๔๖
๕. ช่วยในการบัญญัติศัพท์ เน่ืองจากวิทยาการสมัยใหม่แขนงต่าง ๆ ได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย
อย่างไม่ขาดสาย และวิทยาการเหล่าน้ันโดยมากเป็นภาษาอังกฤษ เม่ือแปลออกเป็นภาษาไทยแท้ ๆ ไม่ได้ เรา
มักจะบัญญัติศัพท์ข้ึนใช้แทน ศัพท์ท่ีจะบัญญัติขึ้นใช้แทนน้ัน เรามักจะใช้คาบาลีและสันสกฤตมาผูกประสมกันใช้
แทนคาศพั ทน์ ั้น ๆ ในภาษาองั กฤษ เช่น
คาบาลีสันสกฤต คาศัพท์ภาษาอังกฤษ
เอกภาพ Unity
เอกลักษณ์ Identity
คณบดี Dean
เกษตรกรรม Agriculture
โภคภัณฑ์ ใชแ้ ทน Commodity
มโนภาพ ภาษาองั กฤษวา่ Conception
โลหกรรม Metallurgy
อภิปรชั ญา Metaphysics
เทววทิ ยา Theology
ปริมาตร Volume
สตั ววทิ ยา Zoology
๖. ช่วยให้ภาษาไทยมีคาใช้มากข้ึน เน่ืองจากภาษาไทยแท้ ๆ มีคาจากัดอยู่ในวงแคบ เช่นคาว่า พ่อ แม่
เป็นต้น แต่เม่ือเรารับเอาคาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย ทาให้เรามีคาใช้มากข้ึน เช่น บิดา มารดา บิดร
มารดร บิตุเรศ มาตุเรศ ชนก ชนนี เป็นต้น ท้ัง ๆ ท่ีคาเหล่านี้ใช้ในความหมายว่า พ่อ แม่ เหมือนกัน หรือคาว่า
หญิง เราอาจจะใช้คาทมี่ าจากภาษาบาลีและสันสกฤตว่า กุลสตรี กานดา พธู วธู นารี วนิดา ลลนา ยุวดี สตรี อิตถี
เป็นต้น
๗. นามาใช้ประสมกับคาไทย กล่าวคือ นาเอาคาบาลีและสันสกฤตมาประสมกับคาไทย โดยประกอบ
ข้างหนา้ หรอื ขา้ งหลงั คาไทยก็ได้ เชน่
๑) ใชป้ ระกอบข้างหนา้ คาไทย ตวั อยา่ ง
บาลีสันสกฤต คาไทย ไทยใช้ ความหมาย
พล เมอื ง พลเมอื ง ประชาชน, ชาวประเทศ
ทฺรวยฺ สนิ ทรพั ย์สนิ วัตถุท้ังทีม่ รี ูปรา่ งและไมม่ ีรปู ร่างอาจมีราคาและถือเอาได้
จิตฺต ใจ จิตใจ ใจ อารมณ์ทางใจ
รูป รา่ ง รปู ร่าง ลักษณะรา่ งกาย ทรวดทรวง
๒) ประกอบข้างหลังคาไทย ตัวอย่าง
คาไทย บาลีสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ซาก ศว ซากศพ รา่ งของคนท่ีตายแล้ว
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๔๗
วาย ชนฺมนฺ วายชนม์ ตาย
คล่ืน วิทฺยุตฺ คล่ืนวทิ ยุ คลื่นแมเ่ หลก็ ไฟฟ้าที่สง่ ผ่านบรรยากาศดว้ ยความถ่วี ิทยุ
คาบ สมุทรฺ คาบสมทุ ร แผ่นดนิ ท่ยี ื่นเปน็ แหลมใหญ่ออกไปในทะเล
๘. นามาใช้เป็นคาราชาศัพท์ (เฉพาะท่ีใช้แก่พระราชาและเจ้านาย) ในภาษาไทยเป็นจานวนมากเป็นคา
ทม่ี าจากภาษาบาลีสันสกฤต และนิยมใชค้ า “พระ” นาหนา้ คาเหลา่ นัน้ เชน่
คาบาลีสันสกฤต ราชาศพั ท์ ความหมาย
เกศ พระเกศา ผม
นลาฏ พระนลาฏ หน้าผาก
วกฺตฺร พระพักตร์ หนา้
กรฺณ พระกรรณ หู
พาหา พระพาหา แขน
หตฺถ พระหตั ถ์ มอื
๙. นามาใช้ในการต้ังชื่อและนามสกุล ราชทินนาม สถานที่ และส่ิงของต่าง ๆ เช่น ช่ือและนามสกุล คน
ไทยเป็นจานวนมากนิยมชมชอบในการตั้งชื่อบุตรหลานของตนโดยใช้คาศัพท์เพื่อให้เป็นมงคลนาม คาศัพท์ที่จะ
นามาต้ังช่ือบุคคลเหล่านั้นโดยมากได้มาจากคาบาลีสันสกฤต ซึ่งเป็นคาศัพท์ที่มีความไพเราะในด้านเสียงและมี
ความหมายลกึ ซ้งึ อกี ด้วย เชน่ กานดา ครรชติ จิรศักดิ์ ฯลฯ
นอกจากน้ี อาจจะใชค้ าบาลสี ันสกฤต ประสมกับคาไทยเพื่อใชใ้ นการต้ังชื่อบุคคลก็ได้ เช่น เกรียงศักดิ์
ทรงวุฒิ ทรงศักดิ์ ฯลฯ สาหรับ นามสกุลนั้น ถ้าเป็นคนจีน (หรือคนต่างด้าวอื่น ๆ) เมื่อเปลี่ยนสัญชาติมาเป็นคน
ไทย มักจะเปลี่ยนจาก แซ่ มาเป็นนามสกุลไทย ๆ โดยใช้คาบาลีสันสกฤตผูกประสมกันขึ้นให้มีความหมายตรงกัน
หรอื คล้ายกนั กบั แซบ่ า้ ง ต้งั ขน้ึ ตามทเ่ี ห็นว่าเหมาะสมหรอื เป็นมงคลนามบ้าง เชน่
แซ่เบ๊ เปลีย่ นเป็น อัศวฤทธิกลุ หรอื อาชาเจริญ
แซต่ ัน เปล่ียนเปน็ ตณั ฑยาพสิ ทุ ธิ์
แซเ่ หล่า , แซ่เล้า เปลีย่ นเป็น เลาหกุล
ส่วน ราชทนิ นาม เปน็ บรรดาศักดท์ิ ่ีพระเจา้ แผน่ ดนิ พระราชทานแกผ่ มู้ ีความชอบหรือดารงตาแหนง่ ในทาง
ราชการ คาศัพท์ที่ประกอบข้ึนใช้เป็น “ราชทินนาม” นี้ มักจะใช้คาบาลีสันสกฤตเป็นส่วนมาก จะมีคาไทยปนอยู่
บ้างก็แต่เพียงส่วนน้อย เช่น อนุมานราชธน พระเรี่ยมวิรัชพากย์ สุรศักดิ์มนตรี มนตรีสุริยวงศ์อภัยสงคราม สินธุ
สงคราม ปรยิ ตั ธิ รรมธาดา ยมราช อเุ ทนเทพโกสนิ ทร์ เป็นต้น
๑๐. นามาใช้แทนคาไทยท่ีถือกันว่าไม่สุภาพหรือเป็นคาหยาบ เนื่องจากคาไทยบางคาถือว่าไม่สุภาพและ
เปน็ คาหยาบ ซึง่ ไม่อาจจะพดู ออกมาตอ่ หนา้ สาธารณชนได้ จึงจาเปน็ ต้องอาศัยคาศัพทท์ ม่ี าจากภาษาบาลีสนั สกฤต
ซ่ึงมีความหมายตรงกันกับคาไทยเหลา่ นัน้ มาใช้แทน โดยถือกันว่าเป็นคาสภุ าพ เช่น
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๔๘
คาบาลีสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
องฺคชาต องคชาต อวยั วะลับของชาย
อณฺฑ อณั ฑะ ส่วนหนึง่ ของอวยั วะลับชาย กระโปก ไข่
อจุ ฺจาร อุจจาระ ข้ี
คุยฺห + ฐาน คุยหฐาน อวยั วะทลี่ ับ (ราชาศัพท)์
โคธา โคธา เห้ีย
จมุ ฺพิต จุมพติ จบู
ปรฺ เวณิ ประเวณี รว่ มเพศ ร่วมรัก
ปสสฺ าว ปัสสาวะ เยยี่ ว
โยนิ โยนี อวยั วะที่ลับของหญงิ
สรปุ ท้ายบท
สาเหตุของภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาในภาษาไทยได้ ๓ ประการ คือ สาเหตุของการยืม การยืมคา
และลักษณะการยมื คา ดังน้ี ๑) สาเหตุของการยืม กล่าวคือ การสร้างความสมั พนั ธ์หรือการตดิ ตอ่ ส่ือสารกับบุคคล
หรือสังคมอื่น ๆ ถือเป็นธรรมชาติของมนุษย์ที่มีมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน การติดต่อส่ือสารนั้นต้องอาศัยภาษา
เป็นเครื่องมือส่ือความหมายของบุคคลหรือสังคมน้ัน ๆ เม่ือบุคคลได้ติดต่อสัมพันธ์กันนานเข้าย่อมใช้ภาษาของกัน
และกัน การใช้ภาษาของกันและกันนี้เอง เป็นลักษณะของการหยิบยืมเอาคาของภาษานั้น ๆ มาใช้ ในการยืมน้ัน
อาจยืมทั้งเสียง คาศัพท์ หรือยืมท้ังไวยากรณ์ ท้ังน้ี ขึ้นอยู่กับความสะดวกและความต้องการของผู้ใช้เป็นสาคัญ
ดังน้ัน จะพบว่าการยืมคาของภาษาอ่ืนมาใช้น้ันมีการเปลี่ยนแปลงบางส่วนให้แตกต่างจากภาษาเดิม ทั้งน้ี เพื่อให้
เหมาะสมกับการใช้และกลมกลืนกับลักษณะของผู้พูดมีสาเหตุหลายประการ ได้แก่ เจ้าของภาษามีความสัมพันธ์
กันทางเช้ือชาติ ความสัมพันธ์ทางด้านประวัติศาสตร์ การติดต่อค้าขาย การเจรจาในเชิงธุรกิจหรือการโฆษณา
สินค้า อิทธิพลทางศาสนา การแลกเปล่ียนทางด้านวัฒนธรรม ความเจริญทางด้านการศึกษา ความเจริญทางด้าน
เทคโนโลยี ทางด้านวรรณคดี รัฐศาสตร์หรือวิชาว่าด้วยการปกครองแบบอนิ เดียมีอิทธิพลสูงตอ่ ระบบการปกครอง
ของไทยมาแตค่ รงั้ อดตี
๒) การยืมคา กล่าวคือ ภาษาหน่ึงนาเอาคาหรือลักษณะทางภาษาของอีกภาษาหนึ่งไปใช้ในภาษาของตน
ภาษาที่ถูกยืมมามักจะถูกเปล่ียนแปลงรูปคา เสียง และความหมายในภาษาใหม่ เพื่อความสะดวกในการออกเสียง
และเป็นไปตามลักษณะสาคัญของภาษาผู้ยืม สามารถจาแนกการยืมคาได้ ๓ ประเภท คือ ๒.๑) เน่ืองจาก
วัฒนธรรม (Cultural borrowing) ซึ่งหมายถึงชน ๒ กลุ่ม ต่างภาษาและต่างวัฒนธรรมกัน แต่มีโอกาสติดต่อกัน
ส่วนกลุ่มที่ด้อยกว่ามักจะรับเอาวัฒนธรรมจากกลุ่มที่เจริญกว่า เม่ือรับเอาวัฒนธรรมก็ยอมรับเอาภาษามาด้วย
เพราะภาษาก็เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ๒.๒) เนื่องจากความใกล้ชิด (Intimate borrowing) ชน ๒ กลุ่ม ต่าง
ภาษา แต่อยู่ร่วมกันในสังคมมีความสัมพันธ์กันอย่างใกล้ชิด ย่อมใช้ภาษาของกันและกัน ซึ่งลักษณะของการยืม
ประเภทนี้ ย่อมเกิดข้ึนได้ระหว่างคนทั้งสองภาษา เช่น ตัวอย่างการยืมประเภทน้ี ระหว่างคนไทยกับคนเขมร ใน
ภาษาไทยมีคาภาษาเขมรอยู่มากมาย เช่น เดิน เสวย เถกิง เป็นต้น ในขณะเดียวกัน ภาษาเขมรก็มีคาภาษาไทย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๔๙
เป็นจานวนมาก เชน่ สามสิบ ส่ีสบิ ห้าสิบ เป็นต้น หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ระหว่างคนไทยกับคนจนี เช่น คาภาษาจีน
ในคาไทย กว๋ ยเต๋ยี ว โอเล้ยี ง แปะ๊ เจ๊ยี หรือคาภาษาไทยในคาภาษาจนี นา้ ปลา ตลาด เป็นตน้ ๒.๓) การยมื จากกลุ่ม
ภาษาหรือจากภาษาถิ่น (Dialect borrowing) ลักษณะของการยืมประเภทน้ีเกิดจากลักษณะทางด้านภูมิศาสตร์
ของคนในชาติติดต่อกัน แต่ใช้ภาษาต่างกลุ่มกัน ซ่ึงเรียกอีกอย่างก็คือการใช้ภาษาถิ่นนั้นเอง จะเห็นได้จากการยืม
ของกลุ่มสังคมในประเทศเดียวกัน เช่น ระหว่างกลุ่มคนภาคเหนือกับภาคตะวันออกเฉียงเหนือหรือกลุ่มคนภาค
กลางกบั กลุ่มคนภาคใต้ เปน็ ตน้
๓) ลักษณะการยืมคา กล่าวคือ คายืมจากภาษาต่างประเทศเมื่อไทยเรานามาใช้ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูป
คา เปลยี่ นแปลงเสยี ง หรือเปลีย่ นแปลงความหมายไปจากภาษาเดมิ มากบา้ งน้อยบา้ ง เพอ่ื ใหเ้ หมาะสมกลมกลืนกับ
ลักษณะของภาษาไทย การเปลี่ยนแปลงคายืมมีหลายลักษณะ คือ ๓.๑) การเปลี่ยนแปลงเสียง (Sound Change)
หมายถึง เสียงของคาในภาษาอ่ืนที่เรายืมมาใช้เปล่ียนแปลงไปจากเสียงเดิม เช่นคาว่า กษัตริย์ ที่จริงสามารถออก
เสียงตรงตามเสียงว่า กะสัด ได้ในภาษาไทย แต่เขียนอย่างเดิมเอาไว้เพ่ือรักษารูปคาศัพท์ในภาษาสันสกฤตไว้
เพราะเป็นคายืมและคานภี้ าษาสันสกฤตอ่านออกเสยี งเป็น ฉดั -ตรี-ย่ะ เราออกเสียงตามอักขรวิธขี องเราเป็น กะสัด
ลกั ษณะเช่นน้กี เ็ ปน็ การเปลี่ยนแปลงเสียงจากเดิม ๓.๒) การเปลีย่ นแปลงความหมาย (Meaning Change) เป็นผล
มาจากการเปลี่ยนแปลงเสียง และถือว่าเรื่องการเปล่ียนแปลงเสียงเป็นเรื่องของอาการภายนอก แต่การ
เปลี่ยนแปลงความหมายเป็นเรื่องของอาการภายใน ท่านได้จาแนกลักษณะของการเปล่ียนแปลงความหมายไว้ ๓
ลักษณะ ไดแ้ ก่ ความหมายแคบเขา้ ความหมายกวา้ งออก และความหมายยา้ ยท่ี
วธิ กี ารนาคาภาษาตา่ งประเทศเข้ามาใชใ้ นภาษาไทย ดังนี้
๑) การทับศัพท์ การออกเสียงตรงตามคาเดิม หรือใกล้เคียงคาเดิมมากที่สุด และปรับให้เข้ากับ
ลักษณะของภาษาไทย
๒) การลากเข้าความ การลากเข้าความคือความพยายามเปล่ียนเสียงภาษาต่างประเทศของคาที่
รับเขา้ มาโดยหาเสียงหรอื ความหมายทค่ี นุ้ หูและพอจะเข้าใจในความหมายแบบไทย ๆ ได้
๓) การแปลงศัพทท์ ี่รับเข้ามาใช้โดยการทับศัพท์ มีวิธีการดังนี้ (๑) การตัดเสียงของคาศัพท์ภาษาเดิม
ให้น้อยลงหรือน้อยพยางค์เข้า อาจตัดเสียงได้ทั้งเสียงสระและเสียงพยัญชนะในตาแหน่งต่าง ๆ กัน (๒) การเติม
เสียงสระ หรือพยัญชนะลงไปในคาภาษาต่างประเทศทไี่ ทยรับเขา้ มาใช้ ทั้งในตาแหน่งต้นคา กลางคา หรือ ท้ายคา
และ (๓) การเปลย่ี นแปลงเสียงสระ พยัญชนะ และ วรรณยกุ ต์
๔) การแปลงความหมาย ดังน้ี (๑) ความหมายแคบเข้า เมื่อนาคาภาษาต่างประเทศเข้ามาใช้ใน
ภาษาไทยแล้ว จะมีความหมายน้อยกว่าความหมายในภาษาเดิม หรือ นามาในความหมายหน่ึงเพียงความหมาย
เดียว (๒) ความหมายกว้างออก ความหมายเดิมในภาษาต่างประเทศส่ือความหมายได้ แต่เม่ือนาใช้ในภาษาไทย
แล้วความหมายเพิ่มมากข้ึน (๓) ความหมายย้ายที่ คาในภาษาต่างประเทศจะมีความหมายอย่างหน่งึ แต่เมื่อนาคา
นนั้ มาใชใ้ นภาษาไทย ความ หมายของคากจ็ ะเปล่ียนแปลงไป
๕) การแปลศัพท์ การแปลศัพทเ์ ป็นการยืมความหมายของคาต่างประเทศที่ไทยนามาใช้โดยการแปล
ความหมายของคา แบบคาต่อคา แล้วมารวมกันในลักษณะของการประสมคา ส่วนใหญ่เป็นคาภาษาอังกฤษ ส่วน
การแปลอาจใชค้ าไทย คาบาลี สนั สกฤต หรอื ปะปนกันท้ังไทย และบาลสี ันสกฤตก็ได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๕๐
๖) การสร้างศัพท์หรือบัญญัติคา เมื่อประเทศไทยมีการติดต่อกับประเทศทางตะวันตก ก็ได้รับเอา
ความเจริญทางด้านวิทยาการต่าง ๆ เช่น การศึกษา ปรัชญา แพทย์ วิทยาศาสตร์ และอื่น ๆ อีกมากมาย และได้
รับคาภาษาต่างประเทศมาใช้ด้วย นอกจากจะรับเข้ามาในลักษณะทับศัพท์แบบของเดิมแล้ว ศัพท์ใหม่ หรือ
บญั ญตั ิศพั ทข์ นึ้ ใชด้ ว้ ย ในระยะแรก มกั จะใช้คาในภาษาไทย สร้างคาใหมข่ น้ึ ใช้
ประโยชน์ของการเรียนภาษาบาลีและสันสกฤต มีประโยชน์เป็นอย่างมาก ดังจะได้กล่าวเป็นข้อ ๆ
ดงั ต่อไปน้ี
๑) ช่วยในการเขียนสะกดการันต์ โดยเฉพาะอย่างย่ิงคาพ้องเสียง ซึ่งเป็นคาที่มาจากภาษาบาลีและ
สันสกฤต เมื่อผู้ศึกษาได้ทราบความหมายของคาน้ัน ๆ อยู่แล้ว ก็สามารถเขียนสะกดการันต์คาน้ัน ๆ ได้อย่าง
ถูกต้อง
๒) ช่วยให้เกิดความเข้าใจอย่างซาบซ้ึงในวรรณคดีท่ีเก่ียวกับพระพุทธศาสนาและวรรณคดีไทยประเภท
โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน เปน็ ต้น
๓) ช่วยในการแตง่ กาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ทงั้ น้เี พราะว่า คาบาลีสนั สกฤตสามารถรักษาครุ ลหุ ไดด้ ี และ
กินความได้มาก เพื่อรักษาข้อบังคับแห่งกาพย์ กลอน โคลง ฉันท์ ไว้ให้ถูกต้อง เพ่อื ความไพเราะในด้านเสียง โดยท่ี
ความหมายมิไดเ้ ปลี่ยนแปลงไปจากความหมายเดมิ
๔) ชว่ ยใหเ้ กดิ ความเขา้ ใจในความหมายของศัพทธ์ รรมะในพระพทุ ธศาสนาดยี ่ิงข้ึน
๕) ช่วยในการบัญญัติศัพท์ เน่ืองจากวิทยาการสมัยใหม่แขนงต่าง ๆ ได้แพร่หลายเข้ามาในประเทศไทย
อย่างไม่ขาดสาย และวิทยาการเหล่านั้นโดยมากเป็นภาษาอังกฤษ เมื่อแปลออกเป็นภาษาไทยแท้ ๆ ไม่ได้ เรา
มักจะบัญญัติศัพท์ข้ึนใช้แทน ศัพท์ท่ีจะบัญญัติข้ึนใช้แทนนั้น เรามักจะใช้คาบาลีและสันสกฤตมาผูกประสมกันใช้
แทนคาศพั ท์นั้น ๆ ในภาษาองั กฤษ
๖) ช่วยให้ภาษาไทยมีคาใช้มากขึ้น เนื่องจากภาษาไทยแท้ ๆ มีคาจากัดอยู่ในวงแคบ เช่นคาว่า พ่อ แม่
เป็นต้น แต่เม่ือเรารับเอาคาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย ทาให้เรามีคาใช้มากข้ึน เช่น บิดา มารดา บิ ดร
มารดร บติ ุเรศ มาตเุ รศ ชนก ชนนี เปน็ ต้น หรือคาวา่ หญงิ เราอาจจะใช้คาท่ีมาจากภาษาบาลีและสันสกฤตว่า กุล
สตรี กานดา พธู วธู นารี วนิดา ลลนา ยวุ ดี สตรี อติ ถี เปน็ ตน้
๗) นามาใช้ประสมกับคาไทย กล่าวคือ นาเอาคาบาลีและสันสกฤตมาประสมกับคาไทย โดยประกอบ
ข้างหนา้ หรอื ข้างหลังคาไทยกไ็ ด้
๘) นามาใช้เป็นคาราชาศัพท์ (เฉพาะท่ีใช้แก่พระราชาและเจ้านาย) ในภาษาไทยเป็นจานวนมากเป็นคา
ทีม่ าจากภาษาบาลสี นั สกฤต และนยิ มใช้คา “พระ” นาหน้าคาเหลา่ นน้ั
๙) นามาใช้ในการต้ังช่ือและนามสกุล ราชทินนาม สถานท่ี และส่ิงของต่าง ๆ เช่น ช่ือและนามสกุล คน
ไทยเป็นจานวนมากนิยมชมชอบในการตั้งชื่อบุตรหลานของตนโดยใช้คาศัพท์เพ่ือให้เป็นมงคลนาม คาศัพท์ที่จะ
นามาต้ังชื่อบุคคลเหล่านั้นโดยมากได้มาจากคาบาลีสันสกฤต ซ่ึงเป็นคาศัพท์ที่มีความไพเราะในด้านเสียงและมี
ความหมายลกึ ซ้ึงอกี ดว้ ย
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๕๑
๑๐) นามาใช้แทนคาไทยที่ถือกันว่าไม่สุภาพหรือเป็นคาหยาบ เนื่องจากคาไทยบางคาถือว่าไม่สุภาพและ
เป็นคาหยาบ ซงึ่ ไม่อาจจะพดู ออกมาต่อหน้าสาธารณชนได้ จึงจาเป็นตอ้ งอาศยั คาศพั ทท์ ีม่ าจากภาษาบาลีสนั สกฤต
ซง่ึ มคี วามหมายตรงกันกับคาไทยเหลา่ นนั้ มาใชแ้ ทน โดยถือกันว่าเปน็ คาสุภาพ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๕๒
กจิ กรรมการเรียน
๑. ทบทวนความรู้
๑.๑ จงบอกสาเหตขุ องการนาภาษาบาลีและสันสกฤตเขา้ มาใช้ในภาษาไทย
๑.๒ จงอธิบายลกั ษณะการยืมคาภาษาบาลแี ละสันสกฤตมาใชใ้ นภาษาไทย
๑.๓ จงอธิบายการเปล่ยี นแปลงความหมายของคายมื ในภาษาไทย
๑.๔ คายืมในภาษาไทยใชว้ ธิ ีการใดมากทส่ี ดุ เพราะอะไร
๑.๕ การเรียนภาษาบาลีและสนั สกฤตมีประโยชน์ตอ่ การแตง่ คาประพันธ์อย่างไร
๑.๖ ประโยชนข์ องการเรียนภาษาบาลแี ละสนั สกฤตมตี ่อด้านใดมากทส่ี ดุ เพราะอะไร
๒. จดั กิจกรรม
๒.๑ ให้นักศึกษาอภิปรายแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับสาเหตุของภาษาบาลีและสันสกฤตเข้ามาใช้ใน
ภาษาไทย
๒.๒ ให้นักศึกษาอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ เก่ยี วกบั ลกั ษณะการยืมคาภาษาบาลีและสนั สกฤต
๒.๓ ให้นกั ศกึ ษาอภปิ รายแสดงความคดิ เหน็ เก่ียวกับประโยชนข์ องการเรียนภาษาบาลแี ละสันสกฤต
๒.๔ ใหน้ ักศึกษาช่วยกนั รวบรวมคาพ้องในภาษาบาลีและสันสกฤต
๒.๕ ให้นักศึกษาอภิปรายแสดงความคิดเห็นเก่ียวกับการยืมคาภาษาบาลีและสันสกฤตมาใช้ในการ
แต่งบทประพันธ์
สอ่ื การสอน
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนงิ่ (PPT.) เนอื้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมส่อื มัตติมเี ดียและแอปพลเิ คชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ED1022 ภาษาบาลีสนั สกฤตในภาษาไทย
แนวทางการประเมินผล
๑. ประเมินผลจากการสังเกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมนิ ผลจากการร่วมกิจกรรม การอภิปรายแสดงความคิดเห็น
๓. ประเมินผลจากผลงาน ด้านเนื้อหา รูปแบบ ความคดิ สร้างสรรค์ วิธีการนาเสนอ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๕๓
เอกสารอ้างอิง
จันจิรา จิตตะวิรยิ ะพงษ์. (๒๕๔๖). อทิ ธิพลภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศกึ ษา.
จิตร ภูมิศักด์ิ. (๒๕๖๒). ความเป็นมาของคาสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของช่ือชนชาติ
ขอ้ เทจ็ จริง ว่าดว้ ยชนชาติขอม. พิมพค์ รัง้ ที่ ๗. กรุงเทพฯ : ไทยควอลติ ้บี ุ๊คส์.
ประสทิ ธ์ิ กาพย์กลอน. (๒๕๑๙). การศกึ ษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร.์ กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ .
ปรีชา ทชิ นิ พงศ.์ (๒๕๓๔). บาลี - สันสกฤตทเ่ี กี่ยวกบั ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
พนมพร นริ ญั ทวี. (๒๕๒๗). คาต่างประเทศในภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
วิไลศกั ดิ์ กิง่ คา. (๒๕๕๖). ภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. พิมพค์ รง้ั ที่ ๒. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
วสิ นั ต์ิ กฎแกว้ . (๒๕๔๕). ภาษาบาลีสนั สกฤตทเ่ี กย่ี วข้องกบั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา.
สธุ ิวงศ์ พงศไ์ พบูลย.์ (๒๕๔๓). หลักภาษาไทย. พมิ พค์ ร้งั ที่ ๑๕. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จากดั .
อนุมานราชธน, พระยา. (๒๕๑๔). นริ ุกติศาสตร์ ภาค ๑ – ๒. กรงุ เทพฯ : ศนู ยก์ ารทหารราบ.
Leonard, Bloomfirld. (1985). Language. 5th Ed. New Delhi: Nerenrea Parkash Jain.
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๕๔
แผนการสอนประจาบท
เรอ่ื ง
๑. หน่วยเสยี งสระภาษาบาลี
๒. หน่วยเสียงพยัญชนะภาษาบาลี
๓. การใชพ้ ยัญชนะภาษาบาลี
๔. หน่วยเสยี งสระภาษาสนั สกฤต
๕. หนว่ ยเสยี งพยญั ชนะภาษาสนั สกฤต
๖. การใชพ้ ยญั ชนะภาษาสนั สกฤต
แนวคดิ
หน่วยเสียงสระของภาษาบาลีมี ๘ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ แบ่งตามเสียงมี ๒ ประเภท คือ ๑)
หน่วยเสียงสระเสียงส้ัน เรียกว่า รัสสระ มี ๓ ตัว คือ อะ อิ อุ ๒) หน่วยเสียงสระเสียงยาว เรียกว่า ทีฆสระ มี ๕
ตัว คือ อา อี อู เอ โอ
พยญั ชนะในภาษาบาลีมี ๓๓ ตวั สามารถแบง่ เป็น ๒ ประเภท คือ พยัญชนะวรรคกับพยญั ชนะ อวรรค ซึ่ง
พยญั ชนะวรรคมีจานวน ๒๕ ตวั ได้แก่ ก วรรค ก ข ค ฆ ง จ วรรค จ ฉ ช ฌ ญ ฏ วรรค ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ต วรรค ต ถ
ท ธ น ป วรรค ป ผ พ ภ ม และพยญั ชนะอวรรคมจี านวน ๘ ตวั ได้แก่ ย ร ล ว ส ห ฬ อ
การใช้พยัญชนะภาษาบาลีมี ๒ ประการ คือ ลักษณะเฉพาะการใช้พยัญชนะภาษาบาลีในภาษาไทย และ
การสังเกตคาภาษาบาลีท่ีใช้ในภาษาไทย ดังน้ี ๑) พยัญชนะท้ังหมด (ยกเว้น อ) จะมีจุดกลมบอด ( . ) ซึ่งเรียกว่า
พินทุ หรือจุดบอด กากับอยู่ใต้พยัญชนะทุกตัว เพื่อเป็นเครื่องหมายแสดงให้เห็นว่า พยัญชนะเหล่าน้ันไม่มีสระ
อาศัย พินทหุ รือจดุ บอดทีอ่ ยู่ใต้พยญั ชนะน้ัน ๆ และ ๒) การสังเกตคาภาษาบาลที ่ใี ช้ในภาษาไทย
หน่วยเสียงสระของภาษาสันสกฤตมี ๑๔ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ (ไม่นับ อ
และ อ:) โดยแบ่งออกเป็นรัสสระ ๕ ตัว ได้แก่ อ อิ อุ ฤ ฦ และเป็นทีฆสระ ๙ ตัว ได้แก่ อา อี อู ฤๅ ฦๅ เอ ไอ โอ
เอา ส่วน อ (อัม) และ อ: (อะฮ่ะ) ซึ่งไม่จดั เป็นสระ
พยัญชนะในภาษาบาลมี ี ๓๕ ตวั สามารถแบ่งเปน็ ๒ ประเภท คอื พยัญชนะวรรคกบั พยญั ชนะ อวรรค ซ่ึง
พยญั ชนะวรรคมจี านวน ๒๕ ตวั ได้แก่ ก วรรค ก ข ค ฆ ง จ วรรค จ ฉ ช ฌ ญ ฏ วรรค ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ต วรรค ต ถ
ท ธ น ป วรรค ป ผ พ ภ ม และพยัญชนะอวรรคมีจานวน ๑๐ ตวั ไดแ้ ก่ ย ร ล ว ศ ษส ห ฬ อ (อมั ) ซ่งึ พยัญชนะที่ใช้
เปน็ ตวั สะกดและตวั ตาม ซง่ึ แบง่ ออกเปน็ ๒ อยา่ ง คอื ๑) พยญั ชนะซ้อน ไดแ้ ก่พยัญชนะซ่ึงมฐี านท่เี กดิ ฐานเดียวกัน
อยใู่ นวรรคเดียวกันมาซ้อนกนั เข้าตัวหนึ่งเป็นตัวสะกดและตัวหนึ่งเป็นตัวตามเช่นเดียวกับที่ได้กล่าวมาแล้วในภาษา
บาลีตอนท่ีว่าดว้ ยพยัญชนะสังโยค แต่วา่ ตวั สะกดและตวั ตามทีเ่ ป็นไปตามกฎพยัญชนะสังโยคมใี ชน้ อ้ ยมากในภาษา
สันสกฤต ๒) พยัญชนะประสม ได้แก่พยัญชนะที่ใช้เป็นตัวสะกดและตัวตาม โดยไม่ได้มีฐานที่เกิดฐานเดียวกัน
ตวั สะกดอย่ใู นวรรคหนงึ่ ตวั ตามอาจจะอยใู่ นวรรคอกี วรรคหนึง่ กไ็ ด้ พยัญชนะประสมอาจจะมาด้วยกนั สองเสียงกม็ ี
สามเสยี งกม็ ี พยญั ชนะประสมสองเสยี งและอยู่ท้ายพยางค์ของคา
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๕๕
ลักษณะการใช้พยัญชนะภาษาสันสกฤตในภาษาไทย ซึ่งมีวิธีสังเกตคาท่ียืมมาจากภาษาสันสกฤต มีดังน้ี
๑) นิยมใช้รปู รร (ร หัน) คาที่ยมื มาจากภาษาสันสกฤตนยิ มใชร้ ปู รร (ร หนั ) ๒) นิยมใช้ /-ร/ ประสมกับพยญั ชนะ
อื่น คายืมภาษาสันสกฤตจานวนมาก ท่ีใช้ในภาษาไทยเปน็ คาที่ใชร้ ูป /-ร/ ประสมกบั พยญั ชนะอ่ืน ในขณะทีค่ ายืม
ภาษาบาลไี ม่ปรากฏลักษณะเชน่ นี้ ๓) ใช้รูป /ฤ/ คาในภาษาไทยที่ใช้รูป /ฤ/ ไม่วา่ จะใช้ต้นคาหรือใช้หลังพยญั ชนะ
อน่ื ส่วนใหญ่ยืมมาจากภาษาสันสกฤต ๔) ใช้ ศ และ ษ อักษร ศ และ ษ ในภาษาไทย ประดษิ ฐ์ขึ้นมาเพ่ือใช้เขียน
แทนคาภาษาสันสกฤตท่ีใช้เสียง /ç/ และ /ş/ ตามลาดับ ดังนั้นคาในภาษาไทยส่วนใหญ่ท่ีเขียนด้วย ศ และ ษ จึง
มกั เป็นคาที่ยมื มาจากภาษาสันสกฤต ๕) ใช้รูปพยัญชนะ ชญ, กย, ชย, ณย, ตย, ถย, ทย, ธย, นย และ มย นั้น มัก
เปน็ คาท่ยี ืมมาจากภาษาสนั สกฤต ซงึ่ ในภาษาสนั สกฤตเดมิ ใชเ้ ปน็ พยัญชนะประสม
วตั ถุประสงค์
เมือ่ นักศกึ ษาเรยี นจบบทที่ ๔ มีความสามารถได้ดังนี้
๑. อธิบายหนว่ ยเสียงสระและพยญั ชนะภาษาบาลไี ด้
๒. อธบิ ายหน่วยเสียงสระและพยญั ชนะภาษาสันสกฤตได้
๓. อธบิ ายวิธีการสังเกตการใช้พยญั ชนะภาษาบาลีในภาษาไทยได้
๔. อธิบายวิธกี ารสงั เกตการใช้พยญั ชนะภาษาสนั สกฤตในภาษาไทยได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๕๖
บทท่ี ๔
ระบบเสียงภาษาบาลีและสันสกฤต
ในบทน้ี จะไดอ้ ธิบายหน่วยเสยี งสระและหน่วยเสยี งพยญั ชนะภาษาบาลี การใชพ้ ยญั ชนะภาษาบาลี หนว่ ย
เสยี งสระและหนว่ ยเสียงพยัญชนะภาษาสนั สกฤต และการใชพ้ ยญั ชนะภาษาสนั สกฤต ดังมีรายละเอียดต่อไปน้ี
๔.๑ หน่วยเสยี งสระภาษาบาลี
หน่วยเสียงสระของภาษาบาลีมี ๘ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ เขียนเป็นอักษรไทย เพ่อื ใช้อ่านภาษา
บาลีด้วยอักษรไทย เน่ืองจากภาษาบาลีไม่มีตัวอักษร เมื่อเข้าไปสู่ประเทศใดก็จะใช้อักษรของประเทศน้ันในการ
บนั ทึก หนว่ ยเสียงสระเสียงสัน้ ในภาษาบาลี เรียกว่า รสั สระ มี ๓ ตวั คอื อะ อิ อุ หน่วยเสียงสระเสียงยาวในภาษา
บาลี เรียกว่า ทฆี สระ มี ๕ ตัว คือ อา อี อู เอ โอ
หนว่ ยเสียงสระภาษาบาลมี ฐี านกรณ์ทีเ่ กิดของเสียงสระทั้ง ๘ ตัว ดงั นี้
สระ อะ อา มฐี านเกิดที่ลาคอ เรยี กวา่ กณฺฐช แปลวา่ ผ้เู กิดจากลาคอ
สระ อิ อี มฐี านเกดิ ทีเ่ พดาน เรียกว่า ตาลชุ แปลวา่ ผูเ้ กิดจากเพดาน
สระ อุ อู มีฐานเกดิ ทีร่ มิ ฝีปาก เรียกว่า โอฏฐฺ ช แปลวา่ ผเู้ กดิ จากริมฝีปาก
สระ เอ มฐี านเกดิ ทีล่ าคอกบั เพดาน (อะ + อิ = เอ) เรยี กว่า กณั ฐตาลุช
สระ โอ มฐี านเกิดทล่ี าคอกบั รมิ ฝปี าก (อะ + อุ = โอ) เรยี กว่า กัณโฺ ฐฏฐฺ ช
อีกอยา่ งหนึ่ง วิสนั ต์ิ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๔ – ๑๕) กล่าววา่ สระทง้ั ๘ ตวั เหล่านี้จัดเป็นโฆษะ คือเสยี งก้อง
และจดั เป็น ๒ พวก โดยแบง่ ตามฐานท่ีเกิด ดังนี้
๑) สุทธสระ สระแท้ คอื สระที่มฐี านเกดิ ฐานเดยี ว สระเหล่านน้ั ได้แก่ อ อา อิ อี อุ อู
๒) สังยตุ สระ สระประสม คือ สระทม่ี ีฐานทเ่ี กดิ สองฐาน สระเหลา่ น้ันไดแ้ ก่ เอ โอ
ส่วนฐานเกิดนั้น ผู้เขียนได้กล่าวแล้วจึงไม่ขอนามากล่าวซ้าอีก อีกนัยหน่ึง สระเหล่านี้จัดเป็นคู่ ๆ ได้ ๓ คู่
โดยถือเอาฐานทเี่ กดิ เป็นสาคญั ซ่ึงเรยี กว่า วรรณะ คอื
สระ อ อา เรยี กว่า อ วรรณะ
สระ อิ อี เรียกว่า อิ วรรณะ
สระ อุ อู เรียกวา่ อุ วรรณะ
ซึ่งพัฒน์ เพ็งผลา (๒๕๕๑ : ๑๗๐) ได้อธิบายวรรณะสระว่า สระที่มีท่ีเกิดฐานเดียวกัน จัดเป็นพวก
(วรรณะ) เดียวกนั และสระวรรณะเดียวกนั นี้ มีการเปลีย่ นแปลงเสยี งดว้ ยวธิ ีคูณและพฤทธ์ิ ดงั นี้
วรรณะ ตน้ คณู พฤทธิ์
อะ วรรณะ อ, อา อ, อา อา
อิ วรรณะ อ,ิ อี เอ ไอ
อุ วรรณะ อุ, อู โอ เอา
คณู หมายถงึ การแปลงสระ อ อา เปน็ อ อา, แปลงสระ อิ อี เปน็ เอ, แปลงสระ อุ อู เปน็ ไอ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๕๗
พฤทธ์ิ หมายถงึ การแปลงสระ อ อา เป็น อา, แปลงสระ อิ อี เปน็ ไอ, แปลงสระ อุ อู เปน็ เอา
ส่วนสระ เอ โอ จัดเป็นวรรณะไม่ได้ เพราะเป็นสังยุตสระหรือสระประสมดังที่ได้กล่าวมาแล้ว สระทั้ง ๘
ตวั จดั เปน็ สระลอย กล่าวคอื เม่ืออยูต่ ้นพยางคข์ องคาจะมีรูปปรากฏอยู่อย่างนัน้ เชน่
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
อโนตตฺตอโนดาต สระอโนดาต, ช่ือสระ ๑ ในสระท้ัง ๗ ในป่าหิมพานต์
อาวธุ อาวุธ เครื่องประหาร
อสี าน อีสาน ทศิ ตะวันออกเฉยี งเหนอื ฯลฯ
แต่ถา้ สระเหล่านั้นมิได้อยู่ต้นพยางค์ของคา กล่าวคือ เป็นสระที่ประสมกับพยญั ชนะ จัดเป็นสระจม ซ่งึ จะ
มรี ปู ปรากฏดังนี้ อ = (ไมป่ รากฏรปู ในภาษาบาลี) อา = า, อิ = ิ, อุ = ,ุ อู = ,ู เอ = เ, โอ = โ ตัวอยา่ ง
สระ ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
อ กนก กนก ทองคา
อา การญุ ญฺ การุญ ความกรุณา, ความเอน็ ดู
อิ นิมติ ตฺ นมิ ิต เครือ่ งหมาย, ลาง, เหต,ุ อวยั วะสบื พันธ์ุ
อี ขีณาสว ขณี าสพ พระขณี าสพ, ผ้หู มดอาสวะ, พระอรหนั ต์
อุ สจุ รติ สุจรติ ประพฤติด,ี ความประพฤติด,ี ซอ่ื ตรง
อู สูกร สกุ ร หมู
เอ เสนา เสนา ไพรพ่ ล
โอ โสต โสต หู, ชอ่ งหู, กระแส, สายน้า
๔.๒ หนว่ ยเสียงพยัญชนะภาษาบาลี
พยัญชนะในภาษาบาลีมี ๓๓ ตัว สามารถจัดเป็น ๒ ประเภท คือ พยัญชนะวรรคกับพยัญชนะ อวรรค ซึ่ง
พยญั ชนะวรรคมจี านวน ๒๕ ตัว และพยัญชนะอวรรคมจี านวน ๘ ตัว ดังนี้
พยญั ชนะวรรคมี ๒๕ ตวั
ลักษณะเสยี งพยัญชนะภาษาบาลี
พยญั ชนะวรรค อโฆสะ โฆสะ
สถิ ลิ ธนติ สถิ ลิ ธนติ นาสกิ
แถวที่ ๑ แถวท่ี ๒ แถวที่ ๓ แถวท่ี ๔ แถวท่ี ๕
ก วรรค ก ขค ฆ ง
จ วรรค จ ฉช ฌ ญ
ฏ วรรค ฏ ฐฑ ฒ ณ
ต วรรค ต ถท ธ น
ป วรรค ป ผพ ภ ม
พยัญชนะอวรรค ไดแ้ ก่ ย ร ล ว ส ห ฬ อ (องั )
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๕๘
หมายเหตุ พยัญชนะภาษาบาลีจะต้องอ่านมีเสียงสระอะผสมด้วยเสมอ แม้ว่าจะปรากฏหรือไม่ปรากฏก็
ตาม เช่น สมณ (อ่านว่า สะมะณะ), สรณะ (อา่ นว่า สะระณะ), สุข (อ่านว่า สุขะ ในภาษาไทยอ่านว่า สุก) เป็นต้น
และ อ (อา่ นวา่ อัง ตัวอย่างการนาไปใชเ้ ช่น พทุ ธฺ อ่านว่า พทุ ธงั )
๑) พยญั ชนะวรรค ลกั ษณะการออกเสยี งพยัญชนะวรรคภาษาบาลี
เสยี งโฆสะ คือพยัญชนะเสียงกอ้ ง เม่อื ออกเสียง เส้นเสียงจะสั่นสะบดั ได้แก่ พยัญชนะวรรคแถวท่ี ๓ ๔ ๕
ในวรรคทง้ั ๕ และพยัญชนะเศษวรรค คือ ย ร ล ว ห ฬ และสระทง้ั หมด
เสียงอโฆสะ คือพยญั ชนะเสียงไมก่ ้อง เม่อื ออกเสียง เส้นเสยี งจะไม่สนั่ สะบัด ได้แก่ พยัญชนะวรรคที่ ๑ ๒
ในวรรคทั้ง ๕ และพยัญชนะเศษวรรค คือ ส
เสียงสิถิล คือพยัญชนะเสียงเบา เสียงท่ีมีกระแสลงพุ่งออกมาไม่แรง เม่ือออกเสียงจะไม่มีเสียง ห ผสม
ได้แก่ พยญั ชนะวรรคแถวที่ ๑ และแถวท่ี ๓ ในวรรคทงั้ ๕ สิถลิ แปลวา่ หยอ่ นหรือแผว่
เสียงธนิต คอื พยญั ชนะเสยี งหนัก เสียงทม่ี ีกระแสลมพ่งุ ออกมาแรง เม่ือออกเสียงจะมีเสียง ห ผสมอยดู่ ้วย
ไดแ้ ก่ พยัญชนะวรรคแถวท่ี ๒ และแถวท่ี ๔ ในวรรคทัง้ ๕ ธนติ แปลว่า หนักและแรง
เสยี งนาสิก คือพยญั ชนะทมี่ ีออกทางช่องจมูก เม่ือออกเสยี งจะมีลมผ่านออกทางช่องจมูก ได้แก่ พยญั ชนะ
แถวที่ ๕ ในวรรคทงั้ ๕
๒) ฐานกรณท์ ี่เกิดหนว่ ยเสยี งพยัญชนะภาษาบาลี
พยญั ชนะ ก วรรค ทงั้ หมด และ ห เกดิ จากลาคอ เรยี กวา่ กณฺฐชะ
พยญั ชนะ จ วรรคทั้งหมด และ ย เกิดจากฐานเพดาน เรยี กวา่ ตาลชุ ะ
พยัญชนะ ฏ วรรคท้งั หมด และ ร ฬ เกดิ จากฐานปุ่มเหงือก เรยี กวา่ มุทธฺ ชะ
พยัญชนะ ต วรรคทั้งหมดและ ล ส เกิดจากฟนั เรยี กวา่ ทนฺตชะ
พยัญชนะ ป วรรคทัง้ หมด เกิดจากริมฝีปาก เรียกวา่ โอฏฺฐชะ
พยญั ชนะ ว เกิดจากฟนั กบั ริมฝีปาก เรยี กว่า ทนฺโตฏฺฐชะ
เสยี ง อ มเี สียงขึ้นจมูก มีลักษณะเปน็ เสยี งนาสกิ เกดิ จากฐานลาคอ
๓) พยัญชนะสังโยค วิสนั ติ์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๘) อธิบายไว้ว่า พยัญชนะสังโยค ได้แก่การซอ้ นพยญั ชนะ
เพื่อใช้เป็นตัวสะกดและตัวตาม โดยมีข้อกาหนดว่า พยัญชนะตัวสะกดและตัวตามจะต้องเป็น อโฆสะด้วยกัน
หรือโฆสะด้วยกันเทา่ นน้ั (ยกเวน้ พยัญชนะท่ีสดุ วรรคซ่ึงใช้เป็นตัวสะกด จะมีพยัญชนะวรรคท่ีเป็นโฆสะหรืออโฆสะ
เป็นตัวตามก็ได้) กลา่ วคอื พยัญชนะวรรคแถวท่ี ๑ ๓ ๕ เป็นตัวสะกดก็ได้ เป็นตัวตามก็ได้ (ยกเว้น ง เป็นตัวสะกด
ได้อยา่ งเดียว) แตพ่ ยัญชะวรรคแถวที่ ๒ ๔ เป็นตวั สะกดไม่ได้ เปน็ ตัวตามไดอ้ ยา่ งเดียว ดงั นี้
ก. พยัญชนะวรรค ก คือ พยัญชนะแถวที่ ๑ ซ้อนหนา้ พยัญชนะแถวท่ี ๑ และแถวท่ี ๒, พยัญชนะแถว
ท่ี ๓ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๓ และแถวที่ ๔, พยัญชนะแถวที่ ๕ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวที่ ๑ ๒ ๓ และ ๔ ใน
วรรคของตน ซ่ึงเป็นตัวสะกดและตัวตามได้ ดังนี้
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
กกฺ สกกฺ สกั กะ พระอินทร,์ ทา้ วสักกะ
กขฺ จกฺขุ จักขุ ดวงตา
คฺค มคฺค มัคคะ, มคั ทาง หรอื ผชู้ น้ี าทาง เช่น มคั นายก คือผู้ช้แี จงบุญ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๕๙
คฆฺ วฺยคฺฆ พยคั ฆ, พยัคฆ์ เสอื โครง่
งฺก องกฺ องก์ ตอนหนงึ่ ของเรือ่ งละคร, ฉากหนง่ึ
งขฺ สงขฺ สงั ข์ ชอื่ หอยทะเลชนิดหนง่ึ สขี าว
งฺค องฺค องค์ สว่ นของรา่ งกาย, ลกั ษณนาม, อวัยวะ
งฺฆ สงฆฺ สงฆ์ หม่พู ระภิกษุในพระพทุ ธศาสนา ตง้ั แต่ ๔ รปู ข้ึนไป
ข. พยัญชนะวรรค จ คอื พยญั ชนะแถวท่ี ๑ ซ้อนหนา้ พยัญชนะแถวท่ี ๑ และแถวที่ ๒, พยัญชนะแถว
ที่ ๓ ซ้อนหน้าพยญั ชนะแถวที่ ๓ และแถวท่ี ๔, พยัญชนะแถวท่ี ๕ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวที่ ๑ ๒ ๓ ๔ และ ๕ ใน
วรรคของตน ซง่ึ เป็นตัวสะกดและตวั ตามได้ ดังนี้
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
จจฺ กิจฺจ กิจ ธุรการงาน, การทางาน
จฺฉ มจฺฉ มัจฉ, มัจฉา ปลา
ชชฺ เวชฺช เวช หมอรกั ษาโรค
ชฌฺ มชฺฌิม มัชฌมิ ปานกลาง, ระดบั กลาง
ญจฺ ปญฺจ เบญจ หา้
ญฺฉ สญฉฺ นฺน สัญฉันนะ อันดาดาษ, อนั ปดิ บงั แล้ว
ญฺช อญฺชลิ อญั ชล,ี อัญชุลี การประนมมอื , การไหว้
ญฌฺ สญฌฺ สัญฌา เวลาเยน็ , สนธยา
ญญฺ ปญญฺ า ปญั ญา ความรอบรู้
ค. พยญั ชนะวรรค ฏ คือ พยัญชนะแถวที่ ๑ ซอ้ นหน้าพยัญชนะแถวที่ ๑ และแถวท่ี ๒, พยญั ชนะแถว
ท่ี ๓ ซ้อนหนา้ พยญั ชนะแถวท่ี ๓ และแถวที่ ๔, พยัญชนะแถวที่ ๕ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๑ ๒ ๓ ๔ และ ๕ ใน
วรรคของตน ซงึ่ เปน็ ตัวสะกดและตวั ตามได้ ดังนี้
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ฏฺฏ วฏฺฏ วัฏ, วัฏฏะ วงกลม, การเวยี นว่ายตายเกดิ ในภพชาติ
ฏฺฐ รฏฐฺ รัฐ แวน่ แคว้น, บ้านเมอื ง
ฑฺฑ เสฑฺฑุ เสฑฑุ กอ้ น, กอ้ นดนิ
ฑฒฺ วฑฒฺ น พฒั นา ความเจริญงอกงาม
ณฏฺ กณฏฺ ก กณั ฏกะ หนาม
ณฐฺ สณฺฐาน สณั ฐาน ทรวดทรง, ลกั ษณะ
ณฑฺ ทณฺฑ ทัณฑ์, ทัณฑ โทษท่ีเนอ่ื งดว้ ยความผดิ , การลงโทษ
ณฒฺ ไม่มใี ชใ้ นภาษาไทย
ณฺณ วณณฺ วัณณะ สผี วิ , ชนิด, วรรณะ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๐
ง. พยญั ชนะวรรค ต คือ พยญั ชนะแถวท่ี ๑ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๑ และแถวที่ ๒, พยญั ชนะแถว
ที่ ๓ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๓ และแถวที่ ๔, พยัญชนะแถวที่ ๕ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวที่ ๑ ๒ ๓ ๔ และ ๕ ใน
วรรคของตน ซึ่งเปน็ ตวั สะกดและตัวตามได้ ดังนี้
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ตตฺ อตฺต อตั , อตั ตา ตัวเอง, ตน
ตถฺ วตฺถุ วตั ถุ ส่งิ ของ
ทฺท สททฺ สัท เสียง, การออกเสียง
ทธฺ สทฺธา สทั ธา ความเช่อื , ความเลอื่ มใส
นตฺ สนฺต สันต์ เงียบ, สงบ
นถฺ คนฺถ คันถ คมั ภรี ์ทใ่ี ชศ้ ึกษาเลา่ เรยี น
นทฺ วนฺทน วนั ทนา การไหว้, การแสดงความเคารพ
นฺธ อนธฺ อันธ, อนธ มดื มน, โง,่ มองไมเ่ ห็น เช่น อันธพาล
นนฺ อนฺน อันนะ ของกนิ โดยเฉพาะข้าว
จ. พยัญชนะวรรค ป คือ พยญั ชนะแถวที่ ๑ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวที่ ๑ และแถวที่ ๒, พยัญชนะแถว
ท่ี ๓ ซ้อนหนา้ พยัญชนะแถวที่ ๓ และแถวที่ ๔, พยัญชนะแถวที่ ๕ ซอ้ นหน้าพยัญชนะแถวที่ ๑ ๒ ๓ ๔ และ ๕ ใน
วรรคของตน ซ่ึงเป็นตวั สะกดและตวั ตามได้ ดังนี้
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ปฺป กปฺป กัป ระยะเวลาอันนานเหลอื เกิน
ปฺผ ปุปฺผ บปุ ผา ดอกไม้
พฺพ ปพุ พฺ บุพ เบื้องตน้ , ในกาลก่อน
พฺภ คพภฺ คัพภ์ ทอ้ ง, สัตว์ในครรภ์
มปฺ สมปฺ ทาน สมั ปทาน การขออนญุ าตใหม้ สี ทิ ธทิ จี่ ะทาไดแ้ ต่ผเู้ ดยี วในกิจการบางอย่าง
มฺผ สมผฺ สสฺ สมั ผสั การแตะทาใหเ้ กิดความรู้สกึ
มพฺ กมพฺ ล กมั พล ผา้ ทอด้วยขนสตั ว์
มฺภ สมฺภว สมภพ การเกดิ
มฺม สมฺม สมั มา ชอบ, ดยี ่งิ
๕) พยัญชนะเศษวรรค วิสนั ติ์ กฎแกว้ (๒๕๔๕ : ๒๑ – ๒๖) อธบิ ายไว้ว่า พยัญชนะเศษวรรคมี ๘ ตวั คือ
ย ร ล ว ส ห ฬ อ ใช้เป็นตัวสะกดและตัวตามได้บ้างเป็นบางตัว ท้ังน้ีมิได้เป็นไปตามกฎพยัญชนะสังโยคตามท่ีได้
กลา่ วมาแลว้ แต่มขี อ้ ท่ีควรกาหนดได้ดงั น้ี
ก. ตวั ย เป็นพยัญชนะตัวสะกดและตัวตามในคราวเดียวกนั ได้ เช่น
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
เชยยฺ ไชย ดีกวา่ , เจริญกวา่
เปยฺยาล ไปยาล เคร่ืองหมายละคา มรี ูปดังนี้ ฯ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๖๑
เวยยฺ ากรณ ไวยากรณ์ วิชาภาษาวา่ ด้วยรปู คาและระเบียบในการประกอบรปู คา
ใหเ้ ป็นประโยค
อน่ึง ตัว ย นอกจากจะเป็นตัวสะกดและตัวตามในคราวเดียวกันดังที่ได้กล่าวมาแล้วน้ัน ตัว ย ท่ีใช้เป็น
ตวั สะกดและมตี ัว ห ตามก็มีใช้อย่บู ้าง แต่มีใช้น้อยมาก เชน่
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
คยุ หฺ คุยห ลบั , ซ่อนเร้น
ปสยหฺ ปสัยหะ ข่มขี,้ ข่มเหง
โธรยหฺ โธรัยหะ สตั ว์ทสี่ ามารถเทียบแอกได้ ฯลฯ
ข. ตัว ร ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้ ตามหลังตัวสะกดอื่นได้บ้าง เม่ือตามหลังตัวสะกดอ่ืนจะออกเสียง
ประสมกบั พยัญชนะตัวสะกดนั้น ๆ (ควบกล้า) เช่น จิตร (งดงาม, งาม) ยาตรา (เดนิ , เดินเปน็ กระบวน) แต่โดยมาก
นิยมใชใ้ นลกั ษณะเรียงพยางค์ เช่น กรณ (อ่านว่า กะ-ระ-นะ) สรณ (อ่านวา่ สะ-ระ-นะ) เปน็ ต้น
ค. ตวั ล เป็นทั้งตัวสะกดและตวั ตามในคราวเดียวกนั ได้ เชน่
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ปลลฺ งกฺ บลั ลังก์ พระแท่นทป่ี ระทับของพระมหากษตั รยิ ์ภายใต้เศวตฉัตร
มลฺลิก มลั ลิก หงสช์ นดิ หน่ึงมีปากและเทา้ หม่อน
วลลฺ ภ วลั ลภ คนสนทิ , ผู้ชอบพอ
แต่ถ้าตัว ล เป็นตัวสะกดและมีพยัญชนะอ่ืนนอกจากตัว ล เป็นตัวตาม จะอ่านออกเสียงตัว ล ได้เพียงนิด
หน่อยเท่านั้น เช่น
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
กลฺยาณ กัลยาณ งาม, ดี, เช่น กัลยาณคุณ, กลั ยาณธรรม
กลฺยาณี กัลยาณี นางงาม, หญิงงาม
ง. ตัว ว เป็นตวั สะกดได้บ้าง เชน่ ชิวฺหา (ล้นิ ) และเม่ือตามหลังพยัญชนะตวั สะกดอ่ืนหรอื พยญั ชนะ มู
คะ (พยัญชนะมูคะ คือ พยัญชนะท่ีไม่มีสระอาศัย) จะออกเสียงประสมกับพยัญชนะนั้น ๆ (ควบกล้า) เช่น กฺวิ ช่ือ
ปจั จัยตวั หน่งึ นามกติ ก์ กวฺ ไหน, ท่ีไหน ฯลฯ
จ. ตัว ส เปน็ ทั้งตัวสะกดและตัวตามในคราวเดียวกนั ได้ เช่น
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
นสิ ฺสย นิสยั ความประพฤติท่เี คยชนิ
นิสสฺ ติ นิสิต ผทู้ ี่กาลงั ศกึ ษาอย่ใู นมหาวิทยาลยั บางแห่ง
ทสสฺ นยี ทัศนีย, ทศั นีย์ นา่ ดู, งาม
ถ้าตัว ส เป็นตัวสะกดและมีพยัญชนะอ่ืนนอกจาก ส เป็นตัวตาม จะอ่านออกเสียงตัว ส เพียงนิดหน่อย
เท่าน้ัน เช่น
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ภสฺม ภสั มะ เถา้ , ธลุ ี ทาให้แหลก
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๒
ตสมฺ า - เหตนุ น้ั , เพราะฉะนน้ั
อสฺมมิ าน อัสมมิ าน มานะว่าเป็นเรา, การถอื เราถอื เขา
ฉ. ตวั ห ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้ ใชเ้ ป็นตัวตามได้ แต่เมอ่ื แทรกอยู่ระหวา่ งพยัญชนะอน่ื จะออกเสียงหนัก
เชน่ คาวา่ พฺรหฺม (พระพรหม แปลวา่ ผู้ประเสริฐ) ตัว ห ท่ใี ชต้ ามหลังตวั สะกดอนื่ ไดน้ ั้น ไดแ้ กต่ วั สะกดทัง้ ๘ เหลา่ นี้
คอื ญ ณ น ม ย ล ว ฬ เชน่
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ปญหฺ า ปัญหา ขอ้ สงสัย, คาถาม
กณฺหา กณั ห, กณั หา ดา
เสมหฺ เสมหะ เมือกทอี่ อกจากลาคอหรือลาไส้
คยุ หฺ คยุ ห ลับ, ซอ่ นเรน้
ลลี หฺ ลฬี ห การเยอื้ งกราย, ความสง่างาม
ชวิ หฺ า ชวิ หา ลน้ิ
วิรฬุ ฺห วิรุฬห์ เจรญิ , งอกงาม
อีกอย่างหนึ่ง พยัญชนะเศษวรรค ๔ ตัวเหล่านี้คือ ย ร ล ว ทาหน้าท่ีเป็นพยัญชนะธรรมดาและเป็น
พยญั ชนะอัฒสระ (กงึ่ สระ) กล่าวคอื เม่ือพยัญชนะตัวใดตัวหนง่ึ ใน ๔ ตวั นต้ี ามหลังพยัญชนะตวั สะกดอ่ืน ๆ ทาให้
พยญั ชนะตัวสะกดน้ัน ๆ ออกเสียงได้กงึ่ หนึ่ง (ในภาษาไทยเรยี กว่าอักษรควบกล้า) เช่นคาว่า สกยฺ อ่านวา่ สัก-กฺยะ
หรือคาว่า ยาตฺรา อ่านว่า ยาด-ตฺรา ดงั นเ้ี ป็นต้น
๔.๓ การใช้พยัญชนะภาษาบาลี
ลักษณะเฉพาะการใช้พยัญชนะภาษาบาลีในภาษาไทย หรือจะเรียกว่าการสังเกตคาภาษาบาลีที่ใช้ใน
ภาษาไทยก็ไดเ้ ช่นกนั ซึง่ ผู้เขียนได้รวบรวมแนวคิดของนกั วิชาการ สรุปพอเป็นแนวทางได้ดังน้ี
วิสนั ต์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๑๖ – ๑๗) อธบิ ายว่า พยัญชนะทง้ั หมดเหล่าน้ี (ยกเวน้ อ) จะมจี ดุ กลมบอด ( . )
ซ่ึงเรียกว่า พินทุ หรือจุดบอด กากับอยู่ใต้พยัญชนะทุกตัว เพื่อเป็นเคร่ืองหมายแสดงให้เห็นว่า พยัญชนะเหล่าน้ัน
ไมม่ ีสระอาศยั แตถ่ ้าพยัญชนะเหล่านปี้ ระสมกบั สระแล้ว ใหล้ บพนิ ทหุ รอื จดุ บอดทง้ิ เสีย เชน่ กฺ + อ เป็น ก (อา่ นว่า
กะ เพราะสระ อ ไม่มีรูปปรากฏ) กฺ + อา เป็น กา ดังน้ีเป็นต้น พินทุหรือจุดบอดท่ีอยู่ใต้พยัญชนะน้ัน ๆ ใช้ใน
ความหมาย ๒ อยา่ ง คือ
๑. ใช้ฆ่าพยัญชนะไมใ่ ห้ออกเสียง กล่าวคือพินทุหรือจุดบอดกากบั อยู่ใต้พยัญชนะตัวใด พยญั ชนะตวั นั้นจะ
ไมอ่ อกเสียงและนยิ มใช้เปน็ ตวั สะกด เชน่ คาว่า สกกฺ (อ่านว่า สกั -กะ) แปลวา่ พระอินทร์
๒. ใช้แบ่งเสียงพยัญชนะ ทานองเดยี วกันกบั คาควบกล้าในภาษาไทย กล่าวคือ พินทุหรือจุดบอดกากับอยู่
ใต้พยัญชนะตัวใด และพยัญชนะตัวน้ันมี ย ร ล ว หรือ ห ตาม จะออกเสียงกล้ากัน (ยกเว้นคาท่ีมี ย ล เป็นท้ังตัว
สะกดและตัวตามในคราวเดยี วกนั ) เช่น จิตฺร (อา่ นวา่ จิด-ตระ), ยาตฺรา (อา่ นวา่ ยาด-ตฺรา) เป็นต้น และพยัญชนะ
ควบกล้าเช่นอาจจะอยู่ต้นพยางค์ของคาก็ได้ เช่น พฺรหฺม (อ่านว่า พฺรัมหฺมะ), วฺยากรณ (อ่านว่า วฺยา-กะ-ระ-นะ)
เป็นต้น
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๖๓
อน่ึง อ ในภาษาบาลีจัดไว้ในพวกพยัญชนะ แต่เม่ือประสมกับสระอ่ืนมีรูปเป็น เรียกว่า อนุสาร หรือ
นิคหิต และใช้ประกอบกับพยัญชนะที่มีสระ อ อิ อุ อาศัยอยู่แล้วเท่านั้น เช่น ก กึ ํกุ อ่านเหมือนกับมีตัว ง สะกด
คอื กัง กิง กุง
นอกจากนี้ สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๑๘๔ – ๑๘๙) ได้สรุปลักษณะการใช้พยัญชนะของคาภาษาบาลี
ในภาษาไทย ซ่ึงวิธีสังเกตการใชพ้ ยญั ชนะในคาท่ยี ืมมาจากภาษาบาลี ดังน้ี
๑. คาที่เขียนด้วย ฬ คาส่วนใหญใ่ นภาษาไทยท่ีเขียนด้วย ฬ มกั เป็นคาท่ียืมมาจากภาษาบาลี เชน่
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
วิรฬุ ฺห วิรุฬห์ ความเจรญิ , งอกงาม
กกขฺ ฬ กักขฬะ หยาบ, กระดา้ ง, ดรุ ้าย
กาฬ กาฬ ดา, มสี ดี า
วิฬาร วฬิ าร์ แมว
กฬี า กฬี า การเลน่ เพื่อความเพลดิ เพลิน
๒. คาที่ใชพ้ ยัญชนะเหมือนกนั ซอ้ นกัน คายืมภาษาบาลีมกั ใช้พยญั ชนะเหมือนกนั ซ้อนกนั เชน่
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
สกกฺ าร สกั การะ บูชาดว้ ยสิง่ หรอื เคร่อื งอนั พึงบูชา
อวชิ ชฺ า อวชิ ชา ความไมร่ ,ู้ ความเขลา
วญิ ญฺ าณ วิญญาณ ความร้แู จง้ , ความรู้สึกตัว
เมตตฺ า เมตตา ความรักและเอ็นดู
ปลลฺ งกฺ บลั ลงั ก์ ทน่ี งั่ , พระแทน่ ทีป่ ระทบั ของกษตั ริย,์ ทีน่ ั่งผู้พพิ ากษา
ปสสฺ าว ปัสสาวะ เยี่ยว
ควรเข้าใจว่า ในภาษาสันสกฤตก็มีคาที่ใช้พยัญชนะเหมือนกัน ซ้อนกัน เช่นกัน แต่มีไม่มากนักเม่ือเทียบ
กับภาษาบาลี คาท่ีใช้พยัญชนะเหมือนกันซ้อนกัน ภาษาบาลีและสันสกฤตใช้ตรงกัน ก็มีใช้ในภาษาไทยด้วย เช่น
(วลั ลี = วลลฺ ี (ป.ส.)) (วลั ลภ = วลฺลภ (ป.ส.)) (จิตต์ = จติ ต (ป.ส.)) อนึ่ง คาทใี่ ชพ้ ยัญชนะซ้อนกัน ไมน่ บั รวมคาท่ีใช้
รูป ร หัน (รูป รร)
๓. ใชร้ ูปพยัญชนะประสมซึ่งมีรปู แบบเฉพาะคาท่ยี ืมจากภาษาบาลีนิยมใช้รูปพยัญชนะประสมซึ่งมรี ปู แบบ
เฉพาะดังนี้
๓.๑. รูปพยัญชนะประสมซ่ึงในภาษาบาลีเดิมใช้แทนเสียงพยัญชนะกัก ไม่มีกลุ่มลม (unaspirated
stop) ตามมาด้วยเสียงพยัญชนะมีกลุ่มลม (aspirated stop) ซึ่งมีสัทลักษณะเป็นเสียงก้อง (Voiced) หรือ ไม่กอ้ ง
(voiceless) เหมอื นกัน และมีทีเ่ กิด (places of articulation) เดยี วกัน ดงั น้ี
ทเ่ี กดิ เสยี งพยญั ชนะกกั ความก้อง/ไม่ก้อง
ไม่มีกลมุ่ ลม + มีกลุ่มลม
เพดานออ่ น กฺ /K/ + ขฺ /kh/ ไมก่ ้อง
คฺ /g/ + ฆฺ /gh/ กอ้ ง
เพดานแข็ง จฺ /c/ + ฉฺ /ch/ ไม่ก้อง
ชฺ /j/ + ฌฺ /jh/ กอ้ ง
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๖๔
ล้ินม้วน (หนา้ เพดาน) ฏฺ /t/ + ฐฺ /th/ ไมก่ ้อง
ฟัน
ตฺ /t/ + ถฺ /th/ ไมก่ ้อง
ริมฝีปาก ทฺ /d/ + ธฺ /dh/ ก้อง
ปฺ /p/ + ผฺ /ph/ ไมก่ ้อง
พ. /b/ + ภฺ /bh/ กอ้ ง
คาภาษาบาลีท่ีใช้พยัญชนะประสมรูปแบบเฉพาะดังกล่าว เม่ือยืมเข้ามาใช้ในภาษาไทยก็ยังคงรักษารูป
พยญั ชนะประสมตามแบบภาษาบาลไี ว้
ไทยใช้ ภาษาบาลี ความหมาย
รปู พยญั ชนะประสม กข เช่น ทุกข์ ทุกข สง่ิ ทท่ี นได้ยาก, ความยากลาบาก
อกั ขระ อกขฺ ร ตัวหนังสอื , สระและและพยญั ชนะ
รปู พยัญชนะประสม คฆ เช่น พยคั ฆ์ วฺยคฺฆ เสือโครง่
รูปพยัญชนะประสม จฉ เชน่ อจิ ฉา อจิ ฉา ความอยาก, ความปรารถนา
ปัจฉิม ปจฉิม ภายหลงั ,ทศิ ตะวันตก
รูปพยญั ชนะประสม ชฌ เช่น อชั ฌาสัย อชฌฺ าสยั นสิ ัยใจคอ
มชั ฌิมา มชฌฺ ิม ท่ามกลาง
รปู พยญั ชนะประสม ฏฐ เชน่ อุปฏั ฐาก อปุ ฏฐฺ าก ผอู้ ปุ ถัมภพ์ ระภิกษุสามเณร
อัฏฐ อฏฐฺ แปด
รูปพยญั ชนะประสม ตถ เชน่ วิตถาร วติ ถฺ าร กว้างขวาง, แปลก, พสิ ดาร
หัตถ์ หตถฺ มอื
รูปพยญั ชนะประสม ทธ เชน่ สุทธิ สุทธิ สะอาด, หมดจด
สทั ธา สทธา ความเชอ่ื , ความเลือ่ มใส
รูปพยญั ชนะประสม ปผ เชน่ บปุ ผา ปุปผ ดอกไม้
รูปพยญั ชนะประสม พภ เชน่ อัพภาส อพฺภาส คาซา้ ,การซ้อนอกั ษรลงหน้าศพั ท์
คพั ภะ คพภฺ สตั วใ์ นครรภ์, หอ้ ง
อนึ่ง ไม่ควรสรุปรวมว่า รูปพยัญชนะประสมดังกล่าวพบแต่ในภาษาบาลีเท่านั้น ตามข้อเท็จจริง ภาษา
สนั สกฤตก็มีรูปพยัญชนะประสม ชฒฺ , ตฺถ ดว้ ย แต่พบน้อยมาก (สันสกฤตทใี่ ชพ้ ยัญชนะซ้อน ชุณ เช่น อุชฌฺ ิต “ละ
ท้ิง” และ ตฺถ เช่น อุตฺถ “ผุดข้ึน, พุ่งข้ึน”) และไม่พบกับคาท่ียืมมาใช้ในภาษาไทย ส่วนพยัญชนะประสม จฺฉ, ทฺธ
พบดาษดนื่ ท้งั ในภาษาบาลแี ละสันสกฤต รวมท้งั คาภาษาบาลแี ละสนั สกฤตทยี่ มื เข้ามาในภาษาไทย เชน่
ตัวอย่างคาภาษาบาลแี ละสันสกฤตทใี่ ชพ้ ยญั ชนะประสม จฉฺ และยมื มาใชใ้ นภาษาไทย
ภาษาบาลีและสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ป. มจฉ มัจฉา ปลา
ส. ปฤจฉฺ า ปฤจฉา คาถาม
ป. ส. อิจฉา อิจฉา ความอยาก, ความปรารถนา
ป. ส. ปริจเฉท ปริจเฉท, บริจเฉท บท, ข้อความท่ีแบง่ เปน็ ตอน ๆ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๖๕
ตัวอย่างคาภาษาบาลีและสนั สกฤตทีใ่ ช้พยัญชนะประสม ทธฺ และยมื มาใชใ้ นภาษาไทย
ภาษาบาลแี ละสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ป. สทุ ฺธิงวฺ ิหาริก สัทธวิ หิ ารกิ ผทู้ ี่ไดร้ บั การอุปสมบทแลว้
ป. อทุ ธจฺจ อุทธัจ, อุทธัจจะ ความฟุ้งซา่ น
ส. ศรฺ ทฺธา ศรทั ธา ความเชื่อ, ความเลอ่ื มใส
ส. ศทุ ฺธิ ศุทธิ ความสะอาด, บริสุทธิ์
ป. ส. พทุ ธ พทุ ธ ผ้รู ู้ ผตู้ ื่น ผเู้ บิกบาน
ป. ส. ยุทธ ยุทธ สงคราม, การรบ
ป. ส. อทุ ธรณ อทุ ธรณ์ เร่ืองราวที่ยกข้ึนมาอ้างถึง
๓.๒. รูปพยัญชนะประสมซ่ึงในภาษาบาลีเดิมใช้แทนเสียงพยัญชนะนาสิก (nasal) ตามมาด้วยเสียง
พยัญชนะ หฺ ซ่ึงเป็นเสียงพยัญชนะเสียดแทรก ก้อง เกิดท่ีเส้นเสียง (Voiced glottal fricative) ได้แก่ ญฺหฺ, ณฺหฺ,
และ มหฺ ฺ ซึ่งกลายมาเป็นรูป ญห, ณห และ มห ในภาษาไทย
ไทยใช้ ภาษาบาลี ความหมาย
พยัญชนะประสม ญห เชน่ ปัญหา ปญห คาถาม, อปุ สรรคทีข่ ดั ขวาง
พยัญชนะประสม ณห เชน่ ตัณหา ตญหา ความอยากได้อยากมีอยากเปน็
กณั หา กณห ดา
พยญั ชนะประสม มห เชน่ เสมหะ เสมห เมือกท่ีร่างกายขบั ออกมาทางลาคอ
๓.๓. คาส่วนใหญ่ทีข่ ้นึ ต้นด้วยหน่วยคาเตมิ หน้า ปฏิ- เป็นคาท่ยี ืมมาจากภาษาบาลีโดยตรง เชน่
ไทยใช้ ภาษาบาลี ความหมาย
ปฏิบัติ ปฏิปตตฺ ิ ดาเนนิ ไปตามระเบียบแบบแผน
ปฏวิ ัติ ปฏิวตฺติ เปล่ยี นแปลงไปจากเดิม
ปฏิรูป ปฏิรูป สมควร, เหมาะสม
ปฏภิ าณ ปฏิภาณ ไหวพรบิ ,ความเฉลียวฉลาด
ปฏิมา ปฏมิ า รูปเปรยี บหรือรปู แทนพระพทุ ธเจา้
ปฏคิ าหก ปฏคิ คฺ าหก ผู้รบั ทาน
ปฏสิ นธิ ปฏิสนธิ การเกิด, ถอื กาเนดิ
อย่างไรก็ตาม มีศัพท์บัญญัติใหม่ ๆ จานวนมาก ที่คนไทยสร้างข้ึนโดยใช้หน่วยคาเติมหน้า ปฏิ- เช่น
ปฏิกรณ์, ปฏิกิริยา, ปฏิคม, ปฏิชีวนะ, ปฏิฐาน, ปฏิทัณฑ์ ฯลฯ คาเหล่าน้ีไม่พบในภาษาบาลี ควรนับว่าผู้
บญั ญัตศิ ัพท์อาศัยความรู้ไวยากรณ์บาลีสร้างคาศัพท์เหล่านี้ข้นึ มา บางคร้งั อาจใช้รปู หนว่ ยคาเติมหน้า ปฏิ- รวมกับ
รูปคาซงึ่ เขยี นตามแบบสันสกฤต เช่น ปฏิกรรม, ปฏิปกั ษ์, ปฏิสมมาตร ฯลฯ
๔.๔ หน่วยเสียงสระภาษาสันสกฤต
หน่วยเสียงสระของภาษาสันสกฤตมี ๑๔ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ส่วนอีกหน่ึง
เสียงใชน้ อ้ ยมากคือเสยี ง ฦๅ
หน่วยเสียงสระของภาษาสนั สกฤตมฐี านกรณท์ ี่เกดิ ของเสยี งสระทงั้ ๑๔ ตวั ดงั นี้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๖
สระ อะ อา มีฐานเกิดที่ลาคอ เรยี กวา่ กณฺฐช แปลวา่ ผเู้ กดิ จากลาคอ
สระ อิ อี มีฐานเกิดทเ่ี พดาน เรียกวา่ ตาลุช แปลวา่ ผเู้ กดิ จากเพดาน
สระ อุ อู มีฐานเกดิ ท่รี ิมฝีปาก เรียกว่า โอฏฐฺ ช แปลว่า ผู้เกดิ จากริมฝปี าก
สระ เอ มฐี านเกดิ ที่ลาคอกับเพดาน (อะ + อิ = เอ) เรียกวา่ กณฺฐตาลุช
สระ โอ มฐี านเกดิ ทล่ี าคอกับริมฝปี าก (อะ + อุ = โอ) เรียกวา่ กณโฺ ฐฏฐฺ ช
สระ ฤ ฤๅ มฐี านเกดิ ทป่ี ุ่มเหงือก เรียกว่า มุทธฺ ช แปลวา่ ผเู้ กิดจากปุ่มเหงอื ก (ทเ่ี ดียวกับ ร)
สระ ฦ ฦๅ มฐี านเกิดท่ฟี ัน เรียกว่า ทนตฺ ช แปลว่า ผู้เกดิ จากฟนั
สระ ไอ มีฐานเกดิ ที่ลาคอกบั เพดาน (อา + อิ = ไอ) เรยี กว่า กณฺฐตาลชุ
สระ เอามีฐานเกิดทล่ี าคอกับริมฝปี าก (อา + อุ = เอา) เรียกว่า กณั โฐษฐช
อีกอย่างหน่ึง วิสันต์ิ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๒๗ – ๒๘) กล่าวไว้ว่า สระในภาษาสันสกฤตมี ๑๔ ตัว (ไม่นับ อ
และ อะ) โดยแบ่งออกเป็นรัสสระ ๕ ตัว ได้แก่ อ อิ อุ ฤ ฦ และเป็นทีฆสระ ๙ ตัว ได้แก่ อา อี อู ฤๅ ฦๅ เอ ไอ โอ
เอา สว่ น อ (อมั ) และ อ: (อะฮ่ะ) ซึง่ ไม่จัดเป็นสระ เปน็ แต่เพียงเสยี งหรือเครื่องหมายใชแ้ ทนเสยี งเทา่ น้ัน กล่าวคือ
อ เป็นเคร่ืองหมายใช้แทนเสียงพยัญชนะอนนุ าสิก คอื มฺ ดงั น้ันศพั ท์ที่ลงทา้ ยด้วย อ จะออกเสยี งเป็น ม สะกด เช่น
คฺราม อ่านว่า คฺรา-มัม และ อ จะคงรูปอยู่อย่างน้ัน ถ้าคาที่ตามหลังมาขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ เช่น คฤห คจฺฉามิ
แปลว่า อันว่าข้าพเจ้า ย่อมไปสู่เรือน แต่ถ้าคาท่ีตามมาขึ้นต้นด้วยสระ จะเปลี่ยน อ เป็น มฺ เช่น คฤหมฺ อาคจฺฉามิ
แปลว่า อันว่าข้าพเจ้าย่อมมาสู่เรือน ทั้งน้ีก็เพื่อประโยชนใ์ นการสนธิ อ: นั้นท่ีจริงก็คือเสียง อ น่ันเอง แต่เม่ือเปล่ง
เสียง อ: จะปล่อยลมแรงกระแทกมาด้วย จึงเป็นเสียง อ: เคร่ืองหมายเช่นนี้เรียกว่า วิสรฺค ซ่ึงวิวัฒนาการมาเป็น
สระ ะ หรือวสิ รรชนีย์ในภาษาไทยนั่นเอง
ฐานที่เกดิ ของสระในภาษาสนั สกฤตนอกจากจะจดั เปน็ ๒ พวกคือรัสสระ (สระเสียงส้ัน) และทฆี สระ (สระ
เสียงยาว) ตามตารางข้างบนนี้แล้ว ยงั จัดเป็นสุทธสระและสังยุตสระเช่นเดยี วกับภาษาบาลีได้อีกด้วย โดยกาหนด
เอาฐานที่เกิดของสระเป็นหลักในการจัดคือ ๑) สุทธสระ สระแท้ คือสระที่มีฐานที่เกิดแต่เพียงฐานเดียว สระ
เหลา่ นั้นได้แก่ อ อา อิ อี อุ อู ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ๒) สังยุตสระ สระประสม คือสระท่ีมฐี านทเ่ี กดิ สองฐาน ไดแ้ ก่ สระ เอ ไอ
โอ เอา
สาหรับสระ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ทง้ั ๔ ตัวน้ีไม่น่าจะเป็นเสียงสระ เพราะมีเสยี งพยัญชนะ ร ล ประกอบอย่ดู ้วย แต่
ด้วยเหตุที่ภาษาสันสกฤตใช้สระ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ประสมกับพยัญชนะได้เช่นเดียวกับสระอ่ืน ๆ และพยัญชนะท่ีประสม
ดว้ ยสระ ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ อยแู่ ลว้ จะประสมกบั สระอืน่ ๆ อกี มิได้ ดังนั้นจึงถอื ว่าเปน็ เสียงสระ
สระในภาษาสันสกฤตท้ัง ๑๔ ตัวเหลา่ นี้ จัดเปน็ คู่ ๆ ซ่ึงเรยี กวา่ วรรณได้ ๔ คู่ เหมอื นกับภาษาบาลี ดังน้ี
สระ อ อา เรียกว่า อ วรรณ
สระ อิ อี เรยี กวา่ อิ วรรณ
สระ อุ อู เรยี กวา่ อุ วรรณ
สระ ฤ ฤๅ เรียกว่า ฤ วรรณ
สระ ฦ ฦๅ เรยี กวา่ ฦ วรรณ
สว่ นสระ เอ ไอ โอ เอา จดั เปน็ วรรณไม่ได้ เพราะเปน็ สระประสมดงั ทไ่ี ด้กลา่ วมาแล้ว
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๖๗
นอกจากน้ี พัฒน์ เพ็งผลา (๒๕๕๑ : ๑๗๐) ได้อธิบายวรรณะสระไว้ว่า สระที่มีท่ีเกิดฐานเดียวกัน จัดเป็น
พวก (วรรณะ) เดียวกนั และสระวรรณะเดยี วกันน้ี มกี ารเปลย่ี นแปลงเสยี งด้วยวิธีคณู และพฤทธ์ิ ดังนี้
วรรณะ ตน้ คูณ พฤทธิ์
อะ วรรณะ อ, อา อ, อา อา
อิ วรรณะ อ,ิ อี เอ ไอ
อุ วรรณะ อ,ุ อู โอ เอา
ฤ วรรณะ ฤ ฤๅ อรฺ อารฺ
ฦ วรรณะ ฦ ฦๅ อลฺ อาลฺ
คูณ หมายถึงการแปลงสระ อ อา เป็น อ อา, แปลงสระ อิ อี เป็น เอ, แปลงสระ อุ อู เป็น ไอ, แปลงสระ
ฤ ฤๅ เป็น อรฺ, แปลงสระ ฦ ฦๅ เป็น อลฺ
พฤทธิ์ หมายถงึ การแปลงสระ อ อา เป็น อา, แปลงสระ อิ อี เป็น ไอ, แปลงสระ อุ อู เปน็ เอา, แปลงสระ
ฤ ฤๅ เป็น อารฺ, แปลงสระ ฦ ฦๅ เป็น อาลฺ
๔.๕ หนว่ ยเสยี งพยัญชนะภาษาสนั สกฤต
พยัญชนะในภาษาสันสกฤตมี ๓๕ ตวั สามารถจัดเป็น ๒ ประเภท คอื พยญั ชนะวรรคกับพยญั ชนะ อวรรค
ซึง่ พยัญชนะวรรค ๒๕ ตวั และพยญั ชนะอวรรค ๑๐ ตวั ดังนี้
พยญั ชนะวรรคมี ๒๕ ตวั
ลักษณะเสียงพยัญชนะภาษาสนั สกฤต
พยญั ชนะวรรค อโฆสะ โฆสะ
สิถิล ธนติ สถิ ิล ธนิต นาสิก
แถวท่ี ๑ แถวท่ี ๒ แถวที่ ๓ แถวท่ี ๔ แถวที่ ๕
ก วรรค ก ขค ฆ ง
จ วรรค จ ฉช ฌ ญ
ฏ วรรค ฏ ฐฑ ฒ ณ
ต วรรค ต ถท ธ น
ป วรรค ป ผพ ภ ม
พยญั ชนะอวรรค ไดแ้ ก่ ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ อ (อัม)
หมายเหตุ พยัญชนะภาษาสันสกฤตจะต้องอ่านมีเสียงสระอะผสมด้วยเสมอ แม้ว่าจะปรากฏหรือไม่
ปรากฏก็ตาม เชน่ วาทฺย (อา่ นว่า วา-ทะ-ยะ), ฉตรฺ (อ่านว่า ฉัด-ตระ), กฺรม (อ่านว่า กรม) เปน็ ต้น และ อ (อ่านว่า
อัม ตัวอย่างการนาไปใช้เชน่ สงฺฆ อา่ นว่า สังฆัม)
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๘
๑) พยญั ชนะวรรค ลักษณะการออกเสยี งพยัญชนะวรรคภาษาสนั สกฤต
พยัญชนะภาษาสันสกฤตท้ังหมดเหล่าน้ันออกเป็น ๒ พวกตามเสียงก้องและเสียงไม่ก้องคือ พยัญชนะ
โฆษะคือพยัญชนะเสียงก้อง ได้แก่ พยัญชนะวรรคแถวท่ี ๓, ๔, ๕ ในวรรคทัง้ ๕ และพยัญชนะเศษวรรค ย ร ล ว
ห ซ่ึงเป็นพยัญชนะเสียงอ่อน และเสียงสระทั้งหมด พยัญชนะอโฆษะ คือพยัญชนะเสียงไม่ก้อง ได้แก่พยัญชนะ
วรรคแถวท่ี ๑, ๒ ในวรรคทั้ง ๕ และพยัญชนะเศษวรรค ศ ษ ส ซงึ่ เป็นพยัญชนะเสยี งแขง็
พยัญชนะธนติ คอื พยญั ชนะเสียงหนกั ไดแ้ ก่พยญั ชนะวรรคแถวที่ ๒, ๔ ของทกุ วรรคและ ห
พยญั ชนะสิถิล คอื พยญั ชนะเสยี งเบา ได้แกพ่ ยญั ชนะวรรคแถวที่ ๑, ๓ ของทุกวรรค
พยัญชนะอรรธสระ คอื พยัญชนะทเ่ี ปน็ เสียงสระด้วยครึง่ หนึ่ง ได้แก่
ย เปน็ อรรธสระของ อิ อี เอ ไอ ว เปน็ อรรธสระของ อุ อู โอ เอา
ร เปน็ อรรธสระของ ฤ ฤๅ ล เป็นอรรธสระของ ฦ
คุณสมบัติของเสียงอรรธสระ ถ้าไม่มีเสียงสระหรืออรรธสระด้วยกันช่วยก็ออกเสียงไม่ได้ แต่ถ้าพยัญชนะ
อ่ืนมากล้า จะช่วยใหพ้ ยัญชนะนั้นออกเสียงได้เล็กน้อย เช่น ชชฺวาล พฺรู และถ้าพยัญชนะอรรธสระเป็นตัวสะกด มี
พยญั ชนะอนื่ ตาม จะอ่านออกเสยี งได้เลก็ นอ้ ย เชน่ ศลิ ปฺ กลปฺ
อีกอย่างหน่ึง ในภาษาสันสกฤตมีพยัญชนะพิเศษ ๒ ชนิด คือ ๑. พยัญชนะอุสุม (อูษฺมนฺ) คาว่า อุสุม
แปลว่า ไอน้า พยัญชนะอุสุม คือพยัญชนะที่ตัวมันเองออกเสียงไม่ได้เต็มที่ มีเสียงออกมาเพียงคล้ายเสียงไอน้า
พยัญชนะอุสุม ได้แก่ ศ ษ ส ตัวอย่างในคา สฺวสฺติ สฺตมฺภฺ ศฺมศาน (สุสาน) อศฺว (ม้า) ศิษฺย ฯลฯ ๒. เสียง ห เป็น
พยัญชนะธนิต โฆษะ ถ้าไม่มีสระช่วย ออกเสียงเต็มที่ไม่ได้ถ้าตามหลังเสียงสระใด จะทาให้เสียงสระนั้นหนัก ออ
กลมมาก เช่น อุษฺณิหฺ (ชื่อกาพย์) ชิหฺว (ชิวหา) พฺรหฺมนฺ ถ้า ห ออกเสียงประสมกับพยัญชนะสิถิล จะทาให้
พยญั ชนะน้ันเปน็ เสียงธนิต เช่น ก + ห เปน็ ข, จ + ห เป็น ฉ, ต + ห เป็น ถ
๒) ฐานกรณท์ ่ีเกิดหน่วยเสียงพยัญชนะภาษาสันสกฤต
ส่วนฐานกรณ์ที่เกิดหน่วยเสียงพยัญชนะภาษาสันสกฤตส่วนใหญ่เหมือนกับภาษาบาลี แต่ว่ามีความ
แตกตา่ งจากภาษาบาลี ดังน้ี
ศ เป็นพยัญชนะเศษวรรค มีฐานที่เกดิ จากเพดานเรียกวา่ ตาลุช
ษ เปน็ พยัญชนะเศษวรรค มีฐานทเ่ี กดิ จากปมุ่ เหงือกเรยี กว่า มุทฺธช
ว เป็นพยัญชนะเศษวรรค มีฐานท่ีเกิดจาก โอฏฺฐช กับ มุทฺธช (ต่างจากภาษาบาลีซึ่งเกิดจาก ทนฺตช กับ
โอฏฺฐช) อีกอย่างหน่ึง ลักษณะของเสยี งพยญั ชนะภาษาสนั สกฤต ในพยัญชนะวรรคทั้ง ๕ วรรคของภาษาสันสกฤต
ทุกตัวเป็นพยัญชนะที่ออกเสียงเองไม่ได้ จึงเรียกว่าพยัญชนะมูคะ หรือพยัญชนะใบ้ จะออกเสียงได้ต่อเม่ือมีสระ
ช่วยหรือมีพยัญชนะเศษวรรคมาช่วยเท่าน้ัน ดังนน้ั ถ้าคาภาษาสนั สกฤตคาใดมีพยัญชนะวรรคเป็นตัวสะกด และมี
พยัญชนะวรรคตาม ต่างก็เป็นพยัญชนะมูคะ ตอนอ่านจะไม่ออกเสียงตัวสะกดอีก เช่น อัคนี (อ่านว่า อัก-นี ไม่ใช่
อกั -คะ-น)ี อาชญา (อา่ นว่า อาด-ยา ไม่ใช่ อาด-ชะ-ยา)
๓) พยญั ชนะคใู่ นภาษาสันสกฤต วิสันติ์ กฎแก้ว (๒๕๔๕ : ๓๐ – ๓๑) ได้อธิบายไว้ว่า พยัญชนะคู่ในภาษา
สนั สกฤต ได้แก่ พยัญชนะที่ใชเ้ ป็นตวั สะกดและตัวตาม ซงึ่ แบง่ ออกเปน็ ๒ อยา่ ง คอื
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๖๙
ก. พยญั ชนะซอ้ น ไดแ้ กพ่ ยัญชนะซ่งึ มฐี านที่เกิดฐานเดียวกัน อยู่ในวรรคเดียวกนั มาซอ้ นกันเขา้ ตวั หน่งึ เป็น
ตัวสะกดและตัวหน่ึงเป็นตัวตาม เช่นเดียวกับท่ีได้กล่าวมาแล้วในภาษาบาลีตอนที่ว่าด้วยพยัญชนะสังโยค แต่ว่า
ตวั สะกดและตัวตามทเ่ี ป็นไปตามกฎพยญั ชนะสงั โยคมใี ชน้ ้อยมากในภาษาสนั สกฤต เชน่
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ญจฺ กาญจฺ น กาญจนา ทอง
ณฺฐ กณฺฐ กณั ฐ คอ
ณฺฑ จณฺฑ จณั ฑะ ดรู ้าย, หยาบช้า น้าจณั ฑ์
นทฺ นนทฺ นนั ท์ ความสนกุ , ความยนิ ดี
งฺก ปงกฺ บงก์ เปือกตม, โคลน
นฺธ พนธฺ ุ พันธุ,์ พนั ธุ พวกพอ้ ง, พี่น้อง, วงศ์วาน
นนฺ อนฺน อนั นะ ของกนิ โดยเฉพาะขา้ ว
ข. พยัญชนะประสม ได้แก่พยัญชนะท่ีใช้เป็นตัวสะกดและตัวตาม โดยไม่ได้มีฐานท่ีเกิดฐานเดียวกัน
ตัวสะกดอย่ใู นวรรคหนึ่ง ตวั ตามอาจจะอย่ใู นวรรคอกี วรรคหน่งึ กไ็ ด้ พยญั ชนะประสมอาจจะมาด้วยกันสองเสยี งกม็ ี
สามเสียงก็มี พยญั ชนะประสมสองเสยี งและอยู่ทา้ ยพยางค์ของคา เชน่
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กรฺ จกฺร จักร ชือ่ อาวุธ, ส่ิงท่มี ลี กั ษณะเปน็ วงกลมอย่างลอ้ รถ
ตรฺ จติ รฺ จิตร การวาดเขยี น, การระบายสี
นยฺ ธานฺย ธานย ขา้ วเปลอื ก
กฺษ นกฺษตฺร นักษัตร ดาวกฤกษ์, ชือ่ รอบเวลากาหนด ๑ ปีเป็น ๑ รอบ
ทรฺ ภทฺร ภทั ร เจริญ, ประเสรฐิ , น่ารัก
ทฺย วาทยฺ พาทย์ เครือ่ งประโคม
พทฺ ศพฺท ศพั ท์ เสียง, คา
สฺต หสตฺ ินฺ หัสดนิ ช้าง
ศฺว อศฺว อัศว ม้า
คนฺ อคฺนิ อคั นิ, อคั นี ไฟ, ช่อื เทพแหง่ ไฟ
พยัญชนะประสมสามเสียง และอยูท่ า้ ยพยางคข์ องคา เช่น
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ราษฺฎฺร ราษฎร์, ราษฎร พลเมอื งของประเทศ
วกฺตฺร พกั ตร์ หน้า
ศสตฺ รฺ ศสั ตร ของมีคมเปน็ เคร่ืองฟันแทง
ศาสฺตฺร ศาสตร์ ระบบวิชาความรู้
พยัญชนะประสมเหล่าน้ีอาจจะมาต้นพยางค์ของคาก็ได้ แต่โดยมากมักจะเป็นพยัญชนะประสมสองเสียง
เชน่
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๗๐
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กฺรม กรม ลาดับ
ครฺ าม คราม หมู่บ้าน
วฺยายาม พยายาม ทาโดยมานะบากบ่นั
สวฺ สตฺ ิ สวสั ดี, สวัสด์ิ ความด,ี ความเจริญรุง่ เรอื ง
๔.๖ การใชพ้ ยัญชนะภาษาสนั สกฤต
ลักษณะเฉพาะการใชพ้ ยัญชนะภาษาสันสกฤตในภาษาไทย หรือจะเรียกว่าการสงั เกตคาภาษาบาลีที่ใช้ใน
ภาษาไทยก็ได้เชน่ กนั ซ่งึ ผ้เู ขียนได้รวบรวมแนวคิดของนักวิชาการ สรปุ พอเปน็ แนวทางได้ดงั นี้
สถาบันภาษาไทย (๒๕๕๕ : ๑๘๙ – ๑๙๖) กล่าวไว้ว่า ลักษณะการใช้พยัญชนะภาษาสันสกฤตใน
ภาษาไทย ซง่ึ มวี ธิ สี ังเกตคาท่ียมื มาจากภาษาสนั สกฤต
๑) นิยมใช้รูป รร (ร หัน) คาที่ยืมมาจากภาษาสันสกฤตนิยมใช้รูป รร (ร หัน) ซ่ึงเปลี่ยนมาจากรูป รฺ ซ่ึง
เปน็ รปู แทนเสยี งพยัญชนะ /t/ ซึง่ อย่รู ะหว่างเสียงสระ /a/ หรือ /aa/ กับเสียงพยญั ชนะอน่ื เชน่
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ครภฺ ครรภ์ หอ้ ง, สตั ว์อยูใ่ นท้อง
ตรฺชนี ดรรชนี นิ้วช้ี
ปรวฺ ต บรรพต ภูเขา
หรฺษ หรรษา การหวั เราะ, การร่าเริง
ภารฺยา ภรรยา เมยี
ควรระลึกว่า คาในภาษาไทยที่ใช้รูป รร ไม่ได้ยืมมาจากภาษาสันสกฤต เสียทุกกรณี มีคาจานวนไม่น้อยท่ี
ยืมมาจากภาษาเขมร และบางคาอาจเปน็ รปู แปรของคาอ่ืน เช่น
คาภาษาไทยที่ใชร้ ปู รร ซึ่งยืมมาจากภาษาเขมร
ภาษาเขมร ไทยใช้ ความหมาย
บนทฺ าต่ บรรทัด ข้อความท่ีเขยี นหรือพมิ พ์ต่อเนื่องกนั เป็นแถวฯ
สรเสรี สรรเสริญ กล่าวคายกยอ่ งหรือเชิดชู
สฺราล่ สรร เลือก, คดั
บนฺทุก บรรทุก บรรจุลงในยานพาหนะเพอ่ื ขนย้ายไปทีละมาก ๆ
คาภาษาไทยที่ใช้รปู รร ซึง่ เปน็ รปู แปรของคาอื่น
ท. กรรเชยี ง เปน็ รูปแปรของ กระเชียง
ท. บรรดา เป็นรปู แปรของ ประดา
ท. กรรโชก เปน็ รปู แปรของ กระโชก
๒) นิยมใช้ -ร ประสมกับพยัญชนะอน่ื
คายืมภาษาสันสกฤตจานวนมาก ที่ใช้ในภาษาไทยเป็นคาที่ใช้รูป -ร ประสมกับพยัญชนะอ่ืน ในขณะที่คา
ยมื ภาษาบาลไี มป่ รากฏลักษณะเช่นน้ี รปู -ร ทีป่ ระสมกับพยัญชนะอ่นื มีลกั ษณะ ดังนี้
๒.๑) ใช้ -ร กลา้ กบั ก-, ค-, ท-, ป- และ ต- และออกเสยี งรว่ มกันเปน็ เสยี งพยัญชนะประสม เช่น
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๗๑
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
โกฺรธ โกรธ ความข่นุ เคืองใจ
นทิ รา นทิ รา หลบั , การนอนหลับ
ปฺราสาท ปราสาท เรือนยอดเป็นชน้ั ๆ
ไมตรฺ ี ไมตรี ความเปน็ เพอ่ื น, ความหวงั ดตี ่อกัน
ปรตี ปรดี า อ่ิมใจ, ปลืม้ ใจ
๒.๒) ใช้ -ร ตามหลงั ก-, ค-, ช-, ต- และ ท- เพื่อใช้เปน็ ตัวสะกดรว่ มกัน เชน่
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
จกรฺ จักร ล้อ, วงกลม, อานาจ
สมคฺร สมคั ร เตม็ ใจ, เข้าพวกดว้ ยความเตม็ ใจ
ปตฺร บัตร แผน่ เอกสารต่าง ๆ ใบไม้
มติ ฺร มิตร เพอ่ื น, เพอ่ื นรกั ใคร่คุ้นเคย
๒.๓) ใช้ -ร ตามหลัง ต- และ ท- และใช้เครื่องหมายทัณฑฆาตกากับบนตัว -ร เพ่ือใช้เป็นตัวการันต์
ร่วมกนั เชน่
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
มนตรฺ มนตร์ คาศกั ดิ์สิทธ์ิ, คาสาหรบั สวด
ศาสตรฺ ศาสตร์ ระบบวิชาความร,ู้ ตารา
อินทฺร อินทร์ พระอนิ ทร์
จนทฺ ร จันทร์ ชื่อพรรณไม้ชนดิ หนึง่ , พระจันทร์
๒.๔) ใช้ -ร ตามหลัง ท- เป็น ทร- แล้วออกเสยี งเป็น /ซ-/ ไม่ว่าคาภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นท่ีมาของรูป
ทร- ในภาษาไทยจะใช้ -ร เป็นพยัญชนะ ควบกลา้ หรือไมก่ ็ตาม เช่น
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
พทฺร พทุ รา ต้นพุทรา
ทรวฺย ทรัพย์ สมบัต,ิ เงนิ ทอง
มทฺรี มัทรี กมุ ารแี ห่งแควน้ มัททะ
อินฺทริย อนิ ทรีย์ อานาจ, ความเป็นใหญ่
อน่ึง ในภาษาไทยมีคาอีกกลุ่มหน่ึงซ่ึงใช้รูปพยัญชนะประสม ทร- แล้ว ออกเป็นเสียง /ซ-/ แต่ไม่ได้ยืมมา
จากภาษาสันสกฤต ส่วนหน่ึงเป็นคาท่ียืมมาจากภาษาเขมร ส่วนหน่ึงเป็นคาไทยแท้ และอีกส่วนหนึ่งเป็นคาที่ไม่
ทราบทม่ี าแน่ชดั เชน่
รูป ทร- ออกเสยี ง /ซ-/ ท่ียืมจากภาษาเขมร
ภาษาเขมร ไทยใช้ ความหมาย
ทรง ทรง รปู ร่าง, ตัง้ อยู่ได้ ฯลฯ
ทรูง ทรวง อก, ใจ
ชรฺ าบ ทราบ รู้ (ใช้ในความสุภาพ), ไดร้ ับข่าวสาร
แชรก แทรก เขา้ ไปอยใู่ นระหวา่ งสง่ิ อ่นื ในลกั ษณะที่เบยี ดเสียด
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๗๒
ทราย ทราย เนื้อ (หมายถึงเนื้อกวาง)
รูป ทร- ออกเสยี ง /ซ-/ ทเี่ ปน็ คาไทยแท้
ท. (ดิน) ทราย เปล่ียนมาจากรูปเดิมว่า ซาย หมายถึง วัตถุท่ีเป็นเศษหินขนาดเล็ก มีลักษณะซุย
รว่ นไมเ่ กาะกัน มหี ลายชนดิ
รูป ทร- ออกเสียง /ซ-/ ที่ไม่รูท้ ี่มาแน่ชัด
ไทยใช้ ความหมาย
อนิ ทรี ชอื่ นกและปลาขนาดใหญ่
เทริด เคร่อื งประดบั ศีรษะ
ทราม เลว, ไหลอาบเปน็ แห่ง ๆ
๓) ใช้รูป ฤ คาในภาษาไทยท่ีใช้รูป ฤ ไม่ว่าจะใช้ต้นคาหรือใช้หลังพยัญชนะอ่ืน ส่วนใหญ่ยืมมาจากภาษา
สนั สกฤต เช่น
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ฤทฺธิ ฤทธิ์ อานาจ
ฤกฺษ ฤกษ์ เวลาทไี่ ดก้ าหนดไวด้ ีแลว้
คฤหสฺถ คฤหสั ถ์ ผู้ครองเรอื น
มฤค มฤค กวาง
ทฤษฏี ทฤษฎี ความเห็น, ความเช่ือถอื
หฤทย หฤทยั หวั ใจ
บางกรณี รปู ฤ ในภาษาไทยไม่ไดเ้ ปล่ียนมาจากรูป ฤ ในภาษาสันสกฤตโดยตรง โดยเฉพาะอย่างย่ิงรูป -ฤ
ทีใ่ ชต้ ามหลัง น- รูป นฤ- ในภาษาไทยเปน็ รูปแปรของคาท่ใี ชห้ นว่ ยคาเตมิ หนา้ นริ - (ส. นิร- “ไม,่ ปราศจาก”) หรือ
เปน็ รปู แปรของคาว่า นร- (ส. นร “คน”) เช่น
นฤ- เป็นรปู แปรของ นริ - ซ่ึงเปลย่ี นมาจาก ส. นิร- “ไม,่ ปราศจาก”
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
นริ วาณ นฤพาน, นิรพาณความดบั สนิทแห่งกิเลสและกองทุกข์
นิรฺมล นฤมล, นริ มล ไม่มีมลทิน, ไม่มัวหมอง
นริ มิต นฤมติ , เนรมิต สรา้ ง, แปลงข้ึนใหม่
นฤ- เป็นรูปแปรของ นร- ซงึ่ เปลยี่ นมาจาก ส. นร “คน”
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
นรปติ นฤบด,ี นรบดี ผู้เป็นใหญ่
นรปาล นฤบาล, นรบาล ผเู้ ป็นใหญ่
นรเทว นฤเทพ, นรเทพ ผูเ้ ป็นดุจสมมตุ ิเทพ
๔) ใช้ ศ และ ษ อักษร ศ และ ษ ในภาษาไทย ประดิษฐ์ข้ึนมาเพื่อใชเ้ ขยี นแทนคาภาษาสันสกฤตท่ใี ชเ้ สยี ง
/ç/ และ /ş/ ตามลาดับ ดังน้ันคาในภาษาไทยส่วนใหญ่ที่เขียนด้วย ศ และ ษ จึงมักเป็นคาที่ยืมมาจากภาษา
สนั สกฤต เชน่
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๗๓
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
วศิ วาส พิศวาส รกั ใครช่ อบพอ
ทิศ ทิศ ทาง, ดา้ น
ศษิ ยฺ ศิษย์ ผู้อาศัยอาจารยอ์ บรมสง่ั สอน
ศรี ษฺ นฺ ศรี ษะ หวั
ตุษฎฺ ี ดษุ ฎี ความยินด,ี ความช่ือชม
รกษฺ า รักษา ดแู ลเอาใจใส่
อย่างไรก็ตาม ในภาษาไทยมีคาท่ีใช้ ศ แต่ไม่ได้ยืมมาจากภาษาสันสกฤตอยู่บ้าง ส่วนใหญ่เป็นคาท่ียืมมา
จากภาษาเขมร บางคาเป็นคาของไทยแท้ บางคาไมร่ ทู้ ่ีมาแนช่ ดั และมีกรณีหนงึ่ เปน็ คาที่ยืมมาจากภาษาบาลี เช่น
ท. เลิศ ข. เลิส ท. มาศ ข. มาส
ท. ศกึ คาไทยแท้ ท. ศอก คาไทยแท้
ท. เศร้า คาไทยแท้ ท. พศิ ไม่ร้ทู ีม่ าแนช่ ดั
ท. พิศวง ไม่รทู้ ม่ี าแนช่ ัด ท. เพศ บ. เวส (เทียบ ส. เวษ)
๕) ใช้รูปพยัญชนะ ชญ, กย, ชย, ณย, ตย, ถย, ทย, ธย, นย และ มย นั้น มักเป็นคาท่ียืมมาจากภาษา
สันสกฤต ซ่งึ ในภาษาสันสกฤตเดมิ ใชเ้ ปน็ พยัญชนะประสม ดังนี้
ไทยใช้ ภาษาสนั สกฤต ความหมาย
ใช้รูปพยญั ชนะประสม ชญ เชน่ ปราชญ์ ปราชญ ผูร้ อบรู้ในศาสตรว์ ิชา
ปรชั ญา ปฺรชฺญา ความรอบรู้
ยัญ ยชญฺ การบูชา, การเซน่
กย เชน่ ศักย์ ศกยฺ ผู้มยี ศศักดิ์ที่ย่งิ ใหญ,่ อานาจ
พากย์ วากย ตอนตา่ ง ๆ, พูดแทนเสียงจริง
ชย เช่น พาณิชย์ วาณชิ ยฺ พ่อค้า, การค้าขาย
ณย เชน่ บณุ ย์ ปณุ ย ความดี
การณุ ย์ การุณย ความเอ้อื อารีตอ่ กัน
ตย เชน่ อาทติ ย์ อาทติ ย พระอาทิตย์
มฤตยู มฤตยุ ความตาย
สตั ย์ สตย ซ่ือตรง, รักษาสญั ญา
ทย เช่น วทิ ย์ วิทย ความรู้
วาทย วาทย เครือ่ งประโคม
ถย เชน่ รัถยา รถยา ทางเดนิ
ธย เชน่ มัธยม มธยม กลาง, ระดับกลาง
มธั ยสั ถ์ มธยฺ สถฺ ประหยดั , อดออม
อัธยาศัย อธยฺ าศย นสิ ัยใจคอ
ณย เช่น ศูนย์ ศูนย วา่ งเปล่า
สามานย์ สามานย ธรรมดา, ทว่ั ไป
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๗๔
แสนยา ไสนฺย ทหารกลา้
มย เช่น รมย์ รมย สถานทนี่ า่ ยนิ ดี
คายืมสันสกฤตในภาษาไทยท่ีใช้พยัญชนะประสมเหล่าน้ี ส่วนใหญ่ใช้พยัญชนะตัวแรกเป็นตัวสะกด ใช้
เครื่องหมายทัณฑฆาตกากบั บนพยัญชนะตัวที่ ๒* เชน่
ปราชญ์ พากย์ พาณชิ ย์ รมย์
วิทย์ ศกั ย์ ศูนย์ สัตย์
บางกรณีแยกพยัญชนะตัวท่ี ๑ ใช้เป็นเสียงพยัญชนะท้ายของพยางค์หน้า และใช้พยัญชนะตัวท่ี ๒ แทน
เสียงพยญั ชนะต้นของพยางค์ทตี่ ามมา เกิดเป็นคา ๒ พยางค์ ที่มโี ครงสรา้ งการลงน้าหนักแบบ หนกั -หนกั เชน่
แสนยา อ่านว่า แสน-ยา
ปรัชญา อา่ นวา่ ปฺรัด-ยา
อาชญา อา่ นวา่ อาด-ยา
กรณีเช่นน้ี หากแทรกพยางค์เบาเข้ามาระหว่างพยางค์ หนัก-หนัก กลายเป็นคาที่มีโครงสร้างการลง
น้าหนกั แบบ หนกั -เบา-หนกั จะชว่ ยให้ออกเสยี งเป็นธรรมชาติมากขึน้ เชน่
ปรัชญา อา่ นว่า ปรัด-ชะ-ยา
มธั ยม อา่ นว่า มดั -ทะ-ยม
มฤตยู อา่ นว่า มะ-รดึ -ตะ-ยู
อาชญา อ่านว่า อาด-ชะ-ยา
หลักสังเกตเพือ่ ระบุว่า คาในภาษาไทยคาใดยืมมาจากภาษาบาลหี รือยมื มาจากภาษาสันสกฤตข้างตน้ ควร
ใชด้ ้วยความระมัดระวัง เพราะคายืมภาษาและสนั สกฤตในภาษาไทยจานวนหนึ่ง ไมไ่ ด้ใชร้ ูปตรงตามภาษาบาลีและ
สันสกฤตเดิม ผู้อ่านสามารถใช้พจนานุกรมฉบับราชบณั ฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๔๒ เป็นข้อมูลเบือ้ งต้นในการบอกทมี่ า
ของคายมื ภาษาบาลีและสนั สกฤตในภาษาไทยได้
สรปุ ทา้ ยบท
หน่วยเสียงสระของภาษาบาลีมี ๘ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ แบ่งตามเสียงมี ๒ ประเภท คือ ๑)
หนว่ ยเสียงสระเสยี งส้ัน เรียกว่า รสั สระ มี ๓ ตัว คอื อะ อิ อุ ๒) หน่วยเสยี งสระเสยี งยาว เรยี กวา่ ทฆี สระ มี ๕ ตัว
คือ อา อี อู เอ โอ และสระทั้ง ๘ ตัวเหล่าน้ีจัดเป็นโฆษะ คือเสยี งก้อง ซ่ึงแบ่งเป็น ๒ ประเภท ตามฐานท่ีเกิด ดังนี้
๑) สุทธสระ สระแท้ คือ สระที่มีฐานเกิดฐานเดียว สระเหล่าน้ันได้แก่ อ อา อิ อี อุ อู ๒) สังยุตสระ สระประสม
คือ สระที่มฐี านทีเ่ กิดสองฐาน สระเหล่านัน้ ไดแ้ ก่ เอ โอ
พยญั ชนะในภาษาบาลมี ี ๓๓ ตัว สามารถแบง่ เปน็ ๒ ประเภท คอื พยัญชนะวรรคกบั พยัญชนะ อวรรค ซึ่ง
พยญั ชนะวรรคมจี านวน ๒๕ ตัว ได้แก่ ก วรรค ก ข ค ฆ ง จ วรรค จ ฉ ช ฌ ญ ฏ วรรค ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ต วรรค ต ถ
ท ธ น ป วรรค ป ผ พ ภ ม และพยัญชนะอวรรคมจี านวน ๘ ตัว ไดแ้ ก่ ย ร ล ว ส ห ฬ อ
พยัญชนะวรรค มีหลักการซ้อนพยัญชนะเพ่ือใช้เป็นตัวสะกดและตัวตาม โดยมีข้อกาหนดว่า พยัญชนะ
ตัวสะกดและตัวตามจะต้องเป็น อโฆสะด้วยกันหรือโฆสะด้วยกันเท่าน้ัน (ยกเว้นพยัญชนะที่สุดวรรคซึ่งใช้เป็น
* คาท่ไี ม่ใชเ้ ครื่องหมายทัณฑฆาตกากบั บนตัวพยัญชนะข้างทา้ ยในกรณีนี้ ได้แก่ สรรเพชญ (< ส. สรวฺ ชฺญ)
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๗๕
ตัวสะกด จะมีพยัญชนะวรรคท่ีเป็นโฆสะหรืออโฆสะเป็นตัวตามก็ได้) กล่าวคือ พยัญชนะวรรคแถวท่ี ๑ ๓ ๕ เป็น
ตวั สะกดกไ็ ด้ เป็นตัวตามกไ็ ด้ (ยกเว้น ง เป็นตัวสะกดไดอ้ ย่างเดยี ว) แต่พยญั ชะวรรคแถวที่ ๒ ๔ เป็นตวั สะกดไม่ได้
เป็นตวั ตามได้อยา่ งเดียว ดงั นี้
๑) พยัญชนะวรรค ก คือ พยัญชนะแถวท่ี ๑ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๑ และแถวที่ ๒, พยัญชนะแถวที่
๓ ซอ้ นหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๓ และแถวท่ี ๔, พยัญชนะแถวที่ ๕ ซอ้ นหน้าพยัญชนะแถวที่ ๑ ๒ ๓ และ ๔ ในวรรค
ของตน ซึ่งเปน็ ตัวสะกดและตัวตามได้
๒) พยัญชนะวรรค จ คือ พยญั ชนะแถวที่ ๑ ซอ้ นหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๑ และแถวท่ี ๒, พยญั ชนะแถวท่ี ๓
ซอ้ นหนา้ พยญั ชนะแถวที่ ๓ และแถวที่ ๔, พยัญชนะแถวที่ ๕ ซ้อนหนา้ พยญั ชนะแถวท่ี ๑ ๒ ๓ ๔ และ ๕ ในวรรค
ของตน ซ่งึ เปน็ ตัวสะกดและตัวตามได้
๓) พยัญชนะวรรค ฏ คือ พยัญชนะแถวที่ ๑ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวที่ ๑ และแถวที่ ๒, พยัญชนะแถวที่
๓ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๓ และแถวท่ี ๔, พยัญชนะแถวท่ี ๕ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวที่ ๑ ๒ ๓ ๔ และ ๕ ใน
วรรคของตน ซึง่ เป็นตัวสะกดและตัวตามได้
๔) พยัญชนะวรรค ต คือ พยัญชนะแถวที่ ๑ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๑ และแถวท่ี ๒, พยัญชนะแถวท่ี
๓ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๓ และแถวที่ ๔, พยัญชนะแถวที่ ๕ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๑ ๒ ๓ ๔ และ ๕ ใน
วรรคของตน ซึ่งเปน็ ตัวสะกดและตวั ตามได้
๕) พยัญชนะวรรค ป คือ พยัญชนะแถวท่ี ๑ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๑ และแถวที่ ๒, พยัญชนะแถวที่
๓ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวที่ ๓ และแถวท่ี ๔, พยัญชนะแถวท่ี ๕ ซ้อนหน้าพยัญชนะแถวท่ี ๑ ๒ ๓ ๔ และ ๕ ใน
วรรคของตน ซงึ่ เปน็ ตวั สะกดและตัวตามได้
พยัญชนะเศษวรรคมี ๘ ตัว คือ ย ร ล ว ส ห ฬ อ ใช้เป็นตวั สะกดและตัวตามได้บ้างเป็นบางตัว ท้ังนีม้ ิได้
เปน็ ไปตามกฎพยัญชนะสังโยคตามทไี่ ดก้ ลา่ วมาแล้ว แต่มีข้อท่คี วรกาหนดได้ดังนี้
๑) ตัว ย เป็นพยญั ชนะตวั สะกดและตัวตามในคราวเดยี วกันได้
๒) ตวั ร ใช้เปน็ ตัวสะกดไม่ได้ ตามหลงั ตัวสะกดอืน่ ได้บ้าง เมอ่ื ตามหลังตวั สะกดอื่นจะออกเสยี งประสมกับ
พยญั ชนะตวั สะกดนน้ั ๆ (ควบกลา้ ) แต่โดยมากนิยมใชใ้ นลักษณะเรียงพยางค์
๓) ตัว ล เป็นทั้งตัวสะกดและตัวตามในคราวเดียวกันได้ แต่ถ้าตัว ล เป็นตัวสะกดและมีพยัญชนะอ่ืน
นอกจากตัว ล เป็นตัวตาม จะอา่ นออกเสยี งตวั ล ได้เพยี งนิดหน่อยเท่านน้ั
๔) ตัว ว เป็นตัวสะกดไดบ้ ้าง เช่น ชวิ ฺหา (ล้นิ ) และเมื่อตามหลังพยัญชนะตัวสะกดอ่ืนหรือพยัญชนะ มูคะ
(พยัญชนะมูคะ คอื พยญั ชนะทีไ่ ม่มีสระอาศัย) จะออกเสียงประสมกบั พยญั ชนะนนั้ ๆ (ควบกล้า) เช่น กฺวิ ชื่อปจั จัย
ตัวหนึง่ นามกติ ก์ กวฺ ไหน, ท่ไี หน ฯลฯ
๕) ตัว ส เป็นทงั้ ตัวสะกดและตัวตามในคราวเดียวกันได้ ถ้าตวั ส เปน็ ตวั สะกดและมพี ยัญชนะอ่ืนนอกจาก
ส เป็นตวั ตาม จะอ่านออกเสยี งตวั ส เพยี งนดิ หนอ่ ยเทา่ น้ัน
๖) ตัว ห ใช้เป็นตัวสะกดไม่ได้ ใช้เป็นตัวตามได้ แต่เมื่อแทรกอยู่ระหว่างพยัญชนะอื่นจะออกเสียงหนัก
เชน่ คาว่า พฺรหฺม (พระพรหม แปลว่า ผูป้ ระเสรฐิ ) ตัว ห ท่ใี ชต้ ามหลงั ตวั สะกดอ่ืนไดน้ ้ัน ได้แก่ตวั สะกดทงั้ ๘ เหลา่ น้ี
คอื ญ ณ น ม ย ล ว ฬ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๗๖
ลักษณะเฉพาะการใช้พยัญชนะภาษาบาลีในภาษาไทย และการสังเกตคาภาษาบาลีท่ีใช้ในภาษาไทย ดังน้ี
๑) พยัญชนะท้งั หมดเหล่าน้ี (ยกเวน้ อ) จะมีจุดกลมบอด ( . ) ซึ่งเรียกว่า พินทุ หรือจุดบอด กากับอยู่ใต้พยัญชนะ
ทกุ ตัว เพือ่ เปน็ เคร่ืองหมายแสดงให้เห็นวา่ พยัญชนะเหล่านัน้ ไม่มสี ระอาศัย แต่ถ้าพยัญชนะเหล่าน้ปี ระสมกับสระ
แล้ว ให้ลบพินทุหรือจุดบอดทิง้ เสีย เชน่ กฺ + อ เป็น ก (อ่านว่า กะ เพราะสระ อ ไม่มีรูปปรากฏ) กฺ + อา เปน็ กา
ดังน้ีเป็นต้น พินทุหรือจุดบอดท่ีอยู่ใต้พยัญชนะน้ัน ๆ ใช้ในความหมาย ๒ อย่าง คือ (๑) ใช้ฆ่าพยัญชนะไม่ให้ออก
เสยี ง กล่าวคอื พนิ ทุหรือจุดบอดกากับอยใู่ ต้พยัญชนะตัวใด พยญั ชนะตวั น้ันจะไม่ออกเสียงและนิยมใช้เปน็ ตวั สะกด
(๒) ใช้แบ่งเสียงพยัญชนะ ทานองเดียวกันกับคาควบกล้าในภาษาไทย กล่าวคือ พินทุหรือจุดบอดกากับอยู่ใต้
พยัญชนะตัวใด และพยัญชนะตัวนั้นมี ย ร ล ว หรือ ห ตาม จะออกเสียงกล้ากัน และ ๒) การสังเกตคาภาษาบาลี
ที่ใชใ้ นภาษาไทย คือ (๑) คาที่เขียนด้วย ฬ คาส่วนใหญ่ในภาษาไทยท่ีเขยี นด้วย ฬ มักเป็นคาทีย่ มื มาจากภาษาบาลี
(๒) คาท่ีใช้พยัญชนะเหมือนกันซ้อนกัน คายืมภาษาบาลีมักใช้พยัญชนะเหมือนกันซ้อนกัน (๓) ใช้รูปพยัญชนะ
ประสมซึ่งมีรูปแบบเฉพาะคาท่ียืมจากภาษาบาลีนิยมใช้รูปพยัญชนะประสมซ่ึงมีรูปแบบเฉพาะ (๔) คาส่วนใหญ่ที่
ขน้ึ ตน้ ดว้ ยหนว่ ยคาเติมหน้า ปฏิ- เปน็ คาทย่ี ืมมาจากภาษาบาลโี ดยตรง
หน่วยเสียงสระของภาษาสันสกฤตมี ๑๔ เสียง คือ อะ อา อิ อี อุ อู เอ โอ ไอ เอา ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ (ไม่นับ อ
และ อ:) โดยแบ่งออกเป็นรัสสระ ๕ ตัว ได้แก่ อ อิ อุ ฤ ฦ และเป็นทีฆสระ ๙ ตัว ได้แก่ อา อี อู ฤๅ ฦๅ เอ ไอ โอ
เอา ส่วน อ (อัม) และ อ: (อะฮ่ะ) ซ่ึงไม่จัดเป็นสระ ซ่ึงฐานที่เกิดของสระในภาษาสันสกฤตนอกจากจะจัดเป็น ๒
พวกคือรัสสระ (สระเสียงสั้น) และทีฆสระ (สระเสียงยาว) ดังกล่าวแล้ว ยังจัดเป็นสุทธสระและสังยุตสระ
เช่นเดียวกับภาษาบาลีได้อีกด้วย โดยกาหนดเอาฐานที่เกิดของสระเป็นหลักในการจัดคือ ๑) สุทธสระ สระแท้ คือ
สระที่มีฐานที่เกิดแต่เพียงฐานเดียว สระเหล่านั้นได้แก่ อ อา อิ อี อุ อู ฤ ฤๅ ฦ ฦๅ ๒) สังยุตสระ สระประสม คือ
สระที่มฐี านทีเ่ กดิ สองฐาน ได้แก่ สระ เอ ไอ โอ เอา
พยัญชนะในภาษาบาลมี ี ๓๕ ตัว สามารถแบ่งเปน็ ๒ ประเภท คือ พยัญชนะวรรคกบั พยญั ชนะ อวรรค ซึ่ง
พยญั ชนะวรรคมจี านวน ๒๕ ตัว ได้แก่ ก วรรค ก ข ค ฆ ง จ วรรค จ ฉ ช ฌ ญ ฏ วรรค ฏ ฐ ฑ ฒ ณ ต วรรค ต ถ
ท ธ น ป วรรค ป ผ พ ภ ม และพยญั ชนะอวรรคมีจานวน ๑๐ ตวั ได้แก่ ย ร ล ว ศ ษ ส ห ฬ อ (อมั )
พยัญชนะคู่ในภาษาสันสกฤต ได้แก่ พยัญชนะท่ีใช้เป็นตัวสะกดและตัวตาม ซ่ึงแบ่งออกเป็น ๒ อย่าง คือ
๑) พยัญชนะซ้อน ได้แก่พยัญชนะซ่ึงมีฐานท่ีเกิดฐานเดียวกัน อยู่ในวรรคเดียวกันมาซ้อนกันเข้าตัวหน่ึงเป็น
ตัวสะกดและตัวหนึ่งเป็นตัวตามเช่นเดียวกับท่ีได้กล่าวมาแล้วในภาษาบาลีตอนที่ว่าด้วยพยัญชนะสังโยค แต่ว่า
ตัวสะกดและตัวตามท่ีเป็นไปตามกฎพยัญชนะสังโยคมีใช้น้อยมากในภาษาสันสกฤต๒) พยัญชนะประสม ได้แก่
พยัญชนะท่ีใช้เป็นตัวสะกดและตัวตาม โดยไม่ได้มีฐานที่เกิดฐานเดียวกัน ตัวสะกดอยู่ในวรรคหน่ึง ตัวตามอาจจะ
อยู่ในวรรคอีกวรรคหน่ึงก็ได้ พยัญชนะประสมอาจจะมาด้วยกันสองเสียงก็มี สามเสียงก็มี พยัญชนะประสมสอง
เสียงและอยทู่ ้ายพยางค์ของคา
ลกั ษณะการใชพ้ ยญั ชนะภาษาสนั สกฤตในภาษาไทย ซ่ึงมวี ิธสี งั เกตคาท่ยี ืมมาจากภาษาสนั สกฤต มดี ังน้ี
๑. นยิ มใช้รูป รร (ร หัน) คาท่ียมื มาจากภาษาสันสกฤตนยิ มใช้รูป รร (ร หัน) ซง่ึ เปลยี่ นมาจากรูป /รฺ/
ซงึ่ เป็นรปู แทนเสียงพยญั ชนะ /t/ ซงึ่ อย่รู ะหวา่ งเสียงสระ /a/ หรอื /aa/ กับเสยี งพยัญชนะอืน่
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๗๗
๒. นิยมใช้ /-ร/ ประสมกับพยัญชนะอื่น คายืมภาษาสันสกฤตจานวนมาก ท่ีใช้ในภาษาไทยเป็นคาท่ี
ใช้รูป /-ร/ ประสมกับพยัญชนะอ่ืน ในขณะที่คายืมภาษาบาลีไม่ปรากฏลักษณะเช่นน้ี รูป /-ร/ ท่ีประสมกับ
พยัญชนะอืน่ มลี ักษณะ ดังน้ี
๑) ใช้ /-ร/ กล้ากับ /ก-/, /ค-/, /ท-/, /ป-/ และ /ต-/ และออกเสียงร่วมกันเป็นเสียงพยัญชนะ
ประสม
๒) ใช้ /-ร/ ตามหลัง /ก-/, /ค-/, /ช-/, /ต-/ และ /ท-/ เพอื่ ใช้เป็นตัวสะกดรว่ มกัน
๓) ใช้ /-ร/ ตามหลัง /ต-/ และ /ท-/ และใช้เครื่องหมายทัณฑฆาตกากับบนตัว /-ร/ เพื่อใช้เป็น
ตัวการันตร์ ่วมกัน
๔) ใช้ /-ร/ ตามหลงั /ท-/ เป็น /ทร-/ แลว้ ออกเสยี งเป็น /ซ-/ ไมว่ ่าคาภาษาสนั สกฤตซึ่งเป็นทีม่ า
ของรปู /ทร-/ ในภาษาไทยจะใช้ /ร/ เปน็ พยัญชนะ ควบกลา้ หรอื ไม่กต็ าม อน่งึ ในภาษาไทยมีคาอีกกลุ่มหนงึ่ ซ่ึงใช้
รปู พยญั ชนะประสม /ทร-/ แล้ว ออกเปน็ เสยี ง /ซ-/ แต่ไมไ่ ดย้ มื มาจากภาษาสนั สกฤต ส่วนหนึง่ เป็นคาทย่ี ืมมาจาก
ภาษาเขมร สว่ นหนงึ่ เปน็ คาไทยแท้ และอีกส่วนหน่งึ เป็นคาทไ่ี มท่ ราบทีม่ าแน่ชัด
๓. ใช้รูป /ฤ/ คาในภาษาไทยที่ใช้รูป /ฤ/ ไม่ว่าจะใช้ต้นคาหรือใช้หลังพยัญชนะอื่น ส่วนใหญ่ยืมมา
จากภาษาสันสกฤต
๔. ใช้ ศ และ ษ อักษร ศ และ ษ ในภาษาไทย ประดิษฐ์ขึน้ มาเพ่ือใช้เขยี นแทนคาภาษาสนั สกฤตทใี่ ช้
เสียง /ç/ และ /ş/ ตามลาดับ ดังน้ันคาในภาษาไทยส่วนใหญ่ท่เี ขียนด้วย ศ และ ษ จึงมักเป็นคาที่ยืมมาจากภาษา
สันสกฤต
๕. ใชร้ ปู พยัญชนะ ชญ, กย, ชย, ณย, ตย, ถย, ทย, ธย, นย และ มย นน้ั มักเปน็ คาทย่ี ืมมาจากภาษา
สนั สกฤต ซึ่งในภาษาสันสกฤตเดมิ ใชเ้ ป็นพยญั ชนะประสม
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๗๘
กจิ กรรมการเรยี น
๑. ทบทวนความรู้
๑.๑ หน่วยเสยี งสระและหน่วยเสียงพยญั ชนะในภาษาบาลีมกี ีห่ นว่ ยเสยี ง อะไรบ้าง
๑.๒ หน่วยเสียงสระและหน่วยเสียงพยญั ชนะในภาษาสนั สกฤตมกี ี่หน่วยเสยี ง อะไรบา้ ง
๑.๓ จงอธิบายความแตกตา่ งระหว่างหนว่ ยเสยี งสระภาษาบาลีและสันสกฤต
๑.๔ จงอธบิ ายความแตกตา่ งระหวา่ งหน่วยเสียงพยัญชนะภาษาบาลีและสนั สกฤต
๑.๕ จงบอกลักษณะการใชพ้ ยัญชนะและการสงั เกตคาภาษาบาลีในภาษาไทย
๑.๖ จงบอกลกั ษณะการใชพ้ ยญั ชนะและการสังเกตคาภาษาสันสกฤตในภาษาไทย
๒. จดั กิจกรรม
๒.๑ ใหน้ ักศกึ ษาอภปิ รายหน่วยเสยี งสระภาษาบาลีและสนั สกฤต
๒.๒ ให้นักศึกษาอภปิ รายหนว่ ยเสยี งพยัญชนะภาษาบาลีและสนั สกฤต
๒.๓ ให้นักศึกษาอภปิ รายการใชพ้ ยญั ชนะภาษาบาลี
๒.๔ ให้นกั ศกึ ษาอภิปรายการใชพ้ ยัญชนะภาษาสนั สกฤต
๒.๕ ใหน้ กั ศกึ ษาวิเคราะหต์ วั อยา่ งคาภาษาบาลแี ละสันสกฤตในภาษาไทย
สอ่ื การสอน
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนง่ิ (PPT.) เนอื้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมส่อื มัตตมิ ีเดยี และแอปพลิเคชนั YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวชิ า ED1022 ภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย
แนวทางการประเมินผล
๑. ประเมนิ ผลจากการสงั เกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมนิ ผลจากการร่วมกิจกรรม การอภปิ รายแสดงความคิดเห็น
๓. ประเมนิ ผลจากผลงาน ด้านเน้ือหา รปู แบบ ความคิดสร้างสรรค์ วิธกี ารนาเสนอ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๗๙
เอกสารอา้ งอิง
จนั จิรา จิตตะวริ ยิ ะพงษ.์ (๒๕๔๖). อทิ ธิพลภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศกึ ษา.
จิตร ภูมิศักดิ์. (๒๕๖๒). ความเป็นมาของคาสยาม ไทย ลาว และขอม และลักษณะทางสังคมของช่ือชนชาติ
ข้อเท็จจรงิ ว่าด้วยชนชาติขอม. พิมพ์คร้ังท่ี ๗. กรงุ เทพฯ : ไทยควอลิตบ้ี ุ๊คส์.
ประสทิ ธ์ิ กาพยก์ ลอน. (๒๕๑๙). การศกึ ษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
ปรีชา ทชิ ินพงศ์. (๒๕๓๔). บาลี - สันสกฤตที่เก่ยี วกบั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
พนมพร นิรญั ทว.ี (๒๕๒๗). คาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์.
พัฒน์ เพง็ ผลา. (๒๕๕๑). บาลีสันสกฤตในภาษาไทย. พมิ พค์ ร้ังที่ ๙. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
วไิ ลศกั ดิ์ ก่ิงคา. (๒๕๕๖). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. พมิ พค์ รั้งที่ ๒. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั เกษตรศาสตร์.
วิสนั ต์ิ กฎแกว้ . (๒๕๔๕). ภาษาบาลสี ันสกฤตทเี่ กี่ยวขอ้ งกับภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : พฒั นาศกึ ษา.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทดั ฐานภาษาไทย เล่ม ๒. พิมพค์ ร้ังท่ี ๓. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารค้าของ สกสค.
สธุ ิวงศ์ พงศไ์ พบูลย์. (๒๕๔๓). หลักภาษาไทย. พิมพ์ครงั้ ที่ ๑๕. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช จากัด.
อนุมานราชธน, พระยา. (๒๕๑๔). นิรุกตศิ าสตร์ ภาค ๑ – ๒. กรงุ เทพฯ : ศูนย์การทหารราบ.
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๘๐
แผนการสอนประจาบท
เร่ือง
๑. การเปล่ยี นแปลงเสียงสระภาษาบาลี
๒. การเปลย่ี นแปลงเสียงพยัญชนะภาษาบาลี
๓. การเปล่ยี นแปลงเสียงสระภาษาสนั สกฤต
๔. การเปลี่ยนแปลงเสียงพยัญชนะภาษาสันสกฤต
แนวคิด
การเปลยี่ นแปลงหน่วยเสยี งสระภาษาบาลี เมอื่ ยืมคาภาษาบาลมี าใช้ในภาษาไทย ดังนี้ หน่วยเสยี งสระ อะ
แปลงเสียงได้ ๗ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อา แปลงเสียงได้ ๑ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อิ แปลงเสียงได้ ๑
หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อี แปลงเสียงได้ ๑ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อิ/อี แปลงเสียงได้ ๔ หน่วยเสียง,
หน่วยเสียงสระ อุ แปลงเสียงได้ ๓ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อู แปลงเสียงได้ ๑ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ เอ
แปลงเสยี งได้ ๑ หนว่ ยเสียง, หนว่ ยเสยี งสระ โอ แปลงเสียงได้ ๑ หน่วยเสยี ง,
การแปลงพยัญชนะภาษาบาลี คือ เม่ือยืมคาภาษาบาลีมาใช้ในภาษาไทยจะมีลักษณะการเปลี่ยนแปลง
พยัญชนะในคาภาษาบาลี เพ่ือให้ง่ายตอ่ การออกเสยี งในภาษาไทย มีการแปลงเสยี งพยัญชนะ ๖ หน่วยเสียง ได้แก่
ก ต ป ฏ ว และแปลงเสยี งพยัญชนะท้ายเปน็ ตัวสะกดในภาษาไทย
การเปล่ียนแปลงหนว่ ยเสียงสระภาษาสนั สกฤต เม่อื ไทยยืมคาภาษาสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย มีหลกั การ
เปลี่ยนแปลงเสียงสระในคาของภาษาเดิม เพ่ือให้สะดวกต่อการออกเสียงของคนไทย ดังน้ี หน่วยเสียงสระ อะ
แปลงเสียงได้ ๕ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อิ แปลงเป็นได้ ๒ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อี แปลงเสียงได้ ๑
หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อิ/อี แปลงเสียงได้ ๓ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อึ แปลงเสียงได้ ๑ หน่วยเสียง,
หน่วยเสียงสระ อุ แปลงเสียงได้ ๑ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ อู แปลงเสียงได้ ๒ หน่วยเสยี ง, หน่วยเสยี งสระ โอ
แปลงเสียงได้ ๑ หน่วยเสียง, หน่วยเสียงสระ เอ แปลงเสียงได้ ๑ หน่วยเสยี ง, หน่วยเสยี งสระ ไอ แปลงเสยี งได้ ๒
หน่วยเสยี ง, หนว่ ยเสียงสระ ฤ แปลงเสียงได้ ๕ หน่วยเสียง ส่วนหน่วยเสยี งสระ รฺ แปลงเปน็ เสียงสระ รร (รอหัน),
การแปลงพยัญชนะภาษาสันสกฤต คือ เมื่อยืมคาภาษาสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทยจะมีลักษณะการ
เปลี่ยนแปลงพยัญชนะในคาภาษาสันสกฤต เพื่อให้ง่ายต่อการออกเสียงในภาษาไทย มีการแปลงเสียงพยัญชนะ
๑๒ หน่วยเสยี ง ไดแ้ ก่ ก ต ฏ ว ร ป ฑ ษ ศฺร ท และพยญั ชนะควบกล้า
วัตถุประสงค์
เมือ่ นกั ศกึ ษาเรียนจบบทท่ี ๕ มีความสามารถได้ดังนี้
๑. อธิบายการเปล่ียนแปลงเสียงสระภาษาบาลไี ด้
๒. อธบิ ายการเปลย่ี นแปลงเสียงพยัญชนะภาษาบาลีได้
๓. อธิบายการเปลย่ี นแปลงเสียงสระภาษาสนั สกฤตได้
๔. อธบิ ายการเปลี่ยนแปลงเสยี งพยญั ชนะภาษาสนั สกฤตได้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๑
บทท่ี ๕
การเปลี่ยนแปลงระบบเสยี งภาษาบาลแี ละสันสกฤต
ในบทน้ี จะได้กลา่ วถงึ การเปลยี่ นแปลงเสียงสระภาษาบาลี การเปล่ียนแปลงเสียงพยญั ชนะภาษาบาลี การ
เปลย่ี นแปลงเสียงสระภาษาสนั สกฤต และการเปลีย่ นแปลงเสียงพยัญชนะภาษาสนั สกฤต ดงั มรี ายละเอียดตอ่ ไปน้ี
๕.๑ การเปลี่ยนแปลงเสยี งสระภาษาบาลี
คาในภาษาไทย เม่ือยืมคาภาษาบาลีมาใช้ มีหลักการเปล่ียนแปลงเสียงสระในคาของภาษาเดิมเพื่อให้
สะดวกต่อการออกเสียงของคนไทย อีกอย่างหนึ่ง ผเู้ ขยี นได้ให้ความหมายของคาท่ีไทยใช้ โดยการอ้างอิงจากพจนา
นกุ รรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ดังตวั อย่างต่อไปน้ี
๑. การเปลีย่ นแปลงเสียงสระ อะ เปน็ เสียงสระ อา
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
สโรช สาโรช บัว
อรุ อุรา อก
ชล ชลา นา้
๒. การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระ อะ เปน็ เสยี งสระ –ยั (อัย) เชน่
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ปจฺจย ปัจจยั เหต,ุ เคร่อื งอาศัย, เครื่องอาศัยยังชีพ
วย วัย เขตอายุ, ระยะของอายุ
อภย อภยั ความปลอดภัย, ปราศจากความกลวั
วจิ ย วจิ ยั การศึกษาค้นคว้า
วินย วนิ ยั ระเบียบปฏบิ ัติ
๓. การเปลยี่ นแปลงเสียงสระ อะ เปน็ เสยี งสระ โอะ โอ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ปคุ คฺ ล บุคคล คน
ชน ชน คน
ชล ชล น้า
ชนปท ชนบท เขตแดนพ้นจากเมืองหลวง
กล กล การลวงหรือลอ่ ลวงใหห้ ลงหรือให้เขา้ ใจผดิ
จล จล ไหว ส่ัน
มน มน ใจ
กมล โกมล อ่อน งาม หวาน ไพเราะ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๘๒
นนทฺ นนท์ ความสนุก ความยินดี ความรืน่ เริง
องฺค องค์ ส่วนของรา่ งกาย ส่วนย่อยหรอื ส่วนประกอบ
๔. การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ อะ เป็นเสยี งสระ อิ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
วรณุ พริ ุณ ฝน
วกุล พกิ ลุ ชอ่ื ไม้ตน้ ชนิดหนง่ึ ต้นแกว้
วชริ วิเชยี ร สายฟ้า เพชร อาวุธพระอนิ ทร์
๕. การเปล่ียนแปลงเสียงสระ อะ เป็นเสยี งสระ เอะ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ปญจฺ เบญจะ หา้
วชฺร เพชร ชอ่ื แกว้ ที่แขง็ ทส่ี ุดและมนี ้าแวววาวมากกวา่ พลอยอืน่ ๆ
วชฺฌฆาต เพชฌฆาต เจา้ หน้าที่ประหารชีวติ นักโทษที่ต้องคาพิพากษา
วจจฺ เวจ ท่ถี า่ ยอุจจาระ
๖. การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ อะ เปน็ เสียงสระ อุ
ภาษาบลี ไทยใช้ ความหมาย
ภมร ภมุ รา แมลงฝง้ึ แมลงภู่
พทฺร พทุ รา ชอื่ ไม้ต้นชนดิ หนึ่ง อีสานเรียกวา่ หมากทัน
เชตวน เชตุพน ชือ่ วัดแหง่ หนง่ึ ในสมยั พทุ ธกาล
มาตลี มาตุลี ชอ่ื เทวบุตรผ้เู ป็นสารถขี องพระอนิ ทร์
ชมพูนท ชมพูนทุ ชอ่ื ทองคาเนอื้ บรสิ ุทธ์ิท่กี ลา่ วอยใู่ นไตรภมู ิพระรว่ ง
อุสภ อสุ ภุ ววั ผู้
อญชฺ ลี อญั ชุลี การประนมมอื การไหว้
สมมฺ ติ สมมตุ ิ รสู้ ึกนกึ เอา ถอื เอาวา่
๗. การเปลี่ยนแปลงเสยี งสระ อะ เป็นเสยี งสระ เอาะ ออ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ปณฑฺ ก บัณเฑาะก์ กะเทย ขันที
ปณฺฑว บณั เฑาะว์ กลองสองหนา้ ขนาดเล็กชนิดหนึ่ง
ปรม บรม อย่างยิ่ง ทสี่ ดุ
กร กร มอื ผทู้ า
วร พร คาแสดงความปรารถนาให้ประสบสง่ิ ทเี่ ป็นสริ ิมงคล
เกสร เกสร ส่วนในของดอกไม้โดยมากเปน็ เสน้ ๆ ขนสร้อยคอสงิ โต
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๘๓
๘. การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระ อา เป็นเสยี งสระ เอา
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
คารว เคารพ ความนบั ถอื
๙. การเปลีย่ นแปลงเสียงสระ อิ เปน็ เสียงสระ อี
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
อคคฺ ิ อคั คี ไฟ
คหปติ คหบดี พอ่ บ้าน, พ่อเรือน
มุนิ มนุ ี ผ้รู อบรู,้ ฤษี
คณปติ คณบดี ผูน้ าหมู่
มณิ มณี แก้ว, เคร่อื งประดบั
รวิ รวี พระอาทิตย์
ปติ บดี ผเู้ ปน็ ใหญ่
วถี ิ วถิ ี สาย แนว ถนน ทาง
จารติ ฺต จารีต ขนบธรรมเนียมปฏบิ ัตสิ บื ตอ่ กันมา
๑๐. การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ อิ เป็นเสยี งสระ เอ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
วชริ เพชร เพชร, สายฟ้า, อาวธุ พระอนิ ทร์
โสภณิ ี โสเภณี หญงิ งามเมือง
วติ าน เพดาน สว่ นทส่ี ูงท่สี ดุ ในหอ้ ง
วหิ เวหา ฟ้า อากาศ
กรวกิ การเวก ชอ่ื นกในปา่ หิมพานต์ มเี สียงร้องเพราะ
อนจิ จฺ อนาถ อเนจอนาถ สลดใจเปน็ อยา่ งยง่ิ
๑๑. การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระ อิ เป็นเสยี งสระ เอีย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
พาหริ พาเหยี ร ภายนอก นักบวชนอกศาสนาพทุ ธ
วชริ วิเชยี ร สายฟา้ เพชร อาวุธพระอินทร์
รุธริ รเุ ธียร เลือด สแี ดง
จิร เจียร นาน ยืนนาน ชา้ นาน จากไป
มนทิร มนเทยี ร เรือนหลวงซึ่งใชเ้ ปน็ ทีป่ ระทับประจาของพระมหากษัตริย์
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๘๔
๑๒. การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ อิ เป็นเสยี งสระ อึ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ผลิก ผลึก แกว้ ผลึก, สง่ิ ทมี่ ีลกั ษณะขาวใสดงั แก้ว
มหมิ า มหมึ า ใหญ่ย่งิ โต
ลิงฺค ลงึ ค์ อวัยวะเพศชาย
วีช พืช ส่งิ มชี วี ติ ทสี่ รา้ งอาหารเองโดยการสังเคราะหแ์ สง
หึสา หงึ สา ความเบียดเบยี น การทารา้ ย การคิดให้เขาทนทุกข์
โชตกิ โชดึก ผู้มคี วามรุ่งเรอื ง ผู้มคี วามสวา่ งไสว
๑๓. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อิ เปน็ เสยี งสระ ไอ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
รวิ ราไพ พระอาทติ ย์
วโิ รจฺน ไพโรจน์ รุ่งเรอื ง สกุ ใส
๑๔. การเปล่ียนแปลงเสียงสระ อี เปน็ เสียงสระ อิ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
วณี พณิ ช่อื เครอ่ื งดนตรีชนิดหนง่ึ บรรเลงดว้ ยการดีดสาย
นีล นิล พลอยชนดิ หน่งึ มสี ดี า ชอ่ื ปลาน้าจืดชนดิ หนึ่ง
นีติ นติ ิ กฎหมาย กฎปฏิบตั ิ แบบแผน ประเพณี
มีน มิน ขอโทษ
วีถิ วิถี สาย แนว ถนน ทาง
สรุ ยิ สรุ ีย์ พระอาทติ ย์
ทฺวิ ทวี สอง คูณ
หนี หนิ มีกลนิ่ เหมน็ อยา่ งกล่ินน้ามันมะพรา้ วเนา่ หนิ เลว ตา่ ช้า
๑๕. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อี เปน็ เสียงสระ เอ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
นีติ เนติ แบบแผน
วสี เพส จานวนย่สี ิบ
สมี า เสมา เครอื่ งหมายบอกเขตโบสถ์
๑๖. การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ อี เปน็ เสยี งสระ เอีย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ธีร เธียร นักปราชญ์ ฉลาด มน่ั คง
กรี ฺติ เกยี รติ ชอ่ื เสยี ง ความยกยอ่ ง นับถือ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๘๕
วีรฺย เพยี ร ความบากบน่ั ความกล้าแข็ง
๑๗. การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ อี เป็นเสียงสระ อึ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
รถานีก รถานกึ กองทพั รถศึก
อนกี อนกึ กองทพั ในสมยั โบราณ
๑๘. การเปล่ยี นแปลงเสียงสระ อี เปน็ เสยี งสระ ออื
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
วชี พืช สิ่งมีชวี ิตที่สรา้ งอาหารเองโดยการสังเคราะหแ์ สง
๑๙. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อุ เป็นเสยี งสระ อู
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
พหสุ สฺ ุต พหูสตู ผสู้ ดบั ตรบั ฟังมาก, ผศู้ ึกษาเล่าเรียนมาก
คุหา คหู า ถา้
พหุ พหู มาก
ครุ ครู หนกั ผูส้ อน
อณุ อณู เลก็ ละเอยี ด
วธุ วธู, พธู หญิงสาว
อาตุร อาดรู เดือดรอ้ น ทนทุกขเวทนาทง้ั กายและใจ
๒๐. การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระ อุ เป็นเสียงสระ โอ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ปรุ าณ โบราณ เก่าแก,่ มีมาชา้ นาน
สาทุ สาโท น้าเมา
อฬุ าร โอฬาร ยงิ่ ใหญ่มาก
๒๑. การเปลย่ี นแปลงเสียงสระ อุ เป็นเสยี งสระ เอา
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ยุวา เยาวพา หญงิ สาววัยร่นุ
สภุ า เสาวภา หญิงสาวสวย
สภุ าคฺย เสาวภาคย์ หญงิ สาวงาม
สุคนธฺ เสาวคนธ์ กลน่ิ หอม
สุภาว เสาวภาพ เรยี บร้อย, อ่อนโยน
สุลกษฺ ณ เสาวลักษณ์ ลักษณะดี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๖
๒๒. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อู เปน็ เสยี งสระ อุ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
สูกร สกุ ร หมู
สถฺ ูล สถลุ หยาบ ตา่ ชา้ เลวทราม
วิรฬู ฺห วิรฬุ ห์ เจริญ งอกงาม
๒๓. การเปลีย่ นแปลงเสียงสระ เอ เปน็ เสยี งสระ ไอ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
เววจน ไวพจน์ คาท่เี ขียนตา่ งกันแตม่ ีความหมายเหมอื นกนั
เวเนยยฺ เวไนย ผู้ควรแนะนาส่งั สอน ผพู้ ึงดัดได้สอนได้
เทยฺย ไทย อสิ ระ คน ชอ่ื ประเทศ
อสงเฺ ขยยฺ อสงไขย มากจนนบั ไม่ถว้ น
สาเถยฺย สาไถย การแสร้งทาให้เขาหลงผิดเขา้ ใจผดิ
อาชาเนยยฺ อาชาไนย มา้ พนั ธ์ดุ ี ฝกึ หัดมาดีแลว้
อปุ เมยยฺ อปุ ไมย ขอ้ ความท่ีพงึ เปรยี บเทียบกับสิ่งอน่ื เพ่ือใหเ้ ขา้ ใจแจ่มแจ้ง
เวยฺยาวจฺจกร ไวยาวจั กร ผไู้ ดร้ ับแตง่ ต้งั ใหม้ หี น้าที่ดแู ลและจัดการทรัพย์สนิ ของวดั
ภาคเิ นย ภาคิไนย หลาน
เชยยฺ ไชย ดกี วา่ , เจรญิ กวา่
เวยฺยากรณ ไวยากรณ์ วิชาว่าด้วยรูปคาและระเบยี บในการประกอบคา
ใหเ้ ป็นประโยค
๒๔. การเปล่ยี นแปลงเสียงสระ โอ เป็นเสยี งสระ เอา
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
โสรวาร วันเสาร์ วันท่เี จ็ดของสัปดาห์
โกทมุ พฺ ร เกาทมุ พร ผลไม้ชอื่ มะเดอ่ื
มโหฬาร มเหาฬาร ยิง่ ใหญ่มาก
โกทณฑฺ เกาทัณฑ์ ธนู
๒๕. เพิม่ ตวั การันตล์ งท้ายคา เพอื่ ไมอ่ อกเสยี งพยัญชนะตวั สุดทา้ ยของคา
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
เจตยิ เจดีย์ สถานท่ีบรรจุสงิ่ ท่คี วรสักการะบูชา
อปุ ชฺฌาย อปุ ัชฌาย์ ผเู้ ถระผ้เู ปน็ ประธานในการบรรพชาอุปสมบท
อริยสจจฺ อริยสจั จ์ ความจริงอนั ประเสรฐิ ๔ ประการ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๗
๕.๒ การเปล่ยี นแปลงพยัญชนะภาษาบาลี
เม่ือนาคาภาษาบาลีมาใช้ในภาษาไทย จะมีลักษณะการแปลงพยัญชนะภาษาบาลี เพื่อให้ง่ายต่อการออก
เสียงของคาไทย บางศัพท์ก็ไม่สะดวกต่อการออกเสียงสาเนียงภาษาไทย จึงมีการแปลงพยัญชนะบางตัวของภาษา
บาลี ให้ตรงกับพยัญชนะของภาษาไทยท่มี ีอยู่ ทั้งนี้ เพอ่ื ความสะดวกในการออกเสยี งและเพอ่ื ความหลากหลายของ
ศัพท์ที่ใช้ในภาษาไทย (วิไลศักดิ์ กิ่งคา, ๒๕๕๖ : ๑๖๑) และ (ชะเอม แก้วคล้าย, ๒๕๕๕ : ๘๒) ซ่ึงได้รวบรวม
ลกั ษณะการแปลงพยญั ชนะภาษาบาลี ไว้ดังน้ี
๑. การแปลงพยญั ชนะ ก ในภาษาบาลี เป็น ข ค ในภาษาไทย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
กปฏ ขบถ ประทุษร้ายต่อทางอาณาจกั ร ทรยศ
กณุ ฺโฑ คนโท หมอ้ นา้ รปู ตา่ ง ๆ คอยาว
กุณฑฺ ี คนที หมอ้ นา้ มหี ู เตา้ น้า
๒. การแปลงพยัญชนะ ต ในภาษาบาลี เปน็ ด ในภาษาไทย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
คหปติ คหบดี คนรวย
ตถิ ี ดถิ ี วันทนี่ ับขนึ้ ตามจนั ทรคติ
ชาตก ชาดก เรื่องราวของพระพทุ ธเจ้าท่ีมีมาในอดตี
ตารา ดารา ดวงดาว เรียกบุคคลทม่ี เี สียงในศิลปะการแสดง
ติถิ ดิถี วนั ตามจันทรคติ
ปิตา บิดา พ่อ
เทวตา เทวดา ชาวสวรรคม์ ีกายทิพย์ ตาทพิ ย์ หูทิพย์
ตนุ ดนุ ดนู ฉนั ขา้ พเจา้
๓. การแปลงพยัญชนะ ฏ ในภาษาบาลี เป็น ฎ ในภาษาไทย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ฏกี า ฎกี า คาอธิบายขยายความ
มกฏุ มงกฎุ เคร่ืองสวมศรี ษะ
ปฏิ ก ปิฎก ตะกรา้ หมวดแห่งคาสอนในพระพทุ ธศาสนา
๔. การแปลงพยญั ชนะ ป ในภาษาบาลี เป็น บ ในภาษาไทย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
ปญุ ฺญ บุญ ความดี
ปคุ ฺคล บุคคล คน
ปาป บาป ความช่วั
ปณฑฺ ิต บัณฑติ ผทู้ รงความรู้ ผมู้ ปี ัญญา นักปราชญ์
สปปฺ าย สบาย อยู่ดกี นิ ดี สะดวก พอเหมาะพอดี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๘
อุโปสถ อุโบสถ เรยี กสถานท่ีทพี่ ระสงฆ์ประชมุ กนั ทาสงั ฆกรรม
ปลลฺ งกฺ บัลลังก์ พระแท่นทป่ี ระทบั ของพระมหากษตั รยิ ์
ปิตา บิดา พ่อ
๕. การแปลงพยญั ชนะ ว ในภาษาบาลี เป็น พ ในภาษาไทย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
วฑฺฒนา พัฒนา ความเจริญงอกงาม
วชิร เพชร สายฟา้ , ศรพระอินทร์
วจน พจน์ คาพดู , ถ้อยคา
วร พร คาแสดงความปรารถนาอนั เปน็ สิรมิ งคล
๖. การแปลงเสยี งพยญั ชนะตัวสุดท้ายในภาษาบาลเี ปน็ ตัวสะกดในภาษาไทย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
โอวาท โอวาท คาแนะนา, คาตักเตือน
กเิ ลส กเิ ลส ส่งิ ที่ทาใหจ้ ิตใจเศร้าหมอง
ชาติ ชาติ การเกิด, การดารงรักษาเอกลักษณข์ องตน
๗. ลบพยัญชนะตวั สะกดในภาษาบาลีทิง้ เหลือเพียงตวั ตามในภาษาไทย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
เภสชชฺ เภสชั ยาแก้โรค
วิชชฺ า วิชา ความรแู้ จ้ง
กจิ จฺ กจิ ธุระ งาน
เชยฺย ไชย ดกี ว่า เจริญกว่า
๘. คงรปู ไวต้ ามเดมิ
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
วิญญฺ ู วญิ ญู ผู้รู้แจง้ ในโลก
วปิ สฺสนา วิปัสสนา ผู้เห็นแจ้ง
ภริยา ภริยา ผู้ให้กาเนดิ บุตร
เวฬุ เวฬุ ไมไ้ ผ่
หตฺถี หัตถี ชา้ ง
อติ ฺถี อติ ถี หญิงสาว
อาวุโส อาวุโส ผู้มอี ายุน้อยกวา่
๙. ไมอ่ อกเสยี งพยัญชนะตวั สดุ ท้าย
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
เจติย เจดยี ์ สถานท่อี นั เป็นทต่ี ง้ั แห่งความระลกึ ถงึ
อปุ ชฺฌาย อปุ ชั ฌาย์ ผู้ดแู ลและให้ญัตตเิ ป็นสมมุตสิ งฆ์
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๘๙
อรยิ สจฺจ อรยิ สจั จ์ ความจริงอนั ประเสริฐ
๑๐. การตัดพยางคห์ รอื คาในศัพทเ์ ดิม
ภาษาบาลี ไทยใช้ ความหมาย
อโุ ปสถ โบสถ์ สถานท่ที าสามีจกิ รรมทางคณะสงฆ์
อุปกเิ ลส กิเลส สงิ่ ทที่ าใหจ้ ิตใจเศร้าหมอง
สามเณร เณร ผู้เป็นศาสนทายาท
อโหสิกมฺม อโหสิ การใหอ้ ภัยทานไมถ่ อื โทษจอ้ งเวรตอ่ กนั
เวจฺจกฏุ ิ เวจ สถานท่ีขบั ถา่ ยของเสยี ออกจากร่างกาย
สามิก สามี ผู้ปกป้องและดูแลรกั ษา
อญชฺ ลี ชลี การพนมมือ
อญชฺ ุลี ชุลี การพนมมอื
อุปาสก ประสก ผู้ทค่ี อ่ ยรับใช้พระสงฆ์
อุปาสกิ า สีกา ผู้ทค่ี อ่ ยรบั ใช้พระสงฆ์
อหวิ าตกโรค อหิวาต์ เชือ้ โรคทแ่ี ผร่ ะบาด
๕.๓ การเปลี่ยนแปลงเสยี งสระภาษาสนั สกฤต
คาในภาษาไทย เมื่อยืมคาภาษาสันสกฤตมาใช้ มีหลักการเปล่ียนแปลงเสียงสระในภาษาเดิม เพื่อให้
สะดวกต่อการออกเสียงของคนไทย อีกอย่างหนึ่ง ผู้เขียนได้ให้ความหมายของคาท่ีไทยใช้ โดยการอ้างอิงจากพจนา
นุกรรม ฉบบั ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
๑. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อะ เปน็ เสยี งสระ อา
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กญจฺ น กาญจนา ทองคา
กรวีก การวกี นกการเวก
สมรฺถ สามารถ มคี ุณสมบตั ิท่ีจะทาได้
จนทฺ รฺ จนั ทรา ดวงเดอื น พระจันทร์
ตมพฺ ดามพ์ ทองแดง
กฤษฺณ กฤษฺณา ดา
๒. การเปลย่ี นแปลงเสียงสระ อะ เป็นเสยี งสระ อิ
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ปรฺ ศนฺ ปรศิ นา คาถาม
๓. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อะ เปน็ เสียงสระ –ยั (อยั
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ปรฺ ศฺรย ปราศรัย การพูดด้วยไมตรีจิต, คาปรารภ
วนาศรฺ ย พนาศรยั ผู้อยใู่ นปา่
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง
๙๐
๔. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อะ เปน็ เสียงสระ เอาะ
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ครฺ ห เคราะห์ โชคชะตา, ส่งิ ทีน่ าผลมาให้โดยไมไ่ ดค้ าดหมาย
ชือ่ ดาวนพเคราะห์
ปรครฺ ห ประเคราะห์ ความเพยี รทแ่ี กก่ ลา้
วิครฺ ห วิเคราะห์ การใครค่ รวญอย่างพนิ ิจพิจารณา
๕. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อิ เปน็ เสียงสระ อี
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ตรฺ ิ ตรี สาม
รศมฺ ิ รศั มี แสงสวา่ งที่พวยพงุ่ ออกจากจุดกลาง แสงสว่าง
๖. การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระ อิ เป็นเสยี งสระ อึ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ศิกฺษา ศกึ ษา การเรียนรู้
รกิ ฺต รกึ ต์ ความวา่ งเปลา่
ลงิ ฺค ลงึ ค์ อวัยวะเพศ
อธิก อธกึ ยง่ิ มาก เลิศมาก
กลิงฺค กลึงค์ ชื่อเรียกชาวเมอื งกลงึ คราษฏร์
๗. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อิ เป็นเสียงสระ เอ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
นิรมฺ ิต เนรมฺ ิต สิ่งท่ถี กู สรา้ งขึ้นดว้ ยอานาจพเิ ศษ
นิรคฺ ุณ เนรคณุ ผู้ท่ไี ม่รจู้ กั บุญคณุ ที่ได้รับจากผู้อน่ื
วศิ เพศ อวัยวะทช่ี เ้ี ฉพาะวา่ เปน็ หญงิ หรอื ชาย
๘. การเปล่ยี นแปลงเสยี งสระ อิ เป็นเสยี งสระ ไอ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
วศิ าล ไพศาล ยงิ่ ใหญม่ าก
วิจติ ฺร ไพจิตร ความสวยงานอยา่ งละเอยี ด
ตฺริ ไตร สาม
ตรฺ ภิ ว ไตรภพ โลกทั้ง ๓ ทางพระพทุ ธศาสนา
๙. การเปลยี่ นแปลงเสียงสระ อิ เปน็ เสยี งสระ เอีย
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ศริ สฺ เศยี ร หัว
สถฺ ิร เสถยี ร ความมั่นคง
ตติ ถฺ เดียรถ์ ทา่ นา้
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๙๑
๑๐. การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระ อี เป็นเสยี งสระ อิ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
อณุ ฺหสี อุณหสิ กรอบหนา้ มงกฎุ
๑๑. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อี เปน็ เสียงสระ อึ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ปรกี ษฺ า ปรกึ ษา หารอื ขอความเหน็ แนะนา พจิ ารณาหารือกนั
พลานกี พลานกึ กองทัพพลทหาร
อศวฺ านกี อัศวานกึ กองทัพมา้
๑๒. การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ อี เปน็ เสยี งสระ เอีย
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กฺษีณ เกษยี ณ ความสน้ิ ไป
กฺษีร เกษยี ร นา้ นม
กรี ตฺ ิ เกียรติ ชอื่ เสยี ง ความยกย่อง นับถือ
มณฺฑีร มณเฑียร เรือนหลวง
วรี ฺย เพยี ร ความบากบ่นั ความกล้าแขง็
๑๓. การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ อึ เป็นเสยี งสระ องิ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
สึห สิงห สงิ ห์ ชื่อของสตั ว์ชนิดหนง่ึ
วิหึส วหิ ิงส การไม่เบียดเบยี นผูอ้ น่ื
๑๔. การเปลี่ยนแปลงเสยี งสระ อุ เปน็ เสียงสระ อู
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ฤตุ ฤดู สว่ นของปซี ง่ึ แบง่ โดยถือเอาภมู อิ ากาศเป็นหลัก
มฤตฺยุ มฤตยู ความตาย ชอ่ื ดาวเคราะหด์ วงท่ี ๗
ศตฺรุ ศตั รู ข้าศึก ปรปกั ษ์
๑๕. การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระ อู เป็นเสยี งสระ อุ
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ธูลิ ธุลี ฝนุ่ ละออง
ปรู วฺ บุรพ มใี นกาลกอ่ น
ปสํ ุกูล บงั สุกุล ผา้ ทถ่ี ูกทง้ิ ไวก้ บั ซากศพ
ตูษฺณีมฺ ดุษณี อาการนิ่งซึ่งแสดงถงึ การยอมรบั
๑๖. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อู เป็นเสยี งสระ โอ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ทูรทรศฺ น โทรทัศน์ การมองเห็นจากท่ไี กล
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๙๒
ทรู ศวทฺ โทรศัพท์ เสยี งจากที่ไกล
๑๗. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ โอ เป็นเสยี งสระ เอา
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
โกทณฑฺ เกาทณั ฑ์ ธนู, หนา้ ไม้
๑๘. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ เอ เป็นเสยี งสระ ไอ
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
เปรฺ ษณยี ไปรษณยี ์ สิง่ ท่ีพึงสง่ ไป
เตฺรตายุค ไตรดายุค ชือ่ ยคุ
เวที ไพที แทน่ รอง
๑๙. การเปลี่ยนแปลงเสยี งสระ ไอ เปน็ เสียงสระ แอ
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ไทตยฺ แทตย์ ชนช้ันวรรณะที่ ๓ ในอนิ เดีย
ไวทยฺ แพทย์ หมอรักษาโรค
ไวศยฺ า แพศย์ ผหู้ ญงิ สาส่อน
ไจตรฺ แจตร เดือน 5 ตามจนั ทรคติ
ไสนฺยา แสนยา กองทัพ หมู่
๒๐. การเปลยี่ นแปลงเสยี งสระ ไอ เปน็ เสยี งสระ เอ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ไภษชยฺ เภสชั ยารักษาโรค
ไจตสกิ เจตสิก อารมณท์ เี่ กิดกบั ใจ
๒๑. การเปลี่ยนแปลงเสียงสระ อะ ที่หน้า รฺ ในภาษาสันสกฤต เป็น รฺ เพ่ิมอีก ๑ พยางค์ โดยการเพิ่ม ร
อกี หน่ึงตวั กลายเปน็ รร ในศพั ทท์ ่มี ี รฺ (ธรมฺ ) เพอ่ื ให้อา่ นออกเสยี งเปน็ ร หัน
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ธรฺม ธรรม คาสัง่ สอน, คุณความดี
กรฺม กรรม ผลการกระทา
ครฺภ ครรภ์ ท้อง, สตั วเ์ กิดในท้อง
๒๒. การเปลีย่ นแปลงเสยี งสระ ฤ เป็นเสยี งสระ อุ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กรตฺ ฺฤ กรรตุ ผ้กู ระทา
๒๓. การเปลย่ี นแปลงเสยี งสระ ฤ เป็น ร
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ภฺราตฤ ภราดร พ่ีชาย, นอ้ งชาย
ปิตฤ บิดร พ่อ
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง
๙๓
มฤตก มรดก แม่
๒๔. การเปลย่ี นแปลงเสียงสระ ฤ เป็น ริ รึ เรอ ความหมาย
อานาจสงิ่ ศกั ดส์ิ ิทธ,ิ์ ความสาเร็จ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ช่วงกาลเวลาตามสภาพอากาศ
กาลที่ได้กาหนดไว้ดแี ล้ว
ฤทธฺ ิ ฤทธ์ิ
ฤตุ ฤดู
ฤกษฺ ฤกษ์
๕.๔ การแปลงพยัญชนะภาษาสันสกฤต
เม่ือนาคาภาษาสันสกฤตมาใช้ในภาษาไทย จะมลี ักษณะการแปลงพยัญชนะภาษาสันสกฤต เพ่อื ใหง้ ่ายต่อ
การออกเสียงของคาไทย บางศัพท์ก็ไม่สะดวกต่อการออกเสียงสาเนียงภาษาไทย จึงมีการแปลงพยัญชนะบางตัว
ของภาษาสันสกฤต ให้ตรงกับพยัญชนะของภาษาไทยที่มีอยู่ ท้ังน้ี เพื่อความสะดวกในการออกเสียงและเพื่อความ
หลากหลายของศัพท์ท่ีใช้ในภาษาไทย (วิไลศักด์ิ ก่ิงคา, ๒๕๕๖ : ๑๖๑) และ (ชะเอม แก้วคล้าย, ๒๕๕๕ : ๘๒) ซ่ึง
ไดร้ วบรวมลักษณะการแปลงพยญั ชนะภาษาสันสกฤต ไว้ดงั น้ี
๑. การเปลีย่ นแปลงพยัญชนะ ก เป็น ข
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กนษิ ฺฐ ขนษิ ฐา น้อง
๒. การเปลย่ี นแปลงพยญั ชนะ ต เปน็ ด
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
กฺฤต กฤด ทาแลว้ , ประกอบแลว้
กษฺ ิติ กษดิ ิ แผน่ ดนิ
คฤฺ หปติ คฤหบดี คนรวย
ตุษฏี ดษุ ฎี ความยินดี ความชืน่ ชม
สปฺตาห สัปดาห์ รอบ ๗ วนั เร่ิมตั้งแตว่ นั อาทิตย์ถึงวันเสาร์
๓. การเปลย่ี นแปลงพยัญชนะ ต เปน็ ถ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
สตฺ ูป สถปู สถานทบี่ รรจบุ ุคคลท่คี วรสักการะบชู า
๔. การเปลยี่ นแปลงพยัญชนะ ฏ เปน็ ฎ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
เจษฺฏา เจษฎา ความพยายาม, ความพากเพียร
กรฺกฏ กรกฎ ปู, ชือ่ กลุ่มดาวรปู ปู
ตุษฏี ดษุ ฎี ความยินดี, ความชื่นชม
ทฤษฺฏี ทฤษฎี หลักการทางวชิ าการทไี่ ดข้ อ้ สรุปมาจากค้นคว้า
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง
๙๔
๕. การเปล่ยี นแปลงพยญั ชนะ ว เป็น พ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
บทประพันธ์ชนิดหนง่ึ
กาวยฺ กาพย์ เครื่องตกั ขา้ ว, เนรคุณถงึ ทารา้ ยพ่อแม่
บัวสาย
ทรวฺ ี ทรพี สิ่งมีชวี ติ ที่สรา้ งอาหารเองโดยการสงั เคราะหแ์ สง
กวา้ งขวาง ละเอียดลออ แปลกพิลึก
ไกรว ไกรพ, เการพ ต้นไม้
สง่ิ ท่รี า้ ยเป็นอนั ตรายแกร่ ่างกาย
วีช พืช
ความหมาย
วิสฺตาร พสิ ดาร ชอื่ มาตรตวงของโบราณ
วฤกษฺ พฤกษ์ ความหมาย
ขวาน
วิษ พิษ
ความหมาย
๖. การเปลย่ี นแปลงพยัญชนะ ร เป็น พ ภาชนะสาหรับภกิ ษุรับอาหาร
พ่อ
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ลกู หญิง
ดอกไม้
ตุมฺร ตุมพ
ความหมาย
๗. การเปลยี่ นแปลงพยัญชนะ ป เปน็ ผ ลา้ ต้น, หลอด, ระยะเวลา ๒๔ นาที
เคร่ืองประดับชนิดหน่งึ มีสีแดงออ่ น
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความเบียดเบยี น
ปรศุ ผรสุ ความหมาย
ทิศใต้
๘. การเปลี่ยนแปลงพยัญชนะ ป เป็น บ การดแู ลป้องกัน
พยานผรู้ เู้ ห็นเหตุการณ์ด้วยตนเอง
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้
ปาตรฺ บาตร
ปิตฤ บิดร
ปุตรฺ ี บุตรี
ปุษปฺ บุษบา
๙. การเปลย่ี นแปลงพยัญชนะ ฑ เป็น ฬ
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้
นาฑกิ า นาฬกิ า
ปฺรวาฑ ประวาฬ
ปีฑา ปีฬา
๑๐. การเปลย่ี นแปลงพยญั ชนะ ษ เป็น ข
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้
ทกฺษิณา ทกั ขณิ า
อารกฺษ อารักขา
สากษฺ ี สกั ขี
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง
๙๕
๑๑. การเปล่ยี นแปลงพยัญชนะ ศฺร เป็น ส
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ศฺฤงคฺ าร สงิ คาร สงิ โต
๑๒. การเปลี่ยนแปลงพยญั ชนะ ท เป็น ฬ
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
โทหท โทหฬะ อาการแพท้ ้องของหญงิ ตั้งครรภ์
อุทาร อฬุ าร ย่ิงใหญ่
เอาทารกิ โอฬาริก ยิ่งใหญ่, กว้างขวาง
๑๓. การเปล่ียนแปลงพยญั ชนะ ปฺร เปน็ ป และ ติ เปน็ ฏิ
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ปฺรติปกษฺ ปฏิปักษ์ ฝ่ายตรงกันขา้ ม, ขา้ ศึก
๑๔. การเปลี่ยนเสียงพยัญชนะประสม ภาษาสันสกฤตมีเสียงพยัญชนะประสมมากกว่าภาษาไทยหลาย
เสียง ในกรณีทม่ี ีเสียงตรงกัน ไทยจะรับเขา้ มาโดยออกเสียงตรงกับภาษาเดิม หากมีไม่ตรงกันไทยจะออกเสียงแบบ
อักษรนา คอื แยกเปน็ ๒ พยางค์ และออกเสยี งพยางค์แรกเป็นเสยี ง อะ ดงั นี้
ภาษาสนั สกฤต ไทยใช้ ความหมาย
เกษตรฺ เกษตร ท่ีดนิ นา ไร่ แดน ทงุ่
กษฺ ณ กษณะ ขณะ ครู่ ครั้ง คราว
สมฺ ร สมร การรบ การสงคราม นางงามซงึ่ เปน็ ทีร่ กั
กษฺ ตฺรยิ กษตั ริย์ พระเจา้ แผน่ ดนิ ผปู้ ้องกันภยั
วฺยาธิ พยาธิ ความเจบ็ ไข้
ลกฺษฺณ ลกั ษณ สมบัตเิ ฉพาะตวั ประเภท
ยกเว้นเสียง ศฺร ไม่นิยมแยกพยางค์ แต่จะออกเสียงเป็น ส และเสียง ทฺร จะออกเสียงเป็น ซ ในบางคา
ดังน้ี
ภาษาสันสกฤต ไทยใช้ ความหมาย
ศฺรี ศรี มง่ิ สริ ิมงคล ความรุ่งเรอื ง หมากพลู
ศรฺ ทธฺ า ศรทั ธา ความเชือ่ ความเล่ือมใส
อาศรฺ ม อาศรม ทีอ่ ยู่ของนกั พรต
ทรฺ วยฺ ทรพั ย์ เงนิ ตรา วัตถุมรี ปู ร่าง สงิ่ ท่ีถอื ว่ามคี า่
พทร พุทรา ช่ือไมต้ น้ ชนิดหนงึ่ อกี อยา่ งเรียกว่า หมากทัน
อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง