โครงสร้างและองคป์ ระกอบของคติจกั รวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา
-- อทุ ธังปาทนรก แปลวา่ นรกบดขยี้ หมายความว่า ที่นรกนจี้ ะมีภูเขา
เหล็กแดงเปน็ เพลงิ กลงิ้ มาบดขย้ีสตั ว์นรกให้แหลก
-- อวงั สริ นรก แปลวา่ นรกหัวลง หมายความวา่ ที่นรกน้สี ัตว์นรกถูก
จบั เอาหัวหย่อนลงในบอ่ เหลก็ แดง
-- โลหสมิ พลนี รก แปลว่า นรกตน้ งิ้วเหลก็ หมายความวา่ ท่ีนรกนม้ี ปี า่
งิว้ เหลก็ หนามยาว ๑๖ นว้ิ ลกุ เปน็ เปลว สัตว์นรกถกู บงั คับให้ปนี ตน้
งิ้วนี้ เวลาขึ้นหนามลู่ลง เวลาลงหนามตั้งข้ึนเสียบแทงสัตว์นรกให้
ยอ่ ยยับ
-- ปรนนรก แปลวา่ นรกหมกไหม้ นรกของพวกมิจฉาทิฐิ หมายความ
วา่ นรกน้เี ป็นทล่ี งโทษ เป็นทที่ รมานพวกมิจฉาทฐิ ทิ ีไ่ ปตกนรกขุมนี้
นอกเหนือจากมหานรกส�ำ หรบั ผ้มู กี รรมหนกั ไดแ้ ก่ นรกขุมใหญ่ มี ๘ ขุม
แตล่ ะขุมมปี ระตู ๔ ทิศ ทศิ ละ ๑ ประตู รวม ๘ ขุม มี ๓๒ ประตู โดยแต่ละ
ประตูจะมี พระยายมราช ประจำ�อยูป่ ระตูละ ๑ องค์ รวมมีพระยายมราช
ทงั้ หมดมี ๓๒ องค์ ทง้ั นี้ ความหมายของพระยายมราช หรอื ยมราช หรือ
พระยม นนั้ ทา่ นกลา่ ววา่ เปน็ เทพผเู้ ปน็ ใหญข่ องคนตาย ท�ำ หนา้ ทซ่ี กั ถาม
ภาพที่ ๑๓
นรกภูมิ
จติ รกรรมฝาผนงั
วหิ ารวัดบ้านกอ่
อ�ำ เภอวังเหนือ
จงั หวดั ล�ำ ปาง
049
คติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
ผทู้ �ำ บาป ยมราชมคี วามปรารถนาทจี่ ะไดเ้ ปน็ มนษุ ย์ และไดพ้ บไดฟ้ งั ธรรม
ของพระอรหนั ตสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ซงึ่ อบุ ตั ขิ น้ึ ในโลกดว้ ยเชน่ กนั ในบางกรณี
ยมราช ยังมลี กั ษณะเป็นเปรตชนดิ หนงึ่ เรียกวา่ เวมานิกเปรต หมายถงึ
ราชาแหง่ เปรตทม่ี วี มิ าน ในคราวหนง่ึ ไดเ้ สวยทพิ ยสมบตั ิ ในคราวหนง่ึ ตอ้ ง
ไปเสวยกรรมวบิ าก แตก่ เ็ ปน็ ธรรมกิ ราช หมายถงึ พระราชาผตู้ ง้ั อยใู่ นธรรม
นอกจากพระยายมแลว้ ในนรกยงั ประกอบดว้ ย ยมบรุ ษุ คอื คนของยมราช
นิริยบาล แปลวา่ ผู้รกั ษานรก หรือ ยมบาล เปน็ ผูม้ ีหน้าท่ที ำ�การทรมาน
สัตว์นรก๓๓
เปรตภูมิ
เปรตเป็นภูมิที่ห่างไกลจากความสุข ประสบทุกขเวทนาไม่มีสถานท่ีอยู่
โดยเฉพาะ ไดร้ บั ทกุ ขท์ รมานอดอยากหวิ โหยเหลอื คณานบั ตลอดเวลา และ
ยงั ตอ้ งเสวยทกุ ขท์ รมานกายคลา้ ยกบั สตั วน์ รกอกี ดว้ ย เปรตไมม่ ที อ่ี ยอู่ าศยั
โดยเฉพาะ แต่อาศัยอยู่ตามสถานท่ีต่างๆ ในโลกมนุษย์ เช่น ตามป่า
เขา เหว เกาะแก่ง ทะเล ป่าช้า เป็นต้น ในเปรตภูมินี้มีหลายพวก
หลายประเภทตามแต่อำ�นาจอกุศลกรรมท่ีทำ�ไว้จะบันดาลให้ไปเกิดเป็น
ภาพที่ ๑๔
กุมภณั ฑเปต ได้แก่
เปรตทม่ี อี ัณฑะ
ใหญโ่ ตมาก
จติ รกรรมฝาผนงั
วิหารวัดภมู นิ ทร์
จงั หวดั น่าน
050
โครงสร้างและองคป์ ระกอบของคติจกั รวาลวิทยาในพุทธศาสนา
ภาพที่ ๑๕
เปรตภูมิ
สมุดภาพไตรภูมิ
ฉบบั กรุงศรีอยุธยา
– กรงุ ธนบรุ ี
เปรตชนดิ ใด ทง้ั เปรตทมี่ ขี นาดเลก็ และเปรตทม่ี ขี นาดใหญ่ บางพวกมฤี ทธิ์
สามารถเนรมติ ตัวเองใหเ้ ป็นเทวดา มนษุ ย์ และสัตว์ต่างๆ ได้ นอกจากน้ี
เปรตยังต้องคอยรับส่วนบุญท่ีมีผู้อื่นอุทิศให้ ถ้าไม่รู้ว่ามีผู้อุทิศให้ก็ไม่
สามารถรับได้ คือไม่มีโอกาสได้อนุโมทนาในทานท่ีอุทิศให้ตนได้น่ันเอง
จากการศึกษา พบว่า เปรตภูมิยังมีรายละเอียด โดยแบ่งออกเป็นเปรต
ประเภทตา่ งๆ ซ่ึงมีรายละเอยี ดโดยสังเขป๓๔ ดังน้ี
++ วันตาสาตเปรต ได้แก่ เปรตที่เท่ียวกินนำ้�ปัสสาวะ และน้ำ�ลายเป็น
อาหาร ซึ่งเป็นเศษกรรมของพวกท่ียินดีในการดื่มสุราและสิ่งเสพติด
ตา่ งๆ
++ กลุ ามขาทาเปรต ไดแ้ ก่ เปรตทเี่ ทย่ี วกนิ ซากศพเปน็ อาหาร ซง่ึ เปน็ เศษ
กรรมของพวกที่ยินดใี นการบริโภคศพของสัตว์ และอวยั วะต่างๆ ของ
สัตว์
++ คถู ขาทาเปรต ได้แก่ เปรตที่เทีย่ วกินอจุ จาระเป็นอาหาร ซ่งึ เป็นเศษ
กรรมของพวกทยี่ กั ยอกสมบตั ขิ องสาธารณะหรอื ของสว่ นรวมมาบรโิ ภค
พวกน้เี ม่อื พ้นจากความเป็นเปรตแลว้ ต้องไปเกดิ เปน็ สนุ ขั กินอุจจาระ
จนกวา่ จะหมดกรรม
051
คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๖
เปรตภูมิ
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบบั กรงุ ศรอี ยธุ ยา
– กรุงธนบุรี
++ อัคคิชาลาขาทาเปรต ได้แก่ เปรตที่เท่ียวกินเปลวไฟเป็นอาหาร
ซ่ึงเป็นเศษกรรมของพวกทยี่ ินดีในการหลอกลวงชาวบ้านกนิ
++ สจู มิ ขุ าทาเปรต ไดแ้ ก่ เปรตทม่ี ปี ากเทา่ รเู ขม็ ซง่ึ เปน็ เศษกรรมของพวก
ทพี่ ูดวาจาลบหลูผ่ มู้ ีพระคณุ เช่น พระพทุ ธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่
ครูอาจารย์ และญาติผใู้ หญ่ เป็นต้น
++ ตัณฑชิตาเปรต ได้แก่ เปรตท่ีต้องทรมานอดอาหารอยู่เป็นนิตย์
ซ่ึงเป็นเศษกรรมของพวกตระหน่ี ไมเ่ อื้อเฟอื้ แบ่งปนั แกก่ นั
++ สนุ ชิ าเปรต ไดแ้ ก่ เปรตทมี่ รี า่ งกายเปอื้ นดว้ ยอสจุ ิ ซงึ่ เปน็ เศษกรรมของ
พวกทยี่ นิ ดใี นการสมสสู่ �ำ ส่อน
++ สพั พปากเปรต ได้แก่ เปรตที่มปี ากต่างๆ กนั เช่น ปากเป็นหมูบ้าง
ปากเป็นนกบ้าง ปากเป็นสุนัขบ้าง ปากเป็นกระต่ายบ้าง เป็นต้น
ซ่ึงเป็นเศษกรรมของพวกที่พูดจาไม่งาม เช่น พูดโกหก พูดส่อเสียด
ดา่ ทอ และพูดเพ้อเจอ้
++ ปัพพตงั คาเปรต ได้แก่ เปรตที่มีร่างกายทะมึนใหญเ่ ทา่ ภูเขา ซึ่งเปน็
เศษกรรมของพวกทใ่ี หค้ วามส�ำ คญั แกร่ า่ งกายอยา่ งยงิ่ หรอื ใชก้ �ำ ลงั กาย
เข้าทำ�ร้ายขม่ เหงกัน
052
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคตจิ ักรวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา
++ อชั ชตรงั คาเปรต ไดแ้ ก่ เปรตทมี่ ลี ายเหมอื นงเู หลอื ม ซง่ึ เปน็ เศษกรรม
ของพวกทีป่ ระดับประดาตกแตง่ ทาสีกายหรือ หน้าตา
++ วิมานิกเปรต ได้แก่ เปรตที่มีวิมานอยู่ ซ่ึงเป็นเศษกรรมของพวกที่มี
กรรมเลวอ่ืนๆ อยู่ แต่ในขณะเดียวกัน ก็มีกรรมดีอยู่บ้าง จึงได้มี
ปราสาทวมิ านอยู่
++ มหิทธกิ าเปรต ไดแ้ ก่ เปรตทีม่ ีฤทธานุภาพมาก ซ่ึงเปน็ เศษกรรมของ
พวกท่ชี อบเลน่ คาถา อาคม คณุ ไสย คณุ เวท
นอกเหนือจากเปรตท้ัง ๑๒ ประเภทดังกล่าว ยังเปรตประเภทอื่นๆ อีก
มากมาย อาทิ สุจิโลมาเปรต คอื เปรตทีม่ ขี นเปน็ เขม็ คอยท่มิ แทงตัวเอง
เอกปาทเปรต คือ เปรตทม่ี เี ท้าขา้ งเดยี ว อเนกปาทเปรต คอื เปรตทมี่ เี ทา้
หลายเท้า เอกหัตถเปรต คือ เปรตท่ีมีมือข้างเดียว อเนกหัตถเปรต
คือ เปรตที่มีหลายมือ เอกเนตตเปรต คือ เปรตท่ีมีดวงตาข้างเดียว
อเนกเนตตเปรต คือ เปรตท่ีมีดวงตาหลายดวง ท้ังน้ี ลักษณะอัน
แปลกประหลาดน่าเกลียดน่ากลัว ย่อมเป็นไปตามผลกรรมท่ีทำ�ไว้๓๕
ซงึ่ มเี นื้อหาเก่ยี วกับเปรตปรากฏอยูใ่ น เปตวัตถุอรรถกถา ดังน้ี
++ ปรทัตตูปชวี กิ เปรต เปน็ เปรตทเี่ ล้ียงชวี ิตอยู่ โดยอาศัยอาหารท่ีผอู้ ืน่
อุทิศให้ สว่ นมากอาศัยอย่ใู กล้กับมนษุ ย์ เปน็ เปรตชนดิ เดียวที่มโี อกาส
ได้รับส่วนบุญจากการที่มีผู้อุทิศให้ ด้วยการแผ่ส่วนกุศล แต่ต้อง
อนโุ มทนาจงึ จะรบั ได้ ผทู้ ไี่ ปเกดิ เปน็ เปรตชนดิ นี้ กอ่ นตายมกั เปน็ ผอู้ าลยั
อาวรณใ์ นทรพั ยส์ นิ เงนิ ทอง ญาติ มติ รสหาย บางครง้ั กแ็ สดงตนใหเ้ หน็
เรียกวา่ ผี
++ ขุปปีปาสิตเปรต เป็นเปรตที่อดอยาก หิวอาหาร กระหายน้ำ�อยู่
เปน็ นิจ
++ นิชฌามรัณหกิ เปรต เปน็ เปรตท่ีถกู ไฟเผารา่ งกายให้เรา่ รอ้ นอยูเ่ สมอ
++ กาลกญั จกิ เปรต เป็นเปรตในจำ�พวกอสุรกาย หรือ เป็นชอ่ื ของ อสรุ า
ทีเ่ ป็นเปรต๓๖
053
คติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๗
เปรตภมู ิ
สมดุ ภาพไตรภูมิ
ฉบับกรงุ ศรอี ยธุ ยา
– กรงุ ธนบุรี
สตั วผ์ ทู้ เ่ี กดิ เปน็ เปรตนน้ั เนอื่ งมาจากผลกรรมชวั่ ทกี่ ระท�ำ ไวไ้ มร่ นุ แรงพอที่
จะไปเกิดในนรกภมู ิ แต่ผลกรรมดกี ม็ ีไม่มากพอทจ่ี ะกำ�เนิดเปน็ มนุษย์ จึง
ตอ้ งเกดิ เปน็ เปรต แตก่ ม็ เี ปรตบางจ�ำ พวกทต่ี อ้ งเสวยกรรมหรอื เศษกรรมที่
เหลอื จากการตกนรกมา ท่ีอาศยั อยใู่ นโลกมนษุ ย์ เรียกว่า อทิสสมานกาย
คือ มีกายไม่ปรากฏแก่สายตามนษุ ย์ เปรตจะไม่หลอกหลอนคน แตค่ นได้
ไปพบเหน็ เอง หรอื เมอ่ื เปรตตอ้ งการจะรอ้ งทุกขข์ อสว่ นบญุ ก็จะแสดงตวั
ใหเ้ หน็ นอกจากนี้ จากการศกึ ษาเนอ้ื หาเกย่ี วกบั เรอื่ งเปรตในพระไตรปฎิ ก
ยังพบว่า มีเปรตประเภทต่างๆ ๒๑ จำ�พวก โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้
++ อฏั ฐิสังขลิกเปต ได้แก่ เปรตท่ีมกี ระดูกติดกนั เปน็ ทอ่ นๆ แต่ไม่มเี น้ือ
++ มงั สเปสิกเปต ไดแ้ ก่ เปรตทม่ี ีเน้ือเป็นชนิ้ ๆ แต่ไม่มีกระดูก
++ มงั สะปิณฑเปต ได้แก่ เปรตท่ีมเี นอ้ื เปน็ ก้อน
++ นิจฉวเิ ปต ได้แก่ เปรตทไี่ ม่มีหนัง
++ อสโิ ลมเปต ไดแ้ ก่ เปรตทม่ี ีขนเป็นพระขรรค์
++ สัตตโิ ลมเปต ไดแ้ ก่ เปรตท่ีมีขนเป็นหอก
++ อุสโุ ลมเปต ไดแ้ ก่ เปรตทมี่ ีขนเปน็ ลูกธนู
054
โครงสร้างและองคป์ ระกอบของคตจิ ักรวาลวิทยาในพทุ ธศาสนา
++ อจู โิ ลมเปต ได้แก่ เปรตท่ีมีขนเป็นเข็ม
++ ทตุ ยิ สูจิโลมเปต ได้แก่ เปรตที่มขี นเปน็ เขม็ ชนิดท่สี อง
++ กมุ ภณั ฑเปต ได้แก่ เปรตที่มอี ณั ฑะใหญโ่ ตมาก
++ คถู กูปนมิ ุคคเปต ไดแ้ ก่ เปรตจมอยใู่ นอจุ จาระ
++ คถู ขาทเปต ไดแ้ ก่ เปรตทีก่ ินอจุ จาระ
++ นจิ ฉวติ ถเิ ปต ไดแ้ ก่ เปรตหญิงที่ไมม่ หี นัง
++ ทคุ คนั ะเปต ได้แก่ เปรตท่ีมีกล่ินเหม็นเนา่
++ โอกลิ ินเี ปต ไดแ้ ก่ เปรตทีม่ รี า่ งกายเป็นถ่านไฟ
++ อสีสเปต ไดแ้ ก่ เปรตท่ีไมม่ ศี ีรษะ
++ ภิกขเุ ปต ไดแ้ ก่ เปรตท่มี ีรูปรา่ งสัณฐานเหมอื น ภิกษุ
++ ภิกขณุ ีเปต ได้แก่ เปรตทม่ี รี ูปรา่ งสณั ฐานเหมือน ภกิ ษณุ ี
++ สิกขมานเปต ได้แก่ เปรตท่ีมีรปู ร่างสณั ฐานเหมือน สิกขนามา
++ สามเณรเปต ไดแ้ ก่ เปรตที่มรี ปู รา่ งสณั ฐานเหมอื น สามเณร
++ สามเณรีเปต ไดแ้ ก่ เปรตท่มี ีรปู รา่ งสณั ฐานเหมอื น สามเณร๓ี ๗
รากษส แปลวา่ ผเี สื้อน้ำ� พระอาจารยบ์ างท่านไดอ้ ธบิ ายเพ่มิ เตมิ วา่ เป็น
สตั วท์ ม่ี ใี บหนา้ ขาว ทอ้ งเขยี ว มอื และเทา้ แดง เขยี้ วใหญ่ เทา้ เก รปู รา่ งพกิ ล
นา่ กลวั อาศยั อยใู่ นน�ำ้ แตม่ ไิ ดร้ วมอยใู่ นจ�ำ พวกเปรต สว่ นคตทิ างมหายาน
น�ำ มารวมไวเ้ ป็นเปรตชนดิ หนึง่ ดว้ ย๓๘
อสรุ กายภูมิ
อสรุ กายภมู ิ เปน็ ภมู ทิ นี่ า่ กลวั หนกั หนาเพราะปราศจากความสขุ มแี ตค่ วาม
ทกุ ขท์ รมาน เตม็ ไปดว้ ยความหวาดกลวั ความหวิ โหย กระหายน�ำ้ เปน็ สว่ น
มาก ดว้ ยเหตนุ ้ี อสรุ กายและเปรต จงึ มีความคล้ายคลงึ กันมาก บางครงั้ ก็
เรยี กรวมกนั วา่ พวกเปรตอสรุ กาย แตพ่ อจะแยกแยะใหเ้ หน็ ความแตกตา่ ง
กนั ได้ กลา่ วคอื อสรุ กายสว่ นมาก จะทกุ ขท์ รมานดว้ ยการกระหายน�้ำ สว่ น
เปรตนนั้ โดยมากจะทกุ ขท์ รมานดว้ ยความหวิ อาหาร เนอื่ งมาจากอสรุ กาย
บางตนไม่ได้ดื่มนำ้�มานานมากเป็นพุทธันดร บางตนนานหลายพุทธันดร
ครั้นเมื่อได้พบเห็นหนองนำ้�ก็จะรีบว่ิงไปหาในทันที แต่เม่ือไปถึงแหล่งน้ำ�
055
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๘
อสุรกายภมู ิ
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบับกรงุ ศรีอยุธยา
– กรุงธนบุรี
เหล่าน้ัน ต่างก็อันตรธานหายไป กลับกลายเป็นไฟลุกโชติช่วงข้ึนมาแทน
หรอื มแี ตก่ อ้ นหนิ ดนิ ทราย นอกจากน้ี รปู รา่ งหนา้ ตาของเปรตและอสรุ กาย
ตา่ งก็มคี วามนา่ เกลยี ดน่ากลัว พิลึก แปลกประหลาด โดยเฉพาะอสรุ กาย
จะดูวิปริตมากกว่า เช่น ร่างกายผ่ายผอมมาก ปราศจากเลือดเน้ือใน
รา่ งกาย มแี ตห่ นงั หมุ้ กระดกู ราวกบั ซากสตั ว์ มคี วามสงู ชลดู หลายวา มกี ลน่ิ
เหม็นสาบมาก อสุรกายบางตน มีดวงตาเล็กมากเท่ารูเข็ม อยู่บนศีรษะ
บรเิ วณกลางกระหมอ่ ม อสรุ กายบางตนมที อ้ งขนาดใหญ่ ตัวใหญ่ ผิวกาย
ดำ�ทะมึน เล็บมือเล็บเท้ายาวรีแหลมคม น่าเกลียดน่ากลัวมาก และมี
สนั ดานโหดเหยี้ มดดุ นั สว่ นทอ่ี ยอู่ าศยั ของเปรตและอสรุ กายนน้ั อยใู่ นโลก
มนุษย์ มใี นทกุ ประเทศ เช่น ตามวดั ตามบ้านเรอื นรา้ ง ตามตน้ ไม้ ตามป่า
และตามถ�้ำ เป็นต้น๓๙
056
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคติจักรวาลวทิ ยาในพุทธศาสนา
นอกจากน้ี เน้ือหาในหนังสือ ไตรภูมิพระร่วง ยังได้จำ�แนกอสุรกายออก
เป็น ๒ จ�ำ พวก ไดแ้ ก่
++ กาละกญั ชกาสรุ กาย มลี กั ษณะรา่ งกายผา่ ยผอมเหมอื นใบไมแ้ หง้ ไมม่ ี
เนอ้ื ไม่มีเลือด มีลกั ษณะพิกลพิการมากมาย ไมม่ คี วามสขุ ล�ำ บากยาก
เยน็ แสนเข็ญมาก บางครงั้ เรยี กว่า อสุรเปรต ในอบายภูมิ ๔
++ ทพิ อสรุ กาย เปน็ ขา้ ศกึ ของเทพ อสุรกายประเภทนีจ้ ะมบี ้านเมืองเป็น
ของตนเองเรียกว่า อสูรภพ อยู่ที่โคนเขาพระสุเมรุ ตามประวัติความ
เป็นมาน้ัน เกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เมื่อเหล่าเทวดาเกิดขึ้น จึงสู้รบ
กนั ฝ่ายอสูรพ่ายแพ้ตกลงมาจากยอดเขาพระสเุ มรุ ตอ่ จากนัน้ ยงั ไดท้ ำ�
สงครามกับเทวดาหลายครัง้ โดยผลดั กันแพผ้ ลดั กันชนะ๔๐
ตริ จั ฉานภูมิ
ติรัจฉาน หมายความว่า เป็นสัตว์ผู้ไปตามขวาง ทอดกายไปไม่ต้ังตรง
เหมอื นมนษุ ย์ อยตู่ ามยาวไปไหนมาไหนตอ้ งคว�ำ่ อกไป มคี วามยนิ ดใี นเหตุ
๓ ประการคือ การกิน การนอน และการสบื พันธุ์ มคี วามทกุ ขเวทนา มีภัย
จากสตั ว์ใหญค่ อยขบกดั ตอ้ งถกู ฆ่าเพื่อเป็นอาหาร ตริ ัจฉานภูมเิ ปน็ ภมู ทิ ี่
อยอู่ าศยั ของสตั วเ์ ดรจั ฉานทงั้ หลาย มจี �ำ นวนมากมายนบั ไมถ่ ว้ น อาทิ สตั ว์
บก สัตวน์ �้ำ แมลงต่างๆ สามารถแบง่ ออกเป็น ๔ ประเภทด้วยกนั คือ
++ อปาทตริ จั ฉาน สตั วเ์ ดรจั ฉานประเภททไี่ มม่ เี ทา้ ไดแ้ ก่ งู ปลา ไสเ้ ดอื น
เป็นตน้
++ ทวปิ าทติรจั ฉาน สัตว์เดรจั ฉานประเภททีม่ สี องเทา้ ได้แก่ ไก่ เปด็ นก
ตะกรุม แรง้ กา เป็นต้น
++ จตปุ าทติรัจฉาน สตั ว์เดรจั ฉานประเภทที่มี ๔ เท้า ไดแ้ ก่ ช้าง มา้ วัว
ควาย หมี หมา เปน็ ตน้
++ พหปุ าทตริ จั ฉาน ประเภทท่มี ี ขามากกวา่ ๔ เท้าขึ้นไป ได้แก่ กิง้ กอื
ตะเขบ็ ตะขาบ เปน็ ตน้
057
คติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
ค�ำ วา่ ตริ ัจฉาน ยังมีความหมายเป็น ๒ นัย กลา่ วคือ ประการแรก สตั วผ์ ู้
ไปตามขวาง หมายถงึ ขวางทางกายและทางใจ กลา่ วคอื ขวางทางกาย คอื
มรี า่ งกายเจรญิ เตบิ โตไปในทางแนวนอนขนานกบั พน้ื โลก สว่ นขวางทางใจ
นั้น หมายถึง ขวางต่อโลกุตตรธรรม คือ ไม่สามารถบรรลุมรรคผลได้
เนื่องจากไม่อาจเข้าถึงความหมายของธรรมะ เช่น บาป-บุญ ดี-ช่ัว
ไมส่ ามารถรกั ษาศลี ปฏบิ ตั ธิ รรม ประการทสี่ อง เดรจั ฉานมคี วามสขุ ๓ อยา่ ง
กล่าวคือ สัตว์เดรัจฉานมิได้มีแต่ความทุกข์เพียงอย่างเดียว แต่ยังมี
ความสขุ จากการกนิ ความสขุ จากการนอน และความสขุ จากการสบื พนั ธ๔์ุ ๑
การแบ่งประเภทของสัตว์เดรัจฉานในพระไตรปิฎก ท่านได้แสดงไว้
๕ ประเภท ปรากฏเนื้อหาใน พาลบัณฑิตสูตร พระไตรปิฎก ฉบับบาลี
สยามรัฐ (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ มัชฌมิ นกิ าย
อุปริปัณณาสก์ ได้แก่
++ ติณภักษา จำ�พวกมีหญ้าเป็นภกั ษา ระบุช่ือ ม้า โค ลา แพะ เน้อื
++ คูถภักษา จ�ำ พวกมีคถู เปน็ ภักษา ระบุช่อื ไก่ สุกร สนุ ขั สนุ ขั จิ้งจอก
++ จำ�พวกเกิด แก่ ตายในทม่ี ดื ระบุชือ่ ตกั๊ แตน บงุ้ ไสเ้ ดอื น
++ จำ�พวกเกิด แก่ ตายในนำ้� ระบุชือ่ ปลา เตา่ ฉลาม
++ จ�ำ พวกเกิด แก่ ตายในสิ่งโสโครก เช่น ศพเน่า นำ้�เนา่ เป็นตน้ ๔๒
นอกจากน้ี จากการศึกษารายละเอยี ดของ ติรจั ฉานภูมิ ยังพบวา่ มสี ัตว์ซึง่
มีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากสัตว์เดรัจฉานท่ัวไป อาทิ นาค และครุฑ
เปน็ ตน้ กล่าวคอื นาค จดั เป็นสตั ว์ใน ตริ ัจฉาภูมิ มีลักษณะคลา้ ยงู มีฤทธิ์
สามารถแปลงกายได้ โดยมากกลัวหมองูและครุฑ ต้องคอยหลบซ่อนอยู่
เสมอ แต่มนี าคบางจำ�พวกมีความคิดว่า ตนเกดิ มาเป็นนาค เพราะในชาติ
ก่อนได้กระทำ�กรรมดีบ้างกรรมช่ัวบ้าง ในบัดน้ีถ้าได้ประพฤติสุจริตก็อาจ
ได้ไปเกดิ บนสวรรค์ในชาตหิ น้า จงึ ไดต้ ้งั ใจประพฤติสจุ รติ ทางกาย วาจา ใจ
รกั ษา อโุ บสถศลี อาศยั อยใู่ นนาคพภิ พใตบ้ าดาล สว่ นครฑุ หมายถงึ พญา
นก เป็นสัตว์หิมพานต์ มีรูปลักษณะผสมกันระหว่างมนุษย์กับนก คือ
058
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคตจิ ักรวาลวิทยาในพุทธศาสนา
ล�ำ ตัวและแขนขาเปน็ มนษุ ย์ สว่ นศรี ษะ จะงอยปาก ปกี และเลบ็ เปน็ อย่าง
นกอินทรี สาเหตุท่ีท�ำ ให้เกิดเป็นครุฑเป็นเช่นเดียวกับนาค มีที่อยู่บริเวณ
ป่าไม้งว้ิ โคนเข้าพระสเุ มร๔ุ ๓
ภาพท่ี ๑๙
ติรจั ฉานภมู ิ
สมุดภาพไตรภมู ิ
ฉบับกรงุ ศรอี ยุธยา
– กรุงธนบุรี
059
คติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ôôสคุ ติภมู ิ ๗
สุคติภูมิ หมายถึง ภูมิท่ีดีมีความสุขท้ังกายและใจ ซึ่งตรงข้ามกับทุคติภูมิ
สุคติภูมิสามารถแบ่งออกเป็นประเภทใหญ่ๆ ประกอบด้วย มนุษยภูมิ
เทวภมู ิ และพรหมภมู ิ ซึง่ มรี ายละเอียดโดยสงั เขป ดงั น้ี
++ มนุษยภูมิ แปลว่า ภูมิของผู้มีใจสูง มีความกล้าหาญในการประกอบ
กุศลกรรมและอกศุ ลกรรม ได้อย่างยิง่ กวา่ ภพภูมิอื่นๆ และเป็นภพภูมิ
เดียวเทา่ นั้นที่จะมอี งคพ์ ระสัมมาสัมพทุ ธเจ้ามาประสูติ ตรัสรู้ เทศนา
ส่งั สอนพระธรรม และปรนิ พิ พาน มนุษยภูมิ เป็นสคุ ติภูมชิ ั้นตน้ ทม่ี ที ง้ั
ความสุข และความทกุ ข์ แตม่ ไิ ด้มคี วามทกุ ข์ทรมานแสนสาหัสเหมอื น
กับในทุคติภูมิ การท่ีมนุษย์ท้ังหลายจะสามารถกลับมาเกิดเป็นมนุษย์
อีกหลงั จากตายไปแล้ว ก็มเี หตุปจั จยั หรอื กล่าวอกี นยั หน่งึ ว่า ปฏปิ ทา
อันยังสัตวใ์ หไ้ ดม้ ีโอกาสมาเกิดเป็นมนษุ ยน์ กี้ ค็ อื มนษุ ยธรรม หมายถงึ
ธรรมของมนษุ ย์ หรอื กรรมทีท่ �ำ ใหเ้ ป็นมนุษยไ์ ด้อีกนั้น ได้แก่ เบญจศีล
หรอื ปัญจสิกขาบท เบญจศลี ซงึ่ ประกอบดว้ ย
ภาพท่ี ๒๐
มนุษยภมู ิ
สมดุ ภาพไตรภูมิ
ฉบับอักษรธรรมลา้ นนา
060
โครงสรา้ งและองค์ประกอบของคติจักรวาลวทิ ยาในพุทธศาสนา
-- ปาณาติปาตา เวรมณี เจตนาเปน็ เคร่อื งเวน้ จากการฆา่ สัตว์
-- อทนิ นฺ าทานา เวรมณี เจตนาเปน็ เครอื่ งเว้นจากการลักทรพั ย์
-- กาเมสมุ จิ ฉฺ าจารา เวรมณี เจตนาเปน็ เครอ่ื งเวน้ จากการประพฤตผิ ดิ
ในกาม
-- มุสาวาทา เวรมณี เจตนาเปน็ เคร่อื งเว้นจากการพูดเทจ็
-- สรุ าเมรยมชชฺ ปมาทฏฐฺ าฺ นา เวรมณี เจตนาเปน็ เครอ่ื งเวน้ จากการดมื่
น้�ำ เมา คอื สรุ าและเมรยั อันเปน็ ท่ตี ้งั ของความประมาท
สาเหตทุ ที่ �ำ ใหม้ นษุ ยแ์ ตล่ ะคนมสี ภาพแตกตา่ งกนั ไป ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั ผลกรรม
ทไี่ ด้กระทำ�ไว้ โดยมีรายละเอียดปรากฏอยู่ใน มูลปณั ณาสก์ มชั ฌิมนกิ าย
ความว่า
“...ฆ่าสัตว์ ไมม่ คี วามกรณุ า เปน็ เหตใุ ห้ อายุสน้ั
ไม่ฆา่ สัตว์ มีความกรณุ า เป็นเหตใุ ห้ อายุยืน
เบยี ดเบยี นสตั ว์ เป็นเหตใุ ห้ มีโรคมาก
ไมเ่ บยี ดเบยี นสัตว์ เปน็ เหตุให้ มีโรคน้อย
มักโกรธ มีความคับแคน้ ใจมาก เปน็ เหตใุ ห้ ผิวพรรณชว่ั
ไม่โกรธ ไม่มีความคบั แค้นใจ เปน็ เหตใุ ห้ ผวิ พรรณผุดผ่อง
มใี จประกอบดว้ ยความริษยาผอู้ นื่ เป็นเหตุให้ มีอานุภาพนอ้ ย
มใี จไม่ริษยาผูอ้ ่ืน เปน็ เหตใุ ห้ มีอานุภาพมาก
ไม่บริจาคทาน เป็นเหตใุ ห้ ยากจน อนาถา
บริจาคทาน เปน็ เหตุให้ มีโภคสมบัติมาก
กระดา้ ง ถอื ตวั เปน็ เหตุให้ เกดิ ในสกุลต่ำ�
ไม่กระดา้ ง ไม่ถือตัว เปน็ เหตใุ ห้ เกดิ ในสกุลสงู
ไม่อยากรู้ ไม่ไต่ถามผมู้ ีปัญญา เป็นเหตุให้ มปี ัญญานอ้ ย
อยากรู้ หมน่ั ไต่ถามผูม้ ปี ญั ญา เปน็ เหตุให้ มปี ญั ญามาก
สัตว์นรก เม่ือสิน้ กรรมแล้ว มาเกดิ เปน็ มนษุ ย์
ย่อมเกิดในสกุลต�่ำ เปน็ คนยากจน อดอยาก
เปน็ อยูโ่ ดยฝืดเคือง มีรปู ร่างผวิ พรรณไม่สมประกอบ...”๔๔
061
คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
นอกจากนี้ มนุษย์ภูมิยังสามารถแบ่งกลุ่มตามกรรมท่ีได้ทำ�ไว้ โดยแต่ละ
พวกจะมที ไ่ี ปหลงั จากทต่ี ายไปแล้ว มีรายละเอียดแบง่ ได้ ๕ จำ�พวก ดงั นี้
++ มนษุ ย์สตั วน์ รก คือ มนษุ ย์ทก่ี ระทำ�แต่บาป อกศุ ลกรรม ได้แก่ การฆา่
สตั วต์ ัดชวี ติ ไมม่ ีมนุษยธรรม เรยี กวา่ มนษุ ย์สัตวน์ รก เมื่อตายไปแลว้
ย่อมไปส่นู รกภูมิ
++ มนุษย์เปรต คือ มนุษย์ท่ีมีแต่ความโลภ อยากได้ของผู้อื่น
เรยี กวา่ มนษุ ยเ์ ปรต เมอื่ ตายไปแลว้ ยอ่ มไปสเู่ ปรตภมู ิ หรอื อสรุ กายภมู ิ
++ มนุษยแ์ ท้ คือ มนุษย์ผูร้ กั ษาศีล ๕ แต่มไิ ด้ท�ำ บญุ กศุ ลเพิม่ เติม เรียกวา่
มนุษย์แท้ๆ จัดเป็นมนุษย์เต็มตัว เมื่อตายไปแล้วย่อมไปสู่มนุษย์ภูมิ
หรือ เทวภูมิ
++ มนษุ ยเ์ ทวดา คอื มนษุ ยผ์ รู้ กั ษาศลี ๕ แลว้ ยงั หมน่ั ท�ำ บญุ อยเู่ ปน็ ประจ�ำ
ไดแ้ ก่ การใหท้ าน รักษาศลี และเจรญิ ภาวนา เม่อื ตายไปแลว้ ย่อมไปสู่
สุคติภูมิ คือ เทวภูมิ หรอื พรหมภมู ๔ิ ๕
ภาพท่ี ๒๑
เทวภมู ิ แสดงภาพ
สวรรคช์ ั้นดาวดึงส์
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบบั กรงุ ศรีอยธุ ยา
– กรุงธนบุรี
062
โครงสร้างและองคป์ ระกอบของคตจิ ักรวาลวทิ ยาในพุทธศาสนา
ภาพท่ี ๒๒
เทวภูมิ
แสดงภาพสวรรค์
ช้นั ปรนิมมิตวสวัตตี
สมุดภาพไตรภูมิ
ฉบับกรงุ ศรอี ยุธยา
– กรงุ ธนบุรี
อย่างไรกด็ ี มนษุ ยภมู ิ เป็นสภาพชวี ติ ทีม่ คี วามสขุ และความทกุ ข์ คละเคลา้
กันไป ส่ิงแวดล้อมทางธรรมชาติในโลกก็ล้วนมีความเป็นอนิจจัง
เปลย่ี นแปลงไปไมค่ งทนถาวร ท�ำ ใหค้ นเหน็ สรรพสงิ่ ตามความเปน็ จรงิ ดว้ ย
กฎไตรลักษณ์ โลกจึงหาแก่นสารไม่ได้ เมื่อตระหนักถึงความสำ�คัญของ
กรรม จงึ รบี เรง่ สรา้ งบญุ กศุ ล ทงั้ ยงั มคี วามสามารถในการปฏบิ ตั ธิ รรม เจรญิ
สมถกรรมฐาน และวปิ สั สนากรรมฐาน จนสามารถบรรลธุ รรมจนเปน็ พระ
อรยิ บคุ คลในระดับตา่ งๆ ได๔้ ๖
++ เทวภูมิ หมายถึง ภูมิที่มีความสุขท้ังทางกายและใจชั้นเลิศ เรียกว่า
สวรรค์ ซ่ึงเป็นท่ีอยู่ของเทวดา เรียงลำ�ดับกันตามความสุขท่ีประณีต
นอ้ ยไปหาชน้ั ทม่ี คี วามสขุ ประณตี มาก โดยประกอบดว้ ยเทวดาชนั้ ตา่ งๆ
จ�ำ นวน ๖ ชั้น๔๗ ดงั น้ี
-- ชั้นจตุมหาราชิกา แปลวา่ ภูมเิ ป็นทส่ี ถติ แหง่ เทพยาดาท้ังหลายซงึ่
มีท้าวมหาราชทั้ง ๔ เป็นประมุข ท้าวธตรฐ รักษาทิศตะวันออก
ผ้เู ป็นใหญ่ปกครองหมคู่ นธรรพ์ ท้าววริ ุฬหก รักษาทิศใต้ ผูเ้ ปน็ ใหญ่
ปกครองหมู่กุมภัณฑ์ ท้าววิรูปักข์ รักษาทิศตะวันตก ผู้เป็นใหญ่
063
คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
ปกครองหมนู่ าค ทา้ วเวสสุวัณ รักษาทิศเหนือ ผู้เปน็ ใหญ่ปกครอง
หม่ยู ักษ์
-- ช้ันดาวดึงส์ แปลว่า ภูมิเป็นที่สถิตแห่งเทพยดาผู้มเหศักดิ์ ๓๓
พระองค์ ซ่ึงมที ้าวสกั กเทวราช หรือพระอนิ ทรเ์ ปน็ ประมขุ
-- ชั้นยามา แปลว่า ภูมิเป็นที่สถิตแห่งเทพยดาท้ังหลายผู้ไม่มีความ
ล�ำ บาก ซ่ึงมีทา้ วสยุ ามเทวราชเป็นประมุข
-- ช้นั ดุสิต แปลวา่ ภูมเิ ป็นท่สี ถิตแห่งเทพยดาผูม้ คี วามยนิ ดแี ละความ
แชม่ ชน่ื อยูเ่ ปน็ นติ ย์ ซงึ่ มที ้าวสันดุสติ เทวราชเปน็ ประมุข
-- ชน้ั นมิ มานรดี แปลวา่ ภมู เิ ปน็ ทส่ี ถติ แหง่ เทพยดาทง้ั หลายผมู้ คี วาม
เพลดิ เพลนิ ยนิ ดใี นกามคณุ ารมณ์ ทเี่ นรมติ ขนึ้ ไดต้ ามความพอใจแหง่
ตน ซึง่ มีทา้ วนิมมติ เทวราชเป็นประมขุ
-- ชั้นปรนิมมติ วสวัตตี แปลว่า ภูมิเป็นที่สถติ แหง่ เทพยดาทัง้ หลายผู้
เสวยกามคณุ ารมณ์ ทท่ี วยเทพเหลา่ อนื่ เนรมติ ใหต้ ามความพอใจตน
ซ่งึ มีทา้ วปรนมิ มติ เทวราชเป็นประมขุ
นอกจากนี้ เทวดาทม่ี ศี กั ดานอ้ ย และอยู่ต�่ำ กว่าเทวดาบนสวรรคก์ ย็ ังมีอยู่
อกี มาก เชน่ รกุ ขเทวดา ภมู เิ ทวดา คงคาเทวดา และอากาศเทวดา เปน็ ตน้
เทวดาท้ังหลายมีความแตกตา่ งกันเรือ่ งอายุ วรรณะ สขุ ยศ อธปิ ไตย รูป
รส กลนิ่ เสยี ง และโผฏฐพั พะ อนั เปน็ ทพิ ยม์ คี วามประณตี ขน้ึ ไปตามล�ำ ดบั
ชั้น แตเ่ ทวดาทุกชน้ั ยงั มีลกั ษณะและความเปน็ ไปทีเ่ หมอื นกนั ดังนี้
๏๏ การเกดิ ของเทวดา จะบังเกดิ ขนึ้ เอง การอุบตั ิข้ึนของเทวดาไมต่ อ้ ง
อาศัยการตงั้ ครรภ์อยใู่ นทอ้ งมารดา
๏๏ ลักษณะรา่ งกาย แพรพรรณ เครอื่ งประดับ และปราสาทหรือวิมาน
ที่อยู่ของเทวดา จะมีรัศมีส่องสว่าง จึงทำ�ให้บนสวรรค์มีความ
สวา่ งไสวตลอดเวลา โดยไมต่ อ้ งอาศยั แสงสวา่ งจากพระอาทติ ย์ และ
พระจนั ทร์
๏๏ ร่างกายของเทวดามีกลิ่นหอมตลอดเวลา ไม่มีกลิ่นตัวเหมือนกับ
มนุษย์
064
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคติจักรวาลวิทยาในพุทธศาสนา
ภาพท่ี ๒๓
พรหมปารสิ ัชชาภูมิ
ปโุ รหิตาภมู ิ
มหาพรหมาภมู ิ
สมดุ ภาพไตรภูมิ
ฉบับกรงุ ศรอี ยธุ ยา
– กรงุ ธนบรุ ี
๏๏ อาหารทบ่ี รโิ ภคเขา้ ไปในรา่ งกายจะยอ่ ยหมดไมม่ เี หลอื เปน็ อจุ จาระ
เหมือนกับมนษุ ย์
๏๏ ปราศจากโรคภยั ไข้เจบ็ รวมทัง้ ไม่มีอบุ ตั ิเหตุ
๏๏ เมอื่ เทวดาตอ้ งการจะไปทใ่ี ด สามารถเหาะหรอื คดิ วา่ จะไปทใ่ี ดกไ็ ป
ถึงทันทีดว้ ยอำ�นาจทางจติ ๔๘
นอกจากนี้ เทวดาจะจตุ ิ หมายถึง เคลื่อน เปลีย่ นสภาพจากก�ำ เนดิ หน่งึ ไป
เปน็ อกี ก�ำ เนดิ หนง่ึ หรอื การเคลอื่ นของเทวดาจากภพหนงึ่ ไปยงั อกี ภพหนงึ่
ซึ่งมสี าเหตุ ๔ ประการ
๏๏ อายขุ ยั คือ จตุ เิ พราะสน้ิ อายุ ได้แก่ เทวดาที่เคยสรา้ งกศุ ลกรรมมา
ไดเ้ สวยสมบตั ทิ พิ ย์ จนครบอายทุ พิ ยใ์ นเทวโลกชนั้ ทตี่ นอยู่ เมอ่ื หมด
อายุแล้วก็จุติ
๏๏ บุญญชยั คือ จุตเิ พราะสนิ้ บุญ ได้แก่ เทวดาท่ีสร้างสมบุญกุศลไว้
น้อย เม่ือกุศลผลบุญที่ส่ังสมไว้หมดลง แต่ในระหว่างที่ยังไม่หมด
อายุขยั จ�ำ ตอ้ งจุติไปท่ีอืน่ เพราะหมดบุญ
065
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
๏๏ อาหารชัย คอื จุตเิ พราะสน้ิ อาหาร ได้แก่ เทวดาทเ่ี สวยทพิ ย์สมบัติ
จนลืมบริโภคสุธาโภชนาหารทิพย์ อันเป็นปัจจัยแก่ร่างกายและ
ชีวิต การลืมบริโภคแม้แต่เพลาเดียว กายทิพย์ย่อมเห่ียวแห้งลง
แม้ภายหลังจะบริโภคเป็นร้อยเป็นพันคร้ังก็ไม่อาจช่วยทำ�ให้
กายทิพย์ดขี น้ึ ได้
๏๏ โกธพลชยั คอื จตุ เิ พราะความโกรธ ไดแ้ ก่ เทวดาทม่ี จี ติ รษิ ยา หาเหตุ
พาลมคี วามโกรธเกิดขน้ึ ในจิตใจ
เทวดาท่จี ะตอ้ งจุตินัน้ จะบังเกดิ นิมิตลว่ งหน้าหรอื จตุ นิ มิ ติ ของเทวดา ซึง่
ประกอบดว้ ยลกั ษณะ ๕ ประการ คอื ดอกไมท้ ิพยเ์ ครอ่ื งประดับเหย่ี วแห้ง
ผ้าทิพย์เครื่องประดับสำ�หรับองค์มีสีเศร้าหมอง มีเหงื่อไหลออกมา
จากรกั แร้ บรเิ วณท่ีนัง่ และทน่ี อนรอ้ นขึ้นดงั มีไฟสุมอยู่ และกายทพิ ยข์ อง
เทวดาจะเหี่ยวแห้งเศร้าหมอง หารัศมีท่ีสว่างไสวเช่นเดิมไม่ได้ มีความ
เหน็ดเหน่ือยเมือ่ ยลา้ และมีความกระวนกระวายใจเกิดข้นึ ๔๙
รูปภูมิ
รูปภมู ิ หมายถึง ภูมขิ องพรหมทม่ี รี ูปและนาม หรือมีรูปกายและใจ ผู้ท่ีจะ
ไปเกิดเป็นรูปพรหมจะต้องได้ฌาน เม่ือเกิดเป็นพรหมแล้วจะเป็นผู้ชาย
ท้ังหมด ไม่มีเพศหญิง และไม่มีการสืบพันธ์ุ เพราะพรหมจะไม่ตกอยู่ใน
อำ�นาจของกามารมณเ์ หมอื นมนษุ ยแ์ ละเทวดาทงั้ หลาย เรยี กวา่ รูปาวจร
ภูมิ รูปร่างลักษณะของรูปพรหมน้ัน มีอวัยวะส่วนต่างๆของร่างกาย
สวยงาม กลมเกลยี้ ง ศรี ษะประดบั ดว้ ยชฎา มีแสงสวา่ งเปน็ รศั มรี งุ่ เรอื งแผ่
ซ่านออกจากกาย อาศัยอยู่ในปราสาทวิมานแก้ว ที่ประดับประดาอย่าง
วจิ ติ รงดงามมากกวา่ บนสวรรคท์ กุ ชน้ั รปู กายของพระพรหมกม็ คี วามงดงาม
ประณตี ยงิ่ ไปกวา่ กายทพิ ยข์ องเทวดาทงั้ หลาย รปู พรหมมจี �ำ นวน ๑๖ ชน้ั ๕๐
เรยี งลำ�ดับจากตำ่�ไปหาสูง ดงั น้ี
066
โครงสร้างและองค์ประกอบของคตจิ กั รวาลวิทยาในพุทธศาสนา
๏๏ ช้ันปาริสัชชาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นท่ีสถิตแห่งพรหมท้ังหลาย ผู้เป็น
บรษิ ัทบริวารแห่งทา้ วมหาพรหม ผทู้ ่จี ะได้ไปเกิดในภูมิน้ี จะต้องได้
ปฐมฌานระดบั อ่อน เป็นปรติ ตฌาน
๏๏ ชั้นปุโรหิตาภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นท่ีสถิตแห่งพรหมท้ังหลายผู้เป็น
ปุโรหิต (อาจารย์ใหญ่) ของทา้ วมหาพรหม ผู้ทจ่ี ะได้ไปเกิดในภูมนิ ี้
จะต้องไดป้ ฐมฌานระดับกลาง เป็นมัชฌมิ ฌาน
๏๏ ชน้ั มหาพรหมาภมู ิ แปลวา่ ภมู เิ ปน็ ทสี่ ถติ แหง่ พรหมผยู้ ง่ิ ใหญ่ ผทู้ จี่ ะ
ได้ไปเกิดในภูมิน้ี จะต้องได้ปฐมฌานระดับประณีต เป็นประณีต
ฌาน
๏๏ ชนั้ ปรติ ตาภาภมู ิ แปลวา่ ภูมเิ ป็นท่สี ถติ แหง่ พรหมทง้ั หลายผู้มรี ศั มี
นอ้ ยกวา่ พรหมชน้ั สงู กวา่ ตน ผทู้ จี่ ะไดไ้ ปเกดิ ในภมู นิ ี้ จะตอ้ งไดท้ ตุ ยิ
ฌานระดับออ่ น
ภาพที่ ๒๔
พรหมปรติ ตาภาภมู ิ
อัปปมาณาภูมิ
อาภสั สราภูมิ
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบับกรุงศรีอยุธยา
– กรุงธนบุรี
067
คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ภาพที่ ๒๕
พรหมเวหปั ผลาภมู ิ
อสัญญสี ัตตาภมู ิ
สมุดภาพไตรภมู ิ
ฉบบั กรงุ ศรอี ยุธยา
– กรุงธนบรุ ี
๏๏ ชนั้ อปั ปมาณาภมู ิ แปลวา่ ภมู เิ ปน็ ทส่ี ถติ แหง่ พรหมทง้ั หลาย ผมู้ รี ศั มี
รงุ่ เรอื งหาประมาณมไิ ด้ ผทู้ จี่ ะไดไ้ ปเกดิ ในภมู นิ ้ี จะตอ้ งไดท้ ตุ ยิ ฌาน
ระดับกลาง
๏๏ ชน้ั อาภัสสราภูมิ แปลว่า ภมู ิเปน็ ทีส่ ถิตแห่งพรหมทงั้ หลาย ผ้มู รี ศั มี
เป็นประกายรุ่งเรืองนานาชนิด ผู้ท่ีจะได้ไปเกิดในภูมินี้ จะต้องได้
ทุติยฌานระดับประณตี
๏๏ ชน้ั ปรติ ตสภุ าภมู ิ แปลวา่ ภมู เิ ปน็ ทสี่ ถิตแหง่ พรหมทงั้ หลาย ผมู้ ีรศั มี
นอ้ ยกว่าพรหมชัน้ สงู กว่าตน ผทู้ ่จี ะได้ไปเกดิ ในภมู ิน้ี จะตอ้ งได้ตตยิ
ฌานระดบั ออ่ น
๏๏ ชัน้ อปั ปมาณสุภาภูมิ แปลวา่ ภมู ิเป็นทีส่ ถิตแห่งพรหมทง้ั หลาย ผู้มี
รศั มสี งา่ งามหาประมาณมไิ ด้ ผทู้ จี่ ะไดไ้ ปเกดิ ในภมู นิ ้ี จะตอ้ งไดต้ ตยิ
ฌานระดบั กลาง
๏๏ ชน้ั สภุ กณิ หาภมู ิ แปลว่า ภูมเิ ปน็ ท่ีสถิตแหง่ พรหมทั้งหลายผมู้ ีรัศมี
สง่างามเกล่ือนกลน่ (พรงั่ พรู) ทั่วสรรพางคก์ าย ผทู้ ่ีจะได้ไปเกดิ ใน
ภมู ินี้ จะตอ้ งไดต้ ติยฌานระดบั ประณตี
068
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคตจิ ักรวาลวทิ ยาในพทุ ธศาสนา
ภาพที่ ๒๖
พรหมสทุ ัสสีสุทธาวาสภมู ิ
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบับกรงุ ศรีอยุธยา –
กรงุ ธนบุรี
๏๏ ชน้ั เวหัปผลาภูมิ แปลว่า ภมู ิเปน็ ทีส่ ถติ แห่งพรหมท้งั หลาย ผไู้ ดร้ บั
ผลแหง่ ฌานอนั ไพบลู ย์ ผทู้ จ่ี ะไดไ้ ปเกดิ ในภมู นิ ี้ จะตอ้ งไดจ้ ตตุ ถฌาน
ระดับออ่ น
๏๏ ชน้ั อสัญญีสตั ตาภมู ิ แปลวา่ ภมู เิ ป็นท่ีสถติ แห่งพรหมทั้งหลาย ผู้หา
สญั ญามไิ ด้ ผทู้ จ่ี ะไดไ้ ปเกดิ ในภมู นิ ้ี จะตอ้ งไดจ้ ตตุ ถฌานระดบั กลาง
๏๏ ชั้นอวิหาสุทธาวาสภูมิ แปลว่า ภูมิเป็นที่สถิตแห่งพรหมท้ังหลาย
ผ้ไู มเ่ สอื่ มคลายในสมบตั แิ ห่งตน ผู้ทีจ่ ะได้ไปเกิดในภมู นิ ี้ จะตอ้ งได้
จตตุ ถฌานระดบั ประณีต
๏๏ ชั้นอตัปปาสุทธาวาส แปลว่า ภูมิเป็นที่สถิตแห่งพรหมท้ังหลาย
ผู้ไม่มีความเร่าร้อน ผู้ที่จะได้ไปเกิดในภูมิน้ี จะต้องได้จตุตถฌาน
ระดับประณีต
๏๏ ชนั้ สุทสั สาสทุ ธาวาสภูมิ แปลว่า ภมู เิ ปน็ ท่สี ถติ แห่งพรหมท้งั หลาย
ผมู้ คี วามเหน็ (สภาวธรรม) อยา่ งแจม่ แจง้ ผทู้ จ่ี ะไดไ้ ปเกดิ ในภมู นิ ้ี จะ
ต้องได้จตุตถฌานระดบั ประณตี
๏๏ ชน้ั สุทัสสสี ุทธาวาสภมู ิ แปลว่า ภมู ิเปน็ ทส่ี ถติ แห่งพรหมทง้ั หลาย ผู้
มีความเหน็ (สภาวธรรม) อยา่ งแจ่มแจง้ ยงิ่ ผ้ทู จี่ ะไดไ้ ปเกิดในภมู นิ ้ี
จะต้องได้จตุตถฌานระดับประณีต
069
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๒๗
พระทุศเจดยี ์
ในอกนฏิ ฐาพรหม
สมุดภาพไตรภูมิ
ฉบบั กรงุ ศรีอยธุ ยา
– กรุงธนบรุ ี
๏๏ ชน้ั อกนฏิ ฐาสทุ ธาวาสภมู ิ แปลวา่ ภมู เิ ปน็ ทสี่ ถติ แหง่ พรหมทง้ั หลาย
ผู้ทรงคุณพิเศษไม่มีใครเป็นรอง ผู้ท่ีจะได้ไปเกิดในภูมินี้ จะต้องได้
จตตุ ถฌานระดบั ประณีต
อรปู ภมู ิ
อรูปภูมิ หมายถึง ภูมิของพรหมที่ไม่มีรูป มีแต่จิตและเจตสิกเท่านั้น
ผู้ที่เกิดในอรูปพรหมเป็นผู้ที่มีความเบ่ือหน่ายเห็นโทษภัยในสังขาร
โดยเฉพาะสงั ขารหรอื รปู อนั เปน็ ทมี่ าแหง่ ความทกุ ข์ ทา่ นปรารถนาทจี่ ะพน้
ไปจากรูป เหลือเพียงนามเท่านั้น จึงได้เจริญสมถภาวนาท่ีมีแต่จิตเป็น
อารมณ์ จนสามารถบรรลุอรปู ฌานท่ี ๑-๔ ตามลำ�ดบั ๕๑ ดงั นน้ั อรูปภมู จิ งึ
มี ๔ ชนั้ ดังนี้
070
โครงสร้างและองคป์ ระกอบของคติจกั รวาลวิทยาในพุทธศาสนา
๏๏ ช้ันอากาสานัญจายตนะ แปลว่า ภูมิเป็นที่สถิตแห่งอรูปพรหมทั้ง
หลาย ผปู้ ฏสิ นธดิ ว้ ยผลแหง่ อากาสานญั จายตนฌาน (ฌานมอี ากาศ
อนั หาท่ีสดุ มไิ ด้เป็นอารมณ)์
๏๏ ชั้นวิญญาณัญจายตนะ แปลว่า ภูมิเป็นท่ีสถิตแห่งพรหมทั้งหลาย
ผปู้ ฏสิ นธดิ ว้ ยผลแหง่ วญิ ญาณญั จายตนฌาน (ฌานทมี่ วี ญิ ญาณ อนั
หาท่สี ดุ มิไดเ้ ป็นอารมณ)์
๏๏ ชน้ั อากญิ จญั ญายตนะ แปลวา่ ภมู เิ ปน็ ทสี่ ถติ แหง่ พรหมทง้ั หลาย ผู้
ปฏสิ นธดิ ว้ ยผลแหง่ อากญิ จญั ญายตนฌาน (ฌานทม่ี คี วามไมม่ อี ะไร
แม้แต่น้อยเป็นอารมณ์)
๏๏ ชนั้ เนวสัญญานาสัญญายตนะ แปลว่า ภมู เิ ป็นท่ีสถติ แหง่ พรหมท้ัง
หลาย ผู้ปฏสิ นธิด้วยผลแหง่ นวสญั ญานาสัญญายตนฌาน (ฌานท่ี
มอี ารมณป์ ระณตี ยิง่ กว่ามสี ญั ญาก็ไม่ใชไ่ มม่ สี ญั ญากไ็ ม่เชงิ )
ภาพท่ี ๒๘
อรูปภูมิ ๔
สมุดภาพไตรภมู ิ
ฉบับกรุงศรอี ยธุ ยา
– กรงุ ธนบรุ ี
071
คติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
ภาพที่ ๒๙
พระอรยิ บคุ คล ๔
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบบั กรุงศรอี ยธุ ยา
– กรงุ ธนบุรี
โลกุตตรภูมิ หรือ แดนนพิ พาน
นพิ พานเปน็ จดุ หมายสงู สดุ ในพระพทุ ธศาสนา ซง่ึ ถอื วา่ เปน็ ธรรมชาตสิ งู สดุ
เหนือโลกธรรมทั้งปวง หนทางท่ีจะหลุดพ้นจากภพภูมิต่างๆ เป็นอริยะ
บุคคล และเข้าสกู่ ระแสพระนิพพานน้ัน คอื การได้บรรลุเปน็ อรยิ ะบุคคล
๔ ประเภท หรือมี ๔ ระดับด้วยกัน โดยจะเรยี งล�ำ ดับจากตำ�่ ไปหาสูงตาม
ล�ำ ดบั ดงั น้ี
ôôพระโสดาบนั เปน็ อรยิ ะบคุ คลขนั้ แรกในพระพทุ ธศาสนา ค�ำ วา่ โสดาบนั
แปลว่า ผู้เข้าถึงกระแสแห่งพระนิพพาน ส่วนความวิเศษของพระ
โสดาบนั คอื ไมต่ อ้ งไปเกดิ ในทคุ ตภิ มู อิ กี หรอื เรยี กวา่ ปดิ ประตอู บายภมู ิ
ได้ ทง้ั จะได้บรรลเุ ป็นพระอรหันตใ์ นภายภาคหนา้ เป็นแน่แท้ อย่างช้า
ท่สี ุดไม่เกิน ๗ ชาติ คณุ ธรรมสำ�คญั ทท่ี �ำ ใหค้ นเปน็ พระโสดาบนั ได้ก็คือ
การละสงั โยชน์ ๓ ประการได้ คอื สักกายทฏิ ฐิ วิจกิ จิ ฉา และสีลพั พต
ปรามาส
072
โครงสรา้ งและองค์ประกอบของคติจกั รวาลวิทยาในพทุ ธศาสนา
ôôพระสกทิ าคามี เปน็ พระอรยิ บคุ คลสงู กวา่ พระโสดาบนั ขน้ึ มาอกี ชนั้ หนงึ่
จะเกดิ อีกคร้งั เดียวก็จะบรรลุพระอรหนั ต์ พระสกทิ าคามี แปลว่า ผู้ที่
จะเกดิ อกี ครงั้ เดยี ว ส�ำ หรบั คณุ ธรรมทท่ี �ำ ใหเ้ ปน็ พระสกทิ าคามกี ค็ อื การ
ละสังโยชน์ ๓ ประการได้ คือ สกั กายทฏิ ฐิ วิจกิ จิ ฉา สีลพั พตปรามาส
และทำ�ใหร้ าคะ โทสะ และโมหะเบาบางลงอีกด้วย
ôôพระอนาคามี เปน็ พระอรยิ บคุ คลสงู กวา่ พระสกทิ าคามขี นึ้ มาอกี ชนั้ หนง่ึ
พระอนาคามีจะไม่กลับมาเกดิ อกี จะบรรลุพระอรหนั ต์และนพิ พานใน
พรหมโลกชน้ั สุทธาวาส พระอนาคามี แปลวา่ ผไู้ มก่ ลบั มาเกดิ ในโลก
มนษุ ยอ์ กี เพราะพระอนาคามสี ามารถประหารโอรมั ภาคยิ สงั โยชนห์ รอื
สังโยชน์เบื้องต่ำ�ได้หมด คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา สีลัพพตปรามาส
กามราคะ และปฏิฆะ
ôôพระอรหันต์ เป็นพระอริยบุคคลสูงท่ีสุด มีจิตหลุดพ้นจากกิเลสอัน
เปน็ เหตใุ หเ้ กดิ ความทกุ ขท์ งั้ ปวงไดห้ มดสนิ้ เชงิ มพี ระอรหนั ต์ ๒ ประเภท
ด้วยกันคือ ๑) เจโตวิมุตติอรหันต์ หมายถึง พระอรหันต์ท่ีหลุดพ้น
ดว้ ยใจ ๒) ปญั ญาวิมุตติ หมายถงึ พระอรหันตท์ ห่ี ลุดพ้นด้วยปญั ญา
ผ้ทู ่บี รรลุเป็นพระอรหันต์ มีท้งั พระภิกษสุ งฆแ์ ละฆราวาส แต่ฆราวาส
ผู้เป็นอรหันต์ท่านว่าจะต้องออกบวชภายใน ๗ วัน หลังจากบรรลุ
พระอรหันต์ ไม่เช่นนั้นจะต้องดับสังขารหรือถึงแก่กรรม เพราะ
เพศฆราวาสไม่อาจรองรับความเป็นพระอรหันต์ซ่ึงบริสุทธ์ิผุดผ่อง
ด้วยคุณธรรมได้ ๕๒
พระอรหนั ตอรยิ บคุ คล ซง่ึ เปน็ พระอรยิ บคุ คลชน้ั สงู สดุ ในพระบวรพทุ ธ
ศาสนา สามารถแบง่ ออกเปน็ ๒ ประเภท คือ เจโตวิมุตติอรหนั ต์ และ
ปัญญาวิมตุ ตอิ รหนั ต์ โดยมรี ายละเอียด ดงั น้ี
๏๏ เจโตวิมตุ ติอรหันต์ เปน็ ผู้บ�ำ เพ็ญสมถกรรมฐานได้สำ�เร็จฌานกอ่ น
แลว้ ภายหลังจงึ ไดบ้ �ำ เพญ็ วิปสั สนากรรมฐานจนไดส้ ำ�เรจ็ เปน็ พระ
อรหนั ต์ หรอื ผบู้ ำ�เพ็ญเฉพาะวิปสั สนากรรมฐานอยา่ งเดยี ว แต่วา่
ในขณะทจี่ ะบรรลเุ ปน็ พระอรหนั ตน์ นั้ ฌานกพ็ ลนั อบุ ตั ขิ น้ึ พรอ้ มกนั
ในขณะนน้ั เอง ย่อมเป็นฌานลาภบี ุคคล คอื ส�ำ เรจ็ ฌานสมาบัติได้
บรรลวุ ิชชา ๓ อภญิ ญา ๖ มีคณุ วเิ ศษสามารถแสดงฤทธ์ิได้
073
คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
๏๏ ปญั ญาวมิ ตุ ติอรหนั ต์ เปน็ ผบู้ ำ�เพ็ญวปิ ัสสนากรรมฐานลว้ นๆ โดย
มิได้บำ�เพ็ญสมถกรรมฐานมาก่อน และในขณะที่จะบรรลุเป็นพระ
อรหนั ตน์ น้ั ฌานกม็ ไิ ดอ้ บุ ตั ขิ นึ้ ดว้ ย ทา่ นเหลา่ นไ้ี ดช้ อ่ื วา่ สกุ ขวปิ สั สก
บคุ คล คือ ผปู้ ฏิบัตทิ �ำ ให้ฌานแหง้ จงึ ไม่สามารถแสดงฤทธิ์ได้ ๕๓
ลักษณะของพระนิพพาน มเี น้อื หาปรากฏอย่ใู นนพิ พานสูตร กลา่ วว่า เมื่อ
พระพุทธเจ้าประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ของท่านอนาถปิณฑิก
เศรษฐีใกล้กรุงสาวัตถี ทรงช้แี จงใหภ้ กิ ษเุ หน็ ภัยในวฏั สงสารทัง้ หลาย เพ่อื
ใหภ้ กิ ษไุ ดเ้ หน็ อยา่ งจรงิ ใจ มจี ติ สมาทาน อาจหาญ รา่ งเรงิ ในพระนพิ พาน๕๔
ปรากฏเน้ือหาใน นพิ พานสตู ร พระไตรปฎิ ก พระสุตตันตปฎิ ก ความว่า
“...ฐานะทบ่ี คุ คลเหน็ ไดย้ ากชอ่ื วา่ นพิ พาน ไมม่ ตี ณั หา นพิ พานนน้ั เปน็ ธรรม
จริงแท้ ไมเ่ หน็ ได้โดยง่ายเลย ตณั หาอันบคุ คลแทงตลอดแล้ว กิเลสเคร่อื ง
กงั วลย่อมไม่มีแก่บคุ คลผู้รู้ ผู้เหน็ อยู่ ฯ...”๕๕
อีกคราวหน่ึง พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงมีพระกรุณาตรัสช้ีแจงเร่ืองพระ
นิพพาน ใหพ้ ระภิกษเุ หน็ ภยั วฏั สงสารทั้งหลาย ปรากฏเนอ้ื หาใน นพิ พาน
สูตร พระไตรปิฎก พระสตุ ตันตปิฎก ความว่า
“...ดกู รภกิ ษุท้ังหลาย ธรรมชาตไิ ม่เกดิ แลว้ ไมเ่ ปน็ แลว้ อนั ปัจจยั กระท�ำ ไม่
ได้แล้วปรุงแต่งไม่ได้แล้ว มีอยู่ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าธรรมชาติอันไม่เกิด
แล้ว ไม่เป็นแลว้ อนั ปจั จัยกระทำ�ไม่ได้แล้ว ปรุงแตง่ ไมไ่ ดแ้ ล้ว จักไม่ไดม้ ี
แลว้ ไซร้ การสลดั ออกซงึ่ ธรรมชาตทิ เี่ กดิ แลว้ เปน็ แลว้ อนั ปจั จยั กระท�ำ แลว้
ปรุงแต่งแล้ว จะไม่พึงปรากฏในโลกน้ีเลย ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็เพราะ
ธรรมชาตอิ นั ไม่เกิดแล้ว ไมเ่ ป็นแลว้ อนั ปัจจยั กระทำ�ไมไ่ ด้แลว้ ปรงุ แตง่ ไม่
ไดแ้ ลว้ มอี ยฉู่ ะนน้ั การสลดั ออกซงึ่ ธรรมชาตทิ เ่ี กดิ แลว้ เปน็ แลว้ อนั ปจั จยั
กระทำ�แล้ว ปรงุ แตง่ แล้วจงึ ปรากฏฯ...”๕๖
074
โครงสร้างและองค์ประกอบของคติจักรวาลวิทยาในพทุ ธศาสนา
ภาพที่ ๓๐
พระนิพพาน
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบับกรุงศรีอยุธยา
– กรุงธนบุรี
สณั ฐานแหง่ จกั รวาลตามแนวคิดจกั รวาลวิทยาในพระพุทธศาสนา
โลกหรอื จกั รวาลตามคตคิ วามคดิ ของชาวพทุ ธในสมยั โบราณ มรี ปู ลกั ษณะ
กลมเหมอื นลอ้ เกวยี นหรอื ลอ้ รถ ตงั้ อยใู่ นอากาศ และมขี อบเปน็ ก�ำ แพงกนั้
โดยรอบอยา่ งเดียวกับวงล้อ จงึ เรยี กวา่ จักกวาฬะ หรอื จักรวาละ แปลว่า
ส่ิงที่มีขอบกั้นล้อมเป็นรูปวงกลมเหมือนล้อ ดังนั้น คำ�ว่าจักรวาลจึง
หมายถงึ โลกดว้ ยเชน่ เดยี วกนั ๕๗สณั ฐานแหง่ จกั รวาล ทกุ จกั รวาลมสี ณั ฐาน
เหมอื นกนั หมด ในแตล่ ะจักรวาลประกอบด้วย ๒ สว่ นส�ำ คัญ คอื ส่วนที่
075
คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
เปน็ พนื้ ดนิ และนำ�้ และสว่ นทเี่ ป็นที่วา่ งหรอื ทอ้ งฟ้า สว่ นทีเ่ ป็นพ้ืนดินและ
นำ้�มีรูปทรงเป็นแบบผลมะนาวคร่ึงผลที่ถูกผ่าซีก ต้ังไว้ในลักษณะ
หงายหน้าขึ้น ลอยอยู่ในมหาสมุทรอวกาศ ใต้มหาสมุทรอวกาศ
มีลมเคลื่อนไหวไปมาอย่างรุนแรงหนุนน้ำ�มหาสมุทรแห่งอวกาศไว้
ทุกจักรวาลต้ังอยู่บนมหาสมุทรอวกาศ ตั้งแบบเรียงประชิดต่อเนื่องกัน
ถงึ แสนโกฏจิ กั รวาลไมม่ ีท่ีส้นิ สดุ
ลกั ษณะพน้ื จกั รวาลเปน็ แผน่ ระนาบรปู วงกลม มเี ขาพระสเุ มรตุ งั้ อยกู่ งึ่ กลาง
แผน่ ดนิ มีภเู ขาช่ือสตั ตบรภิ ัณฑ์ (ภูเขารปู วงแหวนต้งั ลอ้ มวงเปน็ ชน้ั ๆ รวม
๗ ชั้น) ระหว่างภูเขาวงแหวนแต่ละช้ันมีทะเลสีทันดรคั่นอยู่ทุกชั้น ภูเขา
พระสเุ มรมุ คี วามสงู มากทสี่ ดุ ภเู ขาวงแหวนมคี วามสงู แบบลดหลน่ั ออกจาก
วงในสุดสู่วงนอก ถัดจากภูเขาวงแหวนนอกสุดเป็นมหาสมุทรกว้างใหญ่
ไพศาล จนจดภูเขากำ�แพงจักรวาลหรอื ขอบจกั รวาล ท่ามกลางมหาสมทุ ร
มที วปี ประจำ�ทศิ ท้งั สี่
เขาพระสุเมรุ เป็นภูเขาสูงใหญ่ท่ีสุดในจักรวาล มีความสูงถึง ๘๔,๐๐๐
โยชน์ จมลงใต้บาดาล ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ตง้ั อยู่แกนกลางจกั รวาลอนั ลอ้ ม
ภาพท่ี ๓๑
ภาพแสดงแนวคิด
คตจิ กั รวาลวทิ ยา
ในพระพุทธศาสนา
076
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคติจกั รวาลวิทยาในพุทธศาสนา
ภาพที่ ๓๒
จติ รลดาวนั อุทยาน
บนสวรรค์ชั้นดาวดงึ ส์
สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบบั กรุงศรีอยธุ ยา –
กรงุ ธนบรุ ี
รอบดว้ ยมหาสมทุ รใหญท่ เี่ รยี กวา่ มหานทสี ที นั ดร ลา่ งสดุ อยใู่ ตม้ หาสมทุ ร
สดุ ขอบจกั รวาล และบนสดุ เปน็ สวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ ทป่ี ระทบั ของพระอนิ ทร์
เหนือขึน้ ไปบนอากาศมสี วรรคช์ น้ั สูงข้นึ ไป บนสวรรค์ชน้ั ดาวดงึ สเ์ ป็นแดน
แหง่ เทพทงั้ ๓๓ มที า้ วสกั กะ หรอื พระอนิ ทรเ์ ปน็ ใหญท่ ส่ี ดุ บางครง้ั ยงั เรยี ก
วา่ ไตรตรงึ ษ์ ซง่ึ เปน็ ภาษาสนั สกฤต แปลวา่ ๓๓ เชน่ กนั ความเปน็ อยู่ของ
เทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เป็นการเสวยทิพย์สมบัติ อันเป็นผลมาจาก
กศุ ลกรรมในอดตี บรโิ ภคอาหารอนั เปน็ ทพิ ย์ มอี ารมณท์ น่ี า่ ปรารถนา ไมม่ ี
ความเจบ็ ไขไ้ ดป้ ว่ ย ไมต่ อ้ งถา่ ยอจุ จาระปสั สาวะ รปู รา่ งลกั ษณะของเทวดา
ผูช้ ายนน้ั จะเปน็ หนมุ่ ในวัย ๒๐ ปี ส่วนเทวดาผ้หู ญิงจะมคี วามเปน็ สาวอยู่
ในวัย ๑๖ ปี ไมม่ คี วามแก่ชรา มีแตค่ วามสวยงามตลอดไปจนตาย๕๘
เขาสัตตบริภัณฑ์ เป็นภูเขาวงแหวนเป็นบริวารล้อมรอบเขาพระสุเมรุ
ซ้อนกันเป็นรูปวงแหวน ๗ ชั้น ระหว่างช้ันจะมีมหาสมุทรข้ันระหว่างคือ
077
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ภาพที่ ๓๓
เขาพระสเุ มรแุ ละ
เขาสัตตบริภัณฑ์ท้งั ๗
สมุดภาพไตรภมู ิ
ฉบบั กรุงศรีอยธุ ยา
-กรุงธรบรุ ี
นทสี ที นั ดร ในงานจติ รกรรมชา่ งเขยี นจะเขยี นเปน็ รปู ตดั คลา้ ยการผา่ ผลไม้
จึงทำ�ให้เห็นเป็นแท่ง ด้านข้างเขาพระสุเมรุด้านละ ๗ แท่ง ภูเขาทั้ง ๗
มชี อ่ื เรยี กตา่ งกนั มคี วามสงู ลดหลนั่ กนั ลงไปเปน็ ล�ำ ดบั จากสงู ไปหาต�่ำ ไดแ้ ก่
เขายุคนธร เขาอิสินธร เขากรวิก เขาสุทัศนะ เขาเนมินธร เขาวินันทกะ
และเขาอสั สกัณณะ โดยมีรายละเอียด ดงั นี้
ôôเขายุคนธร มีความสูง ๔๒,๐๐๐ โยชน์ จมอยู่ใต้น้ำ� ๔๒,๐๐๐ โยชน์
ห่างจากเขาพระสุเมรุ โดยมีนทสี ีทันดรกน้ั ๘๔,๐๐๐ โยชน์ บนยอดเขา
เป็นท่ีประทับของท้าวจตุมหาราชิกา เทพผู้พิทักษ์จักรวาลท้ัง ๔ ทิศ
เป็นสวรรคช์ ั้นที่ ๑
๏๏ ท้าวกเุ วร เปน็ ใหญ่ในหมูย่ ักษ์ อยู่ประจ�ำ ทศิ เหนือ
๏๏ ท้าวธตรฐ เปน็ ใหญ่ในหมู่คนธรรพ์ อยูป่ ระจำ�ทศิ ตะวันออก
๏๏ ท้าววริ ปู กั ษ์ เปน็ ใหญ่ในหมนู่ าค อย่ปู ระจำ�ทศิ ตะวันตก
๏๏ ทา้ ววิรฬุ หก เป็นใหญ่ในหมู่กุมภัณฑ์ อยู่ประจำ�ทศิ ใต้
078
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคตจิ กั รวาลวทิ ยาในพุทธศาสนา
ภาพที่ ๓๔
เขาพระสเุ มรแุ ละ
เขาสตั ตบรภิ ณั ฑ์ทงั้ ๗
จิตรกรรมฝาผนัง
วัดปา่ แดด
อำ�เภอแมแ่ จม่
จงั หวดั เชยี งใหม่
ôôเขาอิสินธร ห่างจากเขายุคนธร มีนทีสีทันดรกั้น ๔๒,๐๐๐ โยชน์
เขาสงู ๒๑,๐๐๐ โยชน์ จมอยใู่ ต้น�ำ้ ๒๑,๐๐๐ โยชน์
ôôเขากรวิก ห่างจากเขาอิสินธร มีนทีสีทันดรก้ัน ๒๑,๐๐๐ โยชน์
เขาสงู ๑๐,๕๐๐ โยชน์ จมอยูใ่ ต้น้�ำ ๑๐,๕๐๐ โยชน์
ôôเขาสุทัศนะ ห่างจากเขากรวิก มีนทีสีทันดรก้ัน ๑๐,๕๐๐ โยชน์
เขาสงู ๕,๒๕๐ โยชน์ จมอยูใ่ ต้น�ำ้ ๕,๒๕๐ โยชน์
ôôเขาเนมินธร ห่างจากเขาสุทัศนะ มีนทีสีทันดรกั้น ๕,๒๕๐ โยชน์
เขาสงู ๒,๖๒๕ โยชน์ จมอยู่ใตน้ ำ�้ ๒,๖๒๕ โยชน์
ôôเขาวินันทกะ ห่างจากเขาเนมินธร มีนทีสีทันดรก้ัน ๒,๖๒๕ โยชน์
เขาสงู ๑,๓๑๒ โยชน์ จมอยใู่ ตน้ ้�ำ ๑,๓๑๒ โยชน์
ôôเขาอัสสกณั ณะ หา่ งจากเขาวินันทกะ มนี ทสี ีทนั ดรก้ัน ๑,๓๑๒ โยชน์
เขาสูง ๖๕๖ โยชน์ จมอยู่ใต้น�้ำ ๖๕๖ โยชน์
พ้ืนที่ว่างระหว่างเขาทั้ง ๗ ต้ังแต่เขาพระสุเมรุไปจนถึงขอบเขากำ�แพง
จักรวาลล้อมรอบด้วยนำ้�ท่ีเรียกว่า นทีสีทันดรสมุทร มีแผ่นดินใหญ่เป็น
ทวปี ท่มี ีมนุษย์อาศยั อยู่ ๔ ทวีป มีชือ่ และสัณฐาน ดงั น้ี
079
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพที่ ๓๕
อุตรกุรทุ วีป และ
บรู พาวิเทหทวีป
สมดุ ภาพไตรภูมิ
ฉบบั กรงุ ศรอี ยุธยา
– กรงุ ธนบุรี
ôôทวีปประจำ�ทิศตะวันออกชื่อ บูรพาวิเทหทวีป มีบริเวณกว้างขวาง
๗,๐๐๐ โยชน์ สัณฐานรูปทรงกลม มนุษย์ท่ีอาศัยอยู่มีหน้ากลม
อายยุ ืนยาวได้ ๑๐๐ ปี
ôôทวีปประจำ�ทิศตะวันตกช่ือ อมรโคยานทวีป มีบริเวณกว้างขวาง
๗,๐๐๐ โยชน์ มีเกาะบริวาร ๕๐๐ เกาะสัณฐานรูปครึ่งวงกลม
หรอื มนุษย์ท่อี าศัยอยู่มเี ส้ียวเดือนแรม ๘ ค่ำ� อายุยืนยาวได้ ๔๐๐ ปี
ôôทวปี ประจ�ำ ทศิ เหนอื ชอ่ื อตุ รกรุ ทุ วปี มบี รเิ วณกวา้ งขวาง ๘,๐๐๐ โยชน์
มเี กาะบรวิ าร ๕๐๐ เกาะมนุษย์ท่อี าศยั อยู่มีหน้าเป็นรปู สเ่ี หลี่ยมจัตรุ สั
มอี ายุราว ๑,๐๐๐ ปี
ôôทวปี ประจ�ำ ทศิ ใตช้ อ่ื ชมพทู วปี มบี รเิ วณกวา้ งขวาง ๑,๐๐๐ โยชน์ มนษุ ย์
ที่อาศัยอยู่มีใบหน้ารูปไข่สัณฐานรูปสามเหลี่ยมหรือวงรี มนุษย์อาศัย
อยอู่ ายยุ นื ยาวไมเ่ ทา่ กัน
เบื้องใต้ของจักรวาลเชื่อว่ามีปลาอานนท์ขนาดมหึมาหนุนจักรวาลอยู่
เมอ่ื ใดทีป่ ลาอานนทพ์ ลิกตัวท�ำ ใหเ้ กดิ แผ่นดนิ ไหว เบ้อื งใต้ปลาอานนท์ลง
ไปอีกจะเป็นชั้นอากาศขนาด ๘๔,๐๐๐ โยชน์ ใต้ลงไปชั้นอากาศจะเป็น
080
โครงสร้างและองค์ประกอบของคตจิ กั รวาลวิทยาในพทุ ธศาสนา
ภาพที่ ๓๖
อมรโคยานทวีป
และ ชมพูทวปี
สมดุ ภาพไตรภูมิ
ฉบับกรงุ ศรอี ยธุ ยา
– กรุงธนบรุ ี
ชั้นสุญญากาศ๕๙ บนท้องฟ้ามี พระอาทิตย์เทวบุตรทรงรถเทียมสิงห์
และพระจันทร์เทวบุตรทรงรถเทียมม้าขาว ขับเคลื่อนเวียนทักษิณาวรรต
(การเวียนขวา) รอบเขาพระสุเมรุ มีวิมานเทวดา และวิมานพรหมอยู่ใน
อากาศซ้อนเป็นชนั้ ๆ ตามลำ�ดับ
ยอดเขาพระสุเมรุเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มีพระอินทร์เป็นจอมเทพ
มีปราสาทเวชยันต์อันสร้างข้ึนจากเพชร ภายใต้ปราสาทเป็นพาหนะของ
พระอนิ ทร์ คอื ช้างเอราวัณ ซงึ่ มเี ศยี ร ๓๓ เศยี ร ไหลเ่ ขาพระสเุ มรแุ ผ่ออก
ไปจนจดขอบจักรวาลเป็นสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา ป่าไม้ง้ิวโคนเขา
พระสเุ มรเุ ปน็ ทอ่ี ยขู่ องครฑุ ใตเ้ ขาพระสเุ มรอุ ยใู่ ตพ้ น้ื ดนิ เปน็ หนิ สามเสา้ ตงั้
รบั เขาพระสเุ มรุ ตรงบรเิ วณหนิ สามเสา้ เปน็ เมอื งอสรู และลกึ ลงไปเปน็ เมอื ง
บาดาลของพระยานาค
ส่วนขุมนรก ๘ ขุมนั้น อยู่ใต้พ้ืนชมพูทวีป ต้ังซ้อนลึกลงไปใต้พ้ืนดิน
๑๐,๐๐๐ โยชน์ เป็นแดนที่เต็มไปด้วยความทุกข์ นรกประเภทใหญ่ที่สุด
เรียกว่า มหานรก มีอยู่ ๘ ขมุ ตั้งซ้อนกนั เปน็ ช้ันๆ ขุมนรกใต้พ้นื ดินเปน็
081
คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพที่ ๓๗
พระอาทติ ย์
พระจันทร์
และพระราหู
สมุดภาพไตรภมู ิ
ฉบบั กรุงศรอี ยุธยา
– กรงุ ธนบรุ ี
นรกร้อน ส่วนนรกเยน็ มชี อ่ื วา่ นรกโลกันต์ ต้ังอยู่ระหวา่ งท่ีวา่ งในอากาศ
อนั เกิดจากจักรวาลสามวงตง้ั ประชดิ ติดกัน โลกนั ต แปลวา่ ทส่ี ดุ แห่งโลก
แตช่ ่อื ที่ถูกตอ้ งคอื โลกันตรกิ ะ ซ่งึ แปลว่า ตงั้ อยู่ในระหวา่ งโลก เปน็ ทีซ่ ่ึง
ปราศจากแสงสวา่ งใดๆ แม้แตน่ ้อย มีสภาพมืดมนอยตู่ ลอดกาล ตอ่ เมอ่ื
ในช่วงเวลาท่ีมีพระพุทธเจ้าเกิดข้ึน จึงจะมีแสงสว่างเกิดขึ้นเพียงช่ัวระยะ
เวลาพริบตาเดียวเท่านั้น แล้วก็กลับมืดสนิทเหมือนเดิม บรรดาสัตว์ที่
ไปเกิดในนรกโลกันต์ มีร่างกายใหญ่โต โดยเฉพาะการมีเล็บมือเล็บเท้า
ท่ียาวมาก เพราะต้องใช้เกาะอยู่ตามด้านนอกขอบเขาจักรวาล ห้อยโหน
อยชู่ ว่ั กปั ชว่ั กลั ป์ สตั วน์ รกโลกนั ตป์ นี ปา่ ยผนงั จกั รวาล เพอื่ หนที ะเลน�้ำ กรด
เบื้องล่าง ต้องทนทุกข์กับความหนาวเย็นและหิวโหย เมื่อพลัดตกลงไป
ก็จะได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส สำ�หรับบาปอกุศลกรรมท่ีทำ�ให้
ไปเกิดในนรกขุมนี้ คอื นติ ยมจิ ฉาทิฐิ การกระท�ำ ทารุณกรรมต่อ มารดา
บิดา สมณะพราหมณ์ ผทู้ รงธรรม และกระทำ�กรรมอืน่ ๆ ที่สาหัสอยู่เป็น
ประจ�ำ ทกุ วัน๖๐
082
โครงสร้างและองคป์ ระกอบของคตจิ ักรวาลวิทยาในพทุ ธศาสนา
ภาพท่ี ๓๘
นรกโลกันต์
สมดุ ภาพไตรภูมิ
ฉบับกรุงศรอี ยธุ ยา
– กรุงธนบรุ ี
ชมพูทวีปอันเป็นดินแดนท่ีอยู่ของมนุษย์ แบ่งพื้นท่ีออกเป็น ๒ ส่วน
สว่ นเหนอื เปน็ ปา่ หมิ พานต์ สว่ นใตเ้ ปน็ บา้ นเมอื งของมนษุ ย์ ในปา่ หมิ พานต์
ประกอบด้วยภูเขาใหญ่ ๕ ลูก ได้แก่ ภูเขาสุทัสสนะกูฏ (ภูเขาทองคำ�)
เป็นภูเขาท่ีล้วนแล้วด้วยทองคำ� สัณฐานโค้งเป็นวง ภายในมีส่วนท่ืย่ืน
ออกไปเหมอื นปาก คลมุ สระอโนดาต ภเู ขาจติ รกฏู (ภเู ขาแกว้ มณ)ี เปน็ ภเู ขา
ทลี่ ว้ นแลว้ ดว้ ยแกว้ มณี สรรพรตั นะตา่ งๆ ภเู ขากาฬกฏู (ภเู ขาเนอ้ื หนิ สเี ขยี ว)
เป็นภูเขาท่ีล้วนแล้วด้วยหินสีเขียวดั่งดอกอัญชัญ ภูเขาคันธมาทน์กูฏ
(ภเู ขาไมห้ อม) เปน็ ภเู ขาทอี่ บอวลไปดว้ ยกลนิ่ ทงั้ ๑๐ คอื กลน่ิ ราก กลน่ิ แกน่
กล่ินกระพ้ี กลิ่นใบ กลิ่นเปลือก กลิ่นกะเทาะเปลือก กล่ินรส กล่ินดอก
กลิ่นผล และกลิ่นลำ�ต้น เต็มไปด้วยโอสถนานัปการ และภูเขาเกลาสกูฏ
(ภเู ขาเงนิ ยวง) เปน็ ภเู ขาทลี่ ว้ นแลว้ ไปดว้ ยเงนิ เมอื่ ฝนตกเปน็ แมน่ �้ำ ไหลรวม
กันไปสู่สระอโนดาต เพราะภูเขาทั้ง ๕ ลูกน้ีแวดล้อมเป็นชะโงกเง้ือมอยู่
083
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๓๙
ปา่ หิมพานต์
สมดุ ภาพไตรภูมิ
ฉบับอักษรขอม
โดยรอบสระ แสงจนั ทรแ์ ละแสงอาทติ ยไ์ มส่ ามารถสอ่ งลงไปยงั สระอโนดาต
ได้โดยตรง จึงเรียกชื่อว่า อโนตัตตะ แปลว่า ไม่ถูกแสงส่องให้ร้อน๖๑
ภูเขาทั้ง ๕ ลูกต้ังล้อมสระอโนดาตไว้กลาง ซ่ึงมีน้ำ�ไม่เคยเหือดแห้ง
น้ำ�ในสระจะวนขวาเปน็ ทักษิณา ๓ รอบ และเป็นต้นน�้ำ ของแม่น้�ำ ลำ�ธาร
ทว่ั ชมพูทวปี แลว้ จึงไหลออกมหาสมุทรต่อไป
ส่วนรายละเอียดของทางนำ้�ไหลออกจากสระอโนดาตทั้งส่ีทิศ ได้แก่
ทิศตะวันออกปากทางนำ้�เป็นสัญลักษณ์ปากราชสีห์ ไหลไปในดินแดนที่
อดุ มดว้ ยราชสหี ์ ทพี่ �ำ นกั ของเหลา่ ฤษี นกั บวช นกั สทิ ธวิ์ ทิ ยาธร มตี น้ มกั กะ
ลผี ล ซงึ่ เปน็ ตน้ ไมพ้ เิ ศษทอี่ อกลกู เปน็ นารผี ล ใหพ้ วกนกั สทิ ธวิ์ ทิ ยาธรน�ำ ไป
เชยชม แลว้ ไหลออกมหาสมทุ รดา้ นทศิ ตะวนั ออก ทศิ ตะวนั ตกปากทางน�ำ้
084
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคติจักรวาลวทิ ยาในพุทธศาสนา
เป็นรูปปากม้า ไหลผ่านภูเขาจันทบรรพต ดินแดนที่อุดมด้วยม้า และม้า
พลาหะ ม้าท่ีเคยกำ�เนิดเป็นพระโพธิสัตว์ ช่วยเหลือนักเดินทางทะเลให้
รอดพ้นจากภัยพบิ ตั แิ ล้วไหลลงมหาสมทุ รดา้ นทศิ ตะวันตก ทิศเหนือปาก
ทางน�้ำ เปน็ รปู ปากชา้ ง ไหลขน้ึ ไปทางดา้ นใตท้ ตี่ ดิ กบั โคนเขาพระสเุ มรุ ผา่ น
เขาดินแดนอดุ มดว้ ยช้าง และทอ่ี าศยั ของพระปัจเจกพทุ ธเจา้ และดินแดน
ทีม่ ภี ูมิผีปศี าจ ไหลออกมหาสมทุ รทิศเหนือ ทิศใตป้ ากทางน�ำ้ เปน็ รปู ปาก
ววั ไหลลงสูท่ ศิ ใต้ซ่งึ เปน็ ท่อี ยขู่ องฝูงวัว น้ำ�ไปกระแทกกับหนิ ผา จนกระแส
น้ำ�พุ่งขนึ้ ไปบนอากาศสูง ๖๐ โยชน์ แลว้ แตกเปน็ ละอองในอากาศ กลาย
เปน็ น�้ำ ฝน น�้ำ คา้ ง และหมิ ะ สว่ นทตี่ กลงบนแผน่ หนิ กลายเปน็ สระโบกขรณี
แล้วไหลไปปะทะภูเขา ๕ ลกู แล้วแตกออกเปน็ แม่นำ้� ๕ สาย หรือท่เี รียก
วา่ ปญั จมหานที ไดแ้ ก่ คงคา ยมนุ า อิรวดี มหิ และ สรภู ซง่ึ เป็นดินแดน
ที่ตั้งบ้านเมืองของมนุษย์ แล้วไหลออกมหาสมุทรทิศใต๖้ ๒ สระอโนดาต
มีท่าน้ำ� ๔ ท่า ท่าท่ีหนึ่งเป็นท่าอาบนำ้�ของพระปัจเจกพุทธเจ้า ที่มา
ชุมนุมกันบริเวณเขาคันธมาทน์เพ่ือทำ�อุโบสถศีล มีช้างตระกูลฉัตทันต์
ปรนนิบัติพระปัจเจกพุทธเจ้า ท่าที่สองเป็นท่าอาบน้ำ�ของเทพบุตร
ท่าที่สามเป็นท่าอาบน้ำ�ของเทพธิดา และท่าที่ส่ีเป็นท่าอาบน้ำ�ของฤษี
นกั สทิ ธิ์ และวิทยาธร
นอกจากนี้ เน้อื หาสาระในคติความเช่อื เร่ืองไตรภมู ิ และจักรวาลวิทยาใน
พระพทุ ธศาสนายังได้อธบิ ายถึง เรอื่ งกาลเวลาอนั ยาวนานของโลก โดยมี
รายละเอียดปรากฏอยู่ในคมั ภรี ์ทางพุทธศาสนา รวมท้ังคมั ภรี ท์ างศาสนา
พราหมณ์ เนอ่ื งจากความคดิ เรอ่ื งคตจิ กั รวาลไดม้ กี ารศกึ ษาคน้ ควา้ มากอ่ น
สมยั พทุ ธกาล ทงั้ น้ี การอธบิ ายความรเู้ กย่ี วกบั เรอื่ งกาลเวลาในคมั ภรี ต์ า่ งๆ
แบ่งออกเป็น ๒ วิธี คือ การนับจำ�นวนสังขยา หรือนับด้วยตัวเลข เช่น
๑-๒-๓ เป็นตน้ และการกำ�หนดด้วยอปุ มา หรอื ด้วยเครือ่ งกำ�หนดอยา่ ง
ใดอย่างหนง่ึ ในกรณีที่มรี ะยะเวลายาวนานเกินกว่าจะนบั ดว้ ยสังขยาหรือ
ตวั เลข การกำ�หนดเวลาจงึ เปน็ ทม่ี าของค�ำ วา่ กปั ในภาษามคธ และ กลั ป์
ในภาษาสันสกฤต ซึ่งนำ�มาใช้ในความหมายถึง การกำ�หนดอายุของโลก
คอื ระยะเวลาต้งั แต่เกดิ โลกจนโลกสลาย๖๓
085
คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ภาพท่ี ๔๐
สระอโนดาต
สมุดภาพไตรภมู ิ
ฉบบั อักษรขอม
086
โครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของคตจิ กั รวาลวิทยาในพทุ ธศาสนา
จากการศกึ ษาโครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของโลกและจกั รวาลตามแนวคดิ
คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนา พบว่า การตีความหมายภพภูมิต่างๆ
ท่ีปรากฏอยู่ในเนื้อหาของคติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนา สามารถจำ�แนก
ออกเปน็ ๓ ระดับ คอื
ôôความหมายระดับพ้ืนฐาน เป็นการแสดงภพภูมิเป็นช้ันๆ ให้เป็นที่อยู่
อาศยั ของสรรพสตั ว์ การด�ำ รงชีวติ มคี วามทกุ ข์ ความสุข แตกตา่ งกัน
ออกไปตามภพภูมิตา่ งๆ
ôôความหมายระดับกลาง เป็นการแสดงถึงสภาพชีวิต ผลกรรมอันเป็น
สาเหตุของการเวียนว่ายตายเกิดในภพภูมิต่างๆ ตามผลบุญกุศลหรือ
ผลบาปทเ่ี ปน็ อกศุ ล อาทิ ความเรา่ รอ้ นทกุ ขท์ รมานของสตั วน์ รก ความ
อดอยากหิวโหยของเปรต ความหวาดกลัวปราศจากความร่ืนเริงของ
อสรู กาย และความสขุ กายสบายใจของเทวดา เปน็ ต้น
ôôความหมายระดบั สงู เปน็ การแสดงระดบั สภาวะจติ อนั ละเอยี ดประณตี
มีลกั ษณะเปน็ นามธรรม ซึ่งเป็นความหมายสว่ นท่ีส�ำ คัญมากท่สี ุด
นอกจากนี้ รายละเอียดของโครงสร้างและองคป์ ระกอบของจักรวาลพทุ ธ
ศาสนา ยังได้รับอิทธิพลมาจากคติความเชื่อในศาสนาพราหมณ์ หากแต่
คติจักรวาลของพุทธศาสนาไม่ได้เหมือนของพราหมณ์ ทั้งการจัดระบบ
ความคิด และในส่วนรายละเอียดก็มีความแตกต่างกัน โดยเฉพาะสาระ
ส�ำ คญั ทขี่ ดั แยง้ กนั กค็ อื ค�ำ สอนในพทุ ธศาสนาเรอ่ื ง ไตรลกั ษณ์ คอื อนจิ จงั
ทกุ ขัง และอนัตตา กลา่ วคือ พระพุทธศาสนาสอนวา่ สรรพสตั วท์ ั้งหลาย
ไมว่ า่ จะเกิดในภพภมู ใิ ด ล้วนแลว้ ไม่เท่ียง ไม่มีชวี ติ อยเู่ ป็นนริ ันดร จะตอ้ ง
เวยี นวา่ ยตายเกดิ ไมว่ ่าจะเกิดบนสวรรค์ แมก้ ระทัง่ ช้ันรูปพรหม หรืออรูป
พรหมกต็ าม เม่อื หมดบญุ กอ็ าจจะตอ้ งกลับมาเกดิ เปน็ มนษุ ย์ ถ้ามกี รรม
ชั่วต้องไปเกิดในอบายภูมิ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย และเดรัจฉาน
หมนุ เวียนเปลี่ยนแปลงไปตามผลกรรม หรือท่ีเรียกว่า วัฏสงสาร
087
คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
อย่างไรก็ตาม พระพุทธศาสนายังมีหนทางท่ีจะหลุดพ้นไปจากวัฏสงสาร
หรอื สงั สารวฏั อนั ยดื ยาวหาทส่ี น้ิ สดุ มไิ ดน้ ้ี การทจ่ี ะประสบสง่ิ สงู สดุ คอื การ
หลดุ พน้ จากภพภูมทิ ัง้ ๓ หรือ เรยี กวา่ โลกิยภูมิ ไปสู่ โลกุตตรภมู ิ ซง่ึ เปน็
สาระส�ำ คญั ทีแ่ ตกตา่ งจากศาสนาพราหมณ์ ท่มี จี ุดหมายสงู สดุ คอื การไป
เกิดมีชีวิตนิรันดรอยู่กับพระพรหม หรือเทพสูงสุด กล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า
จุดหมายสูงสุดของพราหมณ์ คือ การข้นึ ไปใหถ้ ึงจุดสูงสุดของไตรภูมิ สว่ น
จุดหมายสงู สุดของพุทธศาสนา คือ การหลุดพน้ ออกไปจากไตรภมู ๖ิ ๔ ดัง
นนั้ จากการศกึ ษาโครงสรา้ งและองคป์ ระกอบของโลกและจกั รวาลในพทุ ธ
ศาสนา จงึ สามารถสรุปไดว้ ่า คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนา คอื แนวคดิ ที่
ใช้อธิบายโครงสร้างทางจิตวิญญาณของมนุษย์ ด้วยการสร้างจินตภาพที่
แสดงธรรมชาตฝิ า่ ยนามธรรม โดยเทยี บเคยี งใหส้ อดคลอ้ งกบั ธรรมชาตทิ าง
รปู ธรรมจากโลกทศั น์ของคนในสมัยโบราณ
088
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานศลิ ปกรรมล้านนา
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
คคตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา
ตจิ กั รวาลเปน็ แนวคดิ ทเี่ ขา้ มาพรอ้ มกบั การเผยแผศ่ าสนาฮนิ ดแู ละ
ศาสนาพทุ ธ จนเปน็ ทย่ี อมรบั ของผคู้ นในดนิ แดนเอเชยี ตะวนั ออก
เฉียงใต้ โดยเฉพาะในบรบิ ทของสังคมและวัฒนธรรมไทย ความรู้
จากคติจักรวาลวิทยาและไตรภูมิ มีความหมายอย่างย่ิงในด้านการสร้าง
ค่านยิ มทางสงั คม ทศั นคติ และโลกทศั นข์ องผู้คน๖๕ ชาวพุทธในสังคมไทย
ถา่ ยทอดแนวคดิ คตจิ กั รวาลและเนอื้ หาเรอ่ื งไตรภมู ิ ดว้ ยวรรณกรรมทเ่ี นอื่ ง
ในพระพทุ ธศาสนา เพอ่ื ช่วยปลูกฝงั ความเชือ่ เร่อื งการละเวน้ จากความช่ัว
การสร้างคุณงามความดีเพื่อส่ังสมบุญบารมี ตลอดจนความเชื่อเร่ืองกฎ
แห่งกรรม การรับผลของกรรมดีและเกรงกลัวผลจากกรรมชั่ว ท่ีประกอบ
ด้วย ความสุข ความทกุ ข์ ตลอดจนความหลุดพน้ จากความสุขและความ
ทุกข์ คือพระนพิ พานซึ่งเป็นเป้าหมายสงู สดุ ในพระพุทธศาสนา กด็ ้วยเหตุ
แห่งการประพฤติปฏิบัติตามหลักศีลธรรมอันดีงามดังกล่าว จึงส่งผลให้
สงั คมไทยมีความร่มเยน็ เป็นสุขสบื มา
ภาพท่ี ๔๑
พระพุทธรปู ประธาน
ภายในวหิ ารน�ำ้ แต้ม
วดั พระธาตุล�ำ ปางหลวง
จังหวัดลำ�ปาง
090
คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานศลิ ปกรรมล้านนา
ภาพท่ี ๔๒
เขาพระสุเมรุ
(จำ�ลอง)
นอกเหนอื จากนี้ คตจิ กั รวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนายงั เปน็ รากฐานส�ำ คญั
ของภูมิปัญญาด้ังเดิม ที่ใช้อธิบายปรากฏการณ์ต่างๆในสังคมและ
วฒั นธรรมไทย ตลอดจนเปน็ แรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปกรรม
ในดนิ แดนแถบนด้ี ว้ ย อาจกลา่ วไดว้ า่ คตจิ กั รวาล คอื ภาพสะทอ้ นพลงั ความ
ศรัทธาในพระพุทธศาสนา และความย่ิงใหญ่ของพระมหากษัตริย์ ในรูป
ของงานศิลปกรรมที่ปรากฏให้เห็นหลากหลายรูปแบบตามสภาวะของ
บุคคล กลา่ วคอื งานศิลปกรรมท่สี ะท้อนเรอ่ื งคตจิ กั รวาลทีม่ ีความสมั พันธ์
กับพระพุทธเจ้า มักพบเป็นงานพุทธศิลป์อยู่ตามวัดวาอาราม ส่วนคติ
จักรวาลทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั พระมหากษัตริย์ มักพบในงานศลิ ปะสถาปัตยกรรม
ในพระบรมมหาราชวัง รวมท้ังกฎระเบียบในการปฏิบัติยกย่องบุคคลให้
เปรยี บเสมอื นพระอนิ ทร์ หรอื พระโพธสิ ตั วต์ ามคตใิ นพทุ ธศาสนา และเปน็
สมมตุ เิ ทพตามคติความเชอื่ ของพราหมณ๖์ ๖
091
คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ในอดีตอาณาจักรล้านนาน้ันได้ชื่อว่าเป็นดินแดนท่ีอุดมไปด้วยมรดกทาง
ศิลปวัฒนธรรมประเพณี ซ่ึงล้วนแล้วแต่มีความงดงามท่ีแสดงออกถึง
เอกลักษณ์เป็นของตนเอง การเผยแพร่พระพุทธศาสนาเข้ามาในแผ่นดิน
ลา้ นนาในยุคสมัยต่างๆ ได้น�ำ วิทยาการและความรู้ติดตามมาด้วย แลว้ ได้
ผสมผสานกับคติความเชื่อดั้งเดิมที่มีอยู่ในท้องถ่ิน จนก่อให้เกิดการ
เปลยี่ นแปลงทางสังคมวัฒนธรรมหลายอยา่ ง อาทิ การเมอื งการปกครอง
ศลิ ปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณี ภาษาและวรรณกรรม ตลอดจน
คา่ นยิ ม ทัศนคติ และโลกทัศนข์ องผคู้ นในลา้ นนา๖๗ ปรากฏหลกั ฐานจาก
งานวรรณกรรมเก่ียวกับเรื่องคติจักรวาล ซึ่งพระภิกษุท่ีเป็นปราชญ์ใน
พระพทุ ธศาสนาไดร้ จนาคมั ภรี ต์ า่ งๆ ไวเ้ ปน็ จ�ำ นวนมาก อาทิ จกั กวาฬทปี นี
อรุณวดีสูตร สังขยาโลก โลกจินตา และโลกสัณฐาน เป็นต้น ส่วนงาน
ศิลปกรรมล้านนาท่ีเนื่องในพระพุทธศาสนาส่วนมาก ก็จะอาศัยเรื่องราว
และรปู สญั ลกั ษณท์ เี่ กดิ จากการตคี วามเนอื้ หาจากคตจิ กั รวาลวทิ ยาในพทุ ธ
ศาสนา น�ำ มาเปน็ แรงบนั ดาลใจในการสรา้ งสรรคผ์ ลงานศลิ ปะแขนงตา่ งๆ
ไดแ้ ก่ สถาปตั ยกรรม จติ รกรรม ประตมิ ากรรม และงานพทุ ธศลิ ปอ์ น่ื ๆ โดย
เฉพาะจติ รกรรมประเพณที ี่ปรากฏในเขตวฒั นธรรมล้านนา ซงึ่ เปน็ ผลงาน
ศิลปะทม่ี ีรูปแบบประณีตงดงาม ด้วยกรรมวธิ ขี องช่างไทยแต่โบราณ นยิ ม
เขยี นเรื่องราวเกี่ยวกบั อดีตพุทธ พุทธประวัติ ทศชาติชาดก ไตรภมู ิ และ
วรรณกรรมในทอ้ งถ่ิน ตลอดจนภาพพทุ ธสัญลักษณ์ต่างๆ
แนวคดิ คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานสถาปัตยกรรมลา้ นนา
งานออกแบบสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม ในสายอารยะธรรมอินเดีย
โบราณตา่ งก็ยึดคติจักรวาลและเขาพระสุเมรุเป็นหลัก แต่รายละเอยี ดของ
คติจกั รวาลระหวา่ งลทั ธพิ ราหมณ์และพุทธศาสนานั้น มคี วามแตกตา่ งกัน
ออกไป กลา่ วคอื ศาสนาพราหมณ-์ ฮินดู มคี วามเชอื่ วา่ จกั รวาลประกอบ
ด้วยทวีปกลาง เรยี กว่า ชมพูทวีป มีเขาพระสเุ มรุตั้งอยูก่ ลางทวปี เป็นแกน
กลางของจกั รวาล มที วปี หกทวปี รายลอ้ มชมพทู วปี เปน็ รปู วงแหวน แตล่ ะ
ทวีปมีห้วงสมุทรแบ่งค่ันไว้ สุดขอบจักรวาลมีกำ�แพงศิลาล้อมรอบอย่าง
092
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานศลิ ปกรรมลา้ นนา
แขง็ แรง ยอดเขาพระสเุ มรเุ ปน็ วมิ านของพรหม ถดั ลงมาเปน็ วมิ านของเทพ
ชัน้ ตา่ งๆ โดยมที า้ วจตโุ ลกบาล ๘ องคส์ ถติ อย่ตู ามทศิ ๘ ทศิ
จักรวาลในระบบของพุทธศาสนามีรายละเอียดแตกต่างกับของศาสนา
พราหมณ-์ ฮนิ ดู ถงึ แมจ้ ะก�ำ หนดวา่ มเี ขาพระสเุ มรตุ ง้ั อยเู่ ปน็ ศนู ยก์ ลางหลกั
ของแผนผงั จกั รวาลเหมอื นกนั กต็ าม แตต่ ามระดบั โดยรอบเขาพระสเุ มรจุ ะ
เป็นสวรรค์วิมานช้ันต่างๆ มีภูเขาล้อมรอบเขาพระสุเมรุ เป็นรูปวงแหวน
อยู่ ๗ ช้ัน มีห้วงสมุทรล้อมรอบใต้ภูเขาลงมาอีกเป็นห้วงมหาสมุทรใหญ่
มที วีปอยู่ ๔ ทวปี แตล่ ะทวปี มมี นุษยอ์ าศัยอยู่ ทางด้านทศิ ใต้เรียกวา่ ชมพู
ทวีป มีภูเขากำ�แพงจักรวาลล้อมรอบเป็นอาณาเขตจักรวาลคล้ายคติของ
พราหมณ์
เขาพระสุเมรุมีห้ายอด ยอดกลางสูงท่ีสุดคือสวรรค์ช้ันดาวดึงส์เป็นวิมาน
ของพระอนิ ทร์ มีเทวดาแวดล้อมอยู่ ๓๓ องค์ สว่ นอีก ๔ ยอด คือ สวรรค์
ชั้นจตมุ หาราชิกาเป็นทส่ี ถิตของท้าวจตุโลกบาล ๔ องค์ เหนอื พระอินทร์
ขึ้นไปเป็นช้ันฟ้า ชั้นฟ้าแต่ละระดับมีจำ�นวนช้ันตามลัทธิและยุค
ที่กำ�หนดขึ้น ดังน้ัน เม่ือสถาปนิกและนายช่างที่ออกแบบผังเมือง
ในสมัยโบราณ จึงพยายามจำ�ลองรูปจักรวาลและเขาพระสุเมรุให้เป็นรูป
เป็นร่างข้ึน เช่น แผนผังพระนครหลวงของเขมรในประเทศกัมพูชา
ก็ออกแบบอาคารแต่ละอาคารเป็นสัญลักษณ์ของจักรวาลหน่ึงๆ และทำ�
ระบบคลองชลประทานแทนห้วงสมุทรที่เช่ือมอาคารเหล่านี้เข้าด้วยกัน
เป็นจักรวาลใหญ่ ตำ�แหน่งศูนย์กลางจักรวาล ชาวขอมสร้างปราสาท
พนมบาเคง็ อยกู่ ลางผงั เมอื ง อนั เปน็ สญั ลกั ษณข์ องเขาพระสเุ มรแุ กนกลาง
ของจักรวาล ส่วนในสมัยศรีวิชัยได้จำ�ลองผังจักรวาลด้วยบรมพุทโธ
ตามคติพุทธศาสนามหายานโดยแบ่งอาคารชั้นล่างเป็นกามธาตุ ชั้นสอง
เป็นรูปธาตุ และชั้นบนสุดเป็นอรูปธาตุ มีเจดีย์ประธานองค์ใหญ่ตั้งเป็น
หลักบนลานช้ันที่ ๓ อาจกล่าวได้ว่า บรมพุทโธเป็นงานสถาปัตยกรรม
ทีส่ มบูรณ์และงดงามทีส่ ุดในแบบอาคารโดดๆ ในภมู ภิ าคอุษาคเนย๖์ ๘
093
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ภาพที่ ๔๓
บรมพทุ โธ
ศาสนสถาน
ในพทุ ธศาสนา
แบบมหายาน
ประเทศอินโดนเี ซยี
คติจักรวาลวิทยาในพระพุทธศาสนาแบบเถรวาทหรือไตรภูมิเป็นบ่อเกิด
แห่งแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมให้แก่กวีและศิลปิน
ไทย กวนี �ำ ไปใชใ้ นการประพนั ธง์ านวรรณกรรม จติ รกรน�ำ ไปเขยี นเปน็ ภาพ
และประติมากรก็ใช้ป้ันเป็นรูปขึ้น ตลอดจนคำ�พูดในภาษาไทยซ่ึงเป็น
ส�ำ นวนเปรยี บเทยี บ กม็ ที มี่ าจากเรอ่ื งไตรภมู มิ ใิ ชน่ อ้ ย ผใู้ ดขาดความรเู้ รอื่ ง
ไตรภูมิและคติจักรวาลก็จะไม่สามารถจะเข้าใจได้ซาบซึ้ง ถึงความงดงาม
ความไพเราะแห่งกวีนิพนธ์และศิลปกรรมของไทยได๖้ ๙ โดยเฉพาะในเขต
วัฒนธรรมล้านนาหรือบริเวณภาคเหนือตอนบนของประเทศไทย ซ่ึงเป็น
ดินแดนแห่งพระพุทธศาสนาท่ีมีความเจริญรุ่งเรืองสืบเนื่องมาอย่าง
ยาวนาน
ด้วยเหตุนี้ ในงานออกแบบสถาปัตยกรรมที่เนื่องในพุทธศาสนาของ
ล้านนาจึงได้นำ�คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนามาใช้เป็นรากฐานของวิธีคิด
ต่างๆ เช่น การกำ�หนดและวางผังเมือง การวางผังวัด การกำ�หนดทิศ
การวางผังวิหาร สถูปเจดีย์หรือองค์พระธาตุ กู่พระเจ้าหรือโขงพระเจ้า
ซ้มุ ประตโู ขง และธรรมมาสนเ์ ทศน์ เปน็ ตน้
094
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานศิลปกรรมลา้ นนา
แนวคดิ คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนา
ในการวางผงั สถาปตั ยกรรมลา้ นนา
คติจักรวาลในงานออกแบบสถาปัตยกรรมล้านนาถูกนำ�มาเป็นรากฐาน
ของวิธีคิดต่างๆ อาทิ การกำ�หนดและวางผังพุทธสถาน การกำ�หนดทิศ
การวางผงั วิหาร สถูปเจดีย์ หรือองคพ์ ระธาตุ กูพ่ ระเจ้า หรอื โขงพระเจา้
ซุ้มประตูโขง โดยกำ�หนดผังพุทธสถานเป็นสัญลักษณ์ของจักรวาลหน่ึง
ซง่ึ ก�ำ หนดต�ำ แหนง่ พระธาตเุ จดยี ใ์ หเ้ ปน็ ศนู ยก์ ลางของผงั อนั เปน็ สญั ลกั ษณ์
แทนเขาพระสเุ มรศุ นู ยก์ ลางจกั รวาล ต�ำ แหนง่ ของวหิ ารจะอยตู่ ามทศิ ทง้ั ๔
เปน็ สญั ลกั ษณข์ องทวปี ทง้ั ๔ ตามคตจิ กั รวาลไดแ้ ก่ ทศิ ตะวนั ออกชอ่ื บรู พา
วิเทหทวปี ทิศตะวันตกชอื่ อมรโคยานทวีป ทศิ เหนือช่อื อตุ รกุรทุ วปี และ
ใตช้ อ่ื ชมพทู วปี จากซมุ้ ประตโู ขงดา้ นหนา้ ของวดั จะเปน็ ต�ำ แหนง่ ของวหิ าร
หลวงอยู่ทางทิศตะวันออกของพระธาตุ วิหารที่ประดิษฐานพระพุทธรูป
ส�ำ คญั มตี �ำ แหนง่ ทางทศิ ใตข้ ององคพ์ ระธาตุ เปน็ สญั ลกั ษณแ์ ทนชมพทู วปี
ซงึ่ เปน็ สถานทแ่ี หง่ เดยี วในจกั รวาลทพ่ี ระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ จะอบุ ตั ขิ น้ึ และ
ตรัสรู้พระสัทธรรม รวมท้ังส่ังสอนเผยแพร่พระธรรมวินัย เพื่อโปรดเหล่า
เวนัยสัตว์ให้เกิดดวงตาเห็นธรรม ข้ามวัฏสงสารพ้นทุกข์ท้ังปวง เข้าสู่
นิพพานอันเป็นเป้าหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา ลานทรายเป็น
สัญลักษณ์ของสีทันดรสมุทร ศาลาบาตรและกำ�แพงแก้วโดยรอบเป็น
สัญลกั ษณ์ของเขาจกั รวาลอันเปน็ ขอบเขตของจักรวาล
ภาพที่ ๔๔
ผงั เขตพทุ ธาวาส
วดั พระธาตลุ �ำ ปางหลวง
อ�ำ เภอเกาะคา
จงั หวดั ล�ำ ปาง
095
คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
ภาพที่ ๔๕
พระบรมธาตุเจดีย์
และวิหารหลวง
วัดพระธาตลุ �ำ ปางหลวง
จังหวดั ลำ�ปาง
ภาพท่ี ๔๖
ผังเขตพุทธาวาส
วดั พระธาตหุ รภิ ุญชยั
จงั หวดั ล�ำ พนู
096
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานศิลปกรรมลา้ นนา
ภาพที่ ๔๗
พระธาตหุ รภิ ุญชยั
อ�ำ เภอเมอื ง
จังหวดั ล�ำ พนู
097
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๔๘
ซุ้มโขงปราสาท
วดั พระธาตุล�ำ ปางหลวง
จงั หวดั ล�ำ ปาง
098