The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by thippawan_kai, 2022-09-15 03:38:07

เอกสารประกอบการสอน “การจัดการการจัดหาและการจัดซื้อ”

ดร.พิเซษฐ เนตรสว่าง

Keywords: เอกสารประกอบการสอน ตำรา

140 การจดั การการจัดหาและการจัดซ้ือ

การพยากรณอ์ ย่างง่ายอาจแสดงเปน็ แนวโน้มของความต้องการ ดังนี้ ถ้าเดอื นมกราคม ขาย
ได้ 108 กล่อง เดือนกุมภาพันธ์ขายได้ 120 กล่อง จะพยากรณ์เดือนมีนาคมว่าขายได้ 120 + (120-
180) เท่ากับ 132 กล่อง ถ้าเดือนมีนาคมขายได้จริง 127 กล่อง จะพยากรณ์เดือนมีนาคมว่าขายได้
120+(127-120) = 134 กล่อง และใช้พยากรณ์ฤดูกาลว่าถ้าปีท่ีแล้วในช่วงเวลาน้ีขายได้เท่าไร ปีนี้
กน็ า่ จะขายไดเ้ ท่านน้ั

วิธีนี้ง่ายและมีค่าใช้จ่ายต่า แต่ใช้ได้ดีกรณีที่อิทธิพลต่างๆ ที่มีต่อยอดขายส่งผลสม่าเสมอ
เทา่ นัน้ แต่ถ้ามเี หตกุ ารณผ์ ิดปกตเิ กดิ ขึ้นจะเกดิ ความคลาดเคล่ือนสูง

ข) การหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนท่ี (Moving Average) เป็นการหาค่าเฉลี่ยของยอดขายโดยใช้
จานวนข้อมูล 3 ช่วงเวลาขึ้นไปในการคานวณ เม่ือเวลาผ่านไป 1 ช่วงก็ใช้ข้อมูลใหม่มาเฉล่ียแทน
ขอ้ มูลในช่วงเวลาไกลทส่ี ดุ ซึ่งจะถกู ตัดทิ้งไป

คา่ เฉลยี่ เคลอ่ื นที่ =  ความต้องการหรือยอดขายในชว่ งเวลา n ครง้ั
n

การพยากรณ์แบบค่าเฉลี่ยเคล่ือนท่ีต้องรอเก็บข้อมูลอย่างน้อย 3 ช่วงเวลา ดังนั้นค่า
พยากรณ์ท่ีไดค้ ่าแรกคือของช่วงท่ี 4 เช่นถ้าเริ่มเกบ็ ข้อมูลยอดขายเดือนมกราคม ในเดือนกมุ ภาพันธ์
และมีนาคม ก็ยังพยากรณ์ไม่ได้ จะเริ่มพยากรณ์ได้เมื่อส้ินเดือนมีนาคม โดยคานวณค่าพยากรณ์ของ
เดือนเมษายนและใช้ค่านี้ทาการพยากรณ์เดือนพฤษภาคม โดยตัดยอดขายจริงของเดือนมกราคม
ทอ่ี ยู่ไกลทส่ี ุดออกไป เอายอดขายจริงของเดือนเมษายนเขา้ แทนที่แลว้ คานวณหาค่าเฉลี่ยเคลื่อนท่ีซึ่ง
เปน็ ค่าพยากรณข์ องเดือนพฤษภาคมต่อไป

จานวนข้อมูลท่ีใช้อาจเป็นจานวนค่ีหรือคู่ก็ได้ ถ้ายอดขายมีลักษณะค่อนข้างคงท่ี ก็ควรใช้
ข้อมูลจานวนมากหาค่าเฉลี่ยจึงจะได้ค่าพยากรณ์ท่ีใกล้เคียงค่าจริงมากกว่า แต่ถ้ายอดขายมี
การเปล่ียนแปลงในช่วงสั้นๆ จะควรใช้ข้อมูลจานวนน้อยหาค่าเฉลี่ยจึงจะให้ค่าพยากรณ์ท่ีใกล้เคียง
คา่ จรงิ มากกวา่ และถา้ หาคา่ เฉล่ยี 12 เดอื น จะขจดั อิทธิพลของฤดูกาลออกไปได้

บทท่ี 6 เทคนคิ การพยากรณ์ความตอ้ งการวตั ถดุ บิ และสินคา้ 141

ตัวอยา่ งท่ี 6.3 การพยากรณ์ยอดขายโดยใชว้ ธิ ีคา่ เฉลีย่ เคลื่อนท่ี 3 เดอื น

เดอื น ยอดขายจริง คา่ เฉล่ยี เคล่ือนท่ี 3 เดือน
ม.ค. 10 -
ก.พ. 12 -
ม.ี ค. 13 -
เม.ย. 16
พ.ค. 19 (10+12+13)/3 = 11.67
มิ.ย. 23 (12+13+16)/3 = 13.67
ก.ค. 26 (13+16+19)/3 = 16.00
ส.ค. 30 (16+19+23)/3 = 19.33
ก.ย. 28 (19+23+26)/3 = 22.67
ต.ค. 18 (23+26+30)/3 = 26.33
พ.ย. 18 (26+30+28)/3 = 28.00
ธ.ค. 14 (30+28+16)/3 = 25.33
(28+16+14)/3 = 20.67

อย่างไรก็ดี ข้อมูลท่ีอยู่ในช่วงใกล้เวลาท่ีต้องการพยากรณ์มักจะมีอิทธิพลกับค่าพยากรณ์
มากกว่าข้อมูลที่อยู่ไกลออกไป จึงมีการหาค่าเฉลี่ยเคล่ือนท่ีแบบถ่วงน้าหนัก (Weighted Moving
Average) ดงั น้ี

คา่ เฉลีย่ เคลอ่ื นทแี่ บบถว่ งนา้ หนัก = W t1 A t1 +W t2 A t2 +…….+W tn A tn

w

นา้ หนักของช่วงเวลาทีใ่ กล้คา่ พยากรณจ์ ะมากกวา่ นา้ หนักของช่วงเวลาท่ีไกล
ตัวอย่างท่ี 6.4 จงพยากรณ์ยอดขายโดยวิธีค่าเฉลี่ยแบบถ่วงน้าหนัก โดยใช้ข้อมูลในตัวอย่างข้างต้น
ไดก้ าหนดใหก้ ารถว่ งน้าหนกั ของค่าเฉล่ยี เคล่ือนที่ 3 เดอื น เปน็ ดังนี้

น้าหนกั ชว่ งระยะเวลา
3 เดือนท่ีแลว้
2 2 เดอื นทแี่ ล้ว
1 3 เดือนทีแ่ ลว้
6 ค่ารวมของนา้ หนกั ทง้ั หมด

142 การจัดการการจัดหาและการจดั ซอ้ื

เดือน คา่ ขายจรงิ คา่ เฉลย่ี เคลอื่ นท่ี 3 เดอื นแบบมนี าหนักถ่วง

ม.ค. 10 -

ก.พ. 12 -

มี.ค. 13 -

เม.ย. 16 [(3x13)+(2x12)+(10)]/6 = 12.17

พ.ค. 19 [(3x16)+(2x13)+(12)]/6 = 14.33

มิ.ย. 23 [(3x19)+(2x16)+(13)]/6 = 17.00

ก.ค. 26 [(3x23)+(2x19)+(16)]/6 = 20.50

ส.ค. 30 [(3x26)+(2x23)+(19)]/6 = 23.83

ก.ย. 28 [(3x30)+(2x26)+(23)]/6 = 27.50

ต.ค. 18 [(3x28)+(2x30)+(26)]/6 = 23.33

พ.ย. 18 [(3x18)+(2x28)+(30)]/6 = 12.33

ธ.ค. 14 [(3x16)+(2x18)+(28)]/6 = 12.67

ขอ้ ดีของวิธคี ่าเฉลีย่ เคลอ่ื นที่ เป็นวิธีท่งี า่ ยต่อการคานวณและความเข้าใจ
ข้อเสียของวิธีค่าเฉล่ียเคลื่อนท่ี (1) เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการหาข้อมูลค่อนข้างสูง
(2) ค่าเฉลยี่ ท่ีคานวณจะได้แสดงทิศทางของยอดขายในอนาคตแตไ่ มใ่ กลเ้ คียงกับค่าจริง
แม้จะมีค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบถ่วงน้าหนักให้ผลการพยากรณ์ท่ีใกล้เคียงความจริงมากกว่า แต่วิธี
คานวณจะยุ่งยากและอาจผิดพลาดได้ง่าย จึงมีการจัดเป็นรูปสมการด้วยการปรับเรียบแบบเอ็กซ์
โปเนนเชยี ล
6.4.4 การปรับเรียบด้วยเอ็กซ์โปเนนเชียล (Exponential Smoothing) เป็นการหาค่าเฉล่ีย
เคลือ่ นท่ีแบบถ่วงนา้ หนักท่ีจดั ค่าพยากรณอ์ อกมาในรูปการใช้สมการคานวณ ซึ่งจะใช้คา่ ข้อมูลเรมิ่ ต้น
ค่าเดยี วและถ่วงน้าหนกั โดยใชส้ ัมประสิทธิ์เชงิ เรยี บ ( ) ท่ีมีคา่ อยู่ระหวา่ ง 0 ถงึ 1.00

คา่ เฉลย่ี เอก็ ซ์โปเนนเชยี ล (F t1 ) = F t1 +  (A t1 - F t1 )
หรอื =  A t1 + (1- )F t1

โดยท่ี F t1 เป็นค่าพยากรณใ์ นช่วงเวลาก่อนการพยากรณ์ 1 ชว่ ง
A t1 เปน็ คา่ จริงในชว่ งเวลากอ่ นการพยากรณ์ 1 ชว่ ง

บทที่ 6 เทคนคิ การพยากรณค์ วามตอ้ งการวัตถดุ บิ และสินคา้ 143

สาหรบั คา่ 
ตารางท่ี 6.1 การวเิ คราะห์การปรับเรยี บดว้ ยเอ็กซ์โปเนนเชียล

ค่า ชว่ งใกล้ทสี่ ดุ ช่วงท่ี 2 ช่วงท่ี 3 ชว่ งที่ 4 ช่วงท่ี 5
ถัดไป ถดั ไป ถัดไป ถัดไป
  (1- )  (1- ) 2  (1- ) 3  (1- ) 4
0.09 0.081 0.073 0.066
 = 0.1 0.1 0.25 0.125 0.063 0.031
 = 0.5 0.5

ท่มี า : (ดดั แปลงจาก Heizer, J. and Render, B., 1996 : 168)
ดังนน้ั สูตรค่าเฉลย่ี เอก็ ซ์โปเนนเชียลเขียนไดอ้ ีกแบบคอื
Ft =  A t1 + (1- )A t2 + (1- ) 2 A t3 +….+ (1- ) n A tn

ตัวอย่างที่ 6.5 จงหาค่าพยากรณ์แบบเอก็ ซ์โปเนนเชียลจากขอ้ มูลของบริษทั แหง่ หน่งึ โดยใช้ค่า 
= 0.10 และ = 0.50 และยอดขายก่อนไตรมาสท่ี 1 เทา่ กับ 175

ไตรมาสท่ี ยอดขาย คา่ พยากรณ์เม่อื = 0.10 คา่ พยากรณ์เมื่อ  = 0.5

1 180 175 175.00

2 168 175.00+0.1(180-175) = 175.50 177.50

3 159 175.50+0.1(168-175.50) = 174.75 172.75

4 175 174.75+0.1(159-174.75) = 173.18 165.88

5 190 173.18+0.1(175-173.18) = 173.36 170.44

6 205 173.36+0.1(190-173.36) = 175.02 180.22

7 180 175.02+0.1(205-175.02) = 178.02 192.61

8 182 178.02+0.1(180-178.02) = 178.22 186.31

9 - 178.22+0.1(182-178.22) = 178.59 184.14

- ถ้า  มีค่าสูงจะเป็นการถ่วงให้ข้อมูลที่ใกล้ช่วงพยากรณ์มีน้าหนักมากกว่า  ที่มีต่า
ดังน้ัน  ที่มีค่าใกล้เคียง 1 จะทาให้ค่าพยากรณ์สนองตอบต่อการเปลี่ยนแปลงของข้อมูลในแต่ละ

144 การจัดการการจดั หาและการจัดซอื้

ช่วงได้มากกว่า เส้นกราฟของค่าพยากรณ์ที่ได้จะมีลักษณะไม่ราบเรียบเท่าใดนัก จึงเหมาะกับ
ยอดขายที่มีลักษณะเปล่ียนแปลงขึ้นลงบ่อยๆ ถ้า เท่ากับ 1 จะทาให้ค่าพยากรณ์ (Ft) = 1.0A t1
คอื คา่ จริงในชว่ งเวลากอ่ นหน้านั้น 1 ชว่ ง ซ่ึงจะกลายเปน็ วิธีของการพยากรณอ์ ยา่ งง่ายนั่นเอง

- ถ้า มีคา่ ต่าจะเป็นการถ่วงให้ข้อมูลท่อี ยู่ไกลชว่ งพยากรณ์มีน้าหนักมากกว่า ที่มีคา่ สูง
ดังน้ัน  ที่มีค่าต่าใกล้เคียง 0 จะทาให้เส้นกราฟของค่าพยากรณ์ราบเรียบเป็นเส้นตรงจึงเหมาะกับ
ยอดขายท่ีมีลักษณะราบเรยี บเปน็ เส้นตรง

ค่า ทีแ่ ตกตา่ งกนั จะทาใหน้ ้าหนกั ท่ีถ่วงในแตล่ ะช่วงเวลาตา่ งกัน ดังต่อไปน้ี
คา่ ถ่วงนา้ หนกั ของสัมประสทิ ธเ์ิ ชิงเรยี บ ( ) ที่ 0.1 และ 0.5 ในช่วงเวลาตา่ งๆ
ในการคานวณค่าเฉลี่ยเอ็กซ์โปเนนเชียล จะกาหนดให้ค่าพยากรณ์ค่าแรกเท่ากับค่าจริงของ
ชว่ งเวลาก่อนหน้าน้นั 1 ช่วง (ซึ่งก็คือ การใช้หลักการเดยี วกับการพยากรณ์อย่างง่ายน้ันเอง) จะเห็น
ได้ว่าการหาค่าเฉลี่ยเอ็กซ์โปเนนเชียลใช้ข้อมูลน้อยกว่าและได้ค่าพยากรณ์เร็วกว่าการหาค่าเฉล่ีย
เคล่ือนที่ แต่ได้ค่าพยากรณ์ท่ีแมน่ ยาเท่ากับค่าเฉล่ียเคล่ือนทถี่ ่วงน้าหนัก

6.4.5 การหาค่าสัมประสทิ ธิ์เชิงเรยี บ ( ) ทีเ่ หมาะสม
ข้อมูลยอดขายแต่ละชุดย่อมมีความแตกต่างกัน จึงต้องการค่า  ในการพยากรณ์

ท่ีแตกต่างกันดว้ ย ไม่มีคา่  ใดทเ่ี หมาะสมกับทกุ ข้อมลู การใชค้ า่  ท่ีเหมาะสมในการคานวณจะได้
ค่าพยากรณ์ที่แม่นยา น่ันคือค่า นั้นทาให้ค่าจริงใกล้เคียงกับค่าพยากรณ์มาก ซ่ึงทาได้จากการวัด
ค่าความคลาดเคล่อื นดังตอ่ ไปนี้

Mean Absolute Deviation (MAD) =  ค่าจริง – คา่ พยากรณ์
N

สาหรับข้อมูลยอดขายชุดนี้ ค่า ท่ีเหมาะสมมากกว่า คือ 0.1 เพราะมีค่า MAD ต่ากว่า
แสดงว่า ค่าพยากรณ์ท่ีใช้  = 0.1 คลาดเคล่ือนจากค่าจริงน้อยกว่าค่าพยากรณ์ที่ใช้  = 0.5
นอกจากค่า MAD แล้วสามารถทดสอบหา ที่เหมาะสมได้จากค่าอื่นอีก ดังจะกล่าวต่อไปในหัวข้อ
การวดั คา่ ความคลาดเคลอ่ื น

ข้อดีของการปรบั เรยี บแบบเอก็ ซโ์ ปเนนเชยี ล
1) สามารถให้ค่าพยากรณ์ท่ีใกล้เคียงค่าจริงเช่นเดียวกับค่าเฉลี่ยเคลื่อนท่ีแบบถ่วงน้าหนัก
แต่คานวณง่ายกว่า
2) ใช้ข้อมูลในการเร่ิมต้นคานวณเพียงค่าเดียว ได้ค่าพยากรณ์เร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย
ในการหาข้อมูลดีกว่าคา่ เฉลยี่ เคล่อื นท่ี

บทที่ 6 เทคนิคการพยากรณ์ความตอ้ งการวตั ถดุ บิ และสินค้า 145

ตัวอย่างท่ี 6.6 จากตัวอย่างข้างต้น จงคานวณค่า MAD เพื่อพิจารณาว่าค่า  ท่ีเหมาะสมคือค่า
0.1 หรอื 0.5

ไตรมาส ยอดขาย คา่ พยากรณ์ คา่ สัมบรู ณ์ ค่าพยากรณ์ ค่าสมั บรู ณ์

เม่อื  = 0.1 เมื่อ  = 0.1 เมื่อ  = 0.5 เมื่อ  =0.5

1 180 175 5 175 5

2 168 176 5 178 10

3 159 175 16 173 14

4 175 173 2 166 9

5 190 173 17 170 20

6 205 175 30 180 25

7 180 178 2 193 13

8 182 178 4 186 4

84 100

ค่า MAD เมื่อ  = 0.1 = 84 = 10.5

8

คา่ MAD เมือ่  = 0.5 = 100 = 12.5

8

ขอ้ จากัดของการปรบั เรียบแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล

1) การคานวณใช้ทั้งค่าจริงและค่าพยากรณ์ ดังนั้นถ้าคานวณค่าพยากรณ์ใดผิดจะทาให้ค่า

พยากรณ์ทง้ั หมดทอี่ ยู่หลงั จากคา่ นน้ั ผิดทัง้ หมด

2) การกาหนดค่า ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะถือว่า  มีค่าคงท่ีในช่วงการพยากรณ์แต่ใน

ความเป็นจริงเม่ือปัจจัยแวดล้อมเปล่ียนแปลงไป  ก็อาจเปล่ียนแปลงได้ ในกรณีเช่นน้ันต้องใช้

วิธีการพยากรณ์แบบ Adaptive-response-rate Single Exponential Smoothing ซึ่งมีความ

ซบั ซอ้ นยิ่งขนึ้ ในการคานวณ

146 การจัดการการจดั หาและการจดั ซอ้ื

6.4.6 วิธีปรับเรียบแบบเอ็กซ์โปเนนเชียลด้วยแนวโน้ม (Trend-adjusted Exponential
Smoothing) เนื่องจากยอดขายมีองค์ประกอบหลายส่วน การหาค่าเฉลีย่ เป็นเพียงส่วนแรกต่อไปจะ
เปน็ การนาเอาแนวโน้ม (Trend) มาปรับคา่ เฉล่ียทีไ่ ดเ้ พ่อื ให้ค่าพยากรณ์ทใี่ กลเ้ คยี งค่าจริงมากยง่ิ ข้นึ

FIT = F + T
tt

F = (1-  )F t1 +  A t1 หรือ F t1 +  (A t1 - F t1 )
t

T = (1-  )T t1 +  (F – F t1 )
t t

เมื่อ FIT = คา่ เฉลยี่ ปรบั เรียบแบบเอก็ ซ์โปเนนเชียลดว้ ยแนวโน้ม
t
F = คา่ เฉล่ียเอก็ ซโ์ ปเนนเชียลของยอดขายในช่วงเวลา t
t
T = ค่าเฉลี่ยเอ็กซ์โปเนนเชยี ลของแนวโนม้ ในชว่ งเวลา t
t
 = สมั ประสทิ ธิ์เชงิ เรยี บของคา่ เฉล่ยี

 = สมั ประสทิ ธิเ์ ชิงเรียบของแนวโนม้

ค่าของ  จะมีลักษณะเช่นเดียวกับค่า  คือต้องหาค่าท่ีเหมาะสมที่จะใช้ในการ
พยากรณ์ด้วยการลองพยากรณ์ด้วยค่า  หลายๆ ค่าแล้วเลือกค่าท่ีพยากรณ์ได้แม่นยาท่ีสุด
โดยทั่วไปถ้าค่า  สูง จะใช้ได้ดีเม่ือมีการเปล่ียนแปลงของแนวโน้มในช่วงสั้นๆ ถ้า  ต่าจะให้ค่า
พยากรณข์ องแนวโน้มออกมาในลักษณะเฉล่ยี มากกวา่

ตวั อย่างท่ี 6.7 หาคา่ เฉล่ียแบบปรับเรียบแบบเอ็กซโ์ ปเนนเชียลด้วยแนวโน้มโดย = 0.2,  = 0.4

เดือนที่ ค่าขายจรงิ (A t ) Ft Tt FIT t
1 12 11.00 0.00 -

2 17 11.20 0.08 11.28

3 20 12.36 0.51 12.87

4 19 13.89 0.92 14.81

5 24 14.91 0.96 15.87

6 26 16.73 1.30 18.03

7 31 18.58 1.52 20.10

8 32 21.07 1.91 22.98

9 36 23.25 2.02 25.27

บทท่ี 6 เทคนคิ การพยากรณค์ วามต้องการวตั ถุดบิ และสินค้า 147

อธบิ ายวธิ กี ารคานวณดงั ต่อไปน้ี

ขั้นตอนท่ี 1 พยากรณ์ F 2 โดยให้ค่าของยอดขายเดอื นสดุ ท้ายปที ีแ่ ลว้ (F1 ) = 11
F 2 = 11+0.2(12-11) = 11.2

ขัน้ ตอนท่ี 2 คานวณคา่ แนวโนม้ T2 โดยสมมตใิ ห้ T1 = 0
T 2 = (1-  ) T1 +  (F 2 -F1 )
T 2 = 0+0.4 (11.2-11.0) = 0.08

ขน้ั ตอนท่ี 3 นาค่าในข้อ 1 และ 2 มาบวกกนั เป็น FIT 2

FIT 2 = 11.2+0.08 = 11.28

ขั้นตอนท่ี 4 คานวณคา่ ของยอดขายพยากรณ์ในเดือนที่ 3

F 3 = 11.2 +0.2 (17.0-11.2) = 12.36
T = (1-0.4)(0.8)+0.4 (12.36 – 11.2) = 0.51

3

FIT = 12.36+0.51 = 12.87
3

การเปรียบเทียบค่าขายจริงกับผลของการพยากรณ์แบบค่าเฉล่ียแบบเอ็กซ์โปเนนเชียล

ธรรมดา และผลของการพยากรณ์แบบค่าเฉลี่ยปรบั เรียบแบบเอก็ ซ์โปเนนเชียลด้วยแนวโน้ม ซ่งึ เห็น

ได้ว่า ค่าเฉลีย่ ปรบั เรยี บแบบเอ็กซโ์ ปเนนเชียลดว้ ยแนวโนม้ ให้ค่าพยากรณ์ท่ใี กล้เคียงคา่ จรงิ มากกว่า

6.4.7 การปรบั คา่ พยากรณด์ ว้ ยอทิ ธพิ ลฤดกู าล
บางผลิตภัณฑ์จะมีอิทธิพลของฤดูกาลขายที่ชัดเจน เช่น เส้ือผ้านักเรียนขายดี

ช่วงเปิดภาคการศกึ ษา รม่ และเสื้อกันฝนขายดีในฤดูฝน จงึ ควรนาเอาฤดกู าลมาประกอบค่าพยากรณ์
ด้วย ลกั ษณะของอทิ ธิพลฤดูกาลท่มี ตี ่อยอดขายหรือความต้องการ มี 2 แบบ คือ

Multiplicative Seasonal method เป็นลักษณะของการเพ่ิมข้ึนหรือลดลงของยอดขายที่
ทวคี ณู ตามรอ้ ยละของดัชนีฤดกู าล ดังนั้น ความตอ้ งการ = แนวโนม้ x ดชั นีฤดูกาล

Additive Seasonal Method เป็นลักษณะการเพิ่มขึ้นหรือลดลงของยอดขายที่บวกหรือ
ลบจานวนคงทข่ี องดชั นฤี ดูกาล ดังนนั้ ความตอ้ งการ = แนวโน้ม + ดชั นฤี ดกู าล

ตัวอย่างที่ 6.8 จงหาดัชนีฤดูกาลจากข้อมูลยอดขายดังต่อไปน้ี เพื่อพยากรณ์ยอดขายแต่ละไตรมาส
ของปที ่ี 5 ซง่ึ คาดวา่ จะมยี อดขายรวม 2,600 บาท

148 การจดั การการจดั หาและการจัดซ้อื

ไตรมาส ปที ่ี 1 ปีท่ี 2 ปีท่ี 3 ปที ี่ 4
1 45 70 100 100
2 335 370 585 725
3 520 590 830 1,160
4 100 170 285 215
รวม 1,000 1,200 1,800 2,200

ขั้นตอนที่ 1 หายอดขายต่อไตรมาสโดยเฉล่ีย
ปที ี่ 1 = 1,000/4 = 250 บาท
ปีท่ี 2 = 1,200/4 = 300 บาท
ปีท่ี 3 = 1,800/4 = 450 บาท
ปที ่ี 4 = 2,200/4 = 550 บาท

ขั้นตอนท่ี 2 หาดชั นฤี ดูกาล

ไตรมาสที่ ปที ่ี 1 ปที ่ี 2 ปีที่ 3 ปที ่ี 4
1 45/250 = 0.18 70/300 = 0.23 100/450 = 0.22 100/550 = 0.18
2 335/250 = 1.34 370/300 = 1.23 585/450 = 1.30 725/550 = 1.32
3 520/250 = 2.08 590/300 = 1.97 830/450 = 1.84 1,160/550 = 2.11
4 100/250 = 0.40 170/300 = 0.57 285/450 = 0.63 215/550 = 0.39

ขน้ั ตอนท่ี 3 หาคา่ เฉลี่ยของดัชนีฤดูกาลแต่ละไตรมาส

ไตรมาสท่ี คา่ เฉล่ียของดัชนฤี ดูกาล
1 (0.18+0.23+0.22+0.18)/4 = 0.20
2 (1.34+1.23+1.30+1.32)/4 = 1.30
3 (2.08+1.97+1.84+2.11)/4 = 2.00
4 (0.40+0.57+0.63+0.39)/4 = 0.50

ข้นั ตอนท่ี 4 พยากรณ์ยอดขายของปีท่ี 5 โดยนาเอาค่าเฉล่ียของยอดขายแต่ละไตรมาส คูณค่าเฉลี่ย
ดชั นีฤดกู าล

บทท่ี 6 เทคนิคการพยากรณค์ วามต้องการวตั ถุดบิ และสนิ ค้า 149

ไตรมาสท่ี ค่าเฉล่ียของดัชนีฤดูกาล
1 2,600/4 (0.20) = 130
2 2,600/4 (1.30) = 845
3 2,600/4 (2.00) = 1,300
4 2,600/4 (0.50) = 325

6.4.8 การวดั ความคลาดเคล่ือนของการพยากรณ์
การวัดความคลาดเคลื่อนของค่าจริงและค่าที่พยากรณ์ได้โดยใช้ค่าสัมประสิทธ์ิต่างๆ

หรือจานวนข้อมูลต่างๆ จะพิจารณาจากการท่ีค่าจริงใกล้เคียงค่าพยากรณ์ท่ีสุด หรือทาให้เกิดความ
คลาดเคลอ่ื นน้อยทส่ี ุด ยอ่ มเป็นคา่ ทเ่ี หมาะสมกบั การใช้พยากรณใ์ ห้ไดผ้ ลลัพธ์ท่แี มน่ ยา การวดั ความ
คลาดเคลือ่ นสามารถวดั ได้จากค่าต่างๆ ดังตอ่ ไปนี้

(1) Mean Absolute Deviation (MAD) =  ค่าจริง - ค่าพยากรณ์ 
n

ค่า MAD ย่งิ น้อย หมายถงึ การพยากรณ์ยิ่งแม่นยา

(2) Mean Squared Error (MSE) =  (คา่ จริง – ค่าพยากรณ์) 2
n

คา่ MSE ยงิ่ นอ้ ย หมายถึง การพยากรณย์ งิ่ แม่นยา

(3) Mean Absolute Percent Error (MAPE) =  (ค่าจริง – คา่ พยากรณ)์ x100/คา่ จริง)

n

คา่ MAPE ย่งิ น้อย หมายถึงการพยากรณย์ ง่ิ แมน่ ยา

ตวั อยา่ งที่ 6.9 จงแสดงการวดั ค่าคลาดเคล่อื นของการพยากรณ์

เดือนที่ มลู ค่า มลู คา่ ความคลาด ความคลาด คา่ สมั บูรณ์ คา่ สัมบูรณ์ของ %

ขายจรงิ พยากรณ์ เคลื่อน เคลอื่ น ของความ ความคลาดเคลื่อน

คลาดเคลอื่ น

1 200 225 -25 625 25 1.55

2 240 220 20 400 20 8.30

3 300 285 15 225 15 5.00

4 270 290 -20 400 20 7.40

150 การจัดการการจัดหาและการจดั ซ้ือ

5 230 250 -20 400 20 8.70
6 260 240 20 400 20 7.70
7 210 250 -40 1,600 40 19.00
8 275 240 35 1,225 35 12.70
81.30
รวม 15 5,275 195

คานวณไดด้ งั ต่อไปน้ี

Mean Absolute Deviation (MAD) = 5,275 = 659.40

8

Mean Squared Error (MSE) = 195 = 24.40

8

Mean Absolute Percent Error (MAPE) = 81.3% = 10.2%

8

6.4.9 การวดั ความสมั ฤทธผิ์ ลของวิธกี ารพยากรณท์ ีใ่ ช้

การท่ีจะพิจารณาว่าวิธีการพยากรณ์ท่ีใช้ให้ความแม่นยาของค่าพยากรณ์เพียงใด

Tracking Signal ที่

Tracking Signal =  (คา่ จรงิ ในช่วงเวลาt – คา่ พยากรณ์ชว่ งเวลา t)

MAD

ถ้า Tracking Signal เป็นบวกแสดงว่าค่าจริงสูงกว่าค่าพยากรณ์ ถ้าเป็นลบแสดงว่าค่า

พยากรณ์สูงกว่าค่าจริง ค่า Tracking Signal ที่แสดงว่าการพยากรณ์แม่นยาท่ีต้องมีค่าเข้าใกล้ศูนย์

นอกจากน้ันยงั มกี ารควบคมุ ใหค้ า่ Tracking Signal อยภู่ ายในช่วงควบคมุ ดงั ตอ่ ไปนี้

รอ้ ยละของพน้ื ทีภ่ ายใตก้ ารกระจายแบบปกตใิ นขอบเขตการควบคุมของ Tracking Signal

จานวนการกระจายของ จานวนเท่าของค่าเบีย่ งเบน ร้อยละของพ้นื ทภ่ี ายใน

ขอบเขตควบคุม มาตรฐาน  2 ขอบเขตการควบคุม

(จานวนเท่าของ MAD)

1.0  0.80 57.62
1.5 1.20 76.98
 2.0 1.60 89.04
 2.5  2.00 95.44

บทที่ 6 เทคนิคการพยากรณค์ วามต้องการวัตถดุ ิบและสนิ คา้ 151

 3.0  2.40 98.36
99.48
 3.5  2.80 99.86

 4.0  3.20

*จานวนเท่าของค่าเบ่ยี งเบนมาตรฐานของ MAD  0.8

การควบคุมคา่ MAD ยังสามารถใช้แผนภูมิการควบคุม เพ่อื พิจารณาวา่ วิธีการพยากรณ์ท่ีใช้

อยู่น้ันมีความเหมาะสมโดยให้ค่าพยากรณ์ที่แม่นยาเพียงใด ถ้าค่า Tracking Signal ออกนอก

ขอบเขตควบคุมบนหรอื ล่างเมอื่ ใดแสดงวา่ วธิ กี ารพยากรณท์ ี่ใช้อยู่ให้คา่ ทไ่ี ม่แมน่ ยาแลว้

นอกจากนนั้ ยงั สามารถใช้ MAD ในการพยากรณค์ วามผิดพลาดทจ่ี ะเกิดข้นึ ในชว่ งเวลาตอ่ ไป

ได้โดยใช้การปรบั เรยี บแบบเอก็ ซโ์ ปเนนเชียล ดังสมการ

MAD =  At1  Ft1   1  MADt1
โดยที่ MAD t1 = คา่ พยากรณข์ อง MAD ท่ีจะเกดิ ขนึ้ ในชว่ งเวลา t

 = สมั ประสทิ ธิ์เชิงเรียบ (มคี า่ ตง้ั แต่ 0.05 ถึง 0.20)

A t1 = ค่าขายจริงในช่วงเวลา t-1
F t1 = ค่าพยากรณใ์ นช่วงเวลา t-

6.5 การนาโปรแกรมไมโครซอฟเอกเซลมาใชใ้ นการพยากรณ์ความต้องการวัตถุดิบและสินค้า

ภาพที่ 6.1 ตวั อยา่ งการใช้ Excel template for trend-adjusted smoothing
ท่ีมา : (พเิ ชษฐ เนตรสว่าง, 2564)

152 การจัดการการจัดหาและการจัดซ้อื

ถา้ บริษัทมขี ้อมลู ที่ยึดตามเวลาในอดีต บริษัทสามารถใชข้ ้อมูลนนั้ เพ่ือสร้างการคาดการณไ์ ด้
เมื่อมีสร้างการคาดการณ์ โดยเปิดเวิร์กชีต Excel ท่ีประกอบด้วยท้ังตารางของค่าในอดีตและค่าที่
คาดการณ์ไว้ การคาดการณ์สามารถช่วยให้คุณคาดการณ์สิ่งต่างๆ เช่น ยอดขายในอนาคต ความ
ตอ้ งการสินค้าคงคลงั หรอื แนวโนม้ ของผู้บริโภคได้

วธิ ีการใชโ้ ปรแกรมไมโครซอฟเอกเซลประยกุ ต์ใช้ในการพยากรณ์
1) ให้ใสช่ ดุ ข้อมลู สองชดุ ท่ีสอดคลอ้ งกนั ในเวิร์กชีต
2) ชุดข้อมลู ท่ีมีรายการวันที่หรือเวลาสาหรับไทมไ์ ลน์
3) ชุดข้อมลู ที่มคี ่าท่สี อดคล้องกัน
4) ค่าเหล่านจ้ี ะถูกทานายสาหรับวนั ทใ่ี นอนาคต
5) เลือกชุดข้อมลู ท้งั สองชดุ
6) บนแทบ็ ข้อมูล ในกลุ่มการพยากรณ์ ให้คลิกแผ่นงานการพยากรณ์
7) ในกลอ่ ง สร้างเวริ ์กชตี การพยากรณ์ ใหเ้ ลือกแผนภมู ิเส้นหรือแผนภมู ิคอลมั นเ์ พ่อื การ
แสดงภาพของการพยากรณ์
8) ในกลอ่ ง จดุ ส้ินสดุ การพยากรณ์ ให้เลือกวนั ที่สิ้นสุด แล้วคลิก สร้างExcelเวริ ์กชีตใหม่
ที่ประกอบด้วย ทั้งตารางของค่าในอดีตและค่าที่คาดการณ์ไว้

6.6 ประโยชนข์ องการพยากรณ์ความต้องการวตั ถดุ ิบและสนิ ค้า
การพยากรณ์ความต้องการวัตถุดิบและสนิ คา้ สง่ ผลดีต่อการดาเนนิ ธรุ กิจของบรษิ ทั โดยบริษทั จะ

ได้ประโยชนด์ ังต่อไปนี้
6.6.1 สามารถผลิตสนิ คา้ ได้ใกล้เคยี งปริมาณความต้องการของลูกค้ามากขึ้น
6.6.2 สามารถผลิตและชายสินคา้ ตามปริมาณและเวลาท่ีลูกคา้ ต้องการได้อย่างใกลเ้ คียงมากข้ึน
6.6.3 ชว่ ยลดตน้ ทุนการผลติ สนิ ค้าได้ โดยไม่ตอ้ งผลิตสินค้ากอ่ นการสง่ มอบทุกครง้ั ด้วยการลด

เวลาการ Setup เครอื่ งจักร และลดเวลาการใช้เคร่ืองจกั รรวมถึงพนักงานในการผลิตสนิ ค้านอกเวลา
(Over time)

6.6.4 ลดจานวนเครอื่ งจกั รในการผลิตในกรณีท่มี คี าส่งั ซอื้ มากๆหรอื บ่อยๆ
6.6.5 ลดปริมาณสนิ ค้าคงคลังลงได้ ด้วยการเพิ่มรอบการหมุนเวียนสนิ ค้าไดเ้ รว็ ข้ึน รวมถึงทาให้
ตน้ ทนุ การถือครองสินค้าต่าลง

บทที่ 6 เทคนิคการพยากรณ์ความตอ้ งการวัตถุดิบและสนิ คา้ 153

สรปุ

การพยากรณ์แบ่งเป็นการพยากรณ์แบ่งตามช่วงเวลา และการพยากรณ์ตามวิธีการท่ีใช้ใน
การพยากรณ์ซึ่งวิธีหลังแบ่งเป็น 3 วิธี คือ วิธีการใช้วิจารณญาณ วิธีการพยากรณ์สาเหตุ อยู่ในรูป
ของสัมประสิทธ์ิสหสัมพันธ์ และวิธีการพยากรณ์แบบอนุกรมเวลา โดยได้รับอิทธิพลจากแนวโน้ม
ฤดกู าล วฎั จักร และเหตกุ ารณผ์ ดิ ปกติ การใชอ้ นุกรมเวลามี 3 วธิ ี คือ การพยากรณอ์ ย่างงา่ ย การหา
ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ท้ังแบบธรรมดาและแบบถ่วงน้าหนัก และการปรับเรียบด้วยเอ็กซ์โปเนนเชียล การ
หาค่าสัมประสิทธิ์เชิงเรียบ ( ) ที่เหมาะสม ในการคานวณจะได้ค่าพยากรณ์ที่แม่นยา ใกล้เคียงค่า
จริงมากที่สุด การวัดค่าความคลาดเคลอ่ื นมีหลายวิธี คือ Mean Absolute Percent Error (MAPE),
Mean Squared Error (MSE), Mean Absolute Deviation (MAD) ยิ่ง MAD น้อยแสดงว่าการ
พยากรณ์แม่น แต่ถ้ามีค่ามากอาจจะต้องหาค่าสัมประสิทธ์ิมาปรับใหม่อีกครั้งซ่ึงมีวิธีปรับเรียบแบบ
เอ็กซ์โปเนนเชียลด้วยแนวโน้ม หรือการปรับค่าพยากรณ์ด้วยอิทธิพลฤดกู าล นอกจากน้ันยังมีการวัด
ความสัมฤทธ์ิผลของวิธีการพยากรณ์จากสัญญาณติดตาม Tracking Signal ถ้าค่า Tracking Signal
เป็นบวกแสดงวา่ คา่ จริงสงู กว่าค่าพยากรณ์ ถ้าเป็นลบแสดงว่าค่าพยากรณส์ งู กวา่ คา่ จริง คา่ Tracking
Signal ที่แสดงว่าการพยากรณ์แม่นยาท่ีต้องมีค่าเข้าใกล้ศูนย์ ซึ่งการใช้วิธีการพยากรณ์ที่เหมาะสม
1) การพยากรณ์ท่ีดีไม่จาเป็นต้องใช้วิธีท่ีซับซ้อนเสมอไป บางคร้ังวิธีการคานวณอย่างง่ายๆ ก็ให้ผล
การพยากรณ์ที่แม่นยาได้ 2) ไม่มีการพยากรณ์วิธีใดวิธีเดียวที่เหมาะสมกับสินค้าและบริการทุกชนิด
ได้ 3) ปัจจุบันมีการใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์สาเร็จรูปเพื่อการพยากรณ์ ซึ่งสามารถคานวณได้ไม่
ผิดพลาดและแมน่ ยา

154 การจัดการการจดั หาและการจัดซือ้

คาถามท้ายบทที่ 6

1. ใหน้ ักศึกษาอธิบายความหมายของการพยากรณ์ มาพอเขา้ ใจ
2. การพยากรณค์ วามตอ้ งการ ท่ีแมน่ ยา สาคญั ต่อการวางแผนการจดั การการผลติ และการ

จดั การสนิ ค้าคงคลงั ทั้งหมดอย่างไร
3. ใหน้ ักศึกษาอธิบายการพยากรณต์ ามกรอบเวลา คือ การพยากรณ์ระยะสนั้ การพยากรณ์

ระยะปานกลาง และการพยากรณร์ ะยะยาว วา่ เป็นอย่างไร
4. ให้นกั ศึกษาอธบิ ายการพยากรณแ์ บง่ ตามพฤตกิ รรมความต้องการ มาพอเขา้ ใจ
5. วิธีการทีใ่ ช้ในการพยากรณ์ (Forecast Method) มกี ่ีวธิ ี อะไรบา้ ง อธิบายมาโดยละเอยี ด
6. ประโยชน์ของการพยากรณ์ความต้องการวตั ถดุ บิ และสนิ ค้ามีอะไรบา้ ง
7. ให้นักศกึ ษาวิเคราะหข์ ้อมลู จากตารางข้างล่างน้ี

ปี 1 2 3 4 5
ยอดขาย (ลา้ นบาท) 10.80 11.90 11.00 12.20 13.00

7.1 จากข้อมูลด้านการขายของ 5 ปีท่ีผ่านมาดังต่อไปน้ี ให้นักศึกษาพยากรณ์โดยวิธี Least
Square ปริมาณการขายในปถี ดั ไป กาหนดให้ต้นทนุ โลจสิ ตกิ สข์ องทุกปี 2 ล้านบาท

7.2 ถ้าตั้งงบประมาณต้นทุนโลจิสติกส์ของปีที่ 6 ไว้ท่ี 1.75 ล้านบาท จะพยากรณ์ยอดขาย
ได้เปน็ เงินเท่าไหร่

7.3 จงหายอดขายเมอื่ มีงบประมาณตน้ ทุนโลจสิ ตกิ ส์ 1.75 ล้านบาท ในระดับความเชื่อมั่นท่ี
99.7%

7.4 ใหห้ าคา่ สมั ประสทิ ธิส์ หสมั พันธ์ จากการวเิ คราะห์ข้อมูลขา้ งตน้
8. จากข้อมลู ของแตล่ ะเดอื นของยอดขายดังแสดงในตารางตอ่ ไปนี้

เดอื น 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12
ยอดขาย (ล้านบาท) 10 12 13 16 19 23 26 30 28 18 16 14

8.1 ใหพ้ ยากรณย์ อดขายโดยหาคา่ เฉล่ยี เคล่ือนที่ 3 เดอื น และ 4 เดอื นจากข้อมลู ข้างต้น
และพยากรณ์การขายในเดือนมกราคมของปีถดั ไป

8.2 จงพยากรณ์การขายของเดือนถัดไป โดยใช้ข้อมูล 4 เดือนย้อนหลัง เพ่ือหาค่าเฉลี่ย
เคลื่อนท่ีแบบถ่วงน้าหนัก โดยมีการกาหนดให้ความสาคัญของข้อมูลเดือนก่อนหน้ามี

บทท่ี 6 เทคนิคการพยากรณค์ วามตอ้ งการวตั ถดุ บิ และสินคา้ 155

น้าหนัก 5, ของสองเดือนก่อนมีน้าหนัก 3, สามเดือนก่อนมีน้าหนัก 1 , และสี่เดือน

กอ่ นมนี า้ หนกั 0 ตามลาดบั และให้พยากรณ์การขายของเดือนมกราคมของปถี ัดไปดว้ ย

8.3 จงหาคา่ พยากรณ์แบบเอ็กซ์โปเนนเชียลจากข้อมลู ในตาราง โดยใช้คา่  = 0.10 และ

= 0.50 และยอดขายเดือนที่ 1 เทา่ กบั 9 ลา้ นบาท

8.4 จากข้อมูลข้างต้น จงคานวณค่า MAD เพื่อพิจารณาว่าค่า  ท่ีเหมาะสมคือค่า 0.1

หรือ 0.5 และยอดขายเดอื นท่ี 1 เทา่ กับ 9 ลา้ นบาท

8.5 ข้อดขี องการปรับเรยี บแบบเอ็กซ์โปเนนเชยี ลมีอะไรบ้าง

8.6 จงบอกขอ้ จากัดของการปรบั เรียบแบบเอก็ ซ์โปเนนเชยี ล

8.7 จงหาค่าเฉล่ียแบบปรบั เรียบแบบเอ็กซโ์ ปเนนเชยี ลดว้ ยแนวโนม้ เมื่อ = 0.2,  =

0.4 โดยใช้ข้อมูลจากตารางทก่ี าหนดให้

9. จงหาดชั นฤี ดกู าลจากขอ้ มูลยอดขายดังต่อไปนี้ เพื่อพยากรณ์ยอดขายท่เี หมาะสมของแตล่ ะ

ไตรมาสของปที ี่ 5 ซ่ึงคาดว่าจะมียอดขายรวม 1,000 บาท

ไตรมาส ปที ่ี 1 ปีท่ี 2 ปที ่ี 3 ปที ี่ 4

1 190 370 300 220

2 280 420 310 180

3 270 360 280 190

4 300 430 290 200

10. จงแสดงการวัดคา่ คลาดเคลื่อนของการพยากรณ์ โดยวเิ คราะห์จากตารางทกี่ าหนดให้

เดือน 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12
ยอดขายจรงิ (ลา้ นบาท) 200 135 195 197 310 175 155 130 220 277 235 145
มลู ค่าพยากรณ์ (ล้านบาท) 200 200 187 188 190 245 203 201 187 201 218 221

156 การจดั การการจดั หาและการจัดซ้ือ

เอกสารอ้างอิง

กมลชนก สุทธิวาทนฤพุฒิ,ศลิษา ภมรสถิตย์ และจักรกฤษณ์ ดวงพัสตรา. (2546).การจัดการโซ่
อุปทานและโลจสิ ติกส์.กรงุ เทพฯ: ทอ้ ป.

ก่อเกยี รติ วิริยะกจิ พัฒนา.(2549).โลจสิ ติกส์และโซอ่ ปุ ทาน (พพิ มค์ รัง้ ท่ี 1).กรุงเทพฯ: วังอกั ษร,
กฤช ชาวดอน.(2546). การพยากรณ์อุปสงค์ในห่วงโซ่อุปทานสาหรับการจัดการสินค้าคงคลังท่ี

เหมาะสม วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, วิทยาลัยนวัตกรรม
อดุ มศึกษา,สาขาการบริหารเทคโนโลยี
คานาย อภปิ รัชญาสกลุ . (2553). การจดั การสินค้าคงคลัง. พมิ พค์ รงั้ ที่ 1. กรุงเทพฯ: บริษทั โฟกัส
มเี ดียร์แอนด์พบั ลชิ ชิง่ จากดั .
ฐาปนา บุญหล้า และนงลักษณ์ นิมตรภูวดล. 2555. การจัดการโลจิสติกส์ มิติซัพพลายเชน
(Logistics Management: a Supply Chain Perspective). กรุงเทพ: สานักพิมพ์ซีเอ็ด
ยเู คชน่ั พมิ พค์ รงั้ ท่ี 1
ธนติ โสรัตน์. (2552). คูม่ ือการจัดการคลังสนิ คา้ และการกระจายสนิ คา้ . กรุงเทพฯ: วีเซิรฟ์ โลจิส
ตกิ ส์
พิภพ ลลิตาภรณ์. (2552). การบริหารพัสดุคงคลัง (Inventory Management). กรุงเทพฯ :
สานกั พมิ พ์สมาคมสง่ เสรมิ เทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)
สุโขทยั ธรรมาธริ าช. (2543) ประเภทสินค้าคงคลงั (ออนไลน)์ มหาวิทยาลัยสุโขทยั ธรรมาธริ าช
James และ Jerry (1998) The Warehouse Management Handbook; the second edition
Heizer, J. and Render, B., 2005, Operation Management, 7th ed., Pearson Education
LTD., USA.
Mark, M. Davis, Nicholas, J. Aquilano, and Richard, B. Chase,Fundamentals of
Operations Management, 2003: 610.
Rushton, A. Croucher, P. และ Baker, P. (2551) ค่มู อื การจัดการโลจิสติกส์และการกระจาย
สินค้า. แปลโดย วิทยา สหุ ฤทดารง และคณะ. : สานกั พิมพ์ อี.ไอ.สแควรก์ รงุ เทพมหานคร.
Stock, R.J. and Lambert M.D., (2001). Strategic Logistics Management, 4th ed.,
McGraw-Hill Irwin, Singapore

บทที่ 7 การจัดการคลังสินคา้ และการจัดการสนิ คา้ คงคลังเบื้องตน้ 157

บทที่ 7

การจดั การคลงั สนิ คา้ และการจดั การสินค้าคงคลังเบือ้ งตน้

การจัดการคลงั สินคา้ และการจดั การสนิ คา้ คงคลังเปน็ ปัจจยั สาคญั ในการดาเนินงานส่วนหน่ึง
ของการจดั หาจดั ซื้อ โดยนบั เปน็ องค์ประกอบที่ใหญ่ทส่ี ดุ ของตน้ ทนุ การผลิตของผลติ ภณั ฑห์ ลายชนิด
นอกจากน้ันการมีการจัดการคลังสินค้าและการจัดการสินค้าคงคลังท่ีเพียงพอยังเป็นการตอบสนอง
ความพึงพอใจของลูกค้าได้ทันเวลา จึงเห็นได้ว่าการจัดการคลังสินค้าและการจัดการสินค้าคงคลังมี
ความสาคัญต่อกิจกรรมหลักของธุรกิจเป็นอย่างมาก การจัดการคลังสินค้าและการจัดการสินค้าคง
คลังท่ีมีประสิทธิภาพจึงส่งผลกระทบต่อผลกาไรจากการประกอบการโดยตรงและในปัจจุ บันนี้
มกี ารนาเอาเทคโนโลยีมาจัดการข้อมูลการจัดการคลังสินค้าและการจัดการสินค้าคงคลัง เพื่อให้เกิด
ความถกู ตอ้ ง แม่นยา และทันเวลามากย่ิงขนึ้

การจัดหาจัดซื้อที่ส่งผลต่อสินค้าคงคลังมาและมีสินค้าท่ีมีคุณสมบัติตรงตามความต้องการ
ปริมาณเพียงพอ ราคาเหมาะสม ทันเวลาทต่ี อ้ งการ โดยซ้อื จากซัพพลายเออร์ท่ีไวว้ างใจได้ และนาส่ง
ยังสถานท่ีที่ถูกต้องตามหลักการการจัดซื้อท่ีดีที่สุด เป็นจุดเริ่มต้นของการจัดการคลังสินค้าและ
การจัดการสนิ คา้ คงคลังทด่ี ี ในบทนี้จะอธิบายถงึ ความหมายของการจดั การคลังสินคา้ และการจัดการ
สนิ ค้าคงคลัง รูปแบบของสินคา้ ในคลังสินค้า ต้นทุนในการจัดการคลังสินค้าและการจัดการสินค้าคง
คลัง เทคนิคการจัดการคลังสินค้าและการจัดการสินค้าคงคลัง การจัดหมวดหมู่และบทบาทหน้าที่
ของสินค้า การตรวจนับจานวนสินค้าในสต็อก ระบบการบริหารสินค้าคงคลัง จุดส่ังซื้อใหม่ และ
ประโยชนข์ องการจดั การคลงั สนิ ค้าและการจดั การสนิ ค้าคงคลัง โดยมีรายละเอยี ดดงั ตอ่ ไปนี้

7.1 ความหมายของการจัดการคลงั สินค้าและการจัดการสินค้าคงคลัง
Rushton, A. Croucher, P. และ Baker, P. (2551) การจัดการคลังสินค้า (Warehouse

management) มุ่งเน้นไปท่ีกระบวนการจัดการสถานที่ในการจัดเก็บ ตาหน่งในการจัดเก็บสินค้า
บริเวณท่ีตั้งคลังสินค้า การควบคุม ต้ังแต่การนาสินค้าเข้า (Inbound) จนถึงการนาสินค้าออกจาก
คลงั สินค้า (Outbound) ซึ่งการจดั การคลังสินค้ามีกิจกรรมหลัก ไดแ้ ก่ งานรับสนิ คา้ นาเข้าคลังสนิ ค้า
(Goods Receipt) การตรวจพิสูจน์ทราบสินค้านาเข้าคลังสินค้า (Identify goods) การตรวจแยก
ประเภท (Sorting goods) งานจัดเก็บสินค้า (Put away) งานดูแลรักษาสินค้าภายในคลังสินค้า

158 การจัดการการจดั หาและการจัดซอ้ื

(Holding goods) งานจัดส่งสินค้า (Dispatch goods) การนาสินค้าออกจากท่ีเก็บในคลังสินค้า
(Picking) การจัดส่งสินค้าออกจากคลัง (Shipping) การส่งสินค้าผ่านคลังโดยไม่ต้องนามาเก็บ
ในคลังสินคา้ (Cross docking)

การจัดการสินค้าคงคลัง (Inventory management) เป็นการจัดการส่ิงต่างๆ ที่เก่ียวกับ
รายการสินค้าในคลัง ต้ังแต่รวบรวม จดบันทึกสินค้าเข้าออก การควบคุมให้มีสินค้าคงเหลือ
ในคลงั สนิ ค้าให้มีปรมิ าณทเ่ี หมาะสม มรี ะเบยี บ ไมใ่ หข้ าด และไม่ให้มากเกนิ ไป นอกจากน้ียังคานงึ ถึง
ช่วงเวลา และระยะเวลาในการสั่ง และการนาส่งสินค้า เพื่อให้สินค้าที่มีอยู่ สามารถส่งมอบได้ตรง
ตามความต้องการของผู้บริโภค และมีต้นทุนในการจัดเก็บสินค้าท่ีเหมาะสม ซ่ึงต้นทุนดังกล่าวน้ัน
รวมไปถึงต้นทุนจากค่าใช้จ่ายในการส่ังซื้อ (Ordering Cost) ต้นทุนจากค่าใช้จ่ายในการเก็บรักษา
(Carrying Cost) ต้นทนุ จากคา่ ใชจ้ ่ายเนอ่ื งจากสินค้าขาดแคลน (Shortage Cost หรอื Stock Cost)
และต้นทุนจากค่าใช้จ่ายในการต้ังเคร่ืองจักรใหม่ (Setup Cost) เป็นต้น ดังนั้นการจัดการสินค้า
คงคลังจึงมีเป้าหมายในการสร้างความสมดุลในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน เพ่ือให้ระดับสินค้า
คงคลงั และต้นทุนในการจัดเก็บสนิ ค้าอยู่ในระดบั ทป่ี ระหยัด โดยไมก่ ระทบต่อระดบั การให้บริการ

จากข้อมูลข้างต้นสรุปสรุปได้ว่าการบริหารจัดการคลังสินค้าและสินค้าคงคลัง จึงถือเป็นอีก
กิจกรรมท่ีสาคัญของกระบวนการโลจิสติกส์ ถึงแม้จะมีกระบวนการทางานที่ต่างกัน โดยการจัดการ
คลังสินค้ามุ่งเน้นไปที่กระบวนการจัดเก็บสนิ ค้าภายในตั้งแต่รับเข้า จดั เก็บและส่งออกจากคลังสินค้า
ส่วนการจัดการสินค้าคงคลังมุ่งเน้นไปที่การไหลของสินค้าท่ีจะจัดเก็บโดยมีปริมาณการจัดเก็บ
ท่ีเพียงพอเหมาะสม เพ่ือประหยัดต้นทุนในการจัดเก็บสินค้าในคลัง แต่ทั้ง 2 ส่วนนี้มีบางส่วน
ที่เก่ียวข้องกัน และครอบคลุมถึงกัน ดังน้ันการบริหารจัดการคลังสินค้าและสินค้าคงคลังท่ีดีและ
สอดคล้องกันจะช่วยบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานรวมถึงส่งผลให้มีประสิทธิภาพ ประสิทธิผลต่อ
การจดั หาจดั ซอื้ และสรา้ งความพงึ พอใจใหแ้ กผ่ ูบ้ ริโภค

7.2 รูปแบบของสินคา้ ในคลังสนิ คา้
โดยท่ัวไปกิจการจะเก็บสินค้าคงคลังไว้ในระดับที่เหมาะสม หากกิจการเกบ็ ไว้มากเกินความ

จาเปน็ ก็จะทาให้เกิดการสูญเสยี ในรปู ดอกเบย้ี ค่าเกบ็ รกั ษา การเสือ่ มค่าและค่าดูแลอน่ื ๆ ทั้งน้ีก็เพ่ือ
มีให้ทันทีเมื่อยามต้องการตรงกันข้ามหากกิจการมีสินค้าคงคลังน้อยไปไม่พอกับความต้องการก็จะ
เกิดความเสียหายข้ึนต่อกิจการ การผลิตอาจจะหยุดชะงักลง ลูกค้าขาดความน่าเช่ือถือ โอกาส
ยอดขายท่ีหายไป ประเภทของสินค้าท่ีอยู่ใคลังสินค้าแบ่งออกเป็น 5 ประเภท (สุโขทัยธรรมาธิราช,
2543 : 226) ดงั นี้

บทท่ี 7 การจดั การคลังสนิ ค้าและการจดั การสินค้าคงคลังเบ้ืองต้น 159

(1) วัตถุดิบ (Raw Materials) เป็นส่ิงของท่ีกิจการซ้ือมาเพื่อป้อนเข้าสู่กระบวนการผลิต
สาหรับผลิตเป็นสนิ คา้ สาเร็จรูป

(2) ชิ้นส่วน (Assembly) เป็นช้ินส่วนที่กิจการซ้ือมาหรือผลิตข้ึนเพ่ือนาไปผลิตต่อเป็น
สินคา้ สาเรจ็ รปู ต่อไปหรือเปน็ ช้ินสว่ นประกอบทเ่ี ปน็ สว่ นหนงึ่ ของสนิ ค้าสาเรจ็ รูป

(3) วัสดุสิ้นเปลือง (Supplies) เป็นวัสดุท่ีกิจการมีไว้ใช้ในการดาเนินการผลิตที่ได้เป็นส่วน
สาคัญของสนิ ค้าสาเร็จรูปต่อไป เชน่ ดา้ ย กระดุม กระดาษ ปากกา เป็นตน้

(4) สินค้าระหว่างการผลิต (Work in Process) เป็นวัตถุดิบและช้ินส่วนต่าง ๆ ท่ีอยู่
ระหวา่ งขน้ั ตอนการผลติ ต่าง ๆ

(5) สินค้าสาเร็จรูป (Finished Goods) เป็นสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ที่ผลิตเสร็จแล้วพร้อมจะ
จาหน่ายแก่ลูกค้าต่อไป แต่ในบางธุรกิจอาจจะแบ่งประเภทของสินค้าคงคลัง (Type of inventory)
ออกเป็น 4 ประเภท คือ

(5.1) สินค้าประเภทเบ็ดเตล็ด (odds and ends) สินค้าประเภทเบ็ดเตล็ด หมายถึง
วัตถุดิบประเภทช่วยเหลือให้การผลิตดาเนินไปได้ เช่น อุปกรณ์ สานักงาน น้ามัน เช้ือเพลิง เป็นต้น
ชน้ิ สว่ นสินค้าคงคลงั ประเภทเบ็ดเตลด็ นี้ จะไม่เปน็ ส่วนหนึง่ ของสนิ คา้ สาเรจ็ รูป

(5.2) สินค้าประเภทวัตถุดิบและอะไหล่ (Raw material or Spare parts) สินค้า
ประเภทนี้ ได้แก่ ช้ินส่วนหรือส่วนประกอบท่ีเป็นส่วนหนึ่งของสินค้าสาเร็จรูป เช่น น๊อต หัวเทียน
ทจี่ ะใสร่ ถยนต์ เหล็กจะนามาผลิตเป็นตัวถังรถยนต์ หินปนู ทีจ่ ะนาผลิตปนู ซีเมนต์ เปน็ ต้น

(5.3) สินค้าประเภทก่ึงสาเร็จรูป สินค้าก่ึงสาเร็จรูป (Work in process inventory)
หมายถึง วัสดุที่ผ่านจากวัตถุดิบมาแล้ว แต่ยังไม่เป็นสินค้าสาเร็จรูป เช่น เครื่องเคลือบดินเผาท่ีผ่าน
การเผามาคร้ังหนึ่งแล้วยังต้องนามาเขียนสีก่อน จะต้องเก็บในกระบวนการผลิต แล้วจึงนาไปเผา
เคลอื บเปน็ สินคา้ สาเรจ็ รูป ปูนอดั เมด็ เป็นต้น

(5.4) สินคา้ ประเภทสาเร็จรปู สินค้าสาเร็จรูป (Readymade or Finished products)
หมายถึง สินค้าท่ีสมบูรณ์เรียบร้อย แล้วนาไปเก็บในคลังสินค้าเพ่ือรอจาหน่ายกลายเป็นสินค้า
ประเภทสาเรจ็ รูป รถยนต์ มาม่า ผงชูรส เปน็ ต้น

สรุปได้ว่า กิจการจัดเก็บสินค้าในรูปแบบใดก็ตาม ถ้าธุรกิจมีสินค้าคงคลังน้อยเกินไป ก็อาจ
ประสบปัญหาสินค้าขาดแคลนไม่เพียงพอ (Stock out) สูญเสียโอกาสในการขายสินค้าให้แก่ ลูกค้า
เป็นการเปิดช่องให้แก่คู่แข่งขัน และก็อาจต้องสูญเสียลูกค้าไปในที่สุด นอกจากนี้ถ้าส่ิงท่ี ขาดแคลน
นั้นเป็นวัตถุดิบท่ีสาคัญ การดาเนินงานท้ังการผลิตและการขายก็อาจต้องหยุดชะงัก ซึง่ อาจส่งผลต่อ

160 การจดั การการจดั หาและการจดั ซ้อื

ภาพลักษณข์ องธุรกิจในอนาคตได้ ดงั น้ันจงึ เป็นหน้าท่ขี องผปู้ ระกอบการในการจัดการคลังสินค้าและ
การจัดการสินค้าคงคลังของตนเองให้อยู่ในระดับท่ีเหมาะสม ไม่มาก หรือน้อยจนเกินไป เพราะ
การลงทุนในสินค้าคงคลังต้องใช้เงินจานวนมาก และอาจส่งผลกระทบถึงสภาพคล่องของธุรกิจได้
หากไม่มสี ินค้าคงคลงั การผลิตอาจจะไม่ราบร่ืน โดยท่ัวไปฝ่ายขายค่อนข้างพอใจ หากมีสินคา้ คงคลัง
จานวนมากๆ เพราะให้ความรู้สึกม่ันใจว่าอย่างไรก็มีสินค้าให้พอขาย แต่หน้าที่ของสินค้าคงคลังคือ
รกั ษาความสมดลุ ระหวา่ งอุปสงค์และอปุ ทาน ทาให้เกิดการประหยดั ตอ่ ขนาด (Economy of Scale)
เพราะการส่งั ซือ้ จานวนมาก ๆ เป็นการลดตน้ ทนุ และคลงั สนิ ค้าชว่ ยเกบ็ สินคา้ ปรมิ าณมากนัน้

7.3 ต้นทุนในการจัดการคลังสินคา้ และการจดั การสนิ คา้ คงคลงั
(Lambert และ Stock, 2001) เป้าหมายที่สาคัญของการจัดการโลจิสติกส์คือการทาให้

ต้นทุนรวมด้านโลจิสติกส์ต่าที่สุดคือ ต้นทุนต่างๆทางด้านโลจิสติกส์รวมกันแล้วมีค่าต่าสุดสาหรับ
ระดับบริการลูกค้าที่กาหนดไว้ ซ่ึงต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าคงคลังมีผลกระทบโดยตรงไม่เฉพาะ
ต่อจานวนสินค้าคงคลังที่กิจการต้องมีไว้เท่าน้ัน แต่ยังมีผลกระทบต่อนโยบายด้านโลจิสติกส์ท้ังหมด
รวมถงึ เรือ่ งของสินคา้ ขาดมอื และตน้ ทุนท่ีเก่ียวข้องกบั การใหบ้ รกิ ารลกู คา้ ด้วย

ต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าคงคลังจะถูกชดเชยกับต้นทุนด้านโลจิสติกส์ตัวอ่ืน ๆ
เช่น ต้นทุนการขนส่งและต้นทุนการให้บริการลูกค้า ถ้ากิจการ 2 กิจการมีระดับการให้บริการลูกค้า
เท่ากัน แต่กิจการท่ีมีต้นทุนในการเก็บสินค้าคงคลังต่ากว่าจะสามารถถือสินค้าคงคลังไว้ได้มากกว่า
ทาให้สามารถสง่ สินค้าในสต็อกใหล้ ูกคา้ ไดม้ ากกว่าเมอ่ื ลูกค้าส่งั ซอื้ นอกจากนน้ั ยงั ทาให้สามารถเลือก
หมวดของพาหนะท่ีใช้ในการขนส่งท่ีมีความเร็วต่าและต้นทุนต่า เช่น รถไฟเพ่ือทาให้ต้นทุนรวม
ด้านโลจิสตสิ ์ตา่ สุดได้ ส่วนกิจการท่ีมีต้นทุนในการเก็บสินคา้ คงคลงั สูงจะเก็บสินค้าคงคลังได้นอ้ ยเมื่อ
มลี ูกค้าส่ังสินค้าเข้ามาอาจจะไม่มีสินค้าอยู่ในสต็อกทาให้ต้องมีการเร่งผลิต นอกจากนั้นยังต้องเลือก
พาหนะในการขนส่งท่ีมีความรวดเร็วแต่มีต้นทุนสูง เช่น รถบรรทุก เครื่องบินฯลฯ เพ่ือให้สามารถ
ให้บริการลูกค้าได้ตามระดับที่กาหนดต่างๆ เพ่ือทาให้ต้นทุนรวมด้านโลจิสติกส์ต่าที่สุด ความรู้
ทางด้านต้นทุนในการเก็บสินค้าคงคลังจะช่วยในการกาหนดนโยบายด้านต่างๆ ได้ เช่น ปริมาณ
การผลิตที่ก่อให้เกิดการประหยัด ปริมาณการส่ังซื้อท่ีเกิดการประหยัด ส่วนลดจากการส่ังซ้ือ

ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลังประกอบด้วยต้นทุนย่อยต่างๆ ท่ีเกิดข้ึนจากการเก็บสินค้า
คงคลังจานวนหนึ่งไว้และตน้ ทุนในการเก็บรักษาสินค้าคงคลังเป็นต้นทุนท่ีสูงตัวหน่ึงในบรรดาต้นทุน
ด้านโลจิสติกส์ (Logistics Cost) ซึ่งการท่ีต้นทุนการเก็บสินค้าคงคลังมีผลกระทบอย่างมากต่อ
ระบบโลจิสติกส์ทาให้การคานวณต้นทุนที่ถูกต้องของการเก็บรักษาสินค้าคงคลังเป็นสิ่งท่ีจาเป็น

บทท่ี 7 การจดั การคลงั สินค้าและการจัดการสนิ คา้ คงคลงั เบอื้ งตน้ 161

บางกิจการไม่เคยคานวณต้นทุนทแ่ี ท้จริงในส่วนน้ีเลยหรือเพียงรับรู้ว่าต้นทุนนี้มีอยู่จริงซ่ึงเป็นต้นทุน
จานวนไมน่ ้อย ดังนนั้ เมอื่ เวลาทก่ี ิจการเหล่านี้คานวณต้นทุนของเงินทนุ ทใ่ี ช้ในในการเกบ็ รักษาสนิ ค้า
คงคลังจะใช้อัตราดอกเบ้ียในปัจจุบันบวกกับค่าใช้จ่ายต่างๆ เช่น ค่าประกันภัย ภาษี ฯลฯ ทั้งนี้
การประมาณต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลังในกิจการของตนโดยใช้ตัวเลขจากตาราหรือตัวเลข
เฉลยี่ ของอตุ สาหกรรมซึ่งการใชแ้ นวทางต่างๆ เหลา่ น้ที าให้เกิดปัญหาขึ้นมา

เนื่องจากแต่ละกิจการอยู่ในสถานการณ์ท่ีแตกต่างกันดังน้ันควรจะพิจารณาต้นทุนด้าน
โลจิส ติกส์ท่ีเกิดขึ้นในกิจการของตนและพยายามที่จะทาให้ต้นทุนส่วนน้ีต่าท่ีสุดโดยสามารถรักษา
วัตถุประสงค์ของการให้บริการลูกค้าไว้ ซ่ึงส่วนประกอบต่างๆ ของต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าคง
คลังซึ่งสามารถจาแนกได้เป็น 4 ประเภทดังน้ี (Douglas, 1975)

7.3.1 ตน้ ทุนของเงนิ ทุน (Capital Costs)
การถือสินค้าคงคลังไว้ทาให้เงินทุนส่วนหนึ่งต้องจมอยู่กับสินค้าโดยท่ีไม่สามารถนา

เงินทุนจานวนนั้นไปใช้ในกิจกรรมอื่นได้ซึ่งเงินทุนส่วนน้ีถือเป็นค่าเสียโอกาสของเงินทุน
(Opportunity Cost of Capital) โดยเงินทุนส่วนน้ีอาจจะมาจากแหล่งเงินทุนภายในกิจการหรือ
ภายนอกกิจการ เช่น เงินกู้ยืมธนาคาร เงินทุนท่ีได้จากการออกหุ้นสามัญ เป็นต้น ซึ่งอัตราท่ีใช้
พิจารณาสาหรับค่าเสียโอกาสดังกล่าวควรเป็นอัตราที่สะท้อนต้นทุนของเงิน (Cost of Money)
ทก่ี ิจการลงทุนไปในสินค้าคงคลัง ดังน้ันแต่ละกิจการจะต้องพจิ ารณาอัตราท่ีเหมาะสมควรเป็นเทา่ ใด
และการเก็บสินค้าคงคลังไว้เป็นจานวนมากเกินไปจะไม่ก่อให้เกิดมูลค่าเพ่ิมให้แก่กิจการแต่อย่างใด
ในการพิจารณาอัตราผลตอบแทนของเงินทุนที่ต้องการ บางกิจการใช้วิธีจาแนกโครงการตาม
ความเสีย่ งและพจิ ารณาผลตอบแทนทค่ี วรไดร้ บั ตามความเส่ยี งนน้ั เชน่ การแบง่ โครงการเปน็ 3 กลุม่

(1) กลุ่มที่มีความเส่ียงมาก เช่น การลงทุนในผลิตภัณฑ์ใหม่หรือเทคโนโลยีใหม่ควรมี
อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 25% ดังนั้นการลงทุนในสนิ ค้าคงคลงั ท่ีเป็นผลิตภัณฑใ์ หม่
น้คี วรจะมอี ัตราผลตอบแทนจากการลงทนุ ที่ไม่ต่ากวา่ 25% เช่นกนั

(2) กล่มุ ที่มคี วามเสี่ยงปานกลาง ควรมีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนประมาณ 18%
(3) กลุ่มที่มีความเสี่ยงน้อย เช่น การสร้างคลังสินค้า การซื้อรถบรรทุก หรือการเก็บ
รักษาสนิ ค้าคงคลังที่ไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ท่ีออกใหม่ควรจะไดร้ ับผลตอบแทนจากการลงทนุ ประมาณ 10%
ในการผลิตสินค้าบางอย่าง เช่น สินค้าเกษตรแปรรูป ทาให้ต้องมีการสะสมวัตถุดิบคงคลัง
ตามฤดกู าลไว้ส่วนหนึง่ เพอื่ ไวผ้ ลติ ในช่วงท่ีว่างจากการเก็บเกี่ยวหรือมีผลติ สินค้าสาเร็จรปู จานวนมาก
ในช่วงใดช่วงหน่ึงเพ่ือเกบ็ ไว้ขายตลอดท้งั ปี ดงั นั้นต้นทุนท่ีเกิดจากการสะสมวตั ถุดบิ หรือสินค้าคงคลัง

162 การจัดการการจัดหาและการจดั ซื้อ

ในช่วงเหล่าน้ีตลอดจนเงินทุนท่ีได้ไปกูย้ ืมมาเพ่ือลงทุนในสินค้าคงคลังส่วนน้ีถอื เป็นต้นทนุ ของเงินทุน
สาหรับกิจการประเภทเชน่ กนั

โดยท่ัวไป การคานวณต้นทุนของเงินทุนในการเก็บรักษาสินค้าคงคลังของกิจการที่ผลิตสินค้า
จะคานวณจากต้นทุนที่เกี่ยวกับการเก็บรกั ษาสินค้าคงคลังตลอดจนคา่ ใช้จ่ายต่างๆ ในการท่ีจะทาให้
สินค้าคงคลังอยู่ในสภาพพร้อมจาหน่าย ในกรณีของผู้ค้าส่งหรือผู้ค้าปลีก ต้นทุนส่วนนี้คือต้นทุน
ของเงินสดส่วนท่ีใช้ไปในการซื้อสินค้าใหม่เข้ามาเก็บในคลังสินค้าซึ่งรวมท้ังต้นทุนในการขนส่งและ
ราคาตลาดของสินค้าในปัจจุบันถ้าสินค้าได้มีการจาหน่ายออกไป สิ่งที่สาคัญในการพิจารณาต้นทุน
สว่ นนี้คือจะต้องทราบว่ากิจการนั้นใช้การคานวณต้นทุนจากวิธตี ้นทุนทางตรงหรือวิธีต้นทนุ ทางอ้อม

(1) วิธตี ้นทุนทางตรง (Direct Costing) เป็นวิธีการทางบัญชีต้นทุนที่มีการแบง่ สว่ นประกอบ
ของต้นทุนออกเป็นต้นทุนคงที่และต้นทุนแปรผันได้ ซึ่งวิธีน้ีช่วยให้ฝ่ายจัดการสามารถใช้ประโยชน์
ในการวางแผนและการควบคุมได้มากกว่าตัวเลขต้นทุนรวมในงบการเงินที่เผยแพร่แก่บุคคล
ท่ัวไป การใช้วิธีต้นทุนทางตรงทาให้มีการแยกต้นทุนคงท่ีจากการผลิตออกไปจากต้นทุนของสินค้า
คลัง ดังนั้นมูลค่าของสินค้าคงคลังที่เหลืออยู่จะสะท้อนต้นทุนแปรผันได้ท่ีเกิดข้ึนจากสินค้าคงคลัง
ส่วนนัน้ จรงิ ๆ

(2) วิธตี น้ ทนุ ทางออ้ ม (Absorption Costing) หรอื เรยี กว่าวิธีต้นทนุ เต็ม (Full Costing) เป็น
วิธีการคิดต้นทุนแบบดั้งเดิมท่ีผู้ผลิตส่วนใหญ่นิยมใช้จะรวมค่าใช้จ่ายโรงงานคงท่ี (Fixed
Manufacturing Overhead) ไว้ในมลู คา่ ของสินคา้ คงคลงั ดว้ ย

ในการแบ่งแยกวธิ ีการคดิ ตน้ ทนุ ทางตรงและทางอ้อมแลว้ กิจการยังต้องพจิ ารณาในมูลค่า
ของสินค้าคงคลังตามวิธีต้นทุนจริง (Actual Costs) หรือวิธีต้นทุนมาตรฐาน (Standard Costs)
ซึ่งแบง่ วิธกี ารคิดตน้ ทุนสินค้าคงคลังเป็น 4 ประเภท ดงั นี้

(ก) วธิ ตี ้นทนุ ทางอ้อมโดยใชต้ น้ ทุนจริง (Actual Absorption Costing) ซึง่ รวมต้นทุน
ท่ีเกิดข้ึนจริงของวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงาน ตลอดจนค่าใช้จ่ายโรงงานท่ีได้กาหนดไว้ล่วงหน้า
(Predetermined Overhead) ท้งั สว่ นที่เปน็ ตน้ ทุนคงที่และต้นทนุ แปรผันได้

(ข) วิธีต้นทุนทางอ้อมโดยใช้ต้นทุนมาตรฐาน (Standard Absorption Costing)
ซึ่งรวมต้นทุนของวัตถุดิบและค่าจ้างท่ีกาหนดไว้ล่วงหน้า (Predetermined Costs) ตลอดจน
คา่ ใช้จา่ ยโรงงานท่ไี ดก้ าหนดไวล้ ว่ งหนา้ ทงั้ สว่ นที่เปน็ ตน้ ทนุ คงที่และต้นทนุ แปรผนั ได้

บทท่ี 7 การจดั การคลงั สนิ คา้ และการจัดการสินคา้ คงคลงั เบอ้ื งต้น 163

ค) วิธีต้นทุนทางตรงโดยใช้ต้นทุนจริง (Actual Direct Costing) ซ่ึงรวมต้นทุนท่ี
เกิดขน้ึ จริงของวตั ถดุ ิบและคา่ จ้างแรงงาน ตลอดจนค่าใช้จ่ายในโรงงานทไ่ี ดก้ าหนดไว้ลว่ งหนา้ เฉพาะ
สว่ นทีเ่ ป็นต้นทนุ แปรผนั ไดเ้ ท่านั้น

ง) วิธีต้นทนุ ทางตรงโดยใช้ตน้ ทุนมาตรฐาน (Standard Direct Costing) ซึ่งรวมต้นทุน
ของวัตถุดิบและค่าจ้างแรงงานท่ีกาหนดไว้ล่วงหน้าตลอดจนค่าใช้จ่ายโรงงานที่ได้กาหนดไว้ล่วงหน้า
เฉพาะส่วนทีเ่ ปน็ ตน้ ทุนแปรผันได้เทา่ นนั้

นอกจากการบันทึกต้นทุนสินค้าคงคลัง 4 วิธีข้างต้น ในการคานวณมูลค่าสินค้า
คงคลงั ปลายงวดบางกิจการใช้วิธีการทางบญั ชีเพ่อื ประโยชนท์ างภาษี ดงั นี้

- วิธีเข้าก่อนออกก่อน (First-in, First-out หรือ FIFO) วิธีน้ีจะนาสินค้าได้รับมา
ก่อนออกไปใช้หรือจาหน่ายก่อนซึ่งทาให้สินค้าคงคลังที่มีอยู่เป็นสินค้าที่ได้รับ
ในช่วงหลงั ๆ

- วิธีเข้าทีหลังออกก่อน (Last-in, First-out หรือ LIFO) วิธีนี้จะนาสินค้าท่ีได้รับ
มาหลังสุดออกไปใช้หรือจาหน่ายก่อนซ่ึงทาให้สินค้าคงคลังที่มีอยู่เป็นสินค้า
ทไี่ ดร้ บั ในช่วงแรกๆ

- วิธีต้นทุนเฉลี่ย (Average Cost) วิธีนี้คล้ายกับวิธีค่าถัวเฉล่ียเคล่ือนที่ (Moving
Average) คอื ทุกครั้งท่ีมีการรับสินค้าใหม่เข้ามาจะนาราคาของสินค้าใหม่มาถัว
เฉล่ียกบั ราคาสินคา้ เก่าทมี่ ีอยู่หรอื หาต้นทุนเฉลี่ยโดยนาตน้ ทุนท้ังหมดของสินค้า
คงคลงั ต้นงวดมารวมกับสนิ คา้ ท่ีได้ซอ้ื มาหารด้วยจานวนสนิ คา้ ท้ังหมด

ท้งั นี้ไม่ว่ากิจการจะใช้วิธีการทางบัญชีสาหรับสินค้าคงคลังแบบใดในการหามูลค่าของสินค้า
คงคลังเพื่อคานวณต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้าคงคลังน้ันสามารถทาได้ด้วยการคูณจานวนสินค้า
คงคลังกับต้นทุนในการผลิตหรือในการสั่งซ้ือแปรผันได้ (ต้นทุนจริงหรือต้นทุนมาตรฐาน) ซ่ึงจะ
ประกอบด้วยค่าวัตถุดิบทางตรง ค่าแรงทางตรง ค่าใช้จ่ายโรงงานแปรผันได้ และค่าใช้จ่ายใน
การขนส่งสินค้าคงคลงั ไปยังสถานที่เกบ็ รักษา ในกรณีท่ตี ้องมีการขนถา่ ยสินค้าไปไวท้ ่ีคลังสินค้าตาม
พ้ืนที่ต่าง ๆ ค่าใช้จ่ายในการขนส่งสินค้าตลอดจนค่าใช้จ่ายในการนาสินค้าเข้าเก็บถือเป็นส่วนหนึ่ง
ของต้นทุนของสินค้าคงคลังด้วย สิ่งท่ีควรคานึงอีกประการหน่ึงคือตัวเลขที่เป็นส่วนประกอบของ
ต้นทุนการเก็บรักษาสินค้าคงคลงั ควรระบุเป็นตวั เลขก่อนหกั ภาษีเพอ่ื ใช้ในการเปรียบเทียบกับต้นทุน
ตัวอืน่ ๆ ในการทาการวเิ คราะห์ต้นทุนชดเชย (Cost Trade-off Analysis)

164 การจัดการการจัดหาและการจัดซือ้

การลงทุนในสินค้าคงคลังเป็นการลงทุนประเภทหนึ่งซึ่งกิจการเสียผลตอบแทนที่ควรจะ
ได้รับจากการลงทุนในส่วนน้ีไปซ่ึงถือเป็นค่าเสียโอกาสของการลงทุนในสินค้าคงคลัง ดังน้ันควร
คานวณถึงต้นทุนของเงินทุนส่วนน้ีที่สูญเสียไป นอกจากนั้นการเปลี่ยนแปลงของปริมาณสินค้า
สาเร็จรูปคงคลังสามารถส่งผลกระทบต่อจานวนสินค้าคงคลังทั้งระบบโลจิสติกส์ ( Logistics
System) เน่ืองจากบทบาทของสินค้าคงคลังในระบบโลจิสติกส์ เม่ือมีการลดหรือเพ่ิมปริมาณสินค้า
สาเร็จรูปคงคลังครั้งหนงึ่ ทาให้ต้องมกี ารลดหรือเพิ่มวตั ถุดิบคงคลังส่วนหน่ึงตามไปด้วย หากมกี ารลด
หรือเพ่ิมปริมาณสินค้าสาเร็จรูปคงคลังครั้งหน่ึงทาให้ต้องมีการลดหรือเพิ่มวัตถุดิบคงคลังส่วนหน่ึง
ตามไปดว้ ย

7.3.2 ตน้ ทุนดา้ นบริการที่เกี่ยวกับสินค้าคงคลงั (Inventory Service Costs)
ต้นทุนด้านบริการที่เก่ียวกับสินค้าคงคลังประกอบด้วยค่าประกันภัยท้ังในด้านอัคคีภัย

และการโจรกรรมทรัพย์สินท่ีเป็นสินค้าคงคลังและภาษีในการถือครองทรัพย์สินส่วนบุคคล
(Personal Property Taxes) ซงึ่ ทรพั ยส์ ินในท่ีนีค้ อื สินค้าคงคลัง ส่วนค่าประกนั ภยั จะไม่แปรผันตาม
ระดับของสินค้าคงคลังมากนัก เน่ืองจากค่าเบ้ียประกันภัยจะคิดจากมูลค่าของสินค้าที่กาหนดไว้
แน่นอนในช่วงระยะเวลาหน่ึง ซึ่งควรมีการแก้ไขกรมธรรม์ประกันภัยเป็นช่วงๆ เมื่อมี
การเปล่ียนแปลงระดับของสินค้าคงคลังเป็นจานวนมาก ดังนั้นการคานวณต้นทุนด้านบริการ
ที่เก่ียวกับสินค้าคงคลังในแต่ละปีจะประมาณตัวเลขโดยใช้ต้นทุนจริงของภาษีและค่าเบี้ยประกันภัย
ทเ่ี กิดขึ้นในรอบปีท่ีผ่านมา โดยคานวณเป็นเปอร์เซ็นต์ของต้นทุนส่วนนี้เมื่อเทียบกับมูลค่าของสินค้า
คงคลัง ในกรณีที่มีการทางบประมาณสาหรับปีต่อไปจะใช้เปอร์เซ็นต์ของต้นทุนส่วนน้ีในปีท่ีผ่านมา
เพ่ือประมาณต้นทุนส่วนนี้ของปีต่อไปเน่ืองจากสัดส่วนของต้นทุนประเภทนี้จะไม่ค่อยเปล่ียนแปลง
มากนกั ในแต่ละปี

7.3.3 ตน้ ทุนการใชพ้ ืน้ ทีเ่ ก็บสนิ คา้
พื้นที่ในการเก็บรักษาสินค้าสามารถแบ่งได้ 4 ประเภท ตามลักษณะของสถานที่ดังน้ี
(1) คลังสินค้าโรงงาน (Plant Warehouse) ต้นทุนของคลังสินค้าที่อยภู่ ายในโรงงานส่วน

ใหญ่จะเป็นต้นทุนคงที่ ในกรณีท่ีมีค่าใช้จ่ายแปรผันได้ ต้นทุนท่ีเกิดข้ึนจะเป็นต้นทุนที่แปรผันตาม
จานวนสินคา้ ท่เี คลื่อนไหวเขา้ ออกจากพ้นื ทน่ี ้ันโดยไม่แปรผันตามจานวนสินคา้ ที่เก็บรักษาไว้ ในกรณี
ที่มีค่าใช้จ่ายแปรผันได้ประเภทอ่ืนซ่ึงแปรผันตามปริมาณสินค้าท่ีเก็บไว้ เช่น ค่าใช้จ่ายในการเก็บ
สนิ ค้า ฯลฯ จะนาค่าใช้จ่ายส่วนนี้ไปรวมกบั ต้นทุนของสินค้าคงคลังแทนโดยไม่นามารวมเป็นต้นทุน
ของคลังสินค้า ทั้งน้ีต้นทุนคลังสินคา้ ในโรงงานยังสามารถประมาณได้จากการพิจารณาว่าถ้ากิจการ

บทที่ 7 การจดั การคลงั สินคา้ และการจดั การสินคา้ คงคลังเบ้อื งต้น 165

ให้เช่าพ้ืนที่ในโรงงานแทนการเก็บรักษาสินค้าคงคลังไว้ กิจการจะมีรายได้จากพื้นท่ีน้ันเท่าใดซ่ึง
เทา่ กบั เปน็ การประมาณตน้ ทนุ ค่าเสียโอกาสของพ้ืนทีน่ ้นั นนั่ เอง

(2) คลังสินค้าสาธารณะ (Public Warehouse) ต้นทุนของการใช้คลังสินค้าสาธารณะ
ประกอบด้วยค่าใชจ้ ่ายในการลาเลียง (Handling Charges) และค่าใชจ้ า่ ยในการเกบ็ สนิ คา้ (Storage
Charges) โดยค่าใช้จ่ายในการลาเลียงข้ึนอยู่กับจานวนสินค้าที่เคลื่อนย้ายเข้าไปเก็บและนาออกไป
จากคลังสินค้า ส่วนค่าใช้จ่ายในการเก็บสินค้าข้ึนอยู่กับจานวนสินค้าคงคลัง ในทางปฏิบัติค่าใช้จ่าย
ในการลาเลียงจะจ่ายทันทีเม่ือมีการเคล่ือนย้ายสินค้า ส่วนค่าใช้จ่ายในการเก็บสินค้าจะเก็บเป็น
รายงวด การตัดสินในใช้คลังสินค้าสาธารณะเกิดข้ึนเมื่อเห็นว่าเป็นทางเลือกท่ีประหยัดที่สุดโดย
สามารถให้บริการลูกค้าในระดับท่ีต้องการได้และไม่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายในการขนส่งที่มากเกินไป
ทาให้ค่าใช้จ่ายในการลาเลียงสินค้าซ่ึงเป็นค่าใช้จ่ายส่วนใหญ่ของการใช้คลังสินค้าสา ธารณะ
ควรจัดเป็นต้นทุนของคลังสินค้ามากกว่าจะเป็นต้นทุนของสินค้าคงคลังเน่ืองจากค่าใช้จ่ายส่วนนี้คิด
ตามปริมาณสินค้าที่ลาเลียงเข้าและออกจากคลังสินค้า ในกรณีที่ค่าใช้จ่ายในการลาเลียงสินค้าคิด
ตามปรมิ าณสนิ ค้าคงคลังจึงจะถือว่าค่าใช้จ่ายส่วนน้ีเป็นตน้ ทนุ ของสินค้าคงคลัง สว่ นค่าใช้จ่ายในการ
เก็บสินค้าควรจัดเป็นต้นทุนของสินค้าคงคลังเนื่องจากจะแปรผันไปตามปริมาณสินค้าคงคลัง

(3) คลังสินค้าเชา่ หรือเช่าซ้อื (Rent or Leased (contract) Warehouse) การเช่าหรือ
เช่าซื้อคลังสินค้าจะมีการทาสัญญาตามท่ีกาหนดไว้ในช่วงใดช่วงหน่ึง ค่าเช่าหรือเช่าซื้อจะไม่ข้ึนลง
ตามจานวนสินค้าคงคลังที่เปล่ียนแปลงไปในแต่ละวัน บางครั้งอาจจะมีการปรับค่าเช่า มีการ
เปลี่ยนแปลงตามกาหนด เช่น รายเดือน รายปี หรือเมื่อต่อสัญญาใหม่ โดยท่ัวไปค่าใช้จ่ายของการ
เช่าหรือเช่าซอื้ คลังสินค้าจะมีท้ังต้นทุนคงท่ีและต้นทุนแปรผนั ได้ ในส่วนของต้นทนุ คงท่ี เช่น ค่าเช่า
จ่ายเงินเดือนผู้บริหาร ต้นทุนในการรักษาความปลอดภัยและค่าใช้จ่ายในการบารุงรักษา ฯลฯ ซ่ึง
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้จะไม่แปรผันตามปริมาณสินค้าคงคลังจึงไม่ควรนามารวมไว้ในต้นทุนการเก็บรักษา
สินค้าคงคลัง ในขณะที่ค่าใช้จ่ายบางตัวจะเป็นต้นทุนที่แปรผันตามจานวนของสินค้า เช่น ค่าจ้าง
แรงงานในคลังสินค้าและต้นทุนในการเดินเครื่องจักร ฯลฯ ซึ่งต้นทุนเหล่าน้ีสามารถนามารวมไว้ใน
ตน้ ทุนการเกบ็ รกั ษาสนิ ค้าคงคลงั

(4) คลังสนิ คา้ ของกิจการ (Company-owned (private) Warehouse) ตน้ ทุนคลังสินค้า
ของกิจการเกิดข้ึนจากการที่กิจการได้ปลูกสร้างคลังสินค้าไว้เพ่ือรองรับสินค้าคงคลังของกิจการ ซึ่ง
ต้นทุนส่วนใหญ่เป็นต้นทุนคงท่ีในขณะที่ต้นทุนส่วนน้อยเป็นต้นทุนแปรผันได้ ในการคานวณต้นทุน

166 การจดั การการจดั หาและการจัดซ้อื

คลังสินค้าของกิจการอาจประมาณได้จากต้นทุนส่วนท่ีคาดว่าจะหายไปในกรณีที่มีการปิดคลังสินค้า
ของกจิ การหรือตน้ ทนุ ที่สามารถประหยดั ได้เม่ือมกี ารไปเช่าคลงั สินค้าสาธารณะเพอื่ เกบ็ สนิ ค้าแทน

7.3.4 ตน้ ทุนความเส่ียงทเ่ี กิดจากสนิ ค้าคงคลัง (Inventory Risk Costs)
ต้นทุนของความเส่ียงท่ีเกิดจากสินค้าคงคลัง หมายถึง ต้นทุนใดๆ ท่ีเกิดจากความเสี่ยง

ในการเกบ็ สินคา้ คงคลังไว้ แบง่ เปน็ 4 ประเภท ดงั นี้
(1) ต้นทุนสินค้าเสื่อม (Obsolescence) ต้นทุนที่เกิดข้ึนเนื่องจากสินค้าไม่สามารถขาย

ได้ในราคาปกติอีกต่อไป ซ่ึงจริงๆแล้วคือต้นทุนที่เกิดจากการถือสินค้าคงคลังน้ันไว้เกินช่วงอายุที่
สามารถใช้ประโยชน์จากผลิตภัณฑ์ (Useful Life) ต้นทุนสินค้าเส่ือมคานวณได้จากผลต่างระหว่าง
ราคาสินค้าปกติลบด้วยมูลค่าซากของสินค้าน้ัน (Salvage Value) หรือราคาเต็มของสินค้าลบด้วย
ราคาทีล่ ดลงไปเพื่อกาจัดสินค้านัน้ ออกไป ทั้งน้ีต้นทุนสินค้าเสอ่ื มจะรวมไว้ในตน้ ทุนสินค้าทผ่ี ลิตหรือ
ตน้ ทนุ สินค้าขายแทนทจ่ี ะแยกออกมาตา่ งหากในงบกาไรขาดทุน

(2) ต้นทุนสินค้าเสียหาย (Damage Costs) ต้นทุนส่วนนี้เป็นต้นทุนของความเสียหาย
ท่ีเกิดข้ึนระหว่างการขนส่งสินค้า ในกรณีที่มีการใช้คลังสินค้าสาธารณะ ค่าเสียหายส่วนนี้สามารถ
ขอคืนได้จากผู้จัดการคลังสินค้าในกรณีที่มีการเสียหายเกินกว่าที่ได้ตกลงกันไว้ซึ่งต้นทุนสินค้า
เสียหายจานวนนี้คอื ตน้ ทนุ สุทธหิ ลังจากท่ขี อคืนเงินได้บางสว่ น

(3) ต้นทุนสินค้าหดหาย (Shrinkage Costs) สินค้าหดหายในที่น้ีรวมท้ังสินค้าสูญหาย
และสินค้าหดตวั เน่ืองจากน้าหนักหรือปริมาตรลดลง สินค้าหดตัวสามารถเกิดได้จากการขนส่งสินค้า
ทางการเกษตร แร่ธาตุ น้ามัน ฯลฯ ซึ่งน้าหนักของสินค้าเหล่านี้ส่วนหนึ่งจะหดตัวไปหรือระเหยไป
ระหว่างการขนสง่

(4) ต้นทุนการย้ายสถานท่ี (Relocation Costs) ต้นทุนของการย้ายสถานที่เกิดข้ึนเมื่อมี
การย้ายสินค้าจากคลังสินค้าแห่งหน่ึงไปยังคลังสินค้าอีกแห่งหนึ่งเพื่อลดปัญหาความเสื่อมของสินค้า
เช่น สินค้าที่มีการขายดีในภาคเหนืออาจจะขายไม่ดีในภาคใต้ ดังน้ันการท่ีกิจการขนย้ายสินค้าจาก
ภาคใต้ไปขายในภาคเหนืออาจจะช่วยลดปัญหาสินค้าเสื่อมลงไปได้ แต่ทาให้เกิดปัญหาด้านค่าขนส่ง
เพ่ิมข้ึน ซึ่งการที่ต้องมีการย้ายสถานที่ของสินค้าท่ีเกิดจากการมีสินค้าคงคลังในที่ใดท่ีหน่ึงมาก
เกินไป ต้นทุนท่ีเกิดข้ึนจึงควรจะถือเป็นต้นทุนในการเก็บรักษาสินค้า ส่วนใหญ่ต้นทุนของการย้าย
สถานท่ีจะไม่มีการระบุแยกต่างหากออกมาแต่จะรวมไว้ในค่าขนส่ง สาหรับค่าใช้จ่ายท่ีเกิดข้ึนจาก
การเคล่ือนยา้ ยสถานท่ีเพื่อป้องกันสนิ ค้าขาดมือนี้จะต้องพิจารณาควบคู่ไปกับตน้ ทุนค่าขนสง่ ต้นทุน
คลงั สินคา้ ตน้ ทนุ ในการเกบ็ รักษาสนิ ค้า รวมทง้ั ต้นทนุ ของการท่ีมสี นิ ค้าขาดมือดว้ ย

บทท่ี 7 การจดั การคลงั สินคา้ และการจัดการสนิ ค้าคงคลงั เบ้อื งตน้ 167

7.4 เทคนคิ การจดั การคลังสินคา้ และการจดั การสนิ คา้ คงคลัง
เทคนคิ การจดั การคลงั สินค้าและการจัดการสนิ ค้าคงคลงั ที่มอี ยู่ 3 วิธคี อื
7.4.1 ระบบสินค้าคงคลังอย่างต่อเน่ือง (Continuous Inventory System หรือ Perpetual

System) เป็นระบบสินค้าคงคลังที่มีวธิ ีการลงบัญชีทกุ คร้ังท่ีมีการรบั และจ่ายของ ทาใหบ้ ัญชีคุมยอด
แสดงยอดคงเหลือท่ีแท้จริงของสินค้าคงคลังอยู่เสมอ ซ่ึงจาเป็นอย่างยิ่งในการควบคุมสินค้าคงคลัง
รายการที่สาคัญท่ีปล่อยให้ขาดมือไม่ได้ แต่ระบบนี้เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายด้านงานเอกสารค่อนข้างสูง
และต้องใช้พนักงานจานวนมากจึงดูแลการรับจ่ายได้ทั่วถึง ในปัจจุบันการนาเอาคอมพิวเตอร์เข้ามา
ประยุกต์ใช้กับงานสานักงานและบัญชีสามารถช่วยแก้ไขปัญหาในข้อนี้ โดยการใช้รหัสแท่ง
(Bar Code) หรือรหัสสากลสาหรับผลิตภัณฑ์ (Universal Product Code หรือ UPC) ปิดบนสินค้า
แล้วใช้เครื่องกราดสัญญาณเลเซอร์อ่านรหัส (Laser Scan) ซึ่งวิธีน้ีนอกจะมีความถูกต้อง แม่นยา
เท่ียงตรงแล้ว ยังสามารถใช้เป็นรากฐานข้อมูลของการบริหารสินค้าคงคลังในกรณีอ่ืน เช่น
การบรหิ ารห่วงโซข่ องสนิ ค้า (Supply Chain Management) ไดอ้ ีกดว้ ย

7.4.2 การจัดการสนิ ค้าคงคลงั เมอ่ื ส้ินงวด
เป็นระบบสินค้าคงคลังที่มีวิธีการลงบัญชีเฉพาะในช่วงเวลาท่ีกาหนดไว้เท่านั้น เช่น

ตรวจนับและลงบัญชีทุกปลายสัปดาห์หรือปลายเดือน เม่อื ของถูกเบิกไปก็จะมีการสั่งซอ้ื เขา้ มาเตมิ ให้
เต็มระดับที่ต้ังไว้ ระบบนี้จะเหมาะสมกับสินค้าที่มีการสั่งซ้ือ และเบิกใช้เป็นช่วงเวลาท่ีแน่นอน เช่น
ร้านขายหนังสือของมหาวิทยาลัยจะมีการสารวจยอดหนังสือเมื่อเปิดเทอมแล้วประมาณ 3 สัปดาห์
เพ่ือดูว่าหนังสือในร้านและโกดังเหลือเท่าใดยอดหนังสือทตี่ ้องเตรียมสาหรบั เทอมหน้าจะเท่ากับยอด
คงเหลือบวกกบั จานวนนกั ศกึ ษาทตี่ อ้ งลงทะเบียนเรยี นโดยประมาณ เป็นตน้

ข้อดีของระบบสินค้าคงคลังแบบตอ่ เนื่อง
- มสี นิ คา้ คงคลงั เผือขาดมือน้อยกวา่
- ใช้จานวนการส่ังซอ้ื คงทซ่ี ง่ึ จะทาให้ไดส้ ่วนลดปริมาณได้ง่าย
- สามารถตรวจสินคา้ คงคลังแต่ละตวั อย่างอิสระ
ข้อดีของระบบสนิ ค้าคงคลงั เม่อื สิ้นงวด
- ใช้เวลาน้อยกว่าและเสยี ค่าใช้จา่ ยในการควบคมุ นอ้ ยกวา่ ระบบต่อเนอื่ ง
- ชว่ ยลดคา่ ใช้จา่ ยเกี่ยวกับเอกสาร ลดค่าใชจ้ า่ ยในการสง่ั ซื้อ และสะดวกตอ่ การตรวจนบั
- คา่ ใชจ้ ่ายในการเก็บขอ้ มูลสนิ คา้ คงคลงั ตา่ กว่า

168 การจัดการการจดั หาและการจัดซ้อื

7.4.3 ระบบการจาแนกสนิ คา้ คงคลงั เปน็ หมวดเอบซี ี (ABC)
ระบบนี้เป็นวิธีการจาแนกสินค้าคงคลังออกเป็นประเภทโดยพิจารณาปริมาณและมูลค่า

ของสินค้าคงคลังแต่ละรายการเป็นเกณฑ์ เพื่อลดภาระในการดูแล ตรวจนับ และควบคุมสินค้า
คงคลังที่มีอยู่มากมายซึ่งถ้าควบคุมทุกรายการอย่างเข้มงวดเท่าเทียมกัน จะเสียเวลาและค่าใช้จ่าย
มากเกินความจาเปน็ เพราะสนิ คา้ คงคลงั ของแต่ละธุรกจิ จะเปน็ ไปตามเกณฑ์ดงั ต่อไปน้ี

(1) รายการท่ีมีมูลค่าสูง (High-Value Items) คือสินค้าคงคลังร้อยละ 15 หรือ 20
ของรายการที่มี มูลค่ารวมถงึ ร้อยละ 70-80 ของค่าใชจ้ า่ ยวสั ดุคงคลังใน 1 ปี

(2) รายการท่ีมีมูลค่าปานกลาง (Medium-Value Items) คือสินค้าคงคลังร้อยละ
30 ถึง 40 ของรายการที่มีมูลค่ารวมประมาณรอ้ ยละ 10-15 ของค่าวัสดุคงคลัง
ใน 1 ปี

(3) รายการท่ีมีมูลค่าต่า (Low- Value Items) คือสินค้าคงคลังร้อยละ 40 ถึง 50
ของรายการท่มี มี ูลคา่ รวม ประมาณรอ้ ยละ 3-5 ของคา่ วสั ดคุ งคลงั ในรอบ 1 ปี

ตารางท่ี 7.1 ตารางแสดงการจาแนกสนิ ค้าคงคลงั เปน็ หมวดเอบีซี (ABC)
ท่ีมา: (Diana, Francisco, Soumaya and Ada, 2017)

กลุ่มสนิ ค้า มลู คา่ ในการใช้ / ส่งั ซ้ือ ปริมาณสนิ ค้าคงคลังทง้ั หมด

A 70 – 80 % แรกของมลู คา่ 15 - 20 %
B 10- 15 % ถัดมาของมูลค่า 30 – 40 %

C 3 – 5 % สดุ ทา้ ยของมูลคา่ 40 - 50 %

การจาแนกสินคา้ คงคลังเปน็ หมวด ABC ทาให้การควบคุมสนิ ค้าคงคลงั โดยมีขัน้ ตอนดงั ต่อไปน้ี
(ก) จัดทาข้อมูลสินคา้ คงคลังโดยมรี ายละเอยี ดเป็นจานวนท่ีส่งั ซ้ือต่อปแี ละราคาต่อหนว่ ยของ
สินคา้ คงคลงั แต่ละชนิด
(ข) คานวณหามลู ค่าในการซอ้ื สินคา้ คงคลังแต่ละชนิดทหี่ มนุ เวียนในรอบปีนัน้
(ค) จดั ดเรียงลาดบั ข้อมลู ตามลาดบั ของมลู คา่ ในการซื้อสินค้าคงคลังจากมากไปหาน้อย
(ง) หาค่าเปอรเ์ ซ็นต์ของจานวนหนว่ ยสะสมในแต่ละชนดิ ของสินค้าคงคลงั มลู ค่าการซอื้ สะสม
(จ) นาเอาค่าเปอร์เซ็นต์มาเขียนกราฟ แล้วแบ่งชนิดของสินค้าคงคลังเป็นชนิด A , B และ C
ตามความเหมาะสม

บทท่ี 7 การจัดการคลงั สินคา้ และการจัดการสินค้าคงคลังเบื้องตน้ 169

ตวั อยา่ งที่ 7.1 จาแนกประเภทสิค้าตามแบบการจัดกล่มุ สนิ ค้า ABC โดยมีรายละเอียดดังตอ่ ไปนี้

ข้ันตอนที่ 1 จัดทาข้อมูลสินค้าคงคลังโดยมีรายละเอียดเป็นจานวนที่สั่งซื้อต่อปีและราคาต่อหน่วย

ของสินคา้ คงคลงั แต่ละชนดิ

รายการสินค้า จานวนท่ีใช้ตอ่ ปี (หนว่ ย) ราคาต่อหน่วย (บาท)

Z111 100 3.00

Z112 350 1.00

Z113 950 2.00

Z114 220 10.00

Z115 500 0.50

Z116 200 5.00

Z117 110 0.25

Z118 400 11.00

Z119 600 0.75

Z120 230 1.20

ขน้ั ตอนท่ี 2 คานวณหามูลคา่ ในการซอ้ื สนิ ค้าคงคลังแตล่ ะชนิดทหี่ มนุ เวียนในรอบปีน้ัน

รายการสินค้า จานวนทใ่ี ชต้ อ่ ปี (หนว่ ย) ราคาตอ่ หน่วย (บาท) มลู ค่ารวม

Z111 100 3.00 300.00
Z112 350 1.00 350.00
Z113 950 2.00 1900.00
Z114 220 10.00 2,200.00
Z115 500 0.50 250.00
Z116 200 5.00 1,000.00
Z117 110 0.25 27.50
Z118 400 11.00 4,400.00
Z119 600 0.75 450.00
Z120 230 1.20 276.00

170 การจดั การการจดั หาและการจัดซื้อ
ขัน้ ตอนที่ 3 จัดเรยี งลาดบั ขอ้ มูลตามลาดบั ของมูลค่าในการซื้อสินค้าคงคลงั จากมากไปหาน้อย

ขั้นตอนที่ 4 หาค่าเปอร์เซ็นต์ร้อยละของจานวนหน่วยสะสมในแต่ละชนิดของสินค้าคงคลังจานวน
มูลค่าการซอื้ สะสม

บทท่ี 7 การจดั การคลงั สินค้าและการจดั การสนิ ค้าคงคลังเบ้อื งต้น 171

ขนั้ ตอนท่ี 5 นาเอาค่าเปอร์เซ็นต์มาเขยี นกราฟ แล้วแบ่งชนดิ ของสินค้าคงคลังเปน็ ชนิด A, B และ C
ตามความเหมาะสม

รายการสินค้า จานวนที่ใชต้ ่อปี (หน่วย) ราคาต่อหน่วย (บาท) มูลค่ารวม รอ้ ยละ รอ้ ยละสะสม กลุ่ม
39.45 39.45 A
Z118 400 11.00 4,400.00 19.72 59.17 A
2,200.00 17.04 76.21 A
Z114 220 10.00 1,900.00 8.97 85.18 B
1,000.00 4.03 89.21 B
Z113 950 2.00 3.14 92.35 B
450.00 2.69 95.04 B
Z116 200 5.00 350.00 2.47 97.51 C
300.00 2.24 99.75 C
Z119 600 0.75 276.00 0.25 100.00 C
250.00
Z112 350 1.00 27.50
11,153.50
Z111 100 3.00

Z120 230 1.20

Z115 500 0.50

Z117 110 0.25

ซึง่ การควบคมุ สินคา้ ในคลังสนิ คา้ มี 3 ระดบั ดังน้ี
(1) ควบคุมอย่างเข้มมาก ด้วยการลงบัญชีอยู่บ่อยๆ (เช่น ทุกสัปดาห์) การควบคุมจึง
ควรใช้ระบบสินค้าคงคลังอย่างต่อเนื่องและต้องเก็บของไว้ในท่ีปลอดภัย ในด้าน
การจดั ซอ้ื กค็ วรหาผู้ขายไวห้ ลายรายเพ่อื ลดความเสียงจากการขาดแคลนสนิ ค้าและ
สามารถเจรจาตอ่ รองราคาได้
(2) ควบคุมอย่างเข้มงวดปานกลาง ด้วยการมีบัญชีคุมยอดบันทึกเสมอเช่นเดียวกับ A
ควรมีการเบิกจ่ายอย่างเป็นระบบเพ่ือป้องกันการสูญหาย การตรวจนับจานวนจริง
ก็ทาเชน่ เดยี วกบั A แตค่ วามถ่นี อ้ ยกว่า เชน่ ทุกสน้ิ เดือน และการควบคุม B จงึ ควร
ใชร้ ะบบสินค้าคงคลังอยา่ งต่อเนื่องเชน่ เดียวกบั A
(3) ไม่มีการจดบันทึกหรือมีก็เพียงเล็กน้อย สินค้าคงคลังประเภทนี้จะวางให้หยิบใช้ได้
ตามสะดวก เนื่องจากเป็นของราคาถูกและมีปริมาณมาก ถ้าทาการควบคุมอย่าง
เข้มงวด จะทาให้มีค่าใช้จ่ายมากซ่ึงไม่คุ้มค่ากับประโยชน์ที่ได้ป้องกันไม่ให้ของ
สูญหาย การตรวจนับ C จะใช้ระบบสินค้าคงคลังแบบสิ้นงวดคือเว้นระยะจะมา
ตรวจนับดูว่าพร่องไปเท่าใดแล้วก็ซื้อมาเติม หรืออาจใช้ระบบสองกล่อง (Two-bin
System) ซึ่งมีกล่องวัสดุอยู่ 2 กล่อง เป็นการเผื่อสารองไว้ พอใช้ของในกล้องแรก

172 การจัดการการจดั หาและการจัดซือ้

หมดก็นาเอากล่องสารองมาใช้แล้วรีบซื้อของเติมใส่กล้องแรกท่ีหมดไว้เป็นกล่อง
สารองแทน ซึ่งจะทาให้ไมม่ กี ารขาดมอื เกิดข้นึ

7.5 การจัดหมวดหมู่และบทบาทหนา้ ท่ขี องสนิ ค้า
James และ Jerry (1998) ได้กล่าวไว้ในหนังสือเรื่อง The Warehouse Management

Handbook; the second edition ในเร่ือง Stock Location Methodology โดยมีการจัดแบ่ง
รปู แบบในการจัดเก็บสินค้าน้นั ออกเปน็ 6 แนวคดิ คือ

7.5.1 ระบบการจดั เก็บโดยไร้รูปแบบ (Informal System)
เป็นรูปแบบการจัดเก็บสินค้าที่ไม่มีการบันทึกตาแหน่งการจัดเก็บเข้าไว้ในระบบ และ

สนิ คา้ ทกุ ชนิดสามารถจัดเก็บไว้ตาแหน่งใดก็ได้ในคลังสินค้า ซ่งึ พนักงานท่ีปฏิบตั ิงานในคลังสนิ คา้ น้ัน
จะเป็นผ้ทู ี่รู้ตาแหน่งในการจัด เก็บรวมท้ังจานวนที่จดั เก็บ ซึ่งจะเหน็ ไดว้ ่ารูปแบบการจัดเก็บนี้เหมาะ
สาหรับคลังสินค้าที่มีขนาดเล็ก มีจานวนสินค้าหรือ SKU น้อย และมีจานวนตาแหน่งท่ีจัดเก็บน้อย
ด้วย สาหรับในการทางานในนั้นจะมีการแบ่งพนักงานท่ีรับผิดชอบเฉพาะเป็นโซนๆ โดยที่แต่ละโซน
น้ันไม่ได้มีแนวทางการปฏิบัติในเรื่องการจัดเก็บแล้วแต่ พนักงานที่ปฏิบัติงานในโซนนั้นๆ ดังนั้นจึง
ไม่ได้มีแนวทางท่ีเหมือนกัน จึงทาให้อาจเกิดปัญหาการจัดเก็บหรือการท่ีหาสินค้านั้นไม่เจอในวันที่
พนักงานท่ีประจาในโซนน้ันไม่มาทางาน ตารางด้านล่างจะแสดงการเปรียบเทียบข้อดี และข้อเสีย
ของรปู แบบการจัดเกบ็ สนิ คา้ โดยไร้รปู แบบ

7.5.2 ระบบจัดเก็บโดยกาหนดตาแหนง่ ตายตัว (Fixed Location System)
แนวความคดิ ในการจดั เก็บสินค้ารูปแบบนี้เป็นแนวคิดท่ีมาจากทฤษฎีกล่าวคือ สินค้าทุก

ชนิดหรือทุก SKU นั้นจะมีตาแหน่งจัดเก็บที่กาหนดไว้ตายตัวอยู่แล้ว ซ่ึงการจัดเก็บรูปแบบน้ีเหมาะ
สาหรับคลังสินค้าที่มีขนาดเล็ก มีจานวนพนักงานที่ปฏิบัติงานไม่มากและมีจานวนสินค้าหรือจานวน
SKU ท่จี ัดเก็บน้อยด้วย โดยจากการศึกษาพบวา่ แนวคิดการจัดเกบ็ สินค้านี้จะมขี ้อจากัดหากเกิดกรณี
ที่ สินค้านนั้ มีการส่ังซื้อเข้ามาทีละมากๆจนเกินจานวน location ท่ีกาหนดไว้ของสินค้าชนิดน้ันหรือ
ในกรณีท่ีสินค้าชนิดนั้นมีการส่ังซ้ือเข้า มาน้อยในช่วงเวลาน้ัน จะทาให้เกิดพ้ืนท่ีที่เตรียมไว้สาหรับ
สนิ ค้าชนิดนน้ั วา่ ง ซ่ึงไมเ่ ปน็ การใชป้ ระโยชน์ของพ้ืนที่ในการจดั เก็บทดี่ ี

7.5.3 ระบบการจดั เกบ็ โดยจัดเรยี งตามรหัสสินคา้ (Part Number System)
รูปแบบการจัดเก็บโดยใช้รหัสสินค้า (Part Number) มีแนวคิดใกล้เคียงกับการจัดเก็บ

แบบกาหนดตาแหน่งตายตัว (Fixed Location) โดยข้อแตกตา่ งนนั้ จะอย่ทู ่ีการเกบ็ แบบใชร้ หัสสนิ ค้า
นั้นจะมีลาดับการจัดเก็บเรียงกันเช่น รหัสสินค้าหมายเลข A123 นั้นจะถูกจัดเก็บก่อนรหัสสินค้า

บทท่ี 7 การจดั การคลงั สินคา้ และการจัดการสินค้าคงคลงั เบอื้ งต้น 173

หมายเลข B123 เปน็ ต้น ซ่ึงการจดั เก็บแบบนจี้ ะเหมาะกับบริษทั ท่ีมคี วามต้องการส่งเข้า และนาออก
ของรหัสสนิ คา้ ทม่ี จี านวนคงท่เี นื่องจากมกี ารกาหนดตาแหนง่ การจดั เก็บ ไว้แล้ว ในการจดั เก็บแบบใช้
รหัสสินค้านี้ จะทาให้พนักงานรู้ตาแหน่งของสินค้าได้ง่าย แต่จะไม่มีความยืดหยุ่นในกรณีท่ีองค์กร
หรือบริษัทนัน้ กาลังเตบิ โตและมีความ ต้องการขยายจานวน SKU ซ่ึงจะทาให้เกิดปัญหาเร่ืองพื้นท่ีใน
การจดั เกบ็

7.5.4 ระบบการจดั เก็บสินค้าตามประเภทของสินคา้ (Commodity System)
เป็นรูปแบบการจัดเก็บสินค้าตามประเภทของสินค้าหรือประเภทสินค้า (product

type) โดยมีการจัดตาแหน่งการวางคล้ายกับร้านค้าปลีกหรือตาม supermarket ทั่วไปท่ีมีการ
จัดวางสินค้าในกลมุ่ เดียวกันหรือประเภทเดียวกนั ไว้ ตาแหน่งที่ใกลก้ ัน ซึง่ รูปแบบในการจัดเก็บสนิ ค้า
แบบน้ีจัดอยู่ในแบบ combination system ซึ่งจะช่วยในการเพ่ิมประสิทธิภาพในการจัดเก็บสินค้า
คอื มีการเน้นเรอื่ ง การใช้งานพ้ืนทจี่ ัดเก็บ มากข้ึน และยังง่ายตอ่ พนกั งาน pick สินค้าในการทราบถึง
ตาแหน่งของสินค้าท่ีจะต้องไปหยิบ แต่มีข้อเสียเช่นกันเนื่องจากพนักงานที่หยิบสินค้าจาเป็นต้องมี
ความรู้ใน เร่ืองของสินค้าแต่ละชิดหรือแต่ละย่ีห้อที่จัดอยู่ในประเภทเดียวกัน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดการ
pick สินคา้ ผดิ ชนิดได้

7.5.5 ระบบการจดั เกบ็ ท่ีไมไ่ ดก้ าหนดตาแหน่งตายตัว (Random Location System)
เป็นการจัดเก็บท่ีไม่ได้กาหนดตาแหน่งตายตัว ทาให้สินค้าแต่ละชนิดสามารถถูกจัดเก็บ

ไว้ในตาแหน่งใดก็ได้ในคลังสินค้า แต่รูปแบบการจัดเก็บแบบน้ีจาเป็นต้องมีระบบสารสนเทศในการ
จัดเก็บและติดตาม ข้อมูลของสินค้าว่าจัดเก็บอยู่ในตาแหน่งใดโดยต้องมีการปรับปรุงข้อมูลอยู่
ตลอดเวลาด้วย ซึ่งในการจัดเก็บแบบน้ีจะเป็นรูปแบบที่ใช้พ้ืนที่จัดเก็บอย่างคุ้มค่า เพ่ิมการใช้งาน
พื้นทจ่ี ดั เก็บและเปน็ ระบบทถ่ี อื วา่ มีความยืดหยุน่ สูง เหมาะกับคลังสินค้าทุกขนาด

7.5.6 ระบบการจดั เก็บแบบผสม (Combination System)
เป็นรูปแบบการจัดเก็บที่ผสมผสานหลักการของรูปแบบการจัดเก็บในข้างต้น

โดยตาแหน่งในการจัดเก็บน้ันจะมีการพิจารณาจากเงื่อนไขหรือข้อจากัดของสินค้า ชนิดน้ันๆ เช่น
หากคลังสินค้านั้นมีสินค้าที่เป็นวัตถุอันตรายหรือสารเคมีต่างๆ รวมอยู่กับสินค้าอาหาร จึงควรแยก
การจัดเก็บสินค้าอันตราย และสินค้าเคมีดังกล่าวให้อยู่ห่างจากสินค้าประเภทอาหาร และเคร่ืองดื่ม
เป็นต้น ซึ่งถือเป็นรูปแบบการจัดเก็บแบบกาหนดตาแหน่งตายตัว สาหรับพ้ืนท่ีที่เหลือในคลังสินค้า
นนั้ เน่ืองจากมีการคานึงถึงเร่ืองการใช้งานพ้นื ที่จดั เก็บ ดังน้ันจงึ จัดใกล้ที่เหลอื มีการจดั เกบ็ แบบไม่ได้

174 การจัดการการจัดหาและการจัดซือ้

กาหนดตาแหน่งตายตัว (Random) ก็ได้ โดยรูปแบบการจัดเกบ็ แบบนเี้ หมาะสาหรับคลังสินค้าทกุ ๆ
แบบ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คลงั สินคา้ ท่ีมขี นาดใหญ่และสินค้าทจี่ ัดเกบ็ นน้ั มีความ หลากหลาย

นอกจากน้ี Charles (1997) ได้เสนอแนวคดิ ในการจดั เก็บสินคา้ ไว้ 2 แนวคดิ ดงั นี้
(1) การจัดเก็บแบบซุ่ม (Random Storage) ซึ่งเป็นเทคนิคในการจัดเก็บสินค้าวิธีหนึ่งที่ทา
การเก็บสินค้า ณ จุดหรือตาแหน่งที่ว่างได้ทั่วคลังสินค้า เน่ืองจากไม่มีการกาหนดพ้ืนท่ีไว้เฉพาะ
สาหรบั สนิ ค้าประเภทใดประเภทหนึง่
(2) การจัดเก็บตามปริมาณความต้องการหยิบสินค้า (Volume-based Storage) ซ่ึงเป็น
เทคนิคการจัดเก็บสินค้า ที่มีความต้องการสูงไว้อยู่ใกล้กับประตูเข้าออกเม่ือเปรียบเทียบลักษณะ
การ จัดเก็บสินค้าแบบซุ่ม (Random Storage) และแบบตามปริมาณความต้องการหยิบสินค้า
(Volume-based Storage) มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันคือ การจัดเก็บแบบ Volume-based
Storage นัน้ จะชว่ ยลดเวลาและระยะทางในการหยบิ สินค้า แตข่ อ้ เสียคอื ทาใหเ้ กดิ ความแออัดในชอ่ ง
ทางเดินที่เก็บสินค้าและทาให้เกิด ความไม่สมดุลในการใช้พื้นที่ในการจัดเก็บสินค้า สาหรับจัดเก็บ
แบบซุ่ม (Random Storage) นั้น จะเป็นวิธีที่มีการใช้ประโยชน์ของพื้นท่ีจัดเก็บได้ท่ัวท้ังคลังสินค้า
ซ่งึ จะช่วยลดความแออดั ของช่องทางเดินลงไปได้ แต่ข้อเสียคือ ทาให้เสียเวลาในการหยิบสินค้ามาก
เน่ืองจากสินคา้ ท่ีมกี ารหยิบบอ่ ยนัน้ อาจมีพืน้ ท่ีจดั เกบ็ ที่อยูไ่ กลจากประตู เปน็ ต้น

7.6 การตรวจนบั จานวนสินคา้ ในสต็อก
7.6.1 วิธีปิดบัญชีตรวจนับ คือเลือกวันใดวันหน่ึงที่จะทาการปิดบัญชีแล้วห้ามมิให้มีการเบิกจ่าย

เพิ่มเติม หรือเคลื่อนย้ายสินค้าคงคลังทุกรายการ โดยต้องหยุดการซื้อ-ขายตามปกติ แล้วตรวจนับ
ของท้ังหมด วิธีน้ีจะแสดงมูลค่าของสินค้าคงคลัง ณ วันท่ีตรวจนับได้อย่างเที่ยงตรง แต่ก็ทาให้เสีย
รายได้ในวนั ที่ตรวจนับของ

7.6.2 วิธีเวียนกันตรวจนับ (Cycle Counting) จะปิดการเคลื่อนย้ายสินค้าคงคลังเป็นส่วน ๆ
เพ่ือตรวจนับ เม่ือส่วนใดตรวจนับเสร็จก็เปิดขายหรือเบิกจ่ายได้ตามปกติ และปิดแผนกอ่ืนตรวจนับ
ตอ่ ไป จนครบทกุ แผนก วิธนี ้ีจะไม่เสยี รายไดจ้ ากการขายแตโ่ อกาสทจ่ี ะคลาดเคลื่อนมสี ูง

การนับ Stock ที่ดีนั้นควรจะมีการแบ่งนับเป็นทีม ซ่ึงระบบ Pick to Light ได้แบ่งทีม
การนับ Cycle Count ไว้ท้ังหมด 3 ทีม คือ Team A , Team B และ Team C ซึ่งพนักงานแต่ละ
ทีมนั้นจะทางานแยกกันโดยอิสระ เพื่อให้เกิดความถูกต้อง และแม่นยาท่ีสุดในการนับ โดยเฉพาะ
สินค้าที่มีขนาดเล็ก ต้องใช้ความละเอียดอย่างมากในการนับสินค้า โดยท่ัวไปถ้ามีการนับสินค้าแค่
เพยี งครัง้ เดียว อาจจะทาให้เกดิ ขอ้ ผดิ พลาดได้ หรอื แม้กระทั่งการนบั สองครั้งท่ีมผี ลการนับที่แตกตา่ ง

บทที่ 7 การจัดการคลังสินค้าและการจดั การสนิ ค้าคงคลงั เบื้องตน้ 175

กันก็อาจทาให้เกิดปัญหาเช่นเดียวกัน คือ บริษัทควรท่ีจะอ้างอิงจากการนับครั้งใดดี โดยสรุปแล้ว
บริษัทควรจะนับ Cycle Count ทั้งหมด 3 คร้ัง และถ้ารอบแรกและรอบที่สองไม่ตรงกัน บริษัทควร
จะใช้การนับคร้งั สุดทา้ ยเป็นตัวอ้างอิง ซ่ึงโดยส่วนใหญแ่ ล้ว ในการนับรอบแรกและรอบที่สองจะเป็น
การนับของพนักงานทั่วไป แต่ถ้าในกรณีท่ีมีความแตกต่างระหว่างรอบแรกและรอบที่สอง โดยส่วน
ใหญ่ Supervisor จะเป็นคนนับรอบท่ี 3 ด้วยตนเอง เพ่ือให้เกิดความน่าเชื่อถือมากที่สุดในการนับ
Cycle Count

7.6.3 ส่งิ ทีต่ อ้ งใชใ้ นการนบั สต๊อกตามรอบของสนิ คา้ (Cycle Count)
(1) Cycle Class (กาหนดรอบของการนับสินค้าแต่ละ SKU ) หรือ File Excel
ที่ Import เขา้ ไปเพื่อให้ระบบนบั ตามวนั ท่ที อ่ี ย่ใู น File
(2) Item ท่ีต้องการนับสินค้า ( ระบบจะตรวจสอบก่อนการนับสินค้า ซ่ึงถ้าไม่พบใน
ระบบ ระบบจะไม่สามารถทาการนับ Cycle Count ได)้
(3) Zone & Location ท่ีต้องการนับสินค้า (ระบบจะตรวจสอบก่อนการนับสินค้า
ซึ่งถา้ ไมพ่ บในระบบ ระบบจะไมส่ ามารถทาการนับ Cycle Count ได)้
(4) User ที่ต้องนับสินค้า เพื่อ Assign Zone & Location ที่พนักงานต้องรับผิดชอบ
ในการนบั Cycle Count

7.6.4 ประโยชนข์ องการตรวจนับจานวนสนิ ค้าคงคลงั
(1) สามารถจัดสินค้าไดอ้ ยา่ งสะดวก โดยไม่มกี ารหยุดชะงักขณะทางาน
(2) ลดเวลาในการจดั สนิ ค้าให้นอ้ ยลง เนอื่ งจากระบบมี Stock ทแี่ ม่นยา
(3) เพิ่มความนา่ เชอ่ื ถือให้กบั ลูกคา้ ในการจัดสินค้าให้เสรจ็ ตามเวลาท่ีกาหนด
(4) สามารถตรวจสอบของท่ีมอี ยู่จรงิ ใน Location เพอ่ื วางแผนในการสงั่ ซื้อสินคา้ มา
เติม Stock
(5) สามารถวางแผนการจดั สนิ ค้าในแต่ละวัน ได้อย่างแม่นยาและถูกตอ้ ง
(6) ลดเวลาและจานวนคร้ังในการเตมิ สนิ คา้ ใหน้ ้อยลง
(7) สามารถลด Cost ของสินคา้ ท่ีอาจสญู หายได้
(8) กระตนุ้ ให้พนกั งานมคี วามรบั ผดิ ชอบสนิ คา้ ใน Stock เพื่อไม่ใหเ้ สยี คา่ ปรบั เม่ือของ
หาย
(9) ลดกระดาษท่ใี ช้ในการนับจานวนสนิ คา้ คงคลงั

176 การจดั การการจดั หาและการจดั ซื้อ
7.7 ระบบการบรหิ ารสนิ ค้าคงคลงั (Inventory Management System)
การควบคุมระดับสินค้าคงคลังและการจัดการสินค้าคงคลังสารอง ทาเพื่อให้มีวัสดุและสินค้า
รองรับงานผลิตและการตลาด ทั้งการบริการลูกค้าที่ดีและมีต้นทุนสินค้าคงคลังรวมที่อยู่ระดับต่า
สามารถทาได้หลายวิธีการขึ้นอยู่กับลักษณะของความต้องการสินค้า ทรัพยากรองค์การความพร้อม
ของบุคลากรที่เกี่ยวข้องการจัดการซัพพลายเชน ตลอดจนลักษณะของกระบวนการผลิตสินค้า
ประกอบเขา้ ด้วยกัน นอกจากนน้ั ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีข้อมูลข่าวสารและคอมพิวเตอร์ยงั ชว่ ย
ให้การสร้างระบบการจัดการสินค้าคงคลังมีความหลากหลายมากขึ้น ทาให้ผู้บริหารสามารถเลือกใช้
ระบบท่ีเหมาะสมกับกิจการของตนได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน ระบบการจัดการสินค้าคงคลังท่ีเป็นท่ีนิยม
ใช้กันแพร่หลายในธุรกิจอุตสาหกรรม มีดังต่อไปนี้ ระบบการขนาดสั่งซ้ือที่ประหยัด (EOQ)
ในส่วนนี้ จะข้อมูลเฉพาะระบบขนาดการส่ังซ้ือที่ประหยัดเท่านน้ั
ปริมาณการสั่งซ้ือที่ประหยัด (Economic Order Quality หรือ EOQ จะเหมาะสาหรับ
การประยุกต์กับสินค้าคงคลังท่ีสั่งซื้อเป็นคร้ังๆ โดยไม่ได้ดาเนินงานหรือจัดส่งอย่างต่อเน่ือง ซึ่งจะ
พจิ ารณาการเปรยี บเทียบต้นทุนการสง่ั ซ้อื และต้นทนุ การเก็บรักษา

ภาพที่ 7.1 แผนภาพขนาดการสัง่ ซือ้
Mark, M. Davis, Nicholas, J. Aquilano, and Richard, B. Chase, Fundamentals of
Operations Management, 2003: 610.

บทท่ี 7 การจัดการคลงั สนิ คา้ และการจดั การสินค้าคงคลังเบือ้ งตน้ 177

การใชร้ ะบบขนาดการสง่ั ซ้อื ท่ีประหยดั มีท้ังหมด 4 สภาวการณ์ ดังต่อไปนี้
7.7.1 ขนาดการส่ังซื้อที่ประหยัดภายใต้สภาวการณ์ที่อุปสงค์คงท่ี และไม่มีการขาดมือของ

สินค้าคงคลังเลย โดยมสี มมตฐิ านเปน็ ขอบเขตจากัดไว้วา่
- ทราบปริมาณอปุ สงคอ์ ย่างชัดเจนและอปุ สงค์คงที่
- ได้รบั สนิ คา้ ท่ีสั่งซือ้ พรอ้ มกันทัง้ หมด
- เวลารอคอย (Lead time) ซง่ึ เปน็ ชว่ งเวลาต้ังแต่สั่งซอื้ จนได้รบั สินค้าและถูกระบุอย่าง
ชัดเจน
- ตน้ ทุนการเก็บรักษาสินค้าและตน้ ทนุ การส่งั ซอื้ คงท่ี
- ราคาสินค้าที่ส่งั ซือ้ คงท่ี
- ไม่มีสภาวะของขาดมอื เลย

7.7.2 ขนาดการสั่งซอ้ื ทป่ี ระหยัดภายใตส้ ถานการณ์ท่มี อี ปุ สงค์คงท่ีและมีของขาดมือบา้ ง
เนื่องจากการที่ของขาดมือก่อให้เกิดความประหยัดบางประการ อันจะทาให้ต้นทุน

การส่งั ซ้ือหรือตน้ ทุนการตง้ั เครอ่ื งใหมล่ ดต่าลงเพราะผลิตหรือสั่งซือ้ ของล็อตใหญข่ ้ึน เพราะสนิ ค้าน้ัน
มีต้นทนุ การเกบ็ รักษาสูงมาก จงึ ไม่มกี ารเก็บของไวข้ องเลย เช่น ในร้านตัวแทนจาหนา่ ยรถยนตม์ กั จะ
เกิดสภาวการณ์นี้ เพราะรถยนต์แต่ละคันมีราคาแพง จึงมีรถยนต์จอดแสดงอยู่เพียงคันละรุ่น
เมื่อลูกค้าตกลงใจเลือกซื้อรถแบบท่ีต้องการแล้ว ก็จะเลือกสีรถจากตัวอย่างสีในใบรายการ ตัวแทน
จาหน่ายจะรับคาสั่งซ้ือน้ีไปส่ังรถจากบริษัทผลิตและติดตั้งอุปกรณ์แต่งรถตามความต้องการของ
ลูกค้าซึ่งจะใช้เวลารอคอยสักระยะหน่ึง โดยท่ีต้องระวังมิให้นานเกินไป ข้อสมมติฐานของกรณีน้ีมี
ดงั ต่อไปน้ี

7.7.3 ขนาดการสง่ั ซอื้ ทีป่ ระหยดั ภายใต้สภาวการณท์ ีท่ ยอยรบั ทยอยใชส้ นิ คา้
สินค้าคงคลังไม่ได้ถูกส่งมาพร้อมกันในคราวเดียวแต่ทยอยส่งมาและในขณะน้ันมีการ

ใช้สินค้าไปด้วย โดยท่ีอัตราการรับ (P) ต้องมากกว่าอัตราการใช้ (U) ทั้งสองอัตรามคี ่าเฉล่ียคงที่และ
ไมม่ ขี องขาดมือ สนิ ค้าคงคลังจะสะสมสว่ นท่ีเหลอื จากการใชม้ าข้ึนเรื่อยๆ จนถงึ จสุ ูงสดุ

7.7.4 ขนาดการส่งั ซอื้ ท่ปี ระหยดั ภายใตส้ ภาวการณท์ ม่ี สี ่วนลดปริมาณ
เม่ือซ้ือของจานวนมากฝ่ายจัดซื้อมักจะต่อรองให้ราคาสินค้าต่อหน่วยลดลงซึ่งได้มี

สมมติฐาน ย่ิงจานวนที่ซื้อมากเท่าไร ราคาต่อหน่วยของสินค้ายิ่งลดลงเท่าน้ัน นอกจากน้ันปริมาณ
การสงั่ ซอ้ื ทเ่ี ปลยี่ นแปลงไปจะมผี ลทาใหต้ ้นทุนการเก็บรักษาเปล่ียนไป

178 การจัดการการจัดหาและการจัดซอ้ื

7.8 จดุ สงั่ ซอื้ ใหม่ (Reorder Point)
ในการจัดซอ้ื สนิ ค้าคงคลัง เวลาก็เป็นปจั จัยทส่ี าคัญอย่างยงิ่ ตวั หนึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่งถา้ ระบบ

การควบคุมสินค้าคงคลังของกิจการเป็นแบบต่อเน่ือง จะสามารถกาหนดเวลาท่ีจะสั่งซื้อใหม่ได้
เมื่อพบว่าสินค้าคงคลังลดเหลือระดบั หนึง่ ก็จะสั่งซ้อื ของมาใหม่ในปริมาณคงท่ี เท่าปริมาณการสั่งซ้ือ
ท่กี าหนดไว้ ซง่ึ เรยี กวา่ Fixed order Quantity System

จุดสั่งซื้อใหม่น้ันมีความสัมพันธ์แปรตามตัวแปร 2 ตัว คือ อัตราความต้องการใช้สินคา้ คงคลัง
และเวลารอคอย (Lead Time) ภายใต้สภาวการณ์ 4 แบบดังต่อไปนี้

ในการจัดซื้อสินค้าคงคลัง เวลาก็เป็นปัจจัยท่ีสาคัญอย่างยิ่งตัวหน่ึง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้าระบบการควบคุมสินค้าคงคลังของกิจการเป็นแบบต่อเนื่อง จะสามารถกาหนดท่ีจะสั่งซื้อใหม่ได้
เม่ือพบว่าสินค้าคงคลังลดเหลือระดับหนึ่งก็จะสั่งซ้ือของมาใหม่ในปริมาณคงท่ีเท่ากับปริมาณ
การส่ังซื้อท่ีกาหนดไว้ ซ่ึงเรียกว่า Fixed order Quantity System จุดส่ังซ้ือใหม่น้ันมีความสัมพันธ์
แปรตามตัวแปร 2 ตัว คือ อัตราความต้องการใช้สินค้าคงคลังและรอบเวลาในการส่ังซื้อ (Lead
Time) ภายใตส้ ภาวการณ์ 4 แบบ ดังตอ่ ไปนี้

(1) จุดส่ังซ้ือใหม่ในอัตราความต้องการสินค้าคงคลังคงที่และรอบเวลาคงที่ เป็นสภาวะท่ี
ไม่เส่ยี งทจ่ี ะเกดิ สนิ ค้าขาดมือเลย เพราะทกุ สิง่ ทกุ อยา่ งแนน่ อน

(2) สต็อกเพื่อความปลอดภัย (Safety Stock) เป็นสต็อกท่ีต้องสารองไว้กันสินค้าขาดเม่ือ
สินค้าถูกใช้และปริมาณลดลงจนถึงจุดส่ังซื้อ (Reorder point) เป็นจุดที่ใช้เตือนสาหรับการส่ังซื้อ
รอบถัดไป เมื่ออุปสงค์สูงกว่าสินค้าคงคลังท่ีเก็บไว้ เป็นการป้องกันสินค้าขาดมือไว้ล่วงหน้า หรืออีก
คาอธิบายหนงึ่ เป็นการเกบ็ สะสมสนิ ค้าคงคลังในช่วงของรอบเวลาในการส่ังซื้อ

(3) ระดับการให้บริการ (Service Level) เป็นวิธีการวัดปริมาณสต็อกเพื่อความปลอดภัย
เพ่ือให้สอดคล้องกับข้อกาหนดในด้านคุณภาพ โดยปกติในระบบคุณภาพลูกค้าจะมีการคาดหวัง
ในระดับท่ีกาหนดเป็นร้อยละของการสั่งซ้ือว่าสามารถจัดส่งได้หรือไม่ ซึ่งข้ึนกับนโยบายที่ป้องกัน
สต็อกขาดมือ โดยขึ้นอยู่กับต้นทุนสาหรับสต็อกเพ่ิมเติม และเสียยอดขายเน่ืองจากไม่สอดคล้องกับ
ความตอ้ งการสนิ ค้า

(4) จุดสั่งซ้ือใหม่ในอัตราความต้องการสนิ ค้าคงคลังที่แปรผันและรอบเวลาคงที่ เป็นสภาวะ
ที่อาจเกิดของขาดมือได้เพราะว่าอัตราการใช้หรือความต้องการสินค้าคงคลังไม่สม่าเสมอ จึงต้องมี
การเก็บสนิ คา้ คงคลงั เผอ่ื ขาดมอื (Cycle-Service Level) ซึ่งจะเป็นโอกาสท่ีไมม่ ีของขาดมือ

บทที่ 7 การจัดการคลังสนิ คา้ และการจดั การสนิ คา้ คงคลังเบือ้ งตน้ 179

(5) จดุ ส่ังซ้ือในอตั ราความต้องการสินค้าคงคลังคงทีแ่ ละรอบเวลาแปรผัน เป็นสภาวะทีร่ อบ
เวลามีลกั ษณะการกระจายของข้อมลู แบบปกติ

7.9 ประโยชน์ของการจัดการคลังสนิ คา้ และการจัดการสินค้าคงคลงั
การจัดการคลงั สนิ คา้ และการจัดการสนิ ค้าคงคลังท่ีเพียงพอ ทาให้การตอบสนองความพึงพอใจ

ของลกู ค้าได้ตามต้องการ จึงเห็นไดว้ ่าการจัดการคลังสินค้าและการจัดการสินคา้ คงคลงั มีความสาคัญ
ต่อกจิ กรรมหลกั ของธุรกิจเปน็ อยา่ งมาก ซ่ึงทาใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อธรุ กิจดังต่อไปน้ี

7.9.1 สามารถมีสินค้าบริการลูกค้าในปริมาณท่ีเพียงพอ และทันต่อความต้องการของลูกค้า
เสมอ เพื่อสรา้ งยอดขายและรกั ษาระดับของส่วนแบ่งตลาดไว้

7.8.2 สามารถลดระดับการลงทนุ ในสนิ ค้าตา่ ที่สดุ เพอ่ื ทาให้ต้นทนุ การผลิตต่าลงดว้ ย
7.9.3 ตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่ประมาณการไว้ในแต่ละช่วงเวลา ท้ังในและนอก
ฤดูกาลโดยธุรกิจตอ้ งเก็บสินค้าคงคลังไวใ้ นคลังสินคา้
7.9.4 รักษาการผลิตให้มีอัตราคงท่ีสม่าเสมอ เพื่อรักษาระดับการว่าจ้างแรงงาน การเดิน
เครื่องจักรให้สม่าเสมอได้ โดยจะเก็บสินค้าที่ขายไม่หมดในช่วงขายไม่ดีไว้ขายตอนช่วงขายดี ซึ่งช่วง
น้ันอาจจะผลิตไม่ทนั ขาย
7.9.5 ทาใหธ้ รุ กิจได้ส่วนลดปริมาณจากการจัดซือ้ ครง้ั ละมากๆ
7.9.6 ป้องกันการเปล่ียนแปลงราคา และผลกระทบจากเงินเฟ้อเมื่อสินค้าในท้องตลาดมีราคา
สงู ขึ้น
7.9.7 ปอ้ งกนั ของขาดมือด้วยสินค้าเผื่อขาดมอื (Safety Stock) เมื่อเวลารอคอยล่าช้า คาสั่งซ้ือ
เพม่ิ ขน้ึ กะทนั หนั
7.9.8 ทาให้กระบวนการผลติ สามารถดาเนินการตอ่ เนือ่ งอย่างราบรืน่ ไม่มีการหยุดชะงกั เพราะ
ของขาดมือจนเกิดความเสียหายแก่กระบวนการผลิตซ่งึ จะทาให้คนงา่ นวา่ งงาน เครื่องจกั รถูกปดิ ผลิต
ไมท่ ันคาสงั่ ของลกู คา้

180 การจัดการการจดั หาและการจัดซื้อ

สรุป

การดาเนินการจัดการคลังสินค้าและการจัดการสินค้าคงคลัง มีบทบาทสาคัญต่อจากการ
จัดหาจัดซ้ือ รวมขั้นตอนหลายอย่างเข้าด้วยกันได้แก่ รับของ เก็บของเข้าที่ ดูแลของท่ีเก็บ รู้ท่ีเก็บ
สินค้าอย่างดี รับใบสั่งของ/หยิบ วางตามช้ัน เอาของลง เป็นจุดเปล่ียนถ่ายสินค้า เป็นจุดรับสินค้า
ส่งคืน เป็นจุดบรรจุสินค้า เป็นจุดประกอบของเล็กๆ การเติมให้เต็ม การสานต่อ การติดฉลาก การ
ห่อของชนิดท่ีห้ามแกะ เป็นจุดแยกของท่ีมาจานวนมากๆ เป็นจุดรวมของสินค้าก่อนกระจายไปยัง
ลูกค้า เป็นจุดขนส่งสินค้าเข้าออก เป็นการใช้ที่ดิน เพราะต้องมีการพัฒนาที่ดินท่ีต้องต้ังคลังสินค้า
การบริการทั้งหลายเน้นการเลื่อนไหลของสินค้ามากกว่าเน้นการเก็บ ความเร็วและการเคลื่อนย้าน
สนิ ค้าอย่างมีประสิทธิภาพของสินค้า โดยใชเ้ วลาไม่นานและมีข้อมูลที่ถูกต้องเก่ียวกับสินค้าท่ีเก็บถือ
เป็นจุดมุ่งหมายของการจัดการสินค้าคงคลังท่ีผู้บริหารทุกคลังสินค้าต้องการ หน้าท่ีของคลังเก็บ
สินคา้ มหี ลกั 3 อย่างคือ 1. การเคล่อื นย้าย 2. การเก็บของ 3. การถา่ ยโอนข้อมูลขา่ วสาร ซง่ึ แบง่ ตาม
สถานะในกระบวนการผลิต ได้แก่ วัตถุดิบ (Raw Materials) ช้ินส่วน (Assembly) วัสดุส้ินเปลือง
(Supplies) สนิ ค้าระหวา่ งการผลิต (Work in Process) และสนิ คา้ สาเรจ็ รูป (Finished Goods)

บทที่ 7 การจดั การคลงั สินค้าและการจดั การสินค้าคงคลงั เบ้อื งตน้ 181

คาถามทา้ ยบทท่ี 7

1. ใหน้ ักศึกษาอธิบายความหมายของการจดั การคลงั สนิ คา้ และการจัดการสินคา้ คงคลัง

2. ประเภทของสินคา้ ทอี่ ยใู่ นคลังสนิ คา้ แบ่งออกเป็นก่ีประเภท อะไรบา้ ง

3. ตน้ ทุนในการเก็บรกั ษาสินค้าคงคลงั สามารถจาแนกได้กี่ประเภท คือต้นทุนด้านใดบา้ ง
4. ให้นักศึกษาจาแนกประเภทสินค้าตามแบบการจัดกลุ่มสินค้า ABC โดยมีรายละเอียด

ดังต่อไปนี้ โดยกาหนดให้ กลุ่มสนิ ค้า A มีมลู คา่ รวม 70-80 % ของสนิ คา้ ท้งั หมด กลุม่ สินค้า B

มีมูลค่ารวม 10-15 % ของสินค้าท้ังหมด และกลุ่มสินค้า C มีมูลค่ารวม 3-5 % ของสินค้า
ทั้งหมด

รายการสนิ คา้ จานวนทใ่ี ช้ตอ่ ปี (หนว่ ย) ราคาตอ่ หนว่ ย (บาท)

111 100 3.00

112 2,000 1.05

113 950 2.00

114 20 10.00

115 5,200 0.05

116 1,200 5.00

117 2,000 0.25

118 4,000 11.00

119 6,000 0.10

120 200 0.40

5. ใหน้ กั ศึกษาอธบิ ายวธิ ีการตรวจนับจานวนสินคา้ ในสตอ็ กมาพอเขา้ ใจ

6. ส่งิ ใดบ้างทตี่ ้องใช้ในการตรวจนับสต๊อกตามรอบของสนิ ค้า

7. การจัดเก็บสนิ ค้ามรี ปู แบบในการจัดเก็บกีร่ ูปแบบ อะไรบา้ ง
8. การใช้ขนาดการสั่งซ้ือทป่ี ระหยดั มีกสี่ ภาวการณ์ ประกอบไปด้วยสภาวการณใ์ ดบ้าง อธิบาย

มาพอเข้าใจ

9. ใหน้ กั ศึกษาอธบิ ายจุดส่งั ซ้ือใหม่ )Reorder Point) วา่ เปน็ อย่างไร อธิบายมาพอเขา้ ใจ
10. ประโยชนข์ องการจดั การคลงั สินคา้ และการจัดการสนิ ค้าคงคลงั มอี ะไรบา้ ง

182 การจัดการการจัดหาและการจดั ซื้อ

เอกสารอา้ งองิ

กมลชนก สุทธิวาทนฤพุฒิ,ศลิษา ภมรสถิตย์ และจักรกฤษณ์ ดวงพัสตรา. (2546).การจัดการโซ่
อปุ ทานและโลจิสตกิ ส์.กรุงเทพฯ: ท้อป.

ก่อเกียรติ วริ ยิ ะกจิ พฒั นา.(2549).โลจสิ ติกส์และโซอ่ ปุ ทาน (พิพมค์ รั้งที่ 1).กรุงเทพฯ: วงั อักษร,
กฤช ชาวดอน.(2546). การพยากรณ์อุปสงค์ในห่วงโซ่อุปทานสาหรับการจัดการสินค้าคงคลังท่ี

เหมาะสม วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต.มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, วิทยาลัยนวัตกรรม
อุดมศกึ ษา,สาขาการบรหิ ารเทคโนโลยี
คานาย อภิปรชั ญาสกลุ . (2553). การจัดการสินคา้ คงคลัง. พิมพ์ครัง้ ท่ี 1. กรงุ เทพฯ: บรษิ ัท โฟกัส
มีเดียร์แอนดพ์ ับลชิ ช่ิง จากัด.
ฐาปนา บุญหล้า และนงลักษณ์ นิมตรภูวดล. 2555. การจัดการโลจิสติกส์ มิติซัพพลายเชน
(Logistics Management: a Supply Chain Perspective). กรุงเทพ: สานักพิมพ์ซีเอ็ด
ยเู คชนั่ พิมพ์ครงั้ ท่ี 1
ธนิต โสรัตน.์ (2552). คมู่ อื การจดั การคลงั สนิ ค้าและการกระจายสินคา้ . กรงุ เทพฯ: วีเซิรฟ์ โลจิส
ติกส์
พิภพ ลลิตาภรณ์. (2552). การบริหารพัสดุคงคลัง (Inventory Management). กรุงเทพฯ :
สานกั พมิ พส์ มาคมสง่ เสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญีป่ ุ่น)
สุโขทัยธรรมาธริ าช. (2543) ประเภทสนิ คา้ คงคลัง (ออนไลน์) มหาวทิ ยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธิราช
James และ Jerry (1998) The Warehouse Management Handbook; the second edition
Heizer, J. and Render, B., 2005, Operation Management, 7th ed., Pearson Education
LTD., USA.
Mark, M. Davis, Nicholas, J. Aquilano, and Richard, B. Chase,Fundamentals of
Operations Management, 2003: 610.
Rushton, A. Croucher, P. และ Baker, P. (2551) คู่มอื การจัดการโลจสิ ตกิ ส์และการกระจาย
สินค้า. แปลโดย วทิ ยา สหุ ฤทดารง และคณะ. : สานกั พิมพ์ อ.ี ไอ.สแควร์กรุงเทพมหานคร.
Stock, R.J. and Lambert M.D., (2001). Strategic Logistics Management, 4th ed.,
McGraw-Hill Irwin, Singapore

บทท่ี 8 ระบบทนั เวลาพอดีเพ่ือประสิทธภิ าพในงานจดั ซอื้ จดั หา 183

บทที่ 8

ระบบทนั เวลาพอดีและเทคนคิ ที่เพม่ิ ประสิทธภิ าพในงานจดั หาจดั ซื้อ

การบริหารโรงงานอุตสาหกรรมด้วยหลักการมองเห็น เป็นระบบท่ีใช้สนับสนุน
การปรับปรุงผลิตภาพท่ัวทั้งโรงงาน โดยจะครอบคลุมถึงปัจจัยต่าง ๆ เช่น ความปลอดภัย คุณภาพ
การส่งมอบตรงเวลา การสร้างผลกาไร และการสร้างขวัญกาลังใจ โดยมุ่งแสดงด้วยสัญญาณ แถบสี
และสัญลักษณ์ต่าง ๆ ในสถานท่ีทางาน เพื่อสื่อสารให้พนักงานหรือผู้เก่ียวข้องทราบถึงข้อมลู ข่าวสาร
ท่ีสาคัญของสถานที่ทางาน ซ่ึงจะเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการควบคุมงานผลิต เพื่อให้องค์กรสามารถ
ก้าวหน้าได้ดีท่ีสุด จากข้อมูลที่กล่าวมาข้างต้น มีแนวคิดและหลักการท้ังทางทฤษฎีและการปฏิบัติ
ตามมาตรฐานสากล ระบบการผลิตแบบทันเวลา (Just in Time Production System) หรือ JIT
เป็นหน่ึงในเทคนิคระบบการผลิตของญ่ปี ุ่น (Japanese Production System) ท่ีพฒั นาโดย Taiichi
Ohno แห่งบริษัทโตโยต้า ประเทศญ่ีปุ่น ใจความสาคัญของ JIT แนวทางซ่ึงแสวงหาการลดลงของ
เสียและส่ิงที่ไม่ได้สร้างมูลค่าเพ่ิมทุกรูปแบบที่เกิดข้ึนในกิจกรรมการผลิต โดยจัดให้มีชิ้นส่วนต่าง ๆ
สาหรับการผลิตในเวลาเดียวกันท่ีเกิดความต้องการชิ้นส่วนนั้นข้ึนมาพอดี หรือก็คือ ช้ินส่วนต่าง ๆ
ที่เป็นส่วนประกอบของสินค้าที่บริษัทกาลังผลิตจะสั่งเข้ามาสู่โรงงานของบริษัทในเวลาท่ีต้องการใช้
ชิ้นส่วนนั้นในการผลิตสินค้าพอดี ดังน้ันหากยังไม่มีแผนการผลิตสินค้าข้ึนมา ก็ยังไม่สนใจเรื่องการ
จัดทาช้ินส่วนและเมื่อมีแผนที่จะผลิตสินค้า แทนที่จะผลิตเอาไว้ก่อนเพื่อกันการขาดชิ้นส่วน เน้ือหา
ในบทน้ี จะเป็นการเรยี นรู้เกี่ยวกับความหมายของระบบการแบบทันเวลาพอดี วัตถุประสงค์ของการ
ผลิตแบบทันเวลาพอดี ผลที่เกิดจากการผลิตแบบทันเวลาพอดี ประโยชน์ของระบบการจัดการ
วัตถุดิบต่อการผลิตแบบทันเวลาพอดี ระบบคัมบัง ทฤษฎีมูริ มูระ มูดะ ระบบไคเซ็น ระบบลีน
อุตสาหกรรมสีเขียว กิจกรรม 6 ส. เทคนิคการทางานที่เหมาะสมต่อบุคลากร และการประกัน
คณุ ภาพโดยใช้ Six Sigma ในอตุ สาหกรรมโลจสิ ติกส์ โดยมรี ายละเอยี ดดังตอ่ ไปนี้

8.1 ความหมายของระบบการแบบทนั เวลาพอดี (Just-in-Time Systems: JIT)
JIT คือ ระบบวิธีการจัดการการผลิตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต การจัดซื้อจัดหา

วัสดุ อุปกรณ์ พร้อมทั้งลดการผลิตที่เกินความจาเป็น โดย JIT นั้นจะเป็นการผลิตให้กับลูกค้า
โดยใช้ความต้องการของลูกค้าเป็นตัวกาหนดจานวนการผลิตและวัตถุดิบที่ต้องใช้ในการผลิต

184 การจดั การการจัดหาและการจดั ซอื้

โดยสิ่งของหรือบริการที่ผลิตในแต่ละขั้นตอนจะมีจานวนพอดีสาหรับงานนั้น และไม่ต้อง
เสียเวลาหยุดชะงักจากการรอสิ่งของจากกระบวนการก่อนหน้า ซึ่งจะทาให้ไม่มีวัสดุคงคลัง
ท่ีไม่จาเป็นในรูปของวัตถุดิบ (Raw Material) งานระหว่างทา (Work In Process) และสินค้า
สาเร็จรูป (Finished Goods) กลายเป็นศูนย์หรือมีจานวนวัสดุคงคลังน้อยที่สุด

การที่ชิ้นส่วนที่จาเป็นเข้ามาถึงกระบวนการผลิตในเวลาที่จาเป็นและด้วยจานวนที่จาเป็น
หรืออาจกล่าวได้ว่า JIT คือ การผลิตหรือการส่งมอบ “สิ่งของท่ีต้องการ ในเวลาท่ีต้องการ
ด้วยจานวนที่ต้องการ” ใช้ความต้องการของลูกค้าเป็นเครื่องกาหนดปริมาณการผลิตและการใช้
วัตถุดิบ ซ่ึงลูกค้าในท่ีน้ีไม่ได้หมายถึงเฉพาะลูกค้าผู้ซ้ือสินค้าเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงบุคลากร
ในส่วนงานอ่ืนท่ีต้องการงานระหว่างทาหรือวัตถุดิบเพื่อทาการผลิตต่อเนื่องด้วย โดยใช้วิธีดึง
(Pull Method of Material Flow) ควบคุมวัสดุคงคลังและการผลิต ณ สถานีที่ทาการผลิตน้ันๆ
ซ่ึงถ้าทาได้ตามแนวคิดน้ีแล้ววัสดุคงคลังที่ไม่จาเป็นในรูปของวัตถุดิบ งานระหว่างทาและสินค้า
สาเรจ็ รปู จะถกู ขจดั ออกไปอย่างส้ินเชงิ

แนวคิดในการจัดการผลิตแบบ JIT นั้นเป็นวิธีการคิดในการจัดการการผลิตท่ีแตกต่างและ
ตรงข้ามกับแบบเดิม (Traditional Manufacturing) โดยในการเป็นการคิดแบบ Reversing
Concept ของแนวการผลิตแบบดัง้ เดิม โดยในการปรบั ใช้กระบวนการผลิตแบบ JIT มีแนวคดิ หลักๆ
ในการดว้ ยกนั 3 ข้อ คือ

8.1.1 การขายก่อนทาทหี ลงั (Sell it then Make it)
วิธีการคิดแบบ JIT น้ี จะเป็นการท่ีบริษัทขายของให้กับลูกค้าก่อนแล้วจึงนาความ

ต้องการต่างๆ ของลูกค้านั้นมาผลิตเป็นสินค้าตามที่ลูกค้าต้องการ ซึ่งตรงข้ามกับแนวคิดการผลิต
แบบดั้งเดิม ที่ผลิตออกมาก่อนแล้วค่อยนาไปขายให้กับลูกค้า ซ่ึงการผลิตแบบผลิตออกมาก่อนแล้ว
ค่อยนาไปขายแบบเดิมนั้น มีโอกาสท่ีสินค้าที่ผลิตมาอาจจะไม่เป็นที่ต้องการของตลาด หรือมีสินค้า
คงเหลือในคลังสินค้ามาก ทาให้ค่าใช้จ่ายหรือเงินที่ใช้สาหรับการผลิตน้ันจมลง โดยไม่เกิด
ผลตอบแทนกลับมา จนทาให้บางทีกาไรลดลงหรือขาดทุนได้

8.1.2 การคิดกระบวนการคดิ ยอ้ นหลงั (Think Backwards)
ในวิธีการจัดการผลิตแบบ JIT เป็นวิธีการคิดหลังจากท่ีบริษัททราบว่าลูกค้าต้องการ

อะไรโดยนาสงิ่ ท่ีลูกค้าต้องการมาวางแผนในการผลติ โดยเป็นการวางแผนยอ้ นกลับ ทาให้บริษทั ร้วู ่า
ในขั้นตอนการผลิต ข้ันตอนใดเป็นขั้นตอนท่ีจาเป็นและขั้นตอนใดเป็นข้ันตอนที่ไมจ่ าเป็นในการผลิต
ทาให้สามารถตดั ข้ันตอนเหลา่ น้ันทง้ิ ได้ และช่วยลดคา่ ใช้จ่ยในการผลติ อกี ด้วย ซ่ึงแตกตา่ งจากวธิ ีคิด

บทท่ี 8 ระบบทนั เวลาพอดีเพือ่ ประสิทธภิ าพในงานจดั ซอ้ื จดั หา 185

ในการผลิตแบบเดิม ท่ีมุ่งเน้นไปท่ีการผลิตทุกข้ันตอน โดยสุดท้ายอาจจะได้สินค้าหรือบริการท่ีเกิน
ความต้องการของตลาดหรือเปน็ สินคา้ ทไ่ี ม่ไดเ้ ปน็ ท่ตี ้องการของลูกคา้

8.1.3 การใชห้ ลักการ ดึง (Pull) แทนทก่ี ารผลัก (Push)
ในการผลิตแบบดั้งเดิม วิธีที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบัน คือ “การผลัก (Push)” โดยเป็น

การผลิตแบบตามสายพานการผลิตเป็นฐาน (station) โดยเป็นข้ันตอนเป็นตอนไป ส่งต่อกันไป
เรื่อยๆ โดยการผลิตแบบน้ีมีข้อดีคือ การท่ีแต่ละฐาน (station) สามารถโฟกัสงานท่ีต้องทาและ
สามารถทาได้อย่างรวดเร็ว แต่การผลิตแบบน้ีก็มีข้อเสีย เช่นกัน คือจะทาให้สายการผลิต ค่อนข้าง
ยาวมาก โดยเฉพาะอย่างย่ิงในปัจจุบันท่ีความต้องการของผู้บริโภคเกิดการเปล่ียนแปลงอยู่อย่าง
สม่าเสมอ ซ่ึงการผลิตแบบนี้จะไม่สามาถปรับตัวตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงตรงน้ันได้ ทาให้
ในบางครั้งของท่ีผลิตออกมา ไม่สามารถขายได้ หรือต้องเป็นสินค้าคงเหลือในคลังสินคา้ หรือสนิ คา้ ที่
อยู่ในระหว่างข้ันตอนการผลิต (work in process) โดยในบางทีอาจสูงถึง 70% ของมูลค่าการผลิต
กเ็ ป็นได้

ซึ่งหลักการผลิต “แบบดึง (Pull)” จึงมีความยืดหยุ่นมากกว่า เพราะเป็นการผลิตที่ตาม
ความต้องการของลูกค้าและมีสายการผลิตท่ีสนั้ กว่า ทาให้พร้อมต่อการเปล่ียนแปลงอยูาตลอดเวลา
และไม่เกดิ สินค้าคงเหลอื ในคลงั สินค้า

8.2 วัตถุประสงคข์ องการผลิตแบบทันเวลาพอดี
8.2.1 เพือ่ ควบคมุ วสั ดุคงคลงั ให้อย่ใู นระดับท่นี อ้ ยที่สดุ หรือให้เทา่ กับศูนย์ (Zero inventory)
8.2.2 เพื่อลดเวลานาหรือระยะเวลารอคอยในกระบวนการผลิต (Zero lead time)
8.2.3 เพือ่ ขจัดปัญหาของเสียทเ่ี กิดขนึ้ จากการผลติ (Zero failures)
8.2.4 เพอื่ ขจัดความสญู เปล่าในการผลติ (Eliminate 7 Types of Waste) ดังตอ่ ไปนี้
ก) การผลิตมากเกินไป (Overproduction) ชนิ้ สว่ นและผลิตภัณฑ์ถกู ผลิตมากเกินความ
ต้องการ
ข) การรอคอย (Waiting) วัสดุหรือข้อมูลสารสนเทศ หยุดน่ิงไม่เคล่ือนไหวหรือติดขัด
เคลอ่ื นไหวไมส่ ะดวก
ค) การขนส่ง (Transportation) มีการเคล่ือนไหวหรือมีการขนย้ายวัสดุในระยะทางที่
มากเกนิ ไป
ง) กระบวนการผลิตที่ขาดประสิทธิภาพ (Processing itself) มีการปฏิบัติงานที่ไม่
จาเป็น

186 การจดั การการจัดหาและการจดั ซอื้

จ) การมีวัสดุหรือสินค้าคงคลัง (Stocks) วัตถุดิบและผลิตภัณฑ์สาเร็จรูปมีเก็บไว้มาก
เกินความจาเปน็

ฉ) การเคล่ือนไหว (Motion) มีการเคล่ือนไหวท่ไี มจ่ าเป็นของผู้ปฏบิ ัติงาน
ช) การผลิตของเสีย (Making defect) วัสดุและข้อมูลสารสนเทศไม่ได้มาตรฐาน

ผลติ ภณั ฑไ์ มม่ ีคณุ ภาพ

8.3 ผลทเี่ กิดจากการผลติ แบบทันเวลาพอดี
ระบบทันเวลาพอดสี ่งผลตอ่ ประสิทธิภาพในงานจดั หาจดั ซื้อดงั ต่อไปน้ี
8.3.1 ปริมาณการผลิตขนาดเล็ก (Small lot size) ระบบ JIT จะพยายามควบคุมวัสดุคงคลัง

ให้อยู่ในระดับที่น้อยท่ีสุดเพ่ือไม่ก่อให้เกิดต้นทุนในการจัดเก็บและต้นทุนค่าเสียโอกาส จึงผลิตใน
ปรมิ าณท่ีตอ้ งการ

8.3.2 ระยะเวลาการติดต้ังและเร่ิมดาเนินงานสั้น (Short setup time) ผลจากการลดขนาด
การผลิตให้เล็กลงทาให้ฝ่ายผลิตต้องเพิ่มความถี่ในการจัดการข้ึน ดังน้ันผู้ควบคุมกระบวนการผลิต
จงึ ต้องลดเวลาการตดิ ตั้งใหส้ ้ันลง

8.3.3 เปน็ การยกระดับคณุ ภาพสินคา้ ให้สงู ขึ้นและลดของเสยี จากการผลิตใหน้ ้อยลง
8.3.4 ตอบสนองความตอ้ งการของตลาดได้เร็ว
8.3.5 พนักงานจะมีความรับผดิ ชอบต่องานของตนเองและงานของสว่ นรวมสงู มาก

8.4 ประโยชน์ของระบบการจดั การวัตถุดิบต่อการผลิตแบบทนั เวลาพอดี
ระบบการจัดการวตั ถุดิบต่อการผลติ แบบทนั เวลาพอดีทาใหเ้ กดิ ประโยชน์ต่อธรุ กิจดงั ต่อไปน้ี
8.4.1 ลดค่าใช้จ่ายสาหรับการส่ังวัตถุดิบ คือส่ิงที่เป็นส่ิงที่สาคัญในการดาเนินธุรกิจ โดยใน

ปัจจุบันหลายๆธุรกิจต้องพบเจอกับปัญหาเร่ืองกระแสเงินสด เน่ืองจากในอุตสาหกรรมการผลิต
“เงินสด” ส่วนใหญ่ของผู้ประกอบการจะใช้ไปสาหรับการซ้ือวัตถุดิบในการผลิต และใช้เวลานาน
ในการขายให้กับลูกค้า หรือรอเก็บเงินจากลูกค้า ทาให้ขาดกระแสเงินสด ดังนั้นการผลิตแบบ
ทนั เวลาพอดี จะเข้ามาลดคา่ ใช้จ่ายสาหรับเงินทถ่ี กู ใชไ้ ปจานวนมากกบั วัตถุดิบ

8.4.2 ลดค่าใชจ้ ่ายสาหรับสินค้าคงคลังในการใช้วธิ ีการผลิตแบบทันเวลาพอดี จะช่วยลดสินค้า
คงเหลือในคลังสินค้า เน่ืองจากการผลิตท่ีตามความต้องการของลูกค้า ทาให้จานวนผลิตมาน้ัน
ไม่เหลือหรือเหลือน้อย โดยในบริษัทท่ีปรับวิธีการผลิตแบบทันเวลาพอดี ไปใช้สามารถลดสินค้า
คงเหลือในคลังสินคา้ ได้ 90 % ทาให้สามารถลดค่าใช้จา่ ยจากสินคา้ คงเหลอื ได้มาก

บทท่ี 8 ระบบทนั เวลาพอดีเพ่อื ประสิทธิภาพในงานจัดซ้ือจดั หา 187

8.4.3 ลดพ้ืนท่ีสาหรับเก็บสนิ ค้า เม่ือนาการผลิตแบบทันเวลาพอดีมาใช้ ทาให้การผลติ ไม่เหลือ
วัตถุดิบคงเหลือในคลังสินค้า อีกหนึ่งส่ิงที่ลดลงตามไปด้วย คือ การใช้พื้นท่ีในการจัดเก็บสินค้าและ
วตั ถุดิบ คือ สามารถลดพ้นื ที่ในการจดั เก็บสนิ ค้าและวตั ถดุ ิบได้ จากการมีสนิ ค้าคงคลังท่ีลดลง ทาให้
บรษิ ัทสามารถลดค่าใชจ้ ่ายไปไดเ้ พมิ่ เตมิ

8.4.4 ลดค่าใช้จ่ายสาหรับอุปกรณ์ในการผลิต เม่ือจานวนสินค้าท่ีผลิตผ่านกระบวนการผลิต
แบบ JIT ดังน้ันสินค้าท่ีผลิตออกมามีจานวนไม่มาก โดยทาให้บริษัทสามารถเลือกเครื่องจักรท่ี
เหมาะสมในราคาท่ีถกู ลงมาได้ และไม่จาเป็นตอ้ งใช้เครือ่ งจักรที่หนักและมีค่าใชจ้ ่าสูงในการผลิต ทา
ให้ผู้ประกอบการสามารถลดค่าใช้จ่ายตรงส่วนน้ีได้ และสามารถวางแผนเร่ืองค่าใช้จ่ายในซ่อมบารุง
ภายหลงั ได้

8.4.5 ลดระยะเวลา Lead Timeกรรมวิธีการผลิตแบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี อีกหนึ่ง
จุดเด่นของกรรมวิธีแบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี คอื เร่ืองของการลดระยะเวลาในการดาเนินงาน
โดยเนื่องจากการมี Supplier ท่ีพร้อมส่งของให้ตามการซ้ือขาย ทาให้ทางบริษัทมีของท่ีพร้อมกับ
ความต้องการของลูกค้าอยู่ตลอดเวลา ทาให้หากลูกค้าต้องการสินค้า หรือเกิดการเปล่ียนแปลง
เก่ียวกับสนิ คา้ กพ็ รอ้ มสาหรบั การผลติ อยตู่ ลอด และไม่พลาดโอกาสต่างๆทเี่ กิดขนึ้

8.4.6.ลดขั้นตอนการวางแผนการผลิตท่ียุ่งยากด้วย Kanban ด้วยกรรมวิธีในการปฏิบัติงาน
แบบ Kanban ระบบ Kanban คือระบบการใช้ บัตร ป้าย หรือกระดานบันทึกสั้นๆ ในระบบ
การผลติ แบบทันเวลาพอดี โดยคนงานที่อยู่ในขั้นตอนถัดไปจะนาช้ินส่วนมาจากขั้นตอนกอ่ นหน้าตน
โดยทิ้งคัมบังไว้โดยระบุไว้ในคัมบังนั้นว่า ตนได้นาชิ้นส่วนไปจานวนเท่าไร เมื่อใช้ช้ินส่วนหมดแล้ว
ก็ส่งคัมบังแผ่นเดิมกลับไปยังข้ันตอนก่อนหน้าตนเพื่อส่งช้ินส่วนเพิ่มเติม การใช้คัมบังน้ี คือส่วนท่ี
สาคัญที่สุดของระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี ดังนั้น ระบบการผลิตแบบทันเวลาพอดี จึงมีช่ือ
เรียกอีกอย่างว่า “คัมบัง” โดยบริษัทโตโยต้ามอเตอร์นามาใช้เป็นบริษัทแรก เพ่ือลดค่าใช้จ่าย และ
ลดการสูญเสียท่ีเกดิ จากการเกบ็ ช้ินส่วนทไ่ี ม่ได้ใช้ไว้มากเกนิ ความจาเปน็ หลักการสาคัญของระบบน้ี
คือ คนงานแต่ละคนจะรับปริมาณชิ้นส่วนเท่าท่ีจาเป็นของตนเท่าน้ัน จึงไม่จาเป็นต้องเก็บรักษา
ช้ินส่วนท่ีเกินความจาเป็นเอาไว้) จะช่วยในการสั่งงานที่ยุ่งยากและซับซ้อนให้ง่ายขึ้น และสามารถ
บริหารวัตถุดิบที่มีอยู่ตามความต้องการและสามรถวางแผนการซื้อของจาก Supplier ได้อย่าง
แมน่ ยา

188 การจดั การการจัดหาและการจัดซ้อื
8.5 ระบบคมั บัง (Kanban System)
8.5.1 ความหมายของระบบคัมบงั (เรืองวทิ ย์ เกษสุวรรณ, 2561) ระบบคัมบงั คือระบบควบคุม
การผลิตด้วยการใช้บัตร Kanban เพ่อื ส่ือสารและควบคุมในการผลิตสนิ ค้าก็ต่อเม่ือมคี าสงั่ ซื้อเกิดข้ึน
เท่านั้น ระบบคัมบังถือได้ว่าเป็นส่วนหน่ึงของระบบ JIT ท่ีได้รับการพัฒนาข้ึนมาเพื่อช่วยให้
การทางานมีการประสานงานท่ีดีและมีประสิทธิภาพ ระบบคัมบังของโตโยต้าใช้แผ่นกระดาษเพื่อ
เป็นสัญญาณแสดงความต้องการใหม้ ีการ “ส่ง” ชิ้นส่วนเพ่ิมเตมิ (Conveyance Kanban : C-card)
และใช้แผ่นกระดาษเดียวกันหรือท่ีมีลักษณะ เหมือนกันเพื่อเป็นสัญญาณแสดงความต้องการให้
“ผลิต” ชน้ิ สว่ นเพิม่ ขึน้ (Production Kanban : P-card ) ซึ่งบตั รน้จี ะตดิ ไปกับภาชนะ (Container)
ท่ีใส่วัตถุดิบ หรือระบบบัตรสองใบ (Two-card System ) โดยมีเกณฑ์สาหรับการดาเนินงาน
ดงั ตอ่ ไปน้ี
(1) ในแตล่ ะภาชนะจะต้องมบี ตั รอยดู่ ้วยเสมอ
(2) หน่วยงานประกอบจะเปน็ ผ้เู บิกจา่ ยชน้ิ ส่วนจากหน่วยผลติ โดยระบบดงึ
(3) ถ้าไม่มีใบเบิกทมี่ ีคาส่งั อนุมตั ิ จะไม่มีการเคล่ือนภาชนะออกจากที่เกบ็
(4) ภาชนะจะตอ้ งบรรจุชนิ้ สว่ นในปริมาณท่ีถูกต้องและมีคุณภาพทดี่ เี ท่านั้น
(5) ชนิ้ ส่วนท่ีดเี ท่านั้นที่จะถูกจัดส่งและใชง้ านในสายการผลิต

ภาพที่ 8.1 ระบบการทางานของคัมบงั
ที่มา: (เรอื งวทิ ย์ เกษสุวรรณ, 2561)

บทท่ี 8 ระบบทันเวลาพอดีเพ่ือประสทิ ธิภาพในงานจัดซอื้ จดั หา 189

ผลผลิตรวมจะไม่มากเกินไปกว่าคาสั่งการผลิตที่ได้บันทึกลงใน P-card และวัตถุดิบที่เบิก
ใช้จะต้องไม่มากเกินกว่าจานวนชิ้นส่วนท่ีบันทึกลงใน C-card ในสายการประกอบหน่ึง ชิ้นส่วนท่ี
จาเปน็ ในการผลิตมี ชน้ิ ส่วน A และช้ินสว่ น B ซ่ึงผลติ โดยกระบวนการหนา้

ชิ้นส่วน A และช้ินส่วน B เมื่อถูกผลิตขึ้นแล้วจะเก็บไว้ท่ีคลังข้างหน่วยผลิต และคัมบัง
ส่ังผลิตจะถูกติดไว้กับช้ินส่วนท่ีผลิตข้ึนน้ี พนักงานขนของจากสายประกอบซ่ึงกาลังประกอบ
ผลิตภัณฑ์ A จะไปยังคลังของหน่วยผลิตเพื่อเบิกถอนชิ้นส่วน A เท่าที่จาเป็นโดยนาคัมบังเบิกถอน
ไปด้วย และที่คลังของชิ้นส่วน A เขาจะหยิบกล่องบรรจุชิ้นส่วน A ตามจานวนของคัมบังเบิกถอน
และจะปลดคัมบังสั่งผลิตที่ติดอยู่กับชิ้นส่วน A ออกจากกล่องเหล่านี้ไว้ท่ีคลัง จากนั้นเขาก็จะนา
กล่องชน้ิ ส่วน A ไปยังสายประกอบพร้อมกับคัมบังเบิกถอน ในเวลาเดียวกันคัมบังสั่งผลิตท่ีโดนปลด
ไว้ที่คลังชิ้นส่วน A ของหน่วยผลิตจะแสดงถึงจานวนหน่วยของช้ินส่วนท่ีโดนเบิกถอนไป บัตรคัมบัง
เหล่าน้ีจะเป็นเสมือนคาส่ังผลิตให้แก่หน่วยผลิตในกระบวนการหน้า ซ่ึงชิ้นส่วน A ก็จะถูกผลิตขึ้น
ตามจานวนบัตรคัมบังส่ังผลิต ตามปกติในหน่วยผลิต ชิ้นส่วน A และชิ้นส่วน B จะถูกเบิกถอนไป
ท้ังคู่ แต่ช้ินส่วนเหล่าน้ีจะถูกผลิตขึ้นตามลาดับการโดนปลดออกของคัมบังส่ังผลิตหรืออีกนัยหนึ่ง
คอื ตามลาดบั การเบกิ ถอนของชิน้ ส่วนโดยสายประกอบนัน่ เอง

โดยในบัตร Kanban จะตอ้ งมรี ายละเอยี ดข้อมลู ท่สี าคัญ ดงั นี้
ก) ชือ่ และหมายเลขของวัตถดุ ิบหรือสิง่ ท่ตี อ้ งการ
ข) หมายเลขของบัตร Kanban
ค) จานวนช้นิ ท่ีต้องการ
ง) ชื่อผู้ผลิต หรอื จดุ ผลติ ท่ตี ้องการใหช้ ้ินสว่ นหรือวัตถดุ บิ มาสง่
8.5.2 ประโยชนข์ องระบบคัมบงั

(1) การใช้ระบบ Kanban ทาให้เกิดการส่งวัตถุดิบไปหาหน่วยงานที่ทาการผลิตโดยตรง
ด้วยจานวนทต่ี ้องการ ทาให้ไลน์การผลติ ไม่เตม็ ไปด้วยวัตถุดิบที่รอการผลติ

(2) ลดความผิดพลาดในการผลิต เน่ืองจากวัตถุดิบท่ีนามาใช้มีจานวนพอดี ทาให้ไม่เกิด
การผดิ พลาดในการประกอบสนิ คา้ เกินหรือขาด

(3) ลดปัญหาความล่าช้าในการจัดส่งวัตถุดิบของซัพพลายเออร์ เพราะการผลิตแบบ
ระบบ Kanban จะเป็นกระบวนผลิตแบบยืดหยุ่นและมีความสม่าเสมอ ทาให้มีเวลาท่ีแน่นอน
ในการส่งวตั ถุดิบ ซ่ึงการลดความสูญเปลา่ จากกระบวนการผลิตเกินความจาเป็น และการเก็บสินค้า
คงคลังที่นาไปส่ตู ้นทนุ จากการเก็บรักษา รวมถงึ ความเสี่ยงในการทเ่ี ปน็ สนิ คา้ ลา้ สมัย


Click to View FlipBook Version