The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chadej9, 2020-05-14 02:09:21

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

Keywords: คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนา,ไตรภูม,ิจิตรกรรม,ล้านนา

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาใน

จิตรกรรมล้านนา

คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา

ฉลองเดช คูภานมุ าต

ISBN 978-974-672-919-2
พิมพ์ครง้ั แรก กรกฎาคม ๒๕๕๗
ออกแบบ/จดั รปู เลม่ กานต์ พฒั นมงคล
พิสูจน์อักษร สุดใจ สาครอรา่ มเรือง
จดั พิมพโ์ ดย คณะวิจติ รศลิ ป์ มหาวทิ ยาลัยเชียงใหม่
พมิ พ์ท่ี กู๊ดพรน้ิ ท์ พรน้ิ ติง้
ราคา ๔๕๐ บาท

หจก. ก๊ดู พริ้นท์ พร้ินตง้ิ
๔/๖ ซอย ๕ ถนนช้างเผือก ต.ศรีภูมิ อ.เมือง จ.เชียงใหม่  ๕๐๒๐๐ โทรศพั ท์ (๐๕๓) ๔๑๒๕๕๖ แฟกซ์ (๐๕๓) ๒๑๗๒๖๔
Website: http://www.goodprintcm.com E-mail: [email protected]

สารบญั หน้า
๐๐๓
๐๐๕
๐๐๗
สารบัญ ๐๑๕
๐๒๗
ค�ำ น�ำ ๐๒๘
๐๓๑
คติจกั รวาลวิทยาในพุทธศาสนา
๐๓๗
คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในพระไตรปิฎก ๐๓๘
๐๔๓
วรรณกรรมคติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาเถรวาท ๐๗๕

• คัมภีร์คติจกั รวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนาทแ่ี ต่งเปน็ ภาษาบาลี ๐๘๙
• คัมภีร์คติจกั รวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนาทแี่ ต่งเปน็ ภาษาลา้ นนา ๐๙๒
๐๙๕
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนา ๑๐๐
๑๐๘
• ความหมายและองค์ประกอบของคตไิ ตรภูมิ ๑๐๙
• องค์ประกอบของคติไตรภูม ิ ๑๒๐
• สณั ฐานแห่งจกั รวาลตามแนวคิดคติจกั รวาลวทิ ยาในพระพุทธศาสนา ๑๒๓

คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา

• แนวคดิ คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานสถาปัตยกรรมล้านนา
• แนวคดิ คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในการวางผงั สถาปตั ยกรรมล้านนา
• แนวคิดคติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในองค์ประกอบสถาปัตยกรรมล้านนา
• แนวคิดคติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
• แนวคิดคติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานประติมากรรมล้านนา
• แนวคดิ คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานประณีตศลิ ปล์ ้านนา
• แนวคดิ คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานศิลปะพ้ืนถ่นิ ล้านนา

หน้า

แนวคดิ คติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา ๑๓๑

รปู แบบทางศลิ ปกรรมของงานจิตรกรรมลา้ นนาทีส่ ะท้อนคติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนา ๑๓๓
๑๓๓
• จิตรกรรมสมุดภาพไตรภมู ิ ๑๓๖

• จติ รกรรมฝาผนัง ๑๗๔

• จิตรกรรมบนผืนผา้ ๑๘๑

• จติ รกรรมลายรดน�ำ้ ๑๘๒

• จติ รกรรมลายค�ำ ๑๘๖

• จิตรกรรมลายประดับมกุ ๑๙๑

• จติ รกรรมลายดาวเพดาน ๑๙๘

แนวคิด สัญลักษณ์ คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา ๑๙๙

• แนวคดิ เรอ่ื งโลกิยะ – โลกตุ ตระ ๒๐๐

• แนวคิดเรอ่ื งไตรภูมิ ไตรภพ ไตรโลก ๒๐๒

• แนวคิดเรือ่ งสงั สารวัฏ ๒๐๓

• แนวคดิ เรือ่ งอนนั ตจกั รวาล
• แนวคดิ สัญลกั ษณ์พระอดตี พุทธเจา้ พระปัจจุบนั พุทธเจ้า และพระอนาคตพทุ ธเจ้า ๒๐๖
๒๑๓
• แนวคดิ มหาปรุ สิ ลกั ษณะ ๓๒ ประการ ๒๑๕

• แนวคดิ อายตนะโลก ๒๑๙

• แนวคดิ สญั ลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ ๒๓๐

• แนวคดิ สญั ลกั ษณ์ดอกบัว ๒๓๕

• แนวคดิ สญั ลกั ษณ์พระฉพั พรรณรงั ส ี

เชิงอรรถ ๒๔๔
บรรณานุกรม ๒๕๐
ที่มาของภาพประกอบ ๒๕๔
ประวตั ผิ ้เู ขยี น ๒๕๖

ค ค�ำนำ�
ติจักรวาลวิทยาเป็นแนวคิดท่ีเข้ามาพร้อมกับการเผยแผ่ศาสนาฮินดูและ
ศาสนาพุทธ จนเป็นท่ียอมรับของผู้คนในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
โดยเฉพาะในบริบทของสังคมและวัฒนธรรมไทย การเผยแผ่พระพุทธศาสนา
เข้ามาในแผ่นดินล้านนา หรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทยนั้น ยังได้นำ�
วทิ ยาการความรู้ตา่ งๆ ติดตามมาด้วย ก่อให้เกิดการเปลีย่ นแปลงทางสังคมวัฒนธรรม
หลายอย่าง อาทิ การเมืองการปกครอง ศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี
ภาษาและวรรณกรรม ตลอดจนค่านิยม ทัศนคติ และโลกทัศน์ของผู้คนในล้านนา
จากหลักฐานงานวรรณกรรมเรื่องคติจักรวาล และงานศิลปกรรมท่ีปรากฏอยู่เป็น
จำ�นวนมาก
งานศิลปกรรมล้านนาที่เนื่องในพระพุทธศาสนาส่วนมาก จะอาศัยเรื่องราวและรูป
สัญลักษณ์ที่เกิดจากการตีความเนื้อหาจากคติจักรวาลวิทยาในพุทธศาสนา นำ�มาเป็น
แรงบันดาลใจในการสรา้ งสรรค์ผลงานศลิ ปะแขนงตา่ งๆ อาทิ สถาปัตยกรรม จติ รกรรม
ประติมากรรม และงานพุทธศลิ ปอ์ น่ื ๆ โดยเฉพาะงานจิตรกรรมล้านนา ซึ่งเปน็ ผลงาน
ศลิ ปะที่มีรปู แบบประณีตสวยงาม ด้วยกรรมวิธขี องช่างไทยแตโ่ บราณ ทน่ี ยิ มเขยี นภาพ
เรือ่ งราวเก่ยี วกับอดีตพทุ ธ พุทธประวัติ ทศชาติชาดก ไตรภูมิ และวรรณกรรมพน้ื บ้าน
ในท้องถิน่ ตลอดจนภาพพุทธสัญลกั ษณ์ตา่ งๆ โดยเฉพาะจติ รกรรมลา้ นนาทีส่ ะทอ้ นคติ
ความเชอื่ เร่ืองไตรภมู ิ และจกั รวาลวิทยาในพระพทุ ธศาสนา ซ่ึงเปน็ การถ่ายทอดความรู้
และจินตนาการของศิลปนิ ผา่ นผลงานศิลปกรรม
หนงั สือ คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนาเล่มน้ี เปน็ การรวบรวมขอ้ มลู
และเรียบเรียงข้ึนอย่างเป็นระบบ โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะนำ�เสนอองค์ความรู้เก่ียวกับ
ประวตั คิ วามเปน็ มา ความเชอ่ื เกยี่ วกบั เรอ่ื งคตจิ กั รวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนา ทงั้ จาก
พระไตรปฎิ กและวรรณกรรมพทุ ธศาสนา ตลอดจนผลงานจติ รกรรมล้านนาที่สะท้อนถึง
คตจิ กั รวาลวิทยา ซง่ึ ประกอบดว้ ย แนวคดิ สัญลักษณ์ และรปู แบบทางศลิ ปกรรม ท้ังนี้
ผู้เขยี นจึงหวงั เปน็ อย่างยิง่ วา่ จากการศึกษาคน้ ควา้ องค์ความรูเ้ ก่ียวกบั คตคิ วามเช่อื และ
ภมู ปิ ัญญาการสร้างสรรคง์ านศลิ ปกรรมของชาวพุทธในทอ้ งถิน่ ล้านนา จะมสี ว่ นช่วยให้

ผอู้ า่ นไดเ้ รียนรู้ และเขา้ ใจถึงวัฒนธรรมวิธีคดิ ตลอดจนพลังความศรัทธา อนั เป็นบ่อเกดิ
ของการสรา้ งสรรคศ์ ลิ ปะของบรรพชนได้อย่างแทจ้ ริง
ผเู้ ขียนขอกราบขอบพระคุณอาจารยป์ ฐม พวั พันธส์ กุล ศาสตราจารย์เกยี รติคณุ สรุ พล
ดำ�ริห์กุล อาจารย์ ดร.ประมวล เพ็งจันทร์ อาจารย์ ดร.สุนันทา เอ่ียมสำ�อางค์
ศาสตราจารย์วิโชค มุกดามณี ครูผู้มีความเมตตากรุณาเสียสละเวลาเพ่ือให้คำ�ปรึกษา
แนะนำ� ถ่ายทอดความรู้ในด้านต่างๆ แก่ผู้เขียนเป็นอย่างดีตลอดมา ขอขอบคุณ
รองศาสตราจารย์ ดร.ทิพวรรณ ท่ังมั่งมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ภานุพงษ์ เลาหสม
และ อาจารย์ ดร.วิศิษย์ คิดคำ�ส่วน ที่กรุณาให้ความรู้ ข้อเสนอแนะ ตลอดจนข้อมูล
ทง้ั ท่ีเป็นเอกสารและภาพถ่าย อนั เป็นประโยชนแ์ กผ่ เู้ ขยี นเสมอมา

ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร.ฉลองเดช คภู านมุ าต
ภาควชิ าทัศนศิลป์ คณะวิจติ รศลิ ป์
มหาวทิ ยาลยั เชยี งใหม่

คตจิ กั รวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ภาพที่ ๑
ศาสนสถาน
ของศาสนาฮนิ ดู
เมอื งขชูรโห
ประเทศอนิ เดยี

จั คติจักรวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา
กรวาลวิทยา คอื วชิ าท่มี เี น้ือหาวา่ ด้วยเรอ่ื งโลกธาตุ อันมขี อบเขต
กว้างไกลทั้งในกาละและเทศะ โดยมุ่งเน้นที่จะศึกษาถึงองค์
ประกอบและความสมั พนั ธเ์ ชอ่ื มโยงกนั ของสรรพสงิ่ ทง้ั หลาย ดว้ ย
ระบบของจกั รวาลในฐานะทเ่ี ปน็ ระบบอนั มรี ะเบยี บ๑ วชิ าจกั รวาลวทิ ยาได้
มีการศกึ ษาคน้ คว้ากันในทกุ วฒั นธรรมทั่วโลก อาทิ อินเดีย จีน และยุโรป
จากขอ้ มลู ประวตั ศิ าสตรอ์ นิ เดยี สมยั โบราณ ระบวุ า่ องคค์ วามรเู้ รอ่ื งจกั รวาล
มมี าตง้ั แตก่ อ่ นสมยั พทุ ธกาล ทง้ั น้ี องคพ์ ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ เมอื่ ทรงตรสั รู้
และเสด็จออกเผยแผพ่ ระธรรมวนิ ยั กม็ ิได้ปฏเิ สธคตคิ วามเชื่อดังกล่าวเสยี
ทีเดียว แต่ทรงนำ�เอาความรู้เกี่ยวกับโลกและจักรวาลท่ีมาแต่เดิม มาใช้
ประโยชน์เป็นสื่อในการเทศนาสั่งสอนประชาชนท่ีมีความเชื่อในลัทธิ
ศาสนาต่างๆ

008

คตจิ ักรวาลวิทยาในพุทธศาสนา

ในสมัยพุทธกาลได้มีศาสนาและลัทธิความเชื่อต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
ศาสนาพราหมณไ์ ดร้ บั การยอมรบั นบั ถอื อยา่ งแพรห่ ลายมากทส่ี ดุ ดว้ ยเหตนุ ้ี
ความรู้ความเข้าใจและโลกทัศน์ของผู้คนส่วนใหญ่ ย่อมเป็นไปตามแนว
คำ�สอนในศาสนาพราหมณ์ โดยเฉพาะคติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนานั้น
ถึงแม้จะได้รับอิทธิพลมาจากคติความเช่ือในศาสนาพราหมณ์ก็ตาม
แต่เนื้อหาที่เป็นโครงสร้างหลัก การจัดระบบความคิด และองค์ประกอบ
ส่วนตา่ งๆ ที่เปน็ รายละเอยี ดก็มีความแตกตา่ งกนั เป็นอย่างมาก ตัวอยา่ ง
เช่น ศาสนาพราหมณ์มีคำ�สอนสูงสุดเป็นเรื่องอัตตา ส่วนคำ�สอนใน
พระพทุ ธศาสนามงุ่ เนน้ ทเี่ รอื่ งอนตั ตา นอกจากนี้ หลกั ค�ำ สอนบางประการ
ท่ีไม่ขัดแย้งกัน ก็นำ�มาปรับปรุงให้สอดคล้องกับหลักธรรมในพระพุทธ
ศาสนา เช่น การเปรียบความเชื่อเรื่อง พระพรหม กับหลักพุทธธรรม
เรื่องพรหมวิหาร ๔ เปน็ ต้น

ภาพที่ ๒
เขาพระสุเมรุ
คติพราหมณ์

ถำ�้ เอลอร่า
ประเทศอินเดยี

009

คติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

คติจักรวาลวิทยาของศาสนาพราหมณ์และฮินดู มีเนื้อหาปรากฏเด่นชัด
มากท่ีสุดในคัมภีร์ ปุราณะ ซ่ึงอธิบายถึงลักษณะและความเป็นมาของ
สิ่งต่างๆ ในโลกและจักรวาล โดยกล่าวถึงองค์ประกอบของจักรวาลไว้ว่า
ประกอบด้วยสวรรค์ท่ีอยู่สูงจากโลกมนุษย์ข้ึนไปในอากาศเป็นที่สถิตของ
เทพเจ้าตา่ งๆ สว่ นโลกมนุษยป์ ระกอบดว้ ยทวปี ทั้ง ๗ ท่ีถกู แยกออกด้วย
มหาสมุทร มีชมพูทวีปอยู่ตรงกลาง มีเขาพระสุเมรุซึ่งเป็นภูเขาทองคำ�

ภาพที่ ๓
ลายรดน�ำ้
บนตพู้ ระธรรม
ภาพไตรภูมิ
ศิลปะอยุธยาตอนปลาย
พิพิธภณั สถานแห่งชาติ
เจ้าสามพระยา
จังหวดั พระนครศรีอยธุ ยา

010

คตจิ ักรวาลวิทยาในพุทธศาสนา

ภาพท่ี ๔
จติ รกรรมฝาผนงั
แสดงคติจกั รวาล
ภายในพระอโุ บสถ
วัดเกาะแกว้ สทุ ธาราม
จังหวดั เพชรบุรี

ตงั้ อยใู่ นต�ำ แหนง่ ศนู ยก์ ลางของชมพทู วปี และยงั เปน็ ศนู ยก์ ลางของจกั รวาล
อีกด้วย บนยอดเขาพระสุเมรุเป็นท่ีต้ังของนครเทพต่างๆ ท่ีเชิงเขาเป็น
ต้นนำ้�ของแม่น�ำ้ คงคา มีภูเขาค�้ำ อยู่ทั้ง ๔ ทิศ ถัดออกมามีทิวเขาซึ่งเป็น
ท่อี ยขู่ องเทพท้งั ๔ ทิศ ถัดจากทวิ เขาทางทศิ เหนือ จึงเป็นที่ต้งั ของเมือง
อุตรกุรุ ทิศใต้เป็นที่ตั้งของเมืองภรต ทิศตะวันออกเป็นท่ีตั้งของเมือง
ภทรศว และทศิ ตะวนั ตกเปน็ ทต่ี งั้ ของเมอื งเกตมุ ล ใตพ้ น้ื โลกเปน็ ทอี่ ยอู่ าศยั
ของอสูร ยกั ษ์ นาค ลกึ ลงไปใตพ้ ื้นดนิ และพื้นน้ำ� คอื นรก สุดเขตจักรวาล
มีภูเขาล้อมรอบอยู่ และมีเปลือกไข่ทองคำ�ห่อหุ้มทุกส่ิงในจักรวาลเอาไว้

011

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

อกี ชนั้ หนงึ่ ๒ สว่ นสว่ นคตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนานน้ั อธบิ ายวา่ จกั รวาล
หมายถึง ปริมณฑลแห่งภพภูมิทั้ง ๓ หรือไตรภูมิ คือ กามภูมิ ๑๑
รปู ภูมิ ๑๖ และอรปู ภูมิ ๔ รวมเปน็ ๓๑ ภพภูมิ ซึ่งเป็นการแสดงสถานะ
ชวี ิตของสรรพสตั วใ์ นจักรวาล๓ การจะไปเกดิ อยู่ในสถานะชวี ติ ระดบั ใดนนั้
ขน้ึ อยู่กบั กรรมดกี รรมช่วั ของตน
นอกจากน้ี เนื้อหาในพระไตรปิฎกและคัมภีร์ทางพุทธศาสนาได้แสดง
รายละเอียดเก่ียวกับสัณฐานของโลกและจักรวาลไว้ว่า มีองค์ประกอบ
ส�ำ คัญ ๒ ส่วน คอื สว่ นแรกเป็นพน้ื ดนิ และนำ�้ ส่วนทีส่ องเป็นที่ว่างหรือ
ท้องฟ้า ส่วนท่ีเป็นพ้ืนดินและนำ้�มีรูปทรงคร่ึงวงกลมคล้ายมะนาวครึ่งผล
ทถี่ กู ผา่ ซกี หงายหนา้ ขน้ึ ลอยอยใู่ นมหาสมทุ รอวกาศ ใตม้ หาสมทุ รอวกาศ
มีลมเคลื่อนไหวไปมาอย่างรุนแรง ท้ังน้ี จักรวาลมิได้มีหนึ่งเดียวเท่านั้น
แต่มีจำ�นวนมากมายจนนับไม่ถ้วน โดยสัณฐานของจักรวาลทุกแห่ง
มลี กั ษณะเหมอื นกนั หมด ทกุ จกั รวาลตง้ั อยบู่ นมหาสมทุ รอวกาศแบบเรยี ง
ประชิดต่อเนื่องกันไม่มีที่ส้ินสุด๔ แต่ละจักรวาลมีพื้นเป็นแผ่นระนาบ
รูปวงกลม เขาพระสุเมรุต้ังอยู่ที่จุดศูนย์กลาง มีภูเขาช่ือสัตตบริภัณฑ์
เปน็ รปู วงแหวนต้งั ล้อมรอบ ๗ ช้นั ระหวา่ งภเู ขาวงแหวนแตล่ ะช้ันมที ะเล
สีทันดรค่ันอยู่ทุกชั้น ภูเขาพระสุเมรุมีความสูงมากที่สุด บนยอดเขาเป็น
ทตี่ ง้ั ของสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ สม์ พี ระอนิ ทรเ์ ปน็ จอมเทพ เหนอื ขนึ้ ไปบนอากาศ
มีสวรรค์และพรหมลอยสูงข้ึนไปเป็นชั้นๆ ภูเขาวงแหวนมีความสูงแบบ
ลดหลน่ั ออกจากวงในสวู่ งนอก ถดั จากภเู ขาวงแหวนนอกสดุ เปน็ มหาสมทุ ร
กว้างใหญไ่ พศาล จนจดภูเขาก�ำ แพงจกั รวาลหรอื ขอบจักรวาล ทา่ มกลาง
มหาสมุทรมีทวีปประจำ�ทิศทั้งสี่ อันเป็นท่ีอยู่อาศัยของมนุษย์ ได้แก่
ทิศตะวันออกช่ือ บูรพาวิเทหทวีป ทิศตะวันตกช่ือ อมรโคยานทวีป
ทศิ เหนอื ชอื่ อตุ รกุรทุ วปี และทิศใตช้ อ่ื ชมพทู วีป
อยา่ งไรกด็ ี พระพุทธศาสนาได้ปรบั เปล่ยี น แก้ไขเน้ือหาคตคิ วามเชือ่ เรอ่ื ง
โลกและจกั รวาลในศาสนาพราหมณ์ เพอื่ ใหม้ คี วามสอดคลอ้ งกบั หลกั พทุ ธ
ธรรม ทง้ั น้ี กเ็ พยี งเพอ่ื เปน็ พน้ื ฐานในการแสดงธรรมและสรา้ งความศรทั ธา

012

คติจักรวาลวิทยาในพุทธศาสนา

ภาพท่ี ๕
จติ รกรรมฝาผนงั
แสดงคตจิ ักรวาล

ภายในอุโบสถ
วัดดุสดิ าราม

กรงุ เทพฯ

อันเป็นปัจจัยนำ�ไปสู่การปฏิบัติให้หลุดพ้นจากความทุกข์ โดยเฉพาะหลัก
การสำ�คัญท่ีขัดแย้งกันอย่างชัดเจน คือ คำ�สอนในพุทธศาสนาเรื่อง
ไตรลักษณ์ หรือสามัญลักษณะของสรรพสง่ิ ท้ังหลาย ได้แก่ อนจิ จัง ทกุ ขงั
อนัตตา กล่าวคือ จุดหมายสูงสุดของศาสนาพราหมณ์ก็คือ การไปเกิดมี
ชีวิตอยู่เป็นนิรันดรอยู่กับพระพรหม หรือเทพเจ้าสูงสุด แต่พระพุทธเจ้า
ตรสั สอนวา่ สรรพสง่ิ ทัง้ หลายในโลกจกั รวาลทัง้ ที่ไม่มชี วี ิตและมชี ีวติ ไมว่ ่า

013

คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา

ภาพที่ ๖
เขาพระสุเมรแุ ละ
เขาสตั ตบรภิ ัณฑ์
จิตรกรรมฝาผนัง
ภายในพระอุโบสถ
วัดใหญอ่ นิ ทราราม
จงั หวัดชลบุรี

จะอยใู่ นภพภมู ใิ ด ลว้ นแลว้ แตไ่ มเ่ ทย่ี ง ไมอ่ าจมชี วี ติ อยเู่ ปน็ นริ นั ดร จะตอ้ ง
เวียนว่ายตายเกิดท่องเที่ยวไปยังภพภูมิต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไป
ตามผลกรรม เรียกว่า สังสารวัฏ หรือวัฏสงสาร ด้วยเหตุน้ี คำ�สอนใน
พระพุทธศาสนาจึงมุ่งเน้นท่ีการหลุดพ้นจากภพภูมิทั้งหมด คือ การออก
จากโลกยิ ภมู ไิ ปสโู่ ลกตุ ตรภมู ิ อาจกลา่ วอกี นยั หนง่ึ ไดว้ า่ จดุ หมายสงู สดุ ของ
พราหมณ์ ก็คือการขึน้ ใหถ้ ึงจุดสดุ ยอดของไตรภมู ิ สว่ นจดุ หมายสงู สดุ ของ
พทุ ธศาสนา คือการพน้ ออกไปได้จากไตรภมู ๕ิ

014

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในพระไตรปฎิ ก

คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

คคติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในพระไตรปฎิ ก
วามเปน็ มาของแนวคดิ เรอื่ งโลกและจกั รวาล ทปี่ รากฏอยใู่ นคมั ภรี ์
ทางพุทธศาสนาส่วนใหญ่น้ัน ได้รับอิทธิพลของศาสนาพราหมณ์
และฮินดู ซึ่งได้รับการยอมรับนับถือแพร่หลายมากที่สุดในสมัย
พทุ ธกาล และเปน็ การยากทจี่ ะแยกแยะให้ชัดเจนได้วา่ โลกทศั น์เกี่ยวกบั
จกั รวาลทปี่ รากฏในคมั ภรี พ์ ทุ ธศาสนา มเี นอื้ หาสว่ นใดเปน็ ของตนเอง สว่ น
ใดเป็นของศาสนาฮินดู พราหมณ์ และศาสนาเชน๖ ต่อมาคติจักรวาลได้
แพรห่ ลายออกไปยงั ดนิ แดนตา่ งๆ ทน่ี บั ถอื พระพทุ ธศาสนา เรอื่ งราวเกย่ี ว
กับโลกศาสตร์และจักรวาลมีปรากฏทั้งในพุทธศาสนาแบบมหายาน และ
เถรวาท โดยเฉพาะในงานวรรณกรรมพุทธศาสนา ซึ่งเป็นท่รี ้จู ักแพรห่ ลาย
อยใู่ นกลุ่มประเทศเอเชียอาคเนย์ท่นี ับถอื พุทธศาสนานิกายเถรวาท ไดแ้ ก่
ประเทศพมา่ ประเทศลาว ประเทศกมั พชู า และประเทศไทย โดยไดร้ บั การ
เผยแพรเ่ ข้ามาต้งั แตร่ าว พทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙๗
แนวคดิ เรอื่ งจกั รวาลวทิ ยาอนั ปรากฏในคมั ภรี พ์ ระพทุ ธศาสนาเถรวาท ทม่ี ี
ความสำ�คัญมากท่ีสุด คือ พระไตรปิฎก ซึ่งประกอบด้วย พระวินัยปิฎก
พระสตุ ตนั ตปฎิ ก และพระอภธิ รรมปฎิ ก ทงั้ น้ี เนอื้ หาทเ่ี กยี่ วกบั คตจิ กั รวาล
วิทยาส่วนมาก จะปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎก และพระอภิธรรมปิฎก
เน่ืองจากเป็นส่วนหลักธรรมท่ีแสดงเพื่อความรู้ความเข้าใจในแนวคิดหลัก
ของพระพุทธศาสนา ส่วนพระวินัยปิฎกนั้น เป็นคำ�สอนในส่วนท่ีเป็น
บทบัญญตั ขิ อ้ บงั คบั ส�ำ หรับพระภิกษสุ งฆ์ และภิกษณุ ีสงฆ์ โดยเฉพาะคติ
ความเช่ือเกี่ยวกับจักรวาลวิทยาในพระสุตันตปิฎก ซ่ึงว่าด้วยพระสูตร
หรือเทศนาท่ีตรัสแก่บุคคลต่างๆ รวมท้ังพระสาวกสำ�คัญบางรูป ในเวลา
และสถานท่แี ตกตา่ งกัน อันประกอบด้วย คำ�สนทนาตอบโต้ ค�ำ บรรยาย
ร้อยกรอง ร้อยแก้ว และร้อยแก้วผสมร้อยกรอง๘ ท้ังน้ี เนื้อหาในพระสตู ร
บางตอน ซึ่งเป็นตัวอย่างสะท้อนให้เห็นถึงความสำ�คัญของคติจักรวาล-
วิทยา ได้แก่

016

คติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในพระไตรปฎิ ก

สรุ ยิ สูตร

สุริยสูตรเป็นพระสูตรที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการแตกทำ�ลายของโลกและ
จักรวาล ในเบ้ืองต้นของสุริยสูตรน้ัน พระพุทธองค์ทรงตรัสเกี่ยวกับเร่ือง
สงั ขารไม่เท่ยี ง ไมน่ ่าไว้ใจ ควรทจ่ี ะเบื่อหน่าย ควรทจ่ี ะพ้นไปเสยี จากน้ัน
จงึ ตรสั ถงึ เขาพระสเุ มรุ ระยะเวลาทผี่ า่ นมาหลายแสนปี ในสมยั ทฝี่ นไมต่ ก
พชื พนั ธ์แุ หง้ ตาย จนถงึ สมยั ทมี่ ีพระอาทติ ยเ์ กิดเพิ่มขึน้ เป็น ๒ ดวง จนถึง
๗ ดวง แล้วจะเกิดไฟลุกไหม้แผน่ ดนิ และเขาพระสเุ มรุ เปลวไฟไปถงึ พรหม
โลก๙ โดยมีเน้ือความปรากฏในพระไตรปิฎก พระสตุ ตนั ตปิฎก ความวา่
“...สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ อัมพปาลีวัน ใกล้พระนคร
เวสาลี ณ ท่ีน้ันแล พระผู้มีพระภาคตรัสเรียกภิกษุทั้งหลายว่า ดูกรภิกษุ
ทง้ั หลาย ภิกษุเหล่าน้นั ทูลรับพระผู้มพี ระภาคแลว้ พระผูม้ พี ระภาคตรัสวา่
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง ไม่ยั่งยืน ไม่น่าช่ืนชม นี้เป็น
ก�ำ หนดควรเบอื่ หนา่ ย ควรคลายก�ำ หนดั ควรหลดุ พน้ ในสงั ขารทงั้ ปวง ดกู ร
ภิกษทุ ้ังหลาย ขนุ เขาสเิ นรุ โดยยาว ๘๔,๐๐๐ โยชน์ โดยกวา้ ง ๘๔,๐๐๐
โยชน์ หยั่งลงในมหาสมุทร ๘๔,๐๐๐ โยชน์ สูงจากมหาสมุทรข้ึนไป
๘๔,๐๐๐ โยชน์ มกี าลบางคราวทฝี่ นไมต่ กหลายปี หลายรอ้ ยปี หลายพนั ปี
หลายแสนปี เมื่อฝนไม่ตก พืชคาม ภูตคาม และติณชาติท่ีใช้เข้ายา
ปา่ ไม้ใหญ่ ยอ่ มเฉา เหย่ี วแหง้ เปน็ อยู่ไม่ได้ ฉนั ใด สังขารกฉ็ ันนน้ั เป็น
สภาพไม่เท่ียง ไม่ย่ังยืน ไม่น่าชื่นชม น้ีเป็นกำ�หนดควรเบ่ือหน่าย
ควรคลายกำ�หนัด ควรหลดุ พ้นในสังขารทง้ั ปวงฯ…”๑๐
“...ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในกาลบางคร้ังบางคราว โดยล่วงไปแห่งกาลนาน
พระอาทิตย์ดวงท่ี ๗ ปรากฏ เพราะพระอาทติ ยด์ วงที่ ๗ ปรากฏ แผ่นดนิ
ใหญน่ ีแ้ ละขุนเขาสิเนรุ ไฟจะตดิ ท่ัวลุกโชตชิ ว่ ง มแี สงเพลงิ เป็นอันเดียวกนั
เม่ือแผ่นดินใหญ่และขุนเขาสิเนรุไฟเผาลุกโชน ลมหอบเอาเปลวไฟฟุ้งไป
จนถึงพรหมโลก เมื่อขุนเขาสิเนรุไฟเผาลุกโชนกำ�ลังทะลาย ถูกกองเพลิง
ใหญ่เผาท่วมตลอดแลว้ ยอดเขาแม้ขนาด ๑๐๐ โยชน์ ๒๐๐ โยชน์ ๓๐๐

017

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

โยชน์ ๔๐๐ โยชน์ ๕๐๐ โยชน์ ยอ่ มพงั ทลาย เม่ือแผ่นดินใหญแ่ ละขนุ เขา
สเิ นรุถกู ไฟเผาผลาญอยู่ ย่อมไม่ปรากฏขี้เถา้ และเขม่า เปรยี บเหมอื นเม่อื
เนยใสหรือนำ้�มันถูกไฟเผาผลาญอยู่ ยอ่ มไม่ปรากฏขเี้ ถ้าและเขมา่ ฉะนัน้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย สังขารท้ังหลายก็ฉันนั้น เป็นสภาพไม่เท่ียง ไม่ยั่งยืน
ไมน่ า่ ชน่ื ชม ควรจะเบือ่ หนา่ ย ควรคลายก�ำ หนดั ควรหลุดพน้ ในสังขาร
ทั้งปวง ดูกรภิกษุทั้งหลาย ในข้อน้ัน ใครจะรู้ใครจะเชื่อว่า แผ่นดินน้ี
และขุนเขาสิเนรุจักถูกไฟไหม้พินาศไม่เหลืออยู่ นอกจากอริยสาวก
ผมู้ บี ทอันเห็นแลว้ (โสดาบัน)ฯ...”๑๑
จูฬนีสตู ร
เป็นพระสูตรที่มีเน้ือหาเกี่ยวกับคติจักรวาล โดยพระอานนท์ได้กราบทูล
ถามพระพุทธองค์ เรอ่ื ง สาวกของพระพุทธเจา้ องค์หนงึ่ ในอดีต สามารถ
ยนื อยใู่ นพรหมโลกแลว้ เปลง่ เสยี งใหพ้ นั โลกธาตไุ ดย้ นิ สว่ นพระพทุ ธเจา้ นน้ั
ทรงสามารถที่จะทำ�ให้โลกธาตุจำ�นวนเท่าไรได้ยินเสียงของพระองค์
พระพทุ ธองคจ์ งึ ตรสั ตอบค�ำ ถาม และแสดงธรรมแกพ่ ระอานนท์ ซงึ่ มเี นอ้ื หา
เกีย่ วกบั คติจกั รวาลวทิ ยา เรอื่ งโลกธาตุขนาดเลก็ ขนาดกลาง และขนาด
ใหญ่ รวมทง้ั การมีพระจันทร์ และพระอาทติ ย์ จำ�นวนพันดวง๑๒ โดยมเี น้ือ
ความปรากฏในพระไตรปิฎก พระสุตตันตปฎิ ก ความวา่
“...ดกู รอานนท์ จกั รวาลหนง่ึ มกี �ำ หนดเทา่ กบั โอกาสทพ่ี ระจนั ทรพ์ ระอาทติ ย์
โคจร ท่ัวทิศสว่างไสวรงุ่ โรจน์ โลกมอี ยู่พนั จกั รวาลกอ่ น ในโลกพนั จกั รวาล
นนั้ มพี ระจนั ทรพ์ นั ดวง มพี ระอาทติ ยพ์ นั ดวง มขี นุ เขาสเิ นรพุ นั หนงึ่ มชี มพู
ทวีปพันหนงึ่ มอี ปรโคยานทวีปพันหนึ่ง มอี ตุ ตรกุรุทวีปพนั หนงึ่ มปี พุ พวิ-
เทหทวปี พันหนึง่ มีมหาสมทุ รสีพ่ นั มที ้าวมหาราชสีพ่ ัน มีเทวโลกชัน้ จาตุ
มหาราชิกาพันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นดาวดึงส์พันหนึ่ง มีเทวโลกชั้นยามา
พนั หนง่ึ มเี ทวโลกชน้ั ดสุ ติ พนั หนงึ่ มเี ทวโลกชนั้ นมิ มานรดพี นั หนงึ่ มเี ทวโลก
ชั้นปรนิมมิตวสวัสตีพันหน่ึง มีพรหมโลกพันหน่ึง ดูกรอานนท์ น้ีเรียกว่า
โลกธาตอุ ยา่ งเลก็ มพี นั จกั รวาล โลกคณู โดยสว่ นพนั แหง่ โลกธาตุ อยา่ งกลาง

018

คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในพระไตรปิฎก

มีล้านจักรวาลน้ัน น้ีเรียกว่าโลกธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล
ดกู รอานนทต์ ถาคตมงุ่ หมายอยู่ พงึ ท�ำ โลกธาตอุ ยา่ งใหญป่ ระมาณแสนโกฏิ
จักรวาลให้รู้แจ้งได้ด้วยเสียง หรือทำ�ให้รู้แจ้งได้เท่าที่มุ่งหมายฯ ข้าแต่
พระองคผ์ ู้เจรญิ ก็พระผูม้ ีพระภาคพงึ ท�ำ โลกธาตอุ ย่างใหญป่ ระมาณแสน
โกฏจิ กั รวาล ใหร้ แู้ จง้ ดว้ ยพระสรุ เสยี ง หรอื ท�ำ ใหร้ แู้ จง้ ไดเ้ ทา่ ทพ่ี ระองคท์ รง
มุ่งหมายอยา่ งไรฯ ดูกรอานนท์ พระตถาคตในโลกน้ี พึงแผ่รศั มีไปทัว่ โลก
ธาตุอย่างใหญ่ประมาณแสนโกฏิจักรวาล เมื่อใด หมู่สัตว์พึงจำ�แสงสว่าง
นน้ั ได้ เม่อื นนั้ พระตถาคตพงึ เปลง่ พระสุรเสยี งให้สตั ว์เหลา่ น้นั ได้ยนิ พระ
ตถาคตพงึ ท�ำ ใหโ้ ลกธาตอุ ยา่ งใหญป่ ระมาณแสนโกฏจิ กั รวาลใหร้ แู้ จง้ ไดด้ ว้ ย
พระสุรเสียง หรือพึงทำ�ใหร้ ู้แจ้งไดเ้ ทา่ ทพี่ ระองค์ทรงมงุ่ หมาย ด้วยอาการ
เช่นน้แี ลฯ...”๑๓
อคั คญั ญสตู ร
เปน็ พระสตู รขนาดยาวทพ่ี ระพทุ ธเจา้ ตรสั แกส่ ามเณรวาเสฏฐะและสามเณร
ภารทวาชะ ปรากฏเนื้อหาเก่ียวกับเรื่องก�ำ เนิดของจกั รวาล พระพุทธองค์
ทรงตรัสถึงช่วงเวลาสังวัฏกัปของจักรวาล โดยมีเนื้อความปรากฏใน
พระไตรปฎิ ก พระสุตตนั ตปฎิ ก ความว่า
“...ดกู รวาเสฏฐะและภารทวาชะ มสี มยั บางครง้ั บางคราว โดยลว่ งระยะกาล
ยดื ยาวช้านานท่โี ลกน้จี ะพนิ าศ เมอ่ื โลกก�ำ ลงั พนิ าศอยู่ โดยมากเหล่าสัตว์
ยอ่ มเกดิ ในชนั้ อาภสั สรพรหม สตั วเ์ หลา่ นนั้ ไดส้ �ำ เรจ็ ทางใจ มปี ตี เิ ปน็ อาหาร
มีรศั มซี า่ นออกจากกายตนเอง สญั จรไปได้ในอากาศ อย่ใู นวิมานอันงาม
สถิตอยู่ในภพนั้นสิ้นกาลยืดยาวช้านาน ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ
มสี มยั บางครง้ั บางคราว โดยระยะกาลยดื ยาวชา้ นาน ทโี่ ลกนจ้ี ะกลบั เจรญิ
เม่ือโลกกำ�ลังเจริญอยู่โดยมาก เหล่าสัตว์พากันจุติจากช้ันอาภัสสรพรหม
ลงมาเปน็ อยา่ งน้ี และสัตวน์ ั้นได้สำ�เรจ็ ทางใจ มีปตี ิเป็นอาหาร มีรศั มซี ่าน
ออกจากกายตนเอง สัญจรไปไดใ้ นอากาศ อยใู่ นวมิ านอนั งาม สถติ อยู่ใน
ภพนัน้ ส้นิ กาลยืดยาวช้านาน ก็แหละ สมยั นั้น จักรวาลทัง้ สน้ิ น้แี ลเปน็ น้ำ�

019

คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ทั้งนั้น มืดมนแลไม่เห็นอะไร ดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ก็ยังไม่ปรากฏ
ดวงดาวนักษัตรทั้งหลายก็ยังไม่ปรากฏ กลางวันกลางคืนก็ยังไม่ปรากฏ
เดือนหน่ึงและก่ึงเดือนก็ยังไม่ปรากฏ ฤดูและปีก็ยังไม่ปรากฏ
เพศชายและเพศหญงิ กย็ งั ไมป่ รากฏ สตั วท์ ง้ั หลายถงึ ซง่ึ อนั นบั เพยี งวา่ สตั ว์
เทา่ นน้ั ดกู รวาเสฏฐะและภารทวาชะ ครน้ั ตอ่ มา โดยลว่ งระยะกาลยดื ยาว
ช้านาน เกิดงว้ นดนิ ลอยอยบู่ นนำ้�ทวั่ ไป ได้ปรากฏแก่สตั ว์เหล่านนั้ เหมือน
นมสดทบี่ คุ คลเคย่ี วใหง้ วดแลว้ ตงั้ ไวใ้ หเ้ ยน็ จบั เปน็ ฝาอยขู่ า้ งบน ฉะนนั้ งว้ น
ดินน้ันถงึ พร้อมด้วยสี กล่นิ รส มสี ีคลา้ ยเนยใสหรือเนยข้นอยา่ งดี ฉะน้นั
มรี สอรอ่ ยดุจรวงผึ้งเลก็ อนั หาโทษมิได้ ฉะน้นั ฯ…”๑๔
นอกจากนั้น พระพทุ ธองค์ยงั ทรงแสดงถึงการกำ�เนดิ และวิวฒั นาการของ
จกั รวาลตามล�ำ ดบั เวลา เรมิ่ ตง้ั แตต่ น้ ววิ ฏั ฏกปั กลา่ วคอื ชว่ งเวลาทจ่ี กั รวาล
ก่อตวั ขน้ึ ใหม่ โดยเร่มิ ต้นจากการมสี ภาพเป็นน้ำ�แผ่ออกไปเต็มอวกาศอนั
กว้างใหญ่ วา่ งเปลา่ ปราศจากพระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาวตา่ งๆ
ทว่ั ทัง้ จักรวาลมืดมิด ตอ่ มาโลกเมื่อโลกคอ่ ยๆ จบั ตวั ข้นึ มพี ชื พนั ธเ์ุ กิดข้นึ
โดยมีเนื้อความปรากฏใน พระไตรปิฎก พระสตุ ตนั ตปฎิ ก ความว่า
“...ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ต่อมามีสัตว์ผู้หนึ่งเป็นคนโลนพูดว่า
ท่านผู้เจริญทั้งหลายน่ีจักเป็นอะไร แล้วเอานิ้วช้อนง้วนดินขึ้นลองลิ้มดู
เมอื่ เขาเอานวิ้ ชอ้ นงว้ นดนิ ขน้ึ ลองลม้ิ ดอู ยงู่ ว้ นดนิ ไดซ้ าบซา่ นไปแลว้ เขาจงึ
เกดิ ความอยากข้ึน ดกู รวาเสฏฐะและภารทวาชะ แม้สัตวพ์ วกอืน่ ก็พากนั
กระท�ำ ตามอยา่ งสตั วน์ น้ั เอานว้ิ ชอ้ นงว้ นดนิ ขน้ึ ลองลมิ้ ดู เมอื่ สตั วเ์ หลา่ นน้ั
พากันเอาน้ิวช้อนง้วนดินข้ึนลองลิ้มดูอยู่ ง้วนดินได้ซาบซ่านไปแล้ว
สัตวเ์ หลา่ นนั้ จงึ เกดิ ความอยากขึน้ ต่อมาสตั ว์เหลา่ น้ันพยายามเพอ่ื จะปน้ั
ง้วนดินให้เป็นคำ�ๆ ด้วยมือแล้วบริโภค ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ
ในคราวที่พวกสัตว์พยายามเพ่ือจะปั้นง้วนดินให้เป็นคำ�ๆ ด้วยมือแล้ว
บริโภคอยนู่ น้ั เม่อื รัศมกี ายของสตั วเ์ หลา่ นัน้ ก็หายไปแลว้ ดวงจนั ทรแ์ ละ
ดวงอาทิตย์ก็ปรากฏ เมื่อดวงจันทร์และดวงอาทิตย์ปรากฏแล้ว ดวงดาว
นักษัตรทั้งหลายก็ปรากฏ เม่ือดวงดาวนักษัตรปรากฏแล้ว กลางคืนและ

020

คติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในพระไตรปฎิ ก

กลางวันก็ปรากฏ เมื่อกลางคืนและกลางวันปรากฏแล้ว เดือนหน่ึงและ
กึ่งเดือนกป็ รากฏ เมือ่ เดอื นหนง่ึ และกึ่งเดือนปรากฏอยู่ ฤดแู ละปกี ป็ รากฏ
ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล โลกนี้จึงกลับเจริญ
ขนึ้ มาอกี ฯ...”๑๕
สมทิ ธสิ ตู ร
สมิทธิสูตรเป็นพระสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสแสดงความหมายของโลก
โดยมเี นอื้ ความปรากฏในพระไตรปฎิ ก พระสุตตนั ตปิฎก ความว่า
“...ขา้ แต่พระองค์ผู้เจรญิ ที่เรยี กวา่ โลก โลก ดงั น้ี ด้วยเหตเุ พียงเท่าไรจึง
เป็นโลก หรือบญั ญัติว่าโลก พระผมู้ พี ระภาคตรัสวา่ ดูกรสมิทธิ จักษุ รปู
จกั ษวุ ญิ ญาณ ธรรมทีจ่ ะพงึ ร้แู จ้งด้วยจักษวุ ิญญาณ มอี ยู่ ณ ท่ใี ด โลกหรอื
การบัญญัติว่าโลกก็มีอยู่ ณ ท่ีนั้น ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ
ธรรมที่จะพึงรู้แจ้งด้วยมโนวิญญาณ มีอยู่ ณ ท่ีใด โลกหรือการบัญญัติ
วา่ โลกกม็ ี อยู่ ณ ท่ีนั้นฯ ดกู รสมทิ ธิ จักษุ รูป จกั ษุวิญญาณ ธรรมทีจ่ ะ
พึงรูแ้ จ้งด้วย จักษุวญิ ญาณไม่มี ณ ทีใ่ ด โลกหรอื การบัญญตั ิวา่ โลกกไ็ มม่ ี
ณ ที่นั้น ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ ธรรมท่ีจะพึงรู้แจ้งด้วย
มโนวญิ ญาณ ไมม่ ี ณ ทใ่ี ด โลก หรอื การบญั ญตั วิ า่ โลกกไ็ มม่ ี ณ ทนี่ น้ั ฯ...”๑๖
โรหิตัสสสตู ร
เป็นพระสูตรที่มีเน้ือหาเกี่ยวข้องกับเรื่องโลก โดยโรหิตัสสเทพบุตร
กราบทูลถามวา่ ในท่ใี ดไมม่ ีผู้เกิด แก่ ตาย เคล่อื น (จุติ) เขา้ ถึง (อปุ ปัติ)
อาจหรอื ไม่ทีจ่ ะรู้เห็นจะบรรลุท่ีสดุ แหง่ โลกดว้ ยการไป ทรงตอบวา่ ไมอ่ าจ
แตพ่ ระพุทธองคท์ รงบญั ญัตโิ ลก เหตุเกิดแหง่ โลก ความดับโลก ข้อปฏิบัติ
ใหถ้ ึงความดบั โลก ในร่างกายน้ี อนั มีประมาณวาหน่งึ มีสัญญา (ความจำ�
ได้หมายรู้) มีใจครอง๑๗ ปรากฏเน้ือหาในพระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก
ความว่า

021

คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

“...ดกู รอาวุโส สตั วย์ ่อมไม่เกดิ ยอ่ มไม่แก่ ยอ่ มไมต่ าย ย่อมไม่จุติ ย่อมไม่
อุบัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาสนั้นว่าเป็นที่สุดแห่งโลก ท่ีควรรู้
ควรเห็น ควรถึง ด้วยการไป ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเทวบุตรกล่าว
อย่างนี้แล้ว เราได้กล่าวกะเทวบุตรว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกิด ย่อม
ไม่แก่ ยอ่ มไมต่ าย ยอ่ มไม่จตุ ิ ยอ่ มไม่อบุ ัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าวโอกาส
นนั้ ว่าเป็นทีส่ ดุ แห่งโลก ท่ีควรรู้ ควรเหน็ ควรถึง ดว้ ยการไป และเรายอ่ ม
ไม่กลา่ วการกระทำ�ที่สดุ แห่งทกุ ข์ เพราะไปไมถ่ งึ ท่สี ดุ แห่งโลก แต่เราย่อม
บัญญัติโลก เหตุเกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก ปฏิปทาเคร่ืองให้ถึง
ความดับแห่งโลก ในอัตภาพอันมีประมาณวาหนึ่ง มีสัญญา และมีจิตนี้
เท่านั้น...”๑๘
ฐานสูตร
เป็นพระสูตรที่มีเน้ือหาเก่ียวข้องกับเร่ืองคติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนา
โดยเฉพาะความประเสริฐของ มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป เทวดาบนสวรรค์
ช้ันดาวดึงส์ และมนุษย์ชาวชมพูทวีป ปรากฏเน้ือหาในพระไตรปิฎก
พระสตุ ตันตปฎิ ก ความวา่
“...ดูกรภิกษุท้ังหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีป ประเสริฐกว่าเทวดาช้ัน
ดาวดงึ ส์และพวกมนุษยช์ าวชมพูทวปี ดว้ ยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการ
เป็นไฉน คือไม่มีทุกข์ ๑ ไม่มีความหวงแหน ๑ มอี ายุแนน่ อน ๑ ดกู รภิกษุ
ทั้งหลาย มนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปประเสริฐกว่าพวกเทวดาชั้นดาวดึงส์
และพวกมนษุ ยช์ าวชมพทู วปี ดว้ ยฐานะ ๓ ประการนแ้ี ลฯ ดกู รภกิ ษทุ ง้ั หลาย
เทวดาชน้ั ดาวดงึ ส์ ประเสรฐิ กวา่ พวกมนษุ ยช์ าวอตุ รกรุ ทุ วปี และพวกมนษุ ย์
ชาวชมพูทวปี ด้วยฐานะ ๓ ประการ ๓ ประการเปน็ ไฉน คือ อายุทิพย์ ๑
วรรณะทิพย์ ๑ สุขทพิ ย์ ๑ ดกู รภกิ ษุทง้ั หลาย เทวดาชนั้ ดาวดงึ ส์ ประเสรฐิ
กว่าพวกมนุษย์ ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกมนุษย์ชาวชมพูทวีปด้วยฐานะ
๓ ประการนี้แลฯ ดูกรภิกษุท้ังหลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีป ประเสริฐกว่า
พวกมนุษยช์ าวอตุ รกรุ ุทวีปและเทวดาชั้นดาวดึงส์ ดว้ ยฐานะ ๓ ประการ

022

คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในพระไตรปฎิ ก

๓ ประการเป็นไฉน คือ เป็นผู้กล้า ๑ เป็นผู้มีสติ ๑ เป็นผู้อยู่ประพฤติ
พรหมจรรย์อนั เยีย่ ม ๑ ดกู รภิกษุทงั้ หลาย มนุษย์ชาวชมพูทวีปประเสริฐ
กว่าพวกมนุษย์ชาวอุตรกุรุทวีปและพวกเทวดาช้ันดาวดึงส์ ด้วยฐานะ
๓ ประการนแ้ี ลฯ...”๑๙
ปัพพตสูตร
เปน็ พระสตู รทม่ี เี นอื้ หาเกยี่ วกบั เรอื่ งความยาวนานของเวลา โดยมภี กิ ษรุ ปู
หนงึ่ ไดก้ ราบทลู ถามพระพุทธเจ้าว่า เวลา ๑ กัปนน้ั มรี ะยะเวลายาวนาน
เพยี งใด พระพทุ ธองคท์ รงตรสั ตอบวา่ ไมใ่ ชเ่ รอื่ งงา่ ยทจ่ี ะก�ำ หนดวา่ ยาวนาน
เทา่ ไร แตท่ รงใชว้ ธิ อี ปุ มาความยาวนานของระยะเวลา ๑ กปั ปรากฏเนอ้ื หา
ในพระไตรปิฎก พระสุตตนั ตปฎิ ก ความว่า
“...พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั อารามของทา่ นอนาถบณิ ฑกิ
เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี คร้ังนั้นแล ภิกษุรูปหน่ึงได้เข้าไปเฝ้าพระ
ผู้มีพระภาคถึงท่ีประทับ ครั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว ฯลฯ เม่ือภิกษุรูปนั้น
น่ังเรียบร้อยแล้ว ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
กัปหนึ่ง นานเพียงไรหนอแล พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ กัปหนึ่ง
นานแล มใิ ชง่ า่ ยที่จะนับกัปนั้นว่าเทา่ นปี้ ี เทา่ นี้ ๑๐๐ ปี เทา่ น้ี ๑,๐๐๐ ปี
หรอื วา่ เทา่ นี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปฯี ก็พระองคอ์ าจจะอุปมาไดไ้ หม พระเจา้ ข้าฯ
อาจอุปมาได้ ภกิ ษุ แลว้ จงึ ตรสั ต่อไปวา่ ดูกรภกิ ษเุ หมือนอย่างว่า ภเู ขาหิน
ลูกใหญ่ยาวโยชน์หน่ึง กว้างโยชน์หน่ึง สูงโยชน์หน่ึงไม่มีช่อง ไม่มีโพรง
เป็นแท่งทึบบุรุษพึงเอาผ้าแคว้นกาสีมาแล้วปัดภูเขานั้น ๑๐๐ ปีต่อครั้ง
ภูเขาหินลูกใหญ่นั้น พึงถึงการหมดไปส้ินไป เพราะความพยายามนี้
ยังเร็วกว่าแล ส่วนกัปหนึ่งยังไม่ถึงการหมดไป ส้ินไป กัปนานอย่างนี้แล
บรรดากปั ทนี่ านอยา่ งนี้ พวกเธอทอ่ งเทยี่ วไปแลว้ มใิ ชห่ นง่ึ กปั มใิ ชร่ อ้ ยกปั
มใิ ชพ่ นั กปั มใิ ชแ่ สนกปั ขอ้ นน้ั เพราะเหตไุ ร เพราะวา่ สงสารนก้ี �ำ หนดทส่ี ดุ
เบ้ืองต้นเบื้องปลายไม่ได้ ฯลฯ ดูกรภิกษุท้ังหลาย ก็เหตุเพียงเท่าน้ี
พอทีเดียวเพื่อจะเบื่อหน่าย ในสังขารท้ังปวง พอเพื่อจะคลายกำ�หนัด
พอเพือ่ จะหลดุ พน้ ดงั นฯี้ ...”๒๐

023

คติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

สาสปสตู ร
เปน็ พระสตู รทม่ี เี นอ้ื หาเกย่ี วกบั เรอ่ื งความยาวนานของเวลา พระพทุ ธองค์
ทรงอปุ มาระยะเวลา ๑ กปั มเี นอ้ื หาปรากฏในพระไตรปฎิ ก พระสตุ ตนั ตปฎิ ก
ความวา่
“...พระผมู้ พี ระภาคประทบั อยู่ ณ พระเชตวนั อารามของทา่ นอนาถบณิ ฑกิ
เศรษฐีเขตพระนครสาวัตถี ครั้งน้ันแล ภิกษุรูปหนึ่งเข้าไปเฝ้าพระผู้มีพระ
ภาคถงึ ทปี่ ระทบั ฯลฯ ครนั้ ภกิ ษนุ น้ั นงั่ เรยี บรอ้ ยแลว้ ไดท้ ลู ถามพระผมู้ พี ระ
ภาคว่า ข้าแตพ่ ระองค์ผู้เจรญิ กปั หน่ึงนานเพียงไรหนอแลฯ พระผมู้ พี ระ
ภาคตรัสว่า ดูกรภิกษุ กัปหน่ึงนานแล มิใช่ง่ายท่ีจะนับกัปน้ันว่า เท่านี้ปี
ฯลฯ หรอื วา่ เท่านี้ ๑๐๐,๐๐๐ ปฯี ก็พระองคอ์ าจจะอุปมาได้ไหม พระเจา้
ขา้ ฯ อาจอปุ มาได้ ภกิ ษุ แลว้ จงึ ตรสั ตอ่ ไปวา่ ดกู รภกิ ษเุ หมอื นอยา่ งวา่ นคร
ทที่ ำ�ดว้ ยเหลก็ ยาวโยชน์ ๑ กว้างโยชน์ ๑ สูงโยชน์ ๑ เตม็ ดว้ ยเมล็ดพนั ธ์ุ
ผกั กาด มเี มลด็ พนั ธผ์ุ กั กาดรวมกนั เปน็ กลมุ่ กอ้ น บรุ ษุ พงึ หยบิ เอาเมลด็ พนั ธ์ุ
ผักกาดเมล็ดหน่ึงๆ ออกจากนครน้ันโดยล่วงไปหนึ่งร้อยปีต่อเมล็ดเมล็ด
พันธผ์ุ กั กาดกองใหญน่ นั้ พงึ ถึงความสิ้นไป หมดไป เพราะความพยายาม
นี้ ยงั เร็วกวา่ แล สว่ นกปั หนึง่ ยังไมถ่ งึ ความส้นิ ไป หมดไป กปั นานอยา่ งนี้
แล บรรดากปั ทน่ี านอยา่ งน้ี พวกเธอทอ่ งเทย่ี วไปแลว้ มใิ ชห่ นง่ึ กปั มใิ ชร่ อ้ ย
กปั มใิ ช่พันกปั มิใชแ่ สนกปั ข้อนัน้ เพราะเหตไุ ร เพราะวา่ สงสารนี้ก�ำ หนด
ที่สดุ เบ้ืองตน้ เบ้ืองปลายไม่ได้ ฯลฯ พอเพอื่ จะหลุดพ้น ดงั นฯ้ี ...”๒๑
ทง้ั นี้ เนอื้ หาเรอื่ งแนวคดิ เกยี่ วกบั โลกและจกั รวาลทปี่ รากฏในพระไตรปฎิ ก
ก็ยังสามารถจำ�แนกออกเป็น ๒ ลักษณะ ได้แก่ การอธิบายถึงเร่ืองโลก
จักรวาลทม่ี ลี ักษณะเปน็ รปู ธรรม (Objective) ตามประสบการณท์ ่เี ป็นการ
เรียนรู้ของมนุษย์ ซ่ึงมีลักษณะจำ�กัดด้วยชีวิตของมนุษย์แต่ละคนเท่าน้ัน
และการอธบิ ายววิ ฒั นาการของโลกและจกั รวาลทม่ี ลี กั ษณะเปน็ นามธรรม
(Subjective) ซ่ึงเป็นความหมายเร่ืองทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ที่ได้รับ
อิทธิพลจากแนวคิดจากศาสนาพราหมณ์ และฮินดู แต่พุทธศาสนาได้

024

คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในพระไตรปฎิ ก

ปรบั ปรงุ เปลยี่ นแปลง และตคี วามใหมใ่ หส้ อดคลอ้ งกบั หลกั พทุ ธธรรม เพอื่
น�ำ ไปใชใ้ นการแสดงธรรมทจี่ ะน�ำ ไปสคู่ วามพน้ ทกุ ข์ อาจกลา่ วไดว้ า่ แนวคดิ
จักรวาลพุทธศาสนาเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่มีผู้สร้างหรือผู้ทำ�ลาย แต่เกิด
จากการรวมตัวกันของเหตุปัจจัยต่างๆ คติในพุทธศาสนาถือว่า โลกและ
จกั รวาลเปน็ สง่ิ ไมเ่ ทย่ี งแทแ้ นน่ อน เมอ่ื มกี ารเกดิ ขน้ึ กเ็ สอ่ื มสลายไปได้ และ
ถงึ แม้เสอ่ื มสลายไปแล้ว หากมเี หตปุ ัจจัย จกั รวาลกอ็ บุ ัตขิ ้นึ ใหม่ไดเ้ ช่นกนั
คติจักรวาลวิทยาในพุทธศาสนาสามารถแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท คือ
จกั รวาลในเชงิ วตั ถวุ สิ ยั (Objective) และจกั รวาลในเชงิ จติ วสิ ยั (Subjective)
จักรวาลในเชิงวัตถุวิสัยประกอบดว้ ย ธาตุ ๔ คอื ดิน น้ำ� ลม ไฟ หรอื ธาตุ
๕ คือ ดนิ น้ำ� ลม ไฟ และอากาศ สว่ นจกั รวาลในเชิงจติ วิสยั จะประกอบ
ด้วยธาตุ ๖ โดยเพ่ิมวิญญาณเข้ามาอีกธาตุหนง่ึ ท้ังน้ี โลกจักรวาลในเชิง
จติ วสิ ยั คอื โลกภายใน ซงึ่ เปน็ โลกแหง่ การรบั รทู้ เ่ี กดิ จากการบรรจบพรอ้ ม
กนั แหง่ อายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวญิ ญาณ เรยี กวา่ โลกแหง่
อายตนะ หรืออายตนะโลก๒๒
อยา่ งไรกต็ าม สาระส�ำ คญั เรอื่ งโลกและจกั รวาลทป่ี รากฏในพระสตุ นั ตปฎิ ก
ยังแสดงให้เห็นว่า พระพุทธองค์น่าจะมิได้มีเจตนาท่ีจะมุ่งเน้นแสดงเร่ือง
โลกและจักรวาลในเชิงโลกศาสตร์เปน็ หลัก แต่เป็นการนำ�เนื้อหาเรื่องโลก
ศาสตร์มาเปน็ สือ่ ในการสอน โดยเปรยี บเทยี บกับพระธรรมวนิ ัย อกี ทงั้ ยงั
พบวา่ มเี นอ้ื หาทข่ี ดั แยง้ กบั ความเชอ่ื เรอ่ื งมพี ระพรหมผสู้ รา้ งโลกของศาสนา
พราหมณท์ ม่ี มี าแตเ่ ดมิ เชน่ อคั คญั ญสตู ร นอกจากนี้ หลกั ธรรมในพระพทุ ธ
ศาสนายังมุ่งเน้นเร่ืองโลกภายใน ซึ่งมีลักษณะเป็นจิตวิสัย (Subjective)
หมายถงึ เปน็ โลกแหง่ การรบั รทู้ เี่ กดิ จากการบรรจบพรอ้ มแหง่ อายตนะ ๑๒
และวิญญาณ ไดแ้ ก่ อายตนะภายใน ๖ คือ ตา หู จมกู ลนิ้ กาย ใจ และ
อายตนะภายนอก ๖ คือ รปู เสียง กลน่ิ รส โผฏฐพั พะ ธรรมารมณ์ อาทิ
สมิทธิสตู ร และโรหติ ัสสสตู ร

025



วรรณกรรมคตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาเถรวาท

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา

เวรรณกรรมคตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาเถรวาท
น้ือหาของวรรณกรรมคติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาและโลกศาสตร์
ส่วนใหญ่นำ�มาจากคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาภาษาบาลี อาทิ
พระไตรปฎิ ก อรรถกถา ฎีกา และปกรณอ์ ่ืนๆ โดยมีจดุ ประสงคเ์ พื่อให้
ทราบความเป็นไปของโลกตามคตินิยมในพระพุทธศาสนา และเพ่ือให้
สาธุชนเกิดความเชอื่ ความเล่อื มใสศรทั ธา ความสงั เวชใจ จะได้พึงละเวน้
การกระทำ�บาปอกุศลกรรม ประกอบแต่กุศลกรรม คุณงามความดี
คัมภรี ค์ ตจิ ักรวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนาท่แี ตง่ เปน็ ภาษาบาลี
คมั ภรี จ์ กั กวาฬทปี นี เปน็ วรรณกรรมทางพทุ ธศาสนาทมี่ คี วามส�ำ คญั พระ
สริ ิมังคลาจารย์ พระเถระนักปราชญ์ชาวล้านนาไดร้ จนาขึน้ เปน็ ภาษาบาลี
เนือ้ หาเปน็ เรือ่ งโลกศาสตร์และจักรวาล ภูมศิ าสตร์และคตติ า่ งๆ เก่ยี วกับ
โลกตามแนวทางค�ำ สอนในพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ มเี นอ้ื หาความใกลเ้ คยี งกบั
เรือ่ งไตรภูมพิ ระร่วง แตผ่ แู้ ต่งใช้วิธเี ลอื กข้อความว่าดว้ ยเร่อื งที่ตอ้ งการจะ
ถ่ายทอดมาจากพระไตรปิฎก อรรถกถา ฎกี า ปกรณพ์ เิ ศษตา่ งๆ แล้วนำ�
มาเรียบเรียงเข้าเป็นเรื่องอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ ท่านผู้แต่งยังได้แสดงแนวคิด
ของตนเองก�ำ กบั ไวบ้ า้ ง และทส่ี �ำ คญั ทา่ นไดร้ ะบชุ อ่ื คมั ภรี ท์ อ่ี า้ งถงึ ไวท้ กุ แหง่
ด้วย
คมั ภีรโ์ ลกสัณฐานโชตรตนคัณฐี สันนิษฐานวา่ แต่งโดย พระสริ มิ ังคลา
จารย์ พระภิกษชุ าวลา้ นนา เนอ้ื หาของคมั ภีร์ แบง่ ออกเป็น ๕ ปรเิ ฉท มี
บทมาตกิ าทเ่ี ปน็ หวั ขอ้ เรอื่ ง จ�ำ นวน ๑๕ บท เรมิ่ ตง้ั แต่ อสงไขยกถาไปจนถงึ
ปกณิ ณกกถา เรอื่ งเบด็ เตลด็ มรี ปู แบบการวางเรอ่ื งเปน็ ตอนๆ โดยพรรณนา
ความไปตามล�ำ ดบั
คัมภรี โ์ ลกบัญญตั ิ ท่านผูแ้ ต่ง คอื พระสัทธมั มโฆษเถระ ชาวพม่า เน้ือหา
แบง่ ออกเปน็ ๑๖ กณั ฑ์ กล่าวถงึ ปรากฏการณ์ไหวของแผ่นดนิ ชมพูทวปี

028

วรรณกรรมคติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาเถรวาท

ชนบท บทสนทนาระหว่างยักษ์ ๒ ตน เก่ียวกับคุณของพระพทุ ธเจ้า พญา
ชา้ ง ทวีปทงั้ ๔ เขาพระสเุ มรุ เทวดาชัน้ ต่างๆ วถิ โี คจรของดวงอาทติ ย์ ดวง
จันทร์ การเกิดและการเส่ือมของสังสารวัฏ เทียบอายุของสิ่งมีชีวิตในภพ
ภมู ิตา่ งๆ การเกิดและการแตกสลายแห่งกปั ตลอดจนรายละเอยี ดสภาพ
ท่ีเป็นทุกขข์ องสรรพสิ่งท้งั หลาย
คมั ภรี โ์ ลกปุ ปตั ติ มเี นอื้ หากลา่ วถงึ เรอ่ื งความหมายของโลก เรอ่ื งการเสอ่ื ม
สลายของโลก ก�ำ เนดิ โลกในความหมายของสงั ขารโลก สตั วโ์ ลกและโอกาส
โลก และเรอ่ื งภมู ศิ าสตรข์ องโลกในสมยั โบราณ ในตอนทา้ ยของเรอื่ งกลา่ ว
ถงึ ผู้ประพนั ธ์ คือ พระสริ สิ มนั ตภทั ทบณั ฑิตเถระชาวพม่า
คัมภีร์โลกทปี กสาร เป็นคมั ภรี เ์ ก่าแกม่ อี ายปุ ระมาณ ๖๐๐ ปี ผู้รจนาคอื
พระสงั ฆราชเมธงั กร ในสมยั สโุ ขทยั มเี นอ้ื หาเกยี่ วกบั เรอื่ งโลกศาสตร์ สว่ น
ใหญม่ ที ่มี าจากคัมภีรท์ างพระพุทธศาสนาภาษาบาลี รวมทั้งสิ้น ๘ ปริเฉท
โดยแต่ละปริเฉทจะพรรณนาเรื่องราวแตกต่างกันไป มีทั้งร้อยแก้วและ
ร้อยกรอง
คมั ภรี ม์ หากปั ปโลกสณั ฐานปญั ญตั ติ มเี นอื้ หากลา่ วถงึ ความพนิ าศของ
โลก ก�ำ เนดิ โลก และลกั ษณะของโลก ในคมั ภรี ไ์ มไ่ ดก้ ลา่ วถงึ ผแู้ ตง่ และสมยั
ท่ีแต่งไว้ โครงสร้างของเนื้อหาขึ้นต้นด้วย สัตตสุริยสูตรว่าด้วยสมัยท่ีมี
พระอาทติ ยห์ ลายดวง สว่ นในเนอ้ื เรอ่ื งโดยมากจะคดั มาจากพระสตู ร ทง้ั นี้
มีข้อสังเกตว่าคัมภีร์นี้มีลักษณะเป็นเพียงการรวบรวมข้อมูลจากพระ
ไตรปฎิ กนำ�มาจดั เรียงลำ�ดับ มิใช่เป็นผลงานทีแ่ ตง่ ข้ึนเองโดยตลอดเรื่อง
คมั ภรี อ์ รณุ วดสี ตู ร เปน็ คมั ภรี ส์ �ำ คญั เรอื่ งหนง่ึ ทไ่ี มก่ ลา่ วถงึ นามผรู้ จนา แต่
เช่ือได้ว่าเป็นคัมภีร์ที่มีความสำ�คัญในสมัยสุโขทัย เนื่องจากพญาลิไททรง
อ้างอิงในการพระราชนิพนธ์เร่ือง ไตรภูมิพระร่วง เน้ือหาในอรุณวดีสูตร
เริม่ ตน้ ด้วยบทประณามคาถา ประวัตพิ ระพุทธเจ้า ต้งั แตป่ ระสูตจิ นถึงทรง
เสด็จมาท่ีเมืองอรุณวดี การเสด็จพรหมโลกของพระพุทธเจ้ากับพระอภิภู

029

คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ลกั ษณะของจกั รวาลทพี่ ระพทุ ธเจา้ ทรงอธบิ ายแกพ่ ระอานนท์ การเกดิ และ
การพินาศของโลกด้วยไฟ น้ำ�และลม ดาวนักษัตรท้ัง ๒๗ ดวง การนับ
อสงไขย ตลอดจนการเรียกช่ือกัปต่างๆ ตอนท้ายจบลงด้วยการบรรลุ
มรรคผล นพิ พาน ของบคุ คลผู้ฟังพระสัทธรรมเทศนาของพระพทุ ธเจ้า
คัมภีร์โอกาสโลกทีปนี มีเนื้อหาเก่ียวกับเรื่องโลกศาสตร์ พรรณนาเร่ือง
โลกตามคตทิ างพระพทุ ธศาสนา ทางภมู ศิ าสตร์ และประวตั ศิ าสตร์ วา่ ดว้ ย
ท่ีต้ังและขนาดภูเขาต่างๆ ทวีปใหญ่ ๔ ทวปี ความเป็นมา การกำ�เนิด และ
การโคจรหมนุ เวยี นของดวงอาทติ ย์ ดวงจนั ทร์ ดวงดาวจกั รราศที ง้ั ๑๒ ดาว
นักษัตร ฤกษ์ ฤดูกาล ปี แสงสว่าง และมาตรการนบั ต่างๆ
คตจิ กั รวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนาทป่ี รากฏในคมั ภรี ท์ แี่ ตง่ เปน็ ภาษาบาลี
เป็นส่วนขยายความทีเ่ ปน็ รายละเอียดเก่ยี วกับโครงสร้างและลักษณะของ
โลกธาตุ ซึ่งเป็นการรจนาโดยอรรถกถาจารย์ และปราชญท์ างพุทธศาสนา
ผู้นิพนธ์คัมภีร์ช้ันรองสืบต่อกันมา เน่ืองจากเน้ือหาเรื่องโลกและจักรวาล
ในพระไตรปิฎกน้ัน มิได้ให้รายละเอียดเก่ียวกับโลกศาสตร์ในเชิงรูปธรรม
ไวม้ ากนกั ดงั นนั้ พระอรรถกถาจารยจ์ งึ ไดอ้ ธบิ ายเพม่ิ เตมิ จากพระไตรปฎิ ก
โดยเฉพาะการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกบั ภูมศิ าสตร์ อาทิ สณั ฐานของโลก
จักรวาล ภเู ขา มหาสมทุ ร ทวปี ต่างๆ และรายละเอยี ดเร่อื งสภาพชวี ติ ของ
สรรพสตั วใ์ นภพภมู ติ า่ งๆ เรอื่ งราวการเกดิ ขน้ึ และการเสอื่ มสลายของโลก
จักรวาล ตลอดจนความรู้เกี่ยวกับดาราศาสตร์ และมาตรการนับต่างๆ
ความรูท้ ปี่ รากฏในคัมภีร์โลกศาสตร์ ย่อมสะทอ้ นถึงคติความเช่ือ และโลก
ทศั น์ เกย่ี วกบั เรอ่ื งโลกและจกั รวาลของชาวพทุ ธไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ทงั้ น้ี เนอ้ื หา
สว่ นใหญใ่ นคมั ภรี โ์ ลกศาสตรท์ แี่ ตง่ ขนึ้ เปน็ จ�ำ นวนมาก มไิ ดม้ งุ่ เนน้ เรอ่ื งการ
พ้นทกุ ขห์ รอื พระนิพพาน หากแตม่ งุ่ เน้นการอธบิ ายขยายความ เร่ืองโลก
และจักรวาลที่เป็นวัตถุวิสัย หรือในเชิงรูปธรรม จึงมีความเป็นไปได้ว่าผู้
ประพันธ์มเี ป้าหมายในการใช้เรอื่ งราวคติจกั รวาล เพ่อื สรา้ งความเลื่อมใส
ความศรัทธาในพระพุทธเจ้าให้เกิดขึ้น ในฐานะท่ีพระองค์ทรงเป็นพระ
สัพพัญญู คือ ผรู้ ูส้ ิง่ ทั้งปวง ซึง่ เปน็ พระนามประการหนง่ึ ของพระพทุ ธเจา้

030

วรรณกรรมคติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาเถรวาท

กลา่ วอกี นัยหนึง่ ได้วา่ พระองค์ทรงเปน็ ผรู้ ้ทู กุ ส่งิ ทุกอยา่ งในสากลจกั รวาล
รวมท้ังเป็นการแสดงให้เห็นถึงพุทธคุณ เร่ือง โลกวิทู คือ ทรงรู้แจ้งโลก
หมายถึง ทรงรู้แจ้งความจริงของโลก โลกในท่ีนี้ ได้แก่ สังขารทั้งหลาย
พระองค์ทรงทราบอัธยาศัยของสัตว์ท่ีเป็นไปต่างๆ ได้ทรงแนะนำ�ส่ังสอน
ไดต้ รงตามที่เขาต้องการ เป็นเหตใุ ห้เขาปฏบิ ตั ิตามแลว้ ไดร้ ับผลสำ�เร็จ
นอกจากน้ี เน้ือหาเรื่องราวในคติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในคัมภีร์โลก
ศาสตรต์ า่ งๆ ยงั เปน็ เครอ่ื งยนื ยนั เรอ่ื ง ผลของกรรม โดยแสดงผลของโทษ
(อาทนี วะ) และ ผลดี (อานสิ งส์) ที่มลี กั ษณะเปน็ นามธรรม ซ่งึ ไมส่ ามารถ
ที่จะรู้และเข้าใจได้โดยง่าย และจับต้องไม่ได้ จึงมีความจำ�เป็นท่ีจะต้อง
นำ�เรื่องราวในคติจักรวาลมาใช้เป็นสื่อประกอบการสอนให้เห็นเป็น
รปู ธรรม เพอื่ ปลกู ฝังความเชือ่ เร่ืองกฎแห่งกรรม การละเวน้ จากการท�ำ ชั่ว
การทำ�ความดี และการทำ�ใจให้บริสุทธ์ิ อันจะนำ�ไปสู่ความหลุดพ้นจาก
ความทกุ ข์ หรอื พระนิพพานไดใ้ นท่สี ดุ
คัมภรี ์คติจกั รวาลวิทยาในพระพทุ ธศาสนาท่ีแตง่ เปน็ ภาษาล้านนา
คมั ภรี โ์ ลกจกั ขุ ไมป่ รากฏนามผแู้ ตง่ ลกั ษณะค�ำ ประพนั ธม์ ที ง้ั แบบรอ้ ยแกว้
ส�ำ นวนเทศนแ์ ละแบบนสิ สัย เนือ้ หาในคัมภรี ์บรรยายถงึ สณั ฐานและองค์
ประกอบของโลกจักรวาล มาตรการวัดโบราณ ลกั ษณะพระราหู ระยะห่าง
ของสวรรคแ์ ละชนั้ พรหม อายุเทวดาและพรหม การนบั เวลา อสงไขยทงั้
๒๐ และจ�ำ นวนการอบุ ตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ ในแตล่ ะอสงไขย การก�ำ เนดิ แหง่
สตั ว์ อายขุ ัยของมนุษย์ ไฟบรรลยั มาล้างกปั การเกดิ ใหมข่ องกปั นรกภมู ิ
มงคลจกั รวาล ภัทรกัป ขนาดของแผ่นดิน สาเหตุแผน่ ดนิ ไหว เมืองครุฑ
การเกิดสุริยคราสจันทรคราส แม่น้ำ�คงคา มหานครใหญ่ ๑๖ เมือง
ปา่ หมิ พานต์ และจบลงดว้ ยการสรรเสรญิ พระปัญญาญาณของพระสมั มา
สัมพุทธเจา้ ท่ีทรงลว่ งรสู้ รรพส่ิงใน ๓ ภูมิ คือ กามภูมิ รูปภูมิ และอรปู ภูมิ

031

คติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

คมั ภรี เ์ ทวทตู สูตร ไม่ปรากฏผู้แต่ง ลกั ษณะคำ�ประพันธ์มี ๒ รูปแบบ คอื
แบบรอ้ ยแกว้ ส�ำ นวนเทศนแ์ ละแบบนสิ สยั นกั ปราชญล์ า้ นนาไดน้ �ำ มาปรบั
ให้เป็นฉันทลักษณ์ท้องถ่ิน เพื่อส่ือสารกับผู้อ่านหรือผู้ฟังด้วยลีลาทำ�นอง
การอ่านของท้องถ่ิน เน้ือเรื่องเบ้ืองต้นกล่าวถึงการถามเรื่องเทวทูตสูตร
กับพระอานนท์ของพระมหากัสสปะ เมื่อคร้ังมีการประชุมปฐมสังคายนา
พระอานนท์ตอบว่า สมัยที่พระพุทธเจ้าทรงประทับอยู่เชตวันมหาวิหาร
ทรงตรัสเตือนสติเหล่าพุทธบริษัทว่าหากผู้ใดไม่ตั้งใจฟังพระธรรมเกิดมา
ชาติหน้าจะไม่มีรูหู ด้วยพระเมตตาแก่เวไนยสัตว์ที่มีสติปัญญาน้อย
ไมร่ แู้ จง้ แหง่ ธรรม กระท�ำ ทจุ รติ แลว้ จะพากนั ตกไปสอู่ บายภมู ิ พระพทุ ธองค์
จงึ ทรงอรรถาธบิ ายเพ่มิ เติมดว้ ยเทวทตู สตู ร เพ่ือไม่ใหพ้ ทุ ธบรษิ ัทดำ�รงตน
อยใู่ นความประมาท โดยทรงแบ่งเทวทูตออกเป็น ๕ ข้อ
คมั ภรี ์ปฐมกัป ลักษณะคำ�ประพันธม์ ี ๒ รปู แบบ คือ แบบรอ้ ยแก้วสำ�นวน
เทศน์และแบบนิสสัย เน้ือหากล่าวถึง พระปรีชาญาณของพระพุทธเจ้า
ที่ทรงสามารถล่วงรู้สรรพสิ่ง สัตว์ที่เกิดและตายในจักรวาล ตลอดถึง
ทรงล่วงรู้อนาคตขึ้นไปได้มากถึง ๙ ล้านกัป และอดีตย้อนหลังไปมาก
ถึง ๙ ล้านกปั ก�ำ เนิดของจกั รวาล ขอบเขตของจักรวาล การเกดิ สิ่งมีชีวิต
พระพุทธเจ้าพระองค์แรกแห่งกัป อดีตชาติโคตมพุทธเจ้าและการรับ
ค�ำ ท�ำ นาย สัณฐานและองค์ประกอบของโลกจกั รวาล และจบลงดว้ ยการ
ท�ำ ปฐมสงั คายนาโดยพระสงฆ์ ๕๐๐ รปู เพอ่ื ใหพ้ ระธรรมค�ำ สอนเปน็ สรณะ
ทพ่ี ึง่ แกพ่ ทุ ธบริษัทสบื ตอ่ มาจนครบ ๕,๐๐๐ วสา
คมั ภีร์โลกจนิ ตาวลณิ ี ไมป่ รากฏผู้แต่ง ลกั ษณะคำ�ประพนั ธม์ ี ๒ รูปแบบ
คือ แบบร้อยแก้วสำ�นวนเทศน์และแบบนิสสัย เนื้อหาของคัมภีร์เริ่มต้น
ด้วยการกำ�หนดมาตราว่าด้วยอสงไขยสังขยาท่ีมีลักษณะเฉพาะตัว คือ
เป็นการอธิบายเปรียบเทียบแบบทศนิยม ที่ต่างไปจากคัมภีร์โลกศาสตร์
ฉบับอ่ืน ไฟประลยั ล้างกัป กำ�เนดิ โลกและมนุษย์ อสงไขยกปั ขนาดของ
โลกและจักรวาล ทีปกถา ก�ำ หนดอายุ ป่าหิมพานต์ ชมพทู ปี กถา นิรยกถา
อสภวนกถา จันทมณฑลและสุริยมณฑล วิถีการโคจรของพระจันทร์และ

032

วรรณกรรมคตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาเถรวาท

พระอาทิตย์ มงคลจักรวาล ว่าด้วยกำ�หนดความยาวของโยชน์ กาล
การแบง่ เวลาเปน็ วันเดือนปี และมหาสมมตวิ งศ์ คือ ลำ�ดับตั้งแต่พระเจา้
สมมตุ ริ าชมาจนถงึ รชั สมยั ของพระเจา้ อโศก ๒๑๘ ปหี ลงั พระพทุ ธเจา้ เสดจ็
ดับขันธปรนิ ิพพาน
คมั ภีร์สารตั ถทปี นี ไมป่ รากฏผู้แต่ง ลกั ษณะคำ�ประพันธม์ ี ๒ รปู แบบ คอื
แบบร้อยแก้วสำ�นวนเทศน์และแบบนิสสัย เน้ือหาแบ่งออกเป็น ๒ ส่วน
สว่ นแรกกล่าวถึง ภพภมู ใิ นจักรวาล สว่ นที่สอง แสดงผลบพุ กรรมของสตั ว์
นรก นอกจากนี้ ยังใช้นิทานชาดกมาเป็นบุคคลาธิษฐานเพื่อขยายความ
เรื่องกรรม มิลินทปัญหา และจบลงด้วยการอธิบายถึงผลานิสงส์ของการ
ท�ำ บุญกริ ยิ าวตั ถุ มัจฉริยสตู ร อุตตราอบุ าสิกา สีลกถา อานสิ งส์ของการ
รักษาศีล อันเป็นหนทางนำ�เวไนยสัตว์ทั้งหลายไปสู่ความสุขเกษมหรือ
พระนิพพาน
คติจักรวาลวิทยาในพระพุทธศาสนาที่ปรากฏในคัมภีร์ที่แต่งเป็นภาษา
ล้านนา เป็นส่วนขยายความท่ีเป็นรายละเอียดเกี่ยวกับโครงสร้างและ
ลักษณะของโลกธาตุ ซึ่งเป็นการรจนาโดยปราชญ์ทางพุทธศาสนาใน
ลา้ นนา คมั ภรี ท์ กุ ฉบบั จะไมร่ ะบนุ ามผแู้ ตง่ เอาไว้ การบนั ทกึ เปน็ ลายลกั ษณ์
ด้วยวิธีการจารบนใบลานด้วยอักษรธรรมล้านนา ภาษาบาลี-ไทยวน
ลักษณะคำ�ประพันธ์มี ๒ รูปแบบ คือ แบบร้อยแก้วสำ�นวนเทศน์และ
แบบนิสสัย โดยมีเน้ือหาอธิบายความเรื่องโลกและจักรวาลเพิ่มเติมจาก
พระไตรปิฎกและอรรถกถา รวมทั้งเรื่องราวจากคัมภีร์โลกศาสตร์ท่ีแต่ง
เป็นภาษาบาลี โดยเฉพาะการแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับสัณฐานและ
องค์ประกอบของโลกจักรวาล อาทิ ภูเขา มหาสมุทร ทวีปต่างๆ และ
รายละเอยี ดเรอื่ งสภาพชวี ติ ของสรรพสตั วใ์ นภพภมู ติ า่ งๆ เรอ่ื งราวการเกดิ
ขึ้น และการเส่ือมสลายของโลกจักรวาล ความรู้เก่ียวกับดาราศาสตร์
และมาตรการนับต่างๆ ตลอดจนพระปรีชาญาณของพระพุทธเจ้า
โดยแต่ละคัมภีร์ไม่สามารถถ่ายทอดเน้ือหาสาระของคติจักรวาลวิทยาได้
ท้ังหมด หากแต่มีจุดเน้นที่เป็นรายละเอียดเฉพาะเรื่องท่ีแตกต่างกัน

033

คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ออกไป และในตอนท้ายมักจบลงด้วยการอธิบายเร่ืองอานิสงส์ผลบุญ
การทำ�ทาน รกั ษาศลี การเจรญิ ภาวนา อันเป็นหนทางไปสู่ความหลดุ พน้
จากความทกุ ขห์ รอื พระนพิ พาน ทงั้ นี้ จดุ เดน่ ทส่ี �ำ คญั ของคมั ภรี ค์ ตจิ กั รวาล
ภาษาล้านนาอีกประการหนึ่ง ก็คือ นักปราชญ์ผู้ประพันธ์ได้ปรับ
การนำ�เสนอให้เป็นฉันทลักษณ์ และด้วยท่วงทำ�นองการอ่านในภาษา
ท้องถ่ินล้านนา เพื่อการสื่อสารกับผู้อ่านหรือผู้ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ดังนั้น ความรู้ท่ีปรากฏในคัมภีร์คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาท่ีแต่งด้วย
ภาษาล้านนา จึงทำ�หน้าที่เป็นส่ือการสอนธรรมะท้ังในระดับศีลธรรม
เบอ้ื งตน้ และระดบั สภาวะจติ อนั ละเอยี ดลกึ ซง้ึ รวมไปถงึ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ
คตคิ วามเช่อื โลกทศั น์ และวัฒนธรรมวธิ ีคิดเกย่ี วกับเรื่องโลกและจักรวาล
ของชาวพุทธล้านนาในอดตี ได้เปน็ อย่างดี
ดงั นน้ั จงึ สามารถสรปุ ไดว้ า่ แนวคดิ คตจิ กั รวาลทปี่ รากฏอยใู่ น พระไตรปฎิ ก
และคัมภีร์ทางพุทธศาสนาท่ีมีเนื้อหาเก่ียวกับเรื่องโลกและจักรวาล ท้ังที่
แตง่ เปน็ ภาษาบาลแี ละภาษาลา้ นนานน้ั สามารถจ�ำ แนกได้ ๒ ลกั ษณะ คอื
โลกในเชิงวตั ถวุ สิ ยั (Objective) คือ การอธบิ ายโลก เปน็ ภพภมู ิตา่ งๆ และ
สถานะชวี ติ ของสรรพสตั วท์ ง้ั หลาย และ โลกในเชงิ จติ วสิ ยั (Subjective) คอื
การอธิบายเรื่องโลกเป็นสภาวะจิตของมนุษย์ ซึ่งเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับ
อายตนะภายใน และอายตนะภายนอกของมนุษย์ ทั้งน้ี องค์ความรู้เกย่ี ว
กบั จกั รวาลทง้ั สองลกั ษณะทก่ี ลา่ วมา ยอ่ มมปี ระโยชนท์ แ่ี ตกตา่ งกนั ในฐานะ
เปน็ ส่อื การสอนธรรมะ ทงั้ ในระดบั ศีลธรรมเบอ้ื งตน้ คอื การละเวน้ ความ
ช่ัว การท�ำ ความดี การทำ�ทาน รักษาศีล และระดับสภาวะจิตอันละเอยี ด
ลึกซงึ้ คือ การเจริญจิตภาวนา หรอื ปฏิบัตวิ ปิ ัสสนากรรมฐาน
อย่างไรก็ตาม หลักธรรมคำ�สอนในพระพุทธศาสนามีรากฐานสำ�คัญจาก
การตรสั รขู้ องพระพทุ ธเจา้ การถา่ ยทอดเนอ้ื หาพทุ ธวจั นะเกย่ี วกบั เรอื่ งโลก
และจักรวาลมีปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎกอยู่เสมอ แต่มีลักษณะ
กระจัดกระจาย มไิ ดร้ วบรวมไว้อยา่ งเป็นหมวดหมแู่ ต่อย่างใด ยอ่ มแสดง
ให้เห็นว่าพระพุทธองค์มิได้ให้ความสำ�คัญกับเร่ืองจักรวาลวิทยา แต่ทรง

034

วรรณกรรมคตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาเถรวาท

เนน้ เรอื่ งทกุ ขแ์ ละการดบั ทกุ ขเ์ ปน็ ส�ำ คญั สว่ นเรอ่ื งโลกและจกั รวาลนน้ั ทรง
เหน็ วา่ เปน็ เรื่องที่ไมค่ วรคดิ หรือมลี ักษณะเปน็ อจนิ ไตย ซ่งึ แปลวา่ สงิ่ ทีไ่ ม่
ควรคิด ๔ ประการ ได้แก่ พุทธวิสัย ฌานวิสัย กรรมวิสัย และโลกวิสัย
สงั สารวฏั นอกจากนี้ จากการศึกษาพระธรรมค�ำ สอนของพระพุทธองค์ท่ี
เกีย่ วขอ้ งกับเรอื่ งโลกและจกั รวาล อาจสรปุ ไดว้ ่า พระพุทธองค์ได้ใหค้ วาม
สำ�คัญกับเรื่องโลกภายใน ที่มีลักษณะเป็นจิตวิสัย (Subjective) ในความ
หมายทเ่ี ชอื่ มโยงสมั พนั ธก์ บั ผรู้ บั รู้ นา่ จะมไิ ดม้ เี จตนาทจ่ี ะมงุ่ เนน้ แสดงเรอื่ ง
โลกและจกั รวาลในเชงิ วตั ถวุ สิ ยั (Objective) เปน็ หลกั แตเ่ ปน็ การน�ำ เนอ้ื หา
ทีเ่ กีย่ วกบั เรอ่ื งโลกศาสตรม์ าเปรยี บเทียบ เพอื่ เปน็ สื่อในการแสดงธรรมที่
จะนำ�ไปส่กู ารปฏบิ ัติ เพือ่ การหลดุ พน้ จากความทกุ ขเ์ ท่าน้นั

035



โครงสร้างและองคป์ ระกอบของคตจิ กั รวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา

โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของ

จ คตจิ กั รวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา
ากการศึกษาคติจักรวาลวิทยาที่ปรากฏอยู่ในพระไตรปิฎก และ
คัมภีร์โลกศาสตร์ในพระพุทธศาสนาเถรวาท ท่ีผู้รจนาได้แต่งเป็น
ภาษาบาลีและภาษาล้านนา พบว่า มีเนื้อหาท่ีเก่ียวกับโครงสร้าง
และองค์ประกอบของโลกและจักรวาลอยู่เป็นจำ�นวนมาก ดังน้ัน จึงได้
จ�ำ แนกเนอ้ื หาออกเปน็ ๒ สว่ น ไดแ้ ก่ ความหมายและองคป์ ระกอบของ
คติไตรภมู ิ และสัณฐานของโลกและจักรวาลตามแนวคิดคตจิ กั รวาลวทิ ยา
พุทธศาสนา โดยมีรายละเอยี ด ดงั น้ี
ความหมายและองค์ประกอบของคติไตรภูมิ
ไตรภูมิ หมายถึง ภูมิสาม หรือ แดนสาม ประกอบด้วยสถานะชีวิตแห่ง
สรรพสตั ว์ มี ๓ ระดับ ไดแ้ ก่ กามภมู ิ รูปภูมิ และอรปู ภูมิ ไตรภพ ไดแ้ ก่
กามภพ รูปภพ และอรปู ภพ ส่วนไตรโลก ไดแ้ ก่ กามโลก รูปโลก และอรปู
โลก สมเดจ็ พระสมั มาสมั พุทธเจ้าทรงได้พระนามว่า ไตรโลกนาถ แปลวา่
ทพี่ งึ่ ของโลกทง้ั สาม ค�ำ วา่ โลกหรอื ภพมกั ใชใ้ นความหมายทยี่ งั เปน็ โลกหรอื
โลกิยะด้วยกัน ส่วนคำ�ว่าภูมิน้ันใช้ในความหมายตั้งแต่ยังเป็นโลกเรียกว่า
โลกยิ ภมู ิ จนถงึ เปน็ สภาวะเหนอื โลก เรยี กวา่ โลกตุ ตรภมู ิ ทงั้ นี้ ความหมาย
โดยท่ัวไปของคำ�ว่า โลก ภพ หรอื ภูมิ ไดแ้ ก่ สถานทอี่ ันเปน็ ที่ถือปฏสิ นธิ
คอื เปน็ ทเี่ กดิ ของสตั วโ์ ลกทง้ั หลาย สรรพสตั วจ์ ะไปเกดิ ในสถานะชวี ติ ระดบั
ใด ย่อมข้ึนอยู่กับกรรมดีและกรรมช่ัวของตน สัตว์ท้ังหลายท่ีเกิดมาแล้ว
ยอ่ มเกิดตายหมนุ เวียนอยู่ในแดนสามน้ี ไมม่ ีท่สี น้ิ สดุ เรยี กว่า “วฏั สงสาร”
กลา่ วคือ ผู้ที่มีจติ พัวพันอยู่ในกามยอ่ มเกดิ ในกามภมู ิ เรยี กว่า กามาวจร
แปลว่า ผทู้ ี่เท่ยี วขอ้ งอยใู่ นกาม ผู้ที่บ�ำ เพ็ญสมาธจิ นจิตสงบจากกามบรรลุ
ถงึ รูปฌานย่อมบงั เกดิ ในรูปภูมิ เรียกว่า รูปาวจร แปลวา่ ผู้ที่เที่ยวข้องใน
รปู สมาธิ ส่วนผทู้ ่ีบ�ำ เพ็ญสมาธิละเอยี ดย่งิ ขึ้นจนสามารถบรรลุถึง อรูปภูมิ

038

โครงสร้างและองค์ประกอบของคติจกั รวาลวิทยาในพทุ ธศาสนา

เรยี กว่า อรูปาวจร แปลว่า ผ้ทู ่เี ทย่ี วข้องในอรปู สมาธิ ภพภูมิทง้ั ๓ นี้แบ่ง
ไวต้ ามชนั้ ของจติ ใจ เมอ่ื จติ ใจแยกภมู ชิ น้ั ออกไป กต็ อ้ งแยกโลกซง่ึ เปน็ ทอ่ี ยู่
อาศยั ให้แตกต่างกันออกไปอกี มากมาย๒๓
ธรรมดาของชวี ติ ทงั้ หลายยอ่ มตกอยภู่ ายใตก้ ฎไตรลกั ษณ์ อนั มสี ภาวะเปน็
อนิจจงั ทกุ ขัง อนตั ตา ภพภมู หิ รอื สถานทอี่ าศัยของชีวติ มีอยเู่ ปน็ จ�ำ นวน
มาก โดยแบง่ ตามระดบั จติ ใจของชวี ติ นนั้ ๆ กลา่ วคอื ถา้ มจี ติ ใจสงู กไ็ ปเกดิ
ในภพภมู สิ งู แตถ่ า้ มจี ติ ใจต�ำ่ กย็ อ่ มไปเกดิ ในภพภมู ติ �่ำ ถงึ แมว้ า่ จะมภี พภมู ิ
ตา่ งๆ เปน็ จำ�นวนมาก แตส่ ามารถแบ่งออกเป็น ๒ ประเภท๒๔ ดงั นี้
โลกยิ ภมู ิ หมายถงึ ภมู ทิ ช่ี วี ติ ยงั ตกอยใู่ นวสิ ยั ของโลก ซงึ่ ประกอบดว้ ยกเิ ลส
ตัณหาตา่ งๆ จงึ ยังคงตกอยภู่ ายใต้อ�ำ นาจกฎไตรลกั ษณ์ คอื อนิจจัง ทกุ ขัง
อนัตตา
โลกุตตรภมู ิ หมายถงึ ภูมิท่ียอดเยย่ี มเหนอื โลก หรอื พน้ ไปจากโลก คือ
พระนิพพาน โลกุตตรภูมิมีลักษณะความเป็นไปตรงกันข้ามโลกิยภูมิทุก
อยา่ ง กล่าวคอื สรรพส่ิงทุกอยา่ งในโลกยิ ภมู ติ อ้ งอยูภ่ ายใตก้ ฎไตรลักษณ์
ได้แก่ อนิจจงั ทุกขงั อนตั ตา และตกอยู่ในอ�ำ นาจของกเิ ลส ตณั หา ตอ้ ง
เวยี นวา่ ยตายเกดิ อยใู่ นสงั สารวฏั แตใ่ นโลกตุ ตรภมู ติ รงขา้ มกนั คอื ทกุ ชวี ติ
ในโลกตุ ตรภมู ปิ ราศจากกเิ ลส จงึ ไมต่ ้องเวยี นวา่ ยตายเกดิ เป็นสขุ เปน็ ทกุ ข์
ในสังสารวัฏ ซง่ึ มรี ะยะเวลายาวนานมาก๒๕
โลกยิ ภมู ิ
โลกยิ ภมู ิ แบง่ ออกเปน็ ๓ ภูมิ หรอื ไตรภมู ิ ไดแ้ ก่ กามภูมิ รปู ภมู ิ และอรูป
ภมู ิ เปน็ ระดบั ใหญๆ่ เรยี กวา่ โลกยิ ภมู ิ สามารถแบง่ ยอ่ ยออกไปอกี จนเปน็
๓๑ ภูมิ ดังน้ี

039

คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

กามภูมิ ๑๑
คอื สถานะชวี ติ ระดบั ลา่ ง เปน็ ภมู ทิ เี่ กยี่ วขอ้ งอยดู่ ว้ ยกามตณั หา ยงั มคี วาม
โลภ โกรธ หลง ประกอบด้วย ทุคติภูมิ และสคุ ติภูมิ
ôôทุคติภมู ิ หมายถงึ ภมู ทิ ี่ไมด่ ี ภมู ชิ ั่ว เปน็ ทางด�ำ เนนิ ทมี่ ีแตค่ วามเดือด

รอ้ น สถานทไี่ ปเกดิ อนั ชว่ั มากไปดว้ ยความทกุ ข๒์ ๖ สามารถจ�ำ แนกทคุ ติ
ภมู อิ อกเปน็ ภมู ติ า่ งๆ ทม่ี คี วามทกุ ขม์ ากไปหาภมู ทิ ม่ี คี วามทกุ ขน์ อ้ ยตาม
ลำ�ดับ ดงั น้ี
๏๏ นริ ยภูมิ
๏๏ เปตตวิ สิ ยั ภูมิ
๏๏ อสรุ กายภูมิ
๏๏ ตริ ัจฉานภูมิ
ôôสุคตภิ มู ิ หมายถงึ ภมู ทิ ีด่ ีมคี วามสขุ เปน็ ทางดำ�เนนิ ท่ีดี สถานที่ท่ีดีที่
สัตวโ์ ลกซึ่งท�ำ กรรมดี ตายแล้วไปเกิด๒๗ ได้แก่ มนุษยภมู ิ ๑ และเทวภมู ิ
๖ อันมีลกั ษณะตรงกนั ขา้ มกบั ทคุ ติภูมิ สุคตภิ มู สิ ามารถจ�ำ แนกเปน็ ภมู ิ
ต่างๆ ท่ีมคี วามสขุ นอ้ ยไปหาภมู ิท่ีมีความสุขมากตามล�ำ ดบั ดังนี้
๏๏ มนุษยภมู ิ
๏๏ จตมุ หาราชกิ าภมู ิ
๏๏ ดาวดงึ ส์ภูมิ
๏๏ ยามาภมู ิ
๏๏ ดุสติ าภมู ิ
๏๏ นมิ มานรดีภมู ิ
๏๏ ปรนมิ มิตวสวัตตภี ูมิ
รูปภูมิ ๑๖
รูปภูมิ หรือรูปพรหมภูมิ คอื สถานะชีวติ ระดบั กลาง เปน็ ภพภูมิที่มีความ
สขุ อนั ไมม่ เี รอ่ื งกาม มชี วี ติ โดยบ�ำ เพญ็ รปู ฌานตลอดชวี ติ รปู ฌาน คอื การ
ปฏิบัติธรรมของพระสงฆ์ ฆราวาส และเทวดา ด้วยการเพ่งพิจารณา

040

โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคติจักรวาลวิทยาในพทุ ธศาสนา

รูปธรรมเป็นอารมณ์มี ๔ ระดับ ได้แก่ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน
และจตุตฌาน ผู้ท่ีบำ�เพ็ญวัตรปฏิบัติจะมาเกิดในรูปภูมิมีแดนอยู่เรียกว่า
พรหมโลก รปู ภมู ปิ ระกอบดว้ ยภมู ยิ อ่ ย ๑๖ ภมู ๒ิ ๘นยิ มเรยี กกนั วา่ รปู พรหม
๑๖ ช้ันฟา้ เรียงตามล�ำ ดบั ดงั น้ี

๏๏ พรหมปารสิ ัชชาภมู ิ
๏๏ พรหมปุโรหิตาภมู ิ
๏๏ มหาพรหมภมู ิ
๏๏ ปรติ ตาภาภมู ิ
๏๏ อปั ปมาณาภาภูมิ
๏๏ อาภัสสราภมู ิ
๏๏ ปรติ ตสุภาภูมิ
๏๏ อปั ปมาณสุภาภูมิ
๏๏ สุภกณิ หาภมู ิ
๏๏ เวหัปผลาภมู ิ
๏๏ อสญั ญสตั ตาภมู ิ
๏๏ อวิหาสุทธาวาสภูมิ
๏๏ อตปั ปาสทุ ธาวาสภูมิ
๏๏ สุทสั สาสุทธาวาสภูมิ
๏๏ สทุ สั สสี ทุ ธาวาสภูมิ
๏๏ อกนฏิ ฐสุทธาวาสภมู ิ
อรูปภูมิ ๔
อรูปภูมิ คือ สถานะชีวิตระดับสูง เป็นชีวิตที่บำ�เพ็ญอรูปฌานตลอดชีวิต
อรปู ฌาน หมายถงึ การปฏบิ ตั ธิ รรมของพระสงฆ์ ฆราวาส และเทวดา ดว้ ย
การเพง่ พจิ ารณาอรปู ธรรมเปน็ อารมณ์ บ�ำ เพญ็ เพยี รพยายามเจรญิ ภาวนา
จะไปเกิดเป็นอรูปพรหมผู้เข้าถึงอรูปฌาน เป็นพรหมไม่มีรูป๒๙ อรูปภูมิ
ประกอบด้วย ๔ ภูมิย่อย นิยมเรียกกันว่า อรูปพรหม ๔ ชั้นฟ้า เรียง
ตามลำ�ดบั ดังน้ี

041

คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา

๏๏ อากาสานัญจายตนภูมิ
๏๏ วญิ ญาณัญจายตนภมู ิ
๏๏ อากิญจญั ญายตนภมู ิ
๏๏ เนวสญั ญานาสญั ญายตนภูมิ
โลกุตตรภูมิ
นอกเหนอื จากการเวียนวา่ ยตายเกดิ ในโลกิยภมู ิ หรอื ในไตรภมู ิที่ประกอบ
ดว้ ย ๓๑ ภพภมู แิ ลว้ พระพทุ ธศาสนายงั มหี นทางหลดุ พน้ ออกจากวฏั สงสาร
ได้ไปสู่โลกุตตรภูมิหรือภูมิพ้นโลก ซ่ึงเป็นสถานะชีวิตที่ห่างไกลกิเลส

ภาพที่ ๗
ทวปี ทั้ง ๔
และสีทันดรสมุทร
สมุดภาพไตรภูมิ
ฉบบั อกั ษรขอม

042

โครงสรา้ งและองค์ประกอบของคตจิ กั รวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา

สามารถตัดกรรม ไมต่ อ้ งเวยี นว่ายตายเกดิ อีกตอ่ ไป ทา่ นผู้ได้บรรลุถึงภูมิ
นแี้ ลว้ ยอ่ มเปน็ พระอรยิ บคุ คล หลดุ พน้ จากโลกจนตรสั รพู้ ระสมั มาสมั โพธิ
ญาณ เป็นพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ มีส่วน
ประกอบ ๒ สว่ น ดังนี้
ôôพระอรยิ บุคคล ๔

๏๏ โสดาปัตตมิ รรค โสดาปัตตผิ ล
๏๏ สกทิ าคามมี รรค สกทิ าคามผี ล
๏๏ อานาคามมี รรค อานาคามผี ล
๏๏ อรหนั ตมรรค อรหนั ตผล
ôôพระนิพพาน
องค์ประกอบของคติไตรภมู ิ
กามภูมิ
อบายภูมิ หมายถึง ภูมิช้ันตำ่� แบ่งออกเป็น ๔ ภูมิย่อย ประกอบด้วย
นรกภมู ิ เปรตภมู ิ อสรุ กายภูมิ และเดรัจฉานภูมิ ซ่ึงมรี ายละเอียด ดังนี้
ôôนรกภูมิ เป็นโลกที่ปราศจากความสุขโดยสิ้นเชิงเต็มไปด้วยความ
ทุกขเวทนาเหลือคณานับ เพราะความเร่าร้อนด้วยเปลวไฟ นรกภูมิ
มอี าณาเขตกวา้ งใหญไ่ พศาล แบ่งออกเป็นนรกใหญ่ ๘ ขุม และนรก
บรวิ าร ๑๖ ขมุ ๓๐ ดังน้ี
-- นรกใหญ่ เรยี กวา่ มหานรก ๘ ขมุ ตง้ั เรยี งซอ้ นกนั เปน็ ชน้ั ๆ นอกจากน้ี

มหานรกแตล่ ะขมุ ยงั มนี รกบริวารเรยี กว่า อสุ สุทนรก อีก ๑๖ ขุม ใน
แต่ละมหานรกมปี ระตูใหญ่ ๔ ประตู แตล่ ะประตเู มอ่ื ออกไปจะเป็น
อุสุททนรก ๔ ขุม คือ คูถนรก นรกที่เต็มไปด้วยอุจจาระ
กุกกุลนรก นรกเต็มไปด้วยเถารัดรึง อสีปัตตวินนรก นรกที่เต็ม
ไปด้วยต้นไม้มีใบเป็นหอก เป็นดาบ หล่นลงมาท่ิงแทงสัตว์นรก
เวตตรปีตทีนรก นรกที่เต็มไปด้วยแม่น้ำ�ร้อน๓๑ ท้ังนี้ มหานรกทั้ง
๘ ขุม มีชือ่ และความหมายโดยสงั เขป ดงั น้ี

043

คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๘
สญั ชีวนรก
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบับกรงุ ศรีอยุธยา
– กรุงธนบุรี

-- สญั ชวี นรก แปลว่า นรกใหต้ ายแลว้ กลับเปน็ หมายความว่า ท่นี รก
น้สี ัตว์นรกถูกทรมานให้ตาย แลว้ กลบั มีชีวติ และถกู ทรมานให้ตาย
และกลับมีชีวิตให้ถูกทรมานต่อๆ ไป จนกว่าจะสิ้นผลกรรม
โทษทน่ี �ำ ไปสนู่ รกขมุ นไ้ี ดแ้ ก่ ผทู้ เี่ บยี ดเบยี นบคุ คลต�่ำ ตอ้ ยกวา่ โดยไม่
เปน็ ธรรม หรือพวกโจร

-- กาฬสุตตนรก แปลวา่ นรกดา้ ยด�ำ หมายความวา่ ทนี่ รกนี้สตั ว์นรก
จะถกู ถากฟนั ดว้ ยขวานเหลก็ แดงตามแนวดา้ ยด�ำ ทที่ �ำ ไวต้ ามรา่ งกาย
ของสัตว์นรก โทษที่นำ�ไปสู่นรกขุมนี้ได้แก่ ผู้เบียดเบียนหรือฆ่า
นกั บวช เพชฌฆาตท่ีมหี น้าทป่ี ระหารคน นักบวชผทู้ ุศลี

-- สงั ฆาฏนรก แปลวา่ นรกบดขย้ี หมายความวา่ ทน่ี รกนส้ี ตั วน์ รกถูก
ทรมานโดยมภี เู ขาเหลก็ แดงมหมึ า กลง้ิ มาบดขยรี้ า่ งสตั วน์ รกใหแ้ หลก
ละเอยี ด โทษที่น�ำ ไปสู่นรกขุมนไี้ ด้แก่ ผู้เบยี ดเบยี นและทรมานสตั ว์
ทใี่ ชท้ ำ�ประโยชน์ พวกนายพรานทงั้ หลาย

044

โครงสร้างและองคป์ ระกอบของคตจิ ักรวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา

ภาพที่ ๙
มหาโรรุวนรก
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบับกรุงศรีอยธุ ยา
– กรงุ ธนบรุ ี

-- โรรวุ นรก แปลวา่ นรกออื้ องึ ดว้ ยเสยี งรอ้ งใหค้ รวญคราง หมายความ
วา่ ทน่ี รกน้ีสัตว์นรกถกู เปลวไฟเผาไหม้ไปตามทวารทงั้ ๙ ทำ�ให้เจ็บ
ปวด แลว้ สง่ เสยี งรอ้ งไหค้ รวญครางเปน็ การใหญ่ นรกนบ้ี างแหง่ เรยี ก
ชาลโรรุวนรก โทษที่นำ�ไปสู่นรกขุมน้ีได้แก่ ผู้ท่ีจุดไฟป่าที่มีสัตว์ท้ัง
หลายอาศัยอยู่ เพื่อจับสัตว์น้ัน ชาวประมงที่ชักลากอวน ใช้ไฟฟ้า
ใช้ยาพิษ ผ้ทู ่ีขงั สัตว์ไว้ฆา่ ผู้ที่เสพสุราเพื่อประทษุ รา้ ย

-- มหาโรรวุ นรก แปลวา่ นรกออ้ื องึ ดว้ ยเสยี งรอ้ งใหค้ รวญครางเปน็ การ
ใหญ่ หมายความวา่ ทน่ี รกนสี้ ตั วน์ รกถกู กลมุ่ ควนั อนั แสนแสบพงุ่ เขา้
ตามทวารท้ัง ๙ ทำ�ให้เร่าร้อนและเจ็บแสบอย่างสาหัส จึงส่งเสียง
ร้องไห้คร่ำ�ครวญเป็นการใหญ่ นรกนี้บางแห่งยังเรียกช่ือว่า ธูมโร-
รุวนรก โทษท่ีนำ�ไปสู่นรกขุมน้ีได้แก่ ผู้ท่ีลักทรัพย์สมบัติของพ่อแม่
ครอู าจารย์ นักบวช ใหไ้ ดร้ ับความลำ�บาก ลักเครื่องสกั การบชู า

-- ตาปนรก แปลวา่ นรกเร่ารอ้ น หมายความว่า นรกนม้ี ีการทรมาน
สัตว์นรกทไ่ี หวตวั ไม่ไดใ้ ห้เร่ารอ้ นตลอดเวลา โทษทน่ี ำ�ไปส่นู รกขมุ น้ี
ไดแ้ ก่ ผทู้ เี่ ผาบ้านเมือง กุฎี โบสถ์ วิหาร ศาลาการเปรียญ

045

คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๑๐
อเวจีนรก
สมุดภาพไตรภมู ิ
ฉบับกรงุ ศรอี ยุธยา
– กรงุ ธนบุรี

-- มหาตาปนรก แปลว่า นรกเร่าร้อนยิ่ง หมายความว่า นรกน้ีมีการ
ทรมานสัตวน์ รกที่ไหวตัวไม่ได้ ให้เรา่ ร้อนเป็นอยา่ งยง่ิ โทษทีน่ �ำ ไปสู่
นรกขุมน้ี ได้แก่ มจิ ฉาทิฐบิ ุคคล

-- อเวจนี รก แปลวา่ นรกปราศจากชอ่ งวา่ ง หมายความวา่ ทนี่ รกนสี้ ตั ว์
นรกแออัดยัดเยียดกันอยู่ไม่มีท่ีว่าง และสัตว์นรกไม่มีช่องว่างจาก
ทกุ ข์ โทษทน่ี �ำ ไปสู่นรกขมุ น้ีไดแ้ ก่ ผทู้ ฆี่ า่ บิดา มารดา พระอรหันต์
ทำ�พระพุทธเจ้าให้ห้อพระโลหิต ยุยงให้สงฆ์แตกแยก ทำ�ลาย
พุทธเจดีย์ พระพทุ ธรปู ติเตยี นพระอริยสงฆ์

++ นรกบรวิ าร ๑๖ ขมุ นรกใหญท่ งั้ ๘ ขมุ มนี รกเลก็ เปน็ บรวิ ารทง้ั ๔ ดา้ น
ด้านละ ๔ ขมุ รวมเป็น ๑๖ ขมุ เมื่อรวมนรกบรวิ ารของนรกใหญ่ท้งั ๘
ขมุ ได้ ๑๒๘ ขมุ รวมนรกใหญอ่ กี ๘ ขมุ รวมทง้ั สนิ้ ๑๓๖ ขมุ นรกบรวิ าร
ในไตรภมู พิ ระร่วงเรียกว่า นรกบ่าว๓๒ มีรายละเอยี ดโดยสังเขป ดังนี้
-- เวตรณนี รก แปลว่า นรกแมน่ ้ำ�หวาย หมายความวา่ นรกนีม้ ีแมน่ ้ำ�
ที่ปกคลุมด้วยเครือหวายเหล็กแดง มีหนามใหญ่เท่าหอก แต่ละ
หนามแหลมคมยิ่งนัก สัตว์นรกถูกไล่ต้อนให้ลงในแม่น้ำ� ถูกหวาย
เหลก็ บาด รา่ งขาดเป็นช้นิ ๆ ตอ้ งเจบ็ ปวดยงิ่ นกั

046

โครงสร้างและองค์ประกอบของคตจิ ักรวาลวทิ ยาในพุทธศาสนา

-- สนุ ขนรก แปลวา่ นรกสนุ ขั หมายความวา่ นรกนม้ี สี นุ ขั ตวั โตเทา่ ชา้ ง
ขนาดใหญ่ไล่ต้อนกัดสตั วน์ รกบนแผน่ เหลก็ แดง

-- สัญโชตินรก หรือสโชตินรก แปลว่า นรกนี้มีเปลวไฟลุกเพลิง
หมายความวา่ ทน่ี รกนี้ สตั ว์นรกถกู ตีดว้ ยทอ่ นเหลก็ อันร้อนเปน็ ไฟ
ลกุ โพลงบนแผ่นเหลก็ แดงอันลุกโพลงตลอดเวลา

-- อังคารกาสุนรก แปลวา่ นรกหลมุ ถา่ นเพลงิ หมายความวา่ ท่นี รกนี้
มีหลมุ ถ่านเพลิงอันเร่าร้อน สัตวน์ รกถูกไล่ต้อน ใหต้ กลงไปในหลมุ
ถ่านเพลงิ ถูกเผาไหมไ้ ดร้ บั ทุกขเวทนาอย่างสาหัส

-- โลหกมุ ภนี รก แปลวา่ นรกหมอ้ เหล็ก หมายความว่า ทน่ี รกนี้มีหมอ้
เหล็กแดงขนาดใหญ่เท่าภูเขา มีเหล็กแดงละลายเป็นนำ้�เต็มหม้อ
สัตวน์ รกถกู ทรมาน โดยถกู จบั เอาหัวห้อยพุ่งลงไปในหม้อเหลก็ แดง

-- คีวลญุ จนรก แปลว่า นรกท่ีดึงคอใหห้ ลดุ คือ การเอาเชือกพันคอดงึ
จุ่มลงไปในหมอ้ ทองแดงทม่ี ีน้ำ�เดอื ด ทรมานท�ำ ให้คอหลุด

-- ถลุ ปลาสนรก แปลวา่ แกลบและฟาง หมายความวา่ ทน่ี รกนม้ี แี มน่ �้ำ
ใหญ่ไหลผ่าน สัตวน์ รกกระหายนำ้�มากจึงด่ืมน้�ำ ในแมน่ ้ำ�นน้ั แต่น้ำ�

ภาพท่ี ๑๑
นรกภูมิ

จิตรกรรมฝาผนงั
วหิ ารวัดบา้ นก่อ
อำ�เภอวังเหนอื

จังหวัดลำ�ปาง

047

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๑๒
โลหกมุ ภนี รก
จิตรกรรมฝาผนงั
วิหารวดั บวกครกหลวง
อำ�เภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่

นนั้ กลับกลายเปน็ แกลบ เป็นฟางเป็นข้าวลีบ ร้อนเป็นไฟ เผาไหม้
สตั วน์ รก
-- สตั ติหตสยนรก แปลว่า นรกพุง่ หอกจนร่างแหลกละเอยี ด บางแหง่
เรยี กวา่ ตุทนนรก
-- วิลกตนรก แปลวา่ นรกกองชิน้ เน้ือ หมายความวา่ ที่นรกน้ีสัตว์นรก
จะถกู แทงดว้ ยหอก ถกู ฟนั ดว้ ยพรา้ และถกู แลเ่ นอ้ื ออกเปน็ ชนิ้ ๆ รวม
เป็นกองไว้ และช้ินเนอื้ กก็ ลับคนื ชีพขึ้นมา และถกู ทรมานตอ่ ไปอกี
-- ปุราณมิฬหนรก แปลว่า นรกอาจมเก่า หมายความว่า ท่ีนรกน้ีมี
แม่น�ำ้ ไหลผา่ น และแมน่ ้ำ�เตม็ ไปด้วยอาจม ส่งกลิน่ เหม็นหนักหนา
สตั ว์นรกที่อดอยากก็กินอาจมน้ันเป็นอาหาร
-- โลหิตปุพพนรก แปลว่า นรกนำ้�เลือดนำ้�หนอง หมายความว่า
ท่ีนรกนี้ มีแม่น้ำ�ใหญ่ไหลผ่าน เป็นแม่น้ำ�เลือดและน้ำ�หนอง
สตั วน์ รกทก่ี ระหายน�้ำ กพ็ ากนั ดม่ื เลอื ดและน�้ำ หนองอนั เหมน็ เนา่ นน้ั
-- อยพลิสนรก แปลวา่ นรกเบด็ เหลก็ หมายความวา่ ทนี่ รกนี้ สัตว์นรก
ถกู เกย่ี วลิน้ ดว้ ยเหลก็ แดงใหญ่เทา่ ล�ำ ตาล

048


Click to View FlipBook Version