แนวคิดคตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
จติ รกรรมลา้ นนา ทง้ั ทเ่ี ปน็ ภาพเลา่ เรอ่ื ง และภาพสญั ลกั ษณ์ โดยการจ�ำ แนก
เป็นประเด็นแนวคิดต่างๆ ได้ทั้งสิ้น ๑๐ แนวคิด เรียงตามลำ�ดับ ดังนี้
๑. แนวคิดเรอ่ื งโลกยิ ะ – โลกุตตระ ๒. แนวคิดเร่อื งไตรภูมิ ไตรภพ ไตรโลก
๓. แนวคดิ เรือ่ งสงั สารวัฏ ๔. แนวคิดอนนั ตจกั รวาล ๕. แนวคดิ สญั ลกั ษณ์
พระอดตี พทุ ธเจา้ พระปจั จบุ นั พทุ ธเจา้ และพระอนาคตพทุ ธเจา้ ๖. แนวคดิ
มหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ๗. แนวคิดอายตนะโลก ๘. แนวคิด
สญั ลักษณม์ งคล ๑๐๘ ประการ ๙. แนวคิดสัญลักษณ์ดอกบวั ๑๐. แนวคดิ
สญั ลักษณ์พระฉัพพรรณรังสี
แนวคิดเรื่องโลกิยะ – โลกุตตระ
แนวคิดคตจิ กั รวาลวิทยาในพระพุทธศาสนา มีเน้ือหากล่าวถงึ ปรมิ ณฑล
แหง่ ภพภมู ทิ ง้ั ๓ หรอื ไตรภมู ิ โดยมรี ายละเอียดแบง่ ออกเป็น กามภูมิ ๑๑
รูปภมู ิ ๑๖ และอรูปภูมิ ๔ รวมเปน็ ๓๑ ภพภมู ิ ซ่งึ เปน็ การแสดงให้เหน็ ถงึ
สถานะชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหมดในโลกหรือจักรวาล ในทางพระพุทธ
ศาสนายังเรยี กอกี อย่างหน่งึ วา่ โลกิยภูมิ นอกจากนี้ พระพทุ ธองคท์ รงตรสั
ถึงหนทางหลดุ พน้ ออกจากวัฏสงสารไปสโู่ ลกตุ ตรภูมิ
โลกตุ ตรภมู ิ หมายถงึ ภมู ทิ ย่ี อดเยยี่ มเหนอื โลก หรอื พน้ ไปจากโลก คอื พระ
นิพพาน โลกุตตรภูมิมีลักษณะความเป็นไปตรงกันข้ามโลกิยภูมิทุกอย่าง
กลา่ วคอื สรรพส่ิงทกุ อยา่ งในโลกิยภมู ติ ้องอย่ภู ายใต้กฎไตรลักษณ์ ไดแ้ ก่
อนิจจัง ทุกขงั อนตั ตา และตกอยูใ่ นอ�ำ นาจของกเิ ลส ตัณหา ตอ้ งเวยี น
วา่ ยตายเกดิ อยู่ในสังสารวฏั แต่ในโลกุตตรภมู ติ รงขา้ มกนั คือ ทกุ ชีวติ ใน
โลกตุ ตรภมู ปิ ราศจากกเิ ลส จงึ ไมต่ อ้ งเวยี นวา่ ยตายเกดิ เปน็ สขุ เปน็ ทกุ ขใ์ น
สงั สารวฏั ซง่ึ มรี ะยะเวลายาวนานมาก๑๓๒ ทงั้ นี้ ความหมายของเนอื้ หาเรอื่ ง
โลกิยะ และโลกุตตระยังมรี ายละเอยี ดเพิม่ เติมดังน้ี
๏๏ โลกยิ ะ โลกยี ์ มคี วามหมาย เกย่ี วกบั เร่อื งราวทางโลก หรือชาวโลก
ซง่ึ ยงั เวยี นวา่ ยตายเกดิ อยใู่ น ๓ ภพภมู ิ (กามภมู ิ รปู ภมู ิ และอรปู ภมู )ิ
199
คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
ทา่ นเรยี กวา่ กามาวจร รปู าวจร และอรปู าวจร โดยโลกยิ ะจะมคี วาม
หมายคูต่ รงข้ามกบั โลกุตตระ
๏๏ โลกตุ ตระ มีความหมายว่า พน้ จากโลก เหนือโลก พ้นวิสยั ของโลก
มีสภาพท่ไี มเ่ นอ่ื งอยใู่ นภพภมู ทิ ั้ง ๓ (กามภมู ิ รปู ภมู ิ และอรูปภูมิ)
โดยโลกุตตระจะมีความหมายค่ตู รงขา้ มกบั โลกยิ ะ
๏๏ โลกุตตมาจารย์ มีความหมายถึง อาจารยผ์ ้สู งู สดุ ของโลก อาจารย์
ผู้ยอดเยีย่ มของโลก ไดแ้ ก่ องค์สมเด็จพระสัมมาสมั พุทธเจ้า
๏๏ โลกุตตรธรรม มีความหมายว่า ธรรมอันมิใช่วิสัยของโลก สภาวะ
พน้ โลก มี ๙ ประการ ได้แก่ มรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน ๑ หรือเรยี ก
อีกอยา่ งหนงึ่ ว่า นวโลกตุ ตรธรรม
๏๏ โลกุตตรภมู ิ ชน้ั ทีพ่ ้นจากโลก ระดบั จิตใจของพระอรยิ เจ้า
๏๏ โลกตุ ตรสขุ ความสุขอย่างโลกุตตระ ความสุขท่ีอยู่เหนอื กว่าระดับ
ของชาวโลก ที่เนื่องดว้ ยมรรค ผล นิพพาน๑๓๓
แนวคดิ เรือ่ งไตรภมู ิ ไตรภพ ไตรโลก
ไตรภมู ิ หมายถึง ภูมิสาม หรือ แดนสาม ประกอบดว้ ยสถานะชวี ติ แหง่
สรรพสัตว์ มี ๓ ระดบั ไดแ้ ก่ กามภมู ิ รปู ภูมิ และอรปู ภูมิ ไตรภพ ไดแ้ ก่
กามภพ รูปภพ และอรูปภพ ส่วนไตรโลก ได้แก่ กามโลก รูปโลก และ
อรูปโลก สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงได้พระนามว่า ไตรโลกนาถ
แปลวา่ ทพ่ี งึ่ ของโลกทงั้ สาม ค�ำ วา่ โลกหรอื ภพมกั ใชใ้ นความหมายทยี่ งั เปน็
โลกหรอื โลกยิ ะด้วยกัน ส่วนคำ�ว่าภูมิน้ันใช้ในความหมายตง้ั แตย่ งั เป็นโลก
เรียกว่าโลกิยภูมิ จนถึงเป็นสภาวะเหนือโลก เรียกว่า โลกุตตรภูมิ
ความหมายรวมๆ โดยท่ัวไปของค�ำ ว่า โลก ภพ หรือ ภูมิ ไดแ้ ก่ สถานท่ี
อันเป็นทถ่ี อื ปฏิสนธิ คอื เป็นที่เกิดของสัตวโ์ ลกท้ังหลาย สรรพสตั ว์จะไป
เกดิ ในสถานะชวี ติ ระดบั ใด ยอ่ มขน้ึ อยกู่ บั กรรมดแี ละกรรมชวั่ สตั วท์ ง้ั หลาย
ที่เกิดมาย่อมเกิดตายหมุนเวียนอยู่ในแดนสามนี้ ไม่มีท่ีสิ้นสุด เรียกว่า
วัฏสงสาร ผู้ทีม่ จี ติ พัวพันอย่ใู นกามยอ่ มเกิดในกามภมู ิ เรียกวา่ กามาวจร
แปลว่า ผู้ท่ีเที่ยวข้องอยู่ในกาม ส่วนผู้ท่ีบำ�เพ็ญสมาธิจนจิตสงบจากกาม
200
แนวคดิ คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
บรรลุถงึ รูปฌาน ยอ่ มบงั เกดิ ในรูปภมู ิ เรยี กวา่ รปู าวจร แปลวา่ ผทู้ เี่ ที่ยว
ข้องในรูปสมาธิ ส่วนผู้ท่ีบำ�เพ็ญสมาธิละเอียดยิ่งข้ึนจนสามารถบรรลุถึง
อรูปภมู ิ เรยี กว่า อรูปาวจร แปลว่า ผูท้ ่เี ที่ยวขอ้ งในอรูปสมาธิ ภพภูมิทงั้ ๓
นี้แบ่งไว้ตามชั้นของจิตใจ เมื่อจิตใจแยกภูมิช้ันออกไป ก็ต้องแยกโลกซ่ึง
เปน็ ทอ่ี ยอู่ าศยั ใหแ้ ตกตา่ งกนั ออกไปอกี มากมาย๑๓๔เนอ้ื หาของไตรภมู แิ บง่
ออกเป็น ๓ ภมู นิ ัน้ เปน็ ระดับใหญๆ่ เรียกวา่ โลกยิ ภูมิ สามารถแบ่งย่อย
ออกไปอีกจนเปน็ ๓๑ ภูมิ
ภาพท่ี ๑๔๒
วงจรปฏจิ จสมปุ บาท
พทุ ธศลิ ป์แบบวชั รยาน
201
คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
แนวคดิ เร่ืองสงั สารวัฏ
ลักษณะสำ�คัญท่ีสุดประการหน่ึงของโลกิยภูมิก็คือ วัฏฏ หมายถึง
การวนเวยี น การเวยี นเกิด เวยี นตาย หรือ เวยี นวา่ ยตายเกดิ ดว้ ยอำ�นาจ
ของกเิ ลส กรรม และวบิ าก เรยี กวา่ ไตรวฏั ซง่ึ มคี วามหมายถงึ วฏั ฏ ๓ วงวน
หรอื วงจร ๓ สว่ นของปฏจิ จสมปุ บาทซง่ึ หมนุ เวยี นสบื เนอื่ งตอ่ กนั ไป ท�ำ ให้
มีการเวียนว่ายตายเกิด หรือเกิดวงจรแห่งทุกข์ อันได้แก่ กิเลส กรรม
และวบิ าก หรือเรยี กชอ่ื เต็มไดว้ า่
๏๏ กเิ ลสวฏั ฏ์ ประกอบดว้ ย อวิชชา ตณั หา อุปาทาน
๏๏ กรรมวัฏฏ์ ประกอบดว้ ย สังขาร ภพ
๏๏ วปิ ากวฏั ฏ์ ประกอบดว้ ย วญิ ญาณ นามรปู สฬายตนะ ผสั สะ เวทนา
ชาติ ชรามรณะ โสกะ ปรเิ ทวะ ทกุ ข์ โทมนสั อุปายาส
กเิ ลสเปน็ เหตใุ หท้ �ำ กรรม เมอ่ื ท�ำ กรรมกไ็ ดร้ บั วบิ ากคอื ผลของกรรมนนั้ อนั
เปน็ ปจั จยั ใหเ้ กดิ กเิ ลสแลว้ ท�ำ กรรมหมนุ เวยี นตอ่ ไปอกี สว่ นความหมายของ
ปฏจิ จสมปุ บาท คอื สภาพทอี่ าศยั ปจั จยั เกดิ ขน้ึ การทสี่ งิ่ ทง้ั หลายอาศยั กนั
เกิดมีขนึ้ มอี งค์ประกอบดังน้ี
๏๏ อวชิ ชฺ าปจจฺ ยา สงฺขารา : เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงเกดิ สังขาร
๏๏ สงขฺ ารปจจฺ ยา วิญฺญาณํ : เพราะสงั ขารเปน็ ปัจจัย จงึ เกดิ วญิ ญาณ
๏๏ วิญฺญาณํปจฺจยา นามรูปํ : เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงเกิด
นามรปู
๏๏ นามรูปปจฺจยา สฬายตนํ : เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงเกิด
อายตนะหก
๏๏ สฬายตนปจฺจยา ผสฺโส : เพราะอายตนะหกเป็นปัจจัย จึงเกิด
ผสั สะ
๏๏ ผสสฺ ปจฺจยา เวทนา : เพราะผสั สะเปน็ ปัจจัย จงึ เกิดเวทนา
๏๏ เวทนาปจฺจยา ตณฺหา : เพราะเวทนาเปน็ ปัจจยั จึงเกดิ ตัณหา
๏๏ ตณหฺ าปจฺจยา อปุ ทานํ : เพราะตัณหาเป็นปจั จยั จึงเกดิ อุปาทาน
๏๏ อุปทานปจฺจยา ภโว : เพราะอปุ าทานเปน็ ปัจจยั จึงเกดิ ภพ
202
แนวคดิ คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
๏๏ ภวปจฺจยา ชาติ : เพราะภพเปน็ ปจั จยั จึงเกดิ ชาติ
๏๏ ชาตปิ จจฺ ยา ชรามรณํ โสกปรเิ ทวทกุ ขฺ โทมนสสฺ ปุ ายาสา : เพราะชาติ
เป็นปัจจัย จึงมีชรา มีมรณะโสกะปริเทวะ ทุกขโทมนัส อุปายาส
อวเมตสํส เกวลสฺ ทกุ ฺขกขฺ นฺธสฺส สมทุ โยโหติ ความเกิดข้ึนแหง่ กอง
ทุกขท์ ัง้ ปวงน้ี จงึ มดี ้วยประการฉะน๑ี้ ๓๕
ปฏจิ จสมปุ บาท คอื การแสดงใหร้ วู้ า่ ทกุ ขเ์ กดิ ขน้ึ ไดอ้ ยา่ งไร และจะสามารถ
ดับลงได้อย่างไรโดยละเอียด และเป็นการแสดงให้รู้ว่า การที่ทุกข์เกิดข้ึน
และดบั ไปนัน้ มีลกั ษณะเปน็ ธรรมชาตทิ อ่ี าศยั กนั และกัน รวมไปถึงแสดง
ให้รวู้ า่ ไม่มสี ตั ว์ บคุ คล ตวั ตน เรา เขา อย่ทู นี่ ห่ี รือในการเวยี นว่ายตายเกดิ
ตอ่ ไป อาการทอ่ี าศยั กนั เกดิ ขน้ึ และดบั ลงนนั้ มคี วามรนุ แรง รวดเรว็ เหมอื น
ดงั สายฟา้ แลบ กลา่ วโดยยอ่ กค็ อื เรอื่ งพฤตขิ องจติ ทเ่ี กดิ ขน้ึ เปน็ ไปเพอื่ ทกุ ข์
ทีเ่ กิดข้ึนในชวี ติ ประจ�ำ วนั ซง่ึ มีความรวดเรว็ รนุ แรงเหมือนสายฟา้ แลบ๑๓๖
แนวคดิ เรอ่ื งอนนั ตจักรวาล
ภาพที่ ๑๔๓ อนันตจักรวาล คือ จักรวาล
ปริศนาธรรม จำ�นวนมากมายนับไม่ถ้วน
คั ม ภี ร์ ค ติ จั ก ร ว า ล วิ ท ย า ใ น
แสดงวงจร พระพุทธศาสนามีเน้ือหากล่าว
ปฏจิ จสมปุ บาท ถงึ เรอื่ ง อนนั ตจกั รวาล วา่ มโี ลก
จักรวาลท่ีเราอาศัยอยู่เป็น
จากสมดุ ไทย หน่วยหนึง่ ของ อนันตจักรวาล
ซึ่งมีขนาดกว้างใหญ่ไม่อาจหา
ขอบเขตได้ และประกอบด้วย
จกั รวาลตา่ งๆ จ�ำ นวนมากมาย
นับไมถ่ ้วน โดยแตล่ ะจกั รวาลมี
ลั ก ษ ณ ะ แ ล ะ อ ง ค์ ป ร ะ ก อ บ
ต่างๆ เหมือนกันท้ังสิ้น๑๓๗
203
คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
แม้กระน้ันก็ตาม จักรวาลท้ังปวงก็ยังมีความเปล่ียนแปลงอยู่เสมอ ไม่มี
จักรวาลหรือโลกธาตุใดคงที่ถาวร จากการศึกษา พบว่า เนื้อหาใน
พระไตรปิฎกเกยี่ วกบั เร่ือง อนันตจกั รวาล กล่าวว่า โลกธาตุทั้งหลายน้นั
มีอยู่ ๓ ขนาด มีขนาดเล็ก ขนาดกลาง และขนาดใหญ่ ในสมัยหน่ึง
พระอานนทพ์ ุทธอนชุ าไปเขา้ เฝา้ พระผู้มีพระภาคเจา้ ทลู ถามค�ำ ถามวา่
“…พระองค์เคย ตรสั กบั ข้าพระองค์ว่า สาวกช่ืออภภิ ขู องพระสิขพี ุทธเจ้า
ยืนอยูบ่ นพรหมโลกสามารถยงั ๑,๐๐๐ โลกธาตุ ให้ได้ยินเสียง แลว้ พระ
อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงสามารถ ตรัสให้โลกธาตุได้ยินพระสุรเสียง
ไดเ้ ทา่ ไรพระเจ้าข้า พระบรมศาสดาตรสั ตอบวา่ อานนท์ พระอภิภนู ัน้ เป็น
เพียงพระสาวก แต่พระตถาคตท้ังหลาย ไม่มีใครจะเปรียบเทียบได้
พระอานนท์ได้ฟังดังน้ันได้ทูลถามคำ�ถามเดิมเป็นครั้งที่ ๓ พระพุทธ
พระพุทธองค์จึงตรัสถามวา่ เธอเคยได้ฟงั หรือไม่ อานนท์ สหัสสีจฬู นกิ า
โลกธาตุ พระอานนท์ทูลว่า ขอพระองค์ตรัสเถิดภิกษุท้ังหลายจะได้
จดจำ�ไว้ พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสอธิบายเก่ียวกับโลกธาตุว่า อานนท์
ดวงจนั ทร์ และดวงอาทติ ย์แผ่รศั มสี อ่ งแสง ท�ำ ใหส้ วา่ งไปท่ัวทิศตลอดทม่ี ี
ประมาณเทา่ ใด โลกมเี น้ือทเ่ี ทา่ นน้ั จำ�นวน ๑,๐๐๐ ใน ๑,๐๐๐ โลกนน้ั
มีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ ภูเขาสิเนรุ อย่างละ ๑,๐๐๐ มีชมพูทวีป
อมรโคยานทวปี อตุ ตรกรุ ทุ วปี ปพุ พวเิ ทหทวปี อยา่ งละ ๑,๐๐๐ มมี หาสมทุ ร
มมี หาราชอยา่ งละ ๔,๐๐๐ มีสวรรค์ ๖ ชัน้ และพรหมโลกซงึ่ มีรูปพรหม
๑๖ ชั้น อรูปพรหม ๔ชนั้ ช้ันละ ๑,๐๐๐ นเ้ี รียกวา่ สหสั สจี ูฬนกิ าโลกธาตุ
โลกธาตุอย่างเล็กมี ๑,๐๐๐ จักรวาล สหัสสีจูฬนิกาโลกธาตุมีเท่าใด
โลกเทา่ นั้นคูณโดย ๑,๐๐๐ นเ้ี รยี กวา่ ทวสิ หสั สมี ชั ฌิมกิ าโลกธาตุ โลกธาตุ
ขนาดกลางมี ๑,๐๐๐,๐๐๐ จักรวาล ทวิสหัสสีมัชฌิมิกาโลกธาตุมีเท่าใด
เอาโลกธาตนุ น้ั คณู โดยสว่ น ๑,๐๐๐ อย่างนี้ จึงเรยี กวา่ ติสหสั สีมหาสหสั สี
โลกธาตุ โลกธาตุขนาดใหญ่มี ๑๐๐,๐๐๐ โกฏิจักรวาล ตถาคตอยู่ในท่ีน้ี
จะพงึ แผร่ ศั มไี ปทว่ั ตสิ หสั สมี หาสหสั สโี ลกธาตุ เมอื่ สตั วท์ ง้ั หลายในโลกธาตุ
เหล่านั้นรู้จักแสงสว่างน้ัน ตถาคตก็บันลือสีหนาท ให้สัตว์เหล่านั้นได้ยิน
ดว้ ยวธิ อี ย่างนี.้ ..”๑๓๘
204
แนวคิดคติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ภาพท่ี ๑๔๔ ในชาติสุดท้ายของพระโพธิสัตว์
แบบจำ�ลอง โ ด ย เ ฉ พ า ะ ใ น วั น ที่ พ ร ะ อ ง ค์
แสดงแนวคดิ เรือ่ ง เสด็จจุติจากเทวโลก สวรรค์ชั้น
อนันตจักรวาล ดสุ ติ ทรงถอื ปฏสิ นธใิ นพระครรภ์
ข อ ง พ ร ะ น า ง สิ ริ ม ห า ม า ย า
พระพุทธมารดา วันประสูติเป็น
เจ้าชายสิทธัตถะ วันเสด็จออก
ผนวช วันตรัสรู้อนุตรสัมมา
สัมโพธิญาณ วันทรงแสดง
ปฐมเทศนา วันทรงปลงอายุสังขาร และวันดับขันธปรินิพพาน ได้เกิด
เหตกุ ารณส์ �ำ คญั คอื โลกธาตจุ �ำ นวนมากเปน็ แสนโกฏจิ กั รวาลหวนั่ ไหวนนั้
ซึ่งหมายถึง มหาสหัสสีโลกธาตุ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และเมื่อพระผู้มี
พระภาคเจ้ามีพุทธประสงค์ จะทรงเปล่งพระรัศมีออกจากพระพุทธสรีระ
ใหเ้ ทวดาและมนษุ ยท์ ง้ั หลายไดเ้ หน็ หรอื ไดย้ นิ พระสรุ เสยี งกส็ ามารถท�ำ ได้
เช่นเดยี วกัน
อนึง่ ความหมายของ อนันตจกั รวาล คือ จกั รวาลจ�ำ นวนมากมายนับไม่
ถว้ น เปรยี บดังเช่น ถา้ แสนโกฏิจกั รวาลเปน็ พน้ื ท่วี ่างๆ เม่ือน�ำ เมล็ดพนั ธุ์
ผกั กาดใสไ่ ปใหเ้ ตม็ แสนโกฏจิ กั รวาลสงู ขนึ้ ไปจนถงึ ชน้ั พรหมโลก เมลด็ พนั ธุ์
ผักกาดเมล็ดหนึ่งเปรียบเสมือนเป็นหน่ึงจักรวาล จากน้ันนำ�เมล็ดผักกาด
ออกทีละเมล็ด ไปวางเรียงไว้ทางทิศเหนือ จนกระทั่งเมล็ดผักกาดหมด
จักรวาลทางทิศเหนือก็ยังมีอยู่อีกมากมาย ไม่มีที่ส้ินสุด ส่วนในทิศใต้
ทศิ ตะวนั ออก และทศิ ตะวนั ตก กท็ �ำ แบบเดยี วกนั กบั ทางทศิ เหนอื คอื หยบิ
เมล็ดผักกาด ซึ่งเต็มทั้งแสนโกฏิจักรวาลออกทีละเมล็ดวางเรียงออกไป
จนกระทงั่ เมลด็ ผกั กาดหมด จกั รวาลกย็ งั มอี ยเู่ ปน็ จ�ำ นวนมากมาย จงึ เรยี ก
รวมกันว่า หมื่นโลกธาตุอนันตจักรวาล แม้กระน้ันจักรวาลทั้งปวง
ก็ยังมีความเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ไม่มีจักรวาลหรือโลกธาตุใดคงที่ถาวร
นอกจากนี้ ดาวเพดานภายในวิหารล้านนา ซ่ึงสะท้อนความหมาย
เชิงสัญลกั ษณ์ เรือ่ ง อนันตจักรวาล ยงั ทำ�หน้าทส่ี ัมพันธก์ ับงานศลิ ปกรรม
205
คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
รูปแบบอน่ื ในอาคาร โดยเฉพาะการทำ�ลายดาวบนเพดานวิหารใหต้ รงกับ
ต�ำ แหนง่ ของพระพุทธรปู ซ่งึ เป็นพระประธาน เพ่อื สะทอ้ นความหมายวา่
พระพทุ ธองค์ทรงเป็นศนู ย์กลางของจกั รวาลอีกด้วย
แนวคิดสัญลักษณ์พระอดีตพทุ ธเจ้า
พระปจั จุบนั พทุ ธเจา้ และพระอนาคตพทุ ธเจา้
แนวคิดพระอดีตพุทธเจ้า หมายถึง คติในพระพุทธศาสนาเก่ียวกับเรื่อง
พระพทุ ธเจา้ ทตี่ รสั รกู้ อ่ นพระพทุ ธศากยโคดม หรอื พระพทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั
ตามคติความเชือ่ ในพระพุทธศาสนา ได้กล่าวถงึ เรือ่ งราวของพระพทุ ธเจ้า
ท่ีอุบัติขึ้นในกาลก่อน และมีจำ�นวนมากมายที่เสด็จมาตรัสรู้ก่อน
พระพทุ ธเจา้ องคป์ จั จบุ นั ทงั้ นี้ พระพทุ ธเจา้ ทเ่ี สดจ็ มาตรสั รใู้ นแตล่ ะกปั นนั้
มีจำ�นวนมากจนไมอ่ าจจะประมาณได้ เปรยี บเหมือนกบั จำ�นวนเม็ดทราย
ในมหาสมทุ ร หรอื เรยี กว่า คตคิ วามเชือ่ เร่ือง อนนั ตพุทธเจ้า๑๓๙
ตามเนอื้ หาจากพทุ ธประวตั ขิ องพระโคตมพทุ ธเจา้ กอ่ นทพี่ ระองคจ์ ะเสดจ็
มาเสวยพระชาตเิ ปน็ เจา้ ชายสทิ ธตั ถะ จนกระทง่ั เสดจ็ ออกผนวชจนไดต้ รสั รู้
เปน็ พระพทุ ธเจ้าในภัทรกปั นี้ พระองค์เคยเสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตว์
รว่ มยคุ สมยั กบั พระอดตี พทุ ธเจา้ ทงั้ หลายมากอ่ น ซงึ่ ปรากฏเนอ้ื หาในคมั ภรี ์
พุทธวงศ์ กล่าวว่า พระพุทธองค์ตรัสเล่าแก่พระสารีบุตร ที่ทูลถามถึง
พทุ ธบารมอี นั ยงิ่ ใหญท่ ที่ รงไดบ้ �ำ เพญ็ มาในอดตี ชาต๑ิ ๔๐ นอกจากนี้ ยงั มคี ติ
เร่ืองพระอนาคตพุทธเจ้า หมายถึง พระพุทธเจ้าองค์ท่ีจะมาตรัสรู้ต่อไป
ภายภาคหน้า โดยเฉพาะอยา่ งยิ่ง ในภัทรกปั น้ียงั มพี ระศรีอาริยเมตไตรย
พทุ ธเจา้ จะเสด็จมาตรสั ร้เู พ่ือโปรดสัตวต์ อ่ จากพระโคตมพุทธเจ้า ซ่งึ เป็น
พุทธเจา้ องค์ปัจจุบัน
206
แนวคดิ คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๔๕
สญั ลักษณ์
พระอดตี พุทธเจา้
ลายคำ�ภายใน
วิหารวดั ปราสาท
จงั หวดั เชียงใหม่
แนวคิดเกี่ยวกับพระอดีตพุทธเจ้า พระปัจจุบันพุทธเจ้า และพระอนาคต
พุทธเจ้า ปรากฏทั้งในคติของพุทธศาสนามหายาน และเถรวาท มีความ
แตกต่างกันท่จี �ำ นวนพระอดตี พุทธเจา้ กล่าวคอื คตใิ นฝา่ ยมหายานถอื ว่า
มพี ระพทุ ธเจา้ ในรปู สมั โภคกาย สถติ อยใู่ นพทุ ธเกษตรตา่ งๆ ทอ่ี ยหู่ อ้ มลอ้ ม
สขุ าวดพี ทุ ธเกษตร ของพระพทุ ธเจา้ อมติ าภะทม่ี จี �ำ นวนมากมายจนไมอ่ าจ
นบั ได้ และมพี ระพทุ ธเจา้ ในรปู นริ มานกายทเี่ คยเสดจ็ อบุ ตั มิ าแลว้ กอ่ นหนา้
พระศากยมุนีพุทธเจ้า และท่ีจะเสด็จมาอุบัติต่อไปในกาลข้างหน้า ซ่ึงมี
จ�ำ นวนมากมายจนนบั ไมถ่ ว้ นเชน่ เดยี วกนั สว่ นคตใิ นฝา่ ยเถรวาทนน้ั กถ็ อื วา่
พระพุทธเจ้าในอดีตมีจำ�นวนมากมายไม่แตกต่างจากคติมหายาน แต่มี
เนอื้ หาเกย่ี วกบั อดตี พทุ ธเจา้ ทแ่ี ตกตา่ งกนั กลา่ วคอื มพี ระอดตี พทุ ธเจา้ บาง
องค์เท่านั้นที่มีความสำ�คัญเป็นพิเศษ ซ่ึงเก่ียวข้องสัมพันธ์ในทางใดทาง
หนึ่งกับพระโคตมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน อาทิ พระพุทธเจ้า ๕ พระองค์
ท่ีเสด็จมาอุบัติในภัทรกัปเดียวกัน ได้แก่ พระกกุสันโธ พระโกนาคม
พระกัสสปะ พระโคตม และพระศรีอาริยะเมตไตรย๑๔๑ หรือพระอดีต
พุทธเจ้า ๒๔ พระองค์ ซึ่งเร่ิมนับจากพระพุทธเจ้าทีปังกรในลำ�ดับที่ ๔
207
คติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
ในทพี่ ระโพธสิ ตั วท์ รงไดร้ บั พทุ ธพยากรณจ์ ากทกุ พระองคว์ า่ จะไดต้ รสั รเู้ ปน็
พระพทุ ธเจา้ ศากยมนุ ี และพระอดตี พุทธเจา้ ๒๗ พระองค์ ซง่ึ เรมิ่ นบั จาก
พระพุทธเจ้าตัณหังกโร พระพุทธเจ้าเมธังกโร และพระพุทธเจ้าสรณังกโร
ในสารมณั ฑกปั ทพี่ ระโพธสิ ตั วท์ รงศกึ ษาในส�ำ นกั อดตี พทุ ธเจา้ ทงั้ สามองค์
แรก แต่พระองค์มิได้รับพุทธพยากรณ์ว่าจะได้เสด็จมาตรัสรู้เป็น
พระพทุ ธเจา้ น�ำ มารวมกบั พระอดตี พทุ ธเจา้ ๒๔ พระองคท์ มี่ พี ทุ ธพยากรณ์
รวมเปน็ พระอดตี พทุ ธเจ้า ๒๗ พระองค์ เปน็ ต้น
ภาพที่ ๑๔๖
พระอดีตพทุ ธเจา้
จติ รกรรมฝาผนัง
วหิ ารลายคำ�
วดั พระสิงห์
อำ�เภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่
208
แนวคิดคติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๔๗
สญั ลักษณ์
พระอดตี พทุ ธเจ้า
ลายค�ำ บนคอสอง
ภายในวิหาร
วดั ปงยางคก
จงั หวดั ลำ�ปาง
ภาพท่ี ๑๔๘
สญั ลักษณ์
พระอดีตพุทธเจ้า
ลายคำ�บนคอสอง
ภายในวิหาร
วดั ปงยางคก
จงั หวดั ล�ำ ปาง
209
คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
จากการศกึ ษาคมั ภรี ท์ างพทุ ธศาสนาทม่ี เี นอ้ื หาเกย่ี วกบั เรอ่ื งพระอดตี พทุ ธเจา้
พระปัจจุบันพุทธเจ้า และพระอนาคตพุทธเจ้า ได้ระบุชื่อและเรียงลำ�ดับ
การตรสั รไู้ ว้ โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
ôôรายนามพระอดตี พุทธเจ้า ๒๔ พระองค์
๏๏ พระทปี งั กรพุทธเจา้
๏๏ พระโกทัญญพทุ ธเจ้า
๏๏ พระมังคลพทุ ธเจ้า
๏๏ พระสมุ นพุทธเจ้า
๏๏ พระเรวัตตพุทธเจา้
๏๏ พระโสภิตพทุ ธเจา้
๏๏ พระอโนมทสั สีพทุ ธเจา้
๏๏ พระปทุมพุทธเจา้
๏๏ พระนารทพุทธเจ้า
๏๏ พระปทมุ ุตรพทุ ธเจา้
๏๏ พระสเุ มธพทุ ธเจ้า
๏๏ พระสชุ าตพุทธเจ้า
๏๏ พระปยิ ทัสสีพุทธเจ้า
๏๏ พระอัตถทัสสพี ทุ ธเจ้า
๏๏ พระธรรมทสั สีพทุ ธเจา้
๏๏ พระสทิ ธัตถพุทธเจา้
๏๏ พระตสิ สพุทธเจา้
๏๏ พระปุสสพทุ ธเจา้
๏๏ พระวปิ ัสสีพุทธเจ้า
๏๏ พระสขิ ีพุทธเจา้
๏๏ พระเวสสภูพุทธเจา้
๏๏ พระกกสนั ธพทุ ธเจ้า
๏๏ พระโกนาคมนพทุ ธเจา้
๏๏ พระกัสสปพุทธเจา้
210
แนวคิดคติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
ôôรายนามพระอดตี พทุ ธเจ้า ๒๗ พระองค์
๏๏ พระตณั หังกรพทุ ธเจ้า
๏๏ พระเมธังกรพุทธเจ้า
๏๏ พระสรณงั กรพุทธเจ้า
๏๏ พระทีปังกรพุทธเจ้า
๏๏ พระโกทัญญพุทธเจา้
๏๏ พระมังคลพุทธเจา้
๏๏ พระสุมนพุทธเจ้า
๏๏ พระเรวตั ตพุทธเจา้
๏๏ พระโสภิตพทุ ธเจา้
๏๏ พระอโนมทสั สีพุทธเจ้า
๏๏ พระปทุมพทุ ธเจ้า
๏๏ พระนารทพุทธเจา้
๏๏ พระปทุมตุ รพทุ ธเจา้
๏๏ พระสุเมธพุทธเจ้า
๏๏ พระสุชาตพุทธเจา้
๏๏ พระปยิ ทสั สพี ุทธเจา้
๏๏ พระอตั ถทัสสีพุทธเจ้า
๏๏ พระธรรมทัสสพี ทุ ธเจา้
๏๏ พระสิทธตั ถพุทธเจา้
๏๏ พระตสิ สพทุ ธเจา้
๏๏ พระปุสสพุทธเจ้า
๏๏ พระวิปัสสีพทุ ธเจา้
๏๏ พระสิขพี ุทธเจา้
๏๏ พระเวสสภูพทุ ธเจา้
๏๏ พระกกสันธพทุ ธเจ้า
๏๏ พระโกนาคมนพทุ ธเจ้า
๏๏ พระกสั สปพทุ ธเจา้
211
คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
ôôรายนามพระอนาคตพุทธเจ้า ๑๐ พระองค์
๏๏ พระศรอี ารยิ เมตไตรยพุทธเจา้
๏๏ พระรามพุทธเจ้า
๏๏ พระธรรมราชาพุทธเจ้า
๏๏ พระธรรมสามีพุทธเจ้า
๏๏ พระนารทพทุ ธเจา้
๏๏ พระรังสมี ุนพี ทุ ธเจา้
๏๏ พระเทวเทพพทุ ธเจ้า
๏๏ พระสหี พุทธเจา้
๏๏ พระตสิ สพุทธเจา้
๏๏ พระสมุ งคลพทุ ธเจา้ ๑๔๒
อดีตพุทธเจ้าที่ผ่านมาในแต่ละกัปอันนับจำ�นวนประมาณมิได้ ในจำ�นวน
นั้นมีส่ีองค์ ที่เสด็จมาตรัสรู้ในโลกอยู่ในสารมัณฑกัป โดยมีอดีดพุทธ-
ทปี งั กโร บงั เกิดเป็นองค์สุดท้ายของกปั นั้น และในคร้งั นัน้ พระศากยโคดม
ไดเ้ สดจ็ เสวยพระชาติเป็นพระโพธิสัตวช์ ือ่ สเุ มธ ไดบ้ �ำ เพญ็ เพยี รในส�ำ นกั
ของอดีตพุทธทีปังกโร และได้ทอดตัวลงบนเปือกตม เพื่อให้อดีต
พระพุทธเจ้าพุทธทีปังกโรกับพระสาวกขีณาสพส่ีแสนเหยียบข้าม และได้
รับพุทธทำ�นายว่าจะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า จากน้ันเป็นต้นมา
พระศากยโคดมได้เสวยพระชาติเป็นพระโพธสิ ัตวต์ ่างๆ กัน เช่น เป็นพระ
มหากษัตริย์ทรงพระนามว่า วิชิตาวี ในสมัยของอดีตพุทธโกณทัญโญ
เสวยพระชาติเป็นพราหมณ์ ช่ือสุรุจิ ในสมัยของอดีตพุทธมังคโล
เสวยพระชาตเิ ป็นราชสหี ์ในสมัยของอดตี พระพุทธเจ้าปทุม เปน็ ต้น
ในจ�ำ นวนของอดีตพุทธทง้ั ๒๘ องค์นี้ ตงั้ แต่องค์ท่ี ๒๕ ถึงองค์ที่ ๒๘ รวม
๔ องค์ เปน็ พระพทุ ธเจา้ ทมี่ มี าตรสั รใู้ นภทั รกปั น้ี นอกนนั้ เปน็ พระพทุ ธเจา้
ในกัปอดีตหลายกัปมาแล้ว ในแต่ละกัปจะมีจำ�นวนพระพุทธเจ้ามาอุบัติ
มากนอ้ ยต่างกนั ถา้ กัปใดไม่มพี ระพุทธเจา้ มาตรัสรู้ เรียกวา่ “สูญกปั ” การ
ก�ำ หนดชอื่ กปั ไดจ้ �ำ แนกตามจ�ำ นวนพระพุทธเจา้ ดังน้ี
212
แนวคิดคตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
๏๏ ถ้ามพี ระพทุ ธเจ้ามาตรสั รู้ ๑ องค์ เรียก สารกัป
๏๏ ถ้ามพี ระพทุ ธเจา้ มาตรัสรู้ ๒ องค์ เรียก มณั ฑกัป
๏๏ ถ้ามีพระพุทธเจ้ามาตรสั รู้ ๓ องค์ เรยี ก วรกัป
๏๏ ถ้ามีพระพทุ ธเจา้ มาตรสั รู้ ๔ องค์ เรยี ก สารมัณฑกปั
๏๏ ถ้ามีพระพทุ ธเจ้ามาตรัสรู้ ๕ องค์ เรียก ภทั รกปั
ช่วงระยะเวลาในปัจจุบันน้ีได้มาถึงช่วงเวลา ที่พระสมณะโคดม (หรือ
โคตมะ) มาตรสั ร้ใู นโลกนแ้ี ล้ว โดยในอนาคตจะมพี ระพทุ ธเจา้ มาตรัสร้อู ีก
หนงึ่ องค์ คอื พระศรอี าริยะเมตไตรย จงึ จะครบ ๕ องค์ เรยี กวา่ ภัทรกปั
ซง่ึ แปลว่า กัปเจริญ๑๔๓
แนวคดิ มหาปุริสลกั ษณะ ๓๒ ประการ
แนวคดิ มหาปรุ สิ ลกั ษณะ ๓๒ ประการ เปน็ คตคิ วามเชอื่ ทไ่ี ดร้ บั การสบื ทอด
มาจากต�ำ ราของศาสนาพราหมณท์ ม่ี มี ากอ่ นสมยั พทุ ธกาล มหาปรุ สิ ลกั ษณะ
หมายถงึ บคุ คลผปู้ ระกอบดว้ ยลกั ษณะของมหาบรุ ษุ อนั เปน็ คตขิ องบคุ คล
เพียง ๒ ประเภท คือ พระเจ้าจักรพรรดิราชผู้ทรงธรรมประการหนึ่ง
และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าผู้สิน้ อาสวะกเิ ลสอีกประการหนงึ่ ๑๔๔ ด้วยเหตนุ ี้
ความรู้จากการศึกษาระเบียบความงามในพระพุทธรูป ซ่ึงเกิดจากการ
พัฒนาทางด้านแนวคิด รูปแบบ และสุนทรียภาพจากรูปสัญลักษณ์ไปสู่
รูปทรงของมนุษย์อันสมบูรณ์ ล้วนมีรากฐานมาจากแรงบันดาลใจใน
รปู ลกั ษณะของบรุ ษุ ผยู้ ง่ิ ใหญ่ ไดแ้ ก่ มหาปรุ สิ ลกั ษณะของพระพทุ ธเจา้ ๓๒
ประการ นอกเหนือจากน้ี ยงั พบวา่ เน้ือหาเกย่ี วกับเรือ่ งมหาปุริสลกั ษณะ
ของพระพทุ ธเจา้ ในคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนา กลา่ วถงึ เรอื่ งราวการบ�ำ เพญ็
บารมีของพระโพธิสัตว์ในชาติปางก่อน ด้วยอานิสงส์แห่งการสร้างกุศล
กรรมจนถึงพร้อม จึงส่งผลให้ได้รับลักษณะของมหาบุรุษ ๓๒ ประการ
อนั เปน็ ลกั ษณะทเ่ี กดิ ขน้ึ กบั พระพทุ ธเจา้ ทกุ ๆ พระองคท์ เี่ สดจ็ อบุ ตั มิ าแลว้
ในอดตี พระพทุ ธเจา้ องค์ปัจจบุ ัน รวมไปถงึ พระพทุ ธเจ้าท่จี ะเสดจ็ อบุ ตั ขิ น้ึ
ในกาลข้างหน้า๑๔๕ โดยมีรายละเอียดปรากฏในพระไตรปิฎก ได้แก่
213
คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
มหาปทานสตู ร แหง่ ทีฆนกิ าย มหาวรรค และ ลักขณสตู ร แห่งทีฆนิกาย
ปาฏิกวรรค พระสุตนั ตปฎิ ก และปรากฏในอรรถกถา คือ สุมงั คลวลิ าสนิ ี
อรรถกถามหาปทานสตู ร แหง่ ทฆี นกิ าย โดยพระพทุ ธโฆษาจารย์ ตลอดจน
ปรากฏในปกรณ์วิเสส เชน่ คัมภีรม์ ลิ นิ ทปญั หา เป็นตน้ ๑๔๖ ดงั เช่นเนอื้ หา
ใน พระไตรปฎิ ก ลกั ขณสตู ร ความวา่
“...ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระมหาบุรุษผู้สมบูรณ์ด้วยมหาปุริสลักษณะ
๓๒ ประการเหลา่ น้ี ยอ่ มมคี ตเิ ปน็ สองเทา่ นนั้ ไมเ่ ปน็ อยา่ งอน่ื คอื ถา้ ครอง
เรือน จะได้เป็นพระเจ้าจกั รพรรดิผทู้ รงธรรมเปน็ พระราชาโดยธรรม เปน็
ใหญใ่ นแผน่ ดนิ มมี หาสมุทร ๔ เป็นขอบเขต ทรงชนะแล้ว มรี าชอาณาจักร
มั่นคง สมบรู ณ์ดว้ ยแกว้ ๗ ประการ คอื จกั รแกว้ ช้างแก้ว มา้ แกว้ แก้วมณี
นางแก้ว คฤหบดแี ก้ว ปริณายกแก้วเป็นท่ี ๗ พระราชบตุ รของพระองค์มี
กว่าพัน ล้วนกล้าหาญ มรี ปู ทรงสมเปน็ วรี กษัตรยิ ์ สามารถย�่ำ ยเี สนาของ
ขา้ ศกึ ได้ พระองค์ทรงชำ�นะโดยธรรม โดยเสมอมิตอ้ งใช้ศัสตรา มิตอ้ งใช้
อาชญา มิได้มีเสนียด ครอบครองแผ่นดิน มีสาครเป็นขอบเขต มิได้มี
เสาเขื่อน มิได้มีนิมิต ไม่มีเสี้ยนหนาม สำ�เร็จ แพร่หลาย มีความเกษม
สำ�ราญ ถ้าเสด็จออกผนวชเป็นบรรพชิต จะได้เป็นพระอรหันตสัมมา
สัมพุทธเจ้า มีหลังคา คือ กิเลสอันเปิดแล้วในโลก ดูกรภิกษุทั้งหลาย
มหาปุรสิ ลกั ษณะ ๓๒ ประการนนั้ เป็นไฉน ซึง่ พระมหาบุรษุ ประกอบแลว้
ย่อมมีคติเป็นสองเท่านั้น ไม่เป็นอย่างอื่น คือ ถ้าครองเรือนจะได้เป็น
พระเจ้าจักรพรรดิ ฯลฯ อน่ึง ถ้าพระมหาบุรุษนั้น เสด็จออกผนวชเป็น
บรรพชติ จะไดเ้ ป็นพระอรหันตสมั มาสัมพุทธเจา้ ...”๑๔๗
นอกจากนี้ จากการศกึ ษาองคค์ วามรเู้ กยี่ วกบั การสรา้ งสรรคง์ านศลิ ปกรรม
ที่เน่ืองในพระพุทธศาสนาในวัฒนธรรมล้านนา พบว่า มหาปุริสลักษณะ
ที่ ๒ เหฏฐฺ าปาทตเลสุ จกกฺ านิ ชาตานิ หมายถึง ลายพืน้ พระบาทเป็นจกั ร
สะทอ้ นความส�ำ คญั ผา่ นลายประดบั มกุ บนรอยพระพทุ ธบาทไม้ วดั พระสงิ ห์
ดังมีรายละเอียดท่ีมีความสัมพันธ์เช่ือมโยงกับคติจักรวาลวิทยา ในคัมภีร์
ทางพระพุทธศาสนา กล่าวว่า มหาปุริสลักษณะของพระพุทธเจ้า ได้มา
214
แนวคดิ คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
เพราะอานิสงส์แห่งการสร้างกุศลกรรมในอดีตชาติ และผลอันเป็นกุศล
วบิ ากในชาติปจั จบุ นั โดยมีรายละเอยี ดปรากฏใน ลกั ษณะสตู ร ทีฆนิกาย
ปาฏิกวรรค ความว่า
“...มหาปรุ ิสลักษณะท่ี ๒ เหฏฐฺ าปาทตเลสุ จกกฺ านิ ชาตานิ หมายถงึ ลาย
พน้ื พระบาทเปน็ จกั ร ความพิเศษของมหาบุรุษ ปรากฏรูปจกั รเปน็ ลายพื้น
พระบาท ดุมของจักรอยู่กลางพ้ืนพระบาทเป็นรูปวงกลม มีท่อนำ้�
ซ่ี ลวดลายวงกลมในซก่ี ง กงแกว้ มณี รปู หอก รปู แวน่ ส่องพระฉาย รูปดอก
พุดซอ้ น รูปสายสรอ้ ย รปู ถาดทอง รปู มัจฉาคู่ รปู ตงั่ รูปขอ รปู ปราสาท
รูปเสาระเบียด รูปเศวตฉัตร รูปพระขรรค์ รูปพัดใบตาล รูปหางนกยูง
รูปพัดวาลวชิ นี รูปมงกุฎ รปู แกว้ มณี รูปบาตร รปู พวงดอกมะลิ รปู ดอกบวั
ขาบ รูปดอกบัวแดง รูปดอกบวั ขาว รปู ดอกปทุม รูปดอกบณุ ฑริก รูปหม้อ
เต็มด้วยน้ำ� รูปถาดเต็มด้วยน้ำ� รูปมหาสมุทร รูปเขาจักรวาล
รปู ปา่ หมิ พานต์ รปู เขาสเิ นรุ รปู พระจนั ทร์ และพระอาทติ ย์ รปู ดาวนกั ษตั ร
รูปทวปี ใหญท่ ัง้ ๔ รูปทวีปนอ้ ย ๒,๐๐๐ ท้งั หมด...”๑๔๘
สาเหตุทีม่ าของมหาปรุ สิ ลกั ษณะท่ี ๒ พน้ื พระบาททง้ั ๒ มีจกั รเกดิ ข้นึ จกั ร
เหลา่ นมี้ ซี กี่ งและดมุ เกดิ จากอานสิ งสท์ พี่ ระองคน์ �ำ ความสขุ มาใหแ้ กค่ นหมู่
มาก บรรเทาความหวาดกลัวและหวาดสะดุ้ง ปอ้ งกนั คมุ้ ครองอยา่ งเป็น
ธรรม และใหท้ านพร้อมท้งั ของท่เี ปน็ บรวิ าร สว่ นผลทไ่ี ด้รับในชาติปัจจบุ ัน
คือ พระพทุ ธองค์ทรงมบี รวิ ารมาก อาทิ ภกิ ษุ ภิกษุณี อบุ าสก อุบาสิกา
เทวดา มนษุ ย์ อสรู นาค คนธรรพ์ สัตว์สีเ่ ทา้ ทีม่ ียศมาก แวดล้อมพระองค์
ไม่มีใครยิง่ กว่า๑๔๙
แนวคิดอายตนะโลก
ค�ำ สอนในพระพุทธศาสนากล่าวถงึ เรือ่ ง โลกภายใน (ตวั เรา) ซ่ึงมีลกั ษณะ
เปน็ จิตวสิ ยั (subjective) คือ เป็นโลกแห่งการรบั รู้ทีท่ ีเ่ กิดจากการบรรจบ
พร้อมกันแห่งอายตนะภายใน อายตนะภายนอก และวิญญาณ เรียกว่า
215
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๔๙
พระพุทธเจ้า
บนพระบฏไม้
วหิ ารน�ำ้ แตม้
วดั พระธาตุ
ลำ�ปางหลวง
จังหวดั ลำ�ปาง
216
แนวคิดคตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
โลกแหง่ อายตนะ หรอื อายตนะโลก อายตนะประกอบดว้ ย อายตนะภายใน
๖ ได้แก่ ตา หู จมกู ล้ิน กาย ส่วนอายตนะภายนอก ไดแ้ ก่ รูป เสียง กลิน่
รส โผฏฐัพพะ ธรรมารมณ์ ปรากฏเนื้อหาใน สมทิ ธสิ ตู ร ความวา่
“... ขา้ แต่พระองค์ผูเ้ จรญิ ท่ีเรยี กวา่ โลก โลก ดงั น้ี ด้วย เหตเุ พยี งเทา่ ไร
จึงเป็นโลก หรือบัญญัติว่าโลก พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรสมิทธิ จักษุ
รูป จักษุวิญญาณ ธรรมท่ีจะพึงรู้แจ้งด้วยจักษุวิญญาณ มีอยู่ ณ ที่ใด
โลกหรือการบัญญัติว่าโลกก็มีอยู่ ณ ที่นั้น ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโน
วญิ ญาณ ธรรมทจ่ี ะพึงรแู้ จง้ ด้วยมโนวญิ ญาณ มีอยู่ ณ ทใ่ี ด โลกหรือการ
บญั ญตั ิว่าโลกก็มี อยู่ ณ ท่ีนน้ั ฯ ดูกรสมิทธิ จกั ษุ รูป จักษวุ ญิ ญาณ ธรรม
ทจ่ี ะพึงรแู้ จง้ ด้วยจกั ษวุ ญิ ญาณไมม่ ี ณ ที่ใด โลกหรือการบญั ญตั ิว่าโลกก็
ไมม่ ี ณ ที่น้ัน ฯลฯ ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ ธรรมทีจ่ ะพึงรู้แจง้ ดว้ ย
มโนวญิ ญาณ ไมม่ ี ณ ทใี่ ด โลก หรอื การบญั ญตั วิ า่ โลกกไ็ มม่ ี ณ ทนี่ นั้ ฯ...”๑๕๐
พระพุทธองค์ตรัสพุทธภาษิตเกี่ยวกับเร่ืองท่ีสุดของโลกแก่ โรหิตัสสเทพ
ผู้มาเฝ้ากราบทูลถามว่า ในที่ใดไม่เกิด ไม่แก่ ไม่เจ็บ ไม่ตาย ไม่จุติ
ไมอ่ ุบัติ ทนี่ ้ัน ท่สี ุดแห่งโลกน้นั ไมต่ รัสว่าจะพึงร้หู รือบรรลุไดด้ ว้ ยการไป โร
หิตัสสเทพ กล่าวว่า เม่อื คร้งั ที่ตนได้เกดิ เปน็ ฤษมี ีฤทธิม์ าก สามารถเหาะ
ขา้ มโลกจกั รวาลหนง่ึ ๆ ไดใ้ นชว่ั พรบิ ตา ปรารถนาจะถงึ ทส่ี ดุ โลกจงึ เหาะไป
ด้วยฤทธ์ิของตนด้วยความเร็วมาก เว้นการบริโภค การขับถ่าย การหลับ
การพกั ผอ่ น เหาะติดตอ่ กนั ไปเป็นเวลา ๑๐๐ ปี จนมรณภาพไปเสยี กอ่ น
ก็ไมอ่ าจถงึ ทสี่ ดุ โลก พระพุทธองค์ตรัสยืนยนั และตรัสแสดงเรอ่ื งที่สดุ โลก
ปรากฏเนือ้ หาใน โรหิตัสสสตู ร ความว่า
“...ดกู รอาวโุ ส สัตว์ยอ่ มไมเ่ กิด ย่อมไม่แก่ ย่อมไม่ตาย ย่อมไม่จตุ ิ ย่อมไม่
อุบัติ ในโอกาสใด เราไมก่ ลา่ วโอกาสนั้นว่าเปน็ ทส่ี ุดแห่งโลก ทค่ี วรรู้ ควร
เห็น ควรถึง ด้วยการไป ดกู รภกิ ษุทัง้ หลาย เมอ่ื เทวบุตรกลา่ วอย่างน้แี ล้ว
เราไดก้ ลา่ วกะเทวบุตรว่า ดูกรอาวุโส สัตว์ย่อมไม่เกดิ ย่อมไม่แก่ ยอ่ มไม่
ตาย ยอ่ มไมจ่ ตุ ิ ยอ่ มไมอ่ บุ ัติ ในโอกาสใด เราไม่กล่าว โอกาสนัน้ ว่าเปน็
217
คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
ท่ีสดุ แห่งโลก ที่ควรรู้ ควรเห็น ควรถงึ ดว้ ยการไป และเรายอ่ มไม่กลา่ วการ
กระทำ�ท่ีสุดแห่งทุกข์ เพราะไปไม่ถึงที่สุดแห่งโลก แต่เราย่อมบัญญัติโลก
เหตุเกิดแห่งโลก ความดับแห่งโลก ปฏิปทาเครื่องให้ถึงความดับแห่งโลก
ในอัตภาพอันมีประมาณวาหนึ่ง มสี ญั ญาและมีจิตน้เี ทา่ นั้น…”๑๕๑
นอกจากนี้ จากการศึกษาเน้อื หา พทุ ธธรรม ยังพบวา่ พระพุทธองคต์ รัส
สอนเรอ่ื ง อจนิ ไตย หมายถงึ เหตอุ นั ใครๆ ไมค่ วรคดิ หรอื เรอ่ื งทไี่ มค่ วรคดิ
ได้แก่ พุทธวิสัย คือ วิสัยสามารถของพระพุทธเจ้า ฌานวิสัย คือ วิสัย
ของผไู้ ดฌ้ าน กมั มวบิ าก คอื ผลของกรรม ซง่ึ มคี วามสลบั ซบั ซอ้ น และโลก
จินตา คือ ความคิดเรื่องโลก ทัง้ นี้ พระพุทธศาสนาไมแ่ นะนำ�ใหค้ ิดเรือ่ ง
อจนิ ไตย เพราะวิสัยของปุถชุ นนน้ั ไมส่ ามารถร้แู ละเข้าใจไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง
ถอ่ งแท้ ในฐานะทเ่ี ปน็ เรี่องทีม่ ีความลกึ ซ้ึง เปน็ เรื่องทางจติ หรือเปน็ เรอ่ื ง
ท่ีไม่สามารถหาคำ�ตอบให้ถึงสิ้นสุดได้ ถ้านำ�มาคิดอย่างจริงจังเพื่อการ
หาคำ�ตอบเหล่าน้ัน ด้วยวิธีการการคิดด้วยตรรกะ จึงอาจกลายเป็น
คนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรม
ช้ันสูงเท่านั้น ปรากฏเนื้อหาใน อจินติตสูตร พระไตรปิฎก ฉบับบาลี
สยามรฐั (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๒๑ พระสตุ ตนั ตปฎิ ก เลม่ ท่ี ๑๓ องั คตุ ตรนกิ าย
จตกุ กนบิ าต ความว่า
“...ดกู รภกิ ษทุ งั้ หลาย อจนิ ไตย ๔ ประการน้ี อนั บคุ คลไมค่ วรคดิ เมอ่ื บคุ คล
คดิ พงึ เป็นผูม้ ีส่วนแห่งความเป็นบ้า เดือดร้อน อจินไตย ๔ ประการเป็น
ไฉน ดูกรภิกษทุ ง้ั หลาย พทุ ธวิสยั ของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั หลาย ๑ ฌานวิสัย
ของผไู้ ดฌ้ าน ๑ วิบากแห่งกรรม ๑ ความคิดเรื่องโลก ๑ ดกู รภิกษุท้งั หลาย
อจินไตย ๔ ประการนี้แล ไม่ควรคิด เม่ือบุคคลคิด พึงเป็นผู้มีส่วนแห่ง
ความเป็นบา้ เดอื ดร้อนฯ...”๑๕๒
218
แนวคิดคตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๕๐
สัญลักษณ์
มงคล ๑๐๘
วิหารพระนอน
วัดพระเชตพุ น
วิมลมังคลาราม
กรุงเทพฯ
แนวคดิ สญั ลักษณม์ งคล ๑๐๘ ประการ
รูปสัญลักษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ ท่ีพบบนรอยพระพุทธบาท มีความ
หมายตามค�ำ บรรยายลกั ษณะพระบาทของพระพทุ ธองค์ ทป่ี รากฏในคมั ภรี ์
อรรถกถา และฎกี าภาษาบาลที ร่ี จู้ กั กนั ในพมา่ มอี ายปุ ระมาณพทุ ธศตวรรษ
ท่ี ๑๓-๑๖ ท้งั น้ี สัญลกั ษณ์มงคล ๑๐๘ ประการ มีองค์ประกอบท่ีแสดงถงึ
ความมีสภาวะครอบจักรวาลของพระพุทธเจ้า และบารมีอันคุ้มครอง
รวมทง้ั เปน็ สริ มิ งคลตอ่ ผทู้ เ่ี คารพศรทั ธาพระพทุ ธองค์ โดยมลี กั ษณะส�ำ คญั
๓ ประการ ดังน้ี
๏๏ มงคลท่ีเป็นสัญลักษณ์แห่งโชคลาภ ความเจริญ และความอุดม
สมบูรณ์
๏๏ มงคลประเภทท่เี ปน็ เครอ่ื งประกอบบารมขี องกษัตรยิ ์ และพระเจา้
จักรพรรดิ
๏๏ มงคลประเภทที่เป็นส่วนประกอบทางรูปธรรม และนามธรรมของ
สุคติภูมใิ นจกั รวาล๑๕๓
219
คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ความหมายของและองคป์ ระกอบของภาพสญั ลกั ษณม์ งคล ๑๐๘ ประการ
ในรอยพระพุทธบาทจำ�ลอง
๏๏ พระแสงหอก (สันติ) เปรียบเสมือนพระอรหัตมรรคญาณและพระ
อรหัตผลญาณที่สามารถก�ำ จัดหมู่มาร คอื กเิ ลสทง้ั ปวงได้ เรยี กว่า
ธรรมรัตนะหรอื รัตนมงคล
๏๏ แวน่ สอ่ งพระพกั ตร์ (สริ วิ จั โฉ) มคี วามหมายวา่ รตั นอสุ ภราช ซงึ่ เปน็
สิริมงคลทำ�ใหเ้ จริญได้โดยล�ำ ดับ เกิดขน้ึ ทฝ่ี า่ พระบาททงั้ สอง ของ
พระพุทธเจา้
๏๏ ดอกพดุ ซอ้ น (นนั ทยิ าวตั ตงั ) ความวา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงเปรยี บ
เสมือนพญาราชสีห์ บันลือสีหนาทยิ่งใหญ่ สีหราชนั้นทำ�พุทธสิริ
มงคลใหเ้ จริญ
๏๏ สายสรอ้ ย (โสวัตถิกงั ) ทา่ นอธบิ ายวา่ เปน็ รัตนะชอ่ื ว่า รตั นโสตถิ
มงคล กล่าวคือ ผ้ารัตนบังสุกุลสามารถกำ�จัดเคร่ืองเศร้าหมอง
ทั้งปวง รัตนโสตถิมงคลเป็นใยแก้ว สามารถจะให้สำ�เร็จการชวนดู
ชวนเหน็ แกเ่ ทวดาและมนษุ ยไ์ ด้ตามสมควร
๏๏ ต่างหู (วัฎฎังสกัง) ได้แก่ การแทงตลอดมรรคผลด้วยวชิรญาณดุจ
การคล้องพวงดอกไม้แก้วให้เป็นสิริมงคลท่ีบ่า และศีรษะอันทำ�ให้
พระพุทธสิรมิ งคลเจรญิ
๏๏ ถว้ ยภาชนะ (วทั ธมานงั ) ไดแ้ ก่ ภาชนะทอง ชอ่ื วา่ ของทร่ี องรบั น�ำ้ นม
เป็นส่ิงที่ทำ�ให้พระพุทธมงคลเจริญได้ เกิดข้ึนท่ีฝ่าพระบาทท้ังสอง
ของพระพทุ ธเจ้า
๏๏ ปราสาท (ปาสาโท) ชื่อว่า ปราสาทแกว้ เปน็ พระมหานิพพานนคร
คอื รตั นปราสาท อนั ท�ำ ให้พุทธสิริมงคลเจรญิ
๏๏ ขอชา้ ง (อังสโุ ส) ไดช้ ่ือเป็นขอแกว้ เปน็ อรหัตมรรคญาณและอรหตั
ผลญาณ ท�ำ ใหพ้ ุทธสิรมิ งคลเจริญ
๏๏ ซุ้มประตู (โตรณัง) ได้แก่ ประตูแก้วทั้ง ๒ คือ อรหัตมรรค และ
อรหัตผล เพ่อื ปิดประตเู มืองป้องกนั กเิ ลส
๏๏ เศวตฉตั ร (เสตจั ฉตั ตงั ) เปน็ เศวตฉตั รแกว้ อนั ท�ำ ใหพ้ ระพทุ ธสริ มิ งคล
เจรญิ
220
แนวคดิ คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
๏๏ พระขรรค์แกว้ (รตั นขคั คัง) คือ พระขรรคแ์ ก้ว สามารถกำ�จดั กเิ ลส
ความเศร้าหมอง เป็นพทุ ธสริ มิ งคลทีเ่ จริญ
๏๏ กำ�หางนกยูง (โมรหัตถัง) ไดแ้ ก่ พดั กำ�หางนกยูงที่ตกแตง่ สวยงาม
ทำ�ให้พระพุทธสริ มิ งคลเจริญ
๏๏ พระแท่นที่ประทับ (ภัททปิฎฐัง) ได้แก่ พระแท่นบัณฑุกัมพลรัตน
ศลิ าอาสน์ โคนต้นไมป้ าริฉตั ตกะ (ไมท้ องหลาง ทองกวาว) ในภาพ
ดาวดงึ ส์ เป็นสริ ิมงคลเจริญ
๏๏ พระมงกุฎ (อุณหิสงั ) ได้แก่ มงกฎุ แกว้ เป็นส่ิงทำ�ใหส้ ริ มิ งคลเจรญิ
ในโลกทัง้ สาม
๏๏ เถาวลั ยแ์ กว้ (รตั นวลั ล)ี เปน็ พวงมาลยั แกว้ ใหเ้ ถาวลั ยท์ องรอ้ ยอยา่ ง
ดีสวยงามมาก เปน็ สิ่งท่ีท�ำ ใหพ้ ทุ ธสิรมิ งคลเจรญิ
๏๏ พัดแก้ววาลวิชชนี (มณกิ าลวชิ ชน)ี เปน็ พดั ขนทรายทท่ี �ำ ด้วยจามรี
เป็นของงดงามด้วยรตั นะทัง้ ปวง ท�ำ ใหพ้ ระพทุ ธสิริมงคลเจรญิ ย่งิ
๏๏ พวงดอกมะลิ (สุมนทามัง) พวงดอกมะลิแก้ว ใช้ด้ายทองคำ�ผูก
ห้อยรอ้ ยรัดอยา่ งดี เป็นเหมอื นพระพุทธผู้ประเสรฐิ ท�ำ ให้พทุ ธสริ ิ
มงคลเจรญิ
๏๏ ดอกบวั แดง (รัตตปุ ปะลัง) ไดแ้ ก่ ดอกอุบลแกว้ สแี ดง ทำ�ให้พุทธสิริ
มงคลเจรญิ อันเกิดข้ึนท่ีฝา่ พระบาททงั้ สองของพระพทุ ธเจ้า
๏๏ ดอกบัวขาบ (นีลปุ ปะลัง) ได้แก่ ดอกอบุ ลแกว้ สีเขยี ว ท�ำ ให้พทุ ธสริ ิ
มงคลเจรญิ
๏๏ ดอกบวั ขาว (เสตปุ ปะลงั ) เปน็ ดอกบวั แกว้ สขี าว เหมอื นแกว้ มณแี ละ
แก้วมุกดา ท�ำ ใหพ้ ุทธสิริมงคลเจริญ
๏๏ ดอกบัวหลวงชมพู (ปทมุ งั ) เปน็ ดอกบัวหรือปทุมแก้ว สีเหมือนแกว้
มณี ท�ำ ใหส้ ริ ิมงคลเจรญิ
๏๏ ดอกบัวหลวงขาว (ปุณฑริกัง) เป็นดอกปทุมแก้วสีขาวเหมือนแก้ว
มุกดา ชือ่ ว่า บุณฑรกิ า ท�ำ ใหพ้ ุทธสิริมงคลเจริญ
๏๏ กระออมมนี �ำ้ เตม็ (ปณุ ณมโฎ) หมายความถงึ ภาชนะส�ำ หรบั รองรบั
นำ้�นม ภาชนะแกว้ มณีท�ำ ใหพ้ ทุ ธสริ ิมงคลเจรญิ
๏๏ ถาดมนี ้�ำ เตม็ (ปณุ ณจาฏิ) เป็นภาชนะถาดทองคำ� สำ�หรบั ใส่เครอ่ื ง
บูชาของเทวดา และมนษุ ย์ ยอ่ มเปน็ ท่ีพึ่งแหง่ ตน
221
คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
๏๏ มหาสมุทรทั้ง ๔ (จตุสมุทโท) มีความหมายว่า ศีล ๔ อย่างเป็น
สจั ธรรม ๔ ประการ ใหส้ ตั วไ์ ดบ้ รรลมุ รรคผลนพิ พาน (อาจสรา้ งภาพ
๑ ถงึ ๔ ภาพ)
๏๏ จกั รวาล (จักกวาโฬ) หมายความว่า พระผู้มพี ระภาคเจา้ ทรงมีพทุ ธ
ญาณอนั วเิ ศษ ทรงรนู้ ิสยั แหง่ พระองค์ ชือ่ วา่ เป็นสัพพญั ญุตญาณ
๏๏ ป่าหิมพานต์ (หิมวา) ชื่อว่าเป็นพระรูปกายของพระพุทธเจ้าที่มี
พระฉวีวรรณดุจทอง สวยงามร่งุ เรืองเกนิ กวา่ มนุษย์เทวดา
๏๏ ภูเขาสุเนรุ (สุเนรุ) ชื่อว่าเป็นพระรูปกายของพระพุทธเจ้าท่ี
มิหวนั่ ไหวดว้ ยโลกธรรม ๘ ประการ ดังเช่นภูเขาสเุ นรุ
๏๏ ดวงอาทิตย์ (สุริโย) คำ�น้เี ปน็ พระนามของพระพทุ ธเจ้าอย่างแท้จรงิ
ทรงกำ�จัดความมืดมิด คือ กิเลสทง้ั ปวง
๏๏ ดวงจนั ทร์ (จนั ทมิ า) เป็นชือ่ วา่ พระหฤทัยของพระผู้มพี ระภาคเจา้
เย็นฉ่ำ�ยิ่งนักเปรียบดังน้ำ�ในมหาสมุทร ทรงมีเมตตาธรรม และ
เยอื กเย็นดจุ พระจนั ทร์
๏๏ ดวงดาว (นกั ขัตตา) เป็นชอื่ ว่า พระหฤทัยของพระผมู้ พี ระภาคเจ้า
ทเ่ี ยน็ ฉ�ำ่ และรงุ่ เรอื งสอ่ งสวา่ งกระจา่ งแจง้ เหมอื นดวงดาวนกั ขตั ฤกษ์
๏๏ ทวปี ใหญ่ทงั้ ๔ ประการ (จตั ตาโรมหาทีป ๔) ความว่า ทวีปใหญ่
ทั้ง ๔ เปรียบเสมอื นสัจธรรม ๔ ประการ เป็นที่พึง่ ของสตั วท์ ั้งปวง
ดัง่ องคพ์ ระผ้มู พี ระภาคเจ้า (อาจสร้างภาพ ๑ ถึง ๔ ภาพ)
๏๏ ทวปี นอ้ ย ๒,๐๐๐ ซง่ึ เปน็ บรวิ าร (ทวสิ หสั สปรติ ตทปี ปรวิ ารา) มคี วาม
หมายถึงทวีปน้อยทั้ง ๒,๐๐๐ ที่เป็นบริวารของทวีปใหญ่ท้ัง ๔
เหมอื นเปน็ ที่พ่งึ ของสตั ว์ท้งั ปวง
๏๏ พระเจา้ จกั รพรรดพิ รอ้ มดว้ ยขา้ ราชบรพิ าร (สปรวิ าโร จกั กวตั ตริ าชา)
เปรยี บเหมอื นพระผู้มพี ระภาคเจา้ ทรงเปน็ ใหญ่ในโลกท้ัง ๓ ฉนั ใด
พระเจ้าจักรพรรดิก็ทรงมบี ริวารของพระองคฉ์ นั นั้น
๏๏ สังขข์ าวทกั ษิณาวรรต (ทกั ขณิ าวัฏฏเสตสงั โข) พระผูม้ พี ระภาคเจา้
ทรงแสดงกุศลธรรมอันบริสุทธิ์แก่ชาวโลกทั้ง ๓ เพื่อให้เว้นจาก
ธรรมทไี่ ม่บริสุทธิ์ คือ อกศุ กรรมบถ ๑๐ ประการ ทรงเป็นผู้ร่งุ โรจน์
โชติช่วงด้วยพระสุรเสียงกึกก้องของพระองค์ เหมือนเสียงสังข์
เสียงจักร
222
แนวคิดคติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
๏๏ ปลาทองคู่ (สวุ ณั ณมจั ฉกยคุ คะลงั ) ความหมายวา่ เปน็ พระอคั รสาวก
ทั้งสองประดับเบ้ืองซา้ ย เบอ้ื งขวา ทีส่ มบูรณด์ ว้ ยปญั ญาและฤทธิ์
คอื พระสารีบุตรเถระ และพระมหาโมคคลั ลานเถระ
๏๏ กงจักรคู่ (ยุคคละจักกงั ) เป็นจักรแก้วช่ือว่า พทุ ธรตั นจักร คือ พุทธ
รตั นจกั ร สงั ฆรัตนจักร
๏๏ แมน่ ้ำ�ใหญ่ ๗ สาย (สัตตมหาคังคา) เป็นมหาคงคาท้งั ๗ หมายถึง
สัมโพชฌงค์ท้ัง ๗ ประการ ท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้แล้ว
ดุจมหาคงคาทไ่ี หลมาไมข่ าดสาย (อาจสร้างภาพ ๑ ถึง ๗ ภาพ)
๏๏ สระใหญ่ ๗ สระ (สัตตมหาสรา) อันเปรียบเสมือนอริยทรัพย์ ๗
ประการ ที่พระพทุ ธองคท์ รงแสดงไว้แล้วแก่สัตว์ทั้งปวง (อาจสร้าง
ภาพ ๑ ถึง ๗ ภาพ)
๏๏ ภเู ขาใหญ่ ๗ เทอื ก (สตั ตมหาเสลา) หมายถงึ วญิ ญาณฐติ ิ ๗ ประการ
ท่ีพระพุทธองค์ทรงดำ�รงอยู่ในญาณวิสัยของพระองค์ แม่นำ้�ใหญ่
๗ สาย หรือ มหาคงคา ๗ ไดแ้ ก่ ชาติคงคา ยมนุ าคงคา สรภคู งคา
สุรัสดีคงคา อจิรดีคงคา มหิคงคา และมหานทีคงคา (อาจสร้าง
ภาพ ๑ ถึง ๗ ภาพ) ส่วนโพชฌงค์ ๗ คือ สติสัมโพชฌงค์
ธรรมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์ ปิติสังโพชฌงค์ ปัสสัทธิ-
สัมโพชฌงค์ สมาธิสังโพชฌงค์ อุเบกขาสัมโพชฌงค์ สระใหญ่
๗ สระ คือ สระอโนดาต สระกมัณฑมุณฑะ สระรถกาละ
สระกุณาละ สระฉัททันต์ สระมัณฑากินี และสระสีหปปาตะ
อริยทรัพย์ ๗ ประการ คือ ทรัพย์ คือศรัทธา ทรัพย์คือศีล
ทรัพย์คือสุตะ ทรัพย์คือจาคะ ทรัพย์คือปัญญา ทรัพย์คือหิริ
และทรัพย์คือโอตตัปปะ ภูเขาใหญ่ ๗ เทือก มี ภูเขายุคันธร
ภูเขาอิสนิ ธร ภูเขากรวกิ ภเู ขาสทุ ัสสนะ ภเู ขาเนมินธร ภูเขาวนิ ตกะ
และภเู ขาอสั สกณั ณะ วญิ ญาณฐติ ิ ๗ ประการ คอื อาวชั ชนวญิ ญาณ
ฉันนวิญญาณ ทัสสนวิญญาณ สัมปฏิจฉันวิญญาณ โผฏฐัพพน-
วญิ ญาณ ชวนะวญิ ญาณ และอาลมั พนวญิ ญาณ เรยี กวา่ วญิ ญาณ-
ฐิติ ๗ อยา่ ง
223
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
๏๏ พญาครฑุ (สุปณั ณราชา) เป็นความหมายที่ว่า พระพทุ ธเจ้าทรงใช้
พระวชริ ญาณกำ�จัดกิเลส ๑,๕๐๐ เหมือนพญาครุฑก�ำ จดั พญานาค
ซึง่ เปน็ คู่อริกัน
๏๏ พญาจระเข้ (สงุ สมุ ารราชา) ในความหมายวา่ พระพทุ ธเจา้ ทรงด�ำ รง
อยใู่ นพระสัพพัญญุตญาณ อันเป็นพระรปู กายของพระองคเ์ พอ่ื จะ
รักษาพระองค์และรักษาชาวโลกทัง้ ๓ ไวม้ ิใหไ้ ปตกอบายภูมทิ งั้ ๔
เหมอื นพญาจระเข้ รกั ษาตนและหมญู่ าตขิ องตนในเภสกลาวนั หรอื
สระบวั น่ันเอง
๏๏ ธงชยั ธงแผน่ ผา้ (ธชะปฏาณ) คอื ธงชยั แผน่ ผา้ ทอง ประดบั ดว้ ยธรรม
คือ อรหัตมรรคญาณ และอรหัตผลญาณ ประดับด้วยเคร่ืองบูชา
พระพทุ ธเจา้
๏๏ พระเกา้ อแ้ี กว้ (รตั นปาฏงั ก)ิ เปน็ ความหมายถงึ พระทนี่ งั่ รตั นบลั ลงั ก์
ของพระพทุ ธเจา้ ใตต้ น้ ศรมี หาโพธทิ์ ที่ รงตรสั รพู้ ระสพั พญั ญตุ ญาณ
๏๏ พดั โบกทอง (สวุ ณั ณจามโร) สวุ รรณจามรเปน็ พดั โบกทองค�ำ ประดบั
ดว้ ยแก้ว ๗ ประการ สวุ รรณจามรมี ๒ ชนดิ คือ ทำ�ดว้ ยขนหาง
จามรีกบั ท�ำ ด้วยผา้ และใบไม้ เปน็ ต้น
๏๏ ภูเขาไกรลาส (เกลาสปัพพโต) เปรียบเป็นภูเขาทองทง่ี ดงามยอดย่งิ
กว่าภูเขาใดๆ ดังพระพุทธเจ้าทที่ รงสมบูรณง์ ดงามยิ่งนกั
๏๏ พญาราชสีห์ (สีหราชา) พระพุทธองค์เปรียบดังพญาราชสีห์ ทรง
ประกอบดว้ ย พระเวสารชั ชญาณ ๔ ประการ เสดจ็ เขา้ ไปกลางบรษิ ทั
ทั้ง ๔ เพ่ือทรงแสดงสัจธรรม ๔ ด้วยพระพุทธลีลาอันงดงามย่ิง
เสมอื นพญาราชสหี ท์ ่ปี ระกอบด้วยบันลอื สหี นาทของตน
๏๏ พญาเสือโคร่ง (พยัคฆราชา) พระผู้มีพระภาคเจ้าเปรียบเหมือน
พยคั ฆราชทรงประดบั ด้วยพระสัพพญั ญุตญาณ พระองค์ทรงตรสั รู้
พระญาณที่ ๑ คือ ปุพเพนิวาสานุสติญาณ (ระลึกชาติได้)
ในปฐมยาม ทรงตรสั รพู้ ระญาณที่ ๒ คือ ทพิ พจกั ขญุ าณ (ตาทิพย์)
ในมัชฌิมยาม ทรงตรัสรู้พระญาณท่ี ๓ คือ อาสวักขยญาณ
(ทำ�ให้กิเลสหมดไป) ในปัจฉิมยาม ญาณทั้ง ๓ อย่างนี้ จึงเป็น
พระสพั พญั ญุตญาณ
224
แนวคดิ คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา
๏๏ พญาเสือเหลือง (ทีปิราชา) พระพุทธเจ้าไม่ทรงยินดีในกามคุณ
ทงั้ ๕ อนั เป็นวิสยั ในโลกทั้ง ๓ คือ พระองค์ไม่ทรงยินดีอะไรทเี่ กิด
ขึ้นในโลกท้ัง ๓ น้ี แต่พระองค์ทรงยินดีในนวโลกุตรญาณธรรม
คือ พระสัพพัญญุตญาณ เพ่ือประโยชน์ด้วยมรรคผลนิพพาน
จงึ ไดร้ ับพระนามว่า ทีปริ าชา หรือพญาเสอื เหลือง
๏๏ พญาม้าพลาหก (พลาหโกอัสสราชา) ม้าพลาหกประกอบด้วย
การก้าวเดินที่สง่า สวยงามกว่าสัตว์ชนิดใด พระผู้มีพระภาคเจ้า
กท็ รงประกอบไปด้วยพละกำ�ลังมาก ทรงก�ำ ลังกายถึง ๑๐ ประการ
สวยงามกว่าสัตว์ใดๆ ท้ังหมด จึงได้รับการถวายพระนามว่า
พลาโหอสั สราชา คอื ม้าพลาหกนัน่ เอง
๏๏ พญาช้างอุโบสถ (อุโปสโต วารณราชา) พระผู้มีพระภาคเจา้ ไมท่ รง
ยนิ ดใี นอารมณ์วิสยั กามคุณ ๕ อะไรๆ ตลอดกาล แต่จะทรงยนิ ดี
อารมณพ์ ระนพิ พาน อนั เปน็ นวโลกตุ รญาณธรรม จงึ ไดร้ บั การถวาย
นามเป็นช้างอโุ บสถ หรอื อโุ บสโถวารณราชา
๏๏ พญาช้างฉัททันต์ (ฉัททันโตวารณราชา) พระผ้มู ีพระภาคเจ้าทรงมี
พระรศั มีมีพรรณ ๖ ประการ ประดับอยูท่ ั่วพระวรกายของพระองค์
๏๏ พญานาควาสกุ รี (วาสุกีอุรคราชา) พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ทรงประดบั
ดว้ ยพระสพั พญั ญตุ ญาณ พญากาลนาคราชไดถ้ วายอาสนะบลั ลงั ก์
แก้วของตนแด่พระองค์ คร้ังนั้นพระองค์ประทับนั่งเสวยวิมุติสุข
เหนือบัลลังก์นั้น เพื่อประโยชน์เกื้อกูลแด่พญากาลนาคราช
วาสกุ ีอรุ คราชา มี ๒ อย่าง คือ โลกิยราชา กบั โลกตุ รราชา
๏๏ พญาหงส์ (หังสราชา) มคี วามหมายว่า พระผูม้ พี ระภาคเจ้าผไู้ มท่ รง
ยินดีโลกยิ สาระ คอื เงินทองมีแก้ว ๗ ประการ เป็นตน้ แต่พระองค์
ทรงยินดีในโลกุตรธรรม คือ มรรคผลนิพพานจึงได้รับการถวาย
พระนามว่า หงั สราชา
225
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
๏๏ พญาไกเ่ ถ่ือน พญาโคอสุ ภราช (พลกุกกุฏอสุ ภราชา) มคี วามว่าเมือ่
ครง้ั กอ่ นพระผมู้ พี ระภาคเจา้ เสวยพระชาตเิ ปน็ โคอสุ ภราช มนี ามวา่
สมุ งั คละ ไมท่ รงสนพระทยั ศตั รทู จี่ ะท�ำ ใหพ้ ระองคห์ วนั่ ไหวกลางคนั
คือ ทรงละศัตรูท่ีจะทำ�การประทุษร้ายพระองค์เสียแล้วทรง
สนพระทัยจะแสดงธรรมโปรดสัตว์ท้ังหลายเท่านั้น เพราะเหตุนี้
พระองคจ์ งึ ได้รับการถวายพระนามวา่ พลกุกกฏุ อสุ ภราชา
๏๏ พญาช้างเอราวณั (เอราวัณโณนาคราชา) มีความวา่ พระพทุ ธองค์
ทรงต้ังอยใู่ นอริยธรรม ทรงยินดใี นศลี สาระ ดุจพญาชา้ งท่ีตั้งอย่ใู น
อริยมรรค พระองค์จึงไดร้ บั การถวายพระนามวา่ เอราวณั โณนาค-
ราชา ค�ำ วา่ เอ เปน็ การแสวงหา รา เปน็ ความยนิ ดี เอรา จงึ เปน็ การ
ค้นหาสาระในอริยธรรมอันยง่ิ ใหญต่ ลอดกาลเป็นเนอื งนติ ย์
๏๏ มังกรทอง (สุวัณโณมังกโร) เปรียบดังพระพุทธองค์ทรงมีความ
ประพฤติที่กล้าแข็ง ในอรหัตมรรคญาณ และอรหัตผลญาณ คือ
วชิรญาณ สามารถตัดกิเลสท้ังปวงได้ ประดุจเลื่อยเพชร จึงได้รับ
การถวายพระนามวา่ สวุ ัณโณมังกโร
๏๏ แมลงภู่ทอง (สุวัณโณภมโร) พระพุทธองค์เปรียบดั่งผ้ึง เคล้าคลึง
ละอองเกสรใหม่จากดอกไม้ท้ังหลาย โดยไม่ทำ�ลายต้นให้เสียหาย
ประดุจท่ีทรงคบหาบริษัท ๔ ทรงกำ�จัดมานะในใจของบริษัทเหล่า
นนั้ ให้ขาดได้ จึงได้รบั การถวายพระนามวา่ สุวัณโณ ภมโร
๏๏ ท้าวมหาพรหมส่ีพักตร์ (จตุมุโขมหาพรหมา) พระพุทธองค์ทรง
ประกอบไปดว้ ยพรหมวหิ าร ๔ มเี มตตา กรณุ า มทุ ติ า อเุ บกขา ทรง
แสดงพรหมวิหารให้สัตว์ท้ังหลาย จึงได้รับการถวายพระนามว่า
จตุมุโข มหาพรหมา
๏๏ เรอื ทอง (สวุ ณั ณนาวา) มคี วามหมายวา่ พระผมู้ พี ระภาคเจา้ เปรยี บ
ดังเรือทองท่ีทรงช่วยสัตว์ท้ังหลายให้ข้ามมหาสมุทรอันลึกล้ำ�
คอื สงสาร ใหไ้ ปถงึ ฝ่ังคือ นพิ พาน เรือทองจงึ เป็นอรหัตมรรคญาณ
และอรหตั ผลญาณ ฉะนี้
226
แนวคดิ คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
๏๏ บลั ลังกแ์ กว้ (รันตปลั ลงั โก) เปน็ บัลลังก์แกว้ คอื รัตนบัลลังก์ท่ีโคน
ตน้ พระศรมี หาโพธิ์ ซงึ่ พระพทุ ธเจา้ ทรงก�ำ จดั หมมู่ ารไดด้ ว้ ยอานภุ าพ
บารมี ๑๐ ของพระองค์
๏๏ พัดใบตาล (ตาลปณั ณัง) ท่านหมายว่า ใบตาลแกว้ คอื พระผู้มีพระ
ภาคเจ้า ทรงแสดงเมตตาธรรมอันเยือกเย็นไว้ในหัวใจของชาวโลก
ท้งั ๓ โลก ดว้ ยพระมหากรุณาของพระองค์
๏๏ เตา่ ทอง (สุวัณโณกัจฉโป) มีความหมายว่า พระผู้มีพระภาคเจา้ ทรง
ตัดกิเลสด้วยวชิรญาณ เพราะเหตุน้ีพระองค์จึงได้รับการถวาย
พระนามว่า สุวณั โณกจั ฉโป
๏๏ แม่โคลูกอ่อน (สุวัจฉกา คาวี) หมายถึง พระพุทธองค์ทรงแสดง
โลกุตตรธรรม ๙ มีช่ือว่า อมตมหานิพพาน แก่ชาวโลกท้ัง ๓
ดว้ ยพระมหากรณุ าของพระองค์ ดจุ แมโ่ คทมี่ ใี จเมตตารกั ลกู ของตน
๏๏ กินนร (กินนโร) มีความหมายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรง
ประกอบด้วยพระมหากรุณาของพระองค์ ไม่ทรงเบียดเบียนสัตว์
ทั้งหมด ด้วยเหตุน้ี พระองคจ์ งึ ไดร้ บั การถวายพระนามวา่ กนิ นโร
๏๏ กนิ นรี (กนิ นร)ี พระผมู้ พี ระภาคเจา้ ผทู้ รงประกอบดว้ ยพระมหากรณุ า
ไม่เบียดเบียนสัตว์อื่นๆ ท้ังหมด จึงได้รับการถวายพระนามว่า
กนิ นรี
๏๏ นกการเวก (กรวิโก) พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม คือ มรรคผล
นิพพาน คือ โลกุตตรธรรม ๙ แก่สัตว์ทั้งหลาย ด้วยพระสุรเสียง
ที่ไพเราะย่งิ นกั ดังนี้ พระองค์จงึ ไดร้ บั การถวายพระนามว่า กรวิโก
หรอื การะเวก
๏๏ พญานกยูง (มยรุ ราชา) มคี วามหมายถึง พระพทุ ธเจา้ ทรงประกอบ
ดว้ ยมหาปุรสิ ลักษณะ ๓๒ ประการ และอนพุ ยญั ชนะ ๘๐ ประการ
ด้วยเหตนุ ี้ พระองค์จงึ ได้รบั การถวายพระนามวา่ มยุรราชา
๏๏ พญานกกระเรยี น (โกญจราชา) หมายถงึ การทพี่ ระพทุ ธองคไ์ มท่ รง
เหยียบถูกพ้ืนดิน เม่ือคราวเสด็จไปไกลๆ ทรงเหาะไปทางอากาศ
ด้วยฤทธิ์ ดังนั้น จึงได้รับการถวายพระนามว่า โกญจราชา หรือ
พญานกกระเรียน
227
คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
๏๏ พญานกจากพราก (จากวากราชา) ด้วยที่พระพุทธเจ้าทรงบันลือ
สีหนาทใหญ่ที่ประกอบด้วยการแสดงธรรม คือ ทศพลญาณแก่
ชาวโลกทง้ั ๓ เพ่อื ใหบ้ รรลุมรรคผลนิพพาน พระองค์จงึ ได้รับการ
ถวายพระนามวา่ จากวากราชา คอื พญานกจากพราก
๏๏ พญานกพริก (ชีวัญชีวกราชา) หมายความถึง การที่พระพุทธเจ้า
ทรงปลดเปลอ้ื งสตั วใ์ หพ้ น้ ไปจากมจิ ฉาชพี ใหเ้ ลยี้ งตนดว้ ยสมั มาชพี
พระองคจ์ งึ ไดร้ บั การถวายพระนามวา่ ชวี ญั ชวี กราชา คอื พญานกพรกิ
๏๏ รูปพรหมชั้นสูงสดุ คอื อกนิฏฐาพรหม ช้นั ๑๖
๏๏ รูปพรหมชั้น ๑๕ คอื สุทัสสพี รหม
๏๏ รปู พรหมชน้ั ๑๔ คือ สทุ ัสสาพรหม
๏๏ รูปพรหมชน้ั ๑๓ คอื อตปั ปาพรหม
๏๏ รูปพรหมชั้น ๑๒ คือ อวิหาพรหม
๏๏ รูปพรหมชั้น ๑๑ คือ เวหัปผลาพรหม
๏๏ รปู พรหมชน้ั ๑๐ คอื อสญั ญีสัตตพรหม (หรือ พรหมลูกฟกั )
๏๏ รปู พรหมชั้น ๙ คอื สุภกิณหาพรหม
๏๏ รูปพรหมช้ัน ๘ คอื อปั ปมาณสภุ าพรหม
๏๏ รูปพรหมชน้ั ๗ คือ ปรติ ตสุภาพรหม
๏๏ รปู พรหมช้ัน ๖ คือ อาภัสสราพรหม
๏๏ รูปพรหมชั้น ๕ คอื อปั ปมาณาภาพรหม
๏๏ รูปพรหมชน้ั ๔ คอื ปริตตาภาพรหม
๏๏ รูปพรหมชน้ั ๓ คือ มหาพรหมาพรหม
๏๏ รปู พรหมชนั้ ๒ คอื พรหมปุโรหิตาพรหม
๏๏ รูปพรหมช้ัน ๑ คือ พรหมปาริสัชชาพรหม
๏๏ สวรรค์ชนั้ ที่ ๖ คือ ปรนมิ มติ วสวตั ตี
๏๏ สวรรค์ชน้ั ท่ี ๕ คอื สวรรคช์ ั้นนมิ มานรดี
๏๏ สวรรค์ชั้นที่ ๔ คอื สวรรคช์ ้นั ดุสิตตา
๏๏ สวรรค์ชนั้ ท่ี ๓ คือ สวรรค์ชน้ั ยามา
๏๏ สวรรค์ช้นั ท่ี ๒ คือ สวรรคช์ ัน้ ดาวดงึ สา
228
แนวคิดคตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๕๑
สัญลกั ษณ์
มงคล ๑๐๘ ประการ
ในรอยพระพุทธบาท
229
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
๏๏ สวรรค์ชน้ั ท่ี ๑ คือ สวรรคช์ น้ั จาตุมหาราชกิ า สัญลกั ษณข์ องสวรรค์
ดาวดงึ สน์ น้ั ตงั้ อยบู่ นยอดประธานมสี วรรคช์ น้ั จาตมุ หาราชกิ าอยบู่ น
ยอดรองทง้ั ๔ ยอด ของเขาพระสเุ มรุ อนั เปน็ แกนของจกั รวาล
อยา่ งไรกต็ าม ในการนบั จำ�นวนภาพสัญลกั ษณข์ องมงคล ๑๐๘ ประการ
ดังกล่าว จะนับจำ�นวนได้เพียง ๙๕ ภาพเท่าน้ัน ยังขาดไป ๑๓ ภาพ
จึงจะครบ ๑๐๘ เน่ืองจากจะต้องนับรวมกับภาพทวีป ภาพมหาสมุทร
ภาพสระใหญ่ และภาพภูเขาใหญ่ เม่ือรวมกันก็จะทำ�ให้ได้ครบ
๑๐๘ ภาพ๑๕๔
แนวคิดสัญลกั ษณด์ อกบวั
บัว เป็นพันธุ์ไม้ชนิดหน่ึงท่ีได้รับการยกย่องว่ามีความสำ�คัญใน
ประวัติศาสตร์ และตำ�นานในลัทธิศาสนาต่างๆ ของอินเดียสมัยโบราณ
บวั จงึ มคี วามหมายปรากฏอยใู่ นคมั ภรี พ์ ทุ ธศาสนาทงั้ ภาษาบาลี และภาษา
สนั สกฤตในหลายความหมาย๑๕๕ พทุ ธศาสนกิ ชนชาวไทยนบั แตส่ มยั โบราณ
ได้นำ�ดอกบัวมาใช้สักการบูชาพระพุทธรูป พระสงฆ์ เพราะดอกบัวเป็นท่ี
ยอมรบั กนั วา่ เปน็ สญั ลกั ษณข์ องความบรสิ ทุ ธสิ์ ะอาด ชาวพทุ ธจงึ มกั เปรยี บ
ดอกบวั กับพระพุทธเจ้า๑๕๖
นอกจากนี้ ดอกบัวยังเป็นเคร่ืองหมายสำ�คัญท่ีปรากฏอยู่ในวัฒนธรรม
ประเพณีของชาวพุทธ รวมท้ังสัญลักษณ์ดอกบัวนำ�มาใช้เป็นส่ือในการ
ถ่ายทอดเนื้อหาทางธรรม และเร่ืองราวหรือเหตุการณ์ในพุทธประวัติ
ผา่ นทางงานศลิ ปกรรมแขนงตา่ งๆ อยู่เสมอ ดอกบัวมีลักษณะพิเศษ คือ
เกิด เตบิ โต เจริญในนำ�้ แตไ่ ม่แปดเปือ้ นน้�ำ นนั้ เปรียบเสมอื นพระพทุ ธเจ้า
ทรงอุบัติในโลก แต่ไม่ถูกครอบงำ�ด้วยโลกธรรม มี ๘ ประการ ได้แก่
ได้ลาภกับเสอื่ มลาภ มียศกบั เสอ่ื มยศ นินทากับสรรเสรญิ สขุ กับทกุ ข์
230
แนวคดิ คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๕๒
ดอกบัว
สัญลักษณท์ าง
พระพทุ ธศาสนา
ในคมั ภรี ท์ างพระพทุ ธศาสนามเี นอื้ หาเรอ่ื งดอกบวั โดยเปรยี บพระพทุ ธเจา้
กับดอกบัว ด้วยพระองค์ทรงพ้นทุกข์ท้ังปวง ความทุกข์ไม่อาจครอบงำ�
พระองคไ์ ดอ้ ีก ทรงเปน็ ผูไ้ ม่หวั่นไหวในโลกธรรม ๘ ทรงเป็นพระสัพพญั ญู
พุทธเจ้า ปรากฏเน้ือหาในพระไตรปฎิ ก๑๕๗ ความวา่
“...ดอกบัวกา้ นมหี นาม เกดิ ในน�้ำ ไมแ่ ปดเปือ้ นดว้ ยน�้ำ และโคนตม ฉนั ใด
มนุ ผี กู้ ลา่ วเรอ่ื งความสงบ กไ็ มย่ นิ ดี ไมแ่ ปดเปอ้ื นในกามและโลก ฉนั นนั้ ...”
“...ผู้เท่ียวไปผู้เดียว มีปัญญา ไม่ประมาท ไม่หวั่นไหวเพราะนินทาและ
สรรเสริญ ไม่สะดุ้งเพราะเสียง เหมือนราชสีห์ ไม่ติดข่าย เหมือนลม
ไม่เปียกน้ำ� เหมือนบัว เป็นผู้แนะนำ�ผู้อ่ืน ไม่ใช่ผู้อ่ืนแนะนำ� นักปราชญ์
ทั้งหลายประกาศวา่ เป็นมนุ ี...”
“...ภิกษุทั้งหลาย ดอกอุบลก็ดี ดอกปทุมก็ดี ดอกบุณฑริกก็ดี เกิดในนำ้�
เจริญในนำ้�โผล่พ้นนำ้�แล้วตั้งอยู่ แต่นำ้�ไม่ติด แม้ฉันใด ตถาคตก็ฉันน้ัน
เหมอื นกนั เกดิ แลว้ ในโลก เจรญิ แลว้ ในโลก ครอบง�ำ โลกอยู่ แตไ่ มต่ ดิ โลก...”
231
คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
นอกจากน้ัน ดอกบัวยังปรากฏในลักษณะของมหาบุรุษของพระพุทธเจ้า
หรือเรียกว่า มหาปรุ ิสลกั ษณะ ๓๒ ประการ ซ่งึ มีรายละเอียดของลักษณะ
ปลกี ยอ่ ยอนื่ อกี เรยี กวา่ อนพุ ยญั ชนะ ๘๐ ประการ เชน่ พระกรรณทง้ั สอง
ข้างมีสัณฐานอันยาวเรียวอย่างกลีบปทุมชาติ พระสรีระกายสดชื่น
ดจุ ดอกปทมุ ชาติ กล่ินพระโอษฐ์หอมฟุง้ เหมือนกลิน่ ดอกอุบล เป็นตน้
ความศรทั ธาในพระรตั นตรยั ประกอบดว้ ยพระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์
ของพุทธศาสนิกชนชาวไทย นับเป็นรากเหง้าของศิลปวัฒนธรรมไทย
ปรากฏเปน็ หลกั ฐานจาก รปู สญั ลกั ษณใ์ นงานพทุ ธศลิ ป์ อาทิ สถาปตั ยกรรม
จิตรกรรม ประติมากรรม และในวรรณกรรม โดยเฉพาะเรื่องราวดอกบัว
ที่มปี รากฏในเนื้อหาพุทธประวัติอยู่หลายเหตกุ ารณ์ ดงั นี้
พระโพธิสัตว์จุติจากสวรรค์ช้ันดุสิต ภาพท่ี ๑๕๓
เพอื่ เขา้ สพู่ ระครรภพ์ ระนางสริ มิ หามายา พทุ ธประวตั ิ
พุทธมารดา คืนท่เี สด็จลงมาบังเกิดน้นั ตอนพระโพธิสัตว์
พระนางสิริมหามายา ทรงมีพระสุบิน- จุติจากสวรรคช์ ั้นดสุ ติ
นิมิตว่า ท้าวจตุมหาราชท้ัง ๔ ได้ยก
พระองคเ์ ขา้ ไปในปา่ หมิ พานต์ ไดม้ ชี า้ ง
เผือกเชือกหน่งึ ลงมาจากยอดเขาทอง
เขา้ มาหาพระนาง ในหนงั สอื ปฐมสมโพธิ
ไดพ้ รรณนาเหตุการณต์ อนนี้ไว้วา่
“...แลมีเศวตหัตถชี า้ งหนง่ึ เทยี่ วอยู่บนภเู ขาทองนน้ั แล้วลงมาจากกาญจน
บรรพตขึน้ มาบนหริ ัญคีรโี ดยอดุ รทิศ ชูซง่ึ งวงอนั จับบุณฑริกปทมุ ชาติขาว
พึ่งบานใหม่มีเสาวคนธ์หอมฟงุ้ ตลบ แล้วร้องโกญจนาทเข้ามาภายในกนก
วิมาน แล้วกระทำ�ประทักษิณพระองค์อันบรรทมถ้วนครบ ๓ รอบแล้ว
เหมอื นดจุ เข้าไปในอุทรประเทศ ฝ่ายทกั ษณิ ปรศั วแ์ ห่งพระราชเทว.ี ..”๑๕๘
232
แนวคิดคตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
ในขณะนั้นเองได้เกิดบุพนิมิตข้ึน ๓๒ ประการ ประการหน่ึงท่ีเกี่ยวกับ
ดอกบัว คือ มีดอกบัวปทุมชาติหรือบัวหลวง ๕ ชนิดเกิดขึ้น อันได้แก่
สตั ตบษุ ยห์ รอื บวั ฉตั รขาว บวั เขม็ ชมพู บณุ ฑรกิ หรอื บวั หลวงขาว ปทมุ หรอื
บัวหลวงชมพู และสัตตบงกชหรือบัวหลวงป้อมแดง เหล่าปทุมชาติ
เกิดดารดาษไปในน้ำ�และบนบกอย่างหน่ึง ผุดงอกข้ึนจากแผ่นหินแห่งละ
เจ็ดดอกอย่างหนึ่ง และห้อยยอ้ ยบนอากาศอีกอยา่ งหนง่ึ
ประสูติ เม่ือเจ้าชายสิทธัตถะ
ทรงก้าวลงจากพระครรภ์ของ
พระราชมารดาแล้วนั้น ทรงผิน
พระพักตร์ไปยังทิศอุดร ช้ีพระ
ดรรชนีขึ้นฟา้ แล้วเสด็จดำ�เนิน
ไป ๗ ก้าว แต่ละก้าวมีดอก
บัวผุดข้ึนมารองรับ และทรง
เปล่งอาสภิวาจาว่า “เราเป็น
ผู้เลิศของโลก เป็นผ้ใู หญ่ท่สี ุด
ของโลก เป็นผู้ประเสริฐท่ีสุด
ของโลก น้ีเป็นการเกิดคร้ัง
ภาพที่ ๑๕๔ สุดท้าย ไม่มีการเกิดใหม่อีก
พทุ ธประวตั ิ ต่อไป” ดอกบัวท่ีผุดขึ้นมารับ
ตอน ประสตู ิ
พระบาทนี้ หมายถึง พระองคจ์ ะเปน็ ผู้บริสทุ ธิ์ ปราศจากกิเลสโดยสนิ้ เชิง
โดยมเี นอ้ื ความปรากฏดงั นี้
“...แลพระโพธสิ ตั วท์ อดพระเนตรไปทงั้ ๑๐ ทศิ มไิ ดเ้ หน็ ผใู้ ดผหู้ นง่ึ ซง่ึ เสมอ
ด้วยพระองค์ จงึ บา่ ยพระพกั ตร์ไปขา้ งทิศอดุ รแลว้ ย่างพระบาทไป ๗ ก้าว
บนพื้นแผ่นทอง อันท้าวจตุโลกบาลถือรองรับ แล้วหยุดยืนบนทิพยปทุม
ชาติมกี ลบี ได้ ๑๐๐ กลีบ...”๑๕๙
233
คติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
ตรัสรู้ เมื่อพระพุทธองค์ตรัสรู้ ภาพท่ี ๑๕๕
อ นุ ต ต ร สั ม ม า สั ม โ พ ธิ ญ า ณ พทุ ธองค์
ทรงท้อพระทัยในการส่ังสอน ทรงพจิ ารณาอุปนิสยั
เวไนยสตั ว์ ทรงพจิ ารณาเหน็ วา่ ของเวไนยสตั ว์
ธรรมท่ีได้ตรัสรู้มีความลึกซ้ึง โดยเปรียบเทียบ
ย า ก ท่ี ส ร ร พ สั ต ว์ ผู้ ยิ น ดี ใ น กบั ดอกบวั ๓ เหล่า
กามคุณจะรู้ตามได้ แต่ด้วย
พระมหากรุณาธิคุณ ทรง
พจิ ารณาอธั ยาศยั ของเวไนยสตั ว์
ทมี่ กี เิ ลสเบาบางทพี่ อจะรธู้ รรม
ตามพระองค์ได้ ทรงเปรียบ
เทียบกับบัว ๓ เหล่า ได้แก่
บัวเกดิ ในนำ�้ บวั เสมอนำ�้ และ
บวั พ้นนำ�้
พุทธประวัติพระอรรถกถาจารย์ กล่าวถึง มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับ
พระบาทของพระพุทธเจ้า ซงึ่ มีเรอ่ื งราวว่า มสี หาย ๒ คน ชือ่ ครหทนิ และ
สริ คิ ตุ ครหทนิ เปน็ สาวกของนคิ รนถน์ กั บวชนอกศาสนา ไดพ้ ยายามชกั ชวน
ให้สิริคุตซ่ึงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาหันไปนับถือลัทธิความเช่ือของตน
โดยอา้ งวา่ เจา้ ลทั ธขิ องตนมคี วามรทู้ ง้ั อดตี ปจั จบุ นั และอนาคต เมอ่ื ไดฟ้ งั
ดังนั้น สิริคุตจึงคิดอุบายเพื่อทดสอบเหล่านิครนท์ด้วยวิธีการขุดหลุมใส่
อจุ จาระไวเ้ ตม็ หลมุ แลว้ น�ำ เสอ่ื มาคลมุ ปดิ ปางหลมุ ไวบ้ รเิ วณหนา้ บา้ นของ
ตน จากน้ันได้นมิ นตส์ าวกของนิครนถม์ าเลย้ี งอาหารที่บ้าน เหลา่ สาวกไม่
ล่วงรู้กลอุบายจึงตกไปในหลุมอุจจาระนั้น ฝ่ายครหทินมีความโกรธแค้น
และคดิ จะทดสอบบา้ ง จงึ วางอบุ ายขดุ หลมุ ใสถ่ า่ นเพลงิ เอาไวห้ นา้ บา้ น โดย
ใช้เสือ่ คลุมปิดปากหลมุ ไว้ แล้วอาราธนาพระพุทธเจ้าพรอ้ มด้วยพระสาวก
ไปฉันอาหารท่ีบ้านของตนบ้าง ครั้นเมื่อพระพุทธองค์ทรงดำ�เนินเหยียบ
บนเสื่อ ถ่านเพลิงในหลุมกลับกลายเป็นดอกบัวผุดขึ้นมารองรับพระบาท
ไว้ได้อยา่ งนา่ อัศจรรย์
234
แนวคดิ คติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา
แนวคดิ สญั ลักษณพ์ ระฉัพพรรณรังสี
ฉพั พรรณรังสี หมายถงึ รัศมี ๖ ประการ ซ่งึ เปลง่ ออกจากพระวรกายของ
องค์พระสมั มาสัมพุทธเจา้ คอื สีเขยี ว สเี หลือง สีแดง สีขาว สสี ม้ และ
สีเลื่อมพราย๑๖๐ ซึง่ มีรายละเอยี ด ดังน้ี
-- นีล เขียวเหมือนดอกอญั ชนั
-- ปีต เหลอื งเหมอื นหรดาลทอง
-- โลหิต แดงเหมอื นตะวันออ่ น
-- โอทาต ขาวเหมอื นแผน่ เงิน
-- มัญเชฐ สหี งสบาท เหมือนดอกเซง่ หรือหงอนไก่
-- ประภัสสร เลอื่ มพรายเหมอื นแกว้ ผลึก
ภาพที่ ๑๕๖ พระฉัพพรรณรังสี มีเน้ือหา
พระฉพั พรรณรังสี ปรากฏในพุทธประวัติ คร้ังเม่ือ
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ทเ่ี ปล่งออกจาก ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ทรง
พระวรกาย ประทับเสวยวิมุติสุขอยู่ใต้ร่ม
พระพุทธเจ้า พระศรีมหาโพธ์ิน้ัน เป็นเวลา
๗ วนั และเสดจ็ ไปเสวยวมิ ตุ สิ ขุ
ในสถานท่ีต่างๆ ในบริเวณน้ัน
อกี ๖ แห่ง ส่วนช่วงเวลาทเ่ี กิด
ฉัพพรรณรังสี เป็นสถานท่ี ๔
ซ่งึ อย่ทู างด้านทิศตะวันตกเฉียง
เหนือ ของต้นพระศรีมหาโพธ์ิ
โดยมีเทวดามาเนรมิตเรือนแก้ว
ถวายให้เป็นท่ีประทับ เรียกว่า
รัตนฆรเจดีย์ ในสถานท่ีน้ันพระพุทธองค์ทรงพิจารณาพระอภิธรรมปิฎก
อยเู่ ปน็ เวลา ๗ วนั แสงรศั มที ง้ั ๖ ประการน้ี พวยพงุ่ แผซ่ า่ นออกมาจาก
พระวรกายพรอ้ มกนั แสงรศั มไี มท่ �ำ ใหเ้ กดิ เงาและความรอ้ น รศั มนี จ้ี ะเกดิ ขน้ึ
235
คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
แต่เฉพาะพระพุทธเจ้าและเทวดาเท่าน้ัน พระฉัพพรรณรังสีท้ัง ๖ สีน้ัน
มไิ ดพ้ งุ่ ออกจากพระวรกายของพระพทุ ธองคแ์ ยกเปน็ สี แตม่ ลี กั ษณะแผซ่ า่ น
ออกมาพร้อมกัน ปรากฏเน้ือหาในหนังสือปฐมสมโพธิ ตอน การเกิด
ฉพั พรรณรงั สี เมอ่ื พจิ ารณาพระอภธิ รรมปฎิ กคมั ภรี ท์ ่ี ๗ วา่ ดว้ ยมหาปฏั ฐาน
ความวา่
“...ในล�ำ ดบั นนั้ พระฉพั พรรณรงั สกี โ็ อภาสแผอ่ อกจากพระสรรี กายา อนั วา่
นลิ ประภากเ็ ขียวสด เสมอด้วยสีแห่งดอกอญั ชญั มฉิ ะนัน้ ดุจพืน้ แหง่ เมฆ
ดลและดอกนิลุบลแลปีกแห่งแมลงภู่ ผุดออกจากพระอังคาพยพในท่ีอัน
เขียวแล่นไปจับเอาราวป่าและพระรัศมีท่ีเหลืองนั้น มีครุวนาดุจสีหรดาร
ทองแลดอกกรรณกิ าร์แลกาญจนปฏั อนั แผ่ไว้ พระรศั มอี อกจากพระสรีระ
ประเทศในที่อันเหลืองแล้วแล่นไปสู่ทิศานุทิศต่างๆ พระรัศมีที่แดง
อยา่ งพาลทพิ ากร แลแกว้ ประพาฬแลกมทุ ประทมุ กสุ มุ ชาตโิ อภาสออกจาก
พระสรีรอินทรีย์ในท่ีอันแดง แล้วแล่นฉวัดเฉวียนไปในประเทศที่ท้ังปวง
พระรัศมีที่ขาวดุจดวงรัชนิกร แลแก้วมณี แลสีสังข์ แลแผ่นเงิน
แลดวงผกาพรึก พุ่งออกจากพระสรีรประเทศในท่ีอันขาวแล้วไปในทิศ
โดยรอบ พระรัศมีหงสบาทก็พิลาสเล่ห์ประดุจสีดอกเซ่ง แลดอกชบา
แลดอกหงอนไก่ ออกจากพระกรัชกายรุ่งเรืองจำ�รัส พระรัศมีประภัสสร
ประภาครุวนาดุจสีแก้วผลึก แลแก้วไพฑูรย์ เล่ือมประพรายออกจาก
พระบวรกาย แล้วแล่นไปในทศทิศวิจิตรรุจีโอฬาร แลพระฉัพพรรณรังสี
ทงั้ ๖ ประการ แผไ่ พศาลแวดล้อมไปโดยรอบพระสกลกายนิ ทรยี ์กำ�หนด
ที่ ๑๒ ศอกโดยประมาณ อันวาศศิสุริยประภา แลดาราก็วิกลวิการ
อันแสงเศร้าสดี ุจห่งิ ห้อยเหอื ดสน้ิ สูญ มิไดจ้ ำ�รูญไพโรจนโ์ ชติชัชวาล...”๑๖๑
นอกจากนี้ พระฉัพพรรณรังสีจะแผ่ออกจากพระวรกายของพระพุทธเจ้า
และเทวดาเท่าน้ัน ฉัพพรรณรังสีที่แผ่ออกจากเทวดาจะเห็นได้ดังท่ี
พรรณนาไว้ในพระสูตรต่างๆ ในเวลาที่เทวดามาเฝ้าพระพุทธเจ้า อาทิ
มีเทวดาตนหนึ่งมีรัศมีสว่างจ้าเข้ามายังพระเชตวันมหาวิหาร เป็นเหตุให้
พระเชตวันสว่างไสวไปทั่วท้ังบริเวณ เข้าเผ้าพระพุทธเจ้าท่ีประทับ
236
แนวคิดคติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา
ความสว่างของรัศมีน้ัน ไม่เหมือนแสงเดือนแสงตะวัน หรือไม่เหมือน
แสงไฟ เปน็ แสงสวา่ งทเ่ี สมอกนั ทงั้ หมด และเปน็ แสงสวา่ งทไ่ี มม่ เี งาเหมอื น
แสงอ่ืน เป็นแสงที่แผ่ไปติดอยู่ทั่วบริเวณ มีข้อความในปฐมสมโพธกถา
ปริเฉทท่ี ๑๓ ธรรมจักรปรวิ รรต ความวา่
“...ฝา่ ยอปุ กาชวี เดนิ มาโดยทรุ าคมวถิ ที างไกลระหวา่ ง คยาประเทศเขตเมอื ง
ราชคฤห์กับมหาโพธิญาณติดต่อกัน แลเห็นไพสณฑ์สถานอันโอฬาร
ไพโรจน์พรรณราย ด้วยข่ายฉัพพรรณรังสีโสณิวิลาส ปรากฏโดยทิวา
ทศั นาการทงั้ พสธุ ารแลอากาศโอภาสดว้ ยพระรศั มมี พี รรณแหง่ ละ ๖ อยา่ ง
ทั่วท้ังทิศล่างและทิศบน มาสัมผัสกายตนประหลาดมหัศจรรย์ไม่เคยได้
พบเห็นเป็นเช่นน้ีมาแต่ก่อน ถ้าจะเป็นเพลิง ไฉนกายอาตมาจึงไม่ร้อน
กระวนกระวายแม้จะเป็นนำ้� ไฉนกายอาตมาจะไม่ชุ่มชื้นเย็นนี่จะเป็นส่ิง
อันใดยิ่งสงสัยสนเท่ห์จิต จึงเพ่งพิศไปข้างโน้นข้างน้ี ก็เห็นองค์พระผู้ทรง
สวสั ดภ์ิ าคยเ์ สดจ็ บทจรมา รงุ่ เรอื งดว้ ยพระสริ ฉิ นั ธมหาสวา่ งตสิ สรุ ะ ลกั ษณะ
แลพระพยามประภาโอภาสเบอื้ งบน พระสรุ ยิ ะกช็ ว่ งโชตดิ ว้ ยพระเกตมุ าลา
ครนุ าดจุ ทองทงั้ แทง่ ประดบั ดว้ ยฉพั พรรณรงั สี รงั สแี สงไพโรจนจ์ �ำ รสั ...”๑๖๒
ภาพท่ี ๑๕๗ ภาพสัญลักษณ์ดอกบัวบาน
ภาพสัญลกั ษณ์ มฉี พั พรรณรงั สลี อ้ มรอบ กลบี
และเกสรดอกบวั มจี �ำ นวนเปน็
การประสตู ิ ตัวเลขศักด์ิสิทธ์ิ กล่าวคือ
จากหินสลกั มีกลีบ ๑๒ กลีบ เส้นเกสร
แบบภารหตุ ๓๖ เสน้ จดุ เกสรตวั เมยี ๗ จดุ
สมัยสงุ คะ รัศมีฉัพพรรณรังสี รอบนอก
ศิลปะอินเดยี ๓๖ เสน้ ฉัพพรรณรังสี หมาย
ถงึ สี ๖ สี ในที่นีม้ ี ๓๖ ชุดหรือ
กลีบละ ๑ ชุดสี ทั้งน้ี การสลัก
ภ า พ ข อ ง สี ท้ั ง ห ก ล ง ใ น หิ น
237
คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๕๘
ธงฉัพพรรณรงั สี
รูปทรงกลมรูปดอกบัว เป็นความคิดท่ีแยบคายท่ีสุด เน่ืองจากฉัพพรรณ
รงั สเี ปน็ เครอื่ งหมายของปญั ญาและอ�ำ นาจ เมอื่ รวมเขา้ ดว้ ยกนั แลว้ แผซ่ า่ น
ออกจากสิ่งใด หมายความว่าสิ่งนั้นย่อมเป็นสิ่งสูงสุดในทางปัญญาหรือ
ความประเสริฐ๑๖๓
นอกจากน้ี ธงฉัพพรรณรังสี เกิดขึ้นในประเทศศรีลังกา โดยพุทธสมาคม
โคลอมโบ ประเทศศรีลังกา ได้นำ�สีทั้ง ๖ น้ีมาสร้างเป็นธง เรียกว่า
ธงฉัพพรรณรังสี เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๓ และต่อมาใช้เป็นธงสัญลักษณ์สากล
ของพระพุทธศาสนา โดยใช้ประดับบริเวณพุทธสถาน หรือสถานที่
จัดกิจกรรมวันสำ�คัญทางศาสนา อาทิ วันมาฆบูชา วันวิสาขบูชา
วนั อาสาฬหบชู า ทงั้ น้ี ในโอกาสทม่ี งี านฉลองพทุ ธชยนั ตี ๒๖๐๐ ปแี หง่ การ
ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าในปี พ.ศ. ๒๕๕๕ พุทธศาสนิกชนชาวไทยได้นำ�
ธงฉัพพรรณรังสีมาใช้ประดับวัดวาอารามและศาสนสถานท่ัวไป
238
แนวคิดคตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
รปู แบบทางศลิ ปกรรมเนอ่ื งในพระพทุ ธศาสนา ของงานจติ รกรรมลา้ นนา
ทสี่ ะทอ้ นคตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนา
รปู แบบทางศลิ ปกรรมของจติ รกรรมลา้ นนาทสี่ ะทอ้ นคตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธ
ศาสนา สามารถจ�ำ แนกไดเ้ ป็น ๒ กลุม่ คอื รปู แบบจติ รกรรมภาพเล่าเรอ่ื ง
และรปู แบบจติ รกรรมรปู สญั ลกั ษณ์ กลา่ วคอื งานศลิ ปกรรมลา้ นนาทเี่ นอื่ ง
ในพระพทุ ธศาสนาสว่ นมาก กจ็ ะอาศยั เรอ่ื งราวทเี่ กดิ จากการตคี วามเนอื้ หา
จากคติจักรวาลวิทยาในพุทธศาสนา นำ�มาเป็นแรงบันดาลใจในการ
สร้างสรรค์ผลงานศิลปะแขนงต่างๆ ได้แก่ สถาปัตยกรรม จิตรกรรม
ประติมากรรม และงานพุทธศิลป์อ่ืนๆ โดยเฉพาะจิตรกรรมประเพณี
ในเขตวัฒนธรรมล้านนา ที่มีอายุในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๒๐–๒๕
ซ่ึงเป็นผลงานศิลปะท่ีมีท้ังรูปแบบประณีตสวยงาม ด้วยกรรมวิธีของช่าง
ไทยแตโ่ บราณ และแบบเรยี บงา่ ย ซอื่ บรสิ ทุ ธใิ์ นแบบศลิ ปะพนื้ บา้ นลา้ นนา
โดยนยิ มเขยี นเรอ่ื งราวเกยี่ วกบั อดตี พทุ ธ พทุ ธประวตั ิ ทศชาตชิ าดก ไตรภมู ิ
และวรรณกรรมในท้องถิ่น และถ่ายทอดคติจักรวาลด้วยภาพสัญลักษณ์
ตา่ งๆ อาทิ จิตรกรรมสมุดภาพไตรภมู ิ ฉบับอกั ษรธรรมลา้ นนา จติ รกรรม
ฝาผนังบนแผงไม้คอสอง ตอน ประวัติพระอินทร์ ภายในวิหารนำ้�แต้ม
วดั พระธาตลุ �ำ ปางหลวง จติ รกรรมฝาผนงั เลา่ เรอื่ งนรกภมู ิ และพทุ ธประวตั ิ
ตอน เสดจ็ ลงจากสวรรค์ช้นั ดาวดึงส์ ภายในวิหารวดั บ้านกอ่ อำ�เภอเวยี ง
เหนือ จังหวัดล�ำ ปาง จติ รกรรมฝาผนัง เร่ือง เนมิราชชาดก และนรกภูมิ
ภายในวิหารวัดบวกครกหลวง อำ�เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จิตรกรรม
ฝาผนัง เรื่อง คติจักรวาล และแม่กาเผือก (พระเจ้า ๕ พระองค์) วิหาร
วัดทา่ ขา้ ม อ�ำ เภอแมแ่ ตง จงั หวดั เชยี งใหม่ จิตรกรรมฝาผนงั เร่อื ง นรกภมู ิ
เปรตภูมิ และสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ ภายในวิหารวัดภูมินทร์ อำ�เภอเมือง
จังหวัดน่าน จิตรกรรมฝาผนัง ภาพพระอดีตพุทธเจ้า และเขาพระสุเมรุ
ภายในวิหาร วัดหนองบัว อำ�ท่าวังผา จังหวัดน่าน นอกจากจิตรกรรม
สมุดภาพไตรภูมิ และจิตรกรรมฝาผนังแล้ว จากการศึกษายังพบว่า
มจี ติ รกรรมลา้ นนาทม่ี เี นอื้ หาเกย่ี วกบั คตจิ กั รวาลทใี่ ชเ้ ทคนคิ การเขยี นสฝี นุ่
239
คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ลงบนผ้าอีกส่วนหนึ่ง ได้แก่ จิตรกรรมพระบฏ ตอน พระพุทธเจ้าเสด็จ
ลงจากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ จากวัดดอกเงิน อำ�เภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
พระบฏ ตอน พระพทุ ธเจา้ ปางเปดิ โลก จากวดั เจดยี ส์ งู อ�ำ เภอฮอด จงั หวดั
เชียงใหม่ และพระบฏพระพุทธเจ้าเสด็จโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์
ช้ันดาวดึงส์ ตอนบนเขียนภาพพระพุทธเจ้า ๕ พระองค์ ศิลปะล้านนา
จากเมืองเชียงใหม่ รวมไปถึงจิตรกรรมบนผ้ายันต์พระสิงห์หลวง
จากวัดพระสงิ หว์ รวิหาร อ�ำ เภอเมอื ง จังหวดั เชยี งใหม่ เปน็ ต้น
นอกจากน้ี จากการศึกษากลุ่มงานจิตรกรรมล้านนาที่สะท้อนคติจักรวาล
วิทยาพุทธศาสนาดว้ ยภาพสญั ลักษณ์ตา่ งๆ ซง่ึ มคี วามหมายเกีย่ วกบั พทุ ธ
ปรัชญา โดยได้รบั อิทธิพลจากงานศลิ ปะเคร่อื งรกั และมกี รรมวิธกี ารสรา้ ง
ที่หลากหลาย อาทิ ลายรดนำ้�บนอาสนา แสดงสญั ลักษณ์ เขาพระสุเมรุ
และเขาสัตตบริภัณฑ์ วัดพระธาตุศรีจอมทอง อำ�เภอจอมทอง จังหวัด
เชยี งใหม่ ลายค�ำ บนฝาผนงั ภาพพระอดตี พทุ ธเจา้ และตน้ พระศรมี หาโพธิ์
วิหารนำ้�แต้ม วัดพระธาตลุ ำ�ปางหลวง และลายคำ�บนผนังไม้ ลายหมอ้ น้�ำ
ปรู ณฆฏะ วัดปกยางคก อ�ำ เภอเกาะคา จังหวัดลำ�ปาง รวมท้งั ภาพเจดยี ์
จุฬามณี บนสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ จากลายคำ�บนหีบธรรมในวัดล้านนา
จิตรกรรมลายประดับมุกบนรอยพระพุทธบาทไม้ แสดงภาพสัญลักษณ์
มงคล ๑๐๘ และสญั ลกั ษณค์ ตจิ กั รวาล จากวดั พระสงิ ห์ อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั
เชยี งใหม่ จติ รกรรมลายดาวเพดาน ภายในวหิ ารวดั ตน้ เกวน๋ อ�ำ เภอหางดง
จังหวัดเชียงใหม่ และลายดาวเพดาน ภายในวหิ ารวดั บ้านก่อ อ�ำ เภอเวยี ง
เหนือ จังหวดั ล�ำ ปาง
ดังน้ัน จากการศึกษาจึงสามารถสรุปได้ว่า รูปแบบทางศิลปกรรมของ
จิตรกรรมล้านนาที่สะท้อนคติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนา มีลักษณะเด่น
ที่หลากหลาย ด้วยการแสดงออกทางศลิ ปะ และเทคนคิ กรรมวธิ กี ารสรา้ ง
ซึง่ ได้รบั อิทธพิ ลด้านรปู แบบจากศิลปะสกุลช่างต่างๆ อาทิ ศิลปะสกุลชา่ ง
พม่าและไทใหญ่ สกุลช่างไทล้ือ สกุลช่างพื้นบ้าน และสกุลช่างหลวง
ตัวอย่างงานจิตรกรรมล้านนาท่ีได้รับอิทธิพลจากศิลปะพม่าสกุลช่าง
240
แนวคิดคติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ไทใหญ่ ไดแ้ ก่ จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารวดั บวกครกหลวง อ�ำ เภอเมอื ง
จิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารวัดป่าแดด อำ�เภอแม่แจ่ม และจิตรกรรม
ฝาผนงั ภายในวหิ าร วดั ทา่ ขา้ ม จงั หวดั เชยี งใหม่ อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะพน้ื บา้ น
สกลุ ชา่ งไทลอ้ื ไดแ้ ก่ จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารวดั ภมู นิ ทร์ อ�ำ เภอเมอื ง
และวดั หนองบวั อ�ำ เภอทา่ วงั ผา จงั หวดั นา่ น รวมทง้ั จติ รกรรม แบบสกลุ ชา่ ง
พื้นถิ่น ได้แก่ จิตรกรรมฝาผนังและดาวลายดาวเพดาน ภายในวิหาร
วัดบ้านก่อ อำ�เภอวังเหนือ จังหวัดลำ�ปาง และผ้ายันต์พระสิงห์หลวง
จังหวัดเชียงใหม่ นอกจากน้ี ยังไดร้ บั อทิ ธพิ ลดา้ นเทคนิคกรรมวิธีการสร้าง
งานศิลปะเครื่องรัก หรือทางภาคเหนือนิยมเรียกว่า เครื่องเขิน ทั้งแบบ
สกุลช่างหลวง และสกุลช่างพ้ืนถ่ิน งานรูปแบบสกุลช่างหลวง ได้แก่
ลายประดับมุกบนรอยพระพุทธบาท วัดพระสิงห์ อำ�เภอเมือง และ
ลายรดน้ำ�บนอาสนา วัดพระธาตุศรีจอมทอง อำ�เภอจอมทอง จังหวัด
เชียงใหม่ ส่วนรูปแบบสกุลชา่ งพื้นถิน่ เชน่ ลายดาวเพดาน ภายในวหิ าร
วัดตน้ เกวน๋ อ�ำ เภอหางดง จังหวดั เชียงใหม่ ลายคำ�บนฝาผนงั ภายวิหาร
นำ้�แต้ม จังหวัดลำ�ปาง และลายคำ�บนหีบธรรม ศิลปะล้านนา เป็นต้น
ถงึ แมว้ า่ งานจติ รกรรมลา้ นนาทส่ี ะทอ้ นคตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาจะได้
รบั อทิ ธิพลด้านรูปแบบและเทคนคิ จากศิลปะสกุลช่างต่างๆ ก็ตาม แต่ก็ได้
มกี ารผสมผสานขนึ้ ใหม่ จนมลี กั ษณะเฉพาะเปน็ ของตนเอง ซงึ่ แตกตา่ งกนั
ออกไปในแต่ละท้องถน่ิ เป็นการสะทอ้ นให้เห็นถึงความหลากหลายท่ีเป็น
ลกั ษณะเด่นของงานจติ รกรรมลา้ นนา
แนวคิด สญั ลกั ษณ์ คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนา
ในงานจิตรกรรมลา้ นนา
แนวคิดเชิงสัญลักษณ์อันเป็นหลักการสำ�คัญท่ีมีความสัมพันธ์เช่ือมโยง
กับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาและคติความเช่ือจากวัฒนธรรมประเพณี
ของชาวพุทธในล้านนาที่มีมาแต่อดีต ๑๐ แนวคิด ได้แก่ แนวคิดเร่ือง
โลกิยะ–โลกุตตระ แนวคิดเรื่องไตรภูมิ ไตรภพ ไตรโลก แนวคิดเรื่อง
สังสารวัฏ แนวคิดอนันตจักรวาล แนวคิดสัญลักษณ์พระอดีตพุทธเจ้า
พระปัจจุบันพุทธเจ้า พระอนาคตพุทธเจ้า แนวคิดมหาปุริสลักษณะ
241
คติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
๓๒ ประการ แนวคดิ อายตนะโลก แนวคดิ สญั ลกั ษณ์มงคล ๑๐๘ แนวคิด
สญั ลักษณด์ อกบัว และแนวคดิ สญั ลักษณพ์ ระฉัพพรรณรังสี
อย่างไรก็ตาม การสร้างสรรค์ผลงานศิลปกรรมล้านนาทุกแขนง แม้จะมี
บทบาท หนา้ ที่ รปู แบบ และกรรมวธิ กี ารสรา้ งทแ่ี ตกตา่ งกนั ออกไป แตล่ ว้ น
แล้วแต่มีแรงบันดาลใจมาจากแนวคิดคติจักรวาลพุทธศาสนาเหมือนกัน
ดังเช่น การวางผังพุทธสถานหรือวัดในล้านนา กำ�หนดให้พระธาตุเจดีย์
ตั้งอยู่ในตำ�แหน่งศูนย์กลางของผัง เป็นสัญลักษณ์ของเขาพระสุเมรุ
ศนู ยก์ ลางจกั รวาล ลานทรายเปรยี บไดก้ บั สที นั ดรสมทุ ร สว่ นวหิ ารทตี่ งั้ อยู่
ทั้ง ๔ ทิศ เป็นสัญลักษณ์หมายถึงทวีปท้ัง ๔ โดยเฉพาะวิหารทางด้าน
ทิศใต้จะเป็นวิหารท่ีประดิษฐานพระพุทธรูปสำ�คัญหรือวิหารพระพุทธ
อันเป็นสัญลักษณ์ของชมพูทวีป ซ่ึงเป็นดินแดนเดียวเท่านั้น ที่จะมี
พระพุทธเจ้าอุบตั ิขึ้นมาตรัสรู้ และเผยแผพ่ ระธรรมคำ�สอน เพอ่ื โปรดสตั ว์
ให้หลุดพ้นจากความทุกข์ รวมไปถึงศาลาบาตรซ่ึงเป็นสัญลักษณ์ของ
เขาก�ำ แพงจกั รวาล
ในงานสถาปัตยกรรมล้านนา อาทิ พระธาตุเจดีย์ อุโบสถ วิหาร
หอพระไตรปิฎก รวมไปถึงองค์ประกอบสถาปัตยกรรมต่างๆ เช่น
ซมุ้ โขงปราสาท ซมุ้ ประตโู ขง ปราสาทเฟอ้ื ง ชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์ บนั ได
นาค สิงห์ นาคทัณฑ์ และลวดลายประดับต่างๆ ตลอดจนในงาน
ประตมิ ากรรม อาทิ พระพุทธรปู พระโพธิสตั ว์ เทวรูป และสตั ว์หมิ พานต์
ทงั้ น้ี งานศลิ ปกรรมดงั กลา่ วลว้ นแลว้ แตส่ รา้ งสรรคด์ ว้ ยเรอ่ื งราวจากแนวคดิ
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาทงั้ สน้ิ ยกตวั อยา่ งเชน่ พระพทุ ธรปู ปางตา่ งๆ
ไดแ้ ก่ พระพุทธรปู ปางโปรดพุทธมารดา (บนสวรรคช์ ั้นดาวดึงส์) พระพทุ ธ
รปู ปางเปิดโลก (นรก มนุษย์ สวรรค์) พระพทุ ธรูปปางเสรจ็ ลงจากสวรรค์
ชน้ั ดาวดงึ ส์ พระพทุ ธรปู ปางลีลา พระพทุ ธรปู ปางนาคปรก และพระพทุ ธ
รปู ปางโปรดเทา้ พกาพรหม เปน็ ตน้ สว่ นงานประตมิ ากรรมปนู ปนั้ รปู เทวดา
และสัตว์หิมพานต์ต่างๆ ที่ประดับอยู่ตามอาคารพุทธสถานล้านนา
ก็เปน็ องค์ประกอบสว่ นหนงึ่ ของเนือ้ หาจากเรอื่ งไตรภูมิ
242
แนวคดิ คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
นอกจากน้ี แนวคดิ คตจิ กั รวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนายงั ปรากฏอยใู่ นงาน
พทุ ธศลิ ป์ และงานประณตี ศลิ ปอ์ ่นื ๆ ของลา้ นนาอยูเ่ สมอ เช่น ปราสาท
ศพพระสงฆล์ า้ นนา ธรรมมาสน์ รอยพระพทุ ธบาท และสตั ตภณั ฑ์ เปน็ ตน้
ส่วนในงานศลิ ปะพื้นบา้ น และพธิ กี รรมในวฒั นธรรมประเพณขี องลา้ นนา
นั้น คติความเช่ือเรื่องไตรภูมิ และจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาได้เข้ามา
ผสมผสานกับคติความเชื่อเร่ือง นรก สวรรค์ ของศาสนาพราหมณ์
และความเช่ือด้ังเดิมเรื่องไสยศาสตร์ ส่ิงศักด์ิสิทธิ์ โดยมีพุทธธรรมเรื่อง
กฎแห่งกรรม เป็นแกนหลักของความเช่ือ โดยเฉพาะที่ปรากฏอยู่ใน
ประเพณีสิบสองเดือนของล้านนา เช่น ประเพณีข้ึนท้าวทั้ง ๔ ประเพณี
บชู าเสาอินทขีล ประเพณีตักบาตรเทโว ประเพณีกอ่ เจดียท์ ราย ประเพณี
ลากปราสาทศพหรอื ปอยล้อ และประเพณยี ่เี ปง็ เป็นต้น
ดังนนั้ จากการศกึ ษาจึงสามารถสรุปได้วา่ แนวคิด สัญลักษณ์ คตจิ กั รวาล
วทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา คอื ความคดิ หรอื มโนคติ ซงึ่ เปน็
องค์ประกอบทางนามธรรมของงานศลิ ปะ อันมีท่มี าจากคตคิ วามเช่อื และ
ความศรัทธาในพระพุทธศาสนา มาประสานเช่ือมโยงกับองค์ความรู้เร่ือง
โลกและจกั รวาลในคมั ภรี ท์ างพทุ ธศาสนา พทุ ธปรชั ญา รวมทง้ั จนิ ตนาการ
ของนายชา่ งศลิ ปนิ โดยมลี กั ษณะเปน็ การบรู ณาการเขา้ ดว้ ยกนั จนกอ่ เกดิ
เปน็ จนิ ตภาพขน้ึ ในใจ แลว้ จงึ น�ำ มาถา่ ยทอดเปน็ ผลงานศลิ ปะดว้ ยรปู แบบ
จิตรกรรม ซึ่งเป็นองค์ประกอบทางรูปธรรมของงานศิลปะ อันเป็นสื่อ
สัญลักษณ์ที่มีความหมายเช่ือมโยงสัมพันธ์กับวัฒนธรรมวิธีคิดของ
ชาวพุทธในท้องถิ่นล้านนา ทั้งงานจิตรกรรมที่มีรูปแบบเป็นภาพเล่าเร่ือง
และภาพสัญลักษณ์ รวมไปถึงงานจิตรกรรมยังแสดงความหมาย
โดยสัมพันธ์เชื่อมโยงกับงานศิลปกรรมแขนงอ่ืนๆ ภายในพุทธสถาน
ลา้ นนาอยา่ งเป็นองค์รวม ท้ังน้ี ผลสัมฤทธิ์ของการสร้างสรรค์ ยงั ท�ำ หน้าท่ี
เป็นสื่อศิลปะท่ีสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าและความหมายอันลึกซึ้งของ
หลกั ธรรมในพระพุทธศาสนา
243
เชิงอรรถ
๑ ราชบณั ฑิตยสถาน. พจนานกุ รมศัพทศ์ ลิ ปกรรม อักษร ก-ฮ ฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน
(กรงุ เทพฯ : ด่านสทุ ธาการพมิ พ์ จ�ำ กดั ), ๒๕๕๐. หน้า ๒๐๖.
๒ พระมหาหรรษา ธมมฺ หาโส (นธิ ิบณุ ยากร). พทุ ธจกั รวาลวิทยา
(กรงุ เทพฯ : โรงพิมพม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั ), ๒๕๕๐. หน้า ๑๔.
๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต). ไตรภมู พิ ระร่วงอิทธพิ ลตอ่ สงั คมไทย (กรุงเทพฯ : โกมลคีมทอง),
๒๕๔๒. หนา้ ๓-๕.
๔ โชติ กัลยาณมติ ร. พจนานุกรมสถาปัตยกรรม และศิลปะทีเ่ ก่ียวเนือ่ ง. พมิ พค์ รั้งที่ ๒ (กรงุ เทพฯ :
ดา่ นสทุ ธาการพิมพ์), ๒๕๔๘. หน้า ๒๔.
๕ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ โต). ไตรภมู ิพระรว่ งอทิ ธพิ ลตอ่ สงั คมไทย. หนา้ ๑๗.
๖ ระวี ภาวไิ ล. โลกทัศน์ ชีวทศั น์ : เปรยี บเทยี บวิทยาศาสตรก์ บั พระพทุ ธศาสนา (กรงุ เทพฯ :
สหธรรมิก จ�ำ กัด), ๒๕๔๓. หน้า ๒๕-๒๘.
๗ สน สมี าตรัง. สญั ลกั ษณแ์ ละววิ ัฒนาการภาพไตรภมู แิ ละจกั รวาลตามคตพิ ทุ ธศาสนานกิ าย
เถรวาทในจติ รกรรมฝาผนังไทย (การประชุมทางวชิ าการนานาชาติ เรือ่ ง “ไทยศกึ ษา” คร้งั ท่ี ๔
ณ เมอื งคนุ มิง ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจนี ), ๒๕๓๓. หน้า ๑.
๘ เสถียรพงษ์ วรรณปก. คำ�บรรยายพระไตรปิฎก. พมิ พ์คร้งั ท่ี ๕ (กรงุ เทพฯ : สถาบนั บนั ลือธรรม),
๒๕๕๒. หนา้ ๓.
๙ สชุ ีพ ปุญญานภุ าพ. พระไตรปฎิ กฉบบั ประชาชน. พมิ พค์ รัง้ ที่ ๑๖ (กรงุ เทพฯ :
มหามกุฎราชวิทยาลัย), ๒๕๓๙. หนา้ ๕๖๙.
๑๐ พระไตรปฎิ ก ฉบับบาลสี ยามรัฐ (ภาษาไทย) เลม่ ที่ ๒๓ พระสุตตันตปฎิ ก เลม่ ที่ ๑๕ อังคตุ ตรนิกาย
สตั ตก-อัฏฐก-นวกนบิ าต. หนา้ ๘๔.
๑๑ เรื่องเดียวกัน. หนา้ ๘๕.
๑๒ สุชีพ ปญุ ญานภุ าพ. พระไตรปฎิ กฉบบั ประชาชน. หน้า ๕๑๒.
๑๓ พระไตรปิฎก ฉบับบาลสี ยามรัฐ (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๒๐ พระสุตตันตปิฎก เลม่ ที่ ๑๒ อังคุตตรนิกาย
เอก-ทกุ -ติกนบิ าต. หนา้ ๒๑๕-๒๑๗.
๑๔ พระไตรปฎิ ก ฉบับบาลสี ยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มท่ี ๑๑ พระสตุ ตันตปฎิ ก เล่มท่ี ๓ ทีฆนกิ าย
ปาฏกิ วรรค. หน้า ๖๕.
๑๕ เร่อื งเดยี วกัน. หน้า ๖๕.
๑๖ พระไตรปฎิ ก ฉบบั บาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๑๘ พระสุตตันตปฎิ ก เลม่ ที่ ๑๐ สงั ยุตตนิกาย
สฬายตนวรรค. หน้า ๓๗.
๑๗ สุชพี ปญุ ญานภุ าพ. พระไตรปิฎกฉบับประชาชน. หนา้ ๕๒๓.
๑๘ พระไตรปฎิ ก ฉบับบาลสี ยามรฐั (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๒๑ พระสุตตันตปิฎก เล่มท่ี ๑๓ อังคุตตรนิกาย
จตุกกนิบาต. หน้า ๔๘.
๑๙ พระไตรปฎิ ก ฉบบั บาลีสยามรฐั (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๒๓ พระสุตตนั ตปฎิ ก เล่มท่ี ๑๕ องั คตุ ตรนิกาย
สตั ตก-อัฏฐก-นวกนบิ าต. หนา้ ๓๑๙.
๒๐ พระไตรปิฎก ฉบับบาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มที่ ๑๖ พระสตุ ตันตปฎิ ก เลม่ ท่ี ๘ สงั ยตุ ตนิกาย
นทิ านวรรค หนา้ ๑๘๐.
244
๒๑ เรือ่ งเดยี วกนั . หน้า ๑๘๐.
๒๒ บำ�รุง ชำ�นาญเรอื . การศึกษาเปรียบเทยี บเรือ่ งจักรวาลวทิ ยาในศาสนาไชนะและพทุ ธศาสนา
เถรวาท (กรงุ เทพฯ : ปรญิ ญานิพนธ์ศิลปศาสตรดษุ ฎบี ณั ฑติ มหาวทิ ยาลยั ศิลปากร), ๒๕๕๒.
หนา้ ๑๐๙.
๒๓ สมเด็จพระญาณสังวร. (เจรญิ สุวฑฺฒโน). ๔๕ พรรษาของพระพทุ ธเจ้า.
พมิ พ์คร้ังท่ี ๔ (กรุงเทพฯ : มหามกฎุ ราชวิทยาลยั ), ๒๕๔๖. หน้า ๑๔๗.
๒๔ ฟ้นื ดอกบัว. พุทธปรัชญาแห่งชีวติ . กรงุ เทพฯ : ศยาม, ๒๕๕๐. หนา้ ๙๑.
๒๕ เร่อื งเดียวกัน. หน้า ๓๑๑.
๒๖ พระธรรมปฎิ ก. (ป.อ. ปยตุ โต) พจนานุกรมพทุ ธศาสน.์ พิมพค์ ร้งั ที่ ๙ (กรุงเทพฯ : โรงพมิ พม์ หาจุฬา
ลงกรณราชวิทยาลัย), ๒๕๔๓. หนา้ ๑๐๐.
๒๗ เร่อื งเดียวกัน. หน้า ๓๔๔.
๒๘ เรอื่ งเดยี วกนั . หนา้ ๒๕๓.
๒๙ เรื่องเดียวกนั . หนา้ ๓๘๘.
๓๐ พระพรหมโมลี (วลิ าศ ญาณวโร). โลกทปี นี (กรงุ เทพฯ : ดอกหญ้า), ๒๕๔๕. หนา้ ๔๖.
๓๑ ฟื้น ดอกบัว. พุทธปรชั ญาแหง่ ชีวิต. หน้า ๑๐๑.
๓๒ สมเดจ็ พระญาณสังวร. (เจรญิ สุวฑฺฒโน). ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจา้ . หนา้ ๑๕๔.
๓๓ นติ ย์ จารศุ ร. สารธรรม. พมิ พค์ รงั้ ที่ ๓ (กรุงเทพฯ : เหรียญบญุ การพิมพ์), ๒๕๕๐. หนา้ ๑๑๓.
๓๔ ไชย ณ พล อัครศภุ เศรษฐ์ (นามแฝง). พระไตรปิฎกฉบบั พเิ ศษ ธรรมธาตุ ธรรมชาตแิ หง่ สรรพส่ิง
(กรุงเทพฯ : พลัสเพรส), ๒๕๒๘. หน้า ๑๓๗-๑๒๘.
๓๕ ฟ้นื ดอกบัว. พุทธปรัชญาแห่งชวี ติ . หน้า ๑๐๑.
๓๖ นติ ย์ จารุศร. สารธรรม. หน้า ๑๑๗.
๓๗ พระไตรปฎิ ก ฉบบั บาลสี ยามรัฐ (ภาษาไทย) เล่มท่ี ๑๖ พระสตุ ตนั ตปิฎก เลม่ ท่ี ๘
สงั ยุตตนกิ าย นทิ านวรรค.
๓๘ นิตย์ จารุศร. สารธรรม. หนา้ ๑๒๐.
๓๙ ฟน้ื ดอกบัว. พทุ ธปรัชญาแหง่ ชีวติ . หนา้ ๙๖.
๔๐ นติ ย์ จารศุ ร. สารธรรม. หน้า ๑๒๑.
๔๑ ฟื้น ดอกบัว. พทุ ธปรัชญาแหง่ ชวี ติ . หนา้ ๙๔.
๔๒ สมเดจ็ พระญาณสังวร. (เจริญ สุวฑฒฺ โน). ๔๕ พรรษาของพระพทุ ธเจ้า. หนา้ ๑๖๗.
๔๓ นิตย์ จารศุ ร. สารธรรม. หน้า ๑๑๕-๑๑๖.
๔๔ เรอ่ื งเดียวกนั . หน้า ๑๒๔.
๔๕ ชยั วฒุ ิ สุทธบิ ตุ ร. จติ ภาพ (กรุงเทพฯ : บริษทั สตารล์ ้ิงค์ (ประเทศไทย) จำ�กดั . ๒๕๕๗), หน้า ๔๘.
๔๖ ฟ้นื ดอกบวั . พุทธปรชั ญาแห่งชีวิต. หนา้ ๑๔๘.
๔๗ สมเด็จพระญาณสังวร. (เจริญ สวุ ฑฒฺ โน). ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจา้ . หนา้ ๑๘๑.
๔๘ ฟน้ื ดอกบัว. พุทธปรชั ญาแห่งชวี ติ . หนา้ ๑๔๙.
๔๙ นิตย์ จารศุ ร. สารธรรม. หน้า ๑๓๒.
๕๐ ฟ้ืน ดอกบวั . พุทธปรัชญาแหง่ ชวี ติ . หนา้ ๑๗๒.
๕๑ สมเด็จพระญาณสงั วร. (เจรญิ สวุ ฑฺฒโน). ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจา้ . หนา้ ๒๒๐.
245
๕๒ ฟน้ื ดอกบัว. พุทธปรชั ญาแห่งชวี ิต. หนา้ ๓๗๙-๓๘๘.
๕๓ พระพรหมโมลี (วลิ าศ ญาณวโร). ภมู วิ ลิ าสนิ ี (กรงุ เทพฯ : ดอกหญ้า), ๒๕๔๕. หนา้ ๖๔๖-๖๔๗.
๕๔ เรื่องเดียวกนั . หนา้ ๕๖๖.
๕๕ พระไตรปิฎก ฉบบั บาลีสยามรัฐ (ภาษาไทย) เลม่ ท่ี ๒๕ พระสุตตนั ตปฎิ ก เล่มที่ ๑๗
ขุททกนิกาย ขุททกปาฐ-ธรรมบท-อทุ าน-อติ ิวุตตกะ-สุตตนบิ าต. หนา้ ๑๔๔.
๕๖ เรื่องเดียวกัน. หนา้ ๑๔๔.
๕๗ สมเด็จพระญาณสงั วร. (เจริญ สวุ ฑฺฒโน). ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า. หนา้ ๑๔๘.
๕๘ นติ ย์ จารศุ ร. สารธรรม. หนา้ ๑๒๙.
๕๙ พิษณุ ศภุ นิมิต. ปา่ หิมพานต์ตามพระราชเสาวนีย์ (กรงุ เทพฯ : อมรินทร์), ๒๕๔๘. หนา้ ๓๖-๓๘.
๖๐ นติ ย์ จารุศร. สารธรรม. หน้า ๑๑๒.
๖๑ สมเดจ็ พระญาณสงั วร. (เจริญ สวุ ฑฒฺ โน). ๔๕ พรรษาของพระพทุ ธเจา้ . หนา้ ๑๗๘.
๖๒ พิษณุ ศภุ นมิ ิต. ปา่ หิมพานตต์ ามพระราชเสาวนยี .์ หน้า ๑๖๖-๑๖๙.
๖๓ สมเดจ็ พระญาณสังวร. (เจรญิ สวุ ฑฒฺ โน). ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจา้ . หนา้ ๑๔๒.
๖๔ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตโต). ไตรภมู ิพระร่วงอทิ ธพิ ลต่อสงั คมไทย. หนา้ ๑๗.
๖๕ ศรศี กั ร วลั ลโิ ภดม. พัฒนาการทางสังคม-วฒั นธรรมไทย (กรงุ เทพฯ : อัมรนิ ทร์), ๒๕๔๔. หน้า ๑๒๑.
๖๖ วไิ ลรัตน์ ยงั รอด. การศกึ ษาภาพภูมิจกั รวาลจากภาพจิตรกรรมฝาผนังสมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนตน้
ในเขตกรงุ เทพมหานคร (กรงุ เทพฯ : ปริญญานพิ นธ์ศลิ ปศาสตรมหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยศิลปากร),
๒๕๔๐. หน้า ๖๘.
๖๗ สรุ พล ด�ำ รหิ ์กลุ . ล้านนา สิ่งแวดลอ้ ม สังคม และวัฒนธรรม (กรุงเทพฯ : คอมแพคท์พร้ินท)์ , ๒๕๔๒.
หน้า ๑๔๙.
๖๘ ปฐม พวั พันธส์ กลุ . คตจิ ักรวาล เขาพระสุเมรุ ในงานออกแบบสถาปตั ยกรรมผงั เมือง
และประณีตศิลป์ (เชียงใหม่ : ม.ป.ท.), ๒๕๔๕. หนา้ ๒-๓.
๖๙ เสถยี รโกเศศ. เลา่ เรอื่ งในไตรภมู ิ (กรุงเทพฯ : อกั ษรไทย), ๒๕๑๕. หน้า ๒๑.
๗๐ วรลญั จก์ บณุ ยสุรตั น.์ วิหารล้านนา (กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ), ๒๕๔๔. หน้า ๘๙.
๗๑ เรือ่ งเดยี วกนั . หนา้ ๑๑๓.
๗๒ สเุ มธ ชมุ สาย ณ อยุธยา. น�ำ้ บอ่ เกิดแหง่ วฒั นธรรมไทย (กรุงเทพฯ : เอ เอส พี พริ้นติง้ กรุป๊ ), ๒๕๓๙.
หน้า ๑๓๔.
๗๓ วรลัญจก์ บณุ ยสรุ ัตน.์ วหิ ารล้านนา. หนา้ ๓๐๔-๓๐๖.
๗๔ ไขศรี ศรอี รณุ . พระพทุ ธรูปปางต่างๆ ในสยามประเทศ (กรุงเทพฯ : พิฆเณศ พรน้ิ ตงิ้ เซ็นเตอร์ จ�ำ กดั ),
๒๕๔๖. หนา้ ๗.
๗๕ เร่อื งเดยี วกัน. หนา้ ๒๒-๓๘.
๗๖ ศรเี ลา เกษพรหม. ประเพณีชวี ิตคนเมือง (เชยี งใหม่ : โรงพิมพม์ ่งิ เมอื ง), ๒๕๔๐.
๗๗ มณี พยอมยงค์. เครอ่ื งสักการะล้านนาไทย (เชียงใหม่ : ส.ทรพั ย์การพมิ พ)์ , ๒๕๔๙. หนา้ ๕๙.
๗๘ เรื่องเดยี วกนั . หน้า ๔๑-๔๔.
๗๙ มณี พยอมยงค์. พระเพณีสบิ สองเดือนล้านนาไทย (เชยี งใหม่ : ส.ทรพั ยก์ ารพมิ พ)์ , ๒๕๔๘. หน้า ๘๗.
๘๐ เรอ่ื งเดยี วกนั . หนา้ ๘๓-๘๔.
๘๑ ศิวดล วาฤทธ.ิ์ ภมู ปิ ญั ญาท้องถน่ิ การท�ำ โคมผัดจงั หวดั เชยี งใหม่ (เชยี งใหม่ : การคน้ ควา้ แบบอสิ ระ
บัณฑติ วทิ ยาลัยมหาวทิ ยาลยั เชียงใหม่), ๒๕๔๕. หนา้ ๒๓.
246
๘๒ ศลิ ป์ พีระศรี. บทความข้อเขยี นและงานศลิ ปกรรมของศาสตราจารย์ ศลิ ป์ พีระศรี (กรุงเทพฯ :
อมรนิ ทร์), ๒๕๔๕. หน้า ๑๐๓.
๘๓ ภานพุ งษ์ เลาหสม. จิตรกรรมฝาผนังลา้ นนา (กรงุ เทพฯ : เมอื งโบราณ), ๒๕๔๑. หน้า ๙.
๘๔ ศิลปากร, กรม. สมดุ ภาพไตรภมู ฉิ บบั อกั ษรธรรมลา้ นนาและอกั ษรขอม (กรงุ เทพฯ : อมรนิ ทร์),
๒๕๔๗. หน้า ๓.
๘๕ อรุณรัตน์ วเิ ชยี รเขยี ว. โบราณวัตถ-ุ โบราณสถานในวดั ล้านนา (เชยี งใหม่ : โรงพมิ พ์แสงศิลป)์ , ๒๕๔๙.
หนา้ ๓.
๘๖ ศลิ ป์ พีระศร.ี บทความข้อเขียนและงานศิลปกรรมของศาสตราจารย์ ศิลป์ พีระศร.ี หนา้ ๑๐๖.
๘๗ อรณุ รัตน์ วิเชยี รเขียว. โบราณวัตถุ-โบราณสถานในวดั ลา้ นนา. หนา้ ๑๐๖.
๘๘ สันติ เล็กสุขุม. ศลิ ปะภาคเหนอื : หรภิ ญุ ชยั – ลา้ นนา (กรงุ เทพฯ : เมืองโบราณ), ๒๕๓๘. หน้า ๒๓๙.
๘๙ เรอ่ื งเดยี วกนั . หนา้ ๒๔๑.
๙๐ จิตรกรรมฝาผนังวหิ ารวัดบา้ นก่อ : โครงการอนุรักษจ์ ติ รกรรมฝาฝนงั วัดบา้ นกอ่ อ�ำ เภอวังเหนือ
จังหวดั ล�ำ ปาง (กรงุ เทพฯ : โอ เอส พริน้ ต้งิ เฮา้ ส์), ๒๕๕๐. หนา้ ๕๗.
๙๑ สมชาติ มณโี ชต.ิ จติ รกรรมไทย (กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร์), ๒๕๒๙. หนา้ ๖๔.
๙๒ ปรมานุชติ ชิโนรส, สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระ. พระปฐมสมโพธกิ ถา (กรงุ เทพฯ :
โรงพมิ พ์เลี่ยงเชียง), ๒๕๐๘. หนา้ ๓๕๔.
๙๓ ภานพุ งษ์ เลาหสม. จิตรกรรมฝาผนงั ล้านนา. หนา้ ๘๑.
๙๔ น. ณ ปากน�ำ้ (นามแฝง). วดั บวกครกหลวง. กรุงเทพฯ : เมอื งโบราณ, ๒๕๔๔. หน้า ๑๐.
๙๕ สมชาติ มณโี ชต.ิ จติ รกรรมไทย. หน้า ๗๖.
๙๖ บริษัท มรดกโลก จ�ำ กดั . โครงการศึกษาเพอ่ื อนุรักษ์จิตรกรรมฝาผนงั ในประเทศไทย (กรงุ เทพฯ :
บรษิ ทั มรดกโลก จำ�กดั ), ๒๕๓๘. หน้า ๙๙.
๙๗ ภานุพงษ์ เลาหสม. จติ รกรรมฝาผนงั ลา้ นนา. หนา้ ๙๑.
๙๘ เรื่องเดยี วกนั . หน้า ๙๒.
๙๙ กองบรรณาธกิ ารนติ ยสาร Secreat. พระพทุ ธเจ้า ๕ พระองค์ (กรงุ เทพฯ : อมรินทร)์ , ๒๕๕๖.
หนา้ ๑๘-๒๐.
๑๐๐ บรษิ ัท มรดกโลก จ�ำ กัด. โครงการศกึ ษาเพอื่ อนรุ กั ษ์จิตรกรรมฝาผนงั ในประเทศไทย. หนา้ ๑๐๔.
๑๐๑ เรื่องเดยี วกนั . หน้า ๑๕๗.
๑๐๒ น. ณ ปากน้�ำ (นามแฝง). วัดภมู ินทร์และวัดหนองบัว (กรุงเทพฯ : เมืองโบราณ), ๒๕๒๙. หน้า ๙.
๑๐๓ บรษิ ัท มรดกโลก จ�ำ กดั . โครงการศึกษาเพื่ออนรุ กั ษจ์ ิตรกรรมฝาผนังในประเทศไทย. หน้า ๑๕๗.
๑๐๔ ภานพุ งษ์ เลาหสม. จิตรกรรมฝาผนังลา้ นนา. หนา้ ๑๐๖-๑๐๗.
๑๐๕ ศิลป์ พีระศร.ี บทความข้อเขยี นและงานศิลปกรรมของศาสตราจารย์ ศิลป์ พรี ะศร.ี หน้า ๑๒๒.
๑๐๖ ภานพุ งษ์ เลาหสม. จติ รกรรมฝาผนงั ล้านนา. หนา้ ๑๑๑.
๑๐๗ น. ณ ปากนำ้� (นามแฝง). วดั ภมู ินทรแ์ ละวัดหนองบัว. หนา้ ๒๓.
๑๐๘ สน สีมาตรัง. สาระสงั เขปเกีย่ วกับการวิจยั เรอื่ ง โครงสร้างจติ รกรรมฝาผนงั ลา้ นนา
(กรงุ เทพฯ : ม.ป.ท., ๒๕๒๖), หนา้ ๓๒.
๑๐๙ เร่ืองเดียวกัน. หนา้ ๓๒.
๑๑๐ ภานุพงษ์ เลาหสม. จิตรกรรมฝาผนงั ลา้ นนา. หนา้ ๑๑๒-๑๑๔.
247
๑๑๑ จารุณี อินเฉิดฉาย และ ขวญั จติ เลิศศริ ิ. พระบฏ (กรงุ เทพฯ : กรมศลิ ปากร), ๒๕๔๕. หนา้ ๑๔.
๑๑๒ เรื่องเดยี วกนั . หน้า ๑๑.
๑๑๓ สันติ เลก็ สุขุม. ศิลปะภาคเหนอื : หริภญุ ชัย – ล้านนา. หนา้ ๒๓๗.
๑๑๔ จารุณี อนิ เฉิดฉาย และ ขวญั จิต เลิศศริ .ิ พระบฏ. หนา้ ๑๒.
๑๑๕ สนั ติ เล็กสขุ ุม. ศิลปะภาคเหนือ : หริภญุ ชยั – ลา้ นนา. หน้า ๒๓๙.
๑๑๖ ศรีเลา เกษพรหม. ผ้ายนั ตพ์ ระสิงหห์ ลวง (เชยี งใหม่ : วดั พระสงิ หว์ รมหาวหิ าร), ๒๕๕๕. หน้า ๑.
๑๑๗ เรอ่ื งเดยี วกัน. หนา้ ๑-๒.
๑๑๘ สนั่น รัตนะ. ศิลปะลายรดนำ้� (กรุงเทพฯ : สปิ ประภา), ๒๕๔๕. หนา้ ๒๐.
๑๑๙ มณี พยอมยงค.์ เครือ่ งสักการะล้านนาไทย (เชียงใหม่ : ส.ทรัพย์การพิมพ์), ๒๕๔๙. หนา้ ๕๑.
๑๒๐ สุรพล ดำ�รหิ ์กุล. ลายคำ�ลา้ นนา (กรงุ เทพฯ : เมอื งโบราณ), ๒๕๔๔. หนา้ ๑๒๐.
๑๒๑ วรลัญจก์ บณุ ยสุรตั น์. วิหารล้านนา. หนา้ ๑๓๑.
๑๒๒ มณี พยอมยงค.์ เคร่อื งสักการะลา้ นนาไทย. หนา้ ๖๓.
๑๒๓ อรณุ รัตน์ วเิ ชยี รเขียว. โบราณวัตถุ-โบราณสถานในวดั ลา้ นนา. หน้า ๑๘๘.
๑๒๔ พระมหาบญุ ไทย ปุญญมโน. คติความเชอ่ื เร่ืองจักรวาลนยิ มทป่ี รากฏบนหบี พระธรรมในล้านนา
(เชยี งใหม่ : มหาวทิ ยาลัยมหามกฎุ ราชวทิ ยาลยั วทิ ยาเขตล้านนา), ๒๕๔๒. หน้า ๑๑๒.
๑๒๕ งานช่างศลิ ปไ์ ทย : ปนู ป้นั เครือ่ งถมและลงยา เครอื่ งรกั ประดบั มกุ ประดับกระจก
(กรงุ เทพฯ : แสงแดดเพอื่ นเดก็ (คต)ิ ), ๒๕๕๕. หนา้ ๑๗๑.
๑๒๖ นันทนา ชตุ ิวงศ์. รอยพระพทุ ธบาทในศิลปะเอเชียใตแ้ ละเอเชียอาคเนย์
(กรงุ เทพฯ : ด่านสธุ าการพิมพ)์ , ๒๕๓๓. หนา้ ๔๓.
๑๒๗ เวอรจ์ เิ นยี แมคคนี ดิ ครอคโค, สมหวัง แก้วสุฟอง แปล. รอยพระพทุ ธบาท พระพุทธเจ้า ๕
พระองค์ ตามกรอบคดิ แบบสิงหล – สยาม (กรุงเทพฯ : มูลนิธิพริ ิยะ ไกรฤกษ)์ , ๒๕๕๕. หนา้ ๑๑๐.
๑๒๘ โชติ กัลยาณมิตร. พจนานกุ รมสถาปัตยกรรม และศิลปะทเ่ี กยี่ วเนือ่ ง. พิมพค์ รัง้ ที่ ๒
(กรุงเทพฯ : ดา่ นสทุ ธาการพิมพ)์ , ๒๕๔๘. หนา้ ๑๙๗.
๑๒๙ น. ณ ปากนำ้� (นามแฝง). ศิลปะวิเศษสยามประเทศ: สุดยอดศลิ ปะไทยในสายตาศลิ ปนิ แห่งชาติ
(กรุงเทพฯ : เมืองบาณ), ๒๕๓๖. หนา้ ๙๖.
๑๓๐ น. ณ ปากนำ้� (นามแฝง). พจนานกุ รมศลิ ปะ (กรุงเทพฯ : กรงุ สยามการพมิ พ)์ , ๒๕๒๒. หนา้ ๑๒๖.
๑๓๑ เรื่องเดียวกัน. หน้า ๑๒๔.
๑๓๒ ฟืน้ ดอกบวั . พทุ ธปรัชญาแห่งชีวิต. หน้า ๓๑๑.
๑๓๓ พระธรรมปิฎก. (ป.อ. ปยุตโต) พจนานกุ รมพุทธศาสน.์ หนา้ ๒๖๑-๒๖๒.
๑๓๔ สมเดจ็ พระญาณสงั วร. (เจรญิ สวุ ฑฺฒโน). ๔๕ พรรษาของพระพทุ ธเจ้า. หน้า ๑๔๗.
๑๓๕ พระธรรมปฎิ ก. (ป.อ. ปยตุ โต) พจนานกุ รมพุทธศาสน์. หนา้ ๘๖.
๑๓๖ พุทธทาสภิกขุ. หลกั ปฏิบตั เิ ก่ยี วกับปฏจิ จสมุปบาท (กรุงเทพฯ : สขุ ภาพใจ), ๒๕๕๔. หนา้ ๑๐-๑๑.
๑๓๗ โชติ กัลยาณมิตร. สถาปตั ยกรรมไทยเดมิ (กรุงเทพฯ : สมาคมสถาปนกิ สยามในพระบรมราชูปถมั ภ์),
๒๕๓๙. หนา้ ๒๔.
๑๓๘ พระไตรปิฎก พระสุตตันตปิฎก อังคตุ รนกิ าย ติกนบิ าต เลม่ ๑ ภาค ๓ .หน้า ๔๓๑
๑๓๙ อรุณรัตน์ วิเชยี รเขียว. พระพทุ ธรูปในลา้ นนา (เชียงใหม่ : โรงพมิ พ์ตะวนั เหนอื ), ๒๕๕๔. หนา้ ๙๑.
248