๑๙๖
บทที่ ๑๐
อิทธิพลของภาษาบาลีและสนั สกฤตตอ่ ภาษาไทย
ในบทนี จะได้กล่าวถึงอิทธิพลของภาษาบาลีสันสกฤตต่อภาษาไทย ซึ่งประกอบด้วย อิทธิพลด้าน
ไวยากรณ์ อิทธพิ ลด้านการใชภ้ าษาไทย อิทธิพลด้านการใช้สานวนภาษา อิทธพิ ลดา้ นการออกเสียงคาไทย อิทธพิ ล
ด้านการเปล่ียนแปลงศัพท์ และผลดีและผลเสียในการรับคาภาษาต่างประเทศเข้ามาในภาษาไทย มีรายละเอียด
ดงั ตอ่ ไปนี
๑๐.๑ อิทธิพลด้านไวยากรณ์
๑. ตอ่ ระบบเสยี ง
๑.๑ เสียงพยัญชนะ เน่ืองจากหน่วยเสียงพยัญชนะของบาลีสนั สกฤตกบั ไทยมีไม่เทา่ กัน ดังนันเมื่อรับ
ภาษาบาลี-สันสกฤต เข้ามา เราก็ใช้อักษรที่เราคิดขึนโดยนาไปใช้แทนเสียงบาลี สันสกฤตท่ีต่างไปจากหน่วยเสียง
ของไทย
๑) อ นฤคหติ ไทยรับมาใช้ในสมัยสุโขทัย และอยุธยา โดยเขียนบนตัวอกั ษรท่ี ต้องการออกเสียง
มี ม สะกด เช่น
สสู่ สองส = สสู่ ม สองสม คแหง = คาแหง
บเรอ = บาเรอ กล = กลม
๒) ฤ ฤา ฦ ฦๅ ใชเ้ ขียนคาไทยบางคาในสมยั โบราณ ซง่ึ ปัจจบุ ันอาจเลิกใช้ไปแล้วบ้าง เช่น
กฤช ปจั จุบนั ใช้ กรชิ
ฤาชา ปจั จบุ ันใช้ ลอื ชา
นฤนาท
นฤมล
ฤๅสาย ฯลฯ
๓) ฎ, ฏ, ฐ, ฑ, ฒ, ฌ, ฆ, ญ, ธ, ภ, ศ, ษ
ฏ เชน่ ปฏัก
ฒ เช่น เฒ่า
ฆ เช่น ฆ่า ฆอ้ ง ระฆงั เมฆ
ณ เชน่ ณ. ประมาณ คานวณ
ญ เช่น ญวน หญา้ เทอญ หาญ หญิง เชญิ ญป่ี ่นุ กญุ แจ
ธ เชน่ เธอ ธ ธง ธวชั พุทโธ
ภ เช่น ภายใน ภาษี
ศ เช่น ศอ ศอก เศรา้ ทิศ พศิ วง ศก ศรี เลศิ ไอศกรมี
ษ เช่น ดาษดา ดาษด่ืน กระดาษ อังกฤษ (จันจิรา จิตตะวิริยะพงษ์, ๒๕๔๖ : ๑๖๒ –
๑๗๒) และ (ชนิดา สุวรรณรัตน์, ม.ป.ป)
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๑๙๗
๔) เสยี งพยัญชนะต้นคาและพยัญชนะท้ายคา ดงั นี
ก. เพิ่มเสียงพยญั ชนะควบกลาขนึ เดิมภาษาไทยมพี ยญั ชนะควบกลา ๑๑ หนว่ ยเสยี ง คอื กร
กล กว ขร คร ขล คล ขว คว ตร ปร ปล พร และ พล เม่ือเรารับคาบาลีสันสกฤตเข้ามาทาให้เรามีพยัญชนะควบ
กลาเพิม่ ขึนอีก ๑ หน่วยเสยี ง คือเสียง ทร เช่นในคาว่า จันทรา ทฤษฎี ภัทรา เป็นตน้ หน่วยเสียง ทร เราออกเสยี ง
เป็น ซ ทงั สินในคาไทย
ข. เพ่ิมเสยี งพยัญชนะทา้ ยคาขึน เดิมพยัญชนะท้ายคาในภาษาไทยมี ๘ เสยี ง คือ ก ต ป ง น
ท ย ว เมื่อรับคาบาลีสันสกฤตเข้ามา ทาให้ไทยมีเสียงพยัญชนะท้ายคาเพ่มิ ขึนอีก ๒ เสียง คือ ส และ ล เช่นในคา
ว่า อัศวนิ กฤษณา กลั ยา เป็นตน้ (สภุ าพร มากแจ้ง, ๒๕๓๕ : ๑๕๖)
๒. ตอ่ การสร้างคาไทย
๒.๑ การเรียงคาขยายไว้ข้างหน้า กล่าวคือ ภาษาไทยสรา้ งคาโดยการประสมและเรียงคาขยายไว้ข้าง
หลัง ส่วนภาษาบาลีสันสกฤตสร้างคาโดยการกฤต สมาส ตัทธิต และลงอุปสรรค และปกติจะเรียงคาขยายไว้
ข้างหนา้ เมอื่ ภาษาบาลีสันสกฤตปะปนอยใู่ นภาษาไทยนานเข้าไทยจงึ รับวิธีการสร้างคาโดยเรียงคาขยายไวข้ า้ งหน้า
ของบาลีสนั สกฤตมาใชโ้ ดยไม่รู้ตัว เช่น พาหุรัด เพ้งโภชนา รตั นาเฟอร์นเิ จอร์ คิงส์ภูษา สรรพสนิ คา้ ราชวัง ฯลฯ
๒.๒ การสร้างคาโดยลงอุปสรรค เป็นวิธีการสร้างคาโดยนาอุปสรรคบาลีสันสกฤตมาเติมหน้าคาไทย
หรือคายืมภาษาอ่ืน เชน่ อนกุ าชาด อนุกระเบียด ฯลฯ (สภุ าพร มากแจ้ง, ๒๕๓๕ : ๑๕๗)
๒.๓ การเปลยี่ นแปลงดา้ นคาศัพทม์ ี ๒ ลักษณะ ปรชี า ทิชนิ พงศ์ (๒๕๓๔ : ๑๒๑ – ๑๒๒) ดงั นี
๑) การเพ่ิมศัพท์ การเปลี่ยนแปลงในดา้ นนีเป็นการเพ่ิมด้านปริมาณ กลา่ วคือ เดิมเรามีถ้อยคาใช้
อยู่ในปริมาณหนึ่ง ครันเมื่อได้รับคาบาลีและสันสกฤตเข้ามา ทาให้มีถ้อยคาใช้เพ่ิมปริมาณขึนอย่างรวดเร็วและ
มากมาย ปัจจุบันถ้าเราสังเกตการใช้ภาษาไทย ไม่ว่าจะเป็นการใช้ถ้อยคาสูงในราชาศัพท์ ในศาสนา ในเชิง
วิทยาการแขนงต่าง ๆ ตลอดมาจนถึงการใช้ถ้อยคาธรรมดาสามัญในภาษาพูดทั่ว ๆ ไป ล้วนแล้วแต่ใช้ถ้อยคาที่
รบั มาจากภาษาทัง ๒ นเี ปน็ อันมาก จนมีผูก้ ลา่ ววา่ “ถา้ เราไม่ไดย้ ืมคาบาลีและสันสกฤตมาใช้ เราอาจพดู ไม่ได้อย่าง
ท่ตี ้องการจะพูด” (บรรจบ พันธุเมธา, ๒๕๑๖ : ๑๐๑) เก่ยี วกับคาศัพท์ที่ไทยรับเขา้ มาจากภาษาบาลีและสันสกฤต
มีตัวอย่างประกอบมากมาย ซ่ึงคาบาลแี ละสนั สกฤตชว่ ยเพิม่ คาไวพจนใ์ นภาษาไทยเป็นจานวนมาก
๒) การสูญศัพท์ การเปลี่ยนแปลงเกิดขึนเม่ือรับคาบาลีและสันสกฤตเข้ามา แล้วทาให้คา
ภาษาไทยซ่ึงมีใช้อยู่เดิมสูญไป ตัวอย่างเชน่ คาว่า “ตัวเปน็ ” เดิมใช้ในภาษาไทยสมัยก่อน เม่ือรับคาว่า “สัตว์” ใน
ภาษาสันสกฤตเข้ามา คาว่า “ตัวเปน็ ” จึงหายไปจากภาษาไทย และคาว่า “หวั ” เมื่อก่อนใช้ได้ทั่วไปทังกับคนและ
สัตว์ เม่ือรบั คาว่า “ศรี ษะ” ในภาษาสนั สกฤตเข้ามา คาวา่ “หวั ” กล็ ดฐานะลงนยิ มใช้แต่กบั สตั วเ์ ท่านนั
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๑๙๘
๑๑.๒ อทิ ธพิ ลดา้ นการใชภ้ าษาไทย
๑. ต่อการเขยี นคาไทย สภุ าพร มากแจ้ง (๒๕๓๕ : ๑๖๐) ได้จาแนกไว้ ๒ ประการ ดังนี
๑.๑ การลากเขา้ ความ โดยการเขยี นคาให้มรี ูปคลา้ ยกบั คาภาษาบาลีสันสกฤต ทังทเี่ ปน็ คาภาษาอ่ืน เช่น
คาเดมิ ไทยเขียน ความหมาย
สิเราะห์ (มลายู) พระศรี หมากพลู
พัน พรรณ, พันธุ์ ชนดิ
ขา้ วสาน ข้าวสาร ข้าวที่เอาเปลอื กออกแล้ว
เดอรนี (มลายู) ธรณี ธรณีประตู ฯลฯ
๑.๒ การใช้แนวเทียบผิด โดยใช้คาบาลีสันสกฤตเป็นแนวเทียบ ทาให้เขียนคาไทย หรือคาบาลี
สันสกฤตเองผิด ทาให้เกิดแนวเทียบผิดในการเขียนสะกดการันต์ เน่ืองจากเรารับเอาคาบาลีสันสกฤต ซ่ึงมีหลาย
พยางค์มาใช้ในภาษาไทยเป็นจานวนมาก เราจึงต้องตัดทอนพยางค์ของคาบาลีสันสกฤตให้สันลง โดยใส่
เครื่องหมายไม้ทัณฑฆาตลงทีท่ ้ายพยางค์ของคาท่ีไมต่ ้องการออกเสียง ซึ่งเรียกว่าตัวการันต์ จึงทาให้เกิดแนวเทียบ
ผดิ ในการเขยี นคาไทยแท้ หรอื แมแ้ ต่การเขยี นคาบางคาทม่ี าจากภาษาบาลีสันสกฤตเอง เช่น
ตวั อย่าง ตวั อยา่ ง
คาถกู เทยี บจาก เขียนผิดเปน็ คาถกู เทียบจาก เขยี นผิดเป็น
หงึ หงิ สา หึงส์ อภริ มย์ อารมณ์ อภริ มย์
สิงโต สงิ ห์ สิงโต สงั เกต เหตุ หรือ เกตุ สงั เกตุ
ดอกจนั จันทร์ ดอกจันทร์ อวสาน เกษมศานต์ อวสาน
ผาสกุ สุข ผาสกุ เบญจเพส เพศ เบญจเพศ
ละโมบ โลภ ละโมบ นจิ ศลี ทรพั ย์สิน นิจสนิ
อานิสงส์ สงฆ์ อานิสงส์
๒. ตอ่ การใชต้ วั สะกด วสิ นั ต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๙๐) และจนั จริ า จติ ตะวิรยิ ะพงษ์ (๒๕๔๖ : ๑๖๖) กล่าว
ว่า เดิมภาษาไทยมักจะใช้ตัวสะกดตรงตามมาตรา เช่น แม่กด จะมีตัว ด สะกดเป็นพืน แต่เม่ือรับเอาคายืมจาก
ภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย ทาใหก้ ารใช้ตัวสะกดในภาษาไทยเปล่ียนแปลงไปทัง ๆ ท่ีออกเสียงตัวสะกด
ตรงกัน เชน่ จะมี จ ช ฏ ฐ ฑ ฒ ต ถ ท ธ ศ ษ ส เป็นตัวสะกด และทาให้ภาษาไทยมีคาพ้องเสียงมากขึน ตวั อย่าง
คาอา่ น ตัวอยา่ งคา
/รดั / รัตน์ รัฐ รัถ รัช
/รด/ รถ รส
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๑๙๙
คาอ่าน ตวั อย่างคา
/พดั / พทั ธ พตั ร พัช ภตั
/สุก/ สขุ ผาสกุ
/พาน/ นิพพาน พาล สมภาร
/นบ/ นภ นพ
/กาน/ การณ์ กาญจน์ กานต์
/กนั / กันต์ กณั ฐ์ กัณฑ์ กรรฐ์ กรรม์
/ขนั / ขันธ์ ขณั ฑ์ ขรรค์
/จัน/ จันทร์ จัณฑ์ จันทน์
/ยาง/ พยางค์ ไตรยางศ์
/พนั / พันธ์ พนั ธุ์ พรรค์ พรรณ พรรษ์ ภัณฑ์
/สนั / สันต์ สัณฑ์ สณั ห์ สรรค์ ศัลย์ สรร สรรพ์ สันทน์ ฯลฯ
๓. ต่อการใช้ตัวการันต์ วิสันต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๙๑) และจันจิรา จิตตะวิริยะพงษ์ (๒๕๔๖ : ๑๖๗)
กลา่ ววา่ เนือ่ งจากภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด คาแตล่ ะคามักจะมีพยางค์เดยี ว ส่วนภาษาบาลีสันสกฤตนัน คาแตล่ ะ
คามักจะมีหลายพยางค์ เม่ือรับเอาคาบาลีสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย จึงต้องตัดทอดเสียงของคาที่มีหลายพยางค์
ให้สันลง โดยใช้เครื่องหมายไม้ทัณฑฆาตกากับพยางค์ท้ายคาท่ีไม่ต้องการออกเสียงซึ่งเรียกว่า ตัวการันต์ จึงนับได้
ว่าการท่ีเรารับเอาคาบาลีสนั สกฤตมาใช้ในภาษาไทยทาให้ภาษาไทยมกี ารใชต้ ัวการนั ต์เพ่ิมขนึ เช่น
บาลีสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ปลลฺ งกฺ บลั ลังก์ แทน่ น่ังขัดสมาธเิ รียกวา่ นัง่ คู่บัลลงั ก์ ทน่ี ง่ั ผพู้ พิ ากษา
สงฺฆ สงฆ์ ภกิ ษใุ นพระพทุ ธศาสนา
คมฺภรี คัมภีร์ ตาราท่ีได้รับยกย่อง เชน่ ตาราทางศาสนา
อนุรกษฺ อนุรกั ษ์ ตามรกั ษา ปอ้ งกัน
อานสิ ส อานสิ งส์ ผลแห่งกศุ ล ประโยชน์
ทาให้เกดิ คาพอ้ งเสียงกม็ ี เชน่
บาลีสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
การณ การณ์ เหตุ เค้า มลู
กาญฺจน กาญจน์ ทอง
จณฺฑ จณั ฑ์ ดรุ ้าย หยาบชา้ เกรยี วกราด
จนฺทน จนั ทน์ ชื่อพรรณไมช้ นิดหน่ึง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๐๐
พนฺธ พนั ธ์ ผูก มดั ขอ้ ผกู มดั
พนธฺ ุ พนั ธ์ุ พวกพ้อง พ่นี ้อง เหลา่ กอ พชื วงศ์วาน
ไวทยฺ แพทย์ หมอรกั ษาโรค
ไวศฺย แพศย์ คนในวรรณะท่ี ๓ แหง่ สงั คมฮนิ ดู
นอกเหนอื จากคาภาษาบาลีและสันสกฤตแลว้ ยังมคี าภาษาองั กฤษทีใ่ ช้เครื่องหมายทัณฑฆาตฆา่ เสียงท่เี รา
ไมต่ ้องการ เช่น
ฟลิ ม์ ดรมั เมเยอร์ บรอนซ์ ชอล์ก นิวยอร์ก
แคร์ นวิ เคลียร์ บาร์ แบงก์ คอนเสริ ์ต
เชอรร์ ่ี ฯลฯ
นอกจากนี เรารับเอาวิธีสร้างคาของภาษาบาลีสันสกฤตมาใช้สร้างคาไทย โดยวิธีสมาส สนธิ และวิธีเติม
อุปสรรค ทาให้เรามีคาใช้ซึ่งสร้างขึนโดยวิธีนีเพิ่มขึน เช่น จุลทรรศน์ โทรเลข จุลสาร วันทยาวุธ สรรพสินค้า
อนกุ าชาด อนุกระเบยี ด ฯลฯ
๔. ต่อการใช้คาควบกลา วิสันต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๙๒) กล่าวว่า เดิมในภาษาไทยมีการใช้คาควบกลา
น้อย แต่เม่ือเรารับเอาคาบาลีสันสกฤตซึ่งมีคาควบกลาเป็นจานวนมากมาใช้ในภาษาไทย (ในภาษาบาลีมีคาควบ
กลาน้อยมาก) จึงทาให้ภาษาไทยมคี าควบกลาเพม่ิ มากขนึ กวา่ ที่มีอยู่เดิม เชน่
สันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
คฺรห เคราะห์ โชค คราวดีคราวรา้ ย คาเรียกดาวเฉพาะเกา้ ดวงวา่ ดาวนพเคราะห์
สคฺราม สงคราม การรบกนั
อนุกรฺ ม อนุกรม ลาดับ ระเบยี บ ชัน
อนุครฺ ห อนเุ คราะห์ ความกรุณา ความเอือเฟ้อื การช่วยเหลอื
กฤษณฺ กฤษณา เนอื ไมห้ อมชนิดหนง่ึ
คฤหสถฺ คฤหัสถ์ ผูค้ รองเรือง ผู้ไมใ่ ช่นักบวช
ทฤษฎฺ ิ ทฤษฎี ความเห็น การเห็นดว้ ยใจ ลกั ษณะทคี่ าดคดิ เอาตามหลกั วชิ าตรงกันขา้ มกบั ภาคปฏิบตั ิ
ปฤจฉฺ า ปฤจฉา คาถาม
วฤกฺษ พฤกษ์ ต้นไม้
นอกจากนี จันจิรา จิตตะวิริยะพงษ์ (๒๕๔๖ : ๑๖๕) กล่าวว่า มีอิทธิพลทาให้ภาษาไทยมีเสียงพยัญชนะ
ควบกลามากขนึ เดิมภาษาไทยเป็นภาษาคาโดด ไม่นิยมเสยี งควบกลา แต่เมื่อรับภาษาต่างประเทศเข้ามา ทาให้ใน
ภาษามีคาควบกลามากขึน เดิมไทยมีพยัญชนะควบกลาได้เพียง ๑๑ เสียง เท่านัน ใช้พยัญชนะ ร ล และ ว เป็น
พยัญชนะควบกลา ดงั นี /กร/ /กล/ /กว/ /ขร/ /คร/ /ขล/ /คล/ /ขว/ /คว/ /ตร/ /พร/ /พล/ /ผล/ /ปร/ /ปล/
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๐๑
แต่ปัจจุบนั เพิ่มพยัญชนะควบกลาในภาษาอังกฤษขึนมาอีก ๕ เสียง ทาให้เรามีรูปควบกลาใช้มากขึน เช่น
ฟรี เฟรนส์ฟรายส์ บรอนซ์ ฟลอร์ ฟลูออไรด์ บลูยนี บล็อก เบรล์ล ดราฟต์ เบรก แบล็กเมล์ ดรัมเมเยอร์ ฯลฯ
๕. ตอ่ การใช้ศัพท์ วิสนั ต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๙๓) กล่าวว่า คาไทยบางคาเราถือกันว่าเปน็ คาไม่สุภาพ ไม่
อาจจะนามาใชใ้ นภาษามาตรฐาน (แบบแผน) ได้ แต่ถา้ เปล่ยี นคาเหล่านนั ไปใช้คาท่ีมาจากภาษาบาลีสันสกฤตแทน
ก็ถอื กนั วา่ เป็นคาสภุ าพและเป็นภาษามาตรฐาน เชน่
คาไทย คาบาลสี นั สกฤต คาไทย คาบาลีสันสกฤต
ววั โค อวัยวะลับหญิง โยนี
หัว ศรี ษะ อวัยวะลับชาย ลึงค์
เมยี ภรรยา, ภรยิ า ขี อจุ จาระ
๖. ต่อการใช้สระ ไอ ไอย อัย วสิ ันต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๙๓) กล่าวว่า โดยปกติคาไทยแท้จะมีสระ ไอ ใช้
อยู่เพียง ๒ รูป คือ ใอ ไอ เท่านัน เช่น ใด ใจ ใส ใคร ไป ไหน เป็นต้น แต่เมื่อเรารับเอาคาบาลีสันสกฤตมาใช้ใน
ภาษาไทย ทาให้การใช้สระ ใอ เพม่ิ มากขึนกวา่ ทีใ่ ชอ้ ยูเ่ ดิม เช่น
สระ ไอ ใช้เขยี นคาท่ีมาจากภาษาสนั สกฤต (และภาษาอื่น) ซ่งึ เดิมก็เปน็ สระ ไอ ท่ีอยตู่ ้นพยางคข์ องคา เชน่
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ไกลาส ไกรลาส ช่อื ภเู ขาในเทอื กเขาหมิ าลยั
ไมตฺรี ไมตรี ความเปน็ เพอื่ น ความหวังดตี ่อกัน
ไวรี ไพรี ผ้มู ีเวร ขา้ ศึก
ไวโรจน ไพโรจน์ รงุ่ เรอื ง สุกใส
ไอศฺวรฺย ไอศวรรย์ ความเป็นเจ้าเป็นใหญ่ ความเป็นพระเจา้ แผน่ ดิน อานาจ
สระ ไอย ใช้เขียนคาท่ีมาจากภาษาบาลีซึ่งรูปสระเดิมเป็น เอยฺย และใช้เขียนคาที่มาจากภาษาสันสกฤต
ซึ่งรปู สระเดิมเป็น เอย แตเ่ ม่อื นามาใชใ้ นภาษาไทย แผลงเปน็ สระ ไอ (ไ-ย) ตัวอยา่ ง
ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ภาคิเนยฺย ภาคิเนย ภาคิไนย หลาน คอื ลกู ของพี่สาวหรอื นอ้ งสาว
เวเนยยฺ เวเนย เวไนย ผคู้ วรแนะนาส่งั สอน ผ้พู ึงดัดได้สอนได้
อภิเธยฺย อภเิ ธย อภิไธย ชื่อ
อาชาเนยยฺ อาชาเนย อาชาไนย ม้าพันธ์ุดี ถา้ เปน็ ม้าทฝี่ ึกหดั มาดีแลว้ เรียก ม้าอาชาไนย
อปุ เมยฺย อปุ เมย อุปไมย ข้อความที่พึงเปรยี บเทยี บกบั ส่ิงอนื่ เพื่อใหเ้ ขา้ ใจแจ่มแจ้ง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๐๒
สระ อัย ใช้เขียนคาท่ีมาจากภาษาบาลีสันสกฤต ซ่ึงพยางค์สุดท้ายของศัพท์เดิมเป็นตัว ย (อ่านว่า ยะ)
และหนา้ ตัว ย จะเปน็ เสียงสระ อะ เสมอ เม่ือนามาใชใ้ นภาษาไทย จะเปล่ียนตวั ย เปน็ ตัวสะกด (-ยั ) ตวั อยา่ ง
บาลีสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กษฺ ย กษยั การสินไป การหมดไป การเสอ่ื มไป ชื่อโรคชนดิ หนึ่ง
ชย ชยั การชนะ
นสิ ฺสย นสิ ัย ความประพฤตทิ เี่ คยชนิ
วินย วนิ ยั การอยูใ่ นระเบียบแบบแผนและขอ้ บังคบั
สสย สงสัย ไม่แนใ่ จ
หทย หทยั หัวใจ ใจ
วย วยั เขตอายุ ระยะของอายุ
๗. ต่อการสร้างคาประสมขึนใช้ วิสันต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๙๕) กล่าวว่า โดยปกติการสร้างคาใหม่ขึนใน
ภาษาไทยนัน เราเอาคามูลกับคามูลมาประสมกัน เช่น แม่ + นา เปน็ แม่นา, ปาก + กา เป็น ปากกา ดังนีเป็นต้น
แต่เมื่อเรารับเอาคาบาลีสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทยมากขึนเราได้นาเอาคาบาลีสันสกฤตมาประสมกับคาไทยเดิม
หรือคาไทยที่มาจากภาษาอื่น ซ่งึ เราใชอ้ ยู่แล้วโดยใชค้ าไทยประกอบข้างหนา้ บา้ ง ขา้ งหลงั บา้ ง เชน่
ใชค้ าไทยประกอบหน้าคาบาลีสันสกฤต ตวั อยา่ ง
คาไทย คาบาลีสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ปุ๋ย อินทรฺ ิย ปยุ๋ อนิ ทรีย์ อินทรยี วตั ถทุ สี่ ลายตัวปะปนอยใู่ นดินทาใหด้ ินอุดมสมบูรณ์
คน จร คนจร คนแปลกหน้า คนทไ่ี ม่มีทอ่ี ยูเ่ ปน็ หลกั แหล่ง
ทอง กร ทองกร กาไลมือ
นกั ปรฺ าชฺญ นกั ปราชญ์ ผู้รู้ ผู้มีปัญญา
มง่ิ มติ ฺร ม่ิงมติ ร เพ่ือนรกั เมียรัก
หลัก ฐาน หลักฐาน พืนเพม่ังคง ความมั่นคงอันเป็นพืนท่ีตัง เครื่องแสดง
ประกอบเพื่อยืนยนั
ใช้คาไทยประกอบหลังคาบาลีสันสกฤต ตัวอย่าง
คาบาลีสนั สกฤต คาไทย ไทยใช้ ความหมาย
โค นม โคนม แม่ววั ที่เลยี งไวส้ าหรับรีดนม
พล เมอื ง พลเมือง ประชาชน ชาวประเทศ
ราช วัง ราชวัง ท่ปี ระทบั อยู่ของพระมหากษัตรยิ ์
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๐๓
จนฺทน แดง จนั ทน์แดง ชอื่ ต้นไมช้ นิดหนึ่ง
ทฺรวฺย สิน ทรพั ย์สนิ วตั ถทุ ่มี รี ปู ร่างและไม่มีรปู รา่ งซ่ึงอาจมรี าคาและถือเอาได้
ภูมิ รู้ ภมู ริ ู้ พืนความรู้
๑๑.๓ อิทธพิ ลดา้ นการใช้สานวนภาษา
สภุ าพร มากแจง้ (๒๕๓๕ : ๑๕๘) กลา่ วว่า อทิ ธิพลต่อการใช้สานวนภาษาไทยมี ๒ ประการ ดงั นี
๑. ได้จากสานวนภาษาบาลี อิทธิพลข้อนีไทยได้รับจากภาษาบาลีเท่านัน เน่ืองจากพุทธศาสนานิกาย
หินยานรุ่งเรืองอยู่ในประเทศไทยเป็นเวลาช้านาน ชาวไทยคุ้นเคยกับเรื่องราวในชาดกเป็นอย่างดี จนกระทั่ง
สามารถแต่งปัญญาสชาดกขึนเป็นภาษาบาลีได้ เม่ือเราคุ้นเคยกับภาษาบาลีถึงเพียงนี จึงเป็นท่ีแน่นอนว่า สานวน
ภาษาบาลีในชาดกตา่ ง ๆ ยอ่ มต้องเข้ามาปะปนอยู่ในสานวนไทยบา้ ง ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปนี
สานวนบาลี สานวนไทยใช้ สานวนบาลี สานวนไทยใช้
ยถา – ตถา ฉันใด ฉนั นนั สพพฺ ทา ในกาลทงั ปวง
โข แล ยถากมมฺ คโต ไปตามยถากรรม
สคุ ตึ ไปสู่สคุ ติ อติ ิ อยา่ งนี ด้วยประการนี ว่าดงั นี
อตีเต กาเล กาลครังหน่งึ นานมาแล้ว ตโต ปฏฐฺ าย จาเดมิ แต่นันมา
๒. ได้จากวิภัตติ อทิ ธพิ ลในข้อนคี ่อนขา้ งจะสงั เกตเห็นไดย้ าก ด้วยเหตุทีว่ ิภัตติในภาษาบาลีสนั สกฤต ก็คือ
บุพบทและคาร้องเรียกในภาษาไทยน่ันเอง ข้อท่ีจะช่วยในการพิจารณาก็คือ สานวนไทยมักละบุพบท แต่สานวน
บาลีจะต้องมบี ุพบทอยู่ด้วยเสมอ ดังนัน หากผู้เขยี นใช้บุพบทฟุ่มเฟือยเกิดความจาเปน็ อาจเป็นได้ว่าได้รับอิทธิพล
จากภาษาบาลี ดงั ตวั อย่างต่อไปนี
อาลปนะ (แน่ ดูก่อน ข้าแต่ ฯลฯ)
ขา้ แตพ่ ระมหามนุ ี ผู้มคี วามเพยี รเป็นใหญ่ (แสงเทียน)
ดกู อ่ นผูน้ ฤทกุ ข์ ทา่ นนนั อยู่ในสวรรค์สุขาวดแี ดนบรมสุข (วาสิฏฐี ภาคสวรรค)์ เปน็ ต้น
ส่วน วิสันต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๙๖) กล่าวว่า อิทธิพลในด้านการใช้สานวนภาษา เม่ือไทยยอมรับนับถือ
พระพุทธศาสนาและได้ศึกษาภาษาบาลีสันสกฤต จากตาราและคัมภีร์ต่าง ๆ จึงทาให้เกิดสานวนภาษาไทยแบบ
ใหม่ ซึง่ ไดม้ าจากภาษาบาลีสันสกฤตมากขนึ โดยไดม้ าในลกั ษณะ ๒ แนวทางคือ
๑) ลักษณะสานวนภาษาท่ีได้มาจากความหมายของศพั ท์บาลีสนั สกฤต ซ่ึงตรงกับตัวอย่างของสุภาพร
มากแจ้ง ทีไ่ ด้กล่าวไปแลว้ ขา้ งตน้ จึงไม่ขอยกมาแสดงซา
๒) ลักษณะสานวนภาษาที่ได้จากวิภัตตินามในภาษาบาลีสันสกฤต เน่ืองจากภาษาบาลีสันสกฤตเป็น
ภาษามีวิภัตติปัจจัย ในเวลาแปลคานามภาษาบาลีสันสกฤตเป็นภาษาไทย จะต้องแปลออกสาเนียงอายตนิบาต
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๔
หรือ บุพบท (คาเช่ือม) ตามทกี่ าหนดไว้ประจาวิภตั ตนิ ามนัน ๆ ด้วย จึงทาให้เกิดสานวนภาษาใหมข่ ึนในภาษาไทย
คาบุพบทประจาวิภตั ตนิ ามตา่ ง ๆ ในภาษาบาลีสนั สกฤต มีดงั นี
วภิ ตั ตนิ ามที่ ๑ ได้แก่ อันว่า (ประธาน)
วิภัตตินามที่ ๒ ได้แก่ ซงึ่ สู่ ยงั สนิ ตลอด กะ เฉพาะ (กระทา)
วิภตั ตนิ ามท่ี ๓ ไดแ้ ก่ ดว้ ย โดย อัน ตาม เพราะ มี (ประกอบ)
วิภตั ตนิ ามที่ ๔ ได้แก่ แก่ เพ่อื ต่อ (ให้)
วภิ ตั ตินามที่ ๕ ไดแ้ ก่ แต่ จาก กวา่ เหตุ (มีเงอื่ นไข)
วภิ ตั ตินามที่ ๖ ไดแ้ ก่ แห่ง ของ เมือ่ (เจา้ ของ)
วภิ ัตตนิ ามที่ ๗ ไดแ้ ก่ ใน ใกล้ ที่ ครันเมื่อ ณ เหนือ บน ใต้ (บอกตาแหน่ง)
วภิ ตั ตินามท่ี ๘ ได้แก่ อาลปนะ (คาร้องเรียก) แน่ะ ดกู ่อน (ดกู ร,ดรู า) ขา้ แต่
๑๑.๔ อิทธพิ ลด้านการออกเสียงคาไทย
สุภาพร มากแจ้ง (๒๕๓๕ : ๑๕๙) กลา่ วว่า อทิ ธพิ ลตอ่ การออกเสยี งคาไทยมี ๒ ประการ ดงั นี
๑. ออกเสียงอย่างคาสมาส การออกเสียงเน่ืองกันในคาสมาสภาษาบาลีสันสกฤตเป็นเหตุให้คาประสม
หรือคามากพยางค์ของไทยออกเสียง อะ ท่ีทา้ ยพยางค์แรกด้วย เชน่
คาศัพท์ ออกเสยี งว่า คาศัพท์ ออกเสียงว่า
ตุ๊กตา ตกุ๊ -กะ-ตา สัปหงก สับ-ปะ-หงก
ตกั๊ แตน ตก๊ั -กะ-แตน อุตลุด อดุ -ตะ-หลุด
จก๊ั จัน่ จั๊ก-กะ-จัน่ อลวน อน-ละ-วน
สปั ดน สบั -ปะ-ดน อลเวง อน-ละ-เวง
ชุลมนุ ชนุ -ละ-มนุ ฯลฯ
๒. ออกเสียงพยัญชนะอุสุม (ศ ษ ส) พยัญชนะอุสุมในภาษาบาลีสันสกฤต ออกเสียงเป็นเสียงเสียดแทรก
แมเ้ ม่อื อย่ทู ้ายคา อิทธิพลของการออกเสยี งพยัญชนะอุสมุ นี ทาใหไ้ ทยออกเสยี ง /ส/ ท้ายคาเปน็ เสียงเสียดแทรกไป
ด้วย ทังในคาที่รับมาจากภาษาบาลีสันสกฤต และคาไทย ตัวอย่าง เช่น พิศดู พัสดุ สัสดี พิศวง พิษฐาน พิสมร
มัสมัน่ มัสรู่ อสั ดง หัสดนิ ทร์ อัศวิน พิสดาร ตรัสรู้ ปรศิ นา พิศวาส ฯลฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๐๕
๑๑.๕ อทิ ธพิ ลดา้ นการเปลย่ี นแปลงศัพท์
จันจิรา จิตตะวิรยิ ะพงษ์ (๒๕๔๖ : ๑๖๒ – ๑๗๒) กล่าวว่า อทิ ธิพลทาให้เกิดการเปล่ยี นแปลงด้านวงศพั ท์
หรอื คา ดังนี
๑. ทาให้ภาษาไทยมีคาไวพจน์มากขนึ มวี งศัพท์ใช้กว้างขวางกว่าแต่ก่อน ทาให้เอือประโยชน์ต่อการเลือก
คาเพ่ือเพ่มิ ความไพเราะสละสลวยในการประพันธ์ เชน่
ดอกไม้ คาไวพจนค์ ือ มาลี สุมาลี บปุ ผา บษุ บา บุหงา โกสุม ผกา
ดวงอาทติ ย์ คาไวพจน์คอื สรุ ยิ า ทินกร ไถง ภานุมาศ ระพี่ อังศมุ าลี
ดวงจนั ทร์ คาไวพจนค์ ือ แข เดอื น แถง บุหลนั ศศธิ ร รัชนี จนั ทร์ นิศากร
ผู้หญิง คาไวพจนค์ ือ นารี สตรี อนงค์ สมร กลั ยา บังอร พธู
ช้าง คาไวพจนค์ อื หัสดี หัตถี คช กรี สาร กุญชร
มา้ คาไวพจนค์ ือ พาชี อาชา สินธพ มโนมยั แสะ หัย
นก คาไวพจนค์ อื ปักษี ปกั ษา สกุณา วิหค บหุ รง
ท้องฟ้า คาไวพจนค์ อื อัมพร โพยม เวหา นภา คัคนานต์
งาม คาไวพจน์คือ รูจี สิงคลิง อันแถ้ง อะเคอื
๒. มีอิทธิพลต่อการสร้างคาขึนใช้ในภาษาเดิมภาษาไทยสร้างคาขึนใหม่โดยการประสมคา เช่น แม่นา
ลูกเสือ ลูกนา ฯลฯ แต่เมื่อรับบาลีหรือสันสกฤตมาใช้ ก็นาเอาคาบาลีสันสกฤตมาประสมกับคาไทยเดิม เช่น ปี่
พาทย์ พลเรอื น ทนุ ทรัพย์ ราชวงั มลู ค่า คณุ คา่ เปน็ ต้น
ต่อมาเม่ือรับวธิ ีสร้างคาของบาลีสนั สกฤตเข้ามาใช้ในภาษา เรากร็ บั การสมาส สนธิ และวธิ ีเตมิ อุปสรรคมา
ใช้สร้างคาในภาษาไทยด้วย เช่น ธนาคาร บรรณรักษ์ วารสาร จุลสาร สัมมนา อนุทิน อุปราช สัญชาติ ทุจริต
ราโชวาท เปน็ ต้น
นอกจากนีการบัญญัติศัพท์ทางวิชาการในภาษาไทยยังได้รับอิทธิพลจากภาษาต่างประเทศ ซ่ึงเป็นผล
สืบเนื่องจากการที่รับวิทยาการของต่างประเทศทางตะวันตก เช่น วิทยานิพนธ์ วิวัฒ นาการ ประชาธิปไตย
สมบรู ณาญาสทิ ธิราช รฐั สภา รัฐธรรมนญู ทศั นคติ พฤติกรรม ศลั ยกรรม สูตกิ รรม อุปสงค์ สาอาง
๓. มีอิทธิพลทาให้เกิดแนวเทียบผิด ๆ เป็นเหตุให้เขียนคาผิดได้ง่าย ดว้ ยเหตุจากการที่รับภาษาอื่นเข้ามา
ตวั ใดท่ีไม่ออกเสยี ง เราก็ใชเ้ คร่อื งหมายทณั ฑฆาตฆ่าเสยี งในรูปของตัวการันต์ และคาทานองเดียวกันนีมีมากคา จน
ทาใหเ้ กดิ เขา้ ใจผิดไปเทียบใช้กับคาอ่ืน ซง่ึ เปน็ คนละลักษณะกัน ทาให้เขียนผดิ ไดง้ า่ ย เช่น
จานง ผิดเป็น จานงค์ เพราะไปเทียบกบั อนงค์
สาอาง ผิดเปน็ สาอาง เพราะไปเทยี บกับ สรุ างค์
อวสาน ผดิ เป็น อวสานต์ เพราะไปเทียบกบั วสันต์
ผาสกุ ผดิ เป็น ผาสขุ เพราะไปเทียบกับ สขุ
ประดิดประดอย ผดิ เปน็ ประดษิ ฐป์ ระดอย เพราะไปเทยี บกับ ประดิษฐ์
ละโมบ ผดิ เป็น ละโมภ เพราะไปเทยี บกบั โลภ
อาจณิ ผดิ เปน็ อาจินต์ เพราะไปเทียบกบั สุจินต,์ จนิ ต์
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๐๖
เบญจเพส ผดิ เป็น เบญจเพศ เพราะไปเทยี บกบั เพศ
ทะเลสาบ ผดิ เป็น ทะเลสาป เพราะไปเทยี บกบั สาป
ไข่มุก ผดิ เปน็ ไขม่ กุ ต์ เพราะไปเทยี บกบั มุกดา
หงึ หวง ผิดเป็น หงึ ส์หวง เพราะไปเทยี บกับ หงิ สา
ขา้ วโพด ผิดเปน็ ข้าวโภชน์ เพราะไปเทียบกบั โภชนา
รสชาติ ผดิ เปน็ รสชาด เพราะไปเทียบกบั กาชาด
สงิ โต ผิดเป็น สงิ ห์โต เพราะไปเทยี บกับ สีห์
ดอกจนั ผิดเป็น ดอกจันทร์ เพราะไปเทยี บกับ พระจันทร์
ปัญหาการเขียนสะกดการันต์ในภาษาไทยเกิดจากความยากลาบากในการเขียนสะกดการันต์ พยางค์ใน
ภาษาไทย เน่ืองจากภาษาไทยได้ยืมคาจากภาษาต่างประเทศมาใช้เป็นอันมาก เช่น บาลี สันสกฤต เขมร และ
ภาษาอังกฤษ เป็นต้น ทังนียังยืมเอาวิธีการเขียนแทนเสียง หรือ การถ่ายทอดรูปเขียนจากภาษาเดิมมาใช้ด้วย
(พงษจ์ ันทร์ ป่นิ สุวรรณ, ๒๕๑๙)
ทิฐิ อา่ นวา่ /ทดิ / - /ฐิ/ มาจากคาวา่ ทิฏฐิ ในภาษาบาลี
เดนมาร์ก อ่านวา่ /เดน/ - /หมาก/ มาจากคาว่า denmark ในภาษาอังกฤษ
ซ่ึงจะเห็นได้ว่าวิธีการเขียนสะกดการันต์คาที่มาจากภาษาต่างประเทศนัน มีแนวโน้มที่จะรักษา หรือ
ถ่ายทอดรูปการเขียนแบบเดิมไว้ซึ่งไม่ตรงกับอักขรวิธีหรือวิธีเขียนสะกดการันต์ภาษาไทยตามปกติ จึงทาให้
ภาษาไทยมคี าซ่งึ มีรูปแบบของการเขียนซบั ซ้อนมากย่ิงขึน
๔. ทาให้ภาษาไทยเกิดมรี ะดับของคาขึน คือ มีการแบ่งระดับของคาว่า คาใดเป็นภาษาปาก หรือคาตลาด
คาใดใช้กบั สามัญชน คาใดเป็นแบบแผน คาใดใช้กับเจ้านายชนั สูง หรือ ใช้กับพระมหา กษตั ริย์ ซึ่งลักษณะนที าให้
ภาษาไทยมีความสมบูรณ์ยิ่งขึน เพราะเราสามารถเลือกใช้คาได้เหมาะสมกับกาลเทศะและบุคคล ทาให้เกิดความ
สละสลวยในภาษายงิ่ ขึน เช่น
ภาษาปาก ภาษาแบบแผน ราชาศัพท์
กนิ รบั ประทาน เสวย
หวั ศีรษะ พระเศยี ร
พ่อ บิดา พระราชบดิ า
แม่ มารดา พระราชมารดา ฯลฯ
๕. อิทธิพลที่ทาให้โครงสร้างประโยคในภาษาไทยเปลี่ยนไป ซึ่งเดิมโครงสร้างประโยคใน ภาษาไทยนิยม
เรียงตาแหน่งจากประธาน กริยา กรรม ตามลาดบั เชน่
นอ้ งไปโรงเรยี น สุนัขกัดแมว นักเรียนได้รบั รางวลั แมห่ งุ ข้าว ฯลฯ
อิทธิพลต่อลักษณะโครงสร้างประโยคในภาษาไทย เมื่อไทยรับภาษาต่างประเทศมาใช้ โดยเฉพาะ
ภาษาองั กฤษและภาษาบาลสี นั สกฤต ซง่ึ มีอทิ ธิพลทาให้ลกั ษณะโครงสรา้ งของภาษาไทยเปล่ียนไปหลายประการ คอื
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๐๗
๕.๑ การเรยี งคาเข้าประโยคใช้ผิดไปจากเดิม เช่น การใช้กรรมวาจกผิดที่ เดิมในภาษา ไทยนิยมใช้ใน
ความหมายไม่ดีนัก แต่ปัจจุบันดีหรือไม่ดี ก็ใช้ประโยคกรรมวาจกทังสิน โดยใช้ตามแบบ Passive voice ของ
ภาษาองั กฤษ โดยนาบทกรรมมาไว้หน้า เชน่
หมากดั แมว เป็น แมวถูกหมากดั
คณุ พ่อดุฉัน เป็น ฉันถูกคณุ พอ่ ดุ
ครูตเี ด็ก เปน็ เด็กถูกคุณครูตี
ธรรมชาติลงโทษเขา เป็น เขาถูกลงโทษโดยธรรมชาติ
และในความหมายดกี ็ใช้ เชน่ เขาถูกลอตเตอร่ีรางวลั ท่ี ๑
หลอ่ นถูกเชญิ ใหข้ นึ ไปร้องเพลง
เขาถูกแตง่ ตังให้เป็นประชาชนรัฐสภา
เขาถกู จับให้แตง่ งานกับสาวชาวบา้ น
นิยายเร่ืองนีเขียนขนึ โดยทมยนั ตี
๕.๒ การไม่ใช้ลักษณนาม ซึ่งเดิมภาษาไทยมีลักษณนามใช้ เพื่อบอกให้รู้ว่า คานามนันมีลักษณะ
อย่างไร และจะอยหู่ ลังจานวนนบั เชน่ นกั เรยี น ๔ คน ปลา ๙ ตวั สมดุ ๖ เลม่ ช้าง ๗ เชือก
แต่เมื่อรับภาษาอังกฤษเข้ามาใช้ ภาษาอังกฤษไมม่ ีลักษณนามทาให้ภาษาไทยไม่ใช้ลักษณนามไปด้วย
ดังจะพบเหน็ โดยทวั่ ไปจากสอ่ื มวลชนต่าง ๆ ทังวทิ ยุ โทรทัศน์ และหนงั สือพิมพ์ เชน่
ส่ังจบั ๗ โรงงานปลากระปอ๋ ง
จังหวัดส่ังปดิ ๓ โรงเรยี นในภาคใต้
มีการส่ังฆ่า ๕ อดตี รัฐมนตรี
ตารวจรวบ ๓ มอื ระเบดิ ได้แล้ว
๓ นักกฬี าไทยคว้าเหรียญทองเอเชยี นเกมส์
แม้แตต่ ราสนิ ค้าบางประเภทท่โี ฆษณากม็ ีการใช้ลักษณนามผดิ ไปจากเดิม เชน่
นามนั สามทหาร สงั กะสีตราสามดาว
ถา่ นไฟฉายตรา ๕ แพะ ยาหอมตรา ๕ เจดีย์ ฯลฯ
๕.๓ อิทธิพลที่มีต่อสานวนภาษา มีการลอกเลียนแบบสานวนภาษาต่างประเทศ มาใช้ ทัง
ภาษาอังกฤษ และบาลีสันสกฤต เชน่
เขาพบตัวเองอยใู่ นหอ้ งใต้ดนิ (เขาอย่ใู นหอ้ งใตด้ ิน)
คุณพอ่ จบั รถไฟไปเชยี งใหม่ (คุณพ่อขนึ รถไฟไปเชยี งใหม่)
สมศรไี ปทางานสาย (ชา้ )
ลูกชายผมกาลงั จับหวัด (เป็นหวัด)
นกั ศึกษาถวายการต้อนรบั อย่างอบอุ่น (รับเสดจ็ )
ประเทศไทยภายใต้การนาของ พ.ต.ท.ดร.ทกั ษณิ ชินวตั ร
อีก ๑๐ นาที จะ ๕ โมงเยน็ (๔ โมง ๕๐ นาที)
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๐๘
สานวนจากภาษาบาลีสนั สกฤต เช่น
อันว่าคนดียอ่ มพดู ซง่ึ ความจรงิ
ปัญญาย่อมนามาซึง่ ทรัพย์
อนั เปน็ ทร่ี กั ย่ิงแห่งดวงใจฉัน ฯลฯ
๕.๔ การใช้คาศัพท์ภาษาองั กฤษปนกับคาไทย ซ่งึ เป็นรสนิยมของผู้มีการศกึ ษา มักใช้คาภาษาอังกฤษ
ปนกับคาไทยเสมอ โดยถือเอาความหมายของคาภาษาอังกฤษ ประสมกับความหมายในภาษาไทย ซึ่งส่วนใหญ่ก็
พูดกันอย่ใู นหมผู่ ้ทู ่มี กี ารศกึ ษาระดับเดียวกนั เชน่
เขาเห็นเธอมีกีฟ (gift) ทางดนตรมี าก
เธอช่วยอธบิ ายใหเ้ คลียร์ (clear) หน่อย
วันนีอาจารย์งดเลคเชอร์ (lecture) นะ
เขาเทคแคร์ (take care) หล่อนอย่างดี
ฉนั ไมเ่ คยแคร์ (care) ใครเลย
ครทู ีด่ ีต้องมีไซโค (psycho) ดี
หรือลักษณะการเปล่ียนแปลงทางภาษาท่ีเห็นเด่นชัดในการนาคาทับศัพท์ภาษาอังกฤษมาใช้ใน
ภาษาไทย คอื นาคาทับศัพท์วางไว้หน้าคาทข่ี ยาย เป็นการเลียนแบบโครงสร้างของคาภาษาอังกฤษ ช่ือสนิ คา้ และ
การโฆษณาต่าง ๆ เชน่ ซปุ เปอรจ์ ๋วิ ดไี ซนไ์ ทย อเมริกนั แชร์ อเมริกนั ฟุตบอล ไทยการ์ด ฯลฯ
๑๑.๖ ผลดแี ละผลเสยี ในการรับคาภาษาตา่ งประเทศเขา้ มาในภาษาไทย
การนาคาภาษาต่างประเทศมาใช้ในภาษาไทยนัน มีทังผลดีและผลเสีย ภาษาอ่ืน ๆ เช่น บาลี สันสกฤต
เขมร จนี มักจะไม่คอ่ ยมีปัญหานัก ถา้ จะมีปัญหาก็เป็นด้านการอ่าน การเขียนคา แตท่ ่ีเปน็ ปญั หาสาคญั ในปัจจุบัน
กลับเป็นภาษาอังกฤษมากกว่า เพราะมีจานวนคาภาษาอังกฤษในภาษาไทย เพ่ิมขนึ มาก รวมไปถึงคาทับศพั ท์และ
การบัญญตั ิศพั ทข์ ึนใชอ้ กี ดว้ ย การนาคาภาษาต่างประเทศมาใช้ นนั จึงมที ังขอ้ ดีและข้อเสียดังนี
๑. ผลดีของการรับภาษาตา่ งประเทศเขา้ มาในภาษาไทย
การนาคาภาษาต่างประเทศมาใช้ ข้อดีที่เห็นได้ชัดก็คือ ทาให้มีจานวนคาในภาษาใช้มากขึน เพ่ือจะได้
สามารถเลือกคามาใช้ไดอ้ ยา่ งถกู ต้อง โดยเฉพาะ
๑.๑ ใชเ้ ป็นคาราชาศัพท์ ซึ่งสว่ นใหญไ่ ดม้ าจากภาษาต่างประเทศ เช่น
ภาษาเขมร เช่น พระขนง พระขนอง พระเขนย พระกรรบิด พระกรรแสง เสวย เสดจ็ ฯลฯ
ภาษาบาลี สันสกฤต เชน่ พระเศยี ร พระนลาฏ พระหตั ถ์ พระบาท พระชงฆ์ ฯลฯ
ภาษาบาลกี ับภาษาไทย เช่น พระอู่ พระที่ พระเตา้ ฯลฯ
ภาษาบาลีกับสันสกฤตกบั ภาษาอื่น เช่น พระศอ พระเก้าอี พระปราง พระโธรน ฯลฯ
๑.๒ ใช้เป็นคาศัพท์ในวรรณคดี ภาษาในวรรณคดีย่อมต้องการความไพเราะสละสลวย คาที่กินใจได้
ลึกซึงดงั เช่น วรรณคดีสันสกฤต (รามเกียรต์ิ) วรรณคดีของชวา (อิเหนา) และการประพันธว์ รรณคดีของไทยซ่ึงมมี า
เป็นเวลาช้านานก็นิยมใช้คาศัพท์ภาษาบาลีสันสกฤต เขมร เพราะถือว่าเป็นคาศัพท์สูง มีความไพเราะ สละสลวย
และกนิ ความไดล้ ึกซ่งึ กว่าคาไทย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๐๙
๑.๓ ใชเ้ ป็นคาศพั ทท์ างศาสนา เพ่อื ให้ดศู ักดิ์สทิ ธิ์ ได้แก่ คาศพั ทท์ ่ีเป็นนามธรรม หรือข้อธรรมะตา่ ง ๆ
ท่ีมีมากคือ คาบาลแี ละสันสกฤต เพราะถอื วา่ เปน็ ศัพท์สงู
๑.๔ ใชเ้ ป็นศพั ทส์ ามัญในชวี ติ ประจาวนั จนติดปากคิดว่าเปน็ ภาษาของเราเอง ได้แกค่ าทม่ี าจากภาษา
บาลีและสันสกฤต เขมร จนี ชวา มลายู องั กฤษ เป็นตน้
๑.๕ ใช้เป็นคาศัพท์บัญญัติทางวิชาการ ได้แก่คาท่ีเราสร้างขึนใหม่ เพราะได้รับอิทธิพลจากวิทยาการ
ตะวันตก รวมทังอารยธรรมและเครื่องมือเครือ่ งใชแ้ ละอุปกรณ์ต่าง ๆ เข้ามาทาใหต้ ้องรบั คาเข้ามาด้วย และยงั ตอ้ ง
สรา้ งศพั ทบ์ ญั ญัติ ขนึ เพือ่ จะไดส้ ะดวกในการใชศ้ ัพท์บัญญตั ทิ ่ีสร้างขึนมัก จะเป็นในรปู ตา่ ง ๆ กัน
การรับเอาคาภาษาต่างประเทศมาใช้นัน ก็มีผลดีอยู่มาก ทาให้ภาษาของเราสมบูรณ์ขึน แต่ก็ยังมีผลเสีย
อยูห่ ลายประการ
๒. ผลเสยี ของการนาคาภาษาตา่ งประเทศเขา้ มาใช้ในภาษาไทย
การนาคาภาษาตา่ งประเทศเข้ามาใชใ้ นภาษาทาให้ภาษาของเราเกดิ การเปลย่ี น ทังในด้านเสียง วงศัพท์
และความหมาย จึงมีผู้ห่วงใยภาษาไทยอยู่มาก การนาคาตา่ งประเทศเข้ามาใช้ และรวมถึงการบญั ญัติศพั ท์มีผลเสีย
ตอ่ ภาษาไทยหลายประการ พอสรปุ เปน็ ขอ้ ๆ ไดด้ ังต่อไปนี
๒.๑ การนาคาทับศัพท์ของภาษาอังกฤษมาใช้ คนไทยมักถ่ายเสียงแล้วสะกดเป็นภาษาไทยกันตาม
ความสะดวก เพราะไม่มีแบบแผนจะให้ยดึ ถือ หรอื หาข้อยตุ ิไม่ไดว้ ่า เขยี นอย่างไร ขอให้สงั เกตคาต่อไปนี
Sauce ซอ้ ส เขยี นไดห้ ลายแบบ เช่น ซ๊อส ซ็อส ซอส ซอ้ ส
cake เคก้ เขียนได้หลายแบบ เช่น เค๊ก เค็ก เคก เคก้
knock น้อค เขียนได้หลายแบบ เช่น นอ๊ ค นอ็ ค นอค นอ้ ค
cell เซลล์ เขียนได้หลายแบบ เชน่ เซล เซลล์ เซล็ ล์ เซ็ล
note โนต้ เขยี นไดห้ ลายแบบ เช่น โน้ต โน็ต โนต้
parasite พาราสิต เขียนไดห้ ลายแบบ เช่น ปาราสิต พาราสิต พาราไซต์
นอกจากนีในกรณีท่ีคาภาษาอังกฤษมีเสียงทาบหน้าสองเสียง เมื่อนามาเขียนทับศัพท์ก็จะเกิด ปัญหา
การเขียนผดิ ในเร่ืองอักษรนา เชน่
Slang ถ้าจะเขียนเป็นภาษาไทยว่า แสลง ก็จะอ่านเป็น /สะ–แหลง/ ซ่ึงจะทาให้เกิดปัญหา
เพราะคานีมีใช้ในภาษาไทย แต่เป็นอีกความหมายหนึ่ง ดังนันจึงให้เขียน ว่า “สแลง” และเมื่อเขียนเป็นรูปนีก็มี
ปญั หาอกี ว่า เมื่ออ่านวา่ /สะ-แลง/ ก็ควรจะประวิสรรชนียห์ รอื ไม่ คาประเภทนยี ังมอี กี เชน่
Slack = สแลค Sweater = สเวตเตอร์
Czechoslovakia = เชคโกสโลวาเกีย Slow = สโลว์
นอกจากคาทับศัพท์ภาษาอังกฤษ ก็ยังมีคาศัพท์บัญญัติอีกส่วนหน่ึงที่ยังไม่ได้จดบันทึกไว้ใน
พจนานกุ รม จงึ ไมม่ ขี ้อยุติในการเขียน ทาให้เกิดไขว้เขวว่าจะสะกดให้ถูกตอ้ งว่าอย่างไร เช่น
สญั ลักขณ์ สญั ลักษณ์ อดุ มการณ์
วิกฤตการณ์ วิกฤตกาล ฯลฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๐
ปัญหาการเขียนสะกดการันต์ในคาที่ถ่ายทอดมาจากภาษาอังกฤษและศัพท์บัญญัติมีปัญหามาก ซ่ึงไม่
สามารถจะหาขอ้ ยตุ ิได้ คาทับศัพทห์ รือ ศัพท์ ภาษาต่างประเทศ ที่เรานามาสร้างขึนใช้ใหม่ ก็จะเกิดปัญหาอย่อู ยา่ ง
นีไม่มีข้อยุติทีแ่ น่นอนอยู่น่ันเอง ทาใหย้ งุ่ ยากผู้ใช้ภาษาเปน็ อย่างมาก
๒.๒ การอ่านคาทถี่ ่ายเสยี งคาทับศัพทเ์ ป็นภาษาไทยแลว้ บางคาออกเสยี งไมต่ รงกับเสยี งในภาษาเดมิ เช่น
คอมพวิ เตอร์ ออกเสียงว่า คอม-นวิ -เตอ้
คาเธย์ ออกเสียงวา่ คา-เท่
เตน็ ท์ ออกเสยี งวา่ เตน้
ปรูฟ ออกเสียงวา่ ปรับ
เดนมาร์ก ออกเสยี งวา่ เดน-หมาก
ชอลก์ ออกเสียงวา่ ชอ้ ก
คลินิก ออกเสยี งวา่ คลี -หนกิ
คาทับศัพทเ์ หล่านีจะออกเสยี งตามภาษาเดิม ไม่ใช่ออกเสียงตามลักษณะตัวสะกดในภาษาไทย ซ่ึงดูจะขัด
กับความเป็นจรงิ
๒.๓ การทับศัพท์มอี ทิ ธิพลต่อโครงสรา้ งและระเบียบการใช้ภาษาไทยบางประการ เช่น
การไมใ่ ชล่ ักษณนาม ตารวจรวบ ๒ วัยรนุ่ จอมซา่ ส์
การใช้กรรมวาจกผดิ ที่ เขาถกู ลงโทษโดยธรรมชาติ
การใชค้ าขยายผิดท่ี ซปุ เปอรม์ ันส์ นิวภตั ตาคาร
นอกจากนียังมีการสะกดคาไทย คนไทยบางคนนิยมแบบแผนคาภาษาอังกฤษมาใช้ปะปนกัน กลายเป็น
โครงสร้างแบบผสม คอื “จะเป็นอังกฤษกไ็ ม่ใช่ ไทยก็ไม่เชิง” เช่น คาวา่ ยากส์ มันส์ ซ่ึงเป็นลักษณะท่ีผิดแบบแผน
ของภาษาไทยทม่ี ีระเบียบดีงามอยู่แลว้
๒.๔ ข้อท่ีเป็นผลเสียต่อภาษาท่เี ห็นไดช้ ดั อกี ขอ้ หนึง่ คือ ภาษาพูดทีเ่ ราใช้การสร้างคา วลี และประโยค
ขนึ ใหม่จากภาษาไทยและภาษาอังกฤษปนกัน มีทงั แปลจากภาษาไทยและภาษาองั กฤษ ซ่งึ ผิดหลกั เกณฑ์มาก เช่น
“ทีใครทีมนั ” ที who ที it
“งูๆปลาๆ” สเน็คๆ ฟชิ ๆ (sanke snake fish fish)
“เล่นตวั ” เพลยบ์ อดี (play body)
“ทะลุความมนั ส์” “ประสาทแดกซ”์ “อารมณ์บจ่ อย”
๒.๕ ภาษาไทยเปน็ ภาษาคาโดด เมอ่ื มีภาษาตา่ งประเทศเข้ามาปะปน มกั จะเขียนอา่ นกนั ผดิ ๆ เพราะ
ปัจจบุ นั คนไทยเราไม่ได้ศึกษาภาษาไทยให้ลกึ ซงึ นกึ ชอบใจอย่างไรก็ใช้อย่างนัน เช่น
ประณตี มกั เขียนผดิ เป็น ปราณตี
ชมพู่ มกั เขยี นผดิ เป็น ชมภู่
หรือ รสนยิ ม มักอา่ นผิดเปน็ รด-สะ-น-ิ ยม
อาชญากร มักเขยี นผิดเป็น อาด-ชะ-ยา-กอน
ยมบาล มกั เขยี นผดิ เปน็ ยม-พะ-บาน
สมรรถภาพ มกั เขยี นผดิ เปน็ สะ-หมัด-ถะ-พาบ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๑๑
ส่วนคาท่ีมาจากภาษาต่างประเทศซ่ึงนามาเขียนกันจนเป็นที่ยอมรับและนิยมกันโดยทั่วไป บางทีก็ใช้พูด
ซึ่งมีทงั ศัพท์บัญญัตแิ ละทับศัพท์ เชน่ แอร์ มอเตอร์โหวต กา๊ ซ เชติ คอรัปชั่น ฮอทดอก ฟุตบอล ไอศกรมี ไนต์คลับ
ปกิ นกิ คุกกี พลาสตกิ เถา้ แก่ คอมพวิ เตอร์ เฮลคิ อปเตอร์ ยี่ห้อ เซง้ ปุ้งก๋ี อังย่ี ซา่ หริ่ม กามะหย่ี เป็นต้น
นอกจากนยี ังมคี าภาษาต่างประเทศท่ีมักเขียนผดิ เช่น
โคด้ มักเขยี นผดิ เป็น โค๊ต
แฟบ้ มักเขียนผิดเปน็ แฟ๊บ, แฟบ็
โนต้ มกั เขียนผิดเป็น โน๊ต
สัมมนา มักเขยี นผดิ เป็น สมั นา ฯลฯ
ในปัจจุบันภาษาไทยมีการเปล่ียนแปลงเป็นอย่างมากเน่ืองจากรับภาษาต่างประเทศมาใช้ทงั ภาษาพดู และ
ภาษาเขียน ทังนีภาษาเปรียบเหมือนสิ่งมีชีวิต และเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง ซ่ึงต้องมีการเปล่ียนแปลง แต่ถ้า
เปล่ยี นแปลงมากเกินไปก็จะทาให้หมดคุณคา่ ดังนันจะตอ้ งรักษาภาษาไทยไว้เป็นอยา่ งดี เพราะภาษาเป็นสว่ นของ
วัฒนธรรมของชาติ
สรุปทา้ ยบท
อิทธิพลของภาษาบาลีสันสกฤตต่อภาษาไทย ซ่ึงประกอบด้วย อิทธิพลด้านไวยากรณ์ อิทธิพลด้านการใช้
ภาษาไทย อิทธิพลด้านการใช้สานวนภาษา อิทธิพลด้านการออกเสียงคาไทย อิทธิพลด้านการเปล่ียนแปลงศัพท์
และผลดีและผลเสียในการรบั คาภาษาตา่ งประเทศเขา้ มาในภาษาไทย ดังนี
๑. อิทธิพลด้านไวยากรณ์ มีผลกระทบต่อภาษาไทย ๒ ประการ คือ หน่วยเสียงพยัญชนะ
ประกอบด้วย การแผลงพยัญชนะ การใชอ้ กั ษร และการเพิ่มพยัญชนะควบกลาและพยัญชนะทา้ ยคา และการสร้าง
คาไทย ประกอบดว้ ย การเรยี งคาขยายไว้ขา้ งหนา้ การสรา้ งคาโดยลงอปุ สรรค และการเปล่ยี นแปลงคาศัพท์
๒. อิทธิพลด้านการใช้ภาษาไทย มีผลกระทบต่อภาษาไทย ๗ ประการ คือ ๑) การเขียนคาไทย ๒)
การใช้ตัวสะกด ๓) การใช้ตัวการันต์ ๔) การใช้คาควบกลา ๕) การใช้ศัพท์ใหม่ ๖) การใช้สระไอ ไอย อัย ๗) การ
สรา้ งคาประสมขนึ ใหม่
๓. อิทธิพลด้านการใช้สานวนภาษา มีผลกระทบต่อภาษาไทย ๒ ประการ คือ จากสานวนภาษาบาลี
และจากสานวนการแปลวภิ ตั ติในภาษาบาลี
๔. อิทธิพลด้านการออกเสียงคาไทย มีผลกระทบต่อภาษาไทย ๒ ประการ คือ การออกเสียงอย่าง
คาสมาสแบบภาษาบาลีสนั สกฤต และการออกเสียงพยญั ชนะอุสมุ (การออกเสยี งกง่ึ หน่ึง)
๕. อทิ ธิพลด้านการเปล่ยี นแปลงศัพท์ มีผลกระทบตอ่ ภาษาไทย ๕ ประการ คือ ๑) ทาให้ภาษาไทยมี
คาไวพจน์มากขึน ๒) การสร้างคาประสมในภาษาไทย ๓) ทาให้เกิดแนวเทียบผิด ๆ เป็นเหตุให้เขียนคาผิดได้ง่าย
๔) ทาให้ภาษาไทยเกดิ มรี ะดับของคามากขึน ๕) ทาให้โครงสรา้ งประโยคในภาษาไทยเปลย่ี นไป
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๑๒
กจิ กรรมการเรยี น
๑. ทบทวนความรู้
๑.๑ จงอธบิ ายอิทธพิ ลด้านไวยากรณ์และด้านการใช้ภาษาไทยของภาษาบาลีสันสกฤตต่อภาษาไทย
๑.๒ จงอธบิ ายอทิ ธิพลด้านการใช้สานวนภาษาและด้านการออกเสยี งคาไทย
๑.๓ จงอธิบายอทิ ธิพลดา้ นการเปลี่ยนแปลงศพั ท์
๑.๔ จงอธิบายผลดแี ละผลเสียในการรบั คาภาษาตา่ งประเทศเขา้ มาในภาษาไทย
๒. จัดกจิ กรรม
๒.๑ ให้นกั ศึกษาอภปิ รายอิทธพิ ลด้านไวยากรณ์
๒.๒ ให้นกั ศกึ ษาอภิปรายอิทธิพลด้านการสรา้ งคา
๒.๓ ให้นักศึกษาอภิปรายอทิ ธพิ ลด้านการใชส้ านวนภาษา
๒.๔ ใหน้ ักศึกษาอภิปรายอิทธพิ ลด้านการออกเสียงคาไทย
๒.๕ ใหน้ ักศกึ ษาวเิ คราะหก์ ารเปลี่ยนแปลงศพั ท์
๒.๖ ใหน้ ักศกึ ษาวเิ คราะหผ์ ลดีและผลเสยี ในการรับคาภาษาต่างประเทศเขา้ มาในภาษาไทย
สอื่ การสอน
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนง่ิ (PPT.) เนอื หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมสอ่ื มัตติมีเดียและแอปพลิเคชนั YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ED1022 ภาษาบาลสี นั สกฤตในภาษาไทย
แนวทางการประเมินผล
๑. ประเมนิ ผลจากการสงั เกตความสนใจ ซักถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการร่วมกิจกรรม การอภิปรายแสดงความคิดเหน็
๓. ประเมนิ ผลจากผลงาน ดา้ นเนอื หา รูปแบบ ความคดิ สร้างสรรค์ วธิ กี ารนาเสนอ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๑๓
เอกสารอ้างองิ
จนั จริ า จติ ตะวิริยะพงษ์. (๒๕๔๖). อิทธพิ ลภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศึกษา.
