แนวคดิ คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๙๓
จิตรกรรมฝาผนัง
ภาพนรกภมู ิ
วัดบวกครกหลวง
อำ�เภอเมอื ง
จงั หวดั เชยี งใหม่
จิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารวัดบวกครกหลวง ที่มีเน้ือหาสะท้อนถึง
คตจิ กั รวาล ปรากฏอยใู่ นผนงั ทางดา้ นทศิ เหนอื บรเิ วณผนงั ดา้ นหนา้ วหิ าร
เขียนเรื่องนรกภูมิ และผนังเหนือประตูทางเข้าด้านข้างของวิหารเขียน
ทศชาตชิ าดก เรอ่ื ง เนมิราชชาดก ซงึ่ เปน็ ชาดกพระชาติที่ ๔ ในทศชาติ
ชาดก หรอื พระเจา้ สบิ ชาติ เนอื้ หาชาดกเปน็ การเลา่ เรอ่ื งการบ�ำ เพญ็ บารมี
ใน ๑๐ ชาติสุดท้าย ของพระโพธิสัตว์ที่มีความสำ�คัญ ก่อนที่จะมาตรัสรู้
เปน็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ การบ�ำ เพญ็ บารมที ง้ั ๑๐ ชาติ หรอื เรยี กวา่ บารมี
สิบทัศ เนื้อหาชาดกแต่ละเร่อื งจะมคี ติธรรมทีเ่ ปน็ หวั ใจส�ำ คัญแตกต่างกนั
ออกไป สามารถจัดเรียงลำ�ดับตามพระชาติและพระบารมีท่ีทรงบำ�เพ็ญ
ดังนี้
๏๏ พระเตมีย์ บำ�เพญ็ เนกขัมมบารมี
๏๏ พระมหาชนก บำ�เพ็ญวิริยบารมี
๏๏ พระสุวรรณสาม บ�ำ เพ็ญเมตตาบารมี
๏๏ พระเนมริ าช บำ�เพญ็ อธิษฐานบารมี
๏๏ พระมโหสถ บำ�เพญ็ ปัญญาบารมี
149
คติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
๏๏ พระภรู ิทตั บำ�เพญ็ ศลี บารมี
๏๏ พระจนั ทรกุมาร บำ�เพญ็ ขันติบารมี
๏๏ พระนารท บำ�เพ็ญอุเบกขาบารมี
๏๏ พระวธิ ุรบัณฑิต บ�ำ เพญ็ สจั จบารมี
๏๏ พระเวสสนั ดร บ�ำ เพญ็ ทานบารมี
ภาพที่ ๙๔
จติ รกรรมฝาผนัง
ภาพนรกภูมิ
ภาพท่ี ๙๕ จิตรกรรมฝาผนัง ภาพนรกภูมิ ภาพท่ี ๙๖ จติ รกรรมฝาผนงั ภาพนรกภมู ิ
150
แนวคิดคตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
เนมิราชชาดก มีเร่ืองราวกล่าวถึง พระราชาแห่งเมืองมิถิลา มีพระโอรส
นามวา่ เนมกิ มุ าร ซง่ึ มคี วามยนิ ดใี นการท�ำ ทาน รกั ษาอโุ บสถศลี ตงั้ แตท่ รง
พระเยาว์ ครน้ั เมือ่ เจรญิ วยั พระราชบดิ าได้มอบราชสมบัตใิ หค้ รอง ส่วน
พระองค์เสด็จออกบรรพชาจนเสด็จสวรรคต พระเนมิราชเมื่อครองราชย์
สมบัติ ได้สร้างศาลาทานในเมือง ๕ แห่ง บริจาคทาน รักษาศีลอุโบสถ
แสดงธรรมสง่ั สอนประชาชน บรรดาเทวดาบนสวรรคต์ ่างพากนั สรรเสริญ
แล้วขอให้พระอินทร์เชิญพระเนมิราชเสด็จมายังเทวโลก พระอินทร์มอบ
หมายให้พระมาตุลีเป็นสารถี เพื่ออัญเชิญพระเนมิราชเสด็จไปยังเทวโลก
ระหว่างทางเสด็จ พระเนมริ าชได้ผา่ นไปดนู รกก่อน ผ่านแมน่ ้�ำ เวตรณี ได้
พบเห็นสัตว์นรกกำ�ลังถูกทรมานอยู่ในนรกขุมต่างๆ อีกท้ังยังได้มีโอกาส
พบกบั ผทู้ กี่ ระท�ำ กรรมชวั่ ทก่ี �ำ ลงั ชดใชก้ รรมของตนอยู่ ซง่ึ ไดร้ บั ทกุ ขเวทนา
อยา่ งยง่ิ ตอ่ จากนน้ั จงึ ไดเ้ สดจ็ ขนึ้ ไปยงั เทวโลก ไดพ้ บเหน็ เทพบตุ ร เทพธดิ า
ปราสาทวิมานอันวิจิตรงดงาม ได้เสวยสุขตลอดเวลา เพราะได้ประกอบ
กุศลกรรมมากอ่ นเม่อื เป็นมนุษย์ เมื่อพระเนมิราชกลบั มาสเู่ มอื งมถิ ลิ า ได้
ตรสั เลา่ เรอื่ ง นรก สวรรค์ ใหป้ ระชาชนไดร้ บั ฟงั แลว้ ทรงสอนใหท้ กุ คนหมนั่
บริจาคทานและรกั ษาศีล๙๕
จิตรกรรมฝาผนังวิหารวัดท่าข้าม ตำ�บลสบเปิง อำ�เภอแม่แตง จังหวัด
เชยี งใหม่ วดั ท่าขา้ ม หรือ วัดสุปตั ตนาราม สร้างขึน้ ราวปี พ.ศ.๒๔๐๘ โดย
มีทา่ นครบู าพรหมสรวิจา เปน็ ประธานในการก่อสร้าง ได้รบั พระราชทาน
วิสงุ คามสมี า เมือ่ วันท่ี ๓ กมุ ภาพนั ธ์ พ.ศ.๒๔๙๓ ภายในวหิ ารเขยี นภาพ
จติ รกรรมฝาผนังทงั้ ด้านทิศเหนือและทศิ ใต้ ด้านละ ๕ ห้องภาพ โดยมีเสา
วหิ ารทำ�หนา้ ท่แี บง่ หอ้ งภาพ๙๖ จติ รกรรมทีว่ ดั ท่าขา้ มเป็นฝมี ือของชา่ งพน้ื
บ้านชาวไทยใหญ่ แสดงเน้ือหาหลักเก่ียวกับพุทธประวัติ เวสสันดรชาดก
และเขยี นเรือ่ งท่สี ะท้อนคตินิยมของทอ้ งถ่ิน อาทิ เร่ืองแสงเมืองหลงถ�ำ้ ใน
ปญั ญาสชาดก เรอ่ื งแมก่ าเผอื กซงึ่ เปน็ ประวตั ขิ องพระพทุ ธเจา้ ๕ พระองค์
ในภทั รกปั และพุทธประวัตติ อนปราบเท้ามหาชมพูบดี
151
คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
การจัดวางตำ�แหน่งของภาพใช้แถบสีท่ีระบายตามแนวนอน เรียงหน้า
กระดานซอ้ นกนั เปน็ ตวั ก�ำ หนดระเบยี บกบั รปู ทรงคน สตั ว์ และสง่ิ แวดลอ้ ม
แสดงออกด้วยความเรียบง่ายไม่ซับซ้อน ด้วยการใช้สีไม่มากนักประมาณ
๓-๔ สี ไดแ้ ก่ สคี ราม สแี ดงอมส้ม สีด�ำ และสขี าว ประกอบกับการตดั เส้น
ด้วยพู่กันขนาดค่อนข้างใหญ่ โดยแสดงอารมณ์ความรู้สึกของเส้นที่เรียบ
ง่าย ตรงไปตรงมา อันเป็นเสน่ห์เฉพาะท่ีพบในงานศิลปะพ้ืนถิ่นเท่าน้ัน
ทัง้ น้ี รปู แบบท่ไี ด้รับอทิ ธิพลศลิ ปะพม่าค่อยๆ ผสมกลมกลนื เข้ากบั ความ
เป็นล้านนา โดยมีสภาพแวดล้อม วิถีชีวิตของชาวบ้านในฐานะผู้อุปถัมภ์
เป็นเง่ือนไขสำ�คัญ โดยเฉพาะจิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารวัดท่าข้ามก็มี
ลักษณะเช่นเดียวกัน นั่นคือจะมีรูปแบบศิลปะพม่าน้อยลง ขณะที่ความ
เปน็ ทอ้ งถนิ่ ดา้ นตา่ งๆ ปรากฏอยูอ่ ย่างเด่นชัด เชน่ เรอื่ งราวทปี่ รากฏใน
ภาพเขยี น การจัดองค์ประกอบของภาพ ฝีมือชา่ ง และการแสดงออกทาง
ศิลปะ เปน็ ต้น๙๗
เรอื่ งราวในจติ รกรรมฝาผนงั วดั ทา่ ขา้ มแสดงเรอ่ื งพทุ ธประวตั เิ ปน็ เรอ่ื งหลกั
ทม่ี กี ารดำ�เนนิ เรื่องตดิ ตอ่ กนั หลายผนงั ส่วนเรื่องอืน่ ๆ จะเขยี นจบภายใน
หนง่ึ ห้องภาพ โดยยงั คงรักษาเอกลักษณข์ องแบบไทใหญไ่ ว้ คือ เรอ่ื งย่อย
ภาพที่ ๙๗
วิหารวัดท่าขา้ ม
อำ�เภอแมแ่ ตง
จงั หวดั เชยี งใหม่
152
แนวคดิ คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๙๘
จติ รกรรมวหิ าร
วดั ทา่ ข้าม
อ�ำ เภอแม่แตง
จงั หวัดเชียงใหม่
ต่างๆ จะเข้ามาค่ันอยู่ในระหว่างเรื่องพุทธประวัติท่ีเขียนน้ีไม่มีภาพตอน
ประสูติ แต่จะเร่ิมตั้งแต่ตอนเจ้าชายสิทธัตถะเสด็จประพาสอุทยาน และ
ทรงพบเห็นเทวทูตสี่ หลังจากน้ันก็ดำ�เนินเร่ืองต่อเนื่องไป จนถึงตอน
พระพทุ ธเจา้ เสดจ็ สปู่ รนิ พิ พาน ซงึ่ มคี วามสมบรู ณข์ องเรอื่ งมากกวา่ แหง่ อน่ื
อย่างไรก็ตาม ส่ิงที่น่าสนใจเกี่ยวกับเร่ืองราวในจิตรกรรมฝาผนังแห่งน้ี
เห็นจะได้แก่ การเขียนเร่ืองท่ีสะท้อนคตินิยมของท้องถ่ิน อาทิ เร่ืองแสง
เมืองหลงถำ้�ในปัญญาสชาดก เรื่องแม่กาเผือกซึ่งเป็นประวัติของ
พระพทุ ธเจา้ ๕ องค์ในภัทรกัป ได้แก่ พระกกสุ นั โธพุทธเจ้า พระโกนาคมน
พทุ ธเจา้ พระกสั สปพทุ ธเจา้ พระโคตมพทุ ธเจา้ และพระศรอี ารยิ เมตไตรย
พุทธเจ้า นอกจากน้ี ยังพบว่ามีพุทธประวัติตอนปราบท้าวมหาชมพูบดี
สว่ นทศชาตชิ าดกนน้ั พบแค่เพียงเวสสันดรชาดกเพยี งเรื่องเดียว
การวางตำ�แหน่งภาพยังคงเป็นไปตามแบบแผนเดิมคือเป็นกรอบภาพ
ระหว่างช่วงเสาครึ่งบนผนัง แต่ไม่มีลายกรอบและลายเชิงผ้าประกอบ
ตลอดจนการใชส้ ีก็นยิ มใช้คสู่ นี ำ�้ ตาลแดงและครามระบายเป็นพ้นื หลังของ
153
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
ภาพที่ ๙๙
จิตรกรรมวิหาร
วัดท่าข้าม
อ�ำ เภอแมแ่ ตง
จังหวดั เชยี งใหม่
154
แนวคดิ คติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๐๐
เขาพระสเุ มรแุ ละ
เขาสตั ตบรภิ ัณฑ์
วดั ท่าข้าม
อำ�เภอแมแ่ ตง
จังหวัดเชยี งใหม่
ภาพที่ ๑๐๑
ปลาอานนท์
วดั ท่าข้าม
อำ�เภอแมแ่ ตง
จังหวัดเชยี งใหม่
155
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
ตวั ภาพสลบั กนั ไปโดยตลอด แตจ่ ดุ ทน่ี า่ สนใจอนั อาจถอื เปน็ ลกั ษณะเฉพาะ
ของจิตรกรรมฝาผนังแห่งน้ีก็คือ แถบสีดังกล่าวจะเป็นแถบตรงแนวนอน
มากกวา่ จะเปน็ แถบสคี ดโคง้ หรอื อสิ ระ แถบสแี นวนอนนจี้ ะเปน็ ตวั ก�ำ หนด
ระเบียบของภาพคน สัตว์ สถาปัตยกรรม และธรรมชาติให้เป็นแถวหน้า
กระดานซอ้ นกนั นบั เปน็ การแสดงออกทเ่ี รยี บงา่ ย ตรงไปตรงมาไมซ่ บั ซอ้ น
นอกจากคุณค่าทางศิลปะที่มีอยู่ในผลงานจิตรกรรมแล้ว ลักษณะท่ีแสดง
ใหเ้ ห็นถึงการผสมผสานของรูปแบบศลิ ปะพม่ากับลา้ นนาเข้าดว้ ยกนั ก็ถือ
ภาพท่ี ๑๐๒
นรกภูมิ
จิตรกรรมฝาผนัง
วัดท่าข้าม
อำ�เภอแมแ่ ตง
จังหวดั เชียงใหม่
156
แนวคดิ คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๐๓
ตำ�นานแม่กาเผอื ก
(พระพทุ ธเจา้ ๕ พระองค)์
วัดท่าข้าม
อำ�เภอแมแ่ ตง
จังหวัดเชียงใหม่
เป็นลักษณะเฉพาะท่ีโดดเด่นของศิลปะไทยใหญ่ในล้านนาได้เป็นอย่างดี
ภาพที่เขียนด้วยเส้นพู่กันขนาดค่อนข้างใหญ่อย่างอิสระดูหยาบ รวมถึง
องคป์ ระกอบภาพทม่ี ลี กั ษณะของโครงสรา้ งแบบเรขาคณติ น้ี ท�ำ ใหผ้ ลงาน
โดยรวมดูมีความซื่อและจริงใจ อันเป็นอารมณ์ความรู้สึกและเสน่ห์แบบ
งานศิลปะพนื้ บา้ น๙๘
ส่วนเร่ืองราวในจิตรกรรมฝาผนังวิหารวัดท่าข้าม ที่สะท้อนถึงคติจักรวาล
วิทยานัน้ จากการศึกษา พบว่า ปรากฏอยบู่ นผนงั ด้านทิศเหนอื ๓ หอ้ ง
ภาพ คอื เรอื่ งไตรภมู ิ เนมริ าชชาดก และเรอื่ งแม่กาเผือก ทม่ี เี น้ือหากลา่ ว
ถึงพระพุทธเจา้ ๕ พระองคใ์ นภทั รกัป เรอ่ื งราวดงั กลา่ วยังพบในคติความ
157
คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
เชอื่ ของชาวพทุ ธในภมู ิภาคต่างๆ ของไทย เชน่ ในภาคอีสาน บางท้องถิน่
เรียกว่า ตำ�นานพระธาตุเชิงชุม ในภาคกลางบางท้องถิ่นเรียกว่า กาขาว
ปญั จพทุ ธพยากรณ์ ในภาคใตบ้ างทอ้ งถน่ิ เรยี กวา่ พระเจา้ สามเณร และใน
ภาคเหนอื บางทอ้ งถน่ิ เรยี กว่า อานิสงสผ์ างประทปี แม่กาเผือก ก๋าเผือก
พระเจา้ ห้าตน ตำ�นานเวียงกาหลง และตำ�นานดอยสิงคตุ ตระ เป็นต้น
โดยเฉพาะวรรณกรรมพ้ืนบ้าน เรื่อง ตำ�นานแม่กาเผือก ในวัฒนธรรม
ล้านนา ซงึ่ มเี น้อื หาโดยสงั เขป กล่าววา่ ในคร้งั พทุ ธกาล มพี ีน่ ้องสองคน
เปน็ พอ่ คา้ จากเมอื งอตุ ตรธญั ญวตนิ คร จะน�ำ ขา้ วสารไปขายยงั เมอื งสวุ ณั ณภมู ิ
แต่หลงทางในป่าจนได้มาพบกับพระพุทธเจ้า จึงเกิดศรัทธานำ�อาหารมา
ถวาย พระพุทธเจา้ ได้ประทานเสน้ พระเกศาแก่พอ่ ค้า คนละ ๔ เส้น แลว้
ใหน้ �ำ ไปบูชาไว้ที่ ดอยสิงคุตตระ อนั เป็นทซี่ ึ่งพระพุทธองค์และพ่ีน้องรวม
๕ คนไดท้ �ำ สจั จาอธษิ ฐานกนั ไว้ จงึ ไดม้ าเกดิ เปน็ ลกู แมก่ าเผอื ก ในสมยั เรมิ่
ต้นกัปใหม่ ในครั้งน้นั แม่กาเผือกทำ�รงั อย่บู นต้นมะเดื่อใกล้ฝ่ังแม่น้ำ�คงคา
ได้ออกไขไ่ ว้ ๕ ฟอง วนั หนง่ึ ขณะออกไปหาอาหาร ไดเ้ กดิ พายใุ หญ่ลมฝน
พัดไข่ท้ังหมดตกลงในแม่นำ้� กระแสนำ้�พัดไปคนละทิศละทาง เม่ือแม่กา
กลบั มาไมพ่ บลกู ไดเ้ ทย่ี วตามหากไ็ มพ่ บ ดว้ ยความเศรา้ โศกจงึ ตรอมใจตาย
ดว้ ยความรกั ความเมตตาอนั บรสิ ทุ ธแ์ิ ละบญุ บารมขี องแมก่ า จงึ ไดไ้ ปจตุ ยิ งั
พรหมโลกชั้นสุทธาวาส มีนามว่า ฆติกามหาพรหม ส่วนไข่ท้ัง ๕ ฟอง
ไดร้ บั การอปุ การะเลย้ี งดจู ากสตั วท์ ม่ี าพบ ไดแ้ ก่ แมไ่ กช่ อ่ื กกสุ นั ธตาทสิ วาที
แม่นาคช่ือโกนาคมโน แม่เต่าชอื่ กัสสโป แม่โคชื่อโคตโม และแม่ราชสหี ์
ช่ือ อรยิ เมตไตยโย โดยไข่ทง้ั หมดฟกั ออกเปน็ เด็กชาย ในกาลตอ่ มา ด้วย
บญุ กศุ ลเดก็ หนมุ่ ทง้ั ๕ กเ็ ตบิ โตขน้ึ จนอายไุ ด้ ๑๒ ปี กม็ จี ติ คดิ ออกบวชเปน็
ฤาษีในป่า แม่เลี้ยงท้ัง ๕ เข้าใจในปณิธานอันแน่วแน่ของลูก ท่ีต้องการ
บำ�เพ็ญบารมีพระโพธิญาณ เพื่อตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า โปรดสัตว์ให้
หลุดพ้นจากความทุกข์ แม่เลี้ยงจึงขอฝากนามของตนไว้กับลูกเพื่อเป็น
อนุสรณ์ในภายหน้า เม่ือลูกได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว โดยเรียงลำ�ดับ
พระนามของพระพทุ ธเจา้ ทง้ั ๕ พระองค์ ดงั น้ี พระกกสุ นั โธ พระโกนาคมโน
พระกัสสโป พระโคตโม และพระศรีอรยิ เมตไตยโย๙๙
158
แนวคดิ คติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
จิตรกรรมฝาผนังวิหารวัดป่าแดด ตำ�บลท่าผา อำ�เภอแม่แจ่ม จังหวัด
เชียงใหม่ วัดป่าแดด สร้างข้ึนราวปี พ.ศ. ๒๔๒๐ โดยมีครูบากุนากับ
พญาขนั แกว้ เปน็ ผรู้ เิ รม่ิ สรา้ ง และไดร้ บั วสิ งุ คามสมี า เมอ่ื วนั ท่ี ๒ พฤศจกิ ายน
พ.ศ. ๒๕๓๐ ภายในวหิ ารมจี ติ รกรรมฝาผนงั ทง้ั ผนงั ดา้ นทศิ เหนอื และทศิ ใต้
ด้านละ ๔ หอ้ งภาพ เน้ือหาของจิตรกรรมแสดงเร่ือง พทุ ธประวัติ ไตรภมู ิ
และจนั ทคาธชาดก๑๐๐ จติ รกรรมฝาผนงั วดั ปา่ แดดเปน็ ฝมี อื ของชา่ งชาวไทย
ใหญ่อีกแห่งหนงึ่ ในลา้ นนา แบบแผนในการเขยี นภาพไมเ่ คร่งครัดมากนัก
มีการตดั ทอนรายละเอยี ดตา่ งๆ ใหเ้ รียบงา่ ย เชน่ กรอบภาพไม่มลี วดลาย
ลอ้ มรอบทง้ั ๔ ดา้ น จะมกี เ็ ฉพาะลายกรวยเชงิ ทางดา้ นลา่ งเทา่ นน้ั ตลอดจน
การเขียนตัวภาพต่างๆ ก็ลดทอนรายละเอียดเช่นกัน คือลวดลายของ
เคร่ืองทรงของกษัตริย์และปราสาทราชวัง เรื่องราวที่แสดงออกเป็น
ภาพชาดก และพุทธประวัติท่ีสามารถสะท้อนให้เห็นถึงความคิด และ
คติความเชื่อของคนในท้องถ่นิ ได้เปน็ อย่างดี
ภาพที่ ๑๐๔
วิหารวัดป่าแดด
อ�ำ เภอแมแ่ จ่ม
จังหวดั เชยี งใหม่
159
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
นอกจากน้ี คณุ คา่ ในมติ ิทางดา้ นการแสดงออกทางศิลปะในงานจิตรกรรม
ก็มีลักษณะพิเศษเฉพาะตน สังเกตได้จากการจัดวางโครงสี และกรรมวิธี
การระบายสขี องชา่ งชาวไทยใหญ่ ทมี่ กี ารผสมผสานกนั ระหวา่ งศลิ ปะพมา่
กับความเป็นพนื้ ถนิ่ ของลา้ นนาไดอ้ ยา่ งเดน่ ชดั
ภาพที่ ๑๐๕
บรรยากาศภายใน
วหิ ารวัดป่าแดด
อำ�เภอแมแ่ จ่ม
จงั หวดั เชยี งใหม่
ภาพที่ ๑๐๖
จติ รกรรมฝาผนัง
ภายในวหิ าร
วดั ปา่ แดด
อ�ำ เภอแม่แจม่
จงั หวัดเชยี งใหม่
160
แนวคดิ คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๐๗
เขาพระสุเมรุและ
เขาสัตตบริภณั ฑ์
วดั ปา่ แดด
อำ�เภอแม่แจม่
จงั หวัดเชยี งใหม่
ภาพท่ี ๑๐๘
นรกภมู ิ
วัดปา่ แดด
อำ�เภอแมแ่ จ่ม
จังหวัดเชยี งใหม่
161
คติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
จติ รกรรมฝาผนงั วหิ ารวดั ภมู นิ ทร์ ต�ำ บลในเวยี ง อ�ำ เภอเมอื ง จงั หวดั นา่ น
วดั ภมู ินทร์ ตามประวตั สิ ร้างโดย เจา้ เจตบตุ รพรหมมนิ ทร์ เจา้ ผคู้ รองนคร
น่าน เมือ่ ปี พ.ศ.๒๑๙๓ หลงั จากท่ีไดป้ กครองเมอื งนา่ นได้ ๖ ปี ตอ่ มาอกี
ประมาณ ๓๐๐ ปี หรือในปี พ.ศ.๒๔๑๐ ซ่งึ ตรงกับสมัยพระบาทสมเด็จ
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลท่ี ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เจ้าอนันตวร
ฤทธิเดช ไดบ้ รู ณปฏิสงั ขรณค์ ร้ังใหญ่ โดยใช้เวลานานถึง ๘ ป๑ี ๐๑ ภายใน
อาคารจัตุรมุข ซ่ึงเป็นทั้งพระวิหารและพระอุโบสถในตัวอาคารเดียวกัน
กลา่ วคอื อาคารตามแนวแกนเหนือ-ใต้ เป็นพระอุโบสถ ส่วนอาคารท่วี าง
ตามแนวแกนตะวนั ออก-ตะวนั ตก ท�ำ หน้าท่ีเปน็ พระวิหาร
อาคารหลงั นมี้ บี นั ไดทางขน้ึ และประตทู างเขา้ ทง้ั ๔ ดา้ น ภายในประดษิ ฐาน
พระพุทธรูป ๔ องค์ ปางมารวิชยั หนั พระพกั ตรอ์ อกท้งั ๔ ทิศตรงกบั ช่อง
ประตู หนั พระปฤษฎางคช์ นกนั โดยมพี ระเจดีย์สีเ่ หลย่ี มยอ่ มุมสบิ สองเปน็
ตวั เชอ่ื มรปู ทรง อยู่ดา้ นหลังพระปฤษฎางคข์ องพระพุทธรปู ทุกองค์ แสดง
ความหมายเชิงสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ในภัทรกัป ได้แก่
พระกกุสนั โธ พระโกนาคม พระกัสสปะ และพระโคตม ฐานชุกชที �ำ หน้าที่
เป็นฐานร่วมขององคเ์ จดยี ์ไปโดยปริยาย
ภาพที่ ๑๐๙
วิหารวดั ภมู นิ ทร์
อ�ำ เภอเมอื ง
จังหวดั นา่ น
162
แนวคิดคติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
ภาพท่ี ๑๑๐
พระพุทธรูปภายใน
วิหารวัดภูมินทร์
อำ�เภอเมือง
จงั หวัดนา่ น
ส่วนดา้ นบนเพดานของอาคาร ลงรกั ปิดทองเปน็ ลวดลายดาวเพดาน เสา
ในอาคารมที ้ังหมด ๑๖ ตน้ เรยี งเปน็ ค่ๆู รอบใน ๔ คู่ รอบนอก ๔ คู่ ตาม
ทศิ ท้ัง ๔ เสาแต่ละตน้ มลี วดลายปิดทองล่องชาด โดยมีสว่ นทีแ่ ตกตา่ งกัน
คือ ลายเหนือกรวยเชิง กล่าวคือ เสารอบนอกเป็นลายรูปช้างแต่รอบใน
เปน็ ลายเทพพนม บานประตทู ง้ั ๔ ทศิ เปน็ ไมแ้ กะสลกั เปน็ รปู ทา้ วเวสสวุ ณั
และรูปพันธพ์ุ ฤกษา สอดแทรกดว้ ยสัตว์จตบุ าท ทวิบาท อยา่ งงดงาม๑๐๒
ภายในวิหารมีจิตรกรรมฝาผนังทั้งส่ีด้าน ฝาผนังเหนือขอบประตูทางเข้า
แสดงเรื่องพุทธประวัติ โดยการเขียนภาพขนาดใหญ่เต็มพ้ืนที่ผนัง ส่วน
ฝาผนงั ระหว่างชอ่ งประตูเขยี นภาพเรื่อง คันธกมุ ารชาดก เปน็ นทิ านชาดก
ที่ปรากฏในวรรณกรรมพื้นถ่ินล้านนา ฝาผนังทางด้านทิศตะวันตกเขียน
เร่ือง เนมิราชชาดก นอกจากน้ี องคป์ ระกอบทางสถาปตั ยกรรมส่วนอ่นื ๆ
ทเ่ี ปน็ เครอื่ งไม้ ตกแตง่ ดว้ ยลายค�ำ หรอื ลายปดิ ทองลอ่ งชาด รวมทงั้ บรเิ วณ
แผน่ คอสองเปน็ ลายปิดทองล่องชาดรปู สญั ลกั ษณ์พระอดีตพทุ ธเจา้ ๑๐๓
163
คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
จิตรกรรมฝาผนังภายในอาคารน้ีน่าจะเขียนราวต้นพุทธศตวรรษท่ี ๒๕
ในคราวทม่ี กี ารปฏิสงั ขรณว์ ดั แหง่ นี้ โดยเจ้าอนันตวรฤทธ์เิ ดชฯ เจา้ ผคู้ รอง
เมืองนา่ น ระหวา่ ง พ.ศ. ๒๓๙๕-๒๔๒๔ ภาพเขียนจะตกแตง่ อยู่บนผนัง
ทห่ี กั พบั ไปมาตลอดทกุ ดา้ นของอาคาร โดยมผี นงั ดา้ นสกดั ของมขุ ทง้ั สเี่ ปน็
ผนังหลัก ซ่ึงช่างได้ออกแบบให้ภาพพุทธประวัติ มีลักษณะของภาพ
เหตุการณ์ทมี่ ขี นาดใหญป่ ระมาณคนจรงิ เปน็ ประธานอยสู่ ว่ นบนของผนงั
ดา้ นทศิ เหนอื ทศิ ตะวนั ออก และทศิ ใต้ จะวาดเปน็ รปู พระพทุ ธเจา้ ประทบั
นัง่ ปางมารวิชยั มพี ระสาวกนง่ั ประนมมอื อย่ขู า้ งละ ๒ องค์ สันนษิ ฐานว่า
คงเป็นตอนท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเทศนาเล่าเร่ืองคัทธกุมารชาดก
ซ่ึงช่างได้เขียนเป็นภาพเล่าเรื่องขนาดเล็กบนผนังช่วงถัดลงมาต่อเน่ืองกัน
ตลอดทง้ั สามดา้ น สว่ นผนงั ดา้ นทศิ ตะวนั ตกตอนบนเปน็ ภาพพระพทุ ธเจา้
เสดจ็ สปู่ รนิ พิ านในปางไสยาสน์ มพี ระสาวกนง่ั แสดงอาการโศกเศรา้ เสยี ใจ
อยู่ ๔ องค์ ตอนล่างลงมาเป็นภาพเล่าเร่ืองพระเนมีราชชาดก ซ่ึงยังไม่
พบวา่ ความสัมพนั ธก์ บั ภาพเหตกุ ารณท์ ีอ่ ยตู่ อนบนแต่อยา่ งใด๑๐๔
จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารวดั ภมู นิ ทร์ มอี ายใุ นราวตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕
ภาพเหลา่ นเี้ ขยี นขน้ึ ในแบบชวี ติ ตามความเปน็ จรงิ เปน็ งานศลิ ปะทส่ี ะทอ้ น
ใหเ้ หน็ ถงึ ความสขุ ของชาวลา้ นนา ทอี่ าศยั อยใู่ นดนิ แดนทเ่ี ตม็ ไปดว้ ยความ
สุขสำ�ราญ ภาพกลมุ่ หญงิ สาวก�ำ ลงั เดนิ ไปตลาดแลว้ กม็ บี รรดาชายหนมุ่ พา
กนั ตามเกย้ี วพาราสนี น้ั เปน็ ภาพชวี ติ ประจ�ำ วนั ซงึ่ ชา่ งเขยี นคงจะไดเ้ คยเหน็
มาหรืออาจจะได้มีส่วนร่วมด้วย ภาพน้ีวาดขึ้นอย่างมีเสน่ห์น่ารัก เป็น
ลักษณะของศิลปะพนื้ บา้ นท่ีเรียบงา่ ย และเป็นธรรมชาต๑ิ ๐๕ องค์ประกอบ
ของภาพจิตรกรรมฝาผนังแห่งนี้ เป็นองค์ประกอบภาพขนาดใหญ่ท่ีมี
ประกอบขึ้นจากภาพยอ่ ยๆ จ�ำ นวนมาก ท้ังภาพเหตกุ ารณ์ (พทุ ธประวตั )ิ
ภาพเลา่ เรือ่ ง และภาพบคุ คลทส่ี อดแทรกอยู่ จะเห็นไดว้ า่ มีความแตกตา่ ง
กนั ท้งั ในด้านขนาด รูปทรงและเนื้อหา แตช่ า่ งก็สามารถทำ�ใหภ้ าพทัง้ หมด
น้ันอยรู่ วมกันไดอ้ ยา่ งกลมกลนื ภาพแต่ละส่วนไม่ได้ถูกแบ่งค่นั ด้วยกรอบ
ภาพใดๆ แต่จะถูกจัดวางอย่างเหมาะสมและแยบยล นับต้ังแต่ตำ�แหน่ง
ภาพ การเวน้ ระยะ และการสรา้ งความตอ่ เนอ่ื งดว้ ยฉากธรรมชาติ ตลอดจน
164
แนวคิดคติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
ภาพท่ี ๑๑๑
จิตรกรรมฝาผนัง
ภายในวิหาร
วดั ภมู นิ ทร์
อำ�เภอเมือง
จังหวัดนา่ น
โครงสีทีเ่ ป็นพ้ืนหลัง เพอ่ื เช่อื มโยงภาพทัง้ หมดใหเ้ ป็นอันหน่งึ อนั เดียวกัน
ทงั้ อาคาร คสู่ ที ใ่ี ชเ้ ปน็ เปน็ หลกั ของทนี่ คี่ อื สแี ดงชาดและสคี ราม โดยระบาย
เป็นพืน้ หลังสลับกันไปท�ำ นองเดยี วกับภาพของจิตรกรรมสกุลชา่ งไทใหญ่
นอกจากนยี้ งั พบวา่ ชา่ งเขยี นนยิ มผสมสที งั้ สองใหห้ มน่ ลง แลว้ ระบายเคยี ง
ค่ไู ปกบั แถบสสี ดด้วย มีผลท�ำ ใหภ้ าพโดยรวมดนู มุ่ นวลข้นึ ขณะเดยี วกนั ก็
สามารถรักษาบทบาทการเน้นตัวภาพได้อย่างดี และเม่ือสีแดงชาดมี
ปริมาณท่ีมากกว่าโครงสีส่วนรวมของจิตรกรรมฝาผนังแห่งนี้จึงเป็นสีแดง
ชมพู ทำ�ให้ผพู้ บเหน็ เกิดความร้สู ึกอบอ่นุ และตน่ื เตน้ เร้าใจ ในด้านรปู ทรง
ของตวั ภาพและองค์ประกอบของจิตรกรรมแหง่ นี้ พบวา่ มีเอกลักษณ์ของ
ตนเองอยา่ งโดดเดน่ กลา่ วคอื เปน็ รปู ทรงใหญท่ เี่ รยี บงา่ ยและเปน็ ธรรมชาติ
ประกอบกบั เสน้ รอบนอกทเี่ นน้ ความกลมกลนื สมั พนั ธร์ บั กนั ดกี บั แนวเนนิ
ดนิ เนนิ เขาทเี่ ปน็ เสน้ ลกู คลน่ื เลอื่ นไหลไปมา ใหค้ วามรสู้ กึ เคลอื่ นไหวอยา่ ง
อสิ ระตอ่ เนอ่ื งกนั สะทอ้ นถงึ ความรกั สงบ ขณะเดยี วกนั กไ็ มน่ า่ เบอ่ื แตก่ ลบั
จะมีความสนกุ สนานมากกวา่ เนือ่ งจากผลของโครงสแี ละรายละเอียดตัว
ภาพที่เขียนข้ึนด้วยอารมณ์สนุกสนานตรงไปตรงมาและน่ารัก ซึ่งเราจะ
พบเหน็ ไดท้ ั่วไปในงานจิตรกรรมฝาผนงั แห่งน้ี
165
คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๑๒
เจดีย์จุฬามณี
บนสวรรคช์ ้นั ดาวดงึ ส์
วดั ภมู นิ ทร์
อ�ำ เภอเมอื ง
จงั หวดั นา่ น
ส่วนการศกึ ษา เรือ่ งราวในจิตรกรรมฝาผนงั วหิ ารวัดภูมนิ ทร์ ทสี่ ะทอ้ นถงึ
คติจกั รวาลวทิ ยานัน้ พบว่า ปรากฏอยู่บนผนงั ด้านทศิ ใตแ้ ละทิศตะวนั ตก
ซึ่งเป็นเร่ืองเนมิราชชาดก พระมาตุลีได้รับมอบหมายจากพระอินทร์ให้
มาอัญเชิญพระเนมิราชไปยังเทวโลก ระหว่างทางพระเนมิราชได้ผ่านไป
นรกภูมิขุมต่างๆ และข้ึนไปบนสวรรค์ แสดงด้วยภาพเจดีย์จุฬามณี
และตน้ ปาริชาติ ซึง่ อยบู่ นสวรรค์ชัน้ ดาวดงึ ส์
166
แนวคิดคติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
ภาพที่ ๑๑๓
เปรตภมู ิ
และนรกภูมิ
วดั ภมู นิ ทร์
อ�ำ เภอเมือง
จังหวดั น่าน
ภาพท่ี ๑๑๔
นรกภูมิ
จติ รกรรมฝาผนงั
วิหารวดั ภูมินทร์
อำ�เภอเมอื ง
จังหวัดนา่ น
167
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๑๕
เปรตภมู ิ
วดั ภูมนิ ทร์
อ�ำ เภอเมือง
จังหวดั นา่ น
ภาพท่ี ๑๑๖
นรกภูมิ
วัดภูมินทร์
อำ�เภอเมือง
จังหวดั น่าน
168
แนวคดิ คติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
จิตรกรรมฝาผนังวิหาร วัดหนองบัว ตำ�บลป่าคา อำ�เภอท่าวังผา
จงั หวดั นา่ น วดั หนองบวั เป็นวัดของกลุม่ ชนชาวไทลอ้ื เมืองน่าน ทส่ี รา้ ง
ขึ้นช่วงตน้ พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ ในราว พ.ศ. ๒๔๐๕ โดยท่านสนุ ันต๊ะ หรอื
ครูบาหลวง เป็นผู้นำ�ชาวบ้านให้ร่วมกันสร้างวัดข้ึนเป็นวัดประจำ�หมู่บ้าน
หนองบวั ตามประวัตกิ ล่าววา่ หลังจากสร้างพระวิหารเสร็จได้ไม่นาน จึงมี
การเขยี นภาพจติ รกรรมฝาผนงั ขนึ้ โดยการรว่ มมอื กนั ระหวา่ งชา่ งชาวเมอื ง
พวน ชื่อทิดบัวผัน ซึ่งเป็นเมืองในเขตปกครองของหลวงพระบางกับช่าง
ท้องถิ่นชาวไทลื้อ ช่วงที่มีการเขียนภาพนี้เป็นระยะคาบเกี่ยวหรืออาจจะ
หลังกว่าเลก็ นอ้ ยกับการเขียนจิตรกรรมฝาผนังทวี่ หิ ารวดั ภูมนิ ทร์ ซ่ึงได้รับ
การอุปถัมภ์จากเจ้าเมืองน่านในยุคน้ัน๑๐๖ ประเด็นที่สำ�คัญและน่าสนใจ
ก็คือ จิตรกรรมฝาผนังท้ังสองแห่งน้ี มีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันโดยตรง
ทง้ั ในดา้ นรปู แบบศลิ ปะ แนวคดิ ในการจดั องคป์ ระกอบ และเนอ้ื หาเรอ่ื งราว
ทีน่ �ำ มาถา่ ยทอด
ภาพที่ ๑๑๗
วหิ ารวัดหนองบวั
อำ�เภอทา่ วงั ผา
จังหวัดนา่ น
169
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
สำ�หรับภาพจิตรกรรมฝาผนังท่ีวิหารวัดหนองบัวนี้ ช่างเขียนดำ�เนิน
เรื่องจันทคาธชาดก ค่อนข้างเป็นระเบียบโดยเริ่มจากกัณฑ์ท่ี ๑ คือ
ทุพภิกขกัณฑ์ที่มุมผนังด้านทิศใต้ไปทิศตะวันออก และมาทิศเหนือไปสู่
ทศิ ตะวนั ตกหรอื ผนงั เบอื้ งหลงั พระประธานนน่ั เอง อาจมกี ารลกั ลน่ั อยบู่ า้ ง
ในผนังทิศเหนือซ่ึงดำ�เนินเร่ืองไม่ต่อกับผนังด้านทิศตะวันออก กล่าวคือ
แทนที่จะเร่ิมทางผนังมุมทิศตะวันออกเฉียงเหนือก็กลับเป็นมุมทิศ
ตะวนั ตกเฉยี งเหนอื เปน็ ตน้ จนั ทคาธชาดก เปน็ เรอ่ื งหนง่ึ ในปญั ญาสชาดก
เน้ือเร่ืองยาว ตัวละครมากมีท้ังเรื่องราวความรัก และการผจญภัย
จงึ เป็นชาดกเรอื่ งหน่ึงทแี่ พรห่ ลายมากในหมูช่ าวพุทธในลา้ นนา๑๐๗
ตำ�แหน่งของจิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารจะอยู่สูงจากพ้ืนประมาณ
๑ เมตรครง่ึ การวางองคป์ ระกอบของภาพเปน็ แบบตอ่ เนอ่ื งขน้ึ ไปจรดขอบ
ผนังท้ังสี่ด้าน ผนังด้านหลังพระประธานเขียนภาพพระพุทธเจ้า ๔ องค์
ในปางมารวชิ ยั ไวเ้ ปน็ แถวตอนบนของผนงั และเขยี นพระพทุ ธเจา้ ๔ องค์
ในรปู ทรงเครอ่ื งกษตั รยิ ์ ประทบั ยนื ทง้ิ พระหตั ถล์ งมาแนบพระองคท์ งั้ สอง
ข้าง ซ่ึงเป็นปางท่ีนิยมกันมาในพระพุทธปฏิมาลาว อยู่บริเวณตอนกลาง
ของผนงั คตกิ ารเขยี นพระพทุ ธเจา้ ๔ พระองค์ หมายถงึ พระพุทธเจา้ ๔
ภาพที่ ๑๑๘
บรรยากาศภายใน
วิหารวัดหนองบวั
อ�ำ เภอทา่ วงั ผา
จงั หวดั นา่ น
170
แนวคิดคติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๑๙
จิตรกรรมฝาผนัง
ภายในวหิ าร
วัดหนองบวั
อำ�เภอทา่ วังผา
จังหวดั นา่ น
พระองค์ ในภัทรกัป ไดแ้ ก่ พระกกสุ นั โธ พระโกนาคม พระกสั สป และพระ
โคตม จะยังขาดก็แต่พระศรีอาริยเมตไตย ซ่ึงตามพุทธพยากรณ์ที่เช่ือว่า
พระองคจ์ ะมาตรสั รู้เมอื่ ศาสนาของพระโคตมล่วงแลว้ ๕,๐๐๐ ปี๑๐๘ ส่วน
พน้ื ภาพเบอ้ื งหลงั พระประธานเป็นภาพภเู ขาขนาดใหญ่ สนั นษิ ฐานวา่ ช่าง
เขยี นตงั้ ใจใหเ้ ปน็ สญั ลกั ษณข์ องเขาพระสเุ มรุ ศนู ยก์ ลางของจกั รวาล พน้ื ท่ี
ดา้ นบนของผนังเป็นภาพทอ้ งฟา้ มีตน้ ไม้และนกแซมอยู่อย่างงดงามยงิ่
ภาพพระพุทธเจ้าดังกล่าวมีขนาดค่อนข้างใหญ่ และได้รับการจัดวาง
อย่างเหมาะเจาะลงตวั ในหนึง่ ผนงั ด้วยการคำ�นึงถงึ ความสัมพันธท์ ร่ี ับกนั
อย่างดีกับองค์พระพุทธรูปประธานซ่ึงเป็นงานปฏิมากรรม จะเห็นได้ว่า
คตกิ ารเขยี นภาพพระพทุ ธเจ้า ๔ องค์ อนั หมายถงึ พระพุทธเจา้ ในภทั รกปั
มีความสัมพันธ์กันโดยตรงกับพระพุทธรูปประธาน ๔ องค์ ในพระวิหาร
จตุรมุขวัดภูมินทร์ ดังนั้น จึงสันนิษฐานได้ว่า การเขียนภาพพระพุทธเจ้า
๔ องค์ที่วิหารวัดหนองบัว น่าจะเป็นการับเอาแบบแผน และคตินิยม
171
คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
มาจากวัดภูมนิ ทรโ์ ดยตรง๑๐๙ ถัดจากภาพดา้ นหลงั พระประธานออกมาจะ
มภี าพทส่ี �ำ คัญอยู่ ๒ สว่ น คือ เรอื่ งจนั ทคาธชาดก ในชดุ ปญั ญาสชาดก
ซึ่งเป็นภาพขนาดเล็กท่ีเขียนต่อเนื่องกันทั้งสามผนังเริ่มจากด้านทิศเหนือ
ตอนในสุด ดำ�เนินเร่ืองย้อนออกมาทางด้านทิศตะวันออกผ่านผนังด้าน
หน้า แล้วออ้ มไปด้านทศิ ใตเ้ ร่ืองไปจนสดุ ผนังด้านใน ส่วนท่ีสองเปน็ ภาพ
เหตกุ ารณ์ในเรอ่ื งพทุ ธประวตั ิ ซ่งึ เขยี นเป็นภาพขนาดใหญม่ ากอยสู่ ่วนบน
ของผนังด้านทิศตะวันออก คือภาพพระพุทธเจ้าทรงประทับไสยาสน์
มีพระอินทร์มาดีดพิณสามสายแสดงนิมิตถวาย นอกจากน้ี ยังมีภาพ
สอดแทรกทม่ี ขี นาด และต�ำ แหนง่ ทแี่ ยกออกจากเรอ่ื งราวหลกั ท�ำ นองเดยี ว
กับทีว่ ดั ภมู ินทร์ ได้แก่ ภาพบคุ คลและภาพสตั วต์ ามจุดต่างๆ ของอาคาร
อาทิ ภาพหนุ่มสาวบริเวณมุมผนังด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือสันนิษฐาน
วา่ นา่ จะเปน็ รปู ของชา่ งเขยี นกบั สาวคนรกั ตลอดจนภาพทส่ี ะทอ้ นใหเ้ หน็
ถงึ วถิ ชี ีวติ ของชาววดั ของล้านนาในอดตี ๑๑๐
172
แนวคดิ คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๒๐
จติ รกรรมฝาผนัง
ภายในวิหาร
วัดหนองบวั
อ�ำ เภอท่าวงั ผา
จังหวัดนา่ น
173
คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
จิตรกรรมบนผืนผา้
พระบฏ จดุ ประสงคใ์ นการสรา้ งพระบฏในคตดิ ง้ั เดมิ ของไทย มกั ใชพ้ ระบฏ
ในการประดับหรือแขวนห้อยในศาสนสถาน โดยมีประโยชน์ในแง่เป็นสื่อ
ที่ช่วยในการสั่งสอนธรรมะแก่พุทธศาสนิกชน และเป็นการถ่ายทอดเร่ือง
ราวในพระพุทธศาสนา ตลอดจนยังเป็นงานศิลปกรรมท่ีประดับตกแต่ง
สถานท่ีให้สวยงามโน้มนำ�จิตใจให้เกิดความศรัทธาประสาทะ ด้วยเหตุนี้
จึงเป็นคตินิยมของพุทธศาสนิกชนในระยะเวลาต่อมา ที่มีความต้องการ
สืบทอดพระศาสนา หรอื อทุ ิศบุญกุศลให้แก่บุพการผี ลู้ ว่ งลับ และทส่ี �ำ คัญ
ก็ยังเช่ือว่าจะเป็นอานิสงส์แก่ตนเอง และบุคคลในครอบครัวของผู้สร้าง
พระบฏ เพื่อถวายเป็นพุทธบชู าอีกดว้ ย๑๑๑
ภาพท่ี ๑๒๑
พระบฏ
พระพุทธเจ้าเสดจ็
ลงจากสวรรค์
ชั้นดาวดึงส์
วัดดอกเงิน
จังหวัดเชยี งใหม่
174
แนวคดิ คติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ความหมายของค�ำ วา่ พระบฏ รูปคำ�เดิมมาจากภาษา บาลี คือ ปฏ อ่าน
ออกเสยี งวา่ ปะ-ฏะ หมายถงึ แผน่ ผา้ หรอื ผนื ผา้ ดงั นน้ั พระบฏ จงึ มคี วาม
หมายไดว้ า่ รปู ของพระพทุ ธเจา้ หรอื เรอ่ื งของพระพทุ ธเจา้ ทไ่ี ดเ้ ขยี นลงบน
ผนื ผา้ หรอื แผน่ ผา้ ดว้ ยเหตนุ เี้ อง พระบฏ จงึ หมายถงึ งานจติ รกรรมประเภท
หนง่ึ ในบรรดาพุทธศลิ ปกรรมประเภทต่างๆ๑๑๒
ภาพที่ ๑๒๒
พระบฏ
พระพทุ ธเจ้า
ปางเปิดโลก
วัดเจดีย์สูง
อำ�เภอฮอด
จังหวดั เชียงใหม่
175
คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
คติการสร้างพระบฏมีมาตั้งแต่ครั้งสุโขทัย โดยมีการสืบทอดต่อกันมาใน
สมัยอยธุ ยาและรัตนโกสินทร์ พระบฏท่ีเก่าแก่ทส่ี ดุ ท่พี บ คอื พระบฏที่พบ
ได้จากกรุพระเจดีย์ วัดดอกเงิน อำ�เภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ ขนาดสูง
๓.๔๐ เมตร และกว้าง ๑.๘๐ เมตร เป็นฝีมือสกุลชา่ งลา้ นนา อายุอยใู่ น
ราวพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๑ คอื สมยั อยธุ ยาตอนกลาง เปน็ เรอื่ งราวพทุ ธประวตั ิ
ตอนเสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เขียนด้วยสีฝุ่น ปิดทองคำ�เปลว
อยู่กึ่งกลางผืนผ้ารูปสี่เหล่ียมแนวต้ัง ซึ่งเป็นประธานของรูปทรงทั้งหมด
มีภาพดอกไม้สวรรค์หลายชนิดโปรยปรายอยู่ท่ัวไปด้านหลังพระพุทธองค์
ด้านข้างของภาพพระพุทธเจ้าขนาบข้างด้วยข้ันบันไดสำ�หรับ พระพรหม
พระอินทร์ และวิทยาธร ถัดออกไปเป็นภาพเทพชุมนุมที่เหาะตาม
ขบวนเสด็จ พ้ืนที่ด้านบนของภาพเป็นส่ีเหล่ียมผืนผ้า แสดงรายละเอียด
ของสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ท่ีพระพุทธองค์เสด็จจากมาหลังจากทรงเสด็จ
มาเทศนาพระอภิธรรมถวายพระพุทธมารดา ซึ่งประกอบด้วย พระเจดีย์
จุฬามณี ไพชยนต์มหาปราสาท เทวดาท่ีมานมัสการ ส่วนพ้ืนท่ีสี่เหล่ียม
ผืนผ้าแนวนอนด้านล่างเป็นแถวของภิกษุสงฆ์สาวกที่หน้าประตูเมือง
สังกัสสะ และภาพบุคคลช้ันสูง พระราชา พระราชวงศ์ และชาวเมือง
นับว่าเป็นพระบฏท่ีมีการจัดวางองค์ประกอบของภาพอันมีลักษณะพิเศษ
ซ่ึงไม่เคยพบมาก่อนในจิตรกรรมสมัยอ่ืน๑๑๓ การเก็บรักษาพระบฏผืนนี้
คนโบราณมว้ นใสใ่ นหมอ้ ดนิ แลว้ น�ำ ไปบรรจไุ วใ้ นกรุ สนั นษิ ฐานวา่ พระบฏ
ผืนน้ีคงจะมีอายุเก่าแก่กว่าองค์เจดีย์ที่พระบฏบรรจุอยู่ หรือในช่วงก่อน
พทุ ธศตวรรษท่ี ๒๒๑๑๔
พระบฏศิลปะล้านนาอีกช้ินหนึ่งที่สะท้อนถึงแนวคิดคติจักรวาลวิทยา
คือ พระบฏ จากวัดเจดีย์สูง อำ�เภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่ การจัดวาง
องคป์ ระกอบภาพสมดลุ แบบ ๒ ข้างเท่ากนั พระพทุ ธองค์อยูใ่ นอริ ิยาบถ
ยืน พระหัตถ์ท้ัง ๒ ทอดลงข้างพระวรกาย ปางเปิดโลก ข้างซ้าย-ขวา
เขยี นภาพพระอคั รสาวกที่มขี นาดเล็กลง ก�ำ ลังยนื ประคองอัญชลี พ้นื ภาพ
ด้านหลังพระพุทธองค์มีลวดลายดอกไม้สวรรค์มากมายหลายชนิด พ้ืนที่
ส่วนบนเขียนภาพพระอาทิตย์และพระจันทร์ ซึ่งโคจรอยู่เหนือยอดเขา
ยุคนธร หน่ึงในเขาสัตตบริภัณฑ์ ซ่ึงมีความสูงรองลงมาจากเขาพระสุเมรุ
176
แนวคดิ คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๒๓
พระบฏ
พระพุทธเจ้าเสด็จ
โปรดพุทธมารดา
บนสวรรค์
ชน้ั ดาวดงึ ส์
ตอนบนเขยี นภาพ
พระพุทธเจา้
๕ พระองค์
177
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ศูนย์กลางจักรวาลและเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ภาพพระบฏผืนน้ีแสดงถึง
พุทธประวัติหลังจากทรงเทศนาพระอภิธรรมโปรดพุทธมารดาบนสวรรค์
ชัน้ ดาวดงึ ส์ แล้วเสด็จกลับลงมาสู่โลกมนษุ ยบ์ รเิ วณชานเมอื งสงั กสั สะ๑๑๕
ผา้ ยนั ตพ์ ระสงิ หห์ ลวง สงั คมวัฒนธรรมล้านนาในสมัยโบราณ พระพุทธ
ศาสนามีอิทธิพลต่อวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คนตลอดมา โดยทำ�หน้าท่ี
เป็นเคร่ืองยึดเหน่ียวจิตใจ พร้อมท้ังมีส่วนสำ�คัญในการสร้างค่านิยม
วฒั นธรรมประเพณี ตลอดจนงานศลิ ปกรรมอนั เกดิ จากความเชอ่ื และความ
ศรทั ธาดว้ ยรปู แบบตา่ งๆ มากมาย โดยเฉพาะการสรา้ งสรรคง์ านพทุ ธศลิ ป์
อาทิ การปั้น การหล่อ หรือแกะสลักพระพุทธรูป เพอื่ นำ�ไปถวายเป็นพุทธ
บูชาท่ีวัด เนื่องจากชาวล้านนามีความเช่ือว่าพระพุทธรูปควรประดิษฐาน
อยู่ที่วัดเท่าน้ัน ไม่นิยมนำ�พระพุทธรูปมาสักการบูชาไว้ที่บ้านเหมือนคน
ไทยสว่ นใหญใ่ นปจั จบุ นั แตบ่ นหงิ้ พระภายในบา้ นจะมรี ปู ภาพเจดยี ป์ ระจ�ำ
ปีเกิดหรือเจดีย์ท่ีสำ�คัญ คำ�ไหว้พระธาตุ หรือรูปเขียนพระพุทธรูป และ
คำ�ไหวพ้ ระเท่านน้ั
ภาพที่ ๑๒๔
ผ้ายนั ตพ์ ระสงิ หห์ ลวง
ศิลปะล้านนา
178
แนวคิดคติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๒๕
ผา้ ยันตพ์ ระสงิ ห์หลวง
ศิลปะลา้ นนา
พระพุทธสหิ ิงค์ หรอื ทีน่ ยิ มเรยี กกนั วา่ พระสิงห์ เปน็ พระพุทธรปู ศกั ด์ิสิทธิ์
ของล้านนา พุทธศาสนิกชนชาวล้านนาในอดีตมีความเชื่อว่าผู้ชายที่เป็น
หัวหน้าครอบครัวจะต้องเรียนรู้ท่องจำ�คำ�ไหว้พระสิงห์ หรือคาถาปฐมัง
เพ่ือใช้สวดมนต์ไหว้พระทุกเช้าคำ่� โดยมีบุคคลที่มีความรู้ทางด้านคาถา
อาคม และการเขียนภาพ จะเขยี นภาพพระพุทธสหิ งิ คบ์ นผนื ผ้า ใหอ้ ยู่ใน
ตำ�แหน่งจดุ ศนู ย์กลางของรูปวงกลม ซ่ึงมีรัศมีแผอ่ อกโดยรอบ เขียนภาพ
พระสาวกท่ีสำ�คัญบางองค์ เช่น พระสารีบุตร พระมหาโมคคัลลานะ
พระมหากสั สปะ พระอานนท์ และพระอนรุ ทุ ธ เปน็ ตน้ ภาพทา้ วจตโุ ลกบาล
ท้ัง ๔ ภาพช้าง ภาพม้า พร้อมท้ังเขียนคาถาปฐมัง คาถานวภา คาถา
ทุกขันเต ลงไปบนผืนผ้านั้น แล้วเรียกว่าผ้านั้นว่า “ขบวนพระสิงห์”
ในการสร้างผา้ ยันตพ์ ระสงิ ห์จะตอ้ งใช้ความวิริยะอุสาหะอย่างสูง เพราะมี
กรรมวิธีที่ยุ่งยากซับซ้อนมาก ด้วยเหตุนี้ จึงมีความเชื่อว่าผู้ใดที่มี
ยนั ตพ์ ระสงิ หไ์ วส้ กั การบชู า จะเปน็ สริ มิ งคล และอ�ำ นวยประโยชนม์ ากมาย
กับชีวติ ของตน๑๑๖
179
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
กรรมวิธีการสร้างผ้ายันต์พระสิงห์จะต้องเตรียมผ้า โดยหญิงพรหมจารี
เทา่ น้ัน นับตง้ั แตก่ ารเปยี การปั่นฝ้าย รวมไปถงึ ทอดว้ ยดอกฝ้ายทมี่ สี ีขาว
บรสิ ทุ ธ์ใิ ห้ได้ผืนผา้ ฝา้ ยทมี่ เี นอ้ื ละเอยี ดอ่อน เม่อื ได้ผืนผ้าทีเ่ หมาะสมแล้ว
ข้ันตอนต่อไปจะต้องเตรียมสีท่ีจะนำ�มาเขียนรูป และคาถาหรือท่ีคน
ลา้ นนานยิ ม เรยี กวา่ น�้ำ แตม้ โดยสแี ดงท�ำ มาจากน�ำ้ หางหรอื ชาด สเี หลอื ง
ทำ�มาจากหรดาล สีดำ�ทำ�มาจากแท่งหินสีดำ�หรือแท่งหมึก สีชมพูอ่อน
หรอื สปี นู แหง้ ท�ำ มาจากน�ำ้ ฝนอฐิ สเี ขยี วท�ำ มาจากน�ำ้ ทคี่ นั้ จากยอดตน้ ทอง
สีน้ำ�เงินหรือสีครามทำ�มาจากต้นครามหรือต้นห้อม สีเลือดหมู สีน้ำ�ตาล
หรือสีน้ำ�ครั่งทำ�มาจากนำ้�คร่ัง ทั้งนี้ การนำ�วัสดุต่างๆ ดังกล่าวมาบดทำ�
เปน็ สีฝุน่ เพอื่ เขยี นภาพน้ัน จะต้องไปเตรียมตามวันที่ก�ำ หนด คอื จดั หาสี
ได้วันละ ๑ สีเท่านั้น ในระหว่างการเตรียมและการบดสีจะต้องเตรียม
ดอกไม้ท่ีมีสีใกล้เคียงกับสีที่บด เพ่ือใช้สำ�หรับเป็นเคร่ืองสักการบูชา
อกี ด้วย๑๑๗
ภาพที่ ๑๒๖
ลายรดนำ้�บนอาสนา
วัดพระธาตศุ รีจอมทอง
จังหวัดเชียงใหม่
180
แนวคิดคติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
จติ รกรรมลายรดน้ำ�
ลายรดนำ้� คือ งานช่างประณีตศิลป์ของไทยแขนงหน่ึง ที่มีกรรมวิธีการ
สร้างสรรค์เฉพาะตัว ซึ่งจัดเป็นงานจิตรกรรมไทยประเพณีประเภทหน่ึง
ซึ่งอยู่ในกลุ่มเอกรงค์ คือ ใช้สีทองเพียงสีเดียว ทั้งส่วนที่เป็นภาพ
และลวดลาย สที องจะได้มาจากทองค�ำ เปลวแท้ ๑๐๐ เปอรเ์ ซ็นต์ รปู ทรง
และลวดลายจะปรากฏใหเ้ หน็ เดน่ ชดั โดยตดั กบั พน้ื สดี �ำ หรอื สแี ดงเขม้ เปน็
เงางาม ซ่ึงต้องอาศัยกระบวนการในการเขียนเส้น และลงรักปิดทอง
ท้ังน้ี ผลงานจะเสร็จสมบูรณ์ได้โดยการรดนำ้� ให้ทองส่วนท่ีไม่ต้องการ
หลุดออกไป คงไว้แต่รูปทรงและลวดลายสีทองท่ีต้องการไว้เท่านั้น
งานศิลปะลายรดน้ำ�เป็นงานประณีตศิลป์ที่มีระเบียบแบบแผน และมี
ขน้ั ตอนในการสรา้ งสรรคอ์ นั เปน็ เอกลกั ษณ์ มกั ใชใ้ นการประดบั ตกแตง่ งาน
พุทธศิลป์ ตู้พระไตรปิฎก ฉากลับแล หีบธรรม ในประกับคัมภีร์ใบลาน
ปกสมุดภาพไทย และส่วนประกอบต่างๆ ในงานสถาปัตยกรรมไทย
อาทิ ประตู หน้าต่าง เสา ฝาผนัง ภายในพระอุโบสถ พระวิหาร และ
หอพระไตรปิฎก รวมทั้งงานประณีตศิลป์อ่ืนๆ เช่น เครื่องดนตรีไทย
เครือ่ งศาสตราวุธ ประเภท โล่ห์ ฝกั ดาบ กูบชา้ ง และงานศิลปะเคร่ืองเขิน
เป็นต้น๑๑๘
จติ รกรรมลายรดน�ำ้ บนอาสนา
สังเค็จหรืออาสนาในวัฒนธรรมล้านนา หมายถึง เตียงที่ประทับของ
พระพทุ ธเจา้ นบั เปน็ เป็นเครื่องสกั การะทีม่ ีความส�ำ คญั อาสนามลี ักษณะ
เป็นเครื่องราชูปโภคของพระมหากษัตริย์จัดว่าเป็นของสูง เน่ืองจาก
พระพุทธองค์ก่อนเสด็จออกบรรพชา มีพระนามว่าเจ้าชายสิทธัตถะ
ซ่งึ เป็นคนวรรณะกษัตรยิ ์ ซง่ึ ชาวพุทธในอนิ เดยี มกั นิยมเรยี ก พระภกิ ษุว่า
“ราชาสาธ”ุ อาสนา มลี ักษณะเปน็ เตยี งไมม้ ที ัง้ ขนาดใหญ่และเล็ก ตามแต่
กำ�ลังศรัทธาของพุทธศาสนิกชนผู้สร้างถวาย รูปทรงของเตียงทำ�ด้วยไม้
แกะสลัก ตกแต่งด้วยการลงรักปิดทอง หรือเขียนลายรดน้ำ� ด้านบน
ของพ้ืนเตียงท้ัง ๔ มุมต่อเสาข้ึน ๔ ต้น เพดานด้านบนมีลายกระจัง
ภาษาโบราณเรียกว่า “ทุงมนั ”๑๑๙ ทางดา้ นทีก่ ำ�หนดให้เป็นทศิ ท่พี ระเศยี ร
181
คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
หนั ไปนนั้ จะมไี มก้ ระดานตง้ั ฉากสงู ขนึ้ จากพนื้ เตยี งดา้ นลา่ ง องคป์ ระกอบ
ของอาสนาทั้งหมดจะต้องใช้ช่างที่มีฝีมือในการแกะสลัก และเขียนลาย
ลงรกั ปดิ ทองอยา่ งประณีตงดงามมาก
ลายรดนำ้�บนอาสนา วัดพระธาตุศรีจอมทอง อำ�เภอจอมทอง จังหวัด
เชยี งใหม่ มีลักษณะเปน็ ลายรดน้�ำ บนไม้รปู ทรงสามเหลย่ี ม ทมี่ กี รอบเป็น
ไม้แกะสลักรูปทรงพญานาคจำ�นวน ๖ ตน แบ่งออกเป็น ๒ ด้านๆ ละ
๓ ตน เรียงล�ำ ดับขนาดลดหล่ันกัน ภายในกรอบสามเหลีย่ มเขียนลายแล้ว
ปิดทองค�ำ เปลว บนพ้นื รกั สแี ดง แสดงรูปทรงสญั ลักษณ์คตจิ ักรวาลวทิ ยา
พุทธศาสนา ประกอบด้วย เขาพระสุเมรุ เขาสัตตบริภัณฑ์ เขากำ�แพง
จักรวาล ด้านล่างเขียนภาพคลื่นนำ้�ในมหาสมุทรมีปลาอานนท์รองรับอยู่
ด้านล่างของเขากำ�แพงจักรวาล พื้นที่ด้านในตำ�แหน่งก่ึงกลาง เขียนเป็น
ภาพตน้ ไมส้ ที องบนพนื้ แดง หมายถงึ ตน้ หวา้ ซงึ่ เปน็ ตน้ ไมป้ ระจ�ำ ชมพทู วปี
อันเป็นดินแดนที่จะมีพระพุทธเจ้าเสด็จมาอุบัติข้ึน ส่วนพ้ืนที่ด้านบน
ระหวา่ งเขาพระสเุ มรุ ทต่ี ง้ั ของสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ ส์ กบั สวรรคช์ น้ั จตมุ หาราชกิ า
มีดวงอาทิตย์ (ภายในเขยี นภาพนกยงู ) และดวงจันทร์ (ภายในเขียนภาพ
กระตา่ ย) ตามคติความเชื่อของชาวพทุ ธในล้านนา
จิตรกรรมลายคำ�
จิตรกรรมลายคำ�บนฝาผนัง ลวดลายลงรักปิดทองประดับอาคารศาสน
สถานในล้านนา นยิ มเรียกวา่ ลายค�ำ เนื่องจากลักษณะเดน่ ประการหนึ่ง
ของวิหารล้านนาก็คือ การเปิดเพดานให้เห็นโครงสร้างหลังคาโดยไม่มีฝ้า
เพดาน แสดงใหเ้ หน็ ถงึ โครงสรา้ งทเี่ ปน็ ระเบยี บ มคี วามประณตี งดงาม อนั
เกดิ จากฝมี อื งานชา่ ง ตลอดจนการตกแตง่ ผวิ ดา้ นนอกของไมด้ ว้ ยลวดลาย
ลงรักปิดทอง ให้มีความกลมกลืนกันท้ังภายในและภายนอกอาคาร โดย
เฉพาะภายในวิหารซ่ึงมีบรรยากาศมืดสลัว เม่ือมีแสงมากระทบกับองค์
พระพุทธรูปและลายคำ� ก่อให้เกิดความงดงาม ท่ีมีพลังโน้มนำ�จิตใจของ
พุทธศาสนิกชนให้รู้สึกถึงความศักดิ์สิทธิ์ ความศรัทธา ตลอดจนส่งผลให้
จติ ใจเกดิ ความสงบระงับ อนั เปน็ ที่ต้ังแห่งสมาธิ
182
แนวคดิ คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๒๗
ศิลปกรรม
ลายค�ำ ลา้ นนา
ภายในวิหารลายค�ำ
วัดพระสงิ ห์วรวิหาร
จังหวัดเชียงใหม่
การสรา้ งงานลายค�ำ ในลา้ นนาเรม่ิ มขี นึ้ เมอื่ ใดนนั้ ไมป่ รากฏหลกั ฐานแนช่ ดั
สันนิษฐานว่าน่าจะได้รับอิทธิพลจากงานช่างรักที่มีต้นกำ�เนิดมาจาก
ประเทศจีน ซึ่งมีองคค์ วามรู้ในการท�ำ เครื่องรกั มากอ่ นชาติอื่นๆ เป็นเวลา
มากกว่า ๓,๐๐๐ ปี ต่อมาได้แพร่หลายไปในเวียดนาม เกาหลี ญ่ีปุ่น
และในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ พม่า ไทย๑๒๐ ส�ำ หรบั งานเครื่องรกั
ในล้านนา นิยมเรียกว่า เครื่องเขิน ซึ่งนิยมทำ�เป็นภาชนะเคร่ืองใช้ต่างๆ
สว่ นลวดลายทปี่ ระดบั ตามพทุ ธสถานและองคป์ ระกอบสถาปตั ยกรรมของ
ล้านนาจะ เรยี กว่า ลายคำ� หมายถงึ ลวดลายท่ีสร้างดว้ ยทองคำ�
บริเวณผนังปูนท้ายวิหารนำ้�แตม้ ด้านหลังพระประธาน มีลายคำ�ภาพต้น
พระศรมี หาโพธ์ิ ๓ ต้น แผก่ ง่ิ กา้ นสาขาอยา่ งงดงาม บริเวณตอนบนของ
183
คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๒๘
ต้นพระศรีมหาโพธิ์
พระอาทติ ย์
และพระจนั ทร์
ลายคำ�ล้านนา
วิหารน้�ำ แต้ม
วัดพระธาตลุ �ำ ปางหลวง
อำ�เภอเกาะคา
จงั หวดั ลำ�ปาง
ต้นโพธ์ิท้ังสองข้าง ปรากฏภาพพระอาทิตย์ และพระจันทร์ อันเป็น
สัญลกั ษณข์ องจกั รวาล และสอดแทรกดว้ ยภาพสตั ว์ ไดแ้ ก่ นก และหงส์
กำ�ลังบนิ อยู่ รวมท้ังภาพเทวดากำ�ลงั ประคองอญั ชลีพรอ้ มด้วยชอ่ ดอกไม้
และภาพสัญลักษณ์หม้อนำ้�ปูรณฆฏะ บริเวณฝาผนังด้านข้างทำ�เป็นรูป
ดอกไมต้ ัง้ เรียงตอ่ เน่ืองกนั ไปตามแนวนอน๑๒๑
184
แนวคดิ คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
ภาพที่ ๑๒๙ จติ รกรรมลายค�ำ บนหบี ธรรม
เจดยี จ์ ุฬามณี หีบธรรม หบี ใสพ่ ระธรรม หรือ
ลายคำ�บนหบี ธรรม หบี ทรงธรรม หมายถงึ ตสู้ �ำ หรบั
ใสพ่ ระธรรมคมั ภรี ์ ทางลา้ นนา
ล้านนา นิ ย ม เ รี ย ก ว่ า หี ด ธ ร ร ม
สันนิษฐานว่าเพ่ือไม่ให้พ้อง
เสียงกับคำ�ว่า ไม้หีบ หรือหีบ
ปลา หบี เน้ือ๑๒๒ คมั ภรี ใ์ บลาน
ของลา้ นนาจะเกบ็ ไวใ้ นหบี เพอื่
ป้องกันแมลง ฝ่นุ ละออง และ
ไมใ่ หไ้ ดร้ บั ความกระทบกระทง่ั
จนชำ�รุดเสียหาย หีบธรรมจะ
เกบ็ อยูภ่ ายในหอธรรมหรือหอ
พระไตรปิฎกของวัด หีบธรรม
ล้านนามักมีลักษณะเป็นตู้รูปทรงส่ีเหลี่ยม ตั้งบนฐานไม่สูงนักนิยมสร้าง
ดว้ ยไม้สกั ดา้ นบนหีบมฝี าปิดเปิดได้มี ๒ แบบ คอื ฝาทีแ่ บนราบเรียกว่า
ฝาตดั และฝาทม่ี ยี อดแหลมเรยี กวา่ ฝาเรอื นยอด ผวิ ดา้ นนอกของหบี ลงรกั
สีดำ�หรือทาสีแดง แล้วเขียนลายรดน้ำ�ปิดทองคำ�เปลว หรือตกแต่งด้วย
การแกะสลกั และประดบั กระจกสตี า่ งๆ เปน็ ภาพพทุ ธประวตั ิ พระธาตเุ จดยี ์
เทวดา ลายดอกไม้ และลายพนั ธพ์ุ ฤกษาตา่ งๆ อยา่ งวจิ ติ รงดงาม ดา้ นลา่ ง
ของหีบธรรมมีห่วงเหล็กกลม สำ�หรับใช้ไม้สอดแล้วหาม เพื่อการ
เคลอ่ื นยา้ ยได้สะดวก ภายในหีบธรรมบรรจคุ ัมภรี ใ์ บลาน ใบลานแต่ละผกู
จะห่อด้วยผ้าห่อคัมภีร์ท่ีมีป้ายชื่อติดอยู่ เพื่อความสะดวกในการจัดเก็บ
และการคน้ หา๑๒๓
ในดนิ แดนลา้ นนามีคมั ภรี ใ์ บลานอยเู่ ป็นจ�ำ นวนมาก เป็นผลงานทส่ี ะท้อน
ถงึ ภมู ปิ ญั ญา ความรคู้ วามสามารถของพระสงฆช์ าวลา้ นนาในอดตี ผรู้ จนา
และสร้างคัมภีร์เหล่านี้ เนื้อหาในคัมภีร์ใบลานมีหลายประเภท มีท้ังด้าน
พุทธศาสนาหรือความร้ทู างธรรม เชน่ พระไตรปฎิ ก ชาดก ตำ�นานพระเจ้า
185
คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
เลียบโลก ต�ำ นานพระธาตุ พธิ กี รรม และบทสวดมนต์ เป็นตน้ และเนื้อหา
ความรทู้ างโลก เช่น ความรู้เกย่ี วกับคติจกั รวาล กฎหมาย ตำ�ราช่าง ต�ำ รา
การสรา้ งพระพทุ ธรูป และเจดีย์ ต�ำ ราโหราศาสตร์ และตำ�รายาสมนุ ไพร
เป็นต้น
จิตรกรรมลายคำ�บนหีบธรรมล้านนา มีทั้งที่เป็นภาพเล่าเร่ือง ภาพ
สญั ลกั ษณ์ และลวดลายตา่ งๆ อาทิ ภาพเล่าเรือ่ งพุทธประวตั ิ ชาดก ภาพ
พระสงฆ์ สามเถร ภาพวิถีชีวิตของชาวบ้าน ส่วนท่ีแสดงภาพสัญลักษณ์
อาทิ ภาพคติจักรวาล ภาพพระธาตุเจดีย์ ภาพเทวดา ภาพยกั ษ์ ภาพสตั ว์
หิมพานต์ ท้งั นี้ เน้อื หาของงานจติ รกรรมสะทอ้ นใหเ้ ห็นถึง คตคิ วามเชื่อที่
มคี วามผูกพนั กับความเล่อื มใสศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาอยา่ งชดั เจน๑๒๔
จติ รกรรมลายประดับมกุ
งานประดบั มกุ เป็นงานประณีตศลิ ป์ชนั้ สงู ของไทย ซ่ึงมีความงดงามเป็น
พิเศษด้วยการใช้เปลือกหอยบางชนิดที่มีความแวววาว และมีคุณสมบัติ
ในการสะท้อนแสงเป็นสีสันต่างๆ โดยนำ�มาฉลุเป็นลวดลายชิ้นเล็กๆ
ตามแบบที่กำ�หนดไว้ แล้วนำ�มาติดประดับลงบนพ้ืนผิวงานพุทธศิลป์
องคป์ ระกอบสถาปัตยกรรมไทย และงานประณีตศลิ ปอ์ ืน่ ๆ ผลงานศิลปะ
ท่ีสร้างสรรค์ด้วยกรรมวิธีการดังกล่าว มักเรียกว่า เคร่ืองประดับมุก
หรือเคร่ืองมุก ท้ังนี้ งานประดับมุกเป็นงานศิลป์ท่ีต้องอาศัย ทั้งฝีมือ
ความประณีต ความละเอยี ดออ่ น และความอดทนมสี มาธขิ องชา่ ง อกี ทงั้
ยังเป็นงานท่ีต้องดำ�เนินงานร่วมกันของช่างหลากหลายแขนง ตั้งแต่
ช่างเขียนลาย ช่างตัด ช่างโกรกชิ้นมุก ช่างรัก และช่างประดับมุก
จงึ จะสามารถรังสรรคผ์ ลงานศิลปกรรมอันงดงามและทรงคุณค่าได๑้ ๒๕
186
แนวคิดคตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
ภาพที่ ๑๓๐
เขาพระสุเมรุและ
เขาสัตตบริภณั ฑ์
รอยพระพทุ ธบาทไม้
ประดบั มกุ
วดั พระสงิ ห์
อ�ำ เภอเมือง
จังหวดั เชียงใหม่
จติ รกรรมลายประดบั มกุ บนรอยพระพทุ ธบาทไม้ จากวัดพระสงิ ห์วรวหิ าร
จังหวัดเชียงใหม่ คอื ระเบยี บอันแสดงแผนผังของสคุ ติภมู ิแห่งจักรวาลใน
มิติดา้ นต้งั มโี สฬสพรหมโลกอยู่ในระดบั สงู ทส่ี ดุ ของเทวโลก เขาพระสเุ มรุ
โลกมนษุ ย์ เขาจกั รวาล และมหาสมทุ ร อยใู่ นระดบั ทลี่ ดหลนั่ กนั ลงมา สว่ น
ดา้ นหลงั ของรอยพระพุทธบาทไมป้ ระดบั มกุ ชิน้ น้ี มีจารกึ บอกปีที่ซอ่ มคอื
พ.ศ. ๒๓๓๗ ลักษณะรูปเทวดา ลายประดบั และแบบตัวหนังสอื ท่อี ธบิ าย
เรื่องอยู่ด้านหน้า แสดงว่านา่ จะมอี ายุราวสมัยพระเจ้าติโลกราช คือปลาย
พุทธศตวรรษท่ี ๒๐ เป็นตัวอย่างอันแรกท่ีสมบูรณ์ที่สุดของการจัดระบบ
ของมงคล ๑๐๘ ใหเ้ ปน็ แผนผงั ของจกั รวาลในมติ ติ งั้ ทเี่ ชอื่ วา่ เกดิ ขน้ึ ทส่ี โุ ขทยั
ราวปลายพทุ ธศตวรรษท่ี ๑๙ หรอื ต้นพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๐
187
คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา
สัญลักษณ์มงคลท้ังหลายจำ�นวน ๑๐๘ ถูกจัดเป็นระเบียบตามตำ�แหน่ง
อันถูกต้องตามศักดิ์และความสำ�คัญ ทำ�ให้เกิดภาพรวมเป็นแผนผังของ
จกั รวาล อนั มโี สฬสพรหมโลกไดแ้ ก่ ชนั้ อกนฏิ ฐาพรหมอยบู่ นเหนอื สดุ ของ
ฝา่ เทา้ แลว้ จดั ล�ำ ดบั ลดหลนั่ ลงมาคอื พรหมโลกชนั้ รองๆ ลงมา และเทวโลก
อนั ประกอบด้วย แดนฉกามาพจร คือ ปรนิ ิมมติ วสวดี นมิ มานรดี ยามา
ดุสิต ดาวดึงส์ และจตุมหาราชิกาอยู่บนยอดเขารอง ๔ ยอดของ
เขาพระสุเมรุ อนั เปน็ แกนของจกั รวาล มีพระอาทติ ย์ และพระจนั ทร์โคจร
อยู่โดยรอบ เหลา่ สัตว์หิมพานต์ เช่น ครุฑ พระยานกอันมีอานภุ าพมาก
กินนร และกินรีบินอยู่ในท้องฟ้าตามระเบียบอันสมควร เขาพระสุเมรุนี้
ตงั้ อยู่ ณ ใจกลางของจกั รวาล ลอ้ มรอบดว้ ยเทอื กเขา ๗ ชนั้ และมหาสมทุ ร
ทั้ง ๗ อันมีขอบเขตส้ินสุดท่ีแนวภูเขาจักรวาลสุดทางทุกทิศ๑๒๖
รอยพระพุทธบาทนี้มีจารึกระบุว่าเป็นรอยพระบาทที่ทับซ้อนกัน ๔ รอย
คือ รอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ ในภัทรกัปนี้ ได้แก่
พระกกุสันโธพุทธเจ้า พระโกนาคมนพุทธเจ้า พระกัสสปะพุทธเจ้า และ
พระโคตมพุทธเจ้า จากหลักฐานจารึกอยู่บริเวณแนวล่างสุดของ
ส้นพระบาท๑๒๗
ภาพที่ ๑๓๑
จารึกระบพุ ระนาม
พระพุทธเจา้ องคอ์ นื่ ๆ
ในภัทรกัป
รอยพระพุทธบาทไม้
ประดับมุก
188
แนวคดิ คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพที่ ๑๓๒
รอยพระพุทธบาทไม้
ประดบั มกุ
วดั พระสิงห์
อ�ำ เภอเมือง
จังหวดั เชยี งใหม่
189
คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
รอยพระพทุ ธบาทไม้ประดับมุก พระพุทธเจ้า ๔ พระองค์ จากวัดพระสิงห์
นับว่าเป็นรอยพระพุทธบาทท่ีมีความงดงาม มีคุณค่าทางสุนทรียภาพ
อยา่ งสงู เปน็ งานศลิ ปะชนิ้ เยย่ี มของลา้ นนา โครงสรา้ งเปน็ รปู ทรงสเี่ หลย่ี ม
ผืนผ้าวางต้ังฉากข้ึนด้านบนฐานล่างเป็นไม้ ขนาดความสูง ๒ เมตร
ความกวา้ ง ๐.๙๐ เมตร พนื้ ภาพโดยรอบทงั้ รอยพระพทุ ธบาทเปน็ ลวดลาย
ปิดทองคำ�เปลวบนรักสีดำ� ส่วนรูปทรงรอยพระพุทธบาทตรงกลางมีพ้ืน
เป็นรักสีแดง รูปสัญลักษณ์ภายในเป็นงานประดับมุก แสดงสัญลักษณ์
รูปมงคล ๑๐๘ ศูนย์กลางของรอยพระพุทธบาทเป็นรูปจักร ซ่ึงเป็น
ทั้งสัญลักษณ์ที่สะท้อนถึงพระธรรมคำ�สอนของพระพุทธองค์ และแสดง
ความหมายเชงิ สญั ลกั ษณเ์ รอ่ื งคติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนา
190
แนวคิดคติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา
จติ รกรรมลายดาวเพดาน
ดาวเพดาน หมายถงึ องคป์ ระกอบสถาปตั ยกรรมทปี่ ระดษิ ฐข์ น้ึ เพอื่ ใชเ้ ปน็
เคร่ืองประดับเพดานของอาคารศาสนสถาน หรืออาคารราชสำ�นัก ดาว
เพดานจะไมใ่ ชใ้ นกฏุ สิ งฆ์ และบา้ นเรอื นของสามญั ชน ดาวเพดานมชี อื่ เรยี ก
ตามลกั ษณะทแี่ ตกต่างกนั อาทิ ดาวจงกล ดาวรังแตน ดาวตุ๊ดตู่ ดาวราย
ดาวกลีบบัว และ ดาวดอกจอก๑๒๘
ภาพท่ี ๑๓๓
ดาวเพดาน
ประดบั กระจกสี
ภายในวิหาร
พระเจ้าพันองค์
วดั ปงสนกุ
อำ�เภอเมือง
จังหวัดล�ำ ปาง
ในงานศิลปะสถาปตั ยกรรมไทย ดาว เปน็ ชือ่ ลายชนดิ หนึง่ ส�ำ หรับประดับ
บนเพดานโบสถ์ วหิ าร หรอื พระระเบยี ง เรียกวา่ ดาวเพดาน ลักษณะรปู
ทรงของดาวเพดานมักทำ�เป็นกลีบบัวซ้อนกันเป็นชั้นๆ กระจายออกจาก
ศูนย์กลาง ทัง้ น้ี การศึกษาลายไทย พบวา่ ลายดาวเพดานมกี ารประดิษฐ์
ไว้หลายรูปแบบ บางลายมคี วามซับซอ้ นดว้ ยชนั้ เชงิ ทางศิลป์ ยกตัวอย่าง
เช่น ลายดาวเพดานท่ีทำ�เป็นรูปทรงกลีบบัวธรรมชาติซ้อนกัน ๔-๕ ชั้น
เรียกว่า ดาวรังแตน หากเป็นลายท่ีทำ�เป็นกลีบบัวยาวแบบเดียวกับ
บัวหัวเสาวัดพระศรีรัตนศาสดารามนั้น มีการจัดวางกลีบบัวซ้อนสลับกัน
มากถึง ๕-๖ ชั้น ลดหล่ันกันไป เรียกว่า ดาวจงกล ซึ่งเป็นที่นิยมมาก
บางครั้งช่างทำ�ปลายกลีบให้สะบัดเหมือนกระหนกเปลว ซ่ึงเป็นลักษณะ
191
คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา
พิเศษท่ีมีความงดงาม ดังเช่น ลายดาวเพดานสลักไม้ ศิลปะอยุธยาของ
สกลุ ชา่ งเมอื งเพชรบรุ ีทวี่ ดั สระบวั ซง่ึ เปน็ การจ�ำ หลกั ไมผ้ สมกบั ลายฉลทุ อง
เปน็ ชอ่ งๆ ดาวรปู ดอกบวั ขนาดใหญม่ กี ลบี ซอ้ นลดหลนั่ กนั ลงมาตรงกลาง
รปู ดาวลอ้ มเดอื นกบั ลวดลายมมุ เขยี นสที ว่ี จิ ติ รงดงาม๑๒๙ ทง้ั น้ี ลายสลกั ไม้
รูปดาวเพดาน ยงั ปรากฏอยู่ทีเ่ พดานธรรมาสน์ และในซมุ้ ปรางค์ โดยทำ�
เป็นรปู ดอกบัวขนาดใหญ่ ส่วนดาวเพดานทอ่ี โุ มงค์วัดศรีชมุ ศิลปะสุโขทัย
มลี กั ษณะเปน็ แผน่ ศิลาแกะสลักเปน็ รปู ดอกบวั เช่นเดยี วกัน๑๓๐
ภาพท่ี ๑๓๔ ภาพท่ี ๑๓๕
ดาวเพดานสมยั อยธุ ยา ดาวเพดานแกะสลักไม้
ลงรักปิดทอง ประดับกระจก
ตอนกลางร่นุ หลงั วดั พระฝาง จงั หวัดอตุ รดิตถ์
วัดสระบวั
จงั หวัดเพชรบุรี
192
แนวคิดคตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๓๖
ดาวเพดานแกะสลักไม้
ลงรักปิดทอง
ประดับกระจก
วดั พระฝาง
จังหวดั อุตรดติ ถ์
ภาพท่ี ๑๓๗
ดาวเพดานแกะสลักไม้
ลงรกั ปิดทอง
ประดับกระจก
วดั พระฝาง
จังหวัดอุตรดิตถ์
193
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
นอกจากนี้ ดาวเพดานทม่ี รี ศั มพี งุ่ ออกเปน็ แฉก ท�ำ นองเดยี วกบั ลายใบเทศ
เรยี กวา่ ดาวราย หรอื ดาวกระจาย ลายดาวท่ีมดี อกรปู ทรงกลมขนาดเลก็
มีหลักโดยรอบ เรียกว่า ดาวตุ๊ดตู่ หรือ ดอกจอกเป็นบริวาร ส่วนดาว
ดอกจอกนั้น มีลักษณะเป็นรูปวงกลม กลีบบัวปลายตัดบากตรงกลาง
มกั ทำ�เปน็ รปู สลักนูนไม่ซอ้ นกัน ดาวบัวกลบี คือ ดาวแบบเดียวกับใบเทศ
ท่มี รี ศั มพี ุง่ เป็นแฉกออกโดยรอบ แต่มคี วามวจิ ิตรพสิ ดารมากกวา่ ดาวราย
ตวั อยา่ งลายดาวเพดานดงั กลา่ ว จะเปน็ ทน่ี ยิ มใชป้ ระดบั เพดานโบสถ์ วหิ าร
ซุ้มปรางค์ และธรรมาสน๑์ ๓๑
ลายดาวเพดานภายในวหิ ารวัดต้นเกวน๋ ตำ�บลหนองควาย อำ�เภอหางดง
จงั หวดั เชยี งใหม่ มลี กั ษณะเปน็ ดาวเพดานบนพนื้ กระดานไม้ ท�ำ เปน็ ตาราง
ติดต้ังบนเพดานของวิหารบางส่วนเท่าน้ัน โดยด้านบนเหนือเศียร
พระประธาน และบริเวณด้านข้างวิหารบริเวณที่เป็นอาสนะของพระสงฆ์
ทั้งด้านทศิ เหนือ และทศิ ใต้ ซง่ึ ไมป่ ิดพ้ืนที่เพดานวิหารทั้งหมด ยงั เปิดให้
ภาพที่ ๑๓๘
ลายดาวเพดาน
ภายในวหิ าร
วดั ต้นเกวน๋
อำ�เภอหางดง
จงั หวัดเชียงใหม่
194
แนวคิดคติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
เห็นโครงสร้าง แบบม้าต่างไหม อันเป็นลักษณะพิเศษของวิหารล้านนา
ไดอ้ ยา่ งชดั เจน สว่ นรปู ทรงดาวเพดานภายในวหิ ารวดั ต้นเกว๋นนน้ั มีองค์
ประกอบ ๒ ส่วน ท้ังที่เป็นรูปแบบงานจิตรกรรม และประติมากรรม
กลา่ วคือ สว่ นแรกคือ รูปทรงดาวมกี ลบี เล็กๆ ซอ้ นกัน ๒ ช้ัน เปน็ งานแกะ
สลักไม้ ลงรักปิดทองประดับกระจกสี ส่วนที่สองเป็นพ้ืนเพดานไม้ท่ีลงสี
หางและรกั เขยี นเปน็ ลวดลายประดษิ ฐจ์ ากลายพนั ธพุ์ ฤกษา ขดเปน็ วงกลม
ลงในช่องตารางส่ีเหล่ียมจัตุรัส โดยลวดลายในแต่ละช่องไม่ซ้ำ�
แบบกัน นับว่าเป็นจิตรกรรมลายดาวเพดานท่ีมีความงดงาม และคุณค่า
ภาพที่ ๑๓๙
ดาวเพดาน
บนเพดานวิหาร
ตำ�แหนง่ ระหวา่ งช่วงเสา
เหนอื พระประธาน
วหิ ารวัดต้นเกวน๋
จงั หวัดเชียงใหม่
195
คติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา
ทางศลิ ปะ สะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ ภมู ปิ ญั ญาและจนิ ตนาการความคดิ สรา้ งสรรค์
ของชา่ งเขียนชาวล้านนาในอดตี ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
นอกจากน้ี จิตรกรรมลายดาวเพดานภายในวิหารวัดบ้านก่อ ตำ�บล
วังทรายคำ� อำ�เภอเวียงเหนือ จังหวัดลำ�ปาง มีลักษณะเป็นดาวเพดาน
บนพน้ื กระดานไม้ ท�ำ เปน็ ตาราง ตดิ ตง้ั บนเพดานของวหิ ารบางสว่ นเทา่ นน้ั
โดยด้านบนเหนือเศยี รพระประธาน จำ�นวน ๓๖ ชอ่ ง ระบายและตัดเส้น
รปู ทรงด้วย สีฟ้า สีชมพู สีขาว บนพืน้ ไมส้ แี ดงเลอื ดหมู รูปทรงดาวเพดาน
แตล่ ะชอ่ งออกแบบใหม้ คี วามแตกตา่ งกนั ไป จดั เปน็ งานจติ รกรรมสกลุ ชา่ ง
พ้ืนบ้านท่ีมีเอกลักษณ์พิเศษ ด้วยความงามท่ีเรียบง่าย จริงใจ ตลอดจน
แสดงให้เห็นถึงคุณค่าทางศิลปะ อันเกิดจากความมีเอกภาพในงาน
สถาปัตยกรรม ประติมากรรม และจิตรกรรม ภายในวหิ ารแห่งนี้
ภาพที่ ๑๔๐
ลายดาวเพดาน
ภายในวิหาร
วดั บา้ นกอ่
จังหวัดลำ�ปาง
196
แนวคดิ คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา
ภาพท่ี ๑๔๑
ลายดาวเพดาน
ภายในวิหาร
วัดบ้านกอ่
อำ�เภอเวียงเหนือ
จงั หวัดลำ�ปาง
รปู แบบทางศลิ ปกรรมของจติ รกรรมลา้ นนาทสี่ ะทอ้ นคตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธ
ศาสนา สามารถจ�ำ แนกได้เปน็ ๒ กลมุ่ คอื รปู แบบจิตรกรรมภาพเลา่ เรือ่ ง
และรปู แบบจิตรกรรมภาพสญั ลักษณ์ กลา่ วคอื งานจิตรกรรมประเพณีใน
เขตวัฒนธรรมล้านนา ท่ีมีอายุในระหว่างพุทธศตวรรษท่ี ๒๐–๒๕ เป็น
ผลงานศิลปะที่มีท้ังรูปแบบประณีตงดงาม ด้วยกรรมวิธีของช่างไทย
แต่โบราณ และรูปแบบอันเรียบง่าย ซ่ือบริสุทธิ์ แสดงออกอย่างตรงไป
ตรงมา ในแบบศิลปะพน้ื บ้านล้านนา ซ่งึ เป็นการตคี วามหมายเนื้อหาของ
คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาจากงานวรรณกรรม นำ�มาถ่ายทอดด้วย
ผลงานศลิ ปกรรม ทง้ั ภาพเขยี นเลา่ เรอื่ ง และภาพสญั ลกั ษณต์ า่ งๆ ตวั อยา่ ง
ภาพเขยี นเลา่ เรือ่ งทส่ี ะท้อนแนวคิดคติจกั รวาล ได้แก่ จิตรกรรมสมดุ ภาพ
ไตรภมู ิ ฉบบั อกั ษรธรรมลา้ นนา จติ รกรรมฝาผนงั บนแผงไมค้ อสอง ภายใน
วิหารนำ้�แต้ม วัดพระธาตุลำ�ปางหลวง จิตรกรรมฝาผนัง ภายในวิหาร
วดั บา้ นกอ่ อ�ำ เภอเวยี งเหนอื จงั หวดั ล�ำ ปาง จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ าร
วัดบวกครกหลวง อำ�เภอเมือง จงั หวดั เชยี งใหม่ จติ รกรรมฝาผนงั ภายใน
197
คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา
วหิ ารวัดทา่ ข้าม อ�ำ เภอแมแ่ ตง จงั หวัดเชียงใหม่ จติ รกรรมฝาผนงั ภายใน
วหิ ารวัดภูมินทร์ อำ�เภอเมือง จงั หวดั น่าน จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ าร
วัดหนองบัว อ�ำ ท่าวงั ผา จงั หวัดน่าน นอกจากจิตรกรรมสมดุ ภาพไตรภมู ิ
และจิตรกรรมฝาผนังแล้ว จากการศึกษายังพบว่า มีจิตรกรรมล้านนาที่มี
เนื้อหาเก่ียวกับคติจักรวาลท่ีใช้เทคนิคการเขียนสีฝุ่นลงบนผ้าอีกส่วนหน่ึง
ได้แก่ จิตรกรรมพระบฏ จากวัดดอกเงิน อำ�เภอฮอด จังหวัดเชียงใหม่
พระบฏ จากวดั เจดยี ์สูง อ�ำ เภอฮอด จงั หวัดเชยี งใหม่ และพระบฏ ศลิ ปะ
ล้านนาจากเมืองเชียงใหม่ รวมไปถึงจิตรกรรมบนผ้ายันต์พระสิงห์หลวง
จากวัดพระสิงห์วรวิหาร อำ�เภอเมือง จังหวัดเชยี งใหม่ เปน็ ตน้
นอกจากน้ี จากการศึกษากลุ่มงานจิตรกรรมล้านนาที่สะท้อนคติจักรวาล
วิทยาพุทธศาสนาด้วยภาพสัญลักษณ์ต่างๆ ซึ่งมีความหมายเกี่ยวกับ
พทุ ธปรชั ญา โดยไดร้ บั อิทธพิ ลจากงานศิลปะเครื่องรกั และมกี รรมวธิ กี าร
สร้างที่หลากหลาย อาทิ ลายรดนำ้�บนอาสนา วัดพระธาตุศรีจอมทอง
อ�ำ เภอจอมทอง จังหวัดเชยี งใหม่ ลายคำ�บนฝาผนงั ภายในวิหารนำ้�แตม้
วัดพระธาตุลำ�ปางหลวง และลายคำ�บนผนังไม้ ลายหม้อน้ำ�ปูรณฆฏะ
วัดปกยางคก อำ�เภอเกาะคา จังหวัดลำ�ปาง รวมท้ังลายคำ�บนหีบธรรม
ในวดั ลา้ นนา จติ รกรรมลายประดบั มกุ บนรอยพระพทุ ธบาทไม้ วดั พระสงิ ห์
อำ�เภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ จิตรกรรมลายดาวเพดาน ภายในวิหาร
วดั ต้นเกวน๋ อำ�เภอหางดง จังหวดั เชยี งใหม่ และวิหารวัดบ้านก่อ อำ�เภอ
เวียงเหนอื จังหวัดล�ำ ปาง
แนวคดิ สัญลักษณ์ คติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนา
ในงานจติ รกรรมล้านนา
แนวคิดเชิงสญั ลักษณ์อันเปน็ หลกั การสำ�คัญที่มคี วามสัมพนั ธ์เช่ือมโยงกบั
หลกั ธรรมในพระพทุ ธศาสนา และคตคิ วามเชอ่ื จากวฒั นธรรมประเพณขี อง
ชาวพุทธในล้านนา ตลอดจนเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์ผลงาน
จิตรกรรมของศิลปินล้านนาที่มีมาแต่อดีต โดยตีความหมายจากงาน
198