The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by สุวรรณญาโณ ญาณเมธี, 2022-09-03 00:24:44

เอกสารประกอบการสอน

เอกสารประกอบการสอน รายวิชาภาษาบาลีสันสกฤตในภาษาไทย

๑๔๖

เอกสารอา้ งองิ
จนั จิรา จิตตะวิริยะพงษ์. (๒๕๔๖). อทิ ธพิ ลภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พฒั นาศึกษา.
ชะเอม แก้วคล้าย. (๒๕๕๕). ลกั ษณะการใช้ศัพทบ์ าลีสันสกฤตในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : สหธรรมิก จากัด.
ประหยัด เกษม. (๒๕๒๔). ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย. พิมพ์ครังท่ี ๒. นครศรีธรรมราช : ภาควิชา

ภาษาไทย วิทยาลัยครนู ครศรธี รรมราช.
ประสทิ ธ์ิ กาพยก์ ลอน. (๒๕๑๙). การศกึ ษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร.์ กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ .
ปรีชา ทชิ ินพงศ.์ (๒๕๓๔). บาลี - สันสกฤตทเี่ กยี่ วกบั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
พนมพร นริ ญั ทว.ี (๒๕๒๗). คาต่างประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พัฒน์ เพง็ ผลา. (๒๕๕๑). บาลสี ันสกฤตในภาษาไทย. พมิ พ์ครงั ที่ ๙. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยรามคาแหง.
วไิ ลศักด์ิ กิ่งคา. (๒๕๕๖). ภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. พมิ พ์ครังที่ ๒. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร.์
วสิ ันติ์ กฎแก้ว. (๒๕๔๕). ภาษาบาลสี ันสกฤตทเ่ี กยี่ วข้องกับภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศึกษา.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทัดฐานภาษาไทย เลม่ ๒. พิมพค์ รังที่ ๓. กรงุ เทพฯ : องคก์ ารคา้ ของ สกสค.
สุธิวงศ์ พงศไ์ พบลู ย.์ (๒๕๔๓). หลักภาษาไทย. พมิ พ์ครังที่ ๑๕. กรงุ เทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ จากดั .
สุภาพร มากแจ้ง. (๒๕๓๕). ภาษาบาลี – สนั สกฤตในภาษาไทย. พมิ พค์ รงั ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร์.

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๔๗

แผนการสอนประจาบท

เร่ือง
๑. การสร้างคาโดยวิธลี งอปุ สรรค
๒. การสรา้ งคาโดยวธิ กี ติ ก์

แนวคดิ
การสรา้ งศพั ทโ์ ดยวิธีลงอุปสรรค ซ่ึงสว่ นของคาที่ใช้ประกอบเขา้ ขา้ งหนา้ ธาตุหน้าศพั ท์ หรือหนา้ บท ทาให้

มีความหมายเปล่ียนไป อุปสรรคเป็นหน่วยคาไม่มีอิสระ (Bound Morpheme) ไม่สามารถใช้ตามลาพังต้อง
ประกอบกับธาตุ ศัพท์ หรือ บท ดังนั้น การสร้างคาโดยวิธีลงอุปสรรค ก็คือ การใช้อุปสรรคประกอบหน้า ธาตุ
ศัพท์ หรือ บท เพ่อื ใหเ้ กิดศัพทห์ รือบททมี่ ีความหมายใหม่

ปจั จัยกิตก์เป็นปัจจัยทีใ่ ช้สาหรับประกอบทา้ ยธาตุ มี ๒ ชนิด คอื ปัจจัยนามกิตก์ เป็นปัจจัยที่ใช้ประกอบ
ธาตุ เพือ่ ปรุงใหเ้ ปน็ นามศพั ท์ และปจั จยั กริยากติ ก์ เป็นปจั จัยท่ใี ชป้ ระกอบธาตุ เพ่อื ปรุงใหเ้ ปน็ กริยาศพั ท์

วตั ถปุ ระสงค์
เมือ่ นกั ศึกษาเรียนจบบทที่ ๘ มีความสามารถได้ดังน้ี
๑. อธิบายอปุ สรรค ๒๐ ตัว ในภาษาบาลีสนั สกฤตได้
๒. อธิบายวธิ ีการลงอุปสรรคในภาษาบาลีสันสกฤตได้
๓. อธิบายการเปล่ยี นแปลงของความหมายเมื่อลงอปุ สรรคได้
๔. อธิบายการสร้างศัพทด์ ว้ ยปจั จยั นามกติ ก์ได้
๕. อธิบายการสรา้ งศพั ท์ดว้ ยปจั จยั กรยิ ากิตก์ได้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๔๘

บทที่ ๘
การสรา้ งคาภาษาบาลีสนั สกฤต

ในบทน้ี จะได้กล่าวถึงการสรา้ งคาโดยวิธีลงอุปสรรคประกอบหน้าธาตุ ศัพท์ หรือบท และการสรา้ งคาโดย
วิธีกิตก์ โดยใช้ปัจจัยนามกิตก์ประกอบท้ายธาตุเพ่ือปรุงให้เป็นนามศัพท์และใช้ปัจจัยกริยากิตก์ประกอบท้ายธาตุ
เพ่ือปรงุ ใหเ้ ปน็ กริยาศัพท์ ดังมรี ายละเอียดต่อไปนี้

๘.๑ การสร้างคาโดยวิธีลงอปุ สรรค

การสร้างคาอุปสรรคภาษาบาลีสันสกฤต กล่าวคือ การสร้างศัพท์โดยวิธีลงอุปสรรค ซ่ึงส่วนของคาที่ใช้

ประกอบเข้าข้างหน้าธาตุหน้าศัพท์ หรือหน้าบท ทาให้มีความหมายเปล่ียนไป อุปสรรคเป็นหน่วยคาไม่มีอิสระ

(Bound Morpheme) ไม่สามารถใช้ตามลาพังต้องประกอบกับธาตุ ศัพท์ หรือ บท ดังนั้น การสร้างคาโดยวิธีลง

อุปสรรค ก็คือ การใช้อุปสรรคประกอบหน้า ธาตุ ศัพท์ หรือ บท เพื่อให้เกิดศัพท์หรือบทท่ีมีความหมายใหม่

ลักษณะของอุปสรรคมีท้ังที่มีพยางค์เดียวและสองพยางค์ ท้ังพยัญชนะเดี่ยวและพยัญชนะคู่ (สันสกฤต) ทั้งที่มี

ตัวสะกด (สันสกฤต) และไม่มีตัวสะกด อุปสรรคมี ๒๐ ตัว สามารถแบ่งตามการลงความหมาย ๓ อย่าง คือ ๑)

ความหมายดีข้นึ คอื อุปสรรคที่มีความหมายในทางดี เช่น วิ (วิเศษ แจ้ง ต่าง) อติ (ย่ิง เกิน ล่วง) อธิ (ยิ่ง ใหญ่ ทับ)

อภิ (ย่ิงใหญ่ จาเพาะ ข้างหน้า) สุ (ดี งาม ง่าย) ส (ร่วม กับ ดี) ลงข้างหน้าคานามหรือคากริยาทาให้คานามหรือ

คากริยามีความหมายดีขึ้น ๒) ความหมายตรงกันข้ามหรือกลับความ คืออุปสรรคบางคามีความหมายตรงกันข้าม

เช่น อา, ปรา, วิ (กลบั ความ) ปฺรติ ปฏิ (ตอบ กลบั ) อว, โอ (ลง), นิสฺ นิ (ไม่มี ออก) อ (ไม)่ , อุตฺ อุ (ขน้ึ ), นิ (เขา้ ลง

เสมอ) เมื่อลงหน้าคานามศัพท์และกริยาศัพท์ ทาให้คานามศัพท์และกริยาศัพท์มีความหมายตรงกันข้าม ๓)

ความหมายต่างออกไป คืออปุ สรรคบางคาเมื่อนาไปประกอบหน้าคานามและคากริยา ทาให้คานามและคากริยามี

ความหมายต่างจากความหมายเดิม บางทีก็ไม่ต่างมากนัก เช่น อนุ (น้อย ภายหลัง ตาม), อปิ, ปิ (ใกล้ บน) ปริ

(รอบ), ปฺร, ป (ท่ัว กอ่ น ข้างหนา้ ออก) ทุสฺ, ทุ (ช่วั ยาก) อป (ปราศ หลีก) อปุ (ใกล้ ม่นั เขา้ ไป) (สภุ าพร มากแจ้ง,

๒๕๓๕ : ๕๒) (วิสันต์ิ กฎแกว้ , ๒๕๔๕ : ๙๕) และ (พฒั น์ เพ็งผลา, ๒๕๕๑ : ๗๐) ดังนี้

๑. อติ (ป.) อติ (ส.) แปลว่า ย่ิง, เกิน, ล่วง ในภาษาสันสกฤต ถ้าเติม อติ หน้าสระ จะเปล่ียน อิ เป็น ย

ส่วนภาษาบาลจี ะเปลยี่ น ติ เปน็ จจฺ ทง้ั นี้เพราะ อิ เกดิ ฐานเดยี วกับ ย และ จ ตวั อย่าง

อปุ สรรค + ธาตุ รูปศัพท์ ไทยใช้ ความหมาย

อติ + เทว อตเิ ทว อดเิ ทพ ย่ิงกว่าเทพ

อติ + ศกตฺ ิ อตศิ กฺติ อดิศกั ด์ิ อานาจย่ิง

อติ + อิต อตตี อดตี ลว่ งไปแล้ว

อติ + กร อติกร อตกิ ร ผทู้ ายิ่ง

อติ + จารี อตจิ ารี อตจิ ารี ประพฤตลิ ว่ ง

อติ + ตณฺหา อตติ ณหฺ า อดิตัณหา อยากจัด

อติ + โสภณ อตโิ สภณ อดิโสภณ งามย่ิง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๔๙

อติ + ปณฑฺ ิต อตปิ ณฑฺ ติ อติบณั ฑติ ฉลาดย่ิง

อติ + มาน อตมิ าน อดมิ าน ความเย่อหย่ิง

อติ + ราช อตริ าช อดริ าช เจ้าแผน่ ดนิ ผู้ยิง่ ใหญ่

อติ + เอก อตเิ รก อดเิ รก มากกวา่ หนง่ึ , เกิน

อติ + สาร อตสิ าร อดสิ าร อาการเจ็บไข้ทีเ่ ข้าขีดตาย

อติ + อุณฺห อจฺจุณฺห อัจจุณหะ ร้อนจัด

อติ + อุทก อจโฺ จทก อัจโจทกะ นา้ มาก

อติ + อนฺต อตยฺ นตฺ อัตยนั ตะ มากย่งิ

อติ + อนฺต อจจฺ นตฺ อัจจันตะ มากยิ่ง

๒. อธิ (ป.) อธิ (ส.) แปลว่า ย่ิง, ใหญ่, ทับ ตัวอย่าง ในภาษาสันสกฤต ถ้าเติม อธิ หน้าสระ จะเปล่ียน ธิ

เป็น ธย เพราะ ย เป็นอรรธสระของ อิ ส่วนภาษาบาลี ธ จะถูกดึงไปเป็น ฌ ซึ่งเกิดในฐานเดียวกับ อิ แต่ ณ เป็น

ธนติ สะกดไม่ได้ จึงเปลี่ยนเปน็ ช ซงึ่ เปน็ สิถิลสะกด แลว้ ฌ ตาม ตัวอยา่ ง

อุปสรรค + ธาตุ รปู ศัพท์ ไทยใช้ ความหมาย

อธิ + กรณ อธกิ รณ อธิกรณ์ เรอ่ื งราว คดี เหตุ

อธิ + การ อธกิ าร อธิการ ทาให้ย่ิง อานาจ

อธิ + คม อธคิ ม อธคิ ม ความสาเรจ็

อธิ + ฐาน อธิฏฺฐาน อธิษฐาน การตั้งมัน่

อธิ + ปติ อธิปติ อธิบดี ผ้เู ปน็ ใหญ่

อธิ + ปาย อธปิ ปฺ าย อธบิ าย แสดงความประสงค์

อธิ + สถฺ าน อธิษฺฐาน อธษิ ฐาน การตัง้ ใจม่นั

อธิ + โมกขฺ อธิโมกฺข อธโิ มกข์ ความเดด็ ขาด

อธิ + ราช อธิราช อธิราช ราชาผ้ยู ิง่ ใหญ่

อธิ + วาส อธิวาส อธิวาส ที่อยู่

อธิ + ศีล อธศิ ีล อธิศีล ศลี สูงยิ่ง

อธิ + มาส อธกิ มาส อธกิ มาส เดือนทเ่ี พิม่ ขึ้น

อธิ + อาศย อธฺยาศย อธั ยาศัย นสิ ัยใจคอ

อธิ + อาสย อชฺฌาสย อัชฌาสยั นสิ ยั ใจคอ

อธิ + อาจาร อชฺฌาจาร อชั ฌาจาร ประพฤติล่วง

อธิ + อตฺตกิ อชฌฺ ตฺตกิ อัชฌัตติกะ ภายใน เฉพาะตัว

อธิ + โอกาส อชฺโฌกาส อชั โฌกาส โอกาสอันยิง่

อธิ + อาตมฺ นฺ อธฺยาตฺมนฺ อัธยาตมัน วญิ ญาณ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๕๐

๓. อนุ (ป.) อนุ (ส.) แปลว่า น้อย, ภายหลงั , ตาม ตวั อยา่ ง

อุปสรรค + ธาตุ รูปศัพท์ ไทยใช้ ความหมาย
ผู้ช่วย
อนุ + กร อนุกร อนุการ ลาดบั ระเบยี บ
เก้ือหนนุ
อนุ + กรม อนุกรฺม อนกุ รม ผู้ตดิ ตาม
ผู้ประพฤติตาม
อนุ + กูล อนุกลู อนุกลู ผเู้ กดิ ตาม น้อง
ผ้เู กิดตามตระกูล
อนุ + ค อนุค อนุค ชนะเนอื่ ง ๆ
ยอมให้
อนุ + จร อนจุ ร อนจุ ร คอยเล้ียง
เหน็ ชอบตาม
อนุ + ช อนชุ นุช ยินดีตาม
การระลึกถงึ ความหลงั
อนุ + ชาต อนุชาต อนชุ าต ความระลึกถงึ
การสืบต่อ
อนุ + ชิต อนุชติ อนุชติ ตามขน, คลอ้ ยตาม
พระราชานอ้ ย
อนุ + ญาต อนญุ ฺญาต อนุญาต ผ้พู รา่ สอน
ตามวัน
อนุ + ปาล อนุปาล อนุบาล
ความหมาย
อนุ + มติ อนุมติ อนุมตั ิ ความผดิ เสียหาย
ปราศจากโชค
อนุ + โมทนา อนโุ มทนา อนโุ มทนา ปราศจากมงคล
ลกั ษณะชั่ว
อนุ + สรณ อนสุ ฺสรณ อนุสรณ์ คาตเิ ตียน
การดูถกู
อนุ + สติ อนุสติ อนสุ ติ ปราศจากเหตุ
ทปี่ ราศจากความเจริญ
อนุ + สนธฺ ิ อนุสนธฺ ิ อนสุ นธิ บอกเลกิ ทาใหข้ ดั เคอื ง
ความเสือ่ มเกยี รติ
อนุ + โลม อนโุ ลม อนุโลม

อนุ + ราช อนรุ าช อนุราช

อนุ + ศาสน อนุศาสน อนศุ าสน์

อนุ + ทนิ อนุทนิ อนทุ นิ

๔. อป (ป.) อป (ส.) แปลวา่ ปราศ, หลีก ตวั อยา่ ง

อปุ สรรค + ธาตุ รูปศพั ท์ ไทยใช้

อป + การ อปการ อัปการ

อป + ภาคยฺ อปภาคฺย อปั ภาคย์

อป + มงคฺ ล อปมงฺคล อัปมงคล

อป + ลกฺษณ อปลกษฺ ณ อัปลกั ษณ์

อป + วาท อปวาท อปั วาท

อป + มาน อปมาน อัปมาน

อป + เหตุ อปเหตุ อัปเหตุ

อป + อาย อปาย อบาย

อป + กต อปกต อปั กัต

อป + กรี ตฺ ิ อปกีรตฺ ิ อปั เกียรติ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๕๑

๕. อปิ, ปิ (ป.) อป,ิ ปิ (ส.) แปลว่า ใกล,้ บน ตวั อยา่ ง

อุปสรรค + ธาตุ รูปศพั ท์ ไทยใช้ ความหมาย

อปิ + กณฺณ อปกิ ณณฺ อปิกณั ณ์ ใกล้หู

อปิ + ธาน อปธิ าน อปธิ าน ฝาปดิ การคลมุ

อปิ + ลาปน อปิลาปน อปิลาปัน การทาซ้า ๆ

ปิ + ลนฺธน ปลิ นฺธน ปิลันธนา เคร่อื งประดบั

ปิ + ธาน ปธิ าน ปิธาน ฝาปิด

๖. อภิ (ป.) อภิ (ส.) แปลวา่ ยงิ่ , ใหญ่, จาเพาะ, ขา้ งหนา้ , เหนอื , วิเศษ, เกนิ , ล่วง ตวั อย่าง

อุปสรรค + ธาตุ รูปศพั ท์ ไทยใช้ ความหมาย

อภิ + ฆาต อภฆิ าต อภฆิ าต การฆ่า

อภิ + ชาต อภชิ าต อภชิ าต เกิดดี

อภิ + ชิต อภิชิต อภิชิต มีชยั ชนะแล้ว

อภิ + ญา อภิญฺญา อภิญญา ความรยู้ ่งิ

อภิ + ธรฺม อภิธรฺม อภิธรรม ธรรมย่งิ

อภิ + นนฺท อภินนฺท อภนิ ันท์ ความยนิ ดียงิ่

อภิ + นหิ าร อภินิหาร อภินหิ าร อานาจบญุ

อภิ + มขุ อภิมุข อภมิ ขุ หวั หน้า

อภิ + รติ อภิรติ อภิรดี ความยินดยี ิ่ง

อภิ + ลกขฺ ิต อภลิ กขฺ ิต อภิลกั ขติ สมัยทก่ี าหนดไว้

อภิ + วนฺทน อภวิ นทฺ น อภวิ นั ทน์ การกราบไหว้

อภิ + วาท อภิวาท อภวิ าท กราบไหว้

อภิ + สมย อภสิ มย อภิสมัย การตรัสรู้

อภิ + สิทธฺ ิ อภสิ ิทฺธิ อภิสิทธิ์ ความสาเร็จยง่ิ

อภิ + รมยฺ อภริ มฺย อภิรมย์ ยนิ ดียงิ่

อภิ + ราม อภริ าม อภิราม สบายใจยง่ิ

อภิ + สมาจาร อภิสมาจาร อภสิ มาจาร ความประพฤติอนั ดี

๗. อว, โอ (ป.) อว (ส.) แปลวา่ ลง ตา่ ตัวอยา่ ง

อปุ สรรค + ธาตุ รปู ศัพท์ ไทยใช้ ความหมาย

อว + ลกฺขณ อวลกขฺ ณ อวลักษณะ ลกั ษณะชวั่

อว + จร อวจร อวจร เคลอื่ นไป วิสยั

อว + ชาต อวชาต อวชาต มกี าเนดิ เลว

อว + ญา อวญญฺ า อวญั ญา ดูหมิ่น

อว + ตาร อวตาร อวตาร การหย่ังลง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๕๒

อว + รุทธฺ อวรทุ ฺธ อวรทุ ธ์ ถูกขบั ไล่ ขังไว้

อว + มงคฺ ล อวมงคฺ ล อวมงคล ลางรา้ ย

อว + คีต อวคีต อวคตี ะ ขับรอ้ งไมด่ ี

๘. อา (ป.) อา (ส.) แปลว่า ท่วั , ยง่ิ , กลบั ความ ตัวอยา่ ง

อุปสรรค + ธาตุ รปู ศพั ท์ ไทยใช้ ความหมาย

อา + คต อาคต อาคตะ มาแล้ว

อา + คม อาคม อาคม การมา

อา + ฆาต อาฆาต อาฆาต คดิ ฆ่า

อา + จารฺย อาจารยฺ อาจารย์ ผู้แนะนาพร่าสอน

อา + จร อาจร อาจร เทีย่ วมา

อา + ทาน อาทาน อาทาน การถอื เอา

อา + ทติ ฺย อาทติ ฺย อาทิตย์ ร้อนย่ิง

อา + นนฺท อานนฺท อานนท์ ความยนิ ดียิ่ง

อา + ปตฺติ อาปตตฺ ิ อาบัติ การลว่ งละเมดิ

อา + พาธ อาพาธ อาพาธ โรค

อา + ภรณ อาภรณ อาภรณ์ เครอื่ งประดับ

อา + รกฺข อารกขฺ อารักขา ดแู ลความปลอดภยั

อา + รมฺมณ อารมมฺ ณ อารมณ์ อารมณ์

อา + ราม อาราม อาราม วัด, เปน็ ท่ีมายินดีของคน

อา + ลปน อาลปน อาลปนะ การสนทนา, การร้องเรยี ก

อา + วาห อาวาห อาวาหะ การนามา, การแต่งงาน

อา + วรณ อาวรณ อาวรณ์ ความหว่ งใย

อา + วาส อาวาส อาวาส ท่ีอยูอ่ าศยั

อา + สย อาสย อาศัย เปน็ ที่มานอนของจิต

อา + หาร อาหาร อาหาร นามาซ่งึ กาลงั

๙. อุ (ป.) อุตฺ (ส.) แปลว่า ขึ้น, นอก ถ้า อุตฺ เติมหน้าสระหรือพยัญชนะโฆษะ จะเปลี่ยน อุตฺ เป็น อุทฺ

เพอื่ ใหเ้ ป็นเสียงโฆษะดว้ ยกัน ถา้ อุตฺ เติมหนา้ พยัญชนะอโฆษะ เติมได้เลย ส่วน อุ ในภาษาบาลี เมือ่ เติมหนา้ มกั จะ

แทรกตวั สะกดแบบสงั โยคเสมอ ตวั อยา่ ง

อปุ สรรค + ธาตุ รูปศพั ท์ ไทยใช้ ความหมาย

อุ + เฉท อุจเฺ ฉท อจุ เฉท การตัด

อุ + ธรณ อทุ ธฺ รณ อทุ ธรณ์ การยกขึ้น

อุตฺ + อย อุทย อทุ ยั การข้นึ

อุตฺ + อาหรณ อุทาหรณ อุทาหรณ์ ตัวอย่าง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๕๓

อุตฺ + โฆษะ อุทฺโฆษ อทุ โฆษ กึกก้อง, อุคฺโฆส (ป.)

อตุ ฺ + ยาน อทุ ฺยาน อทุ ยาน สวนเป็นท่รี ื่นรมย์ อุยยฺ าน (ป.)

อตุ ฺ + ทศิ อุทฺทศิ อุทศิ ยกให้ อุทฺทิสสฺ (ป.)

อุตฺ + เทศ อทุ เฺ ทศ อเุ ทศ การยกขน้ึ แสดง อุทเฺ ทส (ป.)

อตุ ฺ + สาห อตุ สฺ าห อตุ สาห์ ความขยัน อสุ ฺสาห (ป.)

๑๐. อุป (ป.) อุป (ส.) แปลวา่ เข้าไป, ใกล้, มน่ั ตวั อยา่ ง

อุปสรรค + ธาตุ รปู ศัพท์ ไทยใช้ ความหมาย

อุป + กรณ อปุ กรณ อปุ กรณ์ เคร่ืองใช้

อปุ + การ อปุ การ อปุ การะ ช่วยเหลือ

อปุ + กเิ ลส อปุ กกฺ ิเลส อุปกิเลส ความเศรา้ หมอง

อุป + จาร อุปจาร อุปจาระ การเข้าใกล้

อปุ + ถมภฺ อปุ ถมภฺ อุปถมั ภ์ การคา้ จุน

อปุ + เทศ อุปเทศ อุปเทศ การช้ีแจง

อุป + นิสฺสย อุปนสิ ฺสย อปุ นสิ ยั ความประพฤตทิ ่ีเคยชนิ

อุป + ฐาก อปุ ฏฺฐาก อุปัฏฐาก ผรู้ บั ใช้

อปุ + ทตู อปุ ทตู อุปทูต ทูตช้ันรอง

อุป + ปารมี อปุ ปารมี อปุ บารมี ความดที ่ีได้บาเพ็ญมายง่ิ กวา่ บารมี

อุป + โภค อุปโภค อุปโภค เครื่องใชส้ อย

อปุ + มาน อปุ มาน อปุ มาน การเปรียบเทียบในสง่ิ ท่คี ล้ายกนั

อุป + อาสก อุปาสก อบุ าสก ผู้เข้าไปนงั่ ใกลศ้ าสนา

อุป + อาทาน อุปาทาน อปุ าทาน การยึดมัน่

อุป + สตฺ รฺ ี อุปสตฺ ฺรี อปุ สตรี เมียน้อย

อุป + นิษทฺ อุปนิษทฺ อุปนิษท์ ผูน้ ัง่ ใกล้

๑๑. ทุ (ป.) ทุสฺ (ส.) แปลว่า ชั่ว, ยากไร้ ทุ อุปสรรค เมื่อเติมหน้า มักจะมีการแทรกตัวสะกดแบบสังโยค

ส่วน ทุสฺ อุปสรรคของสันสกฤต ถ้าเตมิ หนา้ สระหรือพยัญชนะเสยี งโฆษะ ต้องเปล่ียน สฺ ให้เป็น รฺ เพ่ือให้เป็นเสียง

โฆษะดว้ ยกัน แต่ถ้าเตมิ หนา้ พยัญชนะเสียงอโฆษะ เตมิ ได้เลย ตวั อย่าง

อปุ สรรค + ธาตุ รปู ศพั ท์ ไทยใช้ ความหมาย

ทุ + กร ทุกฺกร ทุกร ทาได้ยาก

ทุ + คต ทุคฺคต ทคุ ตะ เขญ็ ใจ

ทุ + คติ ทุคฺคติ ทุคติ ไปช่ัว ภมู ิชั่ว

ทุ + จริต ทุจฺจริต ทุจรติ ประพฤติช่ัว

ทุ + ปญฺญา ทปุ ปฺ ญญฺ า ทุปญั ญา ปญั ญาทราม

ทุ + ภาสิต ทพุ ภฺ าสติ ทุภาษิต พดู ช่ัว

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๕๔

ทุ + พล ทพุ พฺ ล ทพุ ล อ่อนแอ

ทุ + สีล ทุสฺสีล ทศุ ลี ผิดศีล

ทสุ ฺ + กร ทษุ กฺ ร ทุกร กระทาได้ยาก

ทุสฺ + ค ทรุ คฺ ทรุ -(กนั ดาร) ทไ่ี ปถงึ ยาก เขา้ ถึงยาก

ทุสฺ + คม ทรุ ฺคม ทรุ คม ไปลาบาก

ทสุ ฺ + ชน ทุรชฺ น ทรุ ชน คนช่วั

ทสุ ฺ + พล ทรุ ฺพล ทุรพล มีกาลงั นอ้ ย (ทพุ พล ป.)

ทุสฺ + ทิน ทรุ ทฺ นิ ทุรทิน วนั ฟา้ วันฝน

ทสุ ฺ + ภิกษฺ ทรุ ฺภกิ ษฺ ทุรภิกษา อตั คดั เสบียง

ทุสฺ + ลกษฺ ณ ทรุ ฺลกษฺ ณ ทรุ ลกั ษณ์ ลักษณะไม่ดี

๑๒. นิ (ป.) นสิ ฺ (ส.) แปลว่า เข้า, ลง, ไม่มี, ออก นิ อปุ สรรคของบาลี เม่ือเติมหนา้ คามักแรกตัวสะกดแบบ

สังโยค ส่วน นิสฺ เม่ือเติมหน้าสระหรือพยัญชนะโฆษะ จะเปลี่ยน นิสฺ เป็น นิรฺ ถ้าเติมหน้าพยัญชนะอโฆษะ เติมได้

เลย ตัวอยา่ ง

อุปสรรค + ธาตุ รูปศัพท์ ไทยใช้ ความหมาย

นิ + คห นิคฺคห นิคคหะ การขม่ ติเตียน

นิ + คาหก นิคฺคาหก นิคคาหก ผ้ขู ม่ ขู่

นิ + ทสสฺ น นิทสฺสน นิทัสสนา การเปรยี บเทียบ

นิ + เทส นิทฺเทส นิเทศ ช้แี จง

นิ + ธิ นธิ ิ นิธิ การฝังทรัพย์

นิ + นาท นนิ นฺ าท นนิ าท ความกกึ กอ้ ง

นิ + พาน นิพฺพาน นิพพาน ความดับกิเลสและกองทุกข์

นิ + พทิ า นิพพฺ ิทา นพิ พทิ า ความเบอ่ื หนา่ ยในกองทุกข์

นิ + ยาม นิยาม นยิ าม กาหนด

นิ + โรธ นิโรธ นโิ รธ ความดบั ตัณหา

นิ + วาส นิวาส นิวาส ทีอ่ ยู่อาศยั

นิสฺ + คุณ นิรคฺ ุณ เนรคุณ ไม่รู้คุณ เนรคณุ

นิสฺ + โฆษ นริ ฺโฆษ นิรโฆษ เสยี งดงั

นิสฺ + ชร นริ ฺชร นริ ชร ไมแ่ ก่ เทวดา

นสิ ฺ + มล นริ ฺมล นิรมล ไม่มีมลทิน

นสิ ฺ + อาพาธ นิราพาธ นิราพาธ ไมม่ ีความเจ็บไข้

นิสฺ + อุกฺติ นริ ุกฺติ นริ กุ ติ ภาษา คาพูด

นสิ ฺ + มิต นริ มฺ ติ เนรมติ สรา้ ง

นสิ ฺ + อนตฺ ร นริ นตฺ ร นิรนั ดร ไมม่ ีระหวา่ งค่นั

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๕๕

๑๓. ป (ป.) ปรฺ (ส.) แปลวา่ ทวั่ , ขา้ งหน้า, ก่อน, ออก ตัวอยา่ ง

อปุ สรรค + ธาตุ รปู ศพั ท์ ไทยใช้ ความหมาย

ป + กติ ปกติ ปกติ ความคงที่ ปรฺ กฤติ (ส.)

ป + กรณ ปกรณ ปกรณ์ คมั ภรี ์

ป + กาสติ ปกาสติ ประกาศติ ประกาศแล้ว

ป + ญา ปญญฺ า ปัญญา รอบรู้

ป + ญตตฺ ิ ปญญฺ ตฺติ บญั ญตั ิ การตง้ั ข้นึ

ป + ณิธาน ปณธิ าน ปณธิ าน ความตง้ั ใจแน่ว

ปรฺ + ปา ปรฺ ปา ประปา นา้ สาหรบั จา่ ย

ปรฺ + นาม ปฺรณาม ประณาม การกราบไหว้ การขบั ไล่

ปรฺ + ชฺญา ปรฺ ชญฺ า ปรชั ญา ความรู้ ภูมปิ ญั ญา

ปรฺ + กาศ ปฺรกาศ ประกาศ ปา่ วร้อง แจง้

ปฺร + มาท ปฺรมาท ประมาท มวั เมา

ปรฺ + โมทฺย ปฺรโมทฺย ปราโมทย์ ยนิ ดี

ปฺร + ยทุ ฺธ ปรฺ ยุทธฺ ประยทุ ธ์ รบ

ปฺร + สาท ปรฺ สาท ประสาท เส้นสาหรับนาความรูส้ กึ

๑๔. ปฏิ (ป.) ปฺรติ (ส.) แปลว่า เฉพาะ, ตอบ, ทวน, กลับ ปฏิ อุปสรรคของบาลี ถ้าเติมหน้าสระ จะ

เปล่ยี นเป็น ปจฺจ สว่ น ปฺรติ อปุ สรรคของสันสกฤต ถา้ เตมิ หน้าสระ จะเปล่ียนเป็น ปฺรตฺย ตัวอย่าง

อปุ สรรค + ธาตุ รปู ศัพท์ ไทยใช้ ความหมาย

ปฏิ + การ ปฏิการ ปฏิการะ การตอบแทน

ปฏิ + กิริยา ปฏิกริ ิยา ปฏกิ ิรยิ า อาการท่ีสะทอ้ นกลบั มา

ปฏิ + ปทา ปฏิปทา ปฏปิ ทา ทางดาเนิน

ปฏิ + พทธฺ ปฏิพทธฺ ปฏิพทั ธ์ ผกู พัน รักใคร่

ปฏิ + ญาณ ปฏิญฺญาณ ปฏญิ าณ การให้คามน่ั โดยสุจริต

ปฏิ + เสธ ปฏเิ สธ ปฏเิ สธ ไมร่ บั

ปฏิ + สงฺขรณ ปฏิสงขฺ รณ ปฏสิ ังขรณ์ การซ่อมแซม

ปฏิ + วาท ปฏิวาท ปฏวิ าท คาโต้

ปฏิ + อย ปจจฺ ย ปจั จยั เหตุ เครอ่ื งอาศัย

ปฏิ + อนกี ปจจฺ นีก ปจั จนกี ะ ตรงกันขา้ ม ขา้ ศกึ

ปฏิ + เอก ปจฺเจก ปัจเจก เฉพาะผเู้ ดยี ว

ปฏิ + อุ + ปนฺน ปจจฺ ปุ นฺน ปจั จบุ ัน เกดิ ข้ึนเฉพาะหน้า

ปฺรติ + สถฺ าน ปรฺ ติษฺฐาน ประดษิ ฐาน การตง้ั วาง การสร้างไว้

ปฺรติ + เสธ ปรฺ ตเิ สธ ประตเิ สธ การห้าม

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

ปรฺ ติ + ปกฺษ ปรฺ ตปิ กษฺ ประตปิ กั ษ์ ๑๕๖

ปฺรติ + ชญฺ า ปฺรติชฺญา ประตชิ ญา ศัตรู
คาม่นั สญั ญา
ปรฺ ติ + ทิน ปฺรตทิ ิน ปฏทิ ิน เฉพาะวนั
การเกิดขน้ึ เฉพาะหนา้
ปรฺ ติ + อกษฺ ปฺรตฺยกษฺ ปรตั ยักษ์ สดุ เขต
การกลับ
ปฺรติ + อนฺต ปฺรตฺยนตฺ ปรตั ยนั ต์ เฉพาะคนเดียว
ตอบ
ปรฺ ติ + อาคม ปรฺ ตยฺ าคม ปรัตยาคม
ความหมาย
ปฺรติ + เอก ปรฺ ตเฺ ยก ปรัตเยก ความพา่ ยแพ้
แพแ้ ลว้
ปฺรติ + อกุ ฺติ ปรฺ ตยฺ กุ ตฺ ิ ปรัตยุกติ์ ความฉิบหาย
การจบั ตอ้ ง
๑๕. ปรา (ป.) ปรา (ส.) แปลว่า กลับความ ตัวอย่าง
ความหมาย
อุปสรรค + ธาตุ รูปศัพท์ ไทยใช้ เครอื่ งใช้
หญงิ รับใช้
ปรา + ชย ปราชย ปราชัย การกาหนด ตอน
รรู้ อบ
ปรา + ชิต ปราชติ ปราชติ การร้องคร่าครวญ
การดบั สนิท
ปรา + ภว ปราภว ปราภพ วงรอบ
การใชส้ อย
ปรา + มาส ปรามาส ปรามาส ผแู้ วดล้อม
ความหมดจด
๑๖. ปริ (ป.) ปริ (ส.) แปลวา่ รอบ ตัวอยา่ ง การบรหิ าร

อปุ สรรค + ธาตุ รูปศพั ท์ ไทยใช้ ความหมาย
แย้มแลว้
ปริ + ขาร ปริกขฺ าร บรขิ าร มีความบกพรอ่ งทางร่างกาย
ผิดเวลา
ปริ + จาริกา ปริจารกิ า บริจารกิ า การเห็นแจ้ง

ปริ + เฉท ปรจิ ฺเฉท ปรจิ เฉท

ปริ + ญา ปริญฺญา ปริญญา

ปริ + เทว ปริเทว ปรเิ ทวะ

ปริ + นพิ ฺพาน ปรินิพพฺ าน ปรนิ ิพพาน

ปริ + ภณฑฺ ปรภิ ณฺฑ ปรภิ ัณฑ์

ปริ + โภค ปรโิ ภค บริโภค

ปริ + วาร ปริวาร บรวิ าร

ปริ + สทุ ฺธิ ปริสุทฺธิ บรสิ ทุ ธิ์

ปริ + หาร ปริหาร บริหาร

๑๗. วิ (ป.) วิ (ส.) แปลว่า วิเศษ, แจง้ , ต่าง, กลบั ความ ตวั อย่าง

อุปสรรค + ธาตุ รูปศพั ท์ ไทยใช้

วิ + กสติ วกิ สิต วิกสิต

วิ + การ วิการ พิการ

วิ + กาล วิกาล วิกาล

วิ + จกขฺ ณ วิจกฺขณ วจิ กั ขณะ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๕๗

วิ + จารณ วิจารณ วิจารณ์ การใครค่ รวญ

วิ + จิกจิ ฉฺ า วิจกิ ิจฉฺ า วจิ ิกิจฉา ความสงสยั

วิ + ญาณ วิญฺญาณ วญิ ญาณ การแผไ่ ป พิสดาร

วิ + เทศ วิเทศ วิเทศ ตา่ งประเทศ

วิ + ปสฺสนา วิปสสฺ นา วปิ ัสสนา ความเห็นแจง้

วิ + ปโยค วปิ ปฺ โยค วปิ โยค การพลดั พราก

วิ + ภตฺติ วิภตฺติ วภิ ัตติ การแบง่ การแจก

๑๘. ส (ป.) ส (ส.) แปลว่า พร้อม, กับ, ดี ส อุปสรรค เม่ือเติมหน้าพยัญชนะวรรค จะเปล่ียนนิคหิตเป็น

พยัญชนะนาสกิ ของพยญั ชนะวรรคนั้น ๆ ถา้ เติมหน้าสระ มักเปลย่ี นเป็น ม ตัวอยา่ ง

อปุ สรรค + ธาตุ รปู ศัพท์ ไทยใช้ ความหมาย

ส + เกต สงฺเกต สังเกต การหมายไว้

ส + คม สงฺคม สังคม การคบค้าสมาคมกนั

ส + คห สงฺคห สงเคราะห์ การชว่ ยเหลือ

ส + จย สญฺจย สญั จยั การสะสม

ส + จร สญฺจร สัญจร เทย่ี วไป

ส + ฐาน สณฺฐาน สัณฐาน ลกั ษณะ ทรวดทรง

ส + ตาน สนตฺ าน สนั ดาน การสบื เนอื่ ง

ส + ถต สนฺถต สนั ถัด ปูลาดแล้ว

ส + อาปตฺติ สมาปตฺติ สมาบตั ิ การเขา้ ฌาน

ส + อาคม สมาคม สมาคม การมาประชุมกนั

ส + อาธิ สมาธิ สมาธิ ความตงั้ ใจม่ัน

ส + อจุ เฺ ฉท สมจุ เฺ ฉท สมจุ เฉท การตัดขาด

ส + อุทย สมุทย สมุทัย เหตใุ หเ้ กดิ

๑๙. สุ (ป.) สุ (ส.) แปลวา่ ด,ี งาม, ง่าย ตัวอยา่ ง

อุปสรรค + ธาตุ รูปศพั ท์ ไทยใช้ ความหมาย

สุ + คต สุคต สคุ ต ผไู้ ปดแี ล้ว

สุ + คติ สุคติ สุคติ การไปดี

สุ + ชาติ สุชาต สุชาติ เกิดดีแล้ว

สุ + ภร สภุ ร สุภ-(ลักษณ์) เลยี้ งง่าย (สุภลกั ษณ์)

สุ + รต สรุ ต สรุ -(เสียง) ยินดีแล้ว (สุรเสียง)

สุ + วชิ าน สุวชิ าน สุวชิ าน ความร้ดู ี

สุ + จริต สจุ ริต สุจริต ประพฤติดแี ล้ว

สุ + คนธฺ สุคนธฺ สคุ นธ์ กลนิ่ หอม

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๕๘

สุ + เมธ สุเมธ สเุ มธ ปัญญาดี
สุ + มน สุมน สมุ น มีใจดี

๘.๒ การสรา้ งคาโดยวธิ กี ิตก์
ปจั จยั กิตกเ์ ป็นปัจจัยทใี่ ชส้ าหรับประกอบท้ายธาตุมี ๒ ชนิด คอื นามกติ ก์และกริยากติ ก์ (ปรีชา ทชิ ินพงศ์,

๒๕๓๔ : ๗๔ – ๘๖) ดงั นี้
๑. ปัจจัยนามกิตก์เป็นปัจจัยท่ีใช้ประกอบธาตุเพื่อปรุงให้เป็นนามศัพท์ มีอยู่หลายตัวแบ่งตามหน้าท่ี

ได้ ๓ พวก ได้แก่
๑.๑ กติ ปจั จัยใช้แต่งนามเพ่อื ทาหน้าทเ่ี ปน็ กรรตกุ ารก (ผ้ทู า) มปี จั จัยทสี่ าคญั คือ
กฺวิ ปัจจัย เม่ือนามาประกอบท้ายธาตุ มักลบทิ้งเสียทั้ง กฺวิ และพยัญชนะท้ายธาตุ แต่ถ้าธาตุมี

พยัญชนะตัวเดียว คงลบเฉพาะ กฺวิ กรณีท่ีธาตุมีพยัญชนะตัวเดียว มักจะคงรูปเดิม ลบแต่ กฺวิ ทิ้ง อีกอย่างหนึ่ง
ธาตุบางตัวเปลี่ยนรปู เปน็ พิเศษ คอื วิทฺ ไมต่ อ้ งลบพยัญชนะท้ายธาตุ แตต่ อ้ งลงอาคม อู ทา้ ยศัพท์ ศัพท์ทไ่ี ดแ้ ปลว่า
“ผ.ู้ ..” ตัวอย่าง

ธาตุ ปัจจัย รปู สาเรจ็ บทหน้า รูปสาเรจ็ รปู ศัพท์ ความหมาย
คมฺ (ไป) อนคุ ผู้ติดตาม
อนุ ค อรุ ค ผไู้ ปด้วยอก
ชนฺ (เกดิ ) วหิ ค ผไู้ ปในอากาศ นก
อุร ค ทรุ ค ผเู้ ข้าถงึ ไดย้ าก
ตรงฺค ผกู้ ลง้ิ ไป คลื่น
วิห ค ตรุ ค ผไู้ ปเรว็ มา้
ภุชค ผู้ไปดว้ ยขนด พญานาค
กวฺ ิ ค ทุสฺ ค อนชุ ผู้เกิดตาม น้อง
ทฺวชิ ผู้เกดิ สองครัง้ นก
ตร ค อมฺพุช ผู้เกดิ จากนา้ ปลา บวั
ทนตฺ ช ผู้เกิดแตฟ่ ัน
ตรุ ค อณฺฑช ผู้เกิดแตไ่ ข่ นก ปลา
กณฐฺ ช ผู้เกิดแต่คอ
ภชุ ค ชลช ผเู้ กดิ ในน้า ปลา ดอกบัว
ปงฺกช ผู้เกิดในเปือกตม ดอกบัว
อนุ ช มนชุ ผู้เกดิ จากพระมนู คอื คน
วารชิ ผเู้ กิดในน้า ปลา
ทฺวิ ช สโรช ผเู้ กิดแตส่ ระ ดอกบวั

อมฺพุ ช

ทนฺต ช

อณฺฑ ช

กฺวิ ช กณฐฺ ช
ชล ช

ปงกฺ ช

มนุ ช

วาริ ช

สร ช

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๕๙

สุ ข สขุ ผู้ขุดดี

ขนฺ (ขดุ ) กฺวิ ข ทุ ข ทกุ ฺข ผขู้ ดุ ชว่ั

ส ข สงฺข ผูข้ ุดดี หอย

ปาลฺ กฺวิ ป อธิ ป อธิป ผู้ค้มุ ครองท่ยี งิ่ ใหญ่

(คุ้มครอง นฤ ป นฤป ผู้คุม้ ครองคน

ภู (เปน็ ) กฺวิ ภู ส ภู สยมภู พระผู้เปน็ เอง

ธา (เปน็ ) กฺวิ ธา วสุ ธา วสธุ า ผทู้ รงไว้ซง่ึ ทรัพย์ แผ่นดิน

ชิ (ชนะ) กวฺ ิ ชิ มาร ชิ มารชิ ผู้ชนะมาร

ญา (ร)ู้ กฺวิ ญา ป ญา ปญญฺ า ความรูท้ วั่

วทิ ฺ (ร้)ู กวฺ ิ วิท - วิท วิทู ผู้มีความรู้

รมฺ (ยนิ ด)ี กฺวิ ร กญุ ฺช ร กญุ ฺชร ผู้ยินดีในหบุ เขา ช้าง

ณี ปัจจัย เม่ือนา ณี ปัจจัยไปประกอบท้ายธาตุใดให้ลบ ณ ท้ิง คง อี ไว้ แล้วเพิ่มกาลังให้แก่สระ

ตน้ ธาตุ โดยวิธีคณู หรือพฤทธิ คือจาก อะ เป็น อา, จาก อิ เปน็ เอ, ไอ จาก อุ เป็น โอ, เอา ศัพท์ที่ได้แปลว่า “ผู.้ ..

โดยปกต”ิ

ธาตุ ปจั จัย รูปศพั ท์ ความหมาย

กรฺ (ทา) ณี การี ผกู้ ระทาโดยปกติ เชน่ บุพการ,ี สงั ฆการี

วสฺ (อย)ู่ ณี วาสี ผอู้ ย่โู ดยปกติ เชน่ อรัญวาสี, คามวาสี

จรฺ (ประพฤต)ิ ณี จารี ผู้ประพฤติโดยปกติ เช่น พรหมจาร,ี ธรรมจารี

วิทฺ (ร้)ู ณี เวที ผรู้ ูโ้ ดยปกติ เชน่ กตเวที

คมฺ (ไป) ณี คามี ผู้ไปโดยปกติ เชน่ อนาคามี

ยชุ ฺ๑ (ประกอบ) ณี โยคี ผู้ประกอบโดยปกติ

ยธุ ฺ (รบ) ณี โยธี ผรู้ บโดยปกติ เช่น โยธาหาร

ภชุ ฺ (กิน) ณี โภคี ผมู้ ักกินโดยปกติ เชน่ กามโภคี

ชวี ฺ (อย)ู่ ณี ชวี ี ผมู้ กั อยูโ่ ดยปกติ

อีกอย่างหนึง่ ณี ปัจจยั ประกอบกบั ธาตุและมบี ทหนา้ ดว้ ยกม็ ี

บทหน้า ธาตแุ ละความหมาย รูปศัพท์ ความหมาย

กต วทิ ฺ (ร้)ู กตเวที ผรู้ ูซ้ ึง่ อุปการะอนั เข้าทาแล้ว ผสู้ นองคณุ ทา่ น

กาม ภชุ ฺ (กิน บริโภค) กามโภคี ผยู้ ังเสพกามอยู่

คาม วสฺ (อยู่ อาศยั ) คามวาสี ผอู้ ยใู่ นหมู่บ้าน

๑ ช เปน็ พยญั ชนะวรรค จ ซงึ่ มีคณุ สมบัตเิ ป็นอกั ษรแปร ในกรณที ีต่ อ้ งแปร จะแปรเป็นพยัญชนะวรรค ก ที่มี
คุณสมบตั ิของเสียงตรงกนั เช่น จ เป็น ก หรือ ช เปน็ ค

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๖๐

ธมมฺ จรฺ (ประพฤต)ิ ธมฺมจารี ผปู้ ระพฤติธรรม
ธมมฺ วทฺ (กล่าว พดู ) ธมมฺ วาที ผกู้ ลา่ วซ่งึ ธรรมโดยปกติ
ธมมฺ รุจฺ (ชอบใจ) ธมมฺ รูจี ผู้ชอบใจธรรม
ปพุ ฺพ กรฺ (ทา) ปุพฺพการี ผ้ทู ท่ี าอปุ การะมากอ่ น

ณวุ ปัจจัย เมอื่ นา ณวุ ประกอบท้ายธาตุใด ๆ ให้แปลง ณวุ เป็น อก ถ้าต้นธาตเุ ปน็ รัสสระให้คูณ

เสียงได้และถ้าท้ายธาตเุ ปน็ อา ใหล้ ง ย เสยี กอ่ น ศพั ท์ที่ได้แปลวา่ “ผ.ู้ ..”

ธาตุ ปัจจยั รปู ศพั ท์ ความหมาย

กรฺ (ทา) ณวุ การก ผู้ทา เช่น กรรตุการก กรรมการก

กนฺ (ส่องสว่าง) ณวุ กนก ทองคา

กฦปฺ (จดั แจง) ณวุ กลปฺ ก ชา่ งตดั ผม ช่างโกนผม

ยาจฺ (ขอ) ณวุ ยาจก ผขู้ อ

ศาสฺ (สอน) ณวุ ศาสก ผสู้ อน เชน่ อนุศาสก

สวิ ฺ (รบั ใช้) ณวุ เสวก ผรู้ ับใช้

ปาฐ (บอก) ณวุ ปาฐก ผบู้ อก

สาธฺ (สาเร็จ) ณวุ สาธก ผู้ทาใหส้ าเรจ็

ฆุษฺ (ประกาศ) ณวุ โฆษก ผู้ประกาศ

ชวี ฺ (อยู่) ณวุ ชวี ก ผเู้ ป็นอยู่

ทศิ ฺ (ชแ้ี จง) ณวุ เทศก ผู้ช้ีแจง เช่น ศกึ ษานิเทศก์

จุทฺ (ฟ้อง) ณวุ โจทก ผฟู้ ้อง

ทารฺ (เมยี ) ณวุ ทารก ผเู้ กิดแต่เมีย

ชนฺ (เกดิ ) ณวุ ชนก ผใู้ ห้เกิด

ถมฺภ (บารงุ ) ณวุ ถมฺภก ผูบ้ ารุง เช่น อุปภัมภก

นฏ (ฟอ้ น) ณวุ นาฏก ผฟู้ อ้ นรา

น๒ี (นา) ณวุ นายก ผนู้ า

สุ๓ (ฟงั ) ณวุ สาวก ผฟู้ ัง

ทา (ให้) ณวุ ทายก ผใู้ ห้

ตลิ ฺ (เป็นไป) ณวุ ตลิ ก เลิศ ยอด เฉลิม รอยเจิม

ปฏิ ฺ (รวบรวม) ณวุ ปิฏก ตะกรา้

๒ อี กลายเปน็ ย เพราะ ย เป็นอรรธสระของ อี
๓ อุ กลายเปน็ ว เพราะ ว เปน็ อรรธสระของ อุ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๖๑

ตุ ปัจจัย เม่ือนา ตุ ประกอบท้ายธาตุใด ให้คงรูป ตุ ไว้ ถ้าธาตุมีพยัญชนะ ๒ ตัว มักแปลง

พยัญชนะท้ายธาตุและเปลี่ยนสระต้นธาตุได้บ้าง ตุ ปัจจัย เป็นของบาลี สันสกฤตใช้ ตฤ ซึ่งไทยมักเปลี่ยนเป็น ตร

ศพั ท์ท่ไี ด้แปลวา่ “ผู.้ ..”

ธาตุ ปัจจยั รูปศัพท์ ความหมาย

กรฺ (ทา) ตุ กตตฺ ุ ผทู้ า (เป็นประธานในประโยค)

ภรฺ (เลย้ี ง) ตุ ภตฺตุ ผู้เลีย้ ง (สาม)ี

วทฺ (กลา่ ว) ตุ วตฺตุ ผกู้ ลา่ ว

หรฺ (นา) ตุ หตตฺ ุ ผนู้ า

สาสฺ (สอน) ตุ สตถฺ ุ ผสู้ อน

ธา (ทรง) ตุ ธาตุ ผทู้ รงไว้ ผ้สู ร้าง

ญา (รู)้ ตุ ญาตุ ผรู้ ู้

มา (สรา้ ง) ตุ มาตุ ผูส้ ร้าง

ปิ (รักษา) ตุ ปิตุ ผู้รักษา

นี (นา) ตุ เนตุ ผู้นา

สุ (ฟัง) ตุ โสตุ ผู้ฟงั

ศาสฺ (สอน) ตฤ ศาสฺตฤ ผู้สอน (ศาสตร)

นี (นา) ตฤ เนตฤ ผนู้ า (เนตร)

ปิ (รกั ษา) ตฤ ปิตฤ ผู้รกั ษา (บิดร)

วสฺ (อาศยั ) ตุ วสตฺ ุ วัตถุทน่ี ามาใช้

รู ปัจจยั เมือ่ นา รู ประกอบท้ายธาตใุ ด ให้ลบ ร คง อู ไว้ ถา้ ธาตุเป็นอักษรตวั เดียว ให้คงอักษรไว้

เปล่ียนเฉพาะสระเป็น อู ถา้ ธาตุมีอักษร ๒ ตวั มักลบอักษรท้ายธาตุ ถ้าธาตุมีตัวสะกดตัวตาม ให้ทอนเสียง อู เป็น

อุ สาหรบั วทิ ฺ ธาตุ เตมิ อู ได้เลย ศัพท์ท่ีได้แปลวา่ “ผ้.ู ..” “ผ้.ู ..โดยปกติ”

บทหนา้ ธาตุ ปัจจยั รูปศัพท์ ความหมาย

กต ญา (รู้) รู กตญฺญู ผ้รู ู้ เชน่ กตญั ญู วิญญู วรญั ญู

ปาร คมฺ (ไป) รู ปารคู ผูไ้ ปโดยปกติ เชน่ ปารคู อันตคู

- ภกิ ขฺ (ขอ) รู ภิกฺขุ ผู้ขอ

- วทิ ฺ (รู้) รู วทิ ู ผู้รู้ เชน่ โลกวิทู

วท ญา (ร)ู้ รู วทญญฺ ู เอ้ือเฟอ้ื เผือ่ แผ่ ใจดี

วร ญา (รู้) รู วรญญฺ ู ผู้ตรัสรู้ธรรมอันประเสริฐ

สพฺพ ญา (รู้) รู สพฺพญฺญู ผรู้ ู้ทุกสง่ิ ทกุ อยา่ ง

อตฺต ญา (รู)้ รู อัตตัญฺญู ผู้รูจ้ กั ตน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๖๒

๑.๒ กิจจ ปัจจยั ใชแ้ ตง่ นามเพอ่ื ทาหนา้ ที่เป็นกรรมการก (ผู้ถกู กระทา)

ข ปัจจยั เมื่อนา ข ประกอบท้ายธาตุใด ใหล้ บ ข ทิ้ง และไมม่ ีอานาจในการแปลงธาตดุ ว้ ย ศัพท์ท่ี

เกิดจากปัจจัยนี้มักจะมีคานาหน้าอยู่ ๓ คา คือ สุ (ดี งาม ง่าย), ทุ (ช่ัว ยาก), อีส (หน่อยหน่ึง) ศัพท์ท่ีได้แปลว่า

“อันเขา...” “การ...” “ความ...”

บทหนา้ ธาตุ ปัจจัย ศพั ท์ ความหมาย

ทุ กรฺ (นา) ข ทุกฺกร อันบุคคลกระทาได้ยาก

สุ ภรฺ (เลี้ยง) ข สุภร อันเขาเลี้ยงง่าย

สุ วจฺ (กล่าว) ข สวุ จ อันเขากลา่ วดี

ทุ ชีวฺ (อย)ู่ ข ทุชฺชีว ความเปน็ อยไู่ ด้โดยยาก

อีส กรฺ (นา) ข อสี กฺกร อันเขาทาหน่อยหนง่ึ

ณย ปัจจัย เม่ือนา ณย ประกอบท้ายธาตุใด ให้ลบ ณ คง ย ไว้ และมีการเปล่ียนสระต้นธาตุโดย

วิธีคูณ ศัพท์ท่ีได้แปลว่า “อันเขาพึง...” “การ...” “ความ...” ในภาษาบาลี ถ้าธาตุมีพยัญชนะ ๒ ตัว จะต้อง

กลมกลืนเสียงตามหลกั การสังโยค ถ้าท้ายธาตุเป็น ร ให้ลง อิ อาคมที่ ร และถา้ ท้ายธาตุเป็น อา อิ อี ให้แปลงเป็น

เอยฺย ในภาษาสันสกฤต ณย ปัจจัย คือ ย ปัจจัย เม่ือนาไปประกอบทา้ ยธาตุ ให้คูณเสียงสระต้นธาตุแล้วเติม ย ได้

เลย

ธาตุ ปัจจยั ศพั ท์ ความหมาย

นฏฺ (ฟอ้ น) ณย นจจฺ การฟอ้ น

ยชุ ฺ (ประกอบ) ณย โยคฺค อันเขาพงึ ประกอบ

วจฺ (กลา่ ว) ณย วากฺย อันเขาพึงกลา่ ว

วทฺ (กลา่ ว) ณย วชชฺ อันเขาพงึ กล่าว

มุทฺ (ยินดี) ณย โมชชฺ อันเขาพงึ ยนิ ดี

วิทฺ (ร)ู้ ณย เวชฺช อนั เขาพงึ รู้

ภรฺ (เลย้ี ง) ณย ภรยิ า อันเขาพงึ เล้ียง

กรฺ (ทา) ณย กรยิ อนั เขาพงึ ทา

จรฺ (ประพฤติ) ณย จริย ความประพฤติ

นี (นา) ณย เนยยฺ พึงนา

ชิ (ชนะ) ณย เชยยฺ พึงชนะ

ทา (ให้) ณย เทยฺย พงึ ให้

สี (นอน) ณย เสยยฺ พึงนอน

นฏฺ (ฟ้อน) ณย นาฏยฺ พึงฟ้อน การฟอ้ น

มทุ ฺ (ยนิ ด)ี ณย โมทยฺ อันพงึ ยินดี

รุชฺ (เบียดเบยี น) ณย โรคฺย อนั พึงเบียดเบยี น

กรฺ (ทา) ณย การฺย อันพงึ กระทา

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๖๓

วทิ ฺ (รู)้ ณย วทิ ย ความรู้
โลกฺ (เห็น)
วทิ ฺ (รู)้ ณย โลกฺย อันเขาพึงกลา่ ว
จรฺ (ประพฤต)ิ
ภรฺ (เลี้ยง) ณย เวทฺย อนั เขาพึงรู้
อรฺ (ไป ถึง)
ป + วชฺ (ไป) ณย จารฺย อนั พึงประพฤติ
วิทฺ (ร)ู้
ณย ภารยฺ อันเขาพงึ เลย้ี ง
ณย อริย๔ เจริญ เดน่ ประเสริฐ
ณย ปพพฺ ชชฺ า๕ การบวช
ณย วิชฺชา๖ ความตรัสรู้ ความร้ทู ไ่ี ดด้ ว้ ยการเล่าเรียน

๑.๓ กิตกจิ จ ปัจจัย ใช้แตง่ นามใหท้ าหน้าทไี่ ดท้ ้ังผู้ทาและผ้ถู กู กระทา

ยุ ปัจจัย เม่ือนา ยุ ประกอบท้ายธาตุใด ให้เปลี่ยน ยุ เป็น อน หรือ อณ แล้วแต่กรณี และต้อง

แปลงเสยี งสระต้นธาตดุ ้วยวิธคี ูณ ศัพท์ท่ีไดแ้ ปลวา่ “การ...” “ความ...” “ผ.ู้ ..”

ธาตุ ปัจจยั ศัพท์ ความหมาย

สิวฺ (เก่ียวขอ้ ง) ยุ เสวน การเก่ยี วขอ้ ง การคบ

คมฺ (ไป) ยุ คมน การไป

อาสฺ (น่งั ) ยุ อาสน ทน่ี ่งั

วิทฺ (รู้) ยุ เวทน ความรู้สึก

มทุ ฺ (ยินด)ี ยุ โมทน ความยินดี

รจุ ฺ (รงุ่ เรือง) ยุ โรจน ความรงุ่ เรือง

ยุชฺ (ประกอบ) ยุ โยชน การประกอบ

ฆุษฺ (ประกาศ) ยุ โฆษณ การประกาศ

สมฺ (สงบ) ยุ สมณ ผสู้ งบ

จินตฺ (คิด) ยุ จินฺตน ความคิด

สรฺ (ระลกึ ) ยุ สรณ ผสู้ งบ

กรฺ (ทา) ยุ กรณ การกระทา

มรฺ (ตาย) ยุ มรณ ความตาย

สุ (ฟัง) ยุ สวน การฟัง

นี (นา) ยุ นยน เคร่ืองนา ตา

ญา (รู้) ยุ ญาณ ความรู้

ฐา (ต้งั ) ยุ ฐาน การต้ังขนึ้

๔ ในภาษาบาลี ลง อิ อาคมในท่สี ดุ ธาตุ
๕ ธาตทุ ่ีมี ชฺ เป็นท่ีสดุ ให้แปลง ชฺ กบั ย เป็น ชชฺ
๖ ธาตุทีม่ ี ทฺ เป็นทีส่ ุด ให้แปลง ทฺ กับ ย เป็น ชชฺ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๖๔

ภชุ ฺ (กนิ ) ยุ โภชน การกนิ
ธรฺ (ทรง) ยุ ธรณ การทรงไว้
วสฺ (อย)ู่ ยุ วาสน การอยู่ การอบ
ภู (อย่)ู ยุ ภาวนา ความเปน็ อยู่

ณ ปจั จัย เมื่อนา ณ ประกอบท้ายธาตุใด ให้ลบ ณ ทิ้ง แล้วเพิ่มกาลงั ให้แก่สระต้นธาตุด้วยวิธีคูณหรือ

พฤทธิ ถ้าตน้ ธาตุเป็นทีฆสระหรือพยัญชนะสังโยค ก็ไมต่ ้องเปลี่ยนแปลงเสียงสระต้นธาตุ ถา้ ท้ายพยัญชนะเปน็ อา

ต้องลง ย ก่อน ศพั ท์ทีไ่ ด้แปลว่า “การ...” “ความ...” “ผู.้ ..”

ธาตุ ปจั จัย ศพั ท์ ความหมาย

กรฺ (ทา) ณ การ การทา ผทู้ า

มรฺ (ตาย) ณ มาร ผใู้ ห้ตาย

ภรฺ (หนัก) ณ ภาร ของหนัก

จรฺ (ประพฤต)ิ ณ จาร การประพฤติ

ภทิ ฺ (แตก) ณ เภท การแตก การทาลาย

วทิ ฺ (รู)้ ณ เวท ความรู้

วทฺ (กล่าว) ณ วาท การกล่าว

ยุชฺ (ประกอบ) ณ โยค การประกอบ

ภชฺ (แบง่ ) ณ ภาค การแบ่ง

จชฺ (สละ) ณ จาค การสละ เชน่ บรจิ าค

วสฺ (อยู)่ ณ วาส การอยู่

มนฺ (คดิ ) ณ มาน การคดิ

ลิขฺ (เขียน) ณ เลข การขดี เขยี น

พนธฺ (ผูก) ณ พนธฺ การผกู เครอ่ื งผูก

ปาลฺ (เลย้ี ง) ณ ปาล ผเู้ ลย้ี ง

ภู (เปน็ ) ณ ภาว ความเปน็

ภี (กลวั ) ณ ภย ความกลัว

ทา (ให้) ณ ทาย ผใู้ ห้

ติ ปัจจัย เม่ือนา ติ ประกอบด้วยธาตุใด ให้คง ติ ไว้ตามเดิม ศัพท์ที่ได้แปลว่า “ผู้...” “การ...”
“ความ...” วิธีตกแต่งธาตุ มดี ังน้ี ๑) ถา้ ธาตมุ ีพยัญชนะตัวเดียว เติม ติ ไดเ้ ลย ถ้าท้ายธาตุเป็น อา ให้แปลง อา เป็น
อิ กอ่ น ๒) ถา้ ธาตุมพี ยัญชนะ ๒ ตัว มักลบตัวท้ายออก ๓) ถ้าท้ายธาตุเป็น ธ หรอื ภ จะเปล่ียนเปน็ ทฺธิ ๔) ถ้าทา้ ย
ธาตเุ ป็น ศ ษ ส จะเปล่ยี นเปน็ ษฺฏิ ในภาษาสนั สกฤต และ ฏฐิ ในภาษาบาลี ๕) ถ้าท้ายธาตเุ ป็น ม มกั แปลงเปน็ น

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๖๕

ธาตุ ปัจจยั ศพั ท์ ความหมาย
ญา (รู้)
นี (นา) ติ ญาติ การรวู้ า่ เปน็ พวกเดยี วกนั
ภู (เป็น)
สุ (ฟงั ) ติ นตี ิ การนาไป
สู (คลอด)
จุ (เคล่อื น) ติ ภูติ ความเปน็ ผูเ้ ปน็
มา (วดั )
สฺถา (ต้ัง) ติ สตุ ิ การฟัง
ปา (ดม่ื )
ฐา (ตัง้ ) ติ สูติ การคลอด
กรฺ (ทา)
ชนฺ (เกดิ ) ติ จุติ การเคลอื่ น
คมฺ (ไป)
รมฺ (ยินด)ี ติ มิติ การวดั
สรฺ (ระลกึ )
มนฺ (คดิ ) ติ สถฺ ิติ การตงั้ ไว้
ยชุ ฺ (ประกอบ)
มุจฺ (พ้น) ติ ปีติ ความดมื่ ด่า
ยธุ ฺ (รบ)
พุธฺ (ร้)ู ติ ฐติ ิ การต้งั อยู่
สิธฺ (สาเรจ็ )
สุธฺ (หมดจด) ติ กติ การทา
ลภฺ (ได)้
อธิ ฺ (อานาจ) ติ ชาติ การเกิด
ทุสฺ (คิดรา้ ย)
ทสิ ฺ (เหน็ ) ติ คติ การไป
ตุสฺ (ยนิ ด)ี
ทฤษฺ (เหน็ ) ติ รติ ความยินดี
ขมฺ (อดทน)
สมฺ (สงบ) ติ สติ ความระลึกได้
กมฺ (รกั )
ทมฺ (ฝกึ ) ติ มติ ความคิดเห็น

ติ ยุตตฺ ิ การประกอบ ความถูกตอ้ ง

ติ มตุ ฺติ ความพน้

ติ ยุทธฺ ิ การรบ

ติ พุทธฺ ิ ความรู้

ติ สิทฺธิ ความสาเรจ็

ติ สุทฺธิ ความหมดจด

ติ ลทธฺ ิ ผลท่ีได้

ติ อทิ ธฺ ิ ความมอี านาจ

ติ ทฏุ ฐฺ ิ การคิดร้าย

ติ ทฏิ ฺฐิ ความเหน็

ติ ตฏุ ฺฐิ ความยนิ ดี

ติ ทฤษฏฺ ี ความเหน็

ติ ขนฺติ ความอดทน

ติ สนตฺ ิ ความสงบ

ติ กานฺติ ความรัก

ติ ทนฺติ การฝึก

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๖๖

อิ ปัจจัย เมื่อนา อิ ประกอบท้ายธาตุใด ให้เติม อิ ได้เลย ศัพท์ท่ีได้แปลว่า “การ...” “ความ...”

“ผู้...” ปจั จัย ศัพท์ ความหมาย

ธาตุ อิ รจุ ิ ความรุง่ เรอื ง
รุจฺ (รงุ่ เรือง)
มนุ ฺ (รู้) อิ มนุ ิ ผรู้ ู้
พุธฺ (รู้)
นนฺท (ยินด)ี อิ โพธิ ความรู้
ธา (ทรงไว้)
อิ นนทฺ ิ ความยินดี

อิ ธิ การทรงไว้ เช่น นิธิ สนธิ

อ ปัจจัย เม่ือนา อ ประกอบท้ายธาตุใด ให้เติม อะ ท่ีท้ายธาตุได้เลย ศัพท์ที่ได้แปลว่า “ผู้...”

“การ...” “ความ...”

ธาตุ ปัจจยั ศัพท์ ความหมาย

จรฺ (ไป) อ จร การไป

กรฺ (ทา) อ กร ผทู้ า

ทปี ฺ (สอ่ งแสง) อ ทปี การสอ่ งแสง

ธรฺ (ทรงไว้) อ ธร ผูท้ รงไว้

กษฺ ิ (ส้นิ ) อ กษฺ ย การส้นิ ไป

มรฺ (ตาย) อ มร การตาย

นี (นา) อ นย การแนะนา

เตว, ํตุ ปัจจัย ๒ ตัวนี้ ประกอบท้ายธาตุได้เลย แล้วไม่ต้องนาไปแจกวิภัตติ เม่ือเข้าประโยค

เรยี กวา่ อพั ยยศัพท์ ในภาษาไทยไม่มีทีใ่ ช้

ธาตุ ปัจจัย ศัพท์ ความหมาย

กรฺ (ทา) เตว กาเตว เพ่ือทา

คมฺ (ไป) เตว คนฺเตว เพอื่ ไป

กรฺ (ทา) ํตุ กาํตุ เพอ่ื ทา

ปา (ด่มื ) ํตุ ปาํตุ เพอ่ื ดื่ม

สุ (ฟัง) ํตุ โสํตุ เพ่ือฟงั

๒. ปัจจัยกริยากิตก์ เป็นปัจจัยท่ีใช้ประกอบธาตุ เพื่อปรุงให้เป็นกริยาศัพท์ มีอยู่หลายตัว ซึ่งอาจ
แบง่ เปน็ ๓ พวก ดงั นี้

๒.๑ กิต ปจั จยั ใช้แตง่ กรยิ าเพอ่ื ทาหน้าท่กี รรตวุ าจก และเหตกุ รรตุวาจก มีปจั จยั อนตฺ ตฺวนฺตุ ตาวี
๒.๒ กิจจ ปัจจัย ใช้แต่งกริยาเพ่ือทาหน้าท่ีเป็น กรรมวาจก ภาววาจก เหตุกรรมวาจก มีปัจจัย
อนีย ตพพฺ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๖๗

๒.๓ กิตกิจจ ปจั จัย ใช้แต่งกริยาเพื่อทาหน้าท่ไี ด้ทงั้ ๕ วาจก มีปจั จัย มาน ต ตูน ตวฺ า ตฺวาน

ปัจจัยกรยิ ากติ กท์ งั้ หมดท่ีกล่าวมาน้ี มใี ช้ในภาษาไทยเพยี ง ๒ ตวั คอื อนยี และ ต เท่านนั้ ดงั นี้

อนีย ปจั จยั เม่ือนา อนีย ประกอบท้ายธาตุใด ให้คงไว้ตามเดิม ศพั ท์ทีไ่ ด้แปลวา่ “นา่ ...” “พึง...”

“ควร...”

ธาตุ ปจั จยั ศพั ท์ ความหมาย

รมฺ (ยินดี) อนีย รมณีย น่ายนิ ดี

ภชุ ฺ (กิน) อนีย โภชนยี ควรบริโภค

มุทฺ (ยนิ ด)ี อนีย โมทนีย ควรยนิ ดี

วนทฺ (ไหว้) อนีย วนฺทนยี ควรไหว้

สรฺ (ระลึก) อนีย สรณยี ควรระลึก

กรฺ (ทา) อนีย กรณยี พงึ กระทา

ขาท (เค้ียว) อนยี ขาทนีย ควรเคย้ี วกนิ

สุ (ฟัง) อนีย สวนีย น่าฟัง

ต ปัจจัย ใช้ประกอบธาตุได้เลยเช่นเดียวกับ ติ ปัจจัย เพราะต่างก็เป็นปัจจัยท่ีเน่ืองด้วย ต ทั้งคู่

ศัพทท์ ี่ได้แปลว่า “...แล้ว”

ธาตุ ปจั จัย ศพั ท์ ความหมาย

ญา (รู้) ต ญาต รแู้ ล้ว เชน่ อนุญาต

นี (นา) ต นตี นาไปแล้ว เชน่ กามนีต

ภู (เป็น) ต ภตู เปน็ แลว้

สุ (ฟงั ) ต สุต ฟงั แลว้

คี (ขับร้อง) ต คีต ขบั ร้องแล้ว

ชิ (ชนะ) ต ชิต ชนะแลว้

สฺถา (ต้ัง) ต สฺถติ ตง้ั แลว้

ลขิ ฺ (เขียน) ต ลิขติ เขยี นแล้ว

ชีวฺ (เปน็ ) ต ชีวิต เปน็ อย่แู ล้ว

มรฺ (ตาย) ต มต ตายแลว้

กรฺ (ทา) ต กต ทาแลว้

ชนฺ (เกดิ ) ต ชาต เกิดแล้ว

คมฺ (ไป) ต คต ไปแลว้

ยุธฺ (รบ) ต ยุทธฺ รบแล้ว

พธุ ฺ (ร)ู้ ต พทุ ธฺ รู้แล้ว

สธิ ฺ (สาเร็จ) ต สทิ ฺธ สาเร็จแล้ว

สธุ ฺ (หมดจด) ต สุทธฺ หมดจดแลว้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๖๘

ทสิ (เห็น) ต ทิฏฺฐ เหน็ แลว้

กมฺ (ก้าวไป) ต กนฺต กา้ วไปแลว้

สมฺ (สงบ) ต สนฺต สงบแลว้

สรปุ ท้ายบท
การสร้างคาอุปสรรคภาษาบาลีสันสกฤต กล่าวคือ การสร้างศัพท์โดยวิธีลงอุปสรรค ซ่ึงส่วนของคาที่ใช้

ประกอบเข้าข้างหน้าธาตุหน้าศัพท์ หรือหน้าบท ทาให้มีความหมายเปล่ียนไป อุปสรรคเป็นหน่วยคาไม่มีอิสระ
(Bound Morpheme) ไม่สามารถใช้ตามลาพังต้องประกอบกับธาตุ ศัพท์ หรือ บท ดังน้ัน การสร้างคาโดยวิธีลง
อุปสรรค ก็คือ การใช้อุปสรรคประกอบหน้า ธาตุ ศัพท์ หรือ บท เพื่อให้เกิดศัพท์หรือบทที่มีความหมายใหม่
ลักษณะของอุปสรรคมีทั้งที่มีพยางค์เดียวและสองพยางค์ ทั้งพยัญชนะเด่ียวและพยัญชนะคู่ (สันสกฤต) ท้ังที่มี
ตัวสะกด (สันสกฤต) และไม่มตี ัวสะกด อุปสรรคมี ๒๐ ตัว วิ (วเิ ศษ แจง้ ต่าง) อติ (ยง่ิ เกิน ล่วง) อธิ (ยิ่ง ใหญ่ ทบั )
อภิ (ยงิ่ ใหญ่ จาเพาะ ขา้ งหนา้ ) สุ (ดี งาม งา่ ย) ส (ร่วม กับ ด)ี อา, ปรา, (กลับความ) ปรฺ ติ ปฏิ (ตอบ กลับ) อว, โอ
(ลง), นิสฺ นิ (ไม่มี ออก) อ (ไม่), อุตฺ อุ (ขึ้น), นิ (เข้า ลง เสมอ) อนุ (น้อย ภายหลัง ตาม), อปิ, ปิ (ใกล้ บน) ปริ
(รอบ), ปฺร, ป (ทว่ั กอ่ น ข้างหนา้ ออก) ทุส,ฺ ทุ (ชั่ว ยาก) อป (ปราศ หลกี ) อุป (ใกล้ มน่ั เข้าไป)

ปจั จัยกติ กเ์ ป็นปัจจัยทีใ่ ช้สาหรบั ประกอบทา้ ยธาตุมี ๒ ชนดิ คอื นามกติ กแ์ ละกรยิ ากติ ก์ ดงั น้ี
๑. ปัจจัยนามกิตก์เป็นปัจจัยท่ีใช้ประกอบธาตุเพ่ือปรุงให้เป็นนามศัพท์ มีอยู่หลายตัวแบ่งตามหน้าที่

ได้ ๓ พวก ได้แก่
๑.๑ กิต ปจั จัยใช้แต่งนามเพอื่ ทาหนา้ ที่เป็นกรรตกุ ารก (ผู้ทา) มีปัจจยั ที่สาคัญ คอื กฺวิ ปัจจัย เม่ือ

นามาประกอบท้ายธาตุ แปลว่า “ผู้...” ตวั อย่าง ณี ปัจจัย เม่ือนา ณี ปจั จยั ไปประกอบทา้ ยธาตใุ ดแปลว่า “ผ.ู้ ..โดย
ปกติ” ณวุ ปัจจัย เม่ือนา ณวุ ประกอบท้ายธาตุใด ๆ แปลว่า “ผู้...” ตุ ปัจจัย เมื่อนา ตุ ประกอบท้ายธาตุใด
แปลวา่ “ผู้...” รู ปจั จยั เม่อื นา รู ประกอบท้ายธาตใุ ด แปลว่า “ผ้.ู ..” “ผู้...โดยปกติ”

๑.๒ กิจจ ปัจจัย ใช้แต่งนามเพื่อทาหน้าที่เป็นกรรมการก (ผู้ถูกกระทา) คือ ข ปัจจัย เม่ือนา ข
ประกอบท้ายธาตุใด แปลว่า “อนั เขา...” “การ...” “ความ...” ณย ปัจจัย เม่ือนา ณย ประกอบทา้ ยธาตุใด แปลว่า
“อันเขาพึง...” “การ...” “ความ...”

๑.๓ กิตกิจจ ปัจจัย ใช้แต่งนามให้ทาหน้าที่ได้ทั้งผู้ทาและผู้ถูกกระทา คือ ยุ ปัจจัย เม่ือนา ยุ
ประกอบท้ายธาตุใด แปลว่า “การ...” “ความ...” “ผู้...” ณ ปัจจัย เม่ือนา ณ ประกอบท้ายธาตุใด แปลว่า “การ
...” “ความ...” “ผู้...” ติ ปัจจยั เมื่อนา ติ ประกอบด้วยธาตุใด แปลว่า “ผู้...” “การ...” “ความ...” อิ ปัจจัย เม่ือ
นา อิ ประกอบท้ายธาตุใด แปลว่า “การ...” “ความ...” “ผู้...” อ ปัจจัย เมื่อนา อ ประกอบท้ายธาตุใด แปลว่า
“ผ.ู้ ..” “การ...” “ความ...” เตว, ํตุ ปัจจยั ๒ ตัวน้ี ประกอบท้ายธาตุได้เลย เรียกว่า อพั ยยศพั ท์ ในภาษาไทยไม่มีที่
ใช้

๒. ปัจจัยกริยากิตก์ เป็นปัจจัยท่ีใช้ประกอบธาตุ เพื่อปรุงให้เป็นกริยาศัพท์ มีอยู่หลายตัว ซึ่งอาจ
แบง่ เป็น ๓ พวก ดังนี้

๒.๑ กติ ปัจจัย ใชแ้ ต่งกริยาเพอื่ ทาหน้าทกี่ รรตวุ าจก และเหตุกรรตวุ าจก มปี ัจจัย อนตฺ ตวฺ นฺตุ ตาวี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๖๙
๒.๒ กิจจ ปัจจัย ใช้แต่งกริยาเพ่ือทาหน้าท่ีเป็น กรรมวาจก ภาววาจก เหตุกรรมวาจก มีปัจจัย
อนีย ตพฺพ ปัจจัยกริยากิตก์ทั้งหมดท่ีกล่าวมานี้ มีใช้ในภาษาไทยเพียง ๒ ตัว คือ อนีย และ ต เท่านั้น ดังน้ี อนีย
ปจั จัย เม่ือนา อนยี ประกอบท้ายธาตุใด ให้คงไว้ตามเดิม ศัพท์ทไ่ี ด้แปลว่า “น่า...” “พึง...” “ควร...” ต ปัจจัย ใช้
ประกอบธาตุได้เลยเชน่ เดียวกับ ติ ปจั จัย เพราะต่างก็เป็นปัจจยั ทเ่ี นอ่ื งดว้ ย ต ทั้งคู่ ศพั ท์ท่ีไดแ้ ปลวา่ “...แลว้ ”
๒.๓ กิตกิจจ ปัจจัย ใช้แต่งกรยิ าเพ่ือทาหนา้ ทีไ่ ด้ทัง้ ๕ วาจก มปี จั จัย มาน ต ตนู ตวฺ า ตฺวาน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๗๐

กิจกรรมการเรยี น
๑. ทบทวนความรู้
๑.๑ จงอธิบายความหมายของคาอปุ สรรค ๒๐ ตัว ในภาษาบาลีกับสนั สกฤต
๑.๒ จงอธิบายการเปลย่ี นแปลงความหมายของคาอปุ สรรค เม่ือนาไปใช้ประกอบธาตุ
๑.๓ จงอธบิ ายหลักการใช้ปัจจยั นามกติ กป์ ระกอบท้ายธาตุ
๑.๔ จงอธบิ ายหลกั การใชป้ ัจจัยกรยิ ากติ ก์ประกอบทา้ ยธาตุ
๒. จดั กจิ กรรม
๒.๑ ใหน้ กั ศึกษาอภปิ รายความหมายของคาอปุ สรรค
๒.๒ ใหน้ กั ศกึ ษาอภิปรายการเปลยี่ นแปลงความหมายของคาอุปสรรค
๒.๓ ให้นกั ศึกษาอภปิ รายการประกอบปัจจยั นามกติ ก์ท้ายธาตุ
๒.๔ ให้นกั ศึกษาอภปิ รายการประกอบปัจจัยกริยากติ ก์ทา้ ยธาตุ
๒.๕ ให้นกั ศกึ ษาวิเคราะห์ตวั อยา่ งศัพทอ์ ุปสรรค
๒.๖ ใหน้ กั ศึกษาวิเคราะห์ตวั อย่างศัพท์กติ ก์

ส่ือการสอน
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนงิ่ (PPT.) เนือ้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมสอื่ มตั ติมเี ดียและแอปพลิเคชนั YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ED1022 ภาษาบาลีสนั สกฤตในภาษาไทย

แนวทางการประเมินผล
๑. ประเมินผลจากการสังเกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมินผลจากการร่วมกจิ กรรม การอภิปรายแสดงความคิดเห็น
๓. ประเมนิ ผลจากผลงาน ด้านเนอื้ หา รูปแบบ ความคดิ สร้างสรรค์ วิธกี ารนาเสนอ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๗๑

เอกสารอา้ งอิง
จันจิรา จติ ตะวริ ยิ ะพงษ์. (๒๕๔๖). อิทธิพลภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศกึ ษา.
ชะเอม แก้วคล้าย. (๒๕๕๕). ลกั ษณะการใช้ศพั ท์บาลีสันสกฤตในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : สหธรรมิก จากัด.
ประหยัด เกษม. (๒๕๒๔). ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย. พิมพ์คร้ังที่ ๒. นครศรีธรรมราช : ภาควิชา

ภาษาไทย วิทยาลัยครูนครศรธี รรมราช.
ประสิทธ์ิ กาพย์กลอน. (๒๕๑๙). การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ .
ปรชี า ทิชนิ พงศ์. (๒๕๓๔). บาลี - สนั สกฤตที่เกย่ี วกบั ภาษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
พนมพร นิรญั ทวี. (๒๕๒๗). คาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พฒั น์ เพ็งผลา. (๒๕๕๑). บาลสี ันสกฤตในภาษาไทย. พิมพค์ รง้ั ที่ ๙. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลยั รามคาแหง.
วไิ ลศักดิ์ ก่งิ คา. (๒๕๕๖). ภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. พิมพ์คร้ังท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
วสิ นั ติ์ กฎแก้ว. (๒๕๔๕). ภาษาบาลีสันสกฤตท่ีเกย่ี วขอ้ งกบั ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : พัฒนาศกึ ษา.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทดั ฐานภาษาไทย เล่ม ๒. พมิ พค์ ร้ังท่ี ๓. กรุงเทพฯ : องคก์ ารค้าของ สกสค.
สุธิวงศ์ พงศไ์ พบลู ย.์ (๒๕๔๓). หลักภาษาไทย. พมิ พค์ รง้ั ท่ี ๑๕. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานิช จากดั .
สุภาพร มากแจ้ง. (๒๕๓๕). ภาษาบาลี – สันสกฤตในภาษาไทย. พิมพ์ครั้งท่ี ๒. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร.์

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๗๒

แผนการสอนประจาบท

เร่อื ง
๑. การสรา้ งคาโดยวธิ ีสมาส
๒. การสร้างคาโดยวธิ ีตัทธิต
๓. การสรา้ งคาโดยวธิ ีสนธิ
๔. สังขยา

แนวคดิ
สมาส คือการสรา้ งคาวธิ ีหนึ่ง โดยนาคาท่ีมีวิภัตติตั้งแต่ ๒ คาขึ้นไปมารวมและยอ่ เข้าเป็นคา ๆ เดยี ว ท้ังนี้

เพื่อให้ได้รูปศัพท์กะทัดรัดและออกเสียงได้สะดวก คาสมาสท่ีนามาใช้ในภาษาไทยมี ๖ ประเภท คือ กัมมธารย
สมาส ทคิ ุสมาส ตัปปรุ ิสสมาส ทวนั ทวสมาส อัพยยีภาวสมาส พหุพพหิ ิสมาส

ตทั ธิต คือการย่อศัพท์ให้สั้นเข้า โดยวิธีนาคามาประกอบกับปัจจัยซึ่งใชแ้ ทนศัพทห์ ลงั เพื่อให้ไดศ้ ัพทใ์ หม่ท่ี
กะทัดรัดและมีความหมายพิสดารออกไป ซ่ึงตัทธิตแบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ สามัญตัทธิต ภาวตัทธิต และอัพยย
ตทั ธิต

สนธิ คือวิธีต่อศัพท์และอักษร ให้เนื่องด้วยอักษร เพื่อย่ออักษรให้น้อยลง เพื่อช่วยในการแต่งฉันท์และให้
คาพูดสละสลวย สนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต แบ่งออกตามลักษณะอักษรท่ีเช่ือมกันได้ ๓ ชนิด คือ สระสนธิ
พยัญชนะสนธิ และนคิ หติ สนธิ

สังขยาคือคาบอกจานวนนับในภาษาบาลีและสันสกฤตมี ๒ ประเภท คือ ปกติสังขยา (คาบอกจานวน)
และปูรณสังขยา (คาบอกลาดับท)ี่

วตั ถุประสงค์
เมอื่ นักศึกษาเรียนจบบทท่ี ๙ มคี วามสามารถไดด้ ังน้ี
๑. อธิบายการสร้างคาโดยวิธสี มาสได้
๒. อธบิ ายการสร้างคาโดยตัทธติ ได้
๓. อธบิ ายการสรา้ งคาโดยสนธิได้
๔. อธบิ ายการใช้ศัพท์สงั ขยาได้

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๗๓

บทที่ ๙
การสรา้ งคาภาษาบาลีสันสกฤต

ในบทน้ี จะได้กล่าวถึงการสร้างคาภาษาบาลีสันสกฤต (ต่อ) ได้แก่ การสร้างคาโดยวิธีสมาส การสร้างคา
โดยวธิ ตี ทั ธิต การสรา้ งคาโดยวิธีสนธิ และการนับจานวนสังขยา ดังมีรายละเอยี ดต่อไปน้ี

๙.๑ การสรา้ งคาโดยวธิ ีสมาส

สมาส คือ การสรา้ งคาในภาษาบาลแี ละสันสกฤต วิธีหนึ่ง โดยการนาคาที่มวี ภิ ัตตติ ้ังแต่ ๒ คาขนึ้ ไปมารวม

และย่อเข้าเป็นคา ๆ เดียว ทั้งนี้เพื่อให้ได้รูปศัพท์กะทัดรัดและออกเสียงได้สะดวก คาท่ีจะนามาสมาสกันนั้นต้อง

เปน็ คานามหรืออัพยยศัพท์ และในการสมาสกัน บางทลี บวิภัตติของศัพทห์ น้าท้ิงเรียกว่า ลุตฺตสมาส หรอื บางทีอาจ

รวมกนั โดยไม่ลบวภิ ัตติทง้ิ ก็ได้เรยี กวา่ อลุตตฺ สมาส ตัวอย่าง

ลุตตฺ สมาสหรือสมาสทลี่ บวิภตั ติทิ้ง

กฐินสฺส + ทุสฺส = กฐินทสุ ฺส (ผา้ เพ่ือกฐนิ ) ลบวภิ ัตติ สสฺ

อสเฺ สน + รโถ = อสสฺ รโถ (รถเทยี มม้า) ลบวิภตั ติ เอน

นโร + วโร = นรวโร (คนประเสริฐ) ลบวิภตั ติ โอ

วเน + บปุ ผฺ = วนบุปฺผ (ดอกไมใ้ นป่า) ลบวภิ ัตติ เอ

อลุตตฺ สมาสหรือสมาสทไ่ี มล่ บวภิ ตั ติ

วเน + จโร = วเนจโร (ผเู้ ทย่ี วไปในป่า)

ทูเร + นทิ าน = ทูเรนทิ าน (นิทานเก่าแก)่

คนฺตุ + กาโม = คนตฺ ุกาโม (ปรารถจะไป)

อุรสิ + โลมานิ = อุรสโิ ลโม (ขนทีห่ น้าอก)

ปรีชา ทิชินพงศ์ (๒๕๓๔ : ๙๔ – ๙๗) คาสมาสแบ่งเป็น ๖ ประเภท ซ่ึงแต่ละประเภทอาจแบ่งย่อยได้อีก

ในที่นี้จะขอกล่าวเพียงบางประเภทท่มี ตี ัวอยา่ งคาใช้ในภาษาไทย ดังนี้

๑. กัมมธารยสมาส คือคานามสมาสกับคานาม ซึ่งท้ัง ๒ ศัพท์ต่างมีวิภัตติเสมอกัน มีคาแปลตาม

ลักษณะคาทน่ี ามาประกอบกัน ดงั นี้

๑.๑ เมอื่ คาใดคาหนง่ึ ทาหน้าทีเ่ ป็นคุณนามหรอื วเิ ศษณ์ แปลว่า ท่ี ซ่งึ อัน ผู้ (ในภาษาไทยมักตัดออก)

ศัพท์ รูปวิเคราะหโ์ ดยย่อ ไทยใช้ ความหมาย

มหาปรุ โิ ส มหนโฺ ต ปุรโิ ส มหาบรุ ุษ บรุ ษุ ใหญ่

นิลปุ ปฺ ล นลิ อุปปฺ ล นลิ บุ ล ดอกบวั เขียว

มหาวน มหนโฺ ต วน มหาพน ป่าใหญ่

สปฺปรุ โิ ส สนฺโต ปรุ ิโส สัปบุรษุ บุรษุ ระงบั แล้ว

นรวโร นโร วโร นรวร คนประเสรฐิ

ชนิ วโร ชโิ น วโร ชนิ วร ผชู้ นะอยา่ งประเสรฐิ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๗๔

นโรตฺตโม นโร อุตฺตโม นโรดม ชนผู้สูงสุด

๑.๒ เมื่อมคี าขยายเป็นอุปมา อิว ศัพท์ แปลว่า ดัง เพยี งดงั

ศัพท์ รูปวิเคราะหโ์ ดยยอ่ ไทยใช้ ความหมาย
กากสโู ร
ทพิ ฺพจกฺขุ กาโก อวิ สูโร กากสรู ผู้กลา้ เพยี งดังกา
นรสโี ห
ทิพฺพ อวิ จกขฺ ุ ทิพพจกั ขุ ผูม้ ตี าดังทิพย์

นโร สโี ห อิว นรสงิ ห์ คนเพยี งดงั สิงห์

๑.๓ เม่ือมบี ทหนา้ ประกอบด้วย อติ ิ ศัพท์ แปลวา่ วา่

ศัพท์ รปู วเิ คราะห์โดยยอ่ ไทยใช้ ความหมาย
มานะวา่ เราเป็นกษตั ริย์
ขตตฺ ยิ มาโน ขตฺตยิ (อห) อิติ มาโน ขตั ตยิ มานะ สาคัญวา่ เปน็ สัตว์
สาคญั วา่ สมณะ
สตฺตสญญฺ า สตโฺ ต อติ ิ สญญฺ า สตั ตสัญญา

สมณสญฺญา สมโณ อิติ สญญฺ า สมณสัญญา

๑.๔ เมื่อมบี ทหน้าประกอบดว้ ย เอว ศัพท์ แปลว่า คือ

ศพั ท์ รูปวิเคราะหโ์ ดยย่อ ไทยใช้ ความหมาย
รตั นะคอื พระพทุ ธ
พุทฺธรตน พุทฺโธ เอว รตน พุทธรัตนะ ทรพั ยค์ ือศรัทธา
ทรัพยค์ ือปญั ญา
สทฺธาธน สทฺธา เอว ธน สทั ธาธนะ

ปญญฺ าธน ปญฺญา เอว ธน ปญั ญาธนะ

๒. ทคิ ุสมาส คือสมาสท่มี ีสงั ขยาเปน็ บทหนา้ ขยายบทหลังทเ่ี ปน็ นาม

ศพั ท์ รูปวิเคราะห์โดยย่อ ไทยใช้ ความหมาย

ตโิ ลก ตโย โลกา ติโลก, ไตรโลก โลกสาม

จตุทฺทิส จตสโฺ ส ทิสา จตุรทิศ ทศิ ส่ี

ปญจฺ ินฺทฺริย ปญจฺ อนิ ทฺ ฺรยิ านิ ปญั จินทรีย์ อินทรียห์ า้

ปญจฺ สีล ปญฺจ สลี านิ เบญจศลี ศีลหา้

เอกปุคฺคโล เอโก ปุคคฺ โล เอกบุคคล บคุ คลเดียว

๓. ตัปปุริสสมาส คือสมาสที่มีวิภัตติของบทหน้า ต่างกับวภิ ัตติของบทหลัง ปกติ บทหลังจะเป็นวิภัตติ
ท่ี ๑ เสมอ ส่วนบทหน้าจะมวี ภิ ตั ติต่างกันออกไป คาแปลจึงแตกต่างกันไปตามวิภตั ติของบทหน้า ดงั น้ี

๑) เมื่อบทหนา้ เป็นวภิ ตั ตทิ ี่ ๒ แปลว่า ซงึ่ สู่ ยงั สิน้ ตลอด
๒) เมื่อบทหนา้ เป็นวิภตั ตทิ ี่ ๓ แปลวา่ ด้วย โดย อัน เพราะ
๓) เม่ือบทหนา้ เป็นวิภัตตทิ ี่ ๔ แปลวา่ แก่ เพ่อื ต่อ
๔) เม่อื บทหนา้ เป็นวิภัตติท่ี ๕ แปลว่า แต่ จาก กวา่ เหตุ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๗๕

๕) เมื่อบทหนา้ เป็นวภิ ตั ตทิ ี่ ๖ แปลวา่ แห่ง ของ เมื่อ
๖) เมอ่ื บทหน้าเปน็ วภิ ัตตทิ ี่ ๗ แปลว่า ใกล้ ที่ ใน

ศัพท์ รปู วเิ คราะห์โดยย่อ ไทยใช้ ความหมาย
รตฺตโิ สภโณ รตตฺ ึ โสภโณ รัตติโสภณ งามตลอดคนื
อสฺสรโถ อสเฺ สน (ยตุ โฺ ต) รโถ อัสสรถ รถเทยี มม้า
คลิ านเภสชชฺ คิลานสฺส เภสชฺช คลิ านเภสัช ยาเพื่อคนไข้
สงฆฺ ทาน สงฆฺ สฺส ทาน สงั ฆทาน ทานเพอื่ พระสงฆ์
โจรมหฺ า ภย โจรภัย ภยั แตโ่ จร
โจรภย มรณสมฺ า ภย มรณภยั ความกลัวแตค่ วามตาย
มรณภย รญโฺ ญ ปุตโฺ ต ราชบตุ ร บตุ รของพระราชา
ราชปุตฺโต วเน ปุปผฺ วนบุปผา ดอกไม้ในปา่
วนปุปผฺ วเน จโร พเนจร ผู้ทอ่ งเทีย่ วไปในป่า
วเนจโร คาเม วาสี คามวาสี ผ้อู ยู่ในบา้ น
คามวสี

๔. ทวันทวสมาส คือสมาสที่มีคานามตั้งแต่ ๒ คาขึ้นไป ทุกคาตา่ งไม่เป็นบทขยายของกันและกันคือมี

ความเสมอกันนน่ั เอง นิยมแปลจากคาหนา้ ไปหาคาหลังโดยมคี าเชื่อม “และ”

ศพั ท์ รูปวเิ คราะหโ์ ดยย่อ ไทยใช้ ความหมาย

ชรามรณ ชรา จ มรณญฺ จ ชรามรณะ ชราและมรณะ

สมถวิปสสฺ น สมโถ จ วปิ สสฺ นา จ สมถวิปัสสนา สมถะและวิปัสสนา

สมณพฺราหฺมณา สมโณ จ พรฺ าหฺมโณ จ สมณพราหมณ์ สมณะและพราหมณ์

เทวมนุสสฺ า เทวา จ มนสุ สฺ า จ เทวามนษุ ย์ เทวดาและมนุษย์

มาตาปติ โร มาตา จ ปติ า จ บดิ ามารดา บดิ าและมารดา

อติ ฺถปี ุริสา อิตฺถี จ ปุรโิ ส จ อติ ถีบรุ ุษ หญงิ และชาย

๕. อพั ยยภี าวสมาส คอื สมาสที่มีอุปสรรคหรอื นบิ าตอย่ขู า้ งหน้าคานาม แปลจากคาหน้าไปหาคาหลัง

ศพั ท์ รปู วิเคราะหโ์ ดยยอ่ ไทยใช้ ความหมาย

อุปนคร นครสสฺ สมปี ํ อปุ นคร ใกลเ้ มอื ง

อนโฺ ตปาสาท ปาสาทสสฺ อนฺโต อันโตปราสาท ภายในปราสาท

ยถาพล ยถา พล ยถาพลงั ตามกาลัง

ยถากมฺม ยถา กมมฺ ยถากรรม ตามกรรม

พหนิ คร นครสฺส พหิ พหินคร นอกเมือง

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๗๖

๖. พหุพพิหิสมาส คือสมาสท่ีมีบทอ่ืนมาเป็นประธาน ศัพท์ท่ีจะนามาประกอบทั้งบทหน้าบทหลังไม่

จากดั ประเภท ต้องเพ่ิมประธานก่อน แล้วจงึ จะแปลวา่ “ม”ี

ศัพท์ ไทยใช้ ความหมาย

ฉินนฺ หตฺโถ (ปุรโิ ส) ฉนิ หัตถ์ (บรุ ุษ) มีมือขาดแล้ว

ขณี าสโว (ภิกฺข)ุ ขณี าสพ (ภกิ ษุ) มอี าสวะสน้ิ แล้ว

อาวุธหตถฺ (โยธา) หตั ถาวธุ (ทหาร) มอี าวุธในมือ

โมหจิตตฺ (ปรุ โิ ส) โมหจติ (บรุ ุษ) มีจติ อนั ประกอบดว้ ยโมหะ

ข้อควรสงั เกต

๑. คาสมาสไม่จาเป็นต้องแปลจากหลงั ไปหน้าเสมอไป เช่น นรวโร (คนประเสริฐ) อุปนคร (ใกล้เมือง) นร

สโี ห (คนเพียงดังสงิ ห์)

๒. คาสมาสทีไ่ ทยนามาใช้โดยมากมักติดวภิ ัตติ ซ่ึงบ่งบอกการก

พุทธฺ วจน ไทยใช้ พุทธวจนะ พทุ ธพจน์

ปญจฺ สีล ไทยใช้ ปัญจศลี เบญจศลี

วเนจโร ไทยใช้ พเนจร

นโรตฺตโม ไทยใช้ นโรดม

๙.๒ การสรา้ งคาโดยวิธตี ัทธิต

ตทั ธิต คือการย่อศพั ท์ให้สน้ั เขา้ โดยวธิ นี าคามาประกอบกับปัจจัยซงึ่ ใช้แทนศัพท์หลงั เพ่ือให้ได้ศัพทใ์ หม่ที่

กะทัดรัดและมีความหมายพิสดารออกไป ปรีชา ทชิ ินพงศ์ (๒๕๓๔ : ๘๗ – ๙๓) ตัทธิตแบง่ เป็น ๓ พวกใหญ่ ๆ คือ

สามญั ตทั ธิต ภาวตทั ธิต และอัพยยตทั ธิต

๑. สามัญตทั ธิต แบ่งออกเปน็ ยอ่ ย ๆ ได้ ๑๓ ประเภท แต่จะกล่าวเฉพาะทม่ี ใี ชใ้ นภาษาไทย ดังนี้

๑.๑ โคตรตัทธิต คือ ตัทธิตท่ีใชป้ ัจจยั แทนศัพทห์ ลัง เพือ่ แสดงความเป็นเหล่ากอวงส์วาน มีปัจจัย

๘ ตัว คือ ณ ณายน ณาน เณยฺย ณิ ณิก ณว เณร (ปัจจยั ทเ่ี นื่องด้วย ณ เม่ือประกอบทา้ ยศัพท์ใหล้ บ ณ ทง้ิ ถา้ สระ

ตน้ ศพั ท์ไมม่ ตี ัวสะกดตัวตาม ให้แปลง อะ เป็น อา, อิ เป็น เอ และ อุ เป็น โอ เอา ดงั น้ี

ศัพท์ ปัจจัย ศัพท์ใหม่ ความหมาย

วสิฏฐฺ ณ วาสิฏฺฐ เหล่ากอพระวสิฏฐ

โคตม ณ โคตม เหล่ากอพระโคดม

วสเุ ทว ณ วาสเุ ทว เหลา่ กอพระวาสเุ ทพ

กจจฺ ณายน กจฺจายน เหลา่ กอพระกจั จะ

โมคคฺ ลลฺ ี ณาน โมคฺคลลฺ าน เหล่ากอนางโมคคลั ละ

โมคฺคลฺล ณาน โมคฺคลลฺ าน เหลา่ กอพระโมคคลั ละ

ภคินี เณยฺย ภาคเิ นยฺย เหล่ากอแห่งพี่สาวหรอื น้องสาว

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๗๗

วินดา เณยยฺ เวนเตยฺย เหล่ากอนางวินตา
กนุ ตี เณยยฺ เกานเฺ ตยยฺ เหล่ากอนางกุนตี
วรุณ ณิ วารณุ ิ เหลา่ กอพระวรณุ
สกฺยปุตตฺ ณิก สากยฺ ปุตฺติก เหล่ากอแห่งบุตรสักยะ
มนุ ณว มานว เหลา่ กอพระมนู
สมณ เณร สามเณร เหลา่ กอพระสมณะ

ศัพท์ ๑.๒ ตรตยาทติ ทั ธิต มี ณกิ ปัจจยั ซง่ึ ใชแ้ ทนศัพทห์ ลัง เช่น ตรติ (ข้าม) เป็นต้น
นาวา
ราชคห ปจั จยั ศัพท์ใหม่ ความหมาย
หิรญญฺ
รถ ณิก นาวิก ผู้ขามด้วยเรือ
วณิ
สมาช ณิก ราชคหิก ผเู้ กิดในเมืองราชคฤห์
สกณุ
สกุ ร ณิก เหรญฺญกิ ผดู้ ูแลเงิน
สุคนฺธ
สรีร ณกิ ราถิก ผูไ้ ปดว้ ยรถ
สาสน
อรญฺญ ณิก เวณิก ผู้ดีดพณิ
ปิตุ
ปกติ ณกิ สมาชิก ผู้มีความเสมอกนั
สงฺฆ
ศรี ฺษ ณกิ สากณุ ิก ผฆู้ า่ นก

ศัพท์ ณิก สูกริก ผู้ฆ่าหมู
กสาว
อารญญฺ ณกิ โสคนธฺ กิ ประกอบดว้ ยกล่ินหอม
มคธ
วยฺ ากรณ ณกิ สารีริก เกี่ยวกบั ร่างกาย
นคร
อรุ ณกิ สาสนิก ผู้นบั ถอื ศาสนา

ณกิ อารญฺญิก ผู้อยใู่ นป่า

ณกิ เปตฺติก เปน็ ของบิดา

ณิก ปากติก ตงั้ อย่โู ดยปกติ

ณกิ สงฺฆิก เป็นของสงฆ์

ณกิ ศีรฺษิก คนทนู ของ

๑.๓ ราคาทิตัทธิต มี ณ ปจั จยั ซงึ่ ใชแ้ ทนศัพท์หลัง เช่น ราค (ย้อม) เปน็ ตน้

ปัจจัย ศัพท์ใหม่ ความหมาย

ณ กาสาว ผา้ ยอ้ มด้วยน้าฝาด

ณ อารญญฺ ผู้อยู่ปา่

ณ มาคธ ผู้เกิดในแคว้นมคธ

ณ เวยยฺ ากรณ ผ้รู ไู้ วยากรณ์

ณ นาคร ผเู้ กดิ ในเมือง ชาวเมือง

ณ โอรส ผเู้ กดิ จากอก

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๗๘

วยฺ คฆฺ ณ เวยฺยคฺฆ หมุ้ ด้วยหนงั สอื
วิมาน ณ เวมานกิ ผู้อยูใ่ นวมิ าน

๑.๔ ชาตาทิตัทธติ มปี ัจจยั ๓ ตัว คอื อมิ อิก กิย ซ่งึ ใช้แทนศัพทห์ ลงั เช่น ชาต (เกิด) เปน็ ต้น

ศพั ท์ ปจั จยั ศัพท์ใหม่ ความหมาย
ปจฉฺ
มชฺฌ อิม ปจฺฉิม เกดิ ภายหลงั
อนตฺ
ปญฺจวคคฺ อิม มชฺฌิม ในทา่ มกลาง
โลก
อมิ อนตฺ ิย มีในที่สดุ

อยิ ปญจฺ วคคฺ ิย ผู้มีพวกห้า

อยิ โลกยิ อันมีในโลก

๑.๕ สมุหตทั ธิต มปี จั จัย ๓ ตวั คือ กณฺ ณ ตา ซึ่งใช้แทนศัพทห์ ลงั แสดงความเป็นหมู่พวก

ศัพท์ ปัจจยั ศัพท์ใหม่ ความหมาย
มนุสฺส
มยรุ กณฺ มานุสก หม่มู นุษย์
มนุสฺส
มยรุ กณฺ มายรุ ก ฝูงนกยูง
คาม
ชน ณ มานุส หมมู่ นษุ ย์
สหาย
เทว ณ มายรู หมู่มนษุ ย์

ตา คามตา หมู่บ้าน

ตา ชนตา ฝงู ชน

ตา สหายตา หมสู่ หาย

ตา เทวตา ทวยเทพ

๑.๖ ฐานตทั ธิต มี อีย และ เอยยฺ ปัจจยั ใช้แทนศัพทห์ ลงั แปลวา่ “ทต่ี ัง้ แห่ง...” หรือ “ควร...”

ศัพท์ ปัจจยั ศัพท์ใหม่ ความหมาย
มทน
พนฺธน อยี มทนยี ที่ต้ังแหง่ ความเมา
รชน
สนุ ทฺ ร อยี พนธฺ นีย ทต่ี ั้งแหง่ ความผกู พัน
เสนา
ปูชน อยี รชนยี ที่ตง้ั แหง่ ความกาหนัด
ทกฺขิณ
ปาหุน อีย สุนทฺ รีย ที่ตัง้ แห่งความงาม

อยี เสนีย เปน็ ประโยชนแ์ กก่ องทัพ

เอยฺย ปชู เนยยฺ ควรซงึ่ การบชู า

เอยฺย ทกขฺ เิ ณยฺย ควรรบั ทกั ขิณาทาน

เอยฺย ปาหเุ นยยฺ ควรซงึ่ การต้อนรบั

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๗๙

๑.๗ เสฏฐตทั ธติ มีปัจจยั ๕ ตวั คือ ตร ตม อิยิสสฺ ก อิย อิฏฐฺ ใชแ้ ทนศัพท์หลังเพื่อแสดงลาดับขัน้

ศพั ท์ ปัจจัย ศพั ท์ใหม่ ความหมาย
ปาป
ปณีต ตร ปาปตร เปน็ บาปกว่า
ปาป
หีน ตร ปณีตร ประณตี กว่า
สนุ ฺทร
ช ตม ปาปตม บาปท่สี ุด
กน
ตม หีนตม เลวทส่ี ดุ

ตม สุนฺทรตม ดีท่ีสุด

อิฏฺฐ เชฏฐฺ ผู้เจรญิ ท่สี ุด (พี่ใหญ่)

อฏิ ฺฐ กนิฏฺฐ ผู้น้อยท่ีสุด (นอ้ งสดุ ท้อง)

๑.๘ อัตถิตัทธิต มีปัจจัย ๙ ตัว คือ อี วี สี ส ร อิก วนฺตุ มนฺตุ ณ ใช้แทนศัพท์หลังแสดงความมี

อกี อยา่ งหนึ่ง อี ปจั จัย ในภาษาสันสกฤต จะเปลี่ยนเป็น อินฺ

ศัพท์ ปัจจยั ศพั ท์ใหม่ ความหมาย

มาลา อี มาลี มีพวงมาลัย

สุข อี สขุ ี มคี วามสขุ

โภค อี โภคี ผู้มีโภคะ

เมธา อี เมธี มปี ญั ญา

ปกฺข อี ปกขฺ ี มีปีก

ปาณ อี ปาณี มีชีวิต

เมธา วี เมธาวี มปี ญั ญา

มายา วี มายาวี มีมายา

มธุ ร มธุร มีความหวาน

สิข ร สขิ ร มยี อด (ภูเขา)

คนฺธ อิก คนฺธิก มกี ลิ่น

ปคุ คฺ ล อิก ปคุ ฺคลกิ มลี กั ษณะเฉพาะตวั

พล วนฺตุ พลวา มีกาลงั

หิม วนฺตุ หิมวนฺตุ มีน้าคา้ ง

ภค วนฺตุ ภควา ผมู้ พี ระภาค

กติ ฺติ มนตฺ ุ กิตฺตมิ า มีเกยี รติ

โชติ มนฺตุ โชตมิ า มีความรงุ่ โรจน์

หสฺต อนิ ฺ หสฺตนิ ฺ ผมู้ ีมือ (ช้าง)

ปกษฺ อินฺ ปกฺษินฺ ผมู้ ีปกี (นก)

ศิลฺป อนิ ฺ ศลิ ปฺ นิ ฺ ผู้มีศิลปะ

จกรฺ อินฺ จกฺรนิ ฺ ผู้มีจักร

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๘๐

กร อินฺ กรนิ ฺ ผู้มีมอื (ช้าง)

๑.๙ ปูรณตัทธติ มปี จั จยั ๕ ตัว คือ ติย ถ ฐ ม อี ใชแ้ ทนศัพทห์ ลังแสดงความเตม็ หรอื ลาดบั ท่ี

ศัพท์ ปจั จยั ศัพท์ใหม่ ความหมาย
ทวฺ ิ
ติ ตยิ ทตุ ยิ ทส่ี อง
จตุ
ปญจฺ ตยิ ตตยิ ทสี่ าม

สตตฺ ถ จตตุ ถฺ ทส่ี ่ี
นว
เอกาทส ม ปญจฺ ม ที่หา้

ฐ ฉฏฐฺ ทห่ี ก

ม สตฺตม ท่เี จด็

ม นวม ที่เก้า

อี เอกาทสี ทสี่ ิบเอ็ด

๑.๑๐ สงั ขยาตทั ธติ มี ก ปัจจยั ใช้แทนศพั ทห์ ลังเพื่อบอกปรมิ าณ

ศพั ท์ ปจั จัย ศัพท์ใหม่ ความหมาย
ทวฺ ิ
ติ ก ทวฺ กิ มปี ริมาณสอง
จตุ
ปญจฺ ก ตกิ มีปรมิ าณสาม
สต
ก จตกุ กฺ มีปริมาณสี่

ก ปญจฺ ก มีปริมาณห้า

ก สตก มีประมาณรอ้ ย

๒. ภาวตัทธิต มีปจั จยั ๖ ตวั คือ ตตฺ ตตฺ น ตา ณ กณ ณฺย ใช้แทนศัพท์หลงั แสดงความเป็น...

ศัพท์ ปจั จัย ศัพท์ใหม่ ความหมาย

เอก ตตฺ เอกตฺต ความเปน็ อันหน่งึ

อรห ตตฺ อรหตตฺ ความเป็นผไู้ กลจากกิเลส

ชายา ตตฺ น ชายาตตฺ น ความเป็นชายา

มุทุ ตา มุทุตา ความเปน็ ผอู้ ่อนโยน

สหาย ตา สหายตา ความเปน็ สหาย

ปิย ตา ปิยตา ความเปน็ ผ้นู ่ารัก

สญุ ญฺ ตา สุญญฺ ตา ความวา่ งเปลา่

กาล ญ+ู ตา กาลญญฺ ตุ า ความเป็นผรู้ ู้จักเวลา

มุทุ ณ มทฺทว ความเปน็ ผอู้ ่อนโยน

ครุ ณ คารว ความยอมรับ

ปณฺฑิต ณฺย ปณฑฺ ิตฺย ความเป็นบัณฑติ ปณฺฑิจจฺ (ป.)

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๘๑

ราช ณฺย ราชยฺ ความเปน็ ราชา รชชฺ (ป.)
วาณชิ ณฺย วาณชิ ยฺ ความเปน็ พ่อค้า วาณิชฺช (ป.)
อธิปติ ณฺย อธปิ ตยฺ ความเปน็ ใหญ่ อาธปิ จฺจ (ป.)
โรค ณยฺ โรคฺย ความเปน็ โรค
สมณ ณยฺ สามญฺญ ความเปน็ สมณะ (สามญั )

๓. อัพยยตัทธิต ตัทธิตท่ีนาปัจจัยมาประกอบเข้ากับอัพยยศัพท์ ซึ่งนาไปแจกวิภัตติไม่ได้ มีปัจจัย ๒

ตวั คอื ถา ถ ซึง่ ใช้แทนศพั ทห์ ลงั คอื ประการ

ศพั ท์ ปจั จยั ศัพท์ใหม่ ความหมาย

ย ถา ยถา ประการใด

ต ถา ตถา ประการนน้ั

สพฺพ ถา สพฺพถา ประการทั้งปวง

อมิ ถ อิตถฺ ประการน้ี

กึ ถ กถ ประการไร

๙.๓ การสร้างคาโดยวิธีสนธิ

สนธิ คอื วธิ ีต่อศัพท์และอกั ษร ให้เนื่องดว้ ยอกั ษร เพ่อื ย่ออกั ษรให้น้อยลง เปน็ อปุ การะในการแต่งฉนั ทแ์ ละ

ให้คาพูดสละสลวย (อารีย์ สหชาตโิ กสีย์, ๒๕๑๓ : ๔๗) สนธิจึงมิใช่เป็นการสร้างศัพท์ แต่ในการสร้างศัพท์ที่กล่าว

มาทั้ง ๓ วิธี แต่ละศัพท์จะต้องผ่านวิธีการสนธินเ้ี สมอ ปรีชา ทิชินพงศ์ (๒๕๓๔ : ๙๘ – ๑๐๕) สนธแิ บ่งเป็น ๒ ประเภท

คือ

๑. สนธิภายใน คือการเช่ือมเสียงให้กลมกลืนภายในศัพท์เดียวกัน ได้แก่ การนาธาตุมาประกอบกับ

ปจั จยั (กติ ก์) นาศัพท์มาประกอบปัจจัย (ตทั ธิต) และวิธลี งอปุ สรรค เป็นต้น ดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้

มรฺ + ยุ = มรณ (อน ตามหลงั ณ ต้องกลมกลืนเสยี งเปน็ อณ)

สุ + ณว = สาวก (อุ ตอ้ งเปลย่ี นเป็น อาว)

ส + ขยฺ า = สงฺขฺยา ( เปลย่ี นเปน็ ง ซงึ่ เป็นนาสกิ ยะของวรรค ก)

๒. สนธิภายนอก คอื การเช่ือมเสยี งระหว่างบท (ศัพทท์ ี่มีวิภัตติ) รวมท้ังการเช่ือมเสยี งระหวา่ งศพั ทก์ ับ

ศพั ทใ์ นศพั ทส์ มาส ดังตัวอย่างตอ่ ไปนี้

ปญญฺ า + อวิ + อาภา = ปญญฺ าภา

เอต + มงคฺ ล + อุตตฺ ม = เอตมฺมงคฺ ลมตุ ฺตม

โจรมฺหา + ภย = โจรภย

นลี + อุปปฺ ล = นีลปุ ปฺ ล

สนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต แบ่งออกตามลักษณะอักษรท่ีเช่ือมกันได้ ๓ ชนิด คือ สระสนธิ พยัญชนะ

สนธิ และนคิ หติ สนธิ ซึง่ ภาษาบาลมี ีวธิ ีทาสนธหิ รอื เคร่อื งมอื ชว่ ยทาสนธิ เรยี กว่า สนธิกริ ิโยปกรณ์ มีอยู่ ๘ วธิ ี ดังน้ี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๘๒

๑. โลโป (ลบอักษร) เช่น วนฺทยิ + อคคฺ = วนทฺ ิยคคฺ

ลบสระที่สุดของศพั ท์หนา้ คอื อะ แห่งศัพท์ วนทฺ ยิ ออก

๒. อาเทโส (แปลงอกั ษร) เช่น อคคฺ ิ + อาคาร = อคฺยาคาร

แปลง อิ ที่ อคคฺ ิ เปน็ ย ก่อน แล้วจงึ เชอื่ มกบั อาคาร ได้เปน็ อคยฺ าคาร

๓. อาคโม (เพ่มิ อกั ษร) เชน่ เอโส + ธมโฺ ม = เอสธมโฺ ม

ลบ โอ ท่ี เอโส แลว้ เพมิ่ อะ เปน็ เอสธมโฺ ม

๔. วกิ าโร (ทาใหผ้ ิดจากรปู เดิม) เชน่ สุ + อตฺถี = โสตถฺ ี

ทาสระ อุ ให้เปน็ โอ ก่อน แล้วจึงเช่อื มกนั

๕. ปกติ (คงรปู ไวต้ ามเดิม) เชน่ ราช + กิจฺจ = ราชกจิ ฺจ

๖. ทฆี (ทาสระใหย้ าว) เช่น โลกสสฺ + อิติ = โลกสสฺ าติ

ทา อะ ท่ี โลกสฺส ใหเ้ ปน็ อา แลว้ จงึ เชอ่ื มกนั

๗. รสสฺ (ทาสระให้สัน้ ) เชน่ นานา + ปกาโร = นานปฺกาโร

ทา อา ที่ นานา ให้เปน็ อะ แลว้ จึงเช่ือมกัน

๘. สญฺโญโค (ซ้อนอักษร) เชน่ พล + การ = พลกกฺ าร

ซ้อนอกั ษร ก เข้าข้างหนา้ ศัพทห์ ลงั (การ) เพื่อทาให้เป็นไปตามหลกั การสังโยค

ส่วนภาษาสันสกฤตมีวิธีการสนธิที่สลับซับซ้อนแตกต่างกันออกไปอีกมาก ท้ังน้ีเพราะระบบเสียงภาษา

สันสกฤตมีความสลบั ซบั ซ้อนกว่าภาษาบาลีนัน่ เอง อย่างไรกต็ าม เพื่อมิใหเ้ ป็นทสี่ บั สนแกผ่ เู้ รยี นจนเกินไป ในทีน่ ข้ี อ

กลา่ วเฉพาะวธิ กี ารสนธิระหวา่ งศัพทก์ บั ศพั ทใ์ นภาษาบาลีและสนั สกฤตซ่ึงพบใชใ้ นภาษาไทย ดังน้ี

๑. สระสนธิ คือการกลมกลืนเสียงระหว่างคาด้วยเสียงสระ กล่าวคือคาหน้าซ่ึงสุดศัพท์ด้วยเสียงสระ

กลืนกับพยางคต์ น้ ของคาหลังซ่ึงขน้ึ ต้นดว้ ยเสียงสระ มหี ลกั สังเกตง่าย ๆ ดังนี้

๑.๑ ถา้ สระ อะ หรือ อา สนธิกบั สระ อ หรือ อา จะได้เป็นสระ อะ หรอื อา

ศัพทเ์ ดิม ศพั ทเ์ ดิม ศัพท์ใหม่

สต องค์ สตางค์

วิทย อาลัย วิทยาลัย

พุทธ อานุภาพ พทุ ธานุภาพ

ธรรม อานภุ าพ ธรรมานภุ าพ

มหา อรรณพ มหรรณพ

มหา อศั จรรย์ มหัศจรรย์

ขณี อาสว ขณี าสว

ราช อธบิ าย ราชาธิบาย

ราช อนุญาต ราชานุญาต

ราช อธปิ ไตย ราชธิปไตย

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๘๓

วชริ อาวธุ วชิราวุธ
วตั ถ อาภรณ์ วัตถาภรณ์
วนั ทน อาการ วนั ทนาการ
สุร อาลัย สุราลยั
หัตถ อนกึ หัตถานึก
อัศว อนึก อศั วานึก
กรกฏ อาคม กรกฎาคม
พฤษภ อาคม พฤษภาคม
คณ อาจารย์ คณาจารย์
คมน อาคม คมนาคม
ฉันท อคติ ฉันทาคติ
ดารา อากร ดารากร
เบญจ องค์ เบญจางค์
ภณั ฑ อารักษ์ ภัณฑารกั ษ์
ประชา อากร ประชากร
ประภา อาคาร ประภาคาร
วิทย อากร วทิ ยากร
เทว อาลยั เทวาลยั

๑.๒ ถา้ สระ อะ หรือ อา สนธิกับสระ อิ หรือ อี จะได้เปน็ สระ อิ อี หรือ เอ

ศพั ทเ์ ดิม ศัพทเ์ ดมิ ศพั ท์ใหม่

ปรม อนิ ทร์ ปรมนิ ทร,์ ปรเมนทร์

คช อนิ ทร์ คชนิ ทร์, คเชนทร์

นาค อินทร์ นาคินทร์, นาเคนทร์

ราม อศิ วร รามิศวร, ราเมศวร

มหา อินทร์ มหินทร์, มเหนทร์

มหา อทิ ธิ มหทิ ธิ

มหา อิตถี มหติ ถี

ดาบส อนิ ี ดาบสนิ ี

จลุ อินทรยี ์ จุลนิ ทรีย์

เทว อศิ วร เทเวศวร์

มหา อสิ ี มเหสี

ศกั ร อินทร์ ศักรนิ ทร์

อตุ ร อสี าน อตุ รสี าน

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๘๔

๑.๓ ถา้ สระ อะ หรือ อา สนธิกบั สระ อุ อู หรอื โอ จะไดเ้ ป็นสระ อุ อู หรอื โอ

ศัพทเ์ ดิม ศพั ทเ์ ดิม ศัพท์ใหม่

มัคค อเุ ทศก์ มคั คุเทศก์

กุศล อบุ าย กศุ โลบาย

ชล อทุ ร ชโลทร

ปรุ สิ อุดม ปุรโิ สดม

ราช อปุ โภค ราชปู โภค, ราโชปโภค

ราช อปุ ถัมภ์ ราชูปถมั ภ์, ราโชปถัมภ์

วิเทศ อบุ าย วิเทโศบาย

หติ อปุ เทศ หิโตปเทศ

สตี อทุ ก สีโตทก

สาธารณ อปุ โภค สาธารณูปโภค

ศาสน อปุ ถัมภ์ ศาสนปู ถมั ภ์

มหา อุฬาร มโหฬาร

มหา อุทร มโหทร

มหา โอสถ มโหสถ

ราช โอวาท ราโชวาท

พทุ ธ โอวาท พุทโธวาท

อรุณ อุทยั อรุโณทยั

๑.๔ ถา้ สระ อะ หรือ อา สนธกิ ับสระ เอ หรือ ไอ จะได้เปน็ สระ เอ หรอื ไอ

ศพั ทเ์ ดิม ศพั ท์เดิม ศพั ท์ใหม่

อน เอก อเนก

ปัจจ เอก ปจั เจก

มหา ไอศวรรย์ มไหศวรรย์

โภค ไอศรู ย์ โภไคศรู ย์

๑.๕ ถา้ สระ อิ หรอื อี สนธกิ ับสระ อิ หรือ อี จะได้เป็นสระ อิ อี หรือ เอ

ศพั ท์เดิม ศพั ท์เดิม ศพั ท์ใหม่

ภูมิ อินทร์ ภมู ินทร์

เภรี อนิ ทร์ เภรินทร์

บดี อินทร์ บดนิ ทร์

ไพรี อินทร์ ไพรนิ ทร์

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๘๕

มนุ ิ อินทร์ มนุ นิ ทร์
ธรณี อินทร์ ธรณินทร์
โกสยี ์ อนิ ทร์ โกสินทร์
ธรณี อีศวร ธรณศี วร
ภูมี อศี วร ภมู ีศวร
กรี อนิ ทร์ กรนิ ทร,์ กเรนทร์

๑.๖ ถ้าสระ อิ หรือ อี สนธิกับสระอื่น ๆ ท่ีมิใช่ อิ หรอื อี ด้วยกัน ให้แปลงสระ อิ หรือ อี เป็น ย

เสียกอ่ น ท้ังน้ีเพราะ ย เปน็ อรรธสระของ อิ อี และถ้าพยญั ชนะซอ้ นกันสองตัวในคาต้นใหล้ บออกเสียตัวหนึ่ง

ศพั ท์เดิม ศัพทเ์ ดมิ ศัพท์ใหม่

รงั สี โอภาส รังสิโยภาส

รงั สี อุกฤษฎ์ รงั สิโยกฤษฎ์

มติ อธิบาย มัตยาธบิ าย

อธิ อาศยั อธั ยาศัย

สติ อารมณ์ สัตยารมณ์

สามัคคี อาจารย์ สามัคยาจารย์

อคั คี อาคาร อัคยาคาร

อัคคี โอภาส อคั โยภาส

๑.๗ ถ้าสระ อุ หรอื อู สนธกิ ับสระ อุ หรอื อู จะได้เปน็ สระ อุ อู หรือ โอ

ศพั ท์เดมิ ศพั ทเ์ ดมิ ศพั ท์ใหม่

ครุ ุ อุปกรณ์ คุรปุ กรณ์, ครุ ปู กรณ์, คุโรปกรณ์

วธิ ุ อุทัย วิธทู ัย

จตุ อุปาทาน จตุปาทาน

ปิตุ อปุ ฐาน ปิตูปฐาน

ธนู อุปกรณ์ ธนปู กรณ์

สนิ ธุ อทุ ร สนิ ธทู ร

๑.๘ ถ้าสระ อุ หรอื อู สนธิกับสระอ่นื ๆ ทมี่ ิใช่สระ อุ หรือ อู ใหแ้ ปลงสระ อุ หรือ อู เป็น ว

เสียก่อน ทัง้ นเ้ี พราะ ว เป็นอรรธสะของ อุ อู

ศพั ทเ์ ดมิ ศพั ทเ์ ดมิ ศพั ท์ใหม่

ธนู อาคม ธนั วาคม

จักขุ อาพาธ จกั ขวาพาธ

ภิกขุ อาพาธ ภิกขวาพาธ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๘๖

สินธุ อานนท์ สนิ ธวานนท์
เหตุ อเนก เหตวาเนก

๒. พยัญชนะสนธิ คือ การกลมกลืนเสียงระหว่างเสยี งสระของคาตน้ กบั เสียงพยญั ชนะของคาท้ายหรือ

ระหว่างเสียงพยัญชนะของคาต้นกับเสียงสระของคาท้าย และ/หรือ ระหว่างเสียงพยัญชนะของคาต้นกับคาท้าย

ด้วยกัน ซึง่ ใน ๒ ประการหลังมเี ฉพาะในภาษาสนั สกฤตเทา่ นนั้ มลี กั ษณะดงั นี้

๒.๑ ศัพทท์ ี่มี สฺ การนั ต์ ซ่ึงตามหลังสระ อะ สฺ จะเปลย่ี นเปน็ โอ เม่อื สนธิกับพยญั ชนะโฆษะของ

คาหลงั และ สฺ จะคงรูปเดิม เมอ่ื สนธิกบั พยญั ชนะอโฆษะ

พยัญชนะสนธิ ศัพท์ใหม่

รหสฺ + ฐาน รโหฐาน

มนสฺ + ภาว มโนภาพ

มนสฺ + มย มโนมัย

มนสฺ + รม มโนรม

มนสฺ + ช มาโนช

สรสฺ + ช สาโรช

เตชสฺ + ชย เตโชชัย

ศิรสฺ + อตุ ฺตม ศโิ รตม์

อยสฺ + ฆร อโยฆร

เตชสฺ + ธาตุ เตโชธาตุ

นมสฺ + การ นมัสการ

วนสฺ + ปติ พนัสบดี

๒.๒ ศัพท์มี สฺ การันต์ ซ่ึงตามหลังสระอ่ืน ๆ สฺ จะเปล่ียนเป็น ร เมื่อสนธิกับพยัญชนะโฆษะของ

คาหลัง และ สฺ จะคงรปู เดมิ เมื่อสนธิกบั พยัญชนะอโฆษะ

พยญั ชนะสนธิ ศัพท์ใหม่

ยชุสฺ + เวท ยชุรเวท

อายสุ ฺ + เวท อายุรเวท

อายุสฺ + เวชชฺ อายุรเวช

อายสุ ฺ + เวทยฺ อายุรแพทย์

ทสุ ฺ + ชน ทุรชน

นิสฺ + ภย นริ ภยั

นสิ ฺ + กรม นษิ กรม

ทสุ ฺ + กร ทษุ กร

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๘๗

๒.๓ ศัพท์ท่ีมีพยัญชนะอ่ืน ๆ การันต์ จะต้องแปลงเสียงให้เน่ืองกับเสียงท่ีสนธิ คือ ให้เป็นเสียง

ประเภทเดียวกัน เพอ่ื ให้ออกเสยี งสะดวก

พยญั ชนะสนธิ ศพั ท์ใหม่

ภควตฺ + คีตา ภควัทคีตา

ทกิ ฺ + อมฺพร ทิคัมพร

ยชุ ฺ + ติ ยกุ ติ

๒.๔ ในกรณที ี่คาต้นสดุ ศัพท์ด้วยสระ เมื่อสนธกิ ับคาที่ขึน้ ต้นด้วยพยัญชนะ (ภาษาบาลี) มักมีการ

สังโยคด้วย

พยญั ชนะสนธิ ศพั ท์ใหม่
รปู + ขนฺธ รปู ักขันธ์
นานา + ปการ นานปั การ
ปญฺญ + ขนธฺ ปญั ญกั ขันธ์
มหา + ผล มหปั ผล
ทุ + กร ทุกกร
ทุ + ภกิ ขฺ ภย ทพุ ภิกขภัย

๓. นิคหิตสนธิ คือการกลมกลืนเสียงระหว่างคาท่ีลงท้ายด้วยนิคหิต กับคาที่ข้ึนต้นด้วยสระหรือ

พยัญชนะ มหี ลักดงั น้ี

๓.๑ ถา้ นคิ หิตสนธิกบั สระ ให้แปลงนคิ หิตเปน็ ม เสียก่อน

นิคหติ สนธิ ศัพท์ใหม่

ส + อาทาน สมาทาน

ส + อาคม สมาคม

ส + อุทย สมุทยั

ส + อาจาร สมาจาร

ส + โอสร สโมสร

ส + อิทธฺ ิ สมทิ ธฺ ิ

ศภุ + อสตฺ ุ ศภุ มสั ดุ

ส + อาส สมาส

ส + อจุ เฺ ฉท สมุจเฉท

ส + อฏุ ฐฺ าน สมุฏฐาน

ส + อาธิ สมาธิ

ส + อาปตตฺ ิ สมาบตั ิ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๘๘

๓.๒ ถ้านิคหิตสนธิกับพยัญชนะวรรค ให้เปล่ียนนิคหิตเป็นพยัญชนะเสียงนาสิกของวรรคน้ัน

เสียก่อน (ง ญ ณ น ม) ทงั้ นเ้ี พราะนคิ หติ มเี สยี งนาสิกเช่นเดยี วกัน

นิคหติ สนธิ ศพั ท์ใหม่

ส + คม สังคม

ส + เกต สังเกต

ส + คตี สงั คีต

ส + ขาร สังขาร

ส + ครห สงั เคราะห์

ส + จร สัญจร

ส + ชาติ สัญชาติ

ส + ญา สญั ญา

ส + ญาณ สัญญาณ

ส + ฐาน สณั ฐาน

ส + ฐิติ สณั ฐติ ิ

ส + ตาป สันดาป

ส + ตาน สนั ดาน

ส + โตษ สนั โดษ

ส + ถว สนั ถว

ส + ถาร สนั ถาร

ส + เทส สนเทส

ส + เทห สนเทห่ ์

ส + ธาน สันธาน

ส + ธิ สนธิ

ส + นปิ าต สนั นิบาต

ส + นวิ าส สนั นวิ าส

ส + ปตตฺ ิ สมบตั ิ

ส + ปทาน สมั ปทาน

ส + ปรายภว สัมปรายภพ

ส + พนธฺ สมั พันธ์

ส + พุทธ สัมพุทธ

ส + ภว สมภพ

ส + ภาร สมภาร

ส + ภาษณ สมั ภาษณ์

ส + มุติ สมมตุ ิ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง

๑๘๙

๓.๓ ถา้ นคิ หติ สนธกิ บั พยญั ชนะเศษวรรค ให้แปลงนิคหติ เป็น ง เสยี ก่อน แลว้ จึงค่อยเชื่อมกัน

นิคหิตสนธิ ศพั ท์ใหม่

ส + โยค สังโยค

ส + วร สงั วร

ส + หรณ สงั หรณ์

ส + หาร สงั หาร

ส + สรคฺ สังสรรค์

ส + วาส สังวาส

ส + เวชนิย สงั เวชนยี

ตัวอยา่ งนิคหิตสนธใิ นคาอ่นื ๆ นอกจาก ส ศัพท์ใหม่
ยคุ นธร
นิคหิตสนธิ เนมนิ ธร
ยคุ + ธร ปลุ ลิงค์
เนมึ + ธร กินนร
ปํุ + ลงิ ฺค สยมภู
กึ + นร สยมพร
สย + ภู
สย + พร

๙.๔ สังขยา

สังขยาคือคาบอกจานวนนบั ในภาษาบาลแี ละสันสกฤตมี ๒ ประเภท คือ ปกติสงั ขยาและปูรณสงั ขยา ดงั น้ี

๑. ปกติสงั ขยา (คาบอกจานวน)

ภาษาบาลี ภาษาสนั สกฤต คาแปล

เอก เอก ๑

ทวฺ ิ ทวฺ ิ ๒

ติ ตฺริ ๓

จตุ จตรุ ฺ ๔

ปญฺจ ปญฺจนฺ ๕

ฉ ษษฺ ๖

สตตฺ สปตฺ นฺ ๗

อฏฺฐ อษฏฺ นฺ ๘

นว นวนฺ ๙

ทส ทศนฺ ๑๐

เอกาทส เอกาทศนฺ ๑๑

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลือง

๑๙๐

ทฺวาทส, พารส ทวฺ าทศนฺ ๑๒
เตรส ตรฺ โยทศนฺ ๑๓
จตรุ ฺทศนฺ ๑๔
จตุทฺทส, จุททฺ ส ปญฺจทศนฺ ๑๕
ปญจฺ ทส, ปณณฺ รส โษฑศนฺ ๑๖
สปตฺ ทศนฺ ๑๗
โสฬส อษฺฏาทศนฺ ๑๘
สตฺตรส นวทศนฺ, เอโกนวีศต,ิ อนู วศึ ติ ๑๙
อฏฺฐารส ๒๐
เอกูนวสี ต,ิ อูนวีส วศึ ติ ๒๑
วสี , วสี ติ เอกวึศติ ๒๒
เอกวสี ติ ทวฺ าวศึ ติ ๒๓
ทวฺ าวีสต,ิ พาวีสติ ตรฺ โยวศึ ติ ๒๔
เตวีสติ จตรุ ฺวศึ ติ ๒๕
จตวุ ีสติ ปญฺจวศึ ติ ๒๖
ปญฺจวสี ติ ษฑวฺ ึศติ ๒๗
ฉพฺพสี ติ สปฺตวศึ ติ ๒๘
สตตฺ วีสติ อษฏฺ าวศึ ติ ๒๙
อฏฺฐวีสติ นววึศติ ๓๐
เอกูนตตฺ สึ , อนู ตฺตสึ ตรฺ ศึ ตฺ ๓๑
ตึส, ตึสติ เอกตฺรึศตฺ ๓๒
เอกตตฺ สึ ทวฺ าตรฺ ึศตฺ ๓๓
ทฺวตฺตึส, พตตฺ สึ ตรฺ ยสฺตฺรศึ ตฺ ๓๔
เตตฺตึส จตุสฺตรฺ ศึ ตฺ ๓๕
จตตุ ตฺ ึส ปญฺจตรฺ ึศตฺ ๓๖
ปญจฺ ตฺตึส ษฏตฺ ฺรศึ ตฺ ๓๗
ฉตตฺ ึส สปฺตตฺรึศตฺ ๓๘
สตตฺ ตฺตสึ อษฏฺ าตฺรึศตฺ ๓๙
อฏฐฺ ตตฺ ึส นวตฺรึศตฺ ๔๐
เอกูนจตตฺ าฬสี , อนู จตฺตาฬสี จตวฺ ารึศตฺ ๔๑
จตตฺ าฬสี , ตาฬสี เอกจตวฺ ารึศตฺ ๔๒
เอกจตตฺ าฬีส ทวฺ าจตฺตารศึ ต,ฺ ทวฺ จิ ตวฺ ารึศตฺ ๔๓
เทวจตฺตาฬีส ตรฺ ยสจฺ ตวฺ ารึศตฺ, ตรฺ ิจตฺวารึศตฺ ๔๔
เตจตฺตาฬีส จตศุ จฺ ตวฺ ารึศตฺ ๔๕
จตุจตตฺ าฬีส ปญฺจจตฺวารศึ ตฺ
ปญจฺ จตตฺ าฬสี

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๙๑

ฉจตตฺ าฬสี ษฏฺจตฺตารศึ ตฺ ๔๖
สตตฺ จตตฺ าฬสี สปฺตจตฺวารศึ ตฺ ๔๗
อฏฐฺ จตฺตาฬีส อษฺฏจตวฺ ารศึ ตฺ ๔๘
เอกนู ปญฺญาส, อนู ปญฺญาส นวจตฺตารึศตฺ ๔๙
ปญฺญาส, ปณฺณาส ๕๐
ปญจฺ าศตฺ ๖๐
สฏฺฐี ษษฏฺ ิ ๗๐
สตตฺ ติ สปฺตติ ๘๐
อสีติ อศตี ิ ๙๐
นวุติ นวติ ๑๐๐
สต ศต ๑,๐๐๐
สหสฺส สหสรฺ ๑๐,๐๐๐
ทสสหสสฺ อยุต ๑๐๐,๐๐๐
สตสหสสฺ , ลกขฺ ลกฺษ ๑,๐๐๐,๐๐๐
ทสสตสหสสฺ ปฺรยตุ โกฏิ
โกฏิ โกฏิ

๒. ปูรณสังขยา (คาบอกลาดับท่ี) ภาษาสันสกฤต คาแปล
ปฺรถม ที่ ๑
ภาษาบาลี ทฺวิตยี ที่ ๒
ปฐม ตฤตยี ที่ ๓
ทุตยิ จตรุ ฺถ ท่ี ๔
ตตยิ ปญจฺ ม ท่ี ๕
จตตุ ฺถ ษษฺฐ ท่ี ๖
ปญฺจม สปฺตม ที่ ๗
ฉฏฐฺ อษฺฏม ที่ ๘
สตฺตม นวม ที่ ๙
อฏฐฺ ม ทศม ที่ ๑๐
นวม เอกาทศ ท่ี ๑๑
ทสม ทวฺ าทศ ท่ี ๑๒
ตรฺ โยทศ ที่ ๑๓
เอกาทสม จตรุ ทฺ ศ ที่ ๑๔
ทฺวาทสม, พารสม ปญจฺ ทศ ท่ี ๑๕
โษฑศ ท่ี ๑๖
เตรสม
จตุทฺทสม
ปณณฺ รสม
โสฬสม

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๙๒

สตฺตรสม สปตฺ ทศ ท่ี ๑๗
อฏฺฐารสม อษฏฺ าทศ ท่ี ๑๘
เอกูนวีสตมิ นวทศ ที่ ๑๙
วึศ, วึศติม ที่ ๒๐
วสี ตมิ

สรปุ ทา้ ยบท
สมาส คอื การสร้างคาวิธีหน่ึง โดยนาคาที่มวี ิภัตติตั้งแต่ ๒ คาข้ึนไปมารวมและยอ่ เข้าเป็นคา ๆ เดยี ว ทั้งนี้

เพื่อให้ได้รูปศัพท์กะทัดรัดและออกเสียงได้สะดวก คาสมาสท่ีนามาใช้ในภาษาไทยมี ๖ ประเภท คือ กัมมธารย
สมาส ทิคุสมาส ตปั ปรุ สิ สมาส ทวันทวสมาส อัพยยีภาวสมาส พหพุ พหิ สิ มาส

ตัทธิต คือการยอ่ ศพั ท์ให้สน้ั เข้า โดยวิธนี าคามาประกอบกับปัจจัยซึง่ ใช้แทนศัพทห์ ลัง เพื่อให้ไดศ้ ัพทใ์ หม่ที่
กะทัดรัดและมีความหมายพิสดารออกไป ซ่ึงตัทธิตแบ่งเป็น ๓ ประเภท คือ สามัญตัทธิต ภาวตัทธิต และอัพยย
ตทั ธติ

สนธิ คือวิธีต่อศัพท์และอักษร ให้เน่ืองด้วยอักษร เพ่ือย่ออักษรให้น้อยลง เพื่อช่วยในการแต่งฉันท์และให้
คาพูดสละสลวย สนธิในภาษาบาลีและสันสกฤต แบ่งออกตามลักษณะอักษรที่เชื่อมกันได้ ๓ ชนิด คือ สระสนธิ
พยญั ชนะสนธิ และนิคหติ สนธิ

สังขยาคือคาบอกจานวนนับในภาษาบาลีและสันสกฤตมี ๒ ประเภท คือ ปกติสังขยา (คาบอกจานวน)
และปูรณสงั ขยา (คาบอกลาดบั ท)ี่

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๙๓

กจิ กรรมการเรยี น
๑. ทบทวนความรู้
๑.๑ จงอธิบายกระบวนการสร้างคาสมาส
๑.๒ จงอธิบายกระบวนการสร้างคาตัทธติ
๑.๓ จงอธิบายกระบวนการสรา้ งคาสนธิ
๑.๔ จงอธิบายหลกั การใช้สังขยา
๒. จดั กิจกรรม
๒.๑ ให้นักศกึ ษาอภิปรายวิธสี รา้ งคาสมาส
๒.๒ ให้นกั ศกึ ษาอภิปรายวธิ ีสรา้ งคาตทั ธิต
๒.๓ ให้นักศึกษาอภปิ รายวธิ สี ร้างคาสนธิ
๒.๔ ใหน้ กั ศึกษาอภปิ รายการเปลีย่ นแปลงสังขยาเมอ่ื นาไปใช้
๒.๕ ใหน้ กั ศกึ ษาวิเคราะหต์ ัวอย่างศัพท์สมาสและตัทธิต
๒.๖ ให้นักศึกษาวเิ คราะห์ตัวอย่างศพั ท์สนธิ

สื่อการสอน
๑. โปรแกรมนาเสนอภาพนิ่ง (PPT.) เนอื้ หาประกอบการบรรยาย
๒. โปรแกรมสอ่ื มตั ติมีเดยี และแอปพลิเคชัน YouTube
๓. เอกสารประกอบการสอน รายวิชา ED1022 ภาษาบาลสี นั สกฤตในภาษาไทย

แนวทางการประเมินผล
๑. ประเมินผลจากการสังเกตความสนใจ ซกั ถาม และตอบคาถาม
๒. ประเมนิ ผลจากการร่วมกจิ กรรม การอภปิ รายแสดงความคิดเหน็
๓. ประเมนิ ผลจากผลงาน ดา้ นเนื้อหา รูปแบบ ความคดิ สร้างสรรค์ วิธีการนาเสนอ

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผวิ เหลอื ง

๑๙๔
เอกสารอา้ งองิ
จนั จิรา จติ ตะวริ ิยะพงษ.์ (๒๕๔๖). อิทธิพลภาษาต่างประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พัฒนาศึกษา.
ชะเอม แก้วคลา้ ย. (๒๕๕๕). ลักษณะการใช้ศัพทบ์ าลีสนั สกฤตในภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : สหธรรมิก จากัด.
ประหยัด เกษม. (๒๕๒๔). ภาษาบาลีและสันสกฤตในภาษาไทย. พิมพ์ครั้งท่ี ๒. นครศรีธรรมราช : ภาควิชา
ภาษาไทย วิทยาลัยครนู ครศรธี รรมราช.
ประสทิ ธ์ิ กาพยก์ ลอน. (๒๕๑๙). การศึกษาภาษาไทยตามแนวภาษาศาสตร์. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
ปรชี า ทิชินพงศ.์ (๒๕๓๔). บาลี - สนั สกฤตท่ีเก่ยี วกบั ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร.์
พนมพร นิรญั ทว.ี (๒๕๒๗). คาตา่ งประเทศในภาษาไทย. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์.
พัฒน์ เพ็งผลา. (๒๕๕๑). บาลสี นั สกฤตในภาษาไทย. พมิ พ์คร้ังที่ ๙. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคาแหง.
วไิ ลศักด์ิ กงิ่ คา. (๒๕๕๖). ภาษาตา่ งประเทศในภาษาไทย. พิมพ์ครง้ั ท่ี ๒. กรุงเทพฯ : มหาวทิ ยาลัยเกษตรศาสตร์.
วิสันติ์ กฎแกว้ . (๒๕๔๕). ภาษาบาลสี นั สกฤตที่เกยี่ วขอ้ งกับภาษาไทย. กรุงเทพฯ : พฒั นาศึกษา.
สถาบนั ภาษาไทย. (๒๕๕๕). บรรทดั ฐานภาษาไทย เล่ม ๒. พิมพค์ ร้ังท่ี ๓. กรุงเทพฯ : องค์การค้าของ สกสค.
สุธิวงศ์ พงศไ์ พบูลย์. (๒๕๔๓). หลกั ภาษาไทย. พมิ พ์คร้งั ที่ ๑๕. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ จากัด.
สุภาพร มากแจ้ง. (๒๕๓๕). ภาษาบาลี – สันสกฤตในภาษาไทย. พมิ พค์ รง้ั ที่ ๒. กรงุ เทพฯ : โอเดียนสโตร.์
อารีย์ สหชาติโกสยี ์. (๒๕๑๓). เทยี บลักษณะคาบาลี-สันสกฤตกบั คาไทย ตอนที่ ๑ อักขรวิธี. กรุงเทพฯ : หน่วย
ศกึ ษานเิ ทศก์ กรมการฝึกหดั คร.ู

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลือง

๑๙๕

แผนการสอนประจาบท

เรอ่ื ง
๑. อทิ ธิพลดา้ นไวยากรณ์
๒. อทิ ธิพลดา้ นการใช้ภาษาไทย
๓. อทิ ธิพลด้านการใชส้ านวนภาษา
๔. อทิ ธิพลดา้ นการออกเสยี งคาไทย
๕. อิทธิพลด้านการเปล่ยี นแปลงศัพท์

แนวคิด
อิทธิพลด้านไวยากรณ์ มีผลกระทบต่อภาษาไทย ๒ ประการ คือ ๑) หน่วยเสียงพยัญชนะ ประกอบด้วย

การแผลงพยัญชนะ การใช้อักษร และการเพิ่มพยัญชนะควบกลาและพยัญชนะท้ายคา ๒) การสร้างคาไทย
ประกอบด้วย การเรียงคาขยายไว้ขา้ งหน้า การสร้างคาโดยลงอปุ สรรค และการเปลยี่ นแปลงคาศพั ท์

อิทธิพลด้านการใช้ภาษาไทย มีผลกระทบต่อภาษาไทย ๗ ประการ คือ ๑) การเขียนคาไทย ๒) การใช้
ตวั สะกด ๓) การใช้ตัวการนั ต์ ๔) การใชค้ าควบกลา ๕) การใชศ้ ัพทใ์ หม่ ๖) การใช้สระไอ ไอย อัย ๗) การสร้างคา
ประสมขึนใหม่

อิทธิพลด้านการใช้สานวนภาษา มีผลกระทบต่อภาษาไทย ๒ ประการ คือ ๑) จากสานวนภาษาบาลี ๒)
จากสานวนการแปลวภิ ตั ตใิ นภาษาบาลี

อิทธพิ ลด้านการออกเสยี งคาไทย มผี ลกระทบตอ่ ภาษาไทย ๒ ประการ คือ ๑) การออกเสียงอย่างคาสมาส
แบบภาษาบาลสี นั สกฤต ๒) การออกเสียงพยัญชนะอสุ มุ (การออกเสียงก่งึ หน่ึง)

อิทธิพลด้านการเปล่ียนแปลงศัพท์ มีผลกระทบต่อภาษาไทย ๕ ประการ คือ ๑) ทาให้ภาษาไทยมีคา
ไวพจน์มากขึน ๒) การสร้างคาประสมในภาษาไทย ๓) ทาให้เกิดแนวเทียบผิด ๆ เป็นเหตุให้เขียนคาผิดได้ง่าย ๔)
ทาใหภ้ าษาไทยเกิดมีระดับของคามากขึน ๕) ทาให้โครงสรา้ งประโยคในภาษาไทยเปลี่ยนไป

วตั ถปุ ระสงค์
เมื่อนกั ศึกษาเรียนจบบทที่ ๑๐ มีความสามารถได้ดังนี
๑. อธิบายอิทธิพลดา้ นไวยากรณไ์ ด้
๒. อธบิ ายอิทธพิ ลด้านการใช้ภาษาไทยได้
๓. อธิบายอทิ ธิพลด้านการใช้สานวนภาษาได้
๔. อธบิ ายอทิ ธพิ ลดา้ นการออกเสยี งคาไทยได้
๕. อธิบายอิทธพิ ลดา้ นการเปลย่ี นแปลงศัพท์ได้
๖. อธิบายผลดีและผลเสียในการรบั คาภาษาต่างประเทศเขา้ มาในภาษาไทย

อาจารย์ ดร.อรรถพงษ์ ผิวเหลอื ง


Click to View FlipBook Version