8.9.2 การเพิ่มประสทิ ธภิ าพการถา่ ยเทความรอ้ น
ตวั อยา่ งการคํานวณผลประหยดั จากการเพม่ิ ประสทิ ธภิ าพการถ่ายเทความรอ้ น
โจทย์ตัวอย่าง โรงงานอุตสาหกรรมแห่งหน่ึงทําความสะอาดระบบทําความเย็นของ Chillers ขนาด 100
Ton ทําใหป้ ระหยัดได้ดังน้ี
กอ่ นทําความสะอาดวดั กาํ ลงั ไฟฟา้ ได้ 113.9 kW ใช้พลงั งานไฟฟา้ 2,420 kWh
หลังทาํ ความสะอาดวดั กําลังไฟฟา้ ได้ 97.3 kW ใช้พลงั งานไฟฟ้า 2,229 kWh
(ผลการตรวจวัดในเวลา 7 วัน คิดอัตราค่าไฟฟ้าแบบปกติ โดยค่าความต้องการกําลังไฟฟ้า 196.26 บาท/kW
และคา่ พลงั งานไฟฟา้ 2.7815 บาท/kWh)
วธิ กี ารคํานวณ
ลดคา่ ความตอ้ งการไฟฟ้าสูงสดุ = 113.9 - 97.3 = 16. 6 kW
ผลการประหยดั =16.6 (kW) x 196.26 (บาท/kW) x 12 (เดอื น/ป)ี = 39,095 บาท/ปี
ลดการใช้พลังงานไฟฟา้ = 2,420 - 2,229 = 191 kWh
ผลการประหยัดได้ = 191 (kWh) x 2.7815 (บาท/kWh) x 52 (สปั ดาห/์ ปี)
= 27,626 บาท/ปี
รวมผลการประหยัด = 27,626 + 39,095
= 66,721 บาท/ปี ตอบ
8.9.3 การปรบั ตง้ั อณุ หภมู ใิ ห้เหมาะสม
ตัวอยา่ งการคํานวณผลประหยดั จากการปรับต้ังอุณหภมู ใิ ห้เหมาะสม
โจทย์ตัวอย่าง โรงแรมมีการใช้งานเคร่ืองปรับอากาศแบบรวมศูนย์พิกัดการทําความเย็น 150 ตันความเย็น
อุณหภูมิการปรับอากาศภายในอาคารมีค่า 22 -23 oC อุณหภูมินํ้าเย็นอยู่ท่ี 45 oF (7.22 oC) ดังนั้นจึงทําการ
ปรับอุณหภูมินํ้าเย็นเพ่ิมข้ึนเป็น 47 oF (8.33 oC) โดยทําการตรวจวัดการใช้ไฟฟ้าก่อนและหลังปรับปรุงมี
รายละเอียดดังน้ี
ก่อนปรบั อุณหภูมวิ ัดกาํ ลังไฟฟ้าได้ 101.0 kW ใช้พลังงานไฟฟา้ 7,070 kWh
หลังปรบั อุณหภูมิวดั กาํ ลงั ไฟฟา้ ได้ 98.4 kW ใช้พลงั งานไฟฟ้า 6,888 kWh
(ผลการตรวจวัดในเวลา 7 วนั คิดอัตราค่าไฟฟ้าแบบ TOU โดยค่าความต้องการกําลงั ไฟฟ้า 132.93 บาท/kW
และคา่ พลังงานไฟฟา้ เฉล่ีย 3.00 บาท/kWh)
วธิ กี ารคาํ นวณ
ลดคา่ ความตอ้ งการไฟฟ้าสงู สุดได้ = 101.0 – 98.4 = 2.6 kW
ผลการประหยดั =2.6 x 132.93 x 12 = 4,147.4 บาท/ปี
ลดการใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ = 7,070 – 6,888 = 182 kWh/สปั ดาห์
ผลการประหยดั ได้ = 182 x 3 x 52 = 28,392 บาท/ปี
รวมผลการประหยดั = 4,147.4 + 28,392
= 32,539.4 บาท/ปี ตอบ
1-29 | P a g e
8.9.4 การเลือกใชอ้ ปุ กรณ์ประสิทธิภาพสูง
แนวทางการประหยัดพลังงานสําหรับระบบทําความเย็นโดยการเลือกใช้อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง
มรี ายละเอียดแยกตามแตล่ ะอปุ กรณ์ดังตอ่ ไปน้ี
ระบบส่งจ่ายลมเย็นถือว่าเป็นส่วนหน่ึงของระบบปรับอากาศ แนวทางการประหยัดพลังงานต่าง
ๆ ของระบบส่งจ่ายลมเย็น จงึ ถอื ได้วา่ เปน็ หลกั สาํ คัญในการชว่ ยใหร้ ะบบปรับอากาศมีประสิทธิภาพรวม
ด้านพลงั งานที่ดีข้นึ
รูปที่ 8-25 ระบบสง่ จา่ ยอากาศเย็นทม่ี ีประสิทธภิ าพ
1) พดั ลม
พัดลมเป็นอุปกรณ์ที่ทําหน้าที่ในการขับเคลื่อนลม การเลือกใช้พัดลมจะขึ้นกับความดันลมที่
ต้องการปริมาณลม การใช้พลังงานและระดับเสียง โดยเฉพาะเรื่องการใช้พลังงานและระดับเสียง เมื่อก่อนไม่
ค่อยได้ให้ความสําคัญมากนัก แต่ในปัจจุบันจะเห็นว่าเริ่มมีการให้ความสําคัญเก่ียวกับการประหยัดพลังงาน
และความเงยี บ ซ่งึ ได้กลายเป็นจุดขายไปแล้ว
รูปท่ี 8-26 พดั ลม
1-30 | P a g e
2) ฉนวนทอ่ ลม
โดยปกติลมเย็นท่ีไหลในท่อลมจะมีอุณหภูมิต่ํากว่าอากาศภายนอก ดังน้ัน ความร้อนจาก
ภายนอกท่อจึงไหลเข้าไปในท่อลมได้ ซึ่งจะทําให้อุณหภูมิลมเย็นสูงข้ึน เคร่ืองทําความเย็นจะทํางานหนักข้ึน
สิ้นเปลืองพลังงาน การพิจารณาตรวจสอบและซ่อมแซมฉนวนท่อลมจะช่วยประหยัดพลังงานในระบบปรับ
อากาศ
รูปท่ี 8-27 ฉนวนทอ่ ลม
3) ทอ่ ลม
โครงสร้างของท่อลมประกอบจากแผ่นสังกะสีพับขึ้นเปน็ รูปท่อน ซ่ึงมักจะเป็นรูปสี่เหล่ียมแล้วหุ้ม
ทับภายนอกด้วยฉนวนใยแก้ว ที่มีอลูมิเนียมฟอยล์เป็นเปลือกนอกอีกช้ันหน่ึง เพื่อป้องกันไม่ให้ฉนวนใยแก้ว
หลุดลุ่ย ความหนาของแผ่นสังกะสี และลักษณะการพับข้ึนรูปของท่อลมจะมีมาตรฐานกําหนดให้เหมาะสมกับ
ขนาดของทอ่
รปู ท่ี 8-30 ทอ่ ลม
1-31 | P a g e
4) หัวจา่ ยลมเยน็
ติดตั้งตรงปากท่อลมสง่ เพอื่ ช่วยในการกระจายลมเย็น และเพอ่ื ความสวยงาม โดยมีคุณสมบัตใิ น
การจ่ายลม เพ่ือใหเ้ กิดประสทิ ธภิ าพดา้ นพลังงานสูงสุด ควรเลอื กหวั จ่ายลมเยน็ ท่ีทาํ ให้เกิดความดนั ตกครอ่ ม
น้อยและสามารถกระจายลมได้ดี
รปู ที่ 8-28 หัวจ่ายลมเย็น
5) แดมเปอร์
เปน็ อุปกรณป์ ระกอบในระบบท่อลม เพือ่ ควบคุมปรมิ าณลม เพ่อื ผลของการประหยดั พลงั งานควร
ลดความดนั ตกครอ่ มทีม่ อี ยใู่ นระบบโดยการหลกี เลี่ยงการติดต้งั Air Volume Damper ทีไ่ มจ่ ําเปน็
รปู ท่ี 8-29 แดมเปอร์
1-32 | P a g e
6) กรองอากาศ
แผงกรองอากาศท่ัวไปใช้วัสดุทําจากใยแก้วชนิดหยาบ อลูมิเนียมหรือเส้นลวดสานจะมี
ประสิทธิภาพในการกรองต่ํามักจะดักฝุ่นที่มีอนุภาคใหญ่ท่ีมองด้วยตาเปล่า ส่วนฝุ่นละอองหรือเชื้อโรคท่ีมี
อนุภาคเล็กยังคงผ่านไปได้ ซ่ึงถ้าเข้าไปมากจะไปจับที่คอยล์เย็น ทําให้การแลกเปลี่ยนความร้อนลดลง และไป
จับที่โคมไฟฟ้า และหลอดไฟฟ้า ทําให้คุณภาพแสงลดลง ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการบํารุงรักษามากขึ้น รวมทั้ง
ส่งผลกระทบถึงสขุ ภาพของผ้อู าศยั ภายในอาคารดว้ ย ดงั นั้น ควรพิจารณานําแผ่นกรองอากาศประสิทธิภาพสูง
มาใช้
รูปที่ 8-30 กรองอากาศ
7) อุปกรณ์อื่นๆ เพม่ิ เตมิ
7.1) ความยาวทอ่ ลมทีเ่ หมาะสม
ความยาวของทอ่ ลมในเกณฑป์ ระมาณ 40 – 50 เมตร จัดว่าเปน็ ระยะที่ยาวมากแล้ว
โดยทั่วไปมกั จะไม่เกนิ เกณฑน์ ้ี แต่ถ้าต้องเกนิ จรงิ วศิ วกรจะตอ้ งตรวจความดันของพัดลมใหเ้ พียงพอ และ
ต้องระวงั ในเรอื่ งเสียงของพดั ลมมากขึ้น ประกอบกบั มอเตอร์พัดลมจะตอ้ งมีขนาดใหญ่ขนึ้
การเดินท่อลมยาว ๆ ต้องระวังเรื่องลมรั่วด้วย เพราะลมจะรั่วจากท่อลมได้จํานวน
หนึ่ง หากลมรั่วมากไปก็เท่ากับเสียลมแอร์ไปโดยเปล่าประโยชน์ ความเร็วของลมในท่อลมเมนมักจะสูง
ถึง 1,500 – 2,000 ฟุต/นาที ดังนั้น โดยท่ัวไปวิศวกรจะเดินท่อแยก (Branch) ออกมาจากท่อเมนก่อน
แล้วขยายท่อเพื่อลดความเร็วของลมลงเหลือไม่เกิน 800 ฟุต/นาที จนถึงหัวจ่ายแอร์ ซึ่งจะจ่ายลมที่มี
ความเร็วประมาณ 400 – 500 ฟตุ /นาที
7.2) มาตรฐาน SMACNA
SMACNA (Sheet Metal and Air Conditioning Contractors National
Association) คือ มาตรฐานการประกอบท่อลม จัดทําโดยสมาคม SMACNA สหรัฐอเมริกา ซึ่งกําหนด
มาตรฐานการสร้างท่อลมข้ึนโดยระบุความหนาโลหะแผ่น วิธีการรัดท่อและเสริมความแข็งแรงท่อ
ตลอดจนการต่อท่อลมเข้าด้วยกัน เพ่ือลดการร่ัวซึมของอากาศ ควรติดตั้งท่อลมให้ได้ตามมาตรฐานที่
กาํ หนด
1-33 | P a g e
รูปที่ 8-31 มาตรฐาน SMACNA
7.3) การแบง่ โซนและระบบสง่ จ่ายลม
แบบปริมาตรแปรเปลี่ยน (VAV) ระบบ VAV จะชว่ ยให้สามารถควบคุมอุณหภูมหิ อ้ งได้
อยา่ งแม่นยํา ตามความต้องการของแตล่ ะพนื้ ท่ี โดยท่วั ไปจะติดตั้งรว่ มกบั Inverter Control ซึง่ จะ
ปรบั ความเร็วรอบของพดั ลมจา่ ยอากาศให้เหมาะสม
8.9.5 การควบคมุ ภาระการทาํ งานของอปุ กรณใ์ นระบบทําความเย็น
แนวทางการประหยัดพลังงานสําหรับระบบทําความเย็นโดยการควบคุมภาระการทํางานของ
อปุ กรณใ์ นระบบทําความเย็น มีรายละเอียดแยกตามแต่ละอปุ กรณ์ดังต่อไปนี้
ระบบปรับอากาศส่วนใหญ่ออกแบบให้มีขนาดพิกัดใหญ่กว่าภาระทําความเย็นจริง เพื่อสํารอง
สําหรับความไม่แน่นอนของสภาพอากาศ จํานวนผู้อาศัยหรืออุปกรณ์ไฟฟ้า ทําให้เกิดภาระต่อการทํา
ความเย็น ถา้ ควบคุมอปุ กรณ์ต่าง ๆ ให้ทํางานได้เหมาะกับความต้องการจรงิ จะช่วยให้ประหยดั พลงั งาน
รูปท่ี 8-32 การควบคุมภาระการทํางานของอุปกรณใ์ นระบบทาํ ความเย็น
1-34 | P a g e
1) เคร่อื งทาํ นํา้ เย็น
การควบคมุ ระบบทําความเย็น
กรณีท่ีภาระทําความเย็นมีการเปล่ียนแปลงตลอดเวลา การควบคุมระบบทําความเย็นเพ่ือให้
อุปกรณ์ในระบบทํางานร่วมกันได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพพลังงาน โดยการควบคุมการทํางานของ
เครอ่ื งทาํ นา้ํ เยน็ การเปดิ ปิดเคร่อื งสบู น้ําและหอระบายความร้อนโดยอตั โนมตั ิ
รูปที่ 8-33 การควบคมุ ภาระการทาํ งานของเครื่องทํานาํ้ เย็น
2) เคร่อื งส่งลมเยน็
การควบคมุ ระบบสง่ จ่ายลมเย็น
การควบคุมระบบส่งจ่ายลมเย็นโดยการนําระบบส่งจ่ายลมเย็นแบบปริมาตร แปรเปลี่ยน
(Variable air volume; VAV) มาใช้จะช่วยให้ประมาณลมเย็นทีง่ ่ายให้กับพื้นที่ปรบั อากาศแปรเปลี่ยนไปตาม
ภาระทําความเย็น ทําให้เพม่ิ ประสิทธิภาพการใช้พลังงานในระบบปรับอากาศ
รูปท่ี 8-34 การควบคุมภาระการทาํ งานของเครื่องสง่ ลมเยน็
1-35 | P a g e
3) เคร่ืองสบู นํา้
การควบคุมความเรว็ รอบเครอ่ื งสบู นํา้ เย็นทตุ ยิ ภูมิ
สามารถปรับปริมาณน้ําได้ตามภาระทําความเย็นโดยอาศัยความดันตกคร่อมที่เครื่องส่งลมเย็น
เป็นสัญญาณในการควบคุม เมื่อภาระทําความเย็นลดลง อัตราการไหลท่ีเครื่องสูบนํ้าลดลงด้วย ทําให้ระบบส่ง
จ่ายนํ้าเย็นมีประสิทธิภาพพลังงานส่วนเคร่ืองสูบน้ําปฐมภูมิมีข้อจํากัดในการปรับปริมาณน้ํา เพราะต้องรักษา
อัตราการไหลของน้าํ เข้าเครื่องทําน้ําเยน็ ไมใ่ ห้ตํ่ากวา่ ทีก่ ําหนด มิฉะน้ันอาจเกดิ ความเสียหาย
รปู ที่ 8-35 การควบคุมภาระการทํางานของเครอื่ งสบู นา้ํ
4) หอระบายความรอ้ น
การควบคุมการทํางานของหอระบายความร้อน
เพ่ือให้หอระบายความร้อนทํางานตามภาระความเย็นอย่างเหมาะสม เพราะในบางคร้ังภาระทํา
ความเย็นลดลง สามารถหยดุ การทาํ งานของหอระบายความรอ้ นและเครื่องสูบน้ําได้ ช่วยให้ระบบระบายความ
ร้อนมปี ระสทิ ธิภาพพลังงาน
รูปที่ 8-39 การควบคมุ ภาระการทํางานของหอระบายความรอ้ น
1-36 | P a g e
8.9.6 การบํารงุ รกั ษาระบบทําความเย็น
สําหรับการบํารุงรักษาระบบทําความเย็นเพ่ือการประหยัดพลังงานของระบบทําความเย็นมี อยู่
2 แนวทางหลัก คือ ปจั จัยการออกแบบระบบปรับอากาศที่ดี และการบํารุงรักษาระบบปรบั อากาศดัง
แสดงรายละเอียดต่อไปนี้
1) ปจั จัยการออกแบบระบบปรับอากาศท่ดี ี
การถ่ายเทความร้อนรวมของกรอบอาคาร การออกแบบอาคารที่ดีต้องพิจารณาค่าการ
ถ่ายเทความร้อนรวมของกรอบอาคารเพื่อประเมินความร้อนที่เข้าในอาคารที่มีการปรับ
อากาศ
ประเภทระบบปรับอากาศท่ีเหมาะสม เลือกประเภทระบบปรับอากาศให้สอดคล้องกับ
ลักษณะการใช้งาน ขนาดและพ้ืนที่ปรับอากาศช่ัวโมงการทํางาน รวมท้ังงบประมาณและ
การบํารุงรกั ษา
การควบคุมอย่างมีประสิทธิภาพ การควบคุมระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ ทําให้
อุปกรณ์ต่าง ๆ ทํางานได้อย่างสอดคล้องกับภาระการทําความเย็นที่เกิดข้ึนจริงช่วยให้
ประหยัดพลงั งาน
2) การบํารงุ รกั ษาระบบปรับอากาศ
2.1) เครือ่ งสง่ ลมเยน็
การบาํ รงุ รกั ษาอุปกรณ์ตา่ ง ๆ ในเครอ่ื งสง่ ลมเย็น โดยทวั่ ไปมีดงั นี้
แผงกรองอากาศ
ขดท่อทาํ ความเย็น
พดั ลม
รูปที่ 8-36 การบํารงุ รกั ษาเคร่ืองสง่ ลมเยน็
2.2) ทอ่ ลม
การตรวจสอบลมรั่วที่ท่อลมและฉนวนหุ้มท่อลม โดยปกติลมร่ัวที่ท่อลมไม่ควรจะเกิน 5%
ของปรมิ าณลมจ่าย ถ้าหากมีลมรั่วระหว่างทางมาก ลมก็จะถึงปลายทางน้อย การตรวจสอบรอยรั่วท่ี
ท่อลมในข้ันต้นทําโดยวิธีฟังเสียงลมรั่ว หากได้ยินเสียงลมรั่วท่ีบริเวณใด ให้เข้าค้นหาจุดรั่วให้พบแล้ว
อุดด้วยซิลิโคน จุดรั่วท่ีพบบ่อย เช่น ช่วงรอยต่อระหว่างท่อลมกับหัวจ่าย หัวมุมของหน้าแปลนต่อท่อ
ลม รอยตอ่ ระหว่างทอ่ ลมแขง็ กบั ทอ่ ลมออ่ น รอยตอ่ ระหวา่ งกลอ่ งลมกบั หัวจ่ายแบบสล็อท เปน็ ต้น
1-37 | P a g e
โดยปกติลมเย็นท่ีไหลในท่อลมจะมีอุณหภูมิตํ่ากว่าอากาศภายนอก ดังน้ัน ความร้อนจาก
ภายนอกท่อจึงไหลเข้าไปในท่อลมได้ การพิจารณาตรวจสอบและซ่อมแซมฉนวนท่อลมจะช่วย
ประหยัดพลงั งานในระบบปรบั อากาศ
รปู ที่ 8-37 การบาํ รุงรักษาทอ่ ลม
2.3) เครอื่ งควบแนน่
การทําความสะอาดเคร่ืองควบแน่นจะช่วยให้พ้ืนผิวการถ่ายเทความร้อนสะอาดขึ้น เพ่ิม
ประสทิ ธภิ าพใหก้ บั ระบบปรบั อากาศ ดังน้ี
รปู ที่ 8-38 การบาํ รงุ รักษาเครือ่ งควบแนน่
1-38 | P a g e
ใช้การเติมนา้ํ ยาเคมี เพื่อทาํ ความสะอาดทอ่ คอนเดนเซอร์
ใช้แปรงในการทําความสะอาดท่อคอนเดนเซอร์ แบบน้ีจะต้องหยุดเดินเคร่ือง
เพื่อทาํ ความสะอาด โดยทั่วไปจะทาํ ความสะอาดปีละครง้ั
การทําความสะอาดคอนเดนเซอร์อัตโนมัติ ทําให้ท่อคอนเดนเซอร์สะอาด
ตลอดเวลา
การควบคุมคุณภาพน้ําอย่างเหมาะสมช่วยให้หอระบายความร้อนและท่อ
คอนเดนเซอรส์ ะอาด
2.4) เคร่ืองสูบนา้ํ
ควรตรวจสอบรอยรั่ว นํ้าร่วั ท่ีซลี และทอ่ นํา้ รวมถึงการหล่อล่ืนเพลาและแบร่ิง ควรทําการ
สมดุลและปรับระยะ (Balance & Clearance) ทุกครงั้ ที่มีการเปลยี่ นข้ึนส่วนอุปกรณ์ เพื่อป้องกันความ
เสียหายภายหลงั
รูปท่ี 8-39 การบํารุงรักษาเครื่องสบู น้ํา
2.5) ท่อน้ํา
การตรวจสอบการรั่วของนํ้าเย็นและฉนวนหุ้ม ควรตรวจสอบการร่ัวของท่อนํ้าเย็นและ
ซ่อมแซมฉนวนท่อน้ํา รวมท้ังแก้ไขการร่ัวของนํ้าเย็นท่ีอุปกรณ์ต่าง ๆ เพราะนํ้าเย็นท่ีร่ัวจะทําให้ภาระ
การทํานา้ํ เยน็ ของเคร่อื งทาํ นา้ํ เยน็ เพม่ิ ขึน้ ด้วย
รูปที่ 8-40 การบาํ รุงรักษาทอ่ นํ้า
1-39 | P a g e
2.6) เครื่องปรับอากาศแบบแยกสว่ น
เคร่ืองปรับอากาศแบบแยกส่วนที่ติดตั้งในอาคารจํานวนมาก จะต้องดูแลรักษาอย่าง
สมา่ํ เสมอเพือ่ ใหท้ ํางานไดอ้ ย่างมปี ระสิทธภิ าพและไมส่ นิ้ เปลืองพลังงาน
รูปท่ี 8-41 การบํารงุ รกั ษาเครือ่ งปรับอากาศแบบแยกสว่ น
2.7) หอระบายความรอ้ น
อุณหภูมิในระบบน้ําของหอระบายเหมาะกับการเกิดตะกอน ตะไคร่ และเชื้อแบคทีเรียจึง
ต้องมีการเติมสารเคมี เพ่ือป้องกันส่ิงเหล่าน้ี ซ่ึงจะทําให้ประสิทธิภาพของระบบอาจจะลดลงได้ ควรทํา
ความสะอาดผิวระบายความร้อนรวมถึงหัวกระจายน้ํา และ Basin หรือจัดให้มีการบําบัดคุณภาพนํ้าใน
ระบบน้ําหล่อเย็น
รูปที่ 8-42 การบํารุงรกั ษาหอระบายความรอ้ น
1-40 | P a g e
เฉลย
แบบประเมนิ ผลการเรียน หน่วยที่ 8
เครื่องทาํ ความเย็นและปรบั อากาศขนาดใหญ่
คําสง่ั จงทําเคร่อื งหมาย X ลงขอ้ ที่ถูกต้อง
1. ข้อใดเป็นวตั ถุประสงค์ของ “การแช่เยือกแขง็ อาหาร”
ก. เพื่อการชะลอการเปล่ยี นแปลงทางดา้ นกายภาพและเคมี รวมถงึ ปฏกิ ริ ิยาการขยายพันธขุ์ องจลุ ินทรียท์ ่จี ะ
ทําให้อาหารเนา่ เสีย
ข. เพอ่ื การนําอาหารท่มี อี ุณหภูมิตาํ่ กวา่ จดุ เยือกแขง็ มาเพ่ิมอุณหภูมใิ ห้สงู ขน้ึ
ค. เพื่อเปน็ การถนอมอาหารประเภทเน้อื สตั วเ์ ท่าน้นั
ง. ถูกทกุ ขอ้
2. ลกั ษณะในข้อใด “ไม่ใช่” การแช่แขง็ ในตู้แชแ่ ขง็ ทีม่ ีลมเปา่ (Air Blast freezing)
ก. การแช่แขง็ แบบอโุ มงค์ (Tunnel Freezer)
ข. การแช่แขง็ แบบสายพาน (Belt Freezer)
ค. การแชแ่ ขง็ แบบเปา่ ลอยตวั ในอากาศ (Fluidized Bed Freezer)
ง. การแช่แขง็ ดว้ ยแผ่นโลหะใหค้ วามเยน็ (plate freezing)
3. อุณหภมู ใิ นหอ้ งเยน็ หรือหอ้ งแชแ่ ขง็ อาหาร ขอ้ ใดที่มีความเหมาะสมกับการใชง้ านมากที่สุด
ก. อุณหภูมิต่ํากวา่ 0 °C เพอ่ื ใชใ้ นการแชผ่ ักและผลไม้ และสงู กวา่ 0 °C เพ่อื ใช้ในการแช่เนอื้ และไอศกรมี
ข. อุณหภูมสิ งู กว่า 0 °C เพื่อใชใ้ นการแชผ่ ักและผลไม้
ค. อณุ หภมู ิต่ํากวา่ 0 °C เพื่อใช้ในการแชเ่ นอื้ และไอศกรีม
ง. ถกู เฉพาะขอ้ ข. และ ค.
4. ข้อใด “ไม่ใช”่ โครงสร้างของห้องเยน็ หรอื หอ้ งแช่แข็งอาหาร
ก. ผนัง และเพดานทึบ พร้อมท้ังบฉุ นวนกันความร้อน
ข. รถขนถ่ายสนิ คา้
ค. ประตูคนเขา้ -ออกดา้ น ในและด้านนอก
ง. ประตูขนถา่ ยผลิตภณั ฑ์ดา้ นใน และด้านนอก
1-41 | P a g e
5. “อาคารขนาดใหญ่” ในขอ้ ใดกล่าวถูกต้อง
ก. อาคารที่คนสามารถอยู่ หรือใชส้ อยได้ และมีความสงู ต้งั แต่ 23 เมตรขึน้ ไป จากระดบั พนื้ ดิน เวลาจะวดั กว็ ัด
ถงึ พืน้ ชัน้ ดาดฟ้าในกรณที เ่ี ปน็ หลงั คาแบน แต่ถ้าเปน็ หลังคาจวั่ ให้วดั ถึงยอดผนังของชัน้ สงู สุด
ข. อาคารทส่ี งู จากระดับถนน 15 เมตรข้ึนไป และ พื้นทร่ี วมทกุ ชัน้ เกิน 1,000 ตารางเมตร หรอื มพี ้นื ท่ชี ้นั ใด
ช้นั หน่ึงเกนิ 2,000 ตารางเมตร ไม่วา่ จะสงู เท่าไรกต็ าม
ค. อาคารทม่ี ีพื้นทรี่ วมทุกช้นั หรอื ช้ันเดียวเกิน 10,000 ตารางเมตรอาคารขนาดใหญ่ และขนาด ใหญพ่ ิเศษ มี
สง่ิ ทคี่ ล้ายกนั คือ คนต้องเขา้ ไปใชส้ อย เปน็ ทอ่ี ยู่ หรือประกอบกิจการได้ ซ่งึ คําวา่ การประกอบกจิ การ กค็ ือ
หรอื เป็นสถานทที่ จ่ี ดทะเบยี นการค้าหรือ เป็นสถานที่ ทาํ การค้าขาย หรือทีค่ ้าขายทปี่ ระชาชนทัว่ ไปเข้าไป
ตดิ ตอ่ ได้
ง. ถูกทกุ ข้อ
6. ขอ้ ใด “ไมใ่ ช”่ หลกั ในการเลือกใช้ขนาดทอ่ นา้ํ ยาที่ถูกตอ้ ง
ก. PIPE DIAMETER ขนาดเสน้ ผา่ ศูนย์กลางของทอ่ นา้ํ ยา
ข. PIPE LENGTH ความยาวท่อนํ้ายา
ค. GAS VELOCITY ความเรว็ ในการเคลือ่ นทีข่ องก๊าซ
ง. NUMBER OF FITTINGS จํานวนของขอ้ ต่อต่างๆ เช่น ข้องอ
7. ข้อใดเปน็ ระบบระบายความร้อนของเครือ่ งปรับอากาศแบบชลิ เลอร์
ก. ระบบระบายความรอ้ นด้วยอากาศ
ข. ระบบระบายความรอ้ นด้วยนา้ํ
ค. ถกู ตอ้ งทง้ั ขอ้ ก. และ ข.
ง. ขอ้ ก. ผดิ และขอ้ ข. ถกู ต้อง
8. ขอ้ ใดตอ่ ไปนี้ “ไม่ใช่” อุปกรณห์ ลกั ทสี่ าํ คัญในชิลเลอร์
ก. คอยล์รอ้ น หรือตัวควบแนน่ (Condenser)
ข. คอยลเ์ ย็น (Evaporator)
ค. อปุ กรณล์ ดความดัน (Expansion Valve)
ง. ฉนวนกนั ความรอ้ น (Insulator)
9. ข้อใด “ไม่ใช”่ ชนดิ ของคอมเพรสเซอรท์ ใ่ี ชง้ านทวั่ ไป
ก. แบบลูกสูบ (Reciprocating Compressor)
ข. แบบก๊าซ (Gas compressor)
ค. แบบโรตารี่ (Rotary Compressor)
ง. แบบหอยโข่ง (Centrifugal Compressor)
1-42 | P a g e
10. ข้อใดกล่าวถูกตอ้ งเก่ียวกับ “ระบบกักเกบ็ ความเยน็ ด้วยนํ้าแข็ง”
ก. อุปกรณ์ทเี่ กบ็ ความเยน็ ของนา้ํ แขง็ ทผี่ ลติ ได้ในช่วง Off peak
ข. อุปกรณ์ท่ีเก็บความเยน็ ของน้าํ แข็งทผี่ ลติ ได้ในช่วง On Peak
ค. อปุ กรณ์ทีช่ ่วยเพิม่ คา่ ไฟฟ้าและเพิ่มภาระความตอ้ งการกาํ ลังไฟฟ้าสูงสดุ
ง. ถกู ทกุ ข้อ
11. ขอ้ ใด “ไมใ่ ช”่ ระบบกกั เก็บความเยน็ ด้วยน้าํ แข็งแบบตา่ งๆ ที่ใชก้ นั อยใู่ นปัจจุบนั
ก. ระบบน้ําแขง็ เกาะติดท่อ (Ice On - Coil)
ข. ระบบกระปอ๋ งน้าํ แข็ง (Ice Bucket)
ค. ระบบนา้ํ แขง็ ในภาชนะ (Ice Container)
ง. ระบบเก็นน้ําแขง็ (Ice Harvester)
12. ข้อใดเปน็ คา่ ท่ีแสดงประสทิ ธิภาพการทําความเยน็
ก. Chiller Performance, ChP
ข. Coefficient of Performance, COP
ค. Energy Efficiency Rating, EER
ง. ทุกขอ้ เปน็ คาํ ตอบทีถ่ ูกตอ้ ง
13. โรงงาน A มีเครื่องปรับอากาศแบบรวมศูนยท์ ี่มีความสามารถในการทําความเย็นได้ 150 Ton ท่ีใช้งาน
มาแล้ว 10 ปี และจากการตรวจวัดค่าต่างๆ มผี ลการตรวจวัดดังน้ี (ทําการตรวจวัดเป็นเวลา 7 วัน เพื่อ
หาค่าเฉลยี่ )
กาํ ลงั ไฟฟ้าเฉล่ีย 71.06 kW, อตั ราการไหลของนํ้าเย็นเฉลย่ี 34.01 dm3/s
อณุ หภมู นิ ํา้ เย็นเข้าเฉลี่ย 11.15 oC, อุณหภูมินา้ํ เยน็ ออกเฉลยี่ 9.70 oC
ดังน้ันจงหาค่าประสิทธิภาพของระบบทําความเย็น ณ ปัจจุบัน เพ่ือทําการตัดสินใจเปล่ียน
เครือ่ งปรบั อากาศใหม่
ก. 1.45 kW/TR
ข. 1.21 kW/TR
ค. 1.63 kW/TR
ง. 1.72 kW/TR
14. ข้อใด “ไม่ใช่” แนวทางการประหยัดพลังงานสําหรับระบบทําความเย็นในอุปกรณ์ “คอนเดนเซอร์
(Condenser)
ก. อุณหภูมกิ ารควบแนน่ ควรสูงทสี่ ุดเทา่ ที่จะทําได้เพื่อลดการใชพ้ ลังงาน
ข. เดนิ พัดลมคอนเดนเซอร์และเครอ่ื งสูบนา้ํ ให้มากตวั ท่สี ุดเพอ่ื ให้อณุ หภมู ิควบแน่นตํา่ สดุ
ค. ทาํ ความสะอาดหัวฉดี (Spray nozzles) ของคอนเดนเซอรอ์ ยา่ งสมาํ่ เสมอ
ง. รกั ษาพ้นื ทผี่ วิ ของคอนเดนเซอร์ให้สะอาดและนํา้ ที่ใช้ต้องผ่านการปรับสภาพแลว้
1-43 | P a g e
15. โรงงานอุตสาหกรรมแห่งหน่ึงทําความสะอาดระบบทําความเย็นของ Chillers ขนาด 100 Ton ทําให้
ประหยดั ได้ดงั นี้
กอ่ นทําความสะอาดวัดกําลงั ไฟฟ้าได้ 113.9 kW ใช้พลังงานไฟฟ้า 2,420 kWh
หลงั ทาํ ความสะอาดวัดกําลังไฟฟ้าได้ 97.3 kW ใช้พลงั งานไฟฟ้า 2,229 kWh
ดังน้ันจงหาผลประหยัดรวมท้ังหมดท่ีได้ (ผลการตรวจวัดในเวลา 7 วัน คิดอัตราค่าไฟฟ้าแบบปกติ โดย
คา่ ความตอ้ งการกําลงั ไฟฟ้า 196.26 บาท/kW และค่าพลังงานไฟฟ้า 2.7815 บาท/kWh)
ก. 40,876 บาท/ปี
ข. 66,721 บาท/ปี
ค. 65,765 บาท/ปี
ง. 77,498 บาท/ปี
16. โรงแรมมีการใช้งานเคร่ืองปรับอากาศแบบรวมศูนย์พิกัดการทําความเย็น 150 ตันความเย็น อุณหภูมิ
การปรับอากาศภายในอาคารมีค่า 22 -23 oC อุณหภูมินํ้าเย็นอยู่ท่ี 45 oF (7.22 oC) ดังน้ันจึงทําการ
ปรับอณุ หภูมินํ้าเยน็ เพม่ิ ขึน้ เป็น 47 oF (8.33 oC) โดยทําการตรวจวัดการใช้ไฟฟ้าก่อนและหลังปรับปรุง
มรี ายละเอียดดงั นี้
ก่อนปรับอณุ หภูมิวดั กาํ ลังไฟฟ้าได้ 101.0 kW ใชพ้ ลงั งานไฟฟา้ 7,070 kWh
หลงั ปรบั อุณหภูมิวดั กาํ ลังไฟฟา้ ได้ 98.4 kW ใชพ้ ลังงานไฟฟา้ 6,888 kWh
ดงั นน้ั จงหาผลประหยดั รวมท้งั หมดท่ีได้ (ผลการตรวจวัดในเวลา 7 วัน คดิ อตั ราค่าไฟฟ้าแบบ TOU โดย
คา่ ความตอ้ งการกําลงั ไฟฟา้ 132.93 บาท/kW และคา่ พลงั งานไฟฟา้ เฉลีย่ 3.00 บาท/kWh)
ก. 38,759 บาท/ปี
ข. 35,753 บาท/ปี
ค. 32,539 บาท/ปี
ง. 26,467 บาท/ปี
17. ข้อใดต่อไปน้ี เป็นความหมายของ “แดมเปอร์ (Damper)”
ก. เปน็ อุปกรณป์ ระกอบในท่อลม เพื่อควบคมุ ปริมาณลม
ข. เป็นอุปกรณ์ปรับปริมาณการไหลของนาํ้ เย็น
ค. เปน็ อุปกรณ์กรองอากาศ และฝุน่ ละออง
ง. เปน็ อปุ กรณป์ รับความดันสารทําความเย็น
18. ความยาวท่อลมทเี่ หมาะสมควรอยใู่ นช่วงประมาณกี่เมตร
ก. 30-40 เมตร
ข. 40-50 เมตร
ค. 50-60 เมตร
ง. มากกว่า 60 เมตรขน้ึ ไป
1-44 | P a g e
19. มาตรฐาน SMACNA คอื อะไร
ก. มาตรฐานการประกอบท่อลม
ข. มาตรฐานการประกอบคอมเพรสเซอร์
ค. มาตรฐานการประกอบพดั ลม
ง. มาตรฐานการประกอบหอผ่ึงนํ้า
20. ข้อใดตอ่ ไปนี้ “ไม่ใช”่ การบาํ รงุ รักษาเคร่ืองควบแน่น (Condenser)
ก. ใชก้ ารเตมิ นํ้ายาเคมเี พื่อทําความสะอาดทอ่ คอนเดนเซอร์
ข. ใชแ้ ปรงในการทําความสะอาดท่อคอนเดนเซอร์
ค. การทาํ ความสะอาดคอนเดนเซอร์อตั โนมตั ิ
ง. ใช้นา้ํ กระด้างในการทําความสะอาดคอนเดนเซอร์
1-45 | P a g e
โครงการพฒั นาหลกั สูตรการอนรุ กั ษ์พลงั งานและพลงั งานทดแทน
สําหรบั สํานกั งานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
รายวชิ าท่ี 2
การออกแบบระบบไฟฟ้ า
รหสั 3104 – 2002 หนว่ ยที่ 10 ระบบไฟฟ้ าสําหรับอาคารชดุ
2-ก
หลกั สูตรประกาศนียบตั รวิชาชพี ช้ันสูง พุทธศกั ราช 2557
ประเภทวิชาอุตสาหกรรม
สาขาวชิ าไฟฟา้
……………………………………………………………………………….
จุดประสงค์สาขาวิชา
1. เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้ความรู้และทักษะด้านการสื่อสาร ทักษะการคิดและการแก้ปัญหา และ
ทักษะทางสังคมและการดาํ รงชีวิตในการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
2. เพ่ือให้มีความเข้าใจหลักการบริหารและจัดการวิชาชีพ การใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและหลักการ
ของงานอาชีพท่ีสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับการพัฒนาวิชาชีพไฟฟ้า ให้ทันต่อการเปล่ียนแปลงและ
ความก้าวหน้าของเศรษฐกิจ สงั คมและเทคโนโลยี
3. เพ่ือให้มีความเข้าใจในหลักการและกระบวนการทํางานในกลุ่มงานพื้นฐานประยุกต์ใช้ความรู้ทักษะ
ประสบการณ์และเทคโนโลยีพัฒนางานอาชีพ วิเคราะห์ค่าพารามิเตอร์ทางไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์
ด้วยทฤษฎีและปฏิบตั ิ การออกแบบ เขยี นแบบและประมาณราคา
4. เพื่อให้สามารถออกแบบ วิเคราะห์ แก้ปัญหาในงานติดตั้ง ควบคุมระบบไฟฟ้า เคร่ืองทําความเย็น
และปรบั อากาศ
5. เพอ่ื ใหส้ ามารถปฏิบัติงานตดิ ตง้ั ซอ่ มบาํ รงุ ทดสอบ ควบคมุ ระบบไฟฟา้ เคร่ืองทําความเย็นและปรับ
อากาศ
6. เพ่ือให้สามารถปฏิบัติงานด้านเทคนิคในสถานประกอบการและประกอบอาชีพอิสระ รวมทั้งการใช้
ความรแู้ ละทกั ษะเปน็ พน้ื ฐานในการศึกษาต่อในระดับสูงขนึ้ ได้
7. เพ่ือให้มีเจตคติที่ดีต่องานอาชีพ มีความคิดริเร่ิมสร้างสรรค์ ซื่อสัตย์สุจริต มีระเบียบวินัย เป็นผู้มี
ความรับผดิ ชอบตอ่ สงั คม สงิ่ แวดลอ้ ม ต่อตา้ นความรนุ แรงและสารเสพตดิ
2-ข
แผนการจดั การเรียนรู้
รหัสวชิ า 3104-2002 ชอื่ รายวชิ า การออกแบบระบบไฟฟา้ 2-3-3
ระดบั ชนั้ ประกาศนียบัตรวิชาชพี ชัน้ สงู สาขาวชิ า ไฟฟ้า
ทฤษฎรี วม 2 คาบ ปฏบิ ตั ริ วม 3 คาบ 3 หนว่ ยกิต
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
คาํ อธบิ ายรายวิชา
ศึกษาเกย่ี วกบั กฎมาตรฐานทางไฟฟา้ การคํานวณ ออกแบบ การตดิ ตัง้ ระบบไฟฟ้า ระบบจา่ ย
กาํ ลงั แสงสว่าง ส่ือสาร ระบบป้องกนั ระบบไฟฟา้ ภายในอาคาร นอกอาคาร และในโรงงาน ระบบป้องกนั
ฟ้าผ่า ระบบกราวด์
จดุ ประสงคร์ ายวิชา
1 เข้าใจหลักการมาตรฐาน การออกแบบระบบไฟฟา้
2 คาํ นวณ กระแส แรงดัน กาํ ลังไฟฟา้ ในระบบไฟฟา้
3 มกี ิจนสิ ัยในการทํางานรว่ มกับผู้อ่นื ด้วยความประณตี รอบคอบและปลอดภัย
สมรรถนะรายวชิ า
1 แสดงความรเู้ ก่ยี วกบั มาตรฐาน การออกแบบระบบไฟฟ้า
2 เลอื กใช้ วสั ดุ อุปกรณ์ ในงานตดิ ต้ังระบบไฟฟ้า
3 เลอื กใชอ้ ุปกรณ์ ในงานป้องกันระบบไฟฟ้า
2-ค
หนว่ ยการสอน
รหสั 3104-2002 วิชา การออกแบบระบบไฟฟ้า จํานวน 5 ช่ัวโมง/สปั ดาห์
หนว่ ยที่ ชอื่ หนว่ ยการสอน จํานวนชั่วโมง
1 ความรู้ท่ัวไปกอ่ นการออกแบบ 5
2 สายไฟฟา้ 5
3 อปุ กรณ์สาํ หรบั งานติดตงั้ ระบบไฟฟา้ 5
4 อปุ กรณ์ป้องกันกระแสเกิน 5
5 วงจรย่อย,สายปอ้ นและระบบประธาน 10
6 การออกแบบสําหรับมอเตอร์ไฟฟา้ 5
7 การคํานวณโหลด 10
8 การคํานวณกระแสลดั วงจร 10
9 การตอ่ ลงดินและเครือ่ งตัดไฟร่ัว 5
10 ระบบไฟฟา้ สําหรบั อาคารชดุ 5
11 การปรบั ปรุงตัวประกอบกาํ ลังไฟฟ้า 10
12 ตัวอย่างการออกแบบระบบไฟฟ้า 10
13 ระบบปอ้ งกันฟา้ ผา่ อาคาร 5
90
รวม
2-ง
โครงการเรยี น/การสอน
วิชา การออกแบบระบบไฟฟา้ (3104-2002) จาํ นวน 5 ชว่ั โมง / สัปดาห์
สัปดาหท์ ี่ หน่วยที่ แผนการจดั หัวขอ้ จาํ นวน
การเรียนรทู้ ี่ นาที
11 1 1.ความรทู้ ว่ั ไปก่อนการออกแบบ 300
1.1. มาตรฐาน
1.2.การป้องกนั อนั ตรายทางกลของอปุ กรณ์ไฟฟ้า
1.3. ระบบจําหน่ายไฟฟา้
1.4.แบบและสญั ลกั ษณท์ างไฟฟา้
1.5. สวิตซ์
1.6.ท่วี า่ งเพื่อการปฏิบัตงิ านสาํ หรบั บริภัณฑ์
ไฟฟา้
- สรุปสาระการเรียนรู้
- แบบฝกึ หดั ท่ี 1
22 2 2.สายไฟฟา้ 300
2.1. มาตรฐานสายไฟฟ้า
2.2.สายไฟฟ้าสาํ หรบั ตดิ ต้งั
2.3.การพิจารณาเลอื กใช้สายไฟฟา้
2.4.ขอ้ แนะนาํ เพ่ิมเติมสําหรบั การตดิ ต้งั
- สรุปสาระการเรยี นรู้
- แบบฝกึ หดั ท่ี 2
33 3 3. อปุ กรณ์สาํ หรับงานติดตั้งระบบไฟฟา้ 300
3.1.ทอ่ ร้อยสายไฟฟา้
3.2. รางเดินสายไฟฟ้า
3.3. รางเคเบิล
- สรุปสาระการเรียนรู้
- แบบฝึกหดั ที่ 3
- ใบงานท่ี 3
.
2-จ
สัปดาหท์ ่ี หนว่ ยที่ แผนการจัด หัวข้อ จาํ นวน
4 4 การเรยี นรูท้ ่ี นาที
300
5-6 5 4 4. อุปกรณ์ป้องกนั กระแสเกนิ
600
4.1. สภาวะผิดปกติในระบบไฟฟ้า
4.2.ฟวิ ส์
4.3.ชนิดของฟิวสต์ ามมาตรฐาน NEC
4.4.ชนดิ ของฟวิ ส์ตามมาตรฐานยุโรป
4.5.กราฟคณุ ลักษณะสมบตั ิของฟิวส์
4.6.เซอรก์ ติ เบรกเกอร์
4.7.มาตรฐานของเซอรก์ ิตเบรกเกอร์
4.8.การทาํ งานรว่ มกันของอปุ กรณป์ ้องกนั กระแส
เกิน
4.9.การเลอื กใช้อปุ กรณ์ปอ้ งกันกระแสเกินในแผง
จ่ายระบบไฟฟ้า
4.10. การใชเ้ ซอรก์ ิตเบรกเกอรเ์ ป็นอุปกรณ์สวติ ช์
ในวงจรย่อยแสงสว่าง
- สรุปสาระการเรียนรู้
- ใบงานที่ 4
- แบบฝึกหัดที่ 4
5 5. วงจรยอ่ ย,สายป้อนและระบบประธาน
5.1. วงจรย่อย
5.2.สายปอ้ น
5.3.การลดขนาดสายนวิ ทรัล
5.4. ระบบประธาน
5.5.การพิจารณาเลือกสายประธานและอปุ กรณ์
ปอ้ งกัน
5.6. สายประธานสําหรับหม้อแปลงไฟฟา้
5.7.อุปกรณป์ อ้ งกันกระแสเกินสาํ หรับหม้อแปลง
ไฟฟ้า
2-ฉ
สัปดาห์ท่ี หนว่ ยท่ี แผนการจัด หวั ข้อ จาํ นวน
7 6 การเรียนรู้ท่ี นาที
300
8-9 7 - สรุปสาระการเรยี นรู้
600
- แบบฝึกหดั ท่ี 5
- ใบงานที่ 5
6 6.การออกแบบสาํ หรับมอเตอร์ไฟฟา้
6.1.ส่วนประกอบของวงจรมอเตอรไ์ ฟฟา้
6.2.พิกดั กระแสโหลดเตม็ ทข่ี องมอเตอร์ไฟฟ้า
6.3.การพจิ ารณาขนาดสายไฟฟ้าสําหรบั วงจร
มอเตอร์
6.4.การปอ้ งกนั การลดั วงจร
6.5. การป้องกันเนื่องจากภาระโหลดเกนิ
6.6.เครอื่ งควบคมุ มอเตอร์
6.7. วงจรควบคุมมอเตอร์
6.8. เครื่องปลดวงจรมอเตอร์
6.9.แบบฟอร์มการคาํ นวณมอเตอร์ไฟฟา้
6.10. สายดนิ สําหรบั วงจรยอ่ ยมอเตอร์
- สรปุ สาระการเรยี นรู้
- แบบฝกึ หัดท่ี 6
- ใบงานที่ 6
7 7. การคํานวณโหลด
7.1.การคาํ นวณโหลดวงจรยอ่ ย
7.2.การคาํ นวณโหลดสายปอ้ น
7.3.การคาํ นวณโหลดโดยวิธีการรวมโหลด
7.4.การคาํ นวณโหลดตามมาตรฐาน NEC
7.5.การคํานวณโหลดสําหรบั อาคารอยูอ่ าศัยตาม
มาตรฐาน NEC
2-ช
สัปดาห์ท่ี หน่วยท่ี แผนการจดั หวั ขอ้ จาํ นวน
10-11 8 การเรียนรูท้ ี่ นาที
7.6.การคํานวณโหลดสาํ หรับอาคารไม่ใช่อย่อู าศยั 600
12 9 8 ตามมาตรฐาน NEC
- สรุปสาระการเรยี นรู้ 300
9 - แบบฝกึ หดั ที่ 7
- ใบงานที่ 7
8. การคาํ นวณกระแสลดั วงจร
8.1.การคาํ นวณกระแสลัดวงจรของหมอ้ แปลง
ไฟฟ้า
8.2.กระแสจากมอเตอรไ์ ฟฟ้า
8.3.กระแสลดั วงจรทจี่ ุดใดๆ ในระบบไฟฟ้า
8.4.การคํานวณกระแสลดั วงจรดว้ ยตาราง
8.5.การเลือกพิกดั กระแสลัดวงจรสําหรับอุปกรณ์
ปอ้ งกันกระแสเกิน
- สรปุ สาระการเรยี นรู้
- แบบฝกึ หัดที่ 8
- ใบงานที่ 8
9. การตอ่ ลงดินและเคร่ืองตัดไฟรั่ว
9.1. อันตรายจากไฟฟ้า
9.2. การต่อลงดนิ
9.3. ส่วนประกอบของระบบการต่อลงดนิ
9.4.การต่อลงดินสาํ หรับระบบสายประธาน
ภายในอาคาร
9.5.หลกั ดินชนิดแท่งทองแดง
9.6.เครือ่ งตดั ไฟรวั่
9.7.ขอ้ ควรระวังในการตดิ ต้ัง
2-ซ
สปั ดาห์ที่ หน่วยที่ แผนการจดั หัวขอ้ จาํ นวน
13 10 การเรยี นร้ทู ี่ นาที
- สรปุ สาระการเรยี นรู้ 300
14-15 11 10 - แบบฝกึ หัดที่ 9
- ใบงานที่ 9 600
11
10. ระบบไฟฟา้ สาํ หรับอาคารชุด
10.1. ระบบเครอ่ื งวัดหนว่ ยไฟฟ้าสําหรับอาคาร
ชดุ
10.2. รูปแบบการจา่ ยไฟฟ้าสําหรับอาคารชุด
10.3. การคํานวณโหลด
10.4. เคร่อื งวัดหนว่ ยไฟฟา้ ของห้องชดุ
10.5. การปอ้ งกนั กระแสเกินของเครือ่ งวดั
10.6. สายตัวนําประธานเขา้ หอ้ งชุด
10.7. การคาํ นวณโหลดเพอื่ หาขนาดของสายป้อน
และเคร่ืองปอ้ งกนั กระแสเกนิ
10.8. การคาํ นวณโหลดเพือ่ นาํ ไปหาขนาดหมอ้
แปลง
- สรุปสาระการเรียนรู้
- แบบฝกึ หัดท่ี 10
- ใบงานที่ 10
11. การปรับปรุงตวั ประกอบกําลงั ไฟฟ้า
11.1. ค่าตวั ประกอบกาํ ลงั ไฟฟ้า
11.2. ผลของคา่ ตัวประกอบกําลังไฟฟ้าต่ํา
11.3. วิธกี ารปรบั ปรุงตวั ประกอบกําลงั ไฟฟ้าให้มี
คา่ สงู ขึน้
11.4. วิธคี ํานวณหาขนาดคาปาซิเตอร์
11.5. ประโยชน์ท่ีได้รับจากการปรับปรงุ ตัว
ประกอบกาํ ลังไฟฟา้
11.6. การลุงทุนตดิ ต้ังคาปาซเิ ตอร์
2-ฌ
สปั ดาห์ที่ หน่วยท่ี แผนการจัด หัวขอ้ จํานวน
16-17 12 การเรยี นรู้ท่ี นาที
11.7. ตําแหน่งการติดตัง้ คาปาซิเตอร์
12 11.8. การควบคมุ ตวั ประกอบกาํ ลงั ไฟฟ้าแบบ 600
อตั โนมตั ิ
11.9. การออกแบบสําหรับสถานประกอบการ
11.10. ขนาดและพกิ ดั ของอุปกรณ์ประกอบการ
ตดิ ตั้งคาปาซเิ ตอร์
- สรุปสาระการเรียนรู้
- แบบฝึกหดั ท่ี 11
- ใบงานที่ 11
12. ตัวอย่างการออกแบบระบบไฟฟ้า
12.1. ข้อมลู เบื้องต้นของโรงงาน
12.2. โหลดเครือ่ งจกั รของอาคารโรงงานและ
สํานกั งาน
12.3. โหลดงานระบบเครอ่ื งกลไฟฟา้
12.4. โหลดแสงสวา่ ง
12.5. โหลดเต้ารับ
12.6. การจัดกลมุ่ ของโหลด
12.7. การจัดทาํ ตารางโหลด
12.8. การปรบั ปรุงตัวประกอบไฟฟ้า
12.9. การคํานวณกระแสลดั วงจร
- สรปุ สาระการเรียนรู้
- แบบฝกึ หดั ที่ 12
- ใบงานที่ 12
2-ญ
สปั ดาห์ที่ หนว่ ยท่ี แผนการจัด หัวขอ้ จาํ นวน
18 13 การเรยี นร้ทู ี่ นาที
300
- 13 13. ระบบปอ้ งกันฟา้ ผ่าอาคาร
-
13.1. วธิ ปี อ้ งกนั ฟ้าผ่าแบบต่างๆ
13.2. ส่วนประกอบและการติดตั้งอุปกรณป์ อ้ งกนั
ฟา้ ผ่า
- สรุปสาระการเรียนรู้
- ใบงานที่ 13
- แบบฝึกหัดที่ 13
- สอบปลายภาค
2-ฎ
คณุ ลักษณะทตี่ ้องการบูรณาการคณุ ธรรม จริยธรรม และคุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ใน
วชิ า การออกแบบระบบไฟฟา้
คณุ ธรรม/จริยธรรม
ลําดับที่ และคณุ ลกั ษณะ พฤติกรรมบง่ ช้ี คะแนน
อนั พงึ ประสงค์
1 ความรับผิดชอบ 1.1 ปฏิบตั งิ านตามข้นั ตอนทว่ี างไว้
- ตัง้ ใจปฏิบตั ิงานตามขน้ั ตอนไดอ้ ย่างถูกตอ้ ง 2
ปลอดภัยตลอดเวลา
- ไมต่ ้ังใจปฏิบตั ิงานตามขน้ั ตอนแต่เสรจ็ สมบูรณ์ด้วย 1
ความปลอดภัยเป็นบางครง้ั
- ไม่ปฏบิ ตั ิงาน, ปฏิบัตงิ านไมเ่ สร็จสมบูรณ์ ไม่ 0
ปลอดภัย
2 ความมวี นิ ัย 2.1 ตรงตอ่ เวลาในการเข้าชนั้ เรยี นและเขา้ แถวหน้าเสาธง
- เขา้ ช้ันเรยี นตรงตามเวลาท่ีครูเช็คชื่อ
- เข้าเรียนช้าไม่เกนิ 30 นาที 2
- เขา้ ชัน้ เรียนเกิน 30 นาที 1
0
2.2 มีวินยั ในการทาํ งานทไ่ี ด้รบั มอบหมาย
- ทาํ งานทีไ่ ดร้ ับมอบหมายส่งตรงเวลาท่กี ําหนด 2
- ทํางานท่ไี ดร้ ับมอบหมายส่งไมต่ รงเวลาทก่ี าํ หนด 1
- ไมท่ ํางานสง่ ตามทไ่ี ดร้ ับมอบหมาย 0
3 ความซ่ือสตั ย์ 3.1 ซ่อื ตรงตอ่ เวลาสอบ
- ทาํ การสอบโดยสุจริต
- ทําการสอบโดยพิสูจนไ์ ด้ว่ามกี ารทุจรติ ไมว่ ่าจะ 1
0
เล็กน้อยหรอื มาก
1
3.2 ซ่ือสัตย์ตอ่ ผลงานไมเ่ อาผลงานของผูอ้ น่ื มาแอบอ้าง 0
- ไม่เคยเอาผลงานของผอู้ ื่นมาแอบอา้ ง
- เอาผลงานของผู้อน่ื มาแอบอา้ งไม่ว่าเลก็ น้อยหรอื
มาก
2-ฏ
คุณธรรม/จริยธรรม
.ลําดบั ที่ และคณุ ลกั ษณะ พฤตกิ รรมบง่ ชี้ คะแนน
อนั พึงประสงค์ 2
1
4 มีมนุษยส์ มั พันธ์ 4.1 แสดงกรยิ าทา่ ทางพูดจาสุภาพต่อผู้อน่ื 0
- แสดงกรยิ าท่าทางพูดจาสุภาพต่อผ้อู น่ื ตลอดเวลา 2
1
- แสดงกริยาท่าทางพูดจาไม่สุภาพตอ่ ผู้อืน่ เป็นบาง 0
คร้งั 2
1
- แสดงกริยาทา่ ทางพดู จาไม่สภุ าพตอ่ ผอู้ นื่ เป็น 0
2
ประจาํ 1
0
4.2 ให้ความรว่ มมือและชว่ ยเหลอื ผูอ้ ื่น
- ใหค้ วามรว่ มมอื และชว่ ยเหลอื ผูอ้ นื่ ในการทาํ งาน
ตลอดเวลา
- ไมใ่ หค้ วามร่วมมือและไม่ชว่ ยเหลอื ผ้อู น่ื ในการ
ทาํ งานเป็นบางคร้ัง
- ไมใ่ หค้ วามร่วมมอื และไม่ชว่ ยเหลอื ผูอ้ น่ื ในการ
ทาํ งานเลย
4.3 รับฟงั ความคดิ เหน็ และชน่ื ชมยนิ ดีในความสาํ เรจ็ ของ
ผ้อู ื่น
- รับฟงั ความคดิ เห็นและแสดงความชนื่ ชมยินดีใน
ความสําเร็จ ของผูอ้ นื่ ดว้ ยความจรงิ ใจตลอดเวลา
- ไมร่ บั ฟงั ความคิดเห็นและแสดงความชน่ื ชมยินดี
- ในความสําเรจ็ ของผ้อู ื่นเปน็ บางครั้ง
- ไมร่ บั ฟงั ความคิดเหน็ และแสดงความช่นื ชมยินดี
ในความสาํ เร็จ ของผ้อู น่ื เลย
5 ความเชอ่ื มั่นใน 5.1 กลา้ แสดงความคิดเหน็ อย่างมเี หตุผล
ตนเอง - กลา้ แสดงความคดิ เห็นในสิง่ ท่ีถกู ตอ้ ง
- แสดงความคดิ เหน็ เป็นบางครง้ั
- ไม่แสดงความคิดเห็น
2-ฐ
คณุ ธรรม/จริยธรรม พฤติกรรมบ่งช้ี คะแนน
ลําดบั ท่ี และคณุ ลกั ษณะ
2
อันพึงประสงค์ 1
0
6 ความสนใจใฝ่รู้ 6.1 กระตือรือร้นค้นหา แสวงหาความรใู้ หมๆ่ ดว้ ย 2
1
ตัวเอง 0
- ขยันคน้ ควา้ หาความรดู้ ว้ ยตนเองและเมือ่ ไดร้ บั 2
1
มอบหมาย 0
- ไม่ค้นควา้ หาความรูด้ ้วยตนเองบา้ งและเม่ือไดร้ ับ 1
0
มอบหมายบ้างเป็นบางคร้ัง
- ไม่คน้ ควา้ หาความรู้และเมื่อได้รบั มอบหมาย
7 ความรกั สามัคคี 7.1 รว่ มมือในการทาํ งาน
- ใหค้ วามรว่ มมอื กบั เพอ่ื นในการปฏิบัติงานตลอด
เวลา
- ไม่ใหค้ วามรว่ มมือกับเพอ่ื นในการปฏิบัตงิ านบาง
เวลา
- ไม่รว่ มมือกบั เพื่อนในการปฏบิ ัติงาน
8 ความกตัญญกู ตเวที 8.1 อาสาชว่ ยเหลืองานคร-ู อาจารย์
- ชว่ ยเหลืองานครู-อาจารย์ทุกครัง้ ที่ขอความ
ร่วมมอื และไมข่ อความร่วมมอื
- ไมช่ ว่ ยเหลืองานคร-ู อาจารยเ์ ป็นบางครงั้ ที่ขอ
ความร่วมมือและไมข่ อความร่วมมือ
- ไม่ชว่ ยเหลืองานคร-ู อาจารย์เลย
9 ความคดิ รเิ รมิ่ 9.1 มีความคดิ หลากหลายในการแก้ปัญหา
สร้างสรรค์ - มคี วามคิดรเิ ริม่ สร้างสรรคใ์ นการปฏิบตั งิ านและ
แก้ไขปัญหา
- ไม่มีความคิดริเรมิ่ สร้างสรรคใ์ นการปฏบิ ัตงิ าน
และ แกไ้ ขปญั หา
2-ฑ
คุณธรรม/จรยิ ธรรม
ลําดบั ท่ี และคณุ ลกั ษณะ พฤตกิ รรมบ่งช้ี คะแนน
อนั พงึ ประสงค์ 1
0
10 ความอดกล้นั 10.1 มีสตแิ ละสามารถควบคมุ อารมณ์ได้ดี
2
- ในเวลาปฏบิ ตั ิงานสามารถควบคุมอารมณไ์ ด้เมื่อ 1
0
มเี พือ่ นมาหยอกล้อ
- ในเวลาปฏิบัติงานไมส่ ามารถควบคุมอารมณ์ได้
เมอ่ื มีเพอื่ นมาหยอกลอ้
11 มารยาทไทย 11.1 กิรยิ ามารยาท
- มสี ัมมาคารวะต่อคร-ู อาจารย์เปน็ ประจาํ
- ไม่มีสัมมาคารวะต่อครู-อาจารย์เป็นบางครงั้
- ไม่มีสัมมาคารวะตอ่ ครู-อาจารย์เลย
2-ฒ
เกณฑก์ ารประเมินผล
วชิ า การออกแบบระบบไฟฟ้า รหสั 3104-2002
รายการ คะแนน หมายเหตุ
1. คุณลักษณะทต่ี อ้ งการบรู ณาการคณุ ธรรม จรยิ ธรรมและ 20
คุณลักษณะอนั พึงประสงค์
5
2. ทดสอบ 30
2.1 แบบทดสอบหลังเรยี น
2.2 สอบปลายภาค 10
30
3. ภาระงาน 5
3.1 แบบฝกึ หัด
3.2 การปฏบิ ัตกิ ารทดลอง
3.3 รายงาน
รวม 100
2-ณ
ข้ันตอนกจิ กรรมการเรยี นการสอน
วิชา การออกแบบระบบไฟฟา้
รหัส 3104-2002
ขั้นตอนกิจกรรมการเรียนการสอน วิชา การออกแบบระบบไฟฟ้า รหัส 3104-2002 ผู้จัดทําได้
ดาํ เนินการจัดการเรียนการสอน โดยมขี ั้นตอนและรายละเอยี ดดังนี้
เวลาในการสอน 4 ชว่ั โมงต่อสัปดาห์ มขี ั้นตอนกจิ กรรมดังน้ี
1. ข้นั เตรียม
2. ขัน้ ประเมนิ ผลกอ่ นเรียน
3. ข้นั นาํ เข้าสบู่ ทเรียน
4. ข้ันสอน
5. ข้ันสรปุ
6. ขน้ั ประเมนิ ผลหลงั เรยี น
รายละเอียดของกิจกรรมการเรียนการสอนของวิชาการออกแบบระบบไฟฟ้า รหัส 3104-2002
อธิบายไดด้ ังน้ี
1. ขั้นเตรียม เป็นขั้นเตรียมความพร้อมของนักเรียนก่อนเริ่มเรียนประกอบด้วยกิจกรรมการ
เช็คชือ่ นักเรยี น และการจัดเตรียมอปุ กรณใ์ นการเรยี นการสอน
2. ข้ันประเมินผลก่อนเรียน ทดสอบก่อนเรียน เป็นข้ันที่ทําการวัดพื้นความรู้เดิม ของนักเรียน
ก่อนที่ดําเนินการเรียนการสอนในแต่ละหน่วย เพ่ือท่ีจะใช้เป็นข้อมูลในการจัดการเรียนการ
สอน
3. ข้ันนําเข้าสู่บทเรียน เป็นข้ันการสร้างความสนใจ โดยเร้าความสนใจให้ผู้เรียนอยากรู้ อยาก
เห็น อยากคิด อยากทํา โดยการเช่ือมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่เข้าด้วยกัน ซึ่งในขั้นตอน
นคี้ รจู ะใชค้ ําถามประกอบกบั สอ่ื การสอน ในการนําเข้าสู่บทเรียน พร้อมท้ังบอกสมรรถนะใน
การเรียนการสอนของแผนการเรยี นนน้ั
4. ขั้นสอน เป็นข้ันท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดประสบการณ์การเรียนรู้ ซ่ึงประกอบไปด้วยขั้นตอน
ดงั นี้
4.1.สอนเนื้อหา ในขั้นตอนนี้ครูจะดําเนินการสอนเน้ือหาตามหัวข้อที่กําหนดไว้ โดยมีส่ือ
การสอนชนิดต่างๆ เพื่อให้นักเรียนเกิดความรู้ ความเข้าใจในเนื้อหาอย่างถูกต้องและ
รวดเร็ว
4.2.ทําแบบฝึกหัด เป็นขั้นท่ีให้นักเรียนได้ทําแบบฝึกหัดตามหัวข้อที่ระบุไว้ โดยแบ่งเป็น
กลุ่มๆ ละ 3 – 4 คน ทั้งน้ีเพ่ือให้นักเรียนช่วยเหลือซึ่งกันและกัน อันจะทําให้เกิด
ความรู้ ความเข้าใจ ตามสมรรถนะท่ีพึงประสงค์
2-ด
4.3.เฉลยแบบฝึกหัด เป็นขั้นท่ีครูมอบหมายให้นักเรียน แต่ละกลุ่มเฉลยคําตอบ ในกรณีท่ี
เฉลยไม่ถูกตอ้ ง ครอู ธบิ ายเพ่มิ เตมิ
4.4.ปฏิบัติการทดลองตามใบงานท่ีกําหนด ในข้ันตอนนี้ครูจะให้นักเรียนลงมือปฏิบัติตาม
ใบงานที่กําหนดไว้ในแต่ละหน่วยการสอน จะเป็นผลให้นักเรียนมีความรู้และทักษะใน
การปฏบิ ัตงิ านซึง่ สอดคล้องกับสมรรถนะในแตล่ ะหน่วยการสอน
4.5.ประเมินผลการปฏิบัติการทดลอง เป็นการวัดผลการปฏิบัติการทดลองตามเกณฑ์ท่ีได้
กาํ หนดไว้ โดยใหค้ รูเป็นผู้ประเมิน
5. ขั้นสรุป เป็นข้ันสุดท้ายของกิจกรรมการเรียนการสอน ขั้นนี้เป็นข้ันทบทวนเร่ืองท่ีเรียนตาม
เน้ือหาหรือทักษะปฏิบัติการทดลองที่กําหนด เป็นการยํ้าและสรุปแก่นความรู้หรือการนํา
ความรู้ไปใช้ การสรุปท่ีดีควรเป็นการสรุปโดยผู้เรียน ถ้าเป็นไปได้ควรให้ผู้เรียนท้ังกลุ่ม
รว่ มกนั สรปุ
6. ขัน้ ประเมนิ ผลหลังเรยี น
6.1.ทดสอบหลังเรียน เป็นข้ันทดสอบเพ่ือวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนตามสมรรถนะท่ี
กําหนดไว้ รวมท้ังยังเป็นการตรวจปรับให้กับนักเรียน กรณีท่ีนักเรียนยังไม่เข้าใจใน
เนื้อหาบางเร่ือง นอกจากนี้ยังใช้เปรียบเทียบผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนของนักเรียนอีก
ด้วย
6.2.ประเมินตนเองและเพ่ือนร่วมงาน เรื่องกิจนิสัยในการปฏิบัติงาน และคุณลักษณะ
ที่ต้องการบูรณาการคุณธรรม จริยธรรม เป็นการวัดผลเรื่องกิจนิสัยในการ
ปฏิบตั ิงาน และคุณลักษณะท่ีต้องการบูรณาการคุณธรรม จริยธรรม เกณฑ์ท่ีต้องการ
ไมค่ วรต่ํากว่า 70 %
การนําแผนการจดั การเรียนรู้ไปใช้
เพื่อใหก้ ารนาํ แผนการจดั การเรยี นรู้ วิชา การออกแบบระบบไฟฟา้ รหสั 3104-2002 ไปใช้ให้
เกิดประสิทธภิ าพสงู สุดน้นั กอ่ นการนําแผนการจดั การเรยี นรู้นไี้ ปใช้ ครูผสู้ อนควรดาํ เนนิ การดงั ต่อไปนี้
1. ครูผสู้ อนควรศกึ ษาและทําความเขา้ ใจเก่ียวกับแผนการจัดการเรยี นรใู้ ห้ละเอยี ด
2. จดั เตรยี มสอื่ วัสดุ อุปกรณ์ทจ่ี ะใชใ้ นการเรยี นการสอนใหค้ รบถว้ น
3. ดําเนนิ การสอนตามข้นั ตอนกิจกรรมการเรยี นการสอน
ใบสาระการเรียน หน่วยที่
10
ช่ือวชิ า การออกแบบระบบไฟฟ้า เวลา
ช่ือหนว่ ย ระบบไฟฟา้ สาํ หรับอาคารชุด เรยี น 5
ช่ือเรือ่ งหรือชอ่ื งาน ระบบไฟฟา้ สําหรับอาคารชุด ชวั่ โมง
สาระสําคญั
มาตรฐานการออกแบบและตดิ ต้ังระบบไฟฟ้า มีความสําคญั ยง่ิ ทัง้ น้ี เพ่ือความปลอดภัย คงทนถาวร มีและ
เพ่อื ยืดอายุการใชง้ านของอปุ กรณ์ไฟฟา้ ตา่ งๆ ทใ่ี ช้อยู่ในระบบให้ยาวนานย่ิงข้ึน การติดต้ังระบบไฟฟ้า มาตรฐาน
กําหนดท่ีแน่นอน และมีหลายหน่วยงาน เช่น กรมพัฒนาและส่งเสริมพลังงานสมาคมวิศวกรรมสถานแห่ง
ประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) การไฟฟ้านครหลวง การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และหน่วยงานจาก
ต่างประเทศท่ีประเทศไทยนํามายึดถือ เช่น National Electric Code (NEC) American National Standard
Institute (ANSI) International Electrotechnical Commission (IEC) เป็นต้น และหน่วยงานที่รับรอง
มาตรฐานผลิตภัณฑ์ อุปกรณ์ เครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ คือ สํานักผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ท่ี
รจู้ ักกันในชอื่ มอก.
เร่อื งทจี่ ะศกึ ษา
1. ระบบเคร่อื งวัดหนว่ ยไฟฟ้าสาํ หรบั อาคารชดุ
2. รูปแบบการจา่ ยไฟฟ้าสําหรบั อาคารชุด
3. การคาํ นวณโหลด
4. เครอ่ื งวดั หนว่ ยไฟฟ้าของหอ้ งชุด
5. การปอ้ งกันกระแสเกินของเคร่ืองวัด
6. สายตวั นาํ ประธานเขา้ ห้องชดุ
7. การคํานวณโหลดเพือ่ หาขนาดของสายปอ้ นและเครอ่ื งปอ้ งกนั กระแสเกิน
8. การคาํ นวณโหลดเพื่อนําไปหาขนาดหมอ้ แปลง
จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
1. ระบบเคร่ืองวดั หน่วยไฟฟ้าสําหรับอาคารชุด
2. รปู แบบการจา่ ยไฟฟา้ สําหรบั อาคารชดุ
3. การคํานวณโหลด
4. เคร่อื งวัดหน่วยไฟฟา้ ของห้องชุด
5. การปอ้ งกนั กระแสเกินของเคร่ืองวดั
6. สายตัวนาํ ประธานเข้าหอ้ งชุด
7. การคํานวณโหลดเพ่อื หาขนาดของสายปอ้ นและเคร่อื งปอ้ งกันกระแสเกิน
8. การคํานวณโหลดเพ่ือนาํ ไปหาขนาดหม้อแปลง
กิจกรรมการเรยี นการสอน
ข้นั ตอนการสอนหรือกจิ กรรมของครู ข้นั ตอนการเรยี นหรือกจิ กรรมของนักเรียน
ขั้นเตรียม ขนั้ เตรยี ม
1. เช็คชอ่ื นักเรียน 1. ขานชือ่ ตามเลขที่
2. เตรียมเคร่อื งโปรเจคเตอร์ 2. ขั้นประเมนิ ผลกอ่ นเรยี น
ขั้นประเมนิ ผลกอ่ นเรยี น ตอบคาํ ถาม ด้วยความตั้งใจและสจุ ริตใจ โดยใช้
ถามพ้นื ความร้เู กี่ยวกับระบบไฟฟ้าสําหรบั ความรพู้ ้นื ฐานท่ีมีอยู่
อาคารชุด
ขั้นนําเข้าสูบ่ ทเรียน ข้ันนาํ เข้าสูบ่ ทเรยี น
ถามคําถามทเี่ กีย่ วข้องกบั เน้ือหาเพือ่ สร้างความ 1. ฟัง ตอบคําถามและซกั ถามข้อสงสยั
สนใจ 2. ฟัง และซกั ถามขอ้ สงสัย
ข้ันสอน ขน้ั สอน
1. สอนเนอื้ หาตามหัวขอ้ ของแผนการจดั การเรียนรู้ 1. จดบันทกึ ตอบคาํ ถาม ซกั ถามขอ้ สงสัยตรงตามเน้ือหา
โดยใช้วิธีถาม-ตอบกับนักเรยี น โดยใช้ความรเู้ ดิม ดว้ ยวาจาทส่ี ุภาพเรยี บรอ้ ย
ของนักเรยี นมาต่อยอดเปน็ ความรู้ใหมพ่ ร้อมใช้ 2. ตวั แทนนกั เรียนรบั เอกสารประกอบการสอน และ
Power Point และกระดานไวทบ์ อร์ดเปน็ ส่อื
มอบหมายให้ทาํ แบบฝกึ หัด
2. มอบหมายให้ทาํ แบบฝึกหัด
3. เฉลยแบบฝกึ หดั โดยใช้ Power Point 3. จดบันทกึ ตอบคําถาม ซักถามขอ้ สงสัยด้วยวาจาท่ี
สภุ าพเรยี บรอ้ ย ตรวจแบบฝกึ หดั โดยสลบั กนั ตรวจกบั
เพือ่ นด้วยความถกู ต้องและเปน็ ธรรม
ขั้นสรปุ ข้นั สรปุ
นาํ อภิปรายสรุปสาระสาํ คญั เร่ืองระบบไฟฟา้ อภปิ รายและรว่ มสรุปเรอื่ งทเี่ รียนร่วมกนั
สาํ หรับอาคารชุด
ข้นั ประเมนิ ผลหลังเรียน ขนั้ ประเมินผลหลงั เรียน
1. มอบหมายใหท้ ําทดสอบหลังเรยี น 1. ทําแบบฝึกหดั ดว้ ยความมน่ั ใจ และสจุ รติ ใจ
2. สรุปผลการประเมินผลรวม เกย่ี วกับ กจิ นสิ ยั ใน 2. ตรวจสอบความถูกตอ้ ง ซักถามข้อสงสัย
การปฏิบัติงาน และคณุ ลกั ษณะทต่ี ้องการบูรณา
การคุณธรรม จรยิ ธรรม ใบแบบฝกึ หดั และใบ
ทดสอบ
2-2 | P a g e
งานท่มี อบหมายหรือกจิ กรรม
กอ่ นเรียน
1. เช็คช่ือนักเรยี น
2. เตรียมเครื่องโปรเจคเตอร์
ขณะเรยี น
1. ทําแบบฝกึ หัด
2. เฉลยแบบฝกึ หดั
3. ครแู ละนกั เรยี นรว่ มกนั สรปุ สาระสาํ คญั เรอ่ื งระบบไฟฟ้าสําหรบั อาคารชดุ
หลังเรยี น
1. ประเมนิ ผลการปฏิบตั ิงาน และคณุ ลกั ษณะทตี่ ้องการบูรณาการคุณธรรม จรยิ ธรรม
สื่อการเรียนการสอน
ส่อื สง่ิ พิมพ์
1. เอกสารประกอบการสอนเร่อื งระบบไฟฟา้ สาํ หรับอาคารชดุ
สื่อโสตทศั น์
1. Power point
2. กระดานไวทบ์ อร์ด
2-3 | P a g e
การประเมนิ ผล
ขณะเรียน
1. สงั เกตความสนใจ
2. ตรวจแบบฝกึ หัด
หลงั เรียน
1. ประเมนิ ตนเองและเพ่ือนร่วมงาน เรอ่ื งกจิ นสิ ัยในการปฏิบตั งิ าน และคณุ ลักษณะท่ี
ตอ้ งการบรู ณาการคุณธรรม จรยิ ธรรม
2-4 | P a g e
บนั ทกึ หลงั การสอน
ผลการใช้แผนการจัดการเรยี นรู้
ผลการใช้แผนการจดั การเรียนรู้ท่ี 10 ระบบไฟฟ้าสําหรบั อาคารชุดสรปุ ไดด้ งั นี้
1.เวลาทใี่ ช้สอน………………………………………………………………………………………..…………………………………….
2.เนื้อหา……………………………………………………………………………………………….………………………………………
3.ส่ือการสอน………………………………………………………………………………………….…………………………………….
ผลการเรียนของนักเรยี น
……………………………………………………………………………………………………………….…………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………….…………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………….……………………………………..
……………………………………………………………………………………………………….…………………………………………….
ผลการสอนของครู
…………………………………………………………………………………………………….……………………………………………….
…………………………………………………………………………………………….……………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
ลงชอื่ ผบู้ ันทึก……………….……………
(…………………………..)
ความคิดเหน็ /ข้อเสนอแนะของหัวหน้าสถานศึกษาหรอื ผทู้ ีไ่ ด้รับมอบหมาย
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
ลงช่อื …………………….……………….
(…………….....………………)
ตาํ แหน่ง ……………….…………………
2-5 | P a g e
บทท่ี 10
ระบบไฟฟ้าสําหรบั อาคารชุด
อาคารชุด หมายถึง อาคารชุดทุกประเภทท่ีจดทะเบียนตามพระราชบัญญัติอาคารชุด พ.ศ. 2522 คือ
เป็นอาคารที่สามารถแบ่งการถือครองกรรมสิทธ์ิในอาคารออกเป็นส่วนๆ ได้ ประกอบด้วย กรรมสิทธ์ิส่วน
บุคคล (ห้องชุด) และ กรรมสทิ ธ์ิร่วม ( ทรัพย์สินส่วนกลาง) โดยต้องจดทะเบียนเปน็ อาคารชุด และมีนิติบุคคล
อาคารชุด ซึ่งเป็นอาคารที่มีการอยู่อาศัยของคนเป็นจํานวนมาก เช่น ห้องพัก ร้านค้า ร้านอาหาร เป็นต้น
จําเป็นต้องมีการดูแลเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับการใช้ไฟฟ้า ดังนั้นจึงจําเป็นต้องตรากฎ และมาตรฐาน
เพ่ือให้ผู้ออกแบบติดต้ังและผู้ใช้ไฟฟ้า ปฏิบัติตาม เพื่อความปลอดภัยของส่วนรวม อาทิเช่น มาตรฐานเพ่ือ
ความปลอดภัยทางไฟฟ้าของการพลังงานแห่งชาติ กฎการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค
กฎกระทรวงมหาดไทย มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ม.อ.ก.) มาตรฐานการติดตั้งทางไฟฟ้าของวิศวกรรม
สถานแหง่ ประเทศไทย (มาตรฐาน ว.ส.ท.) มาตรฐานการตดิ ตัง้ ทางไฟฟ้า สําหรบั ประเทศไทย 2545 เปน็ ตน้
10.1 วธิ ีการออกแบบระบบไฟฟา้
งานออกแบบระบบไฟฟา้ เป็นงานทว่ี ศิ วกรไฟฟ้าหรือผู้ออกแบบจะต้องศึกษาและร่วมกันกับบคุ คลหลาย
กลุ่ม เช่น สถาปนิก วิศวกรโครงสร้าง วิศวกรระบบเคร่ืองกล วิศวกรระบบสุขาภิบาล และเจ้าของอาคาร
นอกจากน้ีผู้ออกแบบระบบไฟฟ้าจะต้องศึกษาและทําความเข้าใจถึงรายละเอียดของมาตรฐานต่างๆ ซึ่งเป็น
ข้อกําหนดในการออกแบบซึ่งเป็นสิ่งที่สําคัญเป็นอย่างยิ่งในการออกแบบระบบไฟฟ้า สามารถสรุปการ
ออกแบบระบบไฟฟ้าไดด้ ังนี้
10.1.1 ศกึ ษาแบบทางสถาปัตยกรรม เพ่ือให้ทราบข้อมูลต่างๆ ของอาคาร การใช้งานของห้องที่สถาปนิกได้
ทําการออกแบบไวต้ ามความต้องการของสถาปนกิ และเจา้ ของอาคาร
10.1.2 ประมาณการใช้โหลด โดยใช้ข้อมูลจากสถาปนิกและความต้องการของเจ้าของอาคาร ชนิดและ
ลักษณะการใชง้ านของอาคารและพื้นท่ีทั้งหมดของอาคาร
10.1.3 กาํ หนดตําแหนง่ และแนวทางของสายประธานจากการไฟฟา้ ฯ ทีจ่ า่ ยใหแ้ ก่อาคาร ขนาดแรงดันไฟฟา้
ของระบบ ตําแหน่งของมิเตอร์วัดไฟฟ้า ซ่ึงจะต้องดูสถานท่ีที่จะสร้างอาคารพร้อมท้ังขอคําแนะนํา
จากการไฟฟา้ ฯ หนว่ ยที่รับผดิ ชอบบริเวณทจ่ี ะทาํ การกอ่ สรา้ งอาคารน้ันๆ
10.1.4 ศึกษา ชนิดและการใช้งานของพื้นที่ในอาคาร อุปกรณ์ไฟฟ้าท่ีต้องการใช้และขนาดการกินกระแส
ของอุปกรณ์แต่ละชนิด ซึง่ ขอ้ มูลบางสว่ นจะต้องสอบถามจากสถาปนิกผูอ้ อกแบบหรือเจา้ ของอาคาร
10.1.5 ศึกษาความต้องการของโหลดไฟฟ้าระบบอ่ืนๆ เช่น เคร่ืองปรับอากาศ ระบบลิฟท์ ระบบประปา
และอน่ื ๆ
10.1.6 ศกึ ษาและกาํ หนดตําแหน่งติดตงั้ และขนาดของอุปกรณ์ไฟฟา้ ต่างๆ ตลอดจนความต้องการเนื้อที่ของ
อุปกรณเ์ หลา่ นน้ั เชน่ ตําแหน่งและขนาดของห้องเครื่อง ห้องติดตัง้ หม้อแปลงและแผงควบคุมไฟฟ้า
หลัก (Main Distribution Board; MDB) แผงควบคุมไฟฟ้ารอง (Sub Distribution Board ; SDB)
แผงควบคุมไฟฟ้าย่อย (Load Panel) แนวทางและขนาดของท่อเดินสายป้อน (Feeder Shaft) ซึ่ง
เป็นประโยชน์ในการออกแบบ
2-6 | P a g e
10.1.7 คํานวณและออกแบบความต้องการของแสงสว่างของแต่ละห้องตามชนิดของการใช้งานพร้อมท้ัง
กําหนดชนิดของดวงโคม (ชนิดดวงโคมบางคร้ังอาจถูกกําหนดโดยสถาปนิกท้ังนี้เพื่อความสวยงาม)
เพ่ือหาโหลดของระบบแสงสว่าง
10.1.8 กําหนดตําแหน่งของดวงโคมและเต้ารับลงในแบบโดยทั่วไปการแสดงตําแหน่งของดวงโคมและ
เต้ารับจะแยกเขียนออกจากกัน และหากมีระบบไฟฟ้าส่ือสารอันได้แก่ ระบบโทรศัพท์ ระบบ
โทรทศั น์ ระบบสัญญาณแจง้ เหตุเพลิงไหม้อัตโนมัติ ก็มักจะเขียนแบบแยกแผ่นกันทั้งนี้เพ่ือความง่าย
ในการอา่ นแบบ
10.1.9 แยกวงจรย่อยโดยโยงสายลงในแบบเพื่อควบคุมดวงโคมหรือเช่ือมต่อวงจรของเต้ารับไฟฟ้า ซ่ึงอยู่ใน
วงจรเดียวกันเข้าด้วยกัน พร้อมทั้งกําหนดหมายเลขของวงจรในแผงจ่ายไฟ การกําหนดวงจรย่อย
มักจะกําหนดตามความเหมาะสมของอุปกรณ์ตัดตอน (Circuit Breaker; CB ) หรือกําหนดตาม
พนื้ ทก่ี ารใช้งานควบคกู่ ัน
10.1.10 คํานวณโหลดแต่ละแผงควบคุมไฟฟ้าย่อย พร้อมทั้งชนิด,จํานวนและขนาดของสายไฟฟ้า ท่อร้อย
สายไฟฟา้ และขนาด AT AF และ Pole ของเซอรก์ ติ เบรคเกอร์ (CB) ลงในตารางโหลด
10.1.11 นําโหลดในแต่ละแผงควบคุมไฟฟ้ารวมกันในแต่ละเฟสของระบบ แล้วคํานวณหาสายป้อน และ
ขนาดอปุ กรณป์ อ้ งกนั ตคู้ วบคุมไฟฟา้ ยอ่ ย (Main Circuit Breaker) ของตู้ควบคุมไฟฟ้ายอ่ ยนัน้
10.1.12 รวมโหลดท้ังหมดของแผงควบคุมไฟฟ้าย่อยท้ังอาคารเพื่อนํามาคํานวณและออกแบบหาพิกัดของ
อุปกรณ์ป้องกันภายในตู้ควบคุมไฟฟ้าหลัก (MDB) และอุปกรณ์ประกอบภายในตู้ รวมกับถึงการ
กาํ หนดขนาดของหมอ้ แปลงไฟฟ้าและสายประธานของอาคาร
10.1.13 คํานวณและเขียน Riser Diagram ของระบบไฟฟ้า รวมท้ัง คํานวณและเขียน Single Line
Diagram ของตู้ MDB
10.1.14 คํานวณและออกแบบระบบอ่ืนๆ เช่น ระบบล่อฟ้า ระบบสื่อสารในอาคาร ระบบโทรศัพท์ ระบบ
สัญญาณแจ้งเหตเุ พลิงไหม้อัตโนมตั ิ ระบบป้องกนั ภยั และอน่ื ๆ
10.1.15 ตรวจสอบและแกไ้ ขแบบใหถ้ ูกตอ้ งสมบรู ณ์
10.1.16 เขียนข้อกําหนดและรายละเอียดประกอบแบบ (รายการประกอบแบบ) ซึ่งจะแสดงรายละเอียด
ต่างๆ ในแบบ เช่น ขนาดและชนิดรวมถึงเคร่ืองหมายการค้าของอุปกรณ์ที่กําหนดให้ใช้ และ
ข้อกําหนดซึ่งผู้รับจ้างจะต้องรับผิดชอบและปฏิบัติตาม โดยทั่วไปจะถือเป็นส่วนหน่ึงของสัญญาใน
การรับเหมางานก่อสร้างงานติดตง้ั ระหว่างผรู้ บั จา้ งกบั ผู้ว่าจา้ ง(เจ้าของอาคาร) ด้วย
10.1.17 เมื่อวิศวกรผู้ออกแบบทําการกําหนดชนิดของผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้ว ผู้ออกแบบจะต้องทําการประมาณ
ราคา เพื่อผวู้ ่าจ้างจะไดใ้ ชเ้ ป็นราคากลางในการคดั เลือกผรู้ ับเหมาทําการก่อสรา้ งติดตงั้ ตอ่ ไป
10.1.18 ในบางกรณีวิศวกรผ้อู อกแบบอาจตอ้ งเป็นผตู้ รวจสอบใหค้ ําแนะนาํ ในการติดต้ังระบบไฟฟ้าด้วย จาก
ข้ันตอนต่างๆ ในการออกแบบระบบไฟฟ้า จะเห็นว่ามีความซับซ้อนและต้องเก่ียวข้องกับบุคคล
หลายฝ่าย ความยากลาํ บากในการออกแบบจะมมี ากขึ้นเมื่อเป็นอาคารขนาดใหญ่และมีการใช้โหลด
มากๆ โดยเฉพาะข้อจํากัดในด้านของการออกแบบที่ต้องการใช้เกิด ความประหยัด ความปลอดภัย
และมีความเชื่อมั่นในระบบสูงๆ โดยจะต้องอาศัยความชํานาญ ประสบการณ์และการศึกษาค้นคว้า
ในการออกแบบเปน็ อย่างมาก
2-7 | P a g e
10.2 มาตรฐาน กฎและระเบยี บ ในการออกแบบระบบไฟฟา้
ในการออกแบบระบบไฟฟ้าสิ่งท่ีสําคัญที่สุดท่ีวิศวกรไฟฟ้าหรือผู้ออกแบบจะต้องคํานึงถึง คือ ความ
ปลอดภัย ทํานองเดียวกันหน่วยงานของรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้อง ดูแลรักษาความปลอดภัยเกี่ยวข้องกับการใช้
ไฟฟ้าก็จําเป็นต้องตรากฎและมาตรฐานเพื่อให้ผู้ออกแบบติดตั้งและผู้ใช้ไฟฟ้าปฏิบัติตาม เพื่อความปลอดภัย
ของส่วนรวมกระทรวงมหาดไทย สํานักงานพลังงานแห่งชาติ การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และการไฟฟ้าส่วน
ภูมิภาค (กฟภ.) จึงได้ร่างกฎและมาตรฐาน เพื่อให้ผู้ออกแบบติดต้ังและผู้ใช้ไฟฟ้าปฏิบัติตาม ดังนั้นในการ
ออกแบบระบบไฟฟ้า วิศวกรไฟฟ้าผู้ออกแบบจําเป็นต้องศึกษาและปฏิบัติตามกฎ และมาตรฐานต่างๆ ท่ี
กําหนดกฎและมาตรฐานต่างๆ ท่ีจะกล่าวถึงต่อไปนี้ ระบุถึงระเบียบและวิธีการในการออกแบบและติดตั้ง
อปุ กรณไ์ ฟฟ้า ตลอดจนระบบจาํ หนา่ ยท่ีจา่ ยไฟฟา้ ดว้ ย
10.2.1 มาตรฐานเพ่ือความปลอดภัยทางไฟฟ้าของการพลังงานแห่งชาติ เป็นมาตรฐานความปลอดภัย
หลักสําหรับงานติดต้ังอุปกรณ์ไฟฟ้า การไฟฟ้าทั้งสามแห่งได้ยึดถือมาตรฐานท่ีใช้ในการกําหนดกฎ
และขอ้ บังคบั ของการไฟฟ้าฯ แตล่ ะแหง่
10.2.2 กฎการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค ใช้ในการกําหนดมาตรฐานในการออกแบบ
ไฟฟ้า การติดตั้งเดินสายและการติดต้ังอุปกรณ์ไฟฟ้า การติดต้ังเครื่องป้องกันไฟฟ้าลัดวงจร การ
ออกแบบและปอ้ งกนั เก่ียวกบั การเดินสายไฟฟ้าการป้องกันอุปกรณ์และเคร่ืองยนต์ไฟฟ้า ในเขตการ
รับผดิ ชอบของการไฟฟ้านครหลวงและการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคในการขอใช้ไฟฟ้าเพ่ือจ่ายให้แก่ผู้ขอใช้
ไฟฟา้ การไฟฟ้าฯ จะใหช้ า่ งของการไฟฟา้ ฯ ทําการตรวจสอบ วธิ ีการเดนิ สายและการตดิ ตงั้ อุปกรณ์
ไฟฟ้าภายในอาคารเสียก่อน บางอาคารจะต้องมีวิศวกรไฟฟ้ารับรองการออกแบบระบบไฟฟ้า หรือ
รับรองการติดตง้ั ระบบไฟฟ้าภายในอาคารน้ัน ดังน้ันก่อนการติดต้ังระบบไฟฟ้าผู้ขอใช้ไฟฟ้าควรแจ้ง
รายละเอียดเกี่ยวกับตําแหน่งของหม้อแปลงไฟฟ้าท่ีติดต้ัง เสาไฟฟ้า แนวสายประธานไฟฟ้า ขนาด
ของโหลด อุปกรณ์เคร่ืองวัดและอุปกรณ์ป้องกันระบบไฟฟ้า และแนบผังการเดินสายอย่างละเอียด
ภายในอาคาร (Shop Drawing) เพื่อให้การไฟฟ้าฯ ตรวจสอบและแก้ไขเสียก่อน เมื่อการติดตั้ง
ถูกต้องตามแบบและมาตรฐานของการไฟฟ้าฯ จึงอนมุ ัติใหจ้ า่ ยไฟฟ้าแก่อาคารได้
10.2.3 กฎกระทรวงมหาดไทย กระทรวงมหาดไทยมีหน้าท่ีรับผิดชอบเก่ียวกับความปลอดภัยในการ
กอ่ สรา้ งอาคารได้ออกกฎกระทรวงเพือ่ ใหผ้ ู้ติดต้ังและผใู้ ช้ไฟฟ้าปฏิบตั ิตาม
10.2.4 มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (ม.อ.ก.) สําหรับอุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ท่ีมีส่วนสําคัญเก่ียวข้องกับ
ความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า เช่น สายไฟฟ้า , บัลลาสต์ ฟิวส์ อุปกรณ์ตัดตอนระบบไฟฟ้า และ
หม้อแปลงไฟฟ้า ได้มีการกําหนดมาตรฐานต่ําสุดซ่ึงผู้ผลิตจะต้องปฏิบัติตาม โดยกําหนดโดย
สํานักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม กระทรวงอุตสาหกรรม ซึ่งจะครอบคลุมถึงคําอธิบาย
ของคําจํากัดความและนิยาม วิธีการทดสอบ การกําหนดคุณภาพและมาตรฐานตํ่าสุด ความ
ปลอดภัย ขนาดและชนิดของผลิตภัณฑ์ โดยจะมีการตรวจสอบและประทับตรารับรองมาตรฐานแก่
ผลติ ภณั ฑ์ทมี่ ีมาตรฐานตามทก่ี าํ หนดในฐานะผู้ออกแบบและผู้กําหนดรายละเอียดของอุปกรณ์ไฟฟ้า
วิศวกรผู้ออกแบบควรศึกษา และทําความคุ้นเคยกับมาตรฐานอุตสาหกรรมเพ่ือใช้เป็นแนวทางใน
การคาํ นวณ กาํ หนดรายละเอยี ด อปุ กรณท์ ่ีใชใ้ นการออกแบบ
10.2.5 มาตรฐานการติดต้ังทางไฟฟ้าของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย (มาตรฐาน ว.ส.ท.)
วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในฐานะหน่วยงาน ซึ่งให้บริการทางด้าน
วิชาการ ได้ร่างมาตรฐานการติดต้ังทางไฟฟ้า เพื่อให้วิศวกรไฟฟ้าหรือผู้ออกแบบติดตั้งและ
2-8 | P a g e
บํารุงรักษาใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน มาตรฐานฉบับนี้กําหนดหลักการท่ัวไปในการออกแบบ
ไฟฟา้ วสั ดุ และวิธีการเดินสายตลอดจนการใช้งานและติดตง้ั อุปกรณ์ไฟฟ้า และเคร่ืองใช้ไฟฟ้าทั่วไป
ซึ่งมีรายละเอียดและหลักเกณฑ์ต่างๆ อย่างกว้าง ครอบคลุมกว้างขวางในงานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า
วิศวกรผูอ้ อกแบบระบบไฟฟ้า จึงควรมมี าตรฐานฉบบั นี้ เพือ่ ใช้เปน็ คมู่ ือประกอบในการออกแบบ
10.2.6 มาตรฐานอื่นๆ
- National Electrical Code (NEC) เป็นมาตรฐานของ USA ซึ่งกําหนดหลักการเบื้องต้น
สําหรับการปฏิบัติเพื่อความปลอดภัยของระบบไฟฟ้า และเป็นมาตรฐานหลักในการร่างมาตรฐาน
ของ ว.ส.ท.
- National Electrical Manufacturer Association Standard (NEMA) เป็นมาตรฐาน
ของ USA ซง่ึ กาํ หนดและแยกประเภทของผลติ ภณั ฑ์ทางไฟฟ้า ตามประเภทของการใช้งาน เช่น ใช้
งานท่วั ไป ชนดิ กนั นํ้าได้ ชนิดใชง้ านหนกั ชนิดใชใ้ นโรงงาน เป็นตน้
- Underwriter’s Laboratories (UL) เป็นสถาบันใน USA ที่กําหนดและทําการทดสอบ
มาตรฐานตํ่าสดุ ของความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ทางไฟฟ้าท่ีจะนําไปใช้งาน หากผ่านการทดสอบก็
จะได้รับเคร่ืองหมายรับรองจากสถาบัน ซึ่งเป็นเครื่องหมายที่ยอมรับกันทั่วโลก ดังนั้นในการ
กําหนดมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ ผู้ออกแบบควรจะใช้ผลิตภัณฑ์ท่ีได้รับเคร่ืองหมายมาตรฐานจาก
UL ดว้ ย
- IES Lighting Handbook Illuminating Engineering Society (IES) แห่ง USA เป็น
มาตรฐานทางด้านวิศวกรรมส่องสว่าง ท่ีจะต้องใช้ในการออกแบบทางด้านการส่องสว่าง และการ
กาํ หนดตาํ แหน่งและชนิดของดวงโคม
- มาตรฐานการติดต้ังทางไฟฟ้า สําหรับประเทศไทย 2545 เป็นมาตรฐานฉบับปรับปรุงขึ้นมา
คร้ังสุดท้ายเพื่อสําหรับเป็นมาตรฐานในการติดต้ังทางไฟฟ้าสําหรับประเทศไทยโดยเฉพาะ โดยทุก
การไฟฟ้าฯ ยอมรับเป็นมาตรฐานหลักในการออกแบบระบบไฟฟ้า และในการออกแบบเราจะ
อ้างองิ มาตรฐานฉบับนี้เปน็ สาํ คัญ
10.3 หลกั เกณฑ์ในการออกแบบระบบไฟฟา้
การออกแบบระบบไฟฟ้าสามารถทําการออกแบบได้หลายรูปแบบขึ้นอยู่กับความสามารถ และ
ประสบการณ์รวมทั้งมาตรฐานต่างๆ ที่ใช้ในการอ้างอิงของผู้ออกแบบ รวมท้ังในเรื่องของค่าใช้จ่ายของการ
ออกแบบและติดตั้งที่จะต้องมีผลตามมาหลังจากการออกแบบเสร็จสิ้นลง ในการออกแบบท่ีดี จึงต้องคํานึงถึง
เง่อื นไขที่สาํ คัญต่างๆ ดังต่อไปน้ี
10.3.1 ความปลอดภัย (Safety) เป็นข้อควรคํานึงถึงเป็นอันดับแรกของการออกแบบท่ีผู้ออกแบบจะต้อง
ใหค้ วามสําคญั เป็นอยา่ งยิง่ โดยต้องอ้างอิงตามหลักทางวิศวกรรมไฟฟ้าและระเบียบของกําหนดของ
การไฟฟ้าฯ และมาตรฐานของวิศวกรรมสถาน แห่งประเทศไทย สําหรับการติดต้ังระบบไฟฟ้า
สามารถใช้เป็นหลักในการออกแบบได้อย่างดี
10.3.2 ความเชื่อมั่นของระบบ (Reliability) ระบบจะต้องมีความเช่ือมั่นสูงในการตัดตอนและป้องกัน
ผลเสียหายอันเกิดมาจากระบบไฟฟ้าขัดข้อง ซ่ึงมักจะข้ึนอยู่กับการเลือกใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าที่มี
มาตรฐานรับรอง
2-9 | P a g e
10.3.3 ความง่ายในการดัดแปลง (Flexibility) ระบบท่ีออกแบบจะต้องสามารถแก้ไขดัดแปลงได้อย่าง
สะดวก เพื่อที่จะจ่ายไฟฟ้า ไปตามจุดที่ต้องการและต้องออกแบบให้รับการเพ่ิมโหลดในอนาคตได้
กลา่ วคอื เมอ่ื มกี ารเพมิ่ โหลดในอนาคตจะต้องทาํ ได้โดยไม่ต้องเปลย่ี นระบบสายไฟฟา้ ทง้ั ระบบ
10.3.4 ความประหยัด (Economy) ผู้ออกแบบที่ดีควรคํานึงถึงการออกแบบให้มีความประหยัดภายใต้
เงื่อนไขของความปลอดภัย ความเชื่อมั่น ความง่ายในการดัดแปลง โดยในเรื่องของความประหยัด
มักจะสวนทางกับข้อควรพิจารณาทั้งสามข้อที่ได้กล่าวมาข้างต้น โดยสามารถจะยืดหยุ่นได้ยกเว้นใน
เรื่องของ ความปลอดภัย ซ่ึงจะยอมให้เร่ืองของความประหยัดมีผลต่อความปลอดภัยไม่ได้
ผู้ออกแบบจะต้องศึกษาเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายต่างๆ ในการเลือกใช้อุปกรณ์ในการกําหนดตําแหน่ง
และติดตั้งอุปกรณ์ทางไฟฟ้า ปัญหาทางด้านพลังงานในปัจจุบันโดยเฉพาะอย่างยิ่งในการเลือกใช้
ชนิดของหลอดไฟฟ้า การออกแบบระบบทําความเย็น การใช้เครื่องทําความร้อน และอ่ืนๆ ซึ่งจะมี
ผลในการลดการใชพ้ ลงั งานไฟฟ้าและคา่ ไฟฟา้ ในแตล่ ะเดอื น
10.3.5 แรงดันตก (Voltage Drop) ในการออกแบบระบบไฟฟ้าภายในอาคารจะต้องคํานึงถึงค่า
แรงดันไฟฟ้าตก ซ่ึงเกิดเน่ืองจากขนาดของโหลดและความยาวของสายป้อนและสายวงจรย่อยที่เดิน
ไปยังอุปกรณ์ไฟฟ้ารวมทั้งโหลดในอนาคตท่ีจะเพิ่มข้ึนด้วย แรงดันตกมักสร้างความเสียหายแก่
อุปกรณ์ไฟฟ้าเป็นอย่างมาก ตามมาตรฐานของการไฟฟ้าฯ และ NEC กําหนดแรงดันตกในช่วงของ
สายป้อนจะต้องไม่เกิน 3% หากในส่วนของวงจรย่อยไม่เกิน 5% การพิจารณาในเร่ืองแรงดันตก
มกั จะนํามาพจิ ารณาในกรณที ่สี ายป้อนหรอื สายประธานมรี ะยะของการเดินสายทยี่ าวๆ เทา่ น้ัน
10.4 ระบบไฟฟา้ ภายในอาคาร
ระบบไฟฟ้าแบง่ ออกไดเ้ ป็น 2 ระบบ ดงั นี้
10.4.1 ระบบไฟฟ้า 1 เฟส 3 สาย คือระบบไฟฟ้าที่มีสายไฟจํานวน 3 เส้นประกอบด้วย เส้นท่ีมีไฟเรียกว่า
สายไฟหรือสายไลน์ L (Line) เสน้ ที่ไม่มีไฟ เรียกว่า สายนิวทรัล N (Neutral) และสายดิน G 1 เส้น
เมื่อใช้ไขควงวัดไฟแตะสายไฟ หลอดไฟเรืองแสงที่อยู่ภายในไขควงจะติด แรงดันไฟฟ้าที่ใช้มีขนาด
220 โวลท์ ใช้สาํ หรับบา้ นพกั อาศัยทว่ั ไป
10.4.2 ระบบไฟฟ้า 3 เฟส 5 สาย คือ ระบบที่มีสายไฟจํานวน 5 เส้นประกอบด้วยเส้นท่ีมีไฟ 3 เส้นสาย
นิวทรัล 1 เส้น และสายดิน G 1 เส้น สามารถต่อใช้งานเป็นระบบไฟฟ้า 1 เฟส ได้โดยการต่อจาก
เฟสใดเฟสหนึ่ง และสายนิวทรัลอีกเส้นหนึ่ง แรงดันไฟฟ้าระหว่างสายเฟสเส้นใดเส้นหน่ึงกับสาย
นวิ ทรลั มคี ่า 220 โวลท์ และแรงดนั ไฟฟ้าระหว่างสายเฟสดว้ ยกนั มคี า่ 380 โวลท์
2-10 | P a g e
10.5 วิธกี ารเดนิ สายไฟฟา้ ภายในอาคาร
วิธกี ารเดนิ สายไฟฟา้ ภายในอาคารสามารถเดนิ สายได้ 2 วิธี คือ
10.5.1 การเดินสายไฟแบบเปิด (เดินลอย) หมายถึง การเดินสายไฟฟ้าไปตามผนังหรือเพดาน โดยใช้เข็ม
ขัดรัดสายเป็นตัวยึดสายไฟ ระยะห่างระหว่างเข็มขัดรัดสายไฟประมาณ 15-20 เซนติเมตร ข้อดีคือ
สามารถตรวจสอบซอ่ มแซมงา่ ย ราคาไมแ่ พง ขอ้ เสียคือดูไมส่ วยงามและอาจเกดิ การชาํ รดุ ได้ง่าย
รปู ท่ี 10-1 การเดนิ สายไฟฟา้ ในอาคารแบบเปดิ (เดินลอย)
2-11 | P a g e
10.5.2 การเดินสายแบบปิด หมายถึง การเดินสายไฟฟ้าแบบซ่อนสายภายในท่อพีวีซี หรือท่อโลหะและฝัง
อยู่ในผนัง ข้อดีคือสามารถจัดระเบียบแนวการเดินของสายไฟทําให้ผนังบ้านดูเรียบร้อยสวยงาม ท่อ
สายไฟจะฝังอยู่ในผนัง ต้องเดินสายไฟพร้อมการก่อสร้างอาคาร ข้อเสียคือ หากสายไฟเกิดชาํ รุดเอง
จากการติดต้ังผิดวิธีหรือชํารุดจากอายุการใช้งาน จะทําการตรวจสอบและซ่อมแซมยาก อาจต้องใช้
วธิ รี ื้อทุบผนงั ออก มคี วามยุ่งยาก เสียคา่ ใช้จา่ ยมาก
การเจาะผนงั เพ่อื วางตําแหนง่ ทอ่ ร้อยสายไฟ
รูปท่ี 10-2 การเดินสายไฟแบบปดิ แบบซอ่ นสายในทอ่
10.6 การจา่ ยไฟฟ้า ขนาดเครือ่ งวัดหน่วยไฟฟา้ และการคาํ นวณโหลดสาํ หรับอาคารชดุ
รูปแบบการจ่ายไฟฟ้าให้อาคารชุด (ดังรูปที่ 10-3) แบ่งออกเป็น 2 ส่วนดังน้ี คือ การใช้ไฟฟ้าสําหรับใช้
สว่ นกลาง และการใชไ้ ฟฟ้าสําหรบั ห้องแต่ละชดุ โดยมรี ายละเอยี ดดงั นี้
10.6.1 การใช้ไฟฟา้ สาํ หรบั ใชส้ ่วนกลาง
ไฟฟ้าสําหรับใช้ส่วนกลาง หมายถึง ไฟฟ้าท่ีใช้สําหรับระบบไฟฟ้าส่วนกลางของอาคารท้ังหมด เช่น
แสงสว่างห้องโถงหรือทางเดิน ลิฟต์ เป็นต้น ซึ่งอาจพิจารณาติดต้ังเคร่ืองวัดมิเตอร์ไฟฟ้าเพียงเครื่องเดียวหรือ
มากกว่าก็ได้ตามความเหมาะสม ส่วนขนาดของเครื่องวัดมิเตอร์ไฟฟ้าพิจารณาโหลดท่ีต้องการใช้จริง สําหรับ
โหลดที่ติดตง้ั จริง ยกตวั อยา่ งระบบไฟฟา้ ของการไฟฟา้ นครหลวงไดด้ งั นี้
2-12 | P a g e
- โหลดไฟฟ้าต่ํากว่า 300 kVA จ่ายไฟฟ้าแรงดัน 380/220V 3 เฟส 4 สาย แต่ถ้าไม่เกิน 15 kVA
อาจจ่ายไฟฟา้ แรงดนั 220 V 1 เฟส 2 สาย
- โหลดไฟฟ้าตั้งแต่ 300 kVA ถึง 5,000 kVA จ่ายไฟฟ้าแรงดัน 12,000 V 3 เฟส 3 สาย และ
สาํ หรบั โหลดไฟฟา้ ที่เกนิ 5,000 kVA การไฟฟ้านครหลวงจะพิจารณาเปน็ ราย ๆ ไป
- โหลดไฟฟ้าตั้งแต่ 300 kVA ถึง 10,000 kVA จ่ายไฟฟ้าแรงดัน 24,000 V 3 เฟส 3 สาย และ
สําหรับโหลดไฟฟ้าที่เกินกว่า 10,000 kVA แต่ไม่ถึง 15,000 kVA การไฟฟ้านครหลวงจะ
พิจารณาเป็นรายๆ ไป
- โหลดไฟฟา้ ต้ังแต่ 15,000 kVA ขน้ึ ไป จา่ ยไฟฟา้ แรงดัน 69,000 V หรือ 115,000 V
- สาํ หรับในเขตวงจรตาข่ายอาจจะจา่ ยไฟฟ้าด้วยแรงดัน 380/220V 3 เฟส 4 สายท้งั สนิ้ กไ็ ด้
รูปท่ี 10-3 รูปแบบการจ่ายไฟฟา้ สาํ หรับอาคารชุด
2-13 | P a g e