The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by chadej9, 2020-05-14 02:09:21

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

Keywords: คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนา,ไตรภูม,ิจิตรกรรม,ล้านนา

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานศลิ ปกรรมล้านนา

ภาพท่ี ๔๙
ซุม้ โขงปราสาท
ภายในพระอโุ บสถ
วัดพระสิงหว์ รวหิ าร
จงั หวัดเชยี งใหม่

099

คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา

แนวคดิ คติจักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนา
ในองคป์ ระกอบสถาปัตยกรรมล้านนา
ôôซุ้มโขงปราสาท
ซุ้มโขงปราสาท ในวิหารหลวงวัดพระธาตลุ �ำ ปางหลวง เปน็ สิ่งก่อสร้างรูป
ทรงมณฑปปราสาทฐาน ๘ เหล่ียมย่อมุม มีการตกแต่งด้วยลวดลายปูน
ป้ันลงรักปิดทองท้ังองค์ องค์ปราสาทมีการเปิดเป็นซุ้มคูหา ภายใน
ประดิษฐานพระเจ้าล้านทอง กรอบซุ้มมีเสาขอมรองรับ เหนือข้ึนไปเป็น
ซ้มุ ซอ้ นกัน ๒ ชัน้ โดยชั้นล่างทำ�เปน็ ซุ้มคดโคง้ ปลายซมุ้ เปน็ รูปมังกรหนั
หนา้ ออกจากกนั เอาหางพนั กนั ขนึ้ ไป เหนอื ล�ำ ตวั มงั กรปน้ั รปู หงสย์ นื เรยี ง
รายภายใต้พันธ์ุพฤกษา ซุ้มช้ันที่ ๒ ปลายกรอบซุ้มเป็นมกรคายนาค ๕
เศียร เหนือลำ�ตัวทำ�เป็นครบี ต้ังขน้ึ ชัน้ หลังคาปราสาททำ�เปน็ หลังคาเอน
ลาด โดยมพี ระยานาคเกาะตามหลังสนั หลงั คามุมละ ๓ ตัว ตรงกลางของ
ซุม้ เอนลาด มกี ารทำ�ซุม้ กฑุ ุ เปน็ ลวดลายพันธุ์พฤกษาปลายกรอบเป็นรปู
หงส์ ดา้ นหลงั กฑุ เุ ปน็ เสาทย่ี อดคลา้ ยดอกบวั เหนอื ขน้ึ ไปเปน็ ชน้ั ยอ่ มมุ ลด
หลนั่ ซอ้ นช้นั กนั ๗ ชัน้ มซี มุ้ กุฑุซอ้ นชั้นลดหลน่ั ด้วยเชน่ กนั ยอดของซุ้ม
โขงทำ�เปน็ ฉตั ร แต่เห็นเพยี งบางสว่ น๗๐
ôôซุ้มประตูโขง
ซมุ้ ประตโู ขงภายในวหิ ารวดั ปราสาท มลี กั ษณะพเิ ศษเนอ่ื งจากการสรา้ งซมุ้
ประตูโขงไว้ทางด้านท้ายของวิหารติดกันฐานชุกชีท่ีมีการแบ่งออกเป็น
๒ ส่วน โดยเว้นช่องตรงกลางเพ่ือเป็นทางเดินเข้าไปในห้องปราสาทด้าน
หลงั ได้โดยสรา้ งเปน็ ซมุ้ โคง้ ๒ ช้นั ซุ้มโค้งช้นั ล่างทำ�ในลกั ษณะคล้ายกระ
บงั ยอดแหลม ปลายซมุ้ โคง้ ชน้ั ลา่ งเปน็ รปู หงสย์ นื หนั หนา้ มองเขา้ ไปภายใน
กรอบซุ้มในตัวกรอบโค้งมีการนำ�ฝาชามเบญจรงค์มาตกแต่งเป็นใจกลาง
ของดอกไม้ โดยปนั้ ปนู เป็นกลีบดอกไม้ล้อมรอบจ�ำ นวนทั้งสิ้น ๓ ฝา ซมุ้
โค้งช้ันบนทำ�เป็นรูปลำ�ตัวมกร ๒ ตัวที่ยกหางขึ้นเกี่ยวกระหวัดกันไปเป็น
ยอดซุ้ม และในส่วนช่องว่างท่ีหางนาคเก่ียวกันนั้นจะตกแต่งด้วยฝาชาม
เบญจรงค์ ปลายซุ้มด้านบนน้ีเป็นรูปเศียรนาคข้างละ ๕ เศียรที่กำ�ลัง

100

คติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานศลิ ปกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๕๐
ซ้มุ ประตโู ขง
พระอโุ บสถ
วัดปราสาท
จงั หวัดเชยี งใหม่

101

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๕๑
ซุ้มประตูโขง
พระอุโบสถ
วัดพระสิงห์
จังหวดั เชียงใหม่

102

คตจิ กั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานศลิ ปกรรมลา้ นนา

ถูกมกรกลืน กรอบภายในซุ้มโขงกระจกจืนท่ีตัดเป็นรูปวงกลมและปั้นปูน
เป็นกลีบโดยรอบดวงอาทิตย์นี้ มีการป้ันปูนเป็นรูปตัวมอมคลานไล่กัน
๖ ตัว ใต้กรอบซุ้มเป็นคานไม้ท่ีมีการพอกปูนป้ันไว้แล้วปั้นเป็นรูปสัตว์
เชน่ สิงหอ์ ย่ภู ายในกรอบชอ่ งกระจก๗๑

ภาพท่ี ๕๒
บันไดนาค
ประตทู างเขา้
ทางทศิ เหนอื
วัดภมู ินทร์
จงั หวัดน่าน

ภาพที่ ๕๓
ปนู ปน้ั ประดับกระจก

รปู มกรคายนาค
วัดพระธาตดุ อยสเุ ทพ

จังหวดั เชยี งใหม่

103

คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ภาพที่ ๕๔
บันไดนาค
ด้านทศิ เหนือ
วัดพระธาตุลำ�ปางหลวง
จังหวัดล�ำ ปาง

ôôบนั ไดนาค
ประตทู างขน้ึ บนั ไดวหิ ารหลายแหง่ นยิ มท�ำ เปน็ รปู พระยานาคคกู่ นั นบั เปน็
ประติมากรรมท่ีมีความสวยงามประดุจมีชีวิต เม่ือพิจารณาให้ละเอียดจะ
เหน็ วา่ พระยานาคถกู สตั วอ์ กี ชนดิ หนง่ึ คาบอยู่ เรยี กวา่ มกระหรอื มงั กรคาบ
อยู่ กล่าวคอื ตัวมกระกลืนนาค รปู พระยานาคจงึ มีลกั ษณะเจ็บปวด เรยี ก
วา่ นาคสะดุ้ง

104

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา

สันนิษฐานว่าการทำ�รูปพระยานาคไว้เป็นราวบันไดทางขึ้นวิหารน้ันมี
ประโยชนท์ างกายภาพทส่ี �ำ คญั คอื ใชเ้ ปน็ ราวบนั ไดใหผ้ คู้ นจบั เวลาเดนิ ขนึ้
วิหารโดยเฉพาะผมู้ อี ายุ และยงั แสดงออกถงึ ความงามทางดา้ นศลิ ปะโดย
ทำ�หน้าที่ประติมากรรม ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของสถาปัตยกรรมไทย
ตลอดจนแสดงความหมายในเชิงสัญลักษณ์จากคติความเชื่อเรื่องไตรภูมิ
ท่กี ล่าวถงึ เรอ่ื งตำ�นานพระยานาคท่ีเกย่ี วข้องกบั พระพทุ ธศาสนา๗๒

ôôนาคทัณฑ์ หชู า้ ง หรือคันทวย
นาคทณั ฑ์ หรือนาคะตัน หูชา้ ง คนั ทวย เป็นตัวไมส้ �ำ หรบั คำ�้ ยัน รองรับ
ปลายเตา้ เพื่อกนั ปลายไมเ้ ครือ่ งบนมใิ หท้ รุดตก และรบั น�้ำ หนักโครงสรา้ ง
ส่วนชายคาลงมาท่ีเสาดา้ นข้างของวหิ าร มกี ารแบง่ องค์ประกอบของนาค
ทัณฑ์เป็น ๓ ส่วนคือ

๏๏ สว่ นบน มักท�ำ เปน็ ลายแถวหน้ากระดานแนวนอน
๏๏ ส่วนกลาง เปน็ บรเิ วณที่มกี ารตกแต่งดว้ ยลวดลายมากท่ีสดุ
๏๏ ส่วนล่าง เป็นส่วนท่เี ล็กและอยู่ในรปู ทรงสามเหล่ียม

ภาพที่ ๕๕
นาคทัณฑ์
วหิ ารลายคำ�
วดั พระสงิ ห์
จงั หวัดเชียงใหม่

105

คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ภาพที่ ๕๖
นาคทณั ฑ์
วิหารน้�ำ แตม้
วัดพระธาตุ
ล�ำ ปางหลวง
จงั หวดั ล�ำ ปาง

ภาพท่ี ๕๗
นาคทณั ฑ์
วหิ ารน�ำ้ แตม้
วดั พระธาตุ
ล�ำ ปางหลวง
จงั หวดั ล�ำ ปาง

วิหารล้านนาหลายแห่งนิยมใช้รูปทรงตัวลวงมาเป็นลวดลายของคันทวย
ตวั ลวงมรี ปู รา่ งลกั ษณะคลา้ ยกบั พญานาค แตม่ ปี กี และเขาคลา้ ยมงั กร โดย
ประกอบกบั ลายพรรณพฤกษา หรอื ลวดลายดอกไมท้ เี่ ชอื่ วา่ มคี วามเปน็ สริ ิ
มงคล สรา้ งด้วยเทคนคิ แกะสลักไม้เปน็ รปู ทรงสามเหลีย่ มมมุ ฉาก๗๓
ôôชอ่ ฟา้ หรอื ปราสาทเฟือ้ ง
ชอ่ ฟา้ หรอื ปราสาทเฟอ้ื ง เปน็ ชอ่ื เรยี กองคป์ ระกอบสถาปตั ยกรรมลา้ นนา
ท่ีมคี วามส�ำ คัญเปน็ เอกลกั ษณข์ องงานศลิ ปกรรมล้านนา และลา้ นชา้ ง ใน
เมืองหลวงพระบาง ซึ่งเรียกว่าช่อฟ้า หรือสัตตะบูริพัน โดยจะอยู่ใน
ตำ�แหน่งก่ึงกลางของสันหลังคาผืนใหญ่ อันแสดงความหมายถึง เขา
พระสเุ มรศุ นู ยก์ ลางจกั รวาล เขาสตั ตบรภิ ณั ฑท์ งั้ ๗ และเขาก�ำ แพงจกั รวาล
โดยสว่ นยอดของปราสาทแทง่ กลางทส่ี งู ทสี่ ดุ คอื ปราสาทไพชยนตท์ ปี่ ระทบั
ของพระอินทร์บนยอดเขาพระสเุ มรนุ ่ันเอง

106

คติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา

ภาพที่ ๕๘
ช่อฟ้าสญั ลกั ษณ์
จากคติจักรวาล

วดั เชยี งทอง
เมอื งหลวงพระบาง

ประเทศลาว

ภาพที่ ๕๙
ปราสาทเฟอื้ ง

วิหารหลวง
วัดพระสงิ ห์
จงั หวดั เชยี งใหม่

107

คติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

แนวคิดคติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา

จติ รกรรมไทยแบบประเพณที แี่ สดงเนอ้ื หาเกยี่ วกบั คตคิ วามเชอื่ เรอ่ื งไตรภมู ิ
และจักวาลวิทยา ปรากฏอยใู่ นเขตวฒั นธรรมลา้ นนามีอยู่เป็นจ�ำ นวนมาก
ตลอดจนมีวิธีการหลากหลายในการแสดงออก อาทิ สมุดภาพไตรภูมิ
ฉบบั อกั ษรธรรมลา้ นนา ในเมอื งล�ำ ปางพบจติ รกรรมสฝี นุ่ เขยี นบนไมบ้ รเิ วณ
แผงไมค้ อสอง ภายในวหิ ารน�ำ้ แตม้ วดั พระธาตลุ �ำ ปางหลวง และจติ รกรรม
ฝาผนังแบบพื้นถ่ินในวิหารวัดบ้านก่อ อำ�เภอวังเหนือ จังหวัดลำ�ปาง
จติ รกรรมฝาผนังภายในเมอื งเชยี งใหม่ เช่น ภายในวหิ ารวัดบวกครกหลวง
อ�ำ เภอเมอื ง ภายในวหิ ารวดั ทา่ ขา้ ม อ�ำ เภอแมแ่ ตง ภายในวหิ ารวดั ปา่ แดด
อ�ำ เภอแม่แจม่ จังหวัดเชยี งใหม่ จิตรกรรมฝาผนังภายในวหิ ารและอโุ บสถ
จตุรมุข วัดภูมินทร์ อำ�เภอเมือง จังหวัดน่าน และลายรดน้ำ�บนรอย
พระพทุ ธบาทไม้ เป็นต้น

ภาพท่ี ๖๐
จติ รกรรม
บนแผงไม้คอสอง
ภายในวิหารน�ำ้ แตม้
วัดพระธาตุล�ำ ปางหลวง
จงั หวัดลำ�ปาง

แนวคิดคติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานประติมากรรมล้านนา
ประติมากรรมล้านนาที่สะท้อนแนวคิดคติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนา
ประกอบด้วย พระพุทธรูป พระโพธิสัตว์ รูปเคารพ เทวรูป การใช้
ประตมิ ากรรมตกแตง่ ประดบั อาคาร ซมุ้ โขงปราสาท ซมุ้ ประตโู ขง ปราสาท
เฟ้ือง ชอ่ ฟา้ ใบระกา หางหงส์ สิงห์ บันไดนาค นาคทณั ฑ์ และลวดลาย
ประดบั สถาปัตยกรรมตา่ งๆ

108

คตจิ ักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานศลิ ปกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๖๑
สมดุ ภาพไตรภูมิ
ฉบบั อกั ษรธรรมลา้ นนา

109

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

ôôพระพทุ ธรูป
คตคิ วามเชอื่ เรอ่ื งไตรภมู แิ ละจกั รวาลวทิ ยา ทปี่ รากฏในพระพทุ ธปฏมิ า โดย
เรียกวา่ ปาง ซ่ึงจะแสดงพระอริ ยิ าบถทว่ งท่าตา่ งๆ เป็นรูปสัญลักษณ์ โดย
มีเนื้อหาเก่ียวกับพุทธประวัติ และพุทธจริยวัตรในช่วงเวลาต่างๆ ตลอด
พระชนชีพ ขององคส์ มเด็จพระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ ท้ังนี้ คำ�ว่า ปาง มีความ
หมายตามพจนานกุ รมฉบบั ราชบณั ฑติ ยสถาน วา่ เปน็ ค�ำ นาม แปลวา่ ครง้ั
หรือ เม่ือนั้น คือเป็นการบอกเวลา ดังน้ันเม่ือนำ�มาใช้กับพระพุทธรูป
ทเี่ ปน็ รปู แทนขององคส์ มเดจ็ พระสมั มาสมั พทุ ธเจา้ วา่ พระพทุ ธรปู ปางนน้ั
ปางนี้ จึงหมายความว่า พระพุทธองค์เมื่อครั้ง...ณ สถานท่ี... นั่นคือ
เป็นพระพุทธรูปท่ีแสดงประวัติตอนใดตอนหนึ่งของพระพุทธองค์ ขณะท่ี
ทรงมสี ภาวะเป็นมนุษย์น่นั เอง๗๔

๏๏ พระพทุ ธรปู ปางโปรดพทุ ธมารดา พระพทุ ธองคอ์ ยใู่ นพระอริ ยิ าบถ
น่ังขัดสมาธิ พระหัตถ์ซ้ายวางบนพระเพลา พระหัตถ์ขวายกข้ึน
เสมอพระอุระ จีบน้ิวพระหัตถ์เป็นกิริยาแสดงธรรม มีความหมาย
ถึงพุทธประวัติ ตอนพระพุทธองค์เสด็จข้ึนสู่สวรรค์ช้ันดาวดึงส์
เพื่อเทศนาพระอภิธรรมโปรดพระพุทธมารดา ดังเช่นพระอดีต
พระพทุ ธเจา้ ทกุ พระองค์ทรงปฏบิ ัติ หลงั แสดงยมกปาฏิหาริยป์ ราบ
เหลา่ เดียรถยี ์แลว้

๏๏ พระพุทธรูปปางเปิดโลก พระพุทธองค์อยู่ในพระอิริยาบถ
ยื่นพระกรท้ังสองห้อยลงด้านข้างพระวรกาย และแบฝ่าพระหัตถ์
ทั้งสองออกข้างหน้าเป็นกิริยาที่หมายถึงเปิดโลก มีความหมายถึง
พุทธประวัติตอนพระพุทธองค์กำ�ลังจะเสด็จลงจากสวรรค์ชั้น
ดาวดงึ ส์ หลงั จากเทศนาพระอภธิ รรมโปรดพระพทุ ธมารดาแลว้ นนั้
ทรงแสดงปาฏิหาริย์เปิดโลกทั้ง ๓ ทำ�ให้ชาวเทวโลก มนุษยโลก
และยมโลก ทำ�ให้สัตว์ทั้งหลายสามารถแลเห็นกันและกันได้
โดยตลอด เป็นทีน่ ่าอศั จรรย์

๏๏ พระพุทธรูปปางนาคปรก พระพุทธองค์อยู่ในพระอิริยาบถน่ัง
ขัดสมาธิ หงายพระหัตถ์ท้ังสองวางบนพระเพลา มีพญานาคแผ่

110

คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานศลิ ปกรรมลา้ นนา

พังพานเหนือพระเศียร มีความหมายถึงพุทธประวัติ เมื่อสัปดาห์
ท่ี ๖ หลงั การตรัสรู้ พระพุทธองคเ์ สด็จไปประทับใต้มุจลินท์พฤกษ์
(ต้นจิก) คราวนั้นเกิดอากาศวิปริตฝนตกตลอด ๗ วันพญานาค
มจุ ลนิ ท์ ขน้ึ มาจากนาคพภิ พ แลว้ ขดตวั เปน็ บลั ลงั กใ์ หพ้ ระพทุ ธองค์
ทรงประทับ หลังจากนั้น พญานาคมุจลินท์ได้แผ่พังพานป้องกัน
พระพุทธองค์จากอากาศวิปริต จนกระท่ังฝนหยุดตก แล้วจำ�แลง
กายเปน็ มาณพหนุ่ม ยนื ประคองอัญชลนี มัสการพระพทุ ธองค์อยู่
๏๏ พระพุทธรูปปางลีลา พระพุทธองค์อยู่ในพระอิริยาบถก้าวเดิน
ยกส้นพระบาทขวา พระวรกายอยู่ในท่าไกว พระหัตถ์ซ้ายยกขึ้น
เสมอพระอุระป้องออกไปเบ้ืองหน้า มีความหมายถึงพุทธประวัติ
ตอน พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์นั้น พระอินทร์
เนรมติ บนั ไดสามบนั ได โดยบนั ไดกลางเปน็ แกว้ ส�ำ หรบั พทุ ธด�ำ เนนิ
บันไดทองขา้ งซ้ายสำ�หรับพระอินทร์ และบนั ไดเงนิ ข้างขวาสำ�หรับ
พระพรหม พระพุทธรูปปางลีลา นอกจากจะหมายถึงพุทธประวัติ
ตอนเสดจ็ ลงจากสวรรคช์ น้ั ดาวดงึ สแ์ ลว้ พระพทุ ธรปู ในพระอริ ยิ าบถ
ลีลา อาจหมายถึงพุทธประวัติตอนอื่นๆ ได้อีกด้วย เพราะเป็น
พระอิริยาบถเดินตามปกติ แต่โดยท่ัวไปมักจะหมายถึงตอนที่
พระพุทธองค์เสด็จลงจากสวรรคช์ ้นั ดาวดึงส์
๏๏ พระพุทธรูปปางเสด็จลงจากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์ พระพุทธองค์
อยู่ในพระอิริยาบถยืน ยกพระหัตถ์ทั้งสองข้ึนเสมอพระอุระ
ตั้งฝ่าพระหัตถ์ทั้งสองเป็นกิริยาแสดงธรรม มีความหมาย
เชน่ เดยี วกนั กบั พระพทุ ธรปู ปางลลี า เนอ่ื งจากหมายถงึ พทุ ธประวตั ิ
ตอนเดียวกัน
๏๏ พระพุทธรูปปางห้ามพระแก่นจันทน์ พระพุทธองค์อยู่ในพระ
อริ ิยาบถยืน พระกรขวาหอ้ ยลงขา้ งพระวรกาย พระหตั ถ์ซา้ ยยกขน้ึ
เสมอพระอุระ ตง้ั ฝ่าพระหตั ถ์ เปน็ กริ ิยาหา้ ม มีความหมายถึงพทุ ธ
ประวตั ติ อนพระพทุ ธองคเ์ สดจ็ ขนึ้ ไปโปรดพทุ ธมารดาบนสวรรคช์ นั้
ดาวดึงสน์ น้ั พระเจา้ ปเสนทิโกศล กษตั ริย์กรงุ สาวัตถีและชาวเมือง
ต่างรำ�ลึกถึงพระพุทธองค์ท่ีได้เสด็จจากโลกมนุษย์ไปสถิตอยู่บน

111

คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

สวรรคช์ ัน้ ดาวดงึ สต์ ลอดระยะเวลา ๓ เดือน จึงโปรดใหช้ ่างสลักรปู
พระพุทธองค์ด้วยไม้แก่นจันทน์แล้วประดิษฐานไว้บนพระแท่นที่
พระพทุ ธองคท์ รงเคยประทบั มจี ดุ ประสงคเ์ พอ่ื ไวท้ รงสกั การะกราบ
ไหว้บูชา ครั้นเมื่อพระพุทธองค์กลับลงมาจากสวรรค์ช้ันดาวดึงส์
พระเจ้าปเสนทิโกศล ทูลอันเชิญพระพุทธเจ้าเสด็จไปเสวยพระ
กระยาหาร ณ พระราชมณเฑียร ขณะที่พระพุทธองค์เสด็จมา
ถึงที่ประทับ พระพุทธปฏิมาซึ่งทำ�ด้วยไม้แก่นจันทน์นั้นลุกข้ึน
จากท่ีประทับจะลงมาถวายความเคารพพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
พระพทุ ธองค์ทรงยกพระหตั ถข์ ึ้นหา้ ม แล้วตรสั ว่า “เอวัง นิสที มถ”
แปลว่า ท่านจงประทบั อยู่ท่นี ัน่
๏๏ พระพทุ ธรปู ปางโปรดอสรุ นิ ทราหู พระพทุ ธองคอ์ ยใู่ นพระอริ ยิ าบถ
นอนตะแคงขวา พระกรซา้ ยทาบทอดตามพระวรกาย พระหตั ถข์ วา
ประคองพระเศียรให้ตั้งข้ึน มีความหมายถึงพุทธประวัติ
ตอน พระพุทธองค์ทรงประทับอยู่ในเวฬุวันมหาวิหาร ซึ่งใกล้กับ
กรุงราชคฤห์ ครั้งนั้นบังเกิดจันทรุปราคาคราวหนึ่ง ทั้งนี้เกิดจาก
อสุรินทราหู อุปราชของท้าวเวปจิตติสุรบดินทร์ ผู้ครองอสูรภพ
คุมคามจบั พระจนั ทร์ (จนั ทรุปราคา) และพระอาทติ ย์ (สรุ ิยปุ ราคา)
แต่ละคราวพระพุทธองค์ต้องตรัสพระคาถาโปรดอสุรินทราหู
อสุรนิ ทราหจู งึ ยอมปล่อยพระจนั ทร์และพระอาทิตย์
๏๏ พระพทุ ธรปู ปางโปรดพกาพรหม พระพทุ ธองคอ์ ยใู่ นพระอริ ยิ าบถ
ยืนเหนือเศียรพกาพรหม ซ่ึงประทับอยู่บนหลังพระโค เรื่อง
พกาพรหมมีอย่ใู น “พกาพรหมสตู ร” ซึง่ กลา่ วถงึ ครัง้ ทีพ่ ระพทุ ธองค์
ประทับอยู่ ณ ปา่ สุภวัน ทรงทราบว่าพกาพรหมมดี ำ�รใิ นทางทผ่ี ิด
ไมเ่ ชอ่ื วา่ ทกุ อยา่ งตอ้ งเปลยี่ นแปลงไปตามอ�ำ นาจแหง่ กรรมสมควร
จักได้เรียนรู้พระธรรมคำ�ส่ังสอน ดังนั้นพระพุทธองค์จึงทรงทำ�
ปาฏิหาริย์เสด็จข้ึนไปยังที่ประทับของพกาพรหม ณ พรหมโลก
ตรัสสอนพกาพรหมถงึ ความไม่เทีย่ งแท้ของสรรพสิ่ง แตพ่ กาพรหม
มไิ ดเ้ ชอ่ื ฟงั พระพทุ ธองค์ ยงั คงเชอื่ ในบญุ ญาธกิ ารของตนเอง แสดง
อิทธปิ าฏิหาริย์ซ่อนกาย แต่พระพุทธองค์กท็ รงทราบด้วยพุทธยาน
วา่ พกาพรหมซอ่ นอยู่ ณ ทใ่ี ด แตค่ รน้ั พระพทุ ธองคก์ ระท�ำ ปาฏหิ ารยิ ์

112

คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา

อันตรธานพระกายแล้วเสด็จขึ้นไปทรงจงกลมอยู่บนเศียร
ของพกาพรหม พกาพรหมกลับหาพระพุทธองค์ไม่พบ ในที่สุด
จึงยอมละทิฐิและยอมจำ�นน พระพุทธองค์จึงได้เทศนาส่ังสอน
ให้บำ�เพ็ญมรรคมีองค์ ๘ เพ่ือให้จิตใจสงบ พกาพรหมได้บรรลุ
พระโสดาปตั ตผิ ลในทีส่ ุด๗๕

ภาพที่ ๖๒
พระพุทธรปู ปาง
หา้ มพระแกน่ จันทน์

วัดยางหลวง
อ�ำ เภอแมแ่ จ่ม
จงั หวัดเชียงใหม่

113

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ôôลายปูนปัน้ รปู สัตวห์ ิมพานต์
ลายปนู ปน้ั รูปสัตวห์ มิ พานตป์ ระดบั หอไตรวดั พระสงิ ห์ เทคนิคปนู ปน้ั แบบ
จนี ป้ันเปน็ รูปสัตวต์ ่างๆ ประดบั ในชอ่ งทอ้ งไม้ของอาคาร ลวดลายสัตว์
เหลา่ นม้ี สี ว่ นส�ำ คญั ในการก�ำ หนดอายุ และการพฒั นาการของงานกอ่ สรา้ ง
ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี ลวดลายสตั วท์ ปี่ ระดบั บนอาคารทงั้ ๒ ชนั้ ประกอบดว้ ยสตั ว์
ในกรอบคดโคง้ ๗๕ กรอบ เชน่ ผนงั ดา้ นทศิ ตะวนั ออกเปน็ มอมคู่ ผนงั ดา้ น
ทศิ ใตเ้ ปน็ ตัวสงิ โตคู่ กเิ ลน เงือกน�้ำ คชสหี ์ เหมราช ผนังดา้ นทิศตะวนั ตก
เปน็ รปู สงิ ห์ สิงโตจีน คชสหี ์ นรสงิ ห์ เปน็ ตน้

ภาพที่ ๖๓
ลายปนู ป้นั
รูปสัตวห์ มิ พานต์
ประดบั หอไตร
วดั พระสิงห์

ภาพท่ี ๖๔
ลายปูนปัน้
รปู สตั วห์ ิมพานต์
ประดบั หอไตร
วัดพระสิงห์

114

คติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา

ภาพที่ ๖๕
เทพยดาปน้ั ปูน

วัดเจ็ดยอด
จงั หวดั เชียงใหม่

115

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ภาพที่ ๖๖
เทวดาปูนปน้ั
วดั เจ็ดยอด
อ�ำ เภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่

116

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา

ภาพท่ี ๖๗
เทวดาปูนปน้ั
วัดพระสิงห์
อำ�เภอเมอื ง
จังหวดั เชียงใหม่

117

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ôôประติมากรรมปูนปนั้
รูปพระโพธิสตั วแ์ ละเทวดา

งานประติมากรรมรูปภาพปูนป้ัน
บ น ฝ า ผ นั ง ภ า ย น อ ก อ า ค า ร
พุทธสถานในอาณาจักรล้านนา
เป็นผลงานที่ทรงคุณค่าทางด้าน
ศิลปกรรม อาทิ ประติมากรรม
ลวดลายปูนป้ันประดับฝาผนัง
วิหารวัดโพธารามมหาวิหาร หรือ
วัดเจ็ดยอด ซึ่งประกอบด้วยภาพ
พระโพธิสัตว์น่ังขัดสมาธิเพชร
ประนมหัตถ์อยู่กลางพระอุระกลุ่ม
หนึ่ง และภาพพระโพธิสัตว์อยู่ใน
อาการยนื อีกกลมุ่ หน่งึ พระวรกาย
ทรงเครอ่ื งภษู าอาภรณข์ องกษตั รยิ ์
ในสมยั โบราณ เครอ่ื งศริ าภรณเ์ ปน็
ทรงเทรดิ สว่ นยอดมลี วดลายวจิ ติ ร
งดงามเปน็ อยา่ งยงิ่ ดา้ นสมั ฤทธผิ ล
ทางการสร้างสรรค์นั้น นับเป็น
ผลงานศิลปะปูนป้ันฝีมือช้ันครู
อนั สะทอ้ นถงึ ภมู ปิ ญั ญาและความ
สามารถในการถ่ายทอดความคิด
และจินตนาการด้วยสัญลักษณ์ใน
ทางพทุ ธศาสนาไดเ้ ป็นอย่างดี

ภาพที่ ๖๘ รปู นกหสั ดลี งิ ค์ ปราสาทศพพระสงฆ์ล้านนา อ�ำ เภอหางดง
118 จังหวดั เชียงใหม่

คตจิ กั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานศิลปกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๖๙ รปู นกหัสดลี งิ ค์ ปราสาทศพพระสงฆล์ า้ นนา วดั เจดยี ห์ ลวง จงั หวดั เชยี งใหม่

119

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

แนวคิดคตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานประณีตศิลปล์ า้ นนา
งานประณีตศิลป์ล้านนา ท่ีสะท้อนแนวคิดคติจักรวาลวิทยาในพระพุทธ
ศาสนา อาทิ ปราสาทศพพระสงฆ์ล้านนา (พิธีปอยล้อ) ธรรมาสน์เทศน์
สตั ตภณั ฑ์ ลายหนา้ บนั นารายณท์ รงครฑุ และ และลายประดบั มกุ บนรอย
พระพุทธบาทไม้
ôôปราสาทศพพระสงฆล์ า้ นนา (พธิ ปี อยล้อ)
ประเพณีการลากศพ คือ การทำ�ศพพระสงฆ์ ด้วยการใส่เรือนศพที่สร้าง
เปน็ ปราสาทเพอื่ ลากไปสปู่ า่ ชา้ ของชาวลา้ นนา เรอื นปราสาทวางอยบู่ นไม้
สะดึงและมีล้อสำ�หรับการเคลื่อนท่ีไป ชาวไทยใหญ่จะเรียกพิธีกรรมน้ีว่า
ปอยล้อ หมายถึง การลากศพไปด้วยล้อนั่นเอง ในชุมชนชาวล้านนา
ประเพณีลากปราสาทศพนิยมทำ�กันเป็นงานใหญ่โตมาก ถึงแม้ว่าจะต้อง
สน้ิ เปลอื งคา่ ใชจ้ า่ ยมากมาย แตไ่ มอ่ าจท�ำ ใหพ้ ลงั ความเลอ่ื มใสศรทั ธาของ
ชาวบ้านลดลง เพราะได้ประโยชน์ทางจติ ใจและเป็นการกตญั ญกู ตเวทติ า
ตอ่ พระภกิ ษสุ งฆท์ เี่ ปน็ ครบู าอาจารย์ ซง่ึ ทา่ นเปน็ ผเู้ สยี สละโลกยิ สขุ งดเวน้
จากสง่ิ ที่ชาวโลกประพฤติปฏบิ ัติกนั ดำ�รงตนในสมณะเพศ อันเป็นหนทาง
แห่งนิรามิสสุข คือ ความสุขที่ไม่เจือด้วยอามิส ด้วยการอุทิศตนเพื่อ
พระพุทธศาสนา จึงนับเป็นบุคคลตัวอย่างที่ควรแก่การยกย่องสรรเสริญ
และเคารพบชู า
ปราสาทยอดเดียว สร้างเป็นเรือนศพรูปปราสาท โดยทำ�เป็นยอดเดียว
ไมม่ มี ุข ยอดปราสาทมีลักษณะเปน็ ช้นั ลดหลัน่ กนั มจี ำ�นวน ๕ ชน้ั หรอื ๗
ช้นั ซง่ึ เปน็ ปราสาทสำ�หรับใสศ่ พของขา้ ราชการผใู้ หญ่ หรือเจ้านายผ้นู ้อย
ของบ้านเมือง หรอื ท�ำ ถวายพระภกิ ษสุ ามเณรผนู้ อ้ ยทถี่ งึ แก่มรณะภาพลง
ส่วนปราสาทใหญ่มยี อด ๗ ชัน้ หรอื ๙ ช้ัน ทำ�เปน็ จตรุ มขุ คือ มมี ุขออก
ทงั้ ๔ ทศิ โดยวางบนหลงั รูปนกหัสดีลิงค์ หรอื หลงั พระยานาคขนาดใหญ่
นิยมทำ�ถวายแก่พระเจ้าแผ่นดิน เจ้าผู้ครองนคร พระราชวงศ์ชั้นสูง
พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ เป็นราชครู หรือสังฆราช และลากไปสู่ท่ีเผาศพ
เรียกว่า ลากปราสาท

120

คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา

สาเหตุที่ต้องตั้งปราสาทบนหลังนกหัสดีลิงค์ เป็นการแสดงให้เห็นเป็นรูป
ธรรมเกยี่ วกบั ความศรทั ธาทมี่ ตี อ่ พระภกิ ษทุ อี่ ทุ ศิ ชวี ติ ทงั้ ชวี ติ ใหก้ บั พระพทุ ธ
ศาสนา เม่ือมรณภาพลง สุคติ หรือสวรรค์ย่อมเป็นท่ีไป ดังน้ัน จึงให้
นกหสั ดลี งิ คน์ �ำ ปราสาทบนิ ขนึ้ ไปสสู่ วรรค์ การทนี่ กสามารถบรรทกุ ปราสาท
ขนาดใหญ่ได้น้ัน เพราะว่านกหัสดีลิงค์เป็นนกท่ีมีขนาดใหญ่มหึมามาก
อาศยั อยใู่ นปา่ หมิ พานต์ โดยมเี รอื่ งเลา่ วา่ วนั หนง่ึ นกหสั ดลี งิ คม์ หี วั เหมอื น
กบั นกทว่ั ไป แต่ไดก้ ลืนช้างเขา้ ไปโดยกลืนจากทางหางช้างกอ่ น แล้วเหลือ
หวั ชา้ งโผลอ่ ยทู่ ป่ี ากนกยงั ไมล่ งไปสทู่ อ้ งนก มนี ายพรานหลายคนไปพบเหน็
อาจจะเป็นการมองจากด้านหน้าในระยะไกลทำ�ให้เห็นนกมีหัวเป็นช้าง๗๖
สถานทสี่ �ำ หรบั เผาศพนนั้ สว่ นมากจะเผากนั บรเิ วณกลางทงุ่ นา โดยเจา้ ของ
ที่นาเองก็มีความยินดีเพราะเช่ือว่าจะได้บุญกุศลมาก เส้นทางที่จะลาก
ปราสาทศพไปจะมกี ารถากถางใหเ้ รยี บ ตรงไหนมคี นั นากจ็ ะขดุ ออก บรเิ วณ
ท่ีจะเผาจะเก็บกวาดให้สะอาดเรียบร้อย แล้วใช้ไม้ไผ่ซางลำ�สวยงามไม่มี
ตำ�หนิขนาดยาวเทา่ กันจ�ำ นวน ๔ ต้น ขุดหลมุ ปักลงไปในดนิ เปน็ ๔ มมุ
ระยะหา่ งกันประมาณ ๕ เมตร ส่วนปลายทต่ี งั้ ขนึ้ ผกู ด้วยผ้าจวี รใหต้ ึงทัง้
๔ มุม เรียกวา่ “เพดานปราสาท”
ôôธรรมาสนเ์ ทศน์
ธรรมมาสน์ คอื อาสนะสำ�หรับนัง่ แสดงธรรม บางแห่งเรยี กว่า ธรรมมาสน์
แก้ว อาสนะแก้ว กระดานคำ� กระดานทอง มณเฑียรคำ� แท่นเทศน์
แท่นธรรมมาสน์ ปราสาทแกว้ เรยี กช่ือกันตามท้องถน่ิ ตา่ งๆ ของลา้ นนา
รปู ลกั ษณะของธรรมมาสน์ล้านนา นิยมทำ�เป็นรปู ปราสาท ราชมณเฑยี ร
หรือปรางค์ทอง มีขนาดเล็กโดยยอ่ สว่ นมาจากของจริงหรอื จนิ ตนาการวา่
พระผเู้ ทศนเ์ ปน็ เทพทเี่ รยี กวา่ วสิ ทุ ธเิ ทพ อนั หมายถงึ องคส์ มเดจ็ พระสมั มา
สมั พทุ ธเจา้ หรอื อนพุ ทุ ธะ ไดแ้ ก่ พระอรหนั ตสาวกของพระองค์ จงึ สมควร
จะน่งั บนที่อันงดงามวจิ ิตร ประหน่งึ ว่าเปน็ วิมานปราสาทราชมณเฑียร๗๗

121

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๗๐
ธรรมมาสนเ์ ทศน์
ภายในวหิ าร
วดั ภูมินทร์
จังหวดั น่าน

122

คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา

ôôสตั ตภัณฑ์
สัตตภัณฑ์เป็นเคร่ืองสักการะที่สำ�คัญอย่าง
หนึ่งของล้านนา โดยมีพุทธสาสนิกชนนิยม
สรา้ งไวบ้ ชู าทกุ วดั และมผี ทู้ เ่ี จตนาถวายไวเ้ ปน็
จำ�นวนมาก จุดประสงค์มีไว้สำ�หรับบูชาพระ
รตั นตรยั คอื พระพทุ ธ พระธรรม และพระสงฆ์
และมีความหมายท่ีเป็นรูปลักษณ์ของภูเขารูป
วงแหวนทง้ั ๗ ลกู ที่อยูร่ อบเขาพระสเุ มรแุ กน
กลางจักรวาล เรียงลำ�ดับเป็นชั้นๆ ได้แก่
ยุคนธร อสิ ินธร กรวิก เนมินทร สทุ ัศนะ และ
วนิ นั ตกะ อศั กณั ฑ์๗๘

แนวคดิ คติจักรวาลวิทยาพุทธศาสนา
ในงานศิลปะพ้นื ถน่ิ ล้านนา

ความเชอื่ ทางพระพทุ ธศาสนานบั เปน็ หลกั การ ภาพที่ ๗๑
สำ�คญั ของวัฒนธรรมประเพณีในลา้ นนา และ ธรรมมาสนเ์ ทศน์ วัดหนองบวั
เกิดการผสมผสานจนแนบแน่นกับ ศาสนา อ�ำ เภอทา่ วงั ผา จงั หวัดนา่ น
พราหมณแ์ ละความเชอ่ื ดง้ั เดมิ เรอื่ งไสยศาสตร์
โดยพิจารณาในแง่มุมของพุทธศาสนาได้จาก
ความเช่ือเร่ือง กฎแห่งกรรม ความเช่ือเรื่อง
สง่ิ ศกั ดส์ิ ทิ ธ์ิ ความเชอ่ื เรอ่ื ง นรก สวรรค์ ความเชอ่ื
เรือ่ งยักษ์ เป็นตน้ ประเพณีสิบสองเดอื นของ
ล้านนา ที่เก่ียวเนื่องกับความเช่ือเร่ืองไตรภูมิ
มอี ยู่มาก อาทิ ประเพณขี น้ึ ทา้ วท้งั ส่ี ประเพณี
เข้าอินทขีล ประเพณีตักบาตรเทโว ประเพณี
ปอยลากปราสาทหรือปอยล้อ ประเพณี
ก่อเจดยี ท์ ราย ประเพณยี ่ีเป็ง

123

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๗๒
สตั ตภณั ฑ์
ศลิ ปะพนื้ บา้ น
วดั บา้ นกอ่
อำ�เภอเวยี งเหนือ
จงั หวดั ลำ�ปาง

ภาพที่ ๗๓
สัตตภัณฑ์
ศลิ ปะล้านนา
วัดป่าแดด
อำ�เภอแม่แจ่ม
จังหวัดเชยี งใหม่

124

คตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานศิลปกรรมล้านนา

ภาพท่ี ๗๔
เจดยี ท์ ราย
วัดพนั เตา
อำ�เภอเมอื ง
จงั หวดั เชียงใหม่

การก่อเจดีย์ทราย ในคัมภีร์ธรรมของล้านนาไทยกล่าวว่า ในสมัยท่ี
พระพุทธเจ้าเป็นชายสามัญมีนามว่า ติสสะ เป็นคนยากเข็ญใจยากไร้
หาเช้ากินค่ำ� เลี้ยงชีวิตด้วยการรับจ้างตัดฟืนขาย แต่เป็นผู้มีศีลธรรมดี
เปน็ ทรี่ กั ของประชาชนชาวบา้ นมาก วนั นต้ี สิ สะกมุ ารเดนิ ทางออกจากบา้ น

125

คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมล้านนา

ไปสู่กลางป่าแห่งหนึ่ง มีลำ�ธารไหลผ่านมีหาดทรายขาวงดงามนัก
มจี ติ ปสาทะอยากจะท�ำ บญุ จงึ ไดเ้ อาทรายมากอ่ เปน็ พระเจดยี ์ ฉกี เสอ้ื ทต่ี น
สวมอยู่นั้นเป็นยอดธงปักลงบนเจดีย์ทรายนั้น และตั้งอธิฐานว่า อิมินา
ปญุ ญฺ กมเฺ มนาหํ วาลกุ เจตยิ ํ กตวฺ า สขุ ี อตตฺ านํ ปรหิ รนโฺ ต นพิ พฺ านปจจฺ โยมฺ
หิ เม นิจฺจํ ด้วยอำ�นาจบุญกุศลการก่อพระเจดีย์ทรายน้ีขอให้ข้าพเจ้าได้
บริหารตนให้มีความสุขและเป็นปัจจัยแห่งพระนิพพานเจ้าเถิด และขอให้
ข้าพเจ้านั้นเป็นพระพุทธเจ้าโปรดสัตว์โลก เม่ือพระโพธิสัตว์ติสสะ
บำ�เพ็ญบารมีครบถ้วนแล้ว ก็ได้มาเกิดเป็นพระพุทธเจ้าของเราทั้งหลาย
สว่ นกรรมวธิ กี ารท�ำ เจดยี ท์ รายนนั้ อบุ าสกผมู้ อี ายใุ นหมบู่ า้ นหรอื พระภกิ ษุ
สามเณรภายในวดั จะชว่ ยกนั ท�ำ โครงรา่ งเจดยี ์ น�ำ ไมจ้ รงิ มาตกี รอบเปน็ เจดยี ์
๔ เหลี่ยม ลดหลนั่ กนั ไวโ้ ดยทำ�เปน็ ๓ ขั้น หรอื น�ำ ไม้ไผ่มาสานเปน็ ชัน้ รปู
ทรงกลมลกั ษณะเปน็ พระเจดยี ์ ๓ ชัน้ บา้ ง ๕ ชั้นบ้าง ๗ ช้ันบ้าง๗๙
ประเพณขี น้ึ ท้าวทงั้ สี่ ท้าวทั้งส่ี หมายถึง ทา้ วจตุโลกบาล ผรู้ กั ษาทศิ ทัง้ ๔
ตามตำ�นานทางศาสนา ท้าวจตุโลกบาลเป็นเทพในกามาวจรภูมิ
เป็นสวรรค์ชั้นแรกในจำ�นวน ๗ ช้ัน คือ จตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ ยามา
ดุสิต นิมมานรดี ปรนิมมิตวสวัตตี ตามแนวความเช่ือทางพุทธศาสนา
สวรรค์ชั้นจตุมหาราชิกา ตั้งอยู่บนเขายุคนธร สูงจากพื้นผิวโลก
๔๖,๐๐๐ โยชน์ สวรรค์ช้ันนี้นับเป็นสถานท่ีพิเศษกว่ามนุษย์โลก
ในด้านความเป็นอยู่และความสุข กามาวจรเทพช้ันนี้เรียกรวมกันว่า
“จตุมหาราชิกาเทวดา”
ในสวรรคช์ น้ั นแ้ี บ่งออกเป็น ๔ ส่วน ซึง่ มมี หาราชทั้ง ๔ องคค์ รองอยูแ่ บง่
กนั เปน็ ส่วนๆ ไปคอื ท้าวธตรฐ ทา้ ววิรฬุ หก ทา้ ววริ ปู ักข์ ท้าวเวสสวุ รรณ
ท้าวเวสสุวรรณ น้ีเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าท้าวกุเวร หรือในไตรภูมิพระร่วง
เรียก ท้าวไพสพมหาราช ในสวรรค์ช้ันน้ีมีพระอินทร์เป็นราชาธิบดี คือ
เป็นผ้ปู กครองทา้ วจตมุ หาราชกิ าด้วย

126

คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานศลิ ปกรรมล้านนา

เคร่ืองพลีกรรม ทำ�ด้วยกาบกล้วยเรียกว่า “สะตวง” คือ การทำ�กระทง
จ�ำ นวน ๖ อนั ส�ำ หรบั ใสเ่ ครอื่ งเซน่ อาหารและผลไม้ เปน็ เครอื่ งสปี่ ระกอบ
ดว้ ยสง่ิ ตอ่ ไปนี้

๏๏ ขา้ ว ๔ คำ�
๏๏ อาหาร ๔ ชนิ้ จะเปน็ เนื้อหรือปลากไ็ ด้
๏๏ ขา้ วเหนยี วหรอื ข้าว ๔ ถุง หรือ ๔ ค�ำ
๏๏ แกงสม้ ๔ ชดุ
๏๏ แกงหวาน ๔ ชดุ
๏๏ หมากพลู บหุ ร่ี เม่ยี ง ๔ ชุด
๏๏ ดอกไมธ้ ปู เทียน ๔ ชดุ
๏๏ ชอ่ เขียว เหลอื ง แดง ดำ� ขาว หมน่ มสี ลี ะ ๔ ชอ่
การทำ�สะตวงน้ัน นิยมเอากาบกล้วย มาหักพับเสียบด้วยไม้ไผ่ซึ่งจักเป็น
ตอกให้คงรูปเป็น ๔ เหลยี่ ม แล้วเอากระดาษรองข้างในสะตวง เพ่ือใช้เปน็
ทวี่ างเครอ่ื งเซน่ การเตรยี มเครอื่ งเซน่ ไหว้ ๖ ชดุ กเ็ พราะ คนโบราณตอ้ งการ
สังเวยเทพ ๖ องค์ ประกอบด้วย
๏๏ พระอินทร์ ซง่ึ เป็นใหญ่กวา่ ทา้ วจตุโลกบาล ชอ่ สเี ขียวและมรี ่มหรือ

ฉตั รสีเขียว
๏๏ ทา้ วธตรฐ รักษาทิศตะวนั ออก ชอ่ สแี ดง
๏๏ ทา้ ววิรุฬหก รกั ษาทศิ ใต้ ชอ่ สหี ม่น
๏๏ ท ้าววิรปู กั ข์ รักษาทิศตะวันตก ช่อสดี �ำ
๏๏ ทา้ วเวสสุวณั รกั ษาทศิ เหนือ ชอ่ สเี หลือง
๏๏ นางธรณีเทวธดิ า ผรู้ กั ษาแผ่นดนิ ชอ่ สีขาว
การสังเวยจึงต้องมีสะตวง ๖ อัน ของพระอินทร์ ตั้งตรงกลางอยู่สูงกว่า
สะตวงอ่ืนๆ ของนางเทพธิดาธรณีวางไว้ข้างล่างใกล้กับแผ่นดิน
สว่ นท้าวจตโุ ลกบาลนัน้ ตัง้ ตามทิศของท้าวจตุโลกบาลแต่ละองค์๘๐

127

คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๗๕
เครื่องสงั เวยทา้ วทงั้ ๔

โคมผดั หมายถงึ โคมทท่ี �ำ จากไมไ้ ผ่หมุ้ กระดาษสา หรอื ผา้ สี เมือ่ ท�ำ การ
จุดไฟ จะหมุนโดยอาศัยแรงดันของเปลวไฟ โคมผัดเป็นช่ือเรียกในภาษา
ท้องถ่ินภาคเหนือ โคมเวียนเป็นชื่อเรียกในภาษาภาคกลาง โคมผัดหรือ
โคมเวยี นเปน็ งานศลิ ปหตั ถกรรม เปน็ สงิ่ ของเครอื่ งใชท้ เี่ กย่ี วขอ้ งกบั วถิ ชี วี ติ
ของชาวลา้ นนาในอดตี ทม่ี คี วามเป็นมายาวนาน

128

คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานศิลปกรรมลา้ นนา

ภาพที่ ๗๖ โคมถูกนำ�มาใช้เป็นสัญลักษณ์
โคมผัดหรอื แทนคติความเช่ือและสัจธรรม
ในพุทธศาสนามากมาย โดย
โคมเวียน ชาวลา้ นนานยิ มใชโ้ คมถวายเปน็
ศลิ ปะล้านนา พุทธบูชาในโอกาสวันสำ�คัญ
ตา่ งๆ เชน่ วนั เพญ็ เดอื นสบิ สอง
หรอื ยเ่ี ปง็ และการตงั้ ธรรมหลวง
นกั ปราชญโ์ บราณมคี วามเชอื่ วา่
“แสงสว่างเปรียบด้วยปัญญา
ฉันใดก็ดีการบูชาพระรัตนตรัย
ดว้ ยโคมถอื วา่ ไดอ้ านสิ งคเ์ กดิ มา
ชาติหน้าจะเป็นผู้มีสติปัญญา”
ชาวลา้ นนาจะน�ำ โคมผดั มาถวาย
ท่ีวัดโดยจะตั้งโคมผัดไว้ที่บริเวณหน้าโบสถ์ วิหาร หรือวางไว้ที่หน้าองค์
พระประธาน ซ่ึงโคมผัดนี้จะมีลักษณะที่หมุน รอบแกน แสงจากประทีป
หรอื เทียนไข จะทำ�ใหเ้ กดิ เงาขึ้นบนตวั โคมที่เคล่อื นที่ มกี ารสรา้ งเรื่องราว
สอดแทรกคติ ความเชื่อทางศาสนา ซ่ึงลักษณะของโคมผัดน้ีจะแสดงถึง
คตคิ วามเช่อื ในเร่อื งของวัฏสงสาร การเวียนว่ายตายเกดิ ของชวี ิต๘๑

ผลงานศิลปกรรมล้านนาท่ีสะท้อนแนวคิดคติจักรวาลวิทยาในพระพุทธ
ศาสนาส่วนมากจะพบอยตู่ ามพทุ ธสถาน ท้งั น้ี กด็ ้วยความเลื่อมใสศรัทธา
ในพระธรรมคำ�สอนในพระพุทธศาสนาของชาวพทุ ธ นายช่างศิลปนิ หรือ
สลา่ ลา้ นนาในอดตี ไดท้ มุ่ เทแรงกายแรงใจในการสรา้ งสรรค์ จากพลงั ความ
ศรทั ธาในพระพทุ ธศาสนาประกอบกบั ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละจนิ ตนาการ
ถ่ายทอดเป็นผลงานพทุ ธศลิ ป์ เพื่อการถวายเป็นพุทธบชู า

อยา่ งไรกด็ ี อาจกลา่ วไดว้ า่ คตจิ กั รวาลวทิ ยาในพระพทุ ธศาสนา คอื แนวคดิ
หลักในการสร้างสรรค์งานพุทธศิลป์ล้านนาทุกแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ศิลปกรรมที่ปรากฏอยู่ภายในบรรยากาศอันศักด์ิสิทธ์ิของพุทธสถาน

129

คติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ในลา้ นนา ถงึ แมว้ า่ จะมคี วามแตกตา่ งกนั ทงั้ ดา้ นรปู แบบ กรรมวธิ กี ารสรา้ ง
ตลอดจนหน้าท่ีประโยชน์ใช้สอยก็ตาม แต่ผลงานทั้งหมดก็ล้วนแล้วแต่มี
ความสัมพันธ์เช่ือมโยง ดว้ ยแนวคิดหลกั อย่างเดียวกัน ท�ำ ใหผ้ ลงานศิลปะ
แตล่ ะชนิ้ ในพทุ ธสถาน ท�ำ หนา้ ทปี่ ระสานสอดคลอ้ งรว่ มกนั อยา่ งมเี อกภาพ
กลา่ วไดว้ า่ สมั ฤทธผิ ลของการสร้างสรรค์ ในงานศิลปกรรมลา้ นนาที่เน่อื ง
ในพุทธศาสนามีลักษณะเปน็ แบบองคร์ วม ด้วยรปู สัญลกั ษณ์ทสี่ ะท้อนถงึ
ความลึกซึ้งในหลักพุทธธรรม ประกอบกับรูปแบบท่ีวิจิตรงดงามเป่ียม
ไปด้วยคณุ ค่าทางศลิ ปะ อนั เปน็ ผลิตผลทางดา้ นพทุ ธิปัญญาของมนษุ ย์

130

แนวคดิ คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา

คติจกั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

แนวคดิ คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนา

ง ในงานจิตรกรรมลา้ นนา
านศิลปกรรมลา้ นนาทเี่ น่ืองในพระพทุ ธศาสนาสว่ นมาก ก็จะอาศัย
เรื่องราวและรูปสัญลักษณ์ที่เกิดจากการตีความเนื้อหาจากคติ
จักรวาลวิทยาในพุทธศาสนา นำ�มาเป็นแรงบันดาลใจในการ
สร้างสรรค์เป็นผลงานศิลปะแขนงต่างๆ ได้แก่ สถาปัตยกรรม จิตรกรรม
ประติมากรรม และงานพุทธศิลป์อ่ืนๆ โดยเฉพาะจิตรกรรมล้านนาแบบ
ประเพณที ปี่ รากฏในเขตวฒั นธรรมลา้ นนา ซง่ึ เปน็ ผลงานศลิ ปะทมี่ รี ปู แบบ
ประณตี งดงาม ดว้ ยกรรมวธิ ขี องชา่ งไทยแตโ่ บราณ นยิ มเขยี นเรอื่ งราวเกย่ี ว
กับอดตี พทุ ธ พุทธประวัติ ทศชาติชาดก ไตรภูมิ และวรรณกรรมในทอ้ งถิน่
ตลอดจนภาพพทุ ธสญั ลักษณ์ตา่ งๆ
นายช่างศิลปินล้านนาในอดีตได้สร้างสรรค์จิตรกรรมขึ้น ด้วยพลังความ
ศรัทธาในพระพุทธศาสนา ซึ่งนับเป็นวิธีการสร้างบุญกิริยาวัตถุเพ่ือถวาย
เปน็ พทุ ธบชู า โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ เนอ้ื หาของภาพเขยี นเรอื่ งไตรภมู แิ สดงให้
เหน็ ถึงจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ถา่ ยทอดผา่ นภาพเลา่ เรือ่ งภพ
ภมู ติ า่ งๆ และรปู สญั ลกั ษณใ์ นคตจิ กั รวาลวทิ ยา ทสี่ ามารถสะทอ้ นถงึ ความ
ลกึ ซง้ึ ของหลกั พทุ ธธรรม ดว้ ยรปู แบบงดงามเปยี่ มไปดว้ ยคณุ คา่ ทางศลิ ปะ
อนั เปน็ ผลติ ผลทางดา้ นพุทธิปญั ญาของมนษุ ย๘์ ๒ ส่วนในรายละเอียดของ
ภาพยังสามารถสะท้อนสภาพสังคมวัฒนธรรม และขนบธรรมเนียม
ประเพณีต่างๆ ซึ่งมีความโดดเด่นในแง่ของความหลากหลาย อันเป็น
ลักษณะพิเศษของท้องถิ่น และเป็นหลักฐานที่แสดงถึงความมีอยู่ ตลอด
จนการสบื เนื่องของสงั คมวัฒนธรรมลา้ นนาได้เป็นอยา่ งดี๘๓ นอกจากนั้น
จติ รกรรมลา้ นนายงั ท�ำ หนา้ ทเ่ี ปน็ สอ่ื ศลิ ปะทเ่ี ขา้ ถงึ ประชาชนไดอ้ ยา่ งกวา้ ง
ขวาง และมปี ระสิทธภิ าพสูงในการสอื่ สารกบั คนทกุ ระดับ โดยเฉพาะการ
ปลูกฝงั ความคิดความเช่ือทางศีลธรรม ชใ้ี ห้เห็นโทษของการท�ำ ชัว่ และผล
ของการท�ำ ดใี หแ้ กช่ าวพทุ ธในดนิ แดนลา้ นนาตลอดมา ดว้ ยการแสดงออก
ในรูปแบบทางศิลปกรรมที่หลากหลาย เช่น จิตรกรรมฝาผนังภายในพระ

132

แนวคิดคตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมล้านนา

วิหาร และพระอุโบสถ จิตรกรรมบนผืนผ้า พระบฏ สมุดภาพไตรภูมิ
ผ้ายันต์พระสิงห์หลวง จิตรกรรมลายปิดทองล่องชาดประดับกระจกสี
จิตรกรรมลายคำ� จิตรกรรมลายรดนำ้�บนหีบธรรม และจิตรกรรมลาย
ประดับมุกบนรอยพระพุทธบาทไม้ เป็นต้น

รูปแบบทางศลิ ปกรรมของงานจติ รกรรมลา้ นนาทส่ี ะท้อน
คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนา

จติ รกรรมสมุดภาพไตรภูมิ
สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับอักษรธรรมล้านนา เป็นผลงานจิตรกรรมแบบ
ประเพณีที่เขียนบนเอกสารโบราณประเภทหนังสือสมุดไทย กรรมวิธีการ
เขยี นภาพใชส้ ฝี นุ่ บนกระดาษสา รองพน้ื ดว้ ยดนิ สอพองผสมกาวธรรมชาติ
สมุดภาพไตรภูมิได้ทำ�หน้าที่รวบรวมองค์ความรู้และความเลื่อมใสศรัทธา
ในพระพุทธศาสนา นับเป็นมรดกทางศิลปวัฒนธรรมท่ีแสดงให้เห็น
ถึงภูมิปัญญาของบรรพชนในแต่ละท้องถ่ินท่ีถ่ายทอดความรู้ความเข้าใจ
เรื่องไตรภูมิออกมาเป็นภาพเขียนที่มีคุณค่าด้านความงามในเชิงศิลปะ
และมีความหมายทางสัญลักษณ์ที่ลุ่มลึกในทางปรัชญาและศาสนา
ตลอดจนรายละเอียดในภาพยังสะท้อนให้เห็นถึงสภาพวิถีชีวิต สังคม
วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆ ในยุคสมัยท่ีสร้างสรรค์
ผลงานช้ินนั้นขึ้นได้เป็นอย่างดี นับเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์และ
โบราณคดีทส่ี ำ�คญั อย่างยงิ่
นอกจากความรเู้ ร่ืองจติ รกรรมแบบประเพณี ท่ีเกี่ยวเน่อื งกบั คตคิ วามเชอื่
ทางพทุ ธศาสนา ประวตั ิศาสตร์ และโบราณคดีแลว้ ยงั เปน็ แหลง่ ให้ความ
รเู้ รอ่ื งภาษาและอกั ษรธรรมลา้ นนาไดเ้ ปน็ อยา่ งดี กลา่ วคอื สมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบับอักษรธรรมล้านนาใช้ตัวอักษรพ้ืนเมือง ท่ีเรียกช่ือในท้องถิ่นว่า
ตวั เมอื งหรอื หนงั สือเมอื ง สมุดภาพไตรภมู ฉิ บับอกั ษรธรรมลา้ นนา บันทึก
เรอ่ื งราวและเรยี งล�ำ ดบั ภาพอยา่ งอสิ ระ มไิ ดม้ รี ะเบยี บแบบแผนเหมอื นกบั

133

คติจักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

สมุดภาพไตรภูมิ ฉบับกรุงศรีอยุธยาและกรุงธนบุรี ด้านเน้ือหาสาระและ
ภาพในเล่มนั้น ยังมีความหลากหลายมากกว่าสมุดภาพไตรภูมิเล่มอ่ืนๆ
เช่น มีเน้ือหาเร่ืองลักษณะของเจดีย์ สีมา ไวยากรณ์ กลบท จกั รราศี และ
ดาวนกั ษัตร
รปู แบบตวั อกั ษรทใี่ ชบ้ นั ทกึ ขอ้ ความในเลม่ ยงั มหี ลากหลายชนดิ และใชเ้ สน้
ตวั อักษรต่างสกี นั ด้วย คือ อักษรธรรมลา้ นนาใช้เสน้ สีแดง อกั ษรขอมส่วน
ใหญใ่ ชเ้ สน้ หมกึ มอี กั ษรไทยบางสว่ นเปน็ เสน้ ดนิ สอ ภาพจติ รกรรมภายใน
สมุดภาพไตรภูมิ มีการผสมผสานระหว่างความเป็นล้านนา และได้รับ
อทิ ธพิ ลจากศลิ ปะพมา่ รายละเอยี ดของเน้ือหาภายในเล่ม ประกอบด้วย
ความรหู้ ลากหลายสาขาวชิ า ประกอบดว้ ย เรอื่ งลกั ษณะของเจดยี ท์ รงตา่ งๆ
สีมาและขอบเขตของสีมา ไตรภูมิ ผังจักรวาล แผนผังบ้านเมืองในสมัย
พุทธกาล การเย็บจีวรตามพุทธบัญญัติ พุทธประวัติ ไวยกรณ์ ฉันท์และ
กลบทในผัง จกั รราศี และดาวนกั ษตั รตามล�ำ ดบั โดยมีค�ำ บรรยายเน้ือหา
ทง้ั เลม่ เปน็ ภาษาบาลดี ว้ ยตวั อกั ษรธรรมลา้ นนา และมอี กั ษรขอมกบั อกั ษร
ไทยอธบิ ายขยายความเปน็ ภาษาไทยจดแทรกอยเู่ ป็นบางส่วนดว้ ย๘๔

134

แนวคดิ คติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๗๗ ภาพท่ี ๗๘
ปกสมุดภาพไตรภูมิ จิตรกรรมสมดุ ภาพไตรภมู ิ
ฉบับอกั ษรธรรมล้านนา
ฉบบั อักษรธรรมลา้ นนา

135

คติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

จติ รกรรมฝาผนัง
จิตรกรรมฝาผนัง หรือ ภาพวาดท่ีมีขนาดใหญ่ ซึ่งวาดไว้ตามผนังอาคาร
ศาสนสถาน อาทิ วหิ าร อโุ บสถ หอธรรม หรอื หอพระไตรปฎิ ก เนอื้ หาของ
งานจิตรกรรมมักเป็นเรื่องราวเก่ียวกับพระพุทธศาสนาแทบท้ังส้ิน ท้ังน้ี
จติ รกรผสู้ รา้ งสรรคแ์ ละศรทั ธาวดั มวี ตั ถปุ ระสงคใ์ นการสรา้ งงานจติ รกรรม
เพอ่ื ตบแตง่ พน้ื ผนงั ใหส้ วยงาม อกี ทงั้ ยงั ใหภ้ าพวาดเปน็ สอ่ื หรอื อปุ กรณใ์ น
การสอนธรรมะแก่พุทธศาสนิกชนที่เข้ามาในอาคาร๘๕ ลักษณะของ
จิตรกรรมแต่ละแห่งน้ัน ข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์ของตัวอาคาร โดยเฉพาะ
ภายในโบสถว์ หิ ารจ�ำ เปน็ จะตอ้ งใหค้ วามรสู้ กึ อนั จะกอ่ ใหเ้ กดิ อาการส�ำ รวม
และเป็นท่ีต้ังแห่งสมาธิ โบสถ์วิหารเป็นสถานท่ีซ่ึงเราจะน้อมจิตไปในทาง
กศุ ล ตลอดจนชว่ ยใหผ้ ทู้ เ่ี ขา้ ไปเกดิ ความรสู้ กึ ถงึ การปลกี ตนออกไปเสยี จาก
โลกภายนอก เพราะเหตนุ ้ี จติ รกรรมภายในโบสถว์ หิ ารจงึ ควรใหค้ วามรสู้ กึ
สงบ ล้ลี ับ และไมม่ บี รรยากาศท่แี สดงระยะใกลไ้ กล คนโบราณเข้าใจความ
หมายของทต่ี ง้ั สมาธดิ มี าก จงึ ท�ำ ชอ่ งหนา้ ตา่ งโบสถว์ หิ ารใหม้ ขี นาดเลก็ และ
ในบางกรณกี ไ็ มเ่ จาะชอ่ งหนา้ ตา่ งเสยี เลย ดว้ ยสญั ชาตญาณในการวนิ จิ ฉยั
ท่ีถูกต้อง ช่างเขียนของเราแต่ก่อนได้เขียนจิตรกรรมฝาผนังขึ้น โดยมิได้
ตงั้ ใจจะสรา้ งระยะทางในหลกั ทศั นยี วสิ ยั (Perspective) ตามความเปน็ จรงิ
ทั้งในภาพเขยี นสแี ละภาพลายเสน้ ด้วยเหตุนี้ จิตรกรรมฝาผนงั ของไทยจึง
ถกู ต้องสมบูรณ์ ตามความมงุ่ หมายของนายช่างศลิ ปนิ ผู้สร้างสรรค๘์ ๖
จิตรกรรมฝาผนังล้านนา มักจะปรากฏอยู่ในวิหาร อุโบสถ และหอพระ
ไตรปิฎก ถ้าเป็นวิหารโถงจะวาดไว้บนแผงไม้คอสองบริเวณด้านข้างของ
วิหาร เช่น วิหารน้ำ�แต้ม วัดพระธาตุลำ�ปางหลวง เป็นต้น เนื้อหาของ
จติ รกรรมเปน็ เร่ืองราวเก่ยี วกับพระพทุ ธศาสนา อาทิ พุทธประวตั ิ ทศชาติ
ชาดก ปัญญาสชาดก นทิ านธรรมบท จิตรกรรมฝาผนังลา้ นนาทม่ี อี ายเุ ก่า
แก่มากท่ีสดุ คือ จติ รกรรมฝาผนงั ภายในอโุ มงค์ วัดอโุ มงคเ์ ถรจันทร์ เชิง
ดอยสเุ ทพ อ�ำ เภอเมอื ง จังหวัดเชยี งใหม่ และจติ รกรรมฝาผนงั บนแผงไม้
คอสอง ภายในวิหารน้ำ�แต้ม วัดพระธาตุลำ�ปางหลวง อำ�เภอเกาะคา

136

แนวคิดคตจิ กั รวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา

จังหวัดลำ�ปาง ลักษณะของจิตรกรรมฝาผนังล้านนามีรูปแบบเป็นของ
ตนเองตามแบบท้องถิ่น ช่างเขียนชาวล้านนามีอิสระในการแสดงออก
ถึงอารมณ์ความรู้สึกที่มีความเป็นส่วนตัวสูง โดยมิได้ทำ�ให้เร่ืองราวหลัก
ในจิตรกรรมเสียรูปไป๘๗ นอกจากน้ี ยังพบว่ามีจิตรกรรมฝาผนังประเภท
ทไี่ ม่มีเรือ่ งราว แตแ่ สดงเป็นภาพสญั ลักษณ์ เช่น ภาพต้นโพธิ์ ภาพเทวดา
ภาพดอกไมใ้ นแจกนั ลวดลายพนั ธพ์ุ ฤกษา และลวดลายหมอ้ น�้ำ ปรู ณฆฏะ
เปน็ ตน้
จติ รกรรมบนแผงไมค้ อสอง วหิ ารน�้ำ แตม้ วดั พระธาตลุ �ำ ปางหลวง ต�ำ บล
ลำ�ปางหลวง อำ�เภอเกาะคา จังหวัดลำ�ปาง จิตรกรรมบนแผงไม้คอสอง
ภายในวิหารน้ำ�แต้ม เป็นงานจิตรกรรมเทคนิคสีฝุ่น ที่รองพื้นด้วยดินสอ
พองผสมกาว ขณะน้ีภาพได้ลบเลือนไปมากแล้ว สีของภาพจางมาก มี
ลกั ษณะเป็นจติ รกรรมหลายสปี ระเภท พหุรงค์ ประกอบด้วย สีแดง สเี ขียว
สเี หลอื งดนิ สดี �ำ และสขี าว ไมพ่ บวา่ มกี ารปดิ ทองค�ำ เปลว๘๘ ดา้ นทศิ เหนอื
เขียนเล่าเร่ือง มาฆะมานพ หรือ ประวตั ิพระอินทร์ ทางด้านทิศใตเ้ ลา่ เร่อื ง
นางสามาวดี โดยมอี กั ษรธรรมลา้ นนาเขยี นก�ำ กบั ภาพอยทู่ วั่ ไป ทง้ั สองเรอ่ื ง
เป็นนิทานธรรมบท ในอรรถกถาบาลี หมวดอัปปมาทวรรค (หมวดท่ีกล่าว
ถึงความไมป่ ระมาท) ซึง่ ในลา้ นนาพบเฉพาะท่วี ิหารน�้ำ แต้มนเ้ี ทา่ น้นั

ภาพท่ี ๗๙
วหิ ารนำ�้ แตม้
วัดพระธาตุ
ล�ำ ปางหลวง
จงั หวดั ลำ�ปาง

137

คติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

รปู แบบของจติ รกรรมแหง่ นม้ี ลี กั ษณะเรยี บงา่ ย มคี วามอสิ ระเปน็ ธรรมชาติ
แสดงออกถึงเอกลักษณ์ และมีพลังในการแสดงออกทางศิลปะได้อย่าง
นา่ สนใจ โดยเฉพาะการจดั วางองคป์ ระกอบ กรรมวธิ กี ารเขยี นภาพ การลงสี
การถา่ ยทอดเรอื่ งราวยงั สามารถสะทอ้ นใหเ้ หน็ ถงึ วถิ ชี วี ติ ของผคู้ นสมยั นนั้
นบั เปน็ การบนั ทกึ หลกั ฐานทางประวตั ศิ าสตรแ์ ละโบราณคดอี กี ประการหนง่ึ
เมื่อพิจารณารายละเอียดในภาพเขียน พบว่า มีอิทธิพลทางด้านรูปแบบ
จากศลิ ปะพม่าอย่างชดั เจน เช่น การจดั วางองคป์ ระกอบ เครอ่ื งแตง่ กาย
ของชาย-หญงิ ชนชนั้ สูง และรปู แบบของเส้นสนิ เทา เปน็ ต้น
การเขียนกลุ่มภาพบุคคล เช่น กษัตริย์ เจ้าชาย และบุคคลอ่ืนๆ ด้วย
เครอ่ื งแตง่ กายตามประเพณี ภาพชาวบา้ น ภาพสตั ว์ ทวิ ทศั นล์ ว้ นมลี กั ษณะ
งดงามเป็นธรรมชาติ ส่วนภาพปราสาทราชวัง มีลักษณะคล้ายคลึงกับ
ปราสาทในภาพเขียนรุ่นหลังของพมา่ ซึง่ สะท้อนให้เหน็ ถงึ สภาพแวดลอ้ ม
ทางธรรมชาติ วิถีชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน ในภูมิประเทศอันประกอบ
ด้วย ป่าเขาลำ�เนาไพร ลกั ษณะการเขียนภาพมคี วามงดงามเปน็ ธรรมชาติ
การตดั เส้นเปน็ ไปอย่างอิสระมเี อกภาพสอดคลอ้ งกันทง้ั หมด๘๙

ภาพที่ ๘๐
จิตรกรรม
บนแผงคอสอง
ทางดา้ นทศิ ใต้
เร่อื ง นางสามาวดี

138

แนวคดิ คติจักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในงานจิตรกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๘๑
เขาพระสเุ มรแุ ละ
เขาสัตตบรภิ ณั ฑ์

จิตรกรรม
บนแผงคอสอง
ทางด้านทิศเหนอื
เรื่อง ประวตั ิพระอนิ ทร์

จิตรกรรมฝาผนังวิหารวัดบ้านก่อ ตำ�บลวังทรายคำ� อำ�เภอเวียงเหนือ
จงั หวดั ลำ�ปาง วดั บ้านกอ่ มลี ักษณะเป็นวดั ในหมูบ่ า้ นเลก็ ๆ ในเขตอำ�เภอ
เวียงเหนือ จังหวัดลำ�ปาง ตั้งอยู่เลขที่ ๕๕ บ้านก่อ ตำ�บลวังทรายคำ�
เปน็ ศนู ยก์ ลางในกจิ กรรมทางพทุ ธศาสนาของชาวบา้ นกอ่ และบา้ นตน้ ฮา่ ง
ชาวบา้ นก่อรว่ มสรา้ งวดั ขน้ึ เม่อื ราวกลางพทุ ธศตวรรษท่ี ๒๕ ฝีมอื การวาด
ภาพจิตรกรรมฝาผนงั เป็น ฝีมอื ของ หลวงพอ่ คำ�ปอ้ อุดหนนุ ซึ่งขณะนั้น
ท่านบวชและจำ�พรรษาอยู่ท่ีวัดทุงยูง ตำ�บลร่องเคาะ ตัวอาคารวิหารวัด
บา้ นกอ่ มกี ารกอ่ อฐิ ถอื ปนู แหง่ นี้ มงี านจติ รกรรมอยบู่ นผนงั ภายในและโถง
หนา้ วิหาร เนื้อหาเรือ่ งของพทุ ธประวตั ิ ชาดก และชาดกนอกนบิ าต หรอื
นทิ านพนื้ บา้ นองิ ชาดก ดา้ นหนา้ ของวหิ ารอยทู่ างทศิ ตะวนั ออก มโี ถงกวา้ ง
ก่อนเข้าสู่ภายในตัวอาคาร พบว่า มีงานจิตรกรรมสีฝุ่นเร่ือง หงส์หิน
ส่วนภายในวิหารมีจิตรกรรมเรื่อง พรหมจักร พระเวสสันดร พระเตมีย์
พระมาลยั โปรดโลก และพุทธประวตั ิ

139

คติจกั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจติ รกรรมลา้ นนา

ภาพที่ ๘๒
วิหารวัดบา้ นกอ่
อำ�เภอวังเหนอื
จงั หวดั ล�ำ ปาง

หลวงพ่อคำ�ป้อจิตรกรผู้เขียนภาพจิตรกรรม ใช้วิธีถ่ายทอดตามที่ชาดก
บันทึกไว้ มักเขียนเข้าเรื่องแต่ละเรื่องโดยกล่าวว่าเป็นเรื่องราวที่พระพุทธ
องค์ตรัสให้ฟัง โดยเฉพาะภาพเล่าเรื่อง พระเตมีย์ชาดก ซึ่งเป็นฉาก
พระราชวังท่ีมีพระเตมีย์นั่งอยู่บนพระเพลาของพระราชบิดา พระนามว่า
กาสกิ ราช สว่ นมารดาชอ่ื นางจนั ทเทวี ก�ำ ลงั ดกู ารลงโทษผรู้ า้ ยหา้ คน ตอน
นี้พระเตมีย์อายุเพียงหน่ึงเดือนก็รำ�ลึกได้ว่าชาติก่อน ตนเคยเข่นฆ่าผู้คน
แลว้ ตกนรกนานถึงแปดหมืน่ ปี
จิตรกรรมฝาผนังเบ้ืองหลังพระประธานเกือบตลอดพ้ืนที่ ถ่ายทอดเรื่อง
พุทธประวัติ เริ่มต้ังแต่ประสูติ เสด็จมหาภิเนษกรมณ์ ตรัสรู้ และเสด็จ
ปรนิ พิ พาน รวมทง้ั มฉี ากยอ่ ยๆ ประกอบ เชน่ ตอนพระอนิ ทรอ์ ญั เชญิ พระ
เขี้ยวแก้วไปประดิษฐานบนพระธาตุเกศแก้วจุฬามณี ฉากมารผจญ
ตอนเสดจ็ โปรดพทุ ธมารดาบนสวรรคช์ นั้ ดาวดงึ ส์ ฉากทพี่ ระสาวกรว่ มถวาย
พระเพลงิ พระบรมศพ และเหตกุ ารณต์ อนแบง่ พระบรมสารรี กิ ธาตุ เปน็ ตน้
โดยหลวงพ่อคำ�ป้อกำ�หนดให้ ภาพตอนตรัสรู้ใต้ต้นโพธ์ิอยู่ตรงกลางผนัง

140

แนวคดิ คติจกั รวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา

ภาพที่ ๘๓
จิตรกรรม
บริเวณโถงดา้ นหน้า
วิหารวดั บา้ นก่อ
อำ�เภอวังเหนอื
จังหวัดลำ�ปาง

เพอื่ เปน็ ฉากหลงั ของพระประธาน ท�ำ ใหเ้ กดิ ความสมดลุ ขององคป์ ระกอบ
ในพ้ืนทีท่ ้งั หมดของฉากหลงั พระประธาน๙๐
อย่างไรก็ตาม จิตรกรรมฝาผนังภายในวิหารวัดบ้านก่อได้แสดงให้เห็นถึง
คณุ คา่ แบบงานศลิ ปะพน้ื ถน่ิ ทสี่ รา้ งสรรคข์ นึ้ โดยชา่ งเขยี นซง่ึ เปน็ เจา้ อาวาส
ของวัดบา้ นก่อในอดีต ภายในวหิ ารปรากฏรปู เขยี นทั้ง ๔ ด้านและบริเวณ
ผนงั ดา้ นหนา้ วหิ ารทเี่ ปน็ มขุ โถง การจดั องคป์ ระกอบภาพเปน็ แบบเลา่ เรอื่ ง
ตอ่ เนอ่ื งกนั ไปภายในผนงั คอื ผนงั มขุ โถงดา้ นนอกเขยี นเลา่ เรอื่ งวรรณกรรม
พ้ืนบ้านเร่ืองหงส์หิน ผนังด้านทิศตะวันออกตรงกันข้ามกับพระประธาน
เขียนเรื่องพระมาลัยไปโปรดสัตว์นรก ผนังด้านทิศตะวันตกด้านหลังพระ
ประธานเขียนเรื่องพุทธประวัติ เร่ิมจากตอนประสูติ ตรัสรู้ ไปจนกระท่ัง
ปรนิ พิ พาน ผนงั ดา้ นทศิ เหนอื เขยี นเรอื่ งเวสสนั ดรชาดก ผนงั ดา้ นทศิ ใตเ้ ขยี น
เรื่องพรหมจักร (รามเกียรติ์ฉบับล้านนา) และเขียนภาพบุคคลขนาดใกล้
เคียงกบั คนจรงิ แทรกไว้ บริเวณประตู หน้าต่าง เช่น ภาพพระสงฆ์ ตำ�รวจ
ทหาร และผหู้ ญงิ ชาวเมือง เป็นต้น

141

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ภาพท่ี ๘๔
จติ รกรรมฝาผนัง
ภายในวิหาร
วดั บา้ นกอ่
อำ�เภอวงั เหนอื
จงั หวัดล�ำ ปาง

ภาพที่ ๘๕
นรกภูมิ
จิตรกรรมฝาผนงั
ภายในวิหาร
วัดบา้ นก่อ

142

แนวคดิ คตจิ ักรวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา

ภาพท่ี ๘๖
นรกภูมิ

จติ รกรรมฝาผนงั
ภายในวิหาร
วดั บา้ นก่อ

ภาพท่ี ๘๗
ภาพพระพทุ ธเจา้
และยมบาล
จิตรกรรมฝาผนงั
ภายในวิหาร
วดั บ้านกอ่

143

คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ส่วนเรอื่ งราวในจติ รกรรมฝาผนังวิหารวดั บา้ นกอ่ ท่สี ะทอ้ นถึงคติจักรวาล
วิทยานัน้ จากการศึกษา พบวา่ ปรากฏอยใู่ นภาพเขยี นผนังดา้ นตรงข้าม
พระประธาน แสดงนรกภูมิ และผนังด้านหลังพระประธาน แสดงพุทธ
ประวตั ิ ตอน เสด็จลงจากสวรรคช์ ั้นดาวดึงส์ กล่าวคอื เมอ่ื พระพทุ ธองค์
จ�ำ พรรษาบนสวรรค์ช้นั ดาวดงึ ส์เป็นเวลา ๓ เดือน จึงเสด็จลงจากดาวดึงส์
เทวโลก พระอนิ ทรไ์ ด้เนรมติ บันไดขึ้น ๓ บนั ได คอื บนั ไดแกว้ อยูต่ รงกลาง
สำ�หรับพระพุทธเจ้าเสด็จดำ�เนินลง บันไดเงินอยู่ทางด้านซ้าย สำ�หรับ
หมพู่ รหม และบันไดทองอยทู่ างด้านขวา ส�ำ หรับพระอนิ ทร์และหมเู่ ทวดา
บันไดทั้งสามน้ีปลายด้านหน่ึงพาดผ่านลงมาจากยอดเขาพระสุเมรุ
อีกดา้ นหนึ่งตัง้ อยบู่ นแผ่นหนิ บริเวณใกล้เมืองสังกสั สะ เหตกุ ารณ์ครงั้ น้ัน
มพี ระพรหมและเทวดาทงั้ หลายทมี่ าจากทวั่ ทงั้ หมน่ื จกั รวาล ลงมาสง่ เสดจ็
ด้วย ทั้งนี้ ในการเสด็จกลับจากเทวโลกในครั้งน้ัน ด้วยพุทธานุภาพ
อิทธิปาฏิหาริย์ของพระพุทธองค์ ทรงบันดาลให้สรรพสัตว์มองเห็นซึ่งกัน
และกันท้ัง ๓ โลก หรือเรียกว่า พระพุทธเจ้าทรงเปิดโลก ได้แก่ เทวภูมิ
มนษุ ยภมู ิ และนรกภมู ิ รวมไปถงึ คนตาบอดและสตั วเ์ ดรจั ฉานกม็ โี อกาสได้
เห็นพระพทุ ธองค๙์ ๑ ดงั ปรากฏเนอ้ื หาใน เทโวโรหนปรวิ ัตต์ ตามแนวทาง
การลำ�ดับเรื่องพุทธประวัติในคัมภีร์ปฐมสมโพธิ ฉบับที่สมเด็จกรมพระ
ปรมานชุ ิตชิโนรสทรงนพิ นธ์ ความว่า
“...ในล�ำ ดบั นนั้ พระพทุ ธชนิ วรเมอ่ื จะแสดงซง่ึ โลกววิ รณปาฏหิ ารยิ ส์ บื ไป ก็
ทอดพระเนตรไปในทศิ าภาพเบ้ืองบน ในการนน้ั อันวา่ เทวโลกและพรหม
โลกท้งั หลาย กแ็ ลตลอดโล่งเป็นลานอนั เดียวกนั ทงั้ สน้ิ แลว้ ทอดพระเนตร
ลงไปในฝา่ ยทศิ อโธภาคเบอ้ื งต�่ำ ในขณะนน้ั อนั วา่ อโธทศิ กแ็ ลโลง่ เปน็ ลาน
อนั เดยี วตลอดถึงอเวจเี ป็นที่สดุ แลว้ ก็ทอดพระเนตรไปในทศิ เบ้อื งขวาทงั้
๘ ทิศ อันว่าพันแห่งจักรวาลท้ังหลายเป็นอันมาก ก็แลโล่งตลอดไปเป็น
ลานอนั เดียวกัน ในกาลนัน้ สวรรค์แลมนษุ ยก์ ับทัง้ นรก กแ็ ลเหน็ กนั ปรากฏ
ทวั่ ท้ังสน้ิ มิได้มที ่ีปิดบังทั้งหมน่ื โลกธาต.ุ ..”๙๒

144

แนวคิดคตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจติ รกรรมลา้ นนา

จิตรกรรมฝาผนังวิหารวัดบวกครกหลวง ตำ�บลท่าศาลา อำ�เภอเมือง
จังหวัดเชียงใหม่ จิตรกรรมฝาผนังวัดบวกครกหลวง เขียนข้ึนภายในพระ
วหิ ารขนาดคอ่ นขา้ งใหญซ่ งึ่ แตเ่ ดมิ ไมม่ หี นา้ ตา่ ง การถา่ ยเทอากาศจะอาศยั
ชอ่ งเปดิ เหนอื ผนงั ดา้ นขา้ งโดยท�ำ เปน็ ลกู กลงึ ไมต้ ลอดแนว แสงทส่ี อ่ งผา่ น
เขา้ มาทางน้ี จึงเป็นแสงสะท้อนจากลานทรายภายนอกที่ท�ำ ใหค้ วามสวา่ ง
ภายในเปน็ บรรยากาศนมุ่ นวลกวา่ แสงทสี่ อ่ งเขา้ มาโดยตรงทวั่ ไป การเจาะ
ช่องหน้าต่างในเวลาต่อมาน้ัน นอกจากจะเป็นการไม่เข้าใจถึงแนวคิดใน
การออกแบบดง้ั เดมิ แลว้ ยงั มผี ลท�ำ ใหง้ านจติ รกรรมฝาผนงั แหง่ นขี้ าดความ
สมบูรณไ์ ปบ้าง
รปู แบบโดยทวั่ ไปของจติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารวดั บวกครกหลวง จดั วา่
เป็นงานฝีมอื ชา่ งไทใหญท่ ่ลี ะเอยี ดประณีต และแสดงถงึ แบบแผนอนั เป็น
ลักษณะเฉพาะได้ชัดเจนกว่าแห่งอื่น รวมถึงการมีจุดเด่นที่น่าสนใจของ
ตนเองหลายประการ อาทิ การจดั วางองค์ประกอบของภาพ การใชส้ แี ละ
การแสดงออกทางศลิ ปะ กล่าวคอื ลักษณะองค์ประกอบจะเป็นแบบกลมุ่
ภาพขนาดยอ่ มภายในกรอบลาย หรอื หอ้ งภาพทส่ี มั พนั ธต์ อ่ เนอ่ื งกนั ไปทง้ั

ภาพที่ ๘๘
วหิ ารวัดบวกครกหลวง

อำ�เภอเมือง
จังหวดั เชียงใหม่

145

คตจิ ักรวาลวทิ ยาพุทธศาสนาในจติ รกรรมล้านนา

ภาพท่ี ๘๙
จติ รกรรมฝาผนงั
ภายในวิหาร วัด
บวกครกหลวง
อำ�เภอเมอื ง
จังหวดั เชยี งใหม่

อาคาร โดยลำ�ดับจากเร่ืองทศชาติชาดกแล้วต่อด้วยเร่ืองพุทธประวัติ
ต้ังต้นจากตอนหน้าอาคารด้านทิศเหนือเข้าไป และย้อนออกมาทางด้าน
ทศิ ใต้ เรอื่ งหลักท้งั สองนอกจากจะเขยี นไม่ครบตลอดท้ังเร่อื งแล้ว ในบาง
ช่วงยังมีการสลับต�ำ แหนง่ หรือปะปนกันอกี ด้วย เช่น การทช่ี า่ งไดน้ ำ�เรอ่ื ง
เวสสนั ดรชาดกซง่ึ เปน็ พระชาตสิ ดุ ทา้ ยมาเขยี นแทรกไวก้ อ่ น หรอื มกี ารเขยี น
ภาพตอนประสตู เิ จา้ ชายสทิ ธตั ถะแทรกปนอยใู่ นหอ้ งภาพเดยี วกบั เรอื่ งวทิ รู
บณั ฑิต เปน็ ต้น๙๓ ถงึ แมว้ า่ ภาพเขยี นวดั บวกครกหลวงจะเป็นจติ รกรรมท่ี
มิใช่งานคลาสสิค แต่คุณค่าของจิตรกรรมในวิหารแห่งนี้ มีการแสดงออก
ถึงความเป็นตวั ของตัวเอง มไิ ดล้ อกแบบหรือเอาอย่างมาจากใคร แม้เป็น
เร่ืองราวในพุทธศาสนาเถรวาทเช่นเดียวกับงานจิตรกรรมท่ีปรากฏในภาค
กลาง แต่เราก็เห็นวา่ ทา่ ครูที่เคยเหน็ อยา่ งจำ�เจไม่ปรากฏในภาพเขยี นแหง่
น้ี แสดงวา่ เปน็ งานจติ รกรรมอนั บรสิ ทุ ธ์ิ ทสี่ รา้ งสรรคม์ าจากจนิ ตนาการอนั
แทจ้ ริงของชาวล้านนา๙๔

146

แนวคดิ คตจิ กั รวาลวิทยาพทุ ธศาสนาในงานจิตรกรรมล้านนา

จติ รกรรมฝาผนงั ภายในวหิ ารวดั บวกครกหลวงมรี ปู แบบเปน็ จติ รกรรมสฝี นุ่
งานฝีมอื ชา่ งไทยใหญ่ ท่มี คี ณุ ค่าและลักษณะพิเศษน่าสนใจหลายประการ
อาทิ การจัดองค์ประกอบ การใช้สี และวิธีการระบายสีภาพเขียนภายใน
วิหารวัดบวกครกหลวง อยู่ระหว่างช่องลม (ด้านบนติดหลังคา) กึ่งกลาง
ผนังมีหน้าต่าง (สันนิษฐานว่าเจาะภายหลัง) ช่างเขียนลายเป็น
กรอบรปู เรยี งชดิ ตดิ ตอ่ กนั ตลอดทง้ั ผนงั สว่ นการเขยี นรปู ทรงสถาปตั ยกรรม
และการเขยี นเครอื่ งทรงของกษตั รยิ ท์ เ่ี ปน็ รายละเอยี ดในภาพ ไดร้ บั อทิ ธพิ ล
จากศลิ ปะพมา่ อยา่ งชดั เจน และใชเ้ สน้ สนิ เทาเปน็ เสน้ โคง้ แตกตา่ งจากภาค
กลางท่ีนิยมใช้เส้นหยักฟันปลา และใช้สีดำ�เป็นสีพื้นด้านหลังรูปทรง
สถาปัตยกรรมที่มีลักษณะแตกต่างไม่เหมือนกับจิตรกรรมท่ีอื่นๆ การจัด
องค์ประกอบมีมุมมองท่ีแสดงมิติของรูปทรงได้อย่างน่าสนใจ โครงสีส่วน
รวมในภาพเป็นสสี ดใสตัดกนั อย่างชดั เจน ได้แก่ สีส้มแดงกับสีคราม การ
ระบายโดยใช้รอยฝีแปรงอย่างอิสระ กล้าหาญ มีพลัง นับเป็นจิตรกรรม
ล้านนาทีม่ คี วามงามโดดเด่นเปน็ อย่างย่ิง

ภาพท่ี ๙๐
จิตรกรรมฝาผนงั
ตอน เนมริ าชชาดก
วดั บวกครกหลวง

อ�ำ เภอเมือง
จังหวดั เชียงใหม่

147

คติจกั รวาลวิทยาพุทธศาสนาในจิตรกรรมลา้ นนา

ภาพที่ ๙๑
จิตรกรรมฝาผนงั
ตอน เนมิราชชาดก
วดั บวกครกหลวง
อำ�เภอเมอื ง
จังหวัดเชยี งใหม่

ภาพท่ี ๙๒
จิตรกรรมฝาผนัง
ตอน เนมริ าชชาดก
วดั บวกครกหลวง
อ�ำ เภอเมือง
จังหวดั เชยี งใหม่

148


Click to View FlipBook Version