ชนิดา สวุ รรณรตั น์. (ม.ป.ป.). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย เอกสารประกอบการสอนวิทยาลัยครบู ้านสมเด็จ
เจ้าพระยา.
ชะเอม แกว้ คล้าย. (๒๕๕๕). ลักษณะการใช้ศพั ท์บาลสี ันสกฤตในภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : สหธรรมิก จากัด.
ประหยัด เกษม. (๒๕๒๔). ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย. พิมพ์ครังที่ ๒. นครศรีธรรมราช : ภาควิชา
ภาษาไทย วทิ ยาลยั ครูนครศรธี รรมราช.
ประสทิ ธิ์ กาพยก์ ลอน. (๒๕๑๙). การศกึ ษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
ปรชี า ทชิ ินพงศ.์ (๒๕๓๔). บาลี - สันสกฤตทเี่ กย่ี วกบั ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร์.
พนมพร นริ ญั ทวี. (๒๕๒๗). คาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
พฒั น์ เพง็ ผลา. (๒๕๕๑). บาลสี นั สกฤตในภาษาไทย. พมิ พค์ รังที่ ๙. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั รามคาแหง.
พงษ์จันทร์ ป่ินสุวรรณ. (๒๕๑๙). การวิเคราะห์แบบของการเขียนสะกดการันต์พยางค์ในภาษาไทย, ปริญญา
นิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสาน
มิตร.
วิไลศกั ด์ิ กิ่งคา. (๒๕๕๖). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. พมิ พ์ครงั ที่ ๒. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์.
วสิ นั ติ์ กฎแก้ว. (๒๕๔๕). ภาษาบาลีสนั สกฤตทเ่ี ก่ียวขอ้ งกบั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทัดฐานภาษาไทย เลม่ ๒. พิมพ์ครังท่ี ๓. กรุงเทพฯ : องคก์ ารคา้ ของ สกสค.
สุธิวงศ์ พงศไ์ พบลู ย์. (๒๕๔๓). หลกั ภาษาไทย. พมิ พ์ครังท่ี ๑๕. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช จากดั .
สุวิทย์ ภาณุจารี. (๒๕๕๔). ภาษาบาลีเพ่ือการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา. พิมพ์ครังที่ ๒. กรุงเทพฯ : ธนา
เพรส จากดั .
สุภาพร มากแจง้ . (๒๕๓๕). ภาษาบาลี – สันสกฤตในภาษาไทย. พมิ พค์ รงั ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
อนุมานราชธน, พระยา. (๒๕๑๔). นิรุกติศาสตร์ ภาค ๑ – ๒. กรุงเทพฯ : ศนู ย์การทหารราบ.
อารีย์ สหชาติโกสยี ์. (๒๕๑๓). เทยี บลักษณะคาบาลี-สันสกฤตกับคาไทย ตอนท่ี ๑ อักขรวิธี. กรุงเทพฯ : หน่วย
ศึกษานิเทศก์ กรมการฝึกหัดคร.ู
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๑๔
แผนการสอนประจาบท
เรือ่ ง
๑. หลกั การเลือกใช้คาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย
๒. การเปรยี บเทยี บการใช้คาภาษาบาลสี ันสกฤตในภาษาไทย
แนวคดิ
หลักการเลือกใช้คาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย คือการเลือกใช้คาภาษาบาลีหรือคาภาษาสันสกฤต
เพียงภาษาใดภาษาหนึ่ง หรือเลือกใช้ทั้งคาภาษาบาลแี ละภาษาสนั สกฤตในความหมายท่ีแตกต่างกนั บางคาอาจจะ
นามาใช้เฉพาะในวรรณคดีเก่ียวกับพระพุทธศาสนา บางคาอาจจะนามาใช้ได้ท่ัวไป บางคาอาจจะมีการ
เปลย่ี นแปลงรูปศพั ท์ใหม่ ซึ่งมคี วามแตกตา่ งไปจากศพั ทเ์ ดมิ
การเปรียบเทียบการใช้คาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย คือคาภาษาบาลีสันสกฤตจานวนมากเป็นคา
รว่ มเช้ือสายกัน มีความหมายหลักร่วมกัน อาจมีบางคามีความหมายแตกตา่ งกันไปบ้างเล็กน้อย แต่เมื่อยมื เข้ามาใช้
ในภาษาไทย คาภาษาบาลีใช้ในความหมายหนึ่ง ส่วนคาภาษาสันสกฤตก็ใช้ในอีกความหมายหน่ึง ความหมายที่
แตกต่างกันน้ี บ้างก็แตกต่างกันมาก บ้างก็แตกต่างกันน้อย และมีบ้างที่ในวรรณคดีหรือในภาษาโบราณใช้ใน
ความหมายเดยี วกัน แตใ่ นภาษาไทยปรกตทิ ใี่ ช้ในปจั จบุ ันมีความหมายแตกต่างกนั
วตั ถปุ ระสงค์
เม่อื นักศกึ ษาเรยี นจบบทที่ ๑๑ มีความสามารถไดด้ ังนี้
๑. เลือกคาภาษาบาลสี ันสกฤตไดอ้ ย่างเหมาะสม
๒. เลือกใชค้ าภาษาบาลสี ันสกฤตได้ถูกต้องตามความหมาย
๓. เลือกใชค้ าภาษาบาลสี นั สกฤตในบทประพนั ธ์ไดห้ ลากหลาย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๑๕
บทท่ี ๑๑
หลกั การใช้คาภาษาบาลีสนั สกฤตในภาษาไทย
ในบทนี้ ผู้เขียนจะได้กล่าวถึง กฎเกณฑ์หรือข้อบังคับสาหรับการเลือกใช้คายืมจากภาษาบาลีสันสกฤตที่
นามาใช้ในภาษาไทย และการเปรียบเทียบการใชค้ าภาษาบาลสี นั สกฤต เม่ือนามาใช้ในภาษาไทยมีลักษณะการใช้ที่
แตกตา่ งกันทางความหมาย ดงั นี้
๑๑.๑ หลักการเลือกใช้คาภาษาบาลีสนั สกฤตในภาษาไทย
๑. เลอื กคาภาษาใดภาษาหน่งึ มาใช้ มี ๖ ประเภท ดังน้ี
๑) ถ้าคาภาษาบาลีสันสกฤต ออกเสียงตรงกันมีความหมายตรงกัน ให้เลือกใช้รูปสันสกฤต เพราะ
สนั สกฤตเข้ามาสู่ภาษาไทยก่อนบาลี ซ่งึ ทาให้คุ้นเคยและเป็นทนี่ ยิ มมากกว่า เช่น
บาลี สันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กนฏิ ฐฺ กนิษฐฺ ขนษิ ฐ,์ กนิษฐ์ นิ้วกอ้ ย, เล็ก, น้อย
กปปฺ ก กลฺบก กัลบก ช่างตัดผม
สมตฺถ สมรถฺ สมรรถ,สามารถ ความเชย่ี วชาญทต่ี ้องใชท้ กั ษะในการทางาน
จกกฺ วตฺติ จกรฺ วรตฺ ินฺ จกั รพรรดิ ผปู้ ระกอบดว้ ยคณุ ธรรม จรยิ ธรรม ในการปกครอง
กตฺตุการก กรรตกุ ารก กรรตกุ ารก ตวั ประธาน, ผกู้ ระทา
เสฏฺฐี เศรษฺฐี เศรษฐี ผู้ที่ทรพั ยส์ มบัติมาก
ตกกฺ ตรฺก ตรรกะ การคาดคะเนความน่าจะเป็นเชงิ ตัวเลข
กมมฺ กรรม กรรม ผู้ถกู กระทา
สตตฺ ิ ศกตฺ ิ ศกั ดิ์ อานาจ
ทพฺพ ทรฺ วยฺ ทรัพย์ สิ่งทีม่ ีคณุ คา่ และราคา
กหาปน กรษาปณ กระษาปณ์ มาตราเงนิ ทอง
กกกฺ ฏ กรฺกฏ กรกฎ ปู หรือราศปี ู
ปตถฺ นา ปรรฺ ถนา ปรารถนา ความต้องการ สง่ิ ทคี่ าดหวงั วา่ จะได้
ปสิ าจ ปิศาจ ปศี าจ สง่ิ ช่ัวร้าย ผ้ทู ี่กระทาความชั่วรา้ ย
กนฺต กานดา กานดา หญงิ , ภรรยา
รกฺขา รกฺษา รักษา การปกปอ้ ง ดูแลเอาใจใส่
วายาม วยายาม พยายาม ความมงุ่ มน่ั ทาสิง่ ใดส่ิงหนง่ึ อย่างต้ังใจ
กุธ โกรธ โกรธ ความรสู้ ึกโมโห หงุดหงดิ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๑๖
บาลี สนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กณณฺ กรฺณ กรรณ หู
ลทธฺ ลพฺธ ลพั ธ์ ผลทีเ่ กิดจากการกระทาสิ่งใดส่งิ หนึ่ง
วสภ วฤษภ พฤษภ วัว ราศีพฤษภ
กมฺมฏฐฺ าน กรฺมฐาน กรรมฐาน ฐานสาหรบั ฝึกหัดอารมณ์แห่งจิตใจ
วกิ ต วิกฤต วิกฤต การทาใหช้ ดั เจน สิง่ ที่เกดิ ข้นึ ในทนั ทที ันใด
ฉว ศว ศพ ซากของสัตวแ์ ละคนท่ีตายแล้ว
กุสล กศุ ล กศุ ล ความฉลาด ความดี
เกส เกศ เกศ ศีรษะ เสน้ ผม
ถตุ ิ สตตุ ิ สดุดี การยกย่อง เชดิ ชู
กปปฺ ุร การปฺ ุร การบูร หนิ ปนู
๒) ถา้ ภาษาบาลอี อกเสียงสะดวก แต่ภาษาสันสกฤตออกเสียงยาก เลือกใช้คาภาษาบาลี เชน่
บาลี สันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กกขฺ ฬ กกขฏ กักขฬะ แข็งกระด้าง, หยาบคาย
สุขมุ สกู ษฺ มฺ สุขุม ความลึกซ้ึง รอบคอบ รอบรู้
กงขฺ า กางกฺ ฺษา กงั ขา ความลงั เลสงสยั
สุริย สรู ยฺ สรุ ิยะ พระอาทติ ย์
ขนตฺ ิ กฺษานฺติ ขันติ ความอดทน อดกล้ัน
กาสาว กาษาย กาสาวะ ผา้ ย้อมฝาด
วญิ ญฺ าณ วิชฺญาณ วญิ ญาณ การรบั รู้
จุติ จยตุ ิ จตุ ิ การเกิด การเคล่ือนย้าย
กิเลส เกลศ กิเลส สิ่งท่ที าใหห้ ลง
ฌาน ธยาน ฌาน การเพ่ง การตงั้ มั่น
ปถุ ุชน ปฤถคชน ปุถุชน บุคคลผูพ้ ร้อมไปด้วยกเิ ลสตณั หา
ญาติ ชฺญาติ ญาติ ผูท้ ี่รู้จกั คุ้นเคยกนั
กสิ การษฺ ิ กส(ิ กรรม) การไถ เพาะปลูก
เถร สฺถวีร เถระ ผู้ทม่ี อี ายุพรรษาสงู
เมตฺตา ไมตรฺ เมตตา ผู้ท่ีมีจติ ใจอ่อนโยน
กาลกิณี กาลกรฺณี กาลกณิ ี ความวบิ ัติ สง่ิ ทที่ าให้เกดิ เหตุร้าย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
บาลี สนั สกฤต ไทยใช้ ๒๑๗
กติกา กฤตกิ า กตกิ า
ทพพฺ ี ทฺรวี ทพั พี ความหมาย
ลทธฺ ิ ลพธฺ ิ ลัทธิ ขอ้ บงั คบั
วนิ จิ ฺฉยฺ วนิ ิศจฺ ย วนิ ิจฉัย ชอ้ นตกั แกง
วิสญฺญี วสิ ชฺญนิ วสิ ญั ญี ความเชื่อท่กี ลุ่มคนมเี หมอื นเดียวกัน
การพจิ ารณาตัดสินใจ
สมัยท่ีเกิดการเปลีย่ นแปลงสง่ ผลให้ผ้คู นลาบาก
๓) ถ้าเสยี งต่างกันเล็กน้อย แต่ภาษาสันสกฤตออกเสียงไมย่ าก ให้เลือกใช้คาภาษาสันสกฤต ซ่ึงมีเสียง
ไพเราะกวา่ และนา้ เสยี งของพยางค์ท้ายออกงา่ ยสาหรบั คนไทย เช่น
บาลี สันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
อาจรยิ อาจารฺย อาจารย์ ผทู้ ่ที าหน้าทอี่ บรมสั่งสอน
ทส ทศ ทศ สบิ
อมจจฺ อามตฺย อมาตย,์ อามาตย์ ท่ปี รึกษาของพระราชา
ปรุ สิ ปุรุษ บรุ ุษ ผู้ชาย
ทกฺข ทกษฺ ทักษะ ความชานาญ
ทกขฺ ิณ ทกษฺ ณิ ทกั ษณิ ขวา ทศิ ใต้
นมกกฺ าร นมสฺการ นมสั การ การกราบไหว้
นิรุตตฺ ิ นิรุกฺติ นิรกุ ติ ภาษาหรอื การออกเสียง
ปกาส ปรฺ กาศ ประกาศ แจ้งให้ทราบ
ปการ ปรฺ การ ประการ อย่าง ชนดิ
เมตตฺ ิ ไมตฺรี ไมตรี ผทู้ ่มี จี ติ ใจอ่อนโยน
วินาส วนิ าศ วนิ าศ, พินาศ ความฉบิ หาย
วเิ ทส วเิ ทศ วิเทศ ต่างประเทศ
วสิ าล วศิ าล วิศาล, พศิ าล ใหญ่ กวา้ งขวาง
สีล ศีล ศีล ขอ้ ปฏิบัติ ขอ้ งดเวน้
สตฺตุ ศตรฺ ู ศตั รู ผทู้ ี่บกุ รกุ เขา้ มาหมายจะทาร้าย
วิจฺฉิก วฤศจิก พฤศจกิ า-(ยน) แมลงปอ่ ง ราศแี มลงปอ่ ง
วิชชฺ ุ วทิ ยฺ ุต วิทยุ เคร่ืองรบั สัญญา
สลฺล ศลยฺ ศลั ย-(กรรม) ผ่าตดั
สปิ ปฺ ศิลฺป ศิลป์ ศิลปะ การศกึ ษาเลา่ เรียน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๑๘
๔) บางคาท่ีออกเสียงตรงกัน เขยี นผิดกันนิดหน่อย ให้ใช้ทั้งคาภาษาบาลีและสันสกฤตในความหมาย
เดียวกนั หรือบางทกี ็มีการเปล่ยี นแปลงคาเม่อื นามาใชใ้ นภาษาไทย เช่น
บาลี สันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กญฺญา กนฺยา กัญญา, กนั ยา หญิงสาว, สาววัยรุน่
กติ ติ กริ ติ เกยี รติ ความภาคภูมใิ จในคุณค่าของตัวเอง
กริ ิยา กริยา กริ ิยา, กรยิ า การแสดงท่าทาง
กีฬา กรฑี า กฬี า, กรีฑา การเล่น
สิเนห เสนห สิเน่หา, เสน่ห์ รกั ใคร่ อาลยั
อามสิ อามษิ อามิส,อามิษ สง่ิ ของ รางวลั
โอรส เอารส โอรส, เอารส ลูกชาย
วชิร วชฺร วชริ , วชั ร เพชร ศรพระอินทร์
จิตตฺ จติ ฺร จิตร, จิต สภาวะของอารมณ์ ภาพวาดระบายสี
นจิ ฺจ นติ ฺย นิจ, นิตย์ เสมอ
ปฐม ปฺรถม ปฐม, ประถม ทแี รก กอ่ น
สจฺจ สตฺย สจั , สตั ย์ ความจรงิ การรักษาคามัน่ สญั ญา
สททฺ ศพทฺ สัท, ศัพท์ เสยี ง สาเนียง คา
สาสน ศาสน สาสน,์ ศาสนา คาส่งั สอน
วชิ ฺชา วทิ ยา วชิ า, วทิ ยา ความร้ทู ไี่ ด้รบั การฝึกฝนเล่าเรยี น
สุญฺญ ศนู ยฺ สญู , ศูนย์ ว่างเปล่า ไมม่ ี
สามญฺญ สามานยฺ สามัญ, สามานย์ ทัว่ ไป
สต ศต สตา-(งค์), ศต ร้อย
สทฺธา ศรทฺธา สทั ธา, ศรทั ธา ความเชอ่ื
อิตฺถี สตฺ รี อติ ถี, สตรี หญงิ
อกฺขร อกษฺ ร อักขระ, อกั ษร ตวั เขยี น
อคคฺ ิ อคนฺ ิ อคั คี, อัคนี ไฟ
อจฺฉริย อศจฺ รฺย อัจฉริยะ, อศั จรรย์ สิ่งทเี่ กิดข้ึนได้อยา่ งไมน่ า่ เชอ่ื
อจฺฉรา อปฺสร อจั ฉรา, อปั สร นางฟ้า
โอกาส อวกาศ โอกาส, อวกาศ ชอ่ งทาง ท้องฟา้
อสงฺเขยยฺ อสงขฺ ฺย อสงไขย, อสงขัย นบั ไมถ่ ว้ น
อุตุ ฤตุ อุตุ, ฤดู ชว่ งเวลาที่เปล่ียนผา่ นของภูมอิ ากาศ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๑๙
๕) รับบางสว่ นของคาภาษาบาลแี ละสันสฤต มาประกอบกนั เป็นคาใหม่ เช่น
บรรพชา รปู บาลเี ป็น ปพฺพชชฺ า สว่ นสนั สกฤตเปน็ ปฺรวฺรชยฺ า จะเหน็ ได้ว่า รบั เอารูป รร
ในสนั สกฤตแตก่ เ็ ปล่ียนเล็กน้อย และ ชา เป็นแบบบาลี
สมุทโฆษ สมทุ เป็นรูปบาลี โฆษ เปน็ รปู สันสกฤต ซ่ึงทีถ่ กู ควรจะเปน็ สมทุ รโฆษ หรอื สมทุ โฆส
นาฬกิ า รปู สันสกฤตว่า นาฑิกา แตเ่ ปล่ียนใช้ ฬ แทน ฑ แบบบาลี
อโหสกิ รรม อโหสิ เปน็ รปู ภาษาบาลี กรรม เป็นรูปภาษาสันสกฤต ซ่งึ ทถี่ กู ควรจะเป็น อโหสิกมฺม
ตามหลักภาษาบาลี
๖) เลือกใช้รูปภาษาสันสกฤตแต่ใช้ความหมายของภาษาบาลี ซ่ึงรูปท่ีใช้ในภาษาไทยเป็นรูปที่เขียน
ตามแบบภาษาสันสกฤต แต่ความหมายท่ีใช้ในภาษาไทยกลับตรงกับความหมายของคาภาษาบาลี ซึ่งเป็นคาร่วม
เช้อื สายกบั คาภาษาสนั สกฤตนน้ั เช่น
ปรฺ เวณี (ส.) แปลวา่ ผมเปีย ผ้าซงึ่ ทอจากเปลอื กไมย้ ้อมสี
ปเวณี (ป.) แปลวา่ ผมเปีย ผ้าซ่ึงทอจากเปลอื กไม้ย้อมสี ส่งิ ท่ีสังคมปฏิบตั ิกนั มาอย่างต่อเนือ่ ง
ประเพณี (ท.) ใช้ความหมายเดียวกับภาษาบาลีว่า สง่ิ ที่สังคมปฏิบตั กิ นั มาอยา่ งตอ่ เนอื่ ง
อธิษฐาน (ส.) แปลว่า ที่นงั่ ทีพ่ กั อานาจ อานาจทางการปกครอง
อธฏิ ฐาน (ป.) แปลว่า การตดั สินใจม่ันคง การตรวจตราหรอื ดูแลตามอานาจของตน อานาจตัดสนิ ใจ
ความต้ังใจม่ัน
อธษิ ฐาน (ท.) ใช้ความหมายใกลเ้ คียงกบั ภาษาบาลวี ่า ตง้ั จิตปรารถนามั่นคงตอ่ ตนเองหรอื ส่ิงศกั ดสิ์ ทิ ธิ์
เปรต (ส.) แปลว่า ผ้ทู ี่ตายไปแลว้ วญิ ญาณของบรรพบรุ ษุ
เปต (ป.) แปลว่า ผู้ทีต่ ายไปแลว้ สตั วใ์ นอบายภมู ิประเภทหนง่ึ ซ่ึงรับผลกรรมตามท่ีเคยทาไว้
เปรต (ท.) ใช้ความหมายเดียวกบั ภาษาบาลวี ่า สตั ว์ในอบายภมู ปิ ระเภทหน่ึงซงึ่ รับผลกรรมตามท่ี
เคยทาไว้ และบางถ่ินหมายถึงวิญญาณของบรรพบรุ ุษ
ขบถ (ป.) แปลว่า การประทษุ รา้ ย ทรยศ
กบฏ (ส.) แปลว่า การโกง การลอ่ ลวงหรือตลบตะแลง
กบฏ (ท.) แปลว่า การประทุษรา้ ยตอ่ อาณาจกั ร หรอื การประทุษรา้ ยต่อพระเจา้ แผ่นดิน
มณฑฺ ีร (ป.) แปลวา่ เรอื น เรอื นหลวง ท่อี ยู่
มนทฺ รี (ส.) แปลว่า เมือง ทอ่ี ยู่ เรอื น
มนเทยี ร (ท.) แปลวา่ เรือนหลวง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๒๐
๒. รับท้ังคาภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้
๑) รับคาภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย มีลักษณะที่ไม่แตกต่างกันทางด้านความหมาย
ดงั นี้
บาลี สนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
การเอือ้ อารีต่อกัน
การญุ ญฺ การณุ ฺย การญุ , การุณย์
ธุช ธวฺ ช ธชุ , ธวชั ธงแห่งชัยชนะ
เสียงไพเราะ
สาลิกา ศารกิ า, สาริกา สาลิกา, ศาริกา ธรรมดา สงิ่ ทวั่ ไป
ปกติ ปรกติ ปกต,ิ ปรกติ
ครุ ครุ ุ คร,ู ครุ (ครุสภา) หนักแน่น ผ้ทู าหน้าที่ส่งั สอน
อาจริยวาท อาจารฺยวาท อาจริยวาท, อาจารยวาท คาสอนของอาจารย์
นานปปฺ การ นานาปรฺ การ นานปั การ, นานาประการ นับไม่ถว้ น
ทิชา ทฺวิชา ทิชา, ทวิชา ผเู้ กิดสองครงั้
ขตตฺ ิย กษตรฺ ยิ กษัตรยิ ์, ขตั ตยิ ะ นักรบ พระเจา้ แผน่ ดนิ
ปญหฺ ปฺรศิ ฺน ปัญหา, ปริศนา คาถาม
๒) รับคาภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย มีลกั ษณะที่แตกตา่ งลกั ษณะใดลักษณะหนง่ึ ดงั น้ี
๒.๑) ใช้คาทยี่ ืมภาษาสนั สกฤตในภาษาทว่ั ไป แตใ่ ชค้ าภาษาบาลใี นงานเขียนทางพทุ ธศาสนา เชน่
คาที่ใชท้ ่ัวไป คาทีใ่ ชใ้ นงานเขยี นทางพุทธศาสนา
สนั สกฤต ไทยใช้ บาลี ไทยใช้
กปลิ วสตฺ ุ กบิลพสั ด์ุ กปิลวตถฺ ุ กบิลวตั ถุ
กรมฺ นฺ กรรม กมมฺ กัมม์
ทิพฺยจกษฺ ุสฺ ทพิ ยจกั ษุ ทพิ ฺพจกขฺ ุ ทิพพจกั ขุ,ทิพจกั ขุ
ธรฺม ธรรม ธมมฺ ธมั ม์
โพธสิ ตตฺ วฺ โพธิสตั ว์ โพธสิ ตฺต โพธิสัตต์
ภกิ ฺษณุ ี ภิกษุณี ภิกขุณี ภกิ ขุณี
ศฺรทธา ศรทั ธา สทฺธา สัทธา
ศาสนา ศาสนา สาสนา สาสนา
ศลี ศีล สลี สีล
สตฺย สตั ย์ สจฺจ สจั จ์, สจั
อรถฺ กถา อรรถกถา อฏฺฐกถา อัฏฐกถา
ศรฺทธา ศรัทธา สททฺ า สัททา
ศพฺท ศพั ท์ สททฺ สทั
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๒๑
๒.๒) ใช้คาท่ียืมภาษาบาลีหรือภาษาสันสกฤต ท้ังในภาษาปกติและในวรรณคดี บางคามักใช้
เฉพาะแตใ่ นวรรณคดี เช่น
บาลี สนั สกฤต ใชท้ ว่ั ไป ไทยใช้
กเิ ลส เฉพาะในวรรณคดี
กิเลส เกลศ ขณะ
ขณ กฺษณ ดาวดึงส์ เกลศ
ตาวติงฺส ตรฺ ยสตฺ รฺ ึศ ตณั หา กษณะ
ตณหฺ า ตฤษฺณา บลั ลังก์ ตรยั ตรงึ ศ์
ปลฺลงกฺ ปรยฺ งกฺ บคุ คล ตฤษณา
ปุคคฺ ล ปทุ ฺคล บุญ บรรยงก์
ปญุ ฺญ ปณุ ยฺ ปัจจุบัน บุทคล
ปจจฺ ปุ ฺปนนฺ ปฺรตยฺ ุตฺปนนฺ ปีติ บณุ ย์
ปีติ ปรฺ ีติ สนั ติ ปรตั ยบุ ัน
สนตฺ ิ ศานฺติ สทุ ธ์ิ ปรีติ
สุทธิ ศทุ ธิ ยักษ์ ศานติ
ยกขฺ ยกษฺ ลกั ษณะ ศทุ ธ์ิ
ลกขณ ลักษณ สตรี ยกั ข์
อิตถี สฺตฺรี สวสั ดี ลักขณะ
โสตถฺ ิ สวฺ สตฺ ิ อทุ ยาน อติ ถี
อยุ ฺยาน อุทยฺ าน โสตถิ
อุยยาน
๒.๓) ใชใ้ นความหมายเดยี วกัน แต่เง่ือนไขอ่ืนแตกตา่ งกนั
(๑) ใชต้ ่างระดบั ภาษากนั ดังนี้
ตัวอย่างคา ความหมาย ใชเ้ ป็นคาทั่วไป ใช้เป็นคาสภุ าพ ใชเ้ ปน็ คาทางการ
ภรยิ า (ป.) √
ภรรยา (ส.) เมยี √
เสมหะ (ป.) เมือกเหนยี วในลาคอ √ √
เสลด (ส.) √ √
สาสน (ป.) √
ศาสนา (ส.) คาส่ังสอน √ √
สุญฺญ (ป.)
ศนู ฺย (ส.) ว่างเปลา่
โอกาส (ป.)
อวกาศ (ส.) ช่องทาง, ท้องฟ้า √
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๒๒
(๒) มขี อ้ จากดั ในการเกิดรว่ มกบั คาอนื่ ดงั นี้
ตัวอยา่ งคา ความหมาย ใชร้ ่วมกับคา
จริยา (ป.) ความประพฤติท่ดี งี าม ศลี ธรรมจรรยา
จรรยา (ส.) นสิ ัยใจคอ จรรยาวัตร
อัชฌาสยั (ป.) ผู้หญิง
อัธยาศัย (ส.) ดวงอาทติ ย์ ถูกอัธยาศัย, อัธยาศยั ดี, อธั ยาศยั ไมตรี
อติ ถี (ป.) ไฟ
สตรี (ส.) เน่อื ง ๆ , ประจา สภุ าพสตรี, สิทธสิ ตร,ี กุลสตรี
สรุ ิย (ป.) วา่ งเปลา่ , ไมเ่ หลอื ร่องรอย สุรยิ คราส, สุรยิ เทพ, สรยิ ุปราคา
สูรย (ส.)
อคั คี (ป.) อคั คภี ัย
อคั นี (ส.) หินอคั นี
นจิ (ป.) นิจสิน, นิจนิรันดร์
นติ ย์ (ส.) นิตยสาร, นิตยภัต
สญู (ป.) สาบสูญ, สูญหาย, สูญเสีย
ศูนย์ (ส.) ศูนยก์ ลาง, ศนู ยร์ ว่ ม, ศนู ยห์ น้า
๓) รบั คามรี ปู เหมือนกนั ทง้ั ในภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ดงั น้ี
บาลสี ันสกฤต ไทย ความหมาย
กวิ กวี บทประพนั ธ์ทีแ่ ตง่ ขน้ึ
กาย กาย รูปร่าง
กาล กาล ชว่ งระยะเวลาทุกขณะ
คณ คณะ หมู่ กลุ่ม หมวด
คณิต คณติ การนับ
รปู รปู สิ่งท่ีมองเหน็ ไดด้ ว้ ยตา ภาพวาด
ทาน ทาน การให้ การช่วยเหลอื
จรติ จริต การประพฤติ ความชอบส่วนบคุ คล
คติ คติ เรอื่ งราว ความเช่อื เรอื่ งเลา่ เหตุการณ์
ชรา ชรา การเปลยี่ นแปลงไปตามกาลเวลา ผสู้ ูงอายุ
ตารา ดารา ดวงดาว ผทู้ ีไ่ ดร้ บั การชน่ื ชมจากคนทั่วไป
ตลุ ดลุ เสมอกนั การพจิ ารณาอย่างเป็นธรรม
ทารก ทารก เด็กแรกเกดิ ผู้ทเ่ี กิดจากอกมารดา
เทว เทวะ เทวา เทพ ผทู้ ่ไี ด้รับการบูชา
ธปู ธูป เครือ่ งบชู า เคร่อื งหอม
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๒๓
บาลสี ันสกฤต ไทย ความหมาย
นคร นคร เมอื ง ที่อย่อู าศยั
ปริวาร บริวาร ผู้ทค่ี ่อยช่วยเหลอื ในการทางาน
ปาป บาป ผู้ทีไ่ ดก้ ระทาความผิดหรือกระทาใหผ้ ู้อ่นื เดือดร้อน
ผลิต ผลติ ผลท่ีเกดิ จากการกระทา
พาล พาล ผู้ท่ีกระทาให้ตนเองและผ้อู ืน่ เดอื ดร้อน
ภาค ภาค สว่ น ฝ่าย แบง่
มณิ มณี แกว้ มีสเี ปล่งประกายสวยงาม
มติ มติ ขอ้ สรุป ข้อยุติ ยอมรับความคิดเห็นร่วมกนั
มนุ ิ มุนี ผู้ที่ออกบวชในปา่ ผทู้ ี่มีความรคู้ วามสามารถ
ยุทธฺ ยุทธ สนามรบ การทาสงคราม
โยธ โยธา นกั รบ ทหาร
รถ รถ พาหนะทีช่ ่วยขนส่ง
เลข เลข จานวนนับ ผ้ทู ีจ่ ดบันทกึ
โลก โลก แผ่นดนิ หม่สู ตั ว์
วกิ ล วิกล, พิกล ความแตกต่าง การเปลี่ยนแปลงไปอยา่ งคาดไมถ่ ึง
สุข สขุ ความสบายกายสบายใจ
เหตุ เหตุ เร่ืองราว ตน้ เรือ่ ง
อญฺชลิ อญั ชลี การพนมมือ การบูชา
องฺค องค์ ส่วนประกอบ 4 ส่วน
อณุ อณู มขี นาดเลก็ ๆ
อนตฺ ราย อันตราย สงิ่ ท่ีเกดิ ขนึ้ อย่างฉับพลัน
อนนตฺ อนันต์ มากมาย นับไม่ถว้ น
อนาคต อนาคต สง่ิ ท่ียังมาไม่ถึง
อเนก อเนก จานวนนบั ไมไ่ ด้
อภย อภัย สิง่ ที่ทาใหเ้ กิดทกุ ข์กายทุกข์ใจ
อาหาร อาหาร สงิ่ ทท่ี าใหม้ กี าลงั กาย
อปุ มา อปุ มา สิ่งที่กลา่ วยกข้ึนเปรยี บเทยี บ
ปทมุ ปทุม บวั หลวง
มยูร มยูร นกยูง
วิภา วิภา แสงสว่าง ความงาม
วฺยาธิ พยาธิ เชอ้ื โรคจาพวกหน่ึง
สหาร สงั หาร การทาลาย, ความพนิ าศ
สงฺคตี ิ สงั คตี การฟ้อนรา, ขับลานา
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๒๔
๔) รับคาเดียวกนั แล้วนามาใช้เปน็ คาหลายคาในภาษาไทย คาภาษาบาลีและสันสกฤตบางคา เมื่อยืม
เขา้ มาใชใ้ นภาษาไทยจะมรี ูปและความหมายเปลีย่ นไป กลายเป็นคาทีแ่ ตกตา่ งกนั ๒ คาในภาษาไทย ดงั น้ี
ตวั อยา่ งคา ความหมาย
เทวดาผูห้ ญงิ , ชายาของพระราชา, เจ้าหญิง
(ป. ส.) เทวี ชายาของพระราชา
นางงามประกวดระดบั ทอ้ งถ่นิ
ไทยใช้ เทวี สายฟ้า, เพชร
เทพี สายฟา้
อญั มณีชนิดหนง่ึ หายาก มนี า้ แวววาวมาก มรี าคาแพงมาก
(ส.) วชฺร ตอน, ส่วน, กลมุ่ , บท ฯลฯ
ตอนหน่ึง ๆ ของขอ้ ความ
ไทยใช้ วัชระ กล่มุ ทางการเมอื ง
เพชร ประเสริฐ, งาม, เลอื กสรร, พร, สิ่งที่เลอื ก, สิง่ ท่ีปรารถนา ฯลฯ
ประเสริฐ
(ส.) วรคฺ คาพดู มงคลที่ใหแ้ กผ่ อู้ ืน่
การจาแนกแจกแจง, การอธบิ าย, วชิ าไวยากรณ์, การพยากรณ์
ไทยใช้ วรรค ความสมั พนั ธอ์ ย่างเป็นระบบระหวา่ งหนว่ ยตา่ ง ๆ ของภาษา
พรรค คาดการณ์ล่วงหน้า, ทานาย
ลม, ลมหายใจ, ลมปราณ, เทพเจา้ แห่งลม
(ป. ส.) วร ลม, เทพเจา้ แหง่ ลม
ลมหรอื ลมฝนทีม่ ีกาลังแรงมากและมกั ก่อใหเ้ กิดความเสียหาย
ไทยใช้ วร- ชอ่ื วรรณะหน่ึงของอินเดีย, ผู้ท่ีประกอบอาชีพคา้ ขาย เกษตรกรรม หตั ถกรรม
พร วรรณะไวศยะ
หญงิ ช่วั , หญิงที่มักมากในกามคณุ
(ส.) วฺยากรณ เชือก, สายธนู, สายพิณ: ชนิด: คุณสมบัติ, องค์ประกอบ คุณความดี, คุณธรรม,
ความดีเลิศ: คาคุณศพั ท์; เทา่ , เพิม่ จานวนข้นึ เป็นเทา่ ตามจานวนท่มี ีอยูเ่ ดิม
ไทยใช้ ไวยากรณ์ ประโยชน์ คุณสมบัติ, ความดี, ความดีและความเกื้อการุณย์ท่ีผู้อน่ื ทาไว้กับตน: สตรี
พยากรณ์ โสดที่ได้เป็นคุณหญิง; สรรพนามบุรุษ ที่ ๒ คานาหน้าชื่อบุคคล เพื่อแสดงความยก
ย่อง, อานาจทางไสยศาสตร์
(ป. ส.) วายุ เทา่ ; เพ่ิมจานวน ขึ้นเปน็ เท่าตามจานวนทีม่ อี ยเู่ ดิม
ท่วั ไป, เป็นสมบตั ขิ องคนท่ัวไป, เหมอื น, เท่ากัน
ไทยใช้ วายุ ทั่วไป, เป็นสมบตั ริ ว่ มของประชาชน
พายุ ชั่วช้า, ตา่ ทราม
(ส.) ไวศยฺ
ไทยใช้ แพศย์
แพศยา
(ป. ส.) คณุ
คณุ
ไทยใช้
คูณ
(ป. ส.) สาธารณ
สาธารณะ
ไทยใช้ สาธารณ์
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๒๕
ตัวอย่างคา ความหมาย
ดี, สบาย, พอใจ, ง่าย, ร่ืนรมย์, ความดี ความสบาย, สะดวกสบาย ฯลฯ
(ป. ส.) สุข รู้สึกพอใจ รน่ื รมย์
ห้องนา้ , ห้องสาหรับขบั ถา่ ย
ไทยใช้ สขุ
สขุ า
๕) ยืมผ่านภาษาอ่ืน คายืมภาษาบาลีและสันสกฤตไม่ได้ยืมมาจากภาษาบาลีหรือภาษาสันสกฤต
โดยตรง แต่อาจยืมผ่านมาจากภาษาเขมร คายืมภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาเขมร พบว่า คายืมภาษาบาลีและ
ภาษาสนั สกฤตในภาษาไทยบางคามีรปู เขยี น เสียง ความหมาย ใกล้เคียงกับคายืมภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษา
ดังกลา่ ว มากกวา่ จะใกลเ้ คยี งกบั รปู ในภาษาเดมิ เชน่
ตัวอยา่ งคา ความหมาย
ไทยใช้ พระ คานาหน้าแสดง ความยกยอ่ ง
เขมร พระ คานาหนา้ แสดง ความยกยอ่ ง
(ป., ส.) วร ประเสริฐ
ไทยใช้ บัณฑติ ผ้จู บปรญิ ญา
เขมร ปณฑฺ ิต ผจู้ บปริญญาเอก
(ป., ส.) ปณฺฑติ ผูร้ ู้, นักปราชญ์, ผ้มู ีการศกึ ษาในระดบั ปริญญา
ไทยใช้ บณั เฑาะก์ ขันท,ี กะเทย
เขมร ปณฑฺ ก ขันท,ี กะเทย
(ป., ส.) ปณฺฑก ขันท,ี กะเทย
ไทยใช้ เพชร อญั มณชี นดิ หนึ่ง
เขมร เพชร อญั มณชี นิดหน่ึง
(ส.) วชฺร อัญมณีชนิดหนง่ึ
ไทยใช้ แพทย์ หมอ
เขมร เเพทฺย หมอ
(ส.) ไวทยฺ ผู้มีความรู้, หมอ
ไทยใช้ รส รสชาติ
เขมร รส รสชาติ
(ป., ส.) รส รสชาติ
ไทยใช้ ละโมบ อยากได้เกินกวา่ ทพี่ ง่ึ ได้
เขมร ลโฺ มภ อยากได้เกินกว่าท่ีพึ่งได้, ตะกละ
(ป., ส.) โลภ ความอยากได,้ ความต้องการมาก เกินกวา่ ที่จึงได้
ไทยใช้ อธกึ มาก, อยา่ งยง่ิ , เกนิ
เขมร อธกิ ย่ิงใหญ,่ ใหญโ่ ต, เกนิ
(ป., ส.) อธกิ ย่ิง, เกิน, มากกวา่
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๒๖
ตัวอยา่ งคา ความหมาย
ไทยใช้ เจรจา
เขมร เจรจา พูดคยุ เพ่ือหาขอ้ ยุติร่วมกนั
(ส.) จรฺจา อภิปราย, โต้เถียง, สนทนา
ทวนถอ้ ยคา, พดู คุย, ถกเดยี ง
๑๑.๒ การเปรียบเทียบการใช้คาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย
การเปรียบเทียบการใช้คาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย คาภาษาบาลีสันสกฤตจานวนมากเป็นคาร่วม
เชือ้ สายกนั และมีความหมายหลักรว่ มกนั อาจมีบางคามคี วามหมายแตกต่างกันไปบ้างเลก็ น้อย แต่เมอ่ื ยมื เข้ามาใช้
ในภาษาไทย คาภาษาบาลีใช้ในความหมายหนึ่ง ส่วนคาภาษาสันสกฤตก็ใช้ในอีกความหมายหนึ่ง ความหมายท่ี
แตกต่างกันน้ี บ้างก็แตกต่างกันมาก บ้างก็แตกต่างกันน้อย และมีบ้างที่ในวรรณคดีหรือในภาษาโบราณใช้ใน
ความหมายเดียวกนั แต่ในภาษาไทยปรกติทีใ่ ช้ในปัจจุบันมีความหมายแตกต่างกัน ตัวอย่างทั้งหมดท่ีแสดงต่อไปนี้
พิจารณาเฉพาะความหมายทใี่ ช้ในภาษาไทยปรกตใิ นปจั จบุ นั เท่าน้ัน เช่น
บาลี สนั สกฤต ไทยใช้ ความหมายและลักษณะการใช้
รฐั หมายถึง คณะผู้บริหารบ้านเมือง, เขตปกครอง นิยมใช้ร่วมกับคาอื่น
เชน่ รัฐบาล, รฐั ประศาสนศาสตร์
รฏฺฐ ราษฏฺ ร
ราษฎร์, หมายถงึ พลเมือง, ประชาชน ใชใ้ นระดับทางการและบทประพนั ธ์
ราษฎร
วิชา หมายถึง ชื่อเน้อื หาท่ีแบ่งเป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ นิยมใช้กับนาหน้าช่ือ
เน้อื หาหลักสูตร เชน่ วชิ าหลักภาษาไทย เปน็ ต้น
วชิ ชฺ า วิทฺยา หมายถึง องค์ความรู้ท่ีผ่านการคิดวิเคราะห์และแหล่งรวบรวมข้อมูลไว้
วิทยา สาหรับศึกษาหาความรู้ นยิ มใชร้ ่วมกบั คาอืน่ เช่น วิทยาศาสตร์ วิทยากร
วทิ ยาลัย วทิ ยาเขต เปน็ ต้น ไม่นยิ มใชต้ ามลาพัง
สกิ ขา หมายถึง ข้อที่ต้องศึกษาและปฏิบัติ มีใช้เฉพาะเก่ียวกับคาสอนทาง
ศาสนา นิยมใชร้ ่วมกบั คาอ่นื เช่น ไตรสกิ ขา สิกขาบท ลาสกิ ขา เปน็ ต้น
สิกขฺ า ศกิ ฺษา
หมายถึง การเรยี นรูห้ รือการเล่าเรียนหรอื การแสวงหาความรู้ในส่ิงตา่ ง
ศึกษา ๆ ตลอดชีวิต นยิ มใช้ท้ังภาษาพูดและภาษาเขยี น
หมายถึง ชั้นต้น, แรกเริ่ม, ขั้นตอนแรก ไม่มีข้อจากัดในการใช้ สามารถ
เลือกใช้ได้ตามเหมาะสมกับบรบิ ท สว่ นมากจะนิยมใช้ร่วมกับคาอื่น เช่น
ปฐม ปรฺ ถม ปฐม ปฐมทศั น์ ปฐมเทศนา ปฐมบท เปน็ ตน้ นอกจากนีย้ ังใชต้ ง้ั ชอ่ื ด้วย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๒๗
บาลี สนั สกฤต ไทยใช้ ความหมายและลกั ษณะการใช้
หมายถึง การศึกษาระดับขั้นพื้นฐานหรือการศึกษาระดับพื้นฐานของผู้
ประถม แรกเร่ิมการศึกษาหรือการเรียนรู้ นิยมใช้เฉพาะเก่ียวกับการบอก
ระดบั ชนั้ ของผูศ้ กึ ษาวา่ อยู่ในระดบั ประถมศึกษาช้ันปที ี่ ๑ – ๖ เทา่ น้นั
อาจรยิ หมายถึง ผู้ปฏิบัติหน้าท่ีอบรมสั่งสอนและให้คาแนะนาในการฝึกอบรม
ตนเอง ไมม่ ใี ช้ในภาษาไทย แตม่ ีใช้เฉพาะในบทสวดทางศาสนาเท่านัน้
อาจริย อาจารฺย หมายถึง ผู้ทาหน้าที่ถ่ายทอดความรู้ให้แก่นักศึกษาและอบรมสั่งสอน
อาจารย์ แนะนา ตักเตือน ให้ปฏิบัติตนได้อย่างถูกต้องและสง่างาม นิยมใช้ท้ัง
ภาษาเขียนและภาษาพูด ส่วนมากนิยมใช้เรียกผู้ท่ีสอนหนังสือในระดับ
มหาวทิ ยาลัยและผทู้ สี่ อนวชิ าอาคม
หมายถึง ความรู้ท่ีได้รับจากการเรียนรู้และผ่านการคิดวิเคราะห์จน
ปัญญา กลายเปน็ ขอ้ สรุปองคค์ วามรู้ หรือคนท่ีฉลาดหลักแหลม นิยมใชท้ ั้งภาษา
เขียนและภาษาพดู อีกประการหน่ึงนิยมเรียกผทู้ ี่คงแก่การเรียนว่าเป็นผู้
ปญฺญา ปรฺ ชฺญา มปี ัญญา
หมายถึง ช่ือวิชาที่ว่าด้วยการศึกษาหาความรู้และความจริงในชีวิตและ
ปรัชญา จักรวาล นิยมใช้เรียกข้อความหรือคาพูดท่ีส่ือความหมายเชิงความคิดท่ี
เป็นแนวทางการใชช้ ีวติ ว่าปรัชญา
หมายถึง ท่ามกลาง, ส่วนกลาง, ทางสายกลาง ในภาษาไทยไมน่ ิยมนาคา
มัชฌิมา มาใช้ตรง ๆ แต่จะนาคาแปลมาใช้และใช้เฉพาะภาษาพูดเท่านั้น อีก
มชฺฌิม มธยฺ ม อย่างหน่งึ ใชเ้ ฉพาะกับคาสอนทางพทุ ธศาสนาเทา่ น้นั
หมายถึง ระดับกลาง, การศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับกลาง นิยมใช้เฉพาะ
มธั ยม เก่ียวกับการบอกระดับชั้นของผู้ศึกษาว่าอยู่ในระดับมัธยมศึกษาช้ันปีที่
๑ - ๖ เทา่ น้ัน
หมายถึง คุณงามความดี, จิตที่มีเมตตา กรุณาต่อเพ่ือนมนุษย์และเหล่า
บุญ สัตว์ นิยมใช้ในทางศาสนาหรือการบาเพ็ญประโยชน์ ทุกคนก็จะชื่นชม
การกระทาสิ่งนั้นวา่ เป็นบุญเปน็ กศุ ลต่อตวั ตนเอง
ปญุ ฺญ ปุณฺย หมายถึง สมบูรณ์, เต็มเป่ียม, ความดีงาม นิยมใช้ในการตั้งช่ือหรือ
ปณุ ย์ นามสกุล และเฉพาะบทประพันธเ์ ท่าน้นั
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๒๒๘
บาลี สนั สกฤต ไทยใช้ ความหมายและลกั ษณะการใช้
สาสน ศาสนฺ า สาสน์
หมายถึง ลัทธิความเชื่อท่ีมีหลักคาสอนที่มีเหตุผลและช่วยให้ผู้คนพ้น
ปเวณี ปรฺ เวณี ศาสนา จากความทุกข์กายทุกข์ใจ นิยมใช้ในบทประพันธ์หรือป้ายกรมกอง
กริ ิยา กฺรยิ า ประเวณี หน่วยงานราชการ ไมน่ ยิ มใชท้ ่ัวไป
เขตฺต เกษตฺ ร ประเพณี หมายถึง ลัทธิความเชื่อที่มีหลักคาสอนที่มีเหตุผลและช่วยให้ผู้คนพ้น
กฬี า กรฑี า กริ ยิ า จากความทุกข์กายทุกข์ใจ นิยมใช้ท้ังต่อหน้าศัพท์หรือต่อท้ายศัพท์อื่น
ทฏิ ฐฺ ิ ทฤษฏี กรยิ า เสมอ
หมายถึง ผู้หญิงท่ีขายบริการทางเพศ ใช้เรียกผู้หญิงท่ีทางานในร้านอาบ
เขต อบ นวด หรือในสถานทบ่ี ันเทงิ ต่าง ๆ ท่ีมีการบรกิ ารทางเพศดว้ ย
เกษตร หมายถึง ข้อท่ียึดถือปฏิบัติสืบต่อกันมาเป็นระยะเวลานาน และมีแบบ
กีฬา แผน กฎเกณฑ์ในการปฏิบัติ นิยมใช้เรียกจารีตที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ
กรฑี า มาวา่ ประเพณี ใช้ได้ท่วั ไป
ทฐิ ิ หมายถึง การกระทาหรือการแสดงท่าทางอย่างใดอย่างหน่ึง ใช้อธิบาย
ทฤษฎี การกระทาของบคุ คลหรอื สตั ว์
หมายถึง คาทบ่ี ่งบอกการกระทาหรือการแสดงอย่างใดอย่างหน่ึง ระดบั
ประโยค ในไวยากรณ์ ใช้เป็นภาคแสดงของภาคประธานในประโยค
หมายถึง ที่คั่นแดน หรือการแบ่งอาณาบริเวณ ใช้เกี่ยวกับการแบ่งหรือ
แยกพน้ื ท่ี ใชว้ า่ เขตแดนหรือเขตพนื้ ท่ี เปน็ ต้น
หมายถงึ ไรน่ า สวน ใช้เรยี กการกระทาหรืออาชีพเก่ียวกับการทาสวน
ไร่นา เช่น เกษตรกร ทาการเกษตร เป็นต้น
หมายถึง การละเล่นชนิดใดชนิดหนึ่งหรือเกมการแข่งขัน ใช้เรียกการ
แข่งขันต่าง ๆ หรือการเรียกเป็นชื่อแทนเกม ว่า กีฬา เช่น กีฬาสี กีฬา
พ้นื บ้าน เสือ้ กีฬา นกั กฬี า เปน็ ตน้
หมายถึง เกมการแข่งขันว่ิงทางใกล้ หรือว่ิงส่งไม้ระยะร้อยเมตร ใช้
เรยี กช่ือกฬี าที่ทาการวิง่ แขง่ ขนั กันในระยะร้อยเมตร หรือสีร่ อ้ ยเมตร
หมายถึง มีความคิดเห็นไปในทางที่ไม่ดีหรือมีอคติต่อสิ่งใดสิ่งหน่ึง มักใช้
เรียกคนที่ค่อยตาหนิผู้อื่นเสมอ หรือมีความคิดท่ีไม่ดีมองโลกในแง่ลบ
และใชท้ ัว่ ไป
หมายถึง แนวคิดท่ีได้ผ่านการทดลองทางวิทยาศาสตร์จนได้ข้อสรุปท่ี
เหมอื นเดิมครัง้ แล้วคร้ังเลา่ ใชเ้ รียกแนวคิดของนักวชิ าการหรือ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๒๙
บาลี สนั สกฤต ไทยใช้ ความหมายและลักษณะการใช้
วตถฺ ุ วสฺตุ นักวิทยาศาสตร์ท่ีได้ทาการทดลองตามแนวคิดนั้น จนเกิดผลสาเร็จ ใช้
วติ ถฺ าร วสิ ฺตาร วัตถุ เฉพาะในวงวิชาการเท่านน้ั
วัสดุ หมายถึง ส่ิงท่ีสามารถจับต้องได้ ใช้เรียกท้ังส่ิงของท่ีมีขนาดใหญ่และ
สามญญฺ สามานฺย วติ ถาร ขนาดเล็ก และสามารถเคลื่อนย้ายได้และเคลื่อนย้ายไม่ได้ และใช้ใน
อจฉฺ ริย อาศฺจรยฺ บรบิ ทแคบ นอกจากนีย้ งั ใชเ้ รียกสถานที่วา่ วตั ถุ
อาณา อาชฺญา พิสดาร หมายถึง สิ่งท่ีมีขนาดเล็กสามารถยกได้และมีน้าหนักไม่เยอะ ใช้เรียก
โอกาส อวกาศ สง่ิ ของทม่ี ขี นาดไมใ่ หญแ่ ละใช้ไดท้ ัว่ ไป
สามญั หมายถึง สิ่งที่ผิดแปลกไปจากปกติ หรือพฤติกรรมเชิงลบ ใช้อธิบายถึง
การประพฤติปฏิบัติที่ผิดแปลกไปจากคนทั่วไป หรือมีนิสัยใจคอท่ีคิดไป
สามานย์ ในทางผดิ ปกติทวั่ ไป
อัจฉริยะ หมายถึง รายละเอียด หรือเรื่องราวที่มีเน้ือหาเยอะ ใช้กล่าวถึงส่ิงท่ีมี
อัศจรรย์ รายละเอียดมาก หรือมีเนื้อหาเยอะ แต่มักจะกล่าวเพียงว่าโดยพิสดาร
อาณา เท่านน้ั
อาชญา หมายถึง สิ่งที่มีลักษณะท่ัวไป หรือมีความเป็นปกติธรรมดา ใช้กล่าวถึง
โอกาส สิ่งท่ีมีเหมือนกัน และมีพ้ืนฐานเหมือนกัน ซึ่งอยู่ในระดับเดียวกันเป็น
จานวนมาก
หมายถึง ความช่ัวร้าย, ส่ิงที่ได้กระทาลงไปทาให้เกิดความเดือดร้อนต่อ
ตนเองและผู้อ่นื ใช้คูก่ ับคาวา่ ช่ัวชา้ เสมอ และใช้กล่าวถึงคนที่กระทาผิด
รา้ ยแรง
หมายถึง ผู้ท่ีมีความสามารถพิเศษหรือผู้ท่ีมีความเฉลียวฉลาด มักใช้
กลา่ วถงึ ผทู้ สี่ ามารถทาสิง่ ท่ยี ากใหส้ าเร็จได้
หมายถึง เรอื่ งท่ีเกิดข้ึนเหนือธรรมชาติ มักใช้กล่าวถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเองตาม
ธรรมชาติ
หมายถึง บริเวณที่ได้กาหนดไว้แล้ว มักใช้ร่วมกับคาว่า อาณาเขต หรือ
อาณาบริเวณ
หมายถึง โทษ คดีท่ีเก่ียวกับการกระทาความผิด มักใช้ร่วมกับคาว่า
อาชญากรหรือ อาชญากรรม
หมายถงึ ชว่ งเวลาท่เี หมาะสม ใชก้ ลา่ วถงึ ชว่ งเวลาหรือจงั หวะทจี่ ะพบปะ
พดู คยุ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๓๐
บาลี สันสกฤต ไทยใช้ ความหมายและลกั ษณะการใช้
อวกาศ หมายถึง อากาศท่ีไร้แรงโน้มถ่วงอยนู่ อกโลก ใชอ้ ธิบายสภาวะทีส่ ามารถ
ภรยิ า ภรฺยา ภรยิ า ขบั เคล่อื นตวั ได้ แต่ตอ้ งลอยเคว้งคว้างไปมาอยอู่ ยา่ งน้นั
ทพฺพี ทรฺ วี ภรรยา หมายถึง เมีย หรือผู้หญิงที่เข้าพิธีแต่งงานเรียบร้อยแล้ว ใช้เรียกผู้หญิง
อธิปฺปาย อภปิ ราย ทพั พี สูงศักด์หิ รอื มีฐานนนั ดรศักดิ์
นมิ มฺ ติ นิรมฺ ติ ทรพี หมายถึง เมีย หรือผู้หญิงที่ได้อยู่ร่วมกับชายในบ้านเดียวกัน ใช้เรียก
รสิ รศฺมิ ผ้หู ญิงทีม่ สี ามแี ล้วทั่วไป
วจิ ฉฺ กิ วฤศฺจิก อธบิ าย หมายถึง ภาชนะที่ใช้ตักข้าวหรืออาหาร ใช้เรียกภาชนะตักข้าวหรือ
วิสสฺ าส วศิ ฺวาส อาหารเทา่ นัน้
อภปิ ราย หมายถึง ลูกท่ีทาร้ายพ่อแม่ทางด้านร่างกายและจิตใจ ใช้เรียกลูกท่ี
นิมติ อกตญั ญูพ่อแม่
เนรมติ หมายถงึ ไขความ ขยายความ ชีแ้ จง ใชใ้ นการบรรยายขยายความเพอื่ ให้
รงั สี ผู้ฟงั หรอื ผูอ้ า่ นเขา้ ใจ
รศั มี
พิจิก หมายถึง พูดช้ีแจงแสดงความคิดเหน็ ใช้ในการพดู ต่อหน้าคนจานวนมาก
พฤศจิก หรอื พูดในหอประชมุ
วิสาสะ หมายถึง วัด, ร่าง, สร้าง, ทาให้บังเกิดขึ้นหรือมีขึ้น ใช้ภาพหรือส่ิงท่ีเห็น
พิศวาส เปน็ ลางบอกเหตหุ รือให้สมั ผัสประสบการณ์ทางจิต
หมายถึง วัด, ร่าง, สร้าง ใช้อานาจวิเศษบันดาลให้เกิดขึ้นหรือมีขึ้น,
สรา้ ง เสรจ็ ขนึ้ ในเวลาอนั รวดเร็วยงิ่
หมายถึง แสง ใชแ้ สง, คล่ืนพลังงานท่ีมกี าเนิดจากจุดกาเนิดจดุ ใดจุด
หน่งึ
หมายถึง แสง; เชอื ก, แส้ ใช้แสง, เส้นทล่ี ากจากวงกลมไปเส้นรอบวง
หมายถึง แมงป่อง ใชบ้ อกช่ือราศมี สี ัญลักษณเ์ ปน็ รูปแมงป่อง, กล่มุ ดาว
ราศพี ิจิก
หมายถึง แมงป่อง, ราศพี ิจกิ , กล่มุ ดาวราศีพิจกิ ใช้กบั เดือนพฤศจิกายน
หมายถึง ความไว้วางใจ, ความเช่ือใจ ใช้ทาไปโดยไม่ขออนุญาตเพราะ
ถอื วา่ คนุ้ เคยหรือ สนทิ สนม
หมายถงึ ความไว้วางใจ, ความเช่อื ใจ ใช้กบั รักใคร่, ชอบพอ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๓๑
บาลี สนั สกฤต ไทยใช้ ความหมายและลกั ษณะการใช้
สิเนห เสนท สิเน่หา หมายถงึ น้ามนั ทีใ่ ช้เจิม, ความรกั ใคร่ ใช้กบั ความรักใคร่
หทย หฤทย เสนห่ ์ หมายถึง น้ามนั เจมิ , นา้ มัน, ไข, ความรัก, ความรักใคร่ ใช้กับส่ิงท่มี ีอยูใ่ น
อมต อมฤต หทัย ตนดงึ ดดู ความสนใจ ของผู้พบเหน็ หรือผอู้ ยใู่ กล้
หฤทัย หมายถงึ หวั ใจ (ใช้เปน็ ราชาศพั ทว์ ่า พระหทัย) ใช้กบั หวั ใจ, ใจ
อรยิ อารยฺ อมตะ หมายถงึ หวั ใจ, ใจ ใช้กับใจ, จติ ใจ (ใชเ้ ป็นราชาศัพทว์ า่ พระราชหฤทัย)
อมฤต หมายถึง ไมต่ าย ใชก้ ับไมม่ ีวันตาย
อตตฺ ภาว อาตมภาว หมายถึง ไม่ตาย ใช้ชอ่ื น้าวิเศษที่เชอ่ื วา่ ผูท้ ี่ไดด้ ื่มเขา้ ไป แลว้ จะมชี วี ิตเป็น
อริยะ อมตะ
หมายถึง ดี, เลศิ , ประเสรฐิ , ผทู้ อี่ ยใู่ นฐานะสูงของสงั คม ใชก้ ับผปู้ ระเสริฐ
อารยะ , ประเสริฐ
หมายถึง ประเสริฐ เลิศ, ผู้เจริญ, ผู้ท่ีอยู่ในฐานะสูงของสังคม ใช้กับผู้
อัตภาพ เจริญ, ผเู้ จริญ
หมายถึง ธรรมชาติของตนเอง, การเป็นอยู่หรือดารงอยู่ของบุคคลใน
อาตมภาพ ภาวะหรอื ภพใดภพหนึ่ง ใช้กับการดารงชีพตามความเหมาะสมกับฐานะ
ของตน
หมายถงึ ลกั ษณะของบุคคล ใชเ้ ปน็ คาเรียกแทนตนเองของพระภกิ ษุ
สรปุ ทา้ ยบท
หลกั การเลอื กใชค้ าภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย คือการเลือกใช้คาภาษาบาลีหรอื คาภาษาสนั สกฤต
เพียงภาษาใดภาษาหน่งึ หรือเลอื กใชท้ ้งั คาภาษาบาลีและภาษาสนั สกฤตในความหมายท่ีแตกตา่ งกนั บางคาอาจจะ
นามาใชเ้ ฉพาะในวรรณคดีเก่ียวกบั พระพทุ ธศาสนา บางคาอาจจะนามาใชไ้ ด้ท่ัวไป บางคาอาจจะมกี าร
เปลย่ี นแปลงรูปศพั ทใ์ หม่ ซึง่ มีความแตกตา่ งไปจากศัพทเ์ ดิม มี ๒ ประเภท ดงั นี้
๑. เลือกคาภาษาใดภาษาหน่ึงมาใช้ มี ๖ ลักษณะ ได้แก่ ๑) ถ้าคาภาษาบาลีสันสกฤต ออกเสียงตรงกันมี
ความหมายตรงกัน ให้เลือกใช้รูปสันสกฤต เพราะสันสกฤตเข้ามาสู่ภาษาไทยก่อนบาลี ซึ่งทาให้คุ้นเคยและเป็นท่ี
นิยมมากกว่า ๒) ถ้าภาษาบาลีออกเสียงสะดวก แต่ภาษาสันสกฤตออกเสียงยาก เลือกใช้คาภาษาบาลี ๓) ถ้าเสียง
ตา่ งกันเล็กน้อย แต่ภาษาสันสกฤตออกเสยี งไม่ยาก ให้เลือกใช้คาภาษาสนั สกฤต ซึ่งมเี สยี งไพเราะกว่า และนา้ เสียง
ของพยางค์ท้ายออกง่ายสาหรับคนไทย ๔) บางคาท่ีออกเสียงตรงกัน เขียนผิดกันนิดหน่อย ให้ใช้ท้ังคาภาษาบาลี
และสันสกฤตในความหมายเดียวกนั หรอื บางทีก็มกี ารเปลย่ี นแปลงคาเม่ือนามาใช้ในภาษาไทย ๕) รับบางส่วนของ
คาภาษาบาลีและสันสฤต มาประกอบกันเป็นคาใหม่ ๖) เลือกใช้รูปภาษาสันสกฤตแต่ใช้ความหมายของภาษาบาลี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๓๒
ซึ่งรูปที่ใช้ในภาษาไทยเป็นรูปที่เขียนตามแบบภาษาสันสกฤต แต่ความหมายท่ีใช้ในภาษาไทยกลับตรงกับ
ความหมายของคาภาษาบาลี ซ่ึงเปน็ คารว่ มเช้ือสายกบั คาภาษาสนั สกฤตน้นั
๒. รับท้ังคาภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ มี ๕ ลักษณะ ได้แก่ ๑) รับคาภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ใน
ภาษาไทย มีลักษณะท่ีไม่แตกต่างกันทางด้านความหมาย ๒) รับคาภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย มี
ลักษณะทแี่ ตกต่างลกั ษณะใดลกั ษณะหน่ึง ๓) รับคามีรูปเหมือนกนั ท้งั ในภาษาบาลแี ละสันสกฤต ๔) รับคาเดยี วกัน
แล้วนามาใช้เป็นคาหลายคาในภาษาไทย คาภาษาบาลีและสันสกฤตบางคา เม่ือยืมเข้ามาใช้ในภาษาไทยจะมีรูป
และความหมายเปลี่ยนไป กลายเป็นคาที่แตกต่างกัน ๒ คาในภาษาไทย ๕) ยืมผา่ นภาษาอน่ื คายืมภาษาบาลีและ
สันสกฤตไม่ได้ยืมมาจากภาษาบาลีหรือภาษาสันสกฤตโดยตรง แต่อาจยืมผ่านมาจากภาษาเขมร คายืมภาษาบาลี
และสันสกฤตในภาษาเขมร พบว่า คายืมภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตในภาษาไทยบางคามีรูปเขียน เสียง
ความหมาย ใกลเ้ คยี งกับคายมื ภาษาบาลีและสนั สกฤตในภาษาดังกลา่ ว มากกว่าจะใกลเ้ คียงกับรปู ในภาษาเดมิ
การเปรียบเทียบการใช้คาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย คือคาภาษาบาลีสันสกฤตจานวนมากเป็นคา
รว่ มเชื้อสายกัน มีความหมายหลกั ร่วมกัน อาจมีบางคามีความหมายแตกต่างกันไปบา้ งเล็กน้อย แตเ่ มื่อยมื เขา้ มาใช้
ในภาษาไทย คาภาษาบาลีใช้ในความหมายหน่ึง ส่วนคาภาษาสันสกฤตก็ใช้ในอีกความหมายหนึ่ง ความหมายที่
แตกต่างกันนี้ บ้างก็แตกต่างกันมาก บ้างก็แตกต่างกันน้อย และมีบ้างท่ีในวรรณคดีหรือในภาษาโบราณใช้ใน
ความหมายเดียวกนั แต่ในภาษาไทยปรกติท่ีใชใ้ นปจั จบุ นั มีความหมายแตกต่างกัน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๓๓
กจิ กรรมการเรยี น
๑. ทบทวนความรู้
๑.๑ จงอธบิ ายอิทธิพลดา้ นไวยากรณแ์ ละด้านการใชภ้ าษาไทยของภาษาบาลีสันสกฤตต่อภาษาไทย
๑.๒ จงอธิบายอทิ ธิพลด้านการใช้สานวนภาษาและดา้ นการออกเสียงคาไทย
๑.๓ จงอธิบายอิทธพิ ลด้านการเปลี่ยนแปลงศพั ท์
๑.๔ จงอธิบายผลดแี ละผลเสยี ในการรบั คาภาษาตา่ งประเทศเขา้ มาในภาษาไทย
๒. จดั กิจกรรม
๒.๑ ใหน้ ักศึกษาอภปิ รายอทิ ธิพลด้านไวยากรณ์
๒.๒ ให้นกั ศกึ ษาอภิปรายอิทธพิ ลดา้ นการสร้างคา
๒.๓ ให้นกั ศึกษาอภปิ รายอิทธพิ ลด้านการใชส้ านวนภาษา
๒.๔ ให้นักศกึ ษาอภิปรายอทิ ธิพลด้านการออกเสียงคาไทย
๒.๕ ให้นกั ศึกษาวิเคราะหก์ ารเปล่ียนแปลงศัพท์
๒.๖ ให้นักศึกษาวเิ คราะหผ์ ลดแี ละผลเสยี ในการรบั คาภาษาต่างประเทศเขา้ มาในภาษาไทย
สอื่ การสอน
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนิง่ (PPT.) เนอ้ื หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมส่อื มตั ตมิ เี ดียและแอปพลเิ คชนั YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ED1022 ภาษาบาลสี นั สกฤตในภาษาไทย
แนวทางการประเมนิ ผล
๑. ประเมินผลจากการสงั เกตความสนใจ ซักถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการรว่ มกจิ กรรม การอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็
๓. ประเมินผลจากผลงาน ด้านเน้อื หา รปู แบบ ความคิดสร้างสรรค์ วิธกี ารนาเสนอ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๓๔
เอกสารอ้างองิ
จันจิรา จิตตะวริ ิยะพงษ.์ (๒๕๔๖). อิทธิพลภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พฒั นาศกึ ษา.
จิตร ภูมิศักดิ์. (๒๕๖๒). ความเป็นมาของคาสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของช่ือชนชาติ
ขอ้ เทจ็ จรงิ วา่ ด้วยชนชาตขิ อม. พิมพค์ รงั้ ท่ี ๗. กรุงเทพฯ : ไทยควอลิตีบ้ ุค๊ ส์.
ชนิดา สวุ รรณรตั น์. (ม.ป.ป.). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย เอกสารประกอบการสอนวิทยาลัยครูบ้านสมเด็จ
เจา้ พระยา.
ชะเอม แกว้ คล้าย. (๒๕๕๕). ลกั ษณะการใช้ศัพท์บาลีสนั สกฤตในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : สหธรรมิก จากัด.
ประหยัด เกษม. (๒๕๒๔). ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. นครศรีธรรมราช : ภาควิชา
ภาษาไทย วิทยาลยั ครนู ครศรีธรรมราช.
ประสิทธ์ิ กาพยก์ ลอน. (๒๕๑๙). การศกึ ษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร.์ กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
ปรชี า ทชิ นิ พงศ์. (๒๕๓๔). บาลี - สนั สกฤตทเ่ี กี่ยวกบั ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
พนมพร นิรญั ทวี. (๒๕๒๗). คาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร.์
พฒั น์ เพง็ ผลา. (๒๕๕๑). บาลีสนั สกฤตในภาษาไทย. พมิ พค์ รั้งที่ ๙. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
พงษ์จันทร์ ปิ่นสุวรรณ. (๒๕๑๙). การวิเคราะห์แบบของการเขียนสะกดการันต์พยางค์ในภาษาไทย, ปริญญา
นิพนธ์ศึกษาศาสตรมหาบัณฑิต. กรุงเทพฯ : บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสาน
มติ ร.
วไิ ลศักด์ิ ก่งิ คา. (๒๕๕๖). ภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. พมิ พค์ ร้งั ที่ ๒. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัย เกษตรศาสตร.์
วสิ นั ติ์ กฎแกว้ . (๒๕๔๕). ภาษาบาลสี ันสกฤตทเ่ี ก่ียวข้องกบั ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : พฒั นาศกึ ษา.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทดั ฐานภาษาไทย เล่ม ๒. พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๓. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของ สกสค.
สุธิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย.์ (๒๕๔๓). หลกั ภาษาไทย. พิมพ์ครง้ั ที่ ๑๕. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จากดั .
สุวิทย์ ภาณุจารี. (๒๕๕๔). ภาษาบาลีเพื่อการศึกษาค้นคว้าพระพุทธศาสนา. พิมพ์คร้ังที่ ๒. กรุงเทพฯ : ธนา
เพรส จากดั .
สุภาพร มากแจ้ง. (๒๕๓๕). ภาษาบาลี – สนั สกฤตในภาษาไทย. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
อนมุ านราชธน, พระยา. (๒๕๑๔). นิรกุ ตศิ าสตร์ ภาค ๑ – ๒. กรุงเทพฯ : ศนู ย์การทหารราบ.
อารีย์ สหชาติโกสีย์. (๒๕๑๓). เทียบลักษณะคาบาลี-สันสกฤตกบั คาไทย ตอนท่ี ๑ อักขรวิธี. กรุงเทพฯ : หน่วย
ศกึ ษานิเทศก์ กรมการฝกึ หัดคร.ู
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๓๕
แผนการสอนประจาบท
เรื่อง
๑. สาเหตุของการเปลย่ี นแปลงความหมายของคาภาษาบาลีสนั สกฤต
๒. ลักษณะการกลายความหมายของคาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย
๓. การสร้างคาสมาสเทียมภาษาบาลสี นั สกฤตในภาษาไทย
แนวคดิ
สาเหตขุ องการเปล่ียนแปลงความหมายของคาภาษาบาลีสนั สกฤต มสี าเหตุที่ทาให้คากลายความหมายไป
๔ ประเดน็ ได้แก่ ๑) เกดิ จากความเขา้ ใจผดิ ในข้นั รบั รู้ ๒) การกลายความหมายเกิดจากเหตุการณ์เฉพาะสมยั ๓)
การกลายความหมายเกิดจากการจงใจของผ้ใู ช้ ๔) ความคิดของคนในยุคต่าง ๆ
ลกั ษณะการกลายความหมายของคาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย สามารถแบง่ กลมุ่ ได้ ๓ กลุม่ ดังน้ี
กลุม่ ท่ี ๑ การกลายความหมายของคาภาษาบาลี กลุ่มท่ี ๒ การกลายความหมายของคาภาษาสนั สกฤต และกลมุ่ ท่ี
๓ การกลายความหมายของคาภาษาบาลีสันสกฤต
การสร้างคาสมาสเทียมภาษาบาลีสนั สกฤตในภาษาไทย มี ๒ ลักษณะ ดังน้ี ๑) การนาคาภาษาบาลีและ
สนั สกฤตสมาสกบั คาภาษาไทย ๒) การใช้คาภาษาบาลีและสนั สกฤตซอ้ นคาภาษาไทย
วตั ถปุ ระสงค์
เมอื่ นักศึกษาเรยี นจบบทที่ ๑๒ มีความสามารถไดด้ งั นี้
๑. อธิบายสาเหตุของการเปล่ียนแปลงความหมายของคาภาษาบาลีสนั สกฤตได้
๒. อธบิ ายลกั ษณะการกลายความหมายของคาภาษาบาลสี นั สกฤตในภาษาไทยได้
๓. อธบิ ายการสร้างคาสมาสเทยี มภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทยได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๓๖
บทท่ี ๑๒
การกลายความหมายของภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย
ในบทน้ี ผู้เขียนจะได้กล่าวถึงสาเหตุของการเปลี่ยนแปลงความหมายของคาภาษาบาลีสันสกฤตใน
ภาษาไทย ซ่ึงมีสาเหตุท่ีทาให้คากลายความหมายไป ๔ ประเด็น การจาแนกลักษณะการกลายความหมายของคา
ภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทยออกเป็น ๓ กลุ่ม คือ กลุ่มท่ี ๑ การกลายความหมายของคาภาษาบาลี กลุ่มที่ ๒
การกลายความหมายของคาภาษาสันสกฤต และกลุ่มท่ี ๓ การกลายความหมายของคาภาษาบาลีสันสกฤต และ
การสร้างคาสมาสเทยี มภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย มี ๒ ลักษณะ คือ การนาคาภาษาบาลีและสนั สกฤตสมาส
กับคาภาษาไทย และการใชค้ าภาษาบาลีและสนั สกฤตซ้อนคาภาษาไทย ดงั มีรายละเอียดดงั น้ี
๑๒.๑ สาเหตขุ องการเปลี่ยนแปลงความหมายของคาภาษาบาลีและสนั สกฤต
สาเหตุของการเปล่ียนแปลงความหมายของคาภาษาบาลีและสันสกฤต มีสาเหตุที่ทาให้คากลาย
ความหมายไป ๔ ประเดน็ ได้แก่
๑. เกิดจากความเข้าใจผิดในขั้นรับรู้ ความเข้าใจผิดในข้ันรับรู้อาจจะเนื่องมาแต่การฟังเอาความไม่ชัด
หรืออ่านแล้วไม่เขา้ ใจแน่ชัด ผู้อา่ นกต็ ีความตามความเข้าใจของตนเอง แล้วนาไปใชต้ ามความเข้าใจน้ัน เม่ือการใช้
ของผนู้ ั้นมีอทิ ธิพลต่อผอู้ ่ืน ความหมายของคาน้ันจึงค่อยเลอื นไปจากความหมายเดิม (สุธิวงศ์ พงศ์ไพบลู ย์, ๒๕๔๓ :
๒๗๕) สาเหตทุ ่ที าใหเ้ ข้าใจผดิ ในขัน้ รบั ร้อู าจแยกไดด้ ังน้ี
๑) ความเข้าใจผดิ เร่ืองอักขรวิธี เช่นคาว่า คนธฺ รฺว เป็นศัพท์สันสกฤต เมื่อเขยี นเป็นรูปภาษาไทย เป็น
คันธรรพก์ ็มี เปน็ คันธรรพ ก็มี เป็น คนธรรพ์ ก็มี แต่เราพบรูป คนธรรพ์ มากที่สุด เลยลากเข้าหาคาว่า คน เราจึง
แปลว่า คนพวกหนึ่งท่ีอย่ใู นสวรรค์ เป็นคนเล่นดนตรี ความหมายจึงแคบกว่าภาษาเดิม เพราะในภาษาเดิมแปลได้
หลายอยา่ ง เชน่ กาเนดิ แห่งเทวดา การขบั ร้อง ผ้ขู ับรอ้ งม้า และคนธรรพ์
๒) เพราะได้เห็นตวั อย่างทใ่ี ช้ในบางความหมาย คาบางคามีความหมายกว้าง แต่เราพบที่ใช้ในบางแง่
บางความหมาย ความหมายอื่น ๆ จึงต้องเลิกใช้ไปโดยปริยาย เช่น สามี แปลตามศัพท์เดิมหมายถึง เป็นเจ้า เป็น
ใหญ่ เช่นเรียกพระเจ้าแผ่นดินว่า เกษตรสามี แปลว่า ผู้เป็นเจ้าของประเทศหรือเรียกพระพุทธเจ้าว่า พระธรรม
สามี แปลว่า ผู้เป็นเจ้าของธรรมะ สามีของหญิงจึงหมายถึงผู้เป็นเจ้าของหญิงนั้น ซึ่งในภาษาไทยโดยท่ัวไปแล้วใช้
คา สามี แตเ่ ฉพาะคกู่ บั คาว่า ภรรยา เทา่ นนั้
๓) ความเข้าใจผิดเกิดจากขาดความรอบคอบและขาดการสังเกต คาบางคากลายความหมายมา
เพราะผู้รบั รู้ในเบอ้ื งต้นขาดการสังเกต ไม่ใช้ขอ้ ความทเี่ ปน็ ปรบิ ทตีความ เช่นคา ดิถี คาน้ใี นภาษาบาลีและสนั สกฤต
ใช้รูป ติถิ หรือ ติถี หมายถึงวันทางจันทรคติวันหน่ึงในสามสิบวันหรือหน่ึงวันในจันทรมาส อย่างเช่นในวรรณคดี
เรื่องเวสสันดรใช้ว่า “พอเป็นวันกาฬปักษ์ดิถีแรมเกา้ ค่า พอสบวันทักทนิ ทรธึกมฤตยูยมขันธ์ขัดโชคชยั ” แต่คาน้ีใน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๓๗
ปัจจุบันนามาใช้ในความหมายกว้างออก คือใช้หมายถึงวันในทางสุริยคติก็มี เช่น “ในวาระดิถีวันขึ้นปีใหม่” ดังนี้
เปน็ ต้น
๒. การกลายความหมายเกิดจากเหตุการณเ์ ฉพาะสมยั คาบางคาเกิดขึ้นจากเหตกุ ารณ์พิเศษในบางยคุ บาง
สมัย และเป็นคาที่มีผู้ใช้และรู้กันอย่างแพร่หลาย เม่ือเหตุการณ์นั้นผ่านพ้นไปแล้ว คานั้นยังคงใช้กันอยู่จึงเป็นเหตุ
ให้เกิดมีความหมายโดยนัยข้ึน ท่ีกลายเป็นสานวนพูดไปก็มี เช่นคาว่า บอกศาลา และแม้เราจะเลิกศาลาลูกขุนไป
นานแล้วแต่สานวนนี้ยังคงใช้อยู่ กลายเป็นสานวนในภาษาปาก ความหมายของคานี้จึงต่างไปจากความหมายท่ี
แท้จรงิ ของศัพท์เดิม
๓. การกลายความหมายเกิดจากการจงใจของผู้ใช้ คาท่ีกลายความหมายในลักษณะนี้มักเกิดจากท่านผู้รู้
จงใจบัญญัติข้ึนใช้เพ่ือแทนภาษาต่างประเทศบ้าง หรือเพ่ือการบางอย่าง อันถือเป็นความเจริญงอกงามอย่างหน่ึง
ของภาษา เช่นเราไม่มีคาใดในภาษาไทยท่ีจะตรงกับคาว่า Radio เราจึงนาคา วิทยุ ของสันสกฤต ซ่ึงเขาแปลว่า
สายฟ้าแลบ มาเรยี กแทน หรือนาภาษาสันสกฤตทีว่ ่า วิสตฺ าร มาใช้เป็น พิสดาร ใช้ในความหมายที่แปลกไปในทาง
ที่ดีงาม ท่ีมีแนวสร้างสรรค์ แต่เรารับคาภาษาบาลีท่ีว่า วิตถาร มาใช้ในลักษณะท่ีแปลกไปในทางที่ไม่ดี เช่น กาม
วิตถาร ความคิดวิตถาร ดังนี้เปน็ ตน้
๔. ความคิดของคนในยุคต่าง ๆ และกาลเวลาเป็นตัวแปรทาให้ความหมายของคาท่ีสืบต่อมามีการ
เปลย่ี นแปลง คาของภาษาก็เหมอื นสิ่งมชี ีวิต เกิดข้นึ แลว้ ตงั้ อยู่ และดบั ไป เปน็ วฏั จกั รของภาษา ฉะน้ัน ความหมาย
ของคาจึงเปล่ยี นแปลงและกลายไดต้ ลอดเวลา (พัฒน์ เพง็ ผลา, ๒๕๕๑ : ๒๘๒)
๑๒.๒ ลกั ษณะการกลายความหมายของคาภาษาบาลีสนั สกฤตในภาษาไทย
ลักษณะของการกลายความหมายของคาภาษาบาลีสนั สกฤตมี ๓ กลุ่ม สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๑๔๒
– ๑๔๖) วิไลศักดิ์ กิ่งคา (๒๕๕๖ : ๑๙๑ – ๑๙๓) วิสันต์ิ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๒๓๔ – ๒๓๙) สุธิวงศ์ พงษ์ไพบูลย์
(๒๕๔๓ : ๒๘๖ – ๒๘๘) และพัฒน์ เพ็งผลา (๒๕๕๑ : ๒๘๒ – ๒๘๘) ได้แก่ กลุ่มที่ ๑ การกลายความหมายของคา
ภาษาบาลี กลุ่มที่ ๒ การกลายความหมายของคาภาษาสันสกฤต และกลุ่มที่ ๓ การกลายความหมายของคาภาษา
บาลีและภาษาสันสกฤต ดังนี้
กลุ่มที่ ๑ การกลายความหมายของคาภาษาบาลี มีการเปล่ียนแปลงความหมายของคาภาษาบาลี แบ่ง
ออกเป็น ๕ ประเภท คอื
๑. ความหมายแคบเข้า คือ ในภาษาบาลีมีความหมายหลายนัย แต่นามาใช้ในภาษาไทยเพียง
ความหมายเดียว
๑.๑ ความหมายแคบเขา้ และกลายไปในทางทีด่ ี
กิรยิ า (ป.) เดมิ แปลว่า การกระทาหรอื กรรม
คารว (ป.) ไทยใช้ กริ ิยา ความประพฤติทีด่ ีงาม เช่น ผดู้ มี กี ิริยา
เดิมแปลว่า ความนบั ถือ ความรงุ่ เรือง ความหนกั
ไทยใช้ เคารพ ความนบั ถอื
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๓๘
สุขมุ (ป.) เดมิ แปลวา่ น้อย ละเอียด ออ่ น เช่น สุขุมฉวี แปลวา่ ผิวละเอียด สุขุมพัสตร์
วาสนา (ป.) หมายถงึ ผา้ เนอื้ ละเอียด
ภรยิ า (ป.)
โวหาร (ป.) ไทยใช้ สขุ ุม ความละเอยี ดออ่ นทางดา้ นความคิด เชน่ เขาเป็นคนสุขุม
สญฺญา (ป.)
สปตฺ าห (ป.) เดมิ แปลว่า บญุ หรือบาปทไ่ี ดอ้ บรมมา ความอบรมจนชิน
ชฏา (ป.)
อาคาร (ป.) ไทยใช้ วาสนา กศุ ลที่ทาให้ไดร้ บั ลาภยศ
สมภาร (ป.)
ทณฺฑ (ป.) เดิมแปลว่า หญงิ อนั ชายพงึ เล้ียง คือ เมีย
สญจฺ ร (ป.)
ปุรี (ป.) ไทยใช้ ภริยา คาเรียกหญิงที่ยกยอ่ งวา่ สูงกว่า ภรรยา คือมีเกยี รติมากกว่า
เดมิ แปลวา่ การค้า, ธรุ กิจ, การใช้ภาษา, กฎหมาย
ไทยใช้ โวหาร หมายถึง ชัน้ เชงิ ในการถ้อยคาในการพูดและเขยี น
เดมิ แปลวา่ ความรู้สึก, ความคิด, สัญลักษณ์, เครอื่ งหมาย
ไทยใช้ สัญญา หมายถงึ ข้อตกลงที่ทาร่วมกนั
เดมิ แปลวา่ ๗ วนั , พธิ บี ูชายัญทท่ี าทุก ๆ ๗ วัน
ไทยใช้ สัปดาห์ หมายถึง ระยะเวลา ๗ วนั เรม่ิ นบั จากวันอาทิตยถ์ ึงวันเสาร์
เดมิ แปลวา่ ผมเกล้า ผมมวย ผมถัก เชงิ หนาม
ไทยใช้ ชฎา หมายถึง เคร่ืองสวมศีรษะ
เดิมแปลว่า เรือนทั่ว ๆ ไป
ไทยใช้ อาคาร หมายถงึ ส่ิงทก่ี อ่ สรา้ งขึ้นเปน็ ตวั ตกึ หรอื โรง
เดมิ แปลว่า การสะสม วตั ถุ ของใช้ บุญท่ีสะสมไว้
ไทยใช้ สมภาร หมายถงึ พระภกิ ษุที่เปน็ เจ้าอาวาส
เดมิ แปลวา่ ไม้เท้า สินไหม อาชญา ลงโทษ
ไทยใช้ ทัณฑ์ หมายถึง ลงโทษ กรมราชทัณฑ์
เดิมแปลวา่ เคล่ือนไหวไปมา การยา้ ยจากท่หี นง่ึ ไปสู่ท่ีหน่งึ ประตู ทางเขา้ ร่างกาย
ไทยใช้ สญั จร หมายถงึ การไปมา
เดมิ แปลวา่ เมอื ง นฤบดี ป้อม รา่ งกาย
ไทยใช้ บรุ ี หมายถงึ เมือง
๑.๒ ความหมายแคบเข้าและกลายไปในทางทไี่ มด่ ี
วิตฺถาร (ป.) เดมิ แปลว่า ความแพรห่ ลาย ความซึมซาบ พสิ ดาร
ไทยใช้ วติ ถาร ลักษณะท่ีผิดปกติไปในทางท่ีไม่ดี
วิปาก (ป.) เดิมแปลว่า เป็นทส่ี ุดแหง่ เหตุ ใชไ้ ดท้ ัง้ ผลดแี ละรา้ ย
ไทยใช้ วิบาก ผลแหง่ การกระทา
อุตฺตริ (ป.) เดมิ แปลวา่ ย่ิง ยิ่งไปกวา่ เบอ้ื งบน
ไทยใช้ อุตริ หมายถงึ นอกแบบ นอกทาง แปลกออกไป
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๓๙
วิตกกฺ (ป.) เดมิ แปลวา่ ความตรึกตรอง ความคิด ความลงั เลใจ
สหาร (ป.) ไทยใช้ วิตก หมายถึงความคิดเชงิ ทกุ ข์รอ้ น
เดิมแปลวา่ การทาลาย ความพินาศ สังเขป ยอ่ การระงับ
ไทยใช้ สงั หาร หมายถึง การทาลาย
๒. ความหมายกว้างออก คือ ในภาษาบาลีมีความหมายเพียงอย่างเดียว แต่นามาใช้ในภาษาไทยมี
หลายความหมาย
๒.๑ ความหมายกว้างออกและกลายไปในทางที่ดี
สมผฺ สฺ (ป.) เดมิ แปลว่า การถูกต้องลบู คลา การกระทบ
เอก (ป.) ไทยใช้ สมั ผสั หมายถึง การถูกต้องลบู คลา ความคลอ้ งจองแห่งคาประพันธ์
เดมิ แปลว่า หน่ึง ดีเลศิ
ไทยใช้ เอก หมายถงึ หนึง่ ดเี ลิศ วรรณยกุ ตเ์ อก
คหู า (ป.) เดมิ แปลวา่ ถ้า
คมฺภีร (ป.) ไทยใช้ คหู า หมายถึง ถ้า หอ้ งตกึ แถว ช่องท่กี ้นั ไว้สาหรบั ลงคะแนนเสียง
เดมิ แปลว่า ลึก ลึกซงึ้ สขุ มุ รอบคอบ
ไทยใช้ คมั ภีร์ หนงั สือสาคญั ทางศาสนา ลกั ษณนามเรยี กตาราท่ีสาคัญทางศาสนา
โอสถ (ป.) เดิมแปลว่า ยารักษาโรค
ไทยใช้ โอสถ ยารกั ษาโรค ชือ่ ยา บหุ รี่
๒.๒ ความหมายกวา้ งออกและกลายไปในทางที่ไมด่ ี
อัปรยี ์ เดมิ แปลวา่ ไมน่ ่ารกั (อ+ปิย)
ไทยใช้หมายถึง ช่วั ช้า ต่าช้า เสื่อมทราม เปน็ อปั มงคล จัญไร อบุ าทว์
อาดูร (ป.) เดมิ แปลว่า คนเจบ็
ไทยใชห้ มายถงึ เดอื ดร้อน ทนทกุ ขเวทนาทง้ั กายและใจ
อนาถ เดิมแปลวา่ ไม่มที พ่ี งึ่
ไทยใช้หมายถึง ควรสงสาร นา่ สังเวช นา่ สลดใจ
๓. ความหมายย้ายท่ี คือ คาในภาษาบาลีมีการกลายความหมายไปจากเดิม หรือบางทีใช้ความหมาย
ตรงกับความหมายเดมิ จนกลายเป็นความหมายใหม่ในภาษาไทย
โอกาส (ป.) เดมิ แปลวา่ เหตุ สถานที่
ไทยใช้ โอกาส หมายถึง ชว่ งเวลาที่เหมาะ ชอ่ งทาง
ยุตฺติ (ป.) เดิมแปลวา่ ความถกู ต้อง ความเหมาะสม ความเทย่ี งธรรม
ไทยใช้ ยตุ ิ หมายถงึ การหยุดลง การเลกิ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๔๐
นิสติ ฺ (ป.) เดมิ แปลว่า อาศัยแลว้ ผู้อาศัยแล้ว
ปริญฺญา (ป.)
เมรุ (ป.) ไทยใช้ นสิ ติ หมายถงึ ผทู้ ่ีกาลังศกึ ษาอย่ใู นมหาวิทยาลยั บางแหง่
วธู (ป.) เดมิ แปลวา่ ความรูร้ อบ การกาหนดรู้
อิจฉฺ า (ป.) ไทยใช้ ปรญิ ญา หมายถึง กาหนดชน้ั ความรขู้ นั้ มหาวิทยาลัย
ฉายา (ป.)
อาวโุ ส (ป.) เดมิ แปลว่า ภเู ขาจกั รวาลมียอดเป็นที่ตัง้ แหง่ เมืองสวรรค์ชนั้ ดาวดึงส์
เขตฺต (ป.) ไทยใช้ เมรุ หมายถึง ทีเ่ ผาศพ
สมเฺ วช (ป.) เดิมแปลวา่ หญงิ สาวหรอื หญิงสะใภ้
ไทยใช้ พธู หญิงสาว
เดิมแปลวา่ ความปรารถนา ความตอ้ งการ
ไทยใช้ อิจฉา ไม่อยากให้คนอนื่ ไดด้ กี ว่าตน
เดิมแปลว่า เงา, ร่มไม้
ไทยใช้ ฉายา ชอ่ื เรยี กแทนพระภิกษุ นามแฝง
เดิมแปลว่า คาเรียกพระภิกษทุ มี่ พี รรษานอ้ ยกวา่
ไทยใช้ อาวุโส ผู้มปี ระสบการณ์การทางานมาก ผู้มีอายมุ ากกว่า
เดิมแปลวา่ นา ไร่ ทด่ี นิ
ไทยใช้ เขต แดนที่กาหนดขีดคัน่ ไว้
เดิมแปลว่า สงสาร ความกรณุ า
ไทยใช้ สมเพช สยดสยอง การซ้าเตมิ ดว้ ยวาจา
๔. ความหมายคงเดิม คือในภาษาบาลีมีความหมายอยา่ งไร เม่ือนามาใช้ในภาษาไทยก็ใช้ความหมาย
อยา่ งนั้น
สงฺข (ป.) เดิมแปลวา่ ชื่อหอยทะเลชนิดหนึ่ง
ไทยใช้ สังข์ หมายถึง ช่อื หอยทะเลชนดิ หนงึ่
สนุ ข (ป.) แปลวา่ หมา
ไทยใช้ สุนัข หมายถงึ หมา
สุกร (ป.) แปลว่า หมู
ไทยใช้ สกุ ร หมู
สนฺติ (ป.) แปลว่า ความสงบ
ไทยใช้ สันติ ความสงบ
เสรี (ป.) แปลวา่ มีอสิ ระ
ไทยใช้ เสรี มีอสิ ระ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๔๑
๕. การกลายเสยี งเพอ่ื แยกความหมาย คอื การกลายเสียงของคาในภาษาบาลมี าเป็นเสยี งในภาษาไทย
ทาใหเ้ กิดความหมายใหม่ เพอื่ เป็นการเพม่ิ ความหมายเข้าไปในคาท่กี ลายเสยี งนนั้
เวลา (ป.) เดมิ แปลว่า เวลา ฤดกู าล เวลาอาหาร คร่งึ วัน ชวั่ โมง ยุคสมัย ความตาย ฯลฯ
ไทยใช้ เพลา อา่ นวา่ เพลา หมายถงึ เบาลง แกนดมุ รถหรอื เกวยี น
ไทยใช้ เพลา อา่ นวา่ เพ-ลา หมายถึง ชว่ั โมง เวลา
ครุ (ป.) เดมิ แปลวา่ ครู หนัก
ไทยใช้ ครุ อ่านว่า ครุ หมายถงึ ภาชนะสานชนดิ หนึ่งใส่ตักน้า
ไทยใช้ ครุ อา่ นวา่ คะรุ หมายถงึ ครู หนกั
ทิว (ป.) เดมิ แปลวา่ วนั สวรรค์
ไทยใช้ ทิว อ่านว่า ทิว หมายถึง แถวหรอื แนวนอนที่ตดิ ต่อกันยาวยืด
ไทยใช้ ทวิ อา่ นวา่ ทิ-วะ หมายถึง วัน
เวทนา (ป.) เดมิ แปลวา่ ความรูส้ ึก
ไทยใช้ เวทนา อ่านวา่ เว-ทะ-นา หมายถึง ความรสู้ ึกท่เี กิดข้นึ
ไทยใช้ เวทนา อ่านว่า เวด-ทะ-นา หมายถงึ สงสาร สลดใจ
มน (ป.) เดมิ แปลวา่ ใจ
ไทยใช้ มน อ่านว่า มน หมายถึง กลม ๆ ไมม่ เี หลี่ยม
ไทยใช้ มน อ่านวา่ มะ-นะ หมายถงึ ใจ
กลุม่ ที่ ๒ การกลายความหมายของคาภาษาสนั สกฤต มีการเปล่ียนแปลงความหมายของคาภาษาสนั สกฤต
แบ่งออกเป็น ๕ ประเภท คอื
๑. ความหมายแคบเขา้ ในภาษาสนั สกฤตมคี วามหมายหลายนยั แตน่ ามาใช้ในภาษาไทยเพียงความหมาย
เดยี ว
๑.๑ ความหมายแคบเขา้ และกลายไปในทางทีด่ ี
ศพทฺ (ส.) เดิมแปลว่า เสยี ง นา้ เสยี ง ทานองเสยี ง โน้ตดนตรี คา
ไทยใช้ ศพั ท์ หมายถึง คา เสียง
สตฺตวฺ (ส.) เดิมแปลวา่ สง่ิ มชี วี ิตที่ไมใ่ ช่พชื ส่ิงมชี ีวิต ภตู ผีปศี าจ วญิ ญาณ ลมปราณ แก่นสาร
ไทยใช้ สตั ว์ หมายถงึ ส่งิ มชี วี ิตท่ไี ม่ใช่พชื
ทวฺ ปี (ส.) เดิมแปลว่า หาดทรายริมแม่น้า, เกาะ, แผน่ ดินทีเ่ ปน็ หลกั จกั รวาล
ฤกฺษ (ส.) ไทยใช้ ทวปี หมายถงึ ผืนแผ่นดินขนาดใหญ่อย่ตู ดิ มหาสมุทร
เดมิ แปลวา่ หมี, ลิง, ดาวฤกษ์, ชว่ งของเดือน
ไทยใช้ ฤกษ์ หมายถึง เวลาท่เี ป็นมงคล, ชื่อดาวประเภทหน่งึ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๒๔๒
ปฺรปา (ส.) เดิมแปลวา่ แหลง่ ทใ่ี ช้กักเกบ็ น้า, แทง้ กน์ า้
สกุลฺย (ส.) ไทยใช้ ประปา หมายถงึ นา้ ทส่ี ่งไปตามท่อใหป้ ระชาชนใช้ มักผ่านกระบวนการทา
ความสะอาดและฆา่ เช้ือโรคแลว้
เดมิ แปลวา่ ตระกลู หรอื ผ้รู ว่ มตระกลู เดียวกนั
ปฺรสิทฺธิ (ส.) ไทยใช้ สกุล หมายถึง ผ้อู ยใู่ นตระกูลผ้ดู ี, ผเู้ กดิ ในสกลุ ผูด้ ี, มเี ชือ้ สายดี
เดมิ แปลวา่ ความสาเร็จ ช่อื เสยี ง การตกแต่งประดบั ประดา
ไทยใช้ ประสิทธิ์ หมายถึง ความสาเรจ็
ปรฺ าจนี (ส.) เดิมแปลว่า ทิศตะวันออก โบราณ
ยาตรา (ส.) ไทยใช้ ปราจีน หมาย ถึงทศิ ตะวนั ออก
เดิมแปลวา่ ความเป็นไปแห่งชีวติ การไป การเดนิ ทาง
ไทยใช้ ยาตรา หมายถึง การเดินทาง การเดนิ เป็นกระบวน
๑.๒ ความหมายแคบเขา้ และกลายไปในทางท่ีไม่ดี
วิปาก (ส.) เดมิ แปลวา่ การหุงต้ม การบ่มรส ผลอนั มไิ ด้นึกฝันถงึ การผนั แปรแหง่ รูป หรอื สถติ ิ
ความยากจน ทุกข์
ไทยใช้ วบิ าก ผลอนั เป็นทางให้ทกุ ขห์ รอื ได้โดยยาก
สามานฺย (ส.) เดิมแปลว่า สาธารณะ ปกติ สามญั ประเภท ลักษณะพเิ ศษ สตรีท่เี ป็น-สาธารณะ
แก่ชายทงั้ หลาย หญิงแพศยา
ไทยใช้ สามานย์ หญงิ โสเภณี หญิงแพศยา
ทารุณ (ส.) เดิมแปลว่า อนั น่ากลวั ภยั สามัญ
ไทยใช้ ทารุณ การกระทาท่โี หดรา้ ยยิ่ง
สาหสฺ เดิมแปลว่า ทณั ฑ์ อาชญา พลการ ความโหดร้าย การข่มขนื ชาเรา การฉุดครา่
ความกลา้ ยัญพลีด้วยไฟ
ไทยใช้ สาหัส ร้ายแรง รนุ แรงเกินสมควร
อาถรฺวณ (ส.) เดิมแปลว่า เกี่ยวขอ้ งกับคัมภีร์อถรรพเวท, เก่ียวข้องกบั พราหมณ์อถรรวนั ,
ลูกหลานของพราหมณ์อถรรวนั พราหมณ์ผู้สวดคมั ภีร์อถรรพเวท
คมั ภีรอ์ ถรรพเวท, ผู้มีเวทมนตร์ อาถรรพณ์
ไทยใช้ อาถรรพณ์ หมายถึง อานาจลล้ี ับซ่งึ เช่อื ว่าทาใหม้ ีอันเป็นไปตา่ ง ๆ
เปรต (ส.) เดมิ แปลวา่ ผลู้ ะไปแลว้ คนตาย ผี
ไทยใช้ เปรต หมายถงึ ผชี นดิ หนึ่งท่ีมีรปู ร่างสูงเท่าต้นตาล ปากเลก็ เท่ารเู ขม็
๒. ความหมายกว้างออก คือในภาษาสันสกฤตมคี วามหมายเพยี งอย่างเดียว แต่นามาใชใ้ นภาษาไทยมี
หลายความหมาย
๒.๑ ความหมายกว้างออกและกลายไปในทางที่ดี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๔๓
กมล (ส.) เดิมแปลว่า ดอกบวั
ไทยใช้ กมล ดอกบัว ดวงใจ
นิยม (ส.) เดมิ แปลว่า นบั ความกาหนดแน่ การประพฤติ จาศีล
ไทยใช้ นยิ ม การนบั หนา้ ถือตา ความชื่อชอบยนิ ดี การยกย่อง
เสาร (ส.) เดิมแปลวา่ ชอ่ื ดาวเคราะห์ดวงหน่ึง, โอรสแหง่ พระอาทิตย์
ไทยใช้ เสาร์ หมายถงึ ชอ่ื วันลาดับสุดทา้ ยของสัปดาห์ ช่อื ดาวเคราะห์ บรวิ ารลาดับ
ท่ี ๖ ของดวงอาทิตยใ์ นระบบสุริยจักรวาล
ปฺรารฺถนา (ส.) เดิมแปลว่า การขอ ธรรมชาติอนั บุคคลพงึ ปรารถนา ความอยาก
ไทยใช้ ปรารถนา หมายถงึ ไม่จากัดบุคคล
๒.๒ ความหมายกวา้ งออกและกลายไปในทางท่ีไมด่ ี
อาจารฺย (ส.) เดมิ แปลว่า การประพฤตหิ รือผอู้ นั ศษิ ยค์ วรประพฤติดว้ ยความเคารพ
ไทยใช้ อาจารย์ ผสู้ อนทยี่ กยอ่ งว่ามีคณุ วุฒเิ หนอื กว่าครู มักหมายถึงผสู้ อนใน
ระดับอดุ มศกึ ษา
ตนตฺ รฺ ิ (ส.) เดมิ แปลว่า สายพณิ เขาเรียกเครือ่ งทมี่ สี ายสาหรบั เล่นเพลง
ไทยใช้ ดนตรี เคร่ืองทาเพลงทุกชนิดและเรียกการบรรเลงท่มี ีจังหวะทานองว่า ดนตรี
เรยี กได้ทงั้ ทเ่ี ป็นการดีดสีตีเป่า
ครหฺ (ส.) เดมิ แปลวา่ ความยึด ความถือ
ไทยใช้ เคราะห์ คราวร้าย เชน่ ถงึ คราวเคราะห์ ฟาดเคราะห์
อาภพฺ เดมิ แปลวา่ ไม่สมควร
ไทยใช้ อาภพั ไม่สามารถ ไมส่ มควร วาสนาน้อย
๓. ความหมายย้ายท่ี คือ คาในภาษาสันสกฤต มีการกลายความหมายไปจากเดิม หรือบางทีใช้
ความหมายตรงกับความหมายเดมิ จนกลายเปน็ ความหมายใหม่ในภาษาไทย
สฺวาท (ส.) เดิมแปลว่า ชมิ รส รสอรอ่ ย รสหวาน
ไทยใช้ สวาท ความรัก นา่ รัก น่ายนิ ดี
รกษฺ า (ส.) เดมิ แปลว่า ดแู ล รักษา และปอ้ งกนั
ไทยใช้ รักษา หมายถึง การแกไ้ ขเยีย่ วยาคนเจบ็
ปฺรณาม (ส.) เดมิ แปลวา่ ความนอบนอ้ ม การนอ้ มไหว้
ไทยใช้ ประณาม หมายถงึ การตาหนิ ติเตียน
วศิ ฺวาส (ส.) เดมิ แปลวา่ ความวางใจ ความคนุ้ เคย ความเชื่อใจ
ไทยใช้ พศิ วาส หมายถึงรกั ใคร่
ดสฺกร (ส.) เดมิ แปลวา่ โจร ขโมย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๒๔๔
ปรฺเวณี (ส.) ไทยใช้ ดัสกร หมายถึง ข้าศกึ ศัตรู
ปราศรยฺ (ส.) เดิมแปลวา่ ชอ้ งผม เชอ้ื สาย กระแสน้า
ไทยใช้ ประเพณี หมายถึง ธรรมเนยี มที่ประพฤติสบื ๆ กนั มา
เดมิ แปลวา่ ความนอบนอ้ ม ความถอ่ มตน ความสภุ าพ
ไทยใช้ ปราศรัย หมายถึง การพูดด้วยไมตรจี ติ คาปรารภ
๔. ความหมายคงเดิม คือในภาษาสันสกฤต มีความหมายอย่างไร เม่ือนามาใช้ในภาษาไทยก็ใช้
ความหมายอย่างนั้น
เนตฺร (ส.) เดมิ แปลว่า ดวงตา
ไทยใช้ เนตร ดวงตา
โกสุมฺ (ส.) เดิมแปลว่า ดอกไม้
ไทยใช้ โกสมุ ดอกไม้
โกมล (ส.) เดิมแปลวา่ อ่อน งาม หวาน ไพเราะ
ไทยใช้ โกมล อ่อน งาม หวาน ไพเราะ
โกลาหล (ส.) เดิมแปลว่า กกึ ก้อง วุน่ วาย
ไทยใช้ โกลาหล กกึ กอ้ ง ว่นุ วาย
เกษตรฺ (ส.) เดิมแปลว่า นา ไร่ ทีด่ นิ
ไทยใช้ เกษตร นา ไร่ ทีด่ ิน
๕. การกลายเสียงเพื่อแยกความหมาย คือ การกลายเสียงของคาในภาษาสันสกฤตมาเป็นเสียงใน
ภาษาไทย ทาให้เกดิ ความหมายใหม่ เพอ่ื เปน็ การเพม่ิ ความหมายเข้าไปในคาทก่ี ลายเสยี งนน้ั
ศริ ิ (ส.) เดมิ แปลวา่ มงคล ความดงี าม
ไทยใช้ ศรี อา่ นวา่ ศรี หมายถึง หมากพลู
ไทยใช้ ศิริ อ่านวา่ สิ-ริ หมายถงึ ความเป็นมงคล
ปถวี (ส.) เดิมแปลวา่ พนื้ ดิน
ไทยใช้ ปถพี อ่านว่า ปะ-ถะ-พี หมายถงึ แผน่ ดนิ
ไทยใช้ ปถวี อ่านวา่ ปะ-ถะ-หวี หมายถงึ ท้ายเรือพิธี
พยาธิ (ส.) เดิมแปลว่า ตวั เช้ือโรคชนิดหนึ่ง
ไทยใช้ พยาธิ อา่ นว่า พะ-ยาด หมายถงึ เชอ้ื โรค
ไทยใช้ พยาธิ อา่ นว่า พะ-ยา-ทิ หมายถึง ความเจบ็ ไข้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๒๔๕
กลุม่ ที่ ๓ การกลายความหมายของคาภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต ซึ่งภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตมรี ูป
ศัพทเ์ หมือนกัน มกี ารเปล่ยี นแปลงความหมายของคาภาษาบาลแี ละภาษาสนั สกฤต แบ่งออกเป็น ๖ ประเภท คอื
๑. ความหมายแคบเข้า ในภาษาบาลีและภาษาสันสกฤตมีความหมายหลายนัย แต่นามาใช้ในภาษาไทย
เพียงความหมายเดียว
๑.๑ ความหมายแคบเข้าและกลายไปในทางท่ีดี
กาล (ป.ส.) เดมิ แปลวา่ เวลา ฤดูกาล เวลาอาหาร ครึ่งวัน ช่วั โมง ยุคสมยั ความตาย ฯลฯ
ไทยใช้ กาล เวลา
ทูต (ป.ส.) เดิมแปลวา่ ผสู้ ง่ ข่าวสาร ผูส้ ่อื สาร ผ้แู ทนเจรจาความเมอื งของประเทศ
ไทยใช้ ทูต ผูแ้ ทนเจรจาความเมืองของประเทศ
โค (ป.ส.) เดิมแปลวา่ วัว สิง่ ท่ไี ดจ้ ากววั
ไทยใช้ โค วัว
เทว (ป.ส.) เดิมแปลวา่ เทวดา ทอ้ งฟ้า กษัตรยิ ์ เจ้าชาย
ไทยใช้ เทพ เทวดา เทวา
อวยว (ป.ส.) เดิมแปลว่า ร่าง สว่ นของรา่ งกาย สว่ นของส่งิ ใดส่ิงหนึ่ง
ไทยใช้ อวยั วะ ส่วนของร่างกาย
คติ (ป. ส.) เดมิ แปลว่า การไป, การเดิน, อบุ าย, ความรู้, ปญั ญา
ไทยใช้ คติ วิธีทีด่ ,ี แบบอยา่ งท่ีด,ี คาสอนใจท่ีควรยึดถือปฏบิ ตั ิตาม
๑.๒ ความหมายแคบเข้าและกลายไปในทางท่ีไมด่ ี
ทารณุ (ป.ส.) เดมิ แปลว่า แข็ง มั่นคง รุนแรง โหดรา้ ย นา่ กลวั
ไทยใช้หมายถึง โหดร้าย
จริต (ป. ส.) เดิมแปลวา่ ความประพฤติ นสิ ยั ชวี ติ
พายุ (ป. ส.) ไทยใช้ จรติ หมายถึง ความประพฤตขิ องผูช้ ายหรอื ผ้หู ญิงท่ปี รุงแต่งขนึ้ เพื่อดึงดูด
เดมิ แปลว่า ลม
ไทยใช้ พายุ หมายถึง ลมแรงจัด
๒. ความหมายกว้างออก คือในภาษาบาลีและภาษาสันสกฤต มีความหมายเพียงอย่างเดียว แต่
นามาใช้ในภาษาไทยมีหลายความหมาย
๒.๑ ความหมายกว้างออกและกลายไปในทางที่ดี
กมล (ป. ส.) เดิมแปลว่า ดอกบวั
ไทยใช้ กมล หมายถึง ดอกบัว, ใจ, หวั ใจ
คงคา (ป. ส.) เดมิ แปลวา่ แม่น้าคงคา
ไทยใช้ คงคา หมายถึง แมน่ ้าคงคา, นา้ , แม่นา้ , ทะเล
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง