2. ภาพอักษรทีส่ งั เกตจากกล้องจลุ ทรรศนม์ ีลักษณะแตกต่างจากแวน่ ขยายอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
3. เมื่อเล่ือนวตั ถุไปทางซา้ ย ขวา บน และล่าง ภาพท่ีเห็นจากกล้องจลุ ทรรศนจ์ ะเปลีย่ นตำแหนง่ อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
4. เมื่อพบปัญหาขณะกล้องจุลทรรศน์ เช่น ไม่เห็นภาพ ภาพไมช่ ดั เจน จะมวี ธิ แี ก้ไขอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
5. รปู รา่ งลักษณะของภาพทส่ี งั เกตไดจ้ ากสไลด์ถาวรของเน้ือเย่อื พืช เนอ้ื เย่ือสัตว์ และสงิ่ มชี วี ิตเซลลเ์ ดยี วมรี ูปร่าง
ลกั ษณะเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
6. จากกิจกรรมทั้ง 2 ตอน สรุปไดว้ ่าอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบกิจกรรม 3.1 โลกใต้กล้องจลุ ทรรศน์เป็นอยา่ งไร (เฉลย)
คำถามทา้ ยกิจกรรม
1. แวน่ ขยายมีส่วนประกอบและหน้าท่เี หมือนหรอื แตกตา่ งจากกล้องจลุ ทรรศน์อย่างไร
แนวคำตอบ แว่นขยายมีส่วนประกอบเปน็ เลนสเ์ พยี งเลนส์เดียว แตก่ ล้องจลุ ทรรศน์มีท้ังเลนสใ์ กล้ตา เลนส์ใกล้วัตถุและ
ยงั มสี ว่ นประกอบอ่นื ๆ อีกมากมาย เชน่ แหลง่ กำเนดิ แสง ปมุ่ ปรบั ภาพหยาบ ปุ่มปรับภาพละเอยี ด ทำหนา้ ท่ีขยายวัตถุ
ท่ีมขี นาดเล็กให้ชดั เหมอื นกัน
2. ภาพอกั ษรทีส่ ังเกตจากกลอ้ งจลุ ทรรศน์มีลักษณะแตกต่างจากแว่นขยายอยา่ งไร
แนวคำตอบ ภาพอักษรท่ีมองเหน็ จากกลอ้ งจุลทรรศน์มีขนาดใหญข่ น้ึ หัวกลับ และกลบั ซ้ายเป็นขวา สว่ นภาพอกั ษรท่ี
มองเห็นจากแว่นขยายจะมขี นาดใหญ่ข้ึนเท่านัน้
3. เม่อื เล่ือนวตั ถุไปทางซา้ ย ขวา บน และลา่ ง ภาพท่เี ห็นจากกล้องจุลทรรศนจ์ ะเปลย่ี นตำแหน่งอย่างไร
แนวคำตอบ เมื่อเล่ือนวตั ถุไปทางซ้ายภาพที่ปรากฏจะไปทางขวาและเม่ือเล่ือนวัตถขุ นึ้ ด้านบนภาพท่ีปรากฏจะเลือ่ นไป
ดา้ นล่าง
4. เม่ือพบปัญหาขณะกลอ้ งจุลทรรศน์ เชน่ ไมเ่ หน็ ภาพ ภาพไมช่ ดั เจน จะมวี ิธแี ก้ไขอยา่ งไร
แนวคำตอบ 1. เม่ือไมพ่ บภาพ ควรปรับเลนส์ใกลว้ ตั ถใุ ห้กำลงั ขยายต่ำสุดก่อน แลว้ เลอ่ื นแท่นวางวตั ถุใหว้ ัตถุอยูต่ รง
กลางกล้อง จากน้ันค่อย ๆ ปรบั ปมุ่ ภาพหยาบพร้อมกับสงั เกตวตั ถุไปพร้อม ๆ กันจนกระทง่ั เหน็ วัตถชุ ดั เจน
2. เมือ่ ภาพไม่ชดั เจน ควรปรับปมุ่ ภาพละเอียดเพอื่ ให้เห็นวตั ถชุ ดั เจนมากยงิ่ ขึ้น
5. รูปรา่ งลกั ษณะของภาพทีส่ งั เกตไดจ้ ากสไลด์ถาวรของเนื้อเยอื่ พืช เนอื้ เย่ือสัตว์ และสง่ิ มชี ีวติ เซลลเ์ ดยี วมรี ูปรา่ ง
ลักษณะเหมือนหรอื แตกตา่ งกันอยา่ งไร
แนวคำตอบ รูปรา่ งลักษณะของภาพจากสไลด์ถาวรของเน้ือเยื่อพชื เนือ้ เยื่อสัตว์ และส่ิงมชี ีวิตเซลลเ์ ดียวเดียว มลี ักษณะ
ทคี่ ล้ายกนั คอื มลี ักษณะเป็นหอ้ ง ๆ มขี อบเขตชัดเจน มวี งกลมสีดำอย่ตู รงกลาง และมีลักษณะอนื่ ๆ ทแ่ี ตกต่างกันตาม
ชนดิ ของเซลล์ เชน่ สไลด์ถาวรเนื้อเย่ือพชื มขี นาดหนากว่าสไลด์ถาวรของเนอ้ื เย่ือสัตว์และสิ่งมีชวี ิตเซลลเ์ ดียว
6. จากกจิ กรรมทัง้ 2 ตอน สรุปได้วา่ อย่างไร
แนวคำตอบ กล้องจลุ ทรรศน์ใช้แสงเปน็ เคร่อื งมือสำคัญทใี่ ช้ในการศึกษาเซลล์ของสิ่งมีชีวติ เน่อื งจากส่งิ มชี วี ิตทุกชนดิ
ประกอบดว้ ยหนว่ ยพน้ื ฐานทีเ่ ล็กทส่ี ดุ เรยี กวา่ เซลล์
หนว่ ยการเรยี นรทู้ ี่ 3 วิทยาศาสตร์ (ว 21101) ชนั้ ม. 1
บทท่ี 1 เซลล์ เรอื่ ง การศกึ ษาเซลลด์ ว้ ยกล้องจุลทรรศน์ ผู้สอน ปส. อาซือมัน รเู ดง็
ใบงาน
เรอ่ื ง กล้องจลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สง (Light microscope)
ชอ่ื -นามสกุล………………………………………………………………………………………..ชน้ั ม.1/……….เลขท…ี่ ……………………
คำชี้แจง : จงตอบคำถามต่อไปนใ้ี หถ้ กู ต้อง
1. จงระบุส่วนประกอบของกล้องจลุ ทรรศน์แบบใชแ้ สงใหถ้ ูกต้อง
กล้อง…………………………………………………………………………………
2. จงเรียงลำดับขั้นตอนกาใช้กลอ้ งจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงอยา่ งถูกวธิ ี
…………..1.1 นำสไลดท์ ่จี ะศกึ ษาวางบนแทน่ วางวัตถุ เล่ือนใหว้ ัตถอุ ยูก่ ึง่ กลางบริเวณทแ่ี สงผา่ น มองด้านข้างตามแนว
ระดับแท่นวางวัตถุ คอ่ ย ๆ หมุนปมุ่ ปรบั ภาพหยาบ เลื่อนใหแ้ ท่นวางวัตถุอยู่ในระดับสูงสดุ
…………..1.2 หากตอ้ งการศึกษาภาพโดยใช้กำลังขยายสูงขึ้น ให้หมุนจานหมนุ เพ่ือเลือ่ นเลนสใ์ กล้วตั ถทุ ี่มีกำลงั ขยาย
สงู ขึ้น (10X มาแทนกำลังขยาย 4X) จากนัน้ ปรับภาพให้ชดั เจนข้ึนโดยหมนุ ภาพละเอยี ด
…………..1.3 เมื่อต้องการเก็บกล้องจลุ ทรรศน์ใช้แสง หมุนจานเลนสใ์ กลว้ ตั ถทุ ีม่ ีกำลงั ขยายต่ำสุดตรงกบั ลำกล้องเลื่อน
แท่นวางวัตถุให้อยใู่ นตำแหน่งต่ำสดุ ปดิ สวติ ซ์ไฟ ทำความสะอาดเลนส์ด้วยกระดาษเช็ดเลนส์ เก็บสายไฟและวางกล้อง
จุลทรรศนใ์ นชั้นวางใหเ้ รียบร้อย
…………..1.4 มองผา่ นเลนสใ์ กล้ตาพร้อมกับปุ่มปรับภาพหยาบช้า ๆ ใหเ้ ลนส์ใกลว้ ตั ถขุ ยับหา่ งออกจากวัตถุทลี ะน้อยจน
มองเห็นวตั ถุ แล้วปรบั ภาพให้ชัดเจนข้นึ โดยการหมุนปมุ่ ภาพละเอียด ปรบั ไดอะแฟรมเมื่อตอ้ งการปรับความเข้มของ
แสงท่ีเข้าสูล่ ำกล้อง
…………..1.5 ตรวจสอบใหเ้ ลนส์ใกล้วัตถุกำลงั ขยายต่ำสุด (4X) อยตู่ รงกลางลำกลอ้ ง และแทนวางวัตถอุ ยู่ตำแหนง่ ตำ่ สุด
เปิดสวิตซไ์ ฟ ปรบั ความเขม้ แสง ปรบั ระยะหา่ งของเลนสใ์ กล้ตา
3. ถ้านักเรยี นใชก้ ล้องจุลทรรศน์ในการศึกษาเมด็ เลือดแดง โดยใช้เลนส์ใกลว้ ตั ถุ 4X เลนส์ใกลต้ า 10X พบว่าภาพเซลล์
เม็ดเลือดแดงเห็นชดั แล้ว แต่ตอ้ งการขยายขนาดของเซลลเ์ ม็ดเลือดแดงใหใ้ หญ่ข้ึน นักเรียนจงึ ปรับเลนสใ์ กล้วตั ถไุ ปท่ี
10X พบวา่ ภาพเซลลเ์ มด็ เลือดแดงทง่ั เกตเหน็ ในกลอ้ งนัน้ ขยายใหญ่ข้นึ แต่ภาพไม่ชดั จน นักเรยี นมีวธิ ีการปรบั ภาพ
อยา่ งไร เพือ่ แกป้ ัญหาดงั กลา่ ว
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบงาน (เฉลย)
เรอ่ื ง กล้องจุลทรรศน์แบบใชแ้ สง (Light microscope)
ชื่อ-นามสกุล………………………………………………………………………………………..ชัน้ ม.1/……….เลขท…่ี ……………………
คำชแ้ี จง : จงตอบคำถามต่อไปนใี้ หถ้ กู ต้อง
1. จงระบสุ ่วนประกอบของกลอ้ งจลุ ทรรศน์แบบใช้แสงใหถ้ ูกตอ้ ง
เลนส์ใกลว้ ัตถุ
กล้องจลุ ทรรศนแ์ บบใชแ้ สง (light microscope)
2. จงเรยี งลำดับขน้ั ตอนกาใช้กล้องจลุ ทรรศน์ใชแ้ สงอย่างถูกวิธี
…..5…....1.1 นำสไลด์ทีจ่ ะศึกษาวางบนแทน่ วางวตั ถุ เล่ือนใหว้ ตั ถุอยู่กง่ึ กลางบริเวณท่ีแสงผ่าน มองดา้ นข้างตามแนว
ระดบั แทน่ วางวัตถุ ค่อย ๆ หมนุ ป่มุ ปรบั ภาพหยาบ เลื่อนให้แทน่ วางวัตถุอยู่ในระดับสงู สดุ
……1…..1.2 หากต้องการศึกษาภาพโดยใชก้ ำลงั ขยายสงู ขึน้ ให้หมุนจานหมุนเพื่อเล่ือนเลนส์ใกลว้ ัตถทุ ม่ี ีกำลังขยาย
สูงขน้ึ (10X มาแทนกำลังขยาย 4X) จากน้ันปรบั ภาพให้ชัดเจนข้ึนโดยหมนุ ภาพละเอยี ด
……4…..1.3 เม่อื ตอ้ งการเก็บกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง หมุนจานเลนส์ใกลว้ ัตถุทมี่ ีกำลังขยายตำ่ สดุ ตรงกับลำกล้องเล่ือน
แทน่ วางวตั ถุให้อยู่ในตำแหน่งตำ่ สดุ ปิดสวิตซไ์ ฟ ทำความสะอาดเลนสด์ ว้ ยกระดาษเช็ดเลนส์ เกบ็ สายไฟและวางกล้อง
จุลทรรศน์ในชัน้ วางใหเ้ รยี บร้อย
……2…..1.4 มองผา่ นเลนสใ์ กล้ตาพรอ้ มกับปุ่มปรบั ภาพหยาบช้า ๆ ให้เลนสใ์ กลว้ ตั ถุขยับหา่ งออกจากวตั ถทุ ลี ะน้อยจน
มองเห็นวัตถุ แล้วปรับภาพให้ชัดเจนข้นึ โดยการหมุนปมุ่ ภาพละเอียด ปรบั ไดอะแฟรมเมื่อตอ้ งการปรับความเข้มของ
แสงท่เี ข้าสลู่ ำกล้อง
……3…..1.5 ตรวจสอบให้เลนสใ์ กล้วัตถุกำลงั ขยายต่ำสดุ (4X) อยู่ตรงกลางลำกล้อง และแทนวางวตั ถอุ ยู่ตำแหน่งต่ำสุด
เปิดสวิตซไ์ ฟ ปรับความเขม้ แสง ปรบั ระยะหา่ งของเลนสใ์ กลต้ า
3. ถ้านกั เรียนใชก้ ล้องจลุ ทรรศนใ์ นการศึกษาเม็ดเลือดแดง โดยใช้เลนส์ใกลว้ ตั ถุ 4X เลนส์ใกลต้ า 10X พบว่าภาพเซลล์
เม็ดเลือดแดงเห็นชัดแล้ว แต่ต้องการขยายขนาดของเซลล์เม็ดเลือดแดงให้ใหญ่ขึ้น นักเรียนจึงปรับเลนส์ใกล้วัตถุไปที่
10X พบว่าภาพเซลล์เม็ดเลือดแดงทั่งเกตเห็นในกล้องนั้นขยายใหญ่ขึ้น แต่ภาพไม่ชัดจน นักเรียนมีวิธีการปรับภาพ
อยา่ งไร เพอ่ื แกป้ ญั หาดังกลา่ ว
แนวคำตอบ ปรบั ปุ่มภาพละเอยี ด.
เฉลย กจิ กรรม ฉันคืออะไรและวิธใี ชง้ านฉันเปน็ อย่างไร
ฉันคอื อะไร
ฉันคือ กล้องจลุ ทรรศนแ์ บบใช้แสง (light microscope)
วิธใี ชง้ านฉนั เปน็ อยา่ งไร
การใชก้ ล้องจลุ ทรรศน์แบบใช้แสง มวี ิธใี ชด้ งั น้ี
1. การจับกล้องและเคล่ือนย้ายกล้อง ต้องใช้มือหนึง่ จับทีแ่ ขนและอีกมือหนึง่ รองทีฐ่ านของกลอ้ ง
2. ต้งั ลำกลอ้ งใหต้ รง
3. เปิดไฟเพอ่ื ใหแ้ สงเข้าลำกล้องได้เตม็ ท่ี
4. หมนุ เลนสใ์ กลว้ ตั ถุ ใหเ้ ลนส์ท่มี ีกำลงั ขยายตำ่ สุดอยู่ในตำแหน่งแนวของลำกล้อง
5. นำสไลดท์ จี่ ะศึกษามาวางบนแท่นวางวัตถุ โดยปรบั ใหอ้ ยู่กลางบริเวณทีแ่ สงผา่ น
6. ค่อยๆหมุนปุ่มปรับภาพหยาบให้กล้องเล่ือนข้นึ ช้าๆเพื่อหาระยะภาพ แต่ต้องระวังไม่ให้เลนสใ์ กลว้ ัตถุกระทบกบั สไลด์
ตวั อย่าง เพราะจะทำใหเ้ ลนส์แตกได้
7. ปรบั ภาพให้ชดั เจนขน้ึ ดว้ ยปุม่ ปรับภาพละเอียด ถ้าวัตถุท่ศี ึกษาไมอ่ ยู่ตรงกลางใหเ้ ล่ือนสไลด์ให้มาอยู่ตรงกลาง
8. ถ้าต้องการให้ภาพขยายใหญข่ ึ้นใหห้ มุนเลนสใ์ กล้วัตถุทม่ี ีกำลังขยายสงู กว่าเดมิ มาอยใู่ นตำแหน่งแนวของลำกล้อง
จากนัน้ ปรบั ภาพให้ชดั เจนดว้ ยปมุ่ ปรับภาพละเอยี ดเทา่ นนั้ ห้ามปรับภาพด้วยปุม่ ปรบั ภาพหยาบเพราะจะทำใหร้ ะยะ
ของภาพ หรือจดุ โฟกัสของภาพเปล่ยี นไป
9. บันทกึ กำลงั ขยายโดยหาได้จากผลคูณของกำลงั ขยายของเลนส์ใกล้วัตถกุ บั กำลงั ขยายของเลนสใ์ กล้ตา
แผนการจดั การเรียนรทู้ ่ี 10
หนว่ ยการเรียนร้ทู ่ี 3 หน่วยพ้ืนฐานของส่ิงมีชีวติ
รหสั วิชา ว 21101 วิทยาศาสตร์ กลุม่ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ช้ัน
บทท่ี 1 มธั ยมศึกษาปีที่ 1 ภาคเรยี นท่ี 1 ปีการศึกษา 2565
เร่อื ง
ผู้สอน เซลล์
โครงสรา้ งและหน้าท่ีของเซลล์ จำนวน 3 คาบ
ปส. อาซอื มัน รเู ดง็ อาจารย์พ่ีเล้ียง อาจารยน์ วนิ ดา คงภักดี
1. มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 1.2 เขา้ ใจสมบัติของส่ิงมชี วี ิต หนว่ ยพ้นื ฐานของส่ิงมชี ีวติ การลำเลยี งสารผา่ นเซลล์ ความสัมพันธ์
ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กัน ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและ
หนา้ ทขี่ องอวยั วะตา่ ง ๆ ของพืชทท่ี ำงานสัมพนั ธก์ นั รวมทั้งนำความรู้ไปใชป้ ระโยชน์
ตวั ชี้วดั
ว 1.2 ม.1/1 เปรียบเทียบรูปร่างลักษณะและโครงสร้างของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ รวมทั้งบรรยายหน้าที่ของ
ผนังเซลล์ เยือ่ หุ้มเซลล์ ไซโตพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรยี และคลอโรพลาสต์
ว 1.2 ม.1/3 อธิบายความสัมพันธร์ ะหวา่ งรปู รา่ งกบั การทำหน้าที่ของเซลล์
ว 1.2 ม.1/4 อธิบายการจัดระบบของสิ่งมีชีวิต โดยเริ่มต้นจากเซลล์ เนื้อเยื่อ อวัยวะ ระบบอวัยวะจนเป็น
ส่งิ มชี วี ติ
2. สาระสำคญั /ความคิดรวบยอด
เซลล์ของสิ่งมีชีวิตมีส่วนประกอบพื้นฐานสำคัญ 3 ส่วน ได้แก่ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส แต่
เซลล์พืชและเซลล์สัตว์จะมีบางส่วนที่แตกต่างกัน เช่น เซลล์พืชจะมีผนังเซลล์ห่อหุ้มเยื่อหุ้มเซลล์อีกชั้นหนึ่ง และมี
คลอโรพลาสต์ ทำหน้าที่สร้างอาหารให้กับเซลล์ ซึ่งทั้งผนังเซลล์และคลอโรพลาสต์จะไม่พบในเซลล์สัตว์ เซลล์ของ
สิ่งมีชีวิตมีขนาดเลก็ เล็กมากจนไม่สามารถมองเห็นไดด้ ้วยตาเปล่า เซลล์มีรูปร่างลกั ษณะที่หลากหลายเพือ่ ให้เหมาะสม
กับหน้าที่ของเซลล์นั้น ๆ โดยเซลล์ชนิดเดียวกันหรือหลายชนิดจะทำหน้าที่ร่วมกันจัดเป็นระบบอวัยวะ และระบบ
อวัยวะทุกระบบทำงานรว่ มกันจนเป็นส่งิ มีชีวติ
3. สาระการเรียนรู้
เซลล์ คอื หน่วยพน้ื ฐานที่เล็กทสี่ ุดของส่ิงมีชีวติ ซึ่งไมส่ ามารถมองเห็นได้ดว้ ยตาเปล่า จงึ ต้องใชก้ ลอ้ งจุลทรรศน์
ช่วยขยายภาพเซลล์ให้เรามองเห็นได้ โดยโครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์แต่ละชนิด จะแตกต่างกันออกไป อย่างเซลล์
เม็ดเลือดแดงมลี กั ษณะกลมแบน ทำหนา้ ที่ลำเลยี งออกซิเจน แต่เซลลเ์ ม็ดเลอื ดขาว จะมลี กั ษณะค่อนข้างกลม ทำหนา้ ท่ี
กำจัดเชื้อโรคและสร้างภูมิคุ้มกัน สิ่งมีชีวิตบางชนิดสามารถดำรงชีวิตอยู่ได้โดยมีเซลล์เพียงเซลล์เดียว เช่น อะมีบา
ยูกลีนา พารามเี ซยี มแต่ส่งิ มีชวี ิตบางชนิดจำเปน็ ต้องมีหลายเซลล์ เช่น เหด็ รา พชื สัตว์ เปน็ ต้น รวมทั้งมนุษย์เราก็เป็น
สิ่งมีชวี ติ หลายเซลลเ์ ชน่ เดียวกนั
องค์ประกอบของเซลลม์ ดี ังน้ี
โครงสรา้ งเซลล์พืชและเซลลส์ ัตว์
ท่ีมา : https://blog.startdee.com
โครงสร้างพื้นฐานที่พบทั้งในเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ และสามารถสังเกตได้ด้วยกล้องจุลทรรศน์ใช้แสง ได้แก่
เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลียส โครงสร้างที่พบในเซลล์พืชแต่ไม่พบในเซลล์สัตว์ ได้แก่ ผนังเซลล์ และคลอ
โรพลาสต์ โครงสร้างต่าง ๆ ของเซลล์มีหนา้ ท่ีแตกต่างกัน ดังนี้
- ผนังเซลล์ : ทำหนา้ ท่ใี หค้ วามแขง็ แรงแกเ่ ซลล์
- เยอื่ หุม้ เซลล์ : ทำหนา้ ทหี่ อ่ หุม้ เซลล์ และควบคุมการลำเลียงสารเขา้ ออกจากเซลล์
- นวิ เคลียส : ทำหนา้ ทีค่ วบคุมการทำงานของเซลล์
- ไซโทพลาซมึ : ประกอบด้วยออรแ์ กเนลทีท่ ำหน้าที่แตกตา่ งกนั
- แวคิวโอล : ทำหน้าทเ่ี กบ็ นำ้ และสารตา่ ง ๆ
- ไมโทคอนเดรีย : ทำหน้าทเ่ี ก่ียวกับการสลายสารอาหารเพือ่ ให้ไดพ้ ลังงานแก่เซลล์
- คลอโรพลาสต์ : เปน็ แหล่งท่ีเกิดการสงั เคราะหด์ ้วยแสง
พืชและสตั ว์มกี ารจดั ระบบจากหน่วยทเ่ี ล็กท่สี ุด ไปส่หู นว่ ยทใี่ หญ่ทสี่ ุด โดยเร่มิ จาก "เซลล์ (cell)" ที่มีโครงสร้าง
และหน้าทคี่ ลา้ ย ๆ กันมารวมกลมุ่ กนั เรยี กวา่ เน้ือเยื่อ (tissue) เช่น เนอ้ื เยือ่ บผุ วิ เนอ้ื เยื่อประสาท โดยการรวมกลุ่มกนั
ของเนื้อเยื่อเหล่าน้ี ก็จะทำให้เกิดเป็น อวัยวะ (organ) ซึ่งมีรูปร่างและหน้าที่แตกต่างกัน เมื่ออวัยวะต่าง ๆ มาทำงาน
ร่วมกัน ก็จะเรียกว่า ระบบอวัยวะ (organ system) เช่น ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย เมื่อแต่ละระบบทำหน้าที่
สมั พันธก์ นั กจ็ ะกลายเปน็ ส่งิ มชี วี ติ (Organism) อย่างร่างกายของเรา ตน้ ไม้ หรือสตั ว์ชนิดต่าง ๆ
การจดั ระบบของเซลลไ์ ปเป็นรา่ งกายของสิ่งมีชีวิต
ทีม่ า : https://blog.startdee.com
4. สมรรถนะของผู้เรยี น
4.1 ความสามารถในการสอื่ สาร
4.2 ความสามารถในการคดิ
4.3 ความสามารถในการแก้ปญั หา
4.4 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5. คณุ ลักษณะอันพงึ ประสงค์
5.1 มีวนิ ยั
5.2 ใฝเ่ รยี นรู้
5.3 ม่งุ มน่ั ในการทำงาน
6. ชิ้นงาน/ภาระงาน
6.1 ใบกิจกรรม เพราะเราคูเ่ ซลล์
6.2 ใบกจิ กรรมท่ี 3.2 เรือ่ ง เซลล์พชื และเซลลส์ ัตวแ์ ตกตา่ งกันอย่างไร
7. จดุ ประสงค์การเรยี นรู้
7.1 ด้านความรู้ (K)
7.1.1 อธบิ ายความสมั พนั ธ์ระหวา่ งโครงสรา้ งและหนา้ ท่ขี องเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์ได้
7.1.2 เปรียบเทียบลกั ษณะและโครงสร้างของเซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์ได้
7.1.3 บรรยายหน้าที่ของผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย
และคลอโรพลาสต์ได้
7.1.4 อธิบายการจดั ระบบของสิ่งมีชวี ติ ได้
7.2 ด้านทกั ษะกระบวนการ (P)
7.2.1 สรา้ งแบบจำลองเซลล์พืชเซลลส์ ตั วไ์ ด้
7.3 ดา้ นเจตคต/ิ คณุ ลกั ษณะ (A)
7.3.1 มคี วามซ่ือสตั ย์ ใฝเ่ รียนรู้ ม่งุ ม่ันและมรี ะเบยี บวนิ ัยในการทำงาน
8. กิจกรรมการเรียนรู้
8.1 ข้นั สร้างความสนใจ (Engagement)(10 นาท)ี
8.1.1 นักเรียนทำแบบทดสอบก่อนเรียน เรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ โดยใช้ Kahoot และมี
คำถาดงั น้ี
1. สว่ นประกอบของเซลลพ์ ืชในข้อใดอาจไม่พบในเซลลส์ ัตว์
ก. ไมโทคอนเดรยี ข. ไซโทพลาซมึ
ค. ผนังเซลล์ ง. นวิ เคลียส
2. หน่วยทเี่ ลก็ ทีส่ ดุ ทำหน้าที่ในการดำรงชีวติ ได้อยา่ งสมบูรณ์ ไดแ้ ก่
ก. โมเลกลุ โปรตนี ข. คลอโรพลาสต์
ค. นวิ เคลียส ง. เซลล์
3. ตำแหนง่ ใดของเซลล์ทจ่ี ะพบสารพนั ธกุ รรม
ก. ไซโทพลาซึม ข. เยือ่ หมุ้ นวิ เคลียส
ค. นวิ เคลยี ส ง. คลอโรพลาสต์
4. เซลล์จากโครงสรา้ งของพชื ทีม่ ีควรคลอโรพลาสตอ์ ยู่มาก
ก. ใบ ข. ลำตน้
ค. ราก ง. ผล
5. ออรแ์ กเนลลใ์ ดในต่อไปน้ี ทำหนา้ ทส่ี ร้างพลงั งาน
ก. ไมโทคอนเดรยี ข. คลอโรพลาสต์
ค. แวควิ โอล ง. ผนงั เซลล์
8.1.2 นกั เรยี นตอบคำถามเพ่ือทบทวนความรู้ ดังนี้
- สิ่งมีชีวิตแตกต่างจากสิ่งไม่มีชีวิตอย่างไร เพราะอะไรถึงเป็นเช่นนั้น (แนวคำตอบ สิ่งมีชีวิต
สามารถเจริญเติบโต เคลื่อนไว้ หายใจ ขับถ่าย สืบพันธุ์ และตอบสนองต่อสิ่งเร้าได้ ส่วนสิ่งมีชีวิตไม่มีคุณสมบัติของ
ลกั ษณะดงั กลา่ ว เพราะสิง่ มชี วี ิตทุกชนดิ ล้วนประกอบไปดว้ ยเซลล์ท่ีเปน็ หน่วยพน้ื ฐานให้ส่งิ มีชวี ติ ดำเนนิ กิจกรรมต่าง ๆ
เพอื่ ใชใ้ นการดำรงชวี ติ )
- นักเรียนคิดว่าร่างกายของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีโครงสร้าง และจำนวนเซลล์ในการดำรงชีวิต
เหมือนกันหรือไม่ (แนวคำตอบ ร่างกายของสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดจะมีโครงสร้าง และจำนวนเซลล์ในการดำรงชีวิต
แตกต่างกัน)
8.2 ขน้ั สำรวจและค้นหา (Exploration) (10 นาที)
8.2.1 นักเรียนสืบค้นและศึกษา เรื่อง โครงสร้างของเซลล์และหนา้ ท่ีของออร์เเกเนลล์ภายในเซลล์พืช
และสตั ว์ โดยใช้หนังสอื เรียนรายวชิ าพน้ื ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้นั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 เลม่ ท่ี 1 หน้าที่ 93–96
8.2.2 นักเรียนฟังครูอธิบายกิจกรรม เพราะเราคู่เซลล์ โดยใช้ใบกิจกรรม เพราะเราคู่เซลล์ โดยมี
รายละเอียดกจิ กรรม ดงั น้ี
- ครูจะสุ่มนักเรียนตวั แทนนกั เรียน 6 คน โดยที่ 6 คนนี้จะมีหน้าท่ีเซลล์หอ้ งวา่ ง สามารถแบ่งเป็น
เซลลพ์ ืช 3 คนและเซลลส์ ัตว์ 3 คน
- ส่วนคนท่ีเหลอื จะมีหน้าทเ่ี ป็นส่วนประกอบภายในเซลล์ โดยมอี งค์ประกอบของเซลล์ ได้แก่ ผนัง
เซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพลาสต์ ซึ่งคนที่มีหน้าที่เป็น
ส่วนประกอบของเซลลจ์ ะตอ้ งมาหยบิ สมุ่ ส่วนประกอบและตามหาเซลลใ์ ห้ตรงกบั สว่ นประกอบภายในเซลลพ์ ืช และสตั ว์
ให้ถูกต้อง
- กลุ่มไหนที่ตามหาส่วนประกอบของเซลล์ครบแล้วให้นักเรียนติดส่วนประกอบของเซลล์ให้
เรียบรอ้ ย ส่วนส่วนประกอบใดท่ียงั ตามหาเซลล์ไมไ่ ด้กห็ าตอ่ ไปให้เจอ
8.2.3 นักเรยี นทำกจิ กรรม เพราะเราคู่เซลล์ โดยใช้ใบกจิ กรรม เพราะเราคเู่ ซลล์
8.3 การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation) (20 นาท)ี
8.3.1 นกั เรยี นแตล่ ะกลุ่มถา่ ยรูปใบกจิ กรรม เพราะเราคู่เซลล์ ลงใน google slide
8.3.2 นักเรียนแต่ละกลุ่มส่งตัวแทน 2 กลุ่ม ออกมานำเสนอหน้าชั้นเรียน โดยที่กลุ่มต้องออกมา
นำเสนอคือ กล่มุ ที่ทำใบกิจกรรม เพราะเราคู่เซลล์ เสร็จเรียบรอ้ ยเป็นกล่มุ แรก และกลุ่มทีเ่ สรจ็ เปน็ กลุ่มสดุ ท้าย
8.3.3 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและลงข้อสรุปเกี่ยวกับกิจกรรม เพราะเราคู่เซลล์ โดยให้ได้
ขอ้ สรปุ ดงั น้ี
- เซลล์พืชกับเซลล์สัตว์แตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ เซลล์พืชมีลักษณะรูปร่างเหลี่ยม ส่วน
เซลลส์ ตั วม์ ีลักษณะรปู ร่างคอ่ นขา้ งกลม)
- ออร์แกเนลลใ์ ดบา้ งท่ีไมพ่ บในเซลล์สัตว์ แตพ่ บในเซลล์พืช (แนวคำตอบ ออรแ์ กลเนลล์ที่ไม่พบใน
เซลล์สตั วแ์ ตพ่ บในเซลลพ์ ชื ไดแ้ ก่ ผนงั เซลล์และคลอโรพลาสต์)
- เซลล์ตับเป็นเซลล์ที่มีการใช้งานในกิจกรรมต่าง ๆ ดังนั้นภายในเซลล์ตับควรพบออร์แกเนลล์ใด
มาก (แนวคำตอบ ไมโทคอนเดรยี mitochondria)
8.3.4 นักเรียนอ่านเนื้อหาในหนังสือเพิ่มเดิม โดยใช้หนังสือเรียนรายวิชาพื้นฐานวิทยาศาสตร์และ
เทคโนโลยี ชั้นมัธยมศึกษาปที ่ี 1 เล่มท่ี 1 หน้าที่ 96 และตอบคำถาม ดังนี้
- ตัวอย่างเซลลส์ ตั ว์มีอะไรบา้ ง (แนวคำตอบ เซลล์ประสาท เซลลเ์ มด็ เลอื ดแดง และเซลลส์ เปริ ์ม)
- เซลล์สัตว์แต่ละชนิดมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร (แนวคำตอบ เซลล์ประสาทมีรูปร่างลักษณะ
เปน็ เสน้ ยาว มีก้อนกลมอยู่บริเวณค่อนขา้ งไปทางสว่ นปลายท มีแขนงเป็นเส้นยาว เซลลเ์ ม็ดเลือดแดงมีรูปร่างกลมแบน
เพื่อให้เคลื่อนที่ไปในหลอดเลือดได้ง่ายมีลักษณะเว้ากลางเซลล์ทั้งสองด้านเพื่อเพิ่มพื้นที่ในการลำเลียงออกซิเจน ส่วน
เซลล์สเปิร์มมีหางเพ่ือชว่ ยในการเคล่ือนทไ่ี ปหาเซลล์ไข)่
- ตัวอยา่ งเซลล์พืชมีอะไรบ้าง (แนวคำตอบเซลล์ขนราก เซลลใ์ นเนอ้ื เย่ือลำเลยี งน้ำ เซลลค์ มุ )
- รูปร่างลักษณะของเซลล์พืชแต่ละชนิดสัมพันธ์กับหน้าที่อย่างไร (แนวคำตอบ เซลล์ขนรากมี
ลักษณะคล้ายเส้นขนเล็ก ๆ ยื่นยาวออกมาเพื่อเพิ่มพื้นที่ผิวในการดูดน้ำและธาตุอาหาร เซลล์ในเนื้อเยื่อลำเลียงน้ำ มี
ลักษณะเป็นท่อยาวกลวงยาวเพื่อใช้ในการลำเลียงน้ำจากรากไปยังส่วนต่าง ๆ ของพืช และเซลล์คุมมีรูปร่างเมล็ดถ่ัว
หรอื รปู ไต มผี นงั เซลล์หนาบางไม่เท่ากนั ทำหนา้ ที่ควบคมุ การเปดิ ปิดปากใบ)
8.4 การขยายความรู้ (Elaboration)(40 นาท)ี
8.4.1 นักเรียนแบง่ กลมุ่ 6 กลุ่ม ๆ ละ 6-7 คน โดยใชการสุ่มเลขท่ี
8.4.2 นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มฟังครูอธิบายกิจกรรมที่ 3.2 เร่อื ง เซลลพ์ ืชและเซลล์สัตว์แตกต่างกันอย่างไร
โดยใช้ใบกจิ กรรมท่ี 3.2 เรื่อง เซลล์พชื และเซลล์สตั วแ์ ตกต่างกันอยา่ งไร
8.4.3 นกั เรยี นแตก่ ลมุ่ รับใบกจิ กรรมที่ 3.2 เร่ือง เซลล์พืชและเซลล์สัตว์แตกตา่ งกนั อย่างไร
8.4.4 นกั เรยี นแตล่ ะกลมุ่ ทำกิจกรรมที่ 3.2 เรอื่ ง เซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์แตกตา่ งกนั อย่างไร
8.4.5 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายสรุปผลการทำกิจกรรมที่ 3.2 เรื่อง เซลล์พืชและเซลล์สัตว์
แตกตา่ งกนั อย่างไร
8.5 การประเมนิ ผล/สรุป (Evaluation)(10 นาที)
8.5.1 นักเรียนและครูร่วมกันสรุปบทเรียนเรื่อง โครงสร้างและหน้าที่ของเซลล์ โดยใช้แผนภาพ
เปรยี บเทียบเซลล์พืชและสตั ว์ ดังนี้
8.5.2 นักเรียนตอบคำถาม ดังนี้
- เซลลพ์ ชื และเซลล์สัตว์ มีอะไรที่เหมือนกนั บา้ ง (แนวคำตอบ สง่ิ ทีเ่ หมือนกัน ได้แก่ เย่ือห้มุ เซลล์
นวิ เคลียส ไซโทพลาซมึ ไมโทคอนเดรีย และแวคิวโอล)
- เซลลพ์ ืชและเซลลส์ ัตวม์ คี วามแตกต่างกนั อยา่ งไร (แนวคำตอบ เซลลพ์ ชื จะมีผนังเซลล์ คลอโรพ
ลาสต์ และมีรูปร่างเหล่ยี ม สว่ นเซลลส์ ตั วม์ รี ูปรา่ งค่อนข้างกลม)
8.5.3 นักเรียนสรุปขอ้ มลู เพ่ือเชอื่ มโยงความรู้เกีย่ วกับการจัดระบบภายในของสงิ่ มีชีวติ ให้ได้ข้อสรุป
ว่าสง่ิ มีชีวิตหลายเซลล์ ท้งั พชื และสัตว์ ประกอบด้วยเซลล์ที่มีการจัดระบบเปน็ เน้อื เย่อื อวยั วะ ทำงานรว่ มกันเป็นระบบ
อวัยวะต่าง ๆ จนเปน็ สงิ่ มีชวี ิต และนักเรยี นตอบคำถาม ดังนี้
- การจดั ระบบของเซลล์ไปเป็นร่างกายของส่ิงมชี ีวิตลำดับจากหน่วยท่เี ล็กท่ีสุดไปเป็นหน่วยท่ีใหญ่
ทสี่ ดุ อยา่ งไร (แนวคำตอบ เซลล์ เนือ้ เยื่อ อวยั วะ ระบบบอวยั วะ ส่งิ มชี วี ติ )
9. สือ่ และแหล่งเรยี นรู้
9.1 หนังสือเรียนรายวิชาพนื้ ฐานวทิ ยาศาสตร์และเทคโนโลยี ช้ันมธั ยมศึกษาปีที่ 1 เล่มที่ 1
9.2 แอปพลิเคชนั Kahoot
9.3 google slide
9.4 แผนภาพการเปรยี บเทียบเซลล์พชื และสตั ว์
10. การวัดและการประเมนิ ผล
การวดั ผลประเมนิ ผล วธิ กี ารวดั เคร่อื งมือวัด เกณฑ์การผา่ น
1. ด้านความรู้
1.1 อธิบายความสัมพันธ์ - ตรวจใบกจิ กรรม เพราะ - เกณฑต์ รวจใบกจิ กรรม - นักเรยี นสามารถปฏิบัตใิ น
ระหว่างโครงสร้างและ เราค่เู ซลล์ เพราะเราคูเ่ ซลล์ ระดับดขี น้ึ ไป คะแนนอยใู่ น
หน้าที่ของเซลล์พืชและ - ตรวจใบกจิ กรรมที่ 3.2 - ตรวจใบกจิ กรรมที่ 3.2 ระหวา่ ง 9-12 คะแนน ถือว่า
เซลลส์ ตั วไ์ ด้ เร่ือง เซลล์พชื และเซลล์ เรอ่ื ง เซลล์พชื และเซลล์ ผ่านเกณฑ์
1.2 เปรียบเทียบลักษณะ สตั วแ์ ตกตา่ งกันอยา่ งไร สตั ว์แตกต่างกนั อยา่ งไร - นกั เรยี นสามารถปฏิบัตใิ น
และโครงสร้างของเซลล์ - สงั เกตการตอบคำถาม - ชดุ คำถาม ระดับดีขึน้ ไป คะแนนอยใู่ น
พชื และเซลล์สัตว์ได้ ในชัน้ เรยี น ระหว่าง 9-12 คะแนน ถือวา่
1.3 บรรยายหน้าที่ของ - เกณฑต์ รวจใบกิจกรรม ผ่านเกณฑ์
ผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซ - ตรวจใบกจิ กรรม เพราะ เพราะเราคเู่ ซลล์ - นกั เรยี นสามารถตอบ
โทพลาซึม นิวเคลียส แว เราคู่เซลล์ - ตรวจใบกจิ กรรมท่ี 3.2 คำถามไดถ้ ูกต้องรอ้ ยละ 50
ควิ โอล ไมโทคอนเดรีย - ตรวจใบกจิ กรรมที่ 3.2 เรือ่ ง เซลล์พืชและเซลล์ สรปุ ว่าผา่ นเกณฑ์
1.4 อธิบายการจัดระบบ เรื่อง เซลล์พชื และเซลล์ สัตว์แตกต่างกนั อย่างไร
ของสิง่ มีชวี ิตได้ สัตว์แตกตา่ งกนั อย่างไร - นกั เรยี นสามารถปฏบิ ตั ใิ น
2. ด้านทักษะกระบวนการ ระดับดีขึ้นไป คะแนนอยใู่ น
2.1 สรา้ งแบบจำลอง ระหว่าง 9-12 คะแนน ถือวา่
เซลล์พชื เซลลส์ ตั วไ์ ด้ ผา่ นเกณฑ์
- นกั เรียนสามารถปฏบิ ัตใิ น
ระดบั ดีขน้ึ ไป คะแนนอย่ใู น
ระหว่าง 9-12 คะแนน ถือว่า
ผ่านเกณฑ์
การวดั ผลประเมินผล วิธีการวดั เครื่องมอื วัด เกณฑ์การผา่ น
3. ด้านเจตคติ /คุณลักษณะ
3.1 มีความซ่ือสตั ย์ ใฝ่ - สังเกตพฤติกรรมการ - แบบสงั เกตพฤติกรรม - นกั เรียนสามารถเขา้ ร่วม
การทำงานกล่มุ กิจกรรมกลมุ่ และรบั ผดิ ชอบ
เรียนรู้ มงุ่ มั่นและมี ทำงานกลมุ่ งานไดใ้ นระดับดีข้ึนไป มี
คะแนนอยู่ระหวา่ ง 11-15
ระเบียบวนิ ยั ในการทำงาน สรุปว่าผ่านเกณฑ์
11. บนั ทกึ หลงั การสอน
ชั้น ม.1/1 ชน้ั ม.1/2 ชั้น ม.1/3
ผลการสอน - นักเรียนอธิบายและ - นักเรียนอธิบายและ - นักเรียนอธิบายและ
ปัญหา/ เปรียบเทียบความสัมพันธ์ เปรียบเทียบความสัมพันธ์ เปรียบเทียบความสัมพันธ์
อุปสรรค
ระหว่างโครงสร้างและหน้าที่ ระหว่างโครงสร้างและหน้าที่ ระหว่างโครงสร้างและหน้าที่
ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ได้ ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ได้ ของเซลล์พืชและเซลล์สัตว์ได้
ลักษณะและโครงสร้างของ ลักษณะและโครงสร้างของ ลักษณะและโครงสร้างของ
เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ได้ เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ได้ เซลล์พืชและเซลล์สัตว์ได้
ถูกตอ้ ง คิดเปน็ ร้อยละ 100 ถูกตอ้ ง คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 ถกู ต้อง คิดเปน็ ร้อยละ 100
- นักเรียนบรรยายหน้าที่ของ - นักเรียนบรรยายหน้าที่ของ - นักเรียนบรรยายหน้าที่ของ
ผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซ ผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซ ผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซ
โทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล โทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล โทพลาซึม นิวเคลียส แวคิวโอล
ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพ ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพ ไมโทคอนเดรีย และคลอโรพ
ลาสต์ได้พร้อมทั้งอธิบายการ ลาสต์ได้พร้อมทั้งอธิบายการ ลาสต์ได้พร้อมทั้งอธิบายการ
จัดระบบของสิ่งมีชีวิตโดยผ่าน จัดระบบของสิ่งมีชีวิตโดยผ่าน จัดระบบของสิ่งมีชีวิตโดยผ่าน
กิจกรรม เพราะเราคู่เซลล์ ได้ กิจกรรม เพราะเราคู่เซลล์ ได้ กิจกรรม เพราะเราคู่เซลล์ ได้
ถกู ต้อง คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 ถกู ตอ้ ง คดิ เป็นรอ้ ยละ 100 ถูกต้อง คิดเปน็ ร้อยละ 100
- นักเรียนสรา้ งแบบจำลองเซลล์ - นักเรียนสรา้ งแบบจำลองเซลล์ - นกั เรยี นสรา้ งแบบจำลองเซลล์
พืชเซลล์สัตว์และนำเสนอหน้า พืชเซลล์สัตว์และนำเสนอหน้า พืชเซลล์สัตว์และนำเสนอหน้า
ชั้นเรียนได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อย ชั้นเรียนได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อย ชั้นเรียนได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อย
ละ 100 ละ 100 ละ 100
- นักเรียนมีความกระตือรือร้น - นักเรียนมีความกระตือรือร้น - นักเรียนมีความกระตือรือร้น
ในการทำกิจกรรมกลุ่ม สามารถ ในการทำกจิ กรรมกลุ่ม สามารถ ในการทำกิจกรรมกลุ่ม สามารถ
ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมี ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมี ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมี
ความรับผิดชอบต่องานที่ได้ ความรับผิดชอบต่องานที่ได้ ความรับผิดชอบต่องานที่ได้
มอบหมายไว้ คิดเป็นร้อยละ มอบหมายไว้ คิดเป็นร้อยละ มอบหมายไว้ คิดเป็นร้อยละ
100 100 100
- ในขณะทำกิจกรรม เพราะเรา - - ในขณะทำกิจกรรม เพราะเรา
คู่เซลล์ห้องเรียนเกิดความ คู่เซลล์ห้องเรียนเกิดความ
โกลาหลเกิดขึ้น และนักเรียนไม่ โกลาหลเกิดขึ้น และนักเรียนไม่
สนใจคำอธบิ ายของครู สนใจคำอธิบายของครู
ช้ัน ม.1/1 ช้ัน ม.1/2 ชน้ั ม.1/3
ข้อเสนอแนะ - ครูควรที่จะอธิบายการดเนิน - - ครูควรที่จะอธิบายการดเนิน
/แนว กิจกรรมใหเ้ สรจ็ สน้ิ หลังจากน้ัน กิจกรรมให้เสรจ็ ส้ิน หลงั จากน้ัน
ทางแกไ้ ข ให้นักเรียนทำกิจกรรมตามแผน ให้นักเรียนทำกิจกรรมตามแผน
ทไ่ี ด้วางไว้ ท่ีได้วางไว้
บนั ทึกสำหรบั อาจารยพ์ เ่ี ลี้ยง
............................................................................................................................. ...............................................................
.................................................................... .......................................................................................................... ..............
............................................................................................................................. ...............................................................
............................................................................................................................. ...............................................................
ลงช่อื ...c.......f.....u........t....n.....................ผสู้ อน ลงช่อื ............................................................
(อาจารย์นวินดา คงภักด)ี
(นายอาซือมนั รูเด็ง) อาจารย์พเ่ี ล้ยี ง
นกั ศกึ ษาปฏิบตั ิการสอน
วันท่ี 29 เดอื นกรกฎาคม พ.ศ. 2565 วนั ที่ 29 เดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2565
แบบบันทึกการให้คะแนนใบกจิ กรรม เพราะเราคเู่ ซลล์
ชัน้ มธั ยมศึกษาปีที่ 1 หอ้ ง……..
คำช้ีแจง : ใหท้ ำเคร่ืองหมาย ลงในชอ่ งรายการประเมินใบกิจกรรม เพราะเราคเู่ ซลล์ ตรงกับระดับคะแนนที่
นกั เรยี นปฏิบตั ไิ ด้
พฤติกรรม
ความถูกตอ้ ง ความ ความตงั้ ใจใน การนำเสนอ รวม
ลำ ช่อื -สกุล ของเน้ือหา สร้างสรรค์ การทำงาน
ดับท่ี 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 16
1. 1
2. 2
3. 3
4. 4
5. 5
6.
7.
8.
9.
10.
11.
12.
13.
14.
15.
16.
17.
18.
19.
20.
21.
22.
23.
24.
พฤติกรรม
ความถูกตอ้ ง ความ ความตงั้ ใจใน การนำเสนอ รวม
ลำ ชอื่ -สกุล ของเนอ้ื หา สรา้ งสรรค์ การทำงาน
ดับที่ 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 16
25.
26.
27.
28.
29.
30.
31.
32.
33.
34.
35.
36.
37.
38.
39.
เกณฑ์การให้คะแนนระดบั คณุ ภาพ
13-16 อยู่ในระดบั ดมี าก
9-12 อยู่ในระดบั ดี
5-8 อย่ใู นระดบั พอใช้
1-4 อยู่ในระดบั ปรับปรุง
*หมายเหตุ : นักเรยี นสามารถปฏบิ ัติในระดบั ดีขนึ้ ไป คะแนนอยใู่ นระหว่าง 9-12 คะแนน ถอื ว่าผ่านเกณฑ์
ลงช่ือ...........................................ผสู้ ังเกต
(...............................................................)
........../.........../...........
รายละเอยี ดการใหค้ ะแนนใบกิจกรรม เพราะเราคู่เซลล์
ประเดน็ การประเมนิ 4 เกณฑ์การใหค้ ะแนน 1
ดีมาก 32 ปรบั ปรุง
1. ความถกู ต้องของ เนือ้ หาถูกต้องครบถว้ น ดี พอใช้ เน้อื หาผิดพลาด
เนอ้ื หา เน้อื หาครบถ้วนมี เนอ้ื หาไมค่ รบถว้ น ตอ้ งบอกให้แก้ไข
2. ความคิดสรา้ งสรรค์ รปู แบบแปลกใหม่ ผดิ พลาดเล็กน้อย ผดิ พลาดเล็กน้อย เลยี นแบบ
มีความแปลกใหม่ ไมค่ ่อยแปลกใหม่
3. ความตงั้ ใจในการ พฤติกรรมท่ีปฏบิ ตั ิ พฤติกรรมทีป่ ฏิบตั ิ พฤติกรรมท่ีปฏบิ ัติ พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ตั ิ
ทำงาน ชัดเจนทกุ คร้งั ชดั เจนและสม่ำเสมอ ชัดเจนและ บางคร้ัง
บ่อยครง้ั
4. การนำเสนอ เมอ่ื นำเสนอถูกต้อง เมื่อนำเสนอถูกต้อง เม่ือนำเสนอไม่ เมือ่ นำเสนอ
ครบถ้วน เน้นประเด็น ครบถ้วน ประเด็น ผดิ พลาดมาก
สำคญั ไมช่ ัดเจน ค่อยถูกต้อง ไม่มี
สำคัญ ประเดน็ ชดั เจน
แบบสังเกตพฤตกิ รรมการเข้าร่วมกจิ กรรมกลุ่ม
รายวชิ า ว 21101 วิทยาศาสตร์ ระดับชน้ั มธั ยมศึกษาปีท่ี 1 หอ้ ง………ภาคเรียน……………..ปกี ารศึกษา………
กลุ่มท…่ี …………ชอื่ กลุม่ ……………
คำช้แี จง : สังเกตพฤตกิ รรมของนักเรียนรายกลมุ่ ในระหว่างเรยี นแล้วทำเครื่องหมาย ✓ ลงช่องท่ตี รงกบั ระดับ
คะแนนที่นกั เรียนปฏิบัติได้
พฤติกรรม รวม
ความ การแสดง การรบั ฟงั ความตัง้ ใจ การมสี ่วน
ลำ ชื่อ-สกลุ รว่ มมอื ความ ความ ในการ ร่วมในการ
ดบั ท่ี สมาชิกกลุ่ม
คิดเห็น คิดเห็น ทำงาน อภปิ ราย
1. 1
2. 2 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 20
3. 3
4. 4
5. 5
6. 6
7. 7
8. 8
9. 9
10. 0
11.
12.
13.
14.
15.
16.
17.
18.
พฤตกิ รรม รวม
ความ การแสดง การรับฟงั ความตั้งใจ การมสี ่วน
ลำ ชอื่ -สกลุ ร่วมมือ ความ ความ ในการ รว่ มในการ
ดบั ที่ สมาชกิ กลุ่ม
คิดเหน็ คิดเห็น ทำงาน อภิปราย
19.
20. 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 20
21.
22.
23.
24.
25.
26.
27.
28.
29.
30.
31.
32.
33.
34.
35.
36.
37.
38.
39.
เกณฑ์การให้คะแนนระดับคุณภาพ
16-20 อยู่ในระดบั ดมี าก
11-15 อยู่ในระดบั ดี
6-10 อยู่ในระดบั พอใช้
1-5 อย่ใู นระดบั ปรบั ปรงุ
*หมายเหตุ : นกั เรียนสามารถปฏิบตั ใิ นระดับดีข้นึ ไป คะแนนอย่รู ะหวา่ ง 11-15 คะแนน ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์
ลงชอ่ื ........................................ ผู้ประเมนิ
(…………………………………….……)
รายละเอียดการใหค้ ะแนนการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
ประเดน็ การประเมนิ 4 เกณฑ์การใหค้ ะแนน 1
ดมี าก 32 ปรับปรุง
1. ความร่วมมือ พฤติกรรมที่ปฏบิ ัติ ดี พอใช้ พฤติกรรมที่ปