หน้า 1 สรุปผลการดำเนินงาน การขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพวัยเรียน ปีงบประมาณ 2566 จัดทำโดย กลุ่มพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพวัยเรียน ศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา
หน้า 2 สารบัญ การขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพวัยเรียน 3 ข้อมูลสารสนเทศ 6 1. Assessment 15 1.1 ผลการวิเคราะห์สถานการณ์ของตัวชี้วัด และความรู้ที่นำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ 15 ผลผลิต/ผลลัพธ์ระดับ C (Comparisons) การเปรียบเทียบ 15 ผลผลิต/ผลลัพธ์ ระดับ T (Trends) แนวโน้ม 27 ผลผลิต/ผลลัพธ์ระดับ Le (Level) ของผลการดำเนินการในปัจจุบัน 34 ความรู้ที่นำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ 43 1.2 ผลการวิเคราะห์ผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อขับเคลื่อนตัวชี้วัด 48 กลุ่มผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย 48 ความต้องการ/ ความคาดหวัง 49 ความผูกพัน 53 ความพึงพอใจ/ความไม่พึงพอใจ 55 ข้อเสนอแนะจากผู้รับบริการ 59 1.3 ทำเนียบผู้รับบริการ (C) และผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (SH) 60 2. Advocacy/ Intervention 67 2.1 มาตรการขับเคลื่อนตัวชี้วัด 68 2.2 แผนการขับเคลื่อนการดำเนินงานตัวชี้วัด 71 3. Management and Governance 77 3.1 รายงานการติดตามการดำเนินงานตัวชี้วัดตามคำรับรองฯ รอบ 5 เดือนแรก 77 3.2 มาตรฐานการปฏิบัติงาน (SOP) ของตัวชี้วัด 80 4. ผลการขับเคลื่อนการดำเนินงานตัวชี้วัดฯ ตามแผนยุทธศาสตร์ ศูนย์อนามัยที่ 9 รอบ 5 เดือนแรก 127 5. ผลการขับเคลื่อนการดำเนินงานตัวชี้วัดฯ ตามแผนยุทธศาสตร์ ศูนย์อนามัยที่ 9 รอบ 5 เดือนหลัง 131 6. ผลการขับเคลื่อนการดำเนินงานตัวชี้วัดฯ ตามแผนยุทธศาสตร์ ศูนย์อนามัยที่ 9 รอบ 12 เดือน 135 7. ผลลัพธ์การดำเนินงานตามแผนงาน/โครงการ ศูนย์อนามัยที่ 9 รอบ 12 เดือน 239
หน้า 3 การขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพวัยเรียน ปีงบประมาณ 2566 กลุ่มพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพวัยเรียน ศูนย์อนามัยที่ 9 สภาพสังคมและสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ส่งผลต่อวิถีชีวิตของเด็กวัยเรียนโดยเฉพาะ พฤติกรรมเสี่ยงที่ไม่เหมาะสม มีค่านิยม และวัฒนธรรมตามกระแสสังคมที่ไม่ถูกต้อง นำไปสู่ปัญหาที่เกิดจากตัวเด็ก ครอบครัว และสภาพแวดล้อมทางสังคม จากการติดตามการดำเนินงานด้านสุขภาพเด็กวัยเรียนวัยรุ่นเขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2565 ยังพบปัญหาสุขภาพ ได้แก่ ปัญหาด้านภาวะโภชนาการและการเจริญเติบโต (อ้วน เตี้ย ผอม ไม่ แข็งแรง) ภาวะซีด สายตาผิดปกติ ฟันผุ พฤติกรรมเนือยนิ่ง เป็นต้น ปัญหาเหล่านี้ส่วนหนึ่งเกิดจากการขาดความรู้ ความเข้าใจที่ถูกต้องในการดูแลสุขภาพตนเอง ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง นอกจากนี้ระบบการเฝ้า ระวัง คัดกรอง และส่งต่อยังไม่ชัดเจน ทำให้ผู้ปฏิบัติงานในพื้นที่เกิดความสับสนในดำเนินงานและไม่สามารถใช้ ประโยชน์จากข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี แผนการพัฒนาศักยภาพคนตลอดช่วงชีวิต มีการขับเคลื่อนงานโรงเรียน ส่งเสริมสุขภาพตามแนวทางองค์การอนามัยโลก ทำให้โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพมีการต่อยอดและยกระดับการพัฒนาเป็น “โรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ” ซึ่งมีการบริหารจัดการให้ทุกคน ในโรงเรียนสื่อสารเพื่อจัดการสุขภาพตนเอง ค้นหาข้อมูล ประกอบการตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพ และบอกต่อพฤติกรรมที่พึงประสงค์แก่ผู้อื่นได้ ดังนั้นจึงควรมีการ ยกระดับโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพและโรงเรียนในสังกัดสถานศึกษาทุกสังกัดพัฒนาเป็นโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ ส่งเสริมการจัดทำแผนงาน โครงการ ที่สอดคล้องกับปัญหาสุขภาพ เด็กวัยเรียนวัยรุ่นสามารถพัฒนาโครงงานสุขภาพ เพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาสุขภาพของตัวเองได้อย่างเหมาะสม รวมถึงการบริหารจัดการข้อมูลสุขภาพที่สำคัญและ การกำกับติดตามเพื่อปรับปรุงมาตรการดำเนินงานระหว่างหน่วยงานที่ กลุ่มพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพวัยเรียน ศูนย์อนามัยที่ 9 จึงได้จัดทำโครงการส่งเสริมเด็กไทยในศตวรรษ ที่ 21 เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง ปีงบประมาณ 2566 เพื่อส่งเสริมความรอบรู้ของเด็กวัยเรียนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ ในยุคปัจจุบันเกิดกระบวนการเรียนรู้ของนักเรียนตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในศตวรรษที่ 21 เพื่อให้เด็กวัยเรียน เก่ง ดี มีทักษะ แข็งแรง เติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี และมีคุณภาพ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) เพื่อเสริมสร้างความรอบรู้ให้เด็กวัยเรียนวัยรุ่น มีทักษะสุขภาพ และมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ 2) เพื่อพัฒนาสมรรถนะผู้พิทักษ์อนามัยนักเรียนในการเฝ้าระวังภัยคุกคามสุขภาพอย่างปลอดภัย สร้างการมีส่วน ร่วมของครอบครัวและโรงเรียน ในการส่งเสริมสุขภาพวัยเรียน 3) เพื่อเสริมสร้างศักยภาพบุคลากรสาธารณสุข การศึกษาและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องในการขับเคลื่อนและ ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและจัดการสุขภาพเด็กวัยเรียนเพื่อส่งเสริมสุขภาพ เด็กพิเศษและเพิ่มการเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพเด็กพิเศษ
หน้า 4 4) เพื่อผลักดันและขับเคลื่อนระบบการประเมินสถานศึกษาในมิติสุขภาพด้วย Digital Platform (HPS Plus HL สู่ GSHPS) 5) เพื่อส่งเสริมสุขภาพเด็กพิเศษและเพิ่มการเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพเด็กพิเศษ เป้าหมาย ผลผลิต และตัวชี้วัดความสำเร็จ เป้าหมาย/ผลผลิต จำนวน หน่วยนับ 1. โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพพัฒนาก้าวสู่โรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ (HLS) 510 แห่ง 2. นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ 50 ร้อยละ 3. นักเรียนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ 60 ร้อยละ 4. บุคลากรทางการศึกษาและฝ่ายสาธารณสุขได้รับการเพิ่มพูนสมรรถนะตาม มาตรฐาน GSHPS 100 คน 5. รูปแบบการจัดการแก้ไขปัญหาสุขภาพเด็กวัยเรียน(Health station in school) 1 รูปแบบ 6. การคัดกรองและการเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพเด็กพิเศษ 50 ร้อยละ 7. โรงเรียนดำเนินงานผ่านมาตรฐานงานวัยเรียน (โรงเรียนส่งเสริมโภชนาการ โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพระดับเพชร โครงงานสุขภาพนักเรียน โรงเรียนส่งเสริมด้าน กิจกรรมทางกายเพื่อเด็กไทยสูงสมส่วน) 16 แห่ง 8. การดำเนินงานการคัดกรองสายตาเด็กวัยเรียนในเขตสุขภาพที่ 9 1 ครั้ง ตัวชี้วัดความสำเร็จ จำนวน หน่วยนับ เชิงปริมาณ : 1. โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพพัฒนาก้าวสู่โรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ (HLS) 510 แห่ง 2. ผู้พิทักษ์อนามัยโรงเรียนและแกนนำสุขภาพนักเรียน 60 คน 3. โรงเรียนดำเนินงานผ่านมาตรฐานงานวัยเรียน (โรงเรียนส่งเสริมโภชนาการ โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพระดับเพชร โครงงานสุขภาพนักเรียน โรงเรียนส่งเสริมด้าน กิจกรรมทางกายเพื่อเด็กไทยสูงสมส่วน) 16 แห่ง เชิงคุณภาพ : เด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน ร้อยละ 57 เชิงเวลา : สามารถดำเนินกิจกรรมตามระยะเวลาที่กำหนดในแผนปฏิบัติการ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 80
หน้า 5 พื้นที่เป้าหมาย/สถานที่ดำเนินการ : 1. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ในเขต สุขภาพที่ 9 2. โรงเรียนในสังกัด สพป./สพม./กพด./โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน/โรงเรียนพระปริยัติธรรม/การศึกษาตาม อัธยาศัย/โรงเรียนการศึกษาพิเศษ/โรงเรียนโสตศึกษา/โรงเรียนราชประชานุเคราะห์ 51 ในเขตสุขภาพที่ 9 3. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ กลุ่มเป้าหมาย/ผู้ร่วมดำเนินการ : 1. เด็กวัยเรียนและวัยรุ่น ผู้ปกครอง บุคลารกรในโรงเรียน และผู้นำชุมชน ในเขตสุขภาพที่ 9 2. สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา (สพป.) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา (สพม.) ในเขต สุขภาพที่ 9 3. โรงเรียนในสังกัด สพป. /สพม. /กพด. /โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดน/โรงเรียนพระปริยัติธรรม/การศึกษา ตามอัธยาศัย/สถานพินิจ/โรงเรียนการศึกษาพิเศษ/โรงเรียนโสตศึกษา ในเขตสุขภาพที่ 9 4. สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ กลุ่มผู้ใช้ประโยชน์ / ผู้รับบริการ : เด็กวัยเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน โรงเรียน หน่วยงานสาธารณสุข ภาคีเครือข่ายทั้งในและนอกกระทรวงสาธารณสุข ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ : 1. เด็กวัยเรียน มีทักษะสุขภาพ มีความรอบรู้ด้านสุขภาพและมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ ด้านการบริโภคอาหาร กิจกรรมทางกาย การนอนหลับ และทันตสุขภาพตามแนววิถีชีวิตใหม่ 2. มีผู้พิทักษ์อนามัยนักเรียนมีสมรรถนะในการเฝ้าระวังภัยคุกคามสุขภาพอย่างปลอดภัย สร้างการมีส่วนร่วมของ ครอบครัวและโรงเรียน ในการส่งเสริมสุขภาพวัยเรียน 3. บุคลากรสาธารณสุข ภาคการศึกษาและภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องสามารถขับเคลื่อนและถ่ายทอดองค์ความรู้ ด้านการสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพและจัดการสุขภาพเด็กวัยเรียนเพื่อส่งเสริมสุขภาพเด็กพิเศษและเพิ่มการเข้าถึงบริการ ส่งเสริมสุขภาพเด็กพิเศษ 4. เพื่อส่งเสริมสุขภาพเด็กพิเศษและเพิ่มการเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพเด็กพิเศษ 5. การเชื่อมระบบข้อมูลงานอนามัยโรงเรียนระหว่างกระทรวงสาธารณสสุขและศึกษาธิการ 6. เด็กพิเศษได้รับการคัดกรองและเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพเด็กพิเศษ
หน้า 6 ข้อมูลสารสนเทศ ศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา ได้ตระหนักถึงความสำคัญและความจำเป็นเร่งด่วนของการส่งเสริมสุขภาพในกลุ่ม เด็กวัยเรียนมาโดยตลอด เพื่อเป็นเครื่องมือในการกำหนดกรอบและทิศทางในการบริหารข้อมูลสารสนเทศ ที่จะสนับสนุน การบริหารจัดการส่งเสริมสุขภาพงานวัยเรียนได้ครอบคลุมในระดับพื้นที่ รวมถึงการกำหนดนโยบาย และทิศทางการดเนิน งานตามนโยบายของกระทรวงสาธารณสุข และการสนับสนุนการตรวจราชการกระทรวงสาธารณสุขและ กระทรวงศึกษาธิการ ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปีแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบส่งเสริมสุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ของกรมอนามัย ระยะ 5 ปี (พ.ศ.2566-2570) ของกระทรวงสาธารณสุข ในพื้นที่กลุ่มจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ทั้งนี้ กลุ่มพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพวัยเรียนได้ตระหนักถึงความจำเป็นในการใช้สารสนเทศที่สอดคล้องกับ ความต้องการและเป็นปัจจัยสำคัญต่อการวางแผน การตัดสินใจให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อส่งผลต่อการปฏิบัติงาน การพัฒนางานอย่างเป็นระบบต่อไป บทบาทและหน้าที่ของศูนย์อนามัยที่ 9 ในการดำเนินการขับเคลื่อนการส่งเสริมสุขภาพเด็กวัยเรียน 1. วางแผนพัฒนาการดำเนินงานสุขาภิบาลอาหารและน้ำพื้นที่โครงการพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนด 2. ดำเนินการเฝ้าระวังคุณภาพน้ำบริโภคในพื้นที่ 3. พัฒนาศักยภาพผู้รับผิดชอบการจัดการคุณภาพน้ำบริโภคและการจัดการสุขาภิบาลอาหารของโรงเรียน 4. พัฒนาโรงเรียน กพด. ต้นแบบ ด้านการจัดการน้ำสะอาดเพื่อการอุปโภคบริโภค และต้นแบบด้านการจัดการ สุขาภิบาลอาหาร 5. ประสานความร่วมมือ ส่งเสริม สนับสนุนคุณครูและแกนนำนักเรียน หรือ อย.น้อย ในการตรวจสอบคุณภาพน้ำ ด้วยชุดทดสอบภาคสนาม สร้างระบบส่งผลตรวจทางช่องทางการติดต่อประสานที่มี และเป็นที่ปรึกษาการแก้ปัญหา คุณภาพน้ำให้แก่ผู้รับผิดชอบการจัดการคุณภาพน้ำบริโภค 6. ประสานความร่วมมือและบูรณาการการดำเนินงานสุขาภิบาลอาหารและน้ำพื้นที่โครงการพระราชดำริและ โครงการเฉลิมพระเกียรติร่วมกับภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง และชุมชนในพื้นที่ เพื่อให้การดำเนินงานเกิดประสิทธิภาพ สร้าง ความต่อเนื่องและยั่งยืนของโครงการ 7. รวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ สังเคราะห์ และจัดทำข้อเสนอแนะทางวิชาการในการพัฒนาสุขาภิบาลอาหารและน้ำ พื้นที่โครงการพระราชดำริและโครงการเฉลิมพระเกียรติ นำเสนอต่ออผู้บริหารโรงเรียนเพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาต่อไป 8. รวบรวม สรุปผลการดำเนินงาน และวิเคราะห์ สังเคราะห์ จัดทำข้อเสนอแนะทั้งในทางนโยบายและทาง วิชาการ นำเสนอต่อกรม อนามัย 9. ร่วมขับเคลื่อนการดำเนินการตามมาตรฐานระบบการจัดการอาหารและโภชนาการในสถานศึกษา 10. เป็นพี่เลี้ยงขับเคลื่อนงาน เชื่อมโยงงานร่วมกับ ระดับส่วนกลาง ระดับเขต จังหวัด อำเภอ ตำบล เพื่อให้ บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกระดับมีศักยภาพในการขับเคลื่อนงานอาหารและโภชนาการไปในทิศทางเดียวกัน
หน้า 7 11. ร่วมขับเคลื่อนหลักสูตรด้านอาหารและโภชนาการเพื่อเด็กและชุมชนในสถานศึกษาและเป็นพี่เลี้ยงในการ จัดการอาหารและโภชนาการในสถานศึกษา 12. กำกับ ติดตาม การจัดการอาหารและโภชนาการตามระบบการเฝ้าระวังภาวะโภชนาการ มาตรฐานอาหาร กลางวันในโรงเรียน และส่งเสริมให้วัยเรียนวัยรุ่นมีพฤติกรรมการบริโภคที่เหมาะสม การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมี พฤติกรรมการบริโภคที่เหมาะสม โดยการดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมของสถานศึกษา ผู้ปกครอง ชุมชน 13. แลกเปลี่ยนเรียนรู้ ปรึกษาหารือปัญหาอุปสรรคเพื่อให้การดำเนินงานอาหารและโภชนาการเรียนรู้สื่อสารผ่าน ทาง LINE “School Lunch ศอ.” 14. ร่วมส่งเสริมการสร้างความรอบรู้และพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ด้านโภชนาการ ผ่านทางช่องทาง/รูปแบบ ต่างๆ/ส่งเสริมการจัดกิจกรรมในวันสำคัญต่างๆ เช่น วันไข่ วันเด็ก วันดื่มนมโลก 15. ร่วมพัฒนารูปแบบ Service package การจัดการปัญหาภาวะโภชนาการที่เป็นรูปธรรมในทุกระดับ และ ผลักดันเข้างานอนามัยโรงเรียน 16. ร่วมประเมิน ติดตาม การเฝ้าระวังภาวะโภชนาการ ได้แก่ การชั่งน้ำหนัก-วัดส่วนสูง ประเมินและติดตามการ เจริญเติบโต ป้องกันและแก้ไขปัญหาภาวะโภชนาการของเด็กวัยเรียนวัยรุ่น 17. ส่งเสริมให้เด็กวัยเรียนวัยรุ่นได้รับอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยเน้นการจัดการอาหารกลางวันที่มี คุณภาพตามมาตรฐาน และส่งเสริมให้วัยเรียนวัยรุ่นมีพฤติกรรมการกินที่เหมาะสม โดยการดำเนินงานอย่างมีส่วนร่วมของ สถานศึกษา ผู้ปกครอง และชุมชน 18. ร่วมสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการมีพฤติกรรมการบริโภคที่เหมาะสมของเด็กวัยเรียนวัยรุ่นทั้งใน-นอกรั้ว สถาบัน 19. สนับสนุนให้จังหวัดในพื้นที่รับผิดชอบจัดกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากในกลุ่มเป้าหมายเด็กวัยเรียนวัยรุ่น และเด็กกลุ่มพิเศษ 21. กำกับติดตามการบริการส่งเสริมสุขภาพช่องปากเด็กวัยเรียนร่วมกับ ภาคีเครือข่าย 22. คัดเลือกและประเมินเครือข่ายโรงเรียนเด็กไทยฟันดี 23. ประชาสัมพันธ์กิจกรรมโรงเรียนผู้พิทักษ์ฟันดี รุ่นที่ 2 (กิจกรรมโรงเรียนผู้พิทักษ์ฟันดี รุ่นที่ 2 ประกอบด้วย 1.) โรงเรียนจัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบ Active learning 2.) จัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียน 3.) โรงเรียนมีการส่งเสริมการ ดูแลสุขภาพช่องปากผ่านแบบบันทึก Smart smile Passport 24. คัดเลือกโรงเรียนผู้พิทักษ์ฟันดีผ่านการประกวดคลิปวีดีโอ 25.ขับเคลื่อนการจัดการสิ่งแวดล้อมในโรงเรียนที่เอื้อต่อการมีพฤติกรรมสุขภาพช่องปากทีดี ตามประกาศ กระทรวงศึกษาธิการ และ สพฐ. 26. เป็นพี่เลี้ยงและถ่ายทอดนโยบายสร้างความรอบรู้สู่การปฏิบัติในพื้นที่จังหวัดเป้าหมาย 27. สื่อสารประชาสัมพันธ์ความรอบรู้ด้านสุขภาพเด็กวัยเรียนอย่างครอบคลุมและทั่วถึง
หน้า 8 28. เสริมสร้างสมรรถนะบุคลากรสาธารณสุขอย่างมืออาชีพในการส่งเสริมสุขภาพเด็กวัยเรียนและงานอนามัย โรงเรียนและในชุมชน ในสถานการณ์โควิด -19 และภัยคุกคามสุขภาพ 29. เฝ้าระวังสุขอนามัยและส่งเสริมสุขภาพนักเรียนในสถานการณ์โควิด -19 รวมถึงสร้างขวัญกำลังใจ 30. ส่งเสริมการจัดการความรู้และสร้างมูลค่านวัตกรรมสุขภาพนักเรียนตามแนววิถีชีวิตใหม่ในยุคดิจิทัล และเสริม พลังสร้างแรงจูงใจ 31. ลงพื้นที่ติดตามและประเมินผลการดำเนินงานแบบบูรณาการร่วมกับภาคีเครือข่าย และกำกับติดตามรายงาน ผล ผ่าน Digital Platform 32. สนับสนุนการตรวจราชการ และติดตามประเมินผลการดำเนินงานตามนโยบายและยุทธศาสตร์ของกระทรวง สาธารณสุขในพื้นที่รับผิดชอบ 33. ประสานการบริหารงานระหว่างราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคให้เกิดการพัฒนาอย่างบูรณาการในระดับ พื้นที่ของจังหวัดในเขตรับผิดชอบ โดยยึดการมีส่วนร่วมและประโยชน์สุขของเด็กวัยเรียนเป็นหลัก 34. ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับมอบหมาย พื้นที่รับผิดชอบ ภาพที่ 1 แสดงพื้นที่รับผิดชอบ ศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา บุรีรัมย์ สุรินทร์ ชัยภูมิ
หน้า 9 ศูนย์อนามัยที่ 9 ตั้งสำนักงานอยู่ ณ เลขที่ 177 หมู่ 6 ตำบลโคกกรวด อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งรับผิดชอบดำเนินการในพื้นที่ 4 จังหวัด ได้แก่ นครราชสีมา ชัยภูมิบุรีรัมย์ และสุรินทร์ เขตการปกครองรายจังหวัด แบ่งออกเป็น 2 รูปแบบ คือ การปกครองส่วนภูมิภาค และการปกครองส่วนท้องถิ่น จังหวัด การปกครองส่วนภูมิภาค การปกครองส่วนท้องถิ่น อำเภอ ตำบล หมู่บ้าน ชุมชน อบจ. เทศบาล นคร เทศบาล เมือง เทศบาล ตำบล อบต. รวม นครราชสีมา 32 287 3,739 169 1 1 4 85 243 334 ชัยภูมิ 16 124 1,617 25 1 - 1 35 106 143 บุรีรัมย์ 23 188 2,546 38 1 - 3 59 146 209 สุรินทร์ 17 158 2,128 33 1 - 1 27 144 173 รวมทั้งเขต 88 757 10,030 265 4 1 9 206 639 859 ที่มา : แผนพัฒนากลุ่มจังหวัดภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง 1 (นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์) ระยะ 5 ปี (2566-2570) จำนวนประชากรวัยเรียนตั้งแต่แรกเกิด - อายุ 19 ปี พ.ศ. 2565 จำแนกรายจังหวัด อายุ จำนวนประชากร รวมตาม ช่วงอายุ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ กลุ่มจังหวัด ชาย หญิง ชาย หญิง ชาย หญิง ชาย หญิง ชาย หญิง < 1 ปี 9,469 9,017 4,008 3,738 5,912 5,678 5,318 4,894 24,707 23,327 96,068 1 ปี 10,425 9,911 4,419 4,122 6,521 6,370 5,992 5,453 27,357 25,856 106,426 2 ปี 11,258 10,443 4,737 4,402 7,231 6,801 6,202 5,933 29,428 27,579 114,014 3 ปี 11,769 11,141 4,978 4,783 7,492 7,182 6,624 6,264 30,863 29,370 120,466 4 ปี 12,503 11,967 5,313 5,093 8,193 7,712 6,931 6,771 32,940 31,543 128,966 5 ปี 13,231 12,543 5,623 5,332 8,575 8,035 7,393 7,055 34,822 32,965 135,574 6 ปี 13,486 12,852 5,666 5,358 8,632 8,066 7,543 7,133 35,327 33,409 137,472 7 ปี 14,028 13,192 5,880 5,602 9,030 8,566 7,801 7,490 36,739 34,850 143,178 8 ปี 14,919 14,409 6,229 5,937 9,511 9,001 8,202 7,933 38,861 37,280 152,282 9 ปี 15,000 14,315 6,412 6,099 9,776 9,151 8,367 7,877 39,555 37,442 153,994 10 ปี 16,290 15,070 6,929 6,526 10,565 9,873 9,033 8,725 42,817 40,194 166,022 11 ปี 16,281 15,104 6,704 6,370 10,477 10,031 8,983 8,529 42,445 40,034 164,958 12 ปี 15,317 14,423 6,535 6,188 10,236 9,577 8,693 8,236 40,781 38,424 158,410 13 ปี 16,035 15,061 6,813 6,415 10,353 9,766 8,790 8,328 41,991 39,570 163,122 14 ปี 16,108 15,467 6,722 6,298 10,311 9,724 8,735 8,168 41,876 39,657 163,066 15 ปี 16,380 15,287 6,957 6,525 10,461 9,968 8,919 8,535 42,717 40,315 166,064
หน้า 10 ที่มา : สำนักบริหารการทะเบียน กระทรวงมหาดไทย ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 (เฉพาะผู้มีสัญชาติไทย) ภาพที่ 2 แสดงจำนวนประชากรแรกเกิด – 19 ปี 16 ปี 16,179 15,294 6,872 6,337 10,603 9,762 9,083 8,491 42,737 39,884 165,242 17 ปี 16,624 15,670 6,929 6,532 10,928 10,233 9,400 8,698 43,881 41,133 170,028 18 ปี 16,928 15,945 7,027 6,537 11,192 10,287 9,341 8,873 44,488 41,642 172,260 19 ปี 16,559 15,553 6,825 6,320 10,561 10,028 9,111 8,221 43,056 40,122 166,356 แรกเกิด ถึง 19 ปี 288,789 272,664 121,578 114,514 186,560 175,811 160,461 151,607 757,388 714,596 2,943,968
หน้า 11 ข้อมูลทั่วไปด้านการศึกษา จำนวนสถานศึกษา นักเรียน/นักศึกษา และครู/อาจารย์ ของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอื่น ๆ จำแนก รายสังกัด ปีการศึกษา 2565 ระดับกลุ่มจังหวัด ที่ สังกัด สถานศึกษา (แห่ง) ครู/อาจารย์ (คน) นักเรียน/ นักศึกษา (คน) กระทรวงศึกษาธิการ 4,938 64,215 1,094,199 1. สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) 3,827 54,298 796,677 1.1 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 3,550 40,736 578,443 1.2 สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา 238 12,784 214,633 1.3 สำนักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 39 778 3,601 2. สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา ตามอัธยาศัย (กศน.) 848 2,019 126,551 3. สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) 206 5,485 97,994 4. สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) 57 2,413 72,977 กระทรวงอื่น ๆ 1,649 15,079 221,244 5. กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม 26 5,011 80,799 6. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 31 341 2,339 7. กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 1 96 443 8. กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย (สถ.) 1,579 9,345 134,614 9. กองบัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน สำนักงานตำรวจ แห่งชาติ (ตชด.) 9 117 1,734 10. สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ กระทรวงวัฒนธรรม (บพศ.) 1 55 365 11. สถาบันพระบรมราชชนก กระทรวงสาธารณสุข 2 114 950 รวมทั้งสิ้น 6,587 79,294 1,315,443 ที่มา : ศธจ.นครราชสีมา, ศธจ.ชัยภูมิ, ศธจ.บุรีรัมย์, ศธจ.สุรินทร์
หน้า 12 ภาพที่ 3 แสดงจำนวนสถานศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอื่น ๆ จำแนกรายสังกัด ปีการศึกษา 2565 ภาพที่ 4 แสดงจำนวนนักเรียน ของกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอื่นๆ จำแนกรายสังกัด ปีการศึกษา 2565
หน้า 13 จำนวนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัด สพฐ. จำแนกรายจังหวัดและประเภทการจัดการศึกษา ปีการศึกษา 2565 ระดับกลุ่มจังหวัด จังหวัด จำนวนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา สังกัด สพฐ. (แห่ง) มัธยมศึกษาตอนต้น มัธยมศึกษาตอนปลาย รวมทั้งหมด จังหวัดนครราชสีมา 393 15 408 จังหวัดชัยภูมิ 136 4 140 จังหวัดบุรีรัมย์ 275 0 275 จังหวัดสุรินทร์ 206 4 210 รวมจังหวัด 1,010 23 1,033 ที่มา : ศธจ.นครราชสีมา, ศธจ.ชัยภูมิ, ศธจ.บุรีรัมย์, ศธจ.สุรินทร์ จำนวนนักเรียน/นักศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอื่นๆ จำแนกรายจังหวัดและประเภท การจัดการศึกษา ปีการศึกษา 2565 จังหวัด ประเภทการจัดการศึกษา (คน) รวม ทั้งหมด หลักสูตรขั้นพื้นฐาน อาชีว ศึกษา อุดม ศึกษา ก่อนประถม ศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ตอนต้น มัธยมศึกษา ตอนปลาย นครราชสีมา 58,941 174,239 102,084 72,651 37,764 48,159 493,838 ชัยภูมิ 36,021 71,695 45,748 48,378 16,156 4,814 222,812 บุรีรัมย์ 54,791 136,140 66,021 48,871 21,754 13,096 340,673 สุรินทร์ 46,675 90,642 53,645 38,246 29,296 11,336 276,764 รวมจังหวัด 196,428 472,716 267,498 208,146 104,970 77,405 1,334,087 ที่มา : ศธจ.นครราชสีมา, ศธจ.ชัยภูมิ, ศธจ.บุรีรัมย์, ศธจ.สุรินทร์ปีการศึกษา 2565
หน้า 14 ภาพที่ 5 แสดงจำนวนนักเรียน/นักศึกษา สังกัดกระทรวงศึกษาธิการและกระทรวงอื่นๆ จำแนกรายจังหวัดและ ประเภทการจัดการศึกษา ปีการศึกษา 2565
หน้า 15 การดำเนินงานการขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพวัยเรียนวัยรุ่น ปีงบประมาณ 2566 ผู้รับผิดชอบ : กลุ่มพัฒนาการส่งเสริมสุขภาพวัยเรียน ศูนย์อนามัยที่ 9 นครราชสีมา ปีงบประมาณ 2566 ระดับความสำเร็จของการขับเคลื่อนการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพกลุ่มวัยเรียน ปีงบประมาณ 2566 1. เด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน ร้อยละ 57 (ศอ.9 ร้อยละ 59) 2. ส่วนสูงเฉลี่ยที่อายุ 19 ปี ชาย 171 ซม. และ หญิง 161 ซม. 3. เด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ (Cariesfree) ร้อยละ 72 4. เด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ร้อยละ 60 5. นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ร้อยละ 50 6. โรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ (HLS) 4,000 แห่ง (ศอ.9 จำนวน 510 แห่ง) 7. เด็กกลุ่มเปราะบางเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพ ร้อยละ 50 1. Assessment 1.1 ผลการวิเคราะห์สถานการณ์ของตัวชี้วัด และความรู้ที่นำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ ผลผลิต/ผลลัพธ์ระดับ C (Comparisons) การเปรียบเทียบ ◦ เด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน ผลการดำเนินงานการสงเสริมสุขภาพวัยเรียนด้านภาวะโภชนาการในเด็ก อายุ 6-14 ปี ศูนย์อนามัยที่ 9 ปีงบประมาณ 2565 พบขอมูลสูงดีสมสวนของเด็กวัยเรียน 6-14 ปี รอยละ 58.86 ซึ่งยังไม่ผานคาเปาหมายตัวชี้วัด (รอยละ 66) เมื่อเปรียบเทียบรายศูนย์อนามัย (ศอ.) และประเทศในปี 2565 พบว่าศูนย์อนามัยที่มีผลการดำเนินงานสูงดี สมสวนของเด็กวัยเรียน 6-14 ปี มากที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ ศอ.7 (รอยละ 66.37) รองลงมาคือ ศอ.10 (รอยละ 62.73) ศอ.9 (รอยละ 58.86) ศอ.11 (รอยละ 58.35) และ ศอ.8 (รอยละ 58.35) ตามลำดับ ส่วนประเทศพบที่ร้อยละ 57.27 ซึ่ง จะเห็นได้ว่า เขตสุขภาพที่ 9 มีร้อยละภาวะสูงดีสมส่วนอยู่ในลำดับที่ 3 และสูงกว่าระดับประเทศ ดังแสดงในภาพที่ 6 เมื่อเปรียบเทียบรายจังหวัดในพื้นที่ศูนย์อนามัยที่ 9 จะพบว่าในปี 2565 จังหวัดนครราชสีมามีร้อยละสูงดีสม ส่วนสูงที่สุดที่ร้อยละ 60.88 รองลงมาคือจังหวัดบุรีรัมย์ร้อยละ 60.39 จังหวัดสุรินทร์ ร้อยละ 57.94 และจังหวัดชัยภูมิ
หน้า 16 ร้อยละ 49.28 ดังแสดงในภาพที่ 2 จึงเปนความทาทายในการกำหนดมาตรการ วางแผนงานโครงการ และจัดกิจกรรม เพื่อสงเสริมใหเด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี มีภาวะสูงดีสมสวนเพิ่มมากขึ้น ดังแสดงในภาพที่ 7 ภาพที่ 6 เปรียบเทียบภาวะโภชนาการ สูงดีสมส่วน-เริ่มอ้วน-อ้วน-เตี้ย และผอม รายเขตสุขภาพ ปี2565 ข้อมูลเปรียบเทียบภาวะโภชนาการเด็กวัยเรียน รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ ศอ.1 ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ.1 ศอ.11 ศอ.1 ประเทศ สูงดี สมส่วน . . 1 1. .1 . . . . . . . . . อ้วน เริ่มอ้วน 1 . 1 . 1 . 1 . 1 1 . 1 1 . . 11. 11. 1 .1 1 . 11. 1 1 . เตี้ย 1 . 1 . 11. . . . . 1 . 11. . 1 . 1 .1 . ผอม . . . . . . . . . . . . . . . 1 1. .1 . . . . . . . . . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 1 . 1 1 . . 1 1. 1 1. 1 .1 1 . 1 1. 1 1 . 1 . 1 . 1 1. . . . . 1 . 1 1. . 1 . 1 .1 . . . . . . . . . . . . . . 1 ณ วันที่ กันยายน ข้อมูลภาวะโภชนาการเด็กวัยเรียน รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ สูงดี สมส่วน อ้วน เริ่มอ้วน เตี้ย ผอม นครราชสีมา . 1 . . . 1 ชัยภูมิ . 1 .1 1 . . บุรีรัมย์ . . 11. . สุรินทร์ . . 11. . เขต . 11. 11. . ประเทศ . 1 . . . . 1 . . . 1 . 1 .1 1 . . . . 11. . . . 11. . . 11. 11. . . 1 . . . 1 ณ วันที่ กันยายน
หน้า 17 ภาพที่ 7 เปรียบเทียบภาวะโภชนาการ สูงดีสมส่วน เริ่มอ้วน-อ้วน เตี้ย และผอม รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2565 ◦ ส่วนสูงเฉลี่ยที่อายุ 1 ปี เปรียบเทียบส่วนสูงเฉลี่ยเมื่ออายุ 18 ปี เพศชายและเพศหญิง (ในระบบ HDC จะแสดงส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 18 ปี เนื่องจากตัวชี้วัดความสำเร็จส่วนสูงเฉลี่ยที่อายุ 19 ปี นำเข้าในปีงบประมาณ 2566) รายศูนย์อนามัย และประเทศ ปีงบประมาณ 2565 ศูนย์อนามัยที่ 9 พบข้อมูลส่วนสูงเฉลี่ยเมื่ออายุ 18 ปี เพศชาย 174.79 เซนติเมตร และเพศหญิง 168.79 เซนติเมตร ซึ่งผานคาเปาหมาย (เพศชาย 171 เซนติเมตร และเพศหญิง 161 เซนติเมตร) เมื่อเปรียบเทียบราย ศูนย์อนามัย (ศอ.) และประเทศในปี 2565 พบว่าศูนย์อนามัยที่มีส่วนสูงเฉลี่ยเมื่ออายุ 18 ปี ในเพศชายสูงที่สุด 5 ลำดับ แรก ได้แก่ ศอ.11 (179.4 ซม.) รองลงมาคือ ศอ.6 (176.92 ซม.)ศอ.10 (176.66 ซม.) ศอ.1 (176.60 ซม.) และ ศอ.2 (176.18 ซม.) ตามลำดับ เฉลี่ยในภาพประเทศ 175.55 เซนติเมตร ส่วนศูนย์อนามัยที่มีส่วนสูงเฉลี่ยเมื่ออายุ 18 ปี ในเพศ หญิงสูงที่สุด 5 ลำดับแรก ได้แก่ศอ.7 (169.06ซม.) รองลงมาคือ ศอ.11 (168.95 ซม.) ศอ.9 (168.79 ซม.) ศอ.1 (168.74 ซม.) และ ศอ.6 (168.49ซม.) ตามลำดับ เฉลี่ยในภาพประเทศ 167.94 เซนติเมตร ดังแสดงในภาพที่ 8 เมื่อเปรียบเทียบรายจังหวัดในพื้นที่ศูนย์อนามัยที่ 9 จะพบว่าในปี 2565 ส่วนสูงเฉลี่ยเมื่ออายุ 18 ปี เพศชายสูง ที่สุดได้แก่จังหวัด สุรินทร์ (175.46 ซม.) นครราชสีมา (175.42 ซม.) บุรีรัมย์ (175.33 ซม.) และชัยภูมิ (171.64 ซม.) ตามลำดับ สำหรับส่วนสูงเฉลี่ยเมื่ออายุ 18 ปี เพศหญิงสูงที่สุดได้แก่จังหวัดสุรินทร์ (170.04 ซม.) รองลงมาคือ จังหวัด บุรีรัมย์(169.62 ซม.) จังหวัดนครราชสีมา (169.07 ซม.) และจังหวัดชัยภูมิ (165.15 ซม.) ตามลำดับ ดังแสดงในภาพที่ 9 ภาพที่ 8 เปรียบเทียบส่วนสูงเฉลี่ยเมื่ออายุ 18 ปี เพศชาย และ เพศหญิง รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2565 ข้อมูลเปรียบเทียบส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 1 ปี ชาย 1 1 ม. และ หญิง 1 1 ม. รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ ศอ.1 ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ.1 ศอ.1 1 ศอ.1 ประเทศ ชาย 1 . 1 .1 1 .1 1 . 1 . 1 . 1 . 1 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . หญิง 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 1 . 1 .1 1 1 . 1 . 1 . 1 . 1 .1 1 .1 1 . 1 . 1 . 1 . 1 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 1 . 1 .1 1 1 . 1 . 1 . 1 1 1 1 เป้าหมาย ชาย เป้าหมาย หญิง ณ วันที่1 กันยายน
หน้า 18 ภาพที่ 9 เปรียบเทียบส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 18 ปี เพศชายและเพศหญิง รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปี2565 ◦ เด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ (Caries free) จากการตรวจสุขภาพช่องปากและวางแผนการรักษาเด็กวัยเรียน ในปี 2565 เมื่อเปรียบเทียบรายศูนย์อนามัยจะ พบว่า ร้อยละการปราศจากฟันผุในเด็กอายุ 12 ปี ศูนย์อนามัยที่ 6 มีร้อยละการปราศจากฟันผุในเด็กอายุ 12 ปีสูงที่สุด คือ ร้อยละ 83.90 รองลงมาคือ ศูนย์อนามัยที่ 8 คือร้อยละ 81.36 และศูนย์อนามัยที่ 7 ร้อยละ 80.05 สำหรับศูนย์อนามัยที่ 9 อยู่ในลำดับที่ 8 จาก 12 ศูนย์อนามัย คือร้อย 72.92 ซึ่งยังผานคาเปาหมายตัวชี้วัด (รอยละ 71)แต่ยังต่ำกว่าระดับประเทศ พบที่ ร้อยละ 75.84 ดังแสดงในภาพที่ 10 เมื่อพิจารณาการตรวจสุขภาพช่องปากและวางแผนการรักษารายจังหวัดในเขต สุขภาพที่ 9 พบว่าจังหวัดนครราชสีมา มีผลการดำเนินงานสูงสุด ร้อยละ 36.98 รองลงมาได้แก่ จังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยละ 33.61 จังหวัดสุรินทร์ ร้อยละ 22.50 และจังหวัดชัยภูมิ ร้อยละ 18.24 ดังแสดงในภาพที่ 11 ที่พบว่ามีการตรวจช่องปาก และวางแผนการรักษาน้อยอยู่ไม่เป็นไปตามค่าเป้าหมายที่กำหนดร้อยละ 50 เนื่องจากสาเหตุน่าจะมาจากสถานการณ์ ระบาดของโรคโควิด-19 ในพื้นที่มีการระบาดระลอก และปิดสถานศึกษา เมื่อพิจารณาเปรียบเทียบรายจังหวัดในพื้นที่ศูนย์อนามัยที่ 9 ในปี 2565 พบว่าร้อยละของเด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ (Caries free) สูงที่สุดคือ จังหวัดชัยภูมิ (ร้อยละ 81.93) รองลงมาคือจังหวัดบุรีรัมย์ (ร้อยละ 79.89) สุรินทร์ (ร้อยละ 74.65) และ นครราชสีมา (66.52) โดยถ้าวิเคราะห์รายจังหวัดจะพบว่าจังหวัดนครราชสีมายังไม่ถึงเป้า ตัวชี้วัดที่กำหนด ดังแสดงในภาพที่ 11 1 . 1 1. 1 . 1 . 1 . 1 . 1 .1 1 . 1 . 1 . 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ชาย หญิง ข้อมูลเปรียบเทียบส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 1 ปี ชาย 1 1 ม. และ หญิง 1 1 ม. รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ ณ วันที่1 กันยายน
หน้า 19 ภาพที่ 10 เปรียบเทียบร้อยละของเด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ ( aries free และร้อยละการตรสจสุขภาพ ช่องปากและวางแผนการรักษา รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2565 ภาพที่ 11 เปรียบเทียบร้อยละของเด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ ( aries free และร้อยละการตรสจสุขภาพ ช่องปากและวางแผนการรักษา รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2565 ข้อมูลเปรียบเทียบร้อยละของเด็กอายุ 1 ปี ปราศจากฟันผุ aries free และร้อยละการตรวจสุขภาพช่องปาก และวางแผนการรักษา รายเขตสุขภาพ พ .ศ. ศ อ.1 ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ.1 ศ อ.11 ศ อ.1 ประเทศ ร้อยละการตรวจสุขภาพช่องปาก 1. . . . . 1 . .1 . . . .1 . 1 . 1 ร้อยละปราศจากฟันผุ . . .1 . . . . 1. . .1 . . . 1. . . . . 1 . .1 . . . .1 . 1 . 1 . . .1 . . . . 1. . .1 . . . 1 1 ณ วันที่ กันยายน ร้อยละเด็กอายุ 1 ปีปราศจากฟันผุ aries free ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ และประเทศ ปีงบประมาณ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ประเทศ ความครอบคลุมในการตรวจสุขภาพฟัน . 1 . . 1 . . . 1 เด็กอายุ1 ปีปราศจากฟันผุ aries free . 1. . . . . . 1 . . 1 . . . 1 . 1. . . . . 1 1 ร้อยละ ณ วันที่ กันยายน
หน้า 20 ◦ เด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ จากการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (HPS Plus HL) ในดิจิตัลแพลตฟอร์ม นักเรียนที่ผ่านการประเมินตาม แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ ระดับ Super Hero NuPETHS ของสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวง สาธารณสุข ปีงบประมาณ 2565 เด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ เมื่อเปรียบเทียบรายศูนย์อนามัย พบว่าศูนย์อนามัยที่ 4 เด็กนักเรียนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพสูงที่สุด ร้อยละ 57.6 รองลงมาได้แก่ศูนย์อนามัยที่ 10 ร้อยละ 36.4 ศูนย์อนามัยที่ 1 ร้อยละ 32.8 สำหรับศูนย์อนามัยที่ 9 ร้อยละ 20.7 อยู่ลำดับที่ 9 ของประเทศ ส่วนระดับปะเทศ เด็กนักเรียนมีความรอบรู้ ร้อยละ 29.8 ซึ่งยังคงต่ำกว่าเกณฑ์ค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 60 ดังแสดงในภาพที่ 12 เมื่อพิจารณาจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 9 พบว่า จังหวัดชัยภูมิเด็กนักเรียนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพสูงที่สุด ร้อยละ 32.4 รองลงมาคือจังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยละ 22.9 สุรินทร์ ร้อยละ 18.8 และนครราชสีมา ร้อยละ 18.0 ตามลำดับ โดยพบว่า ผลการดำเนินงานเด็กนักเรียนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ยังต่ำกว่าเกณฑ์ค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 60 และต่ำกว่า ระดับประเทศ ดังแสดงในภาพที่ 13 ภาพที่ 12 เปรียบเทียบเด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2564-2565 . . . 1 .1 . 1. . 1 . 1 . 1.1 . . . . . . 1 1 ศอ.1 ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ.1 ศอ.1 1 ศอ.1 ประเทศ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปี ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปี ข้อมูลเปรียบเทียบเด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ รายเขตสุขภาพ และประเทศ ปีงบประมาณ ที่มา โปรแกรมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ส านักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ณ วันที่ กันยายน เป้าความรอบรู้ด้านสุขภาพ ร้อยละ
หน้า 21 ภาพที่ 13 เปรียบเทียบเด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2564-2565 ◦ นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ การดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (HPS Plus HL) ข้อมูลนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ในดิจิตัล แพลตฟอร์ม นักเรียนผ่านการประเมินความรู้และพฤติกรรมสุขภาพ ระดับ NuPETHS ของสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2565 เปรียบเทียบรายศูนย์อนามัย พบว่า ศูนย์อนามัยที่ 12 นักเรียนมี พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์สูงที่สุดของประเทศ ร้อยละ 84.8 รองลงมาคือ ศูนย์อนามัยที่ 2 ร้อยละ 81.3 และศูนย์ อนามัยที่ 5 ร้อยละ 77.3 สำหรับศูนย์อนามัยที่ 9 ร้อยละ 71.3 อยู่ลำดับที่ 5 ของประเทศ ผ่านเกณฑ์ค่าเป้าหมายที่ กำหนด ร้อยละ 50 ซึ่งภาพรวมทั้งประเทศเด็กนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ร้อยละ 65.2 ดังแสดงในภาพที่ 14 พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของนักเรียน เมื่อพิจารณารายจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 9 พบว่า จังหวัดสุรินทร์เด็ก นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์สูงที่สุด ร้อยละ 74.9 รองลงมาคือจังหวัดนครราชสีมา ร้อยละ 73.5 จังหวัด บุรีรัมย์ร้อยละ 65.5 และจังหวัดชัยภูมิร้อยละ 60.6 ตามลำดับ โดยพบว่าผลการดำเนินงานนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่ พึงประสงค์บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไวที่ร้อยละ 60 ดังแสดงในภาพที่ 15 1 1. 1 1 .1 1. 1 . . 1 . . . 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ประเทศ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปี ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปี ข้อมูลเปรียบเทียบเด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ ที่มา โปรแกรมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ส านักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ณ วันที่ กันยายน เป้าความรอบรู้ด้านสุขภาพ ร้อยละ
หน้า 22 ภาพที่ 14 เปรียบเทียบนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2564-2565 ภาพที่ 15 เปรียบเทียบนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปี2564-2565 . 1 . . . 1. . . 1. . 1. . . . . 1. . . . . 1 1 ศอ.1 ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ.1 ศอ.1 1 ศอ.1 ประเทศ พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ปี พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ปี ข้อมูลเปรียบเทียบนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ รายเขตสุขภาพ และประเทศ ปีงบประมาณ ที่มา โปรแกรมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ส านักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ณ วันที่ กันยายน เป้าพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ร้อยละ . 1 . . . . . 1. . 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ประเทศ พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ปี พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ปี ข้อมูลเปรียบเทียบนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ ที่มา โปรแกรมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ส านักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ณ วันที่ กันยายน เป้าพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ร้อยละ
หน้า 23 ◦ โรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ (HLS) จากการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (Plus HL) ที่เข้าสู่กระบวนการในโปรแกรมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ HPS Plus HL) ปีงบประมาณ 2565 เมื่อเปรียบเทียบรายเขตสุขภาพจะพบว่า ศูนย์อนามัยที่ 9 มีจำนวนโรงเรียนส่งเสริม สุขภาพ HPS Plus HL) ที่เข้าสู่กระบวนการ มากที่สุดในประเทศ มีจำนวน 653 แห่ง รองลงมาคือ ศูนย์อนามัยที่ 6 จำนวน 524 แห่ง และศูนย์อนามัยที่ 10 จำนวน 466 แห่ง และจากการดำเนินงานของศูนย์อนามัยที่ 9 พบว่าจังหวัดที่มีโรงเรียน สมัครเข้าร่วมกระบวนการมากที่สุดคือ จังหวัด นครราชสีมาจำนวน 279 แห่ง รองลงมาคือจังหวัดสุรินทร์ 145 แห่ง จังหวัดบุรีรัมย์ 124 แห่ง และจังหวัดชัยภูมิ 107 แห่ง ตามลำดับ จำนวนโรงเรียนที่ทำการประเมินตนเองสะสมตั้งแต่ปี 2564-2565 พบว่าศูนย์อนามัยที่ 10 มีจำนวนโรงเรียนที่ทำการประเมินตนเองมากที่สุด จำนวน 1241 แห่ง รองลงมาคือ ศูนย์อนามัยที่ 9 จำนวน 902 แห่ง และศูนย์อนามัยที่ 8 จำนวน 667 แห่ง เมื่อพิจารณาจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 9 จังหวัดที่ มีจำนวนโรงเรียนที่ทำการประเมินตนเองสะสมตั้งแต่ปี 2564-2565 มากที่สุดคือ จังหวัด นครราชสีมา 352 แห่ง รองลงมา คือจังหวัดสุรินทร์ 239 แห่ง จังหวัดบุรีรัมย์ 209 แห่ง และจังหวัดชัยภูมิ 158 แห่ง ตามลำดับ ดังแสดงในภาพที่ 16,17 และ 18 ภาพที่ 16 เปรียบเทียบจำนวนโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่เข้าร่วมกระบวนการ และมีการประเมินตนเอง ราย เขตสุขภาพ เทียบกับค่าเป้าหมาย ปีงบประมาณ 2565 ข้อมูลเปรียบเทียบจ านวน โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่เข้าร่วมกระบวนการและมีการประเมินตนเอง รายเขตสุขภาพเทียบกับค่าเป้าหมาย ปีงบประมาณ ศ อ.1 ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ. ศ อ.1 ศ อ.11 ศ อ.1 โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่เข้าสู่กระบวนการ 1 1 1 โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่มีการประเมินตนเอง สะสม 1 1 1 1 1 1 เป้าหมายรายเขต 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 11 11 1 1 จ านวนโรงเรียน แห่ง ที่มา โปรแกรม s ณ วันที่ กันยายน
หน้า 24 ภาพที่17 เปรียบเทียบจำนวนโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่เข้าร่วมกระบวนการ รายจังหวัด เขต 9 ปีงบประมาณ 2564-2565 ภาพที่ 18 เปรียบเทียบจำนวนโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่มีการประเมินตนเอง รายจังหวัด เขต 9 ปีงบประมาณ 2564-2565 จ านวนโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่เข้าร่วม กระบวนการ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปี ที่มา โปรแกรม s ณ วันที่ กันยายน 1 1 1 1 1 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต จ านวนโรงเรียนเข้าร่วมกระบวนการ ปี จ านวนโรงเรียนเข้าร่วมกระบวนการ ปี จ านวนโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่มีการประเมินตนเอง รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปี ที่มา โปรแกรม s ณ วันที่ กันยายน 1 1 1 1 1 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต จ านวนโรงเรียนประเมินตนเอง ปี จ านวนโรงเรียนประเมินตนเอง ปี
หน้า 25 ◦ เด็กกลุ่มเปราะบางเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพ การดำเนินงานตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ ปีงบประมาณ 2565 เปรียบเทียบรายศูนย์อนามัย พบว่า ศูนย์อนามัยที่ 9 มีเด็กกลุ่มเปราะบาง/เด็กพิเศษ ได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพสูงที่สุดในประเทศ ร้อยละ 96.26 รองลงมาคือ ศูนย์อนามัยที่ 5 ร้อยละ 89.02 และศูนย์อนามัยที่ 8 ร้อยละ 86.87 ภาพรวมทั้งประเทศมีเด็กกลุ่ม เปราะบาง/เด็กพิเศษ ได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพ ร้อยละ 62.72 ดังแสดงในภาพที่ 19 ซึ่งบรรลุตามเป้าหมายที่ กำหนดไว้ร้อยละ 50 เมื่อพิจารณารายจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 9 ดังรายงานการคัดกรองสุขภาพจากสถานศึกษา ณ วันที่ 31 สิงหาคม 2565 พบว่าจังหวัดนครราชสีมา และจังหวัดบุรีรัมย์ ดำเนินงานตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กกลุ่มเปราะบาง/เด็กพิเศษ ได้ครอบคลุมร้อยละ 100 รองลงมาคือจังหวัดชัยภูมิ ร้อยละ 96.81 และจังหวัด สุรินทร์ ร้อยละ 84.43 ตามลำดับ ดัง แสดงในภาพที่ 20 โดยจากการดำเนินงานกำกับติดตามขิงศูนย์อนามัยที่ 9 พบว่า สถานศึกษายังขาดสมุดบันทึกสุขภาพ นักเรียนสำหรับเด็กกลุ่มเปราะบางและเด็กพิเศษ , บุคลากรครูยังต้องการเพิ่มองค์ความรู้และทักษะในการตรวจคัดกรอง สุขภาพเด็กพิเศษ บางรายการเช่น สุขภาพช่องปาก และการตรวจสายตา รวมถึงในส่วนของเด็กเองไม่ให้ความร่วมมือใน การตรวจสุขภาพ เด็กไม่อยู่นิ่ง และสภาพความพิการที่ไม่สามารถเข้าคัดกรองสุขภาพได้ ภาพที่ 19 เปรียบเทียบการตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2565 . 1. . . . . . . . . 1 . . . 1 1 ศอ.1 ศอ. ศอ. ศ อ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ. ศอ.1 ศอ.11 ศอ.1 สสม. ประเทศ ข้อมูลเปรียบเทียบการตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ ไม่น้อยกว่าร้อยละ รายเขตสุขภาพ และประเทศ ปีงบประมาณ ที่มา รายงานการคัดกรองกรมอนามัยณ วันที่ 1สิงหาคม
หน้า 26 ภาพที่ 20 เปรียบเทียบการตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 2565 ◦ ก้าวท้าใจในสถานศึกษา การดำเนินงานก้าวท้าใจในสถานศึกษา ปีงบประมาณ 2565 เปรียบเทียบรายศูนย์อนามัย พบว่า ศูนย์อนามัยที่ 7 มีผลการดำเนินงานจำนวนนักเรียน นักศึกษา ลงทะเบียนก้าวท้าใจมากที่สุด จำนวน 105,414 คน รองลงมาได้แก่ ศูนย์อนามัยที่ 10 จำนวน 63,099 คน และ ศูนย์อนามัยที่ 6 จำนวน 54,471 คน สำหรับศูนย์อนามัยที่ 9 มีผลการ ดำเนินงานเป็นลำดับที่ 6 ของประเทศ ดังแสดงในภาพที่ 21 ภาพที่ 21 เปรียบเทียบจำนวนนักเรียน นักศึกษา ที่ลงทะเบียนก้าวท้าใจ รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2565 ข้อมูลการตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ ไม่น้อยกว่าร้อยละ รายหน่วยบริการ เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 1 . 1 1 . . 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ที่มา รายงานการคัดกรองจากสถานศึกษา ณ วันที่ 1สิงหาคม ข้อมูลเปรียบเทียบ จ านวนนักเรียน นักศึกษาที่ลงทะเบียนก้าวท้าใจ รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ เขต 1 เขต เขต เขต เขต เขต เขต เขต เขต เขต 1 เขต 1 1 เขต 1 เขต 1 ี ั่น 1 1 1 1 1 ี ั่น 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 11 1 1 11 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 111 11 1 1 1 ที่มา รายงานผลการด าเนินงานก้าวท้าใจ กรมอนามัย ณ วันที่ ตุลาคม
หน้า 27 1.1 ผลการวิเคราะห์สถานการณ์ของตัวชี้วัด และความรู้ที่นำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ ผลผลิต/ผลลัพธ์ ระดับ T (Trends) แนวโน้ม ◦ เด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน สถานการณ์เด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วนในเขตสุขภาพที่ 9 จากรายงาน HDC ปี 2561 -2565 พบร้อยละเด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน มีแนวโน้มภาวะสูงดีสมส่วนลดลง ร้อยละ 71.01 , 63.15 , 56.05 , 61.90 และ 58.86 ตามลำดับ ซึ่ง ในปี 2561-2563 แนวโน้มลดลง จากนั้นเริ่มสูงขึ้นในปี 2564 และ ลดลง ในปี 2565 และยังต่ำกว่าค่าเป้าหมายของกรม อนามัยที่กำหนด (เป้าหมายเขตสุขภาพที่ 9 ร้อยละ 68 , เป้าหมายกรมอนามัย ร้อยละ 66) เมื่อพิจารณาแนวโน้มร้อยละ เด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน รายจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่ ปี 2561 -2565 ก็พบว่ามีแนวโน้มเป็นไปในทิศทาง เดียวกันกับระดับเขต และระดับประเทศ เช่นเดียวกัน ดังแสดงในภาพที่ 22 ศูนย์อนามัยที่ 9 จึงยังคงเฝ้าระวัง ติดตามและ วางแผนการดำเนินงานเพื่อส่งเสริมให้เด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน อยู่เป็นระยะ อย่างต่อเนื่อง ภาพที่ 22 แนวโน้มภาวะสูงดีสมส่วน รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2561 – 2565 ภาวะสูงดีสมส่วนเด็กวัยเรียนอายุ 1 ปี เทอม 1 ไม่น้อยกว่าร้อยละ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ และประเทศ พ.ศ. 1 พ.ศ. 1 พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. นครราชสีมา . 1. . . . ชัยภูมิ .1 . . . . บุรีรัมย์ . . 1 .1 . . สุรินทร์ . . . 1 . . เขต 1. 1 .1 . 1. . ประเทศ .1 . . .1 . ณ วันที่ กันยายน
หน้า 28 ◦ ส่วนสูงเฉลี่ยที่อายุ 19 ปี(ในระบบข้อมูล HDC จะแสดงส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 18 ปี เนื่องจากตัวชี้วัดความสำเร็จส่วนสูง เฉลี่ยที่อายุ 19 ปี นำเข้าในปีงบประมาณ 2566) แนวโน้มสถานการณ์ส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 18 ปี ในเขตสุขภาพที่ 9 จากรายงาน HDC ปี 2563 -2565 พบว่า เพศชาย มีแนวโน้มส่วนสูงเฉลี่ยในปี 2563 ที่ 172.69 ซม. เพิ่มขึ้นในปี 2564 ที่ 175.41 ซม. และลดลงในปี 2565 ที่ 174.79 ซม. สำหรับเพศหญิงมีแนวโน้มส่วนสูงเฉลี่ยในปี 2563 ที่ 167.85 ซม. เพิ่มขึ้นในปี 2564 169.59 ซม. และลดลงในปี 2565 ที่ 168.79 ซม. ทั้งเพศหญิงและเพศชายมีแนวโน้มเช่นเดียวกัน ตามลำดับ 14 ปี เมื่อพิจารณาแนวโน้มส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 18 ปี รายจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 9 ตั้งแต่ ปี 2563 -2565 พบว่า แนวโน้มส่วนสูงเฉลี่ยอายุ18 ปี ของจังหวัดนครราชสีมา ชัยภูมิ และ สุรินทร์ เป็นไปในทิศทางเดียวกันกับระดับเขต และระดับประเทศ มีเพียงจังหวัดบุรีรัมย์เพียงจังหวัดเดียว ที่มีแนวโน้ม ที่ลดลงในปี 2564 และเริ่มขึ้นในปี 2565 ดังแสดงในภาพที่ 23 และ 23 ศูนย์อนามัยที่ 9 จึงยังคงเฝ้าระวัง ติดตาม อย่าง ต่อเนื่อง ภาพที่ 23 แนวโน้มส่วนสูงเฉลี่ยของเพศชาย อายุ 18 ปี รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2563–2565 แนวโน้มส่วนสูง เฉลี่ยของเพศชายอายุ 1 ปี รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ เขตสุขภาพที่ และประเทศ ปี 1 นครราชสีมา 1 . 1 .1 1 . ชัยภูมิ 1 . 1 . 1 1. บุรีรัมย์ 1 . 1 . 1 . สุรินทร์ 1 1. 1 . 1 . เขต 1 . 1 . 1 1 . ประเทศ 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 1 . 1 1 1 1 1 พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. ณ วันที่ กันยายน
หน้า 29 ภาพที่ 24 แนวโน้มส่วนสูงเฉลี่ยของเพศหญิง อายุ 18 ปีรายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2563–2565 ◦ เด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ (Caries free) แนวโน้มร้อยละเด็กอายุ 12 ปีปราศจากฟันผุ (Caries free) เขตสุขภาพที่ 9 พบว่าร้อยละของเด็กอายุ 12 ปีที่ ปราศจากฟันผุ ปี2561-2565 มีแนวโนมเพิ่มขึ้น จากร้อยละ 68.53 ,66.46 ,65.62 ,67.99 และ 72.92 ตามลำดับ ซึ่งเมื่อ พิจารณารายจังหวัดในเขตสุภาพที่ 9 พบว่ามีความสอดคล้องกับแนวโน้มระดับเขตและประเทศเช่นเดียวกัน ดังภาพที่ 25 ส่วนสูงเฉลี่ยของเพศชหญิงอายุ 1 ปี ราย จังหวัด เขตสุขภาพที่ และประเทศ ปี ณ วันที่ กันยายน 1 นครราชสีมา 1 . 1 . 1 . ชัยภูมิ 1 . 1 1 .1 1 .1 บุรีรัมย์ 1 1. 1 . 1 . สุรินทร์ 1 . 1 1. 1 . เขต 1 . 1 . 1 . ประเทศ 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 . 1 1 1 พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ.
หน้า 30 ภาพที่ 25 แนวโน้มร้อยละของเด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ (Caries free) รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2561 – 2565 ◦ เด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ แนวโน้มเด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ จากการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (HPS Plus HL) ในดิจิตัล แพลตฟอร์ม นักเรียนที่ผ่านการประเมินตามแบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ ระดับ Super Hero NuPETHS ของสำนัก ส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2564-2565 แนวโน้มเด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ศูนย์อนามัยที่ 9 ในปี 2564 ร้อยละ 21.6 ในปี 2565 เพิ่มขึ้นเป็น ร้อยละ 29.8 ซึ่งเมื่อพิจารณารายจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 9 พบว่าเด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นสอดคล้องกับระดับเขตและระดับประเทศ ดังแสดงในภาพที่ 26 เพื่อให้การดำเนินงานบบรลุตามเป้าหมาย ศูนย์อนามัยที่ 9 จึงได้วางแผนจัดกิจกรรเพื่อส่งเสริมความรอบรู้แก่เด็กนักเรียน ให้เหมาะสมกับแต่ละจังหวัดต่อไป โดยมุ่งเน้นให้เกิดกระบวนการรอบรู้ครบทั้ง 6 ขั้นตอน ตามหลัก V-Shape ร้อยละของเด็กอายุ1 ปีปราศจากฟันผุ aries free ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ และประเทศ พ.ศ. 1 พ.ศ. 1 พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. พ.ศ. นครราชสีมา . . . 1. . ชัยภูมิ . .1 . . 1. บุรีรัมย์ . . . 1 1. . สุรินทร์ . .1 1 .1 . . เขต . . . . . ประเทศ . .1 . .1 . ณ วันที่ กันยายน
หน้า 31 ภาพที่ 26 แนวโน้มของเด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2564 – 2565 ◦ นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ การดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (HPS Plus HL) ข้อมูลนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ในดิจิตัล แพลตฟอร์ม นักเรียนผ่านการประเมินความรู้และพฤติกรรมสุขภาพ ระดับ NuPETHS ของสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ปีงบประมาณ 2564-2565 ศูนย์อนามัยที่ 9 พบว่าแนวโน้มนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพ ที่พึงประสงค์ มีแนวโน้มลดลง โดยในปี 2564 นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ร้อยละ 70.8 และในปี 2565 ร้อยละ 65.2 ดังแสดงในภาพที่ 27 11. 1 1 .1 1. 1 . . 1 . . . 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ประเทศ ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปี ความรอบรู้ด้านสุขภาพ ปี เด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ ที่มา โปรแกรมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ส านักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ณ วันที่ กันยายน เป้าความรอบรู้ด้านสุขภาพ ร้อยละ
หน้า 32 ภาพที่ 27 แนวโน้มของนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2564 – 2565 ◦ โรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ (HLS) แนวโน้มการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (Plus HL) ที่เข้าสู่กระบวนการในโปรแกรมโรงเรียนส่งเสริม สุขภาพ HPS Plus HL เริ่มดำเนินงานในปี 2564 โดยจากปี 2564-2565 ซึ่งกรมอนามัยได้กำหนดค่าเป้าหมายจำนวน โรงเรียนที่เข้าสู่กระบวนการของศูนย์อนามัยที่ 9 ปี 2564 จำนวน 380 แห่ง และปี 2565 จำนวน 510 แห่ง พบว่าในปี 2564-2565 มีแนวโน้มที่โรงเรียนเข้าสู่กระบวนการเพิ่มมากขึ้น จาก 314 แห่ง ในปี 2564 เป็น 655 แห่ง ในปี 2565 และ แนวโน้มการดำเนินงานรายจังหวัดก็เพิ่มขึ้นในทุกจังหวัดเช่นเดียวกัน ดังแสดงในภาพที่ 28 โดยการดำเนินงานที่บรรลุ เป้าหมายน่าจะเหตุผลจากการมีช่องทางติดต่อสื่อสานสาธารณะที่เข้าถึง และโต้ตอบได้ง่าย สะดวก . 1 . . . . . 1. . 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ประเทศ พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ปี พฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ปี นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ ที่มา โปรแกรมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ส านักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ณ วันที่ กันยายน เป้าพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ร้อยละ
หน้า 33 ภาพที่ 28 แนวโน้มจำนวนโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพที่เข้าร่วมกระบวนการ และมีการประเมินตนเอง รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2564 – 2565 ◦ เด็กกลุ่มเปราะบางเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพ แนวโน้มการดำเนินงานตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ ปีงบประมาณ 2563-2565 ของศูนย์อนามัยที่ 9 รายงาน การคัดกรองจากสถานศึกษา พบว่ามีเด็กกลุ่มเปราะบาง/เด็กพิเศษ ได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพ มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ร้อยละ 29.98 , 59.64 และ 96.27 ตามลำดับ ดังแสดงในภาพที่ 29 ภาพที่ 29 แนวโน้มการตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 2565 จ านวนโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่เข้าร่วมกระบวนการและมีการประเมินตนเอง รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปี ที่มา โปรแกรม s ณ วันที่ กันยายน 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต จ านวนโรงเรียนเข้าร่วมกระบวนการ ปี จ านวนโรงเรียนเข้าร่วมกระบวนการ ปี จ านวนโรงเรียนประเมินตนเอง ปี จ านวนโรงเรียนประเมินตนเอง ปี .1 1.1 1 . . . 1 . . . . 1 . 1 1 . . 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ข้อมูลการตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ ที่มา รายงานการคัดกรองจากสถานศึกษาณ วันที่ 1สิงหาคม เป้าไม่น้อยกว่า ร้อยละ
หน้า 34 ◦ ก้าวท้าใจในสถานศึกษา แนวโน้มการดำเนินงาน นักเรียน นักศึกษาที่ลงทะเบียนก้าวท้าใจ มีนาคม 2565 – กันยายน 2565 รายจังหวัด พบว่า จังหวัดที่มีนักเรียน นักศึกษาที่ลงทะเบียนก้าวท้าใจ เข้ามาเพิ่มสูงที่สุด ของศูนย์อนามัยที่ 9 คือจังหวัดบุรีรัมย์ รองลงมาจังหวัดนครราชสีมา จังหวัดสุรินทร์ และจังหวัดชัยภูมิ ตามลำดับ ภาพรวมปี 2565 ณ มีนาคม 2565 จำนวน 13,480 คน และ ณ กันยายน 2565 จำนวน 40,030 คน (ในปีงบประมาณ 2566 ค่าเป้าหมาย 110,000 คน : รอบ 5 เดือนแรกจำนวน 55,000 คน) ดังในภาพที่ 30 ภาพที่ 30 แนวโน้มการดำเนินงาน จำนวนนักเรียน นักศึกษาที่ลงทะเบียนก้าวท้าใจ รายเขตสุขภาพ มีนาคม และ กันยายน 2565 1.1 ผลการวิเคราะห์สถานการณ์ของตัวชี้วัด และความรู้ที่นำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ ผลผลิต/ผลลัพธ์ระดับ Le (Level) ของผลการดำเนินการในปัจจุบัน ◦ เด็กอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน จากรายงาน Health Data Center (HDC) ผลการดำเนินงานเด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน (เทอม 1) เขต สุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2565 พบว่า เด็กวัยเรียนสูงดี สมส่วน 6-14 ปีร้อยละ 58.86 ซึ่งภาพรวมรายเขตยังต่ำกว่าค่า เป้าหมาย (ค่าเป้าหมายเขต ร้อยละ 68 และเป้าหมายประเทศร้อยละ 66) นอกจากนี้ยังพบว่าทุกจังหวัดในเขตสุขภาพที่ 9 แนวโน้มการด าเนินงาน จ านวนนักเรียน นักศึกษาที่ลงทะเบียนก้าวท้าใจ รายเขตสุขภาพ มีนาคม และ กันยายน นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต มี.ค. 1 1 11 1 ก.ย. 1 1 1 1 1 1 1 1 11 1 1 1 ที่มา แอพพลิเคชั่น ก้าวท้าใจ ณ วันที่ กันยายน
หน้า 35 มีผลการดำเนินงานที่ต่ำกว่าค่าเป้าหมาย จังงหวัดที่มีผลการดำเนินงานสูงที่สุดคือจังหวัดนครราชสีมา ร้อยละ 60.88 จังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยละ 60.39 จังหวัด สุรินทร์ ร้อยละ 57.94 และชัยภูมิ 49.28 ตามลำดับ ดังแสดงในภาพที่ 31 ภาพที่ 31 ผลการดำเนินงานเด็กวัยเรียนอายุ 6-14 ปี สูงดีสมส่วน (เทอม 1) รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 2565 ◦ ส่วนสูงเฉลี่ยที่อายุ 19 ปี(ในระบบข้อมูล HDC จะแสดงส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 18 ปี เนื่องจากตัวชี้วัดความสำเร็จส่วนสูง เฉลี่ยที่อายุ 19 ปี นำเข้าในปีงบประมาณ 2566) ผลการดำเนินงานส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 18 ปี เพศชาย (เทอม 1) ปีงบประมาณ 2565 เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2565 พบส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 18 ปี เพศชาย 174.79 ซม. และ เพศหญิง 168.79 ซม. ผลการดำเนินงานรายจังหวัดในปีงบประมาณ 2565 พบว่าในเพศชายจังหวัดที่มีส่วนสูงเฉลี่ยสูงที่สุดคือ จังหวัด สุรินทร์ 175.46 ซม. จังหวัดนครราชสีมา 175.42 ซม. จังหวัดบุรีรัมย์ 175.33 ซม.และจังหวัดชัยภูมิ 171.64 ซม. สำหรับ ในเพศหญิงจังหวัดที่มีส่วนสูงเฉลี่ยสูงที่สุดคือ จังหวัดสุรินทร์ 170.04 ซม. จังหวัดบุรีรัมย์169.62 ซม. จังหวัดนครราชสีมา 169.07 ซม.และจังหวัดชัยภูมิ 165.15 ซม. ดังแสดงในภาพที่ 32 สถานการณ์การภาวะสูงดีสมส่วนเด็กวัยเรียนอายุ 1 ปี เทอม 1 ไม่น้อยกว่าร้อยละ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ และประเทศ ปีงบประมาณ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ประเทศ พ.ศ. . . . . . . . . . . . . ณ วันที่ กันยายน
หน้า 36 ภาพที่ 32 ผลการดำเนินงานส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 18 ปี เพศชายและเพศหญิง (เทอม 1) รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 2565 ◦ เด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ (Caries free) ผลการดำเนินงานเด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ (Careis free) เขตสุขภาพที่ 9 ปีงบประมาณ 2565 พบว่าเด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ ร้อยละ 72.92 จังหวัดที่มีผลการดำเนินงานได้ดีทีสุดคือจังหวัดชัยภูมิ ร้อยละ 81.93 จังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยละ 79.89 จังหวัดสุรินทร์ ร้อยละ 74.65 และจังหวัดนครราชสีมา ร้อยละ 66.52 ตามลำดับ โดยพบว่าภาพรวมราย เขตดำเนินงานผ่าค่าเป้าหมายที่กำหนด ร้อยละ 71 มีเพียงจังหวัดนครราชสีมา ส่วนผลการดำเนินงานความครอบคลุมในการตรวจสุขภาพช่องปาก ในปีงบประมาณ 2565 ที่ผ่านมา รายเขต สุขภาพที่ 9 พบที่ร้อยละ 29.99 จังหวัดที่ดำเนินงานตรวจสุขภาพช่องปากได้ครอบคลุมมากที่สุดได้แก่ จังหวัดนครราชสีมา ร้อยละ 36.98 รองลงมาได้แก่ จังหวัด บุรีรัมย์ ร้อยละ 33.61 จังหวัดสุรินทร์ ร้อยละ 22.50 และจังหวัดชัยภูมิ ร้อยละ 18.24 ดังแสดงในภาพที่ 33 ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเป้าหมายที่กำหนดร้อยละ 50 สำหรับการดำเนินงานตรวจสุขภาพช่องปากที่ ยังดำเนินงานได้ต่ำกว่าค่าเป้าหมาย อาจเนื่องด้วยในจังหวัดนคคราชสีมาในช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 เป็น จังหวัดที่มีการระบาดมากที่สุด โรงเรียนมีการดำเนินการเรียนการสอนแบบ Online 1 . 1 1. 1 . 1 . 1 . 1 . 1 .1 1 . 1 . 1 . 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ชาย หญิง ส่วนสูงเฉลี่ยอายุ 1 ปี ชาย 1 1 ม. และ หญิง 1 1 ม. รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ ณ วันที่1 กันยายน
หน้า 37 ภาพที่ 33 ผลการดำเนินงานเด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ ( areis free รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 2565 ◦ เด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ จากการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (HPS Plus HL) ในดิจิตัลแพลตฟอร์ม นักเรียนที่ผ่านการประเมินตาม แบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ ระดับ Super Hero NuPETHS ของสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวง สาธารณสุข ปีงบประมาณ 2565 ภาพรวมศูนย์อนามัยที่ 9 เด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ร้อยละ 20.7 จังหวัดชัยภูมิ เด็กนักเรียนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพสูงที่สุด ร้อยละ 32.4 รองลงมาคือจังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยละ 22.9 สุรินทร์ ร้อยละ 18.8 และนครราชสีมา ร้อยละ 18.0 ตามลำดับ โดยพบว่าผลการดำเนินงานเด็กนักเรียนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ ยังต่ำกว่า เกณฑ์ค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ที่ร้อยละ 60 และต่ำกว่าระดับประเทศ ดังแสดงในภาพที่ 34 ◦ นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ การดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (HPS Plus HL) ข้อมูลนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ในดิจิตัล แพลตฟอร์ม นักเรียนผ่านการประเมินความรู้และพฤติกรรมสุขภาพ ระดับ NuPETHS ของสำนักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข ผลการดำเนินงาน ปีงบประมาณ 2565 ศูนย์อนามัยที่ 9 พบว่านักเรียนมีพฤติกรรม สุขภาพที่พึงประสงค์ ร้อยละ 65.2 จังหวัดที่นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์มากที่สุดคือ จังชัยภูมิ ร้อยละ 32.4 ร้อยละเด็กอายุ 1 ปีปราศจากฟันผุ aries free ไม่น้อยกว่าร้อยละ 1 รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ และประเทศ ปีงบประมาณ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ประเทศ ความครอบคลุมในการตรวจสุขภาพฟัน . 1 . . 1 . . . 1 เด็กอายุ1 ปีปราศจากฟันผุ aries free . 1. . . . . . 1 . . 1 . . . 1 . 1. . . . . 1 1 ร้อยละ ณ วันที่ กันยายน
หน้า 38 รองลงมาได้แก่จังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยละ 22.69 จังหวัดสุรินทร์ ร้อยละ 18.8 และจังหวัดนครราชสีมา ร้อยละ 18.0 ตามลำดับ ซึ่งยังต่ำกว่าค่าเป้าหมายและระดับประเทศ ดังแสดงในภาพที่ 35 ภาพที่ 34 ผลการดำเนินงานเด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 2565 ภาพที่ 35 ผลการดำเนินงานนักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 2565 1 . . 1 . . . 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ประเทศ เด็กไทยมีความรอบรู้ด้านสุขภาพ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ ที่มา โปรแกรมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ส านักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ณ วันที่ กันยายน เป้าความรอบรู้ด้านสุขภาพ ร้อยละ . . . . 1. . 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ประเทศ นักเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ ที่มา โปรแกรมโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ส านักส่งเสริมสุขภาพ กรมอนามัย ณ วันที่ กันยายน เป้าพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ ร้อยละ
หน้า 39 ◦ โรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ (HLS) ผลการดำเนิงานโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ ในปีงบประมาณ 2565 พบว่า ศูยน์อนามัยที่ 9 มีโรงเรียนที่เข้าร่วม กระบวนการ จำนวน 655 แห่ง โรงเรียนที่มีการประเมินตนเองเข้ามาในโปรแกรม HPH Plus HL จำนวน 510 แห่ง โรงเรียนผ่านการประเมินตนเอง จำนวน 291 แห่ง และโรงเรียนได้รับการรับรองเป็นโงเรียนส่งเสริมสุขภาพ (HPH Plus HL) จำนวน 42 แห่ง ดังแสดงในภาพที่ 36 ภาพที่ 36 ผลการดำเนินงานโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s จำแนกตามกระบวนการ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 2565 ◦ เด็กกลุ่มเปราะบางเข้าถึงบริการส่งเสริมสุขภาพ การดำเนินงานตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ ปีงบประมาณ 2565 ของศูนย์อนามัยที่ 9 รายงานการคัดกรองจาก สถานศึกษา พบว่ามีเด็กกลุ่มเปราะบาง/เด็กพิเศษ ได้รับการตรวจคัดกรองสุขภาพ ร้อยละ 96.27 โดยจังหวัดที่มีการคัด กรองสุขภาพเด็กพิเศษมากที่สุด ได้แก่จังหวัดนครราชสีมา และ จังหวัดบุรีรัมย์ ร้อยละ 100 รองลงมาคือจังหวัดชัยภูมิ ร้อยละ 96.81 และ จังหวัดสุรินทร์ ร้อยละ 84.43 ดังแสดงในภาพที่ 37 ข้อมูลจ านวนโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s รายจังหวัด เขตสุขภาพ เทียบกับค่าเป้าหมาย ปีงบประมาณ เป้าหมายเขต 1 แห่ง นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่เข้าสู่กระบวนการ 1 1 1 โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่มีการประเมินตนเอง 1 1 1 1 โรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s ที่ผ ่านการประเมินตนเอง 1 โรงเรียนที่ได้รับการรับรองโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพ s 1 11 1 1 1 1 1 1 1 1 1 1 11 1 1 1 1 1 1 ที่มา โปรแกรม s ณ วันที่ กันยายน จ านวนโรงเรียน แห่ง
หน้า 40 ภาพที่ 37 ผลการดำเนินงานการตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ รายจังหวัด เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 2565 ◦ ก้าวท้าใจในสถานศึกษา การดำเนินงาน นักเรียน นักศึกษาที่ลงทะเบียนก้าวท้าใจ รายจังหวัดพบว่า จังหวัดที่มีนักเรียน นักศึกษาที่ ลงทะเบียนก้าวท้าใจ ของศูนย์อนามัยที่ 9 มากที่สุด คือจังหวัดบุรีรัมย์จำนวน 31,932 คน รองลงมาจังหวัดสุรินทร์ จำนวน 8,766 คน จังหวัดนครราชสีมา จำนวน 7,174 คน และจังหวัดชัยภูมิ จำนวน 2,158 คน ตามลำดับ ทำให้ยอด รวมภาพรวมเขตปี 2565 ณ 30 กันยายน 2565 จำนวน 40,030 คน (ในปีงบประมาณ 2566 ค่าเป้าหมาย 110,000 คน : รอบ 5 เดือนแรกจำนวน 55,000 คน) ดังในภาพที่ 38 ภาพที่ 38 ผลการดำเนินงาน จำนวนนักเรียน นักศึกษาที่ลงทะเบียนก้าวท้าใจ รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ 2565 ข้อมูลการตรวจคัดกรองสุขภาพเด็กพิเศษ ไม่น้อยกว่าร้อยละ รายหน่วยบริการ เขตสุขภาพที่ ปีงบประมาณ 1 . 1 1 . . 1 1 นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ที่มา รายงานการคัดกรองจากสถานศึกษา ณ วันที่ 1สิงหาคม ผลการด าเนินงาน จ านวน นักเรียน นักศึกษาที่ลงทะเบียนก้าวท้าใจ รายเขตสุขภาพ ปีงบประมาณ นครราชสีมา ชัยภูมิ บุรีรัมย์ สุรินทร์ เขต ป ี 1 1 1 1 1 1 1 1 ที่มา แอพพลิเคชั่นก้าวท้าใจ ณ วันที่ กันยายน
หน้า 41 ◦ จำนวนโรงเรียนเข้าร่วมการประเมินเพื่อพัฒนาเป็นต้นแบบโรงเรียนส่งเสริมสุขภาพช่องปาก จำนวนจังหวัดและจำนวนโรงเรียนที่ร่วมกิจกรรม โรงเรียนผู้พิทักษ์ฟันดี รุ่นที่ 1 แยกตามจังหวัด เขตสุขภาพที่ 9 (ข้อมูล ณ 19 ก.ย. 65) จังหวัด จำนวนโรงเรียนที่เข้าร่วม นครราชสีมา 2 ชัยภูมิ 4 บุรีรัมย์ 15 สุรินทร์ 11 เขต 9 32 รายชื่อโรงเรียนในเขตสุขภาพที่9 ที่ร่วมกิจกรรม โรงเรียนผู้พิทักษ์ฟันดี รุ่นที่ 1 (ข้อมูล ณ 19 กย 65) ลำดับ โรงเรียน อำเภอ จังหวัด 1 โรงเรียนบานผือ(ประชาพัฒนา)* รัตนบุรี สุรินทร 2 โรงเรียนบานยาง รัตนบุรี สุรินทร 3 โรงเรียนบานหนองหิน รัตนบุรี สุรินทร 4 โรงเรียนบานลปุง ทาตูม สุรินทร 5 โรงเรียนบานมวงหนองตาด โนนนารายณ สุรินทร 6 โรงเรียนบานสนวน สังขะ สุรินทร 7 โรงเรียนบานหนองระฆัง สนม สุรินทร 8 โรงเรียนโพนทองพิทยาคม ชุมพลบุรี สุรินทร 9 โรงเรียนบานโสน ศรีณรงค สุรินทร 10 โรงเรียนบานโคกสะอาด กาบเชิง สุรินทร 11 โรงเรียนบานกูน ปราสาท สุรินทร 12 โรงเรียนวัดบานจอม กระสัง บุรีรัมย 13 โรงเรียนบานโคลด กระสัง บุรีรัมย 14 โรงเรียนบานเสม็ดประชาอุปถัมภ กระสัง บุรีรัมย
หน้า 42 ลำดับ โรงเรียน อำเภอ จังหวัด 15 โรงเรียนบานหนองรักษ กระสัง บุรีรัมย 16 โรงเรียนบานตาราม กระสัง บุรีรัมย 17 โรงเรียนชุมชนบานสองชั้น กระสัง บุรีรัมย 18 โรงเรียนบานนาราใหญ กระสัง บุรีรัมย 19 โรงเรียนบานเสม็ดประชาอุปถัมภ กระสัง บุรีรัมย 20 โรงเรียนพินสิริ คูเมือง บุรีรัมย 21 โรงเรียนโนนยานาง คูเมือง บุรีรัมย 22 โรงเรียนมารียอนุสรณ เมือง บุรีรัมย 23 โรงเรียนบานสารภี เมือง บุรีรัมย 24 โรงเรียนฉงจี้ เมืองบุรีรัมย บุรีรัมย 25 โรงเรียนบานงิ้ว แคนดง บุรีรัมย 26 โรงเรียนบานสระประดูหนองมะคา นางรอง บุรีรัมย 27 โรงเรียนฉิมพลีมา ภูเขียว ชัยภูมิ 28 โรงเรียนบานหัวสะพาน หนองบัวระเหว ชัยภูมิ 29 โรงเรียนชัยชุมพลวิทยา บานแทน ชัยภูมิ 30 โรงเรียนบานกุดฉนวน บานเขวา ชัยภูมิ 31 โรงเรียนชุมชนดอนไพล โชคชัย นครราชสีมา 32 โรงเรียนบานดอนพราหมณ โชคชัย นครราชสีมา
หน้า 43 ความรู้ที่นำมาใช้ประกอบการวิเคราะห์ จามจุรี แซ่หลู่, นภาวรรณ วิริยะศิริกุล (2563) ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรม การป้องกันโรคอ้วนของเด็กวัยเรียนที่เริ่มอ้วนและอ้วนในโรงเรียนที่สังกัดสํานักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อําเภอ เมือง จังหวัดนครศรีธรรมราช พบว่าความรอบรู้ด้านสุขภาพของเด็กวัยเรียนที่เริ่มอ้วนและอ้วนโดยรวมอยู่ในระดับไม่ เพียงพอ พฤติกรรมการป้องกันโรคอ้วนอยู่ในระดับถูกต้องเป็นส่วนใหญ่แต่ไม่สม่ำเสมอ และความรอบรู้ด้านสุขภาพมี ความสัมพันธ์ทางบวกในระดับปานกลางกับพฤติกรรมการป้องกันโรคอ้วนอย่างมีนัยสําคัญ จึงควรส่งเสริมให้เด็กวัยเรียนที่ เริ่มอ้วนและอ้วนมีความรอบรู้ด้านสุขภาพมากขึ้น เพราะเมื่อเด็กมีความรอบรู้ด้านสุขภาพในระดับที่เพียงพอก็สามารถ นําไปใช้ในการปรับพฤติกรรมสุขภาพให้มีความถูกต้องเหมาะสมมากขึ้น ส่งผลให้เด็กมีรูปร่างสมส่วนมากขึ้น สุกัญญา คณะวาปี และเกศินี สราญฤทธิชัย (2565) ศึกษาผลของโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ร่วมกับโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ในกลุ่มตัวอย่างนักเรียนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน จำนวน 114 คน แบ่งเป็น กลุ่มทดลองA กลุ่มทดลองB และกลุ่มเปรียบเทียบ จำนวนกลุ่มละ 38 คน กลุ่มทดลอง A ได้รับโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อ ป้องกันโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน กลุ่มทดลอง B ได้รับโปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพ ร่วมกับโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน เป็น ระยะเวลา 8 สัปดาห์ ผลการศึกษาพบว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมในการป้องกันโรคอ้วน เมื่อเปรียบเทียบ ค่าเฉลี่ยคะแนนระหว่างกลุ่มหลังการทดลอง กลุ่มทดลองBมีค่าเฉลี่ยคะแนนความรอบรู้ด้านสุขภาพในการป้องกันโรคอ้วน 1.ด้านความรู้ความเข้าใจในการป้องกันโรคอ้วนแตกต่าง จากกลุ่มทดลอง A (mean diff: 2.7, p<0.001), และกลุ่ม เปรียบเทียบ (mean diff: 1.3,p <0.001)2.ด้านการเข้าถึงข้อมูลและบริการสุขภาพในการป้องกันโรคอ้วน แตกต่าง จาก กลุ่มทดลอง A (mean diff: 3.2,p <0.001) และกลุ่มเปรียบเทียบ(mean diff: 1.23, p <0.001) 3.ด้านทักษะการสื่อสาร ในการป้องกันโรคอ้วน แตกต่าง จากกลุ่มทดลอง A (mean diff: 7.2, p<0.001), และกลุ่มเปรียบเทียบ(mean diff: 2.9, p <0.001) 4.ด้านการรู้เท่าทันสื่อในการป้องกันโรคอ้วนแตกต่าง จากกลุ่มทดลอง A (meandiff: 9.1, p<0.001), และ กลุ่มเปรียบเทียบ (mean diff: 3.1,p <0.001) 5.ด้านทักษะการตัดสินใจในการป้องกันโรคอ้วน แตกต่าง จากกลุ่มทดลอง A (mean diff: 6.5, p<0.001), และกลุ่มเปรียบเทียบ(mean diff: 1.9,p <0.001) และ 6.ด้านการจัดการเงื่อนไขทาง สุขภาพในการป้องกันโรคอ้วน แตกต่าง จากกลุ่มทดลอง A (mean diff: 10.0, p<0.001), และกลุ่มเปรียบเทียบ (mean diff: 5.0,p <0.001) กลุ่มทดลอง B มีค่าเฉลี่ยคะแนนพฤติกรรมในการป้องกันโรคอ้วน 1.พฤติกรรมการบริโภคอาหาร แตกต่าง จากกลุ่มทดลอง A (mean diff: 8.2,p <0.001) และกลุ่มเปรียบเทียบ(mean diff: 4.5, p <0.001) 2.พฤติกรรม การออกกําลังกาย แตกต่าง จากกลุ่มทดลอง A (mean diff: 6.4,p <0.001) และกลุ่มเปรียบเทียบ(mean diff: 4.4, p <0.001) และพบว่าค่าเฉลี่ยน้ำหนักที่ลดลงระหว่างกลุ่มทดลองทั้งสองกลุ่มและกลุ่มเปรียบเทียบไม่แตกต่างกัน (p =0.67) โดยสรุปผลการวิจัยนี้แสดงให้เห็นว่า โปรแกรมนี้ สามารถเพิ่มความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมในการ ป้องกันโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนได้ ดังนั้น จึงควรมีการนําไปประยุกต์ใช้ในเด็กวัยเรียนกลุ่มอื่นๆ ได้
หน้า 44 อรณิชา โพธิ์หมื่นทิพย (2564) ได้ทำการศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมความรอบรูดานสุขภาพเพื่อ ปองกันโรค อ้วนของนักเรียนมัธยมศึกษาตอนตน อำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา พบวา เด็กวัย เรียนอายุ 6-14 ป มี ความชุกของภาวะน้ำหนักเกินเกณฑเริ่มอวนและอวน ร้อยละ 13.6 และจากการสำรวจ ภาวะโภชนาการเด็กวัยเรียนใน ระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนตน ในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา พบวา เด็กวัย เรียนเริ่มอวนและอวนสูงถึง ร้อยละ 17.8 ซึ่งสูงวาเกณฑเป้าหมายโรงเรียนสงเสริมสุขภาพที่กำหนดไม่เกิน ร้อยละ 10 เด็กวัยเรียนที่เริ่มอวนและอวนจึงส่งผลกรทบ ต่อพัฒนาการทั้งร่างกายสติปัญญา อารมณและ สังคม มีโอกาสเสี่ยงเมื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ จะเป็นผู้ใหญ่ที่อวนร้อยละ 25 จึงใชแนวคิดการสงเสริมความรอบรูดานสุขภาพเพื่อเสริมทักษะและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพตนเองเพื่อปองกันโรคอ้วน ในนักเรียนมัธยมศึกษา ตอนตน โดยมีวัตถุประสงคเพื่อศึกษาประสิทธิผลของโปรแกรมความรอบรูดานสุขภาพเพื่อปองกัน โรคอ้วนของ นักเรียนมัธยมศึกษาตอนตน ในอำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา วีรพันธ์ ใจแก้ว, จตุพร ตันเจียง และกานต์กมล ผลาผล (2565) ศึกษาผลของการให้ทันตสุขศึกษาผ่านสื่อวีดิทัศน์ ต่อความรู้ทัศนคติและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 อำเภอชนบท จังหวัด ขอนแก่น ผู้เข้าร่วมวิจัยคือนักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่4-6 โดยการศึกษาแบ่งเป็นกลุ่มทดลอง 34 คน และกลุ่มควบคุม 38 คน วัดผลก่อนและหลังการทดลองภายในกลุ่มทดลองและระหว่างกลุ่มทดลองและกลุ่มควบคุมเก็บรวบรวมข้อมูลโดย ใช้แบบสอบถามข้อมูลทั่วไปแบบสอบถามความรู้เกี่ยวกับโรคฟันผุ โรคเหงือกอักเสบ และการดูแลสุขภาพช่องปาก แบบสอบถามทัศนคต ิการดูแลสุขภาพช่องปากและแบบสอบถามพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากวิเคราะห์ข้อมูลทั่วไป โดยใช้สถิติเชิงพรรณนาและ วิเคราะห์เปรียบเทียบความแตกต่างของตัวแปรภายในกลุ่มทดลองและระหว่างกลุ่มทดลอง และกลุ่มควบคุมโดยใช้สถิติ Pair sample t-test และ Independent sample t-test จากการศึกษาพบว่าภายหลังการ ทดลองกลุ่มทดลองมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ทัศนคติและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากสูงกว่าก่อนการทดลองอย่างมี นัยสำคัญทางสถิติ (p < 0.001) และมีคะแนนเฉลี่ยความรู้ทัศนคติและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากสูงกว่ากลุ่ม ควบคุมอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ (p<0.001) จากการศึกษาในครั้งนี้แสดงให้เห็นว่าการให้ทันตสุขศึกษาผ่านสื่อวีดิทัศน์ทำ ให้นักเรียนชั้นประถมศึกษาปี ที่4-6 มีความรู้ ทัศนคติ และพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากที่ดีขึ้น รุตยา โสคําภา , วัฒน์ บุญกอบ ,จันทร์จารี เกตุมาโร และเกษม ชูรัตน์ (2565) ศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรม ส่งเสริมสุขภาพช่องปากของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนราชวินิต เป็นการศึกษาวิจัยเชิงสํารวจ โดยเครื่องมือ ที่ใช้ในการวิจัยคือการเก็บรวบรวมข้อมูลของนักเรียน ด้วยการใช้แบบสอบถาม ผู้วิจัยมุ่งเน้นให้นักเรียนได้ตอบข้อมูลตาม ความเป็นจริง โดยอธิบายรูปแบบการตอบคําถามทีละข้อ ทั้งนี้ผู้วิจัยได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สําเร็จรูปวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพรรณนา ประกอบด้วยการแจกแจงค่าร้อยละ ค่าเฉลี่ย ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน และวิเคราะห์ ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมการส่งเสริมสุขภาพช่องปาก ผลการวิจัยพบว่า นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 มีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ p < 0.01 นํามาทํานายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพช่อง ปากได้ร้อยละ 24.60 (R 2= 0.246) และพบว่า ด้านการได้รับข้อมูลข่าวสารทันตสุขภาพมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมสุขภาพช่อง ปากอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ p < 0.01นํามาทํานายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากได้ร้อยละ 9 (R 2= 0.090)
หน้า 45 นอกจากกนี้ยังพบว่าปัจจัยเสริมด้านการได้รับคำแนะนําสนับสนุน ด้านทันสุขภาพจากบุคคลทางสังคมมีอิทธิพลต่อ พฤติกรรมสุขภาพช่องปากอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติที่ระดับ p < 0.01นํามาทํานายพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากได้ ร้อยละ 26 (R 2= 0.266) รายงานการวิจัยการทบทวนชุดสิทธิประโยชน์และการเข้าถึงบริการอุปกรณ์เครื่องช่วยคนพิการโครงการประเมิน เทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (2557) สถานการณ์ด้านคนพิการในประเทศไทยโดยกระทรวงการพัฒนาสังคมและ ความมั่นคงของมนุษย์ กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการพบว่าในประเทศไทยมีจำนวนผู้พิการทั้งสิ้น 2,092,595 คน คิดเป็นร้อยละ 3.21 ของประชากรทั้งประเทศ โดยภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจำนวนผู้พิการสูงสุดเป็น จำนวน 832,609 คน หรือคิดเป็นร้อยละ 39.79 ของจำนวนประชากรผู้พิการในระดับประเทศ และจากการทบทวน งานวิจัย พบว่า ยังมีคนพิการเข้าไม่ถึงบริการสุขภาพ ซึ่งเกิดจากอุปสรรคหลายประการ ถึงแม้ว่าระบบประกันสุขภาพ ภาครัฐ จะระบุถึงหลักการ เรื่องความครอบคลุมสิทธิประโยชน์ที่จำเป็นสำหรับคนพิการ แต่ในทางปฏิบัติยังพบว่ามีความ แตกต่างในด้านรายการสิทธิประโยชน์ การบริหารจัดการ และกลไกการจ่ายค่าบริการตามสิทธิ ปัจจัยเหล่านี้ทำให้คนพิการ บางกลุ่ม เข้าไม่ถึงการบริการที่จำเป็น โชษิตา ภาวสุทธิไพสิฐและคณะ (2561) ศึกษาสถานการณ์ความพิการและการเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นของรัฐ สำหรับเด็กพิการในชุมชน เปรียบเทียบผลการวิจัยกับฐานข้อมูลเด็กพิการระดับประเทศของ 3 หน่วยงานเพื่อประมาณการ การเข้าถึงบริการของเด็กพิการคือ ฐานข้อมูลการจดทะเบียนคนพิการ (กรมส่งเสริมและพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ) ฐานข้อมูลการใช้บริการทางการแพทย์ (สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ) และฐานข้อมูลการศึกษา (สำนักบริหาร การศึกษาพิเศษ) พบว่า ปริมาณของเด็กที่มีความพิการในชุมชนมีมากกว่าฐานข้อมูล สะท้อนให้เห็นว่ายังมีการเข้าไม่ถึง บริการภาครัฐสำหรับเด็กพิการ และอุปสรรคในการเข้าถึงบริการนั้นก็มีหลากหลายมิติ ปัจจัยที่มีผลต่อการเข้าถึงบริการ เช่น การแยกส่วนกันทำงานของหน่วยงาน การเข้าถึงยาก ความยากจน ความเชื่อทางวัฒนธรรม การไม่ใส่ใจของชุมชน แผนปฏิบัติการกรมอนามัย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 แผนงานที่ 3 การส่งเสริมสุขภาพวัยเรียนวัยรุ่น จาก ข้อมูล Health Data Center (HDC) ณ 14 กรกฎาคม 2565 รายงานสถานการณ์ภาวะโภชนาการเด็กวัยเรียน ภาคเรียนที่ 1 ปีการศึกษา 2565 พบว่าร้อยละของเด็กวัยเรียนสูงดีสมส่วน (อายุ 6-14 ปี) แนวโน้มลดลง สูงดีสมส่วน ร้อยละ 55 เริ่ม อ้วนและอ้วน ร้อยละ 14.2 สูงขึ้นและเกินกว่าเป้าหมาย (ร้อยละ 10) ผอม ร้อยละ 5.3 (สูงขึ้นและเกินกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 5) และเตี้ย ร้อยละ 10.4 (สูงขึ้นและเกินกว่าเป้าหมาย ร้อยละ 5) ส่วนสูงเฉลี่ยของเด็กอายุ 12 ปีสูงขึ้น แต่ยังคงต่ำ กว่าค่าเป้าหมาย ชาย 148.4 (เป้าหมาย 154 ซม.) หญิง 149.2 เซนติเมตร (เป้าหมาย 15 ซม.) โดยปี 2563 เท่ากับ ร้อย ละ 65.7 ต่ำกว่าค่าเป้าหมาย (ร้อยละ 66) และปัญหาทุพโภชนาการด้านอื่น ได้แก่ ภาวะเริ่มอ้วนและอ้วน พบว่า ปี 2559 - 2563 มีแนวโน้มที่สูงขึ้นและเกินกว่าเป้าหมาย (ร้อยละ 10) ปี 2563 เท่ากับ ร้อยละ 12.5 สำหรับภาวะเตี้ย พบว่า ปี 2563 เท่ากับ ร้อยละ 6 สูงกว่าค่าเป้าหมาย (ร้อยละ 5) ภาวะผอม พบว่า ปี 2563 เท่ากับร้อยละ 4.4 ผ่านค่าเป้าหมาย (ร้อยละ 5) ทั้งนี้ การเฝ้าระวังการเจริญเติบโตของเด็กวัยเรียนยังไม่ครอบคลุมจำนวนเด็กนักเรียนทั้งประเทศ จาก สถานการณ์ภาวะโภชนาการดังกล่าว เป็นการประเมินภาวะโภชนาการโดยการใช้เกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต พ.ศ.2538
หน้า 46 แต่เมื่อเทียบกับสถานการณ์ภาวะโภชนาการของเด็กอายุ 6-14 ปี ปี 2564 มีการเปลี่ยนมาใช้เกณฑ์อ้างอิงการเจริญเติบโต ชุดใหม่ (ปี 2564) จะเห็นว่า เด็กสูงดีสมส่วน เริ่มอ้วนและอ้วน มีค่าลดลง แต่ยังคงไม่ผ่านค่าเป้าหมายที่กำหนดไว้ ขณะที่ ภาวะเตี้ยมีมากขึ้น กล่าวคือ เด็กอายุ 6-14 ปีสูงดีสมส่วน ร้อยละ 58.0 (ลดลง) เริ่มอ้วนและอ้วน ร้อยละ 11.6 ผอม ร้อยละ 3.9 และเตี้ย ร้อยละ 10.4 (เพิ่มขึ้น) ส่วนสูงเฉลี่ยของเด็กอายุ 12 ปี ชาย 147.3 เซนติเมตร(เป้าหมาย 154 ซม.) หญิง 148.5 เซนติเมตร (เป้าหมาย 155 ซม.) ซึ่งกลไกการมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาภาวะโภชนาการ พื้นที่ให้ ความสำคัญในการแก้ปัญหาน้อยขาดความครอบคลุมและคุณภาพของข้อมูลภาวะโภชนาการของเด็กวัยเรียน อีกทั้งจากก สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้เด็กต้องเรียน Online พฤติกรรมเนือยนิ่งมากขึ้น สอดคล้องกับการ สำรวจระดับกิจกรรมทางกายในประชากรไทย สถาบันวิจัยประชากรและสังคมมหาวิทยาลัยมหิดล ระหว่างปี 2555-2563 พบว่าคนไทยมีแนวโน้มการมีพฤติกรรมเนือยนิ่งสูง โดยพบว่าในสถานการณ์ด้านกิจกรรมทางกาย พบว่าคนไทยมีกิจกรรม ทางกายไม่เพียงพอ โดยพบว่ากลุ่มเด็กวัยเรียนและวัยรุ่นมีกิจกรรมทางกายเพียงพอร้อยละ 24.9, 20.9, 27.6, 23.2, 26.4, 25.3, 26.2, 24.4 17.1 และ 24.2 ตามลำดับ สถานการณ์สุขภาพช่องปากเด็กวัยเรียน พบว่า ร้อยละของเด็กอายุ 6 - 12 ปี ได้รับการตรวจสุขภาพช่องปาก ปี 2560 - 2565 พบ ร้อยละ 46.1, 54.14 , 36.5 , 57.4 , 46.6 และ 22.7 ตามลำดับ สำหรับร้อยละเด็กอายุ 12 ปี ปราศจากฟันผุ (Caries free) มีแนวโน้มดีขึ้นปี 2560 - 2565 พบ ร้อยละ 60.6, 69.8 , 69.2, 71.2, 70.0 และ 75.2 ตามลำดับ แต่เมื่อพิจารณาในเรื่องความครอบคลุมของการตรวจสุขภาพช่องปากในเด็ก พบว่าความครอบคลุมของการ ตรวจสุขภาพช่องปากใน เด็กวัยเรียนมีเพียงครึ่งหนึ่งของเด็กทั้งหมด และจากรายงานการสำรวจสภาวะทันตสุขภาพและ ปัจจัยเสี่ยง ปีงบประมาณ 2564 โดยสำนักทันตสาธารณสุขยังพบว่าเด็กวัยเรียนมีพฤติกรรมสุขภาพ พึงประสงค์ด้านการ แปรงฟันและการบริโภคอาหารยังน้อยอยู่มาก โดยมีการแปรงฟันแบบ 2-2-2 (แปรงฟันอย่างน้อย 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน ด้วยยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ นาน 2 นาที และงดกินอาหารหลังแปรงฟัน 2 ชั่วโมง) เพียงร้อยละ 34.3 ด้านพฤติกรมการ บริโภคอาหาร พบว่าเด็กดื่มน้ำอัดลม ร้อยละ 45.1 ดื่มน้ำหวาน ร้อยละ 45.9 และกินขนมกรุบกรอบมากกว่า 2 ครั้ง ต่อวัน ร้อยละ 48.7) ซึ่งการส่งเสริมสุขภาพและป้องกันโรคในช่องปากยังคง เป็นประเด็นสำคัญในการพัฒนางานด้านสุขภาพช่อง ปากในเด็กวัยเรียน การดำเนินงานโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ จากโปรแกรมประเมินความรอบรู้ด้านสุขภาพในโรงเรียน พบว่า โรงเรียนเข้าร่วมกระบวนการพัฒนาฯ จำนวน 3,899 แห่ง นักเรียนผ่านการประเมินความรู้และพฤติกรรมสุขภาพ ระดับ NuPETHS ร้อยละ 67 (21,796 คน ) และนักเรียนที่ผ่านการประเมินตามแบบวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพ ระดับ Super Hero NuPETHS ร้อยละ 28.3 (9,221 คน) จากสถานการณ์ดังกล่าวมีส่วนเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมสุขภาพที่ไม่ถูกต้อง ปัจจัยสำคัญคือ ความสามารถในการดูแลสุขภาพตนเองหรือเรียกว่า ความรอบรู้ด้านสุขภาพ (Health literacy) จากการ ประเมินระดับความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพของกลุ่มเด็กและเยาวชน ส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ เรื่องสุขบัญญัติในระดับพอใช้ ร้อยละ 59.94 และระดับดีมาก ร้อยละ 36.97 เพียงส่วนน้อยที่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพ
หน้า 47 ระดับต่ำ ร้อยละ 3.09 และส่วนใหญ่มีพฤติกรรมสุขภาพในระดับดีมาก ร้อยละ 45.08 รองลงมา คือ ระดับ พอใช้ ร้อยละ 36.72 มีเพียงส่วนน้อยที่มีพฤติกรรมสุขภาพระดับไม่ดี ร้อยละ 18.20 (กองสุขศึกษา, 2557) ผลการสำรวจความรอบรู้ด้านสุขภาพและพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ของเด็กวัยเรียน ปี 2562 กรมอนามัย พบว่า เด็กวัยเรียนส่วนใหญ่มีความรอบรู้ด้านสุขภาพโดยรวมระดับพอใช้ ร้อยละ 57.9 มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ 3 ด้าน ทันตสุขภาพ การบริโภคอาหาร และกิจกรรมทางกาย เพียงร้อยละ 0.1 มีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านทันตสุขภาพ ร้อยละ 21.7 พฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านกิจกรรมทางกาย ร้อยละ 12.3 พฤติกรรมที่พึงประสงค์ด้านการบริโภคอาหาร ร้อยละ 6.1 (สำนักส่งเสริมสุขภาพ, 2562) ประเด็นความรู้ที่ใช้ กรมอนามัย. แผนปฏิบัติการกรมอนามัยประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ภายใต้แผนยุทธศาสตร์การพัฒนาระบบส่งเสริม สุขภาพและอนามัยสิ่งแวดล้อม ระยะ 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) กองยุทธศาสตร์และแผนงาน กระทรวงสาธารณสุข (2561). แผนยุทธศาสตร์ชาติระยะ 20 ปี (ด้านสาธารณสุข) พ.ศ. 2560 – 2579 (ฉบับปรับปรุง ครั้งที่ 1 พ.ศ. 2561) . นนทบุรี จามจุรี แซ่หลู่, นภาวรรณ วิริยะศิริกุล (2563). ความสัมพันธ์ระหว่างความรอบรู้ด้านสุขภาพกับพฤติกรรมการป้องกันโรค อ้วนของ เด็กวัยเรียนที่เริ่มอ้วนและอ้วนในโรงเรียนที่สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา อำเภอเมือง จังหวัด นครศรีธรรมราช. Journal of MCU Nakhondhat, 7(11), หน้า 1-15. โชษิตา ภาวสุทธิไพศิฐ, ลือชัย ศรีเงินยวง, ณรงค์ฤทธิ์ อัศวรงค์พิภพ, ธันวรุจน์ บูรณสุขสกุล, วนิดา ชนินทยุทธวงศ์, วิมลวรรณ ปัญญาว่อง, และ ธวัลรัตน์ ศรีวิลาส. สถานการณ์ความพิการและการเข้าถึงบริการสุขภาพและบริการที่ จำเป็นของรัฐสำหรับเด็กพิการในชุมชน. 2561 วีรพันธ์ ใจแก้ว, จตุพร ตันเจียง และกานต์กมล ผลาผล (2565). ผลของการให้ทันตสุขศึกษาผ่านสื่อวีดิทัศน์ต่อความรู้ ทัศนคติและพฤติกรรมการดูแลสุขภาพช่องปากในนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 อำเภอชนบท จังหวัดขอนแก่น. วารสารวิจัยและพัฒนาระบบสุขภาพ, 15(2), หน้า 187-200. ศรุตยา โสคำภา. (2565). ปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมส่งเสริมสุขภาพช่องปากของนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 4-6 โรงเรียนราชวินิต: Factors Exerting Effects on Oral Health Promotion Behaviors of Prathom Sueksa Four to Six Students at Rachawinit School. Journal of Health, Physical Education and Recreation, 48(1), หน้า177-184. สุกัญญา คณะวาปี และ เกศินี สราญฤทธิชัย (2565). ผลของ โปรแกรมการพัฒนาความรอบรู้ด้านสุขภาพร่วมกับโรงเรียน รอบรู้ ด้านสุขภาพต่อการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันโรคอ้วนในเด็กวัยเรียนที่มีภาวะน้ำหนักเกิน. วารสารวิชาการ สาธารณสุขชุมชน, 8(03), หน้า105-105.
หน้า 48 อรณิชาโพธิ์หมื่นทิพย์. (2564).ประสิทธิผลของโปรแกรมความรอบรู้ด้านสุขภาพเพื่อป้องกันโรคอ้วนของนักเรียน มัธยมศึกษาตอนต้น ในอำเภอเมืองนครราชสีมา จังหวัดนครราชสีมา. สืบค้นวันที่ 28 ตุลาคม2565 https://www.mnrh.go.th/pdf_file_academic/academic_25640818-01.pdf 1. Assessment 1. ผลการวิเคราะห์ผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อขับเคลื่อนตัวชี้วัด กลุ่มผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ผู้รับบริการ หมายถึง กลุ่มวัยเรียนที่อายุตั้งแต่ 6 ปี จนถึง 14 ปี (โดยเริ่มนับตั้งแต่อายุ 6 ปีเต็ม ถึง 14 ปี 11 เดือน 29 วัน) กลุ่มวัยเรียน มีการขับเคลื่อนนโยบายสู่การปฏิบัติในระดับเขตโดยสนับสนุน ด้านวิชาการให้กับเครือข่ายใน พื้นที่นำมาตรฐานของกรมอนามัยไปใช้ ได้แก่ ครู, บุคลากรสาธารณสุข, โรงเรียน, โรงพยาบาล, องค์กรในชุมชน และภาคี เครือข่ายที่สนับสนุนการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพวัยเรียนเป็นต้น โดยมีการให้ความสำคัญกับการรับฟังความคิดเห็นของ ผู้รับบริการ(Customer) เพื่อประเมินความต้องการความคาดหวัง ความผูกพัน ความพึงพอใจ ความไม่พึงพอใจ และ ข้อเสนอแนะจากผู้รับบริการและนำไปสู่การปรับปรุงผลผลิตและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย กลุ่มรับบริการได้แก่ 1.ผู้รับบริการทางตรง เขตสุขภาพที่ 9 นครราชสีมา - สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดนครราชสีมา - สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดชัยภูมิ - สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดบุรีรัมย์ - สำนักงานสาธารณสุขจังหวัดสุรินทร์ - กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 และโรงเรียนตำรวจตะเวนชายแดน - สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา - สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา - โรงเรียนสังกัดสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และ -การศึกษาตามอัธยาศัย -โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ -โรงเรียนเฉพาะความพิการศูนย์การศึกษาพิเศษ
หน้า 49 2.รับบริการทางอ้อม ศูนย์สุขภาพจิตที่ 9 นครราชสีมา - โรงพยาบาลจิตเวชนครราชสีมาราชนครินทร์ - สำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 9 นครราชสีมา - สำนักงานสนับสนุนบริการสุขภาพ เขต 9 นครราชสีมา - สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ เขต 9 นครราชสีมา ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ในการดำเนินงานส่งเสริมสุขภาพของกลุ่มงานวัยเรียนสู่การปฏิบัติในระดับเขตสุขภาพ เพื่อมุ่ง สู้เป้าหมายความสำเร็จของการขับเคลื่อนงานส่งเสริมสุขภาพกลุ่มวัยเรียน โดยสนับสนุนความรู้วิชาการ/ มาตรฐาน/ เทคโนโลยีต่าง ๆ ให้กับภาคีเครือข่ายในพื้นที่นำมาตรฐาน/ เทคโนโลยีไปใช้ทั้งในหน่วยงานภาครัฐ และภาคเอกชน เช่น หน่วยงานภาคการศึกษา ได้แก่ สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา,สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา, สำนักงานบริหารการศึกษาพิเศษ, สำนักพระพุทธศาสนา ,กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนที่ 21 , ฯลฯ ) ความต้องการ/ความคาดหวัง จากการดำเนินกิจกรรมในปี 2565 พบว่าความต้องการความคาดหวังของผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียมีดังนี้ ความต้องการความคาดหวังของผู้รับบริการ 1. การเข้าร่วมโครงการโรงเรียนรอบรู้รอบสุขภาพ Health literate school (HIS) ที่พัฒนาผ่านด้านกระบวนการ และผลลัพธ์ เข้าสู่การวัดความรอบรู้ด้านสุขภาพจะสามารถสร้างพฤติกรรมสุขภาพที่พึงประสงค์ให้แก่นักเรียนได้ 2. ควรมีการสนับสนุนการดำเนินงานให้สอดคล้องกับสถานการณ์ บริบท และความต้องการของพื้นที่และมีการ ติดตามผลต่อเนื่อง 3. ควรมีแหล่งทุนสนับสนุนการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นโครงการที่ดี มีประโยชน์ต่อสุขภาพและ ศักยภาพ ในการเรียนรู้เด็ก ๆ 4. มีการพัฒนาและสนับสนุนเครื่องมือต่าง ๆ โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัย เข้ามาช่วยยกระดับคุณภาพ ความต้องการความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ได้แก่ 1. โรงเรียนที่ไม่ได้ร่วมโครงการสามารถนำรูปแบบ/เอกสาร/คู่ มือในโครงการฯ ไปประยุกต์ใช้ได้สอดคล้องกับ สถานการณ์ และบริบทของพื้นที่ 2. มีช่องทางในการติดต่อสอบถาม/แลกเปลี่ยนเรียนรู้ที่สะดวกในการเข้าถึง 3. คู่มือโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพ เป็นคู่มือการดำเนินการเบื้องต้น สำหรับภาคีเครือข่าย เช่น ชุมชน ในพื้นที่, คณะกรรมการสถานศึกษา 4. มีการขยายผลให้ทุกโรงเรียนได้เข้าร่วมโครงการและมีการดำเนินการอย่างต่อเนื่อง 5. มีแหล่งทุนสนับสนุนการดำเนินงาน
หน้า 50 6. มีการถ่ายทอดนโยบายการดำเนินโรงเรียนรอบรู้ด้านสุขภาพตั้งแต่ระดับกระทรวงร่วมกัน เพื่อให้มีการ ขับเคลื่อนงานมีทิศทางที่ชัดเจนในการทำงาน และจากแบบสอบถามความต้องการในการพัฒนาศักยภาพบุคลากรครูและบุคลกรสาธารณสุข ในปี 2565 เพื่อ จัดทำแผนดำเนินการใน ปี 2566 พบว่า กลุ่มผู้รับบริการและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ต้องการพัฒนาในเรื่องต่างๆดังต่อไปนี้ สรุปผลแบบสอบถาม ความต้องการ การพัฒนาความรู้และพัฒนาศักยภาพบุคลากรครูของศูนย์การศึกษา พิเศษและโรงเรียนเฉพาะความพิการในด้านการดูแลสุขภาพเด็กพิเศษ 1.จำนวนผู้ตอบแบบสอบถาม จำนวน 40 คน 2. เรื่องที่ต้องการพัฒนาและเรียนรู้ดังนี้ 2.1 การตรวจสุขภาพจิตเด็ก วัยรุ่น 2.2 การปฐมพยาบาลเบื้องต้นสำหรับเด็กพิเศษ,การอบรมการช่วยชีวิตเบื้องต้น 2.3 การตรวจตา, ฟัน, สายตาและสุขภาพจิต 2.4 ตรวจเลือดและสารคัดหลั่งต่างๆเพื่อหาโรคประจำตัวและโรคติดต่อ 2.5 การตรวจสุขภาพช่องปาก 2.6 การตรวจฟัน สุขภาพจิต ความดันโลหิต การล้างแผล 2.7 การประเมินสุขภาพจิต 2.8 สุขภาพจิตเด็กพิเศษ,กลุ่มโรคต่างๆ,การใช้ยาการให้ยาเด็ก, 2.9 ตรวจฟันและสุขภาพจิต 2.10 การตรวจฟัน การตรวจสายตา โลหิตจาง