นองยังชอบท่จี ะเรยี ก
เอาทรัพยจ์ �ำนองหลดุ ได้ภายในบงั คบั แห่งเงือ่ นไข ดังจะกล่าวตอ่ ไปนี้
(1) ลกู หนไ้ี ด้ขาดสง่ ดอกเบีย้ มาแลว้ เป็นเวลาถงึ 5 ปี
(2) ผู้จ�ำนองมิได้แสดงให้เป็นท่ีพอใจแก่ศาลว่า ราคาทรัพย์สินน้ันท่วมจ�ำนวนเงินอันค้างช�ำระ
และ
(3) ไม่มกี ารจ�ำนองรายอ่นื หรือบรุ ิมสทิ ธิอน่ื ไดจ้ ดทะเบียนไว้เหนอื ทรัพยส์ นิ อนั เดียวกันนีเ้ อง”
อนึ่ง ทรพั ย์จำ� นองตอ้ งเป็นของลูกหนผี้ ูจ้ �ำนองเท่าน้นั จะเป็นของบคุ คลภายนอกมไิ ด้
การบังคับจ�ำนองโดยเอาทรัพย์สินทจี่ ำ� นองหลดุ เป็นกรรมสทิ ธแิ์ ก่ผู้รับจ�ำนอง มวี ิธีปฏิบตั ิดังน้ี
(1) ผรู้ ับจำ� นองตอ้ งบอกกล่าวเป็นหนงั สอื ไปยังลูกหนใ้ี หช้ �ำระหนี้ภายในระยะเวลาอันสมควร
(2) ผู้รับจ�ำนองต้องฟ้องคดีต่อศาลเพ่ือให้พิพากษาสั่งให้ทรัพย์สินท่ีจ�ำนองหลุดเป็นกรรมสิทธ์ิ
แก่ผู้รับจ�ำนอง เมื่อลูกหน้ีไม่ช�ำระหนี้ในเวลาอันสมควรซ่ึงก�ำหนดไว้ในค�ำบอกกล่าว และศาลจะพิพากษาส่ัง
ให้ทรพั ย์สนิ ท่จี �ำนองหลดุ เป็นกรรมสิทธแิ์ กผ่ ู้รบั จ�ำนองได้ จะตอ้ งเขา้ หลักเกณฑท์ ้ัง 4 ประการ ดงั น้ี
ก. ลกู หนไ้ี ดข้ าดสง่ ดอกเบยี้ มาแลว้ เปน็ เวลา 5 ปี เชน่ ลกู หนกี้ เู้ งนิ เจา้ หนโ้ี ดยนำ� ทด่ี นิ มาจำ� นองไว้
และลูกหน้ีไมไ่ ดส้ ง่ ดอกเบีย้ มาแลว้ เปน็ เวลาถึง 5 ปี เปน็ ต้น
ข. ผ้จู �ำนองมิได้แสดงใหเ้ ปน็ ท่พี อใจแก่ศาลว่า ราคาทรพั ย์สินนน้ั ท่วมจ�ำนวนเงินอันคา้ งชำ� ระ
ถา้ ผจู้ ำ� นองพสิ จู นไ์ ดว้ า่ ทรพั ยส์ นิ มรี าคามากกวา่ หนส้ี นิ แลว้ ผรู้ บั จำ� นองจะเอาทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นองหลดุ เปน็ กรรมสทิ ธ์ิ
ไม่ได้
ค. ไม่มีการจ�ำนองรายอ่ืนหรือบุริมสิทธิอื่นท่ีได้จดทะเบียนไว้เหนือทรัพย์สินอันเดียวกันนี้เอง
ถา้ มกี ารจำ� นองรายอน่ื หรอื บรุ มิ สทิ ธอิ นื่ ทไี่ ดจ้ ดทะเบยี นไวเ้ หนอื ทรพั ยส์ นิ อนั เดยี วกนั นแ้ี ลว้ ผรู้ บั จำ� นองจะเอาทรพั ย์
ทจี่ �ำนองหลดุ เปน็ กรรมสทิ ธ์ไิ ม่ได้
ง. ทรัพย์ทีจ่ ำ� นองต้องเป็นของลูกหนผ้ี ูจ้ �ำนองเทา่ น้นั
ผู้รับโอนทรัพย์สินซึ่งจ�ำนองท�ำให้ทรัพย์สินนั้นเส่ือมราคาหรือเพิ่มราคา ถ้าผู้รับโอนทรัพย์สิน
ซึ่งจ�ำนองท�ำให้ทรัพย์สินน้ันเสียหาย หรือเสื่อมราคาลงเพราะความผิดของผู้รับโอนแล้ว ผู้รับโอนจะต้องรับผิด
ชดใชค้ า่ เสียหายให้แกเ่ จา้ หน้ี แต่ถา้ ผรู้ บั โอนท�ำใหท้ รพั ยส์ ินดขี นึ้ ผู้รบั โอนจะเรยี กร้องค่าใชจ้ า่ ยที่เสียไปจากเจ้าหน้ี
ไม่ได้ ถ้าผู้รับโอนท�ำให้ทรัพย์สินมีราคาเพิ่มขึ้น ผู้รับโอนย่อมจะเรียกร้องเอาค่าใช้จ่ายท่ีเสียไปจากเจ้าหนี้ได้เท่า
จ�ำนวนราคาทีง่ อกขึน้ เมอ่ื ขายทอดตลาดเท่านนั้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 743)

190 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

3) เมอื่ บงั คบั จำ� นองแลว้ ลกู หนไี้ มต่ อ้ งรบั ผดิ ในสว่ นทข่ี าด ในการบงั คบั จำ� นองนนั้ ถา้ เอาทรพั ยส์ นิ
ซึ่งจ�ำนองหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้รับจ�ำนอง ราคาแห่งทรัพย์สินต่�ำกว่าจ�ำนวนเงินอันค้างช�ำระกันอยู่ก็ดี หรือถ้าเอา
ทรัพย์สินซ่ึงจ�ำนองออกขายทอดตลาดใช้หน้ีและได้เงินจ�ำนวนสุทธิน้อยกว่าจ�ำนวนเงินที่ค้างช�ำระอยู่นั้นก็ดี
หากยงั ขาดจำ� นวนเงินอยเู่ ท่าใด ลกู หนี้ไม่ต้องรบั ผดิ ในจำ� นวนเงินนน้ั อีกตอ่ ไป
จากกรณีดังกลา่ วค่สู ัญญาอาจตกลงให้แตกต่างออกไปกไ็ ด้ กล่าวคอื อาจตกลงวา่ เม่อื บงั คับจำ� นอง
แลว้ ยังมหี นี้เหลอื อยเู่ ท่าใด ลกู หนี้ตอ้ งรับผดิ ใชห้ นีใ้ นสว่ นที่ขาดอย่ตู อ่ ไปจนครบจ�ำนวนหน้กี ไ็ ด้
ผลของการบังคับจ�ำนอง การบังคับจ�ำนองนั้นไม่ว่าเอาทรัพย์จ�ำนองหลุดและราคาทรัพย์จ�ำนอง
ต่�ำกว่าหน้ีที่ค้างช�ำระ หรือเอาทรัพย์จ�ำนองขายทอดตลาดใช้หน้ีได้เป็นเงินสุทธิน้อยกว่าหน้ีท่ียังขาดอยู่ ลูกหน้ี
ไม่ต้องรับผิด ยกเว้นกรณีคู่สัญญาอาจตกลงให้แตกต่างออกไปก็ได้ กล่าวคือ อาจตกลงว่าเม่ือบังคับจ�ำนองแล้ว
ยงั มีหนเี้ หลอื อยเู่ ท่าใด ลกู หนต้ี ้องรับผิดใชห้ นใ้ี นสว่ นทีข่ าดอยู่ต่อไปจนครบจำ� นวนหนกี้ ็ได้

5.2 ความระงบั แหง่ สญั ญาจ�ำนอง

สญั ญาจ�ำนองยอ่ มระงับไป ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 744 ดงั กรณีตอ่ ไปน้ี
5.2.1 หน้ีประธานระงับส้ินไปด้วยเหตุประการอ่ืนอันมิใช่อายุความ กล่าวคือ สัญญาประธาน คือ
สัญญาท่ีก่อให้เกิดหนี้โดยมีสัญญาจ�ำนองเป็นสัญญาอุปกรณ์ประกันว่า ถ้าลูกหน้ีไม่ช�ำระหนี้ก็ให้ยึดทรัพย์สินอัน
เป็นสัญญาจ�ำนองช�ำระหน้ีแทนหน้ีประธานระงับได้ก็ด้วยมีการชำ� ระหน้ี ปลดหนี้ หักกลบลบหนี้ แปลงหนี้ใหม่
หรอื หน้ีเกลอื่ นกลนื กนั คำ� วา่ “ด้วยเหตุประการอน่ื อันมิใชอ่ ายุความ” หมายความว่า อายคุ วามไม่ท�ำให้หนี้จำ� นอง
ระงบั กรณีก้ยู มื เงนิ มีอายุความ 10 ปี โดยมกี ารจำ� นองท่ดี ินเป็นประกันไว้ เม่อื ถึงกำ� หนดช�ำระเงนิ เจา้ หนกี้ ็ไมฟ่ ้อง
บงั คับจำ� นองแตอ่ ยา่ งใดจนถึงกำ� หนด 10 ปีผา่ นไป การฟอ้ งร้องคดกี ้ยู มื เงินจึงขาดอายคุ วาม กลา่ วคอื หนีป้ ระธาน
ขาดอายคุ วามฟอ้ งร้องต่อศาลไมไ่ ด้ สัญญาจ�ำนองซง่ึ เปน็ สญั ญาอุปกรณ์ นา่ จะขาดอายุความด้วยตามหลักข้างต้น
แต่กฎหมายบัญญัติไว้ว่า “อันมิใช่อายุความ” หมายถึง สัญญา ซ่ึงสัญญาจ�ำนองไม่มีการขาดอายุความแต่ยังมี
ผลบังคับต่อไป สามารถน�ำคดีมาฟ้องร้องบังคับจ�ำนองต่อกันได้ แต่จะฟ้องให้ช�ำระดอกเบี้ยท่ีค้างช�ำระเกินกว่า
5 ปีไมไ่ ด้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 193/27 และมาตรา 745)
ข้อสังเกต สัญญาจ�ำนองแตกต่างจากสัญญาค�้ำประกันในประเด็นการยกเหตุสัญญาประธานขาดอายุ
ความขึ้นมาเป็นข้อต่อสู้ กล่าวคือ สัญญาค�้ำประกันน้ันผู้ที่ค้�ำประกันสามารถยกเหตุท่ีสัญญาประธานขาดอายุ
ความขนึ้ มาเป็นข้อตอ่ สไู้ ด้ แต่สัญญาจำ� นองจะยกขอ้ ต่อส้วู า่ สัญญาประธานขาดอายคุ วามมาเปน็ ข้อต่อสวู้ ่าตนเอง
จะมิต้องรับผดิ ตามสญั ญาจ�ำนองไมไ่ ด้
5.2.2 เมือ่ ปลดจำ� นองใหแ้ ก่ผจู้ �ำนองดว้ ยหนงั สือเปน็ สำ� คัญ เม่ือปลดจำ� นองใหแ้ กผ่ ูจ้ ำ� นองด้วยหนังสอื
ท่มี ีการลงลายมอื ชอ่ื ผรู้ บั จ�ำนอง สญั ญาจำ� นองย่อมระงับไป แตส่ ญั ญาประธานหรือหนี้เดิมยังไม่ระงบั

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ี่ 9 191

5.2.3 เมื่อผู้จ�ำนองหลุดพ้น หมายถึง เม่ือเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเกิดข้ึนท�ำให้ผู้จ�ำนองหลุดพ้น
มีหลายกรณี เช่น เจ้าหนี้ผ่อนเวลาการช�ำระหนี้ให้แก่ลูกหนี้โดยผู้จ�ำนองไม่ยินยอมด้วย (ประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 700) หรอื เมือ่ ผูจ้ ำ� นองขอชำ� ระหนี้ แต่เจ้าหนไ้ี มย่ อมรับช�ำระหน้ี เมือ่ ถึงก�ำหนดชำ� ระหน้ีแล้ว
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 701) กรณีดังกล่าวย่อมท�ำให้ผู้จ�ำนองหลุดพ้นความรับผิด เพราะ
ถอื ว่าสญั ญาจำ� นองระงับสิ้นไปแล้ว เป็นตน้
5.2.4 เมอื่ ถอนจำ� นอง หมายถงึ ผจู้ ำ� นองไดน้ ำ� เงนิ ตามทลี่ กู หนไ้ี ดเ้ ปน็ หนี้ หรอื ตวั ลกู หนเ้ี องไดน้ ำ� เงนิ ชดใช้
ให้เจ้าหน้ีเรียบร้อย และท�ำการไถ่ถอนจ�ำนอง โดยเจ้าหน้ีได้ยอมรับการไถ่ถอนตามราคาที่ผู้รับโอนเสนอราคา
(ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 736, 738, 741) สัญญาจำ� นองย่อมระงับ
5.2.5 เมื่อขายทอดตลาดทรัพย์สินจ�ำนองตามค�ำส่ังศาล อันเนื่องมาแต่การบังคับจ�ำนองหรือ
ถอนจำ� นอง เมอื่ ทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นองไดม้ กี ารขายทอดตลาด ไมว่ า่ จะเปน็ การฟอ้ งบงั คบั จำ� นองเอาทรพั ยส์ นิ ขายทอด
ตลาด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 728 หรือการขายทอดตลาดอันเน่ืองมาจากการที่เจ้าหนี้
ปฏิเสธการไถ่ถอนจ�ำนองจากผู้รับโอนทรัพย์สิน ซ่ึงจ�ำนองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 739
ยอ่ มท�ำให้สัญญาจำ� นองระงับ
5.2.6 เม่ือเอาทรัพย์สินซ่ึงจ�ำนองน้ันหลุด ได้แก่ การฟ้องร้องเรียกเอาทรัพย์สินท่ีจ�ำนองหลุดเป็น
กรรมสิทธ์ิของผู้รับจำ� นอง โดยไม่ต้องน�ำไปขายทอดตลาด ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 729
สญั ญายอ่ มจ�ำนองระงับ
การเอาทรัพย์สินซ่ึงจ�ำนองหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้รับจ�ำนองเป็นวิธีการบังคับจ�ำนองอย่างหน่ึงใช้เฉพาะกรณี
ลกู หนเี้ ปน็ ผจู้ ำ� นองทรพั ยส์ นิ เปน็ ประกนั หนขี้ องตนเทา่ นน้ั ซง่ึ เมอื่ ผรู้ บั จำ� นองฟอ้ งบงั คบั จำ� นองโดยวธิ เี อาทรพั ยส์ นิ
ซ่ึงจ�ำนองหลุดเป็นสิทธิแก่ตน จึงถือเสมือนหน่ึงว่าผู้รับจ�ำนองได้รับการช�ำระหนี้เรียบร้อยแล้ว สัญญาจ�ำนอง
ก็ระงับส้ินไปโดยทันทีและหนี้ประธานก็ระงับด้วย เว้นแต่จะตกลงกันในสัญญาจ�ำนองว่าลูกหน้ีต้องรับผิดในกรณี
ท่ีบังคับจ�ำนองแลว้ ผรู้ บั จ�ำนองไดร้ บั ชำ� ระหน้ไี ม่ครบจำ� นวน
การช�ำระหน้ีจ�ำนองไม่ว่าจะช�ำระบางส่วนหรือโดยสิ้นเชิง หรือการกระท�ำใด ๆ ให้หน้ีจ�ำนองระงับตาม
ข้อ 5.2.1-5.2.6 หรอื มกี ารตกลงแกไ้ ขเปลีย่ นแปลงหนจ้ี �ำนอง หรือเปลี่ยนแปลงหนีอ้ ันได้จ�ำนองเปน็ ประกนั ตอ้ ง
น�ำความไปจดทะเบียนกับพนักงานเจ้าหน้าที่เสมอ มิฉะน้ันหน้ีระงับเฉพาะคู่สัญญาเท่านั้น หากมีปัญหาเกี่ยวกับ
การฟ้องรอ้ ง ท่านหา้ มมใิ ห้ยกขึ้นเป็นข้อต่อสบู้ ุคคลภายนอก (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 746)

192 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

กจิ กรรมตรวจสอบความเขา้ ใจที่ 9.1

ตอนท่ี 1 จงเขียนเคร่อื งหมาย ✓หน้าข้อความที่ถูก และเขียนเครือ่ งหมาย ✗ หนา้ ขอ้ ความท่ีผดิ
............... 1. สญั ญาจ�ำนอง ผจู้ ำ� นองต้องสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ท่ีจ�ำนองให้แก่ผ้รู บั จ�ำนอง
............... 2. รถยนต์และปนื เป็นทรัพย์มที ะเบยี น ดังน้ันจึงสามารถน�ำมาจ�ำนองได้
............... 3. ในการจ�ำนองนนั้ ผูจ้ ำ� นองต้องเป็นเจา้ ของทรพั ย์สินที่นำ� มาจำ� นองเทา่ น้ัน
............... 4. อสังหาริมทรัพยแ์ ละสงั หารมิ ทรัพยท์ ุกประเภทสามารถนำ� มาจำ� นองได้
............... 5. สัญญาจ�ำนองตอ้ งท�ำเปน็ หนังสอื และจดทะเบียนตอ่ พนกั งานเจา้ หนา้ ท ่ี มิฉะนัน้ จะตกเป็นโมฆะ
............... 6. เครอื่ งจักรใชใ้ นโรงงานเป็นสงั หาริมทรัพยส์ ามารถจ�ำนองได้
............... 7. การจ�ำนองจะตอ้ งสง่ มอบทรพั ยส์ ินท่จี �ำนอง
............... 8. รถยนตม์ ีทะเบยี นกฎหมายบงั คบั ใหจ้ ดทะเบยี นจ�ำนองได้
............... 9. ผจู้ ำ� นองมสี ิทธนิ �ำทรัพยท์ จี่ ำ� นองไปจำ� นองต่อได้
............... 10. ผู้จ�ำนองมสี ิทธไิ ลเ่ บ้ยี เอากบั ผ้จู �ำนองร่วมคนอ่ืนได้
ตอนที่ 2 จงตอบคำ� ถามต่อไปน้ี
1. ทรพั ยส์ ินท่ีสามารถนำ� มาจ�ำนองไดต้ ามกฎหมาย ได้แก่อะไรบา้ ง
2. การบงั คับจ�ำนองทำ� ได้กี่วิธี อะไรบ้าง และการบังคับจ�ำนองตามกฎหมายจะตอ้ งท�ำอยา่ งไร

กิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชพี ท่ี 9.1
เรอื่ ง จ�ำนอง

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. อธิบายความหมายและลกั ษณะของสัญญาจำ� นองได้
2. บอกทรัพย์สนิ ทจี่ ำ� นองและแบบของสัญญาจำ� นองได้
3. บอกขอบเขตสทิ ธิทจี่ �ำนองได้
4. อธิบายสทิ ธแิ ละหนา้ ที่ของผูจ้ �ำนองและผูร้ บั จำ� นองได้
5. บอกการบังคบั จำ� นองและความระงบั แห่งสัญญาจำ� นองได้

หน่วยการเรยี นรทู้ ่ี 9 193

กจิ กรรม
1. ใหผ้ เู้ รียนแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ศกึ ษาค้นควา้ ข้อมลู ตามหัวข้อตอ่ ไปน้ี
1.1 ความหมายและลักษณะของสัญญาจำ� นอง กลุ่มที่ 1
1.2 ทรัพยส์ ินที่จำ� นองและแบบของสญั ญาจ�ำนอง กล่มุ ที่ 2
1.3 ขอบเขตสทิ ธิที่จ�ำนอง กลมุ่ ที่ 3
1.4 สิทธิและหนา้ ทีข่ องผจู้ ำ� นองและผรู้ บั จำ� นอง กลุม่ ที่ 4
1.5 การบังคับจ�ำนองและความระงับแหง่ สัญญาจำ� นอง กลมุ่ ท่ี 5
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มท่ีได้รับมอบหมายตามหัวข้อ 1.1-1.5 ศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับเร่ือง
กฎหมายลักษณะจ�ำนองและค�ำพิพากษาฎีกาท่ีน่าสนใจ โดยค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น
อินเทอรเ์ น็ต หนังสือจากหอ้ งสมุด เป็นตน้
3. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิดสรุปหลักกฎหมายลักษณะจ�ำนองท่ีเป็นประเด็นส�ำคัญในรูปของ
ผังมโนทัศน์ (Mind Mapping) หรอื สรุปประเด็นสำ� คญั ในรูปแบบของการแสดงบทบาทสมมตุ ิ
4. จากข้อ 3 ให้ผู้เรียนเลือกและนำ� เสนอภาระงานหน้าชนั้ เรยี น กลมุ่ ละ 3-5 นาที
5. ผู้สอนและผเู้ รยี นช่วยกนั สรปุ ในภาพรวม

6. ความหมายและลักษณะของสัญญาจำ� นำ�

6.1 ความหมายของสญั ญาจ�ำน�ำ

สัญญาจ�ำน�ำเป็นลักษณะหน่ึงของเอกเทศสัญญาซ่ึงบัญญัติไว้ในบรรพ 3 ลักษณะ 13 แห่งประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ดงั นี้
มาตรา 747 “อนั วา่ จ�ำน�ำนนั้ คอื สัญญาซึง่ บุคคลคนหนึ่งเรียกว่า ผจู้ �ำน�ำ สง่ มอบสังหาริมทรัพย์ส่งิ หนึ่ง
ใหแ้ กบ่ คุ คลอกี คนหน่ึงเรียกว่า ผรู้ ับจ�ำนำ� เพอ่ื เปน็ ประกนั การชำ� ระหนี้”

6.2 ลักษณะของสญั ญาจ�ำน�ำ

จากบทบัญญัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 747 ดังกล่าว สัญญาจ�ำน�ำมีลักษณะ
ทสี่ �ำคญั ดงั ตอ่ ไปนี้
6.2.1 เปน็ สญั ญาอยา่ งหนงึ่ ซึง่ ประกอบด้วยคสู่ ญั ญา 2 ฝ่าย ซึ่งฝ่ายหนงึ่ เรยี กวา่ “ผู้รบั จำ� นำ� ” กับอีก
ฝ่ายหนงึ่ เรยี กว่า “ผจู้ ำ� นำ� ”
6.2.2 เปน็ สญั ญาทีไ่ ม่มีแบบแหง่ นิตกิ รรม กล่าวคอื สญั ญาจำ� น�ำตกลงดว้ ยวาจาก็ใช้บงั คบั ได้
6.2.3 ทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นำ� เปน็ ประเภทสงั หารมิ ทรพั ย์ ทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นำ� ไดม้ แี ตเ่ ฉพาะสงั หารมิ ทรพั ยเ์ ทา่ นน้ั
สังหาริมทรัพย์ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 140) หมายความว่า ทรัพย์สินอื่นนอกจาก
“อสงั หาริมทรัพย์” และหมายความรวมถงึ สทิ ธิอนั เกยี่ วกับทรัพย์สินดว้ ย เช่น รถยนต์ นาฬกิ า สร้อยทองค�ำ สิทธิ
ซึ่งมตี ราสาร เป็นตน้

194 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

6.2.4 ตอ้ งมกี ารสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นำ� การจำ� นำ� ทส่ี มบรู ณน์ นั้ ตอ้ งมกี ารเปลย่ี นมอื หรอื โอนทรพั ยส์ นิ
ท่ีจ�ำน�ำไปให้บุคคลอื่นท่ีไม่ใช่ตัวผู้จ�ำน�ำเอง สัญญาจ�ำน�ำจะสมบูรณ์แล้วมีผลทันที เมื่อผู้จ�ำน�ำได้มอบทรัพย์สิน
ให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำหรือบุคคลท่ีสาม โดยเจตนาว่าจะจ�ำน�ำทรัพย์น้ัน ผู้จ�ำน�ำต้องส่งมอบทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำให้แก่
ผู้รับจ�ำน�ำซ่ึงแตกต่างกับสัญญาจ�ำนอง ซึ่งผู้จ�ำนองเพียงแต่เอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผู้รับจ�ำนองเป็นประกัน
การชำ� ระหนี้โดยไม่ต้องสง่ มอบทรพั ย์สนิ นัน้ เลย
6.2.5 บุคคลที่น�ำทรัพย์สินมาจ�ำนำ� ประกันหน้ีได้อาจเป็นลูกหนี้หรือบุคคลภายนอกก็ได้ เช่นเดียวกับ
การจำ� นองเมอ่ื ลกู หนมี้ ที รพั ยส์ นิ ลกู หนกี้ ส็ ามารถนำ� มาจำ� นำ� ประกนั หนข้ี องตนเองได้ หรอื บคุ คลภายนอกมที รพั ยส์ นิ
บุคคลภายนอกก็สามารถน�ำมาจ�ำน�ำประกันหน้ีของลูกหนี้ได้ ดังนั้นลูกหน้ีกับผู้จ�ำน�ำอาจเป็นบุคคลเดียวกันก็ได้
แตผ่ ู้จ�ำนำ� ต้องเป็นเจา้ ของทรพั ยส์ ินท่นี �ำมาจ�ำนำ� ถา้ ไปเอาทรัพย์สินของผอู้ ื่นมาจ�ำน�ำโดยไมม่ สี ทิ ธทิ ำ� แลว้ เจ้าของ
ทแ่ี ทจ้ รงิ ย่อมมสี ทิ ธิตดิ ตามเอาคนื จากผู้รบั จำ� น�ำได้ ดังรปู ที่ 9.2

เจา้ หน้ี (ผ้รู ับจำ� น�ำ)

จำ� นำ� สังหาริมทรัพย์ ส่งมอบ ลูกหน้ี

ผูจ้ ำ� น�ำ (ลูกหน,ี้ บคุ คลภายนอก)

รปู ที่ 9.2

ตวั อยา่ ง นายเอกู้ยมื เงนิ นายบี 50,000 บาท โดยนายขาวเพ่อื นของนายเอ (บคุ คลภายนอก) นำ� แหวน
ทองคำ� ฝังเพชรของตนมาจ�ำนำ� เป็นประกนั หนี้ของนายเอใหแ้ กน่ ายบี
6.2.6 ต้องมีหนี้ประธานเกิดข้ึนก่อน สัญญาจ�ำน�ำต้องมีหนี้ระหว่างเจ้าหนี้ (ผู้รับจ�ำน�ำ) กับลูกหนี้
ซง่ึ เรียกวา่ หนี้ประธานเกิดขนึ้ ก่อน จงึ จะมหี นรี้ ะหว่างเจ้าหน้ี (ผ้รู บั จ�ำน�ำ) กบั ผ้จู �ำน�ำ ซง่ึ เรียกวา่ หน้อี ปุ กรณ์ทเ่ี กิด
ตามมาได้
6.2.7 เป็นการประกันหน้ีด้วยทรัพย์ สัญญาจ�ำน�ำเป็นการประกันการช�ำระหนี้ด้วยทรัพย์เช่นเดียวกับ
สญั ญาจ�ำนอง แตส่ ัญญาจ�ำน�ำนนั้ ทรัพยซ์ ่ึงนำ� มาประกันหน้มี ไี ด้เฉพาะสังหารมิ ทรพั ยเ์ ทา่ นั้น
6.2.8 ให้บุคคลภายนอกเก็บรักษาทรัพย์ที่จ�ำน�ำได้ โดยท่ัวไปแล้วการจ�ำน�ำน้ัน ผู้จ�ำน�ำมักจะส่งมอบ
ทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำให้แก่เจ้าหนี้หรือผู้รับจ�ำน�ำ แต่กฎหมายอนุญาตให้คู่สัญญาจ�ำน�ำตกลงกันให้บุคคลภายนอกเป็น
ผเู้ ก็บรักษาทรพั ย์สนิ ทจ่ี �ำน�ำได้

หนว่ ยการเรยี นรู้ท่ี 9 195

ค�ำว่า “บุคคลภายนอก” หมายถึง บุคคลอ่ืนหรือใครก็ได้ที่ไม่ใช่ผู้รับจ�ำน�ำหรือผู้จ�ำน�ำ กล่าวคือ
ใหบ้ คุ คลทส่ี ามเป็นผู้เก็บรักษาทรพั ย์สินทจี่ ำ� นำ� เพื่อประโยชน์ของผรู้ บั จำ� น�ำ
อย่างไรก็ตามการจำ� น�ำท่ีสมบูรณ์น้ันผู้จ�ำนำ� ต้องเปล่ียนมือ หรือโอนทรัพย์สินที่จำ� น�ำให้บุคคลอื่นท่ีไม่ใช่
ผู้จ�ำน�ำเอง จึงสรุปได้ว่าสัญญาจ�ำน�ำจะสมบูรณ์แล้วมีผลทันที เม่ือผู้รับจ�ำน�ำได้มอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำ
หรือบคุ คลที่สาม โดยเจตนาวา่ จะจ�ำน�ำทรัพยน์ ้ัน
ตวั อย่าง นางสาวตุ๊กก้ีไดจ้ �ำน�ำแหวนเพชรราคา 9,000,000 บาท ไวก้ บั นายหม�ำ่ โดยตกลงกนั ว่าใหเ้ อา
แหวนเพชรเก็บรกั ษาไว้ท่ตี ู้นิรภยั ของธนาคารไทยพาณชิ ย์
6.2.9 ผู้รับจ�ำน�ำมีสิทธิที่จะได้รับช�ำระหนี้ก่อนเจ้าหนี้สามัญ ผู้รับจ�ำน�ำมีสิทธิท่ีจะได้รับช�ำระหนี้
จากทรัพย์สินที่จ�ำน�ำก่อนเจ้าหน้ีอ่ืน ๆ เช่นเดียวกับผู้รับจ�ำนอง ซ่ึงข้อน้ีไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด เพราะทรัพย์สิน
ทจ่ี �ำนำ� อยูใ่ นความครอบครองของผรู้ ับจ�ำนำ� อย่แู ลว้

7. วธิ ีการทำ� สญั ญาจ�ำน�ำ

โดยปกติแล้วสัญญาจ�ำน�ำย่อมสมบูรณ์ด้วยการส่งมอบทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำ สัญญาจ�ำน�ำเป็นหนี้อุปกรณ์
การท�ำสัญญาจ�ำน�ำจึงต้องท�ำขึ้นเม่ือได้เกิดหนี้ประธานขึ้นก่อนแล้ว หรือท�ำไปพร้อม ๆ กับหน้ีประธาน แต่จะท�ำ
กอ่ นล่วงหน้าทีจ่ ะมหี นีป้ ระธานน้นั ไมไ่ ด้ ถ้าไดท้ ำ� ไปก่อนการจ�ำนำ� ก็ไม่มีผลผกู พนั ตอ่ หนี้ประธาน
ลักษณะสัญญาจ�ำน�ำตามที่กล่าวมาแล้วข้างต้นน้ัน ทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำได้มีแต่เฉพาะสังหาริมทรัพย์เท่าน้ัน
ซึ่งสังหารมิ ทรัพยท์ ่จี ำ� น�ำได้อาจมที ้งั วตั ถทุ ่มี รี ูปรา่ ง เชน่ สร้อย แหวน นาฬกิ า โทรศพั ทม์ ือถอื เปน็ ต้น อยา่ งไรก็ตาม
สิทธิบางอย่างที่มีตราสารก็สามารถจ�ำน�ำได้เช่นกัน การท�ำสัญญาจ�ำน�ำนอกจากที่กล่าวมาแล้ว ยังมีบทบัญญัติ
ตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ โดยแยกพิจารณาได้ดังต่อไปนี้

7.1 การจ�ำนำ� สทิ ธซิ งึ่ มตี ราสาร

สิทธิซึ่งมีตราสาร หมายถึง ตราสารท่ีใช้แทนสิทธิหรือตัวทรัพย์ เช่น ตั๋วเงิน ใบหุ้น ใบตราส่ง
ใบประทวนสินคา้ ใบรบั ของในคลงั สินคา้ พันธบตั ร เปน็ ต้น การจำ� น�ำสิทธซิ ง่ึ มีตราสารน้ี แยกพจิ ารณาได้ดังน้ี
7.1.1 การจำ� นำ� สทิ ธิซงึ่ มีตราสารทวั่  ๆ ไป ผจู้ �ำนำ� ตอ้ งปฏิบัติ ดงั นี้
1) ตอ้ งส่งมอบตราสารนัน้ ให้แกผ่ ูร้ บั จำ� น�ำ และ
2) ต้องบอกกลา่ วเป็นหนงั สอื แจ้งการจำ� น�ำแก่ลกู หน้แี ห่งสทิ ธินน้ั
ถ้าผู้จ�ำน�ำไม่ปฏิบัติตามทั้ง 2 ประการดังกล่าวข้างต้นน้ี การจ�ำน�ำย่อมตกเป็นโมฆะ (ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 750) กล่าวคือ การจ�ำน�ำสิทธิซึ่งมีตราสารโดยทั่วไปจะสมบูรณ์ต่อเม่ือผู้จ�ำน�ำ
ได้ส่งมอบตราสารน้ันให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำ และต้องมีการบอกกล่าวไปยังลูกหนี้แห่งสิทธิให้ทราบว่าได้จ�ำน�ำสิทธิ
ดังกลา่ วแล้ว

196 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

7.1.2 การจำ� นำ� ตราสารชนดิ ออกใหแ้ กบ่ คุ คลเพอ่ื เขาสง่ั “ตราสารชนดิ ออกใหแ้ กบ่ คุ คลเพอ่ื เขาสง่ั ” เชน่
เช็คที่สั่งจ่ายให้แก่ผู้ถือ หรือตั๋วแลกเงินที่ส่ังให้ใช้เงินตามค�ำสั่งของผู้รับเงิน หรือใบหุ้นชนิดไม่ระบุช่ือ เป็นต้น
เมอื่ จะจำ� นำ� ตอ้ งมกี ารสลกั หลงั แจง้ การจำ� นำ� ไวท้ เี่ ชค็ หรอื ตว๋ั แลกเงนิ ดว้ ย มฉิ ะนนั้ จะยกขน้ึ เปน็ ขอ้ ตอ่ สบู้ คุ คลภายนอก
ไม่ได้ แต่ไม่ต้องบอกกล่าวการจ�ำน�ำแก่ลูกหนี้แห่งตราสารหรือธนาคารผู้จ่ายให้ทราบ (ประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 751)

7.1.3 การจำ� นำ� ตราสารชนดิ ระบชุ อ่ื และหา้ มโอนดว้ ยการสลกั หลงั “ตราสารชนดิ ระบชุ อ่ื และหา้ มโอน
ดว้ ยการสลกั หลงั ” เช่น เชค็ หรือต๋ัวแลกเงินท่ีระบุชอ่ื ผู้รบั เงิน และห้ามสลกั หลังโอนต่อไปใหผ้ ู้อ่นื เปน็ ต้น เม่ือจะ
จ�ำน�ำต้องจดแจ้งการจ�ำน�ำไว้ในเช็คหรือตั๋วแลกเงินนั้น และต้องบอกกล่าวการจ�ำน�ำให้ลูกหน้ีแห่งตราสาร คือ
ธนาคารหรือผู้จ่ายทราบด้วย มิฉะนั้นจะยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้ลูกหนี้แห่งตราสารหรือบุคคลภายนอกไม่ได้ (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 752)

7.1.4 การจำ� นำ� หนุ้ การจ�ำนำ� ใบหุ้นหรือใบหุน้ ชนดิ ระบุช่ือ กรณีห้นุ จะมีตราสาร คือ ใบหุน้ แสดงความ
เป็นเจ้าของไว้ เจ้าของหุ้นสามารถน�ำใบหุ้นมาจ�ำน�ำได้ โดยการส่งมอบใบหุ้นให้แก่กัน โดยไม่ต้องลงทะเบียน
การจำ� น�ำ แต่ถา้ เปน็ การจำ� น�ำใบหนุ้ ชนิดระบชุ ื่อจะต้องเพม่ิ ข้นั ตอนการจ�ำนำ� คอื ต้องทำ� เป็นหนงั สอื และจดแจ้ง
การจำ� น�ำไว้ในทะเบียนของบริษัทดว้ ย
การจ�ำน�ำใบหุ้นชนิดระบุชื่อ ใบหุ้นของบริษัทมี 2 ชนิด คือ ใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือ และใบหุ้นชนิด
ระบุชื่อ การจ�ำน�ำใบหุ้นชนิดออกให้แก่ผู้ถือนั้นเพียงแต่ส่งมอบใบหุ้นให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำก็ถือว่าเป็นการจ�ำน�ำแล้ว
แต่การจ�ำน�ำใบหุ้นชนิดระบุช่ือจะต้องมีการจดลงทะเบียนการจ�ำน�ำไว้ในสมุดของบริษัท มิฉะนั้นห้ามมิให้ยกข้ึน
เป็นข้อตอ่ ส้บู ริษัทหรอื บคุ คลภายนอก (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 753)

หน่วยการเรยี นรู้ที่ 9 197

ตวั อย่าง

สญั ญาจำ� นำ�

ทำ� ท.ี่ ............................................................................
วันท.่ี ...................................เดือน.............................................พ.ศ. ................

หนงั สอื สญั ญาเชา่ ฉบบั นที้ ำ� ขน้ึ ระหวา่ ง.....................................................................................................อาย.ุ ...................ปี
อยู่บ้านเลขที่…………...................ตรอก/ซอย...............................................................................ถนน..........................................
ต�ำบล/แขวง.................................................อ�ำเภอ/เขต...................................................จังหวัด.........................................................
ซึ่งต่อไปในสัญญานเ้ี รยี กวา่ “ผูร้ บั จำ� น�ำ”
กับ.......................................................................................................................................................อายุ......................ปี
อยู่บ้านเลขท่ี.....................................ตรอก/ซอย...............................................................................ถนน..........................................
ต�ำบล/แขวง.................................................อ�ำเภอ/เขต................................................................จังหวัด....................................
ซ่ึงตอ่ ไปในสญั ญานี้เรยี กวา่ “ผูจ้ ำ� น�ำ”
ผู้จ�ำน�ำเป็นเจ้าของกรรมสิทธ์ิ..................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................
ซง่ึ ตอ่ ไปในสญั ญานเี้ รยี กวา่ “ทรัพย์สนิ ”
คสู่ ัญญาท้ังสองฝา่ ยตกลงกัน ดังมีข้อความต่อไปน้ี
ขอ้ 1 ผู้จ�ำน�ำตกลงจ�ำน�ำและผู้รับจ�ำน�ำตกลงรับจ�ำน�ำทรัพย์สินเพื่อเป็นการประกันหนี้................................................
........................................................................................................................ตามหนังสือสัญญาฉบับลงวันที่..............................
ระหว่าง.........................................................................................กับ................................................................................................
จ�ำนวนเงนิ ................................................บาท พร้อมดอกเบ้ยี ในอัตรารอ้ ยละ.................ต่อปี
ขอ้ 2 ผจู้ ำ� น�ำไดร้ ับเงินและ/หรือลูกหนี้ตามสญั ญาในข้อ 1 ได้รับเงนิ จ�ำนวน..............................................................บาท
จากผรู้ ับจ�ำน�ำไปเรียบรอ้ ยแล้วเมอ่ื วันที่ทำ� สญั ญาฉบบั นี้
ข้อ 3 ทรัพย์สินที่จ�ำน�ำและเอกสารสิทธิ (ถ้ามี) ในทรัพย์สินที่จ�ำน�ำ ผู้จ�ำน�ำได้มอบให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำยึดถือไว้ตลอด
อายสุ ัญญาฉบับน้ี
ข้อ 4 ผู้จำ� น�ำตกลงวา่ จะเป็นผู้รบั ภาระในค่าธรรมเนยี ม คา่ อากรแสตมป์ และค่าใชจ้ า่ ยอนื่  ๆ ทท่ี างราชการเรียกเกบ็ เอง
ทั้งหมด
ข้อ 5 หากลกู หนต้ี ามสญั ญาในขอ้ 1 ผดิ นัดผดิ สัญญา ผ้รู บั จำ� นำ� สามารถบังคับจำ� น�ำเอากบั ทรพั ย์สนิ ทจ่ี ำ� น�ำของผจู้ �ำนำ�
ไดท้ ันทโี ดยมติ ้องบอกกลา่ ว และผู้จำ� นำ� ต้องรบั ผดิ ในมลู หน้ีของลกู หนีต้ ามข้อ 1 อย่างลูกหนีร้ ว่ มด้วย
สัญญานี้ถูกท�ำข้ึนเป็นสองฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกัน คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายได้อ่านและเข้าใจดีแล้ว จึงได้ลงลายมือช่ือ
ไวต้ ่อหน้าพยานเปน็ ส�ำคัญ และเกบ็ สัญญาไว้ฝา่ ยละฉบับ

ลงช่อื ...............................................................ผรู้ บั จำ� นำ� ลงช่อื ...............................................................ผจู้ �ำนำ�
(.............................................................) (............................................................)

ลงช่ือ...............................................................พยาน ลงชือ่ ...............................................................พยาน
(.............................................................) (............................................................)

198 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

8. สทิ ธิ หนา้ ที่ และความรบั ผดิ ของผรู้ ับจ�ำนำ� และผู้จำ� น�ำ

8.1 สทิ ธิของผรู้ บั จ�ำนำ�

สิทธิของผู้รับจำ� นำ� มีดังน้ี
8.1.1 ยึดทรัพย์สินที่จ�ำน�ำไว้จนกว่าจะได้รับช�ำระหนี้ เน่ืองจากทรัพย์สินจ�ำน�ำเป็นประกันแห่งหน้ี
ผู้รับจ�ำน�ำมีสิทธิได้รับช�ำระหนี้จากทรัพย์สินจ�ำน�ำก่อนเจ้าหน้ีคนอื่น ๆ ดังน้ันผู้รับจ�ำน�ำจึงมีสิทธิที่จะยึดของจ�ำน�ำ
ไว้จนกว่าจะได้รับช�ำระหน้ีและค่าอุปกรณ์ครบถ้วนด้วย การได้รับช�ำระหนี้เพียงบางส่วนไม่มีผลให้ผู้รับจ�ำน�ำ
ต้องคืนทรัพยส์ นิ จำ� น�ำ ไม่ว่าท้ังหมดหรือบางสว่ นใหแ้ กผ่ ูจ้ ำ� นำ� (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 758)
หากมกี ารชำ� ระหนเ้ี พยี งบางส่วน ผ้รู บั จ�ำนำ� คงยึดทรพั ยส์ นิ ทจ่ี �ำนำ� นั้นตอ่ ไปไดจ้ นกวา่ ลูกหนี้จะได้ช�ำระหนีท้ ัง้ หมด
จนครบถว้ นแล้ว
8.1.2 เอาดอกผลนิตนิ ยั ชำ� ระหน้ี ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 761 บัญญตั ิวา่ “ถา้ มไิ ด้
กำ� หนดไว้เป็นอย่างอ่ืนในสญั ญา หากมดี อกผลนิตนิ ัยงอกออกจากทรัพย์สินนั้นอยา่ งไร ทา่ นใหผ้ ู้รบั จำ� นำ� จัดสรรใช้
เปน็ คา่ ดอกเบยี้ อนั คา้ งชำ� ระแกต่ น และถา้ ไมม่ ดี อกเบย้ี คา้ งชำ� ระ ทา่ นใหจ้ ดั สรรใชต้ น้ เงนิ แหง่ หนอ้ี นั ไดจ้ ำ� นำ� ทรพั ยส์ นิ
เปน็ ประกนั น้ัน”
ดอกผลท่ีงอกจากทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำ ซึ่งผู้รับจ�ำน�ำสามารถน�ำมาจัดสรรใช้เป็นค่าดอกเบ้ียและเงินต้นนั้น
จะต้องเป็นดอกผลนิตินัยเท่าน้ัน ถ้าเป็นดอกผลธรรมดาแล้วผู้รับจ�ำน�ำไม่มีสิทธิน�ำมาจัดสรรให้แก่ตนได้
ซึ่งดอกผลนิตินัย ได้แก่ ทรัพย์หรือประโยชน์อย่างอ่ืนท่ีได้มาครั้งคราวแก่เจ้าของทรัพย์จากผู้อื่นเพื่อการท่ีได้ใช้
ทรัพย์น้ัน และสามารถค�ำนวณและถือเอาเป็นรายวันหรือตามระยะเวลาท่ีก�ำหนดไว้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณชิ ย์ มาตรา 148) เชน่ ดอกเบี้ย กำ� ไร คา่ เชา่ เปน็ ต้น

8.2 หน้าที่ของผรู้ บั จำ� น�ำ

หนา้ ท่ขี องผรู้ ับจ�ำน�ำ มีดังนี้
8.2.1 ต้องสงวนรกั ษาทรพั ยส์ ินทจี่ ำ� น�ำ ทรพั ย์สินท่ีจำ� น�ำตกอย่ใู นความครอบครองของผู้รบั จำ� น�ำก็ดว้ ย
จุดประสงค์ทีจ่ ะใหผ้ ู้รับจำ� นำ� ยึดถือไวเ้ ปน็ ประกนั การช�ำระหนี้ ไม่ใช่ให้ผรู้ บั จ�ำนำ� เอาไปใชส้ อย กฎหมายจึงกำ� หนด
ให้ผู้รับจ�ำน�ำมีหน้าที่ต้องรักษาทรัพย์สินจ�ำน�ำให้ปลอดภัย และยังต้องมีหน้าท่ีสงวนทรัพย์สินจ�ำน�ำอย่างวิญญูชน
จะพึงสงวนทรัพย์สินของตนอีกด้วย (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 759) “รักษาทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำ
ให้ปลอดภัย” หมายถึง การรักษาให้ปลอดภัยจากการลักขโมยหรือสูญหายของทรัพย์สินนั้น เช่น รับจ�ำน�ำ
เครือ่ งประดบั ทองคำ� และอญั มณอี ันมคี ่ากต็ ้องเกบ็ ไวใ้ นต้หู รือหบี ใส่กุญแจใหป้ ลอดภยั เป็นต้น
เมอื่ ผจู้ ำ� นำ� สง่ มอบทรพั ยส์ นิ ทจี่ ำ� นำ� ใหแ้ กผ่ รู้ บั จำ� นำ� แลว้ ผรู้ บั จำ� นำ� ซง่ึ ไดค้ รอบครองทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นำ�
มีหน้าท่ตี อ้ งสงวนรักษาทรพั ย์สินทีจ่ �ำน�ำไวต้ ามกฎหมาย

หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 9 199

8.2.2 ตอ้ งไมเ่ อาทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นำ� ออกใชส้ อยหรอื ใหค้ นอนื่ เกบ็ รกั ษา ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 760 บัญญัติว่า “ถ้าผู้รับจ�ำน�ำเอาทรัพย์สินซึ่งจ�ำน�ำออกใช้เอง หรือเอาไปให้บุคคลภายนอกใช้สอยหรือ
เก็บรักษาโดยผู้จ�ำน�ำมิได้ยินยอมด้วยไซร้ ท่านว่าผู้รับจ�ำน�ำจะต้องรับผิดเพ่ือที่ทรัพย์สินจ�ำน�ำน้ันสูญหาย หรือ
บุบสลายไปอย่างใด ๆ แม้กระทั่งเป็นเพราะเหตุสุดวิสัย เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่าถึงอย่างไรก็คงจะต้องสูญหาย
หรือบุบสลายอยู่นน่ั เอง”
อยา่ งไรกต็ ามในเรอื่ งการใหบ้ คุ คลภายนอกเปน็ ผเู้ กบ็ รกั ษาทรพั ยส์ นิ จำ� นำ� คสู่ ญั ญาอาจตกลงกนั ใหบ้ คุ คล
ภายนอกเก็บรักษาก็ได้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 749) ดังนั้นหากไม่มีการตกลงกันไว้ ผู้รับ
จ�ำน�ำต้องเป็นผู้เก็บรักษาด้วยตนเอง รวมถึงไม่น�ำไปใช้สอยหรือให้บุคคลภายนอกใช้สอย มิฉะนั้นหากเกิด
ความเสียหายอย่างใด ๆ แก่ทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำแม้จะเป็นเหตุสุดวิสัยผู้รับจ�ำน�ำต้องรับผิด เว้นแต่จะพิสูจน์ได้ว่า
ถงึ อย่างไรความเสียหายกต็ อ้ งเกิดข้ึนอยู่ดี

8.3 หน้าทขี่ องผู้จำ� น�ำ

ผู้จ�ำน�ำมีหน้าท่ีจ่ายค่าบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 762
บัญญัติว่า “ค่าใช้จ่ายใด ๆ อันควรแก่การบ�ำรุงรักษาทรัพย์สินจ�ำน�ำนั้น ผู้จ�ำน�ำจ�ำต้องชดใช้ให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำ
เว้นแตจ่ ะได้ก�ำหนดไวเ้ ปน็ อยา่ งอื่นในสญั ญา”
ตามที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นว่า ในการจ�ำน�ำน้ันผู้จ�ำน�ำต้องส่งมอบทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำและ
ผู้รับจ�ำน�ำไม่มีสิทธิน�ำทรัพย์สินนั้นออกใช้สอย แต่ในการครอบครองดูแลทรัพย์สินที่จ�ำน�ำนี้ ผู้รับจ�ำน�ำอาจต้อง
เสยี ค่าใชจ้ า่ ยตา่ ง ๆ เช่น จ�ำน�ำรถยนต์ ผรู้ บั จ�ำน�ำตอ้ งเสยี คา่ ใชจ้ า่ ยในการดูแลรกั ษารถยนต์ คา่ ใช้จา่ ยเทา่ ทจ่ี ะเกิด
ขึน้ น้ี ผูจ้ ำ� นำ� ต้องชดใชใ้ หแ้ กผ่ ู้รับจำ� นำ� เวน้ แตจ่ ะมกี ารตกลงเปน็ อย่างอืน่ เป็นตน้

8.4 ความรับผิดของผู้จำ� น�ำ

เมอ่ื หนถ้ี งึ กำ� หนดชำ� ระและลกู หนไี้ มช่ ำ� ระหนน้ี นั้ เจา้ หนไ้ี ดแ้ กผ่ รู้ บั จำ� นำ� มสี ทิ ธบิ งั คบั จำ� นำ� ไดต้ ามกฎหมาย
(ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 747) โดยนำ� ทรพั ย์สนิ ทผี่ ูจ้ �ำน�ำไว้เพอ่ื เป็นการประกันการชำ� ระหนน้ี ้ัน
ขายทอดตลาด แต่การขายทอดตลาดน้ีไม่ต้องรอค�ำสั่งศาลให้ขายทอดตลาดเหมือนสัญญาจ�ำนอง ผู้รับจ�ำน�ำ
สามารถน�ำทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำออกขายทอดตลาดได้เอง เพราะทรัพย์สินที่จ�ำน�ำอยู่ในความครอบครองของผู้รับ
จ�ำนำ� แล้ว แตต่ อ้ งปฏบิ ตั ิตามกฎหมายในเรื่องการบงั คับจ�ำนำ� ซง่ึ จะไดก้ ล่าวในรายละเอยี ดต่อไป

9. การบังคบั จ�ำน�ำและความระงับแห่งสญั ญาจ�ำนำ�

9.1 ความหมายของการบังคับจำ� น�ำ

การบังคับจ�ำน�ำ หมายถึง การที่ผู้รับจ�ำน�ำจัดการบังคับช�ำระหนี้เอาทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำ เพ่ือป้องกัน
การเอารดั เอาเปรยี บจากผรู้ ับจ�ำน�ำด้วยการคุ้มครองแก่ผ้รู บั จ�ำนำ� จึงใชว้ ิธีบังคบั จ�ำนำ� ไว้วธิ เี ดยี ว คือ การนำ� ไปขาย
ทอดตลาดนัน่ เอง

200 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

9.1.1 วธิ กี ารบงั คบั จำ� นำ� ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 764 บญั ญตั วิ า่ “เมอื่ จะบงั คบั จำ� นำ�
ผรู้ ับจำ� น�ำตอ้ งบอกกล่าวเปน็ หนังสือไปยงั ลกู หน้ีก่อนว่า ให้ช�ำระหนแี้ ละอปุ กรณภ์ ายในเวลาอันควร ซึ่งกำ� หนดไว้
ในคำ� บอกกล่าวนน้ั
ถ้าลกู หนี้ละเลยไมป่ ฏิบตั ติ ามคำ� บอกกลา่ ว ผรู้ ับจำ� น�ำชอบที่จะเอาทรัพยส์ ินซ่ึงจ�ำน�ำออกขายได้ แต่ตอ้ ง
ขายทอดตลาด
อนึง่ ผรู้ บั จำ� นำ� ตอ้ งมจี ดหมายบอกกล่าวไปยังผจู้ �ำน�ำบอกเวลาและสถานทีซ่ ึง่ จะขายทอดตลาดดว้ ย”
เมอื่ ลกู หนผ้ี ดิ นดั ไมช่ ำ� ระหนต้ี ามกำ� หนด เจา้ หนม้ี สี ทิ ธทิ จ่ี ะบงั คบั จำ� นำ� ซงึ่ ในการบงั คบั จำ� นำ� นต้ี อ้ งเรม่ิ ดว้ ย
การบอกกลา่ วเปน็ หนงั สอื ไปยงั ลกู หนใ้ี หช้ ำ� ระหนแ้ี ละอปุ กรณแ์ หง่ หนภี้ ายในเวลาทกี่ ำ� หนด เชน่ เดยี วกบั การจะเรม่ิ
บงั คับจ�ำนองทกุ ประการ แต่แตกตา่ งกนั ตรงทวี่ ่าการบังคับจ�ำนำ� ไมต่ อ้ งมีการฟ้องคดตี อ่ ศาล โดยผรู้ ับจำ� น�ำมีสทิ ธิ
นำ� ทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นำ� ออกขายทอดตลาดไดเ้ อง เพยี งแตว่ า่ กฎหมายกำ� หนดใหผ้ รู้ บั จำ� นำ� ตอ้ งมจี ดหมายบอกกลา่ วไป
ยังผู้จ�ำน�ำซ่ึงเป็นเจ้าของทรัพย์สินจ�ำน�ำโดยบอกวัน เวลา และสถานท่ีซ่ึงจะขายทอดตลาด เพ่ือผู้จ�ำน�ำจะได้
เตรียมตวั เขา้ สู้ราคาในการประมลู ขายทอดตลาดดว้ ย
9.1.2 การบงั คบั จำ� นำ� โดยไมต่ ้องบอกกล่าว โดยปกตเิ ม่อื จะบังคับจ�ำนำ� ผูร้ ับจ�ำน�ำต้องมกี ารบอกกล่าว
ไปยงั ลกู หนี้และผู้จำ� นำ� ก่อน กรณมี เี หตุพเิ ศษมขี ้อยกเว้นอยู่ 2 กรณี ทผ่ี รู้ บั จำ� นำ� สามารถบังคบั จ�ำน�ำได้ โดยไมต่ ้อง
บอกกลา่ วลูกหน้กี อ่ น แยกพิจารณาไดด้ ังตอ่ ไปนี้
1) กรณีไม่สามารถบอกกล่าวก่อนได้ กรณีไม่ทราบว่าลูกหนี้หรือผู้จ�ำน�ำไปอยู่ท่ีไหน กฎหมาย
ก็ให้ผู้รับจ�ำน�ำรอจนหนี้ค้างช�ำระล่วงเลยมา 1 เดือนไปแล้ว จึงจะน�ำทรัพย์สินออกขายทอดตลาดได้โดยไม่ต้อง
บอกกลา่ ว (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 765)
2) กรณบี งั คบั จำ� นำ� ตว๋ั เงนิ ถา้ จำ� นำ� ตว๋ั เงนิ ใหผ้ รู้ บั จำ� นำ� เรยี กเกบ็ เงนิ ตามตว๋ั เงนิ นน้ั ในวนั ถงึ กำ� หนด
โดยไม่จ�ำเป็นต้องบอกกล่าวก่อน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 766) กรณีจ�ำน�ำสิทธิซึ่งมีตราสาร
ประเภทต๋ัวเงินไม่ว่าจะเป็นตั๋วเงิน ต๋ัวสัญญาใช้เงินหรือเช็ค เมื่อตั๋วเงินดังกล่าวถึงเวลาใช้เงิน ผู้รับจ�ำน�ำสามารถ
น�ำตั๋วเงินไปเรียกเก็บเงินได้ทันทีโดยไม่ต้องมีหนังสือบอกกล่าวก่อน ทั้งน้ีก็เพราะว่าลักษณะของต๋ัวเงินนั้น วันถึง
ก�ำหนดใช้เงินท่ีลงไว้ในตั๋วมีความส�ำคัญย่ิงต่อการใช้เงิน ตั๋วเงินถึงก�ำหนดเมื่อใดต้องน�ำไปย่ืนเรียกเก็บเงินเม่ือน้ัน
มิฉะนนั้ จะไล่เบย้ี เอากับคูส่ ญั ญาบางคนไมไ่ ด้
9.1.3 ผลของการบงั คับจ�ำนำ� ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 767 บัญญัติว่า “เมอื่ บังคับ
จ�ำน�ำไดเ้ งินจ�ำนวนสุทธเิ ทา่ ใด ท่านว่าผู้รับจ�ำนำ� ต้องจดั สรรช�ำระหนแ้ี ละอุปกรณ์เพื่อใหเ้ สรจ็ สิ้นไป และถ้ายังมเี งนิ
เหลอื ก็ตอ้ งสง่ คนื ใหแ้ กผ่ ูจ้ ำ� นำ� หรือแก่บุคคลผ้คู วรจะได้เงินนั้น
ถา้ ไดเ้ งนิ น้อยกวา่ จ�ำนวนค้างชำ� ระ ท่านวา่ ลูกหนยี้ งั คงต้องรับใชใ้ นสว่ นท่ีขาดอยู่นัน้ ”
มาตรา 767 นีต้ ่างกับมาตรา 733 ในเร่ืองการบังคับจำ� นอง เพราะการบงั คับจำ� นองนัน้ เม่อื บังคบั จำ� นอง
แลว้ ได้เงินจำ� นวนสทุ ธินอ้ ยกว่าจ�ำนวนหนี้ทค่ี ้างช�ำระ เงินยงั ขาดจ�ำนวนอย่เู ท่าใด ลูกหนีไ้ ม่ตอ้ งรับผดิ ในส่วนที่ขาด
อยู่นั้น เว้นแต่จะมีการตกลงเป็นอย่างอ่ืน แต่ในเร่ืองการบังคับจ�ำน�ำถ้าได้เงินน้อยกว่าจ�ำนวนหนี้ที่ค้างช�ำระ
ลูกหน้ียังคงต้องรับผิดในส่วนท่ีขาดอยู่น้ัน เมื่อมีการบังคับจ�ำน�ำเอาแก่ทรัพย์สินซ่ึงจ�ำน�ำแล้ว หากมีเงินเหลือ
จากการชำ� ระหนแ้ี ละอปุ กรณก์ ใ็ ห้ส่งคืนแกผ่ ้จู �ำน�ำหรือผ้ทู ี่ควรได้

หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 9 201

9.2 ความระงบั แห่งสัญญาจ�ำน�ำ

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 769 บัญญัติวา่ “อนั จำ� น�ำย่อมระงับสิ้นไป
(1) เม่ือหนี้ซึ่งจำ� นำ� เปน็ ประกนั อยู่นน้ั ระงบั สิ้นไปเพราะเหตุประการอ่ืน มิใช่เพราะอายคุ วาม หรอื
(2) เมื่อผู้รบั จำ� น�ำยอมให้ทรพั ยส์ ินจำ� น�ำกลบั คนื ไปสู่ครอบครองของผูจ้ �ำน�ำ”
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ดังกล่าว สัญญาจ�ำน�ำย่อมระงับไปได้ด้วยเหตุ 2 ประการ
แยกพจิ ารณาได้ดงั ต่อไปนี้
9.2.1 หนี้ซึ่งจ�ำน�ำเป็นประกันอยู่นั้นระงับส้ินไปเพราะเหตุประการอื่นมิใช่เพราะอายุความ เช่น
หน้ีประธานระงับ เม่ือหนี้ประธานระหว่างลูกหนี้และเจ้าหน้ีผู้รับจ�ำน�ำได้ระงับไปด้วยการช�ำระหน้ี การปลดหนี้
การหักกลบลบหนี้ การแปลงหนี้ใหม่ และหนี้เกล่ือนกลืนกัน แต่เหตุท่ีหนี้ประธานขาดอายุความไม่ท�ำให้สัญญา
จำ� น�ำระงบั ผ้รู บั จ�ำน�ำยังมีสทิ ธิบงั คบั จ�ำนำ� เอาทรพั ยส์ ินซึ่งจ�ำน�ำออกขายทอดตลาดน�ำเงนิ มาช�ำระหนี้ได้ แตเ่ รียก
ดอกเบีย้ ทีค่ ้างชำ� ระเกินกวา่ 5 ปไี ม่ได้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/27) ซึ่งเป็นหลักเดยี วกนั
กบั เรื่องการบังคบั จ�ำนองในกรณหี น้ีประธานขาดอายแุ ลว้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 745)

9.2.2 ผู้รับจ�ำน�ำยอมให้ทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำกลับคืนสู่ความครอบครองของผู้จ�ำน�ำ การจ�ำน�ำนั้นผู้จ�ำน�ำ
ต้องส่งมอบทรัพย์สินซ่ึงจ�ำน�ำให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำ ถ้าผู้รับจ�ำน�ำยอมให้ทรัพย์สินซึ่งจ�ำน�ำกลับคืนไปสู่การครอบครอง
ของผจู้ �ำน�ำแล้ว สัญญาจ�ำน�ำยอ่ มระงับสนิ้ ไป

10. ความแตกต่างระหวา่ งสัญญาจำ� นองและสัญญาจ�ำน�ำ

ความแตกต่างระหวา่ งสัญญาจำ� นองและสัญญาจ�ำน�ำ แยกพิจารณาเป็นขอ้  ๆ ได้ดังน้ี
10.1 ทรัพย์สินที่เป็นประกันการช�ำระหน้ี การจ�ำนองต้องเป็นอสังหาริมทรัพย์หรือสังหาริมทรัพย์
ชนิดพิเศษ หรือสังหาริมทรัพย์ที่กฎหมายบัญญัติให้จดทะเบียนจ�ำนองได้ แต่ทรัพย์สินที่จ�ำน�ำได้ต้องเป็น
สังหาริมทรพั ย์เท่านัน้
10.2 แบบของสัญญา สัญญาจ�ำนองต้องท�ำตามแบบท่ีกฎหมายก�ำหนดไว้ คือ ท�ำเป็นหนังสือและ
จดทะเบียนต่อพนกั งานเจ้าหนา้ ท่ี แต่สัญญาจ�ำนำ� กฎหมายไมไ่ ดก้ ำ� หนดแบบไว้ แมต้ กลงกนั ดว้ ยวาจาสญั ญาจ�ำนำ�
กใ็ ชไ้ ด้
10.3 การสง่ มอบทรพั ยส์ นิ สญั ญาจำ� นองนน้ั ผจู้ ำ� นองไมต่ อ้ งสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ซง่ึ จำ� นองใหแ้ กผ่ รู้ บั จำ� นอง
แต่สัญญาจำ� น�ำผูจ้ �ำน�ำต้องสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ให้แก่ผู้รับจำ� น�ำยดึ ถือไว้
10.4 การฟอ้ งคดตี อ่ ศาล การบงั คบั จำ� นองตอ้ งฟอ้ งคดตี อ่ ศาลเพอื่ ใหศ้ าลสง่ั ขายทอดตลาดหรอื เอาทรพั ย์
จ�ำนองหลุดเป็นกรรมสิทธิ์แก่ผู้รับจ�ำนอง แต่การบังคับจ�ำน�ำตามสัญญาจ�ำน�ำนั้น ผู้รับจ�ำน�ำมีสิทธิเอาทรัพย์สิน
ซ่งึ จ�ำน�ำออกขายทอดตลาดไดเ้ องโดยไมต่ ้องฟอ้ งตอ่ ศาล

202 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

อน่ึง การจ�ำน�ำที่กล่าวมาในหน่วยการเรียนรู้น้ีเป็นการจ�ำน�ำทั่ว ๆ ไป ตามประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ ซ่ึงไม่ได้กล่าวถึงเร่ืองโรงรับจ�ำน�ำหรือเรียกกันโดยทั่วไปว่า “สถานธนานุบาล” ซ่ึงโรงรับจ�ำน�ำ หรือ
สถานธนานุบาลที่ปรากฏในปัจจุบันน้ันอยู่ในบังคับตามพระราชบัญญัติโรงรับจ�ำน�ำ พ.ศ. 2505 แก้ไขเพิ่มเติม
พ.ศ. 2517 พ.ศ. 2526 และ พ.ศ. 2534 หากพระราชบัญญัติโรงรับจ�ำน�ำไม่ได้บัญญัติไว้จึงให้น�ำบทบัญญัติ
ในประมวลกฎหมายพาณิชยไ์ ปใชบ้ งั คับ

กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจท่ี 9.2

ตอนท่ี 1 จงเขยี นเครือ่ งหมาย ✓ หนา้ ข้อความทีถ่ กู และเขยี นเครอื่ งหมาย ✗ หน้าขอ้ ความท่ผี ิด
............ 1. สญั ญาจำ� น�ำเปน็ การประกนั ดว้ ยทรพั ย์เช่นเดยี วกับสญั ญาจำ� นอง
............ 2. สัญญาจำ� นำ� ต้องท�ำตามแบบ คอื ทำ� เปน็ หนงั สือลงลายมอื ชื่อทัง้ สองฝ่ายเสมอ
............ 3. สัญญาจ�ำน�ำเป็นการประกันหน้ีด้วยทรัพย์คล้ายสัญญาจ�ำนอง ต่างกันที่ประเภทของทรัพย์ที่น�ำมา

เป็นหลกั ประกนั การชำ� ระหนี้
............ 4. ในการบังคับจ�ำน�ำนั้น ถ้าได้เงินน้อยกว่าจ�ำนวนท่ีค้างช�ำระ ลูกหนี้ยังคงต้องรับผิดในส่วนที่ขาด

อย่นู น้ั
............ 5. การจ�ำน�ำสทิ ธิซึ่งมีตราสารตอ้ งส่งมอบตราสารใหแ้ ก่ผูร้ บั จ�ำนำ� และบอกกล่าวเปน็ หนังสือให้ลกู หน้ี

แห่งสทิ ธิน้นั ทราบดว้ ย
............ 6. ถ้าไม่ไดร้ บั ช�ำระหนผี้ ู้รับจำ� นำ� ไมม่ ีสิทธิยดึ ทรัพยท์ ่จี ำ� น�ำไว้
............ 7. โดยปกติแล้วเม่ือจะบังคับจ�ำน�ำ ผู้รับจ�ำน�ำไม่ต้องบอกกล่าวเป็นหนังสือไปยังลูกหน้ีให้ช�ำระหนี้

ภายในระยะเวลาอันควร
............ 8. สัญญาจ�ำน�ำไม่ตอ้ งสง่ มอบทรพั ย์ท่ีจำ� น�ำกใ็ ช้บังคับไดต้ ามกฎหมายแล้ว
............ 9. ถา้ ผรู้ บั จำ� นำ� ยอมใหท้ รพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นำ� กลบั คนื สคู่ วามครอบครองของผจู้ ำ� นำ� จะทำ� ใหส้ ญั ญาจำ� นำ� ระงบั
............ 10. ผูร้ บั จ�ำนำ� มสี ทิ ธเิ อาทรพั ยส์ นิ ซ่งึ จำ� นำ� ออกขายทอดตลาดโดยไมต่ ้องฟ้องศาล
ตอนท่ี 2 จงตอบคำ� ถามขอ้ ต่อไปนี้
1. นายบิลล่ีกู้เงินนางสิเรียม 20,000 บาท ด้วยการส่งมอบคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กจ�ำน�ำไว้เป็นหลักประกันเงินกู้
ก�ำหนดช�ำระคืนเงินกู้ภายใน 1 ปี เม่ือเวลาผ่านไปได้ 6 เดือน นางสิเรียมสงสารนายบิลล่ีท่ีไม่มีเคร่ือง
คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กไว้ใช้งาน จึงได้น�ำเครื่องคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กที่จ�ำน�ำคืนให้แก่นายบิลลี่เช่นเดิม กรณี
ตามปญั หาสัญญาจำ� นำ� มีผลทางกฎหมายอย่างไร
2. สญั ญาจำ� นองและสัญญาจำ� นำ� ตอ้ งปฏิบัติตามแบบทีก่ ฎหมายกำ� หนดไวห้ รอื ไม่ อย่างไร และมีผลอยา่ งไร

หน่วยการเรียนรู้ที่ 9 203

กิจกรรมตามสมรรถนะวชิ าชพี ที่ 9.2
เร่ือง จ�ำน�ำ

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
1. อธิบายความหมายและลกั ษณะของสญั ญาจำ� น�ำได้
2. อธิบายวิธกี ารท�ำสัญญาจ�ำน�ำได้
3. บอกสทิ ธิ หน้าที่ และความรับผิดของผรู้ บั จ�ำน�ำและผจู้ �ำนำ� ได้
4. บอกการบงั คบั จ�ำนำ� และความระงบั แหง่ สัญญาจ�ำน�ำได้
5. บอกความแตกตา่ งระหวา่ งสญั ญาจำ� นองและสัญญาจำ� นำ� ได้
กิจกรรม
1. ใหผ้ ูเ้ รียนแบ่งกลุ่มออกเป็น 5 กลมุ่ ศึกษาค้นคว้าข้อมูลตามหัวขอ้ ต่อไปนี้
1.1 ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาจำ� นำ� กล่มุ ท่ี 1
1.2 วิธีการท�ำสญั ญาจำ� นำ� กลมุ่ ท่ี 2
1.3 สิทธิ หน้าท่ี และความรบั ผดิ ของผูร้ บั จำ� นำ� และผ้จู ำ� นำ� กลุม่ ท่ี 3
1.4 การบังคบั จำ� นำ� และความระงบั แห่งสญั ญาจำ� นำ� กลุ่มท่ี 4
1.5 ความแตกตา่ งระหว่างสัญญาจ�ำนองและสัญญาจำ� น�ำ กลุ่มท่ี 5
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มท่ีได้รับมอบหมายตามหัวข้อ 1.1-1.5 ศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับเรื่อง
กฎหมายลักษณะจ�ำน�ำและค�ำพิพากษาฎีกาท่ีน่าสนใจ โดยค้นคว้าเพิ่มเติมจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น
อินเทอร์เน็ต หนังสอื จากห้องสมดุ เป็นตน้
3. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิดสรุปหลักกฎหมายลักษณะจ�ำน�ำที่เป็นประเด็นส�ำคัญในรูป
ของผังมโนทศั น์ (Mind Mapping) หรือสรุปประเดน็ ส�ำคญั ในรูปแบบของการแสดงบทบาทสมมตุ ิ
4. จากขอ้ 3 ให้ผ้เู รียนเลือกและน�ำเสนอภาระงานหน้าชั้นเรยี น กลุ่มละ 3-5 นาที
5. ผ้สู อนและผู้เรียนร่วมกันสรปุ ภาพรวม

204 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

สรุป

จ�ำนอง คือ สัญญาซึ่งบุคคลคนหน่ึงเรียกว่าผู้จ�ำนอง เอาทรัพย์สินตราไว้แก่บุคคลอีกคนหน่ึง
เรยี กว่าผูร้ ับจำ� นอง เพือ่ เปน็ ประกนั การช�ำระหนโ้ี ดยไม่ส่งมอบทรัพย์สนิ น้ันให้แกผ่ ู้รับจ�ำนอง และผู้จำ� นอง
ยังมีกรรมสิทธิ์และครอบครองทรัพย์สินเช่นเดิม ทรัพย์สินที่น�ำมาเป็นหลักประกันการช�ำระหน้ีจ�ำนองได้
คอื อสงั หาริมทรพั ย์ สงั หาริมทรพั ยช์ นิดพเิ ศษ และสงั หารมิ ทรัพย์ชนดิ อืน่  ๆ ท่มี กี ฎหมายบัญญตั ิไว้ว่าให้
จดทะเบียนจ�ำนอง ผู้จ�ำนองนั้นต้องเป็นเจ้าของทรัพย์สินจ�ำนอง เม่ือจ�ำนองทรัพย์สินต้องท�ำเป็นหนังสือ
และจดทะเบยี นต่อพนกั งานเจ้าหนา้ ที่ มฉิ ะนั้นสัญญาจำ� นองย่อมตกเปน็ โมฆะ ถ้าลกู หนผี้ ิดนดั ไม่ช�ำระหน้ี
ให้แก่ผู้รับจ�ำนองหรือกรณีทรัพย์สินจ�ำนองสูญหายหรือบุบสลายเพราะความผิดของผู้จ�ำนอง ผู้รับจ�ำนอง
ชอบที่จะฟ้องร้องต่อศาลขอให้บังคับจ�ำนองโดยน�ำทรัพย์สินออกขายทอดตลาด เพื่อน�ำเงินช�ำระหนี้
ใหแ้ กต่ นได้ การบงั คบั จำ� นองมี 2 วธิ ี คอื การเอาทรพั ยส์ นิ ซงึ่ จำ� นองออกขายทอดตลาด และการเอาทรพั ยส์ นิ
ซ่ึงจ�ำนองหลุดเป็นสิทธิแก่ผู้รับจ�ำนอง
จ�ำน�ำเป็นการประกันการช�ำระหนี้ด้วยทรัพย์สินประเภทสังหาริมทรัพย์ ผู้จ�ำน�ำต้องส่งมอบ
ทรัพย์สนิ ซึ่งจ�ำน�ำให้แก่ผรู้ ับจำ� นำ� สัญญาจึงจะบรบิ ูรณ์ ผจู้ ำ� นำ� อาจเป็นลูกหน้หี รอื บคุ คลภายนอกก็ไดท้ นี่ ำ�
ทรัพย์สินของตนมาจ�ำน�ำไว้เป็นการประกันการช�ำระหนี้ของลูกหน้ี เมื่อหน้ีถึงก�ำหนดช�ำระแล้วแต่ลูกหน้ี
ผิดนัดไม่ช�ำระหน้ี ผู้รับจ�ำน�ำมีสิทธิบังคับช�ำระเอาแก่ทรัพย์สินที่จ�ำน�ำด้วยวิธีการขายทอดตลาดได้โดย
ไม่ตอ้ งฟ้องรอ้ งเปน็ คดีต่อศาล

หนว่ ยการเรยี นร้ทู ่ี 9 205

แบบประเมนิ สมรรถนะรายวชิ าหนว่ ยการเรียนรู้ท่ี 9
เรือ่ ง จำ� นอง-จ�ำน�ำ

คำ� ชแี้ จง จงเขียนเครื่องหมาย ✓ ลงในช่องวา่ งท่ีตรงกับความคดิ เห็นของผู้เรียนตามความเป็นจริงมากทีส่ ุด
เกณฑก์ ารประเมนิ 5 = ดมี าก 4 = ดี 3 = ปานกลาง 2 = นอ้ ย 1 = นอ้ ยทีส่ ุด

หวั ข้อ ระดับความคิดเห็น
54321
1. ดา้ นความรู้
1.1 อธบิ ายความหมายและลกั ษณะของสัญญาจ�ำนองได้
1.2 บอกทรพั ยส์ นิ ท่จี �ำนองและแบบของสัญญาจำ� นองได้
1.3 บอกขอบเขตสทิ ธิทจ่ี ำ� นองได้
1.4 อธิบายสิทธิและหนา้ ที่ของผู้จ�ำนองและผู้รบั จ�ำนองได้
1.5 บอกการบงั คับจ�ำนองและความระงับแห่งสญั ญาจ�ำนองได้
1.6 อธิบายความหมายและลกั ษณะของสญั ญาจำ� น�ำได้
1.7 อธิบายวิธีการทำ� สญั ญาจ�ำนำ� ได้
1.8 บอกสทิ ธิ หนา้ ท่ี และความรับผิดของผ้รู ับจ�ำน�ำและผู้จ�ำนำ� ได้
1.9 บอกการบังคบั จ�ำน�ำและความระงับแหง่ สัญญาจำ� นำ� ได้
1.10 บอกความแตกต่างระหว่างสัญญาจ�ำนองและสัญญาจ�ำน�ำได้
2. ดา้ นทักษะ
2.1 ปฏบิ ัตกิ ิจกรรมตามที่ไดร้ บั มอบหมายเสร็จตามกำ� หนดเวลา
2.2 เกดิ สมรรถนะในการปฏิบัตกิ จิ กรรม
2.3 จดั ท�ำเอกสารทีเ่ กีย่ วขอ้ งกับลักษณะสญั ญาจำ� นองและจำ� น�ำไดต้ ามหลักการ

ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
3. ด้านเจตคติ

3.1 มคี วามซอื่ สตั ยส์ จุ ริต
3.2 มีวนิ ัย ตรงต่อเวลา และมคี วามรบั ผดิ ชอบ
3.3 มมี นุษยสมั พันธใ์ นการปฏิบตั กิ ิจกรรม และท�ำงานร่วมกบั ผูอ้ ื่นได้
3.4 มเี จตคติท่ดี ใี นการปฏิบตั กิ ิจกรรม

206 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

แบบทดสอบเพ่อื ประเมนิ ผลหลงั การเรยี นรู้

จงเลือกคำ� ตอบท่ีถกู ต้องเพยี งขอ้ เดยี ว

จดุ ประสงค์การเรยี นรทู้ ่ี 1 อธบิ ายความหมายและลกั ษณะ 3. จ�ำนองแพท่ีใช่ล่องซุงต้องท�ำเป็นหนังสือและ
ของสญั ญาจ�ำนองได้ จดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจ้าหน้าท่ี
1. ข้อใดมใิ ชล่ กั ษณะส�ำคัญของสัญญาจำ� นอง 4. จ�ำนองบา้ นพรอ้ มที่ดนิ ต้องท�ำเปน็ หนังสือและ
1. เป็นสญั ญาอปุ กรณ์ จดทะเบียนตอ่ พนกั งานเจ้าหน้าที่
2. เป็นสญั ญาประธาน 5. จ�ำนองบ้านพร้อมที่ดินจะต้องท�ำตามแบบที่
3. จ�ำนองไม่ตอ้ งส่งมอบทรพั ย์ กฎหมายกำ� หนดคอื มหี ลกั ฐานสญั ญาเปน็ หนงั สอื
4. ทรพั ยท์ จี่ ำ� นองผจู้ ำ� นองตอ้ งเปน็ เจา้ ของกรรมสทิ ธิ์ 5. การจ�ำนองบ้านอย่างเดียว เพราะที่ดินเช่าวัดอยู่
5. ถูกตอ้ งทกุ ขอ้ การจำ� นองจะต้องปฏิบัตอิ ยา่ งไร
2. “การเอาทรัพย์สินตราไว้แก่ผู้รับจ�ำนอง” ข้อใด 1. ตอ้ งท�ำเปน็ หนังสือ
เปน็ การกระท�ำทถี่ ูกต้องตามกฎหมาย 2. ต้องมีหลักฐานเปน็ หนังสือ
1. การทำ� หลกั ฐานให้แกผ่ รู้ ับจ�ำนอง 3. ต้องจดทะเบยี นตอ่ พนกั งานเจา้ หน้าที่
2. การส่งมอบโฉนดให้แก่ผู้รับจ�ำนอง 4. ตอ้ งทำ� เปน็ หนงั สอื และจดทะเบยี นตอ่ พนกั งาน
3. การส่งมอบทรัพยส์ นิ ให้พนักงานเจ้าหนา้ ท่ี เจ้าหน้าท่ี
4. การทำ� เปน็ หนังสือและจดทะเบยี นจ�ำนอง 5. ถกู ต้องทกุ ข้อ
5. ถกู ต้องทุกข้อ จดุ ประสงคก์ ารเรยี นร้ทู ่ี 3 บอกขอบเขตสิทธิทีจ่ ำ� นองได้
จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ 2 บอกทรัพย์สินที่จ�ำนองและ 6. นางน้�ำผึ้งจ�ำนองที่ดิน 1 ไร่ไว้กับนางน้�ำหวาน
แบบของสญั ญาจำ� นองได้ เป็นเงิน 900,000 บาท ที่ดินแปลงนี้จะเป็น
3. ทรัพยส์ นิ ในขอ้ ใดจำ� นองได้ ประกนั หน้อี ะไรบ้าง
1. รถยนต์ 1. เงนิ ต้น ดอกเบ้ีย
2. อาวุธปืน 2. คา่ สินไหมทดแทนในการไม่ชำ� ระหน้ี
3. สรอ้ ยคอทองคำ� 3. ค่าฤชาธรรมเนยี มในการบงั คบั จ�ำนอง
4. สตั วพ์ าหนะทใี่ ชง้ านได้ 4. เงินต้น ดอกเบ้ีย และค่าสินไหมทดแทน
5. ถูกต้องทกุ ขอ้ ในการไมช่ �ำระหนี้
4. ข้อใดกล่าวถูกต้องตามกฎหมายลักษณะจ�ำนอง 5. เงินต้น ดอกเบี้ย ค่าสินไหมทดแทนในการ
1. จำ� นองรถยนต์ตอ้ งท�ำเป็นหนังสือ ไมช่ ำ� ระหนแี้ ละคา่ ฤชาธรรมเนยี มในการบงั คบั
2. จำ� นองเครอื่ งจกั รตอ้ งทำ� เปน็ หนงั สอื ลงลายมอื จ�ำนอง
ชื่อฝ่ายต้องรบั ผิด

หน่วยการเรียนรูท้ ่ี 9 207

จุดประสงค์การเรียนรู้ท่ี 4 อธิบายสิทธิและหน้าที่ของ 10. ขอ้ ใดเปน็ ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาจำ� นำ�
ผู้จ�ำนองและผรู้ บั จ�ำนองได้ ตามกฎหมาย
7. ขอ้ ใดกลา่ วผดิ ในเรอ่ื งสทิ ธแิ ละหนา้ ทขี่ องผจู้ ำ� นอง 1. นางน�้ำหวานกู้เงินจากนางน้�ำอ้อยเป็นเงิน
และผูร้ ับจำ� นอง 20,000 บาท โดยมีนายสมบัติลงลายมือช่ือ
1. ผจู้ �ำนองมีหน้าที่ช�ำระหนใ้ี หแ้ กผ่ รู้ ับจำ� นอง ค�ำ้ ประกันหนใี้ ห้
2. ผรู้ บั จำ� นองมสี ทิ ธจิ ะไดร้ บั ชำ� ระหนก้ี อ่ นเจา้ หน้ี 2. นางน้�ำหวานกู้เงินจากนางน�้ำอ้อยเป็นเงิน
สามัญ 50,000 บาท โดยมนี ายสมบัติน�ำทด่ี นิ ของตน
3. ผู้จ�ำนองมีหน้าท่ีรักษาทรัพย์สินท่ีจ�ำนองมิให้ มาตราไว้เป็นการช�ำระหนี้
สญู หายหรือบุบสลาย 3. นางน้�ำหวานกู้เงินจากนางน�้ำอ้อยเป็นเงิน
4. หน้ีถึงก�ำหนดช�ำระแล้ว ผู้รับจ�ำนองมีหน้าที่ 50,000 บาท โดยนางนำ�้ หวานนำ� รถยนตข์ อง
ปฏิเสธการรับชำ� ระหนจี้ ากลกู หน้ี ตนมาให้กับนางน�้ำอ้อยเพื่อเป็นการประกัน
5. ไม่มีข้อใดถูกตอ้ ง การชำ� ระหน้ี
จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่ 5 บอกการบงั คบั จำ� นองและความ 4. นางน�้ำหวานกู้เงินจากนางน�้ำอ้อยเป็นเงิน
ระงับแห่งสญั ญาจ�ำนองได้ 500,000 บาท โดยนางน�้ำหวานน�ำตึกแถว
8. เม่ือบังคับจ�ำนองโดยวิธีขายทอดตลาดแล้วได้เงิน ของตนมาใหก้ บั นางนำ้� ออ้ ยเพอื่ เปน็ การประกนั
ไม่พอช�ำระหน้ี กรณีนมี้ ผี ลภายหลงั บงั คับจำ� นอง การชำ� ระหนีห้ ากนางน้ำ� หวานไม่ชำ� ระหน้ี
ตามข้อใด 5. นางน�้ำหวานกู้เงินจากนางน�้ำอ้อยเป็นเงิน
1. ผู้จำ� นองต้องถกู ปรบั 500,000 บาท โดยนางน�้ำหวานนำ� บา้ นพร้อม
2. ผจู้ �ำนองต้องรบั ผดิ ในสว่ นทข่ี าด ท่ีดินของตนมาให้กับนางน�้ำอ้อยเพื่อเป็นการ
3. ผจู้ �ำนองจะเป็นบุคคลล้มละลาย ประกนั การชำ� ระหนห้ี ากนางนำ�้ หวานไมช่ ำ� ระหนี้
4. ผู้จำ� นองไม่ต้องรับผดิ ในสว่ นท่ีขาด จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่ 7 อธบิ ายวธิ กี ารทำ� สญั ญาจำ� นำ� ได้
5. ผจู้ ำ� นองตอ้ งหาหลกั ทรพั ยม์ าประกนั หนใี้ นสว่ น 11. ข้อใดเป็นวิธีการท�ำสัญญาจ�ำน�ำตามกฎหมาย
ท่ขี าด ลกั ษณะจ�ำนำ�
จดุ ประสงค์การเรยี นรทู้ ี่ 6 อธบิ ายความหมายและลกั ษณะ 1. การจ�ำน�ำทรัพย์สินทุกประเภทย่อมสมบูรณ์
ของสัญญาจ�ำน�ำได้ ด้วยการสง่ มอบทรพั ยส์ นิ ท่ีจำ� น�ำ
9. ข้อใดคือลกั ษณะของสัญญาจำ� น�ำ 2. การจำ� นำ� ใบหนุ้ ชนดิ ระบชุ อ่ื จะตอ้ งเพม่ิ ขนั้ ตอน
1. ต้องมหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สือ การจ�ำน�ำ คือ ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ
2. ตอ้ งจดทะเบยี นต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ลงลายมอื ชือ่
3. ต้องท�ำเป็นหนงั สือลงลายมือช่ือคู่สัญญา 3. การจำ� นำ� สทิ ธซิ ง่ึ มตี ราสาร ตอ้ งสง่ มอบตราสาร
4. เปน็ สญั ญาไมม่ แี บบ สามารถตกลงดว้ ยวาจาได้ น้ันให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำ และต้องบอกกล่าวเป็น
5. เปน็ สญั ญาทมี่ แี บบ ไมส่ ามารถตกลงดว้ ยวาจาได้ หนงั สอื แจง้ การจ�ำน�ำแก่ลกู หนแี้ ห่งสทิ ธินนั้

208 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

4. การจ�ำน�ำสิทธิซ่ึงมีตราสาร ไม่ต้องส่งมอบ 14. ขอ้ ใดที่ไม่ท�ำใหส้ ญั ญาจ�ำน�ำระงบั
ตราสารนนั้ ใหแ้ กผ่ รู้ บั จำ� นำ� แตจ่ ะตอ้ งบอกกลา่ ว 1. เม่อื ผรู้ ับจ�ำนำ� ปลดหนีใ้ ห้กับผจู้ ำ� นำ� แลว้
เปน็ หนงั สอื แจง้ การจำ� นำ� แกล่ กู หนแี้ หง่ สทิ ธนิ นั้ 2. เมื่อผู้จ�ำน�ำชำ� ระหนี้ใหแ้ ก่ผ้รู บั จำ� นำ� แลว้
5. ถูกตอ้ งทุกข้อ 3. เมือ่ หน้ีซ่ึงจ�ำนำ� เป็นประกันขาดอายุความ
4. เมอื่ มกี ารแปลงหนซี้ งึ่ จำ� นำ� เปน็ ประกนั ใหมแ่ ลว้
จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ 8 บอกสิทธิ หน้าที่ และความ 5. เม่ือผู้จ�ำน�ำยอมให้ทรัพย์สินที่จ�ำน�ำกลับคืนสู่
รบั ผิดของผ้รู บั จำ� น�ำและผูจ้ ำ� นำ� ได้ ความครอบครองของผ้รู บั จำ� น�ำ
12. ข้อใดไมใ่ ชส่ ิทธิ หนา้ ท่ีของผรู้ ับจ�ำนำ� และผจู้ �ำนำ�
1. ผู้รับจ�ำน�ำมีสิทธิท่ีจะยึดทรัพย์ที่จ�ำน�ำมา จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ 10 บอกความแตกต่างระหว่าง
ช�ำระหนี้ สญั ญาจ�ำนองและสัญญาจำ� น�ำได้
2. ผจู้ ำ� นำ� มหี นา้ ทต่ี อ้ งสงวนรกั ษาทรพั ยส์ นิ ทจ่ี ำ� นำ� 15. ขอ้ ใดเปน็ ความแตกตา่ งระหวา่ งสญั ญาจำ� นองและ
3. ผู้รับจ�ำน�ำมีสิทธิท่ีจะบังคับทรัพย์ท่ีจ�ำน�ำมา สญั ญาจำ� นำ�
ช�ำระหน้ีและมีหน้าท่ีเก็บรักษาทรัพย์ไว้กับ 1. การบังคับจ�ำนองไม่ต้องฟ้องคดีต่อศาล แต่
ผรู้ บั จำ� นำ� การบงั คับจ�ำน�ำผูร้ ับจำ� น�ำตอ้ งฟ้องคดตี ่อศาล
4. ผู้รับจ�ำน�ำสิทธิท่ีจะบังคับทรัพย์ท่ีจ�ำน�ำมา 2. สญั ญาจำ� นำ� ตอ้ งทำ� เปน็ หนงั สอื และจดทะเบยี น
ช�ำระหน้ีและมหี น้าท่ีต้องสงวนรักษาทรัพย์สิน ต่อพนกั งานเจา้ หน้าที่ สัญญาจ�ำนองตกลงกนั
ท่ีจ�ำน�ำ ผู้จ�ำน�ำมีหน้าท่ีจ่ายค่าบ�ำรุงรักษา ดว้ ยวาจาก็ใช้ไดแ้ ล้ว
ทรัพย์สินท่ีจำ� น�ำ 3. จำ� นองทรพั ยท์ จี่ ำ� นองตอ้ งเปน็ อสงั หารมิ ทรพั ย์
5. ผรู้ บั จำ� นำ� สทิ ธทิ จี่ ะยดึ ทรพั ยท์ จ่ี ำ� นำ� มาชำ� ระหนี้ แตจ่ ำ� นำ� ทรพั ยท์ นี่ ำ� มาจำ� นำ� ตอ้ งเปน็ สงั หารมิ ทรพั ย์
และมีหน้าที่เอาทรัพย์สินท่ีจ�ำน�ำออกใช้สอย ชนดิ พเิ ศษ
หรือให้คนอ่ืนเกบ็ รกั ษา ผ้จู ำ� น�ำมีหนา้ ที่จ่ายคา่ 4. สญั ญาจำ� นองนนั้ ผจู้ ำ� นองไมต่ อ้ งสง่ มอบทรพั ย์
บำ� รุงรกั ษาทรพั ยส์ นิ ที่จ�ำนำ� ท่ีจ�ำนองให้แก่ผู้รับจ�ำนอง แต่สัญญาจ�ำน�ำ
ผ้จู �ำนำ� ต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับจำ� น�ำ
จุดประสงค์การเรยี นรู้ท่ี 9 บอกการบังคบั จำ� นำ� และความ 5. สญั ญาจำ� นองนน้ั ผจู้ ำ� นองไมต่ อ้ งสง่ มอบทรพั ย์
ระงับแห่งสญั ญาจำ� น�ำได้ ที่จ�ำนองให้แก่ผู้รับจ�ำนอง แต่สัญญาจ�ำน�ำ
13. ผรู้ บั จ�ำนำ� จะบงั คับจำ� น�ำได้ตามกฎหมายอย่างไร ผู้จ�ำน�ำต้องส่งมอบทรัพย์สินให้แก่ผู้รับจ�ำน�ำ
1. ต้องฟอ้ งศาลกอ่ น หรอื ไมก่ ไ็ ดต้ ามที่จะตกลงกนั
2. ไมต่ อ้ งฟอ้ งศาลแต่ยดึ ทรัพยไ์ ด้
3. ต้องเอาทรพั ย์สนิ ออกขายเหมา
4. ตอ้ งเอาทรพั ย์สินออกขายเลหลัง
5. ต้องเอาทรัพย์สินทจี่ �ำนำ� ออกขายทอดตลาด

10หนว่ ยการเรียนรทู้ ี่

ตัวแทนและนายหน้า

สาระการเรยี นรู้ จุดประสงค์การเรยี นรู้

1. ความหมายและลกั ษณะของสัญญาตวั แทน 1. บอกความหมายและลักษณะของสัญญา
2. การแต่งตั้งตวั แทน ตวั แทนได้
3. ประเภทของตัวแทน 2. อธบิ ายการแต่งตง้ั ตวั แทนได้
4. หนา้ ทแี่ ละความรบั ผดิ ของตวั แทนตอ่ ตวั การและของตวั การตอ่ ตวั แทน 3. บอกประเภทตัวแทนได้
5. ความระงับส้ินไปแหง่ สัญญาตวั แทน 4. บอกหน้าที่และความรับผิดของตัวแทนต่อ
6. ความหมายและลกั ษณะของสัญญานายหนา้ ตวั การและของตัวการตอ่ ตวั แทนได้
7. สทิ ธิ หน้าที่ และความรับผิดของนายหนา้ 5. บอกสาเหตุที่ท�ำให้สัญญาตัวแทนระงับสิ้น
8. ความระงบั ส้นิ ไปแหง่ สญั ญานายหน้า ไปได้
9. ความแตกตา่ งระหว่างสญั ญาตวั แทนและสัญญานายหนา้ 6. บอกความหมายและลักษณะของสัญญา
นายหน้าได้
ตวั แทน 7. บอกสิทธิ หน้าท่ี และความรับผิดของ
และนายหนา้ นายหน้าได้
8. บอกความระงบั สนิ้ ไปแหง่ สญั ญานายหนา้ ได้
สมรรถนะประจ�ำหน่วย 9. บอกความแตกต่างระหว่างสัญญาตัวแทน
และสญั ญานายหนา้ ได้
1. แสดงความรู้เก่ียวกับหลักการของกฎหมายลักษณะตัวแทนและ
นายหน้า
2. จัดท�ำเอกสารสัญญาตัวแทนและสัญญานายหน้าได้ตามหลักการของ
ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์

210 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

ตัวแทนและนายหน้า

ตวั แทน (Agency) เปน็ กจิ การทท่ี ำ� แทนตวั การตอ่ บคุ คลภายนอกหรอื บคุ คลทสี่ ามซง่ึ ในการดำ� เนนิ ธรุ กจิ
นั้น ผปู้ ระกอบการไมส่ ามารถปฏบิ ตั ิงานดว้ ยตนเองให้ครอบคลุมได้ทกุ ภารกจิ จึงมคี วามจ�ำเป็นต้องตง้ั ผู้ทำ� หนา้ ที่
แทนตนเอง ไดแ้ ก่ “ตวั แทน” ส่วนผทู้ ไี่ ด้รบั มอบหมายใหท้ �ำงานแทน ไดแ้ ก่ “ตวั การ” ซึ่งการแตง่ ตงั้ ตัวแทนนน้ั
จะกระทำ� โดยแสดงออกชดั หรอื โดยปรยิ ายกไ็ ด้
นายหนา้ (Brokerage) หรอื ทเี่ รยี กกนั โดยทว่ั ไปวา่ โบรกเกอร์ (Broker) เปน็ บคุ คลทเ่ี ปน็ ตวั กลางทำ� หนา้ ท่ี
ชชี้ อ่ งใหบ้ คุ คลภายนอกเขา้ มาทำ� สญั ญานายหนา้ ในการประกอบธรุ กจิ สญั ญานายหนา้ นน้ั กฎหมายไมไ่ ดก้ ำ� หนดให้
ตอ้ งทำ� ตามแบบ ดงั น้ันสญั ญานายหน้าตกลงกันด้วยวาจาหรือท�ำเป็นหนังสอื ก็ได้

1. ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาตัวแทน

1.1 ความหมายของสัญญาตัวแทน

สัญญาตัวแทนเป็นลักษณะหนึ่งของเอกเทศสัญญา ซึ่งบัญญัติไว้ในบรรพ 3 ลักษณะ 15 แห่งประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ดังนี้
มาตรา 797 “อนั วา่ สัญญาตัวแทนนนั้ คอื สัญญาซง่ึ ให้บุคคลคนหน่ึงเรียกวา่ ตวั แทน มอี ำ� นาจท�ำการ
แทนบคุ คลอีกคนหน่ึงเรยี กว่า ตัวการ และตกลงจะท�ำการดั่งน้ัน
อันความเป็นตวั แทนนน้ั จะเป็นโดยต้งั แต่งแสดงออกชดั หรือโดยปรยิ ายกย็ ่อมได้”

1.2 ลกั ษณะของสัญญาตัวแทน

จากบทบญั ญัตติ ามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 797 ดังกล่าว สญั ญาตวั แทนจึงหมายถึง
การตกลงของบคุ คล 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหน่ึงมอบอำ� นาจให้อีกฝ่ายหนง่ึ ท�ำการอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ และอกี ฝ่ายหนึง่ รบั
ท�ำการนั้น โดยมลี ักษณะและสาระส�ำคญั ดังน้ี
1.2.1 สัญญาตวั แทนตอ้ งมีค่สู ัญญา คือ มบี ุคคล 2 ฝ่าย คู่สญั ญาตวั แทนฝ่ายหนงึ่ เรยี กว่า “ตวั การ”
และอีกฝ่ายหน่ึงเรียกว่า “ตัวแทน” โดยฝ่าย “ตัวการ” เป็นบุคคลผู้มีกิจการท�ำการตกลงให้ผู้อ่ืนกระท�ำกิจการ
แทนในนามของตน อยู่ภายใต้การควบคุมก�ำกับดูแลของตน และอีกฝ่ายหน่ึงคือ “ตัวแทน” เป็นบุคคลท่ีกระท�ำ
กจิ การแทนตวั การตามนโยบายหรือค�ำสงั่ ของตัวการ หรอื กล่าวอกี นัยหนงึ่ คอื นาย ก เป็นตวั การท�ำสัญญาแต่งตง้ั
ตัวแทนหรอื ทำ� สญั ญาตัวแทน โดยแตง่ ตั้งให้ นาย ข เป็นตัวแทน ไปท�ำสัญญากบั นาย ค ซง่ึ เป็นบุคคลภายนอก
ดงั นี้ นาย ก ที่เปน็ ตวั การยอ่ มผกู พันตามสญั ญาตวั แทน ดังรูปท่ี 10.1

หน่วยการเรียนรู้ที่ 10 211

ผูกพัน นาย ค ท�ำสญั ญา
นาย ก บุคคลภายนอก นาย ข
ตัวการ ตัวแทน
ตวั แทน
สญั ญาตัวแทน

รูปท่ี 10.1

1.2.2 บุคคลท่ีเป็นตัวแทนต้องมีความสามารถตามกฎหมาย คือ ไม่เป็นผู้เยาว์ ไม่เป็นคนวิกลจริต
ไมเ่ ปน็ คนไรค้ วามสามารถ หรอื เสมือนไร้ความสามารถ
1.2.3 กิจการที่ตัวแทนกระท�ำต้องมิใช่กิจการเฉพาะตัว กิจการที่ตัวแทนกระท�ำต้องเป็นกิจการท่ัวไป
อนั มใิ ช่กิจการเฉพาะตวั ของตวั การ ซ่งึ ตัวแทนไม่สามารถเปน็ ตวั แทนให้ได้ เชน่ การสมรส การเปน็ สมาชิกองค์การ
ตา่ ง ๆ การใช้สิทธิเลอื กตงั้ การใชส้ ทิ ธิในการสอบคัดเลอื ก เป็นตน้
1.2.4 เป็นสัญญาไม่มีบ�ำเหน็จ โดยท่ัวไปสัญญาตัวแทนไม่มีบ�ำเหน็จหรือไม่มีค่าตอบแทน เว้นแต่
จะตกลงให้มีบ�ำเหน็จ
1.2.5 เปน็ สญั ญาไมม่ แี บบแหง่ นติ กิ รรม โดยทว่ั ไปสญั ญาตวั แทนไมม่ แี บบแหง่ นติ กิ รรม คสู่ ญั ญาจะตกลง
เปน็ ตวั แทนโดยวาจาหรือเปน็ หนังสือก็ได้ เวน้ แต่การเป็นตัวแทนท่กี ฎหมายก�ำหนดใหแ้ ตง่ ตง้ั เปน็ หนงั สือ
1.2.6 วัตถุประสงค์ของสัญญาต้องชอบด้วยกฎหมาย โดยไม่ขัดกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรม
อันดี หากวัตถุประสงค์ขัดต่อกฎหมาย ขัดกับความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดี ย่อมท�ำให้สัญญาตัวแทน
ตกเป็นโมฆะ เช่น นายเอแต่งต้ังนายบีให้ไปซ้ือยาเสพติด สัญญาตัวแทนย่อมตกเป็นโมฆะ เพราะการซื้อขาย
ยาเสพติดน้ันขดั ต่อกฎหมาย เป็นต้น

212 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

ตัวอย่าง

สัญญาตวั แทน

ท�ำท่ี.................................................................................
วันท.ี่ ........เดือน........................พ.ศ. ..............................
สญั ญาฉบับน้ีท�ำข้ึนระหว่าง........................................................................อาย.ุ .........ปี อยูบ่ ้านเลขที่..................หมทู่ ่.ี ........................
ตรอก/ซอย...........................................ถนน................................................ต�ำบล/แขวง....................................................................
อ�ำเภอ/เขต............................................จังหวดั ....................................................ซึง่ ตอ่ ไปในสญั ญาน้ีเรยี กว่า “ตวั แทน” ฝ่ายหนงึ่ กับ
.................................................................................โดย.............................................................................................ผู้มีอ�ำนาจ
กระทำ� การแทน ส�ำนกั งานตง้ั อยู่ ณ.............................................................................ตรอก/ซอย........................................................
ถนน............................................................ต�ำบล/แขวง..............................................อ�ำเภอ/เขต........................................................
จังหวัด.........................................................ซ่งึ ต่อไปในสัญญานี้เรยี กวา่ “ตวั การ”
คู่สัญญาทงั้ สองฝา่ ยตกลงทำ� สญั ญากนั ดงั มีข้อความต่อไปนี้
ข้อ 1 ตวั การตกลงแตง่ ตั้งและตวั แทนตกลงรับแต่งตง้ั เป็นตัวแทน เพ่อื ดำ� เนนิ กิจการของตัวการเกีย่ วกบั .........................
...............................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................
...............................................................................................................................................................................................................
........................................................................................................................ในนามของตวั แทนเองตา่ งตวั การมกี ำ� หนดระยะเวลาแหง่
สัญญาน้ีทั้งสิ้น..........................................................ปี...........................................เดือน นับแต่วันที่ได้มีการลงนามในสัญญานี้ โดย
ตัวแทนเปน็ ผู้ดำ� เนินการดงั กลา่ วแตเ่ พียงผู้เดียวเท่านัน้
ขอ้ 2 คา่ ใชจ้ า่ ยใด ๆ ในการดำ� เนินการตามสญั ญาน้ีตัวการจะเปน็ ผรู้ ับภาระเองทง้ั ส้นิ
ขอ้ 3 ตวั การตกลงจา้ งคา่ จา้ งอันเกดิ จากการทำ� กจิ การดังกลา่ วของตวั แทนเปน็ รายเดือนเริม่ ตงั้ แต่เดือน.........................
จนถึงเดือน.........................................โดยช�ำระค่าจ้างทุกวันที่......................................ในอัตราเดือนละ.......................................บาท
(....................................................................................................) จนเสร็จสนิ้ สัญญา
ขอ้ 4 หากตัวการปฏิบัติผิดสัญญาน้ีข้อหนึ่งข้อใด เป็นเหตุให้ตัวแทนได้รับความเสียหาย ต้องรับผิดชอบในบรรดา
ค่าเสยี หายนน้ั  ๆ ใหแ้ ก่ตวั แทนทกุ ประการ
ขอ้ 5 หากตัวการผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด ตัวแทนมีสิทธิบอกเลิกสัญญานี้ได้ และมีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้น
ไดอ้ กี ต่างหากด้วย
ข้อ 6 หากตัวการประสงค์จะเลิกสัญญานี้ จะต้องด�ำเนินการแจ้งให้ตัวแทนทราบล่วงหน้าเป็นลายลักษณ์อักษร
ไม่น้อยกว่า..............วนั แตบ่ รรดากจิ การท่ไี ด้กระท�ำลงแล้วก่อนการบอกเลิกสญั ญานี้ให้ถอื ว่าไดก้ ระทำ� ลงในนามของตวั การโดยตรง
และมผี ลผกู พันตัวการตามสญั ญาน้ที กุ ประการ
สัญญาน้ีถูกท�ำข้ึนเป็นสองฉบับ มีข้อความถูกต้องตรงกัน คู่สัญญาท้ังสองฝ่ายได้อ่านและเข้าใจข้อความโดยตลอดแล้ว
จึงลงลายมือชอ่ื และประทับตรา (ถา้ มี) ไว้เปน็ สำ� คญั ต่อหน้าพยาน และเก็บสัญญาไวฝ้ า่ ยละฉบบั

ลงชอ่ื ......................................................................ตวั แทน ลงชอ่ื ....................................................................ตัวการ
(...................................................................) (................................................................)

ลงชอ่ื ......................................................................พยาน ลงชอื่ ....................................................................พยาน
(...................................................................) (................................................................)

หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 10 213

2. การแตง่ ต้ังตัวแทน

การแตง่ ตงั้ ตวั แทนเปน็ สญั ญาระหวา่ งตวั การกบั ตวั แทน ตวั การแตง่ ตงั้ ใหบ้ คุ คลคนหนงึ่ ทำ� กจิ การอยา่ งใด
อย่างหน่ึง และบุคคลน้ันยอมรับท�ำกิจการตามที่ตัวการมอบหมาย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติ
เรอื่ งดังกล่าวไว้ ดังนี้
มาตรา 797 วรรคสอง บัญญัติว่า “อนั ความเปน็ ตวั แทนจะเปน็ โดยตั้งแต่งแสดงออกชดั หรือโดยปรยิ าย
กย็ อ่ มได้”
จากบทบัญญัติดังกล่าวแสดงว่าการแต่งตัง้ ตัวแทนมี 2 กรณี ดงั น้ี
2.1 การตั้งตัวแทนโดยแสดงออกชัดหรือโดยชัดแจ้ง กรณีน้ีการตั้งตัวแทนมีการแสดงเจตนาระหว่าง
ตวั การกับตวั แทนโดยชัดเจน ดว้ ยการพดู จาตกลงกัน หรือทำ� ความตกลงกันเปน็ ลายลกั ษณอ์ กั ษรกไ็ ด้
ตัวอย่างท่ี 1 นายเอต้องการขายโทรศัพท์มือถือ จึงน�ำโทรศัพท์มือถือไปให้นายบีจัดการขายให้ นายบี
ตกลงรบั จดั การขายใหน้ ายเอ แสดงวา่ นายเอตั้งนายบใี หเ้ ป็นตวั แทนโดยแสดงออกชัด เปน็ การตกลงดว้ ยวาจา
ตัวอย่างที่ 2 นางเอเขียนหนังสือฉบับหน่ึงมีใจความว่า ให้นางบีไปรับนาฬิกาทองค�ำฝังเพชรเรือนหน่ึง
ทส่ี ่ังทำ� ไวจ้ ากร้านของนางซี นางบีตกลงนำ� หนงั สือท่นี างเอเขยี นสัง่ ใหไ้ ปรับนาฬิกาดงั กลา่ ว แสดงวา่ นางเอไดต้ ั้งให้
นางบีเป็นตวั แทนโดยแสดงออกชัด เป็นการตั้งตวั แทนโดยทำ� เป็นหนงั สอื
สำ� หรบั การตง้ั ตวั แทนโดยทำ� เปน็ หนงั สอื นนั้ กฎหมายไมไ่ ดก้ ำ� หนดรปู แบบไวแ้ ตอ่ ยา่ งใด แตค่ วรมขี อ้ ความ
แสดงใหท้ ราบว่ามกี ารตงั้ ตวั แทนพรอ้ มลายมือชื่อของตวั การซึ่งลงชอื่ รบั รองขอ้ ความในหนงั สือนน้ั
โดยปกติท่ัวไปแล้วการต้ังตัวแทนโดยแสดงออกชัดหรือโดยชัดแจ้ง จะตกลงกันด้วยวาจา หรือท�ำความ
ตกลงกันเป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ แต่มีข้อยกเว้นในกิจการบางอย่างที่ถ้าจะมอบหมายให้บุคคลอื่นท�ำแทน โดย
ต้องท�ำเป็นหนังสือต้ังตัวแทน หรือต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือเพื่อแสดงว่ามีการตั้งบุคคลนั้นไว้ให้เป็นตัวแทน
ดงั ต่อไปน้ี
2.1.1 การต้ังตัวแทนท่ีต้องท�ำเป็นหนังสือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติเรื่อง
ดังกลา่ วไว้ ดงั น้ี
มาตรา 798 วรรคแรก บัญญัติว่า “กิจการอันใดท่านบังคับไว้โดยกฎหมายว่าต้องท�ำเป็นหนังสือ
การต้งั ตวั แทนเพ่ือกจิ การอันนัน้ ต้องทำ� เป็นหนังสอื ดว้ ย”
การตัง้ ตัวแทนท่ตี ้องทำ� เปน็ หนงั สอื อาจทำ� เป็นหนงั สือมอบอ�ำนาจ หนงั สอื มอบฉันทะ หรอื เรยี กชื่อ
อย่างอื่นก็ตาม ใช้ส�ำหรับการตั้งตัวแทนเพ่ือให้ท�ำกิจการที่กฎหมายบังคับว่าต้องท�ำหนังสือ เช่น การซ้ือขาย
อสังหาริมทรัพย์ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456) การเช่าอสังหาริมทรัพย์นานกว่า 3 ปีขึ้นไป
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 538) การเช่าซ้ือทรัพย์สิน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 572) การจ�ำนอง (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 714) เป็นต้น ดังน้ันกิจการท่กี ฎหมายบังคบั
วา่ ตอ้ งทำ� เป็นหนงั สอื เช่น หนงั สือสัญญาซ้ือขายท่ีดนิ หรือหนงั สอื สัญญาเชา่ ซื้อรถยนต์ เป็นตน้ หากตัวการเปน็
ผู้ท�ำเองจะต้องท�ำเป็นหนังสือระหว่างตัวการกับคู่กรณีอีกฝ่ายหน่ึง หนังสือแต่งตั้งตัวแทนเพื่อตัวแทนจะได้น�ำไป
แสดงต่อบุคคลภายนอกจึงต้องท�ำเป็นหนังสือด้วย เช่น ท�ำหนังสือมอบอ�ำนาจให้ตัวแทนน�ำไปแสดงต่อพนักงาน
เจ้าหน้าทีท่ ่รี ับจดทะเบียนนติ ิกรรม เป็นต้น

214 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

ตัวอย่าง นายเอแต่งตั้งนายบีให้เป็นตัวแทนขายบ้านพร้อมท่ีดินของนายเอ ปกติการซ้ือขายบ้าน
พร้อมที่ดินซ่ึงเป็นอสังหาริมทรัพย์ กฎหมายก�ำหนดไว้ให้ท�ำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าท่ี
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 456) ดังนั้นนายเอต้องท�ำเป็นหนังสือแต่งต้ังให้นายบีเป็นตัวแทน
จึงจะชอบดว้ ยกฎหมายดงั กลา่ ว
ถา้ นายเอซง่ึ เปน็ ตวั การไมท่ ำ� หนงั สอื แตง่ ตง้ั ใหน้ ายบเี ปน็ ตวั แทน นายบซี งึ่ เปน็ ตวั แทนจะไมม่ อี ำ� นาจ
ท�ำกิจการกับอีกฝ่ายหน่ึง การท�ำสัญญาซ้ือขายบ้านพร้อมท่ีดินระหว่างผู้ท่ีอ้างว่าเป็นนายบีเป็นตัวแทนกับบุคคล
ภายนอกยอ่ มไม่ผูกพนั นายเอซ่งึ เป็นตวั การแตอ่ ย่างใด
2.1.2 การต้ังตัวแทนท่ีต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ได้บัญญัติ
เร่อื งดงั กล่าวไว้ ดงั นี้
มาตรา 798 วรรคสอง บัญญตั ิว่า “กจิ การอันใดทา่ นบังคบั ไวว้ า่ ตอ้ งมหี ลักฐานเป็นหนงั สอื การต้งั
ตวั แทนเพอื่ กิจการอันนน้ั กต็ ้องมหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สือดว้ ย”
หลกั ฐานเปน็ หนงั สอื ไมใ่ ชแ่ บบแหง่ นติ กิ รรม แตเ่ ปน็ วธิ กี ารทกี่ ฎหมายกำ� หนดขน้ึ เพอื่ ตดั ปญั หาโตแ้ ยง้
ที่อาจเกิดข้ึนและสามารถใช้เป็นหลักฐานฟ้องร้องคดีต่อศาล ซึ่งเป็นการป้องกันการแอบอ้างว่าเป็นตัวแทน เมื่อ
ไมม่ หี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื เพอ่ื แสดงวา่ ตวั การตงั้ ใหเ้ ปน็ ตวั แทนไปทำ� กจิ การอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ตวั การสามารถปฏเิ สธ
ความรับผิดต่อผู้ท่ีแอบอ้างว่าเป็นตัวแทนและต่อบุคคลภายนอกได้ ในส่วนกิจการท่ีกฎหมายบังคับว่าต้องมี
หลักฐานเป็นหนังสือ การต้ังตัวแทนก็ต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือ เช่น การเช่าอสังหาริมทรัพย์ไม่เกิน 3 ปี
(ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 583) การก้ยู มื เงินกวา่ 2,000 บาทข้นึ ไป (ประมวลกฎหมายแพง่ และ
พาณิชย์ มาตรา 653) การคำ�้ ประกัน (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 680) เป็นต้น
ตัวอย่าง นางสมหญิงแต่งตั้งให้นายสมศักด์ิเป็นตัวแทนไปท�ำสัญญากู้ยืมเงินจ�ำนวน 20,000 บาท
จากนายสมบัติ ดังน้ีนางสมหญิงซึ่งเป็นตัวการจะต้องแต่งตั้งนายสมบัติซึ่งเป็นตัวแทนโดยมีหลักฐานเป็นหนังสือ
ลงลายมือชอ่ื นางสมหญิง ซ่งึ เปน็ ตวั การและตอ้ งรบั ผิดชดใชห้ นต้ี ามสญั ญาเงนิ กู้
2.2 การต้ังตัวแทนโดยปริยาย กรณีน้ีเป็นการแต่งต้ังตัวแทนโดยไม่ได้มีการตกลงด้วยวาจาหรือ
ท�ำเป็นหนังสือแต่งต้ังตัวแทน แต่เป็นที่เข้าใจกันเองระหว่างตัวการกับตัวแทนว่าได้มีการมอบหมายแต่งต้ัง
ให้เปน็ ตวั แทนแล้ว จึงเป็นการตั้งตัวแทนโดยปริยาย
ตัวอย่าง นายสมบัติเป็นลูกชายและเป็นเจ้าของร้านขายคอมพิวเตอร์และอุปกรณ์ประกอบเคร่ือง
คอมพิวเตอร์ ได้ขอให้นางสมหญิงซึ่งเป็นแม่มาดูแลหลานท่ีร้าน ระหว่างท่ีนายสมบัติซึ่งเป็นลูกชายและเป็น
เจ้าของร้านไม่อยู่ ได้มีคนมาติดต่อซื้ออุปกรณ์ประกอบคอมพิวเตอร์ นางสมหญิงซ่ึงเป็นแม่สามารถขายอุปกรณ์
ประกอบเครื่องคอมพิวเตอร์แทนลูกชายได้ แสดงว่านางสมหญิงซ่ึงเป็นแม่ของนายสมบัติเป็นตัวแทนของลูก
ในการขายอุปกรณป์ ระกอบเครื่องคอมพิวเตอร์โดยปริยาย

หน่วยการเรยี นรูท้ ี่ 10 215

3. ประเภทของตวั แทน

ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ ตวั แทนแบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ดงั น้ี
3.1 ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจเฉพาะการ (Special Agent) เป็นผู้ได้รับมอบอ�ำนาจจากตัวการให้ท�ำ
กจิ การอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ เทา่ ทจ่ี ำ� เปน็ อำ� นาจของตวั แทนจงึ ถกู จำ� กดั เพยี งเพอื่ ทำ� สงิ่ ทต่ี วั การมอบหมายเทา่ ทจี่ ำ� เปน็
ให้ลุล่วงส�ำเร็จไปเท่าน้ัน จะท�ำกิจการอื่นนอกเหนือจากท่ีมอบหมายไม่ได้ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
ไดบ้ ัญญัติเร่อื งดงั กลา่ วไว้ ดงั น้ี
มาตรา 800 บัญญัติว่า “ถ้าตัวแทนได้รับมอบอ�ำนาจแต่เฉพาะการ ท่านว่าจะท�ำการแทนตัวการได้
แต่เพียงในสิ่งทีจ่ �ำเปน็ เพ่อื ใหก้ ิจอนั เขาไดม้ อบหมายแก่ตนนนั้ สำ� เรจ็ ลลุ ว่ งไป”
ตัวอย่างที่ 1 นางดาวได้รับมอบหมายจากนางเดือน เพ่ือให้ไปเจรจาท�ำความตกลงซื้อท่ีดินของนางฟ้า
แปลงหนงึ่ มเี นอื้ ที่ 50 ไร่ ตัง้ อยู่ตดิ ถนนสายเอเชีย จงั หวดั สิงหบ์ รุ ี ดังนน้ี างดาวจะมอี ำ� นาจเพยี งการไปเจรจาตกลง
ซื้อทด่ี นิ แปลงนี้เทา่ นนั้ จะไปเจรจาซอ้ื ที่ดินแปลงอน่ื หรือของคนอ่ืนไม่ได้
ตัวอย่างท่ี 2 นายเอแต่งต้ังให้นายบีไปซื้อโทรศัพท์มือถือย่ีห้อซัมซุง รุ่น S4 สีขาว จ�ำนวน 1 เครื่อง
นายบกี ม็ ีอ�ำนาจไปซื้อโทรศัพท์มอื ถือดังกล่าวเท่านนั้ จะไปซอื้ เคร่ืองเลน่ วิดโี อหรือเครื่องคอมพิวเตอรไ์ ม่ได้ เพราะ
นายเอไมไ่ ด้มอบอำ� นาจให้
3.2 ตัวแทนรับมอบอำ� นาจท่ัวไป (Universal Agent) คือ ตวั แทนท่ีไดร้ บั มอบอำ� นาจใหท้ ำ� กิจการได้
ทุกอย่าง โดยมไิ ดร้ ะบุเฉพาะเจาะจง ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชยไ์ ด้บัญญัติเร่อื งดังกลา่ วไว้ ดังนี้
มาตรา 801 วรรคแรก บัญญัตวิ ่า “ถ้าตัวแทนไดร้ บั มอบอำ� นาจทว่ั ไป ทา่ นวา่ จะท�ำกิจใด ๆ ในทางจดั การ
แทนตวั การก็ยอ่ มทำ� ไดท้ ุกอยา่ ง”
ตัวอยา่ ง นายโชคไดร้ บั มอบอำ� นาจจากนายชนั ให้เปน็ ผู้จดั การดแู ลกจิ การหา้ งสรรพสินคา้ เปน็ เวลา 5 ปี
นายโชคจึงมีอ�ำนาจจัดการซ้ือสินค้าเข้าห้างสรรพสินค้า จัดการขายสินค้าของห้างสรรพสินค้าให้แก่ผู้ซ้ือ รวมถึง
การจ้างลกู จ้าง การให้ลูกจ้างออกจากงานได้ เปน็ ตน้
อยา่ งไรกต็ ามตวั แทนรบั มอบอำ� นาจทว่ั ไปจะทำ� กจิ การตอ่ ไปนไี้ มไ่ ด้ เวน้ แตไ่ ดร้ บั ความยนิ ยอมจากตวั การ
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 801 วรรคสอง) คือ
3.2.1 ขายหรือจำ� นองอสงั หาริมทรัพย์
3.2.2 ใหเ้ ช่าอสังหารมิ ทรัพย์กว่า 3 ปขี น้ึ ไป
3.2.3 ให้
3.2.4 ประนปี ระนอมยอมความ
3.2.5 ยื่นฟ้องตอ่ ศาล
3.2.6 มอบข้อพพิ าทใหอ้ นญุ าโตตุลาการพิจารณา

216 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

4. หน้าที่และความรับผิดของตัวแทนตอ่ ตวั การและ
ของตวั การตอ่ ตวั แทน

4.1 หนา้ ทแ่ี ละความรบั ผิดของตัวแทนตอ่ ตัวการ ไดแ้ ก่
4.1.1 ต้องท�ำการตามคำ� ส่งั ของตวั การ ถ้าไม่มีคำ� สัง่ เชน่ น้นั ก็ต้องดำ� เนินการตามทางทเี่ คยทำ� กันมา
ในกจิ การคา้ ขายท่ีเคยทำ� กนั อยู่ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 807) โดยคำ� สงั่ ของตวั การตอ้ งชอบ
ดว้ ยกฎหมายดว้ ย
4.1.2 ต้องท�ำการด้วยตนเอง เว้นแต่จะมีอ�ำนาจใช้ตัวแทนช่วงท�ำการได้ (ประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณชิ ย์ มาตรา 808)
4.1.3 ตอ้ งแจง้ ความเปน็ ไปของการทไี่ ดม้ อบหมายอนั พอสมควรแกเ่ หตใุ หแ้ กต่ วั การทราบ เมอื่ ตวั การ
มคี วามประสงคจ์ ะทราบ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 809)
4.1.4 ต้องส่งเงินและทรัพย์สินอย่างอ่ืนบรรดาที่ตัวแทนได้รับไว้เกี่ยวกับการเป็นตัวแทนน้ัน
ได้แก่ตัวการทั้งสิ้น ถึงแม้ว่าสิทธิท้ังหลายซึ่งตัวแทนขวนขวายได้มาในนามของตนเอง แต่โดยฐานะที่ท�ำการแทน
ตวั การนั้น ตวั แทนก็ต้องโอนใหแ้ กต่ วั การท้งั สิน้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 810)
4.1.5 ต้องเสียดอกเบ้ยี ให้แกต่ วั การ ในกรณีทตี่ วั แทนเอาเงนิ ที่ควรจะได้ส่งให้แกต่ ัวการหรือซึ่งควร
จะใช้ในกิจการของตัวการนั้นไปใช้เป็นประโยชน์ของตนเอง นับจากวันท่ีได้เอาไปใช้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา 811)
4.1.6 ตอ้ งรบั ผดิ ชอบตอ่ ความเสียหายท่เี กิดขน้ึ อยา่ งใด ๆ เพราะความประมาทเลนิ เล่อของตัวแทน
หรือเพราะไม่ท�ำการแทนเป็นตัวแทน หรือเพราะท�ำการโดยปราศจากอ�ำนาจ หรือนอกเหนืออ�ำนาจของการ
เปน็ ตัวแทน (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 812)
4.1.7 ต้องแถลงบัญชีเม่ือการเป็นตัวแทนน้ันได้สิ้นสุดลง (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
มาตรา 809 ตอนท้าย)
4.1.8 ต้องจัดการอันสมควรทุกอย่างเพื่อปกป้องรักษาประโยชน์ตัวการ ในกรณีตัวการตาย เป็น
คนไร้ความสามารถ หรือล้มละลาย จนกว่าทายาทหรือผู้แทนของตัวการจะเข้าไปปกป้องรักษาประโยชน์น้ัน ๆ
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 828)
4.2 หนา้ ทแ่ี ละความรับผดิ ของตัวการต่อตวั แทน ไดแ้ ก่
4.2.1 ตอ้ งจา่ ยเงนิ ทดรองใหแ้ กต่ วั แทนตามทจี่ ำ� นวนทจี่ ำ� เปน็ เพอื่ ทำ� การอนั มอบหมายใหแ้ กต่ วั แทน
ในกรณีทตี่ ัวแทนมีความประสงค์ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 815)
4.2.2 ต้องจ่ายดอกเบ้ียในเงินท่ีตัวแทนได้ทดรองจ่ายไปด้วยเหตุจ�ำเป็นให้แก่ตัวแทน นับจากวันท่ี
ตวั แทนได้ออกเงินน้ันไป (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816)
4.2.3 ตอ้ งจา่ ยคา่ สนิ ไหมทดแทนในกรณที ตี่ วั แทนไดเ้ สยี หายอยา่ งใด ๆ อนั มใิ ชค่ วามผดิ ของตวั แทน
เพราะได้จัดทำ� กิจการของตวั การนัน้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816 วรรคสาม)

หนว่ ยการเรยี นรูท้ ี่ 10 217

4.2.4 ต้องจ่ายเงินบ�ำเหน็จแก่ตัวแทน ถ้าในสัญญามีข้อตกลงในเร่ืองค่าบ�ำเหน็จ เงินบ�ำเหน็จน้ัน
ถ้าไม่มีข้อตกลงกันไว้ในสัญญาว่าจะจ่ายเมื่อใด ให้ตัวการจ่ายต่อเม่ือการเป็นตัวแทนนั้นได้ส้ินสุดลง (ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 817)

5. ความระงับสนิ้ ไปแหง่ สัญญาตวั แทน

สัญญาตัวแทนยอ่ มระงบั ลงได้ดว้ ยเหตุต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
5.1 การถอนตัวแทนหรือตัวแทนบอกเลิกสัญญา โดยตัวการถอนอ�ำนาจตัวแทนหรือตัวแทนบอกเลิก
เป็นตัวแทน หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งบอกเลิกสัญญาก็ได้ จะบอกเลิกเวลาใดก็ได้แต่ต้องเป็นเวลาที่เหมาะสม หรือ
ในเวลาทส่ี มควร โดยตอ้ งคำ� นงึ วา่ จะไมท่ ำ� ใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ เสยี หาย ถา้ บอกเลกิ สญั ญาแลว้ มผี ลใหอ้ กี ฝา่ ยหนง่ึ เสยี หาย
ฝ่ายท่ีเสียหายมีสิทธิเรียกค่าเสียหายได้ เว้นแต่มีเหตุจ�ำเป็นจริง ๆ ต้องบอกเลิกสัญญาโดยไม่อาจรีรอได้จึงไม่ต้อง
รบั ผดิ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 826-827)
5.2 เม่ือตัวการหรือตัวแทนตาย หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถ หรือล้มละลาย ท�ำให้สัญญาตัวแทน
ระงับเว้นแต่จะปรากฏว่าขัดกับข้อสัญญาหรือสภาพแห่งกิจการนั้น กรณีที่สัญญาตัวแทนระงับเพราะตัวการตาย
ตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลาย ให้ตัวแทนคงมีหน้าท่ีต้องด�ำเนินการต่าง ๆ เพ่ือรักษาผลประโยชน์ให้กับ
ตัวการต่อไปจนกว่าจะมีทายาทหรือผู้แทนของตัวการเข้ารับผิดชอบแทน ส่วนกรณีที่สัญญาตัวแทนระงับเพราะ
ตัวแทนตาย หรือตกเป็นผู้ไร้ความสามารถหรือล้มละลายก็ดี ทายาทหรือบุคคลผู้รับหน้าท่ีจัดการมรดกของ
ตวั แทนโดยชอบดว้ ยกฎหมาย ตอ้ งบอกกลา่ วใหต้ วั การทราบ และตอ้ งจดั การรกั ษาผลประโยชนข์ องตวั การไปกอ่ น
จนกว่าตวั การจะเข้าจัดการรกั ษาผลประโยชน์ของตนได้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 828)
5.3 เม่ือครบก�ำหนดสัญญาหรือตัวแทนท�ำกิจการส�ำเร็จลงตามข้อตกลงในสัญญาแล้ว หากก�ำหนด
ระยะเวลาไว้ หรอื กิจการสำ� เรจ็ ตามวตั ถุประสงคข์ องสัญญาตัวแทนหรือขอ้ ตกลงในสัญญาตวั แทนแล้ว ย่อมทำ� ให้
สญั ญาตัวแทนระงับ

กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจที่ 10.1

ตอนที่ 1 จงเขียนเคร่อื งหมาย ✓ หน้าข้อความทถ่ี ูก และเขยี นเครอื่ งหมาย ✗ หนา้ ขอ้ ความทีผ่ ิด
............... 1. ตัวแทน คือ บุคคลทีต่ วั การมอบอ�ำนาจให้มีอำ� นาจทำ� การแทนตัวเอง
............... 2. บุคคลทจี่ ะเปน็ ตัวแทนได้ต้องเปน็ บุคคลที่มคี วามสามารถตามกฎหมาย
............... 3. กจิ การอนั ใดกฎหมายบงั คบั ไวใ้ หต้ อ้ งทำ� เปน็ หนงั สอื การตง้ั ตวั แทนเพอ่ื กจิ การอนั นนั้ ตอ้ งมหี ลกั ฐาน

เป็นหนงั สือดว้ ย
............... 4. กจิ กรรมที่ตัวแทนจะทำ� แทนได้ต้องไม่ใชก้ ิจการเฉพาะตวั ของตัวการ
............... 5. ตวั แทนอาจมหี ลายประเภท เชน่ ตวั แทนของประชาชนทำ� หนา้ ทเี่ ปน็ สมาชกิ สภาผแู้ ทนราษฎร (ส.ส.)

สมาชิกวุฒสิ ภา (ส.ว.) เป็นต้น

218 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

............... 6. ตวั แทนรับมอบอ�ำนาจทั่วไปอาจขายหรือจำ� นองอสังหาริมทรัพยข์ องตัวการได้
............... 7. ความระงบั ของสัญญาตัวแทน คือ ตัวการบอกเลิกสญั ญาหรอื ถอนอ�ำนาจเป็นตัวแทน
............... 8. นางเก่งแต่งต้ังให้นายกล้าเป็นตัวแทนไปท�ำสัญญากู้ยืมเงิน 200,000 บาทจากนายกล้า ดังนี้

นางเก่งซ่ึงเปน็ ตัวการจะต้องแตง่ ตั้งนายกลา้ ซง่ึ เป็นตัวแทน โดยมหี ลักฐานเปน็ หนังสอื ลงลายมือชอ่ื
นางกลา้ ซ่งึ เปน็ ตัวการเพยี งฝ่ายเดียวกใ็ ชไ้ ด้
............... 9. หลักฐานเป็นหนังสือในสัญญาตัวแทนท�ำขึ้นเพ่ือตัดปัญหาโต้แย้งท่ีอาจเกิดข้ึน และสามารถใช้เป็น
หลกั ฐานฟ้องร้องคดตี ่อศาล
............... 10. นายรวยประกาศใหเ้ ชา่ ตึกแถวทอี่ ย่ใู นจงั หวัดเชียงใหมเ่ ดือนละ 10,000 บาท ต่อมามีนายเอกตกลง
ท�ำสัญญาเช่าตึกแถวจากนายรวย มีก�ำหนดระยะเวลา 3 ปี โดยลดราคาค่าเช่าตึกแถวลงเหลือ
เดือนละ 5,000 บาท แต่นายรวยท�ำธุรกิจอยู่ในกรุงเทพมหานคร ไม่สามารถเดินทางไปเก็บเงิน
ค่าเช่าได้ จึงแต่งตั้งนายนิวให้เป็นตัวแทนไปเก็บค่าเช่า โดยน�ำเงินค่าเช่าโอนเข้าบัญชีเงินฝากของ
นายรวยผใู้ หเ้ ชา่ ทกุ เดอื น ดงั นส้ี ญั ญาตวั แทนระหวา่ งนายรวยและนายนวิ นใ้ี ชไ้ ดบ้ งั คบั ไดต้ ามกฎหมาย
ตอนท่ี 2 จงตอบคำ� ถามต่อไปนี้
จงบอกลกั ษณะส�ำคญั ของสญั ญาตัวแทน

กจิ กรรมตามสมรรถนะวิชาชีพท่ี 10.1
เร่อื ง การจัดทำ� เอกสารสญั ญาตวั แทน

จุดประสงค์การเรยี นรู้
จดั ท�ำเอกสารสญั ญาตัวแทนได้ตามหลกั การกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ได้
กิจกรรม
1. ให้ผู้เรียนแบ่งกลุ่ม กลุม่ ละ 4 คน ศึกษาคน้ คว้าเกี่ยวกับสัญญาตวั แทนเพ่มิ เติมจากอนิ เทอร์เนต็
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนร่างสัญญาตัวแทน โดยให้ผู้เรียนจ�ำนวน 2 คนเป็นคู่สัญญา และผู้เรียน
อกี จำ� นวน 2 คนเป็นพยาน
3. น�ำรา่ งสญั ญาตวั แทนท่ดี ำ� เนินการเสร็จแล้วร่วมกันอภปิ รายหนา้ ช้ันเรยี น กลมุ่ ละ 3-5 นาที
4. ผู้สอนและผู้เรยี นรว่ มกนั สรุปภาพรวม

หน่วยการเรียนร้ทู ี่ 10 219

6. ความหมายและลักษณะของสญั ญานายหน้า

6.1 ความหมายของสญั ญานายหนา้

สญั ญานายหน้าเปน็ ลักษณะหน่งึ ของเอกเทศสัญญา ซึ่งบัญญัตไิ ว้ในบรรพ 3 ลกั ษณะ 16 แหง่ ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ ดงั นี้
มาตรา 845 “บคุ คลผใู้ ดตกลงจะใหค้ า่ บำ� เหนจ็ แกน่ ายหนา้ เพอื่ ทช่ี ชี้ อ่ งใหไ้ ดเ้ ขา้ ทำ� สญั ญากด็ ี จดั การใหไ้ ด้
ท�ำสัญญากันก็ดี ท่านว่าบุคคลผู้นั้นจะต้องรับผิดใช้ค่าบ�ำเหน็จก็ต่อเม่ือสัญญาน้ันได้ท�ำกันส�ำเร็จเน่ืองแต่ผลแห่ง
การที่นายหน้าได้ช้ีช่องหรือจัดการน้ัน ถ้าสัญญาท่ีได้ท�ำกันไว้น้ันมีเง่ือนไขเป็นเงื่อนบังคับก่อนไซร้ ท่านว่าจะ
เรยี กรอ้ งบำ� เหนจ็ คา่ นายหนา้ ยงั หาไดไ้ ม่จนกว่าเงื่อนไขน้นั ส�ำเรจ็ แลว้
นายหนา้ มสี ทิ ธจิ ะไดร้ บั ชดใชค้ า่ ใชจ้ า่ ยทไ่ี ดเ้ สยี ไปกต็ อ่ เมอ่ื ไดต้ กลงกนั ไวเ้ ชน่ นนั้ ความขอ้ นที้ า่ นใหใ้ ชบ้ งั คบั
แม้ถึงวา่ สัญญาจะมิได้ทำ� กนั ส�ำเรจ็ ”

6.2 ลกั ษณะของสญั ญานายหนา้

จากบทบัญญัติดังกล่าว สัญญานายหน้าจึงหมายถึงสัญญาซึ่งบุคคลคนหนึ่งตกลงให้บุคคลอีกคนหนึ่ง
เรียกว่านายหน้า เป็นเพียง “ผู้ช้ีช่อง” หรือ “จัดการ” ให้บุคคลน้ันได้เข้าท�ำสัญญากับบุคคลภายนอก และ
นายหน้าตกลงกระท�ำการดังกล่าวนั้น ดังนั้น “นายหน้า” จึงหมายถึงคนกลางท่ีมีหน้าที่เพียงช้ีช่องหรือจัดการ
ให้คสู่ ัญญาของตนได้เขา้ ท�ำสัญญากบั บคุ คลภายนอกเทา่ น้ัน มไิ ดเ้ ป็นผู้เข้าท�ำสัญญากับบคุ คลภายนอกแต่อย่างใด
ลกั ษณะทส่ี ำ� คญั ของสัญญานายหน้า มดี ังนี้
6.2.1 สญั ญานายหน้าเปน็ สัญญา 2 ฝา่ ย ไดแ้ ก่ ฝา่ ยคสู่ ญั ญาของนายหนา้ และฝา่ ยนายหนา้
6.2.2 นายหนา้ เปน็ คนกลาง คือ เป็นบุคคลทอี่ ยู่ระหวา่ งค่สู ัญญาทง้ั สองฝา่ ยท่จี ะทำ� ธรุ กจิ ซึ่งกันและกนั
6.2.3 นายหนา้ เปน็ ผชู้ ชี้ อ่ งหรอื จดั การ คอื ทำ� หนา้ ทช่ี ช้ี อ่ งหรอื จดั การใหค้ สู่ ญั ญาของตนไดเ้ ขา้ ทำ� สญั ญา
กับบุคคลภายนอก นายหน้าไม่ใช่เป็นคนท�ำสัญญาด้วยตนเองแต่เป็นคนชี้ช่องหรือจัดการให้ท�ำสัญญากันเท่านั้น
เช่น นาย ก ต้องการซื้ออาคารชุด ซึ่งมีท�ำเลติดทางด่วนและแม่น้�ำ ส่วนนาย ข ปลูกอาคารชุดเพ่ือขาย มีท�ำเล
ติดทางด่วนและแม่น�้ำ แต่ขายไม่ได้ตามเป้าหมาย จึงได้ติดต่อนาย ค ให้ช่วยหาคนมาซ้ืออาคารชุดของตน โดย
สัญญาว่าหากขายได้จะให้ค่าตอบแทนหรือบ�ำเหนจ็ ในอัตรารอ้ ยละ 5 ของราคาทีข่ ายได้ นาย ข ไปติดตอ่ แจง้ เร่ือง
ดังกล่าวให้นาย ก ทราบเกี่ยวกับลักษณะท�ำเลท่ีตั้งของอาคารชุดดังกล่าวว่าเหมาะสมต่อการอยู่อาศัย จนท�ำให้
นาย ก ตกลงซื้อ และทำ� สญั ญาซอ้ื ขายกับนาย ข เมื่อนาย ก ผู้ซื้อตกลงท�ำสัญญาซ้อื ขายดังกลา่ วกับนาย ข ผขู้ าย
ดังน้ถี ือวา่ นาย ค ท�ำสญั ญานายหน้าและเปน็ นายหน้าแล้ว เป็นต้น ดงั รปู ท่ี 10.2

220 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

ท�ำสญั ญาซื้อขาย

นาย ก นายหน้า นาย ข
ผูซ้ อ้ื ผขู้ าย
ชี้ชอ่ ง/จัดการ ช้ีช่อง/จัดการ

นาย ค ทำ� สญั ญานายหน้า

รปู ที่ 10.2

6.2.4 เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบแห่งนิติกรรม การแต่งตั้งนายหน้าไม่จ�ำเป็นจะต้องท�ำเป็นหนังสือหรือ
มีหลักฐานเป็นหนังสือ เพราะกฎหมายมิได้ก�ำหนดไว้ การตกลงด้วยวาจาสัญญานายหน้าก็สามารถใช้บังคับกัน
ได้แล้ว
6.2.5 นายหน้าไม่ต้องรับผิดในผลแห่งสัญญา นายหน้าไม่ต้องเข้าท�ำสัญญาแทนฝ่ายใดฝ่ายหน่ึง
จึงไม่ต้องรับผิดในผลแห่งสัญญานั้น หมายความว่าการท�ำสัญญาน้ัน นายหน้ามิได้ร่วมท�ำสัญญาแต่อย่างใด เป็น
เพยี งผู้ชช้ี อ่ งหรือจัดการให้มกี ารท�ำสัญญากันเทา่ นั้น ดังน้นั สัญญาที่ทำ� จะมขี อ้ ความอยา่ งไร นายหนา้ ไมม่ ีสว่ นรว่ ม
รับผดิ แต่ประการใดดว้ ย
6.2.6 นายหน้าอาจได้รับบ�ำเหน็จหรือไม่ได้บ�ำเหน็จก็ได้ บ�ำเหน็จนายหน้า หมายถึง ค่าตอบแทนท่ีคู่
สัญญาฝ่ายหนึ่งมอบให้แก่นายหน้าเป็นค่าตอบแทนท่ีช้ีช่องหรือจัดการให้มีการท�ำสัญญาขึ้นตามความประสงค์
โดยปกติเม่ือมีการเข้าท�ำสัญญาของบุคคลท้ังสองฝ่าย อันเนื่องจากคนกลางชี้ช่องหรือจัดการให้เข้าท�ำสัญญาของ
นายหน้า บุคคลซ่ึงจะให้ค่าบ�ำเหน็จหากได้เข้าท�ำสัญญากัน มีหน้าท่ีต้องจ่ายค่าบ�ำเหน็จให้แก่คนกลางหรือ
นายหนา้ ด้วย อย่างไรกต็ ามอาจตกลงกันไว้ว่าเปน็ นายหน้าให้โดยไมม่ คี ่าบ�ำเหนจ็ ก็ได้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา 846)
6.2.7 ต้องเป็นสัญญาท่ีชอบด้วยกฎหมาย กล่าวคือ สัญญานายหน้าจะต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย
ไมข่ ดั ตอ่ ความสงบเรยี บร้อยหรือศีลธรรมอนั ดีของประชาชน

หน่วยการเรียนร้ทู ่ี 10 221

ตัวอยา่ ง

สญั ญานายหน้า

สัญญานี้ท�ำท่ี......................................................................เม่ือวันท่ี...............เดือน....................................พ.ศ. ……………………..
ระหวา่ ง…………………………………………………………..……………………………………………………………………..……………………………………..........................
ก. นาย/นาง/นางสาว..............................................................อาย.ุ ..........ป/ี หา้ งหนุ้ สว่ นจำ� กดั .........................................โดยผมู้ อี ำ� นาจ
ลงนามทา้ ยสญั ญา/บรษิ ทั ...................................................................จำ� กดั โดยผมู้ อี ำ� นาจลงนามทา้ ยสญั ญาอยบู่ า้ นเลขท/ี่ สำ� นกั งานเลขท.ี่ ...........
หมทู่ ี่...........ตรอก/ซอย..............................ถนน...............................แขวง/ต�ำบล....................................เขต/อ�ำเภอ...............................................
จังหวัด............................................................ซ่ึงต่อไปจะเรียกวา่ “ผู้ใหส้ ญั ญา” ฝา่ ยหนึง่ กบั
ข. นาย/นาง/นางสาว..................................................................................................................อายุ...................................ปี
อยู่บ้านเลขท่ี............หมู่ท่ี.........ตรอก/ซอย..................................ถนน.....................................แขวง/ต�ำบล.......................................
เขต/อ�ำเภอ...................................................................จังหวัด...........................................................................ซ่ึงต่อไปจะเรียกว่า “นายหน้า”
อีกฝ่ายหนึ่ง
โดยทผ่ี ใู้ หส้ ญั ญาเปน็ ผปู้ ระกอบธรุ กจิ เกยี่ วกบั ……………………………………มคี วามประสงคจ์ ะแตง่ ตงั้ นายหนา้ ใหท้ ำ� การชช้ี อ่ งหรอื ชกั ชวน
ใหบ้ คุ คลภายนอกเขา้ มา.......................................................................................................................................................และ
โดยทน่ี ายหนา้ เป็นผูม้ ีความรู้ ความสามารถ ความเชยี่ วชาญ และประสบการณ์ในการชีช้ ่องหรือชกั ชวนให้บุคคลภายนอกเข้ามา.......
.........................................................ประสงคจ์ ะรบั การแตง่ ตัง้ เพ่อื ด�ำเนินการดังกลา่ วใหก้ บั ผูใ้ ห้สัญญา ภายใตห้ ลกั เกณฑ์และเงื่อนไขในสัญญาน้ี
ดงั นัน้ ทง้ั สองฝา่ ยจึงตกลงทำ� สญั ญากนั โดยมีข้อความดงั ต่อไปนี้
ขอ้ 1 วตั ถปุ ระสงค์แห่งสัญญา
บรษิ ทั ตกลงแตง่ ต้งั และนายหนา้ ตกลงรบั การแต่งต้งั เป็นนายหน้าในการช้ีชอ่ ง หรือชักชวนให้บคุ คลภายนอกเข้ามา...............
................................................................................ให้กับผูใ้ หส้ ัญญา ตามหลักเกณฑแ์ ละเงอื่ นไขทผ่ี ใู้ ห้สัญญากำ� หนด และแจ้งให้ทราบ
ขอ้ 2 ระยะเวลาของสญั ญา
ทง้ั สองฝา่ ยตกลงใหส้ ญั ญานมี้ ีก�ำหนดระยะเวลา.........................................................................................................................
เดือน/ปีนับแต่วันท่ี...............เดือน......................................พ.ศ. ....................................ถึงวันที่................เดือน.............................................
พ.ศ. ....................................... ทงั้ นี้ หากคสู่ ญั ญาฝา่ ยหนงึ่ ฝา่ ยใดประสงคจ์ ะขยายระยะเวลาของสญั ญานอี้ อกไป คสู่ ญั ญาฝา่ ยนน้ั จะตอ้ งแจง้ ความ
ประสงค์ดังกล่าวไปยังคู่สัญญาอีกฝ่ายหนึ่งภายใน………………….…..วัน ก่อนที่สัญญาน้ีจะสิ้นสุดลง โดยท้ังสองฝ่ายจะตกลงในหลักเกณฑ์และ
เงื่อนไขส�ำหรับการท�ำสญั ญา ฉบับใหม่กันอีกครั้ง
ขอ้ 3 คา่ ตอบแทนและการช�ำระ
ผู้ให้สัญญาตกลงช�ำระค่าคอมมิชชันให้กับนายหน้าส�ำหรับการด�ำเนินการเป็น นายหน้าตามสัญญานี้เป็นเงินจ�ำนวน...........
................................บาท (..........................................................) ณ ทที่ �ำการของผใู้ หส้ ญั ญา หรอื สถานท่อี นื่ ใดตามท่ีผู้ใหส้ ัญญาจะก�ำหนด ทั้งนี้
ผู้ให้สัญญาจะหักภาษีไว้ตามอัตราท่ีกฎหมายก�ำหนด และจะช�ำระค่าคอมมิชชันดังกล่าวให้กับนายหน้าภายใน……………......…………...วัน
นบั แต…่ ………………………………...……………
ขอ้ 4 ค�ำรบั รองของนายหน้า
นายหนา้ สัญญาว่า
4.1 จะใชค้ วามรู้ ความสามารถ ความเชยี่ วชาญ และประสบการณใ์ นการเปน็ นายหนา้ ดว้ ยความซอ่ื สตั ยส์ จุ รติ ตลอดระยะเวลา
ของสัญญานี้
4.2 จะไม่กระทำ� การใด ๆ นอกเหนอื จากทไี่ ด้กำ� หนดไว้ในสญั ญานีแ้ ทนหรือในนามของผู้ให้สัญญาเองทั้งส้ิน
4.3 จะรายงานความคืบหนา้ ให้ผู้ใหส้ ญั ญาทราบทกุ  ๆ สัปดาห/์ ทกุ  ๆ วัน..........................................ของทกุ เดือน
4.4 หน้าที่และความรบั ผดิ ตอ่ ลกู คา้ ของนายหนา้ สำ� หรบั ลูกค้าแตล่ ะรายจะส้ินสุดลงนบั แต่......................เรียบร้อยแล้ว
4.5 จะไมใ่ ช้ เปิดเผย และหรอื เอาไป ซึ่งบรรดาขอ้ มูลอันเปน็ ความลับทางการคา้ ของผใู้ หส้ ญั ญา โดยนายหน้าจะใช้ประโยชน์
จากข้อมลู ดังกลา่ วท่ไี ดร้ ับทราบจากผู้ให้สญั ญา เพ่อื ท�ำหนา้ ท่เี ปน็ นายหนา้ ตามสัญญานี้เทา่ นัน้
4.6 บรรดาข้อมูลใด ๆ ของผู้ให้สัญญาตามข้อ 4.5 เป็นลิขสิทธิ์ของผู้ให้สัญญาแต่เพียงผู้เดียว นายหน้าไม่มีสิทธิน�ำไปท�ำซ้�ำ
ดัดแปลง หรือเผยแพร่ตอ่ สาธารณชนอย่างเด็ดขาด
4.7 จะไม่นำ� งานตามสัญญาน้ใี หบ้ คุ คลอ่นื กระทำ� การแทน โดยไมไ่ ดร้ ับความยินยอมจากผ้ใู หส้ ญั ญาเปน็ ลายลักษณ์อักษร
4.8 จะส่งมอบบรรดาข้อมลู และหรือเอกสารใด ๆ ที่ไดร้ ับไปจากผใู้ หส้ ญั ญาตามขอ้ 4.5 เพอ่ื ท�ำงานเป็นนายหนา้ ตามสัญญา
นค้ี นื ใหแ้ ก่ผู้ให้สญั ญาทันทีท่ีสัญญานสี้ ิ้นสดุ ลง
สัญญาน้ที ำ� ขน้ึ เปน็ สองฉบับ มขี ้อความถูกต้องตรงกัน ทัง้ สองฝ่ายไดร้ ับทราบขอ้ ความโดยตลอดดีแล้ว เหน็ วา่ ตรงตามเจตนาของตน
จงึ ได้ลงลายมือช่อื และประทบั ตราส�ำคญั (ถา้ ม)ี ไว้เป็นส�ำคญั ตอ่ หนา้ พยาน และตา่ งยดึ ถือไวฝ้ ่ายละฉบบั

ลงชือ่ ......................................................................ตวั แทน ลงชอื่ ....................................................................ตวั การ
(...................................................................) (................................................................)
ลงชื่อ......................................................................พยาน
(...................................................................) ลงชอื่ ....................................................................พยาน
(................................................................)

222 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

7. สทิ ธิ หน้าท่ี และความรบั ผดิ ของนายหน้า

7.1 มสี ทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั บำ� เหนจ็ เมอื่ ไดช้ ช้ี อ่ งทางหรอื จดั การใหท้ ำ� สญั ญากนั สำ� เรจ็ ลง (ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา 845 วรรคแรก)
7.2 มีสิทธิที่จะได้รับชดใช้ค่าใช้จ่ายท่ีได้เสียไปจากการเป็นนายหน้าน้ันตามข้อตกลงกันในสัญญา ไม่ว่า
สัญญานั้นจะสำ� เร็จลงไดห้ รือไม่กต็ าม (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 845 วรรคสอง)
7.3 ถา้ กจิ การทไ่ี ดม้ อบหมายแกน่ ายหนา้ นนั้ โดยพฤตกิ ารณเ์ ปน็ ทคี่ าดหมายไดว้ า่ มคี า่ บำ� เหนจ็ กใ็ หถ้ อื วา่
มีการตกลงกนั โดยปรยิ ายวา่ มีค่าบ�ำเหน็จนายหนา้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 846 วรรคแรก)
7.4 ค่าบ�ำเหน็จนั้นถ้าไม่ได้ก�ำหนดจ�ำนวนกันไว้ ให้ถือว่าได้มีความตกลงกันเป็นจ�ำนวนตามธรรมเนียม
(ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 846 วรรคสอง)
7.5 นายหนา้ ไมม่ สี ทิ ธไิ ดร้ บั คา่ บำ� เหนจ็ หรอื ไดช้ ดใชค้ า่ ใชจ้ า่ ยทไี่ ดเ้ สยี ไป ถา้ นายหนา้ ไดท้ ำ� การใหแ้ กบ่ คุ คล
ภายนอกหรือได้รับค�ำมั่นจากบุคคลภายนอกน้ันว่าจะให้ค่าบ�ำเหน็จอันไม่ควรแก่นายหน้าผู้กระท�ำโดยสุจริต
ซงึ่ เป็นการฝา่ ฝนื ตอ่ หน้าทข่ี องตน (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 847)
7.6 นายหน้าไม่ต้องรับผิดไปถึงการช�ำระหนี้ตามสัญญาซึ่งได้ท�ำต่อกันเพราะตนเป็นส่ือ เว้นแต่จะไม่ได้
บอกชอ่ื ของฝา่ ยหน่ึงให้รู้ถึงอกี ฝา่ ยหนงึ่ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 848)
7.7 นายหนา้ ไมม่ อี ำ� นาจรบั เงนิ หรอื รบั ชำ� ระหนอ้ี นั จะพงึ ชำ� ระตามสญั ญานนั้ แทนผเู้ ปน็ คสู่ ญั ญา (ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 849)

8. ความระงับสนิ้ ไปแห่งสัญญานายหน้า

ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ยม์ ไิ ดก้ ำ� หนดไวว้ า่ สญั ญานายหนา้ ระงบั ลงไดใ้ นกรณใี ดบา้ ง ดงั นน้ั จงึ ตอ้ ง
นำ� หลกั ทว่ั ไปว่าด้วยการระงับหรือสิน้ สุดของสญั ญามาปรบั ใช้ ดังน้ี
8.1 ระงับโดยข้อตกลงหรอื บอกเลิกสัญญานายหน้า
8.2 ระงับโดยผลของกฎหมาย
8.2.1 ค่สู ัญญาฝ่ายหนง่ึ ไมช่ ำ� ระหน้ีไม่ปฏิบตั ิตามที่ตกลงกนั เมื่อไดบ้ อกกลา่ วและใหเ้ วลาพอสมควร
แลว้ ไมช่ �ำระหนี้หรอื ปฏบิ ัติ กบ็ อกเลกิ สัญญาได้
8.2.2 เมอ่ื ครบกำ� หนดตามสญั ญาท่ีตกลงกันไว้หรือกจิ การส�ำเร็จตามสัญญาแล้ว
8.2.3 การช�ำระหน้ีกลายเป็นการพ้นวิสัย (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 389) เช่น
ทรัพย์สินหรือวตั ถแุ ห่งสญั ญาทจี่ ะทำ� นิติกรรมต่อกันได้สญู หาย ถกู ท�ำลาย หมดสภาพ ส้ินสลายไป สัญญานายหน้า
ก็ระงบั สิ้นไป เป็นต้น

หน่วยการเรียนรทู้ ี่ 10 223

9. ความแตกต่างระหวา่ งสัญญาตวั แทนและสญั ญานายหน้า

ลักษณะข้อแตกตา่ ง สญั ญาตัวแทน สญั ญานายหนา้

✦ การท�ำสัญญา ♥ เข้าท�ำสญั ญาในฐานะตวั แทน ♠ มไิ ด้ร่วมท�ำสัญญา เป็นเพียง
ของตัวการเสมือนเปน็ ผมู้ อี �ำนาจ ผู้ช้ีชอ่ ง หรือจดั การใหม้ ีการท�ำ
ทุกประการ สญั ญาระหวา่ งคู่สญั ญาเกิดข้นึ
เทา่ น้ัน
✦ ความรบั ผดิ ในสญั ญา ♥ ตอ้ งรับผิดในสัญญาแทนตัวการ ♠ ไม่ตอ้ งรบั ผดิ เวน้ แตจ่ ะปกปิดวา่
ทปี่ รากฏในสญั ญา เปน็ นายหน้าใหผ้ ูใ้ ด
✦ การครอบครอง ♥ อาจจะครอบครองทรพั ยส์ นิ แทน ♠ ไม่มีสทิ ธิครอบครองทรัพย์สิน
ตัวการหรอื ไมก่ ็ได้
✦ กิจการท่ที ำ� ♥ จดั การเร่อื งใด ๆ กไ็ ดต้ ามทต่ี วั การ ♠ จัดการใหม้ กี ารทำ� สญั ญาเกิดขึ้น
มอบอำ� นาจให้ เทา่ นัน้
✦ บำ� เหน็จหรอื ♥ โดยทวั่ ไปไมม่ คี ่าบ�ำเหนจ็ ♠ ปกตจิ ะมคี า่ บำ� เหนจ็ ตอบแทน
คา่ ตอบแทน เว้นแต่ตวั แทนคา้ ตา่ งหรือตกลง
ใหบ้ �ำเหนจ็
✦ ความสามารถของบคุ คล ♥ บคุ คลหย่อนความสามารถเปน็ ♠ ไมม่ ีขอ้ ก�ำหนดความสามารถ
ตัวแทนไมไ่ ด้ เวน้ แตต่ วั การ ของบคุ คล
ยินยอม

224 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

กิจกรรมตรวจสอบความเข้าใจท่ี 10.2


ตอนที่ 1 จงเขยี นเคร่อื งหมาย ✓ หนา้ ขอ้ ความท่ถี ูก และเขยี นเคร่ืองหมาย ✗ หนา้ ข้อความท่ผี ิด
............... 1. นายหนา้ คือบุคคลทีต่ วั การมอบอ�ำนาจให้มีอ�ำนาจทำ� การแทนตวั เอง
............... 2. บุคคลท่ีจะเป็นนายหน้าไดต้ ้องเปน็ บุคคลท่มี ีความสามารถตามกฎหมาย
............... 3. กิจการอันใดกฎหมายบังคับไว้ให้ต้องท�ำเป็นหนังสือ การต้ังนายหน้าเพื่อกิจการอันน้ันต้องมี

หลกั ฐานเป็นหนงั สือด้วย
............... 4. กจิ กรรมทน่ี ายหน้าจะทำ� แทนได้ตอ้ งไม่ใชก้ จิ การเฉพาะตัวของตัวการ
............... 5. สญั ญานายหน้าเป็นสญั ญา 2 ฝา่ ย ได้แก่ ฝ่ายคสู่ ญั ญาของนายหนา้ และฝา่ ยนายหนา้
............... 6. นายหน้ารับมอบอำ� นาจทวั่ ไปอาจขายหรือจำ� นองอสังหารมิ ทรพั ย์ของตัวการได้
............... 7. ความระงบั ของสญั ญานายหนา้ คือ ตัวการบอกเลกิ สัญญาหรอื ถอนอ�ำนาจเปน็ ตัวแทน
............... 8. นายหนา้ คอื คนกลางระหวา่ งคสู่ ญั ญา 2 ฝา่ ย ทท่ี ำ� ธรุ กจิ กนั เพยี งเปน็ ผชู้ ชี้ อ่ ง หรอื จดั การให้ คสู่ ญั ญา

ท้ังสองฝ่ายท�ำสัญญากนั จนส�ำเร็จ
............... 9. นายหน้ามีหน้าที่ประการหนึ่ง คือ ตอ้ งเขา้ รว่ มในการทำ� สัญญาใหค้ วามส�ำเร็จตามวตั ถปุ ระสงค์ดว้ ย
............... 10. บ�ำเหน็จนายหน้าโดยทว่ั ไปแล้วจะตอบแทนใหก้ นั เม่ืองานทที่ ำ� ส�ำเร็จ
ตอนท่ี 2 จงตอบคำ� ถามตอ่ ไปนี้
จงบอกลกั ษณะสำ� คญั ของสญั ญานายหน้า

กิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชพี ท่ี 10.2
เรื่อง การจดั ทำ� เอกสารสญั ญานายหนา้

จดุ ประสงค์การเรียนรู้
จดั ทำ� เอกสารสญั ญานายหนา้ ได้ตามหลักการกฎหมายแพง่ และพาณิชยไ์ ด้
กจิ กรรม
1. ใหผ้ ูเ้ รยี นแบ่งกลุม่ กลุม่ ละ 4 คน ศกึ ษาข้อมลู เก่ยี วกบั สัญญานายหนา้ เพ่ิมเตมิ ทางอินเทอร์เนต็
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มเขียนร่างสัญญานายหน้า โดยให้ผู้เรียนจ�ำนวน 2 คนเป็นคู่สัญญา และผู้เรียน
อีกจ�ำนวน 2 คนเปน็ พยาน
3. นำ� ร่างสัญญานายหนา้ ที่ดำ� เนินการเสร็จแลว้ รว่ มกนั อภปิ รายหนา้ ช้ันเรียน กลุม่ ละ 3-5 นาที
4. ผ้สู อนและผเู้ รยี นรว่ มกนั สรปุ ภาพรวม

หน่วยการเรยี นร้ทู ี่ 10 225

สรุป

ตัวแทน คือ สัญญาซ่ึงให้บุคคลหน่ึง เรียกว่า “ตัวแทน” มีอ�ำนาจท�ำการแทนบุคคลคนหนึ่ง
เรียกว่า “ตัวการ” การตั้งตัวแทนอาจต้ังโดยแสดงออกแจ้งชัดหรือโดยปริยายก็ได้ ดังน้ันสัญญาตัวแทน
กค็ อื สัญญาท่ีทำ� ขึน้ ระหว่าง “ตัวการ” กับ “ตวั แทน” เพื่อท�ำกิจการอันหนึ่งอันใดแทนตวั การ กิจการใด
กฎหมายบังคับว่าต้องท�ำเป็นหนังสือ การต้ังตัวแทนเพ่ือท�ำกิจการนั้นต้องท�ำเป็นหนังสือด้วย กิจการใด
กฎหมายบงั คบั ว่าต้องมหี ลกั ฐานเป็นหนงั สอื การตงั้ ตวั แทนกต็ ้องมีหลักฐานเป็นหนังสอื ด้วย
นายหนา้ คอื “คนกลาง” เปน็ บคุ คลทอี่ ยรู่ ะหวา่ งคสู่ ญั ญา 2 ฝา่ ยซง่ึ ทำ� ธรุ กจิ ตอ่ กนั โดยเปน็ ผชู้ ช้ี อ่ ง
หรอื จดั การใหค้ สู่ ญั ญาตกลงทำ� สญั ญากนั ซงึ่ เกดิ ขนึ้ จากผลของผชู้ ชี้ อ่ งหรอื ผจู้ ดั การนซี้ งึ่ เรยี กวา่ “นายหนา้ ”
นายหนา้ มไิ ดเ้ ขา้ ทำ� สญั ญาดว้ ยแตป่ ระการใด แตน่ ายหนา้ มสี ทิ ธไิ ดร้ บั คา่ ตอบแทนทเี่ รยี กวา่ “บำ� เหนจ็ ” เปน็
คา่ ตอบแทนท่ชี ช้ี ่องหรือจัดการใหม้ กี ารท�ำสญั ญาเกดิ ขึน้

226 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

แบบประเมินสมรรถนะรายวิชาหน่วยการเรยี นรู้ที่ 10
เรื่อง ตัวแทนและนายหนา้

ค�ำช้ีแจง จงเขยี นเครื่องหมาย ✓ ลงในชอ่ งว่างทีต่ รงกับความคดิ เห็นของผเู้ รยี นตามความเป็นจรงิ มากทส่ี ุด
เกณฑก์ ารประเมิน 5 = ดีมาก 4 = ดี 3 = ปานกลาง 2 = นอ้ ย 1 = น้อยทีส่ ุด

หัวขอ้ ระดับความคิดเหน็
54321
1. ดา้ นความรู้
1.1 บอกความหมายและลกั ษณะของสญั ญาตวั แทนได้
1.2 อธบิ ายการแตง่ ตัง้ ตัวแทนได้
1.3 บอกประเภทตวั แทนได้
1.4 บอกหนา้ ท่แี ละความรับผดิ ของตัวแทนต่อตัวการและของตวั การต่อตัวแทนได้
1.5 บอกสาเหตุทีท่ ำ� ใหส้ ญั ญาตวั แทนระงับสนิ้ ไปได้
1.6 บอกความหมายและลกั ษณะของสญั ญานายหน้าได้
1.7 บอกสิทธิ หน้าท่ี และความรับผดิ ของนายหน้าได้
1.8 บอกความระงบั สิ้นไปแห่งสัญญานายหนา้ ได้
1.9 บอกความแตกตา่ งระหว่างสัญญาตัวแทนและสญั ญานายหน้าได้
2. ดา้ นทักษะ
2.1 ปฏบิ ตั ิกิจกรรมตามท่ีไดร้ บั มอบหมายเสรจ็ ตามก�ำหนดเวลา
2.2 เกดิ สมรรถนะในการปฏิบตั กิ จิ กรรม
2.3 จัดทำ� เอกสารทีเ่ ก่ียวขอ้ งกบั ลักษณะสญั ญาตัวแทนและสญั ญานายหน้า

ไดต้ ามหลกั การของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์
3. ดา้ นเจตคติ

3.1 มคี วามซ่ือสัตย์สจุ ริต
3.2 มวี ินัย ตรงตอ่ เวลา และมคี วามรบั ผิดชอบ
3.3 มมี นุษยสัมพันธ์ในการปฏบิ ัติกิจกรรมและทำ� งานรว่ มกับผู้อ่นื ได้
3.4 มเี จตคตทิ ด่ี ใี นการปฏิบตั กิ จิ กรรม

หนว่ ยการเรียนร้ทู ี่ 10 227

แบบทดสอบเพื่อประเมินผลหลังการเรยี นรู้

จงเลอื กค�ำตอบทีถ่ ูกต้องเพยี งข้อเดยี ว 4. ต้องแสดงเจตนาให้ปรากฏชัดแจง้
5. ตอ้ งทำ� เปน็ หนงั สอื และจดทะเบยี นตอ่ พนกั งาน
จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ 1 บอกความหมายและลักษณะ เจา้ หน้าที่
ของตวั แทนได้ จุดประสงคก์ ารเรียนรทู้ ่ี 3 บอกประเภทตวั แทนได้
1. ขอ้ ใดคอื ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาตวั แทน 4. ข้อใดคือตัวแทนที่ได้รับมอบอำ� นาจให้ท�ำกิจการ
1. การคัดเลือกผ้ทู ีจ่ ะท�ำการแทน แทนตวั การได้ทกุ อย่าง
2. การแตง่ ต้ังใหบ้ คุ คลใดบุคคลหนง่ึ ปฏิบัติหน้าที่ 1. ตวั แทนรับมอบอ�ำนาจเสรี
แทน 2. ตัวแทนรับมอบอ�ำนาจทวั่ ไป
3. การตกลงรับท�ำการอย่างใดอย่างหนึ่งให้แก่ 3. ตวั แทนรับมอบอ�ำนาจเฉพาะการ
อกี ฝ่ายหนึ่งโดยได้รบั คา่ ตอบแทน 4. ตวั แทนรบั มอบอำ� นาจเฉพาะทาง
4. บคุ คลสองฝา่ ยตกลงกนั โดยฝา่ ยหนง่ึ มอบอำ� นาจ 5. ตวั แทนรับมอบอำ� นาจไม่เป็นการเฉพาะทาง
ใหท้ ำ� การอยา่ งใดอยา่ งหนง่ึ ให้ และอกี ฝา่ ยหนง่ึ จุดประสงคก์ ารเรียนรูท้ ่ี 4 บอกหนา้ ที่และความรบั ผดิ ของ
รับทำ� การนั้น ตวั แทนต่อตัวการและของตัวการตอ่ ตัวแทนได้
5. บคุ คลสองฝา่ ยตกลงกนั โดยฝา่ ยหนง่ึ มอบอำ� นาจ 5. ข้อใดตอ่ ไปน้ถี อื ว่าตัวแทนไมต่ ้องรับผดิ ต่อตวั การ
ใหท้ ำ� การอยา่ งใดอยา่ งหนงึ่ ให้ และอกี ฝา่ ยหนงึ่ 1. ตัวแทนประมาทเลนิ เลอ่ ต่อตวั การ
รับท�ำการนัน้ หรอื ไม่ก็ได้ 2. ตัวแทนท�ำการโดยปราศจากอำ� นาจ
3. ตวั แทนท�ำการไปตามที่ตวั การสัง่ การ
จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ 2 อธิบายการแตง่ ต้ังตัวแทนได้ 4. ตวั แทนน�ำเงนิ ของตัวการไปใช้ส่วนตัว
2. นายรวยแต่งตั้งนายสมบัติเป็นตัวแทนขายบ้าน 5. ตัวแทนท�ำกิจการนอกเหนือขอบอ�ำนาจของ
พรอ้ มทด่ี นิ การแตง่ ตง้ั ตวั แทนในกรณนี ตี้ อ้ งปฏบิ ตั ิ ตนเอง
อยา่ งไร จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่ 5 บอกสาเหตทุ ที่ ำ� ใหส้ ญั ญาตวั แทน
1. ทำ� เปน็ หนังสอื ระงับส้ินไปได้
2. ต้องจดทะเบียน 6. ขอ้ ใดไมใ่ ชส่ าเหตทุ ี่ทำ� ให้สญั ญาตวั แทนระงับ
3. บอกกล่าวดว้ ยวาจา 1. ตวั แทนป่วย
4. ทำ� เป็นลายลักษณอ์ กั ษร 2. การถอนตัวแทน
5. ท�ำเป็นหนังสอื มอบอำ� นาจ 3. ตวั แทนบอกเลกิ สญั ญา
3. นายดวงแตง่ ต้ังใหน้ ายเด่นเปน็ ตัวแทนไปกู้ยมื เงนิ 4. เมอื่ ตวั การหรอื ตัวแทนตาย
จากนายรวย การแตง่ ตง้ั ตวั แทนในกรณนี ต้ี อ้ งปฏบิ ตั ิ 5. เมอ่ื ตวั แทนตกเปน็ คนล้มละลาย
อย่างไร
1. ต้องแจง้ ใหล้ ูกหนที้ ราบ
2. ต้องแจ้งใหเ้ จ้าหนท้ี ราบ
3. ต้องมีหลักฐานเป็นหนงั สือ

228 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

จุดประสงค์การเรียนรู้ที่ 6 บอกความหมายและลักษณะ 4. เม่ือครบก�ำหนดตามสัญญาท่ีตกลงกันไว้แล้ว
ของนายหน้าได้ มกี ารต่อสัญญา
7. ความหมายและลักษณะที่ส�ำคัญของนายหน้า 5. ถูกต้องทกุ ขอ้
(Brokerage) คอื ขอ้ ใด จุดประสงค์การเรียนรู้ท่ี 9 บอกความแตกต่างระหว่าง
1. เป็นคนกลางระหวา่ งค่สู ัญญา สญั ญาตวั แทนและสญั ญานายหน้าได้
2. เป็นสญั ญาท่ีตกลงกันด้วยวาจาได้ 10. ข้อใดเป็นความแตกต่างระหว่างสัญญาตัวแทน
3. เปน็ ผชู้ ชี้ อ่ งหรอื จดั การใหม้ กี ารทำ� สญั ญาเกดิ ขน้ึ และสัญญานายหน้า
4. นายหนา้ ไมต่ อ้ งรบั ผดิ ชอบในผลแหง่ สญั ญาทท่ี ำ� 1. สญั ญาตวั แทนโดยปกตจิ ะไมม่ คี า่ บำ� เหนจ็ สว่ น
5. ถูกตอ้ งทุกขอ้ สัญญานายหน้าปกตจิ ะมคี ่าบำ� เหนจ็ ตอบแทน
จุดประสงค์การเรียนรู้ท่ี 7 บอกสิทธิ หน้าที่ และความ 2. สัญญาตัวแทน ตัวแทนไม่มีสิทธิครอบครอง
รับผดิ ของนายหน้าได้ ทรพั ยส์ นิ สว่ นสญั ญานายหนา้ มสี ทิ ธคิ รอบครอง
8. ขอ้ ใดเปน็ สทิ ธิ หนา้ ท่ี และความรบั ผดิ ของนายหนา้ ทรัพย์สนิ
1. นายหน้าไมม่ ีอำ� นาจรับเงิน 3. สัญญาตัวแทนเป็นการจัดให้มีการท�ำสัญญา
2. นายหน้าไม่มีอ�ำนาจรับช�ำระหน้ีแทนผู้เป็น เกิดข้ึนเท่าน้ัน ส่วนสัญญานายหน้าเป็นการ
คู่สัญญา จดั การเรอื่ งใด ๆ กไ็ ดต้ ามทตี่ วั การมอบอำ� นาจให้
3. ค่าบ�ำเหน็จนายหน้าสามารถดูจากพฤติการณ์ 4. ตัวแทนมิได้ร่วมท�ำสัญญา เป็นเพียงผู้ชี้ช่อง
ท่คี าดหมายได้ว่ามีคา่ บำ� เหนจ็ หรือจดั การให้มีการท�ำสัญญาระหว่างคู่สญั ญา
4. แมไ้ มไ่ ดต้ กลงจำ� นวนคา่ บำ� เหนจ็ นายหนา้ กนั ไว้ เกิดข้ึนเท่านั้น ส่วนนายหน้าร่วมท�ำสัญญา
ก็สามารถใหเ้ งนิ ค่านายหนา้ กนั ได้ ดว้ ยตนเอง
5. ถูกต้องทุกข้อ 5. ถกู ต้องทุกข้อ

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรทู้ ี่ 8 บอกความระงบั สนิ้ ไปแหง่ สญั ญา
นายหน้าได้
9. ขอ้ ใดไมเ่ ป็นเหตุใหส้ ญั ญานายหน้าระงับ
1. บอกเลกิ สัญญานายหนา้
2. กิจการส�ำเรจ็ ตามสัญญาแล้ว
3. การชำ� ระหนีก้ ลายเป็นการพ้นวสิ ัย

11หน่วยการเรียนรูท้ ี่

ประกันภัยและวธิ ีการจดั ทำ�
เอกสารทเี่ กี่ยวข้องกบั กฎหมาย

สาระการเรยี นรู้ จุดประสงคก์ ารเรยี นรู้

1. ความหมายและลกั ษณะของสญั ญาประกนั ภยั 1. บอกความหมายและลกั ษณะของสญั ญาประกนั ภยั ได้
2. ประเภทและบคุ คลทีเ่ ก่ียวขอ้ งในสญั ญาประกันภยั 2. ระบปุ ระเภทและบคุ คลทเี่ กย่ี วขอ้ งในสญั ญาประกนั ภยั ได้
3. หลกั เกณฑใ์ นการท�ำสัญญาประกนั ภัย 3. บอกหลกั เกณฑ์ในการท�ำสญั ญาประกันภัยได้
4. สัญญาประกนั วินาศภัย 4. อธบิ ายสัญญาประกนั วินาศภัยได้
5. สญั ญาประกันชวี ติ 5. อธบิ ายสญั ญาประกนั ชีวิตได้
6. อายคุ วามของสญั ญาประกนั ภัย 6. ระบอุ ายคุ วามของสญั ญาประกันภัยได้
7. วิธกี ารจัดท�ำเอกสารท่เี ก่ียวขอ้ งกบั กฎหมาย 7. บอกวธิ ีการจัดทำ� เอกสารท่เี กย่ี วข้องกบั กฎหมายได้

ประกนั ภัยและวิธีการ
จดั ทำ� เอกสารทเ่ี กยี่ วขอ้ ง

กับกฎหมาย

สมรรถนะประจำ� หน่วย

แสดงความรู้เกี่ยวกับหลักการของกฎหมาย
ลกั ษณะประกนั ภยั และวธิ กี ารจดั ทำ� เอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ ง
กบั กฎหมายไดต้ ามหลกั การของประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์

230 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

ประกันภยั และวธิ ีการจดั ท�ำ
เอกสารทเี่ ก่ียวขอ้ งกับกฎหมาย

ในการด�ำเนินชีวิตหรือดำ� เนินธุรกจิ ชีวติ ประจ�ำวนั ย่อมอยู่ในภาวะเสยี่ งภยั อาจเกดิ อุบตั เิ หตุหรือภัยพิบตั ิ
ท�ำให้ได้รับความเสียหายได้เสมอ การประกันภัยเป็นกิจการท่ีตั้งขึ้นโดยเอาบุคคลท่ีอยู่ในภาวะอันอาจเสี่ยงภัย
ในลักษณะเดียวกันมารวมกัน เพื่อช่วยเฉล่ียค่าเสียหายกันเม่ือคนหนึ่งคนใดเกิดภัยพิบัติขึ้น ซ่ึงการประกันภัย
แบง่ ออกเป็น 2 ประเภท ไดแ้ ก่ การประกันวนิ าศภยั และการประกันชีวิต การประกันวนิ าศภยั เป็นสญั ญาประกัน
ความเสียหายซ่ึงประเมินเป็นเงินได้ แต่ไม่รวมถึงการประกันชีวิต ส่วนการประกันชีวิตน้ันเป็นสัญญาประกันภัย
ซงึ่ มเี งื่อนไขในการใชจ้ �ำนวนเงินโดยอาศัยการทรงชพี หรือมรณะของบคุ คลหนง่ึ
วธิ กี ารจดั ทำ� เอกสารทเี่ กยี่ วขอ้ งกบั กฎหมาย เปน็ วธิ กี ารนำ� เอาความรกู้ ฎหมายทไ่ี ดศ้ กึ ษามาปรบั ประยกุ ต์
ใชใ้ นเอกสารทเี่ กยี่ วกบั กฎหมายใหถ้ กู ตอ้ งตามแบบแหง่ นติ กิ รรม วตั ถปุ ระสงคข์ องสญั ญาไมต่ อ้ งหา้ มตามกฎหมาย
ไม่เป็นการพน้ วสิ ัย ไม่ขดั ต่อความสงบเรยี บร้อยหรอื ศลี ธรรมอนั ดีของประชาชน

1. ความหมายและลักษณะของสญั ญาประกนั ภัย

1.1 ความหมายของสญั ญาประกันภัย

สัญญาประกันภัย คอื สญั ญาซึ่งบุคคลคนหนึง่ เรียกวา่ “ผรู้ บั ประกันภัย” ตกลงจะใชค้ ่าสนิ ไหมทดแทน
หรือจะใช้เงินจ�ำนวนหนึ่งให้เมื่อเกิดภัยในอนาคตแก่ “ผู้เอาประกันภัย” ซึ่งตกลงจะส่งเบ้ียประกันภัยให้ โดย
อาจสง่ เงินเปน็ งวดหรือเปน็ เงนิ กอ้ นก็ได้
สัญญาประกันภัยเป็นลักษณะหน่ึงของเอกเทศสัญญา ซ่ึงบัญญัติไว้ในบรรพ 3 ลักษณะ 20 แห่ง
ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ ดงั นี้
มาตรา 861 บัญญัติว่า “อันว่าสัญญาประกันภัยนั้น คือ สัญญาซ่ึงบุคคลคนหนึ่งตกลงจะใช้ค่าสินไหม
ทดแทน หรือใช้เงินจ�ำนวนหน่ึงให้ในกรณีวินาศภัยหากมีข้ึน หรือในเหตุอย่างอ่ืนในอนาคตดังได้ระบุไว้ในสัญญา
และในการน้บี คุ คลอกี คนหนึ่งตกลงจะสง่ เงินซ่ึงเรยี กว่า เบ้ยี ประกนั ภัย”

1.2 ลักษณะของสัญญาประกนั ภยั

จากบทบญั ญัติตามประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 861 ดังกล่าว สญั ญาประกันภยั มลี กั ษณะ
ทส่ี ำ� คญั ดังต่อไปน้ี
1.2.1 เป็นสัญญาซ่ึงประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่าย โดยฝ่ายหนึ่งเรียกว่า “ผู้รับประกันภัย” และ
อีกฝ่ายหน่ึงเรียกว่า “ผู้เอาประกนั ภัย”

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 11 231

1.2.2 เปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทน สญั ญาประกนั ภยั จดั เปน็ สญั ญาตา่ งตอบแทนเพอื่ การเสย่ี งภยั ในอนาคต
หมายถึง สัญญาซงึ่ คสู่ ัญญาต่างมุง่ ประโยชนต์ อบแทนดว้ ยกนั ทง้ั สองฝ่าย หรือกล่าวอีกนยั หนึง่ คอื การท่ีคู่สญั ญา
ท้ังสองฝ่ายต่างเป็นเจ้าหนี้และลูกหน้ีซ่ึงกันและกัน เช่น นาย ก ผู้เอาประกันภัยตกลงท�ำสัญญาประกันชีวิตกับ
บริษัทนาย ข ผู้รับประกันภัย โดยนาย ก ตกลงจ่ายเบ้ียประกันตามท่ีระบุไว้ในกรมธรรม์ บริษัทนาย ข ผู้รับ
ประกันภัยก็จะต้องให้ความคุ้มครองหรือจ่ายค่าสินไหมทดแทนให้แก่นาย ก หากนาย ก ผู้เอาประกันไม่จ่าย
เบ้ียประกัน บริษัทนาย ข ผู้รับประกันก็มีสิทธิท่ีจะไม่ให้ความคุ้มครองหรือจ่ายเงิน/ค่าสินไหมทดแทนได้
ดังรปู

เจ้าหนี้ เบย้ี ประกันภัย ลกู หนี้
นาย ก ผเู้ อาประกันภยั ประกันภัย บรษิ ัทนาย ข
นาย ค ผ้รู บั ประโยชน์ ให้ความค้มุ ครอง ผ้รู ับประกันภยั
ค่าสนิ ไหมทดแทน/เงนิ
ลกู หนี้ เจ้าหน้ี

1.2.3 เปน็ สญั ญาทม่ี ลี กั ษณะเสยี่ งภยั หรอื เสย่ี งโชค สญั ญาประกนั ภยั เปน็ สญั ญาทมี่ เี งอื่ นไขอนั ไมแ่ นน่ อน
ซึง่ มีลักษณะการเสยี่ งภยั หรอื เสีย่ งโชค จึงเป็นสญั ญาทมี่ ผี ลบังคับไมแ่ นน่ อน เนอ่ื งจากผู้เอาประกนั ภยั อาจจะไมไ่ ด้
รับค่าสินไหมทดแทนหรือเงินก็ได้ ถ้าภัยตามท่ีระบุไว้ในสัญญาไม่ได้เกิดข้ึน แม้ว่าผู้เอาประกันภัยจะได้จ่ายเบี้ย
ประกันไปแล้วก็ตาม ฝ่ายผู้รับประกันภัยก็จะต้องเสี่ยงภัยท่ีอาจจะเกิดข้ึนในอนาคต หากมีภัยเกิดข้ึนต้องจ่ายค่า
สนิ ไหมทดแทน
1.2.4 เป็นสัญญาที่ไม่มีแบบตามกฎหมาย สัญญาประกันภัยนั้นกฎหมายไม่ได้บังคับว่าจะต้องท�ำตาม
แบบอยา่ งหน่ึงอยา่ งใด แตต่ ้องมหี ลักฐานเป็นหนังสือลงลายมอื ชื่อฝา่ ยผตู้ ้องรับผิดหรือลายมอื ช่อื ของตัวแทนฝา่ ย
นัน้ เป็นส�ำคญั มิฉะน้นั จะฟอ้ งรอ้ งให้บงั คับคดไี มไ่ ด้
1.2.5 เป็นสัญญาท่ีรัฐควบคุม สัญญาประกันภัยเป็นสัญญาที่รัฐควบคุม กล่าวคือ ผู้ประกอบธุรกิจ
ประกันภัยต้องจัดต้ังในรูปบริษัท และต้องอยู่ภายใต้พระราชบัญญัติประกันวินาศภัย พ.ศ. 2535 และ
พระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2535 แล้วแต่กรณี กรมธรรม์ประกันภัยที่บริษัทออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย
ต้องเป็นไปตามแบบและข้อความที่นายทะเบียนเห็นชอบแล้ว นอกจากนี้อัตราเบี้ยประกันภัยก็ต้องเป็นไปตาม
ท่นี ายทะเบยี นเหน็ ชอบดว้ ย บรษิ ัทจะกำ� หนดเบยี้ ประกนั ภยั ข้ึนเองไม่ได้

232 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

2. ประเภทและบคุ คลที่เกี่ยวขอ้ งในสญั ญาประกนั ภยั

2.1 ประเภทของสญั ญาประกนั ภัย

สญั ญาประกนั ภัยมี 2 ประเภท ดงั น้ี
2.1.1 สัญญาประกันวินาศภัย คือ สัญญาซึ่งผู้รับประกันภัยตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงิน
จ�ำนวนหนึ่งให้แก่ผู้เอาประกันภัยหรือผู้รับประโยชน์ โดยมีเง่ือนไขว่าวินาศภัยเกิดแก่ทรัพย์สินท่ีน�ำมาประกันภัย
เช่น สัญญาประกนั อคั คภี ัย สญั ญาประกนั ภยั รถยนต์ สัญญาประกันภยั ในการรับขน เป็นต้น
2.1.2 สญั ญาประกนั ชวี ติ คอื สญั ญาซง่ึ ผรู้ บั ประกนั ภยั ตกลงใชเ้ งนิ จำ� นวนหนง่ึ ใหแ้ กผ่ เู้ อาประกนั ภยั หรอื
ผู้รับประโยชน์ หรือทายาทของบุคคลดังกล่าว โดยมีเงื่อนไขว่าผู้เอาประกันชีวิตหรือผู้ท่ีถูกเอาประกันชีวิตไว้
ถงึ แกค่ วามตายภายในเวลาทก่ี ำ� หนด หรอื มชี วี ติ อยถู่ งึ เวลาทก่ี ำ� หนดไว้ เชน่ การประกนั ชวี ติ แบบกำ� หนดระยะเวลา
และการประกันชวี ติ แบบสะสมทรัพย์ เปน็ ต้น

2.2 บคุ คลท่เี กี่ยวข้องในสญั ญาประกันภยั

สญั ญาประกนั ภยั ทง้ั สญั ญาประกนั วนิ าศภยั และสญั ญาประกนั ชวี ติ มบี คุ คลทเ่ี กยี่ วขอ้ ง 3 ฝา่ ย ซง่ึ ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 862 ไดบ้ ัญญัตคิ วามหมายของผ้ทู ี่เกย่ี วข้องในสญั ญาประกันภัยไว้ ดังน้ี
2.2.1 ผู้รับประกันภัย (Insurer) หมายถึง คู่สัญญาฝ่ายท่ีตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทน หรือตกลง
จะชดใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือเงินจ�ำนวนหนึ่งให้แก่ผู้เอาประกันภัย ผู้รับประกันภัยต้องเป็นบริษัทจ�ำกัดหรือ
บรษิ ทั มหาชนจ�ำกดั และหมายความรวมถงึ สาขาของบรษิ ัทตา่ งประเทศดว้ ย
2.2.2 ผูเ้ อาประกนั ภยั (Assured) หมายถงึ คูส่ ัญญาประกันภัยฝา่ ยท่ีตกลงจะสง่ เบี้ยประกนั ภัย จะเปน็
บุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลก็ได้ ผู้เอาประกันภัยเป็นผู้ย่ืนค�ำขอต่อบริษัทประกันภัยว่าจะพิจารณารับประกันภัย
หรอื ไม่ หรอื กล่าวอกี นยั หน่ึงว่า ผเู้ อาประกนั ภยั เปน็ ผู้มี “ค�ำเสนอ” เป็นการท�ำนิตกิ รรมประการหนง่ึ ตามกฎหมาย
ดังนั้นผู้เอาประกันจะต้องเป็นผู้ที่มีความสามารถตามกฎหมาย เช่น เป็นผู้เยาว์ต้องได้รับความยินยอมจากผู้แทน
โดยชอบธรรม เปน็ ตน้ หากผเู้ อาประกนั เปน็ นติ บิ คุ คลกต็ อ้ งดำ� เนนิ การโดยผมู้ อี ำ� นาจกระทำ� การแทนนติ บิ คุ คลหรอื
โดยตวั แทนของนติ ิบคุ คลนัน้
2.2.3 ผ้รู ับประโยชน์ (Beneficiary) หมายถึง บุคคลผซู้ ่งึ จะไดร้ ับค่าสินไหมทดแทนหรือรับเงินจำ� นวน
หนงึ่ ซง่ึ อาจเปน็ ผทู้ เี่ อาประกนั ภยั ระบไุ วใ้ นสญั ญาประกนั ภยั หรอื เปน็ ทายาทของผเู้ อาประกนั ภยั กไ็ ด้ อยา่ งไรกต็ าม
ผเู้ อาประกันภยั และผรู้ ับประโยชน์จะเป็นบุคคลคนเดยี วกันก็ได้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 862)
เน่ืองจากกฎหมายไม่ได้บังคับไว้ว่าผู้รับประโยชน์ต้องมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับผู้เอาประกันภัยหรือวัตถุที่เอา
ประกัน ฉะนั้นผู้เอาประกันภัยก็ย่อมมีสิทธิที่จะระบุให้บุคคลใดเป็นผู้รับประโยชน์ตามสัญญาประกันภัยก็ได้
สอดคล้องกับลกั ษณะของสัญญาประกันภยั เพ่อื ประโยชนข์ องบคุ คลภายนอก (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์
มาตรา 374-376)

หนว่ ยการเรียนรูท้ ่ี 11 233

3. หลักเกณฑใ์ นการท�ำสญั ญาประกันภัย

การท�ำสัญญาประกนั วนิ าศภยั และการทำ� สัญญาประกนั ชีวิตต่างมีหลกั เกณฑร์ ่วมกนั ดังตอ่ ไปน้ี
3.1 ผู้เอาประกันต้องมีส่วนได้เสีย สัญญาประกันภัยน้ัน ถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุ
ท่ีเอาประกันภัยไว้ ย่อมไม่ผูกพันคู่สัญญา ค�ำว่า “ส่วนได้เสีย” หมายถึง เหตุการณ์หรือภัยท่ีเกิดขึ้นแก่ชีวิตหรือ
ทรัพย์สินใดแล้วมผี ลกระทบมาถงึ บุคคลหนึ่งทำ� ใหไ้ ด้รับความเสยี หาย
สัญญาประกันภัยนั้นถ้าผู้เอาประกันภัยมิได้มีส่วนได้เสียในเหตุที่ประกันภัยไว้น้ัน สัญญาประกันภัยนั้น
จะไมม่ ผี ลผูกพันคสู่ ัญญาแต่ประการใด (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 863)
บทบัญญัติดังกล่าว หมายความว่า ถ้าผู้เอาประกันภัยไม่มีส่วนได้เสียในเหตุที่เอาประกันภัยน้ัน สัญญา
ประกันภัยน้ีจะไม่มีผลผูกพันตามสัญญา กล่าวคือ ผู้รับประกันภัยไม่มีสิทธิเรียกร้องให้ผู้เอาประกันภัยช�ำระเบี้ย
ประกันภัย และเม่ือเกิดวินาศภัยหรือผู้เอาประกันชีวิตเสียชีวิตลง ทายาทหรือผู้รับประโยชน์ของผู้เอาประกันภัย
ก็ไม่มีสิทธิที่จะได้รับเงินตามสัญญาประกันชีวิต การที่กฎหมายก�ำหนดให้ผู้เอาประกันภัยต้องมีส่วนได้เสียในเหตุ
ท่ีเอาประกันภัยไว้ เพราะสัญญาประกันภัยนั้นมีจุดมุ่งหมายที่จะช่วยบรรเทาความเสียหายที่เกิดข้ึนแก่ผู้เอา
ประกันภยั ดังน้ันถ้าผู้เอาประกันภัยไมม่ สี ่วนได้เสยี ในเหตทุ ี่ประกันภยั ไว้ กเ็ ท่ากับผเู้ อาประกันภยั ไม่มีภยั ท่จี ะต้อง
เสยี่ งหรอื ไมม่ คี วามเสยี หายทจ่ี ะเกดิ ขนึ้ แกต่ น ซง่ึ จะทำ� ใหส้ ญั ญาประกนั ภยั กลายเปน็ การพนนั ขนั ตอ่ ไป นอกจากนน้ั
ยังเป็นการป้องกันการจงใจท่ีจะก่อให้เกิดวินาศภัยแก่ทรัพย์สินท่ีเอาประกันภัย หรือป้องกันการท�ำลายชีวิตของ
ผปู้ ระกันชวี ติ เพอ่ื หวงั เงนิ ประกนั วินาศภัยหรือเงนิ ประกนั ชวี ิตอกี ดว้ ย
ข้อสังเกต กฎหมายก�ำหนดเฉพาะผู้เอาประกันภัยเท่าน้ันท่ีต้องมีส่วนได้เสียในเหตุท่ีประกันภัย ส่วน
ผูร้ ับประโยชนจ์ ะมสี ่วนได้เสียหรือไม่ก็ได้
ตัวอย่าง นายเพชรท�ำสัญญาประกันชีวิตตนเองไว้ 1 ล้านบาท สัญญากรมธรรม์ประกันชีวิตระบุให้
นางทองมารดาของนายเพชรเป็นผู้รับประโยชน์ หากนายเพชรเสียชีวิตลงภายในสัญญา บริษัทผู้รับประกันชีวิต
ตอ้ งจ่ายเงนิ จ�ำนวน 1 ล้านบาทใหแ้ ก่นางทองผูร้ ับประโยชนต์ ามสญั ญา
ตัวอย่าง นายมานะจัดให้นายโชคประกันชีวิต โดยนายมานะเป็นผู้เสียเบี้ยประกันชีวิตและเป็นผู้รับ
ประโยชน์ นายมานะจึงเปน็ ผเู้ อาประกันภัย เมอ่ื ปรากฏวา่ นายมานะไมม่ สี ว่ นได้เสยี กบั นายโชค สญั ญาประกันภัย
ย่อมไม่มผี ลผูกพนั คู่สญั ญาตามมาตรา 863 นายมานะจึงไม่ไดร้ ับประโยชน์จากกรมธรรม์ประกันชีวติ ดงั กล่าว
3.2 ผูเ้ อาประกันภัยตอ้ งเปดิ เผยข้อเทจ็ จริง ในการประกนั ภยั ผรู้ บั ประกันภัยต้องอาศัยเบยี้ ประกันภัย
ทเ่ี กบ็ จากผเู้ อาประกนั ภยั มาจา่ ยใหผ้ เู้ อาประกนั ภยั หรอื ผรู้ บั ประโยชน์ การทผี่ รู้ บั ประกนั ภยั จะเรยี กเบยี้ ประกนั ภยั
สูงขึ้น หรือบอกปัดไม่ยอมท�ำสัญญาประกันภัย ย่อมข้ึนอยู่กับข้อเท็จจริง ดังน้ันหากผู้เอาประกันภัยไม่เปิดเผย
ขอ้ เทจ็ จริง หรอื ทราบอยูแ่ ล้วแถลงข้อความอันเปน็ เทจ็ สัญญาประกนั ภัยนั้นเป็นโมฆยี ะ (มาตรา 865 วรรคหน่ึง)
ตัวอย่าง นายมานะซึ่งผู้เอาประกันชีวิตทราบอยู่ว่าตนเป็นโรคมะเร็งระยะสุดท้าย แต่รับรองกับ
บริษทั ชใู จ จ�ำกดั ซึง่ เปน็ ผู้รบั ประกนั ชวี ติ ว่าตนสุขภาพแขง็ แรงดี สัญญาประกันชีวิตนเี้ ปน็ โมฆียะ
3.3 สญั ญาประกนั ภยั จะตอ้ งมหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื กฎหมายไมไ่ ดก้ ำ� หนดแบบของสญั ญาประกนั ภยั ไว้
แตส่ ญั ญาประกนั ภยั จะตอ้ งมหี ลกั ฐานเปน็ หนงั สอื ลงลายมอื ชอื่ ฝา่ ยทตี่ อ้ งรบั ผดิ หรอื ลายมอื ชอื่ ของตวั แทนฝา่ ยนน้ั
เปน็ ส�ำคัญ มิฉะน้ันจะฟ้องรอ้ งให้บังคับคดกี นั ไมไ่ ด้

234 กฎหมายพาณิชย์ (20001-1005)

เม่ือคู่สัญญาประกันภัยตกลงท�ำสัญญาประกันภัยแล้ว กฎหมายก�ำหนดให้ผู้รับประกันภัยต้องส่งมอบ
“กรมธรรม์ประกันภัย” ซ่ึงถือเป็นหลักฐานเป็นหนังสือใช้ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้ กรมธรรม์ประกันภัยต้อง
ลงลายมอื ช่ือของผรู้ บั ประกันภัย และมีรายการตามทีก่ ำ� หนดไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 867
อยา่ งไรกต็ ามกรมธรรมป์ ระกนั ภยั ไมใ่ ชส่ ญั ญาประกนั ภยั แตต่ อ้ งมขี อ้ ความตรงตามสญั ญาประกนั ภยั ดว้ ย
3.4 ผู้รับประโยชน์อาจเป็นบุคคลภายนอกซ่ึงไม่ใช่คู่สัญญาประกันภัย ผู้เอาประกันภัยอาจจะระบุ
ให้บุคคลภายนอกซึ่งไม่ใช่ญาติของตนให้เป็นผู้รับประโยชน์ก็ได้ เมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นตามสัญญาประกันภัย
บคุ คลผู้รบั ประโยชน์ซ่ึงไม่ใชค่ ู่สัญญากส็ ามารถเรียกรอ้ งเอาประโยชน์นัน้ ได้

กจิ กรรมตรวจสอบความเข้าใจที่ 11.1

ตอนที่ 1 จงเขียนเครอ่ื งหมาย ✓ หน้าขอ้ ความที่ถกู และเขียนเครือ่ งหมาย ✗ หน้าข้อความที่ผดิ
................ 1. อนั วา่ สญั ญาประกนั ภยั คอื สญั ญาซงึ่ บคุ คลหนง่ึ ตกลงจะใชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนหรอื ใชเ้ งนิ จำ� นวนหนงึ่

ในกรณวี ินาศภัย
................ 2. สัญญาประกันภัยประกอบด้วยบุคคล 2 ฝ่าย ฝ่ายหนึ่งเรียกว่า ผู้รับประกันภัย และอีกฝ่ายหน่ึง

เรียกว่า ผู้เอาประกันภัย
................ 3. สญั ญาประกนั ภัยเปน็ สญั ญาไม่ตา่ งตอบแทน
................ 4. สัญญาประกันภยั เป็นสัญญาทมี่ ผี ลบังคับแนน่ อน
................ 5. ผู้รับประกนั คอื คู่สญั ญาฝ่ายท่ตี กลงจะใชค้ า่ สินไหมทดแทน
................ 6. ผ้เู อาประกัน คือ คู่สัญญาฝา่ ยซึ่งตกลงจะสง่ เบย้ี ประกนั ภัย
................ 7. ผู้รับประโยชน์ต้องมีส่วนได้เสียในสญั ญาประกนั ภยั
................ 8. ส่วนได้เสีย หมายถึง เหตุการณ์หรือภัยท่ีเกิดขึ้นแก่ชีวิต หรือทรัพย์สินได้แล้วมีผลกระทบมาถึง

บุคคลหน่งึ ทำ� ใหไ้ ดร้ บั ความเสียหาย
................ 9. สัญญาประกันภัยจะต้องมีหลักฐานเป็นหนังสือลงลายมือชื่อฝ่ายท่ีต้องรับผิด หรือลายมือช่ือของ

ตวั แทนฝ่ายนั้นเปน็ ส�ำคญั มิฉะนนั้ จะฟอ้ งร้องใหบ้ งั คบั คดกี นั ไมไ่ ด้
................ 10. เมอื่ คสู่ ญั ญาประกนั ภยั ตกลงทำ� สญั ญาประกนั ภยั แลว้ กฎหมายกำ� หนดใหผ้ รู้ บั ประกนั ภยั ตอ้ งสง่ มอบ

กรมธรรมป์ ระกนั ภัยให้กบั ผูเ้ อาประกันภยั
ตอนท่ี 2 จงตอบคำ� ถามตอ่ ไปน้ี
1. จงบอกความหมายของสญั ญาประกันภยั
2. สญั ญาประกันภัยมลี ักษณะท่สี ำ� คัญอยา่ งไร ตอบเปน็ ขอ้   ๆ
3. สัญญาประกันมีก่ปี ระเภท อะไรบา้ ง

หนว่ ยการเรยี นรู้ที่ 11 235

กิจกรรมตามสมรรถนะวิชาชีพที่ 11.1
เรอื่ ง สญั ญาประกนั ภัย

จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
1. บอกความหมายลักษณะสำ� คญั ของสญั ญาประกนั ภัยได้
2. ระบุประเภทและบคุ คลทเี่ กย่ี วขอ้ งในสัญญาประกนั ภยั ได้
3. บอกหลกั เกณฑ์ในการท�ำสญั ญาประกนั ภัยได้
กิจกรรม
1. ให้ผ้เู รยี นแบ่งออกเป็น 3 กลมุ่ ศึกษาคน้ คว้าขอ้ มูลตามหัวขอ้ ต่อไปน้ี
1.1 ความหมายและลักษณะส�ำคญั ของสญั ญาประกนั ภยั กลุ่มท่ี 1
1.2 ประเภทและบคุ คลท่ีเกีย่ วข้องในสญั ญาประกันภยั กลุม่ ที่ 2
1.3 หลกั เกณฑ์ในการท�ำสญั ญาประกนั ภัย กลุ่มท่ี 3
2. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มท่ีได้รับมอบหมายตามหัวข้อ 1.1-1.3 ศึกษาหาความรู้เพ่ิมเติมเกี่ยวกับเร่ือง
กฎหมายลักษณะสัญญาประกันภัยและคำ� พิพากษาฎีกาที่น่าสนใจ โดยค้นคว้าเพ่ิมเติมจากแหล่งการเรียนรู้ต่าง ๆ
เชน่ อินเทอรเ์ น็ต หนังสือจากหอ้ งสมุด เป็นตน้
3. ให้ผู้เรียนแต่ละกลุ่มระดมความคิดสรุปหลักกฎหมายลักษณะสัญญาประกันภัย ที่เป็นประเด็นส�ำคัญ
ในรปู ของผังมโนทศั น์ (Mind Mapping) หรอื สรุปประเดน็ สำ� คัญในรปู แบบของการแสดงบทบาทสมมุติ
4. จากขอ้ 3 ให้ผ้เู รียนเลือกและน�ำเสนอภาระงานหนา้ ชั้นเรียน กลมุ่ ละ 3-5 นาที
5. ผสู้ อนและผเู้ รียนรว่ มกันสรุปภาพรวม

4. สญั ญาประกนั วนิ าศภัย

4.1 ความหมายของสัญญาประกันวินาศภยั

สัญญาประกันวินาศภัย คือ สัญญาซึ่งผู้รับประกันวินาศภัยตกลงจะใช้ค่าสินไหมทดแทนหรือใช้เงิน
จำ� นวนหนง่ึ ใหแ้ กผ่ เู้ อาประกนั วนิ าศภยั เมอื่ เกดิ วนิ าศภยั แกท่ รพั ยส์ นิ ทเ่ี อาประกนั วนิ าศภยั โดยผเู้ อาประกนั วนิ าศภยั
ตกลงจะส่งเบ้ียประกันภยั ให้แกผ่ ู้รับประกนั วินาศภยั
อนึง่ คำ� วา่ “วนิ าศภยั ” น้ี หมายรวมเอาความเสียหายอยา่ งใด ๆ ซง่ึ จะพงึ ประมาณเปน็ เงนิ ได้ (ประมวล
กฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 869)
ดงั น้ันความเสยี หายท่ีประมาณเป็นเงนิ ไม่ได้กม็ อิ าจเอาประกันวนิ าศภัยได้
ตัวอย่างสัญญาประกันวินาศภัย เช่น สัญญาประกันอัคคีภัย สัญญาประกันอุบัติเหตุ สัญญาประกันภัย
ในการรบั ขน สัญญาประกันภัยทางทะเล เป็นตน้

236 กฎหมายพาณชิ ย์ (20001-1005)

การประกนั ภยั ภาคบงั คบั ตามพระราชบญั ญตั คิ มุ้ ครองผปู้ ระสบภยั จากรถ พ.ศ. 2535 และแกไ้ ขเพม่ิ เตมิ
พ.ศ. 2540 พ.ศ. 2550 และ พ.ศ. 2551 มลี กั ษณะเปน็ การประกันวินาศภัยภาคบงั คบั โดยมีวัตถุประสงคด์ งั น้ี
1) เพอื่ คมุ้ ครองและใหค้ วามชว่ ยเหลอื แกป่ ระชาชนทไี่ ดร้ บั บาดเจบ็ หรอื เสยี ชวี ติ เพราะเหตปุ ระสบ
ภัยจากรถ โดยให้ได้รับการรักษาพยาบาลอยา่ งทนั ท่วงทกี รณีบาดเจบ็ หรือช่วยเปน็ คา่ ปลงศพ กรณเี สียชวี ิต
2) เปน็ หลกั ประกนั ใหก้ บั โรงพยาบาลหรอื สถานพยาบาลวา่ จะไดร้ บั คา่ รกั ษาพยาบาลในการรบั รกั ษา
พยาบาลผปู้ ระสบภัยจากรถ
3) เปน็ สวัสดิการสงเคราะห์ที่รฐั มอบใหแ้ ก่ประชาชน ผู้ได้รับความเสียหาย เพราะเหตปุ ระสบภยั
จากรถ
4) ส่งเสริมและสนับสนุนให้การประกันภัยเข้ามามีส่วนร่วมในการบรรเทาความเดือดร้อนแก่
ผู้ประสบภยั และครอบครวั
ผู้ที่ได้รับความคุ้มครองตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ได้แก่ ทุกคนที่ได้รับอันตราย
ต่อชีวิต ร่างกาย อนามัย เน่ืองจากรถที่ใช้หรืออยู่ในทาง หรือเน่ืองจากสิ่งท่ีบรรทุก หรือติดต้ังในรถน้ัน และ
ทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัยซึง่ ถึงแก่ความตายก็ยังได้รับความคุ้มครองอกี ดว้ ย
ผู้ประสบภัยจากรถคันเอาประกันภัยกับบริษัทใดจะขอรับค่าเสียหายเบื้องต้นจากบริษัทที่ท�ำประกันภัย
ไว้นนั้ กลา่ วคือ ผู้ประสบภยั จากรถคนั ทเ่ี กิดเหตขุ อรบั คา่ เสียหายเบ้ืองต้นจากบริษทั ท่ีทำ� ประกนั ไวน้ นั้

4.2 สทิ ธิและหนา้ ที่ของผู้เอาประกันวนิ าศภัย

4.2.1 สิทธิของผู้เอาประกนั วินาศภยั
1) สิทธิขอลดเบ้ียประกันภัย เมื่อคู่สัญญาประกันภัยยกเอาภัยใดโดยเฉพาะข้ึนเป็นข้อพิจารณา
ในการก�ำหนดจ�ำนวนเบ้ียประกันภัย ต่อมาภัยเช่นน้ันไม่มีต่อไปแล้ว ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิที่จะขอให้ผู้รับ
ประกนั ภัยลดเบยี้ ประกนั ภยั ลงตามส่วนได้ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 864)
2) สิทธิขอลดจ�ำนวนเงินซึ่งเอาประกันไว้ ถ้าในระหว่างอายุสัญญาประกันภัยนั้นมูลประกัน
(มลู คา่ ของทรพั ยส์ นิ ทเ่ี อาประกนั ) ลดลงไปมาก ผเู้ อาประกนั ภยั มสี ทิ ธทิ จ่ี ะขอลดจำ� นวนเงนิ ทเี่ อาประกนั ภยั ไว้ และ
ขอลดจ�ำนวนเงินเบี้ยประกันภยั ดว้ ย (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 873)
3) สิทธิที่จะเรียกให้ผู้รับประกันภัยหาหลักประกัน ถ้าบริษัทท่ีรับประกันภัยต้องค�ำพิพากษา
ให้ล้มละลาย ผู้เอาประกันภัยมีสิทธิที่จะเรียกให้ผู้รับประกันภัยหาประกันอันสมควรให้แก่ตนก็ได้หรือผู้เอา
ประกันภยั จะเลิกสัญญาเสียก็ได้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 876 วรรคแรก)
4) สทิ ธทิ จี่ ะไดร้ บั คา่ สนิ ไหมทดแทน เมอ่ื ทรพั ยส์ นิ ทเ่ี อาประกนั ภยั ไวเ้ กดิ วนิ าศภยั ขนึ้ ผรู้ บั ประกนั ภยั
ตอ้ งชดใช้คา่ สินไหมทดแทนแก่ผูเ้ อาประกันภยั ส�ำหรับจำ� นวนวินาศภัยที่เกดิ ขึ้นจรงิ รวมท้ังส�ำหรบั ความบบุ สลาย
อันเกิดแก่ทรัพย์สินซ่ึงเอาประกันวินาศภัยไว้ แต่ผู้เอาประกันภัยจะต้องได้จัดการตามสมควรเพื่อป้องปัด
ความวนิ าศภยั นน้ั ตลอดจนตอ้ งชดใชบ้ รรดาคา่ ใชจ้ า่ ยอนั สมควร ซง่ึ ผเู้ อาประกนั ภยั ไดใ้ ชจ้ า่ ยไปเพอื่ รกั ษาทรพั ยส์ นิ
ซ่งึ เอาประกนั วนิ าศภยั ไวน้ ้ันมใิ ห้วนิ าศดว้ ย

หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 11 237

อนง่ึ การคำ� นวณคา่ สนิ ไหมทดแทนทรพั ยส์ นิ ทว่ี นิ าศนน้ั ใหค้ ำ� นวณ ณ สถานทแ่ี ละในเวลาซง่ึ วนิ าศภยั
ได้เกิดข้ึน และห้ามมิให้คิดค่าสินไหมทดแทนเกินไปกว่าจ�ำนวนเงินซ่ึงเอาประกันไว้ (ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณชิ ย์ มาตรา 877)
5) สิทธทิ ี่จะบอกเลกิ สัญญา ผ้เู อาประกันมีสิทธทิ ่จี ะบอกเลกิ สญั ญาประกนั ภัยได้ 2 กรณี คือ
(1) บอกเลิกสัญญาก่อนเริ่มเสี่ยงภัย กรณีนี้ผู้รับประกันภัยชอบที่จะได้เบ้ียประกันภัยคร่ึงหน่ึง
(ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 872)
(2) บอกเลิกสัญญาเมื่อผู้รับประกันภัยต้องค�ำพิพากษาให้เป็นคนล้มละลาย (ประมวลกฎหมาย
แพง่ และพาณชิ ย์ มาตรา 876 วรรคแรก)
4.2.2 หนา้ ท่ีของผเู้ อาประกันวินาศภัย มีดงั นี้
1) เม่อื เกิดวินาศภัยขึ้นต้องบอกกล่าวแก่ผรู้ บั ประกนั ภยั โดยไม่ชกั ช้า (ประมวลกฎหมายแพ่งและ
พาณิชย์ มาตรา 881)
2) ตอ้ งฟอ้ งคดีเพอื่ เรียกค่าสินไหมทดแทนภายในกำ� หนด 2 ปี นบั แต่วนั เกดิ วนิ าศภัย (ประมวล
กฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 882 วรรคแรก)
3) ตอ้ งฟอ้ งคดเี พอ่ื เรยี กใหใ้ ชห้ รอื คนื เบย้ี ประกนั ภายในกำ� หนด 2 ปี นบั แตว่ นั ซง่ึ สทิ ธจิ ะเรยี กใหใ้ ช้
หรือคนื เบย้ี ประกันภัยถงึ ก�ำหนด (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณิชย์ มาตรา 882 วรรคสอง)

4.3 สิทธแิ ละหนา้ ทขี่ องผ้รู บั ประกันวินาศภยั

4.3.1 สิทธขิ องผรู้ บั ประกนั วินาศภัย มีดงั นี้
1) สทิ ธิเรียกเบย้ี ประกนั ภยั ผู้รบั ประกันภยั มสี ทิ ธทิ ่ีจะเรยี กเบ้ยี ประกันภัย (ประมวลกฎหมายแพ่ง
และพาณิชย์ มาตรา 861)
2) สทิ ธขิ อลดจ�ำนวนคา่ สนิ ไหมทดแทน เมื่อพิสูจนไ์ ด้วา่ ราคาแห่งมลู ประกนั ภยั ตามท่ไี ด้ตกลงกนั
ไว้น้ันเป็นจ�ำนวนสูงเกินไปมาก ผู้รับประกันภัยมีสิทธิขอลดค่าสินไหมทดแทน แต่ต้องคืนจ�ำนวนเบี้ยประกันภัย
ให้แก่ผู้เอาประกันภยั ตามส่วนพร้อมดอกเบย้ี ด้วย (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณชิ ย์ มาตรา 874)
3) สิทธิในการรับช่วงสิทธิ ถ้าความวินาศภัยน้ันได้เกิดข้ึนจากการกระท�ำของบุคคลภายนอกและ
ผรู้ บั ประกนั วนิ าศภยั ไดใ้ ชค้ า่ สนิ ไหมทดแทนแกผ่ เู้ อาประกนั ภยั ไปเปน็ จำ� นวนเทา่ ใด ผรู้ บั ประกนั ภยั มสี ทิ ธจิ ะเขา้ รบั
ชว่ งสทิ ธขิ องผเู้ อาประกนั ภยั และของผรู้ บั ประโยชนซ์ งึ่ มบี คุ คลภายนอกเพยี งนน้ั (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 880)
4) สทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญา ถา้ ผเู้ อาประกนั ภยั ตอ้ งคำ� พพิ ากษาใหเ้ ปน็ บคุ คลลม้ ละลาย ผรู้ บั ประกนั ภยั
มสี ทิ ธบิ อกเลกิ สญั ญา เวน้ แตผ่ เู้ อาประกนั ภยั จะไดส้ ง่ เบยี้ ประกนั เตม็ จำ� นวนตามสญั ญาแลว้ (ประมวลกฎหมายแพง่
และพาณิชย์ มาตรา 876 วรรคสอง)
4.3.2 หนา้ ท่ขี องผู้รับประกนั วนิ าศภัย มีดงั น้ี
1) หน้าท่ีส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัย ผู้รับประกันวินาศภัยมีหน้าท่ีส่งมอบกรมธรรม์ประกันภัย
ท่มี เี น้ือความต้องตามสัญญา และมีขอ้ ความตามแบบทนี่ ายทะเบียนเหน็ ชอบ (ประมวลกฎหมายแพง่ และพาณชิ ย์
มาตรา 867 วรรคสอง ประกอบกบั พระราชบญั ญตั ปิ ระกันวนิ าศภยั พ.ศ. 2535)


Click to View FlipBook Version