The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุวรรณญาโณ ญาณเมธี, 2022-09-03 00:24:44

เอกสารประกอบการสอน

เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย

เอกสารประกอบการสอน
รายวชิ า ED1022 ภาษาบาลสี ันสกฤตในภาษาไทย

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

สาขาวชิ าการสอนภาษาไทย คณะศกึ ษาศาสตร์
มหาวิทยาลัยมหามกุฏราชวิทยาลยั วิทยาเขตอีสาน

พทุ ธศักราช ๒๕๖๔



คำนำ

เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ ใช้เป็นส่วนหนึ่งของการจัดการเรียนการสอนในรายวิชา ED1022
ภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย มีคาอธิบายรายวิชาว่า “ศึกษาลักษณะของภาษาบาลี สันสกฤตในภาษาไทย
เปรียบเทียบการใช้ภาษาบาลี สันสกฤต และคาไทย สาเหตุท่ีนาคาภาษาบาลี สันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย
วธิ กี ารใช้คาภาษาบาลี สนั สกฤตในภาษาไทยที่ถกู ต้อง”

เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้มีเน้ือหาประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ ส่วนที่ ๑ กล่าวถึงตระกูลภาษา
ประวัติความเป็นมา และการเปล่ียนแปลง ดังนี้ บทที่ ๑ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับตระกูลภาษาบาลีสันสกฤต
บทที่ ๒ ประวัติภาษาบาลีและสันสกฤต บทที่ ๓ สาเหตุของภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาในภาษาไทย บทที่
๔ ระบบเสียงภาษาบาลีและสันสกฤต บทท่ี ๕ การเปลี่ยนแปลงระบบเสียงภาษาบาลีและสันสกฤต บทที่ ๖
การเปรียบเทียบการใช้ระบบเสียงภาษาบาลีและสันสกฤต ส่วนที่ ๒ กล่าวถึงองค์ประกอบ ชนิดของคา และ
การสร้างคา ดังน้ี บทที่ ๗ องค์ประกอบและชนิดของคาภาษาบาลีและสันสกฤต บทท่ี ๘ การสร้างคาภาษา
บาลีสันสกฤต บทท่ี ๙ การสร้างคาภาษาบาลีสันสกฤต (ต่อ) ส่วนท่ี ๓ กล่าวถึง อิทธิพลของภาษา หลักการ
เลือกใช้คา และการกลายความหมาย ดังนี้ บทท่ี ๑๐ อิทธิพลของภาษาบาลีและสันสกฤตต่อภาษาไทย บทท่ี
๑๑ หลักการใช้คาภาษาบาลีสนั สกฤตในภาษาไทย บทที่ ๑๒ การกลายความหมายของภาษาบาลีสนั สกฤตใน
ภาษาไทย

ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยง่ิ ว่า เอกสารประกอบการสอนเล่มน้ีจะเป็นประโยชน์แกน่ ักศึกษา ครูภาษาไทย
และผู้ที่สนใจศึกษาการยืมคาภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย หากว่า มีข้อมูลส่วนหน่ึงส่วนใดผิดพลาด
ขอนกั ปราชญผ์ ู้ร้ทู ง้ั หลายชว่ ยชี้แนะ เพื่อให้เอกสารประกอบการสอนเล่มนี้มปี ระโยชน์สงู สุดสืบไป

ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๖๔

สำรบญั ข

เร่ือง หน้า
คานา ก
สารบญั ข
บทที่ ๑ ความรู้เบ้ืองต้นเก่ยี วกบั ตระกลู ภาษาบาลสี นั สกฤต ๑

๑.๑ สาเหตุการเปล่ียนแปลงของภาษา ๔
๑.๒ การแบ่งตระกลู ภาษาในโลก ๗
๑.๓ ตระกูลภาษาในโลก ๘
๑.๔ ประวัติภาษาอนิ เดียอารยนั ๑๕
บทท่ี ๒ ประวัติภาษาบาลีและสนั สกฤต ๑๗
๒.๑ ความหมายของภาษาบาลี ๑๘
๒.๒ ประวัตภิ าษาบาลี ๒๒
๒.๓ ววิ ัฒนาการภาษาบาลี ๒๓
๒.๔ วรรณคดภี าษาบาลี ๒๔
๒.๕ ความหมายของภาษาสันสกฤต ๒๕
๒.๖ ประวตั ภิ าษาสนั สกฤต ๒๗
๒.๗ วรรณคดภี าษาสันสกฤต ๓๒
บทที่ ๓ สาเหตขุ องภาษาบาลีและสนั สกฤตเขา้ มาในภาษาไทย ๓๔
๓.๑ สาเหตุของภาษาบาลแี ละสันสกฤตเขา้ มาในภาษาไทย ๔๐
๓.๒ วธิ ีการนาคาภาษาบาลีและสนั สกฤตเข้ามาใชใ้ นภาษาไทย ๔๒
๓.๓ ประโยชน์ของการเรยี นภาษาบาลีและสนั สกฤต ๕๔
บทที่ ๔ ระบบเสยี งภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ๕๖
๔.๑ หน่วยเสียงสระภาษาบาลี ๕๗
๔.๒ หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะภาษาบาลี ๖๒
๔.๓ การใช้พยญั ชนะภาษาบาลี ๖๕
๔.๔ หนว่ ยเสยี งสระภาษาสันสกฤต ๖๗
๔.๕ หน่วยเสยี งพยัญชนะภาษาสันสกฤต ๗๐
๔.๖ การใช้พยญั ชนะภาษาสันสกฤต ๘๐
บทท่ี ๕ การเปลยี่ นแปลงระบบเสียงภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ๘๑
๕.๑ การเปลีย่ นแปลงเสียงสระภาษาบาลี ๘๗
๕.๒ การเปล่ียนแปลงเสยี งพยัญชนะภาษาบาลี ๘๙
๕.๓ การเปลยี่ นแปลงเสยี งสระภาษาสันสกฤต ๙๓
๕.๔ การเปลย่ี นแปลงเสยี งพยัญชนะภาษาสันสกฤต

เรื่อง ค
บทท่ี ๖ การเปรียบเทยี บการใช้ระบบเสยี งภาษาบาลีและสันสกฤต
หนา้
๖.๑ การเปรยี บเทียบสระภาษาบาลีกบั สนั สกฤต ๙๙
๖.๒ การเปรยี บเทยี บการใช้สระภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ๑๐๑
๖.๓ การเปรียบเทียบพยัญชนะภาษาบาลีกับสนั สกฤต ๑๐๒
๖.๔ การเปรียบเทียบฐานกรณ์ภาษาบาลีและสันสกฤต ๑๐๙
๖.๕ การเปรยี บเทยี บการใช้พยัญชนะเดี่ยวภาษาบาลแี ละสันสกฤต ๑๑๐
๖.๖ การเปรยี บเทียบการใชพ้ ยัญชนะซอ้ นภาษาบาลีและสันสกฤต ๑๑๑
บทท่ี ๗ องค์ประกอบและชนิดของคาภาษาบาลีและสันสกฤต ๑๑๕
๗.๑ องคป์ ระกอบของคา ๑๒๕
๗.๒ นามศพั ท์ ๑๒๗
๗.๓ กริยาศัพท์ ๑๓๓
๗.๔ อัพยยศพั ท์ ๑๓๕
๗.๕ ศัพทก์ ิตก์ ๑๓๕
๗.๖ ศพั ท์สมาส ๑๓๙
๗.๗ ศพั ทต์ ทั ธติ ๑๔๐
บทที่ ๘ การสร้างคาภาษาบาลีสนั สกฤต ๑๔๒
๘.๑ การสรา้ งคาโดยวธิ ีลงอุปสรรค ๑๔๗
๘.๒ การสรา้ งคาโดยวธิ ีกิตก์ ๑๔๘
บทที่ ๙ การสร้างคาภาษาบาลีสนั สกฤต (ต่อ) ๑๕๘
๙.๑ การสรา้ งคาโดยวธิ ีสมาส ๑๗๒
๙.๒ การสรา้ งคาโดยวธิ ีตัทธิต ๑๗๓
๙.๓ การสรา้ งคาโดยวธิ ีสนธิ ๑๗๖
๙.๔ สงั ขยา ๑๘๑
บทที่ ๑๐ อทิ ธิพลของภาษาบาลแี ละสนั สกฤตต่อภาษาไทย ๑๘๙
๑๐.๑ อิทธพิ ลด้านไวยากรณ์ ๑๙๕
๑๐.๒ อทิ ธพิ ลด้านการใช้ภาษาไทย ๑๙๖
๑๐.๓ อิทธพิ ลดา้ นการใชส้ านวนภาษา ๑๙๘
๑๐.๔ อิทธิพลด้านการออกเสยี งคาไทย ๒๐๓
๑๐.๕ อทิ ธิพลด้านการเปล่ียนแปลงศพั ท์ ๒๐๔
บทท่ี ๑๑ หลักการใช้คาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย ๒๐๕
๑๑.๑ หลกั การเลือกใชค้ าภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย ๒๑๔
๑๑.๒ การเปรียบเทยี บการใช้คาภาษาบาลสี ันสกฤตในภาษาไทย ๒๑๕
๒๒๖

เร่ือง ง
บทท่ี ๑๒ การกลายความหมายของภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย
หนา้
๑๒.๑ สาเหตขุ องการเปล่ยี นแปลงความหมายของคาภาษาบาลีสนั สกฤต ๒๓๕
๑๒.๒ ลักษณะการกลายความหมายของคาภาษาบาลสี นั สกฤตในภาษาไทย ๒๓๖
๑๒.๓ การสร้างคาสมาสเทยี มภาษาบาลสี นั สกฤตในภาษาไทย ๒๓๗
บรรณานกุ รม ๒๔๘
ประวัติผเู้ ขยี น ๒๕๔
๒๕๖



แผนการสอนประจาบท

หัวเรอื่ ง
๑. สาเหตุการเปล่ยี นแปลงของภาษา
๒. การแบง่ ตระกูลภาษาในโลก
๓. ตระกูลภาษาในโลก
๔. ประวัตภิ าษาอินเดียอารยัน

แนวคดิ
สาเหตุการเปล่ียนแปลงของภาษา กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงเป็นสาเหตุที่ทาให้ภาษาเปล่ียนไปจากเดิม

ภาษาน้ันประกอบด้วยเสียง คา ประโยค และความหมาย ซ่ึงมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา เม่ือเวลาผ่านไป
หลายร้อยปี จึงจะสามารถสังเกตการเปลี่ยนแปลงของภาษาได้ สิ่งที่เร่งเร้าให้ภาษาเปล่ียนแปลงได้เร็วข้ึน คือ
สภาพภูมิศาสตร์หรือสภาพแวดล้อมท่ีแตกต่างไปจากเดิม การใช้ภาษาตามความสะดวกหรือง่ายตามความชอบใจ
ภาษาของเด็กที่กาลังฝึกพูดและเด็กได้การเรียนรู้โดยการต้ังแนวเทียบ สังคมมีการเปล่ียนแปลงของบุคคลสาคัญ
หรือการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง และการยืมคาจากภาษาอืน่

การศึกษาตระกูลภาษาต่าง ๆ ในโลก เพ่ือหาความสัมพันธ์กันระหว่างภาษา เพ่ือให้ง่ายแก่การศึกษา
วเิ คราะห์รากศัพท์เดิม และเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวเิ คราะห์ภาษาโบราณในศิลาจารึกต่าง ๆ ซ่ึงมี ๓ วิธี คอื ๑)
แบง่ ตามเช้อื ชาตขิ องผู้พดู ซ่งึ เปน็ เจ้าของภาษา ๒) แบ่งตามรปู ลักษณะของภาษา กลา่ วคอื ลกั ษณะการประกอบคา
และการวางตาแหน่งของคาในประโยค ๓) แบ่งเป็นตระกูล โดยอาศัยหลักการแบ่งตามรูปลักษณะของภาษาท่ี
เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน สามารถจาแนกตระกูลของภาษาได้ ๔ ประเภท ได้แก่ (๑) ภาษามีวิภัตติปัจจัย
กล่าวคือภาษาจะต้องประกอบด้วย ธาตุหรือรากศัพท์ ปัจจัย และวิภัตติในหนึง่ คา ก่อนจึงจะนาไปใช้ได้ (๒) ภาษา
คาติดต่อ กลา่ วคือภาษาท่ใี ช้คาอปุ สรรคเติมหน้าคา ใช้คาอาคมเติมกลางคา และใช้คาปจั จยั เติมทา้ ยคา เพื่อให้เกิด
คาตา่ ง ๆ ในภาษา เมื่อเตมิ แล้วยงั คงรปู คาเดมิ อยู่ไมเ่ ปลี่ยนแปลง (๓) ภาษาคามากพยางค์ กล่าวคือการนาคาหลาย
คามาต่อกัน มีลักษณะความยาวเท่ากับประโยค แต่นับเป็นหนึ่งพยางค์ (๔) ภาษาคาโดด กล่าวคือภาษาที่นาคาต้ัง
หรือคามูลมาเรยี งลาดบั กันเขา้ เป็นประโยค คงรูปคาเหมือนเดิมไม่เปลย่ี นแปลง เมื่อสลับตาแหน่งของคาในประโยค
ความหมายก็จะเปล่ยี นไปตาม ซ่ึงภาษาบาลีและสนั สกฤตจัดอยใู่ นตระกูลภาษาอนิ เดยี -ยโุ รป

เมื่อเวลาประมาณ ๒,๕๐๐ – ๔,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล ชาวอารยันได้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนตอน
เหนือของอนิ เดีย บริเวณลุ่มแม่นา้ สินธแู ละได้ขับไล่พวกมลิ ักขะ ซึ่งเปน็ ชาวพ้ืนเมืองของอินเดียลงมาทางใต้ เม่อื เข้า
มาอยู่ในอินเดียก็ได้พัฒนาภาษาของตนเองมาตามลาดับ ซึ่งสามารถแบ่งภาษาอินเดียอารยันเป็น ๓ สมัย คือ ๑)
ภาษาอินเดียอารยันสมัยเก่า ได้แก่ภาษาอินเดียอารยันยุคแรกมีปรากฏอยู่ในคัมภีร์ฤคเวท ซ่ึงเป็นคัมภีร์ที่เก่าแก่
ท่ีสุดในบรรดาคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงมีอายุอยู่ราว ๆ ๔,๐๐๐ ปี ต่อมาภาษาอินเดียอารยันก็มี
ปรากฏในคัมภีร์พระเวทในยุคหลัง ได้แก่คัมภีร์ยชุรเวทและสามเวท ซ่ึงภาษาอินเดียอารยันในคัมภีร์พระเวทคือ
ภาษาปรากฤตโบราณ ภาษาปรากฤตคือภาษาถิ่นของอินเดียฝ่ายเหนือ ๒) ภาษาอินเดียอารยันสมัยกลาง ได้แก่
ภาษาปรากฤต ซึ่งเปน็ ภาษาท้องถ่ินของชาวอนิ เดยี อารยนั ในยุคกลาง บางตารากล่าวว่า ภาษาอนิ เดียอารยนั ในยุค

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง



กลางมีปรากฏในวรรณคดีบาลแี ละวรรณคดีของศาสนาเชน ๓) ภาษาอินเดียอารยันสมยั ใหม่ ได้แก่ภาษาอินเดยี ใน
รฐั ตา่ ง ๆ ในปจั จบุ ัน เชน่ ทางตะวนั ออก มภี าษาเบงคาลี พหิ ารี โอฤยา เนปาลี ปหารี และอัสสมี ทางตะวันตกและ
ตอนเหนอื มี สนิ ธี ปญั จาปี กศั มริ ี คชุ ราฐี และฮนิ ดี ทางตอนใต้มี มราฐี เป็นต้น
วตั ถุประสงค์

เม่ือนกั ศกึ ษาเรียนจบบทที่ ๑ มสี ามารถได้ดงั นี้
๑. อธิบายสาเหตขุ องการเปล่ียนแปลงภาษาได้
๒. อธบิ ายลักษณะการแบ่งตระกลู ภาษาในโลกได้
๓. อธิบายความแตกตา่ งของตระกลู ภาษาต่าง ๆ ในโลกได้
๔. เข้าใจประวัติความเปน็ มาของภาษาอินเดียอารยัน
๕. เขียนโครงสรา้ งตระกูลภาษาในประเทศอินเดียได้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง



บทท่ี ๑
ความร้เู บ้อื งตน้ เกี่ยวกบั ตระกูลภาษาบาลสี นั สกฤต

ทุกภาษาในโลกน้ีล้วนมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ซึ่งสาเหตุการเปล่ียนแปลงของภาษาก็มี
หลากหลายปัจจัยที่สง่ ผลต่อภาษาทั้งทางตรงและทางอ้อม จนทาให้ภาษาด้ังเดิมหายไป จนไม่สามารถสืบค้นภาษา
ดั้งเดิมน้ันได้ เม่ือวิวัฒนาการทางภาษาเจริญก้าวหน้า มีการศึกษาเปรียบเทียบภาษาต่าง ๆ เพ่ือค้นหาต้นตระกูล
ของภาษาเดิม เพื่ออ่านหลักศิลาจารึกหรือเอกสารโบราณต่าง ๆ อีกอย่างหน่ึง ภาษาบาลีสันสกฤตก็มีการศึกษา
คน้ คว้าจนทราบแน่วา่ เปน็ ภาษาตระกลู อนิ โด-ยุโรป ซง่ึ เป็นภาษามวี ภิ ัตตปิ ัจจัย ดงั มีรายละเอยี ดต่อไปน้ี

๑.๑ สาเหตกุ ารเปลยี่ นแปลงของภาษา
วิไลวรรณ ขนิษฐานันท์ (๒๕๒๖ : ๑๑๘) กลา่ ววา่ สาเหตขุ องการเปลย่ี นแปลงของภาษาไว้ ๔ ประเภท คือ

เสียง คา ไวยากรณ์ และความหมาย กล่าวคือ ภาษาท่ีมีคนใช้พูดอยู่เป็นประจา ย่อมมีการเปล่ียนแปลงอยู่
ตลอดเวลา แต่การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นไปอย่างช้า ๆ ค่อยเปล่ียนและกลายไปทีละน้อย จึงไม่รู้สึกว่ามีการ
เปลี่ยนแปลง เราจะสามารถทราบได้โดยการเปรียบเทียบระหว่างภาษาที่ใช้อยู่ในปัจจุบันกับภาษาในอดีต จะเห็น
ไดจ้ ากตัวอย่างภาษาไทยมีการเปลี่ยนแปลงตามลาดับ ตั้งแต่สมัยพ่อขุนรามคาแหงมหาราชทรงประดิษฐ์อักษรไทย
ขึน้ ใช้ในสมัยสุโขทัย ก็มกี ารเปลย่ี นแปลงมาสู่สมัยอยุธยาและสมัยรตั นโกสินทร์ตามลาดับ เม่ือเราเปรยี บเทยี บอย่าง
นี้ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน และจะเห็นวิวัฒนาการของภาษาจากจุดหนึ่งมายังอีกจุดหน่ึงอย่างชัดเจน
สอดคล้องกับ วิไลศักด์ิ กิ่งคา (๒๕๕๖ : ๖ – ๗) กล่าวสรุปการเปลี่ยนแปลงของภาษาตามภาวะและเทศะ ซ่ึงมี
ลักษณะธรรมดาเช่นเดียวกันกับมนุษย์หรือธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ มีหลายสาเหตุท่ีทาให้ภาษาเปล่ียนแปลง
ดังน้ี

๑.๑.๑ สภาพภูมิศาสตร์ ความเป็นอยู่ของมนุษย์เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมและสภาพภูมิศาสตร์
สภาพดินฟ้าอากาศ ซ่ึงมีอิทธิพลต่อภาษาของมนุษย์ เช่น ผู้อาศัยอยู่ในแถบอากาศหนาวจัด ผู้พูดไม่เปิดปากเวลา
พูด หรือผู้อยู่ในถ่ินภูมิประเทศที่แร้นแค้น อาหารการกินไม่อุดมสมบูรณ์ เวลาพูด มีเสียงแข็งกระด้าง ใน
ขณะเดียวกัน ผู้อยู่ในถิ่นอุดมสมบูรณ์มักพูดมีเสียงอ่อนหวาน สาเหตุทางด้านน้ีจะเปลี่ยนแปลงในลักษณะของ
เสียงพูดที่ “กระด้าง” และ “อ่อนหวาน”

๑.๑.๒ ความสะดวกในการใชภ้ าษา สาเหตุทีภ่ าษาเปลีย่ นแปลงไปโดยเฉพาะในเรื่องเสยี งน้ัน คงเนื่อง
ดว้ ยเมื่อผู้ศึกษาภาษาโบราณหรือภาษาเก่า อาจมีเสียงหรือประโยคท่ใี ช้ ซึ่งตนไมส่ ามารถออกเสียงได้ถนัด และคิด
วา่ ภาษาโบราณนั้นยาก จงึ เปลี่ยนแปลงเสยี งจากภาษาโบราณทีย่ ากมาเป็นเสยี งทผี่ เู้ รยี นถนัด จึงทาใหภ้ าษาเปลยี่ น
ได้ เปน็ ตน้

๑.๑.๓ การเรียนภาษาของเด็ก พระยาอนุมานราชธน (๒๕๑๔ : ๒๐๓) ได้อธิบายถึงการพูดภาษาของ
เด็กไว้ ๕ ระยะ คือ

๑) ออกเสียงพูดให้เดก็ ได้ยนิ
๒) เกิดเปน็ รูปเสยี งข้นึ ในใจของเด็ก

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง



๓) การเลยี นออกเสียงพูดของเด็ก
๔) การจารปู เสียงได้ของเดก็
๕) รจู้ กั ใช้อวยั วะออกเสยี งเพราะจาได้
การพูดภาษาของเด็กท้ัง ๕ ระยะน้ี ย่อมมีลักษณะสมบรู ณ์ไดท้ ้ังหมดหามิได้ เน่ืองจากการเรียนภาษา
เริ่มจากวัยที่เด็กมาก อวัยวะในการฟังและออกเสียงย่อมต่างจากผู้ใหญ่ ความแตกต่างนี้จะมีขึ้นเรื่อง ๆ เม่ือเวลา
ผา่ นไปหลายชว่ั อายุคน จึงกลายเป็นความเปลย่ี นแปลงทเี่ ห็นไดช้ ัดเจน
๑.๑.๔ การเรียนรู้ชนิดตั้งแนวเทียบ การเรียนรู้การตั้งแนวเทียบ (Analogy) คือการใช้ความรู้ที่มีอยู่
แลว้ เป็นแนวเทียบสาหรับเรียนรู้ส่ิงใหมท่ ่ยี งั ไม่มีผ้สู อนตอ่ ไป แนวเทียบเปน็ เครอื่ งชว่ ยใหม้ ีความสะดวกแก่การเรยี น
ภาษาเป็นอันมาก เด็กท่สี อนพูดสามารถเรยี นพูดได้เร็ว เพราะไดอ้ าศัยแนวเทียบเป็นเครื่องชว่ ย เชน่ เมื่อเด็กได้ยิน
ผูใ้ หญ่พูดว่า ไก่ ๒ ตัว และเด็กรวู้ ่าตัวเปน็ ลักษณนามของสัตว์ เดก็ ก็อาจเทียบไดว้ า่ เป็ด ๒ ตวั หรือสุนัข ๒ ตวั โดย
ยังไม่เคยได้ยินผู้ใหญ่พูดมาก่อน ขบวนการเรียนรู้ชนิดน้ี ทาให้มนุษย์เรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ด้วยตนเองมากมาย แต่การ
เรียนรู้โดยวิธีนี้ย่อมไม่ถูกต้องเสมอไปเพราะภาษาย่อมไม่มีกฎตายตัวที่แน่นอน เช่น เมื่อเด็กได้ยินผู้ใหญ่พูดว่า คน
๒ คน และเมื่อเด็กเห็นพระภิกษุก็อาจพูดได้ว่า พระภิกษุ ๒ คน เพราะพระภิกษุเป็นคน ลักษณนามก็ย่อม
เหมือนกับคน และอีกตัวอย่าง ในภาษาอังกฤษ คานามที่นับได้ เมื่อต้องให้เป็นคานามที่เป็นพหูพจน์สามารถเติม
“S” หลังคานามตวั น้นั ได้ เช่น books, cats เป็นต้น เมอื่ เด็กเห็นคานาม Child และต้องการทาใหเ้ ป็นพหูพจน์กใ็ ช้
วิธีการเรียนรู้ชนิดต้ังแนวเทียบโดดยการเติม “S” เป็น Childs ซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการเปลี่ยนพจน์ใน
ภาษาอังกฤษ คาท่ีถูกต้องคือ children จากการศึกษาถึงการเปล่ียนแปลงของภาษาต่าง ๆ พบว่าการเรียนรู้ชนิด
ตงั้ แนวเทียบเป็นสาเหตุสาคญั ทท่ี าใหภ้ าษาเกดิ มกี ารเปลย่ี นแปลงประการหนงึ่
๑.๑.๕ สังคมมีการเปลี่ยนแปลง วิลเลี่ยม ลาบอฟ (Labov,1966) ได้แสดงความคิดเห็นไว้ว่า ภาษา
เดียวกันที่ใช้อยู่ในสังคมเดียวกันจะไม่เหมือนกันท้ังหมด แต่จะแตกต่างกันตามสภาพของสังคมและบุคคล การ
เปล่ียนแปลงชนิดน้ีจะเกิดขึ้นก็ต่อเม่ือรูปใดรูปหนึ่งของหน่วยเดียวกันกลายเป็นท่ีนิยมของผู้ใช้ภาษา ทาให้มีการ
เพ่ิมมากข้ึนกว่าที่เคยเป็นมา เป็นเหตุให้ผู้รู้ซึ่งเคยนิยมใช้มาก่อนใช้น้อยลงยกตัวอย่าง ในวงการของส่ือสารมวลชน
ปจั จุบัน นิยมใช้คาหรือประโยคบกพร่องในภาษาไทย เช่น คาว่า สองผู้ต้องหา และสองนักมวยไทย เป็นตน้ คาท้ัง
สองน้ีแสดงใหเ้ หน็ ถึงการเปลย่ี นแปลงทางภาษาทเ่ี กดิ ขึน้
๑.๑.๖ การยืมคาจากภาษาอนื่ การยืมสามารถทาให้ภาษาเปล่ียนแปลงได้มากในทุกระดบั ทั้งเสยี ง คา
และโครงสร้างของประโยค จึงสามารถกล่าวไดว้ ่า การยืมเป็นสาเหตุสาคญั อยา่ งหนึง่ ทีท่ าใหภ้ าษาเปลยี่ นแปลงไป

๑.๒ การแบง่ ตระกลู ภาษาในโลก
วิไลศักดิ์ กิ่งคา (๒๕๕๖ : ๒) กล่าวว่า ภาษาท่ีใช้ติดต่อส่ือสารกันในโลกมีอยู่เป็นจานวนมาก แต่ละภาษา

ย่อมมีลักษณะบางประการที่เหมือนกันและแตกต่างกันออกไปตามลักษณะของภาษาน้ัน ๆ ซึ่งนักภาษาศาสตร์ได้
จัดภาษาที่มีลักษณะโครงสร้างทางภาษาที่เหมือนกันไว้ในตระกูลเดยี วกัน จะเห็นได้วา่ ความหลากหลายของภาษา
นั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงสร้างของภาษาต่าง ๆ มีการเปลี่ยนแปลงไม่เหมือนกัน บางภาษาเป็นภาษาท่ีตายแล้ว
ซึ่งไม่มีการใช้ติดต่อสื่อสารและใช้พูดจากัน แต่ใช้เป็นภาษาสาหรับบันทึกคาสอนทางศาสนา เช่น ภาษาบาลีและ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง



สันสกฤต เป็นต้น ด้วยเหตุดังกล่าว เมื่อภาษามีความหลากหลาย ดังนั้น พระยาอนุมานราชธน (๒๕๒๐ : ๓๕) ได้
กล่าวถึงการแบ่งภาษาไวใ้ นหนงั สือนริ ุกติศาสตร์ ว่ามี ๓ วิธี ได้แก่

๑.๒.๑ แบ่งตามเช้ือชาติของผู้พูดซ่ึงเป็นเจ้าของภาษา (The Race of Native Speakers) วิธีนี้เอา
แน่นอนไม่ได้ เพราะคนชาติหนึง่ อาจใชภ้ าษาของอีกชาตหิ นึ่งได้ เช่น ชาวนิโกรพดู ภาษาอเมรกิ ัน มิไดห้ มายความว่า
ชาวนิโกรเป็นเชื้อชาติเดียวกับชาวอเมริกัน เราจึงไม่ใช้การแบ่งภาษาตามวิธีนี้ อีกอย่างหน่ึง มนุษย์ย่อมมีการ
แต่งงานหรือผสมกันในทางเชื้อชาติ ภาษาเกิดจากการเรียนรู้จากสิ่งแวดล้อม ยกตัวอย่าง เช่น คนไทยพูด
ภาษาอังกฤษได้ จะถือเอาว่าคนไทยและคนอังกฤษเป็นเชื้อชาติเดียวกันเพียงเพราะพูดภาษาเดียวกันนั้นไม่ได้เลย
(วไิ ลศักด์ิ ก่งิ คา, ๒๕๕๖ : ๒)

๑.๒.๒ แบ่งตามรูปลักษณะของภาษา (Language Structure) ถ้าภาษาใดมีลกั ษณะของการประกอบ
คา และการวางตาแหน่งของคาในประโยคเป็นเกณฑ์ ด้วยวิธีเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน ก็อาจรวมเข้าเป็น
ประเภทเดยี วกันได้

๑.๒.๓ แบ่งเป็นตระกูลของภาษา (Language Families) เป็นการแบ่งโดยอาศัยหลักการแบ่งตาม
รูปลักษณะของภาษา ถ้าภาษาใดมีรูปลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน คือ มีคาพูดซ่ึงเป็นคาเดิมในภาษาส่วน
ใหญ่พ้องกัน ประกอบคาเข้าเป็นประโยคในทานองเดียวกันและยิ่งมีความเป็นไปร่วมกันในทางประวัติศาสตร์ด้วย
ก็จัดว่าภาษานั้นร่วมตระกูลภาษาเดียวกัน อีกประการหนึ่ง ถ้าภาษาใดมีรูปลักษณะเหมือนกันและคล้ายคลึงกัน
กล่าวคือมีคาศัพท์ร่วมตระกูล (Cognate Forms) เช่น คาศัพท์เกี่ยวกับเครือญาติ คาศัพท์เก่ียวกับสัตว์ คาศัพท์
เกี่ยวกับธรรมชาติ คาศัพท์เก่ียวกับต้นไม้ และคาศัพท์เกี่ยวกับท่ีอยู่อาศัย และเคร่ืองมือสาหรับใช้เพื่อดารงชีวิต
เป็นต้น การใช้ภาษาเหมือนกันเป็นส่วนใหญ่ และมีการวางตาแหน่งของคาในประโยคคล้ายคลึงกัน ก็จัดเข้าใน
ภาษาตระกูลเดียวกัน (วิไลศกั ดิ์ กิ่งคา, ๒๕๕๖ : ๓) การจัดประเภทตระกูลภาษาในโลก ซ่ึงสามารถแบ่งภาษาต่าง
ๆ โดยอาศัยรูปภาษาได้ ๔ ชนิด ดงั น้ี

๑) ภาษามีวิภัตติปัจจัย (Inflectional Language) คือภาษาท่ีมีคาเดิมหรือรากศัพท์เป็นธาตุ
(Root) เมื่อจะใช้คาใดในภาษาต้องแปรรูปคาของธาตุด้วยวิธีประกอบคา โดยเติมปัจจัยให้เป็นศัพท์ แล้วเอา
คาศัพท์มาประกอบด้วยวิภัตติใหเ้ ป็นบท หลังจากนั้นจึงนาไปเรียงเข้าประโยคในตาแหน่งทเี่ หมาะสมวิภัตติจะเป็น
ตวั กากบั บทใหร้ ู้หนา้ ที่ของคาวา่ ทาหน้าทอี่ ะไรในประโยค เช่น ทาหน้าทีเ่ ป็นบทประธาน บทกรรม เป็นต้น ภาษาท่ี
มีวิภตั ตปิ ัจจยั จงึ มสี ว่ นสาคญั ทจี่ ะต้องทาความเขา้ ใจเกีย่ วกับ ธาตุ ปจั จัย และวิภัตติ ดังนี้

ก. ธาตุหรือรากศัพท์ (Root) คือ รากศัพท์ที่มีเสียงและความหมายกาหนดไว้อย่างชัดเจน
กอ่ นนาไปใช้ต้องประกอบด้วยปัจจัย ทาให้เป็นคาศัพทโ์ ดยมากเปน็ คาพยางค์เดยี ว เช่น ญา ธาตุ แปลว่า รู้ เมื่อเอา
ตุ ปัจจยั ประกอบเข้าขา้ งทา้ ย จะได้รูปคาศัพท์สาเร็จเปน็ ญาตุ แปลว่า ผรู้ ู้ ดงั นี้ ญา (รู)้ + ตุ (ผ้)ู = ญาตุ (ผรู้ )ู้

ข. ปัจจัย คือ หน่วยคามีไว้สาหรับประกอบหลังคาศัพท์เพ่ือปรุงแต่งคาศัพท์ อันเป็น
เครื่องหมายบ่งบอกพจน์ (Number) ลิงค์ (Gender) บุรุษ (Person) ฯลฯ สุดแต่ลักษณะของคาในโครงสร้างของ
ประโยคแต่ละภาษาท่ีนาไปประกอบกับธาตุ แล้วมีการเปล่ียนแปลงหลายวิธีการ เช่น เปล่ียนแปลงเสียงโดยลบ
ปัจจัยและคงรูปปัจจัย ย่อมเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของภาษานั้น ๆ เช่น ธา ธาตุ ในภาษาบาลี แปลว่า ทรงไว้ เมื่อ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง



เติม กฺวิ ปัจจัย ประกอบเข้าข้างท้าย แล้วลบปัจจัยเสีย ตามหลักเกณฑ์ของภาษาก็จะเหลือ ธา แปลว่า ผู้ทรงไว้
ดงั น้ี ธา (ทรงไว้) + กวฺ ิ (ผ้)ู = ธา (ผู้ทรงไว้)

ค. วิภัตติ คือ คาลงทา้ ยเพอื่ เปน็ ตวั บ่งให้ทราบว่า คานนั้ ทาหนา้ ที่อะไรในประโยคและยังบอก
รายละเอยี ดอน่ื ๆ ในโครงสรา้ งของประโยคอีกดว้ ย คานามท่ีแจกวภิ ัตตแิ ล้ว รปู วภิ ตั ติจะบอกพจน์ (Number) เพศ
และการก (Case) ยกตัวอย่างเช่น ในภาษาบาลีศัพท์เดมิ ปุริส + สิ วิภัตติ แจกรูปสาเร็จเปน็ ปรุ โิ ส บอกหน้าที่ของ
คาในประโยคได้ว่า คาน้ีเป็นประธานของประโยค เป็นเอกพจน์และเป็นเพศชาย ภาษามีวิภัตตปิ ัจจัยมีหลายภาษา
เช่น ภาษาบาล,ี สันสกฤต, ปรากฤต, กรกี , ละตนิ , ตระกูลอินเดยี – ยโุ รป, ภาษาอาหรับ เปน็ ต้น

๒) ภาษาคาติดต่อ (Agglutinative Language) คือ ภาษาทีใ่ ช้คาอุปสรรคเติมหนา้ คา (Prefix) ใช้
คาอาคม (Infix) เติมกลางคา และใช้คาปัจจัย (Suffix) เติมท้ายคา เพ่ือให้เกิดคาต่าง ๆ ในภาษาขึ้น เม่ือเตมิ เข้าไป
แล้ว คาเดิมและคาเติมเข้าไปยังคงรูปอยู่ไม่เปล่ียนแปลง ภาษาคาติดต่อบางภาษามีแต่เติมหน้าคาและเติมคาท้าย
คา ส่วนเติมกลางคาไม่มี เช่น ภาษาอังกฤษ In + finitive = Infinitive และ go + ing = going เป็นต้นบางภาษา
เตมิ หน้าและกลางคา เช่น ภาษาเขมร เมีล (ด)ู ปฺร + เมลิ (ทาให้ดู) เปน็ ต้น ภาษาที่จดั ว่าอยู่ในคาลักษณะภาษาคา
ติดต่อมีหลายภาษา เช่น เตลุคุ ทมิฬ ชวา มลายู ตุรกี ญี่ปุ่น ฟิลิปปินส์ เกาหลี และภาษาต่าง ๆ ในทวีปแอฟริกา
ทวีปอเมรกิ า และออสเตรเลีย เป็นตน้

๓) ภาษาคามากพยางค์ (Polysynthetic Language) คือการนาคาหลายคามาต่อกันเท่ากับ
ประโยค ซ่ึงภาษาประเภทน้ีมีลักษณะทางภาษาคล้ายกับภาษาคาติดต่อ แต่ใชว้ ิธีการประกอบแบบเอาคามาต่อกัน
ให้ยาว เช่น ภาษาของชาวอะลองควิน (Alonguin) ซ่ึงเป็นชาวอินเดียพวกหนึ่ง ยกตัวอย่าง คาว่า
wutappesittukguosunnoonwehtunkguoh ซ่งึ ประกอบด้วยคาหลายคาเอามาติดต่อกนั คอื wut, ap, pe, sit,
tuk, guo, sun, noon, weht, unk, guoh รวมกันเป็นคาเดียวกัน แปลว่า เขาคุกเข่าแสดงเคารพเรา ภาษาคา
มากพยางค์ นอกจากภาษาอะลองควินก็มีภาษาเม็กซิโก ภาษาตุรกี ภาษาเอสกิโม และภาษาในทวีปออสเตรเลีย
เปน็ ต้น

๔) ภาษาคาโดด (Isolating Language) คือ ภาษาที่นาคาตั้งหรือคามูลมาเรียงลาดับกันเข้าเป็น
ประโยค คงรูปคาเหมือนเดิมไม่เปล่ียนแปลง มีรูปอย่างไรก็คงรูปอย่างนั้น แยกโดด ๆ เป็นคา ๆ ออกไป เมื่อสลับ
ตาแหนง่ ของคาในประโยค ความหมายก็จะเปลีย่ นไป เชน่ งูกนิ ไก่ มีความหมายอีกอย่างหน่ึง ถ้าสลบั คาในประโยค
เป็น ไกก่ ินงู กจ็ ะไดค้ วามหมายอีกอยา่ งหน่ึง

ภาษาคาโดดนี้ นอกจากภาษาไทยแล้วก็มีหลายภาษาท่ีมีส่วนเกี่ยวข้องกับภาษาไทยได้แก่ ภาษาจีน
ภาษาพมา่ ภาษากะเหรีย่ ง ภาษามอญ ภาษาเขมร ภาษาละว้า ภาษาญวน ฯลฯ

ภาษาคาโดดน้บี างภาษาเปน็ คาพยางค์เดียว (Monosyllabic Language) บางภาษามีววิ ัฒนาการทาง
ภาษา กลายเป็นคาหลายพยางค์ แต่ก็แตกต่างจากการสร้างคาแบบภาษามีวิภัตติปัจจัย คือไม่มีการลงอุปสรรค +
อาคม + และปัจจยั เป็นต้น (วไิ ลศกั ด์ิ กงิ่ คา, ๒๕๕๖: ๓ – ๔)

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง



๑.๓ ตระกลู ภาษาในโลก
กาชยั ทองหล่อ (๒๕๕๒ : ๓ – ๔) กล่าวว่า ภาษาก็เช่นเดยี วกับมนุษย์ คือมีเช้อื สายมาจากวงศ์วานต่าง ๆ

กนั เพราะฉะนั้น ภาษาจึงจาแนกออกเป็นตระกลู ๆ โดยกาหนดรูปลกั ษณะท่ีเหมือนกันหรือละม้ายใกล้เคียงกันซ่ึง
มีลักษณะแสดงชดั วา่ เคยร่วมชาตหิ รือร่วมสัมพันธ์กันมาแต่โบราณ คือภาษาใดมีรูปลักษณะเหมอื นกันหรอื เคยรว่ ม
ชาติ ร่วมสมั พนั ธ์กนั กจ็ ดั ไวเ้ ป็นตระกลู หนงึ่ เม่ือรวมท้งั หมดจึงมีอยหู่ ลายตระกลู ดว้ ยกัน ดังน้ี

๑. ตระกูลอินเดีย – ยโุ รป ได้แก่ภาษาบาลี สันสกฤต กรีก ละติน เปอร์เซีย และภาษาตา่ ง ๆ ในยุโรป
ทม่ี วี ธิ ีผันคาเช่นเดยี วกัน

๒. ตระกูลไทย – จนี ไดแ้ ก่ภาษาไทย จนี ญวน เป็นต้น
๓. ตระกลู มอญ – เขมร ได้แกภ่ าษามอญ เขมร ข่า ขมุ ปะหลอ่ ง เปน็ ต้น
๔. ตระกูลพม่า – ทิเบต ได้แก่ภาษาพมา่ ทเิ บต และภาษาอื่น ๆ ทอ่ี ยูใ่ นแดนพมา่ ทเิ บต และจีน ซึง่ มี
ลักษณะภาษาคล้ายกัน
๕. ตระกูลชวา – มลายู ได้แก่ภาษาชวา มลายู และภาษาของชาวเกาะที่อยใู่ กลเ้ คยี งกนั
๖. ตระกูลเซมติ ิก ได้แก่ภาษาฮิบรู เฟนิเซีย อัสซเี รยี อาหรับ อบิสซเิ นยี เป็นต้น
๗. ตระกลู ฮามติ ิก ได้แก่ภาอยี ปิ ต์ ลิเบีย เอทิโอเปีย
๘. ตระกูลอูรลั อัลตาอิก ได้แก่ ภาษาซเิ ทยี ตุราเนีย มานจู ญ่ีปุ่น มงโกล ตรุ กี ฟนิ แลนด์ ฮงั การีเป็นต้น
นอกจากนี้ สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๓ : ๑๔๘ – ๑๔๙) กล่าวว่า ภาษาสันสกฤตและภาษาบาลี อยู่ใน
ตระกูลภาษาอินโด-ยุโรป (Indo-European) เดิมเรยี กว่า Indo-Germanic อันเปน็ ตระกูลภาษาท่ีมีคนใช้มากท่ีสุด
มสี าขาย่อยตอ่ ไปนี้
สาขาท่ี ๑ โทแคเรียน (Thocharian) ปจั จุบนั เลกิ ใช้
สาขาที่ ๒ เยอรมันนกิ (Germanic) เชน่ อังกฤษ เยอรมัน ดัทช์ สวดี ิช และเดนิช
สาขาที่ ๓ เคลติก (Celtic) เช่น เวลส์ และ ไอรชิ
สาขาที่ ๔ อติ าลกิ (Italic) เชน่ ละตนิ อิตาเลียน ฝรัง่ เศส สเปน โปรตุเกส และรเู มเนยี น
สาขาที่ ๕ บอลตกิ -สลาวกิ (Balto-slavic) เช่น เชก รสุ เซยี และลธิ ัวเนยี
สาขาที่ ๖ กรีก เชน่ กรซี ไซปรสั ตรุ กี และสหรัฐอเมริกา
สาขาท่ี ๗ แอลเบเนีย (Albanian) เช่น แอลเบเนีย กรีซ อิตาลี
สาขาที่ ๘ อารม์ ีเนยี น (Armenian) เช่น คอเคซสั และ ตุรกี
สาขาท่ี ๙ อินโด-อิราเนียน (Indo-Iranian) เช่น บาลี สันสกฤต อิหร่าน ฮินดี อูรดู เบงกาลี สิงหล
และเปอร์เซียน
จะเห็นได้ว่าภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตอยู่ในสาขาอินโด-อิราเนียนเดิมเรียกว่า อินโดอารยัน หรือ
อารยันอินเดีย ต่อมาต้องการให้ภาษาน้ีหมายคลุมถึงภาษากลุ่มอิหร่านด้วย จึงเรียก อินโด-อิราเนียน (ภาษาอิรา
เนียนแบ่งเป็น Old Iranian Middle Iranian and Iranian ยุคปัจจุบันเช่นเดียวกัน อิราเนียนโบราณ มีปรากฏใน
ภาษาเปอร์เซียเก่า พบในคัมภีร์ช่ือ Avesta มีคาใกล้คาในพระเวทมาก แต่ตัวหนังสือได้รับอิทธิพลของกรีก ส่วน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง



อิราเนียนยุคกลาง ใช้ราว ๓๐๐ ปี ถึง ๙๐๐ ปี ค.ศ. ใช้ในเปอร์เซีย) ซ่ึงหมายรวมถึงสองกลุ่มคือ ภาษา Indic กับ
ภาษา Iranian

อีกอย่างหนึ่ง ภาษา Indic คือภาษาอารยันอินเดียเดิม พวกนี้ต้องการเอาใจพระเจ้าเพ่ือความมีสุขสวัสด์ิ
ของชีวิต ได้แต่งบทสวดสรรเสริญต่าง ๆ ข้ึน ภาษาที่ใช้สวดจึงจาเป็นต้องประดิษฐ์ใหม่บ้าง ลักษณะจึงต่างไปจาก
ภาษาเก่าแท้ และต่อมาได้มีการรวบรวมบทสวดนี้ลงในพระเวทเป็นภาษาหนังสอื คัมภีร์เล่มแรกเรยี กวา่ ฤคเวท ซ่ึง
มีขึ้นราว ๕๐๐ ปีก่อน คริสต์ศักราช และมีคัมภีร์พระเวทหมวดอ่ืน ๆ ต่อมาอีก เช่น สามเวท ยชุรเวท อถรรพเวท
และภาษาในพระเวทน้ีถือเป็นภาษา Indic โบราณ หรือ old Indic ซ่ึงหมายถึงภาษาสันสกฤตโบราณนั่นเอง
หากแต่ตอนน้ันยังไม่มีคาว่า สันสกฤต เม่ือพวกอารยันเข้ามาและนาภาษาเข้ามาเช่นน้ี วัฒนธรรมและภาษา
พื้นเมืองจึงค่อยเข้ามาปน อารยันอินเดียก็พยายามต่อต้านเพ่ือรักษาภาษาดั้งเดิมของตนไว้ การต่อต้านมีสอบแบบ
คือ การต่อต้านตามธรรมชาติ กับการต่อต้านโดยจงใจ อันเป็นเหตุให้ภาษาในอินเดียแตกออกเป็นภาษาใหญ่สอง
ภาษา

๑.๔ ประวตั ภิ าษาอนิ เดยี อารยัน
ประเทือง ทนิ รัตน์ (๒๕๓๘ : ๓๑ – ๓๒) กล่าวไว้วา่ นักภารตวิทยาส่วนมากเช่ือว่าชนเผ่าอารยันได้อพยพ

ออกจากแหล่งเดิมของตนโดยแบ่งออกเป็น ๒ สาย สายที่ ๑ อพยพไปทางทิศตะวนั ตก มุ่งหน้าไปทางยุโรป และได้
กลายเปน็ บรรพบุรษุ ของชนเผา่ ตา่ ง ๆ ในทวีปนั้น ส่วนสายท่ี ๒ อพยพมาทางทิศตะวันออก มาถึงประเทศเปอร์เซีย
ปัจจุบันคือประเทศอิหร่าน เช่ือกันว่า คาว่าอิหร่านแผลงมาจากคาว่า อารยัน คาว่า อารยัน มีรากศัพท์หรือธาตุ
(root) ในภาษาสันสกฤตว่า rฺ (ฤ) แปลว่า ไป มีการนาเอารากศัพท์น้ันมาสร้างเป็นศัพท์ได้รูปเป็น arya (อรฺย) ทา
หน้าทเ่ี ป็นนาม มีความหมายว่า นาย หรือ เจ้านาย และทาหน้าท่ีเป็นคุณศัพท์มีความหมายวา่ ใจดี น่าชอบใจ เป็น
ที่รัก ภักดี เป็นเลิศ จากศัพท์ว่า arya มีการสร้างรูปเพ่ิมขึ้นอีกเป็น ārya (อารฺย) ถ้าทาหน้าท่ีเป็นนามจะมี
ความหมายว่าผู้อาศัยอยู่ในดาแดนอารยวรรต (ดนิ แดนแห่งชาวอารยันซงึ่ หมายถึงตอนเหนือของอินเดียในปจั จุบนั )
เม่ือมาถึงเปอร์เซียแล้วชนเผ่าอารยันสายน้ีก็แบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มแรกคงปักหลักอยู่ที่เดิมและได้เป็นบรรพบุรุษ
ของชาวอิหร่าน ส่วนกลุ่มท่ี ๒ ได้อพยพผ่านซอกเขาฮินดูกูศ (Hindukush) เข้ามา ถึงภาคตะวันตกเฉียงเหนือของ
ชมพูทวปี ดินแดนดังกล่าวนเ้ี ป็นลุ่มแม่นา้ มีแม่น้าสายใหญช่ ื่อแม่นา้ สินธุ และมีแมน่ ้าสายทสี่ าคัญสายอ่ืน ๆ ซ่ึงสว่ น
ใหญ่ก็เป็นแควของแม่น้าสินธุ ซึ่งเม่ือรวมแม่น้าสินธุเข้าด้วยก็จะมีแม่น้าที่สาคัญท้ังหมดจานวน ๗ สาย เรียกว่า
สัปตสนิ ธุ

สว่ นภาษาของชาวอารยนั อนิ เดีย เป็นภาษาที่มีวภิ ัตตปิ ัจจยั กล่าวคือ เป็นภาษาทีม่ กี ารสร้างคาดว้ ยการนา
รากศัพท์มาเติมปัจจัยไว้ข้างหลัง และเติมวิภัตติไว้ท้ายศัพท์ และบางครั้งมีการเติมอุปสรรคไว้หน้าศัพท์บ้าง จึงจะ
ได้คานาไปสื่อสารได้ และเม่ือนาคามาเรียงกันไว้เพื่อสื่อสารอาจจะมีการกลืนเสียงซึ่งเรียกว่า สนธิ ข้ึน วิภัตติและ
ปัจจัยจะเป็นเคร่ืองกาหนดรูปและความหมายของคาในภาษานี้ เมื่อประกอบวิภตั ตปิ ัจจัยแล้ว แมจ้ ะนาไปวางไว้ใน
ส่วนใดของประโยคก็ตาม หน้าที่และความหมายของคาก็ยังคงเดิมไม่มีการเปล่ียนแปลง ซึ่งภาษาของชาวอารยัน
อินเดียหรือจะเรียกว่า ภาษาอินเดียอารยันก็ได้ มีอยู่หลายภาษา แต่สามารถแบ่งเป็น ๒ ประเภท คือ ภาษา
ปรากฤต และภาษาสันสกฤต

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง



เม่ือเวลาประมาณ ๒,๕๐๐ – ๔,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล ชาวอารยันได้อพยพเข้ามาอยู่ในดินแดนตอน
เหนือของอินเดีย บริเวณล่มุ แม่น้าสินธูและไดข้ ับไล่พวกมลิ ักขะ ซ่งึ เปน็ ชาวพื้นเมอื งของอินเดียลงมาทางใต้ เมือ่ เข้า
มาอยู่ในอนิ เดียก็ได้พัฒนาภาษาของตนเองมาตามลาดับ ซึ่งสามารถแบ่งภาษาอินเดยี อารยันเป็น ๓ สมัยคือ ภาษา
อินเดียอารยันสมัยเก่า ภาษาอินเดียอารยันสมัยกลาง และภาษาอินเดียอารยันสมัยใหม่ ซึ่งมีวิวัฒนาการทางด้าน
ภาษาดังน้ี

๑. ภาษาอินเดยี อารยันสมัยเก่า ได้แก่ภาษาอินเดยี อารยันยุคแรกมปี รากฏอยู่ในคัมภรี ฤ์ คเวท ซง่ึ เป็นคัมภีร์
ท่เี กา่ แกท่ ส่ี ุดในบรรดาคมั ภรี ์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ ซ่ึงมีอายุอยรู่ าว ๆ ๔,๐๐๐ ปี ตอ่ มาภาษาอนิ เดยี อารยัน
กม็ ีปรากฏในคัมภรี ์พระเวทในยุคหลัง ได้แก่คัมภีร์ยชุรเวทและสามเวท ซ่ึงภาษาอินเดียอารยนั ในคัมภรี ์พระเวทคือ
ภาษาปรากฤตโบราณ ภาษาปรากฤตคือภาษาถ่ินของอนิ เดียฝ่ายเหนือ

๒. ภาษาอินเดียอารยันสมัยกลาง ได้แก่ภาษาปรากฤต ซ่ึงเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวอินเดียอารยันในยุค
กลาง บางตารากล่าวว่า ภาษาอินเดียอารยันในยุคกลางมีปรากฏในวรรณคดีบาลีและวรรณคดีของศาสนาเชน
ภาษาปรากฤตในยคุ กลางของภาษาอนิ เดียอารยันนม้ี ีวิวัฒนาการออกเป็น ๓ ระยะด้วยกันคอื

๒.๑ ภาษาปรากฤตโบราณ (บาล)ี มดี ังนี้
๑) ศิลาจารึกที่มีมาตั้งแต่สมัยกลางของศตวรรษที่ ๓ ก่อนคริสต์ศักราชจนถึงคริสต์ศตวรรษที่ ๒

ศิลาจารึกเหล่าน้ี จารกึ ด้วยภาษาปรากฤต ในเวลาและสถานท่แี ตกตา่ งกัน
๒) ภาษาบาลี ใช้บันทึกพระไตรปิฎกของพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท (หีนยาน) และ

วรรณกรรมเล่มอื่น ๆ ของพระพทุ ธศาสนานกิ ายนี้
๓) ภาษาทใ่ี ชบ้ ันทกึ พระสูตรเก่าแก่ทส่ี ุดของศาสนาเชน
๔) ภาษาปรากฤตท่ีแต่งเป็นบทละครยุคแรก เช่น บทละครของท่านอัศวโฆษ ซ่ึงได้พบชิ้นส่วน

ต่าง ๆ ท่เี อเชยี กลาง
๒.๒ ภาษาปรากฤตสมัยกลาง มดี ังน้ี
๑) ภาษามหาราษฎรี ได้แก่ ภาษาปรากฤตท่ีอยู่ทางใต้ของอินเดีย นิยมแต่งเป็นโคลงสั้น ๆ

กะทัดรดั ชัดเจนของชาวอนิ เดียทอ่ี ยู่เดคข่าน
๒) ภาษาเศารเสนีและมาคธี ได้แก่ ภาษาปรากฤตที่นิยมแต่งเป็นบทละคร ดังท่ีพบในบทละคร

ของกาลิทาสและสานุศิษย์ของเขารวมทั้งนักไวยากรณ์ทั้งหลายในยุคนั้น ภาษาเศารเสนีอยู่ทางใต้ของอินเดีย ส่วน
ภาษามาคธอี ยู่ทางตะวนั ออก

๓) ภาษาปรากฤตที่บันทึกคัมภีร์ของศาสนาเชนในยุคต่อมา คัมภีร์เก่าของศาสนาเชนเขียนด้วย
ภาษาอรฺธมาคธี ภาษาอรฺธมาคธี คือภาษาถ่ินที่ใช้พูดกันอยู่ระหว่างรัฐสูรเสนะและมคธสาหรับคัมภีร์ท่ีมิใช่คัมภีร์
หลกั ของศาสนาเชน เช่น ของนิกายเศวตมั พร เขียนด้วยภาษามหาราษฏรี สว่ นคัมภีร์ของนิกาย ทีฆมั พรเขียนดว้ ย
ภาษาเศารเสนี

๔) ภาษาไพศาจี ได้แกภ่ าษาของคนชัน้ ตา่ ไม่มรี ะเบยี บแบบแผนคมั ภรี พ์ ฤหัตกถาแต่งดว้ ยภาษาน้ี
๒.๓ ภาษาปรากฤตสมัยหลัง (ภาษาอปภรัมศะ) ภาษาปรากฤตในยุคหลงั เรียกอีกอย่างหนึ่งว่าภาษา
อปภรัมศะ ภาษาอปภรัมศะน้ีเป็นภาษาปรากฤตตะวันตกใช้เป็นภาษาพูดมากกว่าภาษาเขียนรูปคาที่ได้พบเห็นใน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๐

ระยะน้ี มักเป็นบทละครภาษาปรากฤตเก่า ๆ แต่นักไวยากรณไ์ ด้กลั่นกรองและจัดระเบยี บให้ถูกตอ้ งทางภาษาดีข้ึน
กว่าเดิม ในสมัยที่ท่านเหมะจันทระ (Hemacandra) ได้บันทึกภาษาอปภรัมศะพิเศษของชาวตะวันตกเอาไว้ก็เป็น
รูปคาเก่า ๆ อย่อู ีกน่นั เทียว

ภาษาอินเดียอารยันในยคุ กลาง ได้แกภ่ าษาปรากฤต มีนิยมแตง่ เปน็ บทละครกันมาก ภาษาปรากฤตทนี่ ยิ ม
แต่งเป็นบทละครกันมาก ได้แก่ภาษามหาราษฏรี เศารเสนี และมาคธี เน่ืองจากเช่ือกันว่า ภาษาสันสกฤต เป็น
ภาษาท่ีบันทึกคมั ภีรพ์ ระเวทอันศักด์ิสทิ ธิ์ ยอ่ มมีค่าสงู กวา่ ภาษาปรากฤต นักวรรณคดีอินเดีย เม่ือแตง่ บทละคร มัก
นิยมให้ตัวละครพูดภาษาต่างกันตามวรรณะ คือตัวพระเอกของบทละครมักจะเป็นกษัตริย์และคนช้ันสูง พูดภาษา
สันสกฤต ส่วนสตรีวิทูษกะ คือตัวตลก พี่เล้ียง คนสนิทของพระเอก ตัวโกง และคนชั้นต่า พูดภาษาปรากฤต แม้
ภาษาปรากฤตเอง ก็ยังแบ่งออกไปอีกคือ สตรีและวิทูษกะ ให้พูดภาษาเศารเสนี สตรีผู้ท่ีพูดภาษาเศารเสนี เวลา
ร้องเพลง ต้องร้องเพลงเป็นภาษามหาราษฏรี สาหรับตัวโกงและคนช้ันต่า ให้พูดภาษามาคธี ในปัจจุบันภาษา
ปรากฤตมหาราษฏรี ได้กลายเป็นภาษามราฐี ภาษาเศารเสนีกลายมาเป็นภาษาภรช ภาษามาคธี กลายมาเป็น
ภาษาพิหารี อนั เปน็ ภาษาถนิ่ ในปัจจุบันนี้

๓. ภาษาอนิ เดยี อารยนั สมัยใหม่ ได้แก่ภาษาอนิ เดยี ในรัฐตา่ ง ๆ ในปจั จุบัน เช่น ทางตะวันออก มภี าษาเบง
คาลี พิหารี โอฤยา เนปาลี ปหารี และอัสสมี ทางตะวันตกและตอนเหนือมี สินธี ปัญจาปี กัศมิรี คุชราฐี และฮินดี
ทางตอนใตม้ ี มราฐี เปน็ ต้น (พฒั น์ เพ็งผลา, ๒๕๕๑ : ๕ – ๘)

ในช่วงระยะเวลา ๑,๐๐๐ ปี ชาวอารยันได้อพยพเข้ามาในอินเดียทาให้ภาษาและวัฒนธรรมของอารยัน
ปะปนกับภาษาและวัฒนธรรมของชาวพ้ืนเมืองท่ีอาศัยอยู่ในประเทศอินเดีย ความเช่ือต่าง ๆ ท่ีปรากฏในคัมภีร์
อถรรพเวท ตลอดจนภาษาที่ใช้ในคมั ภรี ์พระเวทหมวดหลัง ๆ มรี ่องรอยของภาษาพ้ืนเมอื งเขา้ ไปปะปนอยู่ด้วยมาก
ข้อพิสูจน์คือ เม่ือเวลาผ่านไปประมาณ ๓๐๐ ปี ความแตกต่างของภาษาก็เกิดขึ้นจนทาให้อารยันต้องแต่งคัมภีร์
ยชุรเวท เพอ่ื อธิบายบทสวดของฤคเวท๑ ก่อนคริสตศักราช ๑,๕๐๐ ปี มีนักปราชญ์ชาวอารยันช่ือ ปาณินิ๒ ได้เห็น
ปัญหาการปะปนภาษาพ้ืนเมืองกับภาษาพระเวท จะทาให้ลักษณะดั้งเดิมของภาษาอารยันหายไป จงึ ได้เขียนตารา
ไวยากรณข์ ้ึนเล่มหน่ึง ชื่อว่า อษั ฏาธฺยายี แปลวา่ คัมภีร์แปดบท อธิบายกฎเกณฑ์และโครงสร้างของภาษาพระเวท
เสียใหม่ ให้ช่ือภาษาท่ีจัดระบบใหม่นี้ว่า สันสกฤต ซ่ึงแปลว่า ขัดเกลาแล้ว ทาให้ดีแล้ว เพื่อให้แตกต่างจากภาษา
ปรากฤต ซึ่งเป็นภาษาถ่ินของอินเดียฝ่ายเหนือ ท่ีวิวัฒนาการมาตามธรรมชาติตั้งแต่เป็นภาษาพระเวท และ

๑ บทสวดของศาสนาพราหมณเ์ รยี กว่า คัมภรี ์พระเวท เปน็ คมั ภรี ์ศักด์สิ ิทธิ์ ภาษาที่ใชใ้ นคมั ภีรพ์ ระเวท เรียกว่า ภาษาพระ
เวท (Vedic Language) ซึ่งเปน็ ตน้ กาเนดิ ของภาษาสนั สกฤต และภาษาปรากฤต (ภาษาถ่ิน) ในอินเดีย คมั ภรี พ์ ระเวทแบ่งออกเป็น
๓ ยุค คือ ยคุ ท่ี ๑ เรียกว่า ฤคเวท (Rgveda) มี ๑,๐๒๘ บทสวด ใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า เป็นคัมภรี ์พระเวทหมวดแรกใช้เวลาใน
การแต่ง ต้ังแต่อารยันเริ่มอพยพเข้ามาในอินเดียเมื่อ ๑,๕๐๐ ปีก่อนคริสตกาล ยุคที่ ๒ เรียกว่า ยชุรเวท (Yajurveda) เกิดหลัง
ฤคเวทราว ๓๐๐ ปี คอื ประมาณ ๑,๒๐๐ ปกี ่อนคริสตกาล เป็นบทสวดมีท้งั ร้อยแกว้ และรอ้ ยกรอง และมีคาอธบิ ายเพิ่มเติม ยุคท่ี
๓ เรียกว่า สามเวท (Samaveda) เกิดหลังยชุรเวทราว ๗๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เพิ่มเติมจากยุคฤคเวท โดยมีทานองและดนตรี
ประกอบบทสวด ในสมัยต่อมาหลังจากยุคทั้ง ๓ เรียกว่า อถรรพเวท (Atharvaveda) คือยุคที่มีการใช้เวทมนต์คาถา เป็นไสยเวท
ซ่ึงปะปนดว้ ยลทั ธคิ วามเช่อื ที่ไม่ใช่ของอารยัน

๒ พฒั น์ เพ็งผลา (๒๕๕๑ : ๖) ไดก้ ลา่ วว่า พราหมณ์ปาณินิ เกดิ ในวรรณะพราหมณ์ ที่เมืองศาลาตุระ อยู่ทางภาคตะวันตก
เฉยี งเหนือแหง่ แคว้นคนั ธาระ มีชวี ิตอยใู่ นแผน่ ดนิ แหง่ วงศน์ ันทะของมคธ ระหว่าง พ.ศ. ๑๔๐ – ๑๖๒

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๑

คล่ีคลายออกเป็นภาษาต่าง ๆ ของอินเดียในปัจจุบัน ส่วนภาษาสันสกฤตมีกฎเกณฑ์รัดกุมตายตัวไม่สามารถ
เปลี่ยนแปลงได้ จึงกลายเป็นภาษาของชนชั้นสงู คอื ผ้ทู ีม่ กี ารศึกษาและเป็นภาษาวรรณคดี เป็นภาษาศักด์ิสทิ ธ์ิ เป็น
ภาษาศาสนา ไมใ่ ชเ้ ป็นภาษาพูด จงึ กลายเปน็ ภาษาตายแลว้ (สภุ าพร มากแจ้ง, ๒๕๓๕ : ๒)

สรปุ ทา้ ยบท
สาเหตุการเปลีย่ นแปลงของภาษา กล่าวคือ การเปลี่ยนแปลงเป็นสาเหตุที่ทาให้ภาษาเปลยี่ นแปลงไปจาก

เดมิ ซึ่งภาษานั้นประกอบด้วยเสยี ง คา ประโยค และความหมาย มกี ารเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งสามารถสรุป
ได้ ๖ ประการ ดังน้ี ๑) สภาพภูมิศาสตร์แตกต่างกันหรือมีสภาพแวดล้อมแตกต่างกัน ๒) ความสะดวกในการใช้
ภาษา เลือกใช้ภาษาตามท่ีตนถนัดและง่าย ๓) การเรียนภาษาของเด็ก กล่าวคือระยะการพูดของเด็ก มี ๕ ระยะ
ได้แก่ (๑) ออกเสียงพูดให้เด็กได้ยิน (๒) เกิดเป็นรูปเสียงข้ึนในใจของเด็ก (๓) การเลียนออกเสียงพูดของเด็ก (๔)
การจารูปเสียงได้ของเด็ก (๕) รู้จักใช้อวัยวะออกเสียงเพราะจาได้ ๔) การเรียนรู้ชนิดตั้งแนวเทียบ กล่าวคือการใช้
ความรู้ที่มีอยู่แลว้ เป็นแนวเทียบสาหรบั เรียนรู้สงิ่ ใหม่ ๕) สังคมมีการเปล่ียนแปลง ทาให้ภาษาเปลย่ี นไปตามสภาพ
ของบคุ คลในสงั คม ๖) การยมื คาจากภาษาอ่นื ทาใหภ้ าษาเปลี่ยนแปลงได้มากทสี่ ุด

การแบ่งตระกูลภาษา เปน็ การศกึ ษาภาษาต่าง ๆ ในโลก เพือ่ หาความสัมพันธ์กันระหว่างภาษา เพอ่ื ให้ง่าย
แก่การศึกษา และเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาวิเคราะห์ภาษาโบราณในศิลาจารึกต่าง ๆ ซ่ึงมี ๓ วิธีในการแบ่ง
ตระกูลภาษา คือ ๑) แบ่งตามเชื้อชาติของผู้พูดซึ่งเป็นเจ้าของภาษา ๒) แบ่งตามรูปลักษณะของภาษา กล่าวคือ
ลักษณะการประกอบคาและการวางตาแหน่งของคาในประโยค ๓) แบ่งเป็นตระกูล โดยอาศัยหลักการแบ่งตาม
รูปลักษณะของภาษาที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน สามารถจาแนกตระกูลของภาษาได้ ๔ ประเภท ได้แก่ (๑)
ภาษามีวิภัตติปัจจัย คือภาษาที่มีคาเดิมหรือรากศัพท์เป็นธาตุ ซ่ึงในหนึ่งคาจะต้องประกอบด้วย ธาตุหรอื รากศัพท์
ปัจจัย และวิภัตติ ก่อนจึงจะนาไปใช้ได้ (๒) ภาษาคาติดต่อ คือภาษาที่ใช้คาอุปสรรคเติมหน้าคา ใช้คาอาคมเติม
กลางคา และใช้คาปัจจัยเติมท้ายคา เพื่อให้เกิดคาต่าง ๆ ในภาษา เมื่อเติมแล้วยังคงรูปคาเดิมอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
(๓) ภาษาคามากพยางค์ คือการนาคาหลายคามาต่อกันเท่ากับประโยค แต่นับเป็นหน่ึงพยางค์ (๔) ภาษาคาโดด
คือภาษาที่นาคาต้ังหรือคามูลมาเรียงลาดับกันเข้าเป็นประโยค คงรูปคาเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง เม่ือสลับ
ตาแหน่งของคาในประโยค ความหมายกจ็ ะเปล่ียนไปตาม ซึง่ ภาษาบาลีและสนั สกฤตจัดอยู่ในตระกูลภาษาอนิ เดยี -
ยุโรป หรือ อินโด-ยุโรป หรือ อินโด-เยอรมันนิค หรือ อินดิก-อิราเนียน มีทั้งหมด ๙ สาย สายที่ ๙ คือ อินโด-อิรา
เนียน ได้แก่ ภาษาบาลี สนั สกฤต อิหรา่ น ฮินดี อูรดู เบงกาลี สงิ หล และเปอร์เซียน

ประวตั ิภาษาอินเดียอารยัน เม่ือเวลาประมาณ ๒,๕๐๐ – ๔,๐๐๐ ปี ก่อนคริสตกาล ชาวอารยันได้อพยพ
เข้ามาอยู่ในดินแดนตอนเหนือของอินเดีย บริเวณลุ่มแม่น้าสินธูและได้ขับไล่พวกมิลักขะ ซึ่งเป็นชาวพื้นเมืองของ
อินเดียลงมาทางใต้ เม่ือเข้ามาอยู่ในอินเดียก็ได้พัฒนาภาษาของตนเองมาตามลาดับ ซึ่งสามารถแบ่งภาษาอินเดีย
อารยันเป็น ๓ สมัยคือ ภาษาอินเดียอารยันสมัยเก่า ภาษาอินเดียอารยันสมัยกลาง และภาษาอินเดียอารยัน
สมยั ใหม่ ซง่ึ มวี วิ ฒั นาการทางดา้ นภาษาดงั นี้

๑. ภาษาอินเดยี อารยนั สมยั เกา่ ไดแ้ ก่ภาษาอนิ เดียอารยันยุคแรกมปี รากฏอยใู่ นคมั ภีร์ฤคเวท ซ่ึงเปน็ คัมภีร์
ท่เี ก่าแก่ท่สี ุดในบรรดาคัมภีร์พระเวทของศาสนาพราหมณ์ ซ่งึ มีอายุอย่รู าว ๆ ๔,๐๐๐ ปี ตอ่ มาภาษาอนิ เดยี อารยัน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๒

ก็มีปรากฏในคัมภรี ์พระเวทในยุคหลัง ได้แก่คัมภีร์ยชุรเวทและสามเวท ซึ่งภาษาอินเดียอารยันในคัมภรี ์พระเวทคือ
ภาษาปรากฤตโบราณ ภาษาปรากฤตคือภาษาถ่นิ ของอินเดยี ฝ่ายเหนือ

อกี อยา่ งหน่ึง บทสวดของศาสนาพราหมณ์เรียกวา่ คัมภีรพ์ ระเวท เป็นคัมภีรศ์ ักดิส์ ิทธิ์ ภาษาท่ีใช้ในคัมภีร์
พระเวท เรียกว่า ภาษาพระเวท (Vedic Language) ซ่ึงเป็นต้นกาเนิดของภาษาสันสกฤต และภาษาปรากฤต
(ภาษาถิ่น) ในอนิ เดีย คมั ภรี ์พระเวทแบง่ ออกเปน็ ๓ ยคุ คือ

ยุคท่ี ๑ เรียกว่า ฤคเวท (Rgveda) มี ๑,๐๒๘ บทสวด ใช้สวดสรรเสริญเทพเจ้า เป็นคัมภีร์พระเวท
หมวดแรกใชเ้ วลาในการแต่ง ต้ังแตอ่ ารยันเรม่ิ อพยพเข้ามาในอินเดยี เมอ่ื ๑,๕๐๐ ปกี ่อนครสิ ตกาล

ยุคที่ ๒ เรียกว่า ยชุรเวท (Yajurveda) เกิดหลังฤคเวทราว ๓๐๐ ปี คือ ประมาณ ๑,๒๐๐ ปีก่อน
คริสตกาล เป็นบทสวดมีทัง้ รอ้ ยแก้วและรอ้ ยกรอง และมีคาอธิบายเพ่มิ เติม

ยุคที่ ๓ เรียกว่า สามเวท (Samaveda) เกิดหลังยชุรเวทราว ๗๐๐ ปีก่อนคริสตกาล เพิ่มเติมจากยุค
ฤคเวท โดยมีทานองและดนตรีประกอบบทสวด ในสมัยต่อมาหลังจากยุคท้ัง ๓ เรียกว่า อถรรพเวท
(Atharvaveda) คือยุคทมี่ ีการใชเ้ วทมนตค์ าถา เปน็ ไสยเวท ซึ่งปะปนดว้ ยลทั ธิความเชื่อที่ไมใ่ ช่ของอารยนั

๒. ภาษาอินเดียอารยันสมัยกลาง ได้แก่ภาษาปรากฤต ซึ่งเป็นภาษาท้องถิ่นของชาวอินเดียอารยันในยุค
กลาง บางตารากล่าวว่า ภาษาอินเดียอารยันในยุคกลางมีปรากฏในวรรณคดีบาลีและวรรณคดีของศาสนาเชน
ภาษาปรากฤตในยุคกลางของภาษาอินเดียอารยันน้ีมีวิวัฒนาการออกเป็น ๓ ระยะด้วยกันคือ๑) ภาษาปรากฤต
โบราณ (บาล)ี ๒) ภาษาปรากฤตสมยั กลาง ๓) ภาษาปรากฤตสมยั หลัง (ภาษาอปภรมั ศะ) ภาษาปรากฤตในยคุ หลัง
เรียกอกี อย่างหนง่ึ วา่ ภาษาอปภรัมศะ

๓. ภาษาอนิ เดียอารยนั สมยั ใหม่ ได้แก่ภาษาอนิ เดยี ในรฐั ตา่ ง ๆ ในปจั จุบนั เช่น ทางตะวันออก มภี าษาเบง
คาลี พิหารี โอฤยา เนปาลี ปหารี และอสั สมี ทางตะวันตกและตอนเหนือมี สินธี ปัญจาปี กัศมิรี คชุ ราฐี และฮินดี
ทางตอนใตม้ ี มราฐี เป็นตน้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๓

กจิ กรรมการเรียน
๑. ทบทวนความรู้
๑.๑ จงอธบิ ายสาเหตกุ ารเปลย่ี นแปลงของภาษาในประเทศไทย
๑.๒ จงอธิบายลกั ษณะของภาษาคาโดด มาพอสงั เขป
๑.๓ จงอธิบายลกั ษณะของภาษามีวิภตั ติปจั จยั
๑.๔ ภาษาบาลแี ละสันสกฤตจดั อยใู่ นตระกูลภาษาอะไร เพราะอะไร
๑.๕ จงอธิบายวิวฒั นาการของภาษาอินเดียอารยัน มาพอสงั เขป
๒. จัดกิจกรรม
๒.๑ ใหน้ ักศกึ ษาอภิปรายแสดงความคดิ เห็นเกีย่ วกับสาเหตุการเปลีย่ นแปลงของภาษา
๒.๒ ให้นักศกึ ษาอภิปรายแสดงความคดิ เห็นเกี่ยวกับภาษามีวภิ ตั ติปจั จยั ภาษาคาโดด
๒.๓ ให้นักศกึ ษาอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ เกย่ี วกับการแบ่งตระกลู ภาษา
๒.๔ ใหน้ กั ศกึ ษาชว่ ยกันเขียนแผนผงั โครงสรา้ งตระกลู ภาษาอนิ โด-ยุโรป

สื่อการสอน
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนิง่ (PPT.) เนอื้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมสื่อมตั ตมิ เี ดียและแอปพลเิ คชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ED1022 ภาษาบาลีสนั สกฤตในภาษาไทย

แนวทางการประเมินผล
๑. ประเมินผลจากการสงั เกตความสนใจ ซักถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมนิ ผลจากการรว่ มกจิ กรรม การอภิปรายแสดงความคดิ เหน็
๓. ประเมนิ ผลจากผลงาน ด้านเน้ือหา รูปแบบ ความคิดสร้างสรรค์ วิธกี ารนาเสนอ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๔

เอกสารอ้างองิ
กาชัย ทองหล่อ. (๒๕๕๒). หลักภาษาไทย. พิมพค์ รง้ั ที่ ๕. กรุงเทพฯ : อมรการพิมพ.์
ประเทือง ทินรตั น์. วารสารมนุษยศาสตร์วิชาการ, คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร.์ ปที ี่ ๓. ฉบับ

ท่ี ๑ พ.ศ. ๒๕๓๘.
พฒั น์ เพง็ ผลา. (๒๕๕๑). บาลีสันสกฤตในภาษาไทย. พมิ พ์ครงั้ ท่ี ๙. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
วิไลวรรณ ขนษิ ฐานันท์. (๒๕๒๖). ภาษาศาสตร์เชิงประวตั ิ: วิวัฒนาการภาษาไทยและภาษาอังกฤษ. กรุงเทพฯ :

มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
วิไลศักดิ์ กิง่ คา. (๒๕๕๖). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. พิมพ์ครงั้ ที่ ๒. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์.
สุธวิ งศ์ พงศไ์ พบูลย์. (๒๕๔๓). หลกั ภาษาไทย. พมิ พค์ รงั้ ท่ี ๑๕. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จากัด.
สภุ าพร มากแจง้ . (๒๕๓๕). ภาษาบาลี – สันสกฤตในภาษาไทย. พิมพค์ ร้งั ที่ ๒. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
อนมุ านราชธน, พระยา. (๒๕๑๔). นิรุกตศิ าสตร์ ภาค ๑ – ๒. กรงุ เทพฯ : ศูนยก์ ารทหารราบ.
Labov, William. (1966). The Social Stratification of English in New York City. Washington D.C.

Center For Applied Linguistics.

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๕

แผนการสอนประจาบท

เร่อื ง
๑. ความหมายของภาษาบาลี
๒. ประวตั ภิ าษาบาลี
๓. ววิ ัฒนาการภาษาบาลี
๔. วรรณคดภี าษาบาลี
๕. ความหมายของภาษาสันสกฤต
๖. ประวตั ิภาษาสันสกฤต
๗. วรรณคดภี าษาสันสกฤต

แนวคิด
ภาษาบาลี มีความหมาย ๓ นัย ได้แก่ หลักคาสอนของพระพุทธเจ้า ภาษาท่ีใช้บันทึกพระไตรปิฎก และ

แถวหรือแนวแห่งพระไตรปฎิ ก กล่าวคอื ภาษาที่ใช้รักษาคาสง่ั สอนของพระพทุ ธเจา้
ประวัติภาษาบาลีจากหลักฐานท่ีปรากฏสามารถสนั นิฐานได้ว่ามี ๒ แนวคิด ได้แก่ ๑) ภาษาบาลีคือภาษา

ปรากฤตสมัยโบราณ ท่ีได้วิวัฒนาการมาจากภาษาอินเดียอารยัน ซึ่งเป็นภาษาของชาวอารยันหรืออาริยกะ ๒)
ภาษาบาลีคือภาษามาคธีหรือมาคธ ซึ่งเป็นภาษาของชาวแคว้นมคธ ภาษาบาลีใช้บันทึกหลักธรรมคาสอนของ
พระพทุ ธศาสนาและใช้บนั ทกึ คาสอนของศาสนาเชน

วรรณคดีภาษาบาลีมีววิ ฒั นาการแบ่งเป็น ๔ ยุค ไดแ้ ก่ ๑) ยุคคาถาหรือยุครอ้ ยกรอง ไมม่ ีรูปแบบทีแ่ น่นอน
ยงั คงมรี ูปคาพดู เกา่ ๆ มากมาย รปู คาพูดเก่า ๆ นี้ ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาอินเดียอารยันโบราณ ๒) ยุครอ้ ยแก้ว
มีรูปลักษณะคาประกอบขนึ้ ด้วยส่วนที่เหมือนกันและเป็นภาษามีรูปแบบแน่นอนมากกว่าภาษาบาลีในยคุ คาถาหรือ
รอ้ ยกรอง ๓) ยุคร้อยแก้วระยะหลัง แต่งขึ้นภายหลงั พระไตรปิฎก วรรณคดีบาลีท่ีแต่งหลังพระไตรปิฎกก็มี ๔) ยุค
ร้อยกรองประดิษฐ์ ไม่มีลักษณะรูปแบบท่ีแน่นอนเป็นลักษณะภาษาผสมรูปคาพูดท่ียืมมาจากวรรณคดีเก่า ๆ และ
วรรณคดใี นยคุ หลงั อย่างอสิ ระเสรี

วรรณคดี คือ คาสอนของพระพุทธเจ้า เร่ืองราวต่าง ๆ สมัยพุทธกาล และนิทานชาดก ที่เก่ียวข้องกับ
พระพุทธศาสนาที่ถูกบันทึกด้วยภาษาบาลี จึงเรียกว่า วรรณคดีบาลี มี ๒ ลักษณะ ดังน้ี ๑) วรรณคดีภาษาบาลีท่ี
บันทึกพระไตรปิฎก ซ่ึงเป็นคัมภีร์ท่ีสาคัญท่ีสุดในศาสนาพุทธ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตันตปิฎก และพระ
อภิธรรมปิฎก ๒) วรรณคดีที่ไม่ใช่ตัวพระไตรปิฎก ได้แก่ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนา ปกรณ์พิเศษ ตาราบาลี
ไวยากรณ์ และพจนานกุ รม

ภาษาสันสกฤต แปลวา่ ภาษาที่ตกแต่งเป็นระเบียบเรยี บร้อยและขัดเกลาให้ประณีตดีแล้ว หมายถึง ภาษา
ท่ีถูกจดั วางระบบโครงสรา้ งทางภาษาและกาหนดกฎเกณฑ์ทางไวยากรณไ์ ว้อย่างรดั กมุ ดีแลว้

เม่ือพวกอารยันเข้ามาและนาภาษาเข้ามาเช่นนี้ วัฒนธรรมและภาษาพ้ืนเมืองจึงค่อยเข้ามาปน อารยัน
อนิ เดียก็พยายามต่อต้านเพื่อรักษาภาษาด้ังเดิมของตนไว้ การต่อต้านมีสอบแบบ คือ การต่อต้านตามธรรมชาติกับ
การต่อต้านโดยจงใจ อันเป็นเหตุให้ภาษาในอินเดียแตกออกเป็นภาษาใหญ่สองภาษา ซึ่งพวกต่อต้านโดยจงใจคือ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๖

นักปราชญ์และผู้ที่มีช่ือย่ิง คือ นายปาณินิ นายปาณินิต้องการรักษารูปภาษาเดิมไว้อย่างดี จึงได้แต่งหนังสือ
ไวยากรณ์ขึ้น ชื่อว่า “อัษฏาธยายี” โดยนาภาษามาตกแต่งวางระเบียบอย่างละเอียดท่ีสุด พวกต่อต้านพวกที่ ๒
เป็นการต่อต้านตามธรรมชาติคือพยายามใช้ภาษาด้ังเดิมของตนและพยายามรักษาไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้
ต่อต้านด้วยการใช้ ไม่ได้วางกฎเกณฑ์ขึ้นขีดคั่น ภาษาสันสกฤตมีวิวัฒนาการมาจากภาษาของชาวอารยัน ซ่ึง
เรยี กวา่ ภาษาอนิ เดียอารยนั บ้าง ภาษาอารยันอินเดียบ้าง เปน็ การเรียกตามชือ่ ของชนชาตอิ ารยนั ซึง่ ภาษาสันสกฤตได้
ถูกพัฒนามาจากภาษาปรากฤตโบราณ

วรรณคดีภาษาสันสกฤต คือหลักธรรมคาสอนหรือเรื่องราวต่าง ๆ ที่ถูกบันทึกดว้ ยภาษาสันสกฤต สามารถ
จาแนกวรรณคดีภาษาสันสกฤตเปน็ ประเภทต่าง ๆ ได้ ๔ ประเภท ดังนี้ ๑) คัมภรี ์เก่ยี วกับศาสนา ไดแ้ ก่ คัมภรี ์พระ
เวท คัมภีร์ปุราณะ และคัมภีร์ตันตระ ๒) คัมภีร์เก่ียวกับการเมืองการปกครอง ได้แก่ คัมภีร์ธรรมศาสตร์ ๓) คัมภีร์
เกี่ยวกับหลักภาษาและการแต่งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ได้แก่ คัมภีรอ์ ัษฏาธยายี คมั ภรี ์กาพยศาสตร์ และคัมภีร์อ
ลกั การศาสตร์ ๔) คมั ภรี เ์ กี่ยวกบั นาฏศลิ ป์และการขับรอ้ ง ไดแ้ ก่ คมั ภีรส์ ังคีตศลิ ป์และคัมภีร์นาฏศลิ ป์
วัตถุประสงค์

เมอ่ื นกั ศกึ ษาเรยี นจบบทท่ี ๒ มคี วามสามารถไดด้ ังนี้
๑. อธิบายความหมายของภาษาบาลีและสันสกฤตได้
๒. อธิบายประวตั คิ วามเป็นของภาษาบาลีและสนั สกฤตได้
๓. อธิบายววิ ัฒนาการของภาษาบาลีได้
๔. ยกตวั อย่างวรรณคดีภาษาบาลแี ละสันสกฤตได้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๗

บทท่ี ๒
ประวัตภิ าษาบาลีและสนั สกฤต

ในบทน้ี จะได้กล่าวถึงความหมายของภาษาบาลี ประวตั ิความเปน็ มาของภาษาบาลี วิวัฒนาการของภาษา
บาลีในยุคสมัยต่าง ๆ วรรณคดีภาษาบาลีซ่ึงใช้ภาษาบาลีบันทกึ หลักคาสอนของพระพุทธเจ้าตลอดถึงเรื่องราวต่าง
ๆ ในสมยั พุทธกาลถึงปัจจบุ นั ความหมายของภาษาสันสกฤต ประวัติความเป็นมาของภาษาสนั สกฤต และวรรณคดี
ภาษาสนั สกฤตท่ใี ชภ้ าษาสันสกฤตบันทึกเรอ่ื งราวตา่ ง ๆ

๒.๑ ความหมายของภาษาบาลี
ความหมายของภาษาบาลี ตามแนวคิดของนักวชิ าการท้ังหลายดงั นี้
พฒั น์ เพง็ ผลา (๒๕๕๑ : ๑๔) กลา่ ววา่ ความหมายของบาลตี ามแนวมตขิ องพระพทุ ธโฆสาจารย์ พระธรรม

ปาละ พระอรรถกถาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งพระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ได้ให้คาจากัดความไว้ ๓ อย่างคือ ๑) บาลี
หมายถงึ พระพุทธวจนะ คือคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าท้ังหมดทร่ี วบรวมไว้ในพระไตรปิฎก ๒) บาลี หมายถึงภาษา
ของพระไตรปฎิ ก ๓) บาลี หมายถงึ แถวหรอื แนวแห่งพระไตรปฎิ ก

คาว่า บาลี ในความหมายทั้ง ๓ อย่างน้ัน มาจากรากศัพท์ (ธาตุ/root) เดียวกันคือ ปาลฺ ธาตุ ใน
ความหมายว่า รักษา โดยต้ังรูปวิเคราะห์ได้ว่า อตฺถ ปาเลตีติ ปาลิ แปลว่า ภาษาใด ย่อมรักษาซึ่งเน้ือความ ภาษา
น้ัน ช่ือวา่ บาลี

วิลเฮล์ม ไกเกอร์ (Wilhem Geiger, 1986 : 1) กล่าวว่า คาว่า บาลี หมายถึงตาราหลักคือพระไตรปิฎก
ถ้าหมายถึงภาษาก็คือภาษาบาลีซ่ึงเป็นคาไวพจน์ท่ีมีความหมายเหมือนกัน ภาษาบาลีนี้เรียกอีกอย่างหน่ึงว่า
ตันตภิ าษา หมายถงึ ภาษาท่มี รี ะเบยี บแบบแผน

วิสันต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑) กล่าววา่ เดิมทีเดยี วคาว่า บาลี หรอื ปาลิ มไิ ดห้ มายถึงภาษา แต่หมายถึงพระ
พุทธวจนะหรือเนื้อความเดิมในพระไตรปิฎก ในปทานุกรมบาลี – อังกฤษ ของสมาคมบาลีปกรณ์ไดใ้ ห้ความหมาย
ของคาว่า บาลี ไว้ ๒ นัย คือ ๑) แถว แนว เช่น ทนฺตปาลิ (แถวแห่งฟัน) ๒) ธรรม ปริยัติธรรม ตาราธรรมของ
พระพุทธศาสนาที่เป็นหลักด้ังเดิมซ่ึงมีคัมภีร์อธิบายความคือ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกาและโยชนา ตามลาดับ ได้
กลายเปน็ ภาษาหนงั สอื ของพุทธศาสนกิ ชนในปัจจุบนั มีสว่ นสัมพันธใ์ กลช้ ดิ กบั ภาษามาคธี อีกอย่างหน่ึง คาว่า บาลี
เป็นช่ือของภาษาที่บันทึกคาส่ังสอนของพระพุทธองค์ท่ีพระองค์ใช้ประกาศพระศาสนาในระหว่างท่ีดารงพระชนม์
ชีพอยู่ แท้ที่จริงแล้วคาว่า บาลี หรือ ปาลิ มีปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาและในคัมภีร์วิสุทธิมรรคซึ่งพระพุทธโฆษา
จารย์ได้นามาใช้ แต่ใช้ในฐานะความหมายว่า พระพุทธวจนะ หรือเน้ือความเดิมในพระไตรปิฎก หาได้ใช้ใน
ความหมายท่ีเป็นภาษาไม่ และนับตั้งแต่ยคุ ทา่ นพุทธโฆษาจารยเ์ ป็นต้นมา จนถึงพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ – ๒๐ กม็ ีผูใ้ ช้
คาว่า ปาลิ ในความหมายดังกล่าวแล้ว ครั้นหลังจากพุทธศตวรรษท่ี ๑๙ เป็นต้นมา จึงมีผู้นาคาว่า ปาลิ มาใช้ใน
ความหมายว่า พุทธพจน์และภาษาที่ใช้บันทึกคาสอนของพระพุทธเจ้าซ่ึงเรียกว่า ภาษาบาลี จนแพร่หลายมาถึง
ปจั จุบัน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๘

จากแนวคิดของนักวิชาการ สรุปความได้ว่า ภาษาบาลี หมายถึงภาษาที่ใช้บันทึกหรือใช้ถ่ายทอด
หลักธรรมคาสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรวบรวมไว้เป็นหมวดหมู่ เพ่ือให้ง่ายแก่การศึกษาและจดจาคาสอน
นน้ั ได้

๒.๒ ประวตั ภิ าษาบาลี
วิสนั ต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑) กล่าวว่า ประวตั ิภาษาบาลี หลงั จากท่ีพวกอารยัน (บาลวี ่า อริยกะ) เข้ามาตั้ง

ถน่ิ ฐานและมีอานาจในชมพูทวีปเป็นเวลานานกว่า ๑,๕๐๐ ปมี าแล้ว วัฒนธรรมของพวกอารยันก็เข้าไปผสมปนเป
กับวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองเดิม โดยวิวัฒนาการไปเร่ือย ๆ ตามธรรมชาติของภาษา โดยเฉพาะภาษาของผู้ท่ี
ไม่ได้รับการศึกษา ซึ่งวิวัฒนาการมาเป็นภาษามาคธีท่ีใช้พูดกันในแคว้นมคธและแคว้นโกศล ซ่ึงภาษาบาลี เกิดขึ้น
ในสมัยกลางแห่งภาษาอินเดียอารยัน ภาษาอินเดียอารยันในสมัยกลาง ได้แก่ ภาษาปรากฤต ภาษาปรากฤตมี
วิวฒั นาการแบง่ เปน็ ๓ ระยะ คือ ระยะท่ี ๑ สมัยโบราณ ได้แก่ภาษาบาลี ระยะที่ ๒ สมัยกลาง ไดแ้ ก่ภาษาปรากฤต
ถิ่นตา่ ง ๆ ระยะท่ี ๓ สมยั หลัง ไดแ้ กภ่ าษาอปภรัมศะ (พฒั น์ เพง็ ผลา, ๒๕๕๑ : ๑๓) สอดคลอ้ งกับสุภาพร มากแจ้ง
(๒๕๓๕ : ๓ – ๕) กลา่ ววา่ ภาษาบาลเี ปน็ ภาษาปรากฤตทีว่ วิ ัฒนาการมาจากภาษาพระเวทในยคุ กลางของอินเดีย ภาษา
ปรากฤตน้แี บง่ ออกเปน็ ๓ สมัย คือ

๑. ภาษาปรากฤตสมัยเก่า หรือภาษาบาลี ซึ่งประกอบด้วย (๑) ภาษาถิ่นในจารึกพระเจ้าอโศก ประมาณ
กลางศตวรรษที่ ๓ ก่อนคริสตกาล ถึง พุทธศตวรรษที่ ๒ (๒๕๐ ปีก่อนคริสตกาล) (๒) ภาษาบาลีในพระไตรปิฎก
ของหีนยาน คัมภรี ์มหาวงศ์ และคาถาในชาดก (๓) ภาษาในคัมภีร์ทางศาสนาไชนะ (๔) ภาษาในบทละครของอัศว
โฆษะ

๒. ภาษาปรากฤตสมัยกลาง ซ่ึงประกอบด้วย (๑) ภาษามหาราษฏรี ท่ปี รากฏในลานาทอ้ งถ่นิ แถบท่รี าบสูง
เดคคาน (๒) ภาษาปรากฤตในบทละครของกาลิทาส เช่น ภาษามาคธี ภาษาเศารเสนี ฯลฯ รวมท้ังภาษาปรากฤต
ในตาราไวยากรณ์ (๓) ภาษาถิ่นของศาสนาไชนะในยคุ หลงั (๔) ภาษาไปศาจี

๓. ภาษาอปภฺรมฺศ พบในตาราประมาณคริสต์ศตวรรษที่ ๑๐ เป็นระยะสุดท้ายของภาษาในยุคกลางของ
อนิ เดยี

ภาษาปรากฤตสมัยเก่าน้ีได้ถูกนักไวยากรณ์นามาวางกฎเกณฑ์ ซึ่งได้รับอิทธิพลจากกฎเกณฑ์ทาง
ไวยากรณ์ของสันสกฤต และใช้บันทึกพุทธวจนะ ภาษาบาลีจึงเป็นภาษาลักษณะเดียวกับภาษาสันสกฤต คือเป็น
ภาษาสังเคราะห์ (Synthetic Language) ได้แก่ ภาษาทีส่ ร้างข้ึน มิใช่ภาษาทีเ่ กิดเองตามธรรมชาติ นักภาษาตา่ งก็
ยงั ไม่สามารถลงความเห็นได้แนน่ อนว่า ภาษาบาลถี ูกสรา้ งขึ้นจากภาษาปรากฤตภาษาใด ทราบแต่เพยี งว่าโครงสร้าง
ของภาษาบาลใี กล้เคียงกบั ภาษาอรรธมาคธี ทเ่ี ปน็ ภาษาปรากฤตประจาศาสนาไชยะ

ภาษาบาลีถูกนามาใช้บันทึกพุทธวจนะเป็นลายลักษณ์อักษร เมื่อประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๓ ปรากฏ
หลกั ฐานเปน็ ครั้งแรกในจารกึ พระเจา้ อโศกมหาราช ถือเปน็ ภาษาประจาพทุ ธศาสนานิกายหนิ ยาน สว่ นพทุ ธศาสนา
นิกายมหายานใช้ภาษาสันสกฤตบันทึกพุทธวจนะ อีกอย่างหนึ่ง สุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๓ : ๑๕๐) กล่าวว่า
ภาษาบาลีก็คือภาษามาคธีน่ันเอง เป็นภาษาปรากฤตภาษาหน่ึงที่ใช้ในแคว้นมคธ คาว่า บาลี น้ัน เกิดขึ้นในภาษา
ตอนหลัง ซ่ึงกร่อนมาจากคาว่า ธมฺมปาลิยาย ซ่ึงเรียกคาสอนของพระพุทธองค์ที่มีกล่าวไว้ในพระไตรปิฎก เพราะ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๙

เรารับภาษาบาลีมาทางศาสนาและจากคาสอนในพระไตรปิฎก จึงสรุปได้ว่า ภาษาบาลีก็คือภาษา Indic อีกพวก
หน่ึงท่ีวิวัฒนาการมาตามธรรมชาติและใช้กันในแคว้นมคธ ท่ีเรียกกันว่า ภาษามาคธี แต่เรารู้จักในนาม ภาษาบาลี
จดั เป็นภาษา Indic ยุคกลาง (middle Indic)

ในสมยั กลางของอินเดีย เมอื่ ราชวงศ์โมกุลเรอื งอานาจ นับถอื ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจาชาติ ศาสนา
พราหมณ์และศาสนาพุทธก็เริ่มคล่ีคลายออกจากประเทศอินเดียไปสู่ประเทศใกล้เคียง โดยศาสนาพราหมณ์ซ่ึง
วิวัฒนาการเป็นศาสนาฮินดูในกาลต่อมา และศาสนาพุทธนิกายหีนยานขยายตัวลงมาทางใต้สู่ประเทศลังกา และ
ประเทศทางฝ่ังทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของทวปี เอเชีย ส่วนพุทธศาสนานกิ ายมหายานขยายตัวข้ึนไปทางตอนเหนือ
สปู่ ระเทศทเิ บต จีน ญีป่ นุ่ และเวยี ดนาม ตามลาดับ

ตามหลักฐานโบราณคดีพบว่า ศาสนาพุทธนิกายหีนยานเข้ามาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิเป็นครั้งแรกเมื่อ
ประมาณพุทธศตวรรษท่ี ๑๒ (คริสต์ศตวรรษที่ ๗) โดยประมาณจากอายจุ ารึกภาษาบาลีเก่าท่ีสดุ ท่ีขุดพบที่บริเวณ
นครปฐม หรืออาณาจักรทวาราวดีในสมัยโบราณ คือ จารึกคาถา “เย ธมฺมา...” แต่ถ้าจะยึดหลักฐานทาง
ประวัติศาสตร์ ศาสนาพุทธนิกายหีนยานควรจะเข้ามาก่อนหน้าน้ัน คือประมาณพุทธศตวรรษที่ ๓ เมื่อพระเจ้า
อโศกมหาราชส่งสมณทูตออกเผยแพร่พุทธศาสนา สมณทูตสายที่มาสู่ดินแดนสุวรรณภูมิคือ พระโสณเถระ และ
พระอุตรเถระ ดังนั้น ภาษาบาลี คือภาษาท่ีใช้บันทึกคัมภีร์พระไตรปิฎก และคัมภีร์สาคัญ ๆ ของพระพุทธศาสนา
นกิ ายเถรวาท (หีนยาน) พระพุทธศาสนานิกายเถรวาท ปัจจุบันแพร่หลายอยู่ในประเทศไทย ลังกา และพม่า เป็น
ต้น ชาวพุทธในประเทศเหล่านี้เชื่อว่า ภาษาที่ปรากฏในคัมภีร์พระไตรปิฎกและคัมภีร์สาคัญอ่ืน ๆ คือภาษาบาลี
และภาษาบาลคี ือภาษามคธ

เหตุผลท่ีชาวพุทธในประเทศท่ีกล่าวมาเชื่อว่าภาษาบาลีคือภาษามคธ เพราะว่าพระพุทธเจ้าได้ตรัสรู้ที่
พทุ ธคยา แคว้นมคธ และประกาศพระศาสนาในตอนแรกท่ีแคว้นมคธ ดินแดนแคว้นมคธจึงเปน็ เวทที ี่พระพทุ ธเจ้า
ทรงประสบผลสาเร็จในการประกาศพระพุทธศาสนาในระยะเร่ิมแรก พระพุทธเจ้าถึงแม้จะไม่ได้เป็นชาวมคธ แต่
พระองค์ก็ทรงสามารถตรัสภาษามคธได้ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระสัพพัญญูในนิรุกติศาสตร์ อีกอย่างหน่ึงคือ
หลักสูตรการเรียนภาษาบาลีของคณะสงฆ์ไทย มีวิชาแปลอยู่ด้วยวิชาหน่ึง ช่ือว่าวิชาแปลไทยเป็นมคธ และแปล
มคธเป็นไทย คาว่า มคธในความหมายนี้ หมายถึงภาษาบาลีน่ันเอง กล่าวคือแปลไทยเป็นบาลี และแปลบาลีเป็น
ไทย คาบาลีและมคธ จงึ เปน็ คาท่ีใชแ้ ทนกันได้ แตน่ ักปราชญ์บางท่านบอกว่า คาวา่ มคธนั้น เปน็ ช่ือแคว้นมิใช่เป็น
ชอ่ื ภาษา เช่น แคว้นมคธ มีเมอื งหลวงชื่อราชคฤห์ ถ้าเป็นชื่อของภาษาต้องใช้คาว่า มาคธี แต่ภาษามาคธีกับภาษา
บาลีน้ัน มีข้อแตกต่างกันมาก (พัฒน์ เพ็งผลา, ๒๕๕๑ : ๑๓ – ๑๔) สอดคล้องกับสุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๓ :
๑๕๑) เนื่องจากภาษาบาลีก็ดี ภาษาสันสกฤตก็ดี เป็นภาษาที่ยากแก่การศึกษาของสามัญชนจึงใช้อยู่ในวงจากัด
ปัจจุบันจึงกลายเป็นภาษาที่ตายไป (Dead Language) แต่รูปของภาษาใหม่ก็ได้เค้ามาจากภาษาท้ังสอง ปัจจุบัน
อินเดียใช้ภาษา ฮินดี เป็นภาษาราชการ และใช้เขียนด้วยตัวเทวนาครี ภาษาถิ่นอีกถิ่นหนึ่งที่สาคัญคู่ควบกันคือ
ภาษา อรู ดู ซึ่งใช้อยู่ในบางถิ่นและเป็นภาษาราชการของปากีสถาน ภาษาถิ่นย่อยอ่ืน ๆ มี เบงกาลี มาราฐี คุชราตี
ปจั จาบี สิงหล โรมานี (ภาษาของพวกยิบซี) เป็นต้น นอกจากน้ี เรืองอุไร กุสลาสัย (๒๕๐๗ : ๒๗) ได้กล่าวถึงเร่ือง
ภาษาบาลีและสันสกฤตไวว้ ่า นักภาษาศาสตร์ของอนิ เดีย จงึ เปรียบภาษาบาลีเสมอื นหน่ึงกระแสธารที่ไหลมาต้ังแต่
สมัยพระเวทจนถึงปัจจุบัน ส่วนภาษาสันสกฤตน้ันได้รับการอุปมาให้เป็นบึงน้าใหญ่ ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีน้าขังอยู่อย่าง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๐

มากมาย แต่ก็ไม่มีการไหลถ่ายเทไปที่ไหน หรือมิฉะน้ันก็เปรียบภาษาสันสกฤตกับบาลีให้เป็นสองสาว ลูกพ่อแม่
เดียวกัน บาลีนั้นพอเติบโตข้ึนก็มีเหย้ามีเรือนได้ลูกได้หลานสืบตระกูลกันต่อไป ส่วนสันสกฤตพอใจท่ีจะดารงตน
เป็นสาวแกต่ ลอดมา ดว้ ยเหตทุ ่เี ปน็ พ่ีนอ้ งท้องเดียวกันเช่นนี้ สนั สกฤตกับบาลีจึงมีรูปโฉมหน้าตาที่ละม้ายคล้ายคลึง
กัน ถงึ แมว้ า่ เมื่อพูดถึงการตกแตง่ รา่ งกายแล้ว ท้ังสองอาจจะมีวิธีการและรสนิยมท่ีแตกต่างกนั อย่บู า้ ง

ตัวอักษรทใ่ี ช้เขียนภาษาบาลีสันสกฤต ไม่มีตัวอักษรใช้เขยี นที่แน่นอนเป็นของตนเอง เมื่อแพร่หลายไปอยู่
ในถ่ินใดก็ใชอ้ ักษรประจาท้องถ่ินนน้ั เป็นเครือ่ งจารึก ในประเทศอินเดยี ใช้อักษรเทวนาครี ซง่ึ เป็นอกั ษรของอนิ เดีย
ฝ่ายเหนือ เขียนภาษาสันสกฤตและใช้อักษรพราหมี และอักษรคฤณห์ (ปัลละวะ) ซ่ึงพัฒนามาจากอักษรพราหมี
เขียนภาษาบาลี ในประเทศไทย ก่อนประวัติศาสตร์ไทย ใช้อักษรปัลละวะ อักษรเทวนาครี อักษรมอญโบราณ
และอกั ษรขอมโบราณ ในการเขียนภาษาบาลีสันสกฤต ประวัติศาสตร์ไทยสมัยสโุ ขทัย ถงึ รัตนโกสินทร์ รชั กาลที่ ๕
ความนิยมในการใช้อักษรเขียนภาษาบาลีสันสกฤต เป็นดงั น้ี ภาคเหนือ ใช้อักษรธรรมล้านนา ซ่ึงวิวฒั นาการมาจาก
อกั ษรมอญโบราณ ภาคอีสาน ใชอ้ ักษรธรรมอสี าน ซึ่งววิ ฒั นาการมาจากอักษรมอญโบราณ และอักษรขอม (ใชท้ าง
แถบอีสานใต้ คือแถบจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ) ภาคกลางและภาคใต้ ใช้อักษรขอมบรรจง (อักษรมูล) ซ่ึง
วิวฒั นาการมาจากอกั ษรของโบราณ และปจั จุบัน ใช้อกั ษรไทยในการเขยี นภาษาบาลีสันสกฤต

ดังนั้น แหล่งกาเนิดของภาษาบาลีตามมติของพระพุทธโฆษาจารย์ โดยการสนับสนุนและยอมรับของชาว
พทุ ธท่วั ไปอยู่ที่แคว้นมคธ ดนิ แดนทพี่ ระพทุ ธเจ้าทรงประกาศพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรก ดงั จะได้นาทรรศนะของ
นักปราชญท์ ้ังหลายทางบาลีที่เกย่ี วกับแหลง่ กาเนดิ ภาษาบาลีมาเสนอไวโ้ ดยยอ่ ดังน้ี

๑. เบอร์นูฟ และแลซเซน (Burnouf, Lassen) ไม่ยอมรับมติของพระพุทธโฆสาจารย์ พวกเขากล่าวว่า
ภาษามาคธีคือภาษาปรากฤตในทางาทิศตะวันออก มีปรากฏในบทละครภาษาสันสกฤตในยุคหลังมากและ
ไวยากรณบ์ างอย่าง ก็มีปรากฏอยู่ในภาษาปรากฤต ส่ิงเหล่านี้เองนับเปน็ ข้อแตกต่างจากภาษาบาลีมากทเี ดียว ศิลา
จารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชท่อี ยทู่ างทศิ ตะวนั ออกกต็ รงกับภาษามาคธี บทละครภาษาสนั สกฤตทีใ่ ชพ้ ดู น้ัน ก็ไม่
ตรงกับภาษาบาลี เพราะฉะนน้ั มตวิ า่ ภาษาบาลคี ือภาษามาคธี จงึ ไมม่ ีหลักฐานน่าเชื่อถอื ได้

๒. เวสเตอร์การด์ และคูห์น (Westergard and E. Kuhn) ยอมรับว่าภาษาบาลีคือภาษาถ่ินของชาวเมอื งอุ
ชเชนี เหตผุ ลประการแรกคอื การค้นพบศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราชที่เมืองคริ นาร์ (Girnar) ปัจจุบันเรยี กว่า
กุชรัต (Gujarat) อักษรในศิลาจารึกดังกล่าวมีลักษณะใกล้เคียงและคล้ายคลึงกับภาษาบาลีมาก เหตุผลประการท่ี
สองคือ ภาษาของชาวเมืองอุชเชนีคือ ภาษาแม่ (Mother-tongue) ของพระมหินทเถระ ตามประวัติศาสตร์
พระพุทธศาสนา กล่าวว่าพระมหินทเถระ เป็นโอรสของพระเจ้าอโศก มีพระราชมารดาเป็นชาวเมืองอุชเชนี เมื่อ
อปุ สมบทเป็นพระภกิ ษใุ นพระพทุ ธศาสนาแล้ว ได้นาเอาพระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ทป่ี ระเทศลังกา ในสมยั พระเจ้า
เทวานัมปิยติสสะของลังกา ภาษาท่ีพระมหินทเถระนาไปประกาศพระพุทธศาสนาน้นั คือภาษาแมข่ องพระองค์เอง
อนั ได้แก่ภาษาของชาวเมอื งอุชเชนีน่ันเอง มตินี้ฟรังเก (R.O. Franke) มีความเห็นสอดคล้องคือคล้อยตามด้วย แต่
เขามีความเห็นแตกต่างอยู่เลก็ น้อยคือเขากล่าวว่า ถ่ินกาเนิดของภาษาบาลีคือบริเวณต้ังแต่ภาคกลางของประเทศ
จรดเทือกเขาวินชยั ทางตะวันตก กรุงอชุ เชนี เปน็ ศูนยก์ ลางแห่งภมู ภิ าคนี้ด้วย

๓. โอลเดนเบอร์ก และมูลเลอร์ (Oldenberg and Muller) ได้ให้ข้อสังเกตว่า ภาษาบาลีเป็นภาษาของ
ชาวแคว้นกาลงิ คะ ศิลาจารึกแหง่ ขาระเวละ (Kharavela) ท่ีขันทะคริ ี (Khandagiri) แสดงให้เห็นว่ามีภาษาหนึ่งซึ่ง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๑

มีลักษณะคล้ายกับภาษาบาลีมาก โอลเดนเบอร์ก กล่าวว่าพระพุทธศาสนาท่ีถูกนาไปเผยแพร่ในประเทศลังกาน้ัน
ต้องนาไปจากประเทศเพื่อนบ้านชายแดนใกล้เคียงกัน นั่นคือรัฐกาลิงคะ โดยชาติทั้งสองมีความผสมกลมกลืนกัน
ถึงแม้บางครั้งจะทาสงครามกันก็ตาม เขาไม่เชื่อตานานท่ีพระมหิ นทเถระและพระสาวกรูปอื่น ๆ นา
พระพุทธศาสนาไปเผยแพร่ที่ประเทศลังกา เขากล่าวว่าเป็นเร่ืองแต่งขึ้นเอง ไม่มีตัวจริงในประวัติศาสตร์และเขาก็
คดั คา้ นมติของเวสเตอร์การ์ดและคูห์นที่ว่า ภาษาพดู ของพระมหนิ ทเถระคือภาษาของชาวอุชเชนี เขากล่าวว่าพระ
มหินทเถระเกิดที่เมืองเวทิส อโศกกุมาร ครองเมอื งอชุ เชนีอยู่ ๑๐ ปี เมื่อพระราชบิดาสวรรคตแล้ว ได้ย้ายจากกรุง
อุชเชนีไปครองกรุงปาฏลีบุตร มหินทกุมารได้ติดตามพระราชบิดาไปอยู่ท่ีกรุงปาฏลีบุตรต้ังแต่บัดนั้น เม่ืออายุได้
๒๐ ปี มหินทกุมารได้อุปสมบทในพระพุทธศาสนา ระยะเวลาท่ีเจ้าชายมหินทกุมารอยู่ที่กรุงอุชเชนีกับปาฏลีบุตร
ไล่เลี่ยงกันคร้ังบวชแล้ว ได้ศึกษาเล่าเรียนหลักคาสอนของพระพุทธเจ้าที่กรุงปาฏลีบุตร ภาษาของท้ังสองแคว้น
ย่อมแตกต่างกัน พระมหินทเถระน่าจะเรียนภาษาของชาวเมืองปาฏลีบุตรมากกว่าภาษาของชาวเมืองอุชเชนี
เพราะพระสงฆ์ส่วนมากอยู่ในแคว้นมคธ โอลเดนเบอร์ก กล่าวอีกว่าได้มีผู้ค้นพบศิลาจารึกหลักหน่ึงที่แคว้นภิลสา
(Bhilsa) เมืองมาตุภูมิของพระมารดาของพระมหินทเถระ ปรากฏว่าภาษาในศิลาจารึกต่างจากภาษาบาลีมาก
ทีเดยี ว

๔. สเตน โคโนว,์ กรสิ ันและนลินกั ษะ ดัตต์ (Sten-Konow Grierson and Nalinaksha Dutt) เช่ือว่า ถ่ิน
กาเนิดของภาษาบาลี คือบริเวณเทือกเขาวินธัย โดยให้เหตุผลว่าภาษาไพศาจี ปรากฤต มีความสัมพันธ์กับภาษา
บาลีอยา่ งใกล้ชิดและมรี ากฐานมาอยา่ งเดียวกัน ภาษาไพศาจีมถี ิ่นกาเนิดที่บริเวณใกล้เทือกเขาวินธัย กริสันกล่าว
ว่า โดยหลักฐานแล้ว ภาษาบาลีเป็นภาษาพูดของภาษามคธ ภาษาบาลีได้แพร่หลายไปยังเมืองตักกสิลาในแถบ
ตะวันตกเฉียงเหนือ อันเป็นถิ่นกาเนิดของภาษาไพศาจี โดยลักษณะน้ีคาพูดทางตะวันออกท่ีแพร่หลายไปทาง
ตะวันตกเฉียงเหนือไดท้ ้ิงลกั ษณะคาพูดทสี่ าคญั ๆ ของภาษาตะวันออกไว้ด้วย และในขณะเดียวกันก็รบั ลักษณะท่ีดี
เปน็ จานวนมากของภาษาถ่ินตะวนั ตกเฉียงเหนอื

๕. เอส. เค ชัตเตอร์ชี (S.k.Chatterji) ได้ให้ทรรศนะว่าระบบเสียงและลักษณะคาพูดของภาษาบาลี ส่วน
ใหญเ่ หมือนภาษาเศารเสนี แต่มรี ปู คาเกา่ แก่จากภาษาถน่ิ แถบตะวันตกเฉียงเหนือและภาษาถนิ่ อารยันอืน่ ๆ

๖. บี.เอ็ม. บารัว (B.M.Barua) กล่าวว่า หลักฐานที่เป็นภาษาถิ่นสาคัญของภาษาบาลีนั้น อาจมีรูปคามา
จากถ้อยคาในศิลาจารึกของพระเจ้าอโศกมหาราช เขาได้เปรียบเทียบพระพุทธวจนะกับอโศกวจนะว่า มีความ
คลา้ ยคลงึ กนั มากทเี ดยี ว

๗. ซิลเวียง เลว่ี และเฮอร์แมน ลูเดอร์ (Sylvain leve and Hermann Luder) ได้ให้ข้อสังเกตว่า
พระไตรปิฎก ฉบับภาษาบาลีปัจจุบัน ได้ให้ข้อช้ีแจงที่ดีเป็นจานวนมากว่ามีรากฐานมาจากพระไตรปิฎก ฉบับ
เก่าแก่ท่ีแต่งเป็นภาษาถ่ินตะวันออก ดังนั้น พระไตรปิฎก ฉบับแรกนั้น แต่งด้วยภาษาอรรธมาคธี ภาษาปรากฤต
เก่าแก่ทางตะวนั ออก

๘. พ.ี ว.ี บะปัต (P.V. Bapat) กลา่ ววา่ ภาษาอรรธมาคธขี องศาสนาเชน เปน็ รากฐานของภาษาบาลี
๙. ริส เดวิดส์ T.W. Rhys Davids) กล่าววา่ ภาษาบาลมี ีรากฐานมาจากภาษาของชาวโกศลโดยใหเ้ หตุผล
ว่า สถานท่ีประสูติของพระพุทธเจ้าอยู่ท่ีแคว้นโกศล พระพุทธวจนะได้เก่ียวข้องกับ ๒ อาณาจักรคือ อาณาจักร
โกศล และอาณาจักรมคธ ในอินเดียตอนเหนือ ศูนย์กลางของพระพุทธศาสนาอยู่ท่ี ๒ อาณาจักรน้ี ย่ิงไปกว่าน้ัน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๒๒

กรุงกบิลพัสดุ์ เมอื งหลวงของมหาชนรัฐสักกะ อันเป็นสถานที่ประสูติของพระพุทธเจ้า อยู่ในแคว้นโกศลเหมอื นกัน
โดยธรรมชาติภาษาแม่ของพระพุทธเจ้าก็คือภาษาของชาวโกศล ดังนั้นพระพุทธเจ้าอาจทรงแสดงธรรม ของ
พระองค์ด้วยภาษาหน่ึงท่ีพูดกันในแคว้นโกศลและแคว้นมคธ เช่นเดียวกันกับภาษาฮินดีท่ีใช้พูดกันในรัฐอุตตระ
ประเทศและรฐั พิหารในปจั จุบัน

๑๐. ไกเกอรแ์ ละวินดิช (Geiger and Windish) ได้สนับสนุนความเช่อื แบบเก่า ๆ ทว่ี ่าภาษาบาลคี ือภาษา
มาคธี อันเป็นภาษาที่พระพุทธเจ้า ได้ทรงเทศนาส่ังสอนแก่เวไนยสัตว์ เขาได้อ้างถึงพระภิกษุที่มาจากวรรณะ
พราหมณ์ ๒ รูป ในพระวนิ ยั ปฎิ ก จุลลวรรค ตามทกี่ ล่าวแลว้ (พัฒน์ เพ็งผลา, ๒๕๕๑ : ๑๙ – ๒๑)

๒.๓ ววิ ัฒนาการภาษาบาลี
พฒั น์ เพ็งผลา (๒๕๕๑ : ๒๒ – ๒๓) กลา่ วว่า ภาษาบาลีคอื ภาษาทีบ่ ันทึกพระไตรปิฎกของพระพทุ ธศาสนา

นิกายเถรวาท ตามประวัติบอกว่าภาษาบาลีเกิดข้ึนในยุคแรกแห่งภาษาอารยันยุคกลางดังกล่าวมาแล้ว ถ้าจะดู
วิวัฒนาการของภาษาบาลี ต้องดูวิวัฒนาการของวรรณคดีพระพุทธศาสนาประกอบด้วย เพราะภาษาบาลีน้ันเป็น
ภาษาท่บี ันทึกคาสอนของพระพุทธเจา้ ที่เรยี กว่า พระไตรปิฎก นอกจากคัมภีร์หลักคอื พระไตรปิฎกแล้ว ยังมีคัมภีร์
ที่เป็นวรรณคดีในยุคต่อมา เช่น คัมภีร์อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา ปกรณ์พิเศษ โยชนา พจนานุกรมบาลี คัมภีร์บาลี
ไวยากรณ์ เป็นต้น เช่นเดียวกับภาษาปรากฤตที่ได้บันทึกคาสอนของศาสนาเชน ซึ่งมีมหาวีระเป็นศาสดา
เพราะฉะนั้น วรรณคดีบาลหี รือภาษาบาลี มีวิวัฒนาการแบ่งเปน็ ยุคได้ ๔ ยคุ ดงั น้ี

๑. ยุคคาถา หรือยุคร้อยกรอง (The language of the Gatha) ภาษาบาลีในยุคน้ีไม่มีรูปแบบท่ีแน่นอน
ยังคงมีรูปคาพูดเก่า ๆ มากมาย รูปคาพูดเก่า ๆ นี้ ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาอินเดียอารยันโบราณ โดยมีการ
เปลี่ยนแปลงทางด้านเสียง ยกตัวอย่างเช่น รญฺญา เป็นรูปคาที่วิวัฒนาการมาจากรูปแบบภาษาอินเดียอารยัน
โบราณ ส่วนคาว่า ราชิโน เป็นรูปคาใหม่ ภาษาบาลีในยุคนี้นิยมประพันธ์เป็นคาถา หรือ คาร้อยกรอง มีการ
บังคับ ครุ ลหุ ปรากฏอยู่ในคาประพนั ธ์นน้ั ๆ คาประพันธใ์ นสุตตนิบาต เปน็ ตาราตวั อยา่ งในยุคน้ี

๒. ยุคร้อยแก้ว (Prose language) ภาษาบาลีในยุคนี้เป็นยุคร้อยแก้ว มีรูปลักษณะคาประกอบขึ้นด้วย
ส่วนที่เหมือนกันและเป็นภาษามีรูปแบบแน่นอนมากกว่าภาษาบาลีในยุคคาถาหรือร้อยกรอง รูปคาเก่า ๆ ในยุคน้ี
ยังคงรักษาไว้ บางครั้งก็หายไปเลยไม่มีใช้ ภาษาบาลีในยุคร้อยแก้วนี้ มีปรากฏในพระไตรปิฎก ซ่ึงนักปราชญ์ส่วน
ใหญ่มีความเห็นว่า บทร้อยแก้วในพระไตรปิฎกนั้น มีการเพิ่มเติมเข้ามาในภายหลัง โดยพระธรรมสังคหกาจารย์
ท้ังหลาย เป็นผู้รวบรวมพระพุทธวจนะ พระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้านั้น ส่วนมากเป็นคาคาถาหรือคาร้อย
กรองสั้น ๆ กะทัดรัด ได้เน้ือความมาก ภาษาบาลียุคร้อยแก้วนี้ จึงมีลักษณะรูปคาเป็นระเบียบแบบแผนคงเส้นคง
วาได้ดี มโี ครงสรา้ งไวยากรณ์ทแี่ น่นอน พระไตรปฎิ กมีปรากฏในยุคนี้

๓. ยุคร้อยแก้วระยะหลัง (Post prose language) วิวัฒนาการภาษาบาลีในยุคน้ี หมายถึงยุคร้อยแก้วท่ี
แต่งขึ้นภายหลังพระไตรปิฎก วรรณคดีบาลีท่ีแต่งหลังพระไตรปิฎกก็มี คัมภีร์อรรถกถาประเภทต่าง ๆ ของท่าน
พระพุทธโฆสาจารย์ พระธรรมปาละ พระพุทธทัตตะ เป็นต้น นอกจากน้ีก็มีคัมภีร์ปกรณ์พิเศษต่าง ๆ เช่น มิลินท
ปญั หา เนตติปกรณ์ เปฏโกปเทสะ วิสุทธิมรรค เป็นต้น รูปลักษณะภาษาบาลีในยุคน้ี มีมาตรฐานท่ีกา้ วหน้า มีการ
จากัดใช้คาเก่า ๆ มากทเี ดยี วและนอกจากนี้ยงั ไดก้ าหนดรูปแบบที่ดีและสละสลวยข้นึ ใช้ในยุคนี้อีกดว้ ย

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๓

๔. ยุคร้อยกรองประดิษฐ์ (Artificial language) วิวัฒนาการภาษาบาลีในยุคน้ี ไม่มีลักษณะรูปแบบที่
แน่นอนเป็นลักษณะภาษาผสมรูปคาพูดที่ยืมมาจากวรรณคดีเก่า ๆ และวรรณคดีในยุคหลังอย่างอิสระเสรี ภาษา
บาลีในยุคนี้นิยมใช้ภาษาเก่า ๆ และนิยมใช้ภาษาสันสกฤตท่ีเป็นเช่นน้ีอาจจะเป็นเพราะผู้แต่งไม่รู้ภาษาบาลีดี
เท่าทค่ี วร จงึ แตง่ ข้ึนมาโดยอาศยั คาศพั ทต์ ่าง ๆ จากพจนานกุ รมกเ็ ป็นได้

๒.๔ วรรณคดภี าษาบาลี
พัฒน์ เพ็งผลา (๒๕๕๑ : ๒๔ – ๒๕) กล่าวว่า วรรณคดบี าลแี บ่งออกเป็น ๒ ชนิดใหญ่ ๆ คอื
๑. วรรณคดีบาลีท่ีเป็นตัวพระไตรปิฎก (Canonical Literature) หมายถึงพระไตรปิฎกน่ันเอง คาว่า

พระไตรปิฎกแยกศัพท์ได้ว่า ไตร + ปิฎก แปลตามอักษรว่า ตะกร้า หรือ กระจาด ๓ ใบ หมายถึงคัมภีร์หลักที่
สาคัญท่ีสดุ ๓ คมั ภรี ข์ องพระพทุ ธศาสนาคือ

๑) พระวินัยปิฎก ว่าด้วยพระวินัย แบ่งเป็น ๕ คัมภีร์คือ (๑) มหาวิภังค์ หรือ ภิกขุวิภังค์ ว่าด้วยศีล
ของพระภิกษุ ๒๒๗ ข้อ (๒) ภิกขุณีวิภังค์ ว่าด้วยศลี ของภิกษุณี ๓๑๑ ข้อ (๓) มหาวรรค ว่าด้วยวรรคใหญ่ แบง่ เป็น
๑๐ หมวด (๔) จลุ ลวรรควา่ ด้วยวรรคเลก็ แบง่ เป็น ๑๐ หมวด (๕) ปรวิ ารวา่ ดว้ ยหวั ขอ้ เบด็ เตลด็ ต่าง ๆ

๒) พระสุตตันปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาท่ัว ๆ ไป มีประวัติและเร่ืองราวประกอบ แบ่งเป็น ๕
หมวดคือ (๑) ทีฆนิกาย ว่าด้วยพระสูตรหมวดยาว (๒) มัชฌิมนิกาย ว่าด้วยพระสูตรหมวดปานกลาง (๓) สังยุตต
นิกาย ว่าด้วยพระสูตรหมวดที่ประมวลเป็นเร่ืองเดียวกัน (๔) อังคุตตรนิกาย ว่าด้วยหมวดยิ่งด้วยองค์คือจัดลาดับ
ธรรมะไว้เป็นหมวด ๆ ตามลาดับ เช่น หมวดหนึ่ง หมวดสอง หมวดสาม เป็นต้น (๕) ขุททกนิกาย ว่าด้วยหมวด
เลก็ น้อยท่จี ัดเขา้ ในหมวดทง้ั สไ่ี ม่ได้

๓) พระอภิธรรมปิฎก ว่าด้วยพระธรรมเทศนาท่ีเป็นข้อธรรมะล้วน ๆ ไม่มีประวัติและเรื่องราว
ประกอบ แบ่งเป็น ๗ คัมภีร์ คือ (๑) สังคณี ว่าด้วยการรวบรวมหมู่ธรรมะแล้วจัดเป็นประเภท (๒) วิภังค์ ว่าด้วย
การแยกธรรมะออกเป็นข้อ ๆ (๓) ธาตุกถา ว่าด้วยธาตุ จัดธรรมโดยธาตุต่าง ๆ (๔) ปุคคลบัญญัติ ว่าด้วยบญั ญตั ิ ๖
ประการ (๕) กถาวัตถุ ว่าด้วยคาถามและคาตอบ อย่างละ ๕๐๐ ข้อ (๖) ยมก ว่าด้วยธรรมะเป็นคู่ ๆ (๗) ปัฏฐาน
วา่ ด้วยปัจจัยตา่ ง ๆ ๒๔ ประการ

๒. วรรณคดที ไ่ี ม่ใช่ตัวพระไตรปฎิ ก (Non-Canonical Literature) มดี ังน้ี
๑) อรรถกถา คือคัมภรี ์ท่ีแต่งขึน้ มาเพื่ออธิบาย ขยายความในพระไตรปิฎก
๒) ฎกี า คอื คมั ภีร์ทแ่ี ตง่ ข้ึนมาเพ่อื อธบิ าย ขยายความในคมั ภีรอ์ รรถกถา
๓) อนุฎีกา คือคัมภรี ท์ ีแ่ ตง่ ขึน้ มาเพอ่ื อธิบาย ขยายความในคัมภรี ฎ์ ีกา
๔) โยชนา คือคัมภีร์ที่แต่งอธิบายคา และให้ความหมายคาของอรรถกถา ฎีกา หรือ อนุฎีกา เช่น

โยชนาคัมภีร์สมนั ตปาสาทิกา เป็นตน้
๕) ปกรณ์พิเศษ คือคัมภีร์ท่ีแต่งอธิบายธรรมะของพระพุทธเจ้าออกพิสดารออกไปเช่น มิลินทปัญหา

วสิ ทุ ธมิ รรค เป็นตน้
๖) ตาราบาลีไวยากรณ์ คือคัมภีร์ท่ีแต่งขึ้นเพ่ือวางหลัก ระเบียบของภาษาบาลี เช่น คัมภีร์กัจจายนะ

เปน็ ตน้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๒๔

๗) พจนานกุ รม คือ หนังสือทรี่ วบรวมศพั ทต์ า่ ง ๆ พร้อมทงั้ ให้คาแปล เช่น ธาตมุ ัญชสุ า เปน็ ตน้

๒.๕ ความหมายของภาษาสันสกฤต
ความหมายของภาษาสนั สกฤตตามแนวคดิ ของนักวชิ าการทั้งหลาย มีรายละเอยี ดดังนี้
สวามีสัตยานนั ทปรุ ี (๒๕๒๓ : ๑) ให้ความหมายไวว้ ่า สันสกฤต แยกศัพทเ์ ป็น ส + ส + กฤต แปลว่าภาษา

ที่ปรุงแต่งขึ้นอย่างดี มีความหมาย ๒ อย่างคือ ๑) ในความหมายแคบ หมายถึงภาษาสันสกฤตแบบคลาสสิค
(Classical Sanskrit) ท่ปี าณนิ ิไดป้ รบั ปรุงมาจากภาษาพระเวทและได้วางกฎไวยากรณไ์ ว้อยา่ งแน่นอนรดั กมุ ๒) ใน
ความหมายกว้าง หมายถึงภาษาสันสกฤตแบบคลาสสิคและภาษาสันสกฤตก่อนสมัยคลาสสิคคือภาษาพระเวท
(Vedic Language)

วสิ ันต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๒) ให้ความหมายไว้วา่ สนั สกฤต แปลวา่ ปรับปรงุ ดีแล้ว ตกแตง่ ดแี ล้ว
บรรจบ พนั ธุเมธา (๒๕๑๕ : ๓) ให้ความหมายไว้วา่ สนั สกฤต หมายถึง ภาษาด้ังเดิม คือภาษาทีเ่ กดิ ขนึ้ เอง
โดยธรรมชาติบคุ คลไมไ่ ด้ตกแต่งสรา้ งสรรขึ้นมา
ประเทอื ง ทนิ รัตน์ (๒๕๓๘ : ๓๓) ให้ความหมายไวว้ า่ สันสกฤต มาจากศัพท์ว่า samฺskrฺta หรอื sanskrฺta
ที่มาของศัพท์น้ีคือ อุปสรรค samฺ (ส) รากศัพท์ หรือ ธาตุ krฺ (กฤ-ทา) และปัจจัย ta (ต) และเติมพยัญชนะ s (สฺ)
เขา้ มาแทรกระหวา่ ง samฺ กับ krฺ เพื่อความสะดวกในการออกเสยี ง เมอ่ื ประกอบกนั เขา้ กไ็ ดร้ ปู เปน็ samฺskrฺta และ
มีการออกเสยี งเปน็ sanskrฺta (สนฺ สกฺ ฤต) บ้าง ดังนัน้ ศัพท์นี้จึงปรากฏเปน็ ๒ รปู คอื samฺskrฺta บา้ ง sanskrฺta บ้าง
เมือ่ เรารับมาเขียนในภาษาไทยก็ยงั เขียนเป็น สสกฤตบา้ ง สันสกฤตบ้าง แต่ในภาษาองั กฤษจะมเี ขยี นเป็น Sanskrit
โดยรูปทางไวยากรณ์แล้ว ศัพท์ว่า Samฺskrฺta เป็นคาขยาย และเป็นคากริยา ท่ีกล่าวถึงกรรมด้วยมีชื่อเรียกทาง
ไวยากรณว์ า่ Past Passive Participle
ศัพท์ว่า samฺskrฺta มีความหมายหลายอย่างเช่น put together, construted. Well or completely
formed, perfect, made ready, prepared, completed, finished, dressed, cooked, consecrated,
sanctified, hallowed, initiated, refined, adorned, ornamented, polished, highly elaborated เป็นต้น
เม่ือนาศัพท์นี้มาขยายคาว่า vacanam (ถ้อยคา) ก็จะได้เป็น samฺskrฺtamฺ vacanam (สสฺกฤต วจนมฺ) และมี
ความหมายว่า ถ้อยคาที่ขัดเกลาแล้ว หรือถ้อยคาที่ทาให้ประณีตอย่างสูง และต่อมาคาว่า vacanam ก็มี
ความหมายขยายกว้างขึ้นคอื หมายถึงภาษาในทีส่ ดุ
ราชบัณฑิตยสถาน (๒๕๕๖ : ๑๒๐๗) ให้ความหมายไว้ว่า สันสกฤต หมายถึง น. ชื่อภาษาในตระกูล
อินเดีย–ยุโรป ซ่ึงมีใช้ในวรรณคดีอินเดียโบราณ เช่น คัมภีร์ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท ต่อมาใช้ในวรรณคดีของ
พราหมณ์โดยทั่วไป และในคัมภีร์พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ใช้ว่า สังสกฤต ก็มี ว. ท่ีทาให้ดีพร้อมแล้ว ที่ทาให้
ประณีตแลว้ , ท่ีขัดเกลาแลว้
ปรีชา ทิชินพงศ์ (๒๕๓๔ : ๓) ให้ความหมายไว้ว่า สสกฤต แปลตามศัพท์ว่า ส่ิงท่ีได้จัดระเบียบและขัด
เกลาเรยี บรอ้ ยดแี ล้ว

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๒๕

จากแนวคิดของนักวิชาการทั้งหลาย สรุปความหมายของภาษาสันสกฤตได้ว่า ภาษาสันสกฤต แปลว่า
ภาษาท่ตี กแต่งเป็นระเบียบเรียบร้อยและขัดเกลาให้ประณีตดีแล้ว หมายถงึ ภาษาที่ถูกจดั วางระบบโครงสรา้ งทาง
ภาษาและกาหนดกฎเกณฑ์ทางไวยากรณ์ไว้อยา่ งรดั กมุ ดีแลว้

๒.๖ ประวัติภาษาสันสกฤต
ภาษาสันสกฤตมีวิวัฒนาการมาจากภาษาของชาวอารยัน ซึ่งเรียกว่า ภาษาอินเดียอารยันบ้าง ภาษา

อารยันอินเดียบ้าง เป็นการเรียกตามชื่อของชนชาติอารยัน ซ่ึงภาษาสันสกฤตได้ถูกพัฒนามาจากภาษาปรากฤต
โบราณ

ประวัติภาษาสันสกฤต หลังจากท่ีพวกอารยันได้อพยพเข้ามาอยู่ในชมพูทวีปซึ่งกินระยะเวลายาวนานไม่
น้อยกว่าพันปีแล้ว พวกอารยันเหล่านี้ก็คงใช้ภาษาไวทิกะเป็นเคร่ืองมือสื่อสารติดต่อกันอยู่ แต่เน่ืองจากระยะกาล
อันยาวนานวัฒนธรรมของพวกอารยันก็เข้าไปผสมสานกับวัฒนธรรมของชาวพื้นเมืองทาให้วัฒนธร รมของพวก
อารยันเปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ในระยะเวลาอันไล่เล่ียกันน้ี ได้มีนักปราชญ์คนหน่ึงเกิดขึ้นในท่ามกลางพวก
อารยัน ท่านผู้น้ีมีชื่อว่า “ปาณินิ” ผู้ซึ่งมองเห็นการณ์ไกลออกไปว่า หากปล่อยให้ภาษาไวทิกะ (ภาษาพระเวท)
เป็นไปตามสภาพการณ์ท่ีเป็นอยู่ในขณะน้ัน ไม่ช้าภาษาไวทิกะคงจะปะปนกับภาษาอ่ืนและถึงความวิบัติไปในท่ีสุด
เพื่อป้องกันความวิบัติซึ่งอาจจะเกิดข้ึนแก่ภาษาไวทิกะของท่าน จึงได้แต่งหนังสือขึ้นเล่มหน่ึงช่ือว่า “อัษฏาธยายี”
เป็นหนังสือไวยากรณ์ที่มีชื่อเสียงมากที่สุด เป็นตาราไวยากรณ์เล่มแรกท่ีได้วางกฎเกณฑ์ในการใช้ภาษาของพวก
อารยันไว้อย่างรัดกุมและละเอียดถี่ถ้วน ต้ังแต่น้ันมาคาว่า สสกฤต หรือ สันสกฤต จึงเกิดขึ้นในฐานะที่เป็นช่ือของ
ภาษาดงั ทีเ่ ราเรียกกนั วา่ ภาษาสันสกฤต ในปัจจบุ ันน้ี ก่อนหน้ายุคของปาณินไิ มป่ รากฏว่า มีการใชค้ าว่า สนั สกฤต
ในฐานท่ีเป็นช่ือของภาษาเลย (วิสันต์ กฎแก้ว, ๒๕๔๕ : ๒) สอดคล้องกับสุธิวงศ์ พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๓ : ๑๔๙ –
๑๕๐) กล่าวไว้ว่า เม่ือพวกอารยันเข้ามาและนาภาษาเข้ามาเช่นน้ี วัฒนธรรมและภาษาพื้นเมืองจึงค่อยเข้ามาปน
อารยนั อินเดียก็พยายามตอ่ ต้านเพื่อรักษาภาษาดัง้ เดิมของตนไว้ การตอ่ ต้านมสี อบแบบ คือ

การต่อต้านตามธรรมชาติ กับการต่อต้านโดยจงใจ อันเป็นเหตุให้ภาษาในอินเดียแตกออกเป็นภาษาใหญ่
สองภาษา ซึ่งพวกต่อตา้ นโดยจงใจคอื นกั ปราชญ์และผูท้ ี่มีชอ่ื ย่ิง คอื นายปาณินิ นายปาณินติ ้องการรักษารูปภาษา
เดิมไว้อยา่ งดี จึงได้แต่งหนังสือไวยากรณ์ขึ้น ช่อื ว่า “อษั ฏาธยายี” โดยนาภาษามาตกแต่งวางระเบียบอยา่ งละเอยี ด
ที่สุด และผู้น้ีได้รับยกย่องกันว่าเป็นนักไวยากรณ์ท่ีดีเย่ียมเพราะวางกฎเกณฑ์ทางภาษาได้รัดกุมมาก การที่นาย
ปาณินินาภาษาจัดระเบียบโดยจงใจแบบ “สนฺสการ” จึงมผี ูเ้ รียกภาษาท่ีเขาแต่งขนึ้ ใหม่นั้นว่า “สสกฤต” คือภาษา
ทีว่ างระเบียบหรือชาระดีแลว้ เรียกกันทางภาษาสากลวา่ Classical Sanskrit และเมอื่ เกิดช่ือสันสกฤตขึ้นแล้ว จึง
ได้เรียกชื่อภาษาในพระเวทให้ต่างกันไปว่า Vedic Sanskrit (ท้ังภาษา Indic Sanskrit และ Classical Sanskrit
ยงั คงจัดเป็นพวก Old-Indic) ภาษาสันสกฤตนี้ถือกนั ว่าเป็นภาษาของนักปราชญ์เป็นภาษาช้ันสูง ผู้หญงิ ใชไ้ ม่ได้ดัง
ตัวอย่างใน บทละครอินเดีย จะพบว่าตัวละครท่ีจะพูดภาษาสันสกฤตนั้นมีแต่ผู้ชายสูงศักดิ์ ถ้าเป็นผู้หญิงหรือคน
สามัญจะพดู ภาษาปรากฤต และตัวท่ไี ม่สาคัญตัวอนื่ ๆ ใชภ้ าษาถ่นิ ตา่ ง ๆ ตามลักษณะของตวั ละคร

พวกต่อต้านพวกท่ี ๒ เป็นการต่อต้านตามธรรมชาติคือพยายามใช้ภาษาดั้งเดิมของตนและพยายามรักษา
ไว้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้ ต่อต้านด้วยการใช้ ไม่ได้วางกฎเกณฑ์ข้ึนขีดค่ัน แต่ภาษาเป็นวัฒนธรรมอย่างหน่ึง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๒๖

ย่อมจะถ่ายเทกันได้เสมอ เพราะเมื่อประชาชนคบค้ากันภาษาย่อมปนเปกัน เวลาและเหตุการณ์อื่นได้ค่อย ๆ
เปล่ียนรูปภาษาอารยันไปทีละนิดตามธรรมชาติ จนต่างไปจากภาษาเดิมคล้ายอีกภาษาหนึ่งและเรียกภาษาที่
เปล่ียนมาตามธรรมชาติน้ีว่าภาษา ปรากฤต (ปฺรกฺฤติ คือ ธรรมชาติ) ภาษาปรากฤต (เทียบภาษาไทยเรา ภาษา
อสี าน ภาษาเหนือ และภาษาใต้ มีลกั ษณะเป็นภาษาปรากฤต) มีหลายกลุม่ ด้วยกนั ใช้อยู่ในแคว้นตา่ ง ๆ ของอินเดีย
ทส่ี าคัญคือ ภาษาปรากฤตที่ใชใ้ น แคว้นมคธ หรือท่ีเรียกว่า ภาษามาคธี ซึ่งใช้อยู่ทางตะวันออก และท่ีสาคัญเคียง
บ่าเคียงไหล่กัน คือภาษาเศารเสนี ซึ่งใช้อยู่ทางตะวันตก ทั้งสองภาษามีผลงานทางภาษาเรียกว่า Apabhransha
หรือ Apabhramsas อันเกิดจากนักไวยากรณ์ชาวพ้ืนเมือง ภาษามาคธีเป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าทรงใช้ประกาศ
พระธรรม เพราะทรงเห็นวา่ เป็นภาษาท่ีประชาชนสว่ นใหญ่ใช้ได้และเข้าใจดีอันจะเป็นประโยชน์ทาใหท้ ุกคนเรียนรู้
หลักธรรมและเข้าถงึ ได้ง่าย ด้วยเป็นภาษาท่ีเกิดตามธรรมชาติดังกล่าวแล้ว แต่อย่างไรก็ตามภาษาท้งั สองนี้ (มาคธี
และสนั สกฤต) ไม่ได้ไกลกนั นัก และยงั มรี อยประดษิ ฐอ์ ยู่ ซึง่ เรยี กว่าภาษาศิลปะ (Artificail Language) ด้วยกัน

ดังน้ันจะเห็นได้ว่า ภาษาของพวกอารยันท่ีเข้าไปตั้งหลักแหล่งอยู่ในชมพูทวีปได้เปลี่ยนแปลงไปในสอง
รูปแบบคอื เป็นภาษาโบราณดั้งเดิมซ่ึงไมส่ ู้จะมีกฎเกณฑ์รัดกุมมากนัก ดงั ทเี่ รียกกันว่า ไวทิกภาษา หรือ ภาษาพระ
เวท ส่วนอีกแบบหนึ่งน้ันได้แก่ภาษาท่ีปาณินิได้วางกฎเกณฑ์ไว้อย่างรัดกุมมาก ซ่ึงเรียกว่า สันสกฤต โดยเหตุที่
ภาษาสันสกฤตมีกฎเกณฑ์รัดกุมมากเช่นน้ี จึงทาให้ภาษาสันสกฤตกลายเป็นภาษาของผู้มีการศึกษาสูงหรือภาษา
ทางวรรณคดี ยากที่ประชาชนธรรมดาจะสามารถเข้าใจหรือนามาใชใ้ นชีวติ ประจาวันได้

ตามประวัติทางภาษาศาสตร์ ภาษาสันสกฤตจัดอยู่ในตระกลู ภาษาอินโด–ยุโรป (Indo – European) การ
จัดเช่นนี้อาศัยทฤษฎีที่ว่ามีคาจานวนมหาศาลที่ภาษาสันสกฤต และภาษาต่าง ๆ ในทวีปยุโรปใช้ร่วมกัน จึงเชื่อได้
วา่ ภาษาเหลา่ นม้ี าจากตระกูลภาษาเดียวกนั ดังตวั อย่างเชน่ คาวา่ บิดา มารดา ในภาษาสันสกฤตมาจากศัพทว์ ่า pitrฺ
และ matrฺ ในภาษาลาตินมีคาว่า pater และ mater ในภาษากรีกมีคาว่า patér และ métér ในภาษาอังกฤษใช้
คาว่า father และ mother ส่วนภาษาเยอรมันใชค้ าว่า vater และ mutter เป็นต้น ภาษาสันสกฤตที่ใช้แต่งคมั ภีร์
ฤคเวทก็ไม่เหมือนกันกับภาษาสันสกฤตสมัย ภาษาสันสกฤตจึงแบ่งเป็น ๒ ยุคใหญ่ ๆ คือ ๑. ภาษาสันสกฤตสมัย
พระเวท (Vedic Sanskrit) เป็นภาษาสันสกฤตรุ่นเก่า มีระบบไวยากรณ์โดยเฉพาะ ๒. ภาษาสันสกฤตมาตรฐาน
(Classical Sanskrit) เป็นภาษาสันสกฤตรุ่นหลังที่ได้รับการพัฒนาจากภาษาสันสกฤตสมัยพระเวท ให้มีระบบ
ไวยากรณ์ทีแน่นอน โดยเฉพาะอย่างย่ิงเรื่องกฎเกณฑ์ของสนธิจะมีความชัดเจนและแน่นอนมาก (ประเทือง
ทนิ รตั น,์ ๒๕๓๘ : ๓๓ – ๓๕)

ในสมัยกลางของอินเดีย เมื่อราชวงศ์โมกุลเรืองอานาจ นับถือศาสนาอิสลามเป็นศาสนาประจาชาติ
ศาสนาพราหมณ์และศาสนาพุทธกเ็ ริ่มคลคี่ ลายออกจากประเทศอนิ เดียไปสปู่ ระเทศใกล้เคยี ง โดยศาสนาพราหมณ์
ซ่ึงวิวฒั นาการเป็นศาสนาฮนิ ดใู นกาลตอ่ มา และศาสนาพุทธนิกายหนี ยานขยายตัวลงมาทางใตส้ ู่ประเทศลังกา และ
ประเทศทางฝ่ังทะเลตะวันออกเฉียงใต้ของทวปี เอเชีย ส่วนพทุ ธศาสนานิกายมหายานขยายตัวขนึ้ ไปทางตอนเหนือ
สู่ประเทศทเิ บต จีน ญี่ปุ่น และเวยี ดนาม ตามลาดับ

จารึกภาษาสันสกฤตเก่าที่สุดในประเทศไทย พบท่ีนครศรีธรรมราช เมื่อพุทธศตวรรษท่ี ๑๔ พ.ศ. ๑๓๑๘
(ค.ศ. ๗๗๕) มีเน้ือความสรรเสรญิ พระเจ้าแผ่นดินแหง่ อาณาจกั รศรวี ิชัย และกล่าวถึงการสรา้ งปราสาทอิฐสามหลัง
บูชาพระโพธิสัตว์ปัทมปาณี บูชาพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์วัชรปาณี แสดงอิทธิพลของพุทธศาสนานิกาย

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๒๗

มหายาน และตัวอักษรท่ีใช้เขียนภาษาบาลีสันสกฤต ไม่มีตัวอกั ษรใชเ้ ขียนทีแ่ น่นอนเป็นของตนเอง เมื่อแพร่หลาย
ไปอยู่ในถิ่นใดกใ็ ช้อกั ษรประจาท้องถ่ินน้ันเป็นเคร่อื งจารกึ ในประเทศอินเดีย ใช้อกั ษร เทวนาครี ซง่ึ เป็นอักษรของ
อินเดียฝ่ายเหนือ เขียนภาษาสันสกฤตและใช้อักษรพราหมี และอักษรคฤณห์ (ปัลละวะ) ซึ่งพัฒนามาจากอักษร
พราหมี เขียนภาษาบาลี ในประเทศไทย ก่อนประวัติศาสตร์ไทย ใช้อักษร ปัลละวะ อักษรเทวนาครี อักษรมอญ
โบราณ และอักษรขอมโบราณ ในการเขียนภาษาบาลีสันสกฤต ประวัติศาสตร์ไทยสมัยสุโขทัย ถึง รัตนโกสินทร์
รัชกาลท่ี ๕ ความนิยมในการใช้อักษรเขียนภาษาบาลีสันสกฤต เป็นดังนี้ ภาคเหนือ ใช้อักษรธรรมลานนา ซึ่ง
ววิ ฒั นาการมาจากอักษรมอญโบราณ ภาคอีสาน ใชอ้ กั ษรธรรมอีสาน ซึ่งวิวฒั นาการมาจากอักษรมอญโบราณ และ
อักษรขอม (ใช้ทางแถบอีสานใต้ คือแถบจังหวัดบุรีรัมย์ สุรินทร์ศรีสะเกษ) ภาคกลางและภาคใต้ ใช้อักษรขอม
บรรจง (อักษรมูล) ซ่ึงวิวัฒนาการมาจากอักษรของโบราณ และปัจจุบัน ใช้อักษรไทยในการเขียนภาษาบาลี
สนั สกฤต (สภุ าพร มากแจง้ , ๒๕๓๕ : ๔ – ๕)

อกี อย่างหน่ึง ภาษาสันสกฤต เป็นภาษาที่บุคคลสรา้ งสรรค์ข้ึนมา ไม่ได้เกิดข้ึนมาเองตามธรรมชาติเหมือน
ภาษาปรากฤต ภาษาสันสกฤตมีอักษรเป็นของตนเอง เรียกว่า อักษร เทวนาครี ซ่ึงมีลักษณะเป็นเส้นตรงและ
เหล่ียม เป็นอักษรของชาวอินเดียฝ่ายเหนือ ได้ดัดแปลงรูปอักษรมาจากอักษรพราหมีของพระเจ้าอโศกมหาราช
สาหรับชาวอินเดียฝ่ายใต้ ก็มีรปู อักษรของตนเองเหมือนกัน เรียกว่า อักษรคฤนถ์ ซ่ึงอักษรน้ีมีรูปลักษณะกลมและ
มหี นามเตยชาวอินเดียฝ่ายใตไ้ ด้ดัดแปลงอักษรคฤนถ์น้ีมาจากอักษรพราหมีเช่นเดียวกนั อกั ษรคฤหถ์น้ีมอี ทิ ธพิ ลต่อ
การเกิดข้ึนของอักษรมอญ พม่า เขมร ไทย และอักษรของประเทศในอาเซียนตะวันออกเฉียงใต้ด้วย (พัฒน์
เพง็ ผลา, ๒๕๕๑ : ๑๑)

๒.๗ วรรณคดีภาษาสันสกฤต
พฒั น์ เพง็ ผลา (๒๕๕๑ : ๑๓) ไดส้ รปุ วรรณคดสี ันสกฤตไวด้ งั นี้
๑. คัมภีร์พระเวท ได้แก่ ฤคเวท ยชุรเวท สามเวท และอถรรพเวท พระเวททั้ง ๔ นป้ี ระกอบด้วยคัมภีร์ ๓

ประเภทคือ สหิตา (บทร้อยกรอง) สดุดีเทพเจ้า คัมภีร์พราหมณะ (ร้อยแก้ว) บูชายัญและคัมภีร์อารัณยกะและ
อปุ นษิ ทั กลา่ วถงึ เรอ่ื งเทพเจา้ โลก และมนษุ ย์

๒. มหากาพย์ ได้แก่มหาภารตะและรามายณะ มหาภารตะ ผู้จรนา คือ ฤาษีเวทวฺยาส หรือ กฤษฺณ ไทว
ปายนะ มีโศลกถึง ๑๐๐,๐๐๐ บทหรือ ๒๒๐,๐๐๐ บรรทัด กล่าวถึงพ่ีน้องสองตระกูลรบกัน รามยณะ ผู้รจนาคือ
ฤาษี วาลมกี ี มโี ศลกถึง ๒๔,๐๐๐ บท กลา่ วถงึ พระรามตามนางสดี า

๓. คมั ภีร์ปุราณะ กล่าวถงึ เร่อื งราวท่ีมมี าแตโ่ บราณ
๔. คัมภีรต์ ันตระ กล่าวถึงคาสอนลกึ ลบั ทางไสยศาสตร์ เวทมนต์
๕. คัมภีร์ธรรมศาสตร์ กล่าวถึงหลักกฎหมาย อรรถศาสตร์ กล่าวถึงการเมือง การทูต การคลัง และการ
ปกครอง กามศาสตร์ กล่าวถึงโลกทางกาม
๖. ตารากาพยก์ ลอนโคลงฉนั ท์ ที่เรยี กว่า กาพยศาสตร์ อลงั การศาสตร์ หรือสาหติ ยศาสตร์
๗. ตาราไวยากรณ์ มคี ัมภรี ์อษั ฏาธยายี ของปาณินิ เป็นต้น
๘. ตารานาฏศลิ ป์ สงั คีตศลิ ป์ และอื่น ๆ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๒๘

จากการรวบรวมวรรณคดีภาษาสันสกฤตของนักวิชาการในเบ้ืองต้น สามารถจาแนกวรรณคดีภาษา
สันสกฤตเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ ๔ ประเภท ดังน้ี ๑) คัมภีร์เกี่ยวกับศาสนา ได้แก่ คัมภีร์พระเวท คัมภีร์ปุราณะ
และคัมภีร์ตันตระ ๒) คัมภีร์เก่ียวกับการเมืองการปกครอง ได้แก่ คัมภีร์ธรรมศาสตร์ ๓) คัมภีร์เก่ียวกับหลักภาษา
และการแต่งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ได้แก่ คัมภีร์อัษฏาธยายี คัมภีร์กาพยศาสตร์ และคัมภีร์อลักการศาสตร์ ๔)
คัมภรี เ์ ก่ียวกับนาฏศลิ ปแ์ ละการขบั ร้อง ไดแ้ ก่ คัมภรี ส์ งั คีตศลิ ป์และคมั ภีรน์ าฏศิลป์

เพือ่ ความกระจ่างชัดขอยกอปุ มาอปุ ไมยของทา่ นผู้รูม้ าเสริมไวใ้ ห้เข้าใจชัดเจน ดงั น้ี
“นักภาษาศาสตร์ของอินเดีย ได้เปรียบภาษาบาลีเสมือนหน่ึงกระแสธารท่ีไหลมาต้ังแต่สมัยพระเวทจนถึง
ปัจจบุ ัน ส่วนภาษาสนั สกฤตนั้นได้รับการอปุ มาใหเ้ ป็นบึงใหญ่ ซึ่งถงึ แม้วา่ จะมีนา้ ขังอยู่มากมาย แต่กไ็ ม่มีการไหลถ่ายเท
ไปทีไ่ หน หรือมฉิ ะน้นั กเ็ ปรยี บภาษาสันสกฤตกบั ภาษาบาลีใหเ้ ป็นสองสาวลกู พ่อแมเ่ ดียวกัน ภาษาบาลนี ้ันพอเติบโตขึน้ ก็
มีเหย้ามีเรือนได้ลูกได้หลานสืบตระกูลกันต่อไป ส่วนสันสกฤตพอใจท่ีจะดารงตนเป็นสาวแก่ตลอดมา ด้วยเหตุท่ีเป็นพี่
น้องทอ้ งเดียวกันเชน่ นี้ สนั สกฤตกับบาลจี ึงมรี ูปโฉมหน้าตาละมา้ ยคลา้ ยคลึงกันถงึ แม้ว่าเม่อื พดู ถงึ การตกแต่งรา่ งกายแล้ว
ทั้งสองอาจจะมวี ิธีการและรสนยิ มแตกต่างกนั อยู่บ้าง” (มหาวทิ ยาลัยเชยี งใหม่, ๒๕๒๒ : ๗)

สรปุ ท้ายบท
ภาษาบาลี มีความหมาย ๓ นัย ได้แก่ หลักคาสอนของพระพุทธเจ้า ภาษาท่ีใช้บันทึกพระไตรปิฎก และ

แถวหรือแนวแห่งพระไตรปิฎก ภาษาบาลี หมายถึงภาษาที่ใช้บันทึกหรือใช้ถ่ายทอดหลักธรรมคาสอนของพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งรวบรวมไวเ้ ปน็ หมวดหมู่ เพ่ือใหง้ ่ายแกก่ ารศกึ ษาและจดจาคาสอนนนั้ ได้

ประวัติภาษาบาลีจากหลักฐานที่ปรากฏสามารถสนั นิฐานได้ว่ามี ๒ แนวคิด ได้แก่ ๑) ภาษาบาลีคือภาษา
ปรากฤตสมัยโบราณ ท่ีได้วิวัฒนาการมาจากภาษาอินเดียอารยัน ซ่ึงเป็นภาษาของชาวอารยันหรืออาริยกะ ๒)
ภาษาบาลีคือภาษามาคธีหรือมาคธ ซ่ึงเป็นภาษาของชาวแคว้นมคธ ภาษาบาลีใช้บันทึกหลักธรรมคาสอนของ
พระพุทธศาสนาและใช้บนั ทกึ คาสอนของศาสนาเชน

วรรณคดีภาษาบาลีมีวิวฒั นาการแบ่งเป็น ๔ ยคุ ไดแ้ ก่ ๑) ยุคคาถาหรือยุคร้อยกรอง ภาษาบาลีในยคุ นี้ไม่
มีรูปแบบท่ีแน่นอน ยังคงมีรูปคาพูดเก่า ๆ มากมาย รูปคาพูดเก่า ๆ นี้ ได้รับอิทธิพลมาจากภาษาอินเดียอารยัน
โบราณ ๒) ยุคร้อยแก้ว ภาษาบาลีในยุคน้ีเป็นยุคร้อยแก้ว มีรูปลักษณะคาประกอบข้ึนด้วยส่วนท่ีเหมือนกันและ
เป็นภาษามีรูปแบบแน่นอนมากกว่าภาษาบาลีในยุคคาถาหรอื ร้อยกรอง ๓) ยุคร้อยแกว้ ระยะหลัง ภาษาบาลีในยุค
นี้ เป็นยุคร้อยแก้วที่แต่งข้ึนภายหลังพระไตรปิฎก วรรณคดีบาลีท่ีแต่งหลังพระไตรปิฎกก็มี ๔) ยุคร้อยกรอง
ประดิษฐ์ ภาษาบาลีในยุคนี้ ไม่มลี ักษณะรูปแบบทีแ่ นน่ อนเป็นลกั ษณะภาษาผสมรูปคาพูดที่ยมื มาจากวรรณคดีเก่า
ๆ และวรรณคดใี นยคุ หลงั อยา่ งอิสระเสรี

วรรณคดี คือ คาสอนของพระพุทธเจ้า เร่ืองราวต่าง ๆ สมัยพุทธกาล และนิทานชาดก ท่ีเกี่ยวข้องกับ
พระพุทธศาสนาที่ถูกบันทึกด้วยภาษาบาลี จึงเรียกว่า วรรณคดีบาลี มี ๒ ลักษณะ ดังน้ี ๑) วรรณคดีภาษาบาลีที่
บันทึกพระไตรปิฎก ซึ่งเป็นคัมภีร์ท่ีสาคัญท่ีสุดในศาสนาพุทธ ได้แก่ พระวินัยปิฎก พระสุตันตปิฎก และพระ
อภิธรรมปิฎก ๒) วรรณคดีท่ีไม่ใช่ตัวพระไตรปิฎก ได้แก่ อรรถกถา ฎีกา อนุฎีกา โยชนา ปกรณ์พิเศษ ตาราบาลี
ไวยากรณ์ และพจนานกุ รม

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๒๙

ความหมายของภาษาสันสกฤตสรุปได้ว่า ภาษาสันสกฤต แปลว่า ภาษาที่ตกแต่งเป็นระเบียบเรียบร้อย
และขัดเกลาให้ประณีตดีแล้ว หมายถึง ภาษาท่ีถูกจัดวางระบบโครงสร้างทางภาษาและกาหนดกฎเกณฑ์ทาง
ไวยากรณไ์ ว้อย่างรดั กมุ ดแี ล้ว

ภาษาสันสกฤตมีวิวัฒนาการมาจากภาษาของชาวอารยัน ซ่ึงเรียกว่า ภาษาอินเดียอารยันบ้าง ภาษา
อารยันอินเดียบ้าง เป็นการเรียกตามช่ือของชนชาติอารยัน ซ่ึงภาษาสันสกฤตได้ถูกพัฒนามาจากภาษาปรากฤต
โบราณ เม่ือพวกอารยันเข้ามาและนาภาษาเข้ามาเช่นน้ี วัฒนธรรมและภาษาพ้ืนเมืองจึงค่อยเข้ามาปน อารยัน
อนิ เดียก็พยายามตอ่ ตา้ นเพอ่ื รกั ษาภาษาดงั้ เดิมของตนไว้ การต่อต้านมีสอบแบบ คือ การต่อตา้ นตามธรรมชาติ กับ
การต่อต้านโดยจงใจ อันเป็นเหตุให้ภาษาในอินเดียแตกออกเป็นภาษาใหญ่สองภาษา ซึ่งพวกต่อต้านโดยจงใจคือ
นักปราชญ์และผู้ที่มีช่ือย่ิง คือ นายปาณินิ นายปาณินิต้องการรักษารูปภาษาเดิมไว้อย่างดี จึงได้แต่งหนังสือ
ไวยากรณ์ขึ้น ช่ือว่า “อัษฏาธยายี” โดยนาภาษามาตกแต่งวางระเบียบอย่างละเอียดท่ีสุด พวกต่อต้านพวกที่ ๒
เป็นการต่อต้านตามธรรมชาติคือพยายามใช้ภาษาด้ังเดิมของตนและพยายามรักษาไว้ใ ห้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทาได้
ต่อต้านด้วยการใช้ ไม่ได้วางกฎเกณฑ์ขึ้นขีดค่ัน แต่ภาษาเป็นวัฒนธรรมอยา่ งหน่ึงยอ่ มจะถา่ ยเทกันได้เสมอ เพราะ
เมือ่ ประชาชนคบคา้ กันภาษาย่อมปนเปกัน เวลาและเหตุการณ์อื่นได้ค่อย ๆ เปลีย่ นรูปภาษาอารยันไปทลี ะนดิ ตาม
ธรรมชาติ จนตา่ งไปจากภาษาเดิมคล้ายอีกภาษาหนงึ่ และเรียกภาษาทเ่ี ปลี่ยนมาตามธรรมชาตินี้ว่าภาษา ปรากฤต
(ปฺรกฺฤติ คือ ธรรมชาติ) ภาษาปรากฤต (เทียบภาษาไทยเรา ภาษาอีสาน ภาษาเหนือ และภาษาใต้ มีลักษณะเป็น
ภาษาปรากฤต) มีหลายกลุ่มด้วยกันใชอ้ ยู่ในแคว้นต่าง ๆ ของอินเดีย ที่สาคญั คือ ภาษาปรากฤตทใี่ ช้ใน แควน้ มคธ
หรือท่ีเรียกว่า ภาษามาคธี ซึ่งใช้อยทู่ างตะวนั ออก และท่สี าคญั เคยี งบ่าเคยี งไหลก่ ัน คือภาษาเศารเสนี ซ่ึงใช้อยู่ทาง
ตะวนั ตก

วรรณคดีภาษาสันสกฤต สามารถจาแนกวรรณคดีภาษาสันสกฤตเป็นประเภทต่าง ๆ ได้ ๔ ประเภท ดังน้ี
๑) คัมภีร์เก่ียวกับศาสนา ได้แก่ คัมภีร์พระเวท คัมภีร์ปุราณะ และคัมภีร์ตันตระ ๒) คัมภีร์เกี่ยวกับการเมืองการ
ปกครอง ได้แก่ คัมภีร์ธรรมศาสตร์ ๓) คัมภรี ์เก่ียวกับหลักภาษาและการแต่งกาพย์ กลอน โคลง ฉนั ท์ ได้แก่ คัมภีร์
อัษฏาธยายี คัมภีร์กาพยศาสตร์ และคัมภีร์อลักการศาสตร์ ๔) คัมภีร์เก่ียวกับนาฏศิลป์และการขับร้อง ได้แก่
คัมภีร์สงั คีตศลิ ป์และคมั ภรี น์ าฏศิลป์

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๓๐

กจิ กรรมการเรยี น
๑. ทบทวนความรู้
๑.๑ จงอธบิ ายความแตกตา่ งของความหมายของภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต
๑.๒ จงอธบิ ายประวัติความเป็นของภาษาบาลี มาพอสงั เขป
๑.๓ จงอธบิ ายประวตั ิความเป็นของภาษาสันสกฤต มาพอสังเขป
๑.๔ จงบอกลกั ษณะวิวัฒนาการของภาษาบาลี
๑.๕ จงอธบิ ายลักษณะของวรรณคดีภาษาบาลี
๑.๖ จงอธบิ ายลกั ษณะของวรรณคดภี าษาสันสกฤต
๒. จดั กจิ กรรม
๒.๑ ใหน้ กั ศึกษาอภปิ รายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับความหมายของภาษาบาลีและสนั สกฤต
๒.๒ ใหน้ ักศึกษาอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับประวตั คิ วามเป็นมาของภาษาบาลี
๒.๓ ให้นกั ศกึ ษาอภิปรายแสดงความคิดเห็นเก่ยี วกับประวัติความเป็นมาของภาษาสนั สกฤต
๒.๔ ให้นักศึกษาช่วยกนั เขียนแผนผังโครงสรา้ งของภาษาบาลแี ละสนั สกฤต
๒.๕ ใหน้ ักศกึ ษาอภิปรายแสดงความคดิ เห็นเกย่ี วกับวรรณคดีภาษาบาลแี ละสนั สกฤต

สื่อการสอน
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนิง่ (PPT.) เนื้อหาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมส่อื มตั ติมเี ดียและแอปพลิเคชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ED1022 ภาษาบาลสี นั สกฤตในภาษาไทย

แนวทางการประเมินผล
๑. ประเมนิ ผลจากการสงั เกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการร่วมกิจกรรม การอภปิ รายแสดงความคิดเหน็
๓. ประเมินผลจากผลงาน ด้านเนือ้ หา รปู แบบ ความคดิ สร้างสรรค์ วธิ กี ารนาเสนอ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๓๑

เอกสารอ้างองิ
บรรจบ พนั ธเุ มธา. (๒๕๑๕). นิรกุ ตศิ าสตร.์ พระนคร : ไทยวัฒนาพานิช.
ประเทือง ทนิ รัตน์. (๒๕๓๘). วารสารมนุษยศาสตร์วชิ าการ. คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์. ปีที่ ๓. ฉบบั

ท่ี ๑.
ปรีชา ทิชินพงศ.์ (๒๕๓๔). บาลี-สนั สกฤตที่เกย่ี วกบั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
พฒั น์ เพง็ ผลา. (๒๕๕๑). บาลสี นั สกฤตในภาษาไทย. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๙. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
มหาวิทยาลัยเชียงใหม่. เอกสารประกอบการสัมมนาเร่ืองอิทธิพลของภาษาบาลีและสันสกฤตท่ีมีต่อภาษาไทย ณ

มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ๒๔ – ๒๗ ตุลาคม ๒๕๒๒.
ราชบัณฑิตยสถาน. (๒๕๕๖). พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔. พิมพ์คร้ังที่ ๒. กรุงเทพฯ :

ราชบัณฑติ ยสถาน.
วิสนั ต์ิ กฎแก้ว. (๒๕๔๕). ภาษาบาลสี นั สกฤตทเี่ กี่ยวขอ้ งกบั ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศกึ ษา.
สวามีสัตยานนั ทปุร.ี (๒๕๒๓). นิตยสารไทย – ภารต. ฉบับที่ ๒๐ ปีที่ ๘ เลม่ ท่ี ๑ (มกราคม – มิถุนายน) พระนคร

: กิตติวรรณ.
สธุ วิ งศ์ พงศไ์ พบลู ย์. (๒๕๔๓). หลักภาษาไทย. พิมพ์ครง้ั ที่ ๑๕. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จากัด.
สุภาพร มากแจ้ง. (๒๕๓๕). ภาษาบาลี – สันสกฤตในภาษาไทย. พิมพค์ ร้งั ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
Wilhem Geiger. (1968). Pali Literature and Language. Delhi;- Oriental Books Reprint Corporation.

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๓๒

แผนการสอนประจาบท

เรือ่ ง
๑. สาเหตขุ องภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาในภาษาไทย
๒. วธิ ีการนาคาภาษาบาลีและสันสกฤตเขา้ มาใชใ้ นภาษาไทย
๓. ประโยชนข์ องการเรียนภาษาบาลแี ละสนั สกฤต

แนวคิด
สาเหตุของภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาในภาษาไทยได้ ๓ ประการ คือ ๑) สาเหตุของการยืม กล่าวคือ

การสร้างความสมั พนั ธ์หรอื การติดต่อสอ่ื สารกับบุคคลหรือสังคมอ่ืน ๆ ถอื เป็นธรรมชาตขิ องมนุษย์ท่มี ีมาตั้งแต่อดีต
จนถึงปัจจุบัน มีสาเหตุหลายประการ ได้แก่ เจ้าของภาษามีความสัมพันธ์กันทางเชื้อชาติ ความสัมพันธ์ทางด้าน
ประวัติศาสตร์ การติดต่อค้าขาย การเจรจาในเชิงธุรกิจหรือการโฆษณาสินคา้ อิทธิพลทางศาสนา การแลกเปลี่ยน
ทางดา้ นวัฒนธรรม ความเจรญิ ทางด้านการศึกษา ความเจริญทางดา้ นเทคโนโลยี ทางดา้ นวรรณคดี รฐั ศาสตร์หรือ
วิชาว่าด้วยการปกครองแบบอินเดียมีอิทธิพลสูงต่อระบบการปกครองของไทยมาแต่ครั้งอดีต ๒) การยืมคา
กล่าวคือ ภาษาหน่ึงนาเอาคาหรือลกั ษณะทางภาษาของอีกภาษาหน่ึงไปใช้ในภาษาของตน ภาษาที่ถูกยืมมามักจะ
ถูกเปล่ียนแปลงรูปคา เสียง และความหมายในภาษาใหม่ เพื่อความสะดวกในการออกเสียง และเป็นไปตาม
ลักษณะสาคัญของภาษาผู้ยืม สามารถจาแนกการยืมคาได้ ๓ ประเภท คือ เน่ืองจากวัฒนธรรม (Cultural
borrowing) เนื่องจากความใกล้ชิด (Intimate borrowing) และการยืมจากกลุ่มภาษาหรอื จากภาษาถ่ิน (Dialect
borrowing) ๓) ลักษณะการยืมคา กล่าวคือ คายืมจากภาษาต่างประเทศเม่อื ไทยเรานามาใช้ได้มีการเปลี่ยนแปลง
รปู คา เปลี่ยนแปลงเสียง หรือเปลยี่ นแปลงความหมายไปจากภาษาเดมิ มากบ้างน้อยบา้ ง เพ่ือใหเ้ หมาะสมกลมกลืน
กบั ลักษณะของภาษาไทย การเปลยี่ นแปลงคายืมมี ๒ ลักษณะ คือ การเปลย่ี นแปลงเสียง (Sound Change) และ
การเปลย่ี นแปลงความหมาย (Meaning Change)

วิธีการนาคาภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ในภาษาไทย ดังนี้ ๑) การทับศัพท์ การออกเสียงตรงตามคาเดิม
หรือใกล้เคียงคาเดิมมากท่ีสดุ ๒) การลากเข้าความคือความพยายามเปล่ยี นเสียงภาษาต่างประเทศของคาที่รับเข้า
มาโดยหาเสียงหรือความหมายท่ีคุ้นหูและพอจะเข้าใจในความหมายแบบไทย ๆ ได้ ๓) การแปลงศัพท์ท่ีรับเข้ามา
ใช้โดยการทับศัพท์ มีวธิ ีการดังนี้ (๑) การตัดเสียงของคาศัพท์ภาษาเดิมให้น้อยลงหรอื น้อยพยางค์เข้า (๒) การเติม
เสยี งสระหรอื พยญั ชนะลงไปในตาแหน่งตน้ คา กลางคา หรือ ท้ายคา และ (๓) การเปลี่ยนแปลงเสยี งสระ พยัญชนะ
และวรรณยุกต์ ๔) การแปลงความหมาย มี ๓ ลักษณะ คือ ความหมายแคบเข้า ความหมายกว้างออก และ
ความหมายย้ายท่ี ๕) การแปลศัพท์ การแปลศัพท์เป็นการยืมความหมายของคาต่างประเทศทีไ่ ทยนามาใช้โดยการ
แปลความหมายของคา แบบคาต่อคา แล้วมารวมกันในลักษณะของการประสมคา ส่วนใหญ่เป็นคาภาษาอังกฤษ
สว่ นการแปลอาจใช้คาไทย คาบาลี สันสกฤต หรือ ปะปนกันท้ังไทย และบาลีสนั สกฤตก็ได้ ๖) การสร้างศัพท์หรือ
บัญญัติคา เมื่อได้รับเอาความเจริญทางด้านวิทยาการต่าง ๆ เช่น การศึกษา ปรัชญา แพทย์ วิทยาศาสตร์ และอื่น
ๆ อกี มากมาย และไดร้ ับคาภาษาตา่ งประเทศมาใชด้ ว้ ย

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๓๓

ประโยชน์ของการเรียนภาษาบาลีและสันสกฤต มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ดังจะได้กล่าวเป็นข้อ ๆ
ดังต่อไปน้ี ๑) ช่วยในการเขียนสะกดการันต์ โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ คาพ้องเสียง ๒) ช่วยให้เกดิ ความเข้าใจอยา่ งซาบซึ้ง
ในวรรณคดีท่ีเก่ียวกับพระพุทธศาสนาและวรรณคดีไทย ๓) ช่วยในการแต่งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ เพื่อความ
ไพเราะในด้านเสียง โดยที่ความหมายมิได้เปล่ียนแปลงไปจากความหมายเดิม ๔) ช่วยให้เกิดความเข้าใจใน
ความหมายของศัพทธ์ รรมะในพระพุทธศาสนาดียิ่งขนึ้ ๕) ชว่ ยในการบัญญัติศพั ท์ จากวิทยาการสมยั ใหม่แขนงต่าง
ๆ ไดแ้ พร่หลายเขา้ มาในประเทศไทย ๖) ช่วยให้ภาษาไทยมคี าใช้มากข้ึน เนื่องจากภาษาไทยแท้ ๆ มคี าจากดั อยใู่ น
วงแคบ ๗) นามาใช้ประสมกับคาไทย กล่าวคือ นาเอาคาบาลีและสันสกฤตมาประสมกับคาไทย ๘) นามาใช้เป็นคา
ราชาศัพท์และนิยมใช้คา “พระ” นาหน้าคาเหล่าน้ัน ๙) นามาใช้ในการตั้งชื่อและนามสกุล ราชทินนาม สถานท่ี
และส่งิ ของต่าง ๆ ๑๐) นามาใชแ้ ทนคาไทยท่ถี อื กันวา่ ไม่สุภาพหรือเป็นคาหยาบ
วัตถปุ ระสงค์

เมอ่ื นกั ศกึ ษาเรียนจบบทท่ี ๓ มคี วามสามารถไดด้ ังนี้
๑. อธิบายสาเหตุของภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเขา้ มาในภาษาไทยได้
๒. อธิบายวธิ ีการนาคาภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเขา้ มาใช้ในภาษาไทยได้
๓. บอกประโยชนข์ องการเรยี นภาษาบาลแี ละสันสกฤตได้
๔. เลือกใชค้ าในภาษาบาลีและสนั สกฤตได้อย่างเหมาะสม

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๓๔

บทท่ี ๓
สาเหตุของภาษาบาลีและสนั สกฤตเข้ามาในภาษาไทย

ในบทนี้ จะได้กล่าวถึงสาเหตุของภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาในภาษาไทย อันเป็นลักษณะของการยืม
คามาใช้ในแวดวงต่าง ๆ ซ่ึงประกอบด้วยสาเหตุของการยืม การยืมคา และลักษณะการยืมคา และประโยชน์ของ
การเรียนภาษาบาลีและสันสกฤต เพื่อในไปใช้เกี่ยวกับการพูดและการเขียนในภาษาไทยได้อย่างถูกต้อง และท่ี
สาคญั คอื นาไปใช้ในการประพนั ธ์ ดังมีรายละเอยี ดต่อไปน้ี

๓.๑ สาเหตุของภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเขา้ มาในภาษาไทย
สาเหตุของภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาในภาษาไทย วิไลศักด์ิ กิ่งคา (๒๕๕๖ : ๘ – ๑๑) และสุธิวงศ์

พงศ์ไพบูลย์ (๒๕๔๓ : ๑๕ – ๑๖) สรุปสาเหตุของภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาในภาษาไทยได้ ๓ ประการ คือ
สาเหตุของการยืม การยืมคา และลักษณะการยืมคา ดงั นี้

๑. สาเหตุของการยืม
การสร้างความสัมพันธ์หรือการติดต่อสื่อสารกับบุคคลหรือสังคมอื่น ๆ ถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ท่ีมีมา
ตงั้ แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การติดต่อส่ือสารนั้นต้องอาศัยภาษาเป็นเคร่ืองมือสื่อความหมายของบุคคลหรือสังคมนั้น
ๆ เม่ือบคุ คลไดต้ ิดต่อสัมพันธ์กนั นานเข้าย่อมใช้ภาษาของกันและกัน การใชภ้ าษาของกนั และกนั น้ีเอง เป็นลักษณะ
ของการหยบิ ยมื เอาคาของภาษานั้น ๆ มาใช้ ในการยมื นั้นอาจยมื ทง้ั เสยี ง คาศพั ท์ หรือยมื ท้ังไวยากรณ์ ท้งั นี้ ข้ึนอยู่
กับความสะดวกและความต้องการของผู้ใช้เป็นสาคัญ ดังนั้น จะพบว่าการยืมคาของภาษาอื่นมาใช้นั้นมีการ
เปลี่ยนแปลงบางสว่ นให้แตกตา่ งจากภาษาเดิม ท้งั น้ี เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้และกลมกลืนกับลักษณะของผู้พูดมี
สาเหตุหลายประการ ดงั น้ี

๑.๑ เจ้าของภาษามีความสัมพันธ์กันทางเชื้อชาติ ลักษณะทางด้านภูมิศาสตร์ของผู้พูดภาษาท้ังสอง
อยู่ใกล้ชิดกัน ประชาชนทั้งสองประเทศย่อมมีการติดต่อสื่อสารซึ่งกันและกัน ย่อมมีการแลกเปล่ียนหรือใช้ภาษา
ร่วมกันได้ ตัวอย่างท่ีเห็นในปัจจุบัน เช่น ภูมิภาคที่มีดินแดนใกล้ชิดกันระหว่างภาคเหนือของประเทศไทยกับ
ประเทศพม่า ภาคตะวันออกเฉียงเหนอื กับสาธารณรฐั ประชาธิปไตยประชาชนลาว และภาคใตข้ องประเทศไทยกับ
ประเทศมาเลเซยี ประชาชนของประเทศน้ัน ๆ ยอ่ มมีความเกยี่ วข้องกันทางดา้ นเชื้อชาติในหลาย ๆ ด้าน ภาษาของ
เจา้ ของภาษาประเทศนน้ั ย่อมมีส่วนใชค้ าบางคารว่ มกนั และสามารถพูดภาษาของประเทศใกล้เคยี งนัน้ ได้

๑.๒ ความสัมพันธ์ทางด้านประวัติศาสตร์ ประวัติศาสตร์ของประเทศไทยน้ันเคยสู้รบกับประเทศ
เพื่อนบ้านเพื่อรักษาดินแดน และเคยโยกย้ายอพยพจากบริเวณหน่ึงไปสู่อีกบริเวณหนึ่ง อีกประหนึ่ง การเจริญ
สัมพนั ธไมตรที างการทูต ในการอพยพโยกย้ายก็ดี หรอื ในการติดต่อทางการทตู ก็ดี ย่อมทาใหภ้ าษาของเจ้าของถ่ิน
เดมิ หรือผู้อพยพโยกย้ายมาใหม่นามาใช้รว่ มกัน

๑.๓ การติดต่อค้าขาย การเจรจาในเชิงธุรกิจหรือการโฆษณาสินค้าทุกประเภท จาเป็นต้องใช้ภาษา
ประเทศไทยเปน็ ศูนย์กลางการค้ามาตัง้ แต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีชนชาติอ่ืน ๆ เข้ามาติดตอ่ ค้าขาย ทาให้มีถ้อยคาใน
ภาษาของชนชาตนิ นั้ ๆ เขา้ มาปะปนอยใู่ นภาษาไทย เป็นจานวนมาก

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๓๕

๑.๔ อิทธิพลทางศาสนา คาศัพท์เฉพาะทางด้านศาสนาเป็นเรื่องจาเป็นที่คนสอนศาสนาและผู้เรียน
ศาสนาถอื ว่าเปน็ คาศัพท์เฉพาะ ตอ้ งจา หรอื ทาความเข้าใจ นอกเหนือจากนี้แล้ว ในการเผยแผ่ศาสนาน้นั ครผู ูส้ อน
ศาสนาจาเปน็ ต้องเรียนรู้ภาษาของประเทศที่ตนจะเข้าไปเผยแผ่ ครูผูส้ อนศาสนาและผู้เรยี นยอ่ มมีความใกล้ชิดกัน
และมีโอกาสใช้ภาษาของกันและกันได้ จะเห็นได้ว่าเมื่อประเทศไทยในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้เปิด
โอกาสให้ต่างประเทศเข้ามาเผยแผ่ศาสนาในสมัยน้ัน ซ่ึงก็ปรากฏว่ามีคาศัพท์เฉพาะท่ีใช้ในภาษาไทยเป็นจานวน
มาก เชน่ มชิ ชนั นารี เป็นตน้ ตัวอย่างเชน่ จากหลักฐานทางพระพุทธศาสนาปรากฏวา่ พระเจ้าอโศกมหาราชได้เคย
สง่ สมณทูต ๒ รปู คือ พระโสณะ และ พระอุตตระ มาเผยแผ่พระพุทธศาสนาในแคว้นสุวรรณภมู ิซึง่ เป็นท่ีเข้าใจกัน
ว่า คอื ดินแดนแห่งประเทศไทยในปัจจุบันน้ี เม่ือคนไทยได้มาต้ังถิ่นฐานและตง้ั ตนเป็นอิสระในแควน้ สวุ รรณภมู ิ พ่อ
ขุนศรอี ินทราทติ ยป์ ระกาศตัง้ สโุ ขทยั เปน็ ราชธานีสบื มาจนกระท่ังรชั กาลพอ่ ขุนรามคาแหง ปรากฏว่าไทยไดย้ อมรับ
นับถือพระพุทธศาสนาแล้ว ดังท่ีปรากฏในศิลาจารึกพ่อขุนรามคาแหงว่า “พ่อขุนรามคาแหงกระทาโอยทานแก่
มหาเถรสังฆราชปราชญ์เรียนจบปิฎกไตรหลวกกว่าปู่ครูในเมืองน้ีทุกคนลุกแต่เมืองศรีธรรมราช...” เม่ือคนไทย
ยอมรับนับถือพระพุทธศาสนาและยึดมั่นในคาสั่งสอนทางพระพุทธศาสนาเช่นน้ีจึงจาเป็นต้องศึกษาภาษาบาลี
เพราะหลักคาสอนคือพระไตรปิฎกได้จารึกไว้เป็นภาษาบาลี ฉะนั้นคนไทยจึงนิยมชมชอบในการใช้คาบาลีมา
จนกระทั่งปัจจบุ ันนี้ (วิสันต์ กฎแก้ว, ๒๕๔๕ : ๓)

๑.๕ การแลกเปลี่ยนทางด้านวัฒนธรรม ภาษาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมและวัฒนธรรมนั้นก็
สามารถถ่ายทอดให้กนั และกนั ได้ สว่ นมากแล้ว ประเทศทมี่ ีวัฒนธรรมเจริญรุง่ เรืองกวา่ จะถ่ายทอดวฒั นธรรมไปยัง
ประเทศที่มีวัฒนธรรมด้อยกว่า จะเห็นได้จากในสมัยก่อนน้ัน ประเทศไทยได้รับอิทธิพลบางอย่างจากประเทศจีน
เขมร และอินเดีย จึงปรากฏว่าในภาษาไทยมีคาของภาษาของชาติน้ัน ๆ เป็นจานวนมาก ดังเช่นเมอ่ื ประมาณพุทธ
ศตวรรษที่ ๖ (ราว พ.ศ. ๕๐๐ – ๖๐๐) เมื่อพวกพราหมณ์และพ่อค้าชาวอินเดียไปถึงที่ใด ก็มักจะเอาลัทธิศาสนา
พราหมณ์ประเพณวี ฒั นธรรมและศลิ ปกรรมของตนไปเผยแผ่ด้วย เหตนุ ี้เอง ภาษาสันสกฤตอนั บรรจุไว้ซ่งึ วิทยาการ
เหล่านั้นจึงเข้ามาปะปนอยู่ในภาษาไทยมากมาย แม้แต่ในราชสานักก็จะมีพระราชพิธีเกี่ยวกับลัทธิไสยศาสตร์และ
ศาสนาพราหมณ์อยู่มาก เช่น พระราชพิธีถือน้าพระพิพัฒน์สัตยา พิธีตรียัมปวาย พิธีโสกันต์ พิธีธานยเทาะห์ ฯลฯ
(วิสันต์ กฎแก้ว, ๒๕๔๕ : ๓) แต่ในปัจจุบันวัฒนธรรมตะวันตกได้มีอิทธิพลต่อประเทศไทยอย่างมาก ในภาษาไทย
จึงปรากฏมีภาษาองั กฤษใช้อย่างกว้างขวาง

๑.๖ ความเจริญทางด้านการศึกษา การศึกษาน้ันเป็นหวั ใจสาคัญของการพัฒนามนุษย์การศึกษาต้อง
อาศัยแหล่งขอ้ มูลจากท่ัวสารทิศเพ่ือให้รเู้ ท่าเทียมกับชนชาตติ ่าง ๆ ภาษาจึงมีส่วนจาเปน็ ในการศึกษา เพราะตารา
ต่าง ๆ มีทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ และประชาชนส่วนหน่ึงก็เดินทางไปศึกษายังต่างประเทศ คนไทยมี
โอกาสได้ใช้และพูดภาษาอ่ืน ๆ จึงนาภาษามาใช้ในภาษาของตน การเดินทางไปต่างประเทศก็เช่นเดียวกัน ย่อมมี
โอกาสได้ใชภ้ าษาตา่ งประเทศ จะเหน็ ได้ว่าการศกึ ษาในระดับสูงนั้น บางคาต้องใช้คาศพั ท์เฉพาะ จึงทาให้ภาษาไทย
มคี าศพั ท์เพิ่มมากขึ้น และการศกึ ษาในระดบั สงู ตาราหรอื หนงั สือวิชาการสว่ นมากเป็นภาษาตา่ งประเทศทงั้ นัน้

๑.๗ ความเจริญทางด้านเทคโนโลยี ประเทศที่มีความเจริญทางด้านเทคโนโลยีสูงมีการคิดค้น เม่ือ
ประเทศไทยรับเอาเครื่องมือเคร่ืองใช้เหล่าน้ันเข้ามาในประเทศช่ือและคาศัพท์เฉพาะจึงติดเข้ามาอยู่ในภาษาไทย
ด้วย ซึ่งในภาษาไทยเรียกว่า ศัพท์บัญญัติ เป็นคาศัพท์ที่ใช้บันทึกความรู้ทางด้านวิทยาการสาขาต่าง ๆ มีความ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๓๖

เจริญขึ้นอย่างต่อเน่ือง ตารับตาราท่ีบรรจุไว้ซ่ึงวิทยาการเหล่านั้นเป็นภาษาอังกฤษเป็นส่วนมาก การที่เราจะเอา
คาศัพท์ทางวิทยาการที่เป็นภาษาอังกฤษเหล่านั้นมาใช้ในภาษาไทย (ทับศัพท์) ดูจะไมเ่ หมาะสมกับคนไทยนัก เรา
จงึ ตอ้ งบัญญตั ศิ ัพทข์ ึ้นมาใช้ให้เหมาะสมกบั สภาพของสงั คมไทย ศัพท์ท่ีเราจะมาบญั ญัติข้ึนใช้ โดยมากมักจะเป็นคา
บาลีสันสกฤต อาศัยเหตุดังกล่าวมาน้ีจึงทาให้ภาษาบาลีสันสกฤตเข้ามาปะปนอยู่ในภาษาไทยเป็นจานวนมาก
(วิสันต์ กฎแก้ว, ๒๕๔๕ : ๔)

๑.๘ ธุรกิจส่วนตัวของบุคลากรระหว่างชาติ ประเทศไทยมีการติดต่อทาธุรกิจกับชาติอื่น ๆ เป็น
จานวนมาก เช่น การคบค้าสมาคมฉันมิตรสหาย การแต่งงานกับคนต่างประเทศ เป็นต้น ทาให้เกิดการถ่ายทอด
ทางภาษาซงึ่ กันและกนั

๑.๙ ทางด้านวรรณคดี วรรณคดีอินเดียท้ังท่ีเป็นวรรณคดีสันสกฤตและวรรณคดีบาลี โดยเฉพาะ
วรรณคดีชาดกมีอทิ ธิพลต่อวรรณคดีไทยเปน็ อย่างมาก จะเหน็ ไดว้ า่ วรรณคดไี ทยหลายเร่ืองไดเ้ ค้าเร่ืองมาจากชาดก
ในพระพุทธศาสนา ท้ังอรรถกถานิบาตชาดกและปัญญาสชาดก เช่น จากอรรถกถานิบาตชาดกมี ร่ายยาวมหา
เวสสันดรชาดก ได้เค้าเร่อื งมาจาก มหาเวสฺสนตฺ รชาตก บทเห่เรอื่ งกากแี ละกากีกลอนสภุ าพ ได้เค้าเรื่องมาจาก กา
กาตชิ าตกและกุณาลชาตก ฯลฯ จากปญั ญาสชาดกมี สมุทรโฆษคาฉนั ท์ ได้เคา้ เรื่องมาจาก สมทุ ฺทโฆสชาตก เสือโค
คาฉันท์ ได้เค้าเรื่องมาจาก พหลาคาวีชาตก สรรพสิทธิคาฉันท์ ได้เค้าเรื่องมาจาก สพฺพสิทธิชาตก บทละครนอก
เรื่องสังข์ทอง ได้เค้าเรื่องมาจาก สุวณฺณสงฺขชาตก ฯลฯ นอกจากนี้แล้วยังมีวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่องที่
เกี่ยวกับพุทธศาสนา เช่น อุเทนคาฉันท์ สามัคคีเภทคาฉันท์ ปฐมสมโพธิกถา ปุณโณวาทคาฉันท์ ฯลฯ ส่วน
วรรณคดีไทยท่ีได้เค้าเร่ืองมาจากวรรณคดีสันสกฤตก็มีหลายเรื่อง เช่น อิลรชคาฉันท์ พระนลคาหลวงและพระนล
คาฉันท์ บทละครเรื่องศกุนตลา สาวิตรี และเรื่องรามเกียรต์ิ เป็นต้น เมื่อวรรณคดีอินเดียได้แพร่หลายและมี
อิทธิพลต่อวรรณคดีไทยเช่นนี้ ในการประพันธ์กวีต้องใช้คาศัพท์ซึ่งได้ดัดแปลงมาจากคาบาลีสันสกฤต จึงทาให้คา
บาลสี ันสกฤตเขา้ มาปะปนอย่ใู นภาษาไทยมากมาย (วิสนั ต์ กฎแก้ว, ๒๕๔๕ : ๔)

๑.๑๐ ทางด้านรัฐศาสตร์ รัฐศาสตร์หรือวิชาว่าด้วยการปกครองแบบอนิ เดียมีอิทธิพลสูงต่อระบบการ
ปกครองของไทยมาแต่ครั้งอดีต การปกครองของอินเดียนั้นมีพราหมณ์ปุโรหิตเป็นท่ีปรึกษาของพระเจ้าแผ่นดิน
ตาราเกี่ยวกบั การปกครองทพ่ี ราหมณ์ปโุ รหิตเหล่าน้ีใช้เปน็ คัมภรี ์ภาษาสนั สกฤต ดังน้ัน อิทธิพลของภาษาสันสกฤต
ทางด้านรัฐศาสตรจ์ ึงมาจากพราหมณ์ปโุ รหิตเหล่าน้ัน ตัวอย่างคา เช่น ราชา ราชนิ ี กษตั ริย์ ราชโอรส กฎมณเฑยี ร
บาล ราชบัลลังก์ อภิเษก เสนา อมาตย์ ตรีปวาย ฉัตรมงคล พืชมงคล ตลอดจนการต้ังพระนามพระมหากษัตริย์
ราชทนิ นาม ชอื่ ตาแหน่ง ชอื่ ปราสาท พระราชวัง เปน็ ตน้ (ปรีชา ทชิ ินพงศ์, ๒๕๓๔ : ๙)

๒. การยืมคา (Borrowing Words)
การยืมคา คือ ภาษาหนึ่งนาเอาคาหรือลักษณะทางภาษาของอีกภาษาหน่ึงไปใช้ในภาษาของตน ภาษาท่ี
ถูกยืมมามักจะถูกเปลี่ยนแปลงรูปคา เสียง และความหมายในภาษาใหม่ เพื่อความสะดวกในการออกเสียง และ
เป็นไปตามลักษณะสาคัญของภาษาผู้ยืม ซ่ึงเลียวนาร์ด บลูมฟิลด์ (Bloomfield) (1985 : 444 – 495) ได้จาแนก
การยมื คาหรือลักษณะของภาษาอื่นไว้ ๓ ประเภท คือ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๓๗

๒.๑ เนอ่ื งจากวฒั นธรรม (Cultural borrowing) ซึ่งหมายถึงชน ๒ กล่มุ ตา่ งภาษาและต่างวัฒนธรรม
กัน แต่มีโอกาสติดต่อกัน ส่วนกลุ่มท่ีด้อยกว่ามักจะรับเอาวัฒนธรรมจากกลุ่มท่ีเจริญกว่า เมื่อรับเอาวัฒนธรรมก็
ยอมรบั เอาภาษามาดว้ ย เพราะภาษาก็เป็นสว่ นหนงึ่ ของวฒั นธรรม

๒.๒ เน่ืองจากความใกล้ชิด (Intimate borrowing) ชน ๒ กลุ่ม ต่างภาษา แต่อยู่ร่วมกันในสังคมมี
ความสัมพนั ธ์กันอย่างใกล้ชิด ย่อมใชภ้ าษาของกันและกัน ซงึ่ ลักษณะของการยืมประเภทนี้ ย่อมเกิดข้ึนได้ระหว่าง
คนท้ังสองภาษา เช่น ตัวอย่างการยืมประเภทนี้ ระหว่างคนไทยกับคนเขมร ในภาษาไทยมีคาภาษาเขมรอยู่
มากมาย เชน่ เดิน เสวย เถกงิ เปน็ ต้น ในขณะเดียวกัน ภาษาเขมรกม็ ีคาภาษาไทยเป็นจานวนมาก เชน่ สามสิบ ส่ี
สิบ ห้าสิบ เป็นต้น หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ระหว่างคนไทยกับคนจีน เช่น คาภาษาจีนในคาไทย ก๋วยเตี๋ยว โอเล้ียง
แป๊ะเจีย๊ หรือคาภาษาไทยในคาภาษาจีน น้าปลา ตลาด เปน็ ตน้

๒.๓ การยืมจากกลุ่มภาษาหรือจากภาษาถ่นิ (Dialect borrowing) ลกั ษณะของการยมื ประเภทนีเ้ กิด
จากลักษณะทางด้านภูมิศาสตร์ของคนในชาติติดต่อกัน แต่ใช้ภาษาต่างกลุ่มกัน ซึ่งเรียกอีกอย่างก็คือการใช้ภาษา
ถ่ินนั้นเอง จะเห็นได้จากการยืมของกลุ่มสังคมในประเทศเดียวกัน เช่น ระหว่างกลุ่มคนภาคเหนือกับภาค
ตะวันออกเฉียงเหนือหรือกลมุ่ คนภาคกลางกับกลุ่มคนภาคใต้ เปน็ ตน้

อกี อย่างหน่ึง จันจริ า จิตตะวิริยะพงษ์ (๒๕๔๖ : ๑๕๙) กล่าวไว้ว่า ภาษาเป็นวัฒนธรรมซึ่งมีลักษณะท่ีจะ
ถ่ายทอดกันได้ดี จึงทาให้ภาษาเกิดการปะปนกันขึ้นเป็นอย่างมาก ลักษณะของการปะปนกันย่อมก่อให้เกิดการ
เปลี่ยนแปลงทางภาษาไปตามอิทธิพลของภาษาที่ยืมคามาใช้ การเปล่ียนแปลงนี้ไม่มีกฎเกณฑ์ที่แน่นอน โดยอาจ
เปลี่ยนแปลงในเรื่องเสียง รูปศพั ท์ โครงสรา้ ง ตลอดจนสานวนโวหารตา่ ง ๆ เปน็ ต้น

ลักษณะของการยืมคาภาษาต่างประเทศมาใช้ ได้กพ็ ยายามปรบั ปรุงแก้ไขลกั ษณะบางประการ ของภาษา
ท่ียืมคามาใช้ และก็พยายามปรับปรุงภาษาของเราเองให้เหมือนหรือใกล้เคียงกับภาษานั้น ๆ ท่ียืมมาใช้ ลักษณะ
การปะปนและยืมมาน้นั มที ฤษฎกี ารเปล่ยี นแปลงของภาษาที่ยมื ภาษาอืน่ วา่ มี ๒ ลักษณะ คือ

๑) ทฤษฎี Superstratum คือ การท่ีภาษาที่มีอิทธิพลด้อยกว่า ยอมรับลักษณะของภาษาท่ีมีอิทธิพล
เหนือกว่า เช่น ภาษาไทยรับภาษาองั กฤษเขา้ มา เพราะภาษาองั กฤษมีอิทธิพลเหนือกว่าภาษาไทย จึงทาให้เกิดการ
เปล่ียนแปลงลักษณะของคา โครงสร้างและอ่ืนๆ ในภาษาไทยให้เหมือนกับภาษาอังกฤษ เช่น คนไทยสามารถออก
เสยี งควบกล้า /ฟร/, /ฟล/, /บร/, /บล/, /ดร/ ฯ ซึ่งเสยี งควบกล้าเหลา่ นี้ไมใ่ ช่ระบบเสียงควบกล้าของไทยเป็นตน้

๒) ทฤษฎี Supstratum คือ การที่ภาษามีอิทธิพลด้อยกว่า มีอานาจเปลี่ยนแปลงภาษาท่ีมีอิทธิพล
เหนอื กวา่ ใหม้ ีลกั ษณะโครงสรา้ ง แบบแผนตามภาษาที่มอี ทิ ธิพลดอ้ ยกว่า การเปลยี่ นแปลงแบบน้ตี รงข้ามกับทฤษฎี
แรก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การเปล่ียนเสียงของภาษาอังกฤษ บาลี สันสกฤต เขมร จีน ฯลฯ ท่ีไทยเรายืมมาใช้
และดัดแปลงให้เหมาะกับลิ้น และหูของคนไทย

เม่ือไทยเรานาภาษาต่างประเทศต่าง ๆ เข้ามาใช้ จะเกิดการเปล่ียนแปลงใน ๒ ลักษณะดังกล่าว คือ ถ้า
เป็นไปตามทฤษฎีก็หมายถึง การนาคาทับศัพท์ หรือ การนาคาของภาษาอ่ืนมาใช้ โดยรักษาลักษณะของคาไว้
เหมือนเดิม ส่วนทฤษฎีที่ ๒ เม่ือเราเอาคาภาษาของเขามาแล้ว ก็มีการเปล่ียนแปลงคาให้เหมาะสมกับสภาพและ
ลักษณะของภาษาไทย เช่น การเปลี่ยนแปลงเสียง การเปลี่ยนแปลงคา และการเปลี่ยนแปลงความหมายใหม่
(ประสิทธิ์ กาพยก์ ลอน, ๒๕๑๙ : ๖)

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๓๘

๓. ลักษณะการยืมคา

ลักษณะการยืมคาภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาในภาษาไทย วิไลศักด์ิ กิ่งคา (๒๕๕๖ : ๒๘ – ๓๑) กล่าว

ไว้ว่า คายืมจากภาษาต่างประเทศเมื่อไทยเรานามาใช้ได้มีการเปล่ียนแปลงรูปคา เปล่ียนแปลงเสียง หรือ

เปลี่ยนแปลงความหมายไปจากภาษาเดิมมากบ้างน้อยบ้าง เพ่ือให้เหมาะสมกลมกลืนกับลักษณะของภาษาไทย

การเปล่ยี นแปลงคายืมมหี ลายลักษณะ ไดแ้ ก่

๓.๑ การเปล่ียนแปลงเสียง (Sound Change) หมายถึง เสียงของคาในภาษาอ่ืนท่ีเรายืมมาใช้

เปลี่ยนแปลงไปจากเสียงเดิมเก่ียวกับเรื่องน้ี จิตร ภูมิศักดิ์ (๒๕๖๒ : ๗) ได้แสดงตัวอย่างของคายืม

ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย เช่นคาว่า กษัตริย์ ที่จริงสามารถออกเสียงตรงตามเสียงว่า กะสัด ได้ในภาษาไทย

แต่เขียนอย่างเดิมเอาไว้เพ่ือรกั ษารปู คาศพั ท์ในภาษาสันสกฤตไว้ เพราะเป็นคายืมและคาน้ีภาษาสนั สกฤตอา่ นออก

เสียงเป็น ฉัด-ตรี-ย่ะ เราออกเสียงตามอักขรวิธีของเราเป็น กะสัด ลักษณะเช่นน้ีก็เป็นการเปลี่ยนแปลงเสียงจาก

เดมิ ซ่งึ สามารถจาแนกออกไดห้ ลายวธิ ี เชน่

(๑) การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ (Vowel Change)

มุนิ (บาลี-สนั สกฤต) ไทยใช้ มนุ ี

ครุ (บาลี) ไทยใช้ ครู

Sign (องั กฤษ) ไทยใช้ เซ็น

File (อังกฤษ) ไทยใช้ แฟม้

(๒) การเปลีย่ นแปลงเสียงพยัญชนะ (Consonant Change)

กนษิ ฐฺ า (สนั สกฤต) ไทยใช้ ขนษิ ฐา

ขจร (เขมร) ไทยใช้ กาจร

ตารา (บาลี-สันสกฤต) ไทยใช้ ดารา

(๓) การตดั คา (Chipping words)

อญชลี (บาลี-สนั สกฤต) ไทยใช้ ชลี, ชุลี

อดิเรก (บาลี-สนั สกฤต) ไทยใช้ ดเิ รก

Foot ball (องั กฤษ) ไทยใช้ บอล

(๔) การเพิ่มเสียง (Add of Sound) พระยาอนุมานราชธน (๒๕๑๔ : ๑๙๔) ได้จาแนกเป็น ๓

ลกั ษณะ คือ

ก. เตมิ เสียงหนา้ (Prosthesis) เช่น สฺตฺรี (สันสกฤต) ไทยใช้ อิสตรี

ข. เติมเสยี งกลาง (Epenthesis) เช่น วดั วาอาราม รบราฆา่ ฟนั

ค. เติมเสียงหลงั (Paragoge) เชน่ เยาว (สนั สกฤต) ไทยใช้ เยาวเรศ

(๕) การลากเข้าความ (Popular Etymology) พระยาอนุมานราชธน (๒๕๑๔ : ๒๒๐) กลา่ วไว้ว่า

การลากเข้าความว่า เป็นการกลายเสียงเพราะความจงใจ เป็นลักษณะการกลายเสียงของคาท่ีมาจาก

ภาษาตา่ งประเทศหรือคาโบราณและคาภาษาถิน่ ซึง่ แปลเอาความหมายไมไ่ ด้ มักจะแปลงเสียงเพื่อลากเข้าความให้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๓๙

แปลความหมายได้ ลักษณะการกลายเสียงแบบนี้มีอยู่ทุกภาษา ซึ่งคาส่วนมากจะเป็นคานาม เรื่องชื่อคน สัตว์

สิ่งของ และสถานท่ี เช่น

เจ้าสัว มาจากภาษาจนี จ้อซัว

เถา้ แก่ มาจากภาษาจีน เถา้ เก

ข้าวปดั มาจากภาษามลายู กะปัด

ม้ายอ่ ง มาจากภาษามลายู มะโยง่

คัดชู มาจากภาษาองั กฤษ Court shoes

กงสุล มาจากภาษาองั กฤษ consul

๓.๒ การเปล่ียนแปลงความหมาย (Meaning Change) พระยาอนุมานราชธน (๒๕๑๔ : ๒๕๗) กล่าว

ไว้ว่า การเปล่ียนแปลงความหมายเป็นผลมาจากการเปล่ียนแปลงเสียง และถือว่าเร่ืองการเปล่ียนแปลงเสียงเป็น

เร่ืองของอาการภายนอก แต่การเปลี่ยนแปลงความหมายเป็นเรื่องของอาการภายใน ท่านได้จาแนกลักษณะของ

การเปลี่ยนแปลงความหมายไว้ ๓ ลกั ษณะดังนี้

(๑) ความหมายแคบเข้า คือความหมายของคาเดิมมีความหมายหลายอย่าง แต่เม่ือนามาใช้มี

ความหมายเฉพาะอยา่ ง เช่น

เคารพ เดิมแปลว่า เคารพ รุ่งเรือง ความหนกั ไทยใช้ เคารพ

ชรา เดมิ แปลวา่ ความแก่ ความเสื่อม ครา่ ครา่ ไทยใช้ แกท่ างกาย

กศุ ล เดิมแปลว่า ฉลาด ชานาญ สนั ทดั ทมี่ คี ณุ ธรรม ไทยใช้ ทม่ี ีคณุ ธรรม

บ๋อย เดมิ แปลวา่ เด็กชาย พนักงานรับใช้ ไทยใช้ พนกั งานรบั ใช้

ฟรี เดมิ แปลวา่ อิสระ สาธารณะ สะดวก ได้เปลา่ ไทยใช้ ได้เปล่า

(๒) ความหมายกว้างออก คือคาท่ีมีความหมายเฉพาะอย่าง แต่คนไทยนิยมนาไปใช้ได้หลายอยา่ ง

เชน่

วิตถาร เดมิ แปลวา่ กวา้ ง ละเอยี ด

ไทยใช้ กว้าง ละเอยี ด แปลกประหลาด พิสดาร

ตนี เดิมแปลว่า อวัยวะท่ีใชเ้ ดิน

ไทยใช้ ตีนผม ตีนโรง ตนี ศาล ตีนบนั ได

สวน เดมิ แปลว่า ท่เี พาะปลูกต้นไม้ มีอะไรก้ันไว้เป็นขอบเขต

ไทยใช้ สวนงู สวนสัตว์ สวนนก

แฟน เดิมแปลวา่ ผคู้ ลง่ั ไคล้ในสิง่ ใดสิ่งหน่ึง

ไทยใช้ คนรกั สามี ภรรยา หรอื ผทู้ ช่ี อบพอกัน

(๓) ความหมายย้ายท่ี คือคาเดิมมีความหมายอย่างหน่ึง ต่อมามีผู้นิยมใช้ในอีกความหมายหน่ึง

เช่น

อาวุโส เดมิ ใชเ้ รยี ก ผูม้ ีอายนุ อ้ ยกว่า

ปัจจุบันใช้ ผู้มีอายุมาก

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๔๐

นสิ ิต เดิมแปลวา่ ผู้ไปขอพ่ึงพระอุปัชฌาย์ซึ่งเปน็ นสิ ัย
ไทยใช้ ผทู้ ่ีเรยี นอยูใ่ นมหาวิทยาลยั

สงสาร เดิมแปลว่า การเวียนวา่ ยตายเกดิ
ไทยใช้ ความรสู้ ึกเป็นหว่ งใยดว้ ยความเมตตากรณุ า

ภาษาและความหลากหลายของภาษาย่อมมีวิวัฒนาการอยู่ตลอดเวลา แตใ่ นความรู้สึกเหมือนกับภาษาไม่
มกี ารเคลื่อนไหวหรือไมม่ ีการเปล่ียนแปลงใด ๆ ท้ังสิ้น ถ้าเปรียบเทียบในเชิงภาษาศาสตร์เชิงประวัติแล้ว สามารถ
มองเหน็ การเปล่ยี นแปลงอย่างชัดเจน การเปล่ยี นแปลงน้ีมที ั้งการเปล่ยี นแปลงดา้ นเสยี ง คา และความหมาย

๓.๒ วธิ ีการนาคาภาษาบาลแี ละสนั สกฤตเข้ามาใช้ในภาษาไทย

วิธีการนาคาภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาใช้ในภาษาไทย ซึ่ง จันจิรา จติ ตะวิริยะพงษ์ (๒๕๔๖ : ๑๖๐ –

๑๖๒) กลา่ วไวว้ า่ วิธีการนาคาภาษาต่างประเทศเข้ามาใชใ้ นภาษาไทยดงั นี้

(๑) การทับศัพท์ การออกเสียงตรงตามคาเดิม หรือใกล้เคียงคาเดิมมากที่สุด และปรับให้เข้ากับ

ลกั ษณะของภาษาไทย เชน่

กัปตนั (captain) กงสุล (consul)

(๒) การลากเข้าความ การลากเข้าความคือความพยายามเปล่ียนเสียงภาษาต่างประเทศของคาที่

รับเข้ามาโดยหาเสียงหรอื ความหมายทีค่ ้นุ หูและพอจะเขา้ ใจในความหมายแบบไทย ๆ ได้ การทบั ศัพทโ์ ดยการลาก

เข้าความ โดยมีการนาคาภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระน่ังเกล้าเจ้าอยู่หัว และ

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและต่อมาเมื่อประชาชนได้รับการศึกษาภาษาอังกฤษมากขึ้นการลากเข้า

ความจงึ หมดไป เชน่

Cafe ข้าวฝ้าย croton โกสน

government กดั ฟันมนั uniform อยู่ในฟอรม์ ฯลฯ

(๓) การแปลงศพั ทท์ ่ีรบั เขา้ มาใช้โดยการทับศพั ท์ มีวิธกี ารดังน้ี

การตัดเสียง (loss of sound) เป็นการตัดเสียงของคาศัพท์ภาษาเดิมให้น้อยลงหรือน้อยพยางค์เข้า

อาจตัดเสียงได้ทัง้ เสียงสระและเสียงพยญั ชนะในตาแหน่งต่าง ๆ กัน เชน่

อัญชลี เปน็ ชุลี entrance เป็น เอนท์

kamanyan เป็น กายาน double เป็น เบ้ลิ

การเพ่ิมเสียง (Addition of sound) การเติมเสียงสระ หรือพยัญชนะลงไปในคาภาษาต่างประเทศที่

ไทยรับเขา้ มาใช้ ทงั้ ในตาแหนง่ ตน้ คา กลางคา หรือ ทา้ ยคา เช่น

kamro เพิ่มเปน็ กามะลอ

การเปลยี่ นแปลงเสียงสระ พยัญชนะ และ วรรณยุกต์ เชน่

sign เปล่ยี นเปน็ เซ็น ปณฺฑิต เปลี่ยนเป็น บณั ฑิต

เกาอี้ เปล่ยี นเป็น เก้าอ้ี

(๔) การแปลงความหมาย

ก. ความหมายแคบเขา้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๔๑

เม่ือนาคาภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ในภาษาไทยแล้ว จะมีความหมายน้อยกว่าความหมายใน

ภาษาเดิม หรือ นามาในความหมายหนึง่ เพยี งความหมายเดียว เชน่

คาต่างประเทศ ความหมายเดิม ความหมายทไ่ี ทยใช้

Report รายงาน รายงาน

เสยี งดงั อยา่ งระเบิด

สังหาร รวบรวม ทาลาย ทาลาย

ปราจีน ทิศตะวนั ออก โบราณ ทิศตะวันออก

ข. ความหมายกวา้ งออก

ความหมายเดิมในภาษาต่างประเทศส่ือความหมายได้ แต่เม่ือนาใช้ในภาษาไทยแล้วความหมาย

เพมิ่ มากข้ึน เชน่

คาตา่ งประเทศ ความหมายเดมิ ความหมายทไ่ี ทยใช้

มาลา ดอกไม้ ดอกไม้ หมวก

กมล ดอกบัว ใจ ดอกบัว

ประณาม นอ้ มไหว้ ตเิ ตยี น น้อมไหว้

ค. ความหมายยา้ ยที่

คาในภาษาต่างประเทศจะมีความหมายอย่างหน่ึง แต่เมื่อนาคาน้ันมาใช้ในภาษาไทย ความ

หมายของคากจ็ ะเปล่ียนแปลงไป เช่น

คาต่างประเทศ ความหมายเดิม ความหมายท่ีไทยใช้

Fit พอเหมาะ คับ ตงึ

ดัสกร ขโมย ขา้ ศึก

อจิ ฉา ปรารถนา ไม่อยากให้ใครดกี ว่าตน

(๕) การแปลศพั ท์

การแปลศัพท์เปน็ การยืมความหมายของคาต่างประเทศที่ไทยนามาใช้โดยการแปลความหมายของคา

แบบคาต่อคา แล้วมารวมกันในลักษณะของการประสมคา ส่วนใหญ่เป็นคาภาษาอังกฤษ ส่วนการแปลอาจใช้คา

ไทย คาบาลี สนั สกฤต หรือ ปะปนกนั ท้งั ไทย และบาลีสนั สกฤตกไ็ ด้ เช่น

Typewrite เครื่องพิมพ์ดีด Television โทรทัศน์

(6) การสรา้ งศัพท์หรือบัญญตั ิคา

เม่ือประเทศไทยมีการติดต่อกับประเทศทางตะวันตก ก็ได้รับเอาความเจริญทางด้านวิทยาการต่าง ๆ

เช่น การศึกษา ปรัชญา แพทย์ วิทยาศาสตร์ และอ่ืน ๆ อีกมากมาย และได้รับคาภาษาต่างประเทศมาใช้ด้วย

นอกจากจะรับเขา้ มาในลักษณะทบั ศัพทแ์ บบของเดมิ แล้ว ศัพทใ์ หม่ หรือบญั ญตั ศิ ัพท์ข้ึนใชด้ ว้ ย ในระยะแรก มกั จะ

ใช้คาในภาษาไทย สรา้ งคาใหมข่ ึน้ ใช้ เช่น

Aeroplane เคร่อื งบิน Electricity ไฟฟ้า

แต่เม่ือมาถึงสมัยท่ีวิทยาการต่าง ๆ ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วมากเป็นการยากที่จะหาคาไทยมาสร้าง

ศพั ท์ใหม่ จงึ ต้องอาศยั คาบาลีและสนั สกฤต เข้ามาช่วย เช่น

Morals ศลี ธรรมSkill ทักษะ Context บริบท

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๔๒

การสรา้ งศัพท์ใหม่ ๆ น้ัน ในระยะแรกนั้นได้รับการยอมรับ และใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ใน ปัจจุบัน

มีการสร้างศัพท์ใหม่ ๆ โดยเรียกกันโดยทั่ว ๆ ไปว่า ศัพท์บัญญัติ ที่ใช้ในวงราชการ วงนักวิชา การ ไม่แพร่หลาย

ไปสู่คนภายนอก ศัพท์บัญญัติที่เข้ามากับความเจริญทางวิทยาการ มีจานวนมาก เกินความจาเป็น ทาให้เกิดความ

สบั สนในการใช้ (พนมพร นริ ัญทวี, ๒๕๒๗) ตวั อย่างศัพท์บัญญัติ เชน่

Individual เอกตั ภาพ Emotion อาเวค

Character อตั ลกั ษณ์ Equality สมภาพ

๓.๓ ประโยชนข์ องการเรยี นภาษาบาลีและสันสกฤต

วิสันต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๕ – ๑๓) ได้กล่าวไว้ว่า ภาษาบาลีและสันสกฤตได้เข้ามาเก่ียวข้องกับภาษาไทย

ทั้งในด้านร้อยแก้วและร้อยกรองตลอดถึงศัพท์ทางวิชาการต่าง ๆ จนเกือบจะแยกออกจากกันไม่ได้เลย

เพราะฉะนนั้ การเรียนภาษาบาลีและสันสกฤตถึงมปี ระโยชน์เปน็ อยา่ งมาก ดังจะไดก้ ล่าวเป็นข้อ ๆ ดงั ตอ่ ไปน้ี

๑. ช่วยในการเขียนสะกดการันต์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงคาพ้องเสียง ซึ่งเป็นคาที่มาจากภาษาบาลีและ

สันสกฤต เม่ือผู้ศึกษาได้ทราบความหมายของคานั้น ๆ อยู่แล้ว ก็สามารถเขียนสะกดการันต์คาน้ัน ๆ ได้อย่าง

ถกู ตอ้ ง เชน่

บาลีสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย

กรณฺ กรรณ หู

กณณฺ กัณณ์ หู

กณฺฐ กณั ฐ์ คอ

กนฺต กันต์ ตัด, โกน

กนยฺ า กนั ย์ ชอ่ื ราศีท่ี ๖ เรียกว่า ราศีกันย์

กณฑฺ กัณฑ์ ข้อความที่แต่งเป็นคาเทศน์เร่ืองหน่ึงที่จบลงคราวหนึ่ง ๆ เรียกว่า กัณฑ์

เรอ่ื งหรอื หมวด ตอน ส่วนของเรื่อง

กาญจน กาญจน์ ทอง

กานตฺ กานต์ ท่ีรัก โดยมากใช้เป็นส่วนท้ายของสมาส เช่น จันทรกานต์ (เป็นท่ีรักของ

พระจันทร์ได้แก่ แก้วผลึกที่ถูกแสงจนั ทร์แล้วมเี หง่ือคู่กบั ) สูรยกานต์ (เปน็ ที่

รกั ของพระอาทิตย์ได้แก่ แก้วท่รี วมแสงอาทิตยใ์ ห้เกดิ ไฟได้)

การ การ ผู้ทา มักใช้เป็นส่วนท้ายสมาสคาบาลีสันสกฤต เช่น กรรมการ, ตุลาการ

เปน็ ต้น

การณ การณ์ เหตุ เค้า มูล เช่น รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สังเกตการณ์

การยฺ การย์ หน้าที่ กจิ ธุระ งาน

กาล กาล เวลา คร้งั คราว หน

กาฬ กาฬ รอยดาหรือแดงทีผ่ ุดตามรา่ งกายคนเม่อื ตายแล้ว ดา มกั ใช้เป็นสว่ นหน้าของ

สมาส เช่น กาฬ

ขณฑฺ ขัณฑ์ ภาค ตอน ท่อน ก้อน ชนิ้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๔๓

ขนฺธ ขนั ธ,ขนั ธ์ ตวั หมู่ กอง พวก หมวด ส่วนหน่ึง ๆ ของรปู กับนามที่แยกออกเป็น ๕ กอง
คือ รูปขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขนั ธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขนั ธ์
จณฑฺ จณั ฑ์ ดรุ ้าย หยาบช้า เกรี้ยวกราด ฉุนเฉียว ราชาศัพท์ใชเ้ รียก สุรา หรอื เมรยั ว่า
นา้ จณั ฑ์
จนฺทน จนั ทน์ ช่ือพรรณไมช้ นดิ หน่งึ ใชท้ ายาไทยและปรงุ เครอ่ื งหอม
จนทฺ ร จนั ทร์ ดวงเดอื น ชื่อเทวดาตนหน่ึงในนยิ าย ชื่อวนั ที่ ๒ แห่งสปั ดาห์
ชน ชน คนท่ัวไป
ชนมฺ นฺ ชนม์ การเกดิ อายุ
ชล ชล นา้ มกั ใชป้ ระกอบหน้าหรือหลังคาอื่น ๆ เชน่ ชลมารค ชลเนตร
ทณฺฑ ทัณฑ์ โทษทเ่ี น่อื งด้วยความผดิ
ทนฺธ ทนั ธ์ ชา้ ๆ เงื่อง เกียจครา้ น หนัก โง่เขลา
ทนฺต ทันต์ ทรมานแล้ว ฝึกแลว้ ขม่ แล้ว ฟัน เชน่ ทันตแพทย์
ปวิตฺร บพิตร พระองค์ท่าน
ปวิธ บพิธ แต่ง สร้าง
ปณฑฺ ก บัณเฑาะก์ กะเทย
ปณว บณั เฑาะว์ กลองสองหน้าชนิดหน่ึงมีหลักอยู่ตอนบน ผูกตุ้มห้อย ลงมาทางหน้ากลอง
ใชไ้ กวใหต้ มุ้ แกวง่ กระทบ
ปฺรวาด ประพาด พดั กระพือ
ปฺรวาส ประพาส ไปตา่ งถน่ิ หรือต่างแดน ไปเท่ยี ว
ปรฺ ภาษ ประภาษ ตรัส บอก พดู
ปรฺ ภาส ประภาส แสงสวา่ ง
วรฺณ พรรณ สี ผวิ ชนิด
พนฺธ ผกู มัด ตรงึ ข้อผกู มดั
พนฺธุ พนั ธ์ พวกพอ้ ง พีน่ ้อง วงศ์วาน
ภณฑฺ พนั ธ์ุ ส่งิ ของ เคร่ืองใช้
วรคฺ ภัณฑ์ หมูค่ นทีเ่ ข้ารวมกันเป็นพวกเป็นฝา่ ย ใช้ พรรค หรือ วรรค ก็มี
มณฺฑ พรรค์ ของมนั ๆ นา้ เมา สุรา
มนฺต มนฺตฺร มณฑ์ คาศกั ดส์ิ ิทธิ์ คาสาหรบั สวด คาสาหรับเสกเป่า
มนทฺ มนต์ มนตร์ ดาวพระเสาร์ เฉ่ือย อ่อนแอ โงเ่ ขลา ขี้เกยี จ
มนท์ ความมวั หมอง ความสกปรก ความไมบ่ ริสุทธิ์ สนมิ เหง่ือไคล มัวหมอง
มล มล ธลุ ี ฝุ่น ผง ละออง
รช รชั ความเป็นพระราชา ราชสมบตั ิ
รชชฺ รชั แวน่ แควน้ บ้านเมอื ง
รฏฺฐ รฐั ยนิ ดี ชอบใจ มักใชป้ ระกอบทา้ ยสมาส เช่น วันรัต (ผู้ยินดีในป่า)
รต รตั

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๔๔

รตฺน รตั น์ แกว้ คน สตั ว์ หรือสิง่ ของท่ถี ือวา่ วิเศษและมีคา่ มาก เช่น ช้างแกว้
รชต รชั ต์ เงนิ
รถ รัถ รถ รถ
วจฺฉ วจั ฉ์ ลูกวัว
วจน วจั น์ คาพดู ถอ้ ยคา
วชฺช วัช สง่ิ ทคี่ วรละทง้ิ โทษ ความผดิ ควรกล่าวติ
วชฺฌ วัชฌ์ ฆ่า ทาใหต้ าย
วฏฏฺ วฏั การเวียนวา่ ยตายเกดิ เชน่ สังสารวัฏ
วตถฺ วัตถ์ เสอ้ื ผ้า เครอื่ งนุ่มห่ม
วตรฺ วตั ร กิจพึงกระทา หน้าท่ี ธรรมเนียม ความประพฤติ การจาศีล
วติ วตั ิ วดี ร้ัว กาแพง
วทน วัทน์ การพูด คาพดู ปาก หน้า
วสตฺ รฺ วัสตร์ ผา้ เส้ือผ้า เครื่องนงุ่ ห่ม แผลงเปน็ พัสตร์ กไ็ ด้
วสน วสั น์ ที่อยู่ บา้ น การอยู่ เครื่องนงุ่ ห่ม
ศลฺย ศลั ย์ ลูกศรหรือของมีปลายแหลมอ่ืน ๆ เช่น โศกศัลย์ (เป็นทุกข์ เดือดร้อน

เหมอื นถกู ศรแทง
สรคฺ สรรค์ สรา้ งให้มใี ห้เป็นข้นึ เช่น สร้างสรรค์
สณฑฺ สณั ฑ์ ชัฏ ดง ทร่ี ก ท่ีทึบ ใช้ สณฑ์ ก็มี
สณฺห สณหฺ ์ เกลี้ยงเกลา ออ่ น น่มุ นมุ่ นวล สภุ าพ งาม ละมุนละมอ่ ม ละเอียด
สนฺต สันต์ สงบ เงยี บ สงัด

๒. ช่วยให้เกิดความเข้าใจอย่างซาบซ้ึงในการศึกษาวรรณคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วรรณคดีที่เกี่ยวกับ

พระพุทธศาสนาและวรรณคดีไทยประเภทโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เป็นต้น เพราะคาศัพท์ที่ใช้มีคาบาลีสันสกฤต

อยู่เป็นจานวนมาก เชน่

๒.๑ สมทุ รโฆษคาฉนั ท์

พระศรศี รีสรศาสดา มีพระมหมิ า-

นภุ าพพ้นตยาคี

ศรี ม่งิ สิริมงคล ความรุง่ เรือง ความสวา่ งสกุ ใส ความงาม รูปศัพท์เดมิ เปน็ ศฺรี

สร ทพิ ย์ แกล้วกลา้ รูปศัพทเ์ ดมิ เป็น สรุ

ศาสดา ผ้สู งั่ สอน ผตู้ ง้ั ลัทธิศาสนา พระพุทธเจ้า รูปศัพทเ์ ดมิ เปน็ ศาสตฺ ฤ

มหิมานภุ าพ มอี านุภาพมาก ประกอบด้วยรปู ศพั ท์เดิม ๒ ศพั ทค์ ือ มหมิ า + อานภุ าว

ตยาคี นักพรต นกั บวช รปู ศัพทเ์ ดิมเปน็ ตฺยาคนิ ฺ

๒.๒ อิลราชคาฉนั ท์ (โตฏกฉันท)์

ศิวะแปลงวรรปู วยิ หญิงยุวดี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๔๕

พระอมุ าพระก็มี สุมนัสนิยมฯ

วรรปู รูปสวย นอกจากคานีแ้ ล้ว อาจจะใช้คาวา่ อภิรปู หรือ อดุ มรูป แทนก็ได้

วิย เหมือน ราวกะ เพียงดัง ประดุจ คานี้รูปศัพทเ์ ดิมเป็น วิย ซ่งึ เป็นศัพท์นิบาตบอกอปุ มาอุปไมย ไม่

นิยมนามาใช้ในข้อความที่เป็นร้อยแก้ว นิยมใช้แต่ในคาร้อยกรอง ทั้งนี้เพ่ือต้องการลหุตาม

ข้อบงั คบั การแต่งฉนั ท์

ยุวดีหญิงรุ่น หญงิ สาว รูปศพั ท์เดิมเป็น ยวุ ดี

สุมนัส ใจดี ดใี จ พอใจ รปู ศพั ท์เดมิ เปน็ สมุ นสฺ

๓. ช่วยในการแตง่ กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ทั้งน้เี พราะว่า คาบาลีและสันสกฤตสามารถรักษาครุ ลหุ ได้ดี

และกินความได้มาก ท้ังสามารถนามาแผลงให้เป็นครุ หรือ ลหุ ได้อีกด้วย เพื่อรักษาข้อบังคับแห่งกาพย์ กลอน

โคลง ฉันท์ ไว้ให้ถูกต้อง หรือเพ่ือความไพเราะในด้านเสียง โดยที่ความหมายมิได้เปล่ียนแปลงไปจากความหมาย

เดิม เช่น

๓.๑ อิลราชคาฉนั ท์ (วสนั ตดลิ กฉนั ท์)

ผาสกุ สนกุ นครขัณ- ฑสมิ าสมุ ณฑล

บาเทงิ ระเริงหทยชน ทชิ ชาตปิ ระชมุ ชีฯ

สิมา เขตแดน รูปศัพทเ์ ดิมเปน็ สีมา (ขณฺฑสีมา) เปน็ คาบาลี (ส. ว่า สมี นฺ หรือ สมี า) แตแ่ ผลงเป็น สิมา

เพ่อื รกั ษาขอ้ บังคบั ของคณะฉนั ท์

๓.๒ สมุทรโฆษคาฉนั ท์

บาดแผลกแ็ ลลน้ จะประมาณ วกิ ารส้ินทง้ั อนิ ทรีย์

แสนโศกวโิ ยคทุกขทวี คอื จะวอดชวิ าวายฯ

ชวิ า ชีพ ความเป็นอยู่ ชีวิต รูปศพั ท์เดิมเป็น ชวี แผลงเป็น ชิว หรือ ชิวา เพ่ือรักษาข้อบังคบั ของคณะ

ฉนั ท์

ทวี เพ่มิ ขน้ึ มากขึ้น รปู ศัพทเ์ ดิมเปน็ ทฺวิ แปลวา่ สอง

๔. ช่วยให้เกิดความเข้าใจในความหมายของศัพท์ธรรมะในพระพุทธศาสนาดียิ่งขึ้น เช่นคาว่า จตุราริยสัจ
ประกอบดว้ ยรูปศัพทเ์ ดิม ๓ ศพั ทค์ อื จตุ + อรยิ + สจฺจ

อนนั ตรยิ กรรม ประกอบดว้ ยรูปศพั ท์เดมิ ๓ ศัพทค์ อื น + อนฺตริย + กรฺมนฺ
อบายมุข ประกอบด้วยรูปศพั ทเ์ ดมิ ๒ ศพั ทค์ ือ อปาย + มุข
สจั ธรรม ประกอบดว้ ยรปู ศพั ท์เดมิ ๒ ศัพทค์ ือ สจจฺ + ธรฺม
หริ ิโอตตปั ปะ ประกอบด้วยรูปศพั ท์เดมิ ๒ ศพั ทค์ ือ หริ ิ + โอตตฺ ปฺป
สงั คหวตั ถุ ประกอบดว้ ยรูปศพั ท์เดิม ๒ ศัพทค์ อื สงคฺ ห + วตฺถุ ฯลฯ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง


Click to View FlipBook Version