The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.
Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by kanyakudfoo, 2021-06-26 23:33:22

รูปแบบการบริหารงานวิชาการสู้ความเป็นเลิศของโรงเรียนสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

91

งบประมาณจาเปน็ ต๎องมีความร๎แู ละทกั ษะในการจดั สรรงบประมาณของโรงเรียนใหม๎ ีประสทิ ธภิ าพและ
ประสิทธิผลที่วางไว๎ 2) การจัดกิจกรรมนักเรียน เป็นการปฏิบัติงานรํวมกันของผ๎ูเรียนเป็นกลํุม ๆ
ตามความสนใจและความถนัด เป็นการประกอบกิจกรรมรํวมกันโดยผ๎ูเรียนชํวยกันคิดชํวยกันทา
และชํวยกันแกป๎ ัญหา อันจะเป็นการปลกู ฝงั วินยั ท่ีดีในการอยกูํ ันในสงั คมประชาธปิ ไตย 3) การจัด
แนะแนว ได๎แกํ การบริการศึกษาข๎อมูลเกยี่ วกับตัวเด็ก การบรกิ ารสนเทศ การบรกิ ารใหค๎ าปรึกษา
การบริการวางตัวบุคคล และการบริการติดตามผลและประเมินผล 4) การจัดให๎นักเรียนได๎ศึกษา
ค๎นคว๎าด๎วยตนเอง ก็เพื่อต๎องการให๎นักเรียนศึกษาค๎นคว๎าตามความสนใจ และความตอ๎ งการของ
นักเรยี นแตลํ ะคน เพือ่ ใหน๎ ักเรียนได๎ศึกษาด๎วยตนเองใหม๎ ากทส่ี ดุ เทําท่จี ะทาได๎ 5) การใช๎อาคารสถานที่
อยํางมีประสิทธภิ าพ โรงเรียนควรจดั อาคารเรียนและบริเวณโรงเรียนให๎เกิดประโยชน๑ทางด๎านการเรียน
การสอนให๎มากทีส่ ุดเป็นหน๎าท่ีของผู๎บริหารจะต๎องวางแผนการทางานรํวมกันกบั บุคลากรในโรงเรียน
6) การนาทรพั ยากรในท๎องถิ่นมาใช๎ ไดแ๎ กํ ครูใช๎ส่ิงแวดล๎อมสภาพสังคมและชวี ิตท่เี ป็นประโยชน๑
ตอํ การเรยี นการสอน ใชส๎ ถานฝึกงานในทอ๎ งถนิ่ ให๎เปน็ ประโยชน๑ จัดหาทรัพยากรจากแหลํงตาํ ง ๆ
ในทอ๎ งถนิ่ มาใชใ๎ นการเรียนการสอนและเปดิ โอกาสใหน๎ กั เรยี นไดศ๎ ึกษาหาความรู๎จากประสบการณ๑
และขนบธรรมเนียมของท๎องถ่นิ 7) การจัดห๎องสมุด ได๎แกํ ห๎องสมุดเคล่ือนที่โดยจัดหนังสือเลมํ บาง ๆ
ที่สามารถอํานจบในระยะเวลาส้ัน เชนํ วารสารลวํ งเวลา จุลสาร นาใสตํ ะกรา๎ กลํอง กระเป๋า รถเขน็
ไปยังสถานที่ที่มีท่ีสาหรับให๎นักเรียนน่ังอําน เชํน ใต๎ต๎นไม๎ สนาม ศาลา เป็นต๎น และห๎องสมุด
ไมํเคลื่อนท่ีโดยนาวารสาร หนังสือตําง ๆ จากช้นั หนังสือหรือตู๎หนังสือไปให๎บริการตามสถานท่ี
ทีจ่ ดั ไวเ๎ ปน็ การถาวรตามมุมตาํ ง ๆ โดยข๎อคานงึ เกี่ยวกับการจัดแหลํงการเรยี นร๎คู ือ 1) อาคารสถานท่ี
ควรมสี ถานที่ท่เี หมาะสมอาจเป็นอาคารเอกเทศหรือเปน็ สํวนหน่ึงของอาคาร และอยํใู นจุดศูนยก๑ ลาง
ท่นี ักเรยี นและครูอาจารย๑มาใชไ๎ ด๎สะดวก หํางไกลจากเสยี งรบกวน มีแสงสวํางเพยี งพอ อากาศถาํ ยเท
ได๎สะดวก 2) ผป๎ู ฏิบัติงานในศนู ยก๑ ารเรยี นรู๎ควรเป็นผูท๎ ี่มคี วามรู๎ทางบรรณารกั ษ๑ศาสตร๑หรือหลกั การ
จดั ระบบสื่อเพ่ือสะดวกในการใช๎และควรมคี รูอื่น ๆ เป็นผู๎ชวํ ย หรอื อาจแตํงตั้งคณะทางานและมีนักเรียน
ชวํ ยงาน ซง่ึ จะเปน็ กาลังสาคัญชํวยใหง๎ านสาเรจ็ ลุลํวงไปดว๎ ยดี 3) การดาเนินงานของศูนย๑การเรียนร๎ู
ควรจัดให๎เป็นระบบเพ่ือความสะดวกในการใชค๎ วามสามารถใชแ๎ นวทางในการดาเนินงานห๎องสมุด
มาดาเนนิ การได๎ ทง้ั ในสวํ นที่เกีย่ วกับระบบการจัดระบบส่ือสิง่ พมิ พแ๑ ละสอ่ื เทคโนโลยี (กระทรวง
ศึกษาธกิ าร, 2545, หนา๎ 233-236)

7. การพัฒนาระบบประกนั คุณภาพในสถานศึกษาและมาตรฐานการศึกษา
ระบบการประกนั คณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา เปน็ กจิ กรรมทม่ี กี ารดาเนนิ การอยาํ งเป็นขั้นตอน
โดยมกี ารวางแผน ใชว๎ ิธีการบริหารและจดั การเพ่อื สรา๎ งความมน่ั ใจในกระบวนการจดั การศึกษาและ
พฒั นาผู๎เรียนใหม๎ ีคุณลักษณะทพี่ งึ ประสงค๑ ตามความต๎องการทกี่ าหนดไว๎ ซ่ึงการดาเนนิ การประเมินผล

92

และการตดิ ตามตรวจสอบคุณภาพ และมาตรฐานการศึกษาของสถานศึกษาจากภายใน โดยบคุ ลากร
ของสถานศกึ ษาน้นั เอง หรือโดยหนํวยงานตน๎ สงั กดั ทีม่ ีหน๎าทีก่ ากบั ดูแลสถานศึกษานั้น

ความหมายของการประกันคณุ ภาพการศกึ ษา
Stebbing (1993, p. 78) กลาํ ววํา การประกันคุณภาพเป็นสิ่งที่จาเป็นสาหรับระบบคุณภาพ
ต้ังแตํการรวบรวมข๎อมูล การวางแผนกิจกรรมทุกชนิด และการให๎รายละเอียด หรือคาแนะนา
ต๎องกระทากํอนลงมือทากิจกรรมใด ๆ เพ่ือให๎สามารถควบคุมขั้นตอนการปฏิบัติกิจกรรมตําง ๆ
ได๎อยาํ งเหมาะสม
Liston (1999, p. 146) กลําววํา การประกันคุณภาพเปน็ การพยายามทจ่ี ะปรับปรุงคุณภาพ
โดยการพฒั นาวธิ กี ารในการควบคมุ คุณภาพ ซ่งึ ในการบริหารงานจุดเนน๎ ของการประกนั คณุ ภาพ
อยํูที่การปอ้ งกันมากกวําการแก๎ไขขอ๎ ผิดพลาด
กรมสํงเสรมิ การปกครองสํวนท๎องถิ่น (2553, หน๎า 9) ได๎นิยามความหมายของการประกนั
คุณภาพการศึกษา หมายถึง กระบวนการพฒั นาการศกึ ษา (Mechanical process) เพื่อสร๎างความมั่นใจ
และเป็นหลกั ประกนั ตํอผเู๎ รยี น ผป๎ู กครอง ชมุ ชน และสังคมวาํ สถานศึกษาสามารถจดั การศึกษาได๎
อยํางมปี ระสิทธภิ าพ ผเู๎ รยี นท่ีจบการศกึ ษามคี ณุ ภาพตามมาตรฐานการศึกษาและเปน็ ที่ยอมรับ
สาราญ มุลิ (2554, หนา๎ 41) กลําวสรปุ ไว๎วาํ การประกนั คุณภาพการศึกษา หมายถงึ
กระบวนการการดาเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียนทผ่ี ๎ูบรหิ าร ครู และผูเ๎ ก่ียวข๎อง ได๎มสี ํวนรํวม
ในการวางแผนการทางาน การปฏิบัติตามแผน การตรวจสอบ และการแกไ๎ ขข๎อบกพรํองในการทางาน
อยํางเป็นระบบครบวงจร และตอํ เนื่อง โดยมีมาตรฐานเป็นตวั กาหนดกรอบในการทางาน และมตี วั บํงช้ี
บอกถึงความสาเรจ็ ในการดาเนินงานเพื่อให๎การจัดการศึกษามีประสทิ ธิภาพ เกดิ ประสทิ ธิผลและ
มีคุณภาพเปน็ ท่ีพึงพอใจแกํผ๎ูเรยี น ผป๎ู กครอง ชมุ ชน และสังคมผ๎ูรับประโยชน๑
โดยสรุป การประกันคณุ ภาพ หมายถงึ สถานศกึ ษาท่ีมีหน๎าทจี่ ดั การศึกษาไดร๎ บั การประกันวํา
สถานศึกษามีคุณภาพได๎มาตรฐานตามท่กี าหนด สรา๎ งความมั่นใจใหผ๎ ู๎รบั บริการในการสงํ บตุ รหลาน
เข๎าศึกษาในสถานศกึ ษานั้น ๆ
ความสาคญั ของการประกนั คุณภาพภายใน และมาตรฐานการศึกษา
การประกันคุณภาพการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศกึ ษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 ไดใ๎ ห๎
ความสาคญั ของการประกันคุณภาพการศึกษาไว๎ในมาตรา 47-51 ซ่ึงมีรายละเอยี ดดังนี้
มาตรา 47 ให๎มีระบบประกันคณุ ภาพการศึกษาเพื่อพัฒนาคุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษา
ทุกระดบั ประกอบด๎วย ระบบการประกันคณุ ภาพภายใน และระบบการประกนั คุณภาพภายนอก
ระบบ หลักเกณฑ๑ และวิธกี ารประกันคุณภาพการศกึ ษาใหเ๎ ป็นไปตามท่ีกาหนดใน
กฎกระทรวง

93

มาตรา 48 ให๎หนํวยงานตน๎ สังกัดและสถานศกึ ษาจัดให๎มีระบบการประกันคุณภาพภายใน
สถานศกึ ษาและใหถ๎ ือวําการประกันคุณภาพภายในเปน็ สวํ นหนงึ่ ของกระบวนการบรหิ ารที่สถานศกึ ษา
จะต๎องดาเนินการอยํางตํอเน่ือง โดยมกี ารจัดทารายงานประจาปีเสนอตํอหนํวยงานตน๎ สังกัด หนํวยงาน
ทีเ่ กี่ยวขอ๎ งและเปิดเผยตอํ สาธารณชนเพ่ือไปสูํการพฒั นาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาและเพ่ือ
รองรบั การประกันคุณภาพภายนอก

มาตรา 49 ใหม๎ สี านักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศกึ ษามีฐานะเปน็ องคก๑ าร
มหาชนทาหนา๎ ทพ่ี ัฒนาเกณฑว๑ ธิ ีการประเมนิ คณุ ภาพภายนอกและทาการประเมนิ ผลการจดั การศึกษา
เพอ่ื ใหม๎ ีการตรวจสอบคณุ ภาพของสถานศกึ ษา โดยคานงึ ถึงความมงุํ หมาย และหลักการและแนว
การจัดการศึกษาในแตํละระดับตามทก่ี าหนดไว๎ในพระราชบญั ญัติ ใหม๎ ีการประเมินคณุ ภาพภายนอก
ของสถานศกึ ษาทุกแหํงอยาํ งนอ๎ ยหนึง่ คร้ังในทุกห๎าปีนบั ต้ังแตํการประเมินครัง้ สดุ ทา๎ ย และเสนอ
ผลการประเมินตํอหนวํ ยงานท่เี กยี่ วขอ๎ งและสาธารณชน

มาตรา 50 ใหส๎ ถานศกึ ษาใหค๎ วามรวํ มมือในการจัดเตรยี มเอกสารหลกั ฐานตาํ ง ๆ ท่มี ี
ข๎อมูลเกี่ยวข๎องกับสถานศึกษา ตลอดจนใหบ๎ คุ ลากร คณะกรรมการของสถานศึกษารวมทั้งผปู๎ กครอง
และผ๎ูท่ีมสี ํวนเกยี่ วขอ๎ งกบั สถานศึกษาใหข๎ อ๎ มูลเพมิ่ เติมในสํวนทพ่ี ิจารณาเหน็ วาํ เกยี่ วข๎องกบั การปฏิบัติ
ภารกจิ ของสถานศึกษา ตามคาร๎องขอของสานักงานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คณุ ภาพการศึกษา
หรือบุคคลหรือหนํวยงานภายนอกที่สานักงานดังกลําวรับรอง ที่ทาการประเมินคุณภาพภายนอก
ของสถานศึกษานัน้

มาตรา 51 ในกรณีท่ผี ลการประเมนิ ภายนอกของสถานศกึ ษาใดไมไํ ดต๎ ามมาตรฐานทีก่ าหนด
ให๎สานักงานรับรองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศึกษาจัดทาข๎อเสนอแนะการปรับปรงุ แกไ๎ ขตอํ
หนวํ ยงานต๎นสงั กัด เพ่ือใหส๎ ถานศกึ ษาปรบั ปรงุ แกไ๎ ขภายในระยะเวลาท่ีกาหนดหากมิได๎ดาเนินการ
ดังกลาํ วให๎สานกั งานรบั รองมาตรฐานและประเมนิ คุณภาพการศกึ ษารายงานตอํ คณะกรรมการการศึกษา
ขนั้ พื้นฐาน คณะกรรมการอาชีวศกึ ษา หรือคณะกรรมการอุดมศึกษา เพื่อดาเนินการใหม๎ ีการดาเนินการ
ปรบั ปรุงแก๎ไข

การศึกษาเป็นรากฐานทีส่ าคัญของการดาเนนิ ชวี ิต เมื่อบุคคลทุกคนเขา๎ สํูระบบการศกึ ษา
ในรูปแบบตําง ๆ สถานศกึ ษาทีม่ ีหนา๎ ท่ีจัดการศกึ ษาจะตอ๎ งรับประกนั ได๎วาํ การศึกษาที่จดั อยํูนั้นมี
คุณภาพ มีความเช่ือม่ัน มคี วามเชื่อถอื ได๎ มคี วามไวว๎ างใจวําผ๎ูทม่ี ารบั บริการจะต๎องไดใ๎ นส่ิงทด่ี ีและ
มคี ุณภาพครบถว๎ น ดงั น้ัน มาตรฐานและการประกนั คุณภาพการศกึ ษาจงึ มีความสาคัญ ดงั นี้

1. มาตรฐานและการประกนั คุณภาพการศกึ ษา เป็นสํวนหนงึ่ ของการบริหารจัดการข๎อมูล
ที่ได๎จากการปฏิบตั งิ านประจา จะสะท๎อนไปสํูการบริหารจัดการศกึ ษาโดยภาพรวม

94

2. สถานศกึ ษาจะตอ๎ งกาหนดมาตรฐานการศกึ ษา ใช๎เป็นกฎเกณฑใ๑ นการดาเนินงาน
ประกอบด๎วย ปัจจยั ตวั ป้อน กระบวนการ และผลผลติ

3. สถานศึกษามรี ะบบการบรหิ ารงานที่มีคณุ ภาพ ในสวํ นทเี่ กยี่ วกับการควบคุม
การตรวจสอบคุณภาพ และมเี กณฑใ๑ นการตัดสิน

4. สถานศกึ ษาสามารถรับประกนั ผลผลติ ของตนเองได๎วาํ มคี วามดเี ดํน เช่ือถือได๎
ในความร๎คู วามสามารถ และประสบการณ๑ทางการศึกษาท่ีเหมาะสมในแตลํ ะระดบั ของการศึกษา

5. ทาใหช๎ มุ ชนหรือสาธารณชนรับรรู๎ ับทราบ กอํ ให๎เกดิ ความไวว๎ างใจตํอการบริหาร
จัดการการศึกษาของโรงเรยี นน้นั ๆ และมีความสบายใจ เม่ือสํงบตุ รหลานเขา๎ มารับการศึกษา
ในสถานศึกษาที่ผาํ นการรบั รองมาตรฐานและการประกนั คุณภาพการศกึ ษาแลว๎

ดงั นัน้ จึงเห็นได๎วาํ การประกนั คณุ ภาพการศกึ ษามคี วามสาคญั เป็นอยํางยิ่งตอํ การจดั
การศึกษา ท้ังในแงํของการบริหารจัดการ และในแงขํ องการไดร๎ ับผลประโยชน๑ตอบแทนสาหรบั
ผม๎ู ารบั บรกิ าร

แนวปฏบิ ัตขิ องสถานศกึ ษาในการพฒั นาระบบประกันคุณภาพใน และมาตรฐานการศึกษา
แนวปฏบิ ัติการพัฒนาระบบประกนั คณุ ภาพใน และมาตรฐานการศึกษา ตามแนวทาง
กรมสํงเสรมิ การปกครองสวํ นท๎องถิน่ (2553)
1. จดั ระบบโครงสรา๎ งองคก๑ ร ให๎รองรับการจดั ระบบการประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษา
2. กาหนดเกณฑก๑ ารประเมิน เปา้ หมายความสาเร็จของสถานศกึ ษาตามมาตรฐานการศกึ ษา
และตัวช้ีวดั ขององค๑กรปกครองสวํ นทอ๎ งถน่ิ เป้าหมายความสาเรจ็ ขององคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถ่นิ
หลักเกณฑ๑ และวธิ กี ารประเมินของสานักงานรบั รองมาตรฐานและประเมินคณุ ภาพการศึกษา
3. วางแผนการพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา ตามระบบการประกนั คณุ ภาพการศกึ ษาให๎บรรลุ
ตามเป้าหมายความสาเร็จของสถานศกึ ษา
4. ดาเนนิ การพัฒนางานตามแผนและตดิ ตาม ตรวจสอบ และประเมินคณุ ภาพภายใน
เพือ่ ปรบั ปรงุ พฒั นาอยํางตํอเนอ่ื ง
5. ประสานความรํวมมือกบั สถานศึกษา และหนวํ ยงานอืน่ ในการปรบั ปรุงและพฒั นา
ระบบประกนั คุณภาพภายใน และการพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษาตามระบบการประกันคุณภาพการศึกษา
6. ประสานงานกับองคก๑ รปกครองท๎องถ่ิน เพือ่ การประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาของสถานศกึ ษา
ตามระบบการประกนั คุณภาพการศึกษาภายในองค๑กรปกครองสวํ นท๎องถน่ิ
7. ประสานงานกบั สานักงานรบั รองมาตรฐานการศกึ ษา และประเมินคุณภาพการศกึ ษา
ในการประเมินสถานศกึ ษาเพ่ือเป็นฐานในการพัฒนาอยาํ งเป็นระบบและตํอเนื่อง

95

หลักการและนโยบายในการประกนั คุณภาพ
กฎกระทรวง วาํ ด๎วยระบบ หลักเกณฑ๑ และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา พ.ศ. 2553
(ราชกจิ จานุเบกษา เลมํ ท่ี 127, ตอนท่ี 23 ก (2 เมษายน 2553), หนา๎ 22-23) ไดใ๎ หค๎ วามหมาย ดังนี้
“การประเมนิ คุณภาพภายใน” หมายความวาํ การประเมนิ คณุ ภาพการจดั การศึกษา การติดตาม
และการตรวจสอบคุณภาพและมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษาท่ีกระทรวงศึกษาธิการประกาศ
กาหนดสาหรบั การประกันคณุ ภาพภายใน ซง่ึ กระทาโดยบุคลากรของสถานศึกษาน้ัน หรอื โดยหนวํ ยงาน
ต๎นสังกัดทีม่ ีหน๎าท่กี ากับดูแลสถานศึกษา
“การประเมินคณุ ภาพภายนอก” หมายความวํา การประเมินคณุ ภาพการจัดการศึกษา
การติดตาม และการตรวจสอบคุณภาพ และมาตรฐานการศกึ ษาของสถานศึกษา ซึ่งกระทาโดย
สานกั งานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องคก๑ ารมหาชน) หรือผู๎ประเมินภายนอก
“การตดิ ตามตรวจสอบคุณภาพการศึกษา” หมายความวํา กระบวนการตดิ ตามตรวจสอบ
ความกา๎ วหนา๎ ของการปฏิบตั ิตามแผนการพัฒนาคุณภาพการศึกษา และจัดทารายงานการติดตาม
ตรวจสอบคุณภาพ พรอ๎ มท้งั เสนอแนะมาตรการเรงํ รัดการพัฒนาคณุ ภาพการศกึ ษา
“การพฒั นาคุณภาพการศึกษา” หมายความวาํ กระบวนการพฒั นาการศกึ ษาเขา๎ สคูํ ุณภาพ
ทีส่ อดคลอ๎ งกบั มาตรฐานการศึกษาของชาติ โดยมีการกาหนดมาตรฐานการศึกษา การจัดระบบและ
โครงสรา๎ ง การวางแผน และการดาเนินงานตามแผน รวมทัง้ การสรา๎ งจติ สานกึ ให๎เหน็ วาํ การพัฒนา
คณุ ภาพการศึกษาจะต๎องดาเนินการอยํางตํอเนื่องและเปน็ ความรับผดิ ชอบรํวมกันของทกุ คน
ประโยชน์ของการประกนั คุณภาพ
กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถ่นิ (2553, หนา๎ 12) ไดส๎ รุปถงึ ประโยชน๑ของ
การประกันคณุ ภาพการศกึ ษา ดังน้ี
1. นกั เรียนมีความสามารถ มีคณุ ลักษณะตาํ ง ๆ ตามทีห่ ลักสูตรของสังคมตอ๎ งการ
2. โรงเรยี น มที ศิ ทางการจัดการศึกษาทีช่ ดั เจนตามมาตรฐานกลางกาหนด โดยมรี ะบบ
บรหิ ารคณุ ภาพ ระบบปฏิบตั ิงาน ระบบควบคุมคณุ ภาพ มีการทางานที่เปน็ มาตรฐานที่เกดิ จากความ
รวํ มมอื ของบุคลากรทุกฝา่ ย มีการแสดงความรับผดิ ชอบในการจัดการศึกษาท่สี ามารถตรวจสอบได๎
อยาํ งสม่าเสมอและตํอเนอ่ื ง
3. ประชาชน มีความม่นั ใจในการสงํ บุตรหลานเขา๎ เรยี นในโรงเรียนแตลํ ะแหํงทม่ี ีคุณภาพ
การศกึ ษาอยใํู นมาตรฐานเดยี วกนั
4. หนํวยงาน มีความมน่ั ใจและความพึงพอใจในการรับนักเรยี นเขา๎ ศึกษาตํอ หรอื ทางาน
5. สังคมมคี วามมนั่ ใจในการจัดการศกึ ษา และมีหลักประกันคณุ ภาพของการจัดการศกึ ษา
จากการแสดงรายงานผลกับสาธารณชน

96

การประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษา
สถานศกึ ษาจะต๎องพัฒนาระบบการประกันคุณภาพภายในใหเ๎ ป็นสํวนหนึ่งของกระบวนการ
บริหาร และการปฏิบตั ิงานโดยคานงึ ถงึ หลักและกระบวนการ ดงั ตํอไปน้ี
1. หลกั การสาคญั ของการประกันคุณภาพภายในของสถานศกึ ษามี 3 ประการ คือ
(รํงุ ชัชดาพร เวหะชาติ, 2552, หน๎า 161)

1.1 เปา้ หมายสาคัญของการประกนั คณุ ภาพ คอื การพัฒนาผู๎เรยี น
1.2 ถือวําการประกันคุณภาพการศึกษาเปน็ สวํ นหนึง่ ของกระบวนการบริหาร
1.3 ถือวําบุคลากรทุกคนรวมท้งั ที่เกยี่ วขอ๎ ง เชนํ คณะกรรมการสถานศกึ ษา มีหนา๎ ท่ี
รวํ มรับผดิ ชอบในการประกันคุณภาพตง้ั แตํการวางแผน การตดิ ตามประเมินผล การพัฒนาปรับปรงุ
การชํวยคิด การชวํ ยทา การผลักดัน ฯลฯ
2. กระบวนการประกนั คุณภาพภายในตามแนวคิดของการประกันคณุ ภาพ มี 3 ขั้นตอน คือ
2.1 การควบคมุ คุณภาพ เปน็ การกาหนดมาตรฐานคุณภาพการศึกษาของสถานศกึ ษา
เพื่อพฒั นาสถานศึกษาให๎เขา๎ สูมํ าตรฐาน
2.2 การตรวจสอบคุณภาพ เป็นการตรวจสอบ และตดิ ตามผลการดาเนินงานของ
สถานศึกษาให๎เป็นไปตามมาตรฐานท่ีกาหนด
2.3 การประเมินคณุ ภาพ เป็นการประเมินคณุ ภาพการศึกษาของสถานศกึ ษา
โดยสถานศกึ ษาและหนวํ ยงานต๎นสังกัดในระดบั เขตพื้นท่ีการศกึ ษาฯ และระดบั กระทรวง
3. กระบวนการประกันคุณภาพภายในตามแนวคิดของหลักการบรหิ ารทจี่ าเป็น
กระบวนการครบวงจร (PDCA) ประกอบด๎วย 4 ข้ันตอน คือ
3.1 ขนั้ ตอนท่ี 1 การรํวมกันวางแผน (Planning)
3.2 ขั้นตอนที่ 2 การรวํ มกนั ปฏิบัติตามแผน (Doing)
3.3 ข้ันตอนที่ 3 การรํวมกันตรวจสอบ (Checking)
3.4 ข้นั ตอนท่ี 4 การรํวมกนั ปรบั ปรุง (Action)
เมือ่ พิจารณากระบวนการประกันคุณภาพภายในตามแนวคดิ ของการประเมินคณุ ภาพ
และแนวคิดของการบริหารแบบครบวงจรจะเหน็ วํามคี วามสอดคล๎องกัน ดงั น้ี (ภาวิดา ธาราศรสี ทุ ธ,ิ
2550, หน๎า 238)

97

รวํ มกันวางแผน การควบคุมคณุ ภาพ
P D รวํ มกนั ปฏิบตั ิ

รํวมกันปรับปรุง A

การตรวจสอบ C
และประเมนิ คณุ ภาพ รํวมกันตรวจสอบ

ภาพที่ 7 ความสมั พันธข๑ องแนวคดิ การประเมินคุณภาพ และการบริหารแบบครบวงจร

จากภาพที่ 7 การควบคุมคณุ ภาพ และการตรวจสอบคุณภาพ กระบวนการบริหารเพื่อพัฒนา
ตามหลกั การบริหาร โดยการควบคุมคุณภาพ คือการทส่ี ถานศึกษาต๎องรวํ มกันวางแผน และดาเนินการ
ตามแผน เพือ่ พฒั นาสถานศกึ ษาใหม๎ ีคณุ ภาพใหเ๎ ป็นไปตามเป้าหมาย และมาตรฐานการศกึ ษาเมื่อ
สถานศึกษามกี ารตรวจสอบตนเองแล๎วหนวํ ยงานในเขตพ้ืนทกี่ ารศึกษา และตน๎ สังกดั กเ็ ข๎ามาชวํ ย
ติดตามและประเมนิ คณุ ภาพการศกึ ษาเพอ่ื ให๎ความชวํ ยเหลอื ในการพฒั นาปรบั ปรงุ สถานศึกษา
ซ่งึ ทาให๎สถานศกึ ษามคี วามอุํนใจ และเกิดความต่ืนตัวในการพฒั นาคุณภาพอยูํเสมอ

4. ข้ันตอนการดาเนินงานตามกระบวนการประกันคณุ ภาพภายใน
การดาเนินการประกนั คุณภาพภายในตามกระบวนการ มีแนวทางและขนั้ ตอน ดังภาพที่ 8

การดาเนนิ การ

1. การวางแผนปฏบิ ตั ิงาน (P) 3. ตรวจสอบประเมินผล (C) การเตรียมการ
1. เตรยี มความพรอ๎ มของบคุ ลากร
- กาหนดเปา้ หมายหรือมาตรฐานการศกึ ษา - วางกรอบการประเมนิ
- สรา๎ งความตระหนัก
- จดั ลาดับความสาคัญของเป้าหมาย - จัดหาหรือจัดทาเคร่อื งมอื - พฒั นาความรแู๎ ละทักษะ
2. แตํงตง้ั กรรมการท่รี ับผิดชอบ
- กาหนดแนวทางการดาเนินงาน - เก็บข๎อมลู
การรายงาน
- กาหนดระยะเวลา - วิเคราะห๑ข๎อมูล จัดทารายงานการประเมินตนเอง
หรือรายงานประจาปี
- กาหนดงบประมาณ - แปลความหมาย - รวบรวมผลการดาเนินงาน
และผลการประเมิน
- กาหนดผู๎รบั ผิดชอบ - ตรวจสอบ/ ปรับปรงุ - วเิ คราะหต๑ ามมาตรฐาน
- เขียนรายงาน
2. ดาเนนิ การตามแผน (D) คุณภาพการประเมิน

- สํงเสริม สนับสนุน 4. นาผลการประเมินมาปรับปรุง (A)

- จดั สิง่ อานวยความสะดวก - ปรับปรงุ การปฏิบัติงานของ

บุคลากรสนับสนุนทรัพยากร

- วางแผนในระยะตอํ ไป

- จดั ทาขอ๎ มูลสารสนเทศ

ภาพที่ 8 ข้นั ตอนการดาเนินการประกันคุณภาพภายใน (ภาวดิ า ธาราศรีสทุ ธิ, 2550, หน๎า 239)

98

จากภาพแสดงข้ันตอนการดาเนินการประกันคณุ ภาพภายในมรี ายละเอียด ดังนี้
1. ข้นั การเตรียมการ ซึ่งการเตรยี มการทมี่ คี วามสาคัญ คอื

1.1 การเตรียมความพร๎อมของบุคลากร โดยสร๎างความตระหนกั ถงึ คุณคําของการประกัน
คุณภาพภายในและการทางานเปน็ ทีม ซง่ึ จะจัดทาการชแ้ี จงทาความเขา๎ โดยใชบ๎ คุ ลากรภายในสถานศึกษา
หรอื วทิ ยากรมืออาชีพจากภายนอก โดยบคุ ลากรทุกคนในสถานศึกษาได๎มโี อกาสเข๎ารํวมประชุมรบั ทราบ
พร๎อมกัน และตอ๎ งพฒั นาความรู๎ทักษะเกย่ี วกับการประกนั คณุ ภาพภายในใหบ๎ ุคลากรทกุ คนเกดิ ความมั่นใจ
ในการดาเนนิ งานประกันคณุ ภาพดว๎ ยการจัดประชมุ เชงิ ปฏิบตั ิการ โดยเนน๎ เนื้อหาเกี่ยวกบั การจัดทา
แผนพัฒนาสถานศึกษา และแผนปฏิบัติการประจาปีในแตํละปี ตํอมาเน๎นเนื้อหาการกาหนดกรอบ
และแผนการประเมนิ การสรา๎ งเคร่ืองมอื ประเมนิ และรวบรวมข๎อมลู ในชํวงทา๎ ยเนน๎ เกย่ี วกบั การวิเคราะห๑
ขอ๎ มลู การนาเสนอผลการประเมิน การเขียนรายงานผลการประเมินตนเอง (Self-study report)

1.2 การแตํงตง้ั คณะกรรมการผรู๎ บั ผิดชอบในการประสานงาน กากับดูแลชวํ ยเหลือ
ใหท๎ ุกฝ่ายทางานรวํ มกันและเชื่อมโยงเป็นทมี โดยการตั้งคณะกรรมการควรพิจารณาตามแผนภมู ิ
โครงสร๎างการบริหาร ซ่งึ ฝ่ายท่รี ับผิดชอบงานใดควรเป็นกรรมการรับผดิ ชอบการพัฒนาและประเมิน
คุณภาพงานนั้น

2. ขัน้ การดาเนินงานประกันคณุ ภาพภายใน ประกอบด๎วยขัน้ ตอนหลกั 4 ข้ันตอน
2.1 การวางแผน จะตอ๎ งมกี ารกาหนดเปา้ หมาย แนวทางการดาเนนิ งาน ผู๎รบั ผิดชอบ

ระยะเวลาและทรพั ยากรท่ตี ๎องใช๎สาหรบั แผนตําง ๆ ทคี่ วรจดั ทา คอื แผนพฒั นาคณุ ภาพการศึกษา
ของสถานศกึ ษา แผนปฏบิ ตั ิการประจาปี แผนการจดั การเรยี นการสอนตามหลักสตู รซง่ึ สอดคล๎อง
กบั เปา้ หมายของสถานศึกษา แผนการประเมินคุณภาพ และแผนงบประมาณ เป็นต๎น

2.2 การปฏิบตั ิตามแผน ซง่ึ ในขณะดาเนินการตอ๎ งมีการเรียนรู๎เพ่ิมเตมิ ตลอดเวลา
และผ๎ูบริหารควรให๎การสํงเสริมและสนับสุนนให๎บุคลากรทุกคนทางานอยํางมีความสุข จัดสิ่ง
อานวยความสะดวก สนบั สนุนทรพั ยากรเพื่อการปฏบิ ตั ิ กากบั ตดิ ตามการทางานท้งั ระดับบคุ ลากร
รายกลํมุ รายหมวด และให๎การนเิ ทศ

2.3 การตรวจสอบประเมินผล ซ่งึ เป็นกลไกสาคญั ทจ่ี ะกระตน๎ุ ใหเ๎ กดิ การพฒั นาเพราะ
จะทาให๎ไดข๎ ๎อมูลยอ๎ นกลับทแ่ี สดงวาํ การดาเนนิ งานท่ีผาํ นมาบรรลุเป้าหมายเพยี งใด โดยการประเมิน
ตอ๎ งจัดวางกรอบการประเมิน จดั หาหรอื จดั ทาเครื่องมอื จัดเก็บรวบรวมข๎อมูล วเิ คราะหข๑ อ๎ มูล
แปลความขอ๎ มูล และการตรวจสอบ ปรบั ปรงุ คณุ ภาพการประเมนิ

2.4 การนาผลการประเมนิ มาปรบั ปรุง เมือ่ แตํละฝ่ายประเมินผลเสรจ็ แลว๎ จะสํงผลให๎
คณะกรรมการรับผิดชอบนาไปวเิ คราะห๑ สงั เคราะห๑ และแปลผลแลว๎ นาเสนอตํอผเ๎ู ก่ยี วข๎องเพื่อนาไป

99

ปรับปรงุ การปฏิบัติงานของผู๎บรหิ ารและบคุ ลากร นาไปวางแผนในระยะตอํ ไป และจัดทาเปน็ ข๎อมูล
สารสนเทศหรือเขยี นรายงานประเมนิ ตนเอง

3. ข้ันการจัดทารายงานประเมินตนเองหรอื รายงานประจาปี เมือ่ สถานศึกษาดาเนินการ
ประเมินผลภายในเสรจ็ แล๎วจัดทารายงาน โดยเริ่มจากการรวบรวมผลการดาเนนิ งาน และผลการประเมิน
มาวิเคราะห๑จาแนกตามมาตรฐานการศกึ ษาและเขียนรายงาน

8. การส่งเสริมใหช้ มุ ชนมคี วามเข้มแข็งทางวิชาการ
แนวปฏบิ ตั ิสถานศึกษาในการสงํ เสริมใหช๎ ุมชนมีความเข๎มแขง็ ทางวชิ าการตามแนวทาง
กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถ่ิน (2553, หน๎า 45)
1. การศึกษา สารวจความต๎องการ สนบั สนนุ งานวิชาการแกํชมุ ชน
2. จัดให๎ความร๎ู เสรมิ สรา๎ งความคิด และเทคนิคทางวชิ าการเพอื่ การพฒั นาทักษะทางวชิ าชีพ
และคณุ ภาพชีวติ ของประชาชนในชมุ ชน ทอ๎ งถ่นิ
3. การสํงเสรมิ ให๎ประชาชนในชมุ ชน ท๎องถิ่น เขา๎ มามสี ํวนรวํ มในกจิ กรรมทางวิชาการ
ของสถานศึกษา และทีจ่ ดั โดยบคุ คล องคก๑ ร หนํวยงาน และสถาบันอ่นื ทจ่ี ดั การศกึ ษา
4. สํงเสรมิ ให๎มีการแลกเปลย่ี นเรียนร๎ู ประสบการณร๑ ะหวํางบคุ คล ครอบครวั ชุมชน ท๎องถ่ิน
พระราชบัญญัติการศกึ ษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 8 ได๎เน๎นและให๎ความสาคัญกับเรื่อง
การจัดการศึกษา โดยมีคาท่กี ลําวไว๎ เชํน “เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน” “ให๎สังคม
มีสวํ นรํวมในการจัดการศึกษา” “การพัฒนาสาระและกระบวนการเรยี นรู๎อยาํ งตํอเนื่อง” ขณะท่มี าตรา 9
ได๎มีคาท่ีกลาํ วไว๎เชนํ “การระดมทรพั ยากรจากแหลงํ ตาํ ง ๆ มาเพือ่ การศึกษา” “การมสี ํวนรํวมของ
บุคคลในการจัดการศึกษา” อีกท้ังในมาตรา 25 ได๎กลาํ วถงึ “รฐั ตอ๎ งสงํ เสริมการดาเนนิ งานและการจัดต้งั
แหลํงเรียนร๎ูตลอดชีวิต จงึ เป็นหน๎าท่ีสาคัญของสถานศึกษาต๎องสํงเสริมงานวชิ าการกับชุมชน ในฐานะ
ทโ่ี รงเรยี นเปน็ แหลํงกาเนดิ มรดกทางวัฒนธรรม และสร๎างสรรค๑สงิ่ ใหมํ ๆ ให๎เกดิ ขึ้นกับผ๎เู รียนซงึ่ จะ
มผี ลกระทบไปสํคู รอบครัว ชมุ ชน และสังคม โรงเรยี นควรมกี ารใหบ๎ ริการทางดา๎ นวชิ าการ และสํงเสรมิ
ความร๎ูแกชํ ุมชนเพื่อรํวมกันพัฒนาและโรงเรยี นให๎เจริญก๎าวหน๎าไปพร๎อมกัน คือ เขา๎ มารํวมทากิจกรรม
เกีย่ วกบั การเรยี นรู๎ ทุกฝา่ ยมอี สิ ระในการปฏบิ ัตติ ามภารกจิ และบทบาทของตวั เองเหมอื นกบั คอมพิวเตอร๑
ทกุ ตวั ทีส่ ามารถทางานอยํางมีอิสระ (Stand alone) ขณะเดียวกันก็เช่ือมโยงกันเป็นเครือขําย (Network)
ขนาดใหญํได๎ การบริหารในลักษณะเครือขาํ ยจงึ เป็นรปู แบบท่นี ําจะเหมาะสมกับการบริหารสถานศึกษา
ในยุคโลกาภิวัฒน๑ และสอดคลอ๎ งกับ พระราชบัญญัติการศึกษาแหงํ ชาติ และครูภมู ปิ ัญญาการเรียน
ในยุคใหมํ จาเป็นต๎องใช๎องคค๑ วามรู๎มากมาย นอกจากเครือขํายแหลํงเรียนร๎ูตามมาตรา 25 แหํง
พระราชบัญญัติการศึกษาแหงํ ชาติ พ.ศ. 2542 แลว๎ ครภู มู ิปัญญาไทยท่ีเปน็ เครือขาํ ยทสี่ าคัญ สถานศกึ ษา

100

ตอ๎ งสบื ค๎น ยกยํองเชิดชูผูม๎ ีความรู๎ด๎านภูมปิ ัญญาไทยที่อยใํู นชมุ ชน แล๎วจัดเครือขาํ ยในการจัดการเรยี น
การสอนรวํ มกนั จึงทาใหก๎ ารเรยี นรู๎เร่ืองสภาพชุมชน และภูมปิ ญั ญาท๎องถิน่ ประสบความสาเรจ็
(รุํง แกว๎ แดง, 2546, หนา๎ 184-190)

รูปแบบของการสํงเสริมงานวิชาการตํอชุมชนควรมลี ักษณะทส่ี าคัญ ดงั น้ี
(กระทรวงศกึ ษาธิการ, 2545, หนา๎ 7)

1. การเรยี นร๎จู ะตอ๎ งเปน็ รปู แบบของการเรียนรู๎ตลอดชวี ติ
2. การเรียนรู๎จะต๎องเน๎นรูปแบบทผ่ี ๎ูเรยี นเป็นผ๎ูริเรม่ิ และจัดกระบวนการเรยี นรด๎ู ๎วยผู๎เรยี นเอง
3. เน๎นบทบาทของผ๎ูเรียนให๎เป็นผ๎ูจัดกจิ กรรมการเรียนรู๎ของตนเอง
4. การเรียนรูจ๎ ะต๎องเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ๑ภายใต๎การริเริ่มของผู๎เรียน
9. การพัฒนาและใช้สอ่ื เทคโนโลยเี พ่ือการศึกษา
สื่อการเรยี นการสอน (Instruction media) เปน็ ปัจจยั สาคัญอยํางหนึ่งท่ีจะชํวยใหส๎ ถานศึกษา
จดั การเรยี นรูไ๎ ดบ๎ รรลุตามจดุ หมายของหลักสูตร สือ่ เป็นเครอ่ื งถาํ ยทอดความรู๎ ความคิด เสรมิ สรา๎ ง
คณุ ธรรมจรยิ ธรรม คาํ นยิ ม และประสบการณใ๑ ห๎แกผํ เู๎ รยี น สอื่ การเรยี นการสอนทใี่ ชก๎ นั มาก คือ ภาษาพูด
และภาษาเขียน ตํอมาได๎มีการพฒั นาขนึ้ มาเรื่อย ๆ ในปัจจุบันจะพบวํา มสี ่ือการเรยี นการสอนมากมาย
หลายชนิด เพราะถอื วําสื่อการเรยี นการสอน คอื มือทส่ี ามของครูชวํ ยให๎สอนไดส๎ นุก และมปี ระสิทธภิ าพ
(ภาวิดา ธาราศรสี ุทธ,ิ 2550, หน๎า 131)
มนี ักการศึกษาหลายคนไดใ๎ หค๎ วามหมายของสอื่ การเรยี นการสอนไว๎ ดงั น้ี
Newby และคณะ ใหค๎ าจากัดความวํา Instruction media ไวด๎ ังน้ี Channels of communication
that carry messages with an instructional purpose; the different ways and means by which information
can be delivered to learner. ซึง่ สรุปเป็นภาษาไทยไดว๎ ํา ชํองทางตําง ๆ ของการสื่อสาร ซึง่ นาพาสาร
ตําง ๆ ไปตามวัตถปุ ระสงคข๑ องการเรียนการสอนด๎วยเส๎นทาง และวิธีการที่สามารถนาพาสารสนเทศ
ไปนาสํงใหถ๎ งึ ผูเ๎ รียนได๎
รํุงชชั ดาพร เวหะชาติ (2552, หนา๎ 130) กลําววํา สื่อเป็นเคร่ืองมือของการเรยี นร๎ู ทาหน๎าท่ี
ถาํ ยทอดความร๎ู ความเข๎าใจ ความร๎สู ึก เพิม่ พูนทกั ษะ ประสบการณ๑ สรา๎ งสถานการณ๑การเรยี นรู๎
ใหแ๎ กํผ๎เู รียน กระต๎ุนให๎เกดิ การพฒั นาศักยภาพทางการคิด ได๎แกํ การคดิ อยํางไตรํตรอง การคดิ
สร๎างสรรค๑ และการคิดอยํางมีวิจารณญาณ ตลอดจนสรา๎ งคุณธรรม จรยิ ธรรมและคํานยิ มใหแ๎ กํผู๎เรียน
อาภรณ๑ ใจเทย่ี ง (2553, หนา๎ 190-191) กลําววํา ส่ือการเรยี นการสอน คือ สิ่งทชี่ วํ ยกระตุ๎น
ความสนใจของผู๎เรยี นชํวยสร๎างความเขา๎ ใจได๎ชดั เจนขึ้น และชวํ ยให๎ผ๎เู รยี นเกดิ การเรยี นร๎ูได๎เรว็ ข้ึน
ตลอดจนจาได๎นาน สอื่ การเรียนการสอนแบํงได๎เป็นสื่อประเภทวสั ดุ เชํน ของจริง รปู ภาพ หนงั สือ

101

เปน็ ต๎น สือ่ ประเภทวัสดุอปุ กรณ๑ เชํน เครื่องฉายข๎ามศีรษะ โทรทัศน๑ คอมพวิ เตอร๑ เป็นต๎น และสื่อ
ประเภทวธิ ีการ ได๎แกํ กิจกรรมทุกอยํางท่คี รูหรือนกั เรียนจัดทาข้ึนทัง้ ในและนอกห๎องเรียน

หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พ้นื ฐาน กระทรวงศึกษาธิการ (2553, หนา๎ 25) กลําววํา
สือ่ การเรยี นร๎ูเปน็ เครื่องมือสํงเสรมิ สนับสนุนการจัดการกระบวนการเรยี นร๎ู ใหผ๎ ู๎เรยี นเขา๎ ถงึ ความรู๎
ทกั ษะกระบวนการ และคุณลักษณะตามมาตรฐานการเรียนรูข๎ องหลักสูตรได๎อยํางมีประสทิ ธภิ าพ
ส่อื การเรียนร๎มู ีหลากหลายประเภท ทัง้ ส่ือธรรมชาติ ส่ือสิ่งพิมพ๑ ส่ือเทคโนโลยี และเครือขํายการเรียนรู๎
ตาํ ง ๆ ท่ีมใี นท๎องถิน่ การเลอื กใช๎สอื่ ควรเลือกใหม๎ ีความเหมาะสมกบั ระดบั พฒั นาการและลลี าการเรยี นร๎ู
ท่หี ลากหลายของผู๎เรียน

พระมหาประจกั ษ๑ กิตฺติเมธี (ทองดาษ) (2554, หน๎า 50) กลําวสรุปไวว๎ ํา ส่ือการเรียนการสอน
หมายถึง สงิ่ ตาํ ง ๆ ท่ีครใู ช๎เปน็ ตัวกลางในการถํายทอดความร๎ไู ปสนํู ักเรยี น ซงึ่ อยูํในรปู ของสิง่ พมิ พ๑
และมิใชสํ ่ิงพิมพ๑ หรอื แมก๎ ระทงั่ สีหน๎าทําทาง วธิ ีการตําง ๆ เพ่อื ชวํ ยให๎นกั เรยี นเข๎าใจงําย เรียนร๎ู
ได๎รวดเร็ว เพลดิ เพลนิ และสนใจในการเรียนการสอน

สรปุ ไดว๎ ํา ส่ือการเรยี นการสอน หมายถงึ เครอ่ื งมอื ในการสนบั สนนุ การจัดการเรียนการสอน
ใหผ๎ ๎เู รียนมีความรค๎ู วามเขา๎ ใจเพิ่มมากขึน้ ในการเรยี น ในรูปแบบของส่ือธรรมชาติ และสื่อทีม่ นษุ ย๑
สรา๎ งขน้ึ

การจดั หาส่ือการเรียนการสอน
การจดั หาสื่อการเรยี นรู๎ ผ๎ูเรียนและผสู๎ อนสามารถจดั ทาและพฒั นาขน้ึ เอง หรือปรับปรุง
เลือกใช๎อยํางมีคณุ ภาพจากสอ่ื ตําง ๆ ทมี่ ีอยรํู อบตัวเพื่อนามาใช๎ประกอบในการจัดการเรยี นรท๎ู ่สี ามารถ
สงํ เสรมิ และส่ือสารให๎ผ๎เู รยี นเกดิ การเรยี นร๎ู โดยสถานศึกษาควรจัดให๎มีอยํางพอเพียงเพอื่ พฒั นาให๎
ผเ๎ู รียนเกดิ การเรยี นรูอ๎ ยาํ งแท๎จริง สถานศึกษา เขตพื้นท่กี ารศึกษา หนวํ ยงานท่ีเกย่ี วข๎องและผู๎มีหน๎าที่
จดั การศกึ ษาขั้นพื้นฐาน ควรดาเนินการ ดังนี้
1. จดั ใหม๎ ีแหลงํ การเรยี นร๎ู ศูนย๑สือ่ การเรยี นร๎ู ระบบสารสนเทศการเรียนรแู๎ ละเครอื ขําย
การเรียนร๎ูท่ีมีประสิทธภิ าพทั้งในสถานศกึ ษาและในชมุ ชน เพื่อการศึกษาค๎นคว๎าและการแลกเปลี่ยน
ประสบการณก๑ ารเรยี นรู๎ ระหวาํ งสถานศึกษา ทอ๎ งถ่นิ ชมุ ชน สังคมโลก
2. จดั ทาและจดั หาส่ือการเรยี นร๎ูสาหรับการศึกษาค๎นคว๎าของผู๎เรยี น เสรมิ ความรู๎ให๎ผู๎สอน
รวมทง้ั จัดหาสิง่ ทมี่ ีอยํูในท๎องถ่นิ มาประยุกต๑ใชเ๎ ป็นส่ือการเรียนร๎ู
3. เลอื กและใช๎สือ่ การเรยี นร๎ูทม่ี ีคุณภาพ มีความเหมาะสม มีความหลากหลาย สอดคลอ๎ ง
กับวธิ กี ารเรยี นร๎ู ธรรมชาติของสาระการเรยี นรู๎ และความแตกตํางระหวาํ งบุคคลของผู๎เรยี น
4. ประเมนิ คณุ ภาพของส่ือการเรยี นร๎ูที่เลือกใช๎อยาํ งเป็นระบบ
5. ศกึ ษาค๎นคว๎า วิจยั เพ่อื พัฒนาส่ือการเรียนรใู๎ ห๎สอดคลอ๎ งกบั กระบวนการเรยี นร๎ูของผ๎เู รยี น

102

6. จดั ใหม๎ ีการกากับ ติดตาม ประเมนิ คุณภาพและประสิทธภิ าพเกี่ยวกบั สื่อและการใช๎
สื่อการเรียนรู๎เปน็ ระยะ ๆ และสม่าเสมอ

ทั้งน้ี ต๎องมีการคัดเลอื ก หรือพฒั นาสอ่ื และเทคโนโลยี ใหส๎ อดคล๎องกับวธิ ีการเรยี นร๎ู
ธรรมชาติของสาระการเรียนร๎ูเหมาะสมกับสภาพของผ๎ูเรียน และเป็นการสํงเสริมให๎ครูผลิต พัฒนา
สื่อเทคโนโลยีการเรยี นการสอน รวมถึงการใชส๎ ่ือในการสอน ทงั้ ยังเปน็ การพัฒนางานวชิ าการของ
สถานศึกษารวมถึงการมสี ํวนรวํ มระหวําง สถานศึกษา ผป๎ู กครอง ชมุ ชน องค๑กร หนวํ ยงานและ
สถาบนั อน่ื

บทบาทหนา้ ทขี่ องบคุ ลากรที่เก่ียวข้องกบั งานสอ่ื การเรียนการสอน (ปรยี าพร วงศอ๑ นตุ รโรจน๑,
2553, หน๎า 208-210)

งานดา๎ นสอื่ การเรยี นการสอนมบี ุคลากรท่ีเกย่ี วข๎อง ดงั น้ี
1. ฝา่ ยบริหารสถานศกึ ษา เป็นผูม๎ หี น๎าท่ีรบั ผดิ ชอบ ดงั นี้

1.1 เขา๎ ใจงานส่อื การเรยี นการสอน ตระหนกั ในคุณคําและความสาคัญ โดยการให๎
การสนบั สนุน และสํงเสรมิ การใชส๎ อ่ื การเรียนการสอน

1.2 มีนโยบาย และวางแผนการจัดโครงการงานสือ่ การเรียนการสอน
1.3 มคี วามรู๎ความสามารถ ชํวยจดั และชํวยอานวยความสะดวกในการจัดบรกิ ารส่ือ
การเรยี นการสอน
1.4 จัดใหม๎ ีอาคารสถานที่ งบประมาณ บคุ ลากรเกงํ งานสื่อการเรียนการสอน
2. ครู อาจารย๑ มหี น๎าท่รี ับผิดชอบ ดงั น้ี
2.1 ครอู าจารย๑ควรฝกึ การใช๎สอ่ื อปุ กรณก๑ ารสอน และใช๎ใหถ๎ ูกวิธี
2.2 เหน็ ความสาคัญ และความจาเปน็ ของการใชส๎ ือ่ อปุ กรณ๑การสอน และจาเป็นต๎องใช๎
เพือ่ ใหก๎ ารเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากข้ึน
2.3 ครู อาจารยค๑ วรสงํ เสริมให๎นกั เรยี นได๎ใชส๎ ือ่ การเรียนการสอน
2.4 หากครอู าจารย๑ใชส๎ ื่อการเรียนการสอนไมถํ ูกตอ๎ ง งานส่อื การเรยี นการสอน
ควรมีบรกิ ารใช๎ส่อื ตลอดจนการสาธิต และการฝกึ ฝนอบรมเกีย่ วกับการผลติ และการใช๎สอื่ ใหก๎ บั
ครูอาจารย๑
ประโยชน์ของส่อื การเรียนการสอน
สอ่ื การเรียนการสอนให๎ประโยชนท๑ ้ังตํอผเู๎ รียน และผูส๎ อน ดังน้ี

103

สือ่ กับผูเ้ รยี น
1. เป็นสิง่ ทช่ี ํวยให๎เกดิ การเรยี นรู๎อยํางมปี ระสิทธภิ าพ เพราะชํวยใหผ๎ ๎ูเรียนเกิดความเข๎าใจ
เน้ือหาบทเรียนที่ยงํุ ยากซับซ๎อนได๎งาํ ยข้ึนในระยะเวลาอันสนั้ และสามารถชํวยให๎เกดิ ความคดิ รวบยอด
ในเรื่องน้ัน ๆ ได๎อยํางถูกตอ๎ ง และรวดเร็ว
2. สื่อจะชํวยกระตน๎ุ และสร๎างความสนใจใหก๎ ับผเ๎ู รียน ทาใหเ๎ กิดความสนุกและไมเํ บอื่ หนําย
การเรยี น
3. การใช๎สือ่ จะทาใหผ๎ ๎เู รยี นมีความเข๎าใจตรงกัน และเกดิ ประสบการณ๑รวํ มกันในวชิ า
ท่เี รียนน้ัน
4. ชํวยใหผ๎ ๎ูเรียนไดม๎ สี ํวนรํวมในกิจกรรมการเรยี นการสอนมากขึ้น ทาใหเ๎ กดิ มนษุ ยสมั พนั ธ๑
อันดีในระหวาํ งผ๎ูเรยี นดว๎ ยกนั เอง และกบั ผ๎สู อนดว๎ ย
5. ชวํ ยสร๎างเสรมิ ลักษณะนิสยั ท่ีดใี นการศกึ ษาคน๎ คว๎าหาความร๎ู และชวํ ยใหผ๎ ๎ูเรียน
เกดิ ความคดิ สรา๎ งสรรค๑จากการใช๎สอ่ื เหลาํ น้ัน
6. ชวํ ยแก๎ปัญหาเรือ่ งความแตกตํางระหวํางบคุ คล โดยการจัดให๎มีการใช๎สอ่ื การเรียน
การสอนรายบคุ คล
ส่อื กับผูส้ อน
1. การใช๎ส่ือวัสดุอุปกรณ๑ตาํ ง ๆ ประกอบการเรียนการสอน ชํวยใหบ๎ รรยากาศในการเรียน
นาํ สนใจยงิ่ ขึน้ ทาให๎ผสู๎ อนมีความสนกุ สนานในการสอนมากกวําวธิ ีการที่เคยใชใ๎ นการบรรยาย
เพยี งอยํางเดียว เป็นการสรา๎ งความเชื่อม่ันในตัวเองให๎เพม่ิ ขึน้ ด๎วย
2. สือ่ จะชวํ ยแบํงเบาภาระของผ๎ูสอนในด๎านการเตรียมเน้ือหา เพราะบางครง้ั อาจให๎
ผเ๎ู รียนศกึ ษาเนื้อหาจากสือ่ ได๎เอง
3. เปน็ การกระต๎ุนให๎ผสู๎ อนตน่ื ตัวอยูเํ สมอในการเตรยี ม และผลิตวสั ดุใหมํ ๆ เพ่อื เปน็
ส่ือการสอน ตลอดจนคดิ ค๎นเทคนิควิธกี ารตาํ ง ๆ เพ่ือใหก๎ ารเรยี นร๎ูนาํ สนใจย่ิงขึ้น
ประเภทของสือ่ การสอน
ส่ือการสอนในปัจจบุ นั มีความสาคญั ตอํ หลกั สตู รมาก จนมีการพฒั นาเป็นวิชาใหมํ
ที่เรียกวํา เทคโนโลยที างการศกึ ษา ซ่งึ สวํ นใหญํเกี่ยวข๎องกับวัตถทุ ีใ่ ช๎สนับสนนุ การเรียนรข๎ู อง
นกั เรียนและชํวยการสอนของครใู ห๎ดาเนนิ ไปได๎สะดวกขึ้น
ประเภทของสื่อการสอน จาแนกได๎ 3 ประเภท คือ
1. สอ่ื ประเภทวสั ดุ (Software) บางครั้งเรียกวํา (Small media) เป็นสื่อท่ที าหน๎าที่เก็บความรู๎
ในลักษณะของภาพ เสียงและตัวอักษรในรปู แบบตําง ๆ ท่ีผเ๎ู รียนสามารถใชเ๎ ป็นแหลงํ ศึกษาความรู๎
วัสดุทใี่ ช๎ประกอบการเรียนการสอนนี้ จาแนกออกเป็น 2 ประเภท คือ

104

1.1 วสั ดุทเี่ สนอเรื่องราวหรือความร๎ไู ดด๎ ๎วยตวั มันเอง โดยไมํตอ๎ งอาศยั เครื่องมือหรือ
อุปกรณ๑ใด ๆ ในการนาเสนอเรื่องราวได๎ กระดาน ชอล๑กกระดาน ผา๎ สาลี โปสเตอร๑ ภาพเขียน ภาพถาํ ย
แผนภาพ แผนภูมิ กราฟ การ๑ตูน ของจรงิ ของจาลอง บัตรคา หนังสอื เรยี น เป็นต๎น

1.2 วสั ดุท่ีต๎องอาศัยเครื่องมือกลไก เป็นตัวนาเสนอเร่ืองราว หรือความร๎ู ได๎แกํ แผํนเสียง
เทปบนั ทึกเสียง ฟิลม๑ สตริป เทปบันทกึ ภาพ

สิง่ สาคัญอยาํ งย่งิ สาหรบั สอ่ื ประเภทวสั ดุ กค็ ือ เปน็ ตัวอมุ๎ หรือตวั ทเี่ กบ็ ความรใู๎ นลักษณะ
ของภาพ เสียง หรืออกั ษรไว๎ในรูปแบบตําง ๆ เป็นสื่อทใี่ ห๎ความรแู๎ กํนักเรียนอยํางสาคัญยิ่ง เป็นแหลํง
ความร๎ูท่ีนกั เรียนจะหาประสบการณห๑ รือศกึ ษาได๎อยาํ งกว๎างขวาง

2. สื่อประเภทเครือ่ งมือ หรือโสตทศั นูปกรณ๑ บางครั้งเรียกวํา ซ่ึงเปน็ ตวั กลาง หรือทางผําน
ของความรท๎ู ่ีจะถาํ ยทอดไปยงั ครแู ละนกั เรียนต๎องอาศัยวัสดมุ าใสํในตัวของมนั สื่อประเภทนี้ ได๎แกํ
เคร่ืองฉายภาพยนตร๑ เครอ่ื งบันทกึ เสยี ง เครื่องฉายข๎ามศีรษะ เครื่องรับวทิ ยุ เครอื่ งรับโทรทศั น๑
โทรทัศน๑วงจรปิด เครื่องเลํนแผํนเสยี ง เครื่องฉายสไลด๑ เคร่ืองฉายฟลิ ๑มสตริป และเคร่ืองคอมพวิ เตอร๑
เปน็ ต๎น

ส่อื ประเภทน้สี วํ นใหญํเป็นส่ือกลาง ซ่ึงเป็นทีอ่ าศยั หรือทางผาํ นของความร๎ทู ี่จะถํายทอด
ไปยงั ผ๎เู รยี น โดยตัวของมันเองแล๎วแทบไมํมีประโยชน๑ตํอการเรยี นรู๎เลย ถ๎าไมํมคี วามร๎ใู นแบบตําง ๆ
มาปอ้ นผํานสื่อเหลาํ น้ไี ปยงั ผ๎ูเรยี น เชํน เคร่ืองฉายภาพยนตร๑ ตอ๎ งมีฟลิ ๑มภาพยนตร๑ เครื่องรบั วิทยุ
และโทรทศั น๑ต๎องการรายการ เครอื่ งชวํ ยสอนต๎องการบทเรียนสาเรจ็ รปู เป็นตน๎ แตํอยํางไรกต็ าม
เราก็ถือวาํ สอ่ื ประเภทเคร่ืองมือนี้มีความสาคญั มากเชนํ กนั

3. สื่อประเภทเทคนคิ หรอื วิธีการ หมายถงึ กิจกรรมทกุ อยาํ งท่คี รูหรือนักเรยี นจัดข้ึน
ทั้งในและนอกห๎องเรยี น ในบางครง้ั การเรยี นการสอนต๎องอาศัยเทคนิคบางประการเขา๎ ชํวย จึงทาให๎
การเรียนไดผ๎ ลดี จะใชเ๎ พยี งวัสดหุ รือเคร่ืองมืออยํางใดอยํางหน่ึง หรือทัง้ 2 อยําง กย็ ังไมเํ พียงพอ
ต๎องอาศัยสื่อการสอนตํอไปน้ี

3.1 การเลนํ ละครและหํุน
3.2 การแสดงบทบาทสมมติ
3.3 การสาธติ
3.4 การศกึ ษานอกสถานท่ี
3.5 การแสดงนทิ รรศการ
3.6 การทดลอง
3.7 นทิ รรศการ
3.8 รายการโทรทศั น๑

105

3.9 รายการวทิ ยุ ฯลฯ เป็นต๎น
สือ่ การเรียนการสอนมีประโยชนท๑ ง้ั ตํอผู๎เรียนและผสู๎ อน ชํวยทาให๎บรรยากาศในห๎องเรียน
นําสนใจยิ่งขนึ้ ทาให๎ผ๎ูสอนสนกุ สนานในการสอนมากกวําการสอนด๎วยวิธีบรรยายโดยอยาํ งเดยี ว
และทาใหผ๎ ูเ๎ รยี นสนใจ สนกุ สนาน ไมํเบอ่ื หนาํ ยการเรยี น ชํวยทาใหผ๎ เู๎ รยี นเขา๎ ใจเน้อื หาบทเรียน
ทยี่ ํุงยากซับซ๎อนไดง๎ าํ ยย่งิ ขึ้น
สรปุ ได๎วํา ในการจัดทาส่ือ การเลือกใช๎ และการประเมินคุณภาพสือ่ การเรียนรทู๎ ใี่ ช๎
ในสถานศกึ ษาควรคานึงถึงหลกั การสาคญั ของสอ่ื การเรยี นร๎ู เชํน ความสอดคลอ๎ งกบั หลกั สตู ร
วตั ถปุ ระสงค๑การเรยี นรู๎ การออกแบบกิจกรรมการเรยี นรู๎ การจดั ประสบการณ๑ให๎ผ๎เู รียน เนื้อหา
มคี วามถูกตอ๎ งและทนั สมัย มีการใช๎ภาษาท่ีถูกตอ๎ ง รปู แบบการนาเสนอทเ่ี ขา๎ ใจงําย และนาํ สนใจ

การจดั การศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถ่นิ

องค๑กรปกครองสํวนท๎องถน่ิ ประกอบดว๎ ย องคก๑ ารบรหิ ารสํวนจังหวัด เทศบาล องคก๑ าร
บริหารสํวนตาบล การปกครองรูปแบบพิเศษ ได๎แกํ กรุงเทพมหานครและเมืองพทั ยา การจัดการศกึ ษา
ขององคก๑ รปกครองสํวนทอ๎ งถ่ินเป็นไปตามรฐั ธรรมนูญแหงํ ราชอาณาจกั รไทย พุทธศกั ราช 2560
มาตรา 250 วรรคหนง่ึ บัญญัติวํา องค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่ินมีหนา๎ ที่และอานาจดูแลและจัดทาบริการ
สาธารณะ และกจิ กรรมสาธารณะเพอ่ื ประโยชนข๑ องประชาชนในทอ๎ งถ่นิ ตามหลักการพฒั นาอยาํ งยง่ั ยนื
รวมท้ังสงํ เสริมและสนับสนุนการจดั การศกึ ษาใหแ๎ กํประชาชนในท๎องถน่ิ ทั้งนี้ตามที่กฎหมายบัญญัติ
และพระราชบัญญตั ิการศึกษาแหงํ ชาติ พ.ศ. 2542 มาตรา 41 บญั ญัติวาํ องค๑กรปกครองสํวนท๎องถน่ิ
มีสิทธจิ ัดการศึกษาในระดับใดระดบั หนึ่ง หรือทกุ ระดบั ตามความพรอ๎ ม ความเหมาะสม และความ
ต๎องการภายในท๎องถิ่น และมาตรา 42 บญั ญัติวําให๎กระทรวงกาหนดหลกั เกณฑ๑และวธิ ีการประเมิน
ความพรอ๎ มในการจัดการศึกษาขององค๑กรปกครองสวํ นทอ๎ งถิน่ และมหี น๎าทใี่ นการประสานและ
สํงเสริมองค๑กรปกครองสํวนทอ๎ งถ่นิ ใหส๎ ามารถจดั การศกึ ษาสอดคล๎องกบั นโยบายและไดม๎ าตรฐาน
การศึกษา รวมทั้งการเสนอแนะการจัดสรรงบประมาณอดุ หนุนการจัดการศึกษาขององค๑กรปกครอง
สํวนท๎องถ่ิน นอกจากนพ้ี ระราชบญั ญัติกาหนดแผนและขัน้ ตอนการกระจายอานาจใหแ๎ กํองค๑กรปกครอง
สวํ นท๎องถนิ่ พ.ศ. 2542 มาตรา 16 มาตรา 17 และมาตรา 18 กาหนดใหเ๎ ทศบาล เมืองพัทยา องค๑การ
บริหารสวํ นตาบล องค๑การบริหารสวํ นจงั หวัด และกรงุ เทพมหานคร มีหนา๎ ท่กี ารจดั ระบบการบริหาร
สาธารณะดา๎ นการจัดการศึกษาเพือ่ ประโยชน๑ของประชาชนในทอ๎ งถ่นิ ของตน จากภารกจิ การจัด
การศกึ ษาตามหน๎าทีท่ ี่องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิน่ ต๎องปฏิบตั ติ ามกฎหมายจึงทาใหจ๎ ัดการศกึ ษา
โดยมแี นวทางจัดการศึกษา ดงั น้ี (กรมสงํ เสรมิ การปกครองสํวนทอ๎ งถิน่ , 2553)

106

แนวนโยบายการจดั การศกึ ษาขององค์กรปกครองสว่ นท้องถ่ิน
วสิ ยั ทัศน์การจัดการศึกษาท้องถ่นิ
การจดั การศึกษาท๎องถิน่ เพ่ือพฒั นาคณุ ภาพและศักยภาพคนในท๎องถน่ิ ให๎มีลกั ษณะ
ที่สามารถบรู ณาการชีวิตให๎สอดคล๎องกบั สภาพ และความต๎องการของสังคมและประเทศชาติ
ตามหลักแหํงการปกครองตนเองตามเจตนารมณข๑ องประชาชนในท๎องถิน่
ภารกิจการจดั การศกึ ษาทอ้ งถน่ิ
ภารกจิ การจดั การศึกษาท๎องถ่ินกาหนดไวด๎ งั น้ี
1. การจดั การศกึ ษาปฐมวยั เปน็ การจดั การศึกษาทีม่ งํุ พัฒนาความพร๎อมแกเํ ด็กตั้งแตํแรก
เกิดถึงกํอนการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให๎เด็กปฐมวยั ไดร๎ ับการพัฒนาทั้งดา๎ นราํ งกาย จิตใจ อารมณ๑ สังคม
และสตปิ ัญญา เต็มตามศกั ยภาพและมคี วามพร๎อมในการเข๎ารบั การศกึ ษาในระดับการศึกษาขน้ั พื้นฐาน
2. การจัดการศึกษาขน้ั พ้ืนฐาน เป็นการจดั การศึกษาทมี่ ํุงพฒั นาและวางรากฐานชวี ิต
เตรียมความพรอ๎ มของเดก็ ทั้งทางราํ งกายจติ ใจ สตปิ ัญญา อารมณ๑ บคุ ลิกภาพ และสังคม ใหผ๎ เู๎ รียน
ได๎พัฒนาคุณลกั ษณะท่ีพึงประสงค๑ดา๎ นคณุ ธรรม จริยธรรม ความร๎ูความสามารถข้ันพื้นฐาน รวมทง้ั
ให๎สามารถคน๎ พบความต๎องการ ความสนใจ ความถนัด ของตนเองดา๎ นวิชาการ วชิ าชีพ ความสามารถ
ในการประกอบอาชีพ และทกั ษะทางสังคม ให๎ผู๎เรยี น มีความร๎คู คูํ ณุ ธรรมและมีความสานกึ ใน
ความเป็นไทย
3. การจัดบริการใหค๎ วามร๎ดู ๎านอาชพี เป็นการจัดบรกิ ารและหรือสํงเสรมิ สนบั สนุน
พัฒนาความร๎ู ทักษะในการประกอบอาชีพแกํประชาชน รวมท้งั การรวมกลํุมผ๎ปู ระกอบอาชีพเพือ่
เสริมสร๎างความเขม๎ แขง็ ของชมุ ชน
4. การจัดการสํงเสรมิ กฬี า นันทนาการและกจิ กรรมเดก็ เยาวชนเปน็ การจดั และสงํ เสริม
สนบั สนนุ การดาเนนิ งานดา๎ นการกีฬา นันทนาการ กิจกรรมเดก็ และเยาวชนแกํเด็กและเยาวชน
ประชาชนทั่วไปอยาํ งหลากหลาย
5. การดาเนินงานดา๎ นการศาสนา ศลิ ปวัฒนธรรม จารีตประเพณีและภูมปิ ญั ญาทอ๎ งถิ่น
เปน็ การดาเนินงานดา๎ นกิจกรรมสํงเสริม สนบั สนนุ อนุรักษ๑ ศาสนา ศลิ ปวฒั นธรรม จารตี ประเพณี
ภูมิปัญญาท๎องถิ่น โดยเฉพาะกิจกรรมที่เน๎นเอกลักษณค๑ วามเปน็ ไทยและท๎องถิ่น
วัตถุประสงค์
1. เพ่ือให๎เด็กปฐมวยั ได๎รับการสงํ เสริม และเตรยี มความพร๎อมทางรํางกาย จิตใจ และอารมณ๑
สังคม สติปัญญา ใหม๎ คี วามพรอ๎ มทจี่ ะเข๎ารับการศึกษาในระดับการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน
2. เพอ่ื ใหเ๎ ด็กท่มี ีอยูํในเกณฑ๑การศึกษาพนื้ ฐานทกุ คนในเขตความรบั ผิดชอบขององคก๑ ร
ปกครองสํวนท๎องถ่นิ ได๎รับการบริการการศึกษาขัน้ พ้นื ฐานครบตามหลกั สูตรอยาํ งสม่าเสมอและเทําเทยี ม

107

3. เพื่อพัฒนาการดาเนนิ การจดั การศึกษาขัน้ พ้ืนฐานขององคก๑ รปกครองสํวนท๎องถ่ิน
ใหม๎ ีคุณภาพ ประสิทธภิ าพ บรรลุเป้าหมาย วัตถุประสงคเ๑ ปน็ ไปตามมาตรฐานท่ีรฐั กาหนด และ
ตรงตามความต๎องการของประชาชนในท๎องถน่ิ โดยมุงํ พฒั นาใหเ๎ กิดความสมดลุ ทัง้ ด๎านปัญญา
จติ ใจ ราํ งกาย สังคม ระดับความคิด คาํ นยิ ม และพฤติกรรม ซึ่งเนน๎ วธิ ีการจัดกระบวนการเรียนร๎ู
ทมี่ ีความหลากหลายใหผ๎ ูเ๎ รยี นสาคัญ

4. เพอ่ื ให๎การจัดการศกึ ษาท๎องถิ่น ดาเนินการตามความต๎องการและคานงึ การมสี ํวนรํวม
การสนบั สนุ นบุคคล ครอบครวั ชมุ ชน เอกชน องค๑กรชุมชน องคก๑ รวชิ าชพี สถาบนั ศาสนา
สถานประกอบการ และประชาชนในท๎องถ่นิ ในการจัดการศึกษาทุกระดบั ตามศกั ยภาพและ
ความสามารถท๎องถิน่

5. เพ่ือสํงเสริมให๎เดก็ เยาวชน และประชาชนในทอ๎ งถิน่ ได๎ออกกาลังกายและฝกึ ฝนกีฬา
รํวมกจิ กรรมนันทนาการ และกจิ กรรมการพัฒนาเยาวชนเพื่อพฒั นาให๎เป็นคนมีคุณภาพท้ังรํางกาย
สติปญั ญา รํางกาย สงั คม โดยมคี วามตระหนกั ในคุณคําของการกีฬา นันทนาการ และปรบั เปลีย่ น
พฤติกรรมเด็กและเยาวชนไปในแนวทางท่ถี ูกตอ๎ ง ใช๎เวลาวาํ งให๎เปน็ ประโยชน๑

6. เพ่ือใหค๎ วามร๎ูความเขา๎ ใจแกปํ ระชาชนในการสรา๎ ง และพฒั นาอาชีพ เพื่อพัฒนา
คณุ ภาพชีวิต โดยเฉพาะในกลํุมผูข๎ าดโอกาส ผดู๎ ๎อยโอกาส ผ๎ูพกิ ารทพุ พลภาพ ซ่งึ เป็นสงํ เสรมิ
สนบั สนุน การประกอบอาชีพใหม๎ ีงานทา ไมเํ ป็นภาระแกสํ งั คม

7. เพอ่ื บารุงการศาสนาและอนรุ ักษ๑ บารงุ รักษาศลิ ปะ วฒั นธรรม จารีตประเพณีและ
ภูมิปญั ญาท๎องถิน่ มคี วามภาคภูมิใจในเอกลักษณ๑ความเป็นไทย

นโยบายการจดั การศึกษาทอ้ งถิน่
1. นโยบายดา๎ นความเสมอภาคของโอกาสทางการศกึ ษาขน้ั พื้นฐาน เรํงรัดจัดการศกึ ษา
ให๎บคุ คลมีสิทธิ และโอกาสเสมอกันในการเขา๎ รับบริการการศึกษาขนั้ พน้ื ฐาน ไมํน๎อยกวาํ 12 ปี
ใหไ๎ ดอ๎ ยาํ งทวั่ ถงึ และมคี ุณภาพโดยไมเํ กบ็ คําใชจ๎ ําย
2. นโยบายดา๎ นการจัดการศึกษาปฐมวัย จดั การศกึ ษาใหเ๎ ด็กปฐมวัยได๎เขา๎ รบั บริการ
ทางการศกึ ษาอยํางท่วั ถงึ และมีคุณภาพ สํงเสรมิ สนบั สนนุ ให๎บุคคล ครอบครัว ชุมชน องคก๑ ร
เอกชน องคก๑ รวิชาชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสงั คมอน่ื ในทอ๎ งถ่ินมสี ิทธิ
และสํวนรํวมในการจัดการจัดการศกึ ษาปฐมวยั
3. นโยบายดา๎ นคณุ ภาพมาตรฐานการศึกษา พฒั นาคุณภาพและมาตรฐาน และจัดระบบ
ประกันคณุ ภาพการศกึ ษาทกุ ระดบั และประเภทการศกึ ษา
4. นโยบายดา๎ นระบบบรหิ ารและจัดการศกึ ษา จัดระบบบริหาร และจดั การศกึ ษาให๎
สอดคล๎องกบั ระบบการจัดการศกึ ษาของชาติอยาํ งมปี ระสิทธิภาพและประสทิ ธิผล โดยมเี อกภาพ

108

ในเชิงนโยบาย มคี วามหลากหลายในการปฏิบตั ิ อกี ท้ังมคี วามพร๎อมในการดาเนินการจัดการศกึ ษา
และสงํ เสริมให๎ชมุ ชนมสี ํวนรํวมในการจัดการศึกษาท๎องถนิ่ การกาหนดนโยบาย และแผนการจัด
การศกึ ษาใหค๎ านงึ ถึงผลกระทบตํอการศกึ ษาของเอกชน หรือรบั ฟงั ความคิดเห็นของเอกชนและ
ประชาชนประกอบการพิจารณาด๎วย

5. นโยบายด๎านครู คณาจารย๑ และบุคลากรทางการศึกษา วางแผนงานบุคคล เพื่อใช๎
ในการประสานขอ๎ มลู และเป็นขอ๎ มูลในการนาเสนอพจิ ารณาสรรหาบคุ ลากร พร๎อมท้ังมีการประเมนิ ผล
การปฏิบัตงิ านการพัฒนาครู คณาจารย๑ และบุคลากรทางการศกึ ษาอยํางตํอเนื่อง เพื่อให๎มคี ณุ ภาพ
และมาตรฐานที่เหมาะสมกบั การเป็นวชิ าชีพครชู ้นั สูง โดยมีสทิ ธปิ ระโยชน๑สวสั ดิการ คําตอบแทน
เพยี งพอ และเหมาะสมกับคณุ ภาพและมาตรฐานท่เี หมาะสมกับวชิ าชพี ชน้ั สูง

6. นโยบายหลกั สูตร ให๎สถานศกึ ษาจัดทารายละเอยี ดสาระหลกั สตู รแกนกลาง และสาระ
หลักสตู รท๎องถน่ิ ท่ีเนน๎ ความร๎ู คณุ ธรรม กระบวนการเรียนร๎ู และบูรณาการตามความเหมาะสมของ
แตํละระดับการศกึ ษาท้งั ในระบบ การศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอธั ยาศยั โดยให๎สอดคลอ๎ ง
กบั สภาพปัญหาและคณุ ลักษณะอันพึงประสงค๑ ความเป็นไทย ความเปน็ พลเมืองดีของสังคมและ
ชาติ โดยคานงึ ถึงความเป็นมาทางประวัติศาสตร๑

7. นโยบายด๎านกระบวนการเรยี นรู๎ จดั กระบวนการเรยี นรู๎ใหผ๎ ูเ๎ รยี นทุกคนมีจติ สานึกใน
ความเปน็ ไทย และสามารถเรียนรพ๎ู ฒั นาตนเองได๎ โดยถือวาํ ผ๎เู รยี นสาคัญทสี่ ุด การจัดการศกึ ษาตอ๎ ง
สํงเสริมให๎ผ๎เู รียนพัฒนาตามธรรมชาติเตม็ ตามศักยภาพให๎เปน็ การเรยี นร๎ูอยํางตอํ เน่ืองตลอดชวี ิต
และสํงเสรมิ ให๎ผู๎สอนสามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรยี นร๎ูที่เหมาะสมกบั ผ๎ูเรยี นในแตลํ ะระดับการศึกษา

8. นโยบายดา๎ นทรพั ยากรและการลงทนุ เพื่อการศึกษา ระดมทรัพยากรและการลงทุน
เพ่ือการศึกษาอยาํ งมปี ระสิทธภิ าพและประสทิ ธิผลทัง้ ทางด๎านงบประมาณการเงิน ทรัพย๑สินใน
ประเทศจากรัฐ บุคคล องคก๑ รเอกชน องคก๑ รวิชาชพี สถาบันศาสนา สถานประกอบการ สถาบนั
สังคมอนื่ และตาํ งประเทศมาใช๎จดั การศึกษา และจัดสรรงบประมาณใหก๎ ับการศกึ ษาในฐานะทมี่ ี
ความสาคญั สูงสดุ ตอํ การพฒั นาทย่ี ่งั ยนื

9. นโยบายด๎านเทคโนโลยีเพือ่ การศกึ ษา สํงเสรมิ สนบั สนุนให๎มกี ารผลิต และพฒั นา
แบบเรียน เอกสารทางวชิ าการ สอ่ื ส่งิ พิมพอ๑ น่ื วสั ดุอุปกรณ๑ และเทคโนโลยเี พอ่ื การศกึ ษาอ่นื โดยเรํงรดั
พัฒนาขีดความสามารถในการผลิต รวมถึงการพัฒนาและการประยกุ ตใ๑ ช๎เทคโนโลยี เพื่อการศึกษา
ตลอดจนการสอื่ สารทกุ รปู แบบ สือ่ ตัวนาและโครงสร๎างพ้นื ฐานท่จี าเป็นตํอการสํงวิทยกุ ระจายเสยี ง
วิทยุโทรทัศน๑ วทิ ยุโทรคมนาคม และการสอื่ สารในรูปอ่นื

109

10. นโยบายด๎านการสงํ เสริมกฬี า นนั ทนาการและกิจกรรมเด็กเยาวชน สํงเสริมสนับสนุน
การดาเนินงานด๎านการกฬี า นันทนาการกิจกรรมเดก็ เยาวชน รวมท้ังแหลงํ เรยี นร๎ูตลอดชีวิตทกุ รูปแบบ
บรกิ ารแกํเด็ก เยาวชน ประชาชนอยํางหลากหลาย พอเพียงและมีประสิทธิภาพ

11. นโยบายการสงํ เสรมิ อาชีพ สนบั สนนุ สํงเสรมิ ชํวยเหลอื อาชีพ ใหม๎ กี ารประกอบอาชพี
อสิ ระท่ีถกู ตอ๎ งตามกฎหมาย จดั ให๎มีการรวมกลํมุ อาชีพ ภูมปิ ญั ญาท๎องถิน่ สนบั สนุนระดมทนุ และ
การจดั การ นาวทิ ยาการตาํ ง ๆ มาประยกุ ตใ๑ ชใ๎ นการปรบั ปรุงการประกอบอาชพี การจัดการด๎านการตลาด
ใหไ๎ ด๎มาตรฐานและความเหมาะสมตามสภาพท๎องถนิ่

12. นโยบายด๎านการศาสนา ศลิ ปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณแี ละภมู ิปัญญาท๎องถิน่
บารุงรักษา สงํ เสริมและอนุรักษ๑ สถาบันศาสนา ศลิ ปะ วฒั นธรรม จารีตประเพณแี ละภมู ปิ ัญญาท๎องถิ่น
เพือ่ ใหเ๎ กิดสังคมภมู ปิ ัญญาแหงํ การเรยี นรู๎ และสงั คมท่เี อื้ออาทรตํอกนั สบื ทอดวัฒนธรรม
ความภาคภูมิใจในเอกลกั ษณค๑ วามเป็นไทยและท๎องถ่ิน

หลกั การและวธิ กี ารจัดการศึกษา
การจดั การศกึ ษาท๎องถิ่น โดยทว่ั ไปจะยึดหลกั การสํวนกลางทาหน๎าท่ีกาหนดนโยบาย
แผนการศกึ ษา หลักสตู ร มาตรฐานและการวัดประเมินผลการศึกษา โดยมอบให๎สํวนท๎องถ่ินทาหน๎าท่ี
ในการจัดการศกึ ษาใหเ๎ ป็นไปตามที่ พระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ และพระราชบัญญัตกิ าหนด
แผนและขั้นตอน การกระจายอานาจให๎แกํองคก๑ รปกครองสํวนท๎องถิ่น ดังนั้น การจัดการศกึ ษาท๎องถ่นิ
ของไทยในปจั จุบันจึงยดึ หลักการ ดงั น้ี
1. หลกั การกระจายอานาจในการจัดการศกึ ษาทอ๎ งถ่ิน ซ่ึงแตํเดมิ รวมอานาจไวท๎ ี่ราชการ
สํวนกลาง ไดม๎ อบอานาจให๎ราชการสํวนท๎องถ่ินเปน็ ผ๎ดู าเนนิ การเอง ภายใต๎การประสานสงํ เสรมิ
ของสวํ นกลาง เพ่ือให๎สอดคล๎องกบั พระราชบัญญัตกิ ารศกึ ษาแหงํ ชาติ และความต๎องการของประชาชน
ในท๎องถิ่น
2. หลักการใหป๎ ระชาชนมีสํวนรวํ มในการจัดการศกึ ษาท๎องถิ่น รัฐบาลจะเขา๎ ไปมสี วํ น
เก่ยี วข๎องเฉพาะในการสนบั สนุน สงํ เสริมให๎ท๎องถ่ินสามารถจัดการศกึ ษาได๎
3. การนาทรพั ยากรในท๎องถิ่นมาใช๎ให๎เป็นประโยชน๑ตํอการจดั การศกึ ษาทอ๎ งถิ่น
การนาแนวนโยบายไปสูก่ ารปฏิบัติ
เนอ่ื งจากแนวนโยบายการจัดการศึกษาในองค๑กรปกครองสํวนท๎องถน่ิ (พ.ศ. 2545-2559)
ทีจ่ ดั ทาขนึ้ เป็นการจัดทาภายใตก๎ รอบแหงํ บทบัญญัตขิ องกฎหมายทเ่ี กย่ี วขอ๎ ง ซ่งึ รวมทง้ั พระราชบญั ญตั ิ
การศกึ ษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 และพระราชบัญญตั ิเฉพาะขององคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถิ่นแตลํ ะประเภท
เพ่อื ให๎ครอบคลุมภารกจิ ทั้งหมด ทเี่ กยี่ วข๎องกบั การจดั การศกึ ษาภายใต๎ความรับผดิ ชอบขององค๑กร
ปกครองสวํ นท๎องถิ่น จงึ นานโยบายทเ่ี หมาะสมกับศักยภาพ ความตอ๎ งการและความพร๎อมไปปฏบิ ัติ

110

โดยกระทรวงมหาดไทยไดเ๎ สนอแนะยทุ ธศาสตร๑การนาแนวนโยบายไปสกูํ ารปฏบิ ัติ ดงั นี้ (กรมสงํ เสรมิ
การปกครองสวํ นท๎องถิ่น, 2553, หน๎า 12)

1. แนวทางการดาเนนิ การจัดการศึกษาเนอ่ื งจากองคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถ่ินมคี วามแตกตําง
กนั ทั้งในด๎านความพร๎อมและศกั ยภาพเมื่อพิจารณาแนวทางการดาเนินงานรับผิดชอบการจดั การศกึ ษา
ขององคก๑ รปกครองสํวนทอ๎ งถ่นิ เพอื่ ใหเ๎ ป็นไปตามรัฐธรรมนญู พระราชบญั ญัติการศกึ ษาแหงํ ชาติ
และพระราชบัญญัตกิ าหนดแผนและข้นั ตอนการกระจายอานาจใหแ๎ กํองคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถนิ่
สามารถดาเนนิ การได๎ 2 แนวทาง คือ

1.1 การดาเนินการจดั การศกึ ษาเอง โดยดาเนินการได๎ 2 กรณี คอื
กรณีที่ 1 ดาเนินการจัดการศึกษาขนึ้ เองภายในองคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถนิ่
กรณีท่ี 2 ดาเนินการรับถาํ ยโอนภารกจิ การจดั การศกึ ษาที่รัฐจะถํายโอนภารกจิ
การจัดการศกึ ษาของรัฐใหอ๎ งค๑กรปกครองสํวนท๎องถิน่ เป็นผบ๎ู รหิ ารจัดการศึกษา
สาหรบั การดาเนินการท้ัง 2 กรณี องค๑กรปกครองสวํ นท๎องถ่ิน ต๎องผํานการประเมนิ
ความพรอ๎ มตามทก่ี ระทรวงศึกษาธิการกาหนด และกรณอี งคก๑ รปกครองสวํ นทอ๎ งถ่นิ ไมํผาํ นเกณฑ๑
การประเมิน กระทรวงศกึ ษาธิการต๎องมีหน๎าที่ต๎องดาเนินการชํวยเหลือ สํงเสรมิ สนบั สนนุ ให๎องคก๑ ร
ปกครองสวํ นท๎องถ่นิ มีความสามารถจดั การศกึ ษาได๎ตามมาตรฐานท่ีกาหนด
1.2 การดาเนินการโดยองคก๑ รปกครองสํวนทอ๎ งถ่นิ มีสํวนรํวมเปน็ การดาเนินการ
โดยองค๑กรปกครองสวํ นท๎องถนิ่ เขา๎ ไปมสี ํวนรวํ มในการจัดการศึกษาของรฐั โดยเข๎าไปมีสวํ นรํวม
ในการบริหาร จัดการสงํ เสริม สนบั สนนุ งบประมาณ วสั ดุครุภณั ฑ๑ อุปกรณท๑ างการศึกษา ทรัพยส๑ ิน
อน่ื ๆ รวมทัง้ การเสนอแนะ แนะนา และรวํ มพฒั นาการศึกษา
2. การพจิ ารณาความพร๎อมในการจดั การศึกษาพจิ ารณาจากลกั ษณะและการแบงํ กลํุม
ขององค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น ดังน้ี
2.1 ลกั ษณะขององค๑กรปกครองสวํ นท๎องถ่ิน องค๑กรปกครองสวํ นท๎องถิ่นทจ่ี ัดการศึกษา
อยํูแล๎วดาเนินการจัดการศกึ ษาใหส๎ อดคล๎องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแหํงชาติ พ.ศ. 2542 โดยเฉพาะ
การจดั การศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐาน ใหแ๎ กํประชาชนในความรบั ผดิ ชอบของท๎องถนิ่ อยาํ งทัว่ ถงึ ตามความตอ๎ งการ
ของประชาชน องคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถิ่นทีย่ งั ไมํไดจ๎ ัดการศึกษา ดาเนนิ การจัดบริการทางการศึกษา
แกปํ ระชาชนในความรบั ผิดชอบของท๎องถ่ิน ให๎สอดคลอ๎ งกับรฐั ธรรมนูญ พระราชบัญญตั ิการศึกษา
แหงํ ชาติ พ.ศ. 2542 พระราชบัญญตั กิ าหนดแผนและข้ันตอนการกระจายอานาจให๎แกํองคก๑ รปกครอง
สํวนทอ๎ งถิ่น ตามความเหมาะสม ความพร๎อมและความต๎องการของท๎องถ่นิ ทั้งนภ้ี ายใต๎การประเมิน
ความพร๎อม ตามเกณฑ๑ทกี่ ระทรวงศึกษาธิการกาหนด

111

2.2 การแบงํ กลมํุ ขององคก๑ รปกครองสํวนท๎องถ่ิน ในการกาหนดกรอบภารกิจการ
จัดการศึกษาแบํงออกเป็น 3 กลํมุ ดังนี้

2.2.1 กลุํมความพร๎อมสงู ควรดาเนินการภารกจิ
2.2.1.1 การศึกษากํอนพน้ื ฐาน
2.2.1.2 การศึกษาขัน้ พื้นฐาน
2.2.1.3 การสํงเสริมอาชพี / การศกึ ษานอกระบบ
2.2.1.4 กิจกรรมเด็ก เยาวชน การกฬี า นันทนาการ
2.2.1.5 บารุงรกั ษาศิลปะ วฒั นธรรม ภูมิปัญญาท๎องถิ่น

2.2.2 กลุํมความพรอ๎ มปานกลาง ควรดาเนินภารกจิ
2.2.2.1 การศกึ ษาขนั้ พ้ืนฐาน (การศึกษาระดบั กอํ นประถมศกึ ษา)
2.2.2.2 การสงํ เสรมิ อาชพี / การศึกษานอกระบบ
2.2.2.3 กจิ กรรมเดก็ เยาวชน การกีฬา นนั ทนาการ
2.2.2.4 บารุงรักษาศิลปะ วัฒนธรรม ภูมปิ ัญญาท๎องถิ่น

2.2.3 กลมุํ ความพรอ๎ มตา่ ควรดาเนนิ ภารกจิ
2.2.3.1 การสงํ เสริมอาชพี / การศึกษานอกระบบ
2.2.3.2 กิจกรรมเดก็ เยาวชน การกีฬา นนั ทนาการ
2.2.3.3 บารงุ รักษาศลิ ปะ วัฒนธรรม ภมู ปิ ัญญาท๎องถ่ิน
2.2.3.4 รํวมในการจัดการศึกษาของรัฐ

3. องคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถิ่นจะจัดการศกึ ษาพจิ ารณาจาก
3.1 ความตอ๎ งการและขอ๎ คิดเหน็ ของประชาชนในท๎องถนิ่
3.2 ความคดิ เห็นของสภาท๎องถิน่
3.3 ข๎อมูล ข๎อเท็จจริง (จานวนโรงเรียน จานวนเด็ก สภาพทีต่ ั้ง ฯลฯ)
3.4 ขอ๎ คิดเห็นของบคุ ลากรในสถานศกึ ษาท่ีจะโอน
3.5 ศกั ยภาพของทอ๎ งถิน่ (คน เงิน พัสดุ การจัดการ)
3.5.1 คน ได๎แกํ ศักยภาพในการบรหิ ารการศึกษาของนกั บรหิ ารการศึกษาของ

องคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถน่ิ บคุ ลากรทางการศึกษาขององคก๑ รปกครองสํวนทอ๎ งถิ่นและอตั รากาลงั
บคุ ลากรทางการศึกษาขององค๑กรปกครองสํวนท๎องถนิ่

3.5.2 เงิน ได๎แกํ รายได๎ขององคก๑ รปกครองสํวนทอ๎ งถ่ินท่ีเพ่ิมข้นึ จะเพิม่ ขึน้
และไดร๎ บั อดุ หนนุ จากรฐั เพิ่มข้ึน ตลอดจนได๎รบั สนับสนนุ จากองค๑กรตาํ ง ๆ

112

3.5.3 พัสดุ ไดแ๎ กํ ความตอ๎ งการทางด๎านวัสดุ ครุภัณฑ๑ อุปกรณ๑ อาคารสถานที่
ท่ีมี ท่จี ะรับโอนให๎เปน็ ให๎เกิด ทีจ่ ะขอสนับสนนุ

3.5.4 การจัดการ ไดแ๎ กํ ศักยภาพของผบู๎ ริหารองค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่นิ ไดแ๎ กํ
ความรู๎ ความเขา๎ ใจ ความสนใจ ความสามารถ วสิ ยั ทศั นต๑ ํอการจัดการศึกษาและการจัดโครงสร๎าง
การบริหารการศึกษาขององค๑กรปกครองสํวนทอ๎ งถ่นิ

4. การใช๎แผนเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมื่อองคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถ่ิน พิจารณาระดับ
ความพร๎อมและศกั ยภาพแลว๎ จะนาแนวนโยบายตามกรอบภารกิจซึง่ สอดคล๎องกบั ระดับความพร๎อม
ขององค๑กรปกครองสวํ นท๎องถนิ่ มาจัดทาแผนพัฒนาการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม และหรือ
แผนปฏบิ ตั กิ าร การจัดการศึกษาขององค๑กรปกครองสวํ นทอ๎ งถ่ิน โดยยดึ หลกั การดาเนินการ ดังน้ี

4.1 กาหนดเป้าหมายใหช๎ ัดเจนครอบคลุมภารกิจตามกฎหมาย ครอบคลุมกลุํมเป้าหมาย
และพื้นท่ีอยํางท่วั ถงึ

4.2 ประชาชนมสี วํ นรํวมกาหนดความตอ๎ งการ รํวมวางแผน รํวมดาเนินการตามแผน
และรํวมตดิ ตามประเมินผลการดาเนนิ การตามแผน

4.3 ใช๎แผนเป็นแนวทางในการบริหารกจิ การ และสนองตอบปัญหาและความต๎องการ
ของประชาชนอยาํ งเปน็ รปู ธรรม

4.4 การกาหนดกจิ กรรมโครงการในแผน ต๎องมุํงหลกั ความเป็นไปไดแ๎ ละประโยชน๑
สูงสดุ ท่ปี ระชาชนในท๎องถิน่ จะได๎รบั

5. การประชาสัมพันธ๑ สรา๎ งความเข๎าใจแกํผ๎ูเก่ียวข๎องใชส๎ ่อื และวิธีการทุกรปู แบบทจี่ ะชแ้ี จง
ใหป๎ ระชาชน หนํวยงานทเ่ี ก่ียวข๎อง องค๑กรเอกชนใหร๎ ๎ูจกั และเขา๎ ใจเกี่ยวกบั แนวทางและแผนการ
ดาเนนิ งานขององคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถนิ่ ในการพัฒนาการศกึ ษา ศาสนา และศิลปวฒั นธรรม
เพื่อนาไปสํูความรวํ มมือจากทกุ ฝ่าย

6. การระดมทรัพยากรและความรวํ มมือจากทกุ ฝ่ายสร๎างความตระหนกั ในความเปน็
สํวนหนึง่ ของสังคม ให๎แกกํ ลไกทางสงั คมทุกสวํ น ทัง้ กลมุํ ประชาชน ภาครฐั และเอกชนเพอ่ื ใหม๎ ี
สํวนรํวมในการดาเนินการพัฒนาท๎องถิน่ ทุกรูปแบบ ท้งั การสนบั สนุนกาลงั กาย กาลงั ใจ กาลังทรัพย๑
ตลอดจนความคิดเหน็ หรือการตดิ ตาม ตรวจสอบ เพ่อื ใหก๎ จิ กรรมตาํ ง ๆ บังเกิดผลเป็นรูปธรรม

7. การเตรยี มความพร๎อมในการรับผิดชอบจัดการศกึ ษาโดยการปรับโครงสรา๎ งการบริหาร
กิจกรรม การศึกษา ศาสนา วัฒนธรรม และภมู ปิ ัญญาท๎องถน่ิ ตลอดจนสรา๎ งองค๑ความรู๎ กรอบความคิด
และพัฒนาเทคนคิ การบริหารการจัดการศึกษาให๎บุคลากรของท๎องถิ่นสามารถจัดการศึกษาได๎ตามเกณฑ๑
มาตรฐานตลอดจนจัดระบบนิเทศ ประเมินผลการดาเนินงานอยาํ งมีคณุ ภาพ และประสทิ ธผิ ล

113

งานวิจยั ทีเ่ ก่ยี วข้อง

งานวิจยั ในประเทศ
ทรงพล เจริญคา (2552) ได๎ศึกษารปู แบบความเป็นเลศิ ของโรงเรยี นสงั กัดกรุงเทพมหานคร
ผลการวิจัยพบวาํ
1. ปจั จัยความเปน็ เลิศของโรงเรียนสงั กัดกรงุ เทพมหานคร ประกอบดว๎ ย 5 ปจั จยั คือ
1) การบริหารงานโรงเรยี น 2) ผู๎อานวยการโรงเรยี น 3) โครงสรา๎ งการบรหิ ารงานของโรงเรียน
4) นักเรยี น ผ๎ปู กครอง ชุมชน และสังคม 5) ครูและบคุ ลากรทางการศึกษา
2. สภาพความเป็นเลศิ ของโรงเรียนสังกดั กรุงเทพมหานคร ตามเกณฑ๑ของสถาบันมาตรฐาน
และเทคโนโลยีแหงํ ชาติ โดยภาพรวมอยใูํ นระดบั มาก และผลการวเิ คราะหป๑ ัจจยั เชงิ ยืนยัน (Confirmatory
Factor Model: CFM) สอดคลอ๎ งกับขอ๎ มลู เชงิ ประจักษ๑
3. รูปแบบความเปน็ เลศิ ของโรงเรียนสังกัดกรงุ เทพมหานคร ท้งั 3 ปัจจยั มีความถกู ต๎อง
เหมาะสม เปน็ ไปได๎ และสามารถนามาใชป๎ ระโยชน๑สอดคลอ๎ งกับกรอบแนวคิดทฤษฎีของการวิจยั
วิภา ทองหงา (2554) ไดศ๎ กึ ษารูปแบบการบรหิ ารงานของโรงเรยี นสังกัดกรงุ เทพมหานคร
ผลการวิจยั พบวํา
1. องค๑ประกอบการบริหารงานของโรงเรยี นสังกัดกรุงเทพมหานครประกอบดว๎ ย
6 องค๑ประกอบ คือ 1) การประกนั คณุ ภาพการศึกษา 2) การพัฒนาศักยภาพการเรียนรู๎ของนกั เรยี น
3) การนเิ ทศการศกึ ษา 4) การแนะแนวการศกึ ษา 5) การมีสํวนรวํ มในการจดั การศกึ ษา และ 6) ส่ือ
การเรียนการสอน
2. ความสัมพันธข๑ ององค๑ประกอบการบรหิ ารงานของโรงเรียนสงั กดั กรุงเทพมหานคร
พบวาํ องค๑ประกอบทกุ ตวั มีความสมั พนั ธ๑กับองคป๑ ระกอบดา๎ นการประกันคณุ ภาพการศกึ ษา โดยที่
การพฒั นาศกั ยภาพการเรียนรู๎ของนักเรยี น การนิเทศการศึกษา การแนะแนวการศึกษา การมสี วํ นรํวม
ในการจัดการศกึ ษา และสื่อการเรียนการสอนมคี วามสมั พันธโ๑ ดยตรงตํอการประกันคุณภาพการศึกษา
และมีความสัมพนั ธ๑โดยอ๎อมกับการประกันคุณภาพการศกึ ษาโดยสงํ ผาํ นการพัฒนาศักยภาพการเรยี นรู๎
ของนกั เรยี น
3. ผลการยนื ยันรูปแบบการบริหารงานของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร ประกอบด๎วย
6 องค๑ประกอบ มคี วามเหมาะสม ความเป็นไปได๎ ความถูกต๎อง และใช๎ประโยชนไ๑ ด๎จริง สอดคล๎องกบั
ทฤษฎแี ละกรอบแนวคิดในการวิจยั
สมกติ บุญยะโพธิ์ (2555) ไดศ๎ กึ ษารูปแบบการบรหิ ารสถานศกึ ษาข้นั พืน้ ฐาน สงั กัดสานกั งาน
เขตพนื้ ท่ีการศกึ ษาประถมศกึ ษาสูํความเป็นเลิศ ผลการวิจยั พบวํา องคป๑ ระกอบการบริหารสถานศึกษา

114

ขัน้ พนื้ ฐาน สงั กดั สานักงานเขตพ้ืนทก่ี ารศึกษาประถมศกึ ษาสคํู วามเปน็ เลศิ ประกอบดว๎ ย 6 องคป๑ ระกอบ
คือ 1) ภาวะผู๎นาของผู๎บริหารสถานศึกษา 2) กระบวนการจัดการเรียนรู๎ 3) การวางแผนกลยุทธ๑
4) การบริหารทรัพยากรบุคคล 5) กระบวนการบริหารจัดการ 6) ความคาดหวังตํอความสาเร็จของผ๎ูเรยี น
เป็นพหอุ งคป๑ ระกอบท่ีมีความสมั พันธ๑กัน โดยองค๑ประกอบดา๎ นภาวะผนู๎ าของผ๎บู รหิ ารสถานศกึ ษา
มอี ทิ ธพิ ลทางตรงตํอองค๑ประกอบด๎านความคาดหวังตํอความสาเร็จของผู๎เรียน และมีอิทธิพลทางอ๎อม
ตอํ องคป๑ ระกอบด๎านการวางแผนกลยทุ ธแ๑ ละองค๑ประกอบดา๎ นการบริหารจัดการ ผลการยนื ยันจาก
ผู๎ทรงคณุ วฒุ ิเห็นสอดคล๎องกันวาํ รูปแบบการบริหารสถานศึกษาข้นั พื้นฐาน สงั กดั สานกั งานเขตพื้นท่ี
การศึกษาประถมศกึ ษาสคํู วามเป็นเลศิ มีความถกู ต๎อง ครอบคลุม เหมาะสม เป็นไปได๎ และเปน็ ประโยชน๑

ยุภาวรรณ โมรัฐเถียร (2555) การพัฒนารปู แบบการบริหารโรงเรยี นสูคํ วามเป็นเลิศของ
โรงเรียนสงั กดั กรงุ เทพมหานคร ผลการวจิ ัยพบวาํ รปู แบบการบริหารโรงเรยี นสํูความเปน็ เลิศของ
โรงเรยี นสังกดั กรงุ เทพมหานคร มี 4 องค๑ประกอบ ดังนี้ 1) การเตรยี มความพรอ๎ มของรปู แบบการบรหิ าร
โรงเรยี นสํูความเป็นเลศิ ของโรงเรยี นสงั กัดกรุงเทพมหานคร 2) การดาเนินงานของรูปแบบการบริหาร
โรงเรียนสํคู วามเป็นเลิศของโรงเรยี นสงั กัดกรุงเทพมหานคร 3) การตรวจสอบความสาเร็จของรูปแบบ
การบริหารโรงเรียนสํคู วามเปน็ เลิศของโรงเรียนสังกัดกรุงเทพมหานคร และ 4) การสงํ เสริมสนับสนุน
ของรูปแบบการบริหารโรงเรียนสูํความเปน็ เลิศของโรงเรียนสงั กัดกรุงเทพมหานคร สาระในรปู แบบ
ครอบคลมุ แนวคิดการบริหารโรงเรียนสํูความเป็นเลศิ 6 ด๎าน คือ การนาองค๑การ การวางแผนเชิงกลยุทธ๑
การมงุํ เน๎นผเู๎ รียน ผม๎ู สี วํ นไดส๎ วํ นเสยี และตลาด การวิเคราะห๑ และการจัดการความรู๎ การมํุงเนน๎ ครูผู๎สอน
และบคุ ลากร และปรชั ญาของเศรษฐกิจพอเพยี ง ผลผลิตทเ่ี กิดกบั ครู พบวํา 1) ครูมคี วามรู๎ความเข๎าใจ
เกย่ี วกบั รูปแบบการบริหารโรงเรียนสูํความเปน็ เลิศหลังการใช๎รูปแบบในทุกด๎านมากทส่ี ดุ 2) ผล
การปฏบิ ตั งิ านในหนา๎ ท่ีหลงั การใช๎รูปแบบการบริหารโรงเรียนสํูความเป็นเลิศสูงข้ึน 3) ความพึงพอใจ
ของครูตอํ รปู แบบการบริหารโรงเรยี นสูคํ วามเป็นเลศิ อยใูํ นระดบั มากทส่ี ดุ 4) นกั เรยี นมีผลสมั ฤทธ์ิ
ทางการเรียนสวํ นใหญํในแตํละกลมํุ สาระการเรยี นรู๎สงู ข้ึน

สมหมาย เทียนสมใจ (2556) ศึกษารปู แบบการบริหารงานทมี่ ีประสิทธิผลของเขตพืน้ ท่ี
การศกึ ษาประถมศึกษา ผลการวจิ ัยพบวาํ องค๑ประกอบการบรหิ ารงานที่มีประสทิ ธิผลของสานกั งานเขต
พ้ืนทีก่ ารศึกษาประถมศึกษา ประกอบด๎วย 6 องค๑ประกอบ คือ 1) ภาวะผูน๎ าการเปลีย่ นแปลง
2) การวางแผนกลยุทธ๑ 3) องค๑การแหํงการเรียนร๎ู 4) วัฒนธรรมองคก๑ าร 5) เทคโนโลยีสารสนเทศ
6) สนบั สนุนการมีสํวนรวํ มซึง่ มีความเหมาะสม ถูกต๎อง เป็นไปได๎ และสามารถนาไปใช๎ประโยชนไ๑ ด๎
สอดคล๎องกบั กรอบแนวคิดทฤษฎกี ารวจิ ัย

ปรีชา จนั ทรมณี (2556) ได๎ศึกษาตัวบงํ ช้คี วามสาเรจ็ ในการบรหิ ารงานศูนย๑การศึกษา
นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศยั ในอาเภอ ผลการวจิ ยั พบวาํ

115

1. ตัวบํงชีค้ วามสาเรจ็ ในการบริหารงานวิชาการของศูนยก๑ ารศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษา
ตามอธั ยาศยั ในอาเภอ องคป๑ ระกอบ ความมํุงมน่ั ในการจัดการเรยี นร๎ู มี 10 ตัวบํงช้ี ความเปน็ มืออาชีพ
ของบคุ ลากร มี 9 ตัวบงํ ช้ี งานวจิ ัยในองคก๑ าร มี 8 ตวั บํงชี้ การใหค๎ วามสาคัญกบั ผู๎เรยี น มี 10 ตวั บํงช้ี
การให๎ความสาคัญกับบคุ ลากรมี 6 ตวั บํงช้ี ผลการดาเนินการ มี 9 ตวั บํงชี้ คุณภาพขององค๑กร
มี 5 ตวั บงํ ช้ี การนิเทศ มี 3 ตัวบํงช้ี และเทคโนโลยที างการศกึ ษา มี 4 ตวั บงํ ชี้

2. องค๑ประกอบความสาเร็จในการบริหารงานวิชาการของศนู ย๑การศกึ ษานอกระบบและ
การศึกษาตามอธั ยาศัย มี 9 องค๑ประกอบ คือ ความมงํุ มั่นในการจดั การเรียนร๎ู ความเป็นมืออาชีพของ
บุคลากร งานวิจัยในองค๑การ การให๎ความสาคัญกับผู๎เรียน การให๎ความสาคัญกับบุคลากร
ผลการดาเนินการ คุณภาพขององค๑การ การนเิ ทศ และเทคโนโลยที างการศกึ ษา

3. การยืนยนั ตัวบํงชคี้ วามสาเรจ็ ในการบริหารงานวิชาการของศูนยก๑ ารศกึ ษานอกระบบ
และการศกึ ษาตามอัธยาศยั ในอาเภอ ผ๎เู ช่ยี วชาญมีความคดิ เห็นวาํ มคี วามเหมาะสมเป็นไปได๎
เป็นประโยชน๑ และถกู ต๎องครอบคลุม

อาจินต๑ จรูญผล (2556) ไดศ๎ ึกษาการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวชิ าการทีม่ ีประสิทธภิ าพ
ของโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา สังกัดสานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน ผลการวิจยั พบวาํ
จากการศึกษาปญั หาและแนวทางการพฒั นาการบริหารงานวชิ าการของโรงเรยี นมัธยมศึกษา สังกัด
สานกั งานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน การพัฒนา และการตรวจสอบรูปแบบการบริหารวชิ าการ
ที่มปี ระสทิ ธผิ ลของโรงเรยี นมธั ยมศกึ ษา การพฒั นาและตรวจสอบรปู แบบการบริหารงานวิชาการ
ท่ีมีประสิทธภิ าพของโรงเรียนมธั ยมศกึ ษา สังกดั สานกั งานคณะกรรมการการศกึ ษาขั้นพนื้ ฐานได๎
รปู แบบการบริหารงานวชิ าการท่ีมปี ระสิทธภิ าพของโรงเรยี นมัธยมศึกษา สงั กัดสานกั งานคณะกรรมการ
การศึกษาขนั้ พ้นื ฐาน ประกอบด๎วย 7 องคป๑ ระกอบหลกั ดงั น้ี 1) การนาองค๑การทางวิชาการ 2) การวางแผน
การบริหารวชิ าการเชงิ กลยทุ ธ๑ 3) การมงํุ เน๎นผ๎เู รียน 4) การวดั วเิ คราะห๑และการจัดการความรู๎ทางวชิ าการ
5) การมุงํ เน๎นบคุ ลากร 6) ระบบและกระบวนการบริหาร และ 7) การมงุํ เน๎นผลลัพธก๑ ารดาเนินงาน
วชิ าการ โดยผลการตรวจสอบรูปแบบดว๎ ยการวิเคราะห๑องค๑ประกอบเชงิ ยืนยันมคี วามสอดคล๎องกับ
ขอ๎ มูลเชงิ ประจักษ๑

พระวเิ ชียร ศรหี าบุตร (2557) ได๎ศกึ ษาการพัฒนารูปแบบการบรหิ ารงานวชิ าการของ
มหาวิทยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลยั ในสงั คมอนาคต ผลการวจิ ยั พบวํา

ตอนท่ี 1 สารวจความต๎องการของบคุ ลากรที่เป็นอาจารย๑ เจา๎ หนา๎ ท่ี และนกั ศกึ ษา จานวน
100 คน รูป/ คน ใน 4 ดา๎ น คือ ดา๎ นท่ี 1 สภาพทเ่ี ป็นอยูจํ รงิ ในการพัฒนาหลกั สตู ร ดา๎ นที่ 2 การตรวจสอบ
และควบคมุ คุณภาพ ด๎านที่ 3 ดา๎ นความรํวมมือสงํ เสริมการเรียนรู๎ และด๎านที่ 4 ความคาดหวงั ที่ต๎องการ
ใหเ๎ กิดขนึ้ ในอนาคต ซงึ่ ดา๎ นที่ 1, 2 และ 3 อยูใํ นระดับน๎อยทีส่ ุด และระดับปานกลาง สวํ นดา๎ นท่ี 4

116

อยํูระดับมากทสี่ ุด สวํ นด๎านความคาดหวังตอํ การพัฒนารปู แบบการบริหารงานวิชาการโดยรวมท้ัง
3 ดา๎ น คํา PNI Modified พบวาํ ด๎านการตรวจสอบและการควบคมุ คุณภาพมีความแตกตํางมาก มีคาํ
เทํากบั 0.42 รองลงมาคือ ดา๎ นความรวํ มมือสํงเสรมิ การเรียนร๎มู ีความแตกตําง มีคาํ เทํากบั 0.42

ตอนที่ 2 การทา SWOT ANALYSIS กบั ผู๎บริหาร คณาจารย๑ 50 รูป/ คน ไดผ๎ ล ดังนี้
1) จดุ แขง็ ของมหาวทิ ยาลยั มหามกุฏราชวิทยาลัย (มมร.) คือ 1.1) ในทุกหลกั สูตรและทกุ ระดบั
การศกึ ษามวี ชิ าพระพทุ ธศาสนาบรรจุไว๎ 1.2) ผ๎สู าเร็จการศกึ ษาจาก มมร. มคี วามร๎ู ความเชี่ยวชาญ
ด๎านพระพุทธศาสนา 2) จดุ ออํ น คือ 2.1) ผู๎เชยี่ วชาญทางด๎านหลักสูตรมจี ากดั 2.2) การวดั ผลประเมนิ ผล
และเทียบโอนขาดคณุ ภาพ 2.3) บคุ ลากรขาดความชานาญเก่ียวกับการใช๎เทคโนโลยี 3) โอกาส คือ
3.1) จัดอบรมดา๎ นวชิ าการ และอบรมด๎านวิชาการบํอยขนึ้ 3.2) ชวํ ยงานคณะสงฆใ๑ นการจัดการศึกษา
ของคณะสงฆ๑ และรํวมมือกับคณะสงฆใ๑ นการพัฒนาหลกั สตู รให๎ตรงกบั ความต๎องการของผู๎ใชบ๎ ัณฑติ
3.3) ฝึกฝนบคุ ลากรให๎มปี ระสทิ ธิภาพ 4) ข๎อจากดั (ภยั คกุ คาม) 4.1) ผ๎มู คี วามรแู๎ ละแตกฉานดา๎ นการพัฒนา
หลกั สูตรมีน๎อย 4.2) หลักสูตรท่ีเปิดสอบมนี ๎อยไมํตรงกบั ความต๎องการของตลาดแรงงาน 4.3) สถาบัน
ขาดความนําเชื่อถือจากการเปลีย่ นแปลงผบ๎ู ริหารบํอย 4.4) ความเจริญก๎าวหน๎าและการเปล่ียนแปลง
ระบบเทคโนโลยเี กดิ ข้ึนอยาํ งรวดเร็ว

ตอนท่ี 3 ความคิดเห็นจากผู๎เชยี่ วชาญ 21 รูป จาก 3 กลํมุ งาน 4 ดา๎ น ดังนี้ กลํุมงานที่ 1
ดา๎ นท่ี 1 การพัฒนาหลกั สูตร ดา๎ นท่ี 2 การพัฒนาระบบการเรยี นการสอน ด๎านท่ี 3 การพฒั นาสอ่ื
นวัตกรรม และเทคโนโลยี และดา๎ นท่ี 4 การวดั ผล ประเมินผล และเทียบโอน กลํุมงานท่ี 2 ด๎านท่ี 1
การวิจัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา ด๎านท่ี 2 การพัฒนาแหลงํ เรียนรู๎ ด๎านที่ 3 การพฒั นาการนิเทศ
และแนะแนว และดา๎ นที่ 4 การพฒั นาระบบประกันคณุ ภาพการศกึ ษา กลํุมงานท่ี 3 ด๎านท่ี 1 การสํงเสรมิ
ความรูท๎ างวชิ าการแกํบุคลากร ดา๎ นท่ี 2 การสงํ เสริมความรท๎ู างวิชาการแกคํ รอบครวั ด๎านท่ี 3 การสงํ เสรมิ
ความร๎ทู างวิชาการแกํชมุ ชน และดา๎ นที่ 4 การประสานความรํวมมอื ทางวชิ าการกับสถานศึกษาอนื่
ซงึ่ ทงั้ หมดอยูํในระดับมากท่ีสดุ (คาํ มัธยฐาน 5.00) และมคี วามสอดคล๎องกนั โดยคําพิสัยระหวําง
ควอไทล๑เกิน 1.50

งานวิจยั ต่างประเทศ
Sergiovani (1991) ศกึ ษาสถานศกึ ษาทมี่ ปี ระสทิ ธิผล พบวํา มี 9 องค๑ประกอบ คอื เน๎นนักเรยี น
เปน็ ศูนย๑กลาง มแี ผนงานวิชาการที่ดี จดั การเรียนการสอนทส่ี งํ เสริมการเรยี นรขู๎ องนักเรยี น มบี รรยากาศ
สถานศกึ ษาในทางบวก ใช๎ภาวะผู๎นาแบบมสี ํวนรวํ ม สํงเสริมการแก๎ปัญหาอยาํ งสร๎างสรรค๑ ผ๎ูปกครอง
และชมุ ชนมสี วํ นรวํ ม

117

Pierce (1991) ได๎ศึกษาลักษณะการบริหารโรงเรยี นที่มีประสทิ ธผิ ล พบวาํ
1. การให๎ความเคารพกบั ความหลากหลายทางวัฒนธรรม
2. การพัฒนาทรัพยากรบคุ คลที่เน๎นการสรา๎ งครูทชี่ ํวยเหลอื นักเรียนท่ีมีความแตกตาํ ง
ทางวฒั นธรรม
3. หลกั สตู รทเี่ น๎นการบูรณาการ และพัฒนาไดม๎ ากกวําทักษะพน้ื ฐาน
4. การสํงเสรมิ ให๎นกั เรียนเกิดความรํวมมือในการวางแผนกับครู
5. การมีสวํ นรํวมในการดูแลนกั เรยี น ระหวํางครูและผ๎ปู กครอง
Sammons, Hillman and Mortimore (1995) ได๎ศกึ ษาการพัฒนาองคป๑ ระกอบทสี่ งํ ผลถงึ
ความสาเรจ็ หรือความมีประสิทธิผลของโรงเรยี น พบวํามี 11 องคป๑ ระกอบ คือ
1. ความเป็นผูบ๎ ริหารมอื อาชีพ ประกอบด๎วย

1.1 มีความมนั่ คงและชัดเจนของวัตถปุ ระสงคข๑ ององค๑การ และการบริหารเชงิ รุก
สร๎างทีมงานบรหิ ารของโรงเรียน

1.2 การมสี ํวนรวํ มของครใู นการบริหารจัดการหลกั สตู ร การตดั สนิ ใจและการใช๎
นโยบายตาํ ง ๆ

1.3 สรา๎ งครใู ห๎เป็นผู๎นาทางวิชาการ
2. การมีวิสยั ทัศน๑ และเป้าหมายรวํ มกัน ประกอบด๎วย

2.1 การมีเอกภาพของเปา้ หมายโรงเรยี น
2.2 การปฏิบัติอยาํ งตํอเนอ่ื งเพือ่ ความก๎าวหน๎าของนกั เรยี น
2.3 การความเคารพในสถาบนั
3. มีสภาพแวดลอ๎ มที่เอ้ือตอํ การเรยี นรู๎ ได๎แกํ
3.1 มสี ภาพแวดลอ๎ มทเี่ ป็นระบบ ระเบียบ
3.2 มีสภาพแวดล๎อมท่ีดงึ ดูดความสนใจตํอการเรยี นการสอน
4. การเรียนการสอนท่ีเขม๎ แขง็ ได๎แกํ
4.1 การใช๎เวลาทีเ่ หมาะสมกบั กิจกรรมการเรียนการสอนและการบรหิ าร
4.2 การเน๎นความเป็นเลศิ ทางวิชาการ
5. มีแผนการเรียนการสอนที่มวี ัตถปุ ระสงคช๑ ดั เจน ไดแ๎ กํ
5.1 ความมีประสทิ ธภิ าพของแผนการสอน ในการเตรยี มการสอน
5.2 การมจี ดุ ประสงค๑ท่ชี ดั เจนของแผนการสอน
5.3 บทเรยี นที่เหมาะสมกบั นักเรยี น
5.4 การใชว๎ ิธีการสอนท่ีหลากหลาย

118

6. มคี วามคาดหวังตํอโรงเรียนและนกั เรียนในระดบั สูง
6.1 ครูและนักเรียนมคี วามคาดหวงั ในระดับสูงรวมกนั ท่วั ถงึ ทั้งโรงเรียน
6.2 มีการสื่อสารและเสรมิ แรงเพ่ือให๎คาดหวังสคํู วามเปน็ จริง
6.3 มีการคดิ การปฏบิ ตั ทิ ีท่ าให๎ไปสคํู วามคาดหวงั

7. มกี ารเสรมิ แรงครู ประกอบดว๎ ย
7.1 การใหค๎ วามเป็นธรรมในการใหร๎ างวัลและลงโทษ
7.2 การชแ้ี จงและให๎ทราบผลการพัฒนาหรือการปรบั ปรุง

8. มีการตดิ ตามความก๎าวหน๎าของนักเรียนและการพฒั นาปรบั ปรงุ โรงเรียน ได๎แกํ
8.1 มกี ารตดิ ตามผลการเรียนของนักเรียน
8.2 มกี ารประเมินศกั ยภาพของโรงเรียน

9. นักเรยี นมคี วามรบั ผิดชอบ ประกอบดว๎ ย
9.1 การสร๎างความศรัทธาของครใู ห๎มแี กนํ กั เรยี น
9.2 การมอบหมายหน๎าทค่ี วามรับผดิ ชอบให๎นกั เรยี น
9.3 การควบคุมพฤติกรรมของนกั เรียน

10. มคี วามรํวมมือระหวํางโรงเรียนและผ๎ูปกครอง ไดแ๎ กํ การใหค๎ วามรวํ มมือท่ีเอื้ออานวย
ตอํ การเรยี นร๎ูของนกั เรยี น

11. เปน็ องค๑การแหํงการเรยี นรู๎ ซึง่ ไดแ๎ กํ การพัฒนาบคุ ลากรทกุ ฝา่ ยในโรงเรียนให๎มี
การเรียนร๎ู และรบั ผดิ ชอบโรงเรียนได๎เอง เพอื่ สรา๎ งทมี งานในการพัฒนาโรงเรยี น

Scribner (1999) ไดศ๎ ึกษาคณุ ลักษณะของการบริหารโรงเรียนทมี่ ปี ระสิทธิผล พบวาํ
มี 4 คณุ ลักษณะ คอื

1. การสรา๎ งสงั คมทีเ่ อ้ืออาทรตํอความสาเร็จของโรงเรียน
2. การสรา๎ งความรวํ มมอื ระหวาํ งผู๎ปกครองและชุมชนใกลเ๎ คียง
3. การสรา๎ งวฒั นธรรมทหี่ วํ งใยตอํ นกั เรียนทางดา๎ นการเรียนการสอน
4. การสรา๎ งระบบประเมนิ ผลท่ีเน๎นความแตกตํางระหวาํ งบคุ คล
Glickman, Gordon and Ross-Gordon (2001) ไดศ๎ ึกษาคุณลักษณะของโรงเรียนประสิทธผิ ล
หรอื โรงเรียนท่ีประสบความสาเร็จในการบรหิ ารงาน มี 12 ประการ คอื
1. ผบู๎ รหิ ารที่มคี วามหลากหลายของภาวะผู๎นาของครูด๎วยการสรา๎ งระบบการประเมนิ ผล
ที่เนน๎ ความแตกตํางระหวาํ งบคุ คล
2. การตระหนักถงึ สภาพแวดลอ๎ มและวฒั นธรรมของโรงเรยี น
3. การมีสํวนรํวมของผูป๎ กครอง

119

4. การมวี สิ ยั ทัศนร๑ วํ มกัน และปรับเปล่ียนวิสัยทศั น๑อยํางตํอเน่ือง
5. การได๎รบั การสนับสนุนจากทั้งภายนอกและภายในเร่ืองเวลาเรยี น การจดั กิจกรรม
ด๎านวชิ าการและคุณธรรมจริยธรรม
6. การเน๎นท่ีการเรยี นการสอน
7. การพฒั นาท่ีตํอเนื่อง เชนํ การวเิ คราะห๑สภาพปจั จุบนั ของโรงเรียน
8. การมีแผนการสอนทีด่ ี
9. ครมู คี วามรํวมมือกัน
10. การมกี ารศกึ ษาวิจยั เพื่อหาข๎อมูลในการสรา๎ งรปู แบบของโรงเรียน
11. การมคี วามเป็นอนั หนึง่ อันเดยี วกันในการพัฒนา ปรับปรุงโรงเรยี น
12. การใช๎วิธีการหลากหลายเพอ่ื พฒั นาปรบั ปรงุ โรงเรียน
Ka-ho Mok (2003) ไดศ๎ ึกษา “Decentralization and marketization of education in Singapore:
A case study of the school excellence model” โดยมวี ัตถุประสงค๑การวิจัยเพ่ือตรวจสอบและศกึ ษา
ปรัชญารวมถงึ หลักการของรูปแบบความเป็นเลิศของสถานศกึ ษาในประเทศสงิ คโปร๑เนื่องจากรัฐบาล
สิงคโปร๑เปดิ โอกาสให๎สถานศกึ ษาไดพ๎ ฒั นาศักยภาพของตนอยํางเต็มที่โดยการเสนอนโยบายการกระจาย
อานาจ เพราะหวังวาํ สถานศึกษาแตลํ ะแหํงมีความสามารถและมคี วามยืดหยํุนในการพัฒนาจดุ แข็ง
ของตนเอง และเหมาะสมกบั สภาพของแตลํ ะสถานศกึ ษาเป็นอยาํ งดแี นวทางหน่ึงทร่ี ฐั บาลจะสนับสนุน
ใหก๎ ารศึกษาอยาํ งมีคุณภาพ คอื การนาเสนอรปู แบบความเปน็ เลศิ สาหรับสถานศกึ ษา (School Excellence
Model: SEM) เพื่อให๎สถานศกึ ษาใช๎เป็นแนวทางในการปรบั ปรุงและประเมินตนเอง SEM ประกอบด๎วย
สองกลมํุ ใหญํ ๆ ได๎แกํ กลมุํ สนบั สนุนและกลมํุ ผลลพั ธ๑โดยกลํุมสนับสนนุ เป็นกลํมุ ทีใ่ ห๎ความสนใจ
วําผลลัพธ๑จะเกิดข้ึนได๎อยํางไร ในขณะท่ีกลํุมผลลัพธ๑เป็นผลท่สี ถานศกึ ษาไดร๎ ับกลํุมสนับสนุนมุํงหวัง
วาํ ผน๎ู าของสถานศึกษาใช๎ภาวะผู๎นาอยํางไร ในการกาหนดคุณคาํ และการมุํงเน๎นการเรียนร๎ูของนักเรียน
ผลการปฏิบัติงานท่ีเป็นเลิศความรับผิดชอบตํอสังคม รวมไปถึงการกาหนดแผนกลยุทธ๑ของแตํละ
สถานศกึ ษาโดยการตรวจสอบทิศทางทีช่ ัดเจน โดยมุํงเน๎นผทู๎ ีม่ สี ํวนเก่ียวขอ๎ ง การพัฒนาแผนปฏิบัติ
การเพ่ือจะสนบั สนนุ การปฏิบัติงาน การนาแผนไปสํูการปฏิบตั แิ ละการติดตามผลการดาเนนิ งานเป็น
ระยะ ๆ นอกจากนี้ ทมี งานยังถูกตรวจสอบโดยการบริหารงานบุคคลซึ่งเป็นการทบทวนวํา สถานศกึ ษา
มีวธิ ีการพฒั นาและใช๎ประโยชน๑อยํางเตม็ ท่ใี นการผลักดนั ให๎บคุ ลากรทางานอยํางเต็มศักยภาพเพื่อ
ความเป็นเลิศของสถานศึกษา การที่สถานศึกษาใช๎ทรัพยากรทั้งภายในและภายนอกสถานศึกษา
อยํางมปี ระสทิ ธิภาพและมีประสทิ ธผิ ลในการสนับสนุนแผนกลยุทธ๑การปฏิบตั ิตามกระบวนการตําง ๆ
เพ่อื ทีจ่ ะนาไปสูํความสาเร็จของสถานศึกษา กระบวนการมํงุ เนน๎ ผ๎ูเรียน ผลลพั ธ๑ การปฏิบัติงานและ
การบริหารเป็นหน๎าท่ีของอีกกลํมุ หนึ่งในการตรวจสอบวําการออกแบบของสถานศึกษา การปฏบิ ตั ิการ

120

จัดการ การปรับปรุงกระบวนการหลักในภาพรวมของการจัดการศึกษา และการทางานสํงผลตํอ
ความเป็นอยทํู ี่ดใี ห๎แกํผ๎ูเรียน รวมทั้งประสทิ ธิภาพและประสิทธิผลของสถานศกึ ษาหรอื ไมํ นอกจากนี้
ยังรวมไปถึงผลลพั ธ๑ทางด๎านบคุ ลากรทบ่ี ํงบอกถงึ ความสาคัญของการอบรมพัฒนาขวัญและกาลงั ใจ
สอดคลอ๎ งกบั ความต๎องการของห๎นุ สวํ นและสังคมสํวนใหญํ เป็นต๎น

Fulstonschools (2003) ไดน๎ าเสนอรปู แบบสาหรบั ความเป็นเลศิ ของสถานศกึ ษา
ซง่ึ ประกอบด๎วย องคป๑ ระกอบหลักและองคป๑ ระกอบยอํ ยในการบรหิ าร 6 องค๑ประกอบ คอื 1) ภาวะผนู๎ า
ได๎แกํ ความท๎าทายของผ๎นู า การสอื่ สารคณุ คําและความเชือ่ การกาหนดทศิ ทางและการกาหนด
วตั ถุประสงคท๑ ี่ชัดเจน รวมทั้งการกาหนดตัวช้ีวัดผลการปฏิบตั ิงานท่ีสนับสนุนผลสัมฤทธขิ์ องนักเรียน
และตอบสนองความคาดหวังของผู๎มสี ํวนไดส๎ ํวนเสยี การประชาสัมพันธ๑ ดา๎ นนวัตกรรมและการเรียนรู๎
จากประสบการณ๑ท่ผี าํ นมา และความรับผดิ ชอบตอํ สาธารณะ 2) การมุํงเน๎นผเ๎ู รยี นและผู๎มีสํวนได๎เสยี
ไดแ๎ กํ การกาหนดความต๎องการและความคาดหวงั ของนักเรียนและผ๎ูมีสวํ นไดส๎ วํ นเสยี 3) การวางแผน
กลยุทธ๑ ได๎แกํ การตรวจสอบความตอ๎ งการและความคาดหวังของนกั เรยี นและผ๎ูมีสวํ นได๎สํวนเสีย
ความสามารถและความต๎องการของพนักงาน การใชป๎ ระโยชนจ๑ ากทรัพยากรทมี่ ีอยูํ การเปลย่ี นแปลง
สภาพแวดล๎อม การนิยาม วัตถุประสงค๑ การวัดผลปฏิบตั ิงานเปา้ หมาย และกลยทุ ธ๑ การมงุํ ไปในทศิ ทาง
เดยี วกันของแผนกลยทุ ธข๑ องสถานศึกษา และฝ่ายตาํ ง ๆ ตลอดจนการจัดสรรทรัพยากรตามแผนกลยุทธ๑
4) การวางแผนกระบวนการสนับสนุนการศึกษา ได๎แกํ การวางแผนการปรบั ปรุงการศึกษาอยาํ งตํอเนื่อง
การปรับปรงุ กระบวนการสนับสนนุ อยํางตํอเน่อื ง การขจดั โปรแกรมและกระบวนการทไี่ ร๎ประสิทธภิ าพ
การตรวจสอบและการนาแบบอยํางที่ดีของสถานศึกษาต๎นแบบมาเปรียบเทียบเพ่ือปรับปรุงผล
การปฏิบัติงานของสถานศกึ ษา 5) ทรัพยากรบุคคล ได๎แกํ การเพ่มิ ขีดความสามารถของบุคลากร
การมอบอานาจใหพ๎ นักงานไดม๎ ีสวํ นรํวมและรับผิดชอบในระบบการปรบั ปรุงสถานศกึ ษา การมํุงมั่น
ในหน๎าท่ีทไี่ ด๎รับมอบหมาย การพัฒนาบคุ ลากรการสนบั สนนุ การให๎รางวลั ทส่ี ามารถตอบสนอง
วัตถุประสงค๑ของสถานศกึ ษา การสนับสนุนชํองการส่ือสาร ความรํวมมือและการแบํงปันความรู๎
ระหวาํ งฝ่ายตาํ ง ๆ และสถานศกึ ษา รวมท้งั การกาหนดระดบั ความพึงพอใจของพนกั งานและ 6) ผล
การปฏิบัตงิ าน ได๎แกํ ผลงานทสี่ อดคลอ๎ งหรอื เหนือกวําเป้าหมายท่ีวางไว๎ ผลงานท่ีสอดคล๎องหรือ
เหนือกวําสถานศกึ ษาตน๎ แบบ และสามารถเป็นแบบอยาํ งทดี่ ีให๎กับองค๑การอืน่ ได๎

สรุปได๎วาํ จากการศกึ ษาเอกสารและงานวจิ ยั ท่ีเกยี่ วขอ๎ ง เรื่อง รูปแบบการบริหารงานวชิ าการ
สคํู วามเป็นเลศิ ของโรงเรยี นสงั กัดองคก๑ รปกครองสํวนท๎องถิ่น ท้ังในประเทศและตํางประเทศพบวาํ
องค๑ประกอบของรปู แบบการบริหารงานวิชาการสคํู วามเป็นเลิศ ของโรงเรยี นสังกดั องคก๑ รปกครอง
สวํ นท๎องถ่ิน ควรมีท้ังหมด 4 องค๑ประกอบ ได๎แกํ องค๑ประกอบที่ 1 ภาวะผู๎นาทางวชิ าการองคป๑ ระกอบ
ท่ี 2 ภารกิจและขอบขํายงานวชิ าการในโรงเรยี น องคป๑ ระกอบที่ 3 กระบวนการบรหิ ารงานวิชาการ

121

องค๑ประกอบที่ 4 การมีสวํ นรํวมในการบริหารงานวชิ าการ ทาใหผ๎ วู๎ ิจยั ได๎ทราบถงึ กรอบแนวคิด ปัญหา
ตัวแปรท่ใี ช๎ในการศกึ ษาแตํละงานวิจัย นามาบูรณาการทางความคิดตําง ๆ เพื่อนามาใช๎ในการศึกษาวจิ ัย
ใหไ๎ ดร๎ ูปแบบการบริหารงานวชิ าการสคํู วามเป็นเลิศของโรงเรยี นสังกัดองค๑กรปกครองสวํ นท๎องถ่ิน

122

บทที่ 3
วธิ ดี าเนินการวจิ ยั

การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods research) เรื่อง “รูปแบบ
การบรหิ ารงานวชิ าการสคํู วามเป็นเลศิ ของโรงเรียนสงั กดั องคก๑ รปกครองสวํ นทอ๎ งถ่นิ ” โดยมวี ตั ถปุ ระสงค๑
เพือ่ 1) ศกึ ษาองคป๑ ระกอบของการบรหิ ารงานวชิ าการสคูํ วามเปน็ เลศิ ของโรงเรียนสังกัดองคก๑ รปกครอง
สํวนทอ๎ งถน่ิ 2) พฒั นารูปแบบการบริหารงานวชิ าการสูํความเป็นเลศิ ของโรงเรียนสงั กดั องคก๑ รปกครอง
สวํ นท๎องถน่ิ และ 3) สรา๎ งคูมํ ือการปฏิบัติงานวิชาการสํูความเป็นเลศิ ของโรงเรยี นสงั กัดองคก๑ รปกครอง
สํวนท๎องถิ่น และตรวจสอบรูปแบบการบรหิ ารงานวิชาการสํูความเป็นเลศิ ของโรงเรียนสงั กัดองค๑กร
ปกครองสวํ นท๎องถ่ิน โดยศกึ ษาแนวคดิ ทฤษฎี และงานวจิ ัยทีเ่ กยี่ วขอ๎ ง วิเคราะห๑ สังเคราะหข๑ ๎อมูล
จากนั้นใชเ๎ ทคนิคการวิจัยแบบ EDFR ในการพฒั นารปู แบบการบรหิ ารงานวิชาการสํูความเปน็ เลศิ
ของโรงเรยี นสงั กดั องคก๑ รปกครองสํวนท๎องถนิ่ สรา๎ งคูมํ ือการปฏบิ ัติงานวิชาการสํูความเปน็ เลิศของ
โรงเรียนสังกัดองคก๑ รปกครองสํวนท๎องถิ่น สูกํ ารปฏิบัตไิ ด๎จรงิ และตรวจสอบรูปแบบการบริหาร
งานวชิ าการสํูความเป็นเลศิ ของโรงเรยี นสงั กดั องคก๑ รปกครองสํวนท๎องถิ่น

ระเบียบวิธีการวิจัย

รูปแบบการวจิ ยั
การวิจัย เร่ือง รูปแบบการบริหารงานวิชาการสคูํ วามเป็นเลิศของโรงเรียนสังกัดองค๑กร
ปกครองสวํ นท๎องถน่ิ เป็นการวิจยั แบบผสมผสาน (Mixed methods research) ใชว๎ ธิ กี ารศึกษาเอกสาร
และใชเ๎ ทคนคิ การวจิ ัยแบบ EDFR เพอ่ื ใหไ๎ ด๎รายละเอยี ดของขอ๎ มลู ตําง ๆ นามาสร๎างเป็นคมํู ือ
การปฏบิ ตั งิ านวิชาการสูํความเปน็ เลิศของโรงเรยี น สงั กดั องค๑กรปกครองสํวนท๎องถน่ิ สูํการปฏบิ ตั ิ
ได๎จรงิ

กลมุ่ ผู้ใหข้ อ้ มูล
กลํมุ ผ๎ใู ห๎ขอ๎ มูลในการวจิ ยั คร้ังน้ี แบงํ ออกเป็น 3 กลุมํ คือ
1. กลุํมผใ๎ู ห๎ข๎อมลู ท่ใี ช๎ในการสัมภาษณข๑ ๎อมูลเกย่ี วกับองค๑ประกอบการบรหิ ารงานวิชาการ
สคํู วามเป็นเลศิ ของโรงเรยี นสังกัดองคก๑ รปกครองสํวนท๎องถน่ิ ได๎มาโดยการเลือกแบบเฉพาะเจาะจง
(Purposive sampling) เนื่องจากตอ๎ งการหาข๎อมลู กับผม๎ู ีความรอบร๎ู หรอื ผ๎ูใหข๎ ๎อมูลสาคัญ (Key
informants) เกีย่ วกับการบรหิ ารงานวชิ าการสํูความเปน็ เลศิ ของโรงเรยี น จานวน 12 คน ซง่ึ กาหนด
คุณสมบตั ิ ดงั นี้

123

1.1 เป็นผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษา สงั กดั องค๑กรปกครองสวํ นท๎องถิน่ ดารงตาแหนงํ
ทางการบริหารงานไมํน๎อยกวํา 5 ปี ในโรงเรยี นตน๎ แบบ หรือโรงเรยี นพระราชทาน หรือ

1.2 เปน็ หัวหนา๎ งานวิชาการ สังกดั องคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถน่ิ มปี ระสบการณ๑
ในการทางานไมนํ ๎อยกวํา 5 ปี ในโรงเรียนตน๎ แบบ หรือโรงเรียนพระราชทาน

2. กลํมุ ตวั อยํางท่ใี ช๎ในขนั้ ตอนการพัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการสคํู วามเปน็ เลศิ
ของโรงเรียนสังกัดองค๑กรปกครองสํวนท๎องถนิ่ ไดม๎ าโดยวิธีการเลอื กแบบเฉพาะเจาะจง จานวน
17 คน โดยแบํงเปน็ 2 กลมํุ ซงึ่ กาหนดคณุ สมบัติ ดังนี้

กลํมุ ที่ 1 เปน็ ผ๎ูอานวยการสถานศึกษา สังกัดองค๑กรปกครองสวํ นท๎องถิ่น ทด่ี ารงตาแหนํง
ทางการบริหารงานไมนํ ๎อยกวาํ 5 ปี ในโรงเรียนตน๎ แบบ หรอื โรงเรียนพระราชทาน

กลุํมที่ 2 เปน็ รองผูอ๎ านวยการสถานศึกษาฝา่ ยวชิ าการ หรอื หัวหนา๎ งานวชิ าการ สังกัดองคก๑ ร
ปกครองสํวนท๎องถ่ิน มปี ระสบการณใ๑ นการทางานไมํน๎อยกวาํ 5 ปี ในโรงเรยี นต๎นแบบ หรือโรงเรียน
พระราชทาน

การกาหนดขนาดกลุ่มผู้เชย่ี วชาญ
เนื่องจากการวิจยั ครั้งน้ี ผูว๎ จิ ัยใชเ๎ ทคนคิ การวจิ ัยแบบ EDFR ซง่ึ ต๎องมีการใช๎เทคนิคเดลฟาย
ในการเก็บรวบรวมข๎อมลู โดย Macmillan (n.d. อา๎ งถึงใน การสกั เต๏ะขนั หมาก, 2531, หน๎า 65) ได๎ทา
การศึกษาและเสนอผลการวิจัยเก่ียวกับจานวนผ๎ูเชี่ยวชาญในการวิจัยตามเทคนิคเดลฟายวําควรมี
จานวนเทาํ ไรจงึ จะเหมาะสม พบวํา หากผเ๎ู ชยี่ วชาญมีจานวนตงั้ แตํ 17 คนขึ้นไป อัตราการลดลงของ
ความคลาดเคลือ่ นจะมนี อ๎ ยมาก (Error) และจะเร่ิมคงที่คือ 0.02 ดังน้นั ผว๎ู ิจัยจงึ ใช๎ผลการศึกษาของ
Thomas T. Macmillan เป็นแนวทางในการกาหนดจานวนผู๎เชี่ยวชาญโดยกาหนดผู๎เชีย่ วชาญในการวิจยั
ครัง้ น้ี จานวน 17 คน ซงึ่ นับวํามีความเหมาะสมในการใช๎เปน็ กลมํุ ตัวอยํางตามการใช๎เทคนคิ เดลฟาย
โดยมรี ายละเอยี ดแสดงการลดลงของคาํ ความคลาดเคลื่อนไดต๎ ามตารางท่ี 5

ตารางที่ 5 การลดลงของคําความคลาดเคลอ่ื น

จานวนผเู้ ชย่ี วชาญ ความคลาดเคลอื่ น ความคลาดเคล่อื นลดลง
1-5 1.20-0.70 0.50
5-9 0.70-0.58 0.12
9-13 0.58-0.54 0.04
13-17 0.54-0.50 0.04
17-21 0.50-0.48 0.02

124

ตารางท่ี 5 (ตํอ)

จานวนผเู้ ชย่ี วชาญ ความคลาดเคลื่อน ความคลาดเคลื่อนลดลง
21-25 0.48-0.46 0.02
25-29 0.46-0.44 0.02

3. กลมุํ ผ๎ใู ห๎ข๎อมูลในข้นั ตอนการตรวจสอบคมํู อื การปฏิบตั งิ านวิชาการสูคํ วามเป็นเลิศ
ของโรงเรยี นสังกดั องคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถ่นิ ได๎มาโดยการเลอื กแบบเฉพาะเจาะจง เนือ่ งจาก
ต๎องการหาข๎อมลู กับผมู๎ คี วามรอบรู๎ หรือผู๎ให๎ข๎อมูลสาคัญ (Key informants) เก่ยี วกับคูํมือการปฏบิ ตั ิงาน
วิชาการสูํความเป็นเลิศของโรงเรยี น จานวน 9 คน ซง่ึ กาหนดคณุ สมบัติ ดังน้ี

3.1 เปน็ ผูอ๎ านวยการสถานศึกษา สงั กัดองค๑กรปกครองสํวนท๎องถน่ิ ดารงตาแหนํง
ทางการบรหิ ารงานไมํน๎อยกวาํ 5 ปี ในโรงเรยี นตน๎ แบบ หรอื โรงเรียนพระราชทาน จานวน 3 คน

3.2 เป็นรองผ๎ูอานวยการสถานศกึ ษาฝ่ายวิชาการ หรือหัวหน๎างานวิชาการ สงั กัดองคก๑ ร
ปกครองสํวนท๎องถนิ่ มีประสบการณใ๑ นการทางานไมํน๎อยกวาํ 5 ปี ในโรงเรียนต๎นแบบ หรือโรงเรยี น
พระราชทาน จานวน 3 คน

3.3 ผูเ๎ ช่ยี วชาญ ทส่ี าเรจ็ การศึกษาระดับปรญิ ญาเอก หรือปรญิ ญาโทด๎านการบริหาร
การศกึ ษา/ วจิ ยั และประเมนิ ผลการศึกษา/ การพฒั นาหลักสตู รสถานศกึ ษา จานวน 3 คน

ขัน้ ตอนการวิจยั

ขั้นตอนการวิจยั แบงํ เปน็ 3 ขนั้ ตอน มรี ายละเอยี ด ดังนี้
ขนั้ ตอนท่ี 1 การศึกษาเอกสารและงานวิจยั ที่เก่ียวข๎อง
1. ผ๎วู ิจัยไดศ๎ กึ ษาข๎อมูลทีไ่ ด๎จากการศึกษาเอกสาร แนวคดิ ทฤษฎี งานวิจัยทีเ่ กี่ยวข๎อง ดงั น้ี

1.1 การพฒั นาคณุ ภาพองคก๑ าร
1.2 ความเป็นเลิศของโรงเรียน
1.3 การบรหิ ารงานวชิ าการ
2. นาข๎อสรุปท่ีได๎มาสงั เคราะห๑เป็นองค๑ความรู๎ (Content synthesis) เก่ยี วกับองค๑ประกอบ
ของรปู แบบการบริหารงานวิชาการสูํความเปน็ เลศิ ของโรงเรยี นสังกดั องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น
รํางเป็นประเด็น ได๎แกํ ภาวะผ๎ูนาทางวชิ าการ ภารกิจและขอบขาํ ยงานวิชาการในโรงเรยี น กระบวนการ
บรหิ ารงานวชิ าการ และการมสี ํวนรวํ มในการบริหารงานวชิ าการ

125

ขัน้ ตอนที่ 2 การพฒั นารปู แบบการบริหารงานวชิ าการสูคํ วามเปน็ เลศิ ของโรงเรียน
สังกัดองค๑กรปกครองสํวนท๎องถน่ิ

ขน้ั ตอนนี้เป็นการศึกษาโดยใชร๎ ะเบียบวิธีวจิ ัยในการรวบรวมขอ๎ มลู แบบ EDFR ซงึ่ มี
การเก็บขอ๎ มูล 3 ครง้ั ดังน้ี

1. ครั้งที่ 1 การสัมภาษณก๑ ลมํุ ผบ๎ู ริหารสถานศกึ ษา และ/ หรอื หวั หนา๎ งานวชิ าการ
นาประเด็นองค๑ประกอบของรูปแบบการบริหารงานวิชาการสํูความเป็นเลิศของโรงเรยี นสังกดั องคก๑ ร
ปกครองสวํ นท๎องถิน่ ที่ได๎จากข้นั ตอนท่ี 1 ได๎แกํ ภาวะผ๎ูนาทางวิชาการ ภารกิจและขอบขาํ ยงานวิชาการ
ในโรงเรยี น กระบวนการบริหารงานวชิ าการ และการมสี ํวนรวํ มในการบริหารงานวชิ าการ มาจดั ทา
เปน็ กรอบรํางเพ่ือใชเ๎ ป็นแบบสมั ภาษณผ๑ ู๎กลุํมผ๎ูบริหารสถานศึกษา และ/ หรือหัวหน๎างานวิชาการ
ในรอบที่ 1 โดยมลี กั ษณะเป็นแบบสัมภาษณ๑แบบกงึ่ โครงสร๎าง จากนั้นนาแบบสัมภาษณ๑ไปสัมภาษณ๑
กลุมํ ผบู๎ รหิ ารสถานศกึ ษา และ/ หรอื หัวหนา๎ งานวชิ าการ จานวน 12 คน โดยมีแนวทางการสมั ภาษณ๑ ดังน้ี

1.1 กอํ นนาเขา๎ สํกู ารสมั ภาษณ๑ ผว๎ู จิ ัยนาเสนองานวิจยั บทที่ 1 ถงึ บทท่ี 3 พอสงั เขป
ประมาณ 10 นาที เพือ่ ให๎ผ๎เู ช่ียวชาญทราบข๎อมลู และกรอบการวิจัยเบื้องตน๎

1.2 ขออนญุ าตบนั ทึกเสียงและบนั ทึกภาพขณะสัมภาษณ๑
1.3 ประเดน็ การสมั ภาษณเ๑ ป็นข๎อคาถามปลายเปิด ในดา๎ นตําง ๆ ตามกรอบรําง
องคป๑ ระกอบฯ เกยี่ วกับแนวโน๎มจะเป็นอยาํ งไร เพราะเหตใุ ด โดยเน๎นแนวโน๎มด๎านบวก แนวโน๎ม
ดา๎ นลบ แนวโนม๎ ความเป็นไปได๎ และใชเ๎ ทคนิคสรปุ สะสม (Cumulative summarization) จนจบ
การสมั ภาษณ๑ โดยแบงํ เปน็ 4 ด๎าน ดังนี้

1.3.1 ดา๎ นที่ 1 ดา๎ นภาวะผ๎ูนาทางวิชาการ ได๎แกํ ข๎อคาถามเกยี่ วกบั การกาหนด
ทิศทาง นโยบาย แนวทางการจัดการศกึ ษา การจดั โครงสรา๎ งองคก๑ าร และคณุ ลกั ษณะของผู๎นา
ทางวิชาการ

1.3.2 ดา๎ นท่ี 2 ภารกจิ และขอบขํายงานวิชาการในโรงเรียน ได๎แกํ ขอ๎ คาถาม
เกย่ี วกบั แผนงาน โครงการ ภารกจิ และขอบขํายงานวชิ าการทป่ี ฏบิ ัตใิ นสถานศกึ ษา

1.3.3 ดา๎ นที่ 3 กระบวนการบรหิ ารงานวชิ าการ ได๎แกํ ข๎อคาถามเกยี่ วกบั ขั้นตอน
การบริหารงานวชิ าการในสถานศกึ ษา

1.3.4 ด๎านท่ี 4 การมสี ํวนรวํ มในการบริหารงานวชิ าการ ได๎แกํ ขอ๎ คาถามเก่ียวกบั
การพัฒนาและสํงเสรมิ ผ๎มู สี วํ นรวํ มในการจดั การศึกษา

1.4 เม่อื ผว๎ู ิจยั สัมภาษณ๑ครบทุกด๎าน ผว๎ู ิจยั สรปุ การสมั ภาษณใ๑ ห๎ผ๎บู ริหารสถานศึกษา
และ/ หรือหัวหน๎างานวิชาการฟงั เพ่ือมีการปรับปรงุ แก๎ไข และ/ หรือเพิ่มเตมิ คาสมั ภาษณ๑

126

1.5 นาผลการสัมภาษณท๑ ่ีบันทึกเสียงไว๎ไปถอดเทปและเรียบเรียงใหมํแลว๎ สํงผล
การสมั ภาษณท๑ ี่เรียบเรียงแลว๎ ไปใหผ๎ ถ๎ู ูกสมั ภาษณอ๑ ํานและตรวจแก๎ไข เพอ่ื ความนาํ เช่ือถอื ความตรง
และความเทยี่ งของขอ๎ มลู อกี ครัง้ หน่งึ

2. ครงั้ ที่ 2 การวเิ คราะหจ๑ ดั ทาแบบสอบถาม ในขนั้ ตอนน้ีเป็นการตรวจสอบ ความเหมาะสม
ขององค๑ประกอบของรูปแบบการบริหารงานวิชาการสูํความเป็นเลศิ ของโรงเรยี นสังกัดองคก๑ รปกครอง
สวํ นท๎องถิน่ จากการสารวจความคดิ เห็นของผู๎บริหารสถานศกึ ษา และ/ หรอื หัวหน๎างานวชิ าการ ทั้งหมด
จานวน 17 คน เพ่ือสรา๎ งฉันทามติ (Consensus) ของกลมุํ โดยการนาผลการสัมภาษณ๑กลุํมผบ๎ู ริหาร
สถานศกึ ษา และ/ หรอื หัวหน๎างานวิชาการ จานวน 12 คน จากเทคนิค EDFR รอบที่ 1 มาวิเคราะห๑
และแบงํ ขอ๎ มลู ออกเป็นกลํมุ ๆ ตามเทคนิคการวิจัยแบบเดลฟาย (Delphi technique) และพฒั นาเปน็
แบบสอบถามความคิดเห็นเกีย่ วกบั ความเหมาะสมขององค๑ประกอบของรูปแบบการบริหารงานวิชาการ
สํูความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดองค๑กรปกครองสํวนท๎องถน่ิ โดยมลี ักษณะเป็นแบบสอบถาม
ปลายปดิ ชนดิ มาตราสํวนประมาณคาํ 5 ระดับ

3. ครง้ั ท่ี 3 ยนื ยนั ความคดิ เห็น รอบนีผ้ บ๎ู รหิ ารสถานศกึ ษา และ/ หรือหัวหน๎างานวชิ าการ
แตํละคนได๎รับข๎อมูลป้อนกลับเชิงสถิติ (Statistical feedback) จากการวิเคราะห๑ข๎อมูลในรอบท่ี 2
ทเี่ ป็นของกลํมุ โดยสํวนรวม ไดแ๎ กํ คํามธั ยฐาน (Median) และคาํ พิสยั ระหวํางควอไทล๑ (Interquartile
range) เพ่ือสร๎างแบบสอบถามใหมทํ ใ่ี ชข๎ ๎อความเดิม โดยเพม่ิ ตาแหนํงของคาํ มัธยฐาน คําพิสัยระหวําง
ควอไทล๑ และตาแหนงํ ผู๎ให๎ข๎อมลู คนนน้ั ตอบ และใหผ๎ ู๎ใหข๎ ๎อมลู แตํละคนพจิ ารณาคาตอบใหมํแลว๎
ตอบกลับมาอีกครงั้ หน่งึ ในการตอบแบบสอบถามรอบนผ้ี ู๎ให๎ข๎อมูลแตํละคนจะทราบวาํ ตนมีความคดิ เห็น
เหมือนกันหรือแตกตํางจากผู๎ใหข๎ ๎อมลู คนอื่น ๆ อยํางไร หากทบทวนความคดิ เห็นของตนเองแลว๎ ยัง
แตกตํางจากคนอ่ืนอยํู กใ็ หเ๎ หตุผลประกอบการยนื ยันคาตอบเดิมของตนท่ีอยํูนอกพิสยั ระหวาํ งควอไทล๑
ในข๎อนน้ั ๆ ซึง่ ผู๎วจิ ยั จะนาความคดิ เห็นที่สอดคล๎องกันในรอบนี้ มาสรุปเปน็ ราํ งรูปแบบการบรหิ าร
งานวชิ าการสคูํ วามเป็นเลศิ ของโรงเรียนสงั กดั องค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น

ขั้นตอนที่ 3 สร๎างคูมํ อื การปฏิบัตงิ านวิชาการสคํู วามเป็นเลิศของโรงเรยี น สังกดั องค๑กร
ปกครองสวํ นท๎องถ่ิน และตรวจสอบรูปแบบการบรหิ ารงานวชิ าการสํคู วามเป็นเลิศของโรงเรยี น
สังกดั องคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถิน่ ซึ่งประกอบดว๎ ยสํวนตําง ๆ ดังนี้

1. หลักการและเหตผุ ล
2. แนวคดิ ในการบริหารงานวิชาการสูํความเป็นเลิศ
3. วธิ ีดาเนินงาน

3.1 ภาวะผ๎ูนาทางวิชาการ
3.2 กระบวนการบริหารงานวชิ าการ

127

3.3 แนวทางการบริหารงานวชิ าการสคํู วามเป็นเลศิ
3.3.1 การพัฒนาหลักสตู รและกระบวนการเรียนรู๎
3.3.2 การพัฒนาแหลงํ เรียนรู๎
3.3.3 การพัฒนาส่ือ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา
3.3.4 การนิเทศการศกึ ษา
3.3.5 การวจิ ัยเพื่อพฒั นาคุณภาพการศกึ ษา
3.3.6 การประกันคณุ ภาพภายในสถานศกึ ษา
3.3.7 การวดั ผล ประเมินผล และเทยี บโอนผลการเรยี น

การตรวจสอบความเหมาะสมของคูํมอื ฯ
ตรวจสอบความเหมาะสมของคํูมอื การปฏิบัตงิ านบรหิ ารงานวชิ าการสํูความเป็นเลิศของ
โรงเรยี นสงั กดั องค๑กรปกครองสํวนทอ๎ งถิ่น ผู๎วจิ ัยไดใ๎ หผ๎ ูเ๎ ชี่ยวชาญ ผ๎ูบริหารสถานศกึ ษา และหัวหนา๎ งาน
วิชาการประเมินความเหมาะสม เนอ้ื หาสาระ รูปแบบการพมิ พ๑ ความสะดวกในการนาไปใช๎ และลกั ษณะ
ทางกายภาพ ของคูํมือฯ โดยวเิ คราะห๑คาํ ความถี่ของขอ๎ มลู พรอ๎ มทง้ั ใหข๎ ๎อเสนอแนะ
ข้ันตอนการวิจัยทั้ง 3 ข้นั ตอน สามารถสรปุ ไดด๎ ังภาพท่ี 9

128

แนวคิดการพฒั นาคณุ ภาพ แนวคิดความเป็นเลิศ แนวคิดการบรหิ ารงานวิชาการ

องคก์ าร ของโรงเรยี น 1. มิลเลอร๑
2. เฟเบอร๑และเชอร๑รอน
1. รางวัลคณุ ภาพแหงํ ชาติยุโรป 1. รางวัลความเป็นเลศิ 3. แคมเบลล๑ บริดเจส และไนสแตรนด๑
2. รางวัลคณุ ภาพแหํงชาติ ประเทศออสเตรเลีย 4. โซลแิ มน
5. เซอรจ๑ ิโอวานนิ และคณะ
ประเทศสงิ คโปร๑ 2. รูปแบบโรงเรียนเป็นเลศิ 6. สมิท
3. รางวัลคุณภาพแหํงชาติ ประเทศสงิ คโปร๑ 7. ออสตนิ และเรโนลด๑
8. คิมบร็อป และนนั เนรี
ประเทศไทย 3. รางวลั ความเป็นเลศิ ประเทศฮอํ งกง 9. ฮอยและมสิ เกล
4. รางวลั คณุ ภาพแหํงชาติ 4. แนวคดิ ความเป็นเลิศของปีเตอร๑ 10. รุํงชชั ดาพร เวหะชาติ
11. ปรยี าพร วงศ๑อนตุ รโรจน๑
ประเทศญี่ปนุ่ และวอเตอร๑แมน 12. กมล สุดประเสริฐ
5. แมํแบบการจัดการศึกษา 5. การบริหารโรงเรียนสูํความเปน็ เลิศ 13. สานักงานคณะกรรมการการศึกษา

เชงิ คุณภาพ ข้นั พื้นฐาน
14. กรมสํงเสริมการปกครองสํวนท๎องถ่ิน

องค๑ประกอบรูปแบบการบริหารงานวิชาการ 1. ภาวะผนู๎ าทางวชิ าการ
สคํู วามเปน็ เลิศของโรงเรียน
2. ภารกจิ และขอบขํายงานวิชาการ
สังกดั องคก๑ รปกครองสํวนท๎องถิน่ ในโรงเรียน

3. กระบวนการบริหารงานวิชาการ

4. การมีสํวนรํวมในการบรหิ าร
งานวิชาการ

EFR Delphi Delphi

สัมภาษณ๑ แบบสอบถามรอบท่ี 1 แบบสอบถามรอบท่ี 2
กลมุํ ผูบ๎ รหิ ารสถานศึกษา กลํุมผ๎บู รหิ ารสถานศกึ ษา กลุมํ ผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา
และ/ หรือหัวหน๎างานวิชาการ และ/ หรือหวั หน๎างานวิชาการ และ/ หรอื หวั หน๎างานวิชาการ
จานวน 12 คน จานวน 17 คน จานวน 17 คน

คมํู ือการปฏบิ ตั งิ านวิชาการสํูความเป็นเลิศของโรงเรียนสังกดั องค๑กรปกครองสํวนทอ๎ งถิ่น

รูปแบบการบรหิ ารงานวิชาการสํคู วามเปน็ เลิศของโรงเรียนสังกดั องคก๑ รปกครองสํวนท๎องถ่ิน

ภาพที่ 9 ข้นั ตอนการวิจัย

129

เครื่องมือท่ีใชใ้ นการวิจยั

ลักษณะของเคร่ืองมือวจิ ัย
เคร่ืองมือท่ใี ช๎ในการวิจัยคร้ังน้ี ประกอบด๎วย แบบสมั ภาษณ๑แบบกง่ึ โครงสร๎าง
และแบบสอบถาม ซง่ึ มีลกั ษณะของเครอื่ งมือวจิ ยั ดังน้ี
1. แบบสัมภาษณแ๑ บบกึ่งโครงสรา๎ ง (Semi structured interview) ใช๎ในการสัมภาษณ๑
ผ๎ูบรหิ ารสถานศึกษา และ/ หรอื หัวหนา๎ งานวชิ าการ ในโรงเรยี นต๎นแบบ หรือโรงเรียนพระราชทาน
จานวน 12 คน เพอ่ื รวบรวมความคดิ เห็นกบั ผ๎ูมคี วามรอบรู๎ หรือผใ๎ู ห๎ขอ๎ มูลสาคัญ (Key informants)
เกยี่ วกับการบริหารงานวชิ าการสคํู วามเป็นเลิศของโรงเรยี น วาํ แตํละดา๎ นมีแนวโนม๎ อยํางไร
เพราะเหตุใด
2. แบบสอบถาม ใช๎ในการตอบแบบสอบถามความคดิ เห็นของกลุมํ ผ๎ูบรหิ ารสถานศกึ ษา
และ/ หรือหวั หน๎างานวชิ าการ ทีม่ ีความรู๎ความเช่ียวชาญในการบริหารงานวชิ าการสคูํ วามเปน็ เลศิ
ในโรงเรียนต๎นแบบ หรือโรงเรียนพระราชทาน จานวน 17 คน ลกั ษณะของแบบสอบถามเปน็ แบบ
ปลายปิด (Closed ended) ชนิดมาตราสํวนประมาณคาํ 5 ระดับ ครอบคลมุ องค๑ประกอบ 4 องค๑ประกอบ
ไดแ๎ กํ ภาวะผน๎ู าทางวชิ าการ ภารกจิ และขอบขาํ ยงานวชิ าการในโรงเรียน กระบวนการบริหารงานวิชาการ
และการมีสวํ นรํวมในการบริหารงานวชิ าการ โดยสอบถามกลํุมผ๎ูบริหารสถานศึกษา และ/ หรือหวั หน๎า
งานวิชาการ จานวน 2 รอบ เพอ่ื ให๎กลุมํ ผบู๎ ริหารสถานศึกษา และ/ หรือหวั หน๎างานวิชาการได๎แสดง
ความคดิ เห็นและยนื ยนั ความสอดคล๎องกนั ของรูปแบบการบรหิ ารงานวิชาการสํคู วามเปน็ เลศิ ของ
โรงเรียนสังกดั องคก๑ รปกครองสํวนท๎องถิ่น
3. แบบสอบถาม ความคิดเห็นทม่ี ีตอํ คูมํ ือการปฏิบัติงานบริหารงานวิชาการสูํความเป็นเลิศ
ของโรงเรียนสังกัดองค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่นิ โดยถามเกีย่ วกับความเหมาะสม และความชัดเจน
ดา๎ นเนอ้ื หาสาระของคูํมือ การจดั รูปแบบการพมิ พ๑ ความสะดวกในการนาไปใช๎ และลกั ษณะทางกายภาพ
ของคูมํ อื การปฏิบตั ิงานบรหิ ารงานวิชาการสคูํ วามเปน็ เลิศของโรงเรยี นสงั กัดองค๑กรปกครองสวํ น
ท๎องถิ่น พรอ๎ มทงั้ ข๎อคิดเห็นและขอ๎ เสนอแนะ
วิธีการสร้างเครื่องมือในการวิจยั
ในการวจิ ยั ครง้ั นี้ มเี ครอ่ื งมือท่ีใช๎ในการวจิ ยั ไดแ๎ กํ แบบสัมภาษณ๑แบบกง่ึ โครงสร๎างและ
แบบสอบถาม ซงึ่ มีวธิ ีการสร๎างเคร่ืองมอื ดังน้ี
1. แบบสมั ภาษณ๑แบบกง่ึ โครงสร๎าง

1.1 แบบสัมภาษณแ๑ บบก่ึงโครงสรา๎ ง ทีใ่ ช๎ในการสมั ภาษณ๑กลุํมผู๎บรหิ ารสถานศึกษา
และ/ หรือหวั หน๎างานวชิ าการ ไดจ๎ ากการศึกษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี งานวจิ ยั ทเี่ ก่ยี วข๎อง ดังน้ี

130

1.1.1 การพฒั นาคุณภาพองค๑การ
1.1.2 ความเป็นเลศิ ของโรงเรียน
1.1.3 การบริหารงานวชิ าการ
1.2 นาขอ๎ สรุปทไ่ี ด๎มาสังเคราะห๑เปน็ องค๑ความร๎ู (Content synthesis) เก่ียวกบั องค๑ประกอบ
ของรปู แบบการบริหารงานวิชาการสคูํ วามเปน็ เลศิ ของโรงเรียนสงั กดั องค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่นิ
ราํ งเป็นประเด็น ได๎แกํ ภาวะผู๎นาทางวชิ าการ ภารกิจและขอบขาํ ยงานวิชาการในโรงเรยี น กระบวนการ
บรหิ ารงานวชิ าการ และการมสี วํ นรํวมในการบริหารงานวชิ าการ ใชเ๎ ปน็ การกรอบในการสร๎างแบบ
สมั ภาษณแ๑ บบกง่ึ โครงสรา๎ ง (Semi structured interview) โดยสัมภาษณ๑กลํมุ ผ๎บู รหิ ารสถานศึกษา
และ/ หรือหัวหนา๎ งานวชิ าการ จานวน 12 คน
1.3 นาแบบสัมภาษณแ๑ บบก่ึงโครงสร๎างท่สี รา๎ งขึน้ ไปให๎อาจารย๑ทปี่ รกึ ษาพจิ ารณา
ตรวจสอบประเด็นคาถามวาํ ครอบคลมุ เนื้อหา หรือตัวแปรหรือไมํ ภาษาชดั เจน เหมาะสมกบั กลุํม
ผ๎ใู หข๎ ๎อมูลหรอื ไมํ พรอ๎ มนาแบบสัมภาษณ๑ดงั กลาํ วปรับแกต๎ ามคาแนะนาของอาจารยท๑ ่ีปรกึ ษา เสร็จแลว๎
ผู๎วิจัยนาแบบสมั ภาษณ๑กง่ึ โครงสร๎างดังกลาํ วไปให๎ผู๎เชีย่ วชาญดา๎ นการศึกษา จานวน 5 คน (รายช่ือ
ดังภาคผนวก จ) ตรวจสอบความตรงเชงิ เน้ือหา (Content validity) ความถกู ต๎องของภาษาและ
ความครอบคลุมตามประเด็นเนือ้ หา โดยการหาคาํ ดัชนีความสอดคล๎อง (Index of Consistency: IOC)
ใชเ๎ กณฑ๑การพิจารณาคดั เลอื กประเด็นคาถามท่ีมีคาํ ดชั นีความสอดคล๎องตัง้ แตํ 0.80 ขน้ึ ไป ปรากฏวํา
ทกุ ประเด็นคาถามผาํ นเกณฑ๑ โดยมคี าํ ดัชนคี วามสอดคล๎องเทาํ กับ 0.80
1.4 นาแบบสัมภาษณฉ๑ บับสมบูรณไ๑ ปสัมภาษณ๑กลํมุ ผ๎ูบริหารสถานศึกษา และ/ หรือ
หวั หนา๎ งานวชิ าการ จานวน 12 คน ตํอไป
2. แบบสอบถาม
2.1 ผูว๎ จิ ยั นาผลการสัมภาษณก๑ ลุมํ ผ๎บู ริหารสถานศกึ ษา และ/ หรือหวั หนา๎ งานวิชาการ
จานวน 12 คน มาสร๎างเปน็ แบบสอบถามปลายปดิ ชนิดมาตราสํวนประมาณคาํ 5 ระดับ โดยการสงั เคราะห๑
ผลการสัมภาษณ๑มาเป็นกรอบแนวคดิ เก่ยี วกับองค๑ประกอบของรปู แบบการบริหารงานวิชาการสํู
ความเป็นเลิศของโรงเรียนสงั กัดองคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถิ่น ไดแ๎ กํ ภาวะผูน๎ าทางวิชาการ ภารกจิ
และขอบขํายงานวิชาการในโรงเรยี น กระบวนการบริหารงานวิชาการ และการมีสวํ นรํวมในการบริหาร
งานวิชาการ
2.2 นาแบบสอบถามที่สรา๎ งขนึ้ ไปปรกึ ษาอาจารย๑ทปี่ รกึ ษาพิจารณา เพ่ือตรวจแกไ๎ ข
ภาษา สานวนทใ่ี ช๎ และขอบเขตของเนือ้ หา ความเที่ยงตรง และครอบคลมุ เร่ืองทีจ่ ะศกึ ษาหรือไมํ
แลว๎ นาแบบสอบถามทไ่ี ดผ๎ ํานการพจิ ารณาจากอาจารย๑ท่ีปรกึ ษามาปรบั ปรงุ แกไ๎ ข เพม่ิ เติมสํวนที่บกพรํอง
ผ๎ูวิจยั นาแบบสอบถามดังกลาํ วหาความตรงเชิงเน้อื หา (Content validity) ความถูกต๎องของภาษา

131

และความครอบคลมุ ตามเน้ือหา โดยการหาคาํ ดชั นคี วามสอดคลอ๎ ง (Index of Consistency: IOC)
ใช๎เกณฑ๑การพิจารณาคดั เลือกขอ๎ คาถามทมี่ ีคาํ ดชั นคี วามสอดคลอ๎ งตั้งแตํ 0.60 ขน้ึ ไป ปรากฏวาํ
ทุกข๎อคาถามผํานเกณฑ๑ โดยมีคําดชั นคี วามสอดคลอ๎ งตงั้ แตํ 0.80-1.00 และปรบั ปรุงขอ๎ คาถาม
ตามขอ๎ เสนอแนะของผูเ๎ ชยี่ วชาญ

2.3 นาแบบสอบถามฉบบั สมบรู ณ๑ไปสอบถามความคิดเห็นกลุํมผู๎บริหารสถานศกึ ษา
และ/ หรือหวั หนา๎ งานวิชาการ จานวน 17 คน ตํอไป

3. การสรา๎ งคมูํ ือการปฏบิ ัตงิ านวิชาการสํูความเป็นเลิศของโรงเรียนสงั กัดองคก๑ รปกครอง
สวํ นท๎องถ่ิน

ผูว๎ ิจัยดาเนินการสร๎างคมูํ ือการปฏบิ ตั ิงานวิชาการสคํู วามเป็นเลศิ ของโรงเรียนสังกัดองค๑กร
ปกครองสํวนท๎องถ่ิน โดยพจิ ารณาคัดเลอื กประเด็นข๎อคาตอบจากแบบสอบถามในรอบที่ 2 ทม่ี ีคาํ
ความเหมาะสมอยํใู นระดับมาก (มคี ํามัธยฐานตง้ั แตํ 4.00 ขน้ึ ไป, คาํ พสิ ัยระหวํางควอไทลไ๑ มเํ กิน 1.50,
และผลตํางระหวาํ งฐานนิยมกับมธั ยฐานไมํเกิน 1.00) นามาเปน็ ประเด็นในการสร๎างคูมํ ือการปฏิบัติงาน
วชิ าการสูํความเปน็ เลศิ ประกอบด๎วย

1. หลกั การและเหตุผล
2. แนวคดิ ในการบริหารงานวชิ าการสคํู วามเปน็ เลิศ
3. วธิ ดี าเนินงาน

3.1 ภาวะผู๎นาทางวชิ าการ
3.2 กระบวนการบรหิ ารงานวชิ าการ
4. แนวทางการบรหิ ารงานวิชาการสคูํ วามเป็นเลศิ
4.1 การพฒั นาหลักสตู รสถานศกึ ษาและกระบวนการเรยี นรู๎
4.2 การพัฒนาแหลํงเรยี นรู๎
4.3 การพฒั นาสอื่ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษา
4.4 การนเิ ทศการศึกษา
4.5 การวจิ ัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศกึ ษา
4.6 การประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษา
4.7 การวดั ผล ประเมนิ ผล และเทยี บโอนผลการเรียน
4. แบบสอบถามเกีย่ วกับความเหมาะสมของคํูมือฯ
4.1 ผว๎ู จิ ัยสร๎างแบบสอบถามเกี่ยวกบั ความเหมาะสม และความชดั เจนดา๎ นเนื้อหา
สาระของคํูมอื ฯ เป็นแบบสอบถามปลายปดิ (Closed ended) ชนิดมาตราสํวนประมาณคํา 3 ระดับ
เก่ียวกบั การจดั รูปแบบการพิมพ๑ ความสะดวกในการนาไปใช๎ และลักษณะทางกายภาพของคมูํ อื

132

การปฏิบัติงานบริหารงานวิชาการสคํู วามเปน็ เลิศของโรงเรียนสังกัดองคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถ่ิน
พร๎อมท้ังข๎อคดิ เห็นและขอ๎ เสนอแนะ

4.2 นาแบบสอบถามทสี่ ร๎างขน้ึ ไปปรึกษาอาจารยท๑ ่ีปรกึ ษาพิจารณา เพ่อื ตรวจแกไ๎ ขภาษา
สานวนทีใ่ ช๎ และขอบเขตของเนื้อหา ความเทีย่ งตรง และครอบคลุมเร่ืองท่ีจะศกึ ษาหรือไมํ แล๎วนา
แบบสอบถามท่ีไดผ๎ ํานการพิจารณาจากอาจารย๑ที่ปรกึ ษามาปรบั ปรุง แก๎ไข เพิ่มเตมิ สํวนที่บกพรอํ ง
ผว๎ู จิ ยั นาแบบสอบถามดงั กลาํ วหาความตรงเชิงเนื้อหา (Content validity) ความถูกตอ๎ งของภาษา
และความครอบคลุมตามเนื้อหา โดยการหาคําดัชนคี วามสอดคลอ๎ ง (Index of Consistency: IOC)
ใชเ๎ กณฑ๑การพิจารณาคดั เลอื กข๎อคาถามทีม่ คี าํ ดัชนีความสอดคลอ๎ งตงั้ แตํ 0.60 ข้ึนไป ปรากฏวาํ
ทุกข๎อคาถามผาํ นเกณฑ๑ โดยมคี ําดัชนีความสอดคลอ๎ งต้งั แตํ 0.80-1.00 และปรับปรงุ ข๎อคาถาม
ตามขอ๎ เสนอแนะของผ๎เู ชีย่ วชาญ

4.3 นาแบบสอบถามฉบับสมบูรณ๑ไปสอบถามความคดิ เหน็ กลุมํ ผู๎บรหิ ารสถานศึกษา
และ/ หรือหวั หน๎างานวิชาการ จานวน 9 คน ตอํ ไป

การเกบ็ รวบรวมขอ้ มูล

การเก็บรวบรวมข๎อมูล ไดด๎ าเนนิ การ ดังตํอไปน้ี
1. การเกบ็ ขอ๎ มูลคร้งั ท่ี 1

1.1 ผว๎ู จิ ยั ทาหนงั สอื จากงานบณั ฑติ ศกึ ษา คณะศึกษาศาสตร๑ มหาวทิ ยาลัยบูรพา
เพือ่ ขอสัมภาษณ๑

1.2 นัดหมายเวลาในการเขา๎ พบกลํมุ ผใ๎ู ห๎ขอ๎ มูลเพ่อื การสัมภาษณ๑
1.3 สงํ หนังสือขอความรวํ มมือกํอนวันนัดหมายสัมภาษณ๑ อยํางนอ๎ ย 1 สปั ดาห๑
1.4 ผู๎วิจยั ดาเนนิ การสัมภาษณ๑ตามเวลาที่นัดหมาย
1.5 วิเคราะหข๑ ๎อมูลท่ีไดจ๎ ากการสงั เคราะห๑เอกสาร สมั ภาษณ๑
2. การเกบ็ ขอ๎ มูลครั้งที่ 2 ผูว๎ ิจยั ทาหนงั สือขอความรํวมมือในการตอบแบบสอบถามถงึ
ผเ๎ู ชย่ี วชาญทง้ั 17 คน โดยสํงแบบสอบถามทางไปรษณีย๑ และขอตอบรบั กลบั ทางไปรษณีย๑
ไดแ๎ บบสอบถามกลับคนื มา ร๎อยละ 100 จานวน 2 รอบ
3. การเก็บขอ๎ มลู ครัง้ ท่ี 3 ผ๎วู ิจัยทาหนังสอื ขอความรํวมมือในการตอบแบบสอบถามถึง
ผเ๎ู ชี่ยวชาญทั้ง 9 คน โดยสํงคูํมือการปฏบิ ตั ิงานวิชาการสูํความเป็นเลศิ ของโรงเรียนสังกัดองค๑กร
ปกครองสํวนท๎องถ่ิน และแบบสอบถามความเหมาะสมของคูมํ ือฯ ทางไปรษณีย๑ และขอตอบรบั
กลับทางไปรษณยี ๑ โดยได๎แบบสอบถามกลบั คนื มา ร๎อยละ 100

133

การวิเคราะหข์ ้อมูลและสถติ ทิ ่ีใช้ในการวเิ คราะหข์ อ้ มลู

การวเิ คราะหข๑ ๎อมลู และสถติ ิทีใ่ ช๎ในการวิเคราะห๑ขอ๎ มลู มีดังน้ี
1. ข๎อมลู ทีไ่ ด๎จากการศกึ ษาเอกสาร แนวคิด ทฤษฎี งานวิจยั ตาํ ง ๆ เก่ยี วกบั การพัฒนา
คณุ ภาพองค๑การ ความเป็นเลศิ ของโรงเรียน และการบรหิ ารงานวชิ าการ ใชก๎ ารวิเคราะหเ๑ นื้อหา
(Content analysis) และสงั เคราะหเ๑ พ่ือให๎ไดข๎ ๎อสรปุ ตาํ ง ๆ ในการศกึ ษา
2. ข๎อมูลท่ีไดจ๎ ากการสัมภาษณ๑ผ๎ูบริหารสถานศกึ ษา และ/ หรือหวั หน๎างานวิชาการ
ในกระบวนการ EDFR คร้งั ท่ี 1 เก่ียวกบั องค๑ประกอบของรปู แบบการบริหารงานวชิ าการสํูความเป็นเลิศ
ของโรงเรยี น สงั กัดองค๑กรปกครองสวํ นท๎องถน่ิ ใชก๎ ารสังเคราะหเ๑ พ่ือใหไ๎ ดข๎ ๎อสรปุ เป็นกรอบราํ ง
องคป๑ ระกอบของรปู แบบการบริหารงานวิชาการสูํความเปน็ เลิศของโรงเรียนสงั กดั องคก๑ รปกครอง
สวํ นทอ๎ งถน่ิ
3. ข๎อมูลที่ไดจ๎ ากการวเิ คราะหค๑ วามเหมาะสมเกยี่ วกบั องค๑ประกอบของรปู แบบการบริหารงาน
วชิ าการสคํู วามเป็นเลศิ ของโรงเรยี นสังกัดองค๑กรปกครองสํวนท๎องถิ่น จากเทคนิคการวิจยั แบบ EDFR
ครั้งที่ 2 และ 3 โดยการตอบแบบสอบถามของผู๎บริหารสถานศึกษา และ/ หรือหัวหน๎างานวิชาการ
รอบท่ี 1 และ 2 ผูว๎ ิจยั ได๎วิเคราะห๑ข๎อมลู โดยใช๎โปรแกรมสาเร็จรูป เพอ่ื คานวณหาคํามัธยฐาน คําฐานนยิ ม
และคาํ พสิ ัยระหวํางควอไทล๑ ดงั นี้

3.1 คํามัธยฐาน (Median: Mdn) คอื คําของข๎อมูลทอ่ี ยํูตรงกลางของข๎อมลู ท้งั หมด
ทนี่ ามาเรยี งลาดบั จากน๎อยไปหามาก (ธานนิ ทร๑ ศลิ ปจ์ าร,ุ 2548)

มธั ยฐานทไ่ี ด๎จากคาตอบของผู๎เชี่ยวชาญเป็นรายข๎อ กาหนดเกณฑใ๑ นการพิจารณา
ไว๎ดงั นี้

คํามัธยฐานต้ังแตํ 4.50-5.00 หมายถึง ผ๎ูบริหารสถานศึกษา และ/ หรือหวั หน๎างานวชิ าการ
เห็นวาํ องค๑ประกอบน้นั มคี วามเหมาะสมและเป็นไปไดม๎ ากที่สุด

คํามธั ยฐานตง้ั แตํ 3.50-4.49 หมายถึง ผู๎บริหารสถานศึกษา และ/ หรือหวั หน๎างานวิชาการ
เห็นวําองคป๑ ระกอบนนั้ มีความเหมาะสมและเปน็ ไปไดม๎ าก

คาํ มัธยฐานต้ังแตํ 2.50-3.49 หมายถึง ผ๎ูบริหารสถานศกึ ษา และ/ หรือหัวหน๎างานวชิ าการ
เห็นวําองค๑ประกอบนั้นมีความเหมาะสมและเปน็ ไปได๎ปานกลาง

คาํ มธั ยฐานตง้ั แตํ 1.50-2.49 หมายถงึ ผู๎บริหารสถานศึกษา และ/ หรือหัวหน๎างานวิชาการ
เห็นวําองค๑ประกอบนัน้ มีความเหมาะสมและเปน็ ไปได๎นอ๎ ย

คํามธั ยฐานตง้ั แตํ 1.00-1.49 หมายถึง ผู๎บริหารสถานศกึ ษา และ/ หรือหัวหน๎างานวชิ าการ
เหน็ วาํ องค๑ประกอบนั้นมคี วามเหมาะสมและเป็นไปได๎น๎อยท่ีสดุ

134

เกณฑ๑การตัดสินคํามัธยฐานที่คานวณได๎จากตาตอบของผบ๎ู รหิ ารสถานศึกษา
และ/ หรือหัวหน๎างานวิชาการ ต๎องมีคํา 3.50 ข้ึนไป ซง่ึ แสดงวาํ องคป๑ ระกอบนนั้ มีความเหมาะสม
และเปน็ ไปไดม๎ าก

3.2 คําฐานนยิ ม (Mode: Mo) คอื การคานวณคําความถีข่ องระดับคะแนนจาก 1 ถึง 5
สาหรับแตํละองคป๑ ระกอบระดบั คะแนนใดทม่ี คี วามถมี่ ากทส่ี ดุ ถือเปน็ คาํ ฐานนยิ มขององคป๑ ระกอบนน้ั
ในกรณีที่องคป๑ ระกอบใดมีคําความถสี่ งู สดุ ของระดบั คะแนนเทํากนั และระดบั คะแนนนน้ั อยูํติดกัน
จะถือเอาคํากลางระหวาํ งคะแนนทง้ั สองน้ันเป็นฐานนิยมขององค๑ประกอบนั้น สํวนกรณที ่ีองคป๑ ระกอบ
ใดมีความถส่ี ูงสุดของระดับคะแนนเทํากันและระดบั คะแนนไมํไดอ๎ ยูตํ ิดกนั จะถอื วาํ ระดบั คะแนน
ทั้งสองนน้ั เป็นฐานนิยมขององค๑ประกอบน้ัน แลว๎ จึงนาคําฐานนยิ มทค่ี านวณไดม๎ าหาคําสมั บูรณ๑
ของผลตํางระหวํางมธั ยฐานกับฐานนยิ ม โดยคําผลตํางต๎องมีคําตั้งแตํ 0.00 ถึง 1.00 จึงถือวาํ ความคิดเห็น
ของผบ๎ู ริหารสถานศึกษา และ/ หรือหัวหน๎างานวชิ าการ ท่มี ีตํอองค๑ประกอบนนั้ สอดคล๎องกัน

3.3 คาํ พสิ ยั ระหวาํ งควอไทล๑ (Interquartile Range: IR) คอื คาํ ของข๎อมลู จานวน 50%
ที่อยตูํ รงกลางของข๎อมูลทัง้ หมด โดยการคานวณจากคําความแตกตํางระหวาํ งควอไทลท๑ ่ี 3 กับ
ควอไทลท๑ ี่ 1 คําพิสยั ระหวํางควอไทล๑ท่ไี ด๎จากคาตอบของผ๎บู ริหารสถานศกึ ษา และ/ หรอื หัวหนา๎
งานวชิ าการเป็นรายข๎อ แสดงใหเ๎ หน็ ถงึ ความสอดคลอ๎ งของคาตอบ โดยมเี กณฑ๑ในการพิจารณา
ดงั น้ี (มานิดา มณีอินทร๑, 2547)

ถา๎ คําพิสยั ระหวํางควอไทล๑ที่คานวณไดข๎ ององค๑ประกอบใดมีคําน๎อยกวาํ หรือเทาํ กับ 1.50
แสดงวาํ ความคิดเห็นของผู๎บรหิ ารสถานศึกษา และ/ หรือหัวหน๎างานวิชาการ ทีม่ ีตํอองค๑ประกอบนั้น
สอดคลอ๎ งกนั หรอื ไดร๎ บั ฉันทามติ (Consensus)

แตถํ า๎ คาํ พิสัยระหวํางควอไทล๑ขององค๑ประกอบใดมีคํามากกวาํ 1.50 แสดงวํา ความคดิ เห็น
ของผูบ๎ ริหารสถานศกึ ษา และ/ หรือหัวหนา๎ งานวชิ าการ ทมี่ ตี อํ องค๑ประกอบน้ันไมํสอดคลอ๎ งกัน
หรือไมไํ ด๎รบั ฉนั ทามติ

4. เครื่องมอื ทีใ่ ชใ๎ นการเก็บรวบรวมข๎อมูลในขั้นตอนนี้เป็นแบบสอบถามความคดิ เห็น
ท่ีมีตํอคูํมือการปฏิบัติงานวิชาการสูํความเป็นเลิศของโรงเรียน สังกัดองค๑กรปกครองสวํ นท๎องถ่ิน
โดยถามเก่ยี วกบั ความเหมาะสม และความชัดเจนด๎านเนื้อหาสาระของคมูํ ือ การจัดรูปแบบการพมิ พ๑
ความสะดวกในการนาไปใช๎ และลักษณะทางกายภาพ ผูว๎ จิ ัยได๎วิเคราะห๑ข๎อมลู โดยคานวณหาความถี่
ของข๎อมูลในการตอบแบบสอบถาม พรอ๎ มท้งั ข๎อคดิ เหน็ และขอ๎ เสนอแนะ

135

บทที่ 4
ผลการวเิ คราะห์ข้อมูล

การวิจัยครั้งน้ีเป็นการวิจัยแบบผสมผสาน (Mixed methods research) เรื่อง “รูปแบบ
การบริหารงานวชิ าการสคูํ วามเป็นเลิศของโรงเรยี นสงั กดั องคก๑ รปกครองสํวนทอ๎ งถนิ่ ” โดยมวี ัตถปุ ระสงค๑
เพื่อ 1) ศึกษาองคป๑ ระกอบของการบริหารงานวิชาการสูํความเป็นเลิศของโรงเรียนสงั กัดองคก๑ รปกครอง
สํวนท๎องถน่ิ 2) พัฒนารูปแบบการบริหารงานวิชาการสูํความเป็นเลศิ ของโรงเรียนสังกัดองคก๑ รปกครอง
สํวนท๎องถ่ิน และ 3) สรา๎ งคํูมือการปฏิบัตงิ านวิชาการสูํความเป็นเลศิ ของโรงเรยี นสังกดั องคก๑ รปกครอง
สํวนทอ๎ งถ่ิน และตรวจสอบรูปแบบการบริหารงานวิชาการสํคู วามเป็นเลิศของโรงเรียนสงั กัดองค๑กร
ปกครองสํวนท๎องถิ่น โดยศึกษาแนวคิด ทฤษฎี และงานวิจัยท่ีเก่ียวข๎อง วิเคราะห๑ สังเคราะห๑ข๎อมูล
จากน้ันใช๎เทคนคิ การวิจยั แบบ EDFR ในการพัฒนารปู แบบการบริหารงานวิชาการสํูความเป็นเลิศของ
โรงเรียนสังกัดองค๑กรปกครองสํวนท๎องถ่ิน สร๎างคูํมือการปฏิบัติงานวิชาการสูํความเป็นเลิศของ
โรงเรยี นสังกัดองค๑กรปกครองทอ๎ งถ่นิ สกูํ ารปฏิบตั ิไดจ๎ ริง และตรวจสอบรปู แบบการบริหารงานวชิ าการ
สูํความเป็นเลิศของโรงเรียนสังกัดองค๑กรปกครองสํวนทอ๎ งถ่ิน โดยผ๎ูวิจัยนาเสนอผลการวิเคราะห๑
ขอ๎ มูลแบงํ เป็น 3 ตอน ดังน้ี

ตอนที่ 1 ผลการศึกษาองคป๑ ระกอบเกีย่ วกับการบริหารงานวิชาการสคํู วามเป็นเลิศของ
โรงเรียนสังกดั องคก๑ รปกครองสํวนทอ๎ งถน่ิ

ตอนท่ี 2 ผลการพฒั นารูปแบบการบรหิ ารงานวชิ าการสคํู วามเป็นเลิศของโรงเรยี น
สังกัดองค๑กรปกครองสวํ นท๎องถน่ิ

ตอนท่ี 3 ผลการสร๎างคูํมือการปฏบิ ัติงานวิชาการสํูความเป็นเลิศของโรงเรียน สงั กัดองค๑กร
ปกครองสํวนท๎องถิ่น และตรวจสอบรูปแบบการบริหารงานวิชาการสํูความเป็นเลิศของโรงเรียน
สงั กดั องคก๑ รปกครองสวํ นท๎องถิ่น

สัญลักษณ์ทีใ่ ชใ้ นการเสนอผลการวเิ คราะหข์ ้อมลู

การวิจยั ในคร้ังน้ี ผ๎วู ิจัยไดก๎ าหนดความหมายของสัญลักษณ๑ในการเสนอผลการวเิ คราะห๑

ข๎อมูล ดังนี้

IR หรือ Q3-Q1 แทน คาํ พสิ ยั ระหวํางควอไทล๑

Mo แทน คาํ ฐานนยิ ม

Mdn แทน คํามธั ยฐาน

[Mo-Mdn] แทน คําผลตํางระหวํางฐานนยิ มกับมัธยฐาน

136

ผลการวิเคราะหข์ ้อมลู

ผลการวิเคราะห๑ขอ๎ มลู แบงํ ออกเป็น 3 ตอน ดังน้ี
ตอนที่ 1 ผลการศึกษาองคป๑ ระกอบของการบริหารงานวิชาการสูํความเป็นเลิศของโรงเรียน
สังกัดองคก๑ รปกครองสํวนท๎องถน่ิ มรี ายละเอยี ดดงั นี้
1. ผู๎วจิ ัยได๎ดาเนินการวิเคราะหแ๑ นวคิด ทฤษฎเี ก่ียวกบั การพฒั นาคุณภาพองค๑การ
ด๎วยการวิเคราะหเ๑ นอื้ หา (Content analysis) โดยยดึ แนวทางการศึกษา ดงั น้ี รางวลั คุณภาพแหงํ ชาติ
ยโุ รป (European Quality Award: EQA) รางวัลคุณภาพแหํงชาตปิ ระเทศสงิ คโปร๑ (Singapore Quality
Award: SQA) รางวัลคุณภาพแหงํ ชาติประเทศไทย (Thailand Quality Award: TQA) รางวัลคุณภาพ
แหงํ ชาติประเทศญปี่ ุ่น (Deming Prize) แมํแบบการจดั การศกึ ษาเชิงคุณภาพ SIPPO MODEL
2. วิเคราะห๑แนวคิด ทฤษฎีเก่ียวกับความเป็นเลศิ ของโรงเรียน ดว๎ ยการวิเคราะห๑เน้ือหา
(Content analysis) โดยยดึ แนวทางการศึกษา ดังนี้ รางวลั ความเป็นเลิศประเทศออสเตรเลยี (Australian
Excellence Award: AEA) รูปแบบความเปน็ เลศิ ประเทศสิงคโปร๑ (School Excellence Model: SEM)
รางวลั ความเปน็ เลศิ ประเทศฮอํ งกง (The Outstanding Teachers and school Award: HK) แนวคิด
ความเปน็ เลิศของปเี ตอรแ๑ ละวอเตอร๑แมน ซ่ึงเป็นผลงานวิจัยรูปแบบการบริหารความเป็นเลศิ ของ
แมคคินซี (Mckinsey 7-S framework) การบริหารโรงเรียนสูํความเป็นเลิศของสานกั งานเลขาคุรสุ ภา
ผลการวิเคราะห๑ขอ๎ มูลดังกลําว พบวาํ สาระสาคญั ทสี่ ามารถนามาใชเ๎ ป็นกรอบแนวคิด
ในการวจิ ยั ประกอบด๎วย 1) ภาวะผน๎ู า 2) การวางแผนเชิงกลยุทธ๑ 3) กระบวนการ 4) การมงํุ เน๎น
ทรพั ยากรบคุ คล และ 5) ผลลัพธ๑
3. วเิ คราะห๑แนวคดิ ทฤษฎีเก่ียวกบั การบริหารงานวชิ าการ ดว๎ ยการวิเคราะหเ๑ นอื้ หา
(Content analysis) โดยยึดแนวทางการศกึ ษา ดงั นี้ 1) Miller (1965) 2) Faber and Sherron (1970)
3) Campbell, Bridges and Nystrand (1977) 4) Soliman (1997) 5) Sergiovanni and Others (1980)
6) Smith (1995) 7) Austin and Reynolds (1990) 8) Kimbrough and Nunnery (1988) 9) Hoy and
Miskel (2001) 10) รํุงชัชดาพร เวหะชาติ (2552) 11) ปรียาพร วงศ๑อนุตรโรจน๑ (2553) 12) กมล
สดุ ประเสริฐ (2550) 13) สานักงานคณะกรรมการการศกึ ษาขน้ั พ้ืนฐาน (2550) และ 14) กรมสํงเสริม
การปกครองสํวนทอ๎ งถิน่ (2553)
ผลการวิเคราะห๑ขอ๎ มูลดังกลาํ ว พบวาํ สาระสาคัญทส่ี ามารถนามาใช๎เป็นกรอบแนวคิด
ในการวิจัย ประกอบด๎วย 1) การติดตามและประเมินผลการเรยี น 2) การพัฒนา จัดหาอปุ กรณ๑การเรยี น
การสอน สื่อ และเทคโนโลยที างการศกึ ษา 3) การพฒั นาและการนาหลักสูตรไปใช๎ 4) การพฒั นา
แหลงํ เรียนร๎ู 5) การนเิ ทศการสอน 6) การวิจัยเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษา 7) การสงํ เสริมความรู๎

137

ทางวิชาการให๎บคุ คลที่เกี่ยวข๎องทางการศึกษา 8) การประกนั คุณภาพภายในสถานศึกษาและ
9) การแนะแนวการศกึ ษา

4. นาข๎อสรปุ ที่ได๎มาสงั เคราะหเ๑ ป็นองคค๑ วามรู๎เกยี่ วกับองค๑ประกอบของรูปแบบการบริหาร
งานวชิ าการสคูํ วามเป็นเลศิ ของโรงเรียนสงั กดั องคก๑ รปกครองสํวนท๎องถ่นิ ราํ งเป็นประเด็น มรี ายละเอยี ด
ดงั น้ี

องคป๑ ระกอบท่ี 1 ภาวะผน๎ู าทางวชิ าการ
องค๑ประกอบท่ี 2 ภารกจิ และขอบขํายงานวชิ าการในโรงเรยี น
องคป๑ ระกอบที่ 3 กระบวนการบรหิ ารงานวชิ าการ
องค๑ประกอบท่ี 4 การมสี ํวนรวํ มในการบริหารงานวชิ าการ
ตอนท่ี 2 ผลการพฒั นารปู แบบการบริหารงานวชิ าการสคํู วามเป็นเลศิ ของโรงเรียน
สังกดั องคก๑ รปกครองสํวนท๎องถน่ิ
จากผลการศึกษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วข๎องกับรูปแบบการบรหิ ารงานวชิ าการสูํ
ความเป็นเลศิ ของโรงเรียนสังกดั องค๑กรปกครองสวํ นท๎องถ่ิน ในตอนท่ี 1 ผ๎วู จิ ยั ได๎นามารํางเป็นประเด็น
องค๑ประกอบของรปู แบบการบรหิ ารงานวิชาการสูคํ วามเป็นเลิศของโรงเรียนสงั กัดองค๑กรปกครอง
สวํ นทอ๎ งถน่ิ
1. ผลการสัมภาษณก๑ ลํมุ ผ๎ูบริหารสถานศกึ ษา และ/ หรือหัวหน๎างานวชิ าการ
ผูว๎ จิ ัยได๎ดาเนินการสัมภาษณ๑ความคิดเห็นของกลมุํ ผู๎บริหารสถานศึกษา และ/ หรือหวั หน๎า
งานวิชาการ โดยใช๎เทคนิคการสรปุ สะสมจากกลุํมผใู๎ ห๎ขอ๎ มูลที่ได๎มาจากการเลือกแบบเจาะจง
ในโรงเรยี นต๎นแบบ หรอื โรงเรียนพระราชทาน จานวน 12 โรงเรียน พอสรุปขอ๎ มลู ท่ไี ด๎จากการสัมภาษณ๑
ในแตํละองคป๑ ระกอบ ดงั น้ี
องคป๑ ระกอบที่ 1 ภาวะผ๎นู าทางวชิ าการ
1. การจัดองคก๑ ารเพอ่ื การเรียนการสอน

1.1 วเิ คราะหส๑ ภาพแวดล๎อมของโรงเรยี น จุดอํอน จุดแขง็
1.2 จัดทาโครงสรา๎ ง สายบงั คบั บญั ชา หน๎าที่ความรับผิดชอบ ออกคาสง่ั ชดั เจน
1.3 จดั บุคลากรครบตาแหนํงตามโครงสร๎างอยํางเหมาะสม
2. การกาหนดทิศทาง นโยบาย เปา้ หมาย และแนวทางการจดั การศกึ ษา
2.1 กาหนดทิศทาง วิสัยทศั น๑ พันธกิจ เป้าหมาย กลยุทธ๑ และแนวทางการจดั
การศกึ ษา อยํางชัดเจน
2.2 กาหนดนโยบาย แผนการดาเนินงานวชิ าการ
2.3 กาหนดตวั ชี้วัดความสาเรจ็

138

3. การพฒั นาระบบงาน
3.1 จดั ทาคูํมือ แนวทางการปฏบิ ตั ิงานอยาํ งชัดเจน
3.2 วิเคราะห๑ภาระงาน ออกแบบงาน และจดั โครงสร๎างครอบคลุมภารกจิ งาน
3.3 กาหนดกระบวนการพัฒนางานวชิ าการ

4. คณุ ลักษณะการเป็นผู๎นาสถานศึกษา
4.1 ปฏบิ ตั ิตนเป็นแบบอยาํ งตามจรรยาบรรณวิชาชีพ
4.2 เปน็ ผู๎ประสานที่ดีระหวาํ งผ๎ูบรหิ ารระดบั สงู ขึ้นไป และผ๎ูใต๎บังคับบัญชา
4.3 เน๎นการทางานเป็นทีม
4.4 ใช๎หลักธรรมาภบิ าลในการบรหิ ารสถานศึกษา
4.5 เขา๎ ใจพ้ืนฐานของผู๎ใตบ๎ ังคับบัญชา มีทกั ษะในการมอบหมายงานตามความเหมาะสม
4.6 มีความร๎คู วามเขา๎ ใจ หลักการทฤษฎีทางการบริหารสถานศกึ ษา

องคป๑ ระกอบที่ 2 ภารกจิ และขอบขาํ ยงานวชิ าการในโรงเรียน
1. การพฒั นาหลักสตู ร

1.1 วเิ คราะห๑โครงสร๎างหลักสูตร สภาพแวดลอ๎ ม
1.2 พัฒนาและนาหลักสตู รสถานศึกษาไปใช๎
1.3 นเิ ทศการจัดการเรยี นการสอนของครูให๎ตรงตามหลักสตู รสถานศึกษา
1.4 สงํ เสริมใหค๎ รูทกุ คนมีสํวนรวํ มในการจัดทาหลกั สตู รสถานศกึ ษา
1.5 สํงเสรมิ การจัดการเรียนการสอนของครใู ห๎ตรงตามหลกั สตู รสถานศกึ ษา
1.6 ติดตาม ปรับปรงุ และพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา
1.7 มแี ผนงาน โครงการในการสํงเสริมการจดั กจิ กรรมเสรมิ หลักสูตรสถานศกึ ษา
2. การพฒั นากระบวนการเรียนร๎ู
2.1 จัดทาแผนการจัดการเรยี นร๎ู
2.2 ประเมนิ ผลการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
2.3 สงํ เสริมและพฒั นาครไู ด๎สอนตรงตามความรู๎และความถนัด
2.4 จัดกจิ กรรมตามความต๎องการและตรงตามศกั ยภาพของผ๎ูเรียน
2.5 พฒั นาการจัดการเรียนร๎ูท่เี น๎นผู๎เรียนเป็นสาคัญ
2.6 สํงเสริมพฒั นาครูใหอ๎ อกแบบการจัดการเรียนร๎ูได๎อยํางเหมาะสม
2.7 ตดิ ตาม นิเทศ และตรวจสอบการจัดการเรยี นรขู๎ องครู
2.8 รายงานผลการจัดการเรยี นรใู๎ หผ๎ ป๎ู กครองนกั เรยี นทราบ

139

3. การพฒั นาแหลํงเรยี นร๎ู
3.1 จัดหาหรอื พัฒนาแหลํงเรียนรใ๎ู นโรงเรียนเพื่อใช๎พัฒนาการเรียนรูข๎ องนกั เรยี น
3.2 สงํ เสริมการใช๎แหลํงเรียนรูท๎ ั้งภายในและภายนอกในการจดั การเรยี นการสอน
3.3 สํงเสรมิ การจดั การเรียนรู๎โดยครอบคลุมภูมปิ ญั ญาท๎องถน่ิ
3.4 ตดิ ตาม ประเมินผลการใชแ๎ หลงํ เรียนรทู๎ ้ังภายในและภายนอกสถานศกึ ษา

4. การพัฒนาสอื่ นวัตกรรม และเทคโนโลยเี พ่อื การศึกษา
4.1 จัดหาสื่อ นวัตกรรม และเทคโนโลยีการศึกษาใหเ๎ พียงพอตอํ ความต๎องการ
4.2 สํงเสริมให๎ครพู ัฒนาสือ่ นวตั กรรม และเทคโนโลยเี พ่ือการศกึ ษา
4.3 จดั เก็บสื่อ นวัตกรรมให๎เป็นระบบสะดวกตํอการใช๎งาน
4.4 ประเมินผลการพัฒนาส่ือ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพอ่ื การศึกษา
4.5 นิเทศ ติดตามการใช๎ส่ือ นวัตกรรม และเทคโนโลยีเพ่ือการศกึ ษาของครูอยาํ งตํอเน่ือง

5. การนเิ ทศการศึกษา
5.1 แตงํ ตั้งคณะกรรมการผู๎รับผิดชอบงานนเิ ทศการศกึ ษา
5.2 จาทาแผนงาน โครงการนิเทศการศึกษาอยํางชัดเจน
5.3 จัดระบบการนิเทศการศึกษาใหส๎ อดคล๎องกบั หลักสตู รสถานศกึ ษา
5.4 พฒั นาใหค๎ วามรูถ๎ ึงวธิ กี าร และเทคนคิ ในการนเิ ทศการศกึ ษา
5.5 ประเมินผลการนเิ ทศการศกึ ษา และนาขอ๎ มูลมาพฒั นา

6. การวจิ ัยเพ่ือพัฒนาคุณภาพการศึกษา
6.1 สํงเสริมใหค๎ รทู าวิจัยในชัน้ เรียน
6.2 สรา๎ งความตระหนักและความสาคญั ในการวิจัยในช้นั เรียนให๎แกํครู
6.3 กาหนดเกณฑใ๑ นการทาวิจัยในช้ันเรียน
6.4 ติดตาม ดแู ล ชวํ ยเหลอื ครูในการทาวิจยั ในช้นั เรียน
6.5 นาผลการวิจยั มาปรับปรุงพฒั นางานตํอไป

7. การประกันคณุ ภาพภายในสถานศึกษา
7.1 แตํงต้งั คณะกรรมการผูร๎ ับผิดชอบงานการประกันคุณภาพการศึกษาอยํางชดั เจน
7.2 วางแผนการพัฒนาคณุ ภาพการศึกษา กาหนดเกณฑ๑ เปา้ หมายความสาเรจ็

ตามมาตรฐานการศึกษาและตวั ชี้วัดของกรมสํงเสริมการปกครองสวํ นท๎องถนิ่
7.3 จดั ทาระบบการประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษา
7.4 ประสานความรวํ มมือกับผู๎มสี ํวนเกี่ยวขอ๎ งทกุ ฝา่ ยในการปรับปรุงและพัฒนา

ระบบประกนั คุณภาพภายในสถานศกึ ษา

140

7.5 พฒั นาระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศกึ ษาอยํางตํอเน่ือง
7.6 ตดิ ตาม ตรวจสอบระบบประกันคุณภาพภายในสถานศึกษา และนาผลมาพฒั นา
ปรบั ปรุงตอํ ไป
7.7 จดั ทาสรปุ รายงานระบบการประกันคุณภาพภายในสถานศกึ ษาทกุ ปี
8. การแนะแนวการศึกษา
8.1 สรา๎ งความรค๎ู วามเขา๎ ใจแกคํ รูในการจัดบรกิ ารแนะแนวการศึกษา
8.2 จัดระบบการแนะแนวทางวชิ าการ
8.3 ตดิ ตามและประเมนิ ผลการแนะแนวการศึกษา
8.4 สํงเสรมิ ใหค๎ รูนาผลการแนะแนวมาพฒั นางานแนะแนวตํอไป
8.5 จัดทาแผนงานโครงการแนะแนวการศกึ ษาอยาํ งชัดเจน
8.6 แตงํ ตงั้ คณะกรรมการผรู๎ ับผดิ ชอบงานแนะแนวการศึกษา
9. การวดั ผล ประเมนิ ผล และเทยี บโอนผลการเรียน
9.1 สงํ เสริมให๎ครวู ัดผลประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ
9.2 พัฒนาวธิ ีการและปรบั ปรงุ รูปแบบการวัดผลประเมนิ ผลใหเ๎ หมาะสม
9.3 จดั สรรทรัพยากร หรือจัดหาสารสนเทศเพ่ือสนับสนุนการวดั ผลประเมนิ ผล
อยํางมปี ระสิทธิภาพ
9.4 สํงเสรมิ ความร๎ใู ห๎ครูในการวัดผลประเมินผล
9.5 จัดทาระบบเพ่ือเกบ็ รวบรวมข๎อมลู การวัดผลประเมนิ ผลใหเ๎ ปน็ ปจั จุบัน
9.6 กาหนด ระเบียบ และแนวทางปฏบิ ตั ิในการวัดผลประเมินผล
9.7 แตงํ ตง้ั คณะกรรมการรับผิดชอบในการวัดผล ประเมินผล และเทยี บโอนผลการเรยี น
องคป๑ ระกอบที่ 3 กระบวนการบริหารงานวชิ าการ
1. แนวทางการบริหารงานวิชาการ
1.1 เปดิ โอกาสใหค๎ รูและผม๎ู ีสวํ นเกีย่ วข๎องรํวมวางแผนงานวิชาการรวํ มกัน
1.2 กาหนดนโยบาย เปา้ หมาย โครงสรา๎ ง และแนวทางการจัดการศกึ ษาอยาํ งชดั เจน
โดยสอดคล๎องกบั หลักสตู รสถานศกึ ษา
1.3 จดั ให๎มแี ผนปฏิบัตงิ านวิชาการ กาหนดงบประมาณ ระยะเวลา และผูร๎ บั ผิดชอบ
ในการดาเนินงานรวํ มกันตามความเหมาะสม และความถนดั ของแตลํ ะบุคคล
1.4 สํงเสรมิ การทางานเป็นทีม
2. การนาแผนงานวิชาการไปปฏบิ ัติ
2.1 พฒั นาความรู๎ครูอยํางตํอเนือ่ ง


Click to View FlipBook Version