41
ของตนเองและคนอื่น การพัฒนาด๎านสุนทรียภาพ: นักเรียนมีสํวนรํวมอยํางจริงจังในกิจกรรม
ทางวฒั นธรรมและศิลปะภายใน และระหวํางสถานศึกษา มคี วามรบั ผิดชอบในการสร๎างสรรค๑
ศิลปะ ดนตรี การละคร และเตน๎ รา (สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแหํงชาต,ิ โรงเรียนรางวลั
เปน็ เลิศของครูและโรงเรยี นประเทศฮํองกง)
สรปุ ได๎วํา รางวลั ความเป็นเลศิ ของประเทศฮํองกง มีเกณฑก๑ ารใหร๎ างวลั แบํงตามหลัก
หรืองานของการศกึ ษา ประกอบดว๎ ย ด๎านการจัดการและการจดั องคก๑ าร ดา๎ นการเรยี นการสอน
ด๎านการสนับสนุนจุดมุํงหมายของนักเรยี นและสถานศกึ ษา และด๎านผลสัมฤทธ์ิและระดบั การพัฒนา
ของนกั เรียน
แนวคิดความเปน็ เลิศของปีเตอร์และวอเตอร์แมน
ประเทศสหรัฐอเมริกามกี ารศึกษาวิจัยเกย่ี วกบั การค๎นพบความเปน็ เลิศ (In search of
excellence) ซึ่งเป็นผลงานการค๎นคว๎าวิจัยการบริหารงานของบริษัทอเมริกันที่ประสบผลสาเร็จ
ในการดาเนินงานอยํางสูงของโธมัส เจ ปีเตอร๑ กบั โรเบิรต๑ เอช วอเตอร๑แมน จูเนยี ร๑ (Thomas J. Peters
and Robert H. Waterman, Jr) ท่ีเปดิ เผยให๎เห็นถงึ คณุ ลักษณะแหงํ ความเปน็ เลิศในเชิงวชิ าการบริหาร
โดยเมื่อตน๎ ปี ค.ศ. 1977 บริษัท แมคคินซี (McKinsey) ซ่งึ เป็นท่ปี รกึ ษาธุรกิจของประเทศสหรัฐอเมริกา
มีความในใจเกี่ยวกับปัญหาวําทาอยํางไร จึงจะให๎การบริหารงานให๎เกิดประสิทธิภาพอยํางสูงสุด
บรรลุเป้าหมายท่ีกาหนดไว๎ ค๎นหาวํากิจการธุรกจิ ตาํ ง ๆ มกี ลยุทธ๑อยํางไร ควรจะจัดโครงสร๎างองคก๑ าร
แบบไหน แบบรวมอานาจ กระจายอานาจ หรือแบบผสมจึงจะทาให๎การดาเนินงานสาเร็จ ดังนั้น บรษิ ัท
จงึ ตั้งกลํุมทางาน 2 กลุมํ เพื่อศกึ ษาความสัมพนั ธ๑ระหวาํ งตัวแปร 2 ตวั คอื กลยุทธ๑กบั รปู แบบของ
โครงสร๎างองคก๑ ารและการดาเนินงานท่ีประสบผลสาเรจ็ ของธุรกิจ โดยกลุมํ หนึ่งไปศกึ ษาเร่ืองกลยทุ ธ๑
อีกกลุมํ หนงึ่ ศึกษาเรอ่ื งโครงสรา๎ งองค๑การ กลมุํ ทางานเริม่ ต๎นค๎นควา๎ โดยไปพบปะพดู คุยกับผูบ๎ ริหาร
ท่ีมีช่ือเสยี งและเป็นท่ีรูจ๎ กั กันดวี าํ มีประสบการณใ๑ นการทางานสูงมากของกิจกรรมธุรกิจท่ัวโลก จากนั้น
ไปปรึกษากับนักทฤษฎนี ักวชิ าการของสถาบันการศกึ ษาชั้นสูง ผลการศึกษาเบ้ืองต๎น พบวํา ทั้งผูบ๎ ริหาร
กจิ การตําง ๆ และนักวิชาการมคี วามเหน็ วาํ รูปแบบโครงสร๎างองคก๑ ารตําง ๆ ท่ีมอี ยํใู ชก๎ ารแกป๎ ญั หา
ไมไํ ด๎ผล และไมํเพียงแตํไมํแกป๎ ัญหาแตยํ ังไดท๎ าให๎เกิดปัญหาตําง ๆ ยุงํ ยากซบั ซ๎อนมากข้ึน กลมุํ ทางาน
ได๎สรปุ ผลการศึกษาวาํ แนวคิดการแก๎ปัญหาแบบดงั้ เดิมของกิจการธุรกจิ ตําง ๆ ท่ีมักจะให๎ความสนใจ
เฉพาะเร่ืองกลยุทธ๑กับรูปแบบโครงสร๎างองค๑การ การท่ีจะมํุงศึกษาเฉพาะเร่ืองกลยุทธก๑ ับรูปแบบ
โครงสรา๎ งองค๑การเป็นเพยี งองค๑ประกอบเล็ก ๆ องค๑ประกอบหนงึ่ ทมี่ ผี ลตํอความสาเรจ็ ของกจิ การ
ดังน้ัน ตํอมาบริษัท แมคคินซี จึงเปลีย่ นแนวการศึกษาคน๎ คว๎าจากเดิม ขยายขอบเขตให๎กว๎างขวาง
ย่ิงขนึ้ ใช๎เวลา 2 ปี เพื่อการน้ีผลการศึกษาค๎นคว๎าการวิจยั ชีใ้ ห๎เห็นความสาเร็จในการดาเนินการตําง ๆ
หรือการบริหารงานที่มํุงผลสัมฤทธ์ิจะขึ้นอยูกํ บั ตัวแปรซึง่ มคี วามสมั พันธ๑เกยี่ วเน่ืองกันหมดอยํางน๎อย
42
7 ประการ คอื 1) โครงสรา๎ ง (Structure) 2) กลยทุ ธ๑ (Strategic) 3) บุคลากร (Straff) 4) รูปแบบ
(Style) 5) ระบบและวธิ ีการ (Systems) 6) คุณคํารวม (Shared Values) และ 7) ทกั ษะ (Skills)
รายละเอยี ดแสดงดังภาพท่ี 5
กลยุทธ๑ โครงสรา๎ ง ระบบ
(Strategy) (Structure) (Systems)
ทักษะ คุณคาํ รํวม รูปแบบ
(Skills) (Shared values) (Styles)
บคุ ลากร
(Staff)
ภาพที่ 5 ความสัมพันธ๑ขององคป๑ ระกอบตามแนวคดิ ของแมคคนิ ซี (Peter & Waterman, 1982)
รูปแบบการบริหารความเป็นเลิศของแมคคินซี (Mckincy 7-s Framework)
มีรายละเอียดดังตอํ ไปน้ี
1. โครงสร๎าง (Structure)
ผลการวิจยั ของปีเตอรแ๑ ละวอร๑เตอรแ๑ มน (Peters and Waterman) ได๎เสนอกลยทุ ธ๑
ในการปรับโครงสร๎างของโรงเรยี นเพ่ือความเปน็ เลศิ ดงั ตํอไปน้ี
1.1 ควรปรบั เปลย่ี นโครงสร๎างท่ีใช๎ในปัจจุบนั ถา๎ ทาให๎เกิดการปฏบิ ัตงิ านท่ีลาํ ช๎า
1.2 จานวนบุคลากรควรมีอยํางเพยี งพอ สาหรบั งานท่ีตอ๎ งการความคลอํ งตัว
1.3 ควรปรบั เปลี่ยนผ๎บู ริหารระดับกลาง ถา๎ ทาให๎การทางานลําช๎า โดยเฉพาะหวั หนา๎
รายงานทั้งหมดเพอ่ื ให๎สายการบงั คบั บญั ชาสั้นลง
1.4 ควรถํายโอนบคุ ลากรทมี่ ีอยหูํ นึง่ ในสามใหไ๎ ปทางานหลกั ของโรงเรียน
คอื การจัดการเรียนการสอน ดา๎ นการบริการ การประชาสัมพันธก๑ บั ผ๎ปู กครองและนักเรยี น
1.5 ภายในส่ีปคี วรลดผ๎บู ริหารระดับสงู ใหเ๎ หลอื ไมํเกนิ สิบคน
43
1.6 ควรยกเลกิ รูปแบบโครงสรา๎ งการแบํงสายงานตามหน๎าท่ีออกไป แตปํ รบั เปลีย่ น
ตามกระบวนการทางานอยํางครบวงจร ตามภารกิจหนา๎ ที่หลกั ของโรงเรยี น คอื ดา๎ นวิชาการ
ดา๎ นงบประมาณ ด๎านบคุ ลากร ด๎านบรหิ ารท่วั ไป
1.7 ควรเนน๎ ความเข๎มแข็งของการวางแผนงาน และการพัฒนาบคุ ลากร งานผลิตสื่อ
การเรียนการสอน
1.8 การพัฒนาประสิทธิภาพการเรียนการสอนเพ่ือใหค๎ รพู ัฒนาศกั ยภาพในการสอน
ในการพัฒนาตนเอง และการปลกู ฝังคณุ ธรรมแกํนกั เรียน ในการบรหิ ารจัดการโรงเรยี นจะต๎องมี
การแบงํ งานออกเป็นสํวน ๆ จะจัดงานคนใหเ๎ หมาะสมกับงานในแตลํ ะดา๎ นทาให๎เกดิ โครงสรา๎ งของ
โรงเรยี นข้ึน โดยความรับผิดชอบของผ๎ูอานวยการโรงเรียน ท้งั นีเ้ พ่อื ให๎การปฏบิ ตั ิงานเปน็ ไป
อยํางมปี ระสิทธภิ าพ เพราะวํา โครงสร๎างของโรงเรยี นมีประโยชน๑สาคัญ 2 ประการ คือ
1.8.1 เพือ่ ใหเ๎ ห็นกจิ กรรมตาํ ง ๆ ของโรงเรียนไดอ๎ ยาํ งชัดเจนและนาไปปฏิบัติได๎
อยาํ งถกู ตอ๎ งและเหมาะสม เชํน การปรับปรงุ โรงเรยี น การอบรม
1.8.2 เพื่อชวํ ยให๎มองเหน็ ความสาคญั ขององค๑การ จึงมีการจดั ระบบงานสายงาน
บังคับบญั ชา การวางแผนงาน ตลอดจนการแกไ๎ ขปญั หา อุปสรรค และข๎อบกพรํองในการบรหิ าร
จัดการภายในโรงเรียน
2. กลยุทธ๑ (Strategic)
การดาเนินกิจกรรมตาํ ง ๆ ให๎ประสบความสาเร็จผ๎ูบริหารโรงเรยี นจะต๎องพยายามหาวธิ กี าร
ทุกรปู แบบเพอื่ ให๎ผู๎ปกครองและผู๎มารบั บริการเกิดความนิยมชมชอบ เชนํ การให๎ความสาคญั และ
การเอาใจใสนํ ักเรยี น ดูแลผป๎ู กครองและผูม๎ ารบั บรกิ ารอยํางใกลช๎ ิด ปีเตอรแ๑ ละวอเตอร๑แมน (Peters
and Waterman) ได๎เสนอกลยทุ ธ๑ในการปรบั โครงสรา๎ งของโรงเรยี นเพื่อความเป็นเลิศ ดังตอํ ไปน้ี
2.1 ดา๎ นการบริการ (Service) ด๎านคุณภาพ (Quality) และด๎านความเชื่อถอื (Reliability)
โดยยึดความเป็นเลศิ ในการให๎การบรกิ ารเป็นเปา้ หมายหลกั ในการดาเนินกิจกรรมสร๎างความประทับใจ
และความสมั พนั ธ๑ทีด่ ี ไมปํ ลอํ ยหน๎าทใ่ี หบ๎ คุ ลากรดาเนนิ การเองทงั้ หมด ผ๎บู ริหารโรงเรยี นตอ๎ งมสี วํ นรวํ ม
โดยตรงในการใหบ๎ รกิ ารอยาํ งจริงจงั โดยมงุํ เน๎นดา๎ นคุณภาพการพัฒนาและปรับปรงุ เพื่อให๎ผู๎มารบั
บริการเกิดความศรทั ธาและความเชอ่ื มน่ั ตอํ คณุ ภาพการให๎บรกิ ารของโรงเรียน มีผลให๎บุคลากรเกิด
ความเข๎าใจ เช่ือมั่น และมีความมงํุ ม่นั ในการปฏิบัตงิ านให๎ดขี ้นึ
2.2 ดา๎ นการมองหาชํองทาง (Richermanship) ผ๎ูบริหารโรงเรยี นจะต๎องแสวงหาชํองทาง
ที่มีอยูํในปัจจุบันและที่เกิดขน้ึ ในอนาคตตลอดเวลาเพ่ือให๎สามารถดาเนินงานได๎กํอนคํูแขํงขัน
ในบางครั้งต๎องเสยี คาํ ใชจ๎ าํ ยเพิ่มขึน้ เพ่ือใหผ๎ ๎ูรับบรกิ ารสามารถแยกแยะได๎ และไมํมองขา๎ มการชวํ ย
แกป๎ ัญหาให๎แกํผม๎ู ารับบริการ
44
2.3 การรับฟงั ความคิดเห็นของผู๎บริหาร (Listening to the users) โรงเรยี นจะได๎รับ
ประโยชน๑จากการรับฟังความคิดเห็นของผูม๎ ารบั บรกิ ารไดเ๎ สมอ เพราะการใช๎บริการของโรงเรียน
ที่ประสบความสาเรจ็ สํวนใหญไํ ด๎มาจากความคิดเห็นของผบ๎ู รกิ าร โดยจะใหผ๎ ๎บู ริการมีโอกาสแสดง
ความคิดเห็น หรอื ขอ๎ รอ๎ งเรยี นเกย่ี วกบั การใหบ๎ รกิ ารของหนํวยงาน มีการตอบสนองตอํ ความคดิ เห็นน้ัน
พรอ๎ มสรุปประเด็นตาํ ง ๆ เสนอตํอฝ่ายบริหารโรงเรยี นเพ่ือนาไปปรบั ปรงุ และพฒั นางานตอํ ไป
ใหด๎ ยี งิ่ ขึ้น
3. บคุ ลากร (Staff)
ปเี ตอร๑ และวอเตอร๑แมน (Peters and Waterman) ไดศ๎ ึกษาการวิจัยเก่ยี วกับคนและบคุ ลากร
ทตี่ ๎องการพัฒนาความเป็นเลิศ สรุปไดด๎ งั น้ี
3.1 การใชภ๎ าษา มกี ารใชค๎ าหรือประโยคท่ีแสดงให๎เหน็ ถึงการยกระดับฐานะของครู
และบคุ ลากรทางการศกึ ษา แสดงให๎เหน็ ถึงความสาคัญและการให๎เกียรติแกํครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษา
3.2 มีความรู๎สึกแบบครอบครัวเกย่ี วกับโรงเรยี นใหญํ ๆ เปรียบเสมือนครอบครัวใหญํ ๆ
จึงควรมีการดาเนนิ การเพือ่ ให๎บุคลากรในหนวํ ยงานไดม๎ ีโอกาสพบปะสังสรรคก๑ นั ในยามวาํ ง จะทา
ใหเ๎ กดิ ความร๎สู ึกวาํ ตํางก็เป็นสมาชิกในครอบครัวเดยี วกัน
3.3 สายการบังคับบัญชา ต๎องใหค๎ วามสาคัญในการปฏิบัตติ ามสายงานการบังคบั บัญชา
สาหรบั การตัดสนิ ใจในเร่ืองสาคญั เทาํ นั้น สวํ นดา๎ นอื่น ๆ ให๎บคุ ลากรติดตํอส่ือสารกันเองแบบไมํมี
พธิ รี ีตองทาให๎เกดิ ความสะดวกคลํองตวั ขึน้
3.4 ความเรา๎ ใจ โรงเรียนต๎องสร๎างความเร๎าใจใหบ๎ คุ ลากรตลอดเวลาเพ่อื ท่จี ะกระตน๎ุ
ให๎บุคลากรเกิดความกระฉับกระเฉง และมคี วามกระตือรือร๎นในการทางานมากขึ้น เชํน มกี ารทา
กจิ กรรมรํวมกัน เพอ่ื ให๎เกิดความสามคั คีความสนุกสนานไมเํ ครงํ เครียดกับการทางาน
3.5 การฝึกอบรมและการพัฒนา หนํวยงานควรมีการคดั เลือกและกลัน่ กรองเพ่อื รบั
บคุ ลากรใหมํเข๎ามาทางานอยํางเข๎มงวด ท้ังน้ีเพื่อให๎เกิดความม่ันใจในตัวบุคลากรวําเมื่อรับเขา๎ มา
ทางานแลว๎ มคี วามสามารถในการทางาน และสามารถปรับตวั เขา๎ กับสง่ิ แวดล๎อมไดด๎ ี
3.6 การใหบ๎ คุ ลากรมสี ํวนได๎รบั ทราบข๎อมลู ตําง ๆ การแจ๎งบคุ ลากรของหนํวยงานได๎
ทราบเป้าหมายของการปฏิบตั ิงานอยาํ งชดั เจน และเปดิ เผยผลการปฏบิ ัติงานใหบ๎ คุ ลากรทราบอยาํ งท่วั ถึง
เพอ่ื ใหแ๎ ตลํ ะคนสามารถนาผลการปฏบิ ตั ิงานไปเปรียบเทียบกบั คนอนื่ ๆ และเป้าหมายที่วางไว๎ ทาให๎
บุคลากรเกดิ ความพยายามปฏิบตั ิงานใหด๎ ขี ้นึ และเป็นการแสดงให๎เห็นถงึ ความไว๎วางใจท่ีหนวํ ยงาน
มตี อํ บุคลากร
3.7 มาตรการดา๎ นบวก การนามาตรการด๎านบวกมาใช๎กบั บุคลากรอยาํ งจริงจงั เป็นสิ่งท่ี
ใช๎ไดผ๎ ลมาก เชํน การใหค๎ ะแนนประจาสัปดาห๑ หรือประจาเดอื นแกํบุคลากรทมี่ ีความสามารถ
45
ระดับธรรมดา ซง่ึ เป็นบคุ ลากรสวํ นใหญํของหนวํ ยงาน แม๎รางวัลทีใ่ หม๎ มี ลู คําไมมํ ากนัก แตํการมอบ
รางวลั ให๎แกํบคุ ลากรอยํางทั่วถึงจะทาให๎คนสํวนใหญํต่ืนตัว และมีกาลังใจที่จะบากบ่ันในการยกระดับ
ตนเองให๎สงู ขึ้น ดกี วําให๎รางวัลเฉพาะผ๎มู คี วามสามารถดีเดนํ เพยี งไมํกี่คน
3.8 โครงสร๎างท่มี สี ายการบังคับบญั ชามนี ๎อย จะเป็นประโยชนใ๑ นการถาํ ยโอนบุคลากร
ระหวาํ งหนํวยงานเกิดความคลํองตัวและสะดวกรวดเร็ว การลดสายบงั คบั บัญชาให๎น๎อยลงเพ่ือให๎
สามารถแก๎ปญั หาตาํ ง ๆ ทเ่ี กิดข้นึ ไดอ๎ ยํางทันที
3.9 ขนาดหนํวยงานเลก็ แตมํ ีคณุ ภาพ หนํวยงานเล็กกะทดั รดั ทาใหเ๎ กิดความคลอํ งตวั
และสามารถบรหิ ารงานได๎ดี รวมทง้ั การเปิดโอกาสใหบ๎ คุ ลากรแสดงความสามารถในการทางานได๎
อยาํ งเตม็ ทที่ าใหง๎ านเกิดประสทิ ธิภาพอยํางแท๎จริง เป็นเคร่ืองจูงใจให๎บุคลากรมีความกระตอื รอื รน๎
ในการปฏิบตั งิ าน
3.10 ปรชั ญา หนวํ ยงานทด่ี ีเดํนใหค๎ วามไวว๎ างใจแกบํ คุ ลากรเพราะถือวาํ บุคลากรของ
หนวํ ยงานเป็นผม๎ู จี ิตใจสูง โดยการนาปรชั ญาตําง ๆ เชํน เปิดโอกาสให๎บุคลากรแสดงความสามารถ
เปดิ โอกาสให๎พนกั งานทางานใหป๎ ระสบความสาเร็จและนามาใช๎ในการปฏบิ ตั ิงานอยํางจริงจงั เพ่ือ
ทาใหผ๎ ลผลติ และความสาเร็จของหนํวยงานเกดิ จากความรํวมมอื ของบุคลากรทกุ ฝ่ายอยาํ งแทจ๎ รงิ
การปฏิบตั ิงานในโรงเรียนต๎องยอมรบั วาํ ครูและบุคลากรทางการศึกษาเปน็ ทรัพยากรท่สี าคญั ทีส่ ดุ
ในโรงเรียน ผ๎ูบริหารโรงเรียนต๎องให๎ความสาคัญกับครูและบุคลากรโดยการนาระบบและวิธกี ารตําง ๆ
มาใช๎เพือ่ แรงจูงใจครแู ละบุคลากรให๎มีความรักในโรงเรยี น มีความจริงใจแกผํ ใู๎ ตบ๎ ังคบั บญั ชา
ใหค๎ วามสนใจ เอาใจใสํ ดแู ลและใหก๎ ารสนับสนนุ ด๎านตําง ๆ
4. รูปแบบการบริหารจดั การ
คุณสมบตั ิของการบริหารสํูความเปน็ เลศิ ด๎านรูปแบบการบริหารตามแนวคิดของ Peters
and Waterman(1982, p. 10) กลําววํา ในการบริหาร ผ๎บู ริหารควรสัมผสั กับปฏบิ ัตงิ านจรงิ ๆ ไมใํ ชํ
นั่งอยํกู บั สานกั งานเทํานั้น มีรปู แบบ ดงั นี้
4.1 ผูบ๎ ริหารควรใช๎นโยบายเปิดกว๎างอยเูํ สมอ จะทาใหท๎ ราบขอ๎ เทจ็ จรงิ ของปญั หา
และสามารถแกไ๎ ขปัญหาได๎ทันเหตกุ ารณ๑
4.2 ผูบ๎ รหิ ารสูคํ วามเป็นเลศิ ไมํควรน่งั แตใํ นสานักงานแตํควรเดินตรวจงานรอบ ๆ
โรงเรยี นทาให๎เหน็ การปฏบิ ตั ิงานท่เี กดิ ขึน้ จรงิ และมีโอกาสแลกเปลีย่ นความคดิ เห็นในการทางาน
กับบคุ ลากรอยํางไมเํ ป็นทางการจะทาให๎บุคลากรมีความพยายามในการทางานมากขึน้
4.3 จดั หาเครื่องอานวยความสะดวกใหแ๎ กํบคุ ลากร สนบั สนุนใหบ๎ ุคลากรรวมตัวกัน
เปน็ กลุํม ชมรม เพ่ือชวํ ยกันคิดแกไ๎ ขปญั หาตาํ ง ๆ ของการปฏิบัตงิ านนอกเหนือจากในเวลางานปกติ
46
4.4 ด๎านเทคนิคการประเมินผล ในทางสร๎างสรรค๑อยํางไมํเป็นทางการเพ่ือให๎พนักงาน
เกิดความรู๎สกึ ท่ดี ี และใช๎ความพยายามในการปฏบิ ัติงานให๎มากข้นึ รวมท้ังเปน็ การเปิดโอกาสให๎
บุคลากรได๎แลกเปลีย่ นขําวสารอยาํ งไมํเป็นทางการอยูํเสมอ จงึ กํอให๎เกิดประโยชนใ๑ นการปฏิบัตงิ าน
อยํางจริงจงั
5. ระบบและวิธีการ
ในโลกปัจจบุ ันผูบ๎ ริหารโรงเรียนจะต๎องบริหารจัดการใหท๎ ันกบั โลกของการเปลีย่ นแปลง
ท่ีดาเนินอยูํอยํางหลีกเล่ียงไมไํ ด๎ เพื่อให๎หนํวยงานอยํูได๎และมีความเจริญก๎าวหน๎าไปพร๎อมกับ
การเปลย่ี นแปลง โดยท่ัวไปการเปลีย่ นแปลงยอํ มมีผลกระทบตํอชีวติ ประจาวนั ดังน้นั ผบู๎ ริหารโรงเรยี น
ที่มีประสทิ ธภิ าพต๎องมคี วามสามารถในการหากลยทุ ธใ๑ นการวางแผน การอานวยการและการควบคุม
การเปลีย่ นแปลงนัน้ ๆ โดยมํุงเนน๎ การปฏิบัตงิ านอยํางจรงิ จังตลอดเวลา ดงั น้ี
5.1 จัดองคก๑ ารให๎คลอํ งตัว (Organization fluidity) หนํวยงานที่ดีเดํนทป่ี ระสบความสาเร็จ
ต๎องจัดองค๑การให๎เกิดความคลอํ งตัวและปฏบิ ตั ิงานไดส๎ ะดวกรวดเร็ว คือ
5.1.1 ระบบการส่ือสารแบบไมเํ ป็นทางการ คือ สงํ เสริมให๎บุคลากรมกี ารติดตํอ
พบปะพดู คุยเพ่ือปรกึ ษางานกันเองแบบไมํเป็นทางการอยํางสม่าเสมอ บคุ ลากรควรมีความใกลช๎ ิดกนั
ทาให๎การปฏิบัติงานมปี ระสิทธภิ าพมากข้ึน
5.1.2 แบบระบบเฉพาะกจิ คือ การจัดตัง้ กลุมํ ทางานข้ึนมาโดยเฉพาะโอกาส
และเวลาตามความเหมาะสมเม่ือประสบความสาเร็จก็สลายไป
5.2 การทดลองปฏิบตั ิ (Experimenting) หนวํ ยงานดีเลศิ มีความเต็มท่ีจะแกป๎ ัญหาตาํ ง ๆ
ทมี่ ีความสลบั ซบั ซ๎อน ด๎วยการทดลองปฏิบัติมากกวาํ การวเิ คราะหว๑ ิจัย และวางแผนอยาํ งลกึ ซึ้ง
โดยไมํได๎ทาอะไรจริงจงั และยังได๎สรา๎ งสภาพแวดลอ๎ ม และทศั นคตทิ ีเ่ อ้ืออานวยใหม๎ กี ารทดลอง
ปฏิบัติอยํางจรงิ จงั ขึน้ มาในองคก๑ ารดว๎ ย โดยมวี ิธดี งั น้ี
5.2.1 ใชห๎ ลกั การในการทดลองปฏิบัติ 2 อยําง คือ จานวนและความเร็ว
5.2.1.1 จานวน หมายถงึ ใหท๎ าการทดลองมาก ๆ ครง้ั เพ่ือให๎มโี อกาส
ประสบความสาเรจ็ มากข้ึน
5.2.1.2 ความรวดเร็ว หมายถงึ ใหล๎ งมอื ทาการทดลองปฏิบัตอิ ะไรก็ตาม
อยํางรวดเร็วและใหเ๎ สร็จสนิ้ โดยเรว็ ซ่ึงจะทาให๎ทราบวาํ อะไรควรทาตํอไปหรือไมํ
5.2.2 การทดลองปฏิบัติจรงิ เปน็ การประหยัดคําใช๎จาํ ยและมปี ระโยชนม๑ ากกวํา
การวิจยั การตลาด หรือการวางแผนอยํางสวยหรู
47
5.2.3 มีการเสรมิ สรา๎ งสภาพแวดล๎อมท่กี ระตุน๎ และปลูกฝงั ใหเ๎ กิดการทดลอง
ปฏบิ ตั ขิ ้ึนในหนํวยงาน โดยการเรมิ่ จากจดุ ท่ีมีความพรอ๎ มและงํายตํอการเปล่ยี นแปลงแล๎วจงึ ทาให๎
เกดิ การแทรกซมึ หรือเผยแพรทํ ้ังหนํวยงาน
5.3 การจัดตั้งระบบให๎เรยี บงาํ ย (Simplifying systems) ทาให๎ระบบตาํ ง ๆ ของหนํวยงาน
กะทดั รัด มวี ิธีการ ดังน้ี
5.3.1 จาแนกสงิ่ สาคัญกับสิ่งไมสํ าคญั ออกจากกนั อยํางชัดเจน
5.3.2 ตดิ ตามข๎อมูลทีม่ ีความสาคัญ เพื่อใหไ๎ ดข๎ ๎อมูลท่ีชดั เจนในการบริหาร
และการควบคุมงานอยํางจริงจัง
5.3.3 เปา้ หมายการดาเนนิ การทสี่ าคญั ในแตลํ ะปีควรมไี มํมากนน้ั เพื่อไมใํ ห๎เกดิ
ความสับสนและความตอ๎ งการหวงั ผลในการปฏบิ ัติงานอยํางแทจ๎ ริง
6. คณุ คาํ รํวม (Shared values)
ความเชือ่ มั่นทวี่ ํา คณุ คําของส่งิ ท่เี ป็นนามธรรมบางอยํางเป็นปัจจัยสาคญั ในการดาเนิน
กจิ กรรมทาใหผ๎ ๎ูบรหิ ารหนํวยงานในประเทศสหรัฐอเมริกานาคุณคําของสงิ่ ท่ีเป็นนามธรรมบางอยําง
ทมี่ คี วามเหมาะสมและสอดคลอ๎ งกบั องค๑การมากทส่ี ุดมาเป็นปรชั ญาหรืออุดมการณ๑ในการดาเนินงาน
และใช๎เป็นส่งิ กาหนดทิศทางเพอื่ ให๎การดาเนินงานเป็นไปในทิศทางเดียวกนั และพร๎อมกันปลกู ฝงั
ใหบ๎ คุ ลากรทุกคนมีความเช่ือมน่ั และศรัทธาในสง่ิ ทเี่ ป็นนามธรรมอยาํ งแท๎จริง มีประโยชนต๑ ํอองค๑การ
คือ ดังนี้ (Peters & Waterman, 1982, p. 54)
6.1 สะท๎อนใหบ๎ คุ ลากรภายในและภายนอกองคก๑ รเห็นถึงจดุ ยืนที่มน่ั คงถาวร
และเปน็ เอกลักษณอ๑ นั โดดเดํนขององคก๑ ารอยาํ งชัดเจน
6.2 สามารถใช๎เป็นพื้นฐานหรือแนวทาง เพ่ือทาให๎การดาเนนิ งานดา๎ นตําง ๆ เชํน
การคิดค๎นกลยุทธ๑ การจัดโครงสรา๎ งขององคก๑ าร การกาหนดเป้าหมาย การวางนโยบาย
และการวางแผนเป็นไปทิศทางเดยี วกนั อยํางสอดคล๎องกนั
6.3 บุคลากรจะมีหลกั ยดึ เหนี่ยวท่ีมน่ั คงและไมเํ กดิ ความสับสน แมส๎ ถานการณ๑
จะเปลย่ี นแปลงในรปู ใดและสามารถจะผาํ นไปนานแคไํ หนกต็ าม แตทํ ิศทางการดาเนนิ งาน
จะไมํเปลย่ี นแปลง
6.4 บคุ ลากรจะเกดิ ความซาบซ้ึงและศรัทธา พร๎อมกบั รวํ มแรงรํวมใจชํวยกันผลกั ดนั
ใหง๎ านทุกอยาํ งสาเร็จด๎วยดี เพราะเห็นวําระบบคณุ คําเป็นประโยชน๑ตอํ ตัวเองและองคก๑ รดว๎ ยองคป๑ ระกอบ
ทีส่ าคัญทท่ี าให๎หนวํ ยงานเป็นเลิศ สามารถนาระบบคณุ คาํ มาใชอ๎ ยํางได๎ผลมดี ังตํอไปน้ี องคก๑ รดีเดํน
มีความเช่ือม่ันในระดับสงู เกี่ยวกับระบบคณุ คาํ คือพลังที่แทจ๎ รงิ ในการผลกั ดันองค๑กรให๎เคล่ือนที่
ไปขา๎ งหนา๎ และเปน็ ปจั จัยท่สี าคญั ของความสาเร็จขององค๑การ ผบู๎ ริหารโรงเรยี นมสี ายตากว๎างไกล
48
และมีโอกาสสัมผสั กบั การปฏบิ ัตงิ านของบคุ ลากรอยาํ งใกลช๎ ดิ มีพ้ืนฐานหรอื ภูมิหลังด๎านการปฏบิ ตั งิ าน
มากอํ น ทาให๎สามารถคดิ คน๎ และสรา๎ งสรรค๑ระบบคณุ คําที่ทาให๎บุคลากรเกดิ ความประทับใจ ความศรัทธา
ความตน่ื เต๎นเรา๎ ใจและเกิดความกระตอื รือรน๎ ผูบ๎ ริหารโรงเรียนมกี ารปลูกฝงั ระบบคณุ คําทไ่ี ดส๎ ร๎างสรรค๑
ขน้ึ มาให๎แกํบุคลากรเป็นประจาทุกวันอยํางตํอเนอ่ื งและแสดงให๎บุคลากรเห็นอยํางเช่อื มนั่ ในระบบ
คุณคาํ องค๑การดว๎ ยตัวเอง ระบบการบริหารงานโดยการสัมผสั งานอยาํ งใกล๎ชิด และใชเ๎ วลาให๎แกํบคุ ลากร
ในการปฏิบัติงานมากข้ึน ไมใํ ชนํ งั่ รอรบั งานอยาํ งเดยี ว เผยแพรํระบบมคี ุณคําให๎แกบํ ุคลากรด๎วยการเลาํ
หรือการสมมติ เป็นวธิ ีการท่ีนมุํ นวล และเป็นวิธีการที่ดกี วําใช๎วธิ กี ารเผยแพรํอยํางเปน็ ทางการ
7. ทักษะ (Skills)
แนวความคดิ ของปีเตอร๑ และวอเตอร๑แมน (Peters and Waterman) ได๎กลาํ วถึงลกั ษณะ
ของความเปน็ เลิศเชิงบรหิ ารเกยี่ วกับทกั ษะวาํ ผบู๎ รหิ ารตอ๎ งมีความเขม๎ งวดและผํอนปรนในเวลาเดียวกัน
การทอี่ งค๑การทดี่ เี ดํนประสบความสาเรจ็ ในการใช๎คณุ สมบตั อิ ยาํ งเขม๎ งวดและผํอนปรนในเวลาเดียวกัน
การควบคมุ อยาํ งเขม๎ งวดสามารถทาใหบ๎ คุ ลากรมีความศรัทธาและเช่อื มั่นอยํางลึกซงึ้ ในคุณคําตาํ ง ๆ
ซึง่ เป็นส่งิ ทีม่ องไมํเห็นและใชเ๎ ป็นสง่ิ ผํอนปรนไปให๎ กลับเป็นเครอ่ื งมือควบคมุ สง่ิ ทีผ่ ํอนปรน
ในเวลาเดยี วกันโดยปฏบิ ัติ ดังน้ี
7.1 ใหค๎ วามสนใจดูแลเอาใจใสนํ ักเรียนอยํางจริงจัง แตปํ ลํอยใหบ๎ คุ ลากรมีความอิสระ
ในการทางานอยํางไมํเปน็ ทางการ ซึ่งถา๎ มองโดยทัว่ ไปการทางานเชนํ นี้เปน็ การควบคมุ ทีห่ ละหลวม
แตทํ างหลักการบริหารเป็นการควบคมุ การทางานทเ่ี ขม๎ งวดโดยบุคลากรเอง เพราะการปลกู ฝงั คุณคํา
ส่อื ความแบบไมเํ ป็นทางการ ทาใหบ๎ ุคลากรทุกคนได๎รับข๎อมูลขาํ วสารและทราบวาํ ใครทาอะไร
หรือมีผลงานอยาํ งไรบา๎ ง
7.2 ใหค๎ วามสาคัญกบั คณุ ภาพมากกวําต๎นทนุ ซ่ึงในระยะแรกการผํอนปรนเรื่องต๎นทุน
อาจทาใหต๎ ๎นทุนสูง แตใํ นระยะยาวแล๎วคณุ ภาพเป็นส่ิงท่มี ีประสทิ ธิภาพของต๎นทนุ ที่ดขี ึ้น เพราะเมื่อ
บคุ ลากรทุกคนมคี วามมงุํ ม่ันทจ่ี ะทางานใหม๎ คี ุณภาพก็ยอํ มตอ๎ งทางานด๎วยความระมัดระวงั และเอาใจใสํ
กบั งานทาให๎เกิดความเสยี หายน๎อยลงและไมํตอ๎ งทางานซ้าอีก
7.3 เน๎นในเรื่องการตัง้ กลุํมทางานเฉพาะกิจเพือ่ ให๎ความคลํองตัวยืดหยนุํ และ
มปี ระสิทธิภาพมากกวํา
7.4 ความเข๎มงวดกวดขนั เรื่องระเบยี บขอ๎ บังคบั ตาํ ง ๆ เชํน เร่ืองการใหค๎ วามเอาใจใสํ
ดูแลลูกคา๎ การใหบ๎ ริการ คุณภาพ และการคดิ ค๎นสงิ่ แปลกใหมํซึ่งเปน็ ระเบยี บข๎อบงั คบั ทกี่ ํอใหเ๎ กดิ
ทัศนคติในดา๎ นบวกแกผํ ๎ูปฏิบตั ิ
49
7.5 มกี ารส่ือสารบนพืน้ ฐานความจรงิ อยเํู สมอคุณคาํ รํวมทเ่ี กิดจากพื้นฐานวิชาชพี
เดียวกันและความมํุงม่ันที่จะแก๎ไขปัญหาให๎กับลูกค๎า เป็นสาเหตุให๎องค๑การต๎องมีการคิดค๎น
ส่ิงแปลกใหมํอยํเู สมอเพอ่ื ตอบสนองความต๎องการของลูกคา๎
7.6 มุํงเนน๎ ลกู ค๎า ซง่ึ เปน็ สง่ิ ท่ีอยูนํ อกองคก๑ ารดว๎ ยแรงผลักดันท่ีจะใหล๎ ูกคา๎ ได๎รบั ที่ดี
ทีส่ ุดและให๎ความสาคัญกับบุคลากรซ่ึงเป็นสิง่ ที่อยูภํ ายในองค๑การด๎วยการเข๎มงวดเร่อื งการแขํงขัน
ภายใน การส่ือสารแบบไมํมพี ิธีรตี อง และนโยบายเปิดประตูกว๎างอยูํเสมอ จะทาให๎บุคลากรมกี าลังใจ
ในการรํวมแรงรํวมใจในการทางานเพือ่ ให๎งานสาเร็จอยํางมีคุณภาพสงู
7.7 นอกจากผลตอบแทนทีใ่ หก๎ ับบุคลากรเปน็ ตัวเงินและการทาให๎บุคลากรรส๎ู กึ วาํ
เปน็ ผมู๎ คี วามสาคญั ตอํ องค๑การแล๎ว ยังควรมกี ารเข๎มงวดในการสงํ เสรมิ พนกั งานให๎เปน็ ผมู๎ คี วามคิด
รเิ ร่มิ สรา๎ งสรรคโ๑ ดยให๎แนวทางในการปฏิบัติ ตลอดจนเสริมสรา๎ งให๎บุคลากรรสู๎ กึ วาํ มสี ํวนรวํ มใน
การชํวยเสรมิ สร๎างส่ิงทีม่ คี ุณภาพและมีคุณคําสูงดว๎ ย การท่อี งค๑การใชร๎ ะบบเขม๎ งวดและผอํ นปรน
ในเวลาเดยี วกัน การประเมินผลงานของพนกั งานแบบไมํเปน็ ทางการ การจัดโครงสรา๎ งองค๑การที่
ยืดหยุํน และให๎พนักงานอาสาสมคั รทางานกนั เองทาใหอ๎ งคก๑ ารได๎รับผลตอบแทนอยาํ งมปี ระสทิ ธภิ าพ
จากการทางานของพนักงาน ซึ่งสิง่ ตําง ๆ เหลําน้ีจดั เป็นทักษะทีส่ าคญั ของผบู๎ ริหารทีจ่ ะนาไปใช๎ใน
องคก๑ าร บรษิ ทั แมคคนิ ซีได๎ปรับปรงุ คาจากดั ความของตัวแปรทงั้ 7 นี้ใหมใํ หม๎ ีความถูกตอ๎ งชัดเจน
ยิ่งขึน้ และเรียกตวั แปรเหลาํ นี้วําเปน็ โครงสร๎างพืน้ ฐาน 7-S McKinsey Framework
ความสมั พันธ๑ระหวาํ งโครงสร๎างพนื้ ฐาน McKinsey Framework 7-S กับคณุ ลักษณะของ
ความเป็นเลศิ ในเชิงบริหาร 9 ประการ ซ่ึงโดยนยั กค็ ือ วธิ ีการบริหารตัวแปรท้ังฮาร๑ดแวร๑และซอฟท๑แวร๑
ของบริษทั อเมริกันดีเดนํ ดงั น้ี
ตารางท่ี 3 ความสัมพนั ธร๑ ะหวาํ งโครงสร๎างพื้นฐาน McKinsey Framework 7-S กับคุณลกั ษณะของ
ความเป็นเลิศในเชิงบรหิ าร (Peter & Waterman, 1982)
โครงสร้างพ้นื ฐาน คณุ ลกั ษณะความเป็นเลิศด้านการบริหาร
1. โครงสร๎าง (Structure) 1. รปู แบบเรียบงํายธรรมดา
2. กลยุทธ๑ (Strategy)
3. บุคลากร (Staff) พนักงานอานวยการมีจานวนจากดั
4. รูปแบบการบรหิ ารจดั การ (Style) 2. มีความใกล๎ชดิ กบั ลูกค๎า
5. ระบบและวิธกี าร (Systems) 3. ทาแตํธรุ กจิ ท่มี คี วามเชีย่ วชาญและเก่ยี วเน่ือง
6. คุณคํารํวม (Shared values) 4. มคี วามอิสระในการทางาน และความรส๎ู ึก
เจา๎ ของกิจการ
50
ตารางท่ี 3 (ตํอ)
โครงสรา้ งพน้ื ฐาน คุณลกั ษณะความเป็นเลิศด้านการบริหาร
7. ทักษะ (Skills) 5. เพมิ่ ผลผลติ โดยอาศยั พนักงาน
6. สัมผัสกับงานอยาํ งใกล๎ชิด
7. มุํงเนน๎ การปฏิบัติ
8. ความเชอื่ ม่ันในคณุ คําเป็นแรงผลักดัน
9. เข๎มงวดและผํอนปรนในเวลาเดียวกนั
กลาํ วโดยสรปุ จากท่ีกลําวมาข๎างต๎นเห็นได๎วาํ สถานศึกษาทจ่ี ะพัฒนาคุณภาพให๎เป็นเลิศ
ได๎น้ันควรมีการจัดระบบการบริหารอยํางเปน็ ระบบทุกดา๎ น ประกอบด๎วย ภาวะผ๎ูนา การวางแผน
กลยุทธ๑ การมุงํ เนน๎ ทรพั ยากรบุคคล กระบวนการ และผลลพั ธ๑
การบริหารงานวิชาการ
งานวชิ าการเปน็ ตวั บงํ ชค้ี ุณภาพและความสาเรจ็ ของสถานศึกษา ความสาเรจ็ ของสถานศกึ ษา
โดยพิจารณาจากคุณภาพของผลผลิต คือ ตัวนกั เรยี นผว๎ู ิจยั ขอเสนอแนวคิด ทฤษฎีเกี่ยวกับการบรหิ าร
วิชาการ ดงั น้ี
ความหมายของการบริหารงานวชิ าการ
ได๎มีผใ๎ู หน๎ ิยามเกยี่ วกับความหมายของการบริหารงานวิชาการเพ่ือใชใ๎ นการส่ือความหมาย
ใหเ๎ ปน็ ทเ่ี ข๎าใจตรงกัน ดังนี้
Miller (1965, p. 85) ใหแ๎ นวคิดวําการบริหารงานวิชาการ คือการจัดโปรแกรมการสอน
การปฏบิ ตั ติ ามโปรแกรมการสอน การวดั ผลเพอ่ื ให๎การเรียนการสอนดาเนนิ ไปด๎วยดี
Gordon (1991, p. 71) กลาํ ววํา การบริหารงานวชิ าการ หมายถงึ งานกากบั ตดิ ตาม ซง่ึ สํวนใหญํ
จะเป็นเร่ืองการเรยี นการสอน การทางานวิจัย การนเิ ทศติดตาม ตลอดจนการรักษาความเป็นมืออาชพี
ทางดา๎ นการจัดการเรียนการสอน
Forest and Kinser (2002, p. 1) กลาํ ววํา การบรหิ ารงานวิชาการ เป็นงานท่ีต๎องรบั ผิดชอบ
เก่ียวกับการบรหิ ารและการสํงเสรมิ หลกั สูตรการสอน และการจัดการเรียนรู๎
Fry, Ketteridge and Marshall (2000, p. 68) กลาํ ววาํ การบรหิ ารงานวชิ าการวาํ หมายถึง
การดาเนินกิจกรรมทุกชนิดในสถานศกึ ษาที่เกยี่ วขอ๎ งกบั การพฒั นาปรบั ปรงุ แกไ๎ ขการเรยี นการสอน
ของนกั เรียนให๎ไดผ๎ ลดี มีประสิทธิภาพมากทส่ี ุด ประกอบด๎วยงานหลายอยาํ ง เชนํ หลักสูตรการจัด
51
แผนการเรียน การจัดครูเขา๎ สอน การพัฒนาการเรียนการสอน การพัฒนาครดู า๎ นวิชาการ การนิเทศ
การสอน เป็นตน๎
ปรชี า จันทรมณี (2556, หน๎า 16) สรุปไวว๎ ํา การบรหิ ารงานวิชาการ หมายถึง การบรหิ าร
สถานศึกษาโดยมกี ารจดั กจิ กรรมทุกอยาํ งที่เก่ียวข๎องกบั การปรับปรงุ การเรียนการสอน ให๎ไดผ๎ ลดี
และมปี ระสิทธิภาพใหเ๎ กดิ ประโยชนส๑ งู สุดกับผู๎เรยี น
อภิญญา เจริญกิจ (2556, หน๎า 12) สรุปไว๎วํา การบริหารงานวิชาการ หมายถึง กระบวนการ
บริหารสถานศกึ ษาโดยการจดั กจิ กรรมทุกอยาํ งที่เกี่ยวข๎องกบั วิสยั ทศั น๑ พันธกจิ ปรชั ญา และเปา้ หมาย
ของการศึกษาเพื่อพัฒนาผู๎เรียนกํอให๎เกิดการเรียนรูท๎ ้งั ทางด๎านความสามารถทางวิชาการ ศีลธรรมจรรยา
และความประพฤตขิ องนกั เรียน รวมทง้ั การพัฒนากระบวนการเรยี นการสอนให๎มีประสิทธภิ าพดี
มากย่ิงขน้ึ
พระวิเชียร สีหาบุตร (2557, หน๎า 51) สรปุ วํา การบริหารงานวชิ าการ เป็นกระบวนการ
หรือกิจกรรมการดาเนินงานทุกอยํางท่ีเก่ียวกบั การปรับปรุงการเรียนการสอน ตลอดจนการประเมินผล
ให๎ดีขึน้ เพื่อใหเ๎ ป็นไปตามจุดมงํุ หมายของหลกั สูตร และให๎เกิดประโยชนส๑ ูงสุดกับผูเ๎ รียน
กลาํ วโดยสรปุ การบริหารงานวิชาการ เป็นการดาเนินกิจกรรมทุกประเภทในสถานศึกษา
เพื่อปรบั ปรุงพฒั นาคุณภาพการเรียนการสอนให๎ผ๎เู รียนบรรลจุ ดุ มํุงหมายของการศึกษาทก่ี าหนดไว๎
อยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพ
ความสาคัญของการบรหิ ารงานวิชาการ
งานวิชาการเป็นงานสาคัญที่สดุ เป็นหัวใจของการบริหารโรงเรียน เป็นงานหลกั ที่ผู๎บริหาร
ต๎องให๎ความสาคัญอยาํ งยิง่ เป็นงานทีม่ คี วามสาคัญในการจัดระบบงานให๎รัดกุม และมกี ารดาเนินงาน
อยํางมีประสทิ ธภิ าพ ฉะนนั้ จึงมนี กั การศึกษาได๎ให๎ความสาคัญของงานวชิ าการไว๎ ดงั นี้
Miller (1965, p. 175) ได๎กลาํ วถึงความสาคัญของงานวชิ าการวํา งานวิชาการเป็นหวั ใจ
ของสถานศกึ ษาและทส่ี าคัญมากที่สดุ ได๎แกํ การจัดโปรแกรมการสอนและการปฏิบตั ิตามโปรแกรม
รวมทั้งการวัดผลเพอ่ื ที่จะได๎ติดตามการเรยี นการสอนของครแู ละนักเรยี น โดยเฉพาะอยํางยง่ิ การจัด
บรกิ ารในการสอน
Smith (n.d. อ๎างถงึ ใน ปรียาพร วงศอ๑ นตุ รโรจน,๑ 2553, หน๎า 1) กลําววํา ในการใชเ๎ วลา
ในการบรหิ ารงาน และการใหค๎ วามสาคญั ของงานสถานศึกษา งานในความรับผดิ ชอบของผู๎บริหาร
ผู๎บริหารสถานศึกษาจัดลาดับความสาคัญของภารกิจการบริหารสถานศกึ ษา เรยี งลาดับความสาคัญ ดังน้ี
อันดับ 1 การบริหารงานวิชาการ คดิ เป็นร๎อยละ 40
อันดบั 2 การบริหารงานบุคลากร ไดแ๎ กํ ครู อาจารย๑ และเจา๎ หน๎าท่ี คิดเปน็ รอ๎ ยละ 20
อนั ดับ 3 การบริหารกิจกรรมนักเรยี นนักศึกษา คิดเป็นร๎อยละ 20
52
อันดับ 4 การบริหารการเงิน คดิ เปน็ รอ๎ ยละ 5
อันดับ 5 การบริหารสถานที่ คิดเป็นรอ๎ ยละ 5
อันดับ 6 การบริหารความสัมพนั ธ๑กับชมุ ชน คิดเป็นร๎อยละ 5
อนั ดับ 7 การบริหารทั่วไป คิดเป็นรอ๎ ยละ 5
พรศักด์ิ สจุ ริตรกั ษ๑ (2551, หน๎า 30) กลาํ ววาํ การบรหิ ารงานวชิ าการเป็นภารกิจหลกั ของ
ผ๎บู รหิ ารโรงเรยี นและถือวําเปน็ หวั ใจของการบริหารโรงเรียน ทีโ่ รงเรียนจะต๎องดาเนนิ การให๎บรรลุ
เปา้ หมายของการศกึ ษา น่ันคือ นักเรียนมคี วามรู๎ คูคํ ณุ ธรรม เกํง ดี มสี ขุ มีคุณภาพ และคณุ สมบัตทิ ่ี
พึงประสงค๑ตามทช่ี าตติ ๎องการสามารถดารงชพี อยูํในสงั คมได๎อยํางมคี วามสขุ
ดาราวรรณ สขุ คันธรกั ษ๑ (2556, หน๎า 40) สรปุ ไวว๎ าํ การบรหิ ารงานวชิ าการเปน็ งานที่
สาคญั สาหรับผู๎บริหารสถานศกึ ษาในการปรับปรุงคุณภาพการเรยี นการสอน ซึง่ เป็นจุดมํุงหมายหลัก
ของสถานศึกษา และเปน็ เคร่ืองชี้ความสาเร็จของผ๎ูบรหิ ารท่จี ะสามารถใช๎ในการบริหารงานวชิ าการ
เป็นกลไกหลักในการขบั เคลอื่ นสถานศึกษา เพอื่ พัฒนาและเสริมสรา๎ งคุณภาพของผ๎เู รยี นโดยผําน
ขอบขํายภารกจิ ตามที่กระทรวงศึกษาธิการไดก๎ าหนดขอบขํายภารกจิ การบริหารและการจัดการ
สถานศึกษา ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ วางไว๎
โดยสรุป งานวิชาการเป็นภารกิจหลักของสถานศึกษา มุํงปรบั ปรงุ พัฒนาการเรียนการสอน
ให๎มีประสทิ ธิภาพ เพ่ือใหผ๎ ๎ูเรียนได๎รับประสบการณ๑และเกิดการเรียนร๎ู ซงึ่ คุณภาพของผ๎ูเรยี นสงํ ผล
ตํอคุณภาพของการจดั การศกึ ษา
ขอบขา่ ยการบรหิ ารงานวชิ าการ
ความสาเร็จของสถานศึกษาอยทูํ กี่ ารบริหารงานวิชาการ ซ่งึ งานวิชาการโรงเรยี นมขี อบขําย
ท่ีกวา๎ งขวาง โดยครอบคลมุ ตั้งแตํการวางแผนเกยี่ วกับงานวิชาการ การดาเนินการจัดการเรยี นการสอน
ซง่ึ มนี ักการศกึ ษาและนักวิชาการ ให๎ทัศนะเกีย่ วกับขอบขาํ ยการบริหารงานวิชาการ ดังนี้
Miller (1965, pp. 175-180) กลาํ ววํา งานบริหารงานวิชาการ ประกอบดว๎ ย
1. การจดั โปรแกรมการสอน
2. การปฏบิ ตั ิตามโปรแกรมการสอน
3. การติดตามการเรยี นการสอน
4. การจดั บรกิ ารการสอน
Faber and Sherron (1970, pp. 122-128) ได๎แบงํ งานวิชาการ ดังนี้
1. การกาหนดจดุ มงํุ หมายของหลกั สตู ร
2. การจดั เนือ้ หาของหลกั สูตร
3. การจดั อปุ กรณก๑ ารสอน
53
4. การนเิ ทศการสอน
5. การสํงเสรมิ ครปู ระจาการในด๎านความรู๎
Campbell, Bridges and Nystrand (1977, p. 212) กลาํ ววํา งานดา๎ นวชิ าการน้ันเป็นกจิ กรรม
ท่เี กย่ี วกับการวางแผนการดาเนนิ งานการประเมนิ ผลอนั ประกอบด๎วย
1. การกาหนดจุดมุํงหมายเฉพาะของสถานศึกษา
2. การกาหนดโปรแกรมการเรยี นการสอนใหบ๎ รรลุตามจุดมงุํ หมาย
3. การพฒั นาและนาหลักสตู รของชาติไปใช๎
4. การเลอื กใช๎และเตรยี มอปุ กรณแ๑ ละส่อื การเรยี น
5. การประเมนิ ผลการสอน
Soliman (1997, p. 135) ได๎จัดแบํงภาระงานทางวชิ าการเปน็ 3 ดา๎ น ไดแ๎ กํ
1. งานสอน (Teaching)
2. งานวิจัย (Research)
3. งานบริการวชิ าการแกํสงั คม (Community services)
Kimbrough and Nunnery (1998, pp. 51-58) กลาํ ววํา งานบริหารงานวิชาการ ประกอบด๎วย
1. การกาหนดนโยบายและหลักการให๎ชัดเจน
2. การกาหนดจุดมุํงหมายของการศกึ ษา
3. การจัดระบบการเรียนการสอนใหส๎ อดคลอ๎ งกับเป้าหมาย
4. การจดั องค๑การของการเรียนการสอน
5. การประเมินผล
6. การจดั หาส่งิ สนบั สนุนการเรยี นการสอน
Hoy and Miskel (2001) ขอบขํายงานวชิ าการ ประกอบดว๎ ย
1. การมํุงเน๎นทางดา๎ นวิชาการ
2. มุงํ สัมฤทธผ์ิ ล
3. หลกั สูตรมีคุณภาพ และใหโ๎ อกาสในการเรียนร๎ู
4. การจดั บรรยากาศของโรงเรยี น
5. บรรยากาศในช้นั เรยี น
6. การมีสวํ นรวํ มในการพฒั นาการศกึ ษาของผป๎ู กครอง
7. ศักยภาพในการประเมิน
8. การใชเ๎ วลาในการเรยี นรอ๎ู ยาํ งมีประสิทธิภาพ
9. การมรี ูปแบบการจัดการเรียนการสอน
54
10. มกี ารพัฒนาการจดั การเรียนการสอน
11. มกี ารเรยี นร๎ูอยํางอสิ ระ
12. มกี ารให๎ขอ๎ มลู ยอ๎ นกลบั
Sergiovanni (1991, pp. 267-268) ขอบขาํ ยงานวชิ าการประกอบดว๎ ย
1. การตัง้ ปรัชญาทางการศกึ ษาขนึ้ มาเพื่อปฏิบตั ใิ หบ๎ รรลุวตั ถปุ ระสงคด๑ ังกลาํ ว
2. การจดั ทาโครงการทางการศกึ ษาตาํ ง ๆ
3. การจดั ใหม๎ ีการประเมินผลหลกั สูตร และทักษะการเรียนการสอน
4. การสรา๎ งบรรยากาศภายในสถานศึกษาใหพ๎ ร๎อมทีจ่ ะเปลีย่ นแปลง
5. การจัดหาวสั ดุสาหรบั การเรียนการสอน
Smith (1995, p. 16-A) ได๎จดั แบํงการบริหารงานด๎านวิชาการออกเปน็ 6 ดา๎ น คอื
1. การจัดวัตถปุ ระสงคข๑ องหลักสูตร
2. การจดั เน้ือหาของหลักสูตร
3. การนาหลักสตู รไปใช๎
4. การจัดหาอปุ กรณ๑การสอน
5. การนเิ ทศการสอน
6. การสงํ เสรมิ ครูประจาการ
รุํงชัชดาพร เวหะชาติ (2552, หนา๎ 30) การบริหารงานวชิ าการตามกระบวนการปฏริ ปู
การเรยี นร๎ู ครอบคลุมใน 4 ด๎าน คือ หลักสตู ร กระบวนการจัดการเรยี นการสอน การวดั / ประเมินผล
และการรับเข๎าศึกษาตํอ รวมทั้งการใช๎เทคโนโลยี และการส่ือสารเพ่ือการเรียนรู๎ (ICT) พบวํา
มีการสงํ เสรมิ สนับสนุนการดาเนินงานปฏริ ปู ด๎านการเรยี นร๎ใู นแตํละดา๎ นเป็นอยาํ งมาก หลากหลาย
โครงการ เพื่อใหบ๎ รรลุตามเจตนารมณ๑ของพระราชบัญญัติการศกึ ษาแหงํ ชาติ และแผนการศกึ ษาชาติ ดังน้ี
1. การพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษา
2. การพฒั นากระบวนการเรียนรู๎
3. การวดั ผล ประเมินผลและเทียบโอนผลการเรยี น
4. การวจิ ยั เพื่อพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษา
5. การพัฒนาสอื่ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพือ่ การศึกษา
6. การพฒั นาแหลํงการเรียนร๎ู
7. การนเิ ทศการศึกษา
8. การแนะแนวการศึกษา
9. การพัฒนาระบบการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศึกษา
55
10. การสงํ เสริมความรู๎ทางวิชาการแกชํ ุมชน
11. การประสานความรํวมมือในการพฒั นาวิชาการกับสถานศกึ ษาและองค๑การอนื่
12. การสงํ เสรมิ และสนบั สนนุ งานวิชาการแกบํ คุ คล ครอบครวั องค๑กร หนวํ ยงาน
และสถาบนั อืน่ ทจ่ี ดั การศึกษา
ปรยี าพร วงศ๑อนตุ รโรจน๑ (2553, หน๎า 3-4) ไดใ๎ ห๎ทัศนคติเกีย่ วกับขอบขํายงานวิชาการ
ประกอบด๎วย
1. การวางแผนเกี่ยวกับงานวิชาการ เป็นการวางแผนเกย่ี วกบั การพัฒนาหลักสูตรและ
การนาหลกั สูตรไปใช๎ การจัดการลวํ งหนา๎ เก่ยี วกับการเรียนการสอน มีรายละเอยี ดของงาน ดังนี้
1.1 แผนปฏิบตั ิงานวชิ าการ ได๎แกํ การประชุมเกีย่ วกับหลักสตู ร
1.2 โครงการสอน เป็นการจัดรายละเอยี ดเกย่ี วกบั วิชาท่ีต๎องสอนตามหลักสูตร
1.3 บนั ทึกการสอน เป็นการแสดงรายละเอียดของการกาหนดเนอื้ หาที่จะสอน
ในแตลํ ะคาบเวลาของแตํละวนั หรือสัปดาห๑
2. การจดั ดาเนินงานเก่ียวกบั การเรียนการสอน เพือ่ ใหก๎ ารสอนในสถานศึกษาดาเนนิ ไป
ด๎วยดี และสามารถปฏิบตั ิได๎ จงึ ตอ๎ งมีการจัดการเรยี นการสอน ดังน้ี
2.1 การจดั ตารางสอนเป็นการกาหนดวชิ า เวลา ผส๎ู อน สถานที่ ตลอดจนผู๎เรียน
ในแตลํ ะรายวชิ า
2.2 การจัดชัน้ เรยี น เป็นงานท่ฝี า่ ยวชิ าการตอ๎ งประสานกับฝ่ายอาคารสถานที่
รวมทั้งการจัดสงิ่ อานวยความสะดวกตําง ๆ ในหอ๎ งเรยี น
2.3 การจดั ครเู ขา๎ สอน ต๎องพิจารณาถึงความพร๎อมของสถานศกึ ษา และความพรอ๎ ม
ของบุคลากร
2.4 การปรับปรงุ การเรยี นการสอน เป็นการพัฒนาครูผ๎สู อนใหก๎ า๎ วทันวิทยาการ
เทคโนโลยีใหมํ ๆ เพื่อพัฒนาการเรียนการสอน เพ่อื ใหส๎ อดคลอ๎ งกบั ความต๎องการ ความก๎าวหนา๎
ของสังคม ธุรกจิ อุตสาหกรรม เปน็ ต๎น
3. การจัดการบริหารเกี่ยวกับการเรียนการสอน เป็นการจดั สง่ิ อานวยความสะดวก
และการสงํ เสริมการจดั หลักสูตร และโปรแกรมการศึกษาให๎มปี ระสทิ ธิภาพและคณุ ภาพ ไดแ๎ กํ
3.1 การจัดส่ือการเรียนการสอน เป็นสิ่งทเ่ี อื้อตํอการศกึ ษาของนกั เรยี น เนน๎ เคร่ืองมือ
และกจิ กรรมให๎ครเู ลอื กใชใ๎ นการสอน
3.2 การจดั ห๎องสมุดเป็นที่รวมหนังสือ เอกสาร ส่งิ พมิ พ๑ และวัสดอุ ุปกรณท๑ ี่เปน็ แหลํง
วิทยากร ใหก๎ ิจกรรมให๎ครไู ด๎เลือกใชใ๎ นการสอน
3.3 การนิเทศการสอน เป็นการชวํ ยเหลือแนะแนวครใู ห๎แก๎ไขปัญหาการเรียนการสอน
56
4. การวัดและประเมินผล กระบวนการเพอื่ ใช๎เปน็ เครื่องมือในด๎านการตรวจสอบ
และวเิ คราะหผ๑ ลการเรียน
กมล สดุ ประเสริฐ (2550) ได๎ให๎ขอบขาํ ยงานบริหารวชิ าการวํา ประกอบด๎วย
1. การพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา
2. การพฒั นากระบวนการเรียนร๎ู
3. การวัดผล ประเมนิ ผล และการเทียบโอนผลการเรียน
4. การประกนั คุณภาพภายใน และมาตรฐานการศึกษา
5. การพัฒนาและใชส๎ ื่อและเทคโนโลยีเพือ่ การศึกษา
6. การพฒั นาและสงํ เสริมให๎มแี หลงํ เรยี นร๎ู
7. การวิจัยเพื่อพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา
8. การสงํ เสริมชุมชนใหม๎ ีความเข๎มแขง็ ทางวชิ าการ
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขนั้ พ้ืนฐาน (2550, หน๎า 28-29) กลําววํา ขอบขํายของ
การบริหารงานวชิ าการ ประกอบดว๎ ย
1. การพฒั นาหรือดาเนนิ การเกีย่ วกับการพฒั นาหลกั สตู รท๎องถิ่น
2. การวางแผนงานดา๎ นวิชาการ
3. การจดั การเรียนการสอนในสถานศึกษา
4. การพัฒนาหลกั สตู รของสถานศกึ ษา
5. การพฒั นากระบวนการเรียนรู๎
6. การวัดผลประเมินผล และเทยี บโอนผลการเรยี น
7. การวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศกึ ษาในสถานศกึ ษา
8. การพฒั นาและสงํ เสริมให๎มแี หลํงเรยี นร๎ู
9. การนเิ ทศการศึกษา
10. การแนะแนว
11. การพัฒนาระบบประกนั คุณภาพภายใน และมาตรฐานการศึกษา
12. การสงํ เสริมให๎ชมุ ชนมคี วามเขม๎ แข็งทางวิชาการ
13. การประสานความรวํ มมือในการพัฒนาวชิ าการกบั สถานศึกษาและองค๑กรอื่น
14. การสงํ เสริมและสนบั สนุนงานวิชาการแกบํ ุคคล ครอบครวั องค๑กร หนวํ ยงาน
สถานประกอบการ และสถาบันอนื่ ที่จัดการศกึ ษา
15. การจดั ทาระเบยี บและแนวปฏบิ ตั เิ ก่ยี วกบั งานด๎านวชิ าการของสถานศึกษา
57
16. การคัดเลือกหนงั สอื แบบเรียนเพ่ือใช๎ในสถานศกึ ษา
17. การพฒั นาและใชส๎ ่ือเทคโนโลยเี พื่อการศกึ ษา
แนวคดิ และทฤษฎเี กี่ยวกบั ขอบข่ายการบริหารงานวชิ าการ
การวิจัยในครงั้ นี้ ผ๎วู ิจัยนาเสนอแนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกบั ขอบขํายการบรหิ ารงานวิชาการ
ในสถานศกึ ษาทสี่ าคัญ 9 ด๎าน คือ 1) การวางแผนงานด๎านวิชาการ 2) การพัฒนาหลกั สูตรของสถานศกึ ษา
3) การพฒั นากระบวนการเรียนร๎ู 4) การวัดผลประเมินผล และเทียบโอนผลการเรยี น 5) การพฒั นา
ระบบประกันคุณภาพภายใน และมาตรฐานการศึกษา 6) การพัฒนาและใชส๎ อ่ื เทคโนโลยเี พื่อการศึกษา
7) การพัฒนาและสงํ เสริมให๎มีแหลงํ เรยี นรู๎ 8) การวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา และ 9) การสํงเสริม
ใหช๎ ุมชนมคี วามเข๎มแข็งทางวชิ าการ โดยมรี ายละเอียดดงั น้ี
1. การวางแผนงานด้านวิชาการ
โรงเรียนเปน็ หนวํ ยการบรหิ ารการศกึ ษาสาคญั ทีจ่ ะต๎องปฏิบัติงาน โดยนาการนโยบาย
หลกั สตู รซง่ึ หนวํ ยงานบริหารระดบั ชาตวิ างไวใ๎ หบ๎ รรลุตามเปา้ ประสงค๑ และผู๎ทน่ี าพาองคก๑ ารบริหารงาน
โรงเรยี นให๎เป็นไปได๎ด๎วยดีน้ันขน้ึ อยํูกบั ผ๎ูบรหิ ารโรงเรยี น ซง่ึ เปน็ ผ๎ูทมี่ สี วํ นสาคัญในการออกแบบ
การวางแผนบรหิ ารสถานศึกษา (อตพิ จน๑ สุขนาค และชยั พจน๑ รักงาม, 2556, หน๎า 98)
ความหมายการวางแผนงานดา้ นวิชาการ
ธรี ะพร อายุวัฒน๑ (2552, หน๎า 93) สรุปไวว๎ ํา การวางแผนงานด๎านวชิ าการ หมายถงึ
การดาเนินงานของโรงเรียนเก่ียวกบั การเรียนการสอน โดยเรม่ิ ตง้ั แตกํ ารสารวจสภาพปัจจบุ ัน
ปญั หา การกาหนดวธิ ีการดาเนินงานแก๎ปัญหา การตดิ ตาม และการประเมนิ ผลการดาเนินงาน
พรรณนภา อิงพงษพ๑ ันธ๑ (2554, หน๎า 43) กลําววํา บทบาทและหน๎าทข่ี องสานักงานเขตพ้ืนท่ี
การศึกษา คือ วางแผนดาเนินงานด๎านวชิ าการและการนเิ ทศ ตามความต๎องการจาเป็นของสถานศกึ ษา
เพอื่ พัฒนา สํงเสรมิ สนบั สนุนให๎ครู ผ๎ูบรหิ ารสถานศึกษาให๎มคี วามรูค๎ วามเขา๎ ใจเกีย่ วกบั การวางแผน
งานด๎านวิชาการ ได๎แกํ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนร๎ู การวัดผล
ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรยี น การประกันคณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศึกษา การพัฒนา
และใชส๎ อ่ื และเทคโนโลยเี พื่อการศกึ ษา การพฒั นาและสํงเสริมใหม๎ แี หลงํ เรยี นรู๎ การวิจยั เพ่ือพัฒนา
คุณภาพการศกึ ษา และการสํงเสริมชุมชนใหม๎ ีความเข๎มแขง็ ทางวิชาการ การดาเนินการดังกลาํ วต๎อง
ไดร๎ ับความเห็นชอบจากคณะกรรมการเขตพ้ืนทก่ี ารศกึ ษา บทบาทหนา๎ ท่ขี องสถานศึกษา สถานศึกษา
ประเภทท่ี 1 และ 2 ได๎แกํ การวางแผนงานดา๎ นวิชาการโดยการรวบรวมขอ๎ มลู และกากับ ดูแล นิเทศ
และติดตามเกยี่ วกบั งานวิชาการ ได๎แกํ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การพัฒนากระบวนการเรียนรู๎
การวัดผล ประเมินผล และเทียบโอนผลการเรยี น การประกันคณุ ภาพภายในและมาตรฐานการศกึ ษา
การพฒั นาและใช๎สือ่ และเทคโนโลยีเพือ่ การศกึ ษา การพัฒนาและสํงเสรมิ ให๎มีแหลํงเรยี นร๎ู การวิจยั
58
เพอื่ พัฒนาคุณภาพการศึกษา การสงํ เสริมใหช๎ ุมชนใหม๎ ีความเขม๎ แขง็ ทางวชิ าการ ผู๎บริหารสถานศึกษา
อนุมัติโดยความเหน็ ชอบของคณะกรรมการการศกึ ษาขนั้ พื้นฐาน
โดยสรุป การวางแผนงานวิชาการ เพื่อเปน็ แนวทางในการดาเนินงานของสถานศกึ ษาเกย่ี วกบั
การเรียนการสอน ในการพัฒนาคณุ ภาพการเรียนให๎บรรลุจุดมงุํ หมายของสถานศึกษาโดยผ๎ูบริหาร
สถานศกึ ษาเป็นบุคคลทสี่ าคัญท่สี ุดในการริเริ่มการดาเนินงานกาหนดนโยบาย เป้าหมาย วัตถุประสงค๑
ในการวางแผนงานดา๎ นตาํ ง ๆ ของโรงเรยี นเพือ่ ให๎เกิดผลสมั ฤทธ์ิทีส่ อดคลอ๎ งกบั เป้าหมายทีว่ างไว๎
ความจาเปน็ ของการวางแผนงานวชิ าการ
สถานศกึ ษาจาเปน็ ต๎องมีการวางแผนวิชาการ เนื่องจากองคป๑ ระกอบทส่ี าคญั 2 ประการ
คือ องค๑ประกอบภายนอกสถานศึกษา และองค๑ประกอบภายในสถานศึกษา (ปรียาพร วงศ๑อนุตรโรจน๑,
2553, หน๎า 95)
1. การวางแผนงานวิชาการ และองคป๑ ระกอบภายในสถานศกึ ษา ที่มผี ลกระทบตํองาน
วชิ าการ มีดังน้ี
1.1 การเปลีย่ นแปลงและความก๎าวหน๎าทางวิทยาศาสตรแ๑ ละเทคโนโลยี ทาให๎เกิด
นวัตกรรมและเทคโนโลยีใหมํ ๆ ขนึ้ จาเปน็ ต๎องปรับปรุงเปลยี่ นแปลงใหก๎ า๎ วหนา๎ ทางวิทยาศาสตร๑
และเทคโนโลยี โดยเฉพาะด๎านหลกั สตู รและการสอนเน้ือหาวิชาใหมํ ๆ
1.2 การเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดลอ๎ ม หลักสตู รและการสอนจาเปน็ ตอ๎ งเพิ่มเติม
เกี่ยวกับการรกั ษาสภาพแวดล๎อม ตลอดจนการอนุรกั ษ๑ทรัพยากรธรรมชาติและสง่ิ แวดล๎อม
1.3 การเปลย่ี นแปลงทางดา๎ นการใช๎พลังงาน พลงั งานในโลกลดนอ๎ ยลง แตปํ ระชากร
โลกใช๎พลังงานเพิ่มขึ้นมีผลตํอการดาเนินชีวิต ทาให๎เสียดุลการค๎ามีผลกระทบตํอเศรษฐกิจของ
ประเทศไทย ปัญหาเหลาํ นท้ี าใหส๎ ถานศกึ ษาต๎องมีการเรียนการสอนให๎ผู๎เรยี นได๎รู๎จักการใชพ๎ ลังงาน
ท่ถี ูกตอ๎ ง การประหยัดพลงั งาน การหาทางได๎ใช๎พลงั งานทดแทน
1.4 การเปลี่ยนแปลงจากสงั คมเกษตรสํสู ังคมอุตสาหกรรม และการกา๎ วไปสูสํ งั คม
ขําวสาร ทาใหก๎ ารเปลย่ี นแปลงเก่ยี วกับการดาเนินชีวิตจาเปน็ ต๎องรู๎จักการปรับตวั ใหเ๎ ข๎ากบั สภาพ
สงั คม และการเรยี นรูส๎ ง่ิ ใหมํ ๆ เพ่มิ ข้นึ
2. การวางแผนวิชาการภายในสถานศึกษา
2.1 ความจาเปน็ ต๎องกาหนดจดุ มุงํ หมายและเป้าหมายของสถานศกึ ษา เพ่ือเป็นทศิ ทาง
ในการทางาน
2.2 ความต๎องการประเมินผลงานในการทางานน้นั บคุ คลตอ๎ งทราบผลสาเรจ็ ของงาน
การวางแผนจะเปน็ ตัวกาหนดทงั้ เป้าหมายระยะสัน้ และระยะยาว
2.3 ความตอ๎ งการความรวํ มมอื ในการทางาน
59
ความสาคัญของการวางแผนวชิ าการ
การวางแผนงานวิชาการเปน็ สิ่งสาคญั และมีประโยชน๑ตํอสถานศึกษามาก ชํวยให๎มองเห็น
ปัญหาตําง ๆ และหาวธิ กี ารแกไ๎ ขตง้ั แตํเริ่มต๎น การวางแผนงานวชิ าการมคี วามสาคัญตอํ การปฏิบตั ิงาน
ในสถานศกึ ษา ดังน้ี
1. สถานศกึ ษามจี ะชวํ ยใหใ๎ ชง๎ บประมาณ และทรัพยากรอื่น ๆ ได๎อยาํ งประหยัดและ
เกดิ ประโยชนส๑ งู สุด
2. การวางแผนจะเป็นตัวกาหนดกิจกรรมท่จี ะทาในอนาคตไวล๎ ํวงหนา๎
3. การวางแผนจะทาใหส๎ ถานศกึ ษาสามารถดาเนินงานไปตามจดุ มุํงหมายทว่ี างไว๎ได๎
และชํวยเหลอื กันและกนั ได๎
4. การวางแผนทาให๎สามารถพัฒนาสถานศึกษาไปตามทิศทางท่กี าหนดไว๎
กระบวนการวางแผนงานวิชาการ
การวางแผนเปน็ กระบวนการอยาํ งมขี ้นั ตอนตามแนวคิดของ Joseph and Douglas (1981,
pp. 220-222)
1. การกาหนดเปา้ หมาย (Identify goal) ของการทางานของสถานศึกษา ซึ่งมีผ๎ูอานวยการ
อาจารย๑ใหญํ ครใู หญํ เป็นผบ๎ู ริหารและผชู๎ ํวยบริหารฝา่ ยตําง ๆ รวมทั้งการมคี ณะกรรมการบริหาร
สถานศึกษาเป็นผู๎กาหนดเป้าหมายของการทางาน
2. การค๎นหาโอกาสและพิจารณาถึงปัญหาท่ีเกดิ ขึ้น (Search for opportunity and consider
obstacles) เปน็ การหาแนวทางทจ่ี ะชวํ ยใหแ๎ ผนที่วางไวส๎ ามารถนาไปปฏิบตั ไิ ด๎ นนั่ คือ การมขี ๎อมูล
และข๎อเทจ็ จริงตําง ๆ
3. การแปลโอกาสใหเ๎ ปน็ แนวทางในการปฏบิ ตั ิ (Translate opportunity into available
courses of action) เปน็ การนาเอาแผนทีม่ ีอยํไู ปใช๎อยาํ งมเี หตผุ ล
4. การเลอื กแนวทางทดี่ ีที่สุดและการกาหนดจดุ มงํุ หมาย (Select best course and set
objectives) เปน็ การกาหนดจุดมุํงหมายเฉพาะของงาน แบํงตามภาระหนา๎ ท่แี ละความรับผดิ ชอบ
เพอ่ื ให๎ร๎ูวําจะทางานอะไร
5. การตรวจสอบแบบการทบทวน (Review and revise) เป็นการตรวจสอบ และประเมิน
ผลงานทเ่ี กิดข้นึ จากการปฏิบัติงานตามแผนในการประเมินผลสามารถตรวจสอบได๎ 2 ลักษณะ คือ
5.1 การประเมินผลระหวาํ งการปฏิบตั ิงาน (Formative evaluation) เพอ่ื จะไดป๎ รับปรุง
แผนงานทก่ี าลงั ดาเนินอยูํได๎ดี
5.2 การประเมินผลรวบยอด (Summative evaluation) เป็นการประเมินผลเมื่อเสร็จส้นิ
แผนหรอื โครงการแล๎ว
60
หากผลท่เี กิดขน้ึ จากแผนงานท่วี างไวไ๎ มํเป็นท่ีพอใจ ก็จะต๎องมีการตรวจสอบเพ่ือปรับปรงุ
แกไ๎ ขโดยอาศยั ข๎อผิดพลาดท่ีเกดิ จากกระบวนการเปน็ แนวทาง
หากผ๎บู ริหารมคี วามเช่ือมน่ั ในวชิ าการด๎านการวางแผน และไดท๎ าการศึกษาพรอ๎ มท้งั ทา
ความเข๎าใจในเรื่องของการวางแผนแลว๎ จะสามารถนาวิทยาการทางดา๎ นวางแผนไปใชก๎ บั งานวชิ าการ
ทเ่ี รียกวาํ การวางแผนงานวิชาการในสถานศกึ ษา ซึ่งกาหนดเปน็ 3 ขนั้ ตอน คือ (สนั ติ บุญภริ มย๑, 2552,
หน๎า 70)
1. การกาหนดวัตถุประสงค๑และทศิ ทางของการบริหารงานวิชาการ มี 3 ข้ันตอนยอํ ย คือ
1.1 กาหนดคณุ ลักษณะของโรงเรียน โดยทัว่ ไปการกาหนดคุณลกั ษณะของโรงเรียน
จะปรากฏออกมาในรปู ของปรชั ญา คตพิ จน๑ คาขวญั หรือวิสยั ทศั น๑ (Vision) ของสถานศึกษานน้ั ๆ
ซึ่งอยูํในขอบเขตของจุดมงุํ หมายของการศกึ ษาบนพื้นฐานหลกั 3 ประการ คือ
1.1.1 สงํ เสริมพฒั นาการเรยี นการสอน
1.1.2 มีสวํ นในการควบคุมมาตรฐานเก่ียวกบั การเรยี นการสอนและคุณภาพการศึกษา
1.1.3 ชวํ ยแก๎ปัญหา ซ่งึ มีอยํูสองนยั ดว๎ ยกัน คอื นยั แรกเป็นการชวํ ยในเชงิ บรหิ าร
จดั การ สํวนนยั หลงั เปน็ การชวํ ยเหลอื เกยี่ วกับการเรยี นการสอน
1.2 กาหนดทิศทางของการดาเนินงาน ซ่งึ แนวทางท่ีจะต๎องนามาประกอบการกาหนด
ทศิ ทางของการดาเนินงาน คือ
1.2.1 งานในหนา๎ ท่ี คือ ภารกิจของสถานศกึ ษาท่ีจะต๎องปฏิบัตติ ามบทบาทหนา๎ ที่
งานดา๎ นการเรยี นการสอน ซ่งึ เป็นงานหลกั และสาคญั ที่สดุ ในขณะเดียวกันก็หมายความรวมถึง แผนงาน
โครงการ กจิ กรรมที่มาสนับสนนุ งานหลกั ให๎โดดเดํน บรรลุความสาเร็จตามคณุ ลกั ษณะของสถานศกึ ษา
1.2.2 การเงิน หมายความวาํ เงินท่สี ถานศึกษานามาใช๎จาํ ยในการทางานใหบ๎ รรลุ
ความสาเร็จ
1.2.3 บคุ คล หมายความวํา บุคลากรทมี่ สี ํวนรวํ มในการปฏิบตั งิ าน หรือมอบหมาย
หน๎าที่การงานให๎เพ่อื ปฏบิ ตั ิในโอกาสตํอไป
1.3 กาหนดวธิ กี ารดาเนินงาน คอื การจัดทาแผนงาน โครงการ กจิ กรรมตําง ๆ ท่ีเก่ียวข๎อง
2. การจดั สายงานบริหารงานวชิ าการ การจัดการด๎านน้ที ั่วไปมอี ยูํ 2 แบบ คอื
2.1 การจดั แบบแนวตั้ง (Vertical line) เป็นรปู แบบของการจดั สายงานบริหารวชิ าการ
โดยเรมิ่ ต๎นที่ชั้นตา่ สดุ ไปถงึ ชั้นสูงสุดของสถานศึกษาน้ัน ๆ จาแนกตามกลมํุ สาระการเรียนรู๎
2.2 การจดั แบบแนวนอน (Horizontal line) เป็นรูปแบบของการจัดสายงานบรหิ าร
วิชาการโดยถอื เกณฑข๑ องระดบั ช้ันเรียน คอื หนง่ึ ระดับชั้นเรยี นมีผ๎ูสอนเพยี งคนเดียว หรือเรยี กวํา
การสอนประจาช้ัน ซง่ึ มีอยูใํ นสถานศึกษาระดบั ประถมศึกษา
61
3. การวางแผนปรับปรุงงานวิชาการ มลี าดับขนั้ ตอน ดังน้ี
3.1 ศกึ ษาข๎อมลู เกย่ี วกับการเรยี นการสอน
3.2 กาหนดงานทท่ี าตอํ ไป คือ การกาหนดงานขน้ึ ใหมํเพื่อสงํ เสรมิ งานวชิ าการ ได๎แกํ
3.2.1 งานปรบั ปรุงกระบวนการเรียนการสอน
3.2.2 งานสํงเสริมวชิ าการ
3.2.3 งานบริการเกยี่ วกบั วสั ดคุ รุภณั ฑ๑
3.2.4 งานวัดผลประเมินผล
3.2.5 งานติดตอํ ประสานงานกับหนวํ ยงานอน่ื
3.2.6 งานแผนงานโครงการของโรงเรยี นหรือสถาบนั การศึกษาอ่ืน ๆ
3.3 แผนปฏบิ ตั ิงานประจาปี คอื การกาหนดแผนงานโครงการทจ่ี ะตอ๎ งปฏบิ ัตงิ าน
ในแตลํ ะปีการศกึ ษา
3.4 ปฏทิ นิ ปฏิบตั งิ าน คือ ตารางท่ีบอกใหท๎ ราบวําแผนงาน โครงการ และกจิ กรรม
ทางวิชาการดา๎ นใด จะปฏบิ ัติในวันใด เดอื นอะไรในปีการศกึ ษาน้ี
ผูบ้ ริหารกบั การวางแผนงานวิชาการ
ผ๎ูบริหารควรมีหลักการวางแผนงานวิชาการ ดังน้ี
1. ผู๎บรหิ ารควรมคี วามรับผิดชอบการวางแผนทุกระดบั
2. ผ๎บู ริหารควรจะกาหนดแผนงานของสถานศกึ ษา โดยการมีสวํ นรํวมของทุกฝ่าย
3. ผ๎ูบริหารควรมีทกั ษะในการวางแผน มีความรูค๎ วามสามารถช้นี าครูอาจารยไ๑ ด๎
4. ผบ๎ู รหิ ารควรดาเนนิ การวางแผนอยํางมขี ้ันตอน ตงั้ แตํการรบั สมัครผูเ๎ รียนจนถงึ
การจดั การเรียนการสอน
งานทจ่ี าเป็นต้องวางแผนวชิ าการของสถานศกึ ษา
งานวชิ าการมหี ลายประเภท โดยทวั่ ไปงานสาคญั ดา๎ นวิชาการท่คี วรวางแผน มีดังน้ี
(ปรียาพร วงศ๑อนุตรโรจน๑, 2553, หนา๎ 100)
1. การวางแผนจานวนนักเรียนที่จะลงทะเบยี นเรียน
2. การวางแผนด๎านครอู าจารย๑ ความพรอ๎ มในการทางานของครู
3. การวางแผนทรพั ยากรทางกายภาพ
สรุปไดว๎ าํ การวางแผนงานวิชาการในสถานศึกษา เปน็ กิจกรรมหนงึ่ ทผ่ี ูบ๎ ริหารได๎แสดง
ความสามารถของตนเองออกมาในเร่ืองของการเปน็ ผน๎ู าทางวชิ าการท่ีแท๎จริง เร่ิมต๎นด๎วยความสามารถ
ในการกาหนดวัตถปุ ระสงคแ๑ ละทิศทางของการบริหารงานวิชาการ และส่งิ ท่ีแสดงให๎เห็นวําผ๎ูบริหาร
สถานศึกษาท่มี วี ิสยั ทัศน๑ทางดา๎ นวิชาการ และมีความสามารถในการจัดรูปแบบงานวชิ าการ กค็ ือ
62
การจัดสายงานบริหารวชิ าการรวมไปถึงการวางแผนปรบั ปรงุ งานวิชาการซึง่ จะต๎องทาให๎งาน
วิชาการไปสูํความเปน็ เลิศ
2. การพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษา
หลกั สตู รมคี วามสาคญั ท่ีสดุ ตํอการจัดการเรยี นการสอน ซ่ึงเป็นสิง่ ท่แี สดงถงึ จดุ มงํุ หมาย
ของการศึกษา บอกแนวทางการจดั การเรยี นการสอนให๎แกผํ ๎ูเรียนเพื่อให๎เกิดความรู๎ ทกั ษะ และเจตคติ
ท่ีดีอนั เป็นสิง่ ทีจ่ าเป็นตํอการดารงชีวิต หลักสูตรเป็นข๎อกาหนดวาํ ด๎วยจดุ มุงํ หมาย แนวทาง วิธกี าร
และเนือ้ หาสาระในการจัดการเรยี นการสอนในสถานศกึ ษา เพือ่ ใหผ๎ ๎ูเรยี นมีความรู๎ ความสามารถ
ทัศนคติ และพฤติกรรมตามที่กาหนดในจุดมงํุ หมายการศึกษา
ความหมายของหลักสตู ร
คาวาํ หลกั สูตร แปลมาจากภาษาอังกฤษวํา Curriculum ซง่ึ มีรากศัพท๑มาจากภาษาละตินวาํ
Currere หมายถงึ Running course หรือเส๎นทางที่ใชว๎ ิ่งแขํง ตํอมาได๎นาศัพท๑นี้มาใช๎ในทางการศกึ ษาวาํ
Running sequence or Learning experience การทเ่ี ปรียบเทยี บหลักสูตรกับสนามหรอื เส๎นทางทใ่ี ช๎
วงิ่ แขํงอาจเน่ืองมาจากการท่ผี ๎ูเรียนจะสาเร็จการศกึ ษาในระดับใดหรือหลักสูตรใดก็ตาม ผเ๎ู รียนจะต๎อง
ฟันฝ่าความยากของวชิ าหรอื ประสบการณก๑ ารเรยี นรต๎ู ามลาดบั ขน้ั ทีก่ าหนดไวใ๎ นหลกั สตู ร เชนํ เดยี วกับ
นกั วง่ิ ท่ีต๎องว่ิงแขํงฟันฝ่าอุปสรรคไปสชํู ยั ชนะและความสาเร็จให๎ได๎ (บุญเลีย้ ง ทมุ ทอง, 2553, หน๎า 5)
หลักสตู รจึงมีความสาคญั อยาํ งยง่ิ ในการจดั การศกึ ษาทกุ ระดบั เปน็ เครื่องกาหนดกรอบ
แนวปฏบิ ตั ิในการจดั การเรยี นร๎ู ช้ใี หเ๎ หน็ แนวทางในการจัดมวลประสบการณ๑ให๎กับผ๎ูเรยี นเปรยี บได๎
กับแผนทีห่ รือเข็มทิศที่จะนาทางในการจดั การศกึ ษาใหบ๎ รรลผุ ล มีนกั การศกึ ษาไดใ๎ ห๎ความหมาย
ของหลกั สตู รไว๎หลายทัศนะ ดงั นี้
Taba (1962, pp. 147-149) ได๎สรปุ คาจากัดความของหลักสตู รไว๎ 2 แนวคดิ คือ
1. หลกั สูตร หมายถงึ มวลประสบการณท๑ กุ อยํางท่โี รงเรยี นจดั ให๎แกนํ ักเรียน เพ่ือให๎เกดิ
การเรียนรู๎ตามทีต่ ๎องการ
2. หลักสตู ร หมายถึง จุดประสงคก๑ บั คาอธบิ ายรายวชิ า
Good (1973, pp. 157-158) ให๎ความหมายของหลกั สตู รไว๎ 3 ประการ คือ
1. หลักสตู ร คอื เนือ้ หาวิชาท่ีจัดไวเ๎ ปน็ ระบบให๎ผ๎ูเรียนได๎ศึกษา
2. หลกั สูตร คอื เคา๎ โครงทั่วไปของเน้ือหา หรือสงิ่ เฉพาะทีจ่ ะต๎องสอน ซง่ึ โรงเรยี นจัด
ให๎แกเํ ด็กเพอื่ ใหม๎ คี วามรู๎ หรือให๎รับประกาศนยี บัตรเพ่อื ใหส๎ ามารถเขา๎ เรยี นตํอในทางอาชพี ตํอไป
3. หลักสตู ร คอื กลมุํ วิชาและการจดั ประสบการณ๑ท่กี าหนดไว๎ ซึง่ นกั เรยี นไดเ๎ ลําเรยี น
ภายใตก๎ ารแนะนาของโรงเรียนและสถานศึกษา
63
Sowell (1996, p. 5) ได๎ใหค๎ วามหมายของหลักสตู รวาํ หลักสตู ร คอื อะไรก็ไดท๎ ่นี ามาใช๎
ในการเรยี นการสอนให๎แกํผเ๎ู รยี น ทกั ษะ ทศั นคติและแหลงํ กาเนดิ ของเนอื้ หาท้งั หลาย โดยมจี ดุ มํุงหมาย
เพือ่ ให๎บรรลุวัตถปุ ระสงค๑ของการศกึ ษาที่กาหนดไว๎แตกตํางกนั
Doll (1996, p. 5) ไดก๎ ลําวถงึ หลกั สูตรวํา เปน็ รายการของประสบการณ๑ทมี่ คี วามสาคญั
ทีส่ ถานศึกษาจะต๎องนาไปใชใ๎ นการเรยี นการสอนให๎แกํนักเรยี น ซง่ึ ประสบการณ๑ตาํ ง ๆ เหลาํ นนั้
สถานศกึ ษาไดม๎ ีการวางแผนไว๎กอํ นลํวงหนา๎ วาํ ควรจะสอนอะไร
ใจทิพย๑ เช้อื รัตนพงษ๑ (ม.ป.ป. อ๎างถึงใน พระมหาประจกั ษ๑ กิตตฺ ิเมธี (ทองดาษ), 2554,
หน๎า 41) ไดส๎ รปุ ความหมายของหลกั สูตรใหจ๎ ดจาได๎งาํ ย ตามตัวอักษรยอํ SOPEA ดงั นี้
1. Curriculum as subjects and subject matter: หลักสตู ร คือ รายวชิ า หรือเนื้อหาวิชาท่ีเรียน
2. Curriculum as objectives: หลักสตู ร คือ จุดหมายทีผ่ ๎ูเรียนพึงบรรลุ
3. Curriculum as plans: หลักสูตร คือ แผนสาหรบั จัดโอกาสการเรยี นร๎ู หรือประสบการณ๑
ท่ีคาดหวังใหแ๎ กนํ กั เรยี น
4. Curriculum as leaner’s experiences: หลกั สูตร คอื ประสบการณท๑ ั้งปวงของผู๎เรยี น
ท่ีโรงเรยี นจดั ให๎
5. Curriculum as educational activities: หลักสูตร คือ กิจกรรมทางการศกึ ษาที่จัดใหก๎ ับ
นักเรียน
วิภา ทองหงา (2554, หนา๎ 15) สรุปความหมายของหลักสตู รไว๎ 3 ประการ คือ
1. หลกั สูตรเป็นระบบในการจดั การศึกษา โดยมปี ัจจยั นาไปใช๎ในการจัดการเรียนการสอน
ตามทม่ี ํงุ หมายไว๎
2. หลักสูตรเปน็ ระบบในการจัดการศกึ ษา โดยมีปัจจัยนาเข๎า (Input) ได๎แกํ ครู นักเรียน
วสั ดอุ ปุ กรณ๑ อาคารสถานที่ กระบวนการ (Process) ได๎แกํ การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
ผลผลิต (Output) ได๎แกํ ผลสัมฤทธท์ิ างการเรยี น ความสาเร็จทางการศึกษา
3. หลกั สูตรเป็นแผนการจัดการเรยี นการสอนทม่ี ุํงประสงคจ๑ ะอบรมฝกึ ฝนผู๎เรยี นใหเ๎ ป็นไป
ตามเปา้ หมายท่ตี ๎องการ
ทรงศักด์ิ สงิ หนสาย (2556, หนา๎ 17) สรุปไวว๎ ํา หลกั สูตร คือ มวลประสบการณท๑ ่ีโรงเรยี น
จัดให๎แกํนกั เรียนอยาํ งเป็นข้ันตอนเพื่อใหผ๎ ๎ูเรยี นมีพัฒนาการทางด๎านความรู๎ ความสามารถ และทกั ษะ
ทสี่ าคัญแกชํ ีวิตใหเ๎ ปน็ ไปตามความตอ๎ งการของสงั คม ผบ๎ู รหิ ารโรงเรียนจาเปน็ อยาํ งยงิ่ ทจี่ ะต๎องมีความร๎ู
ความเข๎าใจเก่ยี วกบั หลักสูตร ตลอดจนสงํ เสรมิ ใหค๎ รูนาหลกั สูตรไปใชใ๎ ห๎บรรลุจุดมํงุ หมาย จัดสงิ่
อานวยความสะดวก สือ่ การสอนให๎กบั ครู มกี ารนเิ ทศเยย่ี มเยยี นดูการสอนของครู ตลอดถงึ กิจกรรม
เสรมิ หลักสูตรเพื่อใหน๎ ักเรยี นเกิดคณุ ลกั ษณะที่พงึ ประสงค๑
64
ผอํ งพรรณ จันทรค๑ า (2557, หน๎า 28) หลกั สูตร หมายถงึ กระบวนการเรียนร๎ูเป็นการประมวล
ประสบการณ๑ท้ังหมดที่จัดให๎กับเดก็ ทีผ่ ํานเขา๎ ไปในการรับรู๎ของเดก็ ในดา๎ นเนื้อหาวชิ า ทัศนคติ
แบบพฤติกรรม กิจวตั ร และสง่ิ แวดล๎อมเพื่อแก๎ปัญหาและพัฒนาคนในการจดั ทาหลกั สูตรมคี วามจาเป็น
ท่ีจะตอ๎ งคานึงถงึ องคป๑ ระกอบหลายอยาํ ง ซงึ่ ไดแ๎ กํ จุดมํุงหมาย เน้อื หา กิจกรรมการเรียนการสอน
รวมทัง้ การวัดผลประเมินผล และการดาเนนิ การจัดทาหลกั สูตร เพ่อื ให๎เกิดความสอดคลอ๎ งและ
ความสมดลุ ไดส๎ ัดสํวนอยํางพอดี ทัง้ นี้ต๎องคานึงถึงสภาพสังคม ปรัชญาการศกึ ษาของไทยในปจั จบุ ัน
วทิ ยาการและความร๎ูในดา๎ นจิตวิทยาและสภาพสังคมที่เปลยี่ นแปลง หลกั สูตรกจ็ าเปน็ ต๎องได๎รบั
การเปลยี่ นแปลงใหส๎ อดคล๎องกนั ด๎วย ครูเป็นตวั จักรสาคัญทสี่ ุดในการจัดทาและนาหลกั สตู รไปใช๎
จึงตอ๎ งได๎รบั การพัฒนาตนเองเป็นประจาอยํางตํอเน่ืองเพื่อใหม๎ คี วามรู๎ ทักษะ ประสบการณ๑ แนวคิด
มมุ มองทันตํอความกา๎ วหนา๎ ทางวชิ าการใหมํ ๆ
โดยสรุป หลกั สูตร คือ รายวชิ าหรือเน้ือหาวิชาที่ได๎กาหนดไวใ๎ หก๎ บั ผ๎ูเรียน โดยการวางแผน
ลวํ งหน๎า กจิ กรรมการเรียนการสอนทจี่ ะจัดใหก๎ ับผเู๎ รยี นทั้งในระบบ นอกระบบ และการศกึ ษา
ตามอัธยาศัยโดยสอดคล๎องกบั หลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน
องคป์ ระกอบสาคญั ของหลกั สตู ร
นกั การศกึ ษาไดก๎ ลาํ วถงึ องคป๑ ระกอบของหลักสูตร ดังนี้
ธารง บวั ศรี (2532, หนา๎ 8) กลาํ ววาํ หลกั สูตร ควรมีองค๑ประกอบทีส่ าคัญ ได๎แกํ
1. จดุ มํงุ หมายของหลกั สตู ร
2. จุดประสงคข๑ องการเรยี นการสอน
3. เน้ือหาสาระและประสบการณ๑
4. ยทุ ธศาสตรก๑ ารเรียนการสอน
5. วสั ดอุ ปุ กรณ๑และสื่อการเรียนการสอน
6. การประเมนิ ผล
สงดั อทุ รานันท๑ (2532, หน๎า 9) ไดก๎ ลําวถึง องคป๑ ระกอบของหลกั สตู รไว๎ดงั น้ี
1. จุดหมาย คอื ความประสงค๑ หรือความต๎องการทางการศึกษาและสงั คม ซึ่งหลกั สูตร
มํุงท่ีจะสนอง หรือให๎เป็นไปตามความประสงค๑
2. หลักการ คอื ทิศทาง หรอื แนวทางทจี่ ะนาไปสํูจดุ มุงํ หมายของหลักสูตร
3. โครงสร๎าง คือ กลมุํ วิชา หรอื รายวชิ าตาํ ง ๆ ในหลักสตู ร
4. จดุ ประสงคก๑ ารเรยี นร๎ู คอื ความร๎ู ทกั ษะ หรือทัศนคติบางประการทน่ี ักเรียน
ต๎องเรียนร๎ู หรอื ต๎องปฏิบัติ
5. เนือ้ หารายวชิ า คือ ประสบการณ๑ตาํ ง ๆ ทง้ั ทางตรงและทางออ๎ ม
65
6. สอ่ื การเรียน คอื อปุ กรณ๑ตําง ๆ ท่ีชวํ ยให๎เกิดความเข๎าใจ เกดิ ทัศนคติความต๎องการ
7. วธิ ีสอน การสอนยํอมชวํ ยใหเ๎ กดิ การเรียนรู๎ ให๎รู๎จักคดิ เปน็ ทาเปน็ และแก๎ปัญหาเป็น
8. การประเมนิ ผล เมื่อทาการสอนแล๎วผ๎ูสอนจะต๎องวัดและประเมินผลวํา ผ๎ูเรยี นมีความรู๎
ความเขา๎ ใจในจุดประสงคก๑ ารเรยี นร๎มู ากน๎อยเพียงใด
จากองค๑ประกอบของหลกั สูตร ตามแนวคิดของนักการศึกษา ดงั กลําว สามารถสรุปไดว๎ ํา
องคป๑ ระกอบของหลักสตู รยํอมประกอบไปด๎วย องค๑ประกอบ 5 ประการ ได๎แกํ
1. หลักการและจุดหมายของหลกั สูตร
2. โครงสรา๎ งของหลกั สตู ร
3. สาระและมาตรฐานการเรียนรู๎
4. การจดั การเรียนรู๎
5. การวดั และประเมินผลการเรยี นรู๎
ข้ันตอนการออกแบบและพัฒนาหลักสตู ร
Taba (1962, p. 312) ได๎เสนอแนะข้ันตอนของการพัฒนาหลกั สูตรไว๎ ดังนี้
1. สารวจปัญหาความต๎องการ และความจาเป็นตําง ๆ ของสงั คม
2. กาหนดวตั ถปุ ระสงค๑ของการศึกษาทสี่ ังคมต๎องการ
3. คัดเลือกเน้อื หาวิชาความร๎ูท่คี รจู ะต๎องมาสอน เพอื่ ให๎เกิดการเรียนร๎ูตรงกับ
ความตอ๎ งการ และความจาเป็นของสงั คม
4. จดั ลาดับขั้นตอน แกไ๎ ขปรับปรุงเนอ้ื หาสาระ กระบวนการเรยี นการสอนใหส๎ มบูรณ๑
และสอดคล๎องกบั วัตถปุ ระสงค๑
5. คดั เลอื กประสบการณ๑การเรยี นรู๎ตําง ๆ ซึง่ นามาเสรมิ เน้ือหาสาระ กระบวนการเรียน
การสอนให๎สมบูรณ๑ และสอดคล๎องกบั วตั ถุประสงค๑
6. จดั ระเบยี บ จดั ลาดบั ขั้นตอนและแกไ๎ ข ปรับปรุงประสบการณ๑การเรียนร๎ู
7. กาหนดเนื้อหาสาระ หรือประสบการณท๑ ีต่ ๎องการประเมินได๎วํา มีการเรยี นร๎ตู รงกบั
วัตถุประสงค๑ท่ีต้ังไว๎หรือไมํ รวมท้งั กาหนดเกณฑก๑ ารประเมนิ ผล และวิธกี ารประเมินผล
ผมู้ ีสว่ นรว่ มในการพฒั นาหลักสตู ร
ในการพฒั นาหลักสตู ร จะประกอบด๎วยบคุ คลหลาย ๆ ฝ่าย Armstrong (1989, p. 40)
ระบุวําควรประกอบไปด๎วย
1. ผเ๎ู ช่ยี วชาญดา๎ นหลักสูตร รวมทั้งผูเ๎ ชยี่ วชาญดา๎ นส่ือการเรียนการสอน ดา๎ นการวดั ผล
ประเมนิ ผล ดา๎ นการวิจยั หลกั สูตร
2. คร/ู ศกึ ษานิเทศก๑
66
3. ผบ๎ู ริหารโรงเรียน
4. ผ๎เู ชย่ี วชาญเฉพาะสาขาวชิ า/ ผทู๎ รงคณุ วฒุ ิ
5. ผูแ๎ ทนของชุมชน/ ท๎องถิน่
แนวปฏบิ ตั ขิ องสถานศึกษาในการพัฒนาหลักสตู ร
การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ตามพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542
มาตรา 27 มีสํวนเกยี่ วข๎องกับสถานศกึ ษา
ในการนาหลกั สูตรไปใช๎โดยตรง ซงึ่ กาหนดวาํ ให๎คณะกรรมการสถานศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน
กาหนดหลักสูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพื้นฐาน เพ่ือความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองทด่ี ขี องชาติ
การดารงชีวติ และการประกอบอาชพี ตลอดจนเพ่ือการศึกษาตํอ และใหส๎ ถานศกึ ษาข้ันพื้นฐานมีหน๎าท่ี
จดั ทาสาระหลกั สูตรตามวตั ถุประสงค๑ ในสํวนทเี่ ก่ยี วกับสภาพปัญหาในชุมชนและสงั คม ภูมปิ ัญญา
ท๎องถ่ิน คณุ ลักษณะอันพึงประสงค๑เพื่อเป็นสมาชกิ ทดี่ ีของครอบครวั ชมุ ชน สงั คม ประเทศชาติ
โดยมีแนวทางการปฏบิ ตั ิ ดงั นี้
1. ศกึ ษาวิเคราะห๑เอกสารหลักสตู รสถานศกึ ษา ขอ๎ มูลสารสนเทศเกย่ี วกับสภาพปัญหา
และความต๎องการของสังคม ชมุ ชน และท๎องถนิ่
2. วิเคราะห๑สภาพแวดล๎อม และประเมินผลสถานภาพสถานศกึ ษา เพือ่ กาหนดวสิ ัยทัศน๑
ภารกิจ เป้าหมาย คุณลักษณะทพ่ี ึงประสงค๑ โดยการมสี วํ นรํวมท้ังคณะกรรมการสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน
3. จัดทาโครงสร๎างหลกั สูตรและสาระตาํ ง ๆ ทก่ี าหนดให๎มใี นหลักสตู รสถานศึกษา
โดยพยายามบูรณาการเนือ้ หา สาระท้งั ในกลํมุ สาระการเรยี นรดู๎ ๎วยกนั และระหวํางกลํุมสาระ
การเรียนร๎ูตามความเหมาะสม
4. นาหลกั สตู รไปใชใ๎ นการจัดการเรยี นการสอน และบริหารจดั การใชห๎ ลกั สูตรใหเ๎ หมาะสม
5. นิเทศการใชห๎ ลักสูตร
6. ติดตามและประเมนิ ผลการใชห๎ ลักสูตร
7. ปรับปรุงและพฒั นาหลกั สูตรตามความเหมาะสม
สรุปได๎วาํ หลักสูตรสถานศึกษามคี วามสาคัญอยํางย่งิ ตอํ การบริหารงานโรงเรียน
ผู๎บรหิ ารสถานศึกษาตอ๎ งใช๎หลักสตู รเปน็ ตัวกาหนดนโยบายทิศทาง การดาเนนิ งาน ตลอดจน
แนวปฏิบัติงานด๎านวชิ าการให๎ชดั เจน นาไปใชไ๎ ด๎งําย
3. การพัฒนากระบวนการเรียนรู้
การพฒั นากระบวนการเรียนรูเ๎ ป็นองค๑ประกอบหน่งึ ทส่ี าคญั ของการบริหารงานวิชาการ
ท่ีจาเป็นจะต๎องมีการพัฒนาให๎ผู๎สอนหรือครมู ีการพัฒนาการจดั การเรียนรส๎ู าหรบั ผู๎เรยี นใหม๎ ีคณุ ภาพ
ซ่ึงมีผ๎ูใหแ๎ นวคดิ และทฤษฎตี ําง ๆ ไวด๎ งั น้ี
67
ความหมายของกระบวนการเรยี นรู้
Cronbach (1973, pp. 68-70) กลาํ ววํา การเรียนร๎ู คือ การแก๎ปญั หาซง่ึ จะต๎องประกอบด๎วย
สิ่งตํอไปนี้
1. สถานการณ๑ (Situation) คือ สงิ่ แวดล๎อมหรือบรรยากาศรอบตัวผู๎เรยี น อันจะมสี วํ นชํวย
ใหก๎ ารเรยี นบรรลผุ ลสาเร็จ
2. ความมํุงหมาย (Goal) คอื การทราบจุดหมายของส่ิงที่เรียน
3. การแปลความ (Interpretation) เป็นการทาตัวเองเขา๎ ไปอยํูในสถานการณเ๑ พือ่ แปล
ความหมายของสง่ิ ท่พี บ เพ่อื ชํวยใหเ๎ กิดการแก๎ปัญหา
4. การกระทา (Action) หมายถึง การตอบสนองตอํ สถานการณท๑ ่ีพบหลงั จากแปล
ความหมายแล๎ว
5. ผลการปฏบิ ัติ (Consequence) คือ ผลที่ได๎รับจากการกระทา ถา๎ เปน็ ผลดีกส็ ามารถจะ
นาไปใชใ๎ นสถานการณท๑ ่ใี กลเ๎ คยี งกนั ได๎ ในทางตรงกันข๎ามถา๎ ไดผ๎ ลล๎มเหลว บางคนอาจจะแกไ๎ ข
ปรบั ปรงุ วิธกี ารตอบสนอง เพ่ือให๎ได๎วธิ ที ด่ี ที ส่ี ดุ หรือบางคนอาจจะลม๎ เลิกความหวงั เดิมเสยี
Hillgard and Bower (1975, p. 2) กลําววํา การเรยี นร๎ูเป็นกระบวนการทีท่ าให๎พฤติกรรม
เปลี่ยนไปจากเดมิ อันเปน็ ผลจากการฝกึ ฝน และประสบการณ๑ท่ีได๎รบั แตมํ ิการตอบสนองที่เกดิ ข้ึน
จากธรรมชาติ เชํน สญั ชาตญาณหรือวฒุ ิภาวะ หรือจากการเปล่ียนแปลงชวั่ คราวของราํ งกาย
Bloom (1976, p. 11) กลาํ วถึง การเกดิ เรียนรู๎ในแตลํ ะคร้ัง จะต๎องมีการเปล่ียนแปลง
เกิดข้นึ 3 ประการ จึงจะเรียกวาํ เปน็ การเรียนรทู๎ ี่สมบรู ณ๑ คือ
1. การเปล่ียนแปลงทางความร๎ู ความคดิ ความเขา๎ ใจ (Cognitive domain)
2. การเปล่ยี นแปลงทางด๎านอารมณ๑หรือความรู๎สึก (Affective domain)
3. การเปล่ยี นแปลงทางการเคลอ่ื นไหวของรํางกาย เพ่ือใหเ๎ กดิ ทักษะและความชานาญ
(Psychomotor domain)
วิภา ทองหงา (2554, หนา๎ 38-39) สรปุ ไว๎วํา แนวทางในการจัดการเรยี นรูน๎ ั้น สถานศึกษา
จะตอ๎ งจัดการเรยี นร๎ใู หส๎ อดคลอ๎ งกบั ความถนัด ความสนใจของผ๎เู รียน ฝึกทักษะกระบวนการคิด
การเผชิญสถานการณ๑ การประยุกต๑ความร๎ูมาใช๎ จัดกิจกรรมให๎เรียนรู๎จากประสบการณ๑จริง ฝกึ ปฏบิ ตั ิ
ผสมผสานความรตู๎ าํ ง ๆ พรอ๎ มทงั้ ปลกู ฝงั คุณธรรม คํานิยม และคุณลักษณะอันพงึ ประสงค๑ จดั บรรยากาศ
สภาพแวดลอ๎ ม สอ่ื การเรียน และจัดการเรียนร๎ใู ห๎เกดิ ข้ึนทุกเวลา ทุกสถานท่ี สถานศึกษาต๎องพฒั นา
กระบวนการเรยี นการสอนให๎มีประสทิ ธภิ าพ สํงเสริมผสู๎ อนจัดทาวจิ ยั เพ่ือพฒั นาการเรยี นรู๎ รํวมมือ
กบั บคุ คล องคก๑ ร และผ๎ูมีสํวนเกย่ี วข๎องรํวมจัดการเรยี นร๎ู เพ่ือให๎ผู๎เรียนเป็นคนดี คนเกงํ และมคี วามสุข
ซ่ึงผ๎ูบริหารต๎องบริหารจัดการเรียนร๎ู 4 ข้ันตอน คือ การวางแผนการจัดการเรียนรู๎ การจัดกิจกรรม
68
การเรียนร๎ู การประเมินผลการเรียนรู๎ และการปรับปรุงและพัฒนาการจัดการเรียนรู๎ จะสํงผลตํอ
ประสิทธภิ าพการบรหิ ารการจดั การเรียนร๎ู
โดยสรปุ กระบวนการเรยี นรู๎ ไมไํ ด๎เป็นเพียงกิจกรรมท่ีเกิดขึ้นในโรงเรียนเทําน้ัน แตเํ กิดขึ้น
ได๎ในสภาพแวดล๎อมท่ัวไป การเรยี นร๎ูของนักเรียนจะเริม่ จากสภาพแวดลอ๎ มทางบา๎ นไปสูํโรงเรียน
ซง่ึ ให๎ความรอู๎ ยํางเป็นระบบ รวมท้งั ความรู๎ในวิชาชพี เพ่ือนาไปใชใ๎ นชวี ติ ประจาวัน
แนวปฏิบัติของสถานศึกษาในการพฒั นากระบวนการเรยี นรู้
แนวปฏิบัติการพัฒนากระบวนการเรียนรู๎ ตามแนวทางกรมสงํ เสรมิ การปกครอง
สํวนทอ๎ งถน่ิ (2559)
1. สํงเสริมใหค๎ รูจัดทาแผนการเรียนรู๎ตามสาระ และหนํวยการเรียนร๎โู ดยเน๎นผเ๎ู รยี น
เปน็ สาคัญ
2. สํงเสริมใหค๎ รูจัดกระบวนการเรียนร๎ู โดยจัดเนื้อหาสาระและกจิ กรรมใหส๎ อดคลอ๎ ง
กบั ความสนใจ ความถนดั ของผูเ๎ รียน ฝึกทักษะ กระบวนการคดิ การจัดการ การเผชิญสถานการณ๑
การประยุกต๑ใช๎ความรู๎เพ่ือป้องกันและแกป๎ ัญหา การเรียนรู๎จากประสบการณ๑จริง และการปฏิบัติจริง
การสงํ เสรมิ ให๎รักการอําน และใฝ่ร๎ูอยํางตํอเนอื่ ง การผสมผสานความรูต๎ าํ ง ๆ ใหส๎ มดุลกนั ปลกู ฝงั
คณุ ธรรม คํานิยมท่ดี ีงาม และคณุ ลักษณะทีพ่ งึ ประสงค๑ท่ีสอดคล๎องกับเนื้อหาสาระกิจกรรม
3. จัดให๎มีการนิเทศการเรียนการสอนแกํครูในกลํุมสาระตําง ๆ โดยเน๎นการนิเทศที่รวํ มมือ
ชวํ ยเหลอื กันแบบกัลยาณมติ ร
4. สงํ เสรมิ ให๎มีการพฒั นาครู เพอื่ พัฒนากระบวนการเรยี นรต๎ู ามความเหมาะสม
หลกั การของการพฒั นากระบวนการเรยี นรู้
การเรยี นรู๎เป็นสิ่งสาคญั อยํางหนึง่ ของชวี ิต การเรียนรู๎จะชํวยใหค๎ นเราสามารถปรบั ตัว
ให๎เขา๎ กบั สถานการณท๑ ี่เกิดขึ้นในชวี ิตหรือสามารถปรับส่ิงแวดล๎อมให๎เขา๎ กับตัวเราได๎อยาํ งเหมาะสม
โดยทัว่ ๆ ไปแลว๎ การพฒั นากระบวนการเรยี นร๎ใู นสถานศึกษามแี นวทางปฏิบัติ ดงั น้ี
1. สํงเสรมิ ให๎ครูจัดกระบวนการเรียนร๎ู โดยจดั เน้ือหาสาระและกิจกรรมให๎สอดคล๎อง
กบั ความสนใจ ความถนดั ของผเ๎ู รยี น
2. ฝกึ ทกั ษะ กระบวนการคดิ การจัดการ การเผชิญสถานการณ๑ การประยกุ ตใ๑ ชค๎ วามรู๎
เพอ่ื ปอ้ งกันและแก๎ไขปญั หาการเรยี นรจ๎ู ากประสบการณ๑จริงและปฏบิ ตั ิจรงิ
3. การสํงเสรมิ ให๎รกั การอาํ น และใฝ่รู๎อยํางตอํ เนื่อง
4. ผสมผสานความรต๎ู ําง ๆ ให๎สมดลุ กนั ปลกู ฝงั คุณธรรม คํานิยมที่ดีงาม และคุณลักษณะ
ท่พี งึ ประสงค๑ทส่ี อดคล๎องกบั เนอื้ หาสาระกิจกรรม
5. จดั บรรยากาศและส่งิ แวดลอ๎ มและแหลํงเรยี นร๎ใู ห๎เอ้อื ตํอการจัดกระบวนการเรยี นรู๎
69
6. นาภมู ิปญั ญาทอ๎ งถนิ่ หรือเครือขํายผ๎ปู กครองชมุ ชน ทอ๎ งถนิ่ เขา๎ มามีสํวนรวํ ม
ในการจัดการเรียนการสอนตามความเหมาะสม
7. จดั ให๎มีการนิเทศการเรยี นการสอนแกํครูในกลํุมสาระตําง ๆ โดยเน๎นการนิเทศทร่ี ํวมมอื
ชํวยเหลอื กนั แบบกัลยาณมติ ร เชนํ นเิ ทศแบบเพื่อนชวํ ยเพ่ือน เพ่ือพฒั นาการเรียนการสอนรํวมกนั
หรอื แบบอื่น ๆ ตามความเหมาะสม
8. สงํ เสริมใหม๎ ีการพัฒนาครู เพ่ือพัฒนาการเรียนการสอนรํวมกันตามความเหมาะสม
แนวคิดการจดั การเรยี นรู้ทเี่ น้นผูเ้ รียนเป็นสาคญั
แนวการจดั การศึกษาตามพระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 22 กาหนด
แนวทางในการจัดการศึกษาไว๎วาํ การจัดการศึกษาต๎องยึดหลักวาํ ผูเ๎ รียนทุกคนมคี วามสามารถเรยี นรู๎
และพัฒนาตนเองได๎ และถือวําผเู๎ รยี นสาคัญท่สี ุด กระบวนการจดั การศึกษาต๎องสํงเสริมให๎ผเ๎ู รยี น
สามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเตม็ ศกั ยภาพคาวาํ “ผูเ๎ รียนมคี วามสาคัญที่สุด” หมายถงึ การดาเนนิ การ
ใด ๆ ในการจดั กระบวนการเรยี นร๎ใู ห๎คานึงถงึ ประโยชนข๑ องผู๎เรียนมากทส่ี ุด โดยการจัดการศึกษา
ต๎องยดึ หลกั วาํ ผ๎ูเรียนทุกคนมคี วามสามารถเรยี นรู๎และพัฒนาตนเองได๎ การเรียนร๎ทู ผ่ี เ๎ู รียนสาคัญ
ทสี่ ดุ มฐี านมาจากทฤษฎี และผลการวจิ ัยท่ีคน๎ พบวาํ เป็นวิธีการทท่ี าให๎ผเ๎ู รียนมคี ุณภาพอยํางแทจ๎ รงิ
เน่ืองจากผ๎ูเรยี นเป็นผม๎ู ีสํวนรวํ ม เรยี นรดู๎ ว๎ ยตนเองเปน็ ผูป๎ ฏบิ ตั ิหรือเปน็ ผ๎กู ระทามากกวาํ เปน็ ผถู๎ ูกกระทา
คณะอนุกรรมการปฏิรูปการเรียนรู๎ ไดส๎ รปุ ความหมายของการจัดกระบวนการเรยี นรทู๎ ่ีผเู๎ รียนสาคัญ
ที่สุดออกเป็น 3 ระดับ คอื 1) ระดับผูเ๎ รียน หมายถงึ กระบวนการเรียนร๎ทู ผ่ี ๎เู รยี นมีสวํ นรํวมในการกาหนด
จุดมุํงหมาย กิจกรรมและวิธกี ารเรียนรู๎ ได๎คิด ปฏิบัติ ได๎เรียนรู๎ด๎วยตนเอง รวมทั้งรํวมประเมินผล
การพัฒนาการเรียนรู๎ตามศกั ยภาพ ตามความต๎องการ ความสนใจและความถนัดของแตลํ ะคน 2) ระดับ
ห๎องเรียน หมายถึง กระบวนการเรียนร๎ทู ่ีผู๎เรียนไดค๎ ดิ เอง ทาเอง ปฏบิ ตั ิเอง และสร๎างความร๎ดู ว๎ ยตนเอง
ในเร่ืองที่สอดคล๎องกับการดารงชีวิต จากแหลํงการเรียนรู๎ที่หลากหลาย มีสํวนรํวมในการกาหนด
จดุ มํุงหมาย กจิ กรรมวธิ กี ารเรียนรู๎ สามารถเรยี นรู๎รํวมกับผ๎อู ื่นอยํางมีความสุข มสี ํวนรํวมในการประเมิน
ผลการพัฒนาการเรียนรู๎ สํวนครูจะเป็นผู๎วางแผนขั้นตอน ท้ังเน้ือหาและวิธกี ารแกผํ ูเ๎ รยี นเปน็ รายบุคคล
และสื่อตําง ๆ บรรยากาศและสภาพแวดล๎อมของโรงเรียนจะต๎องเอื้อตํอการเรียนรู๎ด๎วย 3) ระดับ
นอกห๎องเรยี น หมายถึง กระบวนการจัดการเรยี นร๎ทู ี่เปดิ โอกาสใหผ๎ ๎ูปกครองและชมุ ชนมีสวํ นรวํ ม
ในการวางแผนการเรียนการสอน โดยคานึงถึงศักยภาพและความต๎องการของผ๎ูเรียน ให๎ผู๎เรียนมีโอกาส
ได๎เรยี นร๎ูจากแหลงํ เรยี นรท๎ู ี่หลากหลาย ที่สอดคล๎องกับการดารงชีวิตในครอบครัว ชมุ ชนและท๎องถิ่น
รวมทง้ั เปิดโอกาสให๎ผเ๎ู รียนมีสวํ นรํวมในกระบวนการเรียนการสอนทุกขนั้ ตอน
70
มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรยี นรู๎ ใหส๎ ถานศกึ ษาและหนวํ ยงานทเ่ี กย่ี วข๎องดาเนินการ ดงั น้ี
1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให๎สอดคลอ๎ งกบั ความสนใจและความถนดั ของผ๎ูเรยี น
โดยคานึงถงึ ความแตกตํางระหวํางบคุ คล
2. ฝึกทกั ษะ กระบวนการคิด การจดั การ การเผชิญสถานการณ๑ และการประยุกต๑ความรู๎
มาใชเ๎ พอ่ื ป้องกันและแกป๎ ัญหา
3. จัดกจิ กรรมให๎ผ๎ูเรยี นได๎เรียนรูจ๎ ากประสบการณ๑จริง ฝึกการปฏิบัติให๎ทาได๎ คิดเป็น
ทาเป็น รักการอาํ น และเกิดการใฝ่ร๎ูอยํางตํอเนื่อง
4. จัดการเรยี นการสอนโดยผสมผสานสาระความรู๎ดา๎ นตําง ๆ อยาํ งไดส๎ ัดสํวนสมดลุ กัน
รวมทั้งปลูกฝงั คณุ ธรรม คํานิยมท่ีดงี ามและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค๑ไว๎ในทกุ วิชา
5. สงํ เสรมิ สนบั สนุนให๎ผส๎ู อนสามารถจดั บรรยากาศ สภาพแวดล๎อม สือ่ การเรียน
และอานวยความสะดวกเพอ่ื ให๎ผ๎เู รียนเกดิ การเรยี นรู๎และมีความรอบรู๎ รวมท้ังสามารถใชก๎ ารวจิ ัย
เป็นสํวนหน่ึงของกระบวนการเรียนร๎ู ทงั้ น้ี ผส๎ู อนและผู๎เรยี นอาจเรียนร๎ูไปพรอ๎ มกนั จากสอ่ื การเรียน
การสอนและแหลงํ วทิ ยาการประเภทตาํ ง ๆ
6. จดั การเรียนรใ๎ู หเ๎ กิดข้ึนได๎ทุกเวลา ทกุ สถานที่ มีการประสานความรวํ มมือกบั บดิ า
มารดา ผปู๎ กครอง และบคุ คลในชุมชนทกุ ฝ่ายเพื่อรวํ มกนั พัฒนาผเ๎ู รียนตามศกั ยภาพ
แนวคิดเก่ียวกบั การจัดการเรียนการสอนท่เี น้นผเู้ รยี นเปน็ สาคญั
การจดั การเรียนการสอนท่ีเน๎นผ๎ูเรยี นเป็นสาคัญ แนวคิดน้ีมีทม่ี าจากแนวคดิ ทางการศึกษา
ของจอห๑น ดวิ อี้ (John Dewey) ซึ่งเป็นต๎นคิดในเรื่องของ “การเรยี นรู๎โดยการกระทา” หรือ “Learning
by doing” อนั เป็นแนวคิดท่ีแพรํหลายและได๎รับการยอมรบั ทั่วโลกมานานแล๎ว การจัดการเรียนการสอน
โดยใหผ๎ ๎ูเรียนเปน็ ผลู๎ งมือปฏบิ ตั ิ นับวําเปน็ การเปลยี่ นบทบาทในการเรยี นร๎ูของผ๎ูเรียนจากการเปน็ “ผ๎รู ับ”
และเปลย่ี นบทบาทของครูจาก “ผ๎ูสอน” หรือ “ผถู๎ าํ ยทอดข๎อมูลความรู๎” มาเป็น “ผจ๎ู ัดประสบการณ๑
การเรยี นร๎ู” ใหผ๎ ๎ูเรียน ซง่ึ การเปลี่ยนแปลงบทบาทน้เี ทาํ กับเป็นการเปลยี่ นจุดเน๎นของการเรยี นร๎ูวํา
อยํูทีผ่ ๎ูเรียนมากกวําอยทํู ี่ผ๎สู อน ดังน้ัน ผู๎เรยี นจึงกลายเป็นศูนยก๑ ลางของการเรียนการสอน เพราะบทบาท
ในการเรยี นรส๎ู ํวนใหญํจะอยทูํ ่ตี วั ผู๎เรยี นเป็นสาคัญ
ดังนั้น การเรยี นการสอนท่ีเน๎นผเ๎ู รียนเปน็ ศูนยก๑ ลาง คือ การจัดการเรียนการสอนในลกั ษณะ
ทใ่ี ห๎ผเ๎ู รยี นมีอสิ ระในการใช๎สติปัญญาของตนเอง ใหผ๎ ๎เู รียนมีความเกย่ี วข๎องในกระบวนการเรียน
การสอนเปน็ การสํวนตัว ทั้งในลักษณะของเปน็ ผู๎ริเร่ิมการเรียนดว๎ ยตนเอง ตลอดจนถงึ ผลการประเมิน
การเรียนด๎วยตนเอง การมีปฏิสมั พนั ธ๑ระหวาํ งผ๎ูเรียนและผู๎สอนในบรรยากาศท่ีเอ้ือตํอการเรยี นร๎ู ทา๎ ทาย
สติปัญญาของผ๎ูเรยี นและผส๎ู อนมคี วามเข๎าใจ และจริงใจตํอกนั กระบวนการท่ีเกิดข้ึนรํวมกันระหวําง
ผ๎เู รียนและผ๎ูสอน โดยผ๎สู อนจะมีบทบาทในการสงํ เสริม ให๎ข๎อมลู ยอ๎ นกลับและชีแ้ นะการเรียนของ
71
ผูเ๎ รยี นในลักษณะของการจัดประสบการณท๑ ่ที าให๎เกดิ การเรียนรู๎ และมกี ารเปลยี่ นแปลงพฤตกิ รรม
ในตัวผ๎ูเรยี น
ตัวบ่งชขี้ องการจัดกระบวนการเรียนรู้ทเ่ี น้นผู้เรียนเป็นสาคัญ
สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาแหงํ ชาติ ไดพ๎ ัฒนาตวั บํงชก้ี ารจัดกระบวนการเรียนร๎ู
ทเ่ี น๎นผ๎ูเรยี นเป็นสาคัญ ประกอบด๎วยตัวบงํ ชีข้ องผ๎ูเรยี น จานวน 9 ข๎อ ตวั บํงชข้ี องครู จานวน 10 ข๎อ ดังน้ี
ตัวบํงชก้ี ารเรียนของผ๎เู รยี น ไดแ๎ กํ
1. มปี ระสบการณ๑ตรงสัมพันธ๑กับธรรมชาตแิ ละสง่ิ แวดล๎อม
2. ฝึกปฏบิ ตั จิ นค๎นพบความถนดั และวธิ ีการของตนเอง
3. ทากจิ กรรมแลกเปล่ียนการเรยี นร๎ูจากกลํมุ
4. ฝกึ คิดอยํางหลากหลายและสรา๎ งสรรค๑ จินตนาการ ตลอดจนไดแ๎ สดงออกอยํางชดั เจน
และมีเหตผุ ล
5. ไดร๎ ับการเสรมิ แรงให๎คน๎ หาคาตอบแกป๎ ัญหาทัง้ ดว๎ ยตนเองและรวํ มด๎วยชวํ ยกนั
6. ได๎ฝึกค๎น รวบรวมข๎อมูลและสร๎างสรรค๑ความร๎ูดว๎ ยตนเอง
7. เลือกทากิจกรรมตามความสามารถ ความถนัด และความสนใจของตนเองอยํางมีความสุข
8. ฝกึ ตนเองใหม๎ ีวินัยและรับผดิ ชอบในการทางาน
9. ฝึกประเมนิ ปรบั ปรงุ ตนเองและยอมรับผู๎อนื่ ตลอดจนใสํใจใฝห่ าความร๎อู ยํางตํอเนื่อง
ตวั บงํ ชกี้ ารสอนของครู ได๎แกํ
1. เตรียมการสอนทัง้ เนื้อหาและวธิ ีการ
2. จดั ส่งิ แวดลอ๎ มและบรรยากาศที่ปลกุ เรา๎ จูงใจ และเสริมแรงให๎ผเ๎ู รียนเกิดการเรียนรู๎
3. เอาใจใสผํ ูเ๎ รียนเป็นรายบุคคล และแสดงความเมตตาตํอผู๎เรยี นอยาํ งทัว่ ถงึ
4. จัดกจิ กรรมและสถานการณใ๑ หผ๎ เู๎ รยี นได๎แสดงออกและคิดอยาํ งสร๎างสรรค๑
5. สํงเสรมิ ให๎ผู๎เรียนฝกึ คิด ฝึกทา และฝึกปรบั ปรงุ ตนเอง
6. สํงเสริมกิจกรรมแลกเปลี่ยนเรียนรู๎จากกลุํม พร๎อมท้ังสงั เกตสํวนดีและปรับปรุงสํวนด๎อย
ของผเ๎ู รยี น
7. ใชส๎ ่ือการสอนเพ่ือฝกึ การคดิ การแกป๎ ัญหา และการคน๎ พบความรู๎
8. ใช๎แหลํงเรียนรทู๎ ห่ี ลากหลายและเชอื่ มโยงประสบการณ๑กบั ชวี ิตจรงิ
9. ฝึกฝนกริ ิยามารยาทและวินยั ตามวถิ ีวัฒนธรรมไทย
10. สงั เกตและประเมินพฒั นาการของผ๎ูเรยี นอยาํ งตํอเน่ือง
72
บทบาทของผบู้ ริหารในการจัดการเรยี นรู้ทเี่ น้นผเู้ รียนเป็นสาคัญ
ผู๎บริหารมีบทบาทสาคัญในการสนับสนนุ ครซู งึ่ เป็นบุคลากรหลกั และมีบทบาทสาคัญทส่ี ดุ
ในการจดั การเรยี นรูท๎ ี่เน๎นผเ๎ู รียนสาคัญ ผ๎ูบรหิ ารจึงตอ๎ งสนับสนุนให๎ครูทาความเขา๎ ใจในเร่อื งท่ีเกยี่ วกบั
หลักการสาคัญ เพราะจะชํวยในการปรบั เปลีย่ นแนวคิดในการจัดการเรียนร๎ู เม่ือแนวคิดเปลี่ยนการกระทา
ยํอมเปล่ยี นตามไปดว๎ ย ผู๎บริหารยังมีบทบาทท่สี าคัญ คือ 1) สนบั สนนุ ส่งิ อานวยความสะดวกตาํ ง ๆ
2) สนบั สนนุ การนิเทศการจัดการเรยี นการสอน และ 3) กากับตดิ ตามประเมนิ ผล
โดยสรุป การจัดกระบวนการเรียนร๎ทู ี่ผ๎ูเรียนสาคัญทีส่ ุด หมายถงึ การจดั กระบวนการเรียนร๎ู
ทท่ี กุ ฝ่ายมสี วํ นรํวมในทุกขั้นตอน มํงุ ประโยชนส๑ งู สดุ แกํผ๎ูเรยี น ผ๎ูเรียนไดพ๎ ฒั นาเต็มศักยภาพ ผ๎เู รียน
มที กั ษะในการแสวงหาความร๎ูจากแหลํงการเรียนรู๎ทห่ี ลากหลาย และผ๎ูเรยี นสามารถนาความรูไ๎ ปใช๎
ในชีวติ จริงได๎ ซงึ่ ผ๎บู ริหารมีบทบาทสาคัญในการสนับสนุนครซู ง่ึ เป็นบุคลากรหลกั และมบี ทบาท
สาคญั ทส่ี ดุ ในการพัฒนากระบวนการเรียนร๎ู โดยให๎การสนบั สนนุ อานวยความสะดวกส่งิ ตําง ๆ
นิเทศการจัดการเรยี นรู๎ของผู๎สอน และประเมินผลการปฏิบัติงานของบคุ ลากร
4. การวดั ผลประเมินผล และเทยี บโอนผลการเรยี น
การวดั และประเมินผลการเรียนรข๎ู องผู๎เรียนเป็นสง่ิ ท่จี าเป็นตอ๎ งทา เพ่ือจะได๎ทราบวาํ
การจดั กิจกรรมการเรียนการสอนในครั้งนั้น ๆ ประสบผลสาเร็จหรอื ไมเํ พียงใดไมวํ ําจะเป็นการเรยี น
การสอนด๎วยรปู แบบใด เพียงแตวํ าํ ครผู ู๎สอนจะจัดวิธกี ารวัดและประเมนิ ผลด๎วยวธิ กี ารใดหรอื เครอ่ื งมือ
แบบใดเทํานน้ั (ภาวดิ า ธาราศรสี ทุ ธิ, 2550, หน๎า 77)
ความหมายของการวดั ผลและประเมนิ ผล
1. การวดั ผล (Measurement)
เคอร๑ลิงเกอร๑ (Kerlinger)ให๎ความหมายของการวัดผลไวว๎ าํ หมายถงึ การกาหนดตวั เลข
แกํสง่ิ ของหรือเหตกุ ารณ๑ตําง ๆ ตามกฎเกณฑ๑
กลิ ฟอร๑ด (Guidford) ใหค๎ วามหมายอยาํ งกว๎างของการวัดผลวํา คือ การพิจารณาหรือตีคาํ
ขอ๎ มลู ในรูปของตัวเลข
2. การประเมนิ ผล (Evaluation)
เวิอรท๑ ธิง และแซนเดอรส๑ (Worthing and Sanders) กลําววํา การประเมินผล คือ การชีบ้ ํง
ถึงคณุ คาํ หรือประสทิ ธภิ าพของสง่ิ ใดส่งิ หนึ่ง การประเมินผลจะต๎องรวบรวมข๎อมูลเพื่อใชใ๎ นการตัดสิน
คณุ คาํ หรือประสทิ ธภิ าพของแผนงาน/ โครงการ ผลผลติ หรอื ผลงานทเี่ กิดข้นึ วธิ ีดาเนินการ วัตถุประสงค๑
หรือประโยชน๑ของทางเลือกตาํ ง ๆ เพอื่ ให๎บรรลุเป้าหมายทก่ี าหนด
การเรียนรู๎จะมีประสิทธิภาพมากข้ึน ถ๎าผเ๎ู รยี นไดผ๎ ลความกา๎ วหน๎าในการเรียนของเขา ดงั นั้น
การประเมินผลจงึ เป็นเร่ืองสาคัญมาก ไทเลอร๑ เช่ือวํา กระบวนการของการประเมินผลเป็นกระบวนการ
73
ทีจ่ าเป็นในการทจี่ ะร๎ูถงึ จุดประสงค๑การศกึ ษา รวมไปถึงกระบวนการเรียนการสอนด๎วย ถา๎ วัตถุประสงค๑
ทั่วไปของโปรแกรมการศึกษามีเพ่ือให๎เกิดพฤติกรรมทพี่ ึงประสงค๑ การประเมินผลก็ต๎องประเมิน
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมที่เกดิ ข้ึนจรงิ การให๎รู๎ผลการเรียนรู๎ มิใชจํ ะเปน็ ประโยชน๑ตํอผเู๎ รียนที่จะ
เพ่มิ ความพยายามของเขาเทําน้นั แตํยังมีผลกระทบโดยสํวนรวมด๎วยเพราะสามารถทาให๎ทนั สมัย
และสนองความตอ๎ งการของผู๎เรียนและสงั คม หลักสูตรก็จะเคล่อื นไหวไมํอยนูํ งิ่
การวดั ผลและประเมนิ ผลการเรียนรู๎ แบงํ ออกเป็น 4 ระดับ ไดแ๎ กํ ระดับชน้ั เรียน ระดับ
สถานศึกษา ระดับเขตพื้นทกี่ ารศกึ ษา และระดับชาติ มีรายละเอียด ดงั นี้ (กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2551,
หน๎า 28-34)
1. การประเมินระดับช้ันเรยี น เป็นการวัดผลและประเมินผลทอี่ ยํูในกระบวนการจัดการ
เรยี นร๎ู ผส๎ู อนดาเนินการเป็นปกติ และสม่าเสมอในการจัดการเรยี นการสอน ใช๎เทคนคิ การประเมนิ
อยาํ งหลากหลาย
2. การประเมินระดับสถานศึกษา เป็นการประเมินทส่ี ถานศกึ ษาดาเนนิ การเพ่ือตดั สนิ ผล
การเรียนของผ๎ูเรียนเปน็ รายป/ี รายภาค ผลการประเมินการอําน คดิ วิเคราะห๑และเขยี นคุณลักษณะ
อันพงึ ประสงค๑ และกิจกรรมพฒั นาผ๎ูเรียน นอกจากน้เี พื่อให๎ไดข๎ ๎อมูลเกี่ยวกบั การจัดการศกึ ษาของ
สถานศกึ ษาวาํ สํงผลตํอการเรียนของผ๎เู รียนตามเปา้ หมายหรือไมํ ผูเ๎ รียนมีจดุ พัฒนาในดา๎ นใด รวมท้ัง
สามารถนาผลการเรยี นของผู๎เรียนในสถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ๑ระดับชาติ
3. การประเมนิ ระดับเขตพ้ืนท่ีการศึกษา เป็นการประเมินคุณภาพผ๎ูเรียนในระดบั เขตพื้นท่ี
การศึกษาตามมาตรฐานการเรยี นร๎ู ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน เพ่อื ใช๎เปน็ ข๎อมลู
พื้นฐานในการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษาของเขตพนื้ ทก่ี ารศึกษา ตามภาระความรบั ผดิ ชอบ
4. การประเมนิ ระดับชาติ เป็นการประเมินคณุ ภาพผ๎ูเรียนในระดับชาติตามมาตรฐาน
การเรยี นร๎ูตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน สถานศึกษาต๎องจัดให๎ผ๎ูเรียนทุกคนท่เี รียน
ในช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 3 ช้ันประถมศึกษาปที ่ี 6 ชนั้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 3 และชัน้ มัธยมศกึ ษาปที ่ี 6
เข๎ารับการประเมิน ผลจากการประเมินใช๎เป็นข๎อมูลในการเทียบเคยี งคุณภาพการศกึ ษาในระดับตาํ ง ๆ
เพื่อนาไปใช๎ในการวางแผนยกระดับคณุ ภาพการจดั การศึกษา ตลอดจนเป็นข๎อมลู สนบั สนนุ
การตดั สินใจในระดบั นโยบายของประเทศ
ข๎อมลู การประเมินในระดับตําง ๆ ข๎างต๎น เป็นประโยชน๑ตํอสถานศกึ ษาในการตรวจสอบ
ทบทวนพฒั นาคณุ ภาพผเู๎ รียน ถอื เป็นภาระความรบั ผิดชอบของสถานศกึ ษาท่ีจะตอ๎ งจัดระบบดูแล
ชํวยเหลอื ปรบั ปรุงแก๎ไข สํงเสรมิ สนับสนนุ เพ่ือให๎ผ๎ูเรียนไดพ๎ ฒั นาเต็มตามศักยภาพบนพื้นฐาน
ความแตกตํางระหวาํ งบุคคลที่จาแนกตามสภาพปัญหาและความต๎องการ
74
การวัดผลและประเมินผลการเรียนรู๎เป็นกระบวนการท่ีครใู ช๎พฒั นาคุณภาพผู๎เรียน จะชวํ ย
ใหไ๎ ด๎ข๎อมูลสารสนเทศท่ีแสดงพฒั นาการ ความกา๎ วหน๎า และความสาเรจ็ ทางการเรียนของผู๎เรยี น
การวัดผลและประเมินผลเป็นสิ่งจาเป็นในกระบวนการเรียนการสอนมปี ระโยชน๑ในด๎านตําง ๆ ดังนี้
1. ปรบั ปรงุ การเรยี นการสอนของครูอาจารย๑
2. เพือ่ ปรบั ปรุงการเรยี นการสอนของผ๎ูเรียน เป็นแนวทางในการปรบั ปรงุ ตนเอง
3. เพ่อื ปรบั ปรงุ ระบบการบริหารงานในสถานศกึ ษา ทาให๎ทราบสภาพทแี่ ท๎จรงิ
4. เพ่ือเป็นขอ๎ มูลทางการศึกษาทัว่ ไป
5. เปน็ หลักฐานด๎านการศกึ ษาของสถานศึกษา
6. เพอื่ เป็นการประชาสมั พันธ๑สถานศึกษาในดา๎ นผลการเรียน และการสาเร็จการเรยี น
ของนักเรยี น
แนวปฏบิ ัติของสถานศกึ ษาในการวดั ผล ประเมนิ ผล และเทียบโอนผลการเรียน
แนวปฏบิ ัตกิ ารวัดผล ประเมินผล และเทยี บโอนผลการเรียน ตามแนวทางกรมสํงเสริม
การปกครองสวํ นท๎องถิน่ (2553)
1. กาหนดระเบยี บ แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการวดั ผลและประเมนิ ผลของสถานศกึ ษา
2. สงํ เสรมิ ให๎ครูจัดทาแผนการวัดผลและประเมนิ ผลแตลํ ะรายวชิ า ใหส๎ อดคล๎องกบั มาตรฐาน
3. สํงเสริมให๎ครูดาเนินการวัดผลและประเมินผลการเรยี นการสอน โดยเน๎นการประเมิน
ตามสภาพจรงิ จากกระบวนการการปฏิบตั ิและผลงาน
4. จดั ใหม๎ ีการเทียบโอนความรู๎ ทักษะ ประสบการณ๑ และผลการเรยี นจากสถานศกึ ษาอ่ืน
สถานประกอบการ และอื่น ๆ ตามแนวทางท่กี ระทรวงศึกษากาหนด
5. พฒั นาเคร่ืองมือวัดและประเมนิ ผลใหไ๎ ด๎มาตรฐาน
เคร่อื งมือวดั ผลการเรียนรู้
เคร่ืองมอื ในการวัดผลมีหลายชนิด ไดแ๎ กํ
1. แบบตรวจสอบรายการ (Checklist) เปน็ เครือ่ งมือทชี่ วํ ยในการสังเกตพฤติกรรมของ
ผเ๎ู รียน เชํน การสังเกตผ๎เู รียนขณะปฏิบัตงิ าน
2. แบบจดั อันดับคุณภาพของงาน โดยเป็นตัวเลขแสดงอันดบั คุณภาพของงาน
3. แบบทดสอบ เป็นเคร่อื งมือท่ีนิยมใชใ๎ นสถานศึกษา มี 2 ลกั ษณะ คือ
3.1 ข๎อสอบแบบอัตนัย (Subjective test) เป็นแบบความเรียงท่ไี มจํ ากัดคาตอบของ
ผู๎ตอบ สาหรับต๎องการวัดความคดิ และการมเี หตุผล แตํมีข๎อเสยี ตรงท่ีออกได๎ไมคํ รอบคุลมหลกั สูตร
ตรวจใหค๎ ะแนนไมํแนนํ อนและเสยี เวลามาก
75
3.2 ขอ๎ สอบแบบปรนยั (Objective test) เป็นข๎อสอบทจ่ี ากดั การตอบของผส๎ู อบแตํสามารถ
ออกไดม๎ ากข๎อ ครอบคลมุ หลกั สตู ร แบงํ ไดเ๎ ป็น 3 ชนดิ คอื แบบถกู -ผดิ แบบจับคํู แบบเตมิ คา
3.3 แบบเลือกตอบ (Multiple choice) เปน็ ข๎อทดสอบทีเ่ หมาะสมทสี่ ดุ วัดไดค๎ รอบคลมุ
หลักสูตร สามารถหาความยากงาํ ย คําความเชอ่ื ม่นั คาํ ความเท่ียงตรงได๎
เครอ่ื งมือและวธิ กี ารประเมินมหี ลากหลายรูปแบบ จงึ ควรพิจารณาเลอื กนามาใชใ๎ ห๎สอดคลอ๎ ง
เหมาะสมกับกระบวนการเรยี นการสอน และกระบวนการเรียนรขู๎ องผูเ๎ รยี น และควรใชว๎ ิธกี ารวดั
หลาย ๆ วธิ ี เพือ่ ให๎แนํใจวําการประเมินผลผู๎เรยี นมคี วามคลาดเคลอ่ื นน๎อยท่สี ุด
ลกั ษณะของการวัดผลและประเมนิ ผล
การวดั ผลและประเมนิ ผลจึงควรมลี กั ษณะสาคัญตาํ ง ๆ ดังน้ี (ภาวดิ า ธาราศรีสทุ ธ,ิ 2550,
หนา๎ 83)
1. สะทอ๎ นภาพพฤติกรรมและทกั ษะที่จาเป็นของผู๎เรยี นในสถานการณจ๑ รงิ
2. ใช๎เทคนิคการประเมนิ ผลท่ีหลากหลาย
3. เน๎นให๎ผู๎เรียนแสดงออกด๎วยการสร๎างสรรคผ๑ ลงาน ดึงความคิดช้ันสงู ความคิด
ท่ซี บั ซอ๎ น และการใช๎ทักษะตาํ ง ๆ ออกมาได๎
4. ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียนเป็นผลมาจากการเรียนการสอนที่สอดคล๎องกบั ความเปน็ จรงิ
และสามารถประยุกต๑สงิ่ ทีเ่ รียนรูไ๎ ปใชไ๎ ด๎จรงิ ในชวี ิตประจาวัน
5. ใชข๎ อ๎ มลู อยาํ งหลากหลายเพ่ือการประเมนิ โดยครูผ๎ูสอนควรรู๎จกั ผู๎เรยี นทกุ แงทํ กุ มุม
คานงึ ถึงความแตกตํางระหวํางบุคคล
6. เน๎นการมสี วํ นรํวมในการประเมนิ ระหวํางผูเ๎ รียน ครู และผปู๎ กครอง
ขนั้ ตอนในการวดั ผลและประเมนิ ผล
การวดั ผลและประเมนิ ผลเป็นกระบวนการตํอเนื่องของการเรียนการสอน สามารถแบํง
ออกเป็น 5 ข้ันตอน ดงั นี้ (ภาวิดา ธาราศรสี ุทธิ, 2550, หน๎า 84)
1. การกาหนดจดุ ประสงค๑ในการวดั ผลและประเมินผลการเรยี น กํอนท่ีจะวัดผล
และประเมนิ ผล ครูผ๎สู อนควรจะกาหนดจดุ ประสงค๑กอํ นวําจะวดั อะไร วัดแคไํ หน และวัดเพอื่ อะไร
ใหส๎ อดคล๎องกบั จดุ ประสงคใ๑ นการสอน
2. การเลือกและสร๎างเคร่ืองมือ ควรพิจารณาวาํ ในการวัดคุณลกั ษณะหรือพฤตกิ รรม
ท่ีกาหนดไวน๎ นั้ ควรใช๎เครื่องมืออะไรบา๎ งจึงจะวัดได๎ตรงตามความตอ๎ งการอยาํ งครบถ๎วน
3. การนาเคร่ืองมือไปทาการสอบวัดผู๎เรยี น ครูผ๎สู อนหรือครูผคู๎ ุมสอบควรจัดเตรียม
สภาพแวดล๎อมใหเ๎ หมาะสม รวมท้ังกาหนดเวลาสอบให๎เหมาะสม
76
4. การตรวจหรอื นาผลเปรียบเทียบกับเกณฑ๑ ในขนั้ นีเ้ ป็นการรวบรวมและแปลงคาตอบ
ของผูเ๎ รียนใหเ๎ ป็นคะแนนแล๎วจดบันทึกไว๎ จากนน้ั จึงรวบรวมคะแนนของผู๎เรยี นทไ่ี ด๎จากการวดั
ทุกชนดิ จากทกุ ระยะ มาเปรยี บเทียบกบั เกณฑท๑ กี่ าหนดไว๎
5. การประเมินผล เป็นการตดั สนิ วาํ ผ๎ูเรียน มีความสามารถขนาดไหน สูงหรือตา่ กวาํ เกณฑ๑
แตลํ ะคนได๎ระดบั ผลการเรียนอะไร ผ๎ูเรยี นสํวนใหญํมีผลการเรียนเป็นเชนํ ไร
สถานศึกษาในฐานะผูร๎ ับผดิ ชอบการจัดการศึกษา จะต๎องทาระเบยี บวําด๎วยการวัดผล
และการประเมินผลการเรียนของสถานศกึ ษาให๎สอดคล๎อง และเปน็ ไปตามหลกั เกณฑ๑ และแนว
ปฏิบัติทเี่ ปน็ ขอ๎ กาหนดของหลักสตู รแกนกลางการศึกษาข้นั พ้ืนฐาน เพือ่ ให๎บคุ ลากรท่ีเกีย่ วข๎อง
ทกุ ฝา่ ยถอื ปฏบิ ัติรํวมกัน
เกณฑ์การวัดผลและประเมินผลการเรียน
1. การตดั สิน การใหร๎ ะดับ และการรายงานผลการเรียน
1.1 การตัดสินผลการเรยี น
ในการตดั สินผลการเรียนของกลุํมสาระการเรยี นรู๎ การอําน คดิ วเิ คราะห๑ และเขยี น
คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค๑ และกิจกรรมพฒั นาผ๎ูเรียนน้นั ผสู๎ อนตอ๎ งคานึงถงึ การพฒั นาผูเ๎ รียนแตํละคน
เป็นหลกั และต๎องเก็บข๎อมลู ของผ๎ูเรียนทุกด๎านอยาํ งสมา่ เสมอและตอํ เนอ่ื งในแตลํ ะภาคเรียน
รวมทั้งสอนซํอมเสรมิ ผู๎เรียนให๎พัฒนาจนเต็มตามศักยภาพ
ระดับประถมศกึ ษา
1. ผเ๎ู รียนต๎องมีเวลาเรยี นไมํนอ๎ ยกวําร๎อยละ 80 ของเวลาเรยี นท้ังหมด
2. ผเ๎ู รยี นต๎องได๎รับการประเมนิ ทกุ ตวั ชวี้ ดั และผาํ นเกณฑ๑ท่ีสถานศกึ ษากาหนด
3. ผเ๎ู รียนต๎องได๎รบั การตัดสินผลการเรยี นทกุ รายวิชา
4. ผูเ๎ รยี นต๎องได๎รบั การประเมิน และมผี ลการประเมนิ ผาํ นตามเกณฑ๑ทสี่ ถานศึกษา
กาหนดในการอําน คิดวเิ คราะห๑ และเขียน คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ และกจิ กรรมพฒั นาผูเ๎ รียน
ระดบั มธั ยมศกึ ษา
1. ตัดสนิ ผลการเรยี นเปน็ รายวชิ า ผู๎เรียนต๎องมีเวลาเรียนตลอดภาคเรยี นไมํนอ๎ ยกวํา
รอ๎ ยละ 80 ของเวลาเรยี นท้ังหมดในรายวิชานัน้
2. ผู๎เรียนต๎องได๎รบั การประเมนิ ทุกตวั ชี้วัด และผาํ นตามเกณฑท๑ ีส่ ถานศกึ ษากาหนด
3. ผู๎เรยี นต๎องได๎รับการตัดสินผลการเรียนทกุ รายวชิ า
4. ผเู๎ รยี นต๎องได๎รบั การประเมนิ และมผี ลการประเมินผํานตามเกณฑท๑ ส่ี ถานศกึ ษา
กาหนด ในการอาํ นคิดวิเคราะหแ๑ ละเขียน คุณลกั ษณะอนั พึงประสงค๑ และกจิ กรรมพฒั นาผูเ๎ รยี น
77
การพจิ ารณาเลอื่ นช้ันทั้งระดับประถมศกึ ษาและมธั ยมศกึ ษา ถ๎าผเู๎ รียนมขี ๎อบกพรํอง
เพยี งเล็กน๎อย และสถานศึกษาพจิ ารณาเห็นวําสามารถพัฒนาและสอนซํอมเสริมได๎ ให๎อยใูํ นดุลยพนิ ิจ
ของสถานศึกษาที่จะผอํ นผันให๎เลอื่ นชัน้ ได๎ แตถํ า๎ ผูเ๎ รยี นไมผํ าํ นรายวิชาจานวนมาก และมีแนวโน๎ม
วาํ จะเป็นปัญหาตํอการเรยี นในระดับชนั้ ทีส่ ูงกวาํ สถานศึกษาอาจตั้งคณะกรรมการพิจารณาให๎เรียน
ซา้ ช้ันได๎ ทง้ั นีใ้ ห๎คานึงถงึ วฒุ ิภาวะและความร๎ูความสามารถของผเู๎ รียนเป็นสาคัญ
1.2 การให๎ระดบั ผลการเรยี น
ระดับประถมศกึ ษา ในการตัดสนิ ผลการเรียนเพ่ือให๎ระดับผลการเรียนรายวชิ า
สถานศกึ ษา สามารถใหร๎ ะดับผลการเรียน หรือระดบั คุณภาพการปฏบิ ัติของผ๎ูเรียน เป็นระบบ
ตัวเลข ระบบตัวอักษร ระบบรอ๎ ยละ และระบบที่ใชค๎ าสาคัญสะท๎อนมาตรฐาน
การประเมนิ การอําน คดิ วิเคราะห๑ และเขยี น และคณุ ลกั ษณะอนั พงึ ประสงคน๑ น้ั
ใหร๎ ะดับผลการเรียนเป็น ดเี ย่ียม ดี ผําน และไมํผาํ น
ระดบั มธั ยมศกึ ษา
ในการตัดสินเพ่อื ให๎ระดบั ผลการเรียนรายวชิ า ให๎ใช๎ตัวเลขแสดงระดับผลการเรียน
เป็น 8 ระดบั
การประเมินการอําน คดิ วิเคราะห๑และเขียน และคณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค๑นนั้
ใหร๎ ะดับผลการประเมินเป็นดเี ยี่ยม ดี ผาํ น และไมํผาํ น
การประเมนิ กิจกรรมพัฒนาผู๎เรียน จะตอ๎ งพจิ ารณาทงั้ เวลาการเข๎ารํวมกจิ กรรม
การปฏิบัติกิจกรรมและผลงานของผเู๎ รยี น ตามเกณฑท๑ สี่ ถานศกึ ษากาหนด และใหผ๎ ลการเข๎ารวํ ม
กิจกรรมเปน็ ผําน และไมผํ ําน
1.3 การรายงานผลการเรยี น
การรายงานผลการเรียนเป็นการส่อื สารให๎ผปู๎ กครอง และผเ๎ู รยี นทราบความก๎าวหน๎า
ในการเรียนรู๎ของผู๎เรยี น ซงึ่ สถานศึกษาต๎องสรุปผลการประเมินและจัดทาเอกสารรายงานให๎ผูป๎ กครอง
ทราบเป็นระยะ ๆ หรอื อยํางน๎อยภาคเรียนละ 1 ครง้ั
การรายงานผลการเรียนสามารถรายงานเป็นระดับคุณภาพการปฏบิ ตั ขิ องผู๎เรียน
ท่ีสะทอ๎ นมาตรฐานการเรียนรก๎ู ลุํมสาระการเรยี นรู๎
2. เกณฑก๑ ารจบการศึกษา
หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน กาหนดเกณฑก๑ ลางสาหรับการจบการศึกษา
เป็น 3 ระดับ คอื ระดับประถมศึกษา ระดับมัธยมศกึ ษาตอนต๎น และระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย
78
2.1 เกณฑ๑การจบระดับประถมศกึ ษา
2.1.1 ผเู๎ รียนเรยี นรายวิชาพนื้ ฐาน และรายวิชา/ กิจกรรมเพิ่มเติมตามโครงสรา๎ ง
เวลาเรยี นท่ีหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขนั้ พืน้ ฐานกาหนด
2.1.2 ผ๎ูเรยี นตอ๎ งมผี ลการประเมินรายวชิ าพน้ื ฐาน ผํานเกณฑ๑การประเมินตามที่
สถานศึกษากาหนด
2.1.3 ผู๎เรยี นมผี ลการประเมินการอําน คิดวิเคราะห๑ และเขียน ในระดบั ผาํ นเกณฑ๑
การประเมินตามทส่ี ถานศึกษากาหนด
2.1.4 ผ๎เู รียนมีผลการประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค๑ในระดับผํานเกณฑ๑
การประเมินตามทส่ี ถานศกึ ษากาหนด
2.1.5 ผเ๎ู รียนเข๎ารํวมกิจกรรมพัฒนาผ๎เู รยี น และมผี ลการประเมินผํานเกณฑ๑
การประเมนิ ตามท่สี ถานศึกษากาหนด
2.2 เกณฑก๑ ารจบระดบั มัธยมศึกษาตอนต๎น
2.2.1 ผเ๎ู รยี น เรียนรายวชิ าพื้นฐาน และเพ่ิมเตมิ ไมํเกิน 81 หนวํ ยกิต โดยเป็นรายวิชา
พน้ื ฐาน 63 หนํวยกติ และรายวิชาเพิม่ เติมตามทสี่ ถานศกึ ษากาหนด
2.2.2 ผู๎เรยี นตอ๎ งไดห๎ นวํ ยกิต ตลอดหลักสูตรไมนํ ๎อยกวาํ 77 หนํวยกิต โดยเป็นรายวิชา
พ้ืนฐาน 63 หนํวยกติ และรายวชิ าเพิม่ เติมไมํน๎อยกวาํ 17 หนํวยกิต
2.2.3 ผู๎เรยี นมีผลการประเมิน การอําน การคิดวิเคราะห๑ และเขยี น ในระดับผํานเกณฑ๑
การประเมนิ ตามทีส่ ถานศกึ ษากาหนด
2.2.4 ผู๎เรียนมีผลการประเมินคุณลกั ษณะอันพึงประสงค๑ ในระดับผํานเกณฑ๑
การประเมินตามทส่ี ถานศกึ ษากาหนด
2.2.5 ผู๎เรียนเข๎ารํวมกจิ กรรมพฒั นาผ๎เู รยี น และมผี ลการประเมินผาํ นเกณฑ๑
การประเมินตามที่สถานศึกษากาหนด
2.3 เกณฑ๑การจบระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย
2.3.1 ผูเ๎ รียน เรียนรายวิชาพ้ืนฐานและเพมิ่ เติมไมํเกิน 81 หนํวยกิต โดยเป็นรายวิชา
พ้ืนฐาน 39 หนํวยกติ และรายวชิ าเพิ่มเติมตามท่ีสถานศึกษากาหนด
2.3.2 ผู๎เรยี นต๎องได๎หนํวยกิต ตลอดหลกั สูตร ไมํนอ๎ ยกวาํ 77 หนวํ ยกิต โดยเปน็
รายวชิ าพ้ืนฐาน 39 หนํวยกติ และรายวิชาเพมิ่ เติมไมํนอ๎ ยกวํา 38 หนวํ ยกิต
2.3.3 ผู๎เรยี นมีการประเมิน การอําน การคิดวิเคราะหแ๑ ละเขยี น ในระดับผาํ นเกณฑ๑
การประเมินตามทีส่ ถานศึกษากาหนด
79
2.3.4 ผ๎ูเรียนมผี ลการประเมินคุณลักษณะอันพงึ ประสงค๑ ในระดบั ผาํ นเกณฑ๑
การประเมนิ ตามที่สถานศึกษากาหนด
2.3.5 ผู๎เรยี นเขา๎ รํวมกิจกรรมพัฒนาผเู๎ รยี น และมีผลการประเมนิ ผาํ นเกณฑ๑
การประเมนิ ตามทส่ี ถานศึกษากาหนด
สาหรับการจบการศกึ ษาสาหรับกลํุมเป้าหมายเฉพาะ ให๎คณะกรรมการของสถานศึกษา
เขตพ้นื ทีก่ ารศึกษา และผทู๎ เ่ี ก่ยี วข๎อง ดาเนนิ การวัดผลและประเมนิ ผลการเรียนร๎ตู ามหลกั เกณฑ๑
ในแนวปฏบิ ัตกิ ารวัดผล และประเมินผลการเรียนร๎ูของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพน้ื ฐาน
สาหรับกลมํุ เป้าหมายเฉพาะ
เอกสารหลักฐานการศกึ ษา
เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา เป็นเอกสารสาคัญทบ่ี นั ทึกผลการเรียนร๎ู และสารสนเทศ
ทเ่ี ก่ยี วขอ๎ งกบั พัฒนาการของผ๎ูเรียนในด๎านตาํ ง ๆ แบํงออกเป็น 2 ประเภท ดงั นี้
1. เอกสารหลักฐานการศกึ ษาทีก่ ระทรวงศกึ ษาธิการกาหนด
1.1 ระเบียนแสดงผลการเรยี น
เป็นเอกสารแสดงผลการเรยี น และรับรองผลการเรียนของผ๎ูเรยี นตามรายวชิ า
ผลการประเมนิ การอาํ น คดิ วิเคราะห๑ และเขยี น ผลการประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคข๑ อง
สถานศกึ ษา และผลการประเมนิ กิจกรรมพฒั นาผูเ๎ รยี น สถานศกึ ษาจะต๎องบันทกึ ข๎อมลู และออกเอกสารน้ี
ใหผ๎ ๎เู รียนเป็นรายบุคคล เมอื่ ผเ๎ู รียนจบการศกึ ษาระดบั ประถมศกึ ษา (ช้นั ประถมศึกษาปที ี่ 6) จบการศกึ ษา
ภาคบังคบั (ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 3) จบการศึกษาพ้ืนฐาน (ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 6) หรือเม่ือลาออกจาก
สถานศึกษาในทกุ กรณี
1.2 ประกาศนียบตั ร
เป็นเอกสารแสดงวุฒกิ ารศกึ ษาเพ่ือรบั รองศักด์ิและสทิ ธิ์ของผู๎จบการศึกษา ทีส่ ถานศกึ ษา
ให๎ไว๎แกผํ ูจ๎ บการศกึ ษาภาคบังคบั และผูจ๎ บการศึกษาขนั้ พื้นฐาน ตามหลักสตู รแกนกลางการศกึ ษา
ข้ันพน้ื ฐาน
1.3 แบบรายงานผูส๎ าเร็จการศกึ ษาขนั้ พน้ื ฐานเป็นเอกสารอนุมัตกิ ารจบหลกั สตู ร
โดยบันทึกรายช่ือ และขอ๎ มลู ของผูจ๎ บการศึกษาระดบั ประถมศึกษา (ชัน้ ประถมศกึ ษาปที ี่ 6) ผ๎ูจบ
การศึกษาภาคบังคบั (ชนั้ มธั ยมศึกษาปีท่ี 3) จบการศึกษาข้นั พ้นื ฐาน (ชนั้ มธั ยมศึกษาปที ี่ 6)
2. เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษาทส่ี ถานศกึ ษากาหนด
เปน็ เอกสารที่สถานศึกษาจัดทาขนึ้ เพ่ือบันทกึ พัฒนาการ ผลการเรยี นร๎ู และข๎อมูลสาคัญ
เกี่ยวกับผเ๎ู รียน เชนํ แบบรายงานประจาตัวนักเรยี น แบบบันทึกผลการเรียนร๎ูประจารายวชิ า ระเบียน
สะสม ใบรบั รองผลการเรียน และเอกสารอ่ืน ๆ ตามวัตถปุ ระสงคข๑ องการนาเอกสารไปใช๎
80
การเทียบโอนผลการเรียน
สานักงานเลขาธกิ ารสภาการศึกษา ให๎รายละเอยี ดของการเทยี บโอนไว๎ ดงั นี้
การเทียบโอนประสบการณ๑ หมายถงึ การนาผลการเรียนรู๎ซ่ึงเป็นความร๎ู ทักษะและ
ประสบการณ๑ของบคุ คลทเี่ กิดจากการศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศยั ท่ีได๎สัง่ สมไว๎
มาประเมินเป็นสํวนใดสํวนหน่ึงของหลักสูตรในแตํละระดับการศึกษา โดยให๎มีการเทียบโอน
ผลการเรียนทผ่ี ๎ูเรยี นสะสมไวใ๎ นระหวํางรูปแบบเดียวกันหรือตํางรูปแบบได๎ ไมํวําจะเปน็ ผลการเรียน
จากสถานศึกษาเดยี วกนั หรือไมํก็ตาม รวมทัง้ จากการเรียนร๎ูนอกระบบ ตามอธั ยาศัย การฝึกอาชพี
หรอื จากประสบการณ๑การทางาน
นอกจากน้ีระเบียบสถานศึกษาวาํ ด๎วยการประเมนิ ผลการเรียนตามหลกั สูตรการศกึ ษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ไดร๎ ะบุเรอ่ื งการเทยี บโอนผลการเรียนไว๎เปน็ 1 หมวด เป็นการนาผล
การเรียน ซ่ึงเป็นความรู๎ทกั ษะและประสบการณ๑ของผู๎เรียนที่เกดิ จากการศึกษาในระบบการศึกษา
นอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย มาประเมินเป็นสํวนหน่ึงของการศึกษาตามหลักสูตรใด
หลักสูตรหนึ่ง สรุปได๎ ดังน้ี 1) ผู๎ขอเทียบโอนต๎องข้ึนทะเบียนเป็นนักเรียนของสถาบนั ศึกษาใด
สถานศึกษาหน่ึง 2) จานวนสาระการเรียนรู๎ รายวชิ า จานวนหนวํ ยกิต ท่จี ะรับเทียบโอนและอายขุ อง
ผลการเรียนท่ีจะนามาเทยี บโอน ให๎อยูใํ นดุลยพินิจของสถานศึกษา เมื่อเทยี บโอนแล๎วต๎องมีเวลาเรยี น
อยํูในสถานศึกษาท่ีจะรบั เทยี บโอนไมํน๎อยกวาํ 1 ภาคเรยี น 3) การเทยี บโอนผลการเรยี นดาเนินการ
ในรปู คณะกรรมการการเทียบโอนผลการเรยี นจานวนไมํนอ๎ ยกวํา 3 คน แตไํ มเํ กิน 2 คน แนวปฏบิ ัติ
ให๎เป็นไปตามระเบียบของกระทรวงศึกษาธิการที่กาหนดไว๎แล๎ว อาจมแี นวทางในการกาหนด
ดังตารางท่ี 4
ตารางท่ี 4 บทบาทของผท๎ู ่ีเกี่ยวขอ๎ งในการเทยี บโอนผลการเรียน (สานกั งานเลขาธกิ ารสภา
การศึกษา, 2554)
ผ้รู ับผดิ ชอบ บทบาทของผู้ที่เกยี่ วขอ้ งในการเทียบโอนผลการเรยี น
1. คณะกรรมการสถานศึกษา - รบั ทราบผลการดาเนินงานเทียบโอนผลการเรียน
2. หัวหน๎าสถานศกึ ษา - แตํงตงั้ คณะกรรมการเทียบโอนผลการเรยี น
- อนุมัติผลการเทยี บโอนผลการเรยี น
3. คณะกรรมการ - จัดทาแนวปฏบิ ัติในการเทียบโอนผลการเรียน
เทยี บโอนผลการเรียน - กาหนดระบบ หลักเกณฑ๑ และวธิ กี ารประเมนิ ความร๎แู ละ
ประสบการณ๑
81
ตารางท่ี 4 (ตอํ )
ผู้รบั ผดิ ชอบ บทบาทของผทู้ ่ีเกี่ยวข้องในการเทียบโอนผลการเรียน
4. งานทะเบียนวดั ผล
- จัดทาหรอื จดั หาเคร่ืองมือในการประเมินความรูท๎ กั ษะและ
ประสบการณข๑ องผู๎ขอเทียบโอนผลการเรยี น
- ดาเนินการเทยี บโอนผลการเรยี น
- ประเมนิ ความร๎ู ทกั ษะ ประสบการณข๑ องผข๎ู อเทียบโอน
ผลการเรยี น
- ตดั สินผลการเทียบโอนผลการเรียนและนาเสนอหัวหน๎า
สถานศึกษาเพือ่ การเทยี บอนมุ ตั ิโอนผลการเรยี น
- ประเมนิ ผลการดาเนินงานเทียบโอนผลการเรียนและจดั ทา
รายงานผล
- ประสานงานการเทยี บโอนผลการเรยี น
- บนั ทึกผลการเทยี บโอนผลการเรียน
- พิจารณารวบรวมเอกสาร/ หลกั ฐานทางการศกึ ษา
กรณีขอเทียบโอนผลการเรียนไปยงั สถานศกึ ษาอน่ื
และตามคารอ๎ งขอของสถานศึกษาท่รี ับเทยี บโอน
- ออกเอกสารใบแจ๎งผลการเทียบโอนผลการเรียนตามทมี่ ผี ู๎ร๎องขอ
การเทยี บโอนการศึกษาน้ัน แบงํ เปน็ 2 ประเภท คอื เป็นการเทียบระดับการศึกษาเพื่อจบ
การศึกษา ซ่ึงมี 3 ลักษณะ คือ เทียบวฒุ ิจากหลกั สูตรตาํ งประเทศเขา๎ สูํหลักสูตรในประเทศ เทียบระหวําง
หลักสูตร หรือเทยี บตาํ งรปู แบบ ได๎แกํ หลกั สูตรการศึกษาในระบบและนอกระบบเทียบจากการเรียนร๎ู
ตามอัธยาศยั และการเทยี บโอนผลการเรียนรเ๎ู ป็นการเทียบโอนในระดับเดยี วกันหรือตาํ งรปู แบบกนั
การเทยี บโอนผลการเรียนควรดาเนินการในชํวงกํอนเปิดภาคเรยี นแรก หรือต๎นภาคเรียนแรก
ท่สี ถานศกึ ษารบั ผู๎ขอเทียบโอนเป็นผ๎ูเรียน ท้งั นี้ ผูเ๎ รียนทีไ่ ดร๎ บั การเทียบโอนผลการเรียนตอ๎ งศกึ ษา
ตํอเน่ืองในสถานศกึ ษาท่รี ับโอนอยํางน๎อย 1 ภาคเรยี น โดยสถานศกึ ษาทีร่ ับผ๎ูเรยี นจากการเทียบโอน
ควรกาหนดรายวชิ า/ จานวนหนํวยกิต ทจ่ี ะรับเทยี บโอนตามความเหมาะสม
การพิจารณาการเทียบโอน สามารถดาเนินการได๎ ดงั นี้
1. พจิ ารณาจากหลกั ฐานการศึกษา และเอกสารอน่ื ๆ ท่ีให๎ขอ๎ มลู แสดงความรขู๎ องผู๎เรยี น
2. พิจารณาความร๎ูความสามารถของผเ๎ู รยี นโดยการทดสอบดว๎ ยวธิ กี ารตําง ๆ
82
3. พิจารณาจากความสามารถและการปฏิบตั ใิ นสภาพจรงิ
5. การวจิ ัยเพ่ือพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา
พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหํงชาติ พุทธศักราช 2542 มาตรา 24 (5) ใหส๎ ถานศกึ ษาสงํ เสริมให๎
ผสู๎ อนสามารถใชก๎ ารวิจัยเพ่ือพัฒนากระบวนการเรยี นร๎ู มาตรา 30 ให๎สถานศึกษาสงํ เสริมให๎ผ๎ูสอน
สามารถวิจยั เพ่อื พัฒนาการเรียนรู๎ มาตรา 67 รัฐต๎องสงํ เสริมให๎มกี ารวจิ ัยและพฒั นา การผลิตและ
การพฒั นาเทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา โดยมผี ส๎ู อนเปน็ ผ๎ปู ฏิบัตกิ ารทจ่ี ะคน๎ หาคาตอบเพ่ือการแกป๎ ญั หาตอํ ไป
ความหมายของการวจิ ยั
Best (1981, p. 24) ให๎ความหมายวํา “การวจิ ยั เป็นแบบแผนหรือกระบวนการวิเคราะห๑
อยํางเป็นปรนยั มีโครงสรา๎ งท่เี ป็นระเบียบ มกี ารจดบันทึกรายงาน และสรุปผลเปน็ กฎเกณฑ๑หรือ
ทฤษฎขี ึ้นเพอ่ื นาไปอธบิ าย ทานาย หรอื ควบคุมปรากฏการณ๑ตําง ๆ
Lewin (1951, p. 22) กลําววํา การวิจัยในชน้ั เรียน เปน็ การวิจยั ท่ีเน๎นการปฏบิ ัตโิ ดยอาศยั
ข๎อมลู พน้ื ฐานจากกลํมุ ปฏิบัตกิ ารเป็นหลกั เพ่อื นาผลการวจิ ยั ไปปรบั ปรุงใหม๎ ีคุณภาพและประสทิ ธิภาพ
สูงสดุ ตามเง่ือนไขที่ตัง้ ไว๎
Kerlinger (1986) ใหค๎ วามหมายวํา “เป็นการใหข๎ ๎อมูลในการตรวจสอบสมมติฐานเก่ยี วกับ
ความสมั พันธ๑ของปรากฏการณ๑ธรรมชาติ โดยได๎แยกความหมายของ RESEARCH ไว๎ดังนี้
R-Recruitment and relationship หมายถึง การฝกึ คนใหม๎ คี วามร๎ู รวมท้งั รวบรวมผูม๎ ีความร๎ู
และปฏิบตั งิ านรวํ มกันตดิ ตํอสมั พนั ธ๑และประสานงานกัน
E-Education and efficiency หมายถึง ผ๎ูวิจัยจะต๎องมีการศกึ ษา มีความร๎ู และสมรรถภาพสงู
ในการวจิ ัย
S-Sciences and stimulation เป็นศาสตร๑ที่ต๎องพิสูจน๑เพอื่ ค๎นคว๎าหาความจรงิ และผวู๎ ิจยั
จะตอ๎ งมีพลังกระต๎ุนเกดิ ความคดิ รเิ ริ่ม กระตือรอื รน๎ ท่ีจะทาวิจยั ตํอไป
E-Evaluation and environment ผวู๎ จิ ยั จะต๎องรูจ๎ ักการประเมนิ ผลดวู ํางานวิจัยที่ทาอยมํู ี
ประโยชนส๑ มควรจะทาตํอหรอื ไมํ และต๎องรูใ๎ ช๎เคร่ืองมอื อปุ กรณ๑ตาํ ง ๆ ในการวิจัย
A-Aim and attitude มีจุดมงํุ หมายหรือเป้าหมายทแ่ี นํนอน และมเี จตคตทิ ี่ดีตํอผลของการวิจัย
R-Result ผลของการวิจัยท่ไี ด๎มาจะเป็นบวกหรือลบก็ตาม จะต๎องยอมรบั ผลของการวจิ ัยนั้น
เพราะเปน็ ผลท่ไี ดม๎ าจากการคน๎ ควา๎ อยาํ งเป็นระบบและเชื่อถือได๎
C-Curiosity ผว๎ู จิ ยั จะต๎องมคี วามอยากร๎อู ยากเห็น มคี วามสนใจและขวนขวายในงานวิจัย
อยตูํ ลอดเวลา แมว๎ าํ ความอยากรูน๎ ้ันจะมีเพยี งเล็กน๎อยก็ตาม
83
H-Horizon เม่อื ผลการวิจยั ปรากฏขน้ึ แล๎ว ยํอมทาให๎ทราบและเข๎าใจในปญั หาเหลํานนั้
ได๎เหมอื นกบั แสงสวํางเกิดขึ้น แตถํ า๎ ยงั ไมเํ กดิ แสงสวําง ผ๎ูวิจัยจะตอ๎ งดาเนินการตอํ ไปจนกวาํ จะพบ
แสงสวําง ซง่ึ ก็คือผลของการวจิ ัยจะตอ๎ งกํอใหเ๎ กดิ สนั ตสิ ุขแกํสังคม
พระธรรมปิฎก กลําววํา คาวํา “วจิ ัยมาจากภาษาบาลี เป็นความหมายที่ใช๎แทนคาวาํ ปัญญา”
คาวาํ วิจโย คือวจิ ัยเป็นลักษณะหนงึ่ ของการใชป๎ ญั ญา พรอ๎ มทงั้ เป็นการทาให๎เกิดปัญญา หรือทาให๎
ปัญญาพัฒนาขน้ึ ด๎วย
ศริ ิพร ขมั ภลิขิต (2551, หน๎า 106-107) กลาํ วสรุปไว๎วํา การวิจัยทางการศกึ ษา เป็นการวิจยั
แขนงหนงึ่ ของสังคมศาสตร๑ ก็คอื การศกึ ษาค๎นคว๎าเพ่ือหาข๎อเท็จจริงหรือหาความร๎ูใหมํทางการศึกษา
เพือ่ นาไปตง้ั กฎหรือทฤษฎี และเพื่อหาแนวทางในการปฏบิ ัตโิ ดยใช๎ระเบียบวิธีวิจัย
รํงุ ชัชดาพร เวหะชาติ (2552, หน๎า 113) กลําวสรปุ ไวว๎ าํ การวิจัย คือ กระบวนการท่เี ป็น
ระบบนําเช่ือถือสาหรบั ใช๎เป็นเครื่องมอื ในการคน๎ คว๎าหาความรู๎เกีย่ วกบั ปรากฏการณ๑ตําง ๆ ท่ีสนใจ
โดยสรุป การวิจัย หมายถงึ กระบวนการศึกษา ค๎นคว๎า หาความรู๎ โดยวิธกี ารศึกษา
อยํางมีระเบยี บ ใชห๎ ลกั เกณฑ๑ทางวทิ ยาศาสตร๑
ความสาคัญของการวิจัยกบั การศึกษา
การศึกษากับการวิจัยเป็นสองสิง่ ท่ีประกอบกันเข๎าเป็นสิง่ เดียวกัน เป็นเครอื่ งมือแหํงปัญญา
เปน็ เครื่องมือแหงํ การสร๎างสรรค๑ปัญญา และเป็นตัวปัญญาเอง การศกึ ษาท่ไี มํอยูํบนฐานของการวจิ ยั
จะเป็นเพียงการศึกษาทใ่ี ห๎ความร๎ู และไมนํ าไปสํปู ัญญา การวจิ ยั ทีพ่ ฒั นาขึ้นในสังคมที่การศกึ ษา
ด๎อยคณุ ภาพจะเป็นการวิจยั ทด่ี ๎อยคุณภาพ ไมํสามารถทางานวจิ ัยทสี่ รา๎ งสรรคน๑ วัตกรรม ศิลปกรรม
สร๎างระบบ สร๎างชุมชน สร๎างสังคมได๎อยาํ งไมํมที สี่ ิ้นสุด การศึกษา และการวจิ ัยเป็นโครงสรา๎ งพ้นื ฐาน
ที่สาคัญท่ีสุดในสังคมยุค “ความรู๎เป็นฐาน” ประกอบกับการวิจยั อนาคตเร่ืองอนาคตการศึกษาไทย
10-20 ปี พบวํา ภาพอนาคตดา๎ นการศกึ ษาไทยทีพ่ งึ ประสงค๑ คอื เป็นการศึกษาทม่ี ํงุ พัฒนาปัจเจกบุคคล
ให๎มคี วามรู๎ ทกั ษะ สติปัญญา ความฉลาดทางอารมณ๑ การปรับตวั เพ่ืออยํรู วํ มกันในสงั คมได๎อยํางมี
ความสขุ มงํุ เน๎นการพัฒนามันสมอง และสตปิ ัญญาของมนษุ ยค๑ วบคกํู ับสภาวะแหํงคุณธรรม จริยธรรม
ที่มคี วามสมบูรณอ๑ ยํางเป็นองคร๑ วมดว๎ ยการกลไกของวิทยาศาสตร๑ เทคโนโลยี การวจิ ัยและพัฒนา
เปน็ ฐานในยคุ เศรษฐกจิ สงั คมฐานความร๎ู (พิณสุดา สิรธิ รังศรี, 2552, หน๎า 157-158)
การวิจัยมคี วามจาเป็นและมคี วามสาคญั ตํอการดาเนนิ ภารกจิ ของสถานศึกษา ทัง้ ภารกิจ
การจดั การศึกษา และภารกจิ ด๎านการบริหารจดั การหลายประการ ดังนี้
1. การวจิ ยั เป็นการแกป๎ ัญหาในชีวิตประจาวนั อยํางมแี บบแผน ผ๎ูบริหารโรงเรยี นจะต๎อง
แสวงหาเทคนคิ วธิ กี ารในการบรหิ ารจดั การที่เหมาะสม และมปี ระสทิ ธภิ าพยง่ิ ขนึ้ ครูจาเป็นตอ๎ งแสวงหา
84
แนวทางการจัดการเรียนการสอนให๎สอดคลอ๎ งกบั ธรรมชาติ และศกั ยภาพของนักเรียนแตํละคน
ซ่งึ มีความแตกตาํ งกนั
2. การใชแ๎ นวทางการวิจยั จะนาไปสกูํ ารฝึกการแกป๎ ญั หา หรอื การบรรลุจดุ หมาย
อยาํ งเปน็ ระบบและนาไปสูคํ วามเชื่อถอื ไดม๎ ากขน้ึ
3. การวจิ ัยจะนาไปสํูการพัฒนา “ความมเี หตุ-มผี ล” สามารถไดร๎ ับคาตอบทพ่ี ิสจู นไ๑ ด๎
4. การวจิ ัยเป็นการฝึกความคิดไดอ๎ ยํางแตกฉาน มีระบบแบบแผนและขั้นตอนชัดเจน
ตามขั้นตอน ดังนี้
4.1 การรบั ร๎ปู ัญหาหรือความต๎องการ
4.2 การแสวงหาทางเลือกและเลือกทางเลือก
4.3 ทดสอบทางเลือกท่ีเลือกใช๎
4.4 สรุปท่ไี ด๎รับ เพ่ือใช๎ เพื่อพัฒนา หรอื เพอ่ื เลือกทางเลอื กใหมํ
5. พระราชบญั ญัตกิ ารศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 30 ได๎ใหค๎ วามสาคญั ของการวจิ ัย
วาํ มีสิ่งจาเป็นในกระบวนการจดั การศึกษา โดยเฉพาะอยาํ งยิง่ การวจิ ยั การเรียนการสอนเพ่ือให๎
การดาเนินการสอดคล๎องกับธรรมชาติและศักยภาพของนักเรยี น
6. ผลการวิจัยจะนาไปสํคู วามเจริญพฒั นาการบริหาร และการจดั การศึกษาไดย๎ ัง่ ยืนและ
มปี ระสทิ ธภิ าพ และประสิทธิผลในการดาเนินการ
7. การวิจัยมคี ณุ คาํ ดงั น้ี
7.1 ทาใหผ๎ ู๎บรหิ ารสถานศึกษาและครูไดท๎ ราบข๎อเท็จจรงิ ซงึ่ นามาปรบั ปรงุ หรือ
พฒั นาภารกิจทีร่ ับผิดชอบได๎ดียิง่ ขึน้
7.2 เปิดโอกาสไดศ๎ กึ ษาค๎นคว๎าวทิ ยาการใหมํ
7.3 เปน็ การแก๎ปัญหาตําง ๆ ไดต๎ รงจดุ เป็นการประหยัดเวลาและการลงทนุ
7.4 ชวํ ยในการวางแผนการดาเนินการแตลํ ะอยํางได๎อยํางถูกต๎องและประสบความสาเร็จ
7.5 กระตุน๎ ความตระหนกั ความสนใจที่มชี วี ติ ชวี า
7.6 สงํ เสริมการสรา๎ งผลงานเพื่อความกา๎ วหน๎าของโรงเรียนและตนเอง
แนวปฏิบตั ขิ องสถานศึกษาในการวจิ ยั เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรียนรู้
แนวปฏบิ ัติการวจิ ัยเพอ่ื พัฒนาคณุ ภาพการเรียนร๎ูตามแนวทางกรมสงํ เสริมการปกครอง
สวํ นท๎องถ่นิ (2553)
1. ศึกษา วเิ คราะห๑ วิจัยการบริหาร การจัดการและการพัฒนาคุณภาพงานวชิ าการ
ในภาพรวมของสถานศกึ ษา
2. สํงเสริมให๎ครูศึกษา วเิ คราะห๑ วจิ ัย เพื่อพัฒนาคุณภาพการเรยี นร๎ู
85
3. จดั หาสือ่ และเทคโนโลยเี พ่อื ใช๎ในการเรียนการสอน และการพฒั นางานดา๎ นวิชาการ
4. ประสานความรํวมมือในการศึกษา วิเคราะห๑ วจิ ัย ตลอดจนการเผยแพรผํ ลงานการวิจัย
หรอื พัฒนาคุณภาพการเรียนการสอน และงานวชิ าการกับสถานศึกษา บุคคล ครอบครัว องค๑กร
หนวํ ยงาน และสถาบนั อ่นื
5. การประเมินผลการพัฒนาการใช๎ส่อื นวตั กรรมและเทคโนโลยีเพ่ือการศึกษา
การวิจยั เพ่อื พัฒนาคณุ ภาพการเรียนรู้
การวิจยั เพื่อพัฒนาคณุ ภาพการเรยี นรท๎ู ีม่ งุํ เนน๎ ผลการเรียนร๎ูของผ๎ูเรียนเปน็ เปา้ หมายของ
การจดั การเรยี นร๎ู ด๎วยการใช๎การวิจยั ในกระบวนการเรยี นร๎ู การวิจยั พฒั นาการเรยี นรู๎ และการวิจยั
เพื่อพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาของสถานศึกษา มแี นวคดิ แตํละประเด็น ดงั น้ี
1. การใช๎การวจิ ัยในกระบวนการเรยี นรู๎ มีวธิ กี ารอยํางเป็นระบบ 5 ขนั้ ตอน คือ
ขน้ั ตอนท่ี 1 การวิเคราะห๑ความตอ๎ งการการเรียนร๎ู มกี ารลาดับความสาคญั กอํ นหรือหลัง
ตามความจาเป็น
ขั้นตอนท่ี 2 การวางแผนการเรยี นร๎ู ตลอดจนวางแผนไปถึงการนาความรท๎ู ่ีไดไ๎ ปปรับปรุง
และพัฒนางานอยาํ งไร
ข้นั ตอนที่ 3 การพัฒนาทักษะการเรยี นร๎ู เป็นการปฏบิ ัตใิ นการแสวงหาความรู๎
ตามท่วี างแผนไว๎ ซึ่งอาจใช๎วิธีการตําง ๆ ในการเรียนรู๎ จากการใช๎แหลํงเรียนรต๎ู าํ ง ๆ
ขั้นตอนที่ 4 การสรุปความร๎ู เปน็ ขั้นตอนท่ีผ๎ูเรยี นสรปุ ความรแู๎ ละนาเสนอความรู๎
ที่ได๎จากการค๎นคว๎าในรปู แบบตําง ๆ ทเ่ี หมาะสม
ข้ันตอนท่ี 5 การประเมินผลเพอ่ื ปรบั ปรุงและนาไปใช๎ในการพัฒนา
2. การวิจยั เพื่อพัฒนาการเรียนรู๎ กระบวนการในการนาวจิ ัยเขา๎ มาเป็นสํวนหนง่ึ ของ
การเรียนการสอน เป็นการสอดคล๎องกบั พระราชบญั ญัตกิ ารศกึ ษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 ที่เน๎น
การทาวิจัยเพอ่ื พัฒนาการเรยี นร๎ทู กี่ าหนดใหเ๎ ป็นภารกจิ ของผ๎ูสอน 3 ประการ คือ
ประการแรก จัดกระบวนการเรียนการสอน และใช๎การวิจัยเป็นสวํ นหนึ่งของกระบวนการ
เรียนร๎ู มาตรา 24(5)
ประการทส่ี อง ทาวิจยั เพือ่ จัดกิจกรรมการเรยี นรูท๎ ี่เหมาะสมกับผเ๎ู รยี นในแตํละระดบั
การศกึ ษา มาตรา 30
ประการทส่ี าม นาผลการวิจยั มาใช๎ในการปรบั ปรุงกระบวนการเรียนการสอน มาตรา 30
ดงั นั้น การใชก๎ ารวิจัยเพ่ือพัฒนาการเรยี นร๎ูจึงเป็นภารกิจท่สี าคัญและจาเปน็ ในกรณีท่ผี สู๎ อน
พบวํา กระบวนการพัฒนาการเรียนร๎ูที่กาลังดาเนินการอยูมํ ปี ัญหามากหรือมีความจาเป็นต๎องการพัฒนา
อยาํ งเรํงดํวน ในวงจรหลกั ของการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพ่ือพัฒนาการเรียนร๎ู 5 ขั้นตอน ตัง้ แตํ
86
การวิเคราะหค๑ วามต๎องการ/ พฒั นาการเรียนรู๎ วางแผนการจัดการเรยี นรู๎ จัดกจิ กรรมการเรยี นร๎ู ประเมินผล
การเรียนร๎ู และทารายงานผลการเรียนรู๎ เป็นการนากระบวนการวจิ ัยเข๎ามาใช๎ในกระบวนการดาเนินงาน
ของผ๎ูสอน ขั้นตอนท่ี 3 ผ๎ูสอนทาการประเมินระหวํางสอนแลว๎ พบปญั หาเลก็ นอ๎ ย สามารถปรับปรงุ
แก๎ไขได๎ในชํวงการจัดกิจกรรมขณะน้ัน และเม่ือประเมินผลในข้ันตอนที่ 4 แล๎วไมํพบวํามีปัญหา
ผ๎ูสอนสามารถจัดทารายงานผลการเรียนรู๎แกํผ๎ูเกีย่ วข๎องทราบและใชป๎ ระโยชน๑ตํอไป หากพบปญั หา
ใหด๎ าเนินการทาวจิ ยั เพิ่มเติมตามวงจรยอํ ย 5 ข้ันตอนและนาผลการวิจยั ไปใชต๎ อํ ไป
3. การวจิ ยั พัฒนาคุณภาพการศึกษา
สถานศกึ ษาจะมีประสทิ ธภิ าพเพียงใดขึ้นอยกํู บั องค๑ประกอบภายในของสถานศกึ ษานัน้ ๆ
ไดแ๎ กํ ผ๎ูสอน ผู๎เรียน หลกั สตู ร และสอ่ื วสั ดุ อุปกรณต๑ ําง ๆ ผท๎ู ีส่ าคัญท่ีสุดในการทากิจกรรมตําง ๆ
ภายในสถานศึกษาดาเนนิ ไปด๎วยดี คอื ผบู๎ ริหาร ซงึ่ จะเป็นผูท๎ ีร่ ะดมการมีสํวนรํวมของคนทุกฝ่าย
ต้งั แตํชมุ ชน ผูส๎ อน และผู๎เรียนรํวมกัน วิเคราะหป๑ ญั หาและความต๎องการเพอ่ื กาหนดทิศทางหรือ
วิสัยทัศน๑ จัดทาแผนปฏิบัติการของโรงเรียน การนิเทศติดตามผล และการจัดทารายงานผล
การดาเนินงานของสถานศึกษาให๎ผู๎ทเ่ี ก่ยี วขอ๎ งทราบ กระบวนการดังกลําวถอื วําผบู๎ ริหารไดน๎ า
กระบวนการวิจัยมาใช๎ในการบริหารจัดการของสถานศึกษาในความรับผดิ ชอบ (ภาวิดา ธาราศรสี ุทธิ,
2550, หน๎า 128-129) ดังภาพท่ี 6
1. วิเคราะหป๑ ญั หาและความต๎องการเพือ่ กาหนดทศิ ทาง/ วสิ ยั ทัศน๑
2. จดั ทาแผนโรงเรยี น
3. ดาเนนิ งานตามแผน มีปญั หา
1. วเิ คราะห๑ปัญหา/ การพัฒนา
4. นเิ ทศติดตาม 2. วางแผนการแกป๎ ญั หา/ การพัฒนา
ไมํมีปญั หา 3. จัดกจิ กรรมแก๎ปัญหา/ การพฒั นา
4. เกบ็ รวบรวมขอ๎ มูล วิเคราะห๑ข๎อมูล
5. ทารายงานผลการดาเนินงาน
5. สรุปผลการแก๎ไขปญั หา/ การพฒั นา
และนาไปปรับปรงุ ทุกข้ันตอน
ภาพท่ี 6 การใช๎การวจิ ยั เพ่ือพฒั นาการเรียนรู๎ (รงํุ ชชั ดาพร เวหะชาต,ิ 2552)
87
จากภาพที่ 6 ผู๎บริหารไดใ๎ ช๎กระบวนการวิจัยมาใช๎ในการดาเนินงานบรหิ ารโรงเรียน
ตั้งแตกํ ารวิเคราะห๑ปัญหา และความต๎องการเพื่อการกาหนดทศิ ทาง/ วิสยั ทัศน๑ การจดั ทาแผนโรงเรยี น
การดแู ลปฏบิ ตั งิ านใหเ๎ ป็นไปตามแผน การนิเทศ/ ตดิ ตาม/ ประเมินผลการดาเนินงาน และจัดทารายงานผล
การดาเนินงานของสถานศึกษา ในกรณีที่ผ๎ูบริหารมีการประเมนิ ผลการดาเนนิ งานแลว๎ พบปัญหารุนแรง
หรือพบสง่ิ ท่คี วรได๎รบั การพัฒนาท่สี าคัญ ผ๎ูบริหารตอ๎ งทาวิจยั เพื่อแกป๎ ญั หา หรือพัฒนางานดังกลําว
ในระหวํางข้ันตอนที่ 4 ของการดาเนินงาน โดยมีข้ันตอนวิจัย 5 ขั้นตอน คือ การวิเคราะห๑ปัญหา/
พัฒนา วางแผนแก๎ปัญหา/ พัฒนา จัดกิจกรรมแกป๎ ญั หา/ พัฒนา เก็บรวบรวมขอ๎ มูล วิเคราะหข๑ ๎อมูล
และสรุปผลการแก๎ปัญหา/ พฒั นา นาผลการวิจัยไปใช๎ แล๎วทาการประเมินผลในขั้นตอนท่ี 4 ของ
การดาเนินงานบริหารอกี ครง้ั จนพบวําไมมํ ปี ัญหา จัดทารายงานผลการดาเนินงานของสถานศึกษา
ใหแ๎ กผํ ๎เู กย่ี วขอ๎ งทราบ หรอื เปน็ ขอ๎ มูลในการพัฒนางานตํอไป
สรุปได๎วํา การวิจัยเป็นวิธีการเพ่ือให๎ได๎ข๎อมูลท่ีเป็นระบบและระเบียบ เป็นเคร่ืองมือ
ในการทางาน คือ ต๎องมีเป้าหมายทช่ี ัดเจน ต๎องการพัฒนาไปทางไหนอยํางไร มีองค๑ประกอบอะไรบ๎าง
เกบ็ รวบรวมข๎อมูลให๎เปน็ ระบบ แลว๎ จึงเขยี นรายงานออกมาใหเ๎ หน็ ความเคลอื่ นไหวของการทางาน
ต๎องการปรบั ปรุงเปล่ียนแปลงอะไรบา๎ ง ขอ๎ มูลเหลํานีถ้ า๎ เก็บอยํางเป็นระบบจะเข๎ามาสกูํ ระบวนการ
ของการวิจัยและพฒั นาได๎
6. การพฒั นาและส่งเสริมให้มแี หล่งเรยี นรู้
มาตรา 25 แหงํ พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 บัญญัตวิ าํ รฐั ต๎องสงํ เสริม
การดาเนนิ งานและการจดั ตงั้ แหลํงการเรียนรู๎ตลอดชีวติ ทกุ รปู แบบ ไดแ๎ กํ หอ๎ งสมุดประชาชน พิพธิ ภัณฑ๑
หอศิลป์ สวนพฤกษศาสตร๑ อุทยานวิทยาศาสตร๑ และเทคโนโลยี ศูนย๑การกีฬาและนันทนาการ
แหลํงข๎อมลู และแหลํงเรียนร๎ูอ่นื อยํางพอเพียงและมีประสิทธิภาพ การพัฒนาแหลงํ เรียนรใ๎ู นโรงเรยี น
เพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนจึงเป็นเรื่องสาคัญ (รงุํ ชัชดาพร เวหะชาต,ิ 2552, หน๎า 132-136)
โดยบทบาทของแหลํงเรยี นรู๎ในการใหก๎ ารศึกษาแกํผ๎เู รยี นทั้งในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศยั
มีดังนี้ 1) แหลํงเรียนรู๎ต๎องสามารถตอบสนองการเรียนรู๎ที่เป็นกระบวนการ (Process of learning)
การเรียนร๎ูโดยการปฏิบัติจริง (Learning by doing) ท้ังการเรียนรู๎ของคนในชุมชนท่ีมีแหลํงเรียนร๎ู
ของตนเองอยํูแล๎วและการเรียนร๎ขู องคนอ่ืน ๆ ทง้ั ในระบบ นอกระบบ และตามอัธยาศยั 2) เป็นแหลงํ
ทากิจกรรม แหลํงทัศนศึกษา แหลํงฝึกงานและแหลํงประกอบอาชีพของผ๎ูเรียน 3) เป็นแหลํงสร๎าง
กระบวนการเรยี นรใ๎ู หเ๎ กิดขึ้นโดยตนเอง 4) เป็นห๎องเรยี นทางธรรมชาติ เปน็ แหลํงศึกษาคน๎ ควา๎ วิจัย
และฝึกอบรม 5) เป็นองค๑การเปิด ผ๎ูสนใจสามารถเข๎าถงึ ข๎อมูลได๎อยาํ งเต็มท่ีและท่วั ถึง 6) เผยแพรํข๎อมลู
แกํผ๎ูเรียนในเชิงรุกเข๎าสํูทุกกลุํมเป้าหมายอยาํ งทั่วถงึ ประหยัดและสะดวก 7) มีการเช่อื มโยงและ
88
แลกเปลี่ยนขอ๎ มลู ระหวํางกัน และ 8) มสี ื่อประเภทตาํ ง ๆ ประกอบด๎วยสอ่ื ส่ิงพิมพแ๑ ละสอ่ื อิเล็กทรอนิกส๑
เพอื่ เสริมกิจกรรมการเรียนการสอนและการพัฒนาอาชีพ
ความหมายของแหล่งเรียนรู้
ภาวิดา ธาราศรีสทุ ธิ (2550, หนา๎ 165) กลาํ ววํา แหลงํ เรียนรู๎ หมายถึง แหลํงข๎อมูล ขําวสาร
ความร๎ู และประสบการณ๑ท้ังหลายทสี่ ามารถทาใหผ๎ ๎ูเรยี นเกิดการเรียนรไ๎ู ด๎ด๎วยตนเอง จากการได๎คิดเอง
ปฏบิ ัติเอง และสรา๎ งความรดู๎ ๎วยตนเอง ตามอธั ยาศยั และตํอเนือ่ งจนเกิดกระบวนการเรียนร๎ู และสุดทา๎ ย
กจ็ ะเปน็ บคุ คลแหงํ การเรยี นร๎ู
รุํงชัชดาพร เวหะชาติ (2552, หน๎า 132) กลําววาํ แหลงํ เรยี นรู๎ หมายถึง “แหลํง” หรือ “ท่ีรวม”
ซึ่งอาจเป็นสภาพ/ สถานที่หรือศูนย๑รวมที่ประกอบด๎วย ข๎อมูล ขําวสาร ความร๎ู และกิจกรรมท่ีมี
กระบวนการเรียนรหู๎ รือกระบวนการเรียนการสอนที่มีรูปแบบแตกตํางจากกระบวนการเรยี นการสอน
ท่ีมีครูเป็นผู๎สอน หรือศูนย๑กลางการเรียนร๎ู เป็นการเรียนรู๎ท่ีมีกาหนดเวลายืดหยุํนสอดคล๎องกับ
ความต๎องการ และความพร๎อมของผูเ๎ รยี น การประเมินผลและการวัดผลการเรยี นมลี กั ษณะเฉพาะที่
สร๎างขึ้นใหเ๎ หมาะสมกบั การเรียนร๎อู ยาํ งตอํ เนือ่ ง ซึ่งไมํจาเป็นตอ๎ งเปน็ รปู แบบเดยี วกันกับการประเมนิ ผล
ในชนั้ หรือห๎องเรยี น แหลงํ การเรยี นร๎ูตามมาตรา 25 ในพระราชบัญญัติการศกึ ษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542
ได๎แกํ หอ๎ งสมดุ ประชาชน พิพธิ ภณั ฑ๑ หอศิลป์ สวนสตั ว๑ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร๑ อทุ ยาน
วทิ ยาศาสตร๑และเทคโนโลยี ศูนย๑การกฬี าและนันทนาการ แหลงํ ข๎อมลู และแหลํงการเรียนร๎อู ื่น เป็นต๎น
วสนั ต๑ ปรีดานันต๑ (2553, หน๎า 36) กลาํ ววํา แหลํงเรยี นรู๎เป็นการพัฒนาคุณภาพการศึกษา
ทง้ั ในสถานศึกษา ชมุ ชนท๎องถน่ิ ในเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษา และเขตพน้ื ทกี่ ารศึกษาใกล๎เคยี ง ผูบ๎ รหิ ารจะต๎อง
จดั ต้งั จัดระบบวางแผน และแหลงํ การเรยี นรท๎ู ัง้ แหลํงเรียนรูธ๎ รรมชาติ และแหลํงเรียนรท๎ู ี่มนุษยส๑ รา๎ งขนึ้
ท้งั ภายในและภายนอกสถานศกึ ษา เพือ่ พฒั นาให๎เกิดองคค๑ วามรู๎ และประสานความรํวมมือในการจดั ต้ัง
สงํ เสริม พัฒนาแหลงํ การเรยี นร๎ทู ใี่ ช๎รํวมกัน สงํ เสรมิ สนับสนนุ ใหค๎ รูและนักเรียนใชแ๎ หลํงการเรยี นรู๎
ทั้งในและนอกโรงเรยี นในการจัดกระบวนการเรยี นร๎ู โดยครอบคลุมภมู ิปัญญาท๎องถน่ิ จะทาใหก๎ ารจัด
กระบวนการเรยี นรท๎ู เี่ น๎นผ๎เู รียนเป็นสาคัญสอดคล๎องกบั ความต๎องการของผ๎ูเรยี นมากย่ิงขึ้น
ธเนศ เกสรสิริธร (2555, หน๎า 54) แหลํงเรียนร๎ู หมายถงึ สถานท่ีรวบรวมข๎อมูล ความรู๎
ทม่ี ีกระบวนการเรียนร๎ทู ี่มีรปู แบบตําง ๆ ท่ีหลากหลายแตกตาํ งจากการเรียนในช้นั เรียน มุํงให๎ผ๎เู รียน
เกิดกระบวนการเรยี นรด๎ู ๎วยวิธกี ารที่แตกตําง เออ้ื อานวยใหเ๎ กดิ การเรยี นรดู๎ ๎วยตนเองโดยประสบการณ๑ตรง
โดยสรปุ แหลํงเรียนร๎ู หมายถงึ แหลํงความร๎ู ขอ๎ มูลท่ผี ู๎เรียนสามารถศกึ ษาหาความรู๎ได๎
ดว๎ ยตนเอง ทง้ั ภายในห๎องเรยี นและภายนอกห๎องเรียน
89
แนวทางการดาเนินงาน
ปกติมนษุ ยใ๑ ชก๎ ารศึกษาทั้ง 3 รูปแบบ คอื การศกึ ษาในระบบ นอกระบบ และตามอธั ยาศัย
ในการพัฒนาตนเอง ครอบครัว ชมุ ชน และสังคม โดยผสานวิธีการเรียนร๎ู จากการศกึ ษาท้ัง 3 รปู แบบ
เข๎าด๎วยกัน เป็นกระบวนการเรียนรู๎ตํอเน่ืองตลอดชีวิต การศึกษาหาความรู๎จาก “แหลงํ เรียนร”๎ู เปน็
การศึกษาหาความรู๎จากความรู๎ที่มีอยํูในแหลํงเรียนร๎ูเป็นการเรียนท่ีเกิดขึ้นนอกร้ัวโรงเรียน เป็น
การแสวงหาสะสมความร๎ู ทกั ษะและทัศนคติให๎เกิดความกระจํางชัดจากประสบการณ๑ และนาความร๎ู
ที่ได๎มาพัฒนาตามความต๎องการของตนเองตํอไป แหลํงเรียนร๎ูในประเทศไทยมีอยํูมาก บางแหํง
ทาหน๎าที่เป็นสถานทส่ี ร๎างกระบวนการเรียนร๎ูให๎เกิดขึ้นมาแกํผู๎มาเยือนได๎โดยสมบูรณ๑ บางแหํง
มีความร๎ูที่จะให๎ผ๎ูเรียนหลากหลายสาขาวิชา แตํไมํมีใครร๎ูวํามีแหลํงเรียนร๎ูเหลําน้ีอยูํ ดังน้ัน จึงควร
ใหก๎ ารสนับสนุน และสํงเสริมการดาเนินงานได๎อยาํ งมปี ระสทิ ธิภาพ ดังน้ี
1. กาหนดกระบวนการบริหาร คือ ระบุเรื่องการจัดการให๎ชัดเจน โดยมีผ๎จู ัดการทาหน๎าท่ี
เชิงบริหารจัดการ ซงึ่ อาจจะเปน็ ปราชญ๑ ผูร๎ ๎ู หรือเปน็ พระภกิ ษุสงฆก๑ ไ็ ด๎ โดยทาหนา๎ ที่ประสานงาน
รํวมกบั บุคคลอน่ื ๆ
2. สร๎างระบบเครือขาํ ย แหลงํ เรียนรู๎ การทางานรวํ มกัน ก็เพ่ือประโยชนข๑ องการให๎ความร๎ู
ท่ีหลากหลาย กว๎างขวาง และการได๎รบั การสนับสนุนทรพั ยากร
3. การจัดทากรอบแนวคดิ แผนงาน โครงการ กิจกรรมเป็นรายปี ใหผ๎ ๎ูเรียนตาํ งภูมภิ าค
สามารถเข๎าไปศกึ ษาหาความรต๎ู ามความตอ๎ งการอยาํ งเป็นระบบ
4. มีการเช่อื มโยงการเรยี นการสอนกับการจดั การศกึ ษาทัง้ ในระบบ นอกระบบและ
ตามอัธยาศยั
5. สํงเสรมิ ให๎เปน็ แหลํงรายไดเ๎ ศรษฐกิจชุมชนโดยมีการจัดการอบรมสาธิตวธิ ผี ลติ
6. มีการประชาสมั พนั ธ๑ผลงานให๎แพรํหลาย
การดาเนินงานแหลงํ เรยี นร๎ูอยํางมปี ระสทิ ธภิ าพ ต๎องทางานเช่ือมโยงกับหนํวยงานทงั้ ภาครัฐ
เอกชน ชุมชน โดยรัฐให๎คาปรึกษาด๎านวิชาการ ชํวยประสานการจัดกระบวนการกลมุํ รวมท้งั สร๎างผู๎นา
เพอ่ื กระต๎ุนให๎เกิดแหลงํ เรยี นร๎ู และการจัดการที่ย่งั ยืนสํวนภาคเอกชนก็เขา๎ มาสํงเสรมิ เศรษฐกิจชุมชน
ท่ีเก่ียวข๎องกับแหลํงเรียนรู๎ สาหรับภาคชุมชนหรือประชาชนน้ันก็เข๎ามามสี ํวนรวํ มในการจัดกิจกรรม
ของแหลํงเรียนร๎ู เพ่ือให๎มีการใช๎ทรัพยากรท๎องถิ่นรํวมกันอยํางมีคุณคําให๎ผ๎ูเรียนได๎รับประโยชน๑
การเรียนร๎ูมากที่สุดเทําท่ีจะทาได๎ ต๎องมีการจัดกิจกรรมระหวํางสมาชิก เครือขําย เพ่ือให๎เกิดเวที
แลกเปลยี่ นเรียนรู๎ และนาประสบการณ๑ท่ีดีไปประยกุ ต๑ใช๎ รวมท้ังการจัดระดมความคิดเพ่ือพัฒนา
สาระและกระบวนการเรยี นร๎ูใหเ๎ กิดขึ้นอยาํ งตอํ เนื่องสมา่ เสมอ หากสามารถดาเนินการได๎ เชือ่ วําจะ
มแี หลงํ เรยี นร๎ูที่มีประสทิ ธภิ าพและย่งั ยนื
90
แนวปฏิบัตขิ องสถานศกึ ษาในการพฒั นาและสง่ เสรมิ ใหม้ ีแหล่งเรียนรู้
แนวปฏบิ ตั กิ ารพฒั นาและสํงเสรมิ ใหม๎ ีแหลํงเรียนร๎ู ตามแนวทางกรมสงํ เสริมการปกครอง
สวํ นทอ๎ งถ่ิน (2553)
1. สารวจแหลํงการเรยี นรท๎ู ี่เก่ยี วข๎องกับการพัฒนาคุณภาพการศึกษาทัง้ ในสถานศกึ ษา
ชุมชน และท๎องถ่นิ
2. จัดทาเอกสารเผยแพรแํ หลํงการเรยี นรแ๎ู กํครู สถานศกึ ษาอืน่ บุคคล ครอบครวั องค๑กร
หนวํ ยงาน และสถาบนั อ่นื ที่จัดการศกึ ษาในบริเวณใกล๎เคยี ง
3. จดั ตง้ั และพัฒนาแหลํงการเรยี นร๎ู รวมท้ังพัฒนาให๎เกิดองคค๑ วามร๎ู และประสาน
ความรวํ มมือสถานศึกษาอ่ืน บุคคล ครอบครัว องค๑กร หนํวยงาน และสถาบันสังคมอนื่ ทจี่ ดั
การศกึ ษาในการจัดตั้ง สํงเสริม พฒั นาแหลํงเรียนรท๎ู ี่ใชร๎ วํ มกนั
4. สงํ เสริมสนบั สนุนใหค๎ รูแหลํงการเรียนรู๎ทงั้ ในและนอกโรงเรยี น ในการจัด
กระบวนการเรียนร๎ู โดยครอบคลุมภูมปิ ัญญาท๎องถ่นิ
ความสาคัญของแหล่งการเรียนรู้
ความสาคญั ของแหลํงการเรยี นรู๎สามารถสรุปเปน็ ข๎อ ๆ ได๎ดงั น้ี (ภาวิดา ธาราศรสี ุทธ,ิ
2550, หนา๎ 165)
1. เป็นแหลํงที่รวมขององค๑ความรูอ๎ ันหลากหลาย พร๎อมท่ีจะให๎ผู๎เรียนเข๎าไปศึกษาค๎นคว๎า
2. เป็นแหลงํ เช่ือมโยงใหส๎ ถานศึกษา และชุมชนมีความสมั พนั ธใ๑ กล๎ชิดกัน
3. เปน็ แหลงํ ข๎อมูลท่ที าใหผ๎ ูเ๎ รยี นเกิดการเรยี นร๎ูอยํางมคี วามสุข
4. ทาให๎ผู๎เรยี นเกิดการเรยี นรจ๎ู ากการไดค๎ ิดเองปฏิบัติเอง และสรา๎ งความรด๎ู ว๎ ยตนเอง
5. ทาใหผ๎ ูเ๎ รียนได๎รับการปลูกฝังใหร๎ แู๎ ละรกั ท๎องถน่ิ ของตน
การจดั หาแหลง่ เรียนรู้
การจดั การเรยี นรูท๎ ่ีเน๎นผ๎ูเรยี นเปน็ สาคัญต๎องตอบสนองความแตกตาํ งระหวํางบุคคลจงึ
จาเป็นต๎องมีกจิ กรรมที่หลากหลายให๎ผ๎ูเรียนเลือกเรียนร๎ูตามความสนใจ หากมีการจัดแหลงํ การเรยี นรู๎
ได๎อยํางมีประสิทธิภาพ เป็นระบบ วางแผนการใช๎แหลงํ เรียนรู๎ จัดตั้งบุคลากรรับผิดชอบดูแล
มกี ารควบคุมกากับ และติดตามประเมินผลการใช๎อยํางค๎ุมคํา และแสวงหาแหลํงเรียนรู๎ใหมํทสี่ อดคลอ๎ ง
กับความตอ๎ งการของผ๎ูเรยี นกจ็ ะสํงผลตํอการเรยี นรด๎ู า๎ นวิชาการและการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา
ของสถานศึกษามีประสิทธิภาพย่งิ ขึ้น โดยการสนับสนุนหรอื การพัฒนาแหลํงการเรียนรเู๎ พ่ืออานวย
ความสะดวกให๎แกํครูผ๎สู อนได๎ปฏิบตั ิงานอยํางเต็มความสามารถนนั้ หนา๎ ที่หลกั อยํางหน่งึ ของผู๎บริหาร
โรงเรียน คือ การอานวยการบริหารงานดา๎ นตาํ ง ๆ แกํนกั เรียนโดยการสนบั สนนุ สงํ เสริมงานการเรยี น
การสอน คือ 1) การจดั งบประมาณเพอื่ การเรยี นการสอน ผบู๎ รหิ าร โรงเรียน และผู๎ที่เกี่ยวข๎องกบั