คมู ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงของวัตถุและวัสดุ
เร่อื งท่ี 1 แยกออก ประกอบใหม
ในเรื่องน้ีนักเรียนจะไดเรียนรูเกี่ยวกับการแยกช้ินสวนยอย
ของวัตถุออกจากกนั แลว นาํ มาประกอบเปน วตั ถชุ ิน้ ใหม
จดุ ประสงคก ารเรยี นรู
อธิบายการเปล่ียนแปลงของวัตถุเมื่อมีการแยกออกและ
ประกอบข้นึ ใหม
เวลา 3 ช่ัวโมง
วสั ดุ อุปกรณสาํ หรบั ทํากจิ กรรม
ตัวตอรูปเรขาคณติ
สือ่ การเรยี นรูและแหลงเรียนรู หนา 4-9
หนา 4-8
1. หนังสือเรยี น ป.3 เลม 2
2. แบบบันทึกกิจกรรม ป.3 เลม 2
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 11
คมู ือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงของวัตถแุ ละวัสดุ
แนวการจัดการเรยี นรู (60 นาที) ในการตรวจสอบความรูเดิม
ครูเพียงรับฟงเหตุผลของนักเรียน
ขัน้ ตรวจสอบความรู (10 นาที) และยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ แต
1. ครูตรวจสอบความรูเดิมของนักเรียนเก่ียวกับการแยกชิ้นสวนของ ชักชวนใหนักเรียนหาคําตอบดวย
ตนเองจากการอา นเน้ือเรือ่ ง
วัตถุเดิมแลวประกอบเปนวัตถุใหม โดยใหนักเรียนสังเกตภาพเปล
จากน้นั ใหน กั เรียนอภิปรายตามแนวคําถามตอไปนี้
(ทม่ี า pixabay.com) ถ า นั ก เ รี ย น ไ ม ส า ม า ร ถ ต อ บ
คําถามหรืออภิปรายไดตามแนว
1.1 ถาเปลที่ทําดวยเชือกขาด เราสามารถแยกชิ้นสวนของเปล คําตอบ ครูควรใหเวลานักเรียนคิด
มาทําอะไรไดบาง (นักเรียนตอบตามความคิดเห็นของตนเอง อยางเหมาะสม รอคอยอยางอดทน
เชน ถกั เปนกระเปา สรอยขอ มือ พวงกญุ แจ) และรับฟงแนวความคิดของนกั เรียน
1.2 นักเรียนคิดวามีของเลนของใชอะไรอีกบางที่สามารถนํามา สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
แ ย ก ชิ้ น ส ว น แ ล ว ป ร ะ ก อ บ เ ป น ข อ ง เ ล น ข อ ง ใ ช ใ ห ม ไ ด
(นกั เรยี นตอบตามความคดิ เหน็ ของตนเอง)
2. ครูเช่ือมโยงความรูเดิมของนักเรียนสูการเรียนเรื่องแยกออก
ประกอบใหม โดยใชคําถามดังนี้ เราสามารถแยกชิ้นสวนของวัตถุ
เดมิ แลวประกอบเปน วตั ถชุ นิ้ ใหมไดอ ยา งไร
ขั้นฝก ทกั ษะจากการอา น (40 นาท)ี
3. นักเรียนอานชื่อเร่ือง และคําถามในคิดกอนอาน ในหนังสือเรียน
หนา 4 แลวรว มกันอภิปรายเพื่อหาคําตอบและนําเสนอ ครูบันทึก
คําตอบของนักเรียนบนกระดานเพ่ือใชเปรียบเทียบกับคําตอบ
ภายหลงั การอา นเน้อื เรือ่ ง
4. นักเรียนอานเนื้อเรื่องในหนังสือเรียนหนา 4 โดยครูฝกทักษะการ
อานตามวิธีการอานท่ีเหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน ครูใช
คําถามเพอ่ื ตรวจสอบความเขา ใจจากการอาน โดยใชคําถามดงั น้ี
4.1 ขา วตตู อ งการทําอะไร (สรางบา นใหส นุ ัข)
4.2 ขาวตใู ชว ัสดุอะไรสรา งบา น (ไมจ ากลงั ไมเ กา ของพอ)
12
คูมือครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยที่ 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถุและวัสดุ
4.3 ขาวตูและพอชวยกันสรางบานใหสุนัขอยางไร (ชวยกันแยก
ช้ินสว นไมจ ากลงั ไมแลวนาํ มาประกอบเปนบาน)
4.4 เพราะเหตุใดไมจากลังไมเกาจึงสามารถนํามาสรางบานให
สนุ ขั ได (เพราะไมนั้นยังมีแข็งแรงและสีสวย)
4.5 ไมที่เหลือจากการสรางบานใหสุนัข เราสามารถนํามาทํา
อะไรไดอ กี บาง (นาํ มาประกอบเปนเกาอ้ี ชิงชา รถลากของ)
4.6 นอกจากเกาอ้ี ชิงชา และรถลากของ เราสามารถนําชิ้นสวน
ไมท เ่ี หลือมาประกอบเปนอะไรไดอีกบาง (นักเรยี นตอบตาม
ความคิดเห็นของตนเอง)
ข้ันสรปุ จากการอาน (10 นาท)ี
5. นักเรียนรวมกันสรุปเร่ืองที่อานซึง่ ควรสรุปไดวา ไมจากลังไมเกาที่
ยงั มสี สี วยและแขง็ แรงสามารถนํามาแยกช้นิ สว นแลว ประกอบเปน
บา นใหส นุ ัขและวตั ถุตา ง ๆ ไดอ ีกหลายอยาง
6. นกั เรียนตอบคาํ ถามในรูหรอื ยงั ในแบบบนั ทึกกิจกรรมหนา 6
7. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพื่อเปรียบเทียบคําตอบของ
นักเรียนในรูหรือยัง กับคําตอบที่เคยตอบและบันทึกไวใน
คิดกอนอา น
8. ครชู กั ชวนนกั เรยี นตอบคําถามทา ยเรื่องที่อา น ดงั น้ี นอกจากลังไม
เกา แลว ยังมีวัตถอุ นื่ ท่สี ามารถนํามาแยกชิน้ สวนยอย แลว ทําเปน
วัตถุชิ้นใหมไดอีกหรือไม และทําไดอยางไร ครูบันทึกคําตอบของ
นักเรียนบนกระดานโดยยังไมเฉลยคําตอบ แตชักชวนใหนักเรียน
หาคําตอบจากการทาํ กิจกรรม
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 13
คูมอื ครูรายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงของวตั ถแุ ละวสั ดุ
การเตรยี มตวั ลวงหนา สําหรบั ครู
เพือ่ จดั การเรยี นรูใ นครง้ั ถัดไป
ในครั้งถัดไป นักเรยี นจะไดทาํ กิจกรรมท่ี 1 ทําวตั ถชุ ิน้ ใหมจ ากวัตถชุ นิ้ เดิมไดอยา งไร
โดยครเู ตรยี มตัวตอรปู เรขาคณติ ดังแบบเพื่อใชจ ัดการเรยี นการสอน
ตัวตอ รูปเรขาคณิต
การเตรียมตัวตอรูปเรขาคณิตครูอาจตัดตัวตอจากวัสดุตาง ๆ เชน แผนโฟมยางหรือ
แผนพลาสติกลูกฟูกหรือกระดาษจากกลองพัสดุ โดยใหมีรูปรางและมีสีสันเหมือนแบบ
(หากหาวสั ดทุ ีม่ สี เี หมือนแบบไมไดอาจใชวสั ดทุ มี่ สี อี นื่ ได)
5 cm 5 cm
5 cm 5 cm
10 cm
5 cm
10 cm
ตัวอยา งรปู แบบการตอตวั ตอ ครูควรฝก ตอ ใหไดดังรูป
14 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยที่ 3 การเปลยี่ นแปลงของวตั ถแุ ละวสั ดุ
แนวคําตอบในแบบบันทกึ กิจกรรม
แยกชิ้นสว นไมจ ากลังไมแลวนาํ มาประกอบเปนวัตถชุ ้นิ ใหม
เชน บา นสนุ ขั เกา อ้ี ชงิ ชา และวัตถอุ ่นื ๆ
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 15
คูมือครูรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลยี่ นแปลงของวตั ถุและวสั ดุ
กิจกรรมท่ี 1 ทาํ วตั ถชุ ิ้นใหมจ ากวัตถุชน้ิ เดมิ ไดอ ยางไร
กิ จ ก ร ร ม น้ี นั ก เ รี ย น จ ะ ไ ด ฝ ก ทั ก ษ ะ ก า ร สั ง เ ก ต
โดยสังเกตลักษณะของวัตถุที่ประกอบขึ้นใหมกับวัตถุเดิม
จากขอ มลู ที่ไดจ ากการสังเกต
เวลา 2 ชั่วโมง
จดุ ประสงคการเรียนรู
1. สังเกตและอธิบายการทาํ วัตถุช้นิ ใหมจากวตั ถุ
ชิน้ เดมิ
2. สงั เกตและเปรียบเทยี บลักษณะของวตั ถุ
เม่อื ประกอบขนึ้ ใหมก บั วัตถุเดิม
วสั ดุ อุปกรณสาํ หรบั ทํากจิ กรรม
สงิ่ ท่คี รูตองเตรียม/กลุม 1 ชุด
ตวั ตอ รูปเรขาคณิต
ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร ส่อื การเรียนรแู ละแหลงเรียนรู
S1 การสงั เกต 1. หนังสือเรยี น ป.3 เลม 2 หนา 5-9
S4 การจาํ แนกประเภท
S8 การลงความเหน็ จากขอมูล 2. แบบบนั ทกึ กิจกรรม ป.3 เลม 2 หนา 5-8
S13 การตคี วามหมายขอมูลและลงขอสรปุ
3. แอนเิ มชนั เรือ่ ง วตั ถปุ ระกอบดวยช้นิ สวนยอย ๆ
ทกั ษะแหง ศตวรรษท่ี 21
http://ipst.me/10937
C1 การสรางสรรค
C2 การคิดอยา งมีวจิ ารณญาณ
C4 การส่ือสาร
C5 ความรวมมือ
16 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงของวตั ถุและวสั ดุ
แนวการจดั การเรียนรู ในการทบทวนความรูพื้นฐาน
ค รู ค ว ร ใ ห เ ว ล า นั ก เ รี ย น คิ ด อ ย า ง
1. ครูทบทวนความรูพ้ืนฐานเก่ียวกับการนําช้ินสวนของวัสดุมาประกอบเปน เหมาะสม รอคอยอยางอดทน
วัตถุของใชตาง ๆ โดยยกตัวอยางวัตถุท่ีทํามาจากวัสดุชนิดเดียวหรือ นักเรียนตองตอบคําถามเหลานี้ได
หลายชนิดมาประกอบกัน เชน ริบบ้ินผา โมบาย ครูใหนักเรียนสังเกตวัตถุ ถูกตอง หากตอบไมไดหรือลืม
ทีละช้ินโดยเริ่มจากการสังเกตริบบิ้นผาที่ผูกกับกลองของขวัญ จากนั้น ครตู องใหความรูที่ถกู ตองทนั ที
นักเรยี นอภิปรายตามแนวคําถามดงั ตอ ไปนี้
1.1 วัตถุท่ีนกั เรยี นสงั เกตคอื อะไร (ริบบิ้น)
1.2 ริบบิ้นมีลักษณะเปนอยางไร (นักเรียนตอบลักษณะของริบบ้ินตามที่
สงั เกต เชน สชี มพู ผิวเรียบ)
1.3 ริบบิ้นมวี สั ดุก่ชี นดิ ประกอบกัน (วัสดุ 1 ชนดิ คือ ผา )
1.4 ถานักเรียนนําริบบ้ินผาไปทําเปนวัตถุอ่ืน ๆ จะทําเปนอะไรไดอีกบาง
(นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง เชน นํามาผูกผม นํามา
ประดษิ ฐเปนสรอ ยขอมอื หรอื ใชป ระกอบงานฝมอื ตาง ๆ )
นักเรียนสงั เกตโมบาย จากนั้นอภปิ รายตามแนวคําถามดังตอไปนี้
1.5 วัตถทุ ่นี ักเรยี นสังเกตคืออะไร (โมบาย) 17
1.6 โมบายมีลักษณะอยางไร (นักเรียนตอบตามลักษณะของโมบายท่ีครู
นาํ มาใหสังเกต เชน โมบายประกอบดวยไมแขวนหลายอัน ทไ่ี มแขวน
แตละอันประกอบดวยเชือกที่รอยกับกอนไหมพรม คําตอบอาจ
ตางจากน้ีขึ้นอยูกับโมบายที่ครูนํามาใหสังเกต เชน โมมายนั้นอาจ
ประกอบดวย แทง โลหะ กระดิ่ง เปลือกหอย ใบไม)
1.7 โมบายมวี ัสดุกีช่ นิดประกอบกัน อะไรบา ง (นกั เรยี นตอบตามลักษณะ
ของโมบายท่ีครูนาํ มาใหส ังเกต เชน โมบายประกอบดวยวัสดุ 3 ชนิด
คอื ไม เชือก และไหมพรม)
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวชิ าพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปล่ียนแปลงของวตั ถแุ ละวัสดุ
1.8 นกั เรยี นสามารถแยกวัสดุที่ใชทําโมบายไปประกอบเปน วัตถุใหมไดอีก ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรและ
หรือไม อยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง เชน นํา ทักษะแหงศตวรรษที่ 21
เชือกท่ีรอยกอนไหมพรมมามัดรวมกันและประดิษฐเปนสรอยคอหรือ
สรอ ยขอ มือ และนาํ ไมแขวนโมบายมาประดษิ ฐเ ปนไมแ ขวนเสื้อ) ที่นักเรียนจะไดฝก จากการทํากจิ กรรม
2. ครูเชื่อมโยงความรูพ้ืนฐานของนักเรียนเขาสูก ิจกรรมที่ 1 โดยใชคําถามดังนี้ S1 การสงั เกตเกย่ี วกบั ลักษณะของตัวตอ
การทําวัตถุช้ินใหมจากวัตถุช้ินเดิม เชน สรอยคอหรือสรอยขอมือทําจาก รปู เรขาคณิต
วัสดุท่ีแยกออกมาจากโมบายไดอยางไรบาง และวัตถุท่ีสรางขึ้นใหมจะมี
ลักษณะเหมอื นกับวตั ถชุ น้ิ เดิมหรือไม อยา งไร S4 การจําแนกประเภทของตัวตอ ท่มี ี
ชนิ้ สวนของตัวตอรปู เรขาคณิต
3. นักเรียนอานชื่อกิจกรรม และ ทําเปนคิดเปน และรวมกันอภิปรายเพื่อ
ตรวจสอบความเขาใจเก่ียวกับจุดประสงคในการทํากิจกรรม โดยใชคําถาม S8 การลงความเหน็ จากขอมูลเกยี่ วกบั
ดงั นี้ การตอ ตวั ตอใหเ ปนวัตถุรูปแบบใหม
3.1 กิจกรรมน้ีนักเรียนจะไดเรียนเร่ืองอะไร (การประกอบวัตถุชิ้นใหมจาก จากวัตถรุ ูปแบบเดิม
วตั ถชุ ิ้นเดมิ )
3.2 นักเรียนจะไดเรียนรูเร่ืองนี้ดวยวิธีใด (สังเกตลักษณะของวัตถุชิ้นเดิม
และสงั เกตลักษณะของวัตถุท่ีประกอบขึ้นจากชิ้นสวนของวสั ดชุ ิ้นเดิม)
3.3 เม่ือเรียนแลวนักเรียนจะทําอะไรได (สามารถอธิบายและเปรียบเทียบ
ลกั ษณะของวตั ถุชน้ิ ใหมทปี่ ระกอบข้นึ จากวัตถเุ ดมิ )
4. นกั เรียนบนั ทึกจุดประสงคลงในแบบบันทกึ กจิ กรรม หนา 5
5. นกั เรียนอานสงิ่ ท่ตี อ งใชใ นการทาํ กจิ กรรม
6. นักเรียนอานทําอยางไรทีละขอ โดยครูใชวิธีฝกอานท่ีเหมาะสมกับ
ความสามารถของนักเรียนในการฝกทักษะการอาน จากน้ันครูตรวจสอบ
ความเขาใจในการทํากิจกรรม จนนักเรียนเขาใจลําดับการทํากิจกรรม โดย
ใชคาํ ถามดงั นี้
6.1 นักเรียนตอ งสงั เกตอะไรเปนอนั ดับแรก (สงั เกตลกั ษณะของตวั ตอ แต
ละชน้ิ และนับจํานวนชิ้นสวนของตวั ตอทั้งหมด)
6.2 นักเรียนตองทําอะไรในลําดับตอไป (อภิปรายและบันทึกวาถา
นําช้ินสวนของตัวตอทั้งหมดมาตอเปนวัตถุรูปแบบใหมจะตอเปนวัตถุ
รปู ใดไดบ า ง)
6.3 เมือ่ นกั เรยี นบันทึกผลแลว ตองทําอยางไรตอไป (ตกลงรวมกนั วาจะตอ
ตัวตอรูปแบบใด จากน้ันเริ่มตอตัวตอแลววาดรูปตัวตอที่ตอเสร็จ
เรยี บรอยแลวลงในแบบบนั ทึกกิจกรรม)
6.4 เม่ือนักเรียนวาดภาพเสร็จเรียบรอยแลว ตองทําอยางไรตอไป
(รวมกันอภิปรายและเปรียบเทียบการประกอบตัวตอในรูปแบบใหม
18 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงของวัตถุและวสั ดุ
กับรูปแบบเดิม จากนั้นนําเสนอผลงานและอธิบายขั้นตอนการตอ ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรแ ละ
ตัวตอในรปู แบบใหม) ทักษะแหงศตวรรษที่ 21
7. เมื่อนักเรียนเขาใจวิธีการทํากิจกรรมในทําอยางไรแลว ครูแจกวัสดุ
อุปกรณ และใหน กั เรียนเรม่ิ ปฏบิ ตั ติ ามขน้ั ตอนการทาํ กิจกรรม ท่ีนักเรยี นจะไดฝกจากการทํากจิ กรรม
8. หลังจากทํากิจกรรมแลว ครูนําอภิปรายผลการทํากิจกรรม โดยใชคําถาม
ดังน้ี C1 การออกแบบการทาํ วตั ถุชิน้ ใหมจากการใช
8.1 วัตถุรูปแบบใหมท่ีนักเรียนประกอบมีรูปรางเปนอยางไร (นักเรียน ชิน้ สว นของวัตถเุ ดมิ
ตอบตามผลการทาํ กจิ กรรม เชน รูปรางคลายหา น เปด หรือนก)
8.2 ตัวตอท่ีนํามาตอเปนวัตถุดังกลาวมีกี่ชิ้น แตละช้ินมีลักษณะเปน C2 การคดิ โดยใชเ หตผุ ลทหี่ ลากหลายวิเคราะห
อยางไร (ตัวตอท้ังหมดมีจํานวน 7 ชิ้น มีรูปสี่เหลี่ยม 2 ชิ้น เปน และประเมนิ คําตอบทีน่ าจะเปน ไปไดเกย่ี วกับ
ส่ีเหลี่ยมดานขนานสีเขียว 1 ช้ินและสี่เหลี่ยมจัตุรัสสีสม 1 ชิ้น มีรูป การตอช้นิ สวนตวั ตอ เปนวตั ถุรปู แบบใหม
สามเหล่ียมทั้งหมด 5 ชิ้น เปนรูปสามเหลี่ยมขนาดใหญ 2 ช้ิน
สเี หลืองและสนี ํ้าเงิน รูปสามเหลยี่ มขนาดกลางสีเหลือง 1 ช้นิ และรปู C4 การนาํ เสนอขอมูลและอธิบายขน้ั ตอนการทํา
สามเหลยี่ มขนาดเล็ก 2 ชิน้ สนี าํ้ เงนิ และสแี ดง) วัตถชุ ิ้นใหมจ ากชน้ิ สว นของวตั ถุชนิ้ เดิมใหผ ูอ นื่
8.3 รูปแบบวัตถุช้ินใหมท่ีแตละกลุมตอเหมือนหรือแตกตางจากวัตถุชิ้น เขาใจ
เดิมอยางไร (คําตอบข้ึนอยูกบั รปู แบบวัตถุชนิ้ ใหมที่นักเรียนเลือกตอบ
โดยครอู าจเลือกตัวแทน 2-3 กลมุ ตอบคาํ ถาม) C5 การทํางานรวมกบั ผูอ ื่นเกย่ี วกบั การทําวัตถชุ น้ิ
8.4 การตอ ตวั ตอ ใหเ ปน วตั ถุรปู แบบใหมมขี ัน้ ตอนอยางไร ใหมจากวตั ถุช้นิ เดิม
(การตอ ตัวตอใหเปน วตั ถุรปู แบบใหมม ีขั้นตอน ดงั น้ี
ถ า ค รู พ บ ว า นั ก เ รี ย น ยั ง มี
1. แยกชนิ้ สวนตัวตอแตละชน้ิ ออกจากตวั ตอ รปู เดมิ ทใี่ หม า แนวคิดคลาดเคลื่อนเก่ียวกับ
2. เลอื กชิน้ สว นตวั ตอชนิ้ ทต่ี องการมาวางทีละชิ้นใหเ ปน รปู แบบ การประกอบวัตถุช้ินใหมจาก
วัตถุชิ้นเดิม ใหรวมกันอภิปราย
ใหมตามที่ตองการ) จนนกั เรยี นมีแนวคิดทีถ่ กู ตอง
9. ครูเปดโอกาสใหนักเรียนซักถามในสิ่งที่อยากรูเพ่ิมเติมเกี่ยวกับการประกอบวัตถุ
ช้ินใหมจากวัตถุช้ินเดิม จากนั้นรวมกันอภิปรายและลงขอสรุปวาวัตถุท่ี
ประกอบข้ึนจากชิ้นสวนตาง ๆ ซึ่งช้ินสวนนั้นอาจเหมือนหรือแตกตางกัน
เราสามารถแยกช้ินสวนเหลาน้ันและนําชิ้นสวนแตละชิ้นมาประกอบกัน
เปนวัตถชุ ้ินใหมไดห ลายรปู แบบ (S13)
10. นักเรียนตอบคําถามใน ฉันรูอะไร และรวมอภิปรายเพื่อใหไดแนวคําตอบ
ท่ถี ูกตอ ง
11. นักเรียนอา น สิ่งทไ่ี ดเรียนรู และเปรยี บเทยี บกบั ขอสรุปของตนเอง
12. ครกู ระตุนใหนักเรยี นฝกต้ังคําถามเก่ียวกบั เรื่องท่สี งสัยหรืออยากรเู พิ่มเติม
ใน อยากรูอีกวา จากนั้นครูอาจสุมนักเรียน 2 -3 คน นําเสนอคําถามของ
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 19
คมู ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวตั ถแุ ละวัสดุ
ตนเองหนาช้ันเรียน และใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเก่ียวกับคําถามที่
นาํ เสนอ
13. ครูนําอภิปรายเพ่ือใหนักเรียนทบทวนวาไดฝกทักษะกระบวนการทาง
วิทยาศาสตรแ ละทักษะแหง ศตวรรษท่ี 21 อะไรบางและในขน้ั ตอนใด
14. นักเรียนรวมกันอานรูอะไรในเร่ืองนี้ ในหนังสือเรียน หนา 8 ครูนํา
อภิปรายเพ่ือนําไปสูขอสรุปเก่ียวกับสิ่งที่ไดเรียนรูในเร่ืองน้ี จากน้ันครู
กระตุนใหนักเรียนตอบคําถามในชวงทายของเนื้อเร่ือง ซ่ึงเปนคําถามเพื่อ
เช่ือมโยงไปสูการเรียนเน้ือหาในบทถัดไป ดังนี้ “สมบัติของวัตถุและวัสดุ
ตาง ๆ สามารถการเปล่ียนแปลงไดหรือไม อยางไร” นักเรียนสามารถ
ตอบตามความเขาใจของตนเอง ซึ่งจะหาคําตอบไดจากการเรียนในบท
ตอ ไป
การเตรยี มตัวลว งหนาสําหรบั ครู
เพอื่ จัดการเรียนรูใ นครงั้ ถัดไป
ในคร้ังถัดไป นักเรียนจะไดเรียน
เรื่องที่ 2 รอนข้ึน เย็นลง โดยครูควร
เตรียมช็อกโกแลตมาใหนักเรียนสังเกต
2 แบบ คือ แบบที่ยังไมหลอมเหลว และ
แบบท่ีหลอมเหลว เพ่ือตรวจสอบความรู
เดมิ เก่ยี วกบั การเปล่ียนแปลงของวสั ดุ
20 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยที่ 3 การเปลีย่ นแปลงของวตั ถุและวสั ดุ
แนวคาํ ตอบในแบบบนั ทึกกจิ กรรม
สงั เกตและอธบิ ายการทาํ วตั ถุชิ้นใหมจากวัตถุชนิ้ เดิม
สงั เกตและเปรียบเทียบลกั ษณะของวตั ถเุ ม่ือประกอบข้ึนใหม
กับวตั ถเุ ดิม
บา น คาํ ตอบขึน้ อยกู บั ผลการทํากจิ กรรมของนกั เรียน เชน
กระตาย
แมว
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 21
คมู อื ครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงของวตั ถุและวสั ดุ
คาํ ตอบขึน้ อยกู บั ผลการทาํ กจิ กรรมของนักเรยี น เชน
บา น
22 สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยที่ 3 การเปลีย่ นแปลงของวัตถุและวสั ดุ
วตั ถุชิน้ ใหมเ หมือนกบั วตั ถุช้ินเดิม คือ ประกอบขึ้นมาจากชิ้นสวนเดยี วกนั ทง้ั หมด
วตั ถุช้ินใหมแ ตกตา งจากวัตถุชนิ้ เดมิ คือ ชนิ้ สวนของตัวตอแตล ะช้ินอยคู นละ
ตําแหนง และรปู รา งของวัตถทุ ี่ประกอบใหมแ ตกตา งจากวตั ถชุ ิ้นเดิม
ทาํ ไดโ ดยแยกชน้ิ สวนของวัตถุเดมิ ออกแลวนาํ ช้นิ สวนแตละชน้ิ
ไปตอ เปน วัตถใุ หม
วัตถุเดิมซึ่งประกอบดวยช้นิ สวนท่ีมีลักษณะทัง้ เหมือนและแตกตา งกัน
สามารถแยกช้ินสวนออกแลวนําช้นิ สวนแตละชิน้ ไปประกอบเปนวัตถุชิน้
ใหมท ่ีมีลักษณะแตกตา งไปจากเดิม
วัตถเุ ดิมท่ีประกอบดวยชิ้นสวนตาง ๆ ที่มีลักษณะเหมอื นหรือแตกตางกนั
สามารถแยกชิ้นสวนและนาํ ชิ้นสว นเหลา นั้นมาประกอบเปน วตั ถุชิน้ ใหมได
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 23
คมู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลีย่ นแปลงของวัตถแุ ละวสั ดุ
คาํ ถามของนักเรียนที่ต้ังตามความอยากรูของตนเอง
24 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวตั ถุและวสั ดุ
แนวการประเมินการเรียนรู
การประเมินการเรียนรขู องนักเรียนทาํ ได ดังนี้
1. ประเมนิ ความรูเ ดิมจากการอภปิ รายในชน้ั เรียน
2. ประเมินการเรียนรจู ากคาํ ตอบของนักเรียนระหวางการจัดการเรยี นรแู ละจากแบบบันทึกกิจกรรม
3. ประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรและทกั ษะแหงศตวรรษท่ี 21 จากการทํากิจกรรมของนักเรียน
การประเมินจากการทาํ กจิ กรรมที่ 1 ทําวัตถชุ ้ินใหมจ ากวัตถุชิน้ เดมิ ไดอยา งไร
รหสั สิง่ ที่ประเมนิ คะแนน
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
S1 การสงั เกต
S4 การจาํ แนกประเภท
S8 การลงความเห็นจากขอมูล
S13 การตีความหมายขอมูลและลงขอสรปุ
ทักษะแหงศตวรรษท่ี 21
C1 การสรางสรรค
C2 การคิดอยา งมีวจิ ารณญาณ
C4 การสื่อสาร
C5 ความรว มมือ
รวมคะแนน
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 25
คูม อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถุและวสั ดุ
ตาราง รายการประเมนิ และเกณฑการประเมินทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร
ทกั ษะกระบวนการ รายการประเมนิ เกณฑก ารประเมนิ
ทางวิทยาศาสตร
ดี (3) พอใช (2) ควรปรับปรุง (1)
สามารถสงั เกตโดยใช
S1 การสังเกต การสังเกตและ สามารถสังเกตโดยใช สามารถสังเกตโดยใช ประสาทสัมผสั เก็บ
รายละเอยี ดของขอมูล
บรรยาย รายละเอียด ประสาทสมั ผสั เก็บ ประสาทสัมผัสเก็บ และบรรยายเก่ยี วกับ
ลกั ษณะของวตั ถุชิ้นเดิม
เกี่ยวกบั ลักษณะของ รายละเอียดของขอมลู และ รายละเอียดของขอมลู และ และวัตถชุ ้ินใหมได
ถกู ตองเพยี งบางสว น
วัตถุชน้ิ เดิมและวัตถุ บรรยายเกีย่ วกบั ลักษณะ บรรยายเก่ียวกับลักษณะ แมวาจะไดรับคําช้แี นะ
จากครูหรือผูอน่ื
ชนิ้ ใหมโ ดยใช ของวัตถชุ ้นิ เดิมและวัตถุ ของวตั ถุชิ้นเดิมและวตั ถุ
ประสาทสมั ผสั ชนิ้ ใหมโดยสงั เกตไดถูกตอง ชิ้นใหมไดถกู ตองจากการ
ดว ยตนเอง โดยไมเพิ่ม ช้ีแนะของครูหรือผูอน่ื
ความคิดเห็น
S4 การจาํ แนก การกาํ หนดเกณฑและ สามารถกําหนดเกณฑและ สามารถกําหนดเกณฑและ สามารถจาํ แนกประเภท
ประเภท
จาํ แนกประเภท จําแนกประเภทชน้ิ สวนของ จาํ แนกประเภทชนิ้ สวนของ ชนิ้ สว นของตัวตอรูป
ชิน้ สวนของตัวตอรูป ตัวตอรูปเรขาคณิตออกเปน ตวั ตอรูปเรขาคณิตออกเปน เรขาคณิตออกเปนกลุม ได
เรขาคณติ ออกเปน กลุมไดถูกตองตามเกณฑท่ี กลมุ ไดถูกตองตามเกณฑที่ แตไมส ามารถบอกเกณฑ
กลุมตามเกณฑท่ี กาํ หนดดวยตนเอง กาํ หนดจากการชี้แนะของ ในการจําแนกไดแมวา จะ
กาํ หนด ครหู รือผูอื่น ไดร ับคาํ ชีแ้ นะจากครูหรือ
ผูอ่ืน
S8 การลงความ การลงความเห็นจาก สามารถลงความเหน็ จาก สามารถลงความเห็นจาก สามารถลงความเห็นจาก
เหน็ จากขอมูล ขอ มูลเกีย่ วกับการทาํ ขอ มูลท่ีไดจ ากการสังเกตได ขอมลู ท่ีไดจากการสังเกตได ขอ มลู ไดถ ูกตองเพียง
วตั ถุชน้ิ ใหมจากวตั ถุ ถกู ตองดว ยตนเองวาวัตถทุ ่ี ถูกตองจากการชีแ้ นะของ บางสวนแมจะไดร ับการ
ชิ้นเดิม ประกอบขนึ้ จากช้ินสว น ครหู รือผอู ื่นวา วัตถุที่ ชี้แนะของครูหรือผูอน่ื วา
ตา ง ๆ สามารถแยกชิ้นสวน ประกอบขน้ึ จากชิ้นสว น วัตถุท่ปี ระกอบข้ึนจาก
ออกและนําชนิ้ สวนท้ังหมด ตาง ๆ สามารถแยกช้ินสว น ช้ินสว นตาง ๆ สามารถ
นนั้ มาประกอบเปน วัตถุ ออกและนําช้นิ สวนทั้งหมด แยกช้ินสวนออกและนํา
ช้นิ ใหมได นนั้ มาประกอบเปนวตั ถุ ช้นิ สว นทัง้ หมดนั้นมา
ช้นิ ใหมได ประกอบเปนวัตถุชนิ้ ใหม
ได
26 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปล่ียนแปลงของวัตถุและวัสดุ
ทกั ษะกระบวนการ รายการประเมิน ดี (3) เกณฑการประเมิน ควรปรับปรงุ (1)
ทางวิทยาศาสตร สามารถตคี วามหมาย พอใช (2) สามารถตคี วามหมาย
ขอ มลู จากการสงั เกต ขอมลู จากการสงั เกต
S13 การตีความ การตคี วามหมาย การอภปิ ราย และลง สามารถตคี วามหมาย การอภิปราย และลง
ขอสรุปเกยี่ วกับการทํา ขอมูลจากการสงั เกต ขอ สรปุ เกี่ยวกับการทํา
หมายขอมลู ขอมลู จากการสังเกต วตั ถชุ นิ้ ใหมจากวตั ถุช้นิ การอภปิ ราย และลง วัตถชุ น้ิ ใหมจ ากวัตถุ
เดิมไดถูกตองดว ยตนเอง ขอ สรุปเกีย่ วกับการทํา ชิ้นเดิมไดถูกตองเพียง
และลง การอภิปราย และลง วาวตั ถุเดิมท่ปี ระกอบขึน้ วัตถุช้ินใหมจ ากวตั ถุช้นิ บางสว นแมว าจะได
จากชิ้นสวนตา ง ๆ สามารถ เดิมไดถกู ตองจากการ รับคาํ ชแ้ี นะจากครูหรือ
ขอสรุป ขอ สรปุ เกย่ี วกับการ แยกช้ินสว นออกและนํา ชีแ้ นะของครูหรือผูอน่ื วา ผูอื่นวาวตั ถุเดมิ ท่ี
ชิ้นสว นทงั้ หมดนนั้ มา วตั ถุเดิมท่ีประกอบขึน้ จาก ประกอบข้นึ จากช้ินสว น
ทาํ วตั ถชุ ้ินใหมจาก ประกอบเปน วตั ถุช้นิ ใหม ชิ้นสวนตา ง ๆ สามารถ ตา ง ๆ สามารถแยก
ได แยกชิน้ สว นออกและนํา ช้นิ สว นออกและนาํ
วตั ถชุ นิ้ เดมิ ชิ้นสว นท้งั หมดนนั้ มา ชน้ิ สว นทงั้ หมดนัน้ มา
ประกอบเปนวตั ถชุ ้ินใหม ประกอบเปน วตั ถุชิ้นใหม
ได ได
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 27
คูมอื ครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปล่ียนแปลงของวัตถแุ ละวัสดุ
ตาราง รายการประเมนิ และเกณฑการประเมนิ ทักษะแหง ศตวรรษท่ี 21
ทกั ษะแหง รายการประเมิน เกณฑก ารประเมิน
ศตวรรษที่ 21
การออกแบบการทาํ ดี (3) พอใช (2) ควรปรบั ปรุง (1)
C1 การ วัตถุชนิ้ ใหมจ ากวตั ถุ สามารถออกแบบ
สรา งสรรค ช้นิ เดิม รปู แบบของวตั ถชุ ิน้ สามารถออกแบบรูปแบบ สามารถออกแบบ
ใหมท่ที าํ จากวัตถุชน้ิ
เดิมไดด วยตนเอง ของวัตถุชิ้นใหมที่ทาํ จาก รปู แบบของวัตถุชิ้นใหม
วัตถุช้นิ เดมิ ไดโ ดยตองอาศยั ทีท่ ําจากวัตถชุ นิ้ เดมิ ได
การชี้แนะจากครหู รือผูอนื่ แตไ มสมบรู ณแ มว าจะได
รับคาํ ช้ีแนะจากครูหรือ
ผอู ื่น
C2 การคิดอยางมี การคดิ โดยใชเ หตผุ ล สามารถคิดโดยใช สามารถคดิ โดยใชเ หตผุ ลที่ สามารถคดิ โดยใชเหตผุ ล
เพยี งเหตผุ ลเดียว มา
วจิ ารณญาณ ทห่ี ลากหลาย เหตผุ ลท่ีหลากหลาย หลากหลาย วิเคราะหแ ละ วิเคราะหแ ละประเมนิ
คําตอบเก่ียวกับการ
วิเคราะหและประเมิน วเิ คราะหแ ละประเมิน ประเมนิ คําตอบทีน่ า จะ ตอ ชิน้ สวนตัวตอจาก
วตั ถเุ ดิมเปนวตั ถุรปู แบบ
คาํ ตอบทนี่ าจะเปนไป คําตอบท่นี าจะเปนไป เปน ไปไดเกยี่ วกบั การตอ ใหมไ ด โดยตองไดร บั
คําชีแ้ นะจากครูหรือ
ไดจ ากขอมูลที่มีดวย ไดเก่ียวกบั การตอ ชน้ิ สวนตวั ตอ จากวัตถุเดมิ ผอู น่ื
มมุ มองท่ีหลากหลาย ชน้ิ สวนตวั ตอ จากวตั ถุ เปน วตั ถุรปู แบบใหมจาก
เดิมเปนวตั ถุรปู แบบ ขอมูลท่ีมีดว ยมุมมองท่ี
ใหมจ ากขอมลู ทมี่ ีดวย หลากหลายไดถูกตองจาก
มุมมองที่หลากหลายได การชี้แนะของครูหรือผูอืน่
ถกู ตองดว ยตนเอง
C4 การส่อื สาร การนําเสนอขอ มูล สามารถนาํ เสนอขอ มลู สามารถนําเสนอขอมลู จาก สามารถนาํ เสนอขอ มลู
จากการอภิปราย จากการอภปิ ราย การอภปิ รายเปรียบเทยี บ จากการอภปิ ราย
เปรียบเทยี บลกั ษณะ เปรยี บเทียบลักษณะ ลักษณะของวตั ถุชน้ิ เดมิ กับ เปรยี บเทียบลกั ษณะ
ของวัตถุชน้ิ เดิมกบั ของวตั ถุชิ้นเดิมกับวัตถุ วัตถชุ ิน้ ใหม และอธบิ าย ของวัตถชุ น้ิ เดิมกับวัตถุ
วตั ถชุ ิ้นใหม และ ชิน้ ใหม และอธบิ าย ขน้ั ตอนการนําช้ินสว น ชิน้ ใหม และอธบิ าย
อธิบายขั้นตอนการ ขน้ั ตอนการนําชนิ้ สวน ทัง้ หมดจากวตั ถุช้นิ เดมิ มา ขั้นตอนการนาํ ช้ินสวน
นาํ ช้ินสวนท้ังหมด ทง้ั หมดจากวัตถชุ ิ้นเดิม ประกอบเปน วตั ถชุ นิ้ ใหมให ท้งั หมดจากวัตถุช้ินเดิม
จากวัตถุชิ้นเดิมมา มาประกอบเปนวัตถุ ผอู ืน่ เขา ใจไดถูกตอง โดย มาประกอบเปนวัตถุชิน้
ประกอบเปนวัตถุชิ้น ชนิ้ ใหมใ หผ อู ่ืนเขา ใจได ไดร ับการชแ้ี นะของครหู รือ ใหมใ หผอู ื่นเขาใจได
ใหมใ หผ ูอนื่ เขาใจ ถูกตอง ดว ยตนเอง ผูอ่ืน ถูกตองเพยี งบางสว น
28 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยที่ 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถแุ ละวัสดุ
ทักษะแหง รายการประเมนิ เกณฑการประเมิน ควรปรับปรุง (1)
ศตวรรษท่ี 21 ดี (3) พอใช (2) แมว า จะไดรับการชี้แนะ
การทาํ งานรว มกบั จากครูหรอื ผูอื่น
C5 ความรวมมือ ผอู ืน่ ในการอธิบาย สามารถทาํ งานรว มกับ สามารถทํางานรว มกับผูอน่ื
และแสดงความ ผูอ ืน่ ในการอธบิ ายและ ในการอธบิ ายและแสดง สามารถทํางานรวมกับ
คดิ เห็นเกยี่ วกบั การ แสดงความคดิ เห็น ความคิดเห็นเกยี่ วกับการ ผูอน่ื ในการอธิบายและ
ประกอบวัตถชุ นิ้ ใหม เกย่ี วกับการประกอบ ประกอบวัตถชุ ้ินใหมจ าก แสดงความคิดเห็น
จากวัตถชุ ้นิ เดิม วัตถชุ น้ิ ใหมจากวตั ถุ วตั ถชุ ิน้ เดิม รวมทั้งยอมรบั เก่ยี วกบั การประกอบ
รวมทั้งยอมรบั ความ ช้นิ เดมิ รวมทั้งยอมรับ ความคิดเห็นของผูอื่นใน วัตถชุ น้ิ ใหมจ ากวัตถุ
คิดเหน็ ของผอู ื่น ความคดิ เหน็ ของผูอนื่ บางชวงเวลาทที่ าํ กจิ กรรม ชิน้ เดมิ รวมทั้งยอมรับ
ตลอดชว งเวลาการทาํ ความคดิ เห็นของผูอนื่ ใน
กิจกรรม บางชวงเวลาที่ทํา
กิจกรรม ทง้ั น้ีตอ งอาศัย
การกระตนุ จากครหู รือ
ผูอ่ืน
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 29
คมู อื ครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวตั ถแุ ละวสั ดุ
เร่ืองที่ 2 รอนข้นึ เย็นลง
ในเรื่องน้ีนักเรียนจะไดเรียนรูเก่ียวกับการเปลี่ยนแปลงของ
วัสดุเมื่อทาํ ใหรอ นขนึ้ หรือเย็นลง
จุดประสงคก ารเรยี นรู
สังเกตและอธิบายการเปลีย่ นแปลงของวสั ดเุ มื่อทําใหรอนขึ้น
หรอื เย็นลง
เวลา 4 ช่วั โมง
วสั ดุ อปุ กรณสาํ หรบั ทํากจิ กรรม
พาราฟนหรือเศษเทียนเกา นํ้ามันหอมระเหย มีดพลาสติกปลายมน
ไมไอศกรีม แกวขนาดเล็ก เชือก ผาสําหรับทําความสะอาด บีกเกอร
เทอรมอมเิ ตอร ชดุ ตะเกียงแอลกอฮอล ขาต้งั พรอมที่จับหลอดทดลอง
สือ่ การเรยี นรูและแหลง เรียนรู
1. หนังสือเรียน ป.3 เลม 2 หนา 10-17
2. แบบบันทกึ กิจกรรม ป.3 เลม 2 หนา 9-12
30 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยที่ 3 การเปลย่ี นแปลงของวัตถุและวัสดุ
แนวการจัดการเรยี นรู (60 นาที) ในการตรวจสอบความรูเดิม
ครูเพียงรับฟงเหตุผลของนักเรียน
ข้ันตรวจสอบความรู (10 นาที) และยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ แต
ชักชวนใหนักเรียนไปหาคําตอบ
1. ครตู รวจสอบความรเู ดิมของนักเรียนเกีย่ วกับการเปลีย่ นแปลงของ ดวยตนเองจากการอา นเนอื้ เรอื่ ง
วสั ดุเมอ่ื ทําใหร อนข้ึนหรือเย็นลง โดยใหน ักเรยี นสังเกตชอ็ กโกแลต
ที่วางท้ิงไวในรถซ่ึงจอดกลางแดดกับช็อกโกแลตท่ีเพิ่งซื้อมา ถานักเรียนไมสามารถตอบ
(ชอ็ กโกแลตท่ไี มห ลอมเหลว) และใชแนวคาํ ถามดังน้ี คําถามหรืออภิปรายไดตามแนว
- ช็อกโกแลตที่วางท้ิงไวในรถมีรูปราง ลักษณะ และสมบัติ คําตอบ ครูควรใหเวลานักเรียน
เหมอื นเดมิ หรือไม อยา งไร (นกั เรียนตอบตามความคิดเห็นของ คิดอยางเหมาะสม รอคอยอยาง
ตนเอง) อดทน และรับฟงแนวความคิด
ของนักเรียน
2. ครูอธิบายเพิ่มเติมวา ถาวัสดุมีรูปราง ลักษณะ ขนาดหรือสมบัติ
แตกตางไปจากเดมิ แสดงวา วสั ดุนนั้ มกี ารเปลี่ยนแปลง จากนั้นครู
เชื่อมโยงความรูเดิมของนักเรียนสูการเรียนเรื่องรอนขึ้น เย็นลง
โดยใชคําถามวาเมื่อทําใหวัสดุรอนขึ้นหรือเย็นลงจะทําใหวัสดุ
เปล่ียนแปลงหรอื ไม อยา งไร
ขั้นฝกทกั ษะจากการอาน (40 นาท)ี
3. นักเรียนอานช่ือเร่ืองและคิดกอนอาน ในหนังสือเรียนหนา 10
จากนั้นรวมกนั อภิปรายเพ่ือหาแนวคาํ ตอบและนําเสนอ ครูบันทึก
คําตอบของนักเรียนบนกระดานเพื่อใชเปรียบเทียบกับคําตอบ
ภายหลังการอา นเน้อื เร่อื ง
4. นักเรยี นอา นเนอื้ เรื่องในหนงั สือเรยี นหนา 10 โดยครฝู ก ทกั ษะการ
อานตามวิธีการอานที่เหมาะสมกับความสามารถของนักเรียน ครูใช
คาํ ถามเพอ่ื ตรวจสอบความเขาใจจากการอา น โดยใชคําถามดงั นี้
4.1 แมข องขา วตูทาํ อะไร (ซอ้ื เคก ไอศกรมี )
4.2 พอ คา ทาํ อยา งไรเพ่ือใหแ มของขาวตูนําเคก ไอศกรีมกลับบาน
ได (บรรจุเคกไอศกรมี ลงในกลองโฟม)
4.3 เม่ือกลับถึงบานเคกไอศกรีมมีลักษณะอยางไร (เคกไอศกรีม
ยังคงสวยและนารบั ประทานเหมือนเดิม)
ข้ันสรปุ จากการอา น (10 นาที)
5. ครูใหนักเรียนรวมกันสรุปเร่ืองท่ีอานซ่ึงควรสรุปไดวา การบรรจุ
เคกไอศกรีมลงในกลองโฟมทําใหเคกไอศกรีมน้ันมีลักษณะ
สวยงามและนารบั ประทานเหมอื นเดิม
6. นักเรยี นตอบคาํ ถามในรหู รือยงั ในแบบบันทึกกิจกรรมหนา 9
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี 31
คูม อื ครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวตั ถุและวัสดุ
7. ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายเพื่อเปรียบเทียบคําตอบของ การเตรียมตัวลวงหนาสําหรับครู
นักเรียนในรูหรือยัง กับคําตอบที่เคยตอบและบันทึกไวใน เพือ่ จัดการเรยี นรใู นครง้ั ถดั ไป
คิดกอนอาน
ในคร้ังถัดไป นักเรียนจะไดทํา
8. ครูชักชวนนักเรียนตอบคําถามทายเร่ืองท่ีอาน คือ ถาไมนําเคก กิจกรรมท่ี 2 ความรอนมีผลตอวัสดุ
อยางไร ครูอาจจัดเตรียมวีดิทัศน
ไอศกรีมบรรจุลงในกลองโฟม เคกไอศกรีมจะเปนอยางไร เกี่ยวกบั การทําใหวสั ดรุ อนขนึ้ หรอื เย็นลง
เพ่ือใชในขน้ั นําเขาสบู ทเรียน ครสู ามารถ
ครูบันทึกคําตอบของนักเรียนบนกระดานโดยยังไมเฉลยคําตอบ ดาวนโหลดหรือเปดวีดิทัศนเก่ียวกับการ
เปาแกวไดจากสื่อที่อนุญาตใหใชไดฟรี
แตชักชวนใหน กั เรยี นหาคําตอบจากการทํากจิ กรรม แ ล ะ เ ต รี ย ม วั ส ดุ อุ ป ก ร ณ สํ า ห รั บ ทํ า
กิจกรรมโดยครูอาจมอบหมายงานให
นักเรียนนําอุปกรณบางอยางมาเอง เชน
แกวขนาดเล็ก เชือกที่ทําจากฝาย ไม
ไอศกรมี ผา สาํ หรบั ทําความสะอาด
32 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยที่ 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถุและวสั ดุ
แนวคาํ ตอบในแบบบนั ทกึ กจิ กรรม
นําเคก ไอศกรมี บรรจุลงในกลองโฟม
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 33
คูมอื ครูรายวชิ าพื้นฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงของวัตถุและวสั ดุ
กิจกรรมที่ 2 ความรอนมผี ลตอวัสดุอยางไร
กิจกรรมนี้นักเรียนจะไดฝกทักษะการสังเกต
โดยสงั เกตลักษณะและการเปลย่ี นแปลงของพาราฟนหรือ
เศษเทียนเกาเม่ือใหความรอนและหยุดใหความรอน
เพื่ออธิบายการเปล่ียนแปลงของวัสดุเม่ือทําใหรอนข้ึน
หรือเย็นลง
เวลา 3 ชว่ั โมง
จุดประสงคการเรียนรู ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร
สังเกตและอธิบายการเปล่ียนแปลงของวัสดุ S1 การสังเกต
S8 การลงความเห็นจากขอมูล
เม่ือทาํ ใหรอ นขึ้นหรอื เยน็ ลง S13 การตีความหมายขอมลู และลงขอสรปุ
วสั ดุ อุปกรณส ําหรับทาํ กจิ กรรม 1 กอ น ทักษะแหง ศตวรรษที่ 21 หนา 11-17
1 เลม หนา 10-12
สิง่ ที่ครูตอ งเตรียม/กลุม 1 อนั C4 การส่ือสาร
1 ใบ C5 ความรว มมือ
1. พาราฟนหรือเศษเทียนเกา
2. มีดพลาสติกปลายมน 1 ใบ สอื่ การเรยี นรูและแหลง เรียนรู
3. ไมไ อศกรมี 1 อัน
4. แกว ขนาดเล็ก 1 ชุด 1. หนังสือเรียน ป.3 เลม 2
5. บกี เกอร ขนาด 250 1 ชดุ 2. แบบบันทึกกจิ กรรม ป.3 เลม 2
1 ผืน
ลูกบาศกเ ซนติเมตร
6. เทอรม อมเิ ตอร 1 ขวด
7. ชุดตะเกียงแอลกอฮอล 1 มว น
8. ขาต้งั พรอมทจ่ี บั หลอดทดลอง
9. ผา สาํ หรับทําความสะอาด
สงิ่ ท่คี รูตองเตรียม/หอง
1. นาํ้ มันหอมระเหย
2. เชอื ก
34 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 การเปลีย่ นแปลงของวตั ถุและวัสดุ
แนวการจัดการเรียนรู ในการตรวจสอบความรูเดิม
ครูเพียงรับฟงเหตุผลของนักเรียน
1. ครูตรวจสอบความรูเดิมเก่ียวกับการเปล่ียนแปลงของวัสดุเม่ือทําใหรอนข้ึน และยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ แต
หรือเย็นลง โดยเปดวีดิทัศนเกี่ยวกับการทําใหวัสดุเปล่ียนแปลงเม่ือทําให ชักชวนใหนักเรียนไปหาคําตอบดวย
รอนขึ้น เชน การเปาแกว และใหนักเรียนสังเกตการเปลี่ยนแปลงของวัสดุ ตนเองจากการทาํ กจิ กรรม
จากน้ันนาํ อภปิ รายโดยใชคําถาม ดังนี้
1.1 วีดทิ ัศนท น่ี ักเรียนดูเปนเรื่องเกยี่ วกับอะไร (ขน้ึ อยกู ับวีดิทัศนที่ครูนํามา
ใหนักเรียนสังเกต เชน การเปาแกว )
1.2 แทงแกวมีการเปล่ียนแปลงอยางไร (ข้ึนอยูกับวีดิทัศนท่ีครูนํามาให
นักเรียนสังเกต เชน แทงแกวเปลี่ยนรูปรางจากท่ีเปนกอน ๆ
ทรงกระบอกสัน้ สสี ม คอย ๆ ยาวขน้ึ และมสี ว นโคงเวา ชวงกลาง จน
สุดทา ยมลี วดลายและรปู รางคลายมงั กรสีเขยี ว)
1.3 ข้ันตอนกอนทําแกวใหมีรูปรางตามที่ตองการเปนอยางไร (นําแทงแกว
ท่มี ลี ักษณะเปน กอนเขาเตาเผาเพ่ือใหความรอน)
1.4 แทงแกวที่มีลักษณะเปนกอนเปล่ียนแปลงรูปรางไดอยางไร (แทงแกว
เปลี่ยนแปลงรูปรางโดยการนําไปใหความรอนและใชเคร่ืองมือเพ่ือบีบ
บดิ ดดั ดึงแทง แกวใหมรี ูปรา งตามตองการ)
1.5 วัสดุเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปราง ลักษณะ หรือขนาดไดอยางไร
(นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง เชน การใหความรอน การ
บีบ การบดิ การดัด การดึง หรอื การทบุ )
2. ครูเช่ือมโยงความรูเดิมของนักเรียนเขาสูกิจกรรมที่ 2 โดยใชคําถามดังน้ี
จากวีดิทัศน นอกจากการกระทําตาง ๆ ท่ีทําใหวัสดุเกิดการเปล่ียนแปลง
แลว ยงั มวี ธิ ใี ดอกี บา งทีท่ าํ ใหวัสดุเกดิ การเปลย่ี นแปลงได
3. นักเรียนอานชื่อกิจกรรม และ ทําเปนคิดเปน จากน้ันรวมกันอภิปรายเพื่อ
ตรวจสอบความเขาใจเก่ียวกับจุดประสงคในการทํากิจกรรม โดยใช
แนวคาํ ถามดังนี้
3.1 กิจกรรมนี้นักเรียนจะไดเรียนเรื่องอะไร (การเปล่ียนแปลงของวัสดุเม่ือ
ทาํ ใหรอนข้ึนหรือเยน็ ลง)
3.2 นักเรียนจะไดเรียนรูเรื่องนี้ดวยวิธีใด (การสังเกตการเปล่ียนแปลงของ
วัสดุเม่ือทาํ ใหรอนขึน้ หรือเย็นลง)
3.3 เมื่อเรียนแลวนักเรียนจะทําอะไรได (สามารถอธิบายการเปลี่ยนแปลง
ของวสั ดเุ มื่อทําใหร อนขึน้ หรือเยน็ ลง)
4. นักเรียนบนั ทึกจดุ ประสงคลงในแบบบนั ทกึ กิจกรรม หนา 10
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 35
คูมอื ครรู ายวชิ าพ้ืนฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลย่ี นแปลงของวตั ถแุ ละวสั ดุ
5. นักเรียนอานส่ิงที่ตองใชในการทํากิจกรรม ถานักเรียนไมรูจักวัสดุอุปกรณ ขอ เสนอแนะเพิม่ เตมิ
บางอยาง ครูควรนําสิ่งนั้นมาแสดงใหดู หรือถานักเรียนไมรูวิธีการใช
อุปกรณ ครูควรแนะนําวัสดุ อุปกรณ และสาธิตวิธีการใชอุปกรณ เชน พาราฟน ครูควรเนนย้ําใหนักเรยี นระมดั ระวงั
เทอรมอมเิ ตอร ชดุ ตะเกียงแอลกอฮอล ขาต้ัง ที่จับหลอดทดลอง ในการทํากิจกรรมโดยใหสวมแวนตา
นิรภัยและไมควรหยิบจับภาชนะท่ีรอน
6. นักเรียนอานทําอยางไรทีละขอ โดยครูใชวิธีฝกอานที่เหมาะสมกับ ดวยมือเปลา รวมถึงชี้แจงใหนักเรียน
ความสามารถของนักเรียน จากน้ันครูตรวจสอบความเขาใจในการทํา ทราบถึงขอควรระวังสําหรับการใช
กิจกรรม จนนักเรียนเขาใจลําดับการทํากจิ กรรม โดยใชค าํ ถามดังนี้ เทอรมอมิเตอร ซ่ึงศึกษาไดจากหัวขอ
6.1 นักเรียนตองเตรียมอุปกรณอยางไร (ผูกเชือกกับไมไอศกรีมแลววาง เรียนรูอยางปลอดภัย ในหนังสือเรียน
ไมไอศกรีมพาดไวที่สวนบนของภาชนะ ตัดปลายเชือกดานลางใหยาว หนา 12
พอดกี บั ความสูงของภาชนะ
6.2 ลําดับตอ ไปนกั เรยี นตองทําอะไร (สังเกตกอนพาราฟน แลวอภิปรายวา ถานักเรียนไมสามารถตอบคําถาม
ถานํากอนพาราฟนมาห่ันเปนชิ้นเล็ก ๆ แลวนําไปใหความรอน หรืออภิปรายไดตามแนวคําตอบ ครู
พาราฟน จะเปล่ียนแปลงหรอื ไมอ ยางไร บันทกึ ผล) ค ว ร ใ ห เ ว ล า นั ก เ รี ย น คิ ด อ ย า ง
6.3 เมื่อบันทึกผลแลว นักเรียนตองทําอยางไรตอไป (นํากอนพาราฟนมา เหมาะสม รอคอยอยางอดทน และ
ห่ันเปนช้นิ เล็ก ๆ แลวบรรจลุ งในบกี เกอร สงั เกตลักษณะของพาราฟน รับฟงแนวความคิดของนักเรียน
และวัดอณุ หภมู ิกอ นใหความรอ นแกพาราฟน บันทึกผล)
6.4 เราจะใชอุปกรณอะไรเพื่อใหความรอนแกพาราฟน (ตะเกียง ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
แอลกอฮอล) และทักษะแหงศตวรรษที่ 21
6.5 ขณะใหความรอนแกพาราฟน นักเรียนตองทําอะไรบาง (วัดอุณหภูมิ
ของพาราฟนทุก ๆ 3 นาที โดยใชเทอรมอมิเตอร และสังเกตการ ท่ีนักเรยี นจะไดฝกจากการทํากจิ กรรม
เปล่ียนแปลงของพาราฟน บันทกึ ผล) S1 การสังเกตและบรรยายลกั ษณะของ
6.6 เม่ือหยุดใหความรอนแกพาราฟนแลวตองทําอยางไรตอไป (นําน้ํามัน
หอมระเหยผสมกับพาราฟน แลวเทพาราฟนที่ผสมน้ํามันหอมระเหย พาราฟน เม่อื ทําใหรอนขน้ึ หรือเย็นลง
แลวลงในภาชนะท่ีเตรียมไว สังเกตการเปลี่ยนแปลงของพาราฟนและ S8 การลงความเหน็ จากขอมูลเกย่ี วกบั
บนั ทกึ ผล)
การเปลีย่ นแปลงของพาราฟน เม่อื ทาํ
7. นักเรียนรวมกันอานเกร็ดนารู เก่ียวกับวิธีใชเทอรมอมิเตอร ในหนังสือเรียน ใหร อ นขน้ึ หรือเยน็ ลง
หนา 13-14
8. เม่ือนักเรียนเขาใจวิธีการทํากิจกรรมในทําอยางไรแลว ครูแจกวัสดุอุปกรณ
และใหน ักเรียนเริม่ ปฏิบัตติ ามข้ันตอนของกจิ กรรม
9. หลังจากทํากิจกรรมแลว ครูนําอภิปรายผลการทํากิจกรรม โดยใชคําถาม
ดังนี้
9.1 ลักษณะของพาราฟนกอนใหความรอนเปนอยางไร (พาราฟนมี
ลกั ษณะเปนกอนแข็งสขี าวขุน ผวิ ลื่น)
36 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 การเปลีย่ นแปลงของวัตถุและวัสดุ
9.2 อณุ หภมู ขิ องพาราฟน กอนใหความรอนมคี าเทาไร (คําตอบเปน ไปตาม ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตรและ
คา อุณหภมู ิทีน่ กั เรียนวัดได) ทักษะแหงศตวรรษที่ 21
9.3 หลังจากใหความรอนอุณหภูมิของพาราฟนมีการเปลี่ยนแปลงอยา งไร ท่ีนักเรยี นจะไดฝกจากการทํากจิ กรรม
(อณุ หภมู ิของพาราฟนสูงขึ้น) C4 การนําเสนอขอมูลจากการสังเกต
9.4 ลักษณะของพาราฟนขณะใหความรอนเปนอยางไร (กอนพาราฟน และอภิปรายเก่ียวกับลักษณะของ
คอย ๆ หลอมเหลว) พาราฟน เม่ือทําใหรอนขึน้ หรือเย็น
หมายเหตุ นักเรียนอาจตอบวา กอนพาราฟนละลาย ครูใหความรู ลงใหผ ูอ น่ื เขา ใจ
เพ่ิมเติมแกนักเรียนวา ขณะท่ีใหความรอนแกกอนพาราฟนแลวกอน C5 การทํางานรว มกับผูอื่นแล ะ
พาราฟนคอย ๆ เปล่ียนแปลงเปนของเหลว เรียกวา เกิดการ แสดงความคิดเห็นเก่ียวกับการ
หลอมเหลว เปล่ียนแปลงของพาราฟนเมื่อทํา
ใหร อ นขึน้ หรือเยน็ ลง
9.5 หลงั จากเทพาราฟนลงในภาชนะทเี่ ตรียมไว แลว วางไวใหเ ยน็ พาราฟน
มีลักษณะเปนอยางไร (พาราฟนจะเปล่ียนจากเหลวเปน แขง็ สขี าวขุน ถ า ค รู พ บ ว า นั ก เ รี ย น ยั ง มี
มีผวิ เรียบและมกี ล่นิ ของนา้ํ มันหอมระเหย) แนวคิดคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับ
ความรอนท่ีมีผลตอวัสดุ ให
9.6 ลักษณะของพาราฟนมีการเปลี่ยนแปลงอยางไรบาง (กอนให รวมกันอภิปรายจนนักเรียนมี
ความรอน พาราฟนมีลักษณะเปนกอนเล็ก ๆ สีขาวขุน ขณะใหความ แนวคดิ ทีถ่ กู ตอ ง
รอน พาราฟนมีการเปลี่ยนแปลงจากกอนเล็ก ๆ คอย ๆ หลอมเหลว
และเมื่อเทพาราฟนท่ีหลอมเหลวลงในภาชนะท่ีเตรียมไว แลววางท้ิง
ไวใ หเยน็ พาราฟนจะเปล่ียนแปลงจากเหลวคอย ๆ แขง็ ตัว)
9.7 นักเรียนคิดวาสิ่งท่ีไดจากการทํากิจกรรมสามารถนําไปใชประโยชน
อยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจของตนเอง เชน ใชทําเปน
เทยี นเพื่อใหค วามสวาง หรือใชเปน ส่ิงของประดับตกแตงหอง)
10. ครเู ปดโอกาสใหน กั เรยี นซักถามในส่ิงท่ีอยากรเู พ่ิมเติมเกี่ยวกับความรอนที่
มีผลตอวัสดุ จากนั้นรวมกันอภิปรายและลงขอสรุปวาเม่ือทําใหวัสดุรอน
ขึ้นหรือเย็นลง วัสดุน้ันอาจเกิดการเปล่ียนแปลงรูปรางและลักษณะได
(S13)
11. นักเรียนตอบคําถามใน ฉันรูอะไร และรวมกันอภิปรายเพื่อใหไดแนว
คําตอบท่ีถกู ตอง
12. นกั เรียนสรุปสิ่งทไ่ี ดเรยี นรูในกิจกรรมนี้ จากนั้นครใู หน ักเรียนอา น สง่ิ ทีไ่ ด
เรยี นรู และเปรยี บเทียบกับขอสรปุ ของตนเอง
13. ครูกระตุน ใหน ักเรยี นฝกต้ังคําถามเกี่ยวกับเรื่องทีส่ งสัยหรืออยากรูเพ่ิมเติม
ใน อยากรูอีกวา จากน้ันครูอาจสุมนักเรียน 2-3 คน นําเสนอคําถามของ
ตนเองหนาชั้นเรียน และใหนักเรียนรวมกันอภิปรายเกี่ยวกับคําถามที่
นําเสนอ
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 37
คูม ือครูรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลยี่ นแปลงของวัตถแุ ละวสั ดุ
14. ครูนําอภิปรายเพื่อใหนักเรียนทบทวนวาไดฝกทักษะกระบวนการ
ทางวทิ ยาศาสตรและทกั ษะแหง ศตวรรษที่ 21 อะไรบางและในขนั้ ตอนใด
15. นักเรียนรวมกันอานรูอะไรในเรื่องน้ี ในหนังสือเรียน หนา 16-17 ครูนํา
อภิปรายเพื่อนําไปสูขอสรุปเก่ียวกับส่ิงที่ไดเรียนรูในเร่ืองน้ี จากน้ันครู
กระตุนใหนักเรียนตอบคําถามในชวงทายของเน้ือเรื่องวา เรารูแลววาวสั ดุ
บางอยางเปลี่ยนแปลงเน่ืองจากการทําใหรอนขึ้นหรอื เย็นลง นอกจากวธิ ี
ดั ง ก ล า ว ยั ง มี วิ ธี ใ ด อี ก บ า ง ที่ จ ะ ทํ า ใ ห วั ส ดุ มี ก า ร เ ป ล่ี ย น แ ป ล ง แ ล ะ
เปล่ียนแปลงอยางไร ใหน ักเรยี นรว มกนั อภิปรายเพ่ือหาแนวทางการตอบ
คําถาม ซ่ึงครคู วรเนนใหน ักเรยี นตอบคําถามพรอมอธบิ ายเหตุผลประกอบ
และนักเรียนจะไดไปรวมกันหาคําตอบที่ถูกตองจากการเรียนหนวยท่ี 4
แรงในชวี ิตประจําวันตอ ไป
38 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 การเปลยี่ นแปลงของวตั ถุและวัสดุ
แนวคาํ ตอบในแบบบันทกึ กจิ กรรม
สงั เกตและอธิบายการเปลีย่ นแปลงของวสั ดเุ ม่อื ทําให
รอ นข้นึ หรือเย็นลง
คําตอบขึน้ อยูกบั การอภปิ รายรว มกันของนกั เรยี น
กอนแข็ง สีขาวขนุ คําตอบข้ึนอยูกับ
ผิวลน่ื ผ ล ก า ร ทํ า กิ จ ก ร ร ม
ของนักเรยี น
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 39
คมู อื ครูรายวชิ าพนื้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลยี่ นแปลงของวตั ถแุ ละวัสดุ
เหลวใส คาํ ตอบขน้ึ อยูกบั
ผ ล ก า ร ทํ า กิ จ ก ร ร ม
ของนกั เรยี น
อณุ หภมู ิของพาราฟนหลังใหค วามรอ นสงู กวาอณุ หภูมขิ องพาราฟน
กอ นใหค วามรอ น
พาราฟน จะเปลย่ี นจาก
เหลวเปนแขง็ และเปล่ียนจากใสเปน ขนุ
แตกตางกนั พาราฟนกอนใหค วามรอนเปน กอนแข็งสขี าวขุน
สว นพาราฟนขณะใหค วามรอน พาราฟนจะเหลวและใส
40 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยที่ 3 การเปลยี่ นแปลงของวตั ถแุ ละวัสดุ
พาราฟนเม่ือเย็นลงจะเกิดการเปลี่ยนแปลง โดยเปล่ียนจากพาราฟน
เหลวเปนพาราฟน ทแ่ี ขง็ ขึ้น และเปล่ยี นจากพาราฟน ใสเปนพาราฟนขนุ
ความรอนมีผลทําใหพาราฟนมีลักษณะเปล่ียนแปลงไป โดยเปล่ียนจาก
พาราฟนท่ีเปนกอนแข็งสีขาวขุนคอย ๆ เหลว ใส และเมื่อวางท้ิงไวให
เยน็ พาราฟนจะแข็งข้ึนและขุน
วสั ดุนัน้ อาจจะเกิดการเปลีย่ นแปลงรูปรางและลักษณะเมอ่ื ทําใหว ัสดุ
รอ นข้นึ หรอื เยน็ ลง
คาํ ถามของนกั เรยี นท่ีต้ังตามความอยากรขู องตนเอง 41
สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพน้ื ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปล่ียนแปลงของวตั ถุและวัสดุ
แนวการประเมินการเรียนรู
การประเมินการเรียนรขู องนกั เรียนทําได ดังน้ี
1. ประเมินความรูเดิมจากการอภิปรายในช้ันเรยี น
2. ประเมินการเรยี นรูจากคําตอบของนักเรียนระหวา งการจดั การเรยี นรูและจากแบบบันทึกกจิ กรรม
3. ประเมนิ ทกั ษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรและทกั ษะแหงศตวรรษที่ 21 จากการทาํ กจิ กรรมของนักเรยี น
การประเมนิ จากการทาํ กิจกรรมที่ 2 ความรอ นมีผลตอ วสั ดอุ ยา งไร
รหัส สง่ิ ทปี่ ระเมิน คะแนน
ทกั ษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
S1 การสังเกต
S8 การลงความเห็นจากขอมูล
S13 การตีความหมายขอ มลู และลงขอสรปุ
ทักษะแหงศตวรรษที่ 21
C4 การสื่อสาร
C5 ความรวมมอื
รวมคะแนน
42 สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครูรายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงของวตั ถุและวสั ดุ
ตาราง รายการประเมินและเกณฑการประเมนิ ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตร
ทกั ษะกระบวนการ รายการประเมนิ ดี (3) เกณฑก ารประเมิน ควรปรบั ปรุง (1)
ทางวิทยาศาสตร พอใช (2)
S1 การสังเกต การบรรยาย สามารถใชป ระสาทสมั ผสั สามารถใชป ระสาทสัมผสั สามารถใชป ระสาท
รายละเอียดเกีย่ วกบั การ เกบ็ รายละเอยี ดของ เก็บรายละเอียดของขอมลู สัมผสั เกบ็ รายละเอยี ด
เปลีย่ นแปลงของวัสดุ ขอ มลู เก่ยี วกบั ลักษณะ เกี่ยวกบั ลักษณะของ ของขอ มลู เกย่ี วกับ
เมอ่ื ทาํ ใหรอนข้นึ หรอื ของพาราฟน กอนให พาราฟน กอ นใหค วามรอน ลกั ษณะของพาราฟน
เยน็ ลง ความรอน ขณะใหความ ขณะใหค วามรอน และเมื่อ กอ นใหความรอ น ขณะ
รอ น และเมื่อเย็นลงได เยน็ ลงไดถูกตอ ง ครบถวน ใหความรอน และเม่ือ
ถูกตองครบถว นดว ย จากการชแ้ี นะของครหู รือ เยน็ ลงไดเพยี งบางสว น
ตนเอง โดยไมเ พ่มิ ความ ผอู น่ื แมวา จะไดร ับคําช้แี นะ
คิดเห็น จากครหู รือผูอ่ืน
S8 การลงความ การลงความเห็นจาก สามารถลงความเหน็ จาก สามารถลงความเห็นจาก สามารถลงความเหน็ จาก
เห็นจากขอมูล ขอมูลเก่ยี วกับการ ขอ มลู ที่ไดจ ากการสังเกต ขอมลู ที่ไดจ ากการสังเกต ขอมูลที่ไดจากการสังเกต
เปล่ยี นแปลงของวสั ดุ ไดอยา งถูกตองดวยตนเอง ไดอ ยา งถูกตองจากการ ไดแตไมครบถวนแมจะ
เมื่อทาํ ใหร อนขน้ึ หรอื วาเมอ่ื ทําใหว สั ดรุ อนขน้ึ ชีแ้ นะของครหู รือผอู ่นื วา ไดรับการชแี้ นะของครู
เย็นลง หรือเยน็ ลง วสั ดนุ ัน้ อาจ เม่ือทาํ ใหวสั ดุรอ นขนึ้ หรือ หรอื ผอู ืน่ วาเมื่อทําให
เกดิ การเปลี่ยนแปลง เยน็ ลง วสั ดุนัน้ อาจเกิด วสั ดรุ อนขนึ้ หรือเย็นลง
รูปรางและลกั ษณะได การเปลย่ี นแปลงรปู รา ง วัสดุนนั้ อาจเกิดการ
และลักษณะ เปล่ยี นแปลงรปู รางและ
ลักษณะ
S13 การตคี วาม การตคี วามหมายขอมลู สามารถตีความหมาย สามารถตีความหมาย สามารถตคี วามหมาย
หมายขอ มูลและลง จากการสงั เกต ขอมลู จากการสงั เกตและ ขอ มูลจากการสงั เกตและ ขอมลู จากการสงั เกต
ขอสรุป การอภิปราย และลง การอภปิ รายเกย่ี วกับ การอภปิ รายเกยี่ วกบั และและการอภิปราย
ขอ สรุปเกี่ยวกับการ การเปลีย่ นแปลงของวสั ดุ การเปล่ยี นแปลงของวัสดุ เก่ียวกบั การเปลี่ยนแปลง
เปลยี่ นแปลงของวสั ดุ เม่อื ทําใหรอ นขนึ้ หรือ เมื่อทาํ ใหร อนขนึ้ หรอื ของวสั ดเุ ม่ือทําใหร อน
เมื่อทาํ ใหรอนข้ึนหรือ เยน็ ลงได และลงขอสรปุ เยน็ ลงและลงขอสรปุ ได ข้นึ หรือเยน็ ลงไดเพยี ง
เย็นลง ไดถูกตอง สมบรู ณด วย ถูกตองสมบูรณจากการ บางสว น และลงขอสรุป
ตนเอง ชแ้ี นะของครูหรือผอู ่นื ไดไ มสมบรู ณแ มวา จะได
รับคําชแี้ นะจากครูหรือ
ผอู ื่น
สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 43
คูมอื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงของวัตถุและวัสดุ
ตาราง รายการประเมนิ และเกณฑการประเมินทักษะแหงศตวรรษท่ี 21
ทักษะแหง รายการประเมนิ เกณฑก ารประเมนิ
ศตวรรษท่ี 21
C4 การสื่อสาร ดี (3) พอใช (2) ควรปรบั ปรงุ (1)
C5 ความรวมมือ การนาํ เสนอขอมูล สามารถนําเสนอขอ มลู สามารถนาํ เสนอขอ มูลจาก สามารถนาํ เสนอขอ มลู
จากการสงั เกตและ จากการสังเกตและจาก การสงั เกตและจากการ จากการสังเกตและจาก
จากการอภปิ ราย การอภิปรายเก่ยี วกับ อภิปรายเก่ียวกับลักษณะของ การอภปิ รายเกี่ยวกับ
เกยี่ วกับลักษณะ ลักษณะของพาราฟน พาราฟนกอนใหความรอน ลกั ษณะของพาราฟน
ของพาราฟน กอน กอ นใหความรอน ขณะ ขณะใหความรอน และเมอ่ื กอ นใหความรอน ขณะ
ใหความรอ น ขณะ ใหความรอน และเม่ือ เย็นลงใหผ อู ื่นเขา ใจไดอยาง ใหความรอน และเมื่อ
ใหค วามรอ น และ เยน็ ลงใหผูอ่ืนเขาใจได ถูกตอง โดยไดรับการชแี้ นะ เยน็ ลงไดถ ูกตองเพียง
เมื่อเยน็ ลงใหผูอืน่ อยางถูกตองดว ย ของครูหรือผูอืน่ บางสวน แมวา จะได
เขาใจได ตนเอง รับคาํ ชแ้ี นะจากครหู รือ
ผอู ่ืน
การทาํ งานรวมกับ สามารถทาํ งานรวมกับ สามารถทํางานรวมกบั ผูอน่ื สามารถทาํ งานรว มกับ
ผูอ ่ืน และการแสดง ผูอ่ืนในการอภปิ ราย ในการอภปิ รายและแสดง ผอู น่ื ในการอภปิ รายและ
ความคดิ เหน็ และแสดงความคดิ เห็น ความคิดเหน็ เกย่ี วกบั การ แสดงความคดิ เห็น
เก่ียวกบั การ เกี่ยวกบั การ เปลี่ยนแปลงของวสั ดุเมือ่ ทํา เกยี่ วกับการเปล่ียนแปลง
เปลยี่ นแปลงของ เปลีย่ นแปลงของวสั ดุ ใหร อนข้ึนหรือเยน็ ลงได ของวัสดเุ มื่อทาํ ให
วัสดุเม่อื ทาํ ใหร อน เม่อื ทําใหรอนข้นึ หรอื รวมท้งั ยอมรับความคิดเหน็ รอนขึ้นหรือเย็นลง
ข้นึ หรอื เย็นลงได เย็นลงได รวมทั้ง ของผูอนื่ ในบางชวงเวลาของ รวมทั้งยอมรบั ความ
รวมทั้งยอมรับ ยอมรบั ความคดิ เหน็ การทํากจิ กรรม คดิ เห็นของผูอ ื่นบาง
ความคดิ เห็นของ ของผูอน่ื ตงั้ แตเ ริ่มตน ชว งเวลาที่ทํากิจกรรม
ผูอ นื่ จนสาํ เร็จ ทง้ั น้ีตองอาศยั การ
กระตนุ จากครูหรือผอู ืน่
44 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยที่ 3 การเปล่ยี นแปลงของวัตถุและวัสดุ
กิจกรรมทา ยบทท่ี 1 การทาํ ใหวัตถแุ ละวสั ดุเปลี่ยนแปลง (1 ชวั่ โมง)
1. นักเรียนวาดรูปหรือเขียนสรุปสิ่งท่ีไดเรียนรูจากบทนี้ ในแบบบันทึกกิจกรรม
หนา 13
2. นักเรียนตรวจสอบการสรุปส่ิงท่ีไดเรียนรูของตนเองโดยเปรียบเทียบกับ
แผนภาพในหวั ขอ รูอะไรในบทนี้ ในหนงั สือเรียน หนา 18
3. นักเรียนกลับไปตรวจสอบคําตอบของตนเองในสํารวจความรูกอนเรียน ใน
แบบบันทึกกิจกรรม หนา 2-3 อีกครั้ง ถาคําตอบของนักเรียนไมถูกตองใหขีด
เสนทับขอความเหลานั้น แลวแกไขใหถูกตอง นอกจากนี้ครูอาจนําคําถามใน
รูปนําบทในหนงั สือเรียน หนา 2 มารวมกนั อภิปรายคําตอบอีกครัง้ ดังน้ี
“ยังมีของเลนของใชอ่ืนอีกหรือไม ที่สามารถนํามาแยกชิ้นสวนแลวนํามา
ประกอบกันเปนวัตถุชิ้นใหมได” ครูและนักเรียนรวมกันอภิปรายแนวทางการ
ตอบคําถาม เชน มีของเลนของใชอีกมากมายท่ีสามารถนํามาแยกช้ินสว นแลว
ประกอบเปนวัตถุช้ินใหมได เชน ของเลนตัวตอ บลอกไม ช้ินสวนของรถยนต
ท่ีไมใชแลว หรือช้ินสวนของของใชท่ีสามารถแยกสวนประกอบออกมาแลว
นาํ มาประดษิ ฐเ ปน ของเลน ของใชห รือของประดับตกแตงแบบอืน่
4. นักเรียนทํา แบบฝกหัดทายบทท่ี 1 การทําใหวัตถุและวัสดุเปลี่ยนแปลง
จากนั้นนําเสนอคําตอบหนาชั้นเรียน ถาคําตอบยังไมถูกตองครูควรนํา
อภปิ รายหรอื ใหสถานการณเ พิ่มเตมิ เพอ่ื แกไขแนวคิดคลาดเคล่ือนใหถูกตอ ง
5. นักเรียนรวมกันทํากิจกรรม รวมคิด รวมทํา โดยรวมกันออกแบบวิธีการเก็บ
ไอศกรมี ใหคงสภาพเดมิ ใหน านที่สดุ
6. นักเรียนอานและอภิปรายเนื้อเรื่องในหัวขอวิทยใกลตัว ในหนังสือเรียน หนา
21 โดยครูกระตุนใหนักเรียนเห็นความสําคัญของความรูจากสิ่งที่ไดเรียนรูใน
หนวยน้ี วาสามารถนาํ ไปใชป ระโยชนใ นชวี ติ ประจาํ วนั ไดอยา งไรบาง
7. นักเรยี นรวมกนั ตอบคําถามสําคญั ประจาํ หนว ยอีกครัง้ ดังนี้
- การเปลีย่ นแปลงของวัตถุเกิดขน้ึ ไดอ ยางไรบา ง (การเปลี่ยนแปลงของวัตถุ
อาจเกิดขึ้นจากการแยกช้ินสวนของวัตถุน้ันแลวนํามาประกอบกันเปนวัตถุ
ชิน้ ใหม นอกจากนว้ี ตั ถุและวัสดุบางชนิดอาจเกิดการเปลยี่ นแปลงโดยการ
ทําใหร อ นขึน้ หรือทําใหเยน็ ลง)
ถาคําตอบของนักเรียนยังไมถูกตอง ใหนักเรียนอภิปรายรวมกันเพ่ือใหได
คําตอบทถ่ี ูกตอง
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 45
คมู อื ครูรายวชิ าพน้ื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปล่ยี นแปลงของวัตถุและวสั ดุ
สรปุ ผลการเรียนรขู องตนเอง
รปู หรือขอ ความสรุปสิง่ ท่ีไดเรียนรูจากบทน้ตี ามความเขา ใจของนักเรียน
46 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลีย่ นแปลงของวัตถแุ ละวัสดุ
แนวคําตอบในแบบฝก หัดทา ยบท
แผน ซีดีเปนวัตถุทไี่ มม ชี ิน้ สวนยอย
และการตัดแผน ซีดีเปนการทาํ ใหแผนซีดมี ีชิ้นสวนทีเ่ ลก็ ลงโดยการตดั แบง ซึ่งไมไดเปน
การแยกช้นิ สวนยอย
สถาบันสง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 47
คมู อื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 3 การเปลี่ยนแปลงของวตั ถแุ ละวสั ดุ
กลองเปน วตั ถุทไ่ี มมชี ้นิ สว นยอย
การนํากลองมาประกอบเปนโคมไฟเปนเพียงการตัดกระดาษใหมีลวดลายและนําไป
ประกอบกบั วตั ถอุ นื่
หลงั จากแยกชิน้ สว นของพดั ลมออก
แลวนําไปประกอบเปนวัตถุชิ้นใหม วัตถุชิ้นใหมบางช้ินมีการนําวัตถุชิ้นอ่ืนที่นอกเหนือจาก
ช้ินสว นของพัดลมมาประกอบดว ย
48 สถาบันสงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู ือครรู ายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 3 การเปลยี่ นแปลงของวัตถแุ ละวัสดุ
การวางนํา้ แข็งไส นํ้าแข็งไสคอย ๆ
ไวในหอ ง หลอมเหลวเปนน้ํา
เม่อื วางไวใ นหอ ง
ช็อกโกแลตเหลวเคลือบที่
ผิวของผลไมและคอย ๆ
แข็ง เม่ือช็อกโกแลตเร่ิม
เย็นลง
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 49
คมู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยที่ 3 การเปล่ยี นแปลงของวตั ถแุ ละวสั ดุ
สีของเน้ือหมูเปลี่ยน
จ า ก สี แ ด ง เ ป น สี
น้ําตาล และบางสวน
ดํา เม่ือทําใหรอนข้ึน
ดวยการใหความรอน
แกเ นอื้ หมู
น้ําหวานเปล่ียนเปน
ไอศกรีมแทง เมื่อทํา
ใหเย็นลงดวยการแช
ในนาํ้ แข็ง
50 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
หนว ยที่ 4 แรงในชีวติ ประจําวนั51 คมู ือครูรายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตร ป.3 เลม 2 | หนว ยที่ 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถุและวัสดุ
ภาพรวมการจดั การเรยี นรูประจาํ หนวยท่ี 4 แรงในชีวติ ประจาํ วัน
บท เร่ือง กิจกรรม ลําดับแนวคิดตอเนอื่ ง ตัวช้ีวัด
บทที่ 1 แรงสัมผสั เรื่องท่ี 1 แรงสัมผัส กิจกรรมที่ 1 แรงมี
และแรงไมสัมผสั กบั การเปล่ยี นแปลง ผลตอ การเคล่ือนที่ • เมื่อออกแรงกระทําตอวัตถุ อาจ ว 2.2 ป.3/1
การเคล่ือนที่ของ ของวัตถุอยางไร ทําใหวัตถุเกิดการเปลี่ยนแปลง ระบุผลของแรงท่ีมีตอการ
วตั ถุ
การเคลื่อนที่ โดยการเปล่ียนแปลง เปล่ยี นแปลงการเคลื่อนท่ี
การเคล่ือนท่ีของวัตถุอาจเปนการ ของวัตถจุ ากหลกั ฐาน
เปล่ียนแปลงจากหยุดน่ิงเปน เชิงประจกั ษ
เคล่ือนท่ี เคลื่อนท่ีอยูแลวเปน
เคลื่อนท่ีเร็วข้ึน ชาลง หยุดนิ่ง
หรือเปลี่ยนทศิ ทาง
เรอ่ื งที่ 2 แรง กจิ กรรมที่ 2.1 แรง • แรงแบงออกเปนแรงสัมผัสและ ว 2.2 ป.3/2
ไมส ัมผัสกับการ แมเหลก็ เปน อยา งไร แรงไมสัมผัส โดยแรงสัมผัสเปน เปรยี บเทียบและ
เปลย่ี นแปลงการ แรงที่มีการสัมผัสกับวัตถุโดยตรง ยกตัวอยางแรงสมั ผัสและ
เคล่อื นที่ของวัตถุ สวนแรงไมสัมผั สเปนแรงท่ี แรงไมส มั ผสั ท่ีมผี ลตอ การ
ไมจําเปนตองสัมผัสกับวัตถุ เคลื่อนที่ของวตั ถจุ าก
โดยตรงเพ่ือใหวัตถุเปลี่ยนแปลง หลกั ฐานเชิงประจักษ
ว 2.2 ป.3/3
การเคล่ือนท่ี
• แรงแมเหล็กเปนแรงไมสัมผัส โดย จําแนกวตั ถุโดยใชการ
แมเหล็กสามารถดึงดูดวัตถุที่เปน ดึงดดู กับแมเ หล็กเปน
สารแมเหล็กไดโดยไมจําเปนตอง เกณฑจ ากหลกั ฐาน
เชงิ ประจกั ษ
สมั ผัสกับวตั ถนุ ั้น
กจิ กรรมท่ี 2.2 หา • แมเหล็กมี 2 ข้ัว เม่ือแขวนแทง ว 2.2 ป.3/4
ขว้ั แมเหล็กไดอยา งไร แมเหล็ก แทงแมเหล็กจะวางตัว ระบุข้ัวแมเหล็กและ
อิสระในแนวเหนือใต โดยขัว้ เหนือ พยากรณผลท่ีเกดิ ขึ้น
จะช้ีไปทางทิศเหนือ ขั้วใตจะช้ีไป ระหวางขั้วแมเหล็กเม่อื
นํามาเขา ใกลกันจาก
ทางทศิ ใต
หลักฐานเชิงประจักษ
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี 51
คูมือครูรายวิชาพ้ืนฐานวิทยาศาสตร ป.3 เลม 2 | หนว ยที่ 3 การเปลี่ยนแปลงของวัตถุและวสั ดุ 52
บท เรอ่ื ง กจิ กรรม ลําดับแนวคิดตอเน่ือง ตวั ช้วี ดั
กิจกรรมท่ี 2.3 แรง • แมเหล็กจะมีแรงกระทําตอกัน
ระหวางแมเหล็กเปน โดยแมเหล็กข้ัวเหมือนกันจะออก
อยา งไร แรงผลักกัน และแมเหล็กข้ัว
ตา งกนั จะออกแรงดึงดูดกัน
รว มคิด รว มทาํ
52 สถาบันสงเสริมการสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คูม ือครรู ายวิชาพืน้ ฐานวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 4 แรงในชีวติ ประจําวัน
บทที่ 1 แรงสมั ผัสและแรงไมสัมผัส
จุดประสงคการเรยี นรูประจําบท
เม่ือเรยี นจบบทน้ี นักเรียนสามารถ
1. ระบุผลของแรงที่มีตอ การเปล่ียนแปลงการ
เคลือ่ นที่ของวัตถุ
2. จําแนกวัตถุโดยใชก ารดึงดูดกับแมเ หล็กเปนเกณฑ
3. ระบขุ ้ัวแมเ หล็กและพยากรณผลที่เกดิ ขึ้นเมื่อนํา
แมเ หลก็ 2 แทงเขาใกลก นั
4. เปรียบเทยี บและยกตัวอยางแรงสัมผัสและ
แรงไมสมั ผสั ที่มผี ลตอการเคล่ือนท่ขี องวัตถุ
เวลา 12 ช่วั โมง
แนวคิดสําคญั บทน้มี ีอะไร
แ ร ง ท่ี ก ร ะ ทํ า ต อ วั ต ถุ มี ทั้ ง แ ร ง สั ม ผั ส แ ล ะ แ ร ง เร่ืองที่ 1 แรงสมั ผสั กับการเปลีย่ นแปลง
ไมสัมผัส ซึ่งอาจทําใหวัตถุเปลี่ยนแปลงการเคล่ือนท่ีได การเคลื่อนที่ของวตั ถุ
แรงแมเหล็กเปนแรงท่ีสามารถดึงดูดสารแมเหล็กให
เคล่ือนที่เขาหาแทงแมเหล็ก และเนื่องจากแมเหล็กมี กจิ กรรมท่ี 1 แรงมผี ลตอการเคล่ือนท่ขี องวัตถุ
ขว้ั แมเ หล็กจงึ สามารถดงึ ดดู หรอื ผลักแมเหล็กดวยกนั ได
อยางไร
สือ่ การเรยี นรแู ละแหลงเรียนรู หนา 22-53
หนา 19-49 เร่อื งท่ี 2 แรงไมส ัมผสั กับการเปล่ียนแปลง
1. หนังสอื เรียน ป. 3 เลม 2 การเคลื่อนทขี่ องวตั ถุ
2. แบบบนั ทกึ กิจกรรม ป. 3 เลม 2
กจิ กรรมท่ี 2.1 แรงแมเหล็กเปนอยา งไร
กิจกรรมท่ี 2.2 หาขั้วแมเหล็กไดอ ยางไร
กจิ กรรมท่ี 2.3 แรงระหวางแมเหลก็ เปนอยา งไร
สถาบนั สง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 53
คูม อื ครรู ายวิชาพ้นื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยที่ 4 แรงในชวี ิตประจาํ วัน
ทักษะกระบวนการทางวทิ ยาศาสตรแ ละทักษะแหงศตวรรษท่ี 21
รหัส ทกั ษะ 1 กิจกรรมท่ี
2.1 2.2 2.3
ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร
S1 การสังเกต
S2 การวดั
S3 การใชจ าํ นวน
S4 การจําแนกประเภท
S5 การหาความสมั พันธร ะหวาง
สเปซกบั สเปซ
สเปซกับเวลา
S6 การจดั กระทําและสื่อความหมายขอมูล
S7 การพยากรณ
S8 การลงความเหน็ จากขอมลู
S9 การตง้ั สมมติฐาน
S10 การกาํ หนดนิยามเชงิ ปฏบิ ตั ิการ
S11 การกําหนดและควบคุมตัวแปร
S12 การทดลอง
S13 การตีความหมายขอมลู และลงขอสรปุ
S14 การสรางแบบจาํ ลอง
ทกั ษะแหงศตวรรษที่ 21
C1 การสรา งสรรค
C2 การคดิ อยา งมีวจิ ารณญาณ
C3 การแกปญหา
C4 การส่อื สาร
C5 ความรว มมอื
C6 การใชเทคโนโลยีสารสนเทศและการส่อื สาร
หมายเหตุ : รหสั ทักษะทป่ี รากฏนี้ ใชเ ฉพาะหนังสอื คูม ือครูเลมนี้
54 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูมือครรู ายวิชาพ้นื ฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 4 แรงในชีวติ ประจาํ วนั
แนวคดิ คลาดเคลื่อน
แนวคิดคลาดเคล่ือนท่ีอาจพบและแนวคดิ ท่ีถูกตองในบทท่ี 1 แรงสมั ผัสและแรงไมสัมผัส มีดงั ตอ ไปน้ี
แนวคดิ คลาดเคล่อื น แนวคิดทถ่ี ูกตอ ง
แมเหล็กดงึ ดูดโลหะทกุ ชนดิ (Barrow, 2000)
แมเหล็กดึงดูดโลหะบางชนิดท่ีเปนสารแมเหล็ก เชน เหล็ก
แมเ หล็กมี 2 ข้วั คือ ขัว้ บวกและขัว้ ลบ* นิกเกิล โคบอลต (Yong & Wai, 2013)
แมเ หล็กมี 2 ข้วั คือ ขั้วเหนือและขว้ั ใต (Yong & Wai, 2013)
ถาครูพบวามีแนวคดิ คลาดเคลือ่ นใดท่ยี งั ไมไดแกไ ขจากการทํากจิ กรรมการเรยี นรู ครูควรจดั การเรียนรูเพิ่มเติมเพอ่ื
แกไ ขตอ ไปได
* ขอมลู ที่ไดจ ากการสงั เกตชน้ั เรียนจากการทดลองใชหนงั สือเรยี นของ สสวท.
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 55
คูมอื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 4 แรงในชวี ติ ประจาํ วนั
บทน้ีเริ่มตน อยางไร (1 ชว่ั โมง) ใ น ก า ร ท บ ท ว น ค ว า ม รู
พ้ืนฐาน ครูควรใหเวลานักเรียน
1. ครูทบทวนความรูพ้ืนฐานและตรวจสอบความรูเดิมของนักเรียนเกี่ยวกับ คิดอยางเหมาะสม รอคอยอยาง
ผลของแรงกับการเปลยี่ นแปลงการเคล่อื นที่ของวตั ถุ โดยสนทนาซักถาม อดทน นักเรียนตองตอบคําถาม
เกี่ยวกับการเคล่ือนที่ของวัตถุหรือส่ิงตาง ๆ ที่นักเรียนเคยพบเห็นใน เหลานี้ไดถูกตอง หากตอบไมได
ชีวิตประจําวัน หรือครูอาจนําภาพสถานการณในสถานท่ีตาง ๆ เชน หรือลืมครูตองใหคว ามรูท่ี
ตลาด หางสรรพสินคา สนามเด็กเลน มาใหนักเรียนสังเกตแลวชักชวน ถูกตองทันที
นักเรยี นพดู คุยเกี่ยวกับการเคลอ่ื นท่ใี นสถานการณนั้น ๆ เชน
1.1 จากสถานการณดังกลาว นักเรียนสังเกตเห็นการเคลื่อนที่ของ ในการตรวจสอบความรูเดิม
ส่งิ ตา ง ๆ หรอื ไม ยกตัวอยา ง (นกั เรยี นตอบตามผลการสงั เกต เชน ครูรับฟงเหตุผลของนักเรียนเปน
การเข็นรถเข็นใหเคล่ือนที่ การลากกลองไปบนพื้น การเลน สําคัญ ครูยังไมเฉลยคําตอบใด ๆ
เคร่อื งเลน ในสนามเด็กเลน ) แตชักชวนใหหาคําตอบที่ถูกตอง
1.2 จากสถานการณท่ีนักเรียนยกตัวอยาง นักเรียนคิดวาเพราะเหตุใด จากกิจกรรมตา ง ๆ ในบทเรียนน้ี
วัตถเุ หลา น้นั จงึ เคล่ือนทไ่ี ด (นักเรียนตอบตามความคิดของตนเอง)
2. ครูชักชวนนักเรียนศึกษาเรื่องแรงสัมผัสและแรงไมสัมผัส โดยใหอาน
ช่ือหนวย และอานคําถามสําคัญประจําหนว ย ในหนังสือเรียน หนา 22
ดังน้ี แรงมีผลตอ การเปลยี่ นแปลงการเคลือ่ นทีข่ องวัตถุอยางไร
นักเรียนตอบคาํ ถาม โดยครยู งั ไมตอ งเฉลยคําตอบ แตจ ะใหน ักเรียน
ยอนกลับมาตอบอกี ครัง้ หลังจากเรยี นจบหนว ยนแี้ ลว
3. นักเรียนอานช่ือบท และจุดประสงคการเรียนรูประจําบท ใน
หนังสือเรียน หัวขอ “เมื่อเรียนจบบทน้ี นักเรียนสามารถ” หนา 23
จากนนั้ ครูใชคาํ ถามเพ่ือตรวจสอบความเขา ใจ ดังน้ี
3.1 บทนี้นักเรียนจะไดเรียนเร่ืองอะไร (ผลของแรงท่ีมีตอการ
เปลี่ยนแปลงการเคลื่อนที่ของวัตถุ แรงแมเหล็ก แรงสัมผัสและ
แรงไมสัมผัส)
3.2 จากจุดประสงคการเรียนรูเม่ือเรียนจบบทนี้นักเรียนสามารถทํา
อะไรไดบาง (สามารถระบุผลของแรงที่มีตอการเปล่ียนแปลงการ
เคล่ือนท่ีของวัตถุ จําแนกวัตถุโดยใชการดึงดูดกับแมเหล็ก
เปนเกณฑ ระบุขั้วแมเหล็กและพยากรณผลที่เกิดข้ึนเม่ือนํา
แมเหลก็ 2 แทง เขา ใกลก นั เปรียบเทียบและยกตวั อยางแรงสัมผัส
และแรงไมสัมผสั ทมี่ ตี อ การเคล่อื นท่ีของวตั ถุ)
56 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คูม ือครูรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนว ยท่ี 4 แรงในชีวิตประจําวนั
4. นกั เรยี นอานชื่อบทและแนวคดิ สําคัญ ในหนงั สอื เรยี นหนา 24 จากนน้ั หากนักเรียนไมสามารถตอบ
ครแู ละนักเรียนรว มกนั อภปิ รายโดยใชคาํ ถามดงั น้ี คําถามหรืออภิปรายไดตามแนว
4.1 จากการอานแนวคิดสําคัญ นักเรียนคิดวาจะไดเรียนเก่ียวกับเร่ือง คําตอบ ครูควรใหเวลานักเรียนคิด
อะไรบาง (เรียนเรื่องแรงสัมผัสและแรงไมสัมผัสการเปลี่ยนแปลง อยางเหมาะสม รอคอยอยางอดทน
การเคลือ่ นทข่ี องวตั ถุ แรงแมเ หลก็ ) แ ล ะ รั บ ฟ ง แ น ว ค ว า ม คิ ด ข อ ง
นกั เรียน
5. ครูชักชวนใหนกั เรยี นอานเนื้อเรื่องและสังเกตรูปเข็มทิศในหนังสือเรยี น
หนา 24 โดยครูฝกทักษะการอานตามวิธีการอานท่ีเหมาะสมกับ
ความสามารถของนักเรียน ครูตรวจสอบความเขาใจจากการอาน โดย
ใชคําถามดังนี้
5.1 นักเรียนเคยเขาคายลูกเสือและเคยใชเข็มทิศในการเดินปาหรือไม
เข็มทิศมีประโยชนอยางไร (นักเรียนตอบตามประสบการณของ
ตนเอง เชน เคยหรือไมเคยใชเข็มทิศในการเดินปา โดยเข็มทิศมี
ประโยชนในการบอกทศิ สาํ หรบั การเดนิ ทาง)
5.2 เขม็ ทิศมลี ักษณะอยางไร (เขม็ ทิศมหี นาปดคลายวงกลม ทห่ี นาปด
มสี ัญลกั ษณแสดงทศิ ตาง ๆ และมเี ข็มเล็ก ๆ อยูดา นใน ปลายของ
เขม็ อาจมสี ีเปนสัญลกั ษณและชี้ไปทิศเหนอื เสมอ)
ครอู าจนําเข็มทศิ ของจรงิ แบบตา ง ๆ มาใหนักเรียนสงั เกต
5.3 เพราะเหตุใดเข็มของเข็มทิศจึงเคลื่อนที่และบอกทิศทางได
(นักเรียนตอบตามความเขาใจ เชน เข็มทิศเคลื่อนที่และบอก
ทศิ ทางไดเพราะมแี รงมากระทําตอเข็มของเข็มทศิ )
5.4 นอกจากแรงท่ีทําใหเข็มทิศเคลื่อนที่ได มีแรงอะไรอีกบางที่
เก่ียวของกับชีวิตประจําวันของเรา และแรงเหลาน้ันมีผลตอการ
เคล่ือนที่ของวัตถุอยางไร (นักเรียนตอบตามความเขาใจ เชน
แรงจากการดึง แรงจากการผลัก หรือแรงโนมถวงของโลกท่ีทําให
วัตถเุ คลือ่ นทไ่ี ด)
6. ครูชักชวนนักเรียนตอบคําถามเกี่ยวกับแรงสัมผัสและแรงไมสัมผัส ใน
สํารวจความรูกอนเรียน ในแบบบันทึกกิจกรรม หนา 20-23 โดย
นักเรียนอานขอมูลที่กําหนดให และอานคําถามแตละขอ ครูตรวจสอบ
ความเขาใจของนักเรียน จนแนใจวานักเรียนสามารถทําไดดวยตนเอง
จึงใหนักเรียนตอบคําถามซ่ึงคําตอบของแตละคนอาจแตกตางกัน และ
คาํ ตอบอาจถูกหรือผดิ ก็ได
7. ครูสังเกตการตอบคําถามของนักเรียนเพื่อตรวจสอบวานักเรียนมี
แนวคิดเก่ียวกับแรงสัมผัสและแรงไมสัมผัสอยางไรโดยอาจสุมให
สถาบันสงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี 57
คูมอื ครรู ายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยที่ 4 แรงในชวี ติ ประจาํ วนั
นักเรียน 2-3 คน นําเสนอคําตอบของตนเอง โดยครูยังไมตองเฉลย
คําตอบ แตจะใหนักเรียนยอนกลับมาตรวจสอบอีกครั้งหลังจากเรียน
จบบทน้ีแลว ท้ังน้ีครูควรบันทึกแนวคิดคลาดเคลื่อนหรือแนวคิดท่ี
นาสนใจของนักเรียน แลวนํามาใชในการออกแบบการจัดการเรียนรู
เพ่ือแกไขแนวคิดคลาดเคล่ือนใหถูกตอง และตอยอดแนวคิดท่ีนาสนใจ
ของนักเรยี นตอ ไป
58 สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาพื้นฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยที่ 4 แรงในชวี ติ ประจําวัน
แนวคําตอบในแบบบันทึกกิจกรรม
การสาํ รวจความรูก อนเรียน นกั เรียนอาจตอบคําถามถูกหรือผิดก็ไดข น้ึ อยกู บั ความรเู ดิมของนักเรียน
แตเมื่อเรยี นจบบทเรียนแลว ใหนกั เรยี นกลับมาตรวจสอบคําตอบอกี คร้ังและแกไขใหถูกตอง ดังตวั อยา ง
ออกแรงกระทํากับมาหมนุ เชน ผลักหรือดึง 59
ออกแรงกระทํากับมาหมุนในทิศทางเดยี วกบั ทศิ ทางที่มา หมุน
กาํ ลงั เคล่อื นที่
ออกแรงกระทํากบั มา หมนุ ในทิศทางตรงกันขามกบั ทิศทางที่
มา หมุนกาํ ลังเคลื่อนที่
สถาบันสง เสรมิ การสอนวิทยาศาสตรแ ละเทคโนโลยี
คมู อื ครูรายวิชาพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตรและเทคโนโลยี ป.3 เลม 2 | หนวยท่ี 4 แรงในชวี ิตประจําวนั
แทงแมเ หล็ก
แทง แมเ หล็กจะเกิดแรงผลกั เมือ่ นําแทงแมเหล็กอีกแทงเขาใกล
โดยนําดา นที่มขี วั้ เหมอื นกนั เขาใกลก ัน
60 สถาบนั สงเสรมิ การสอนวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี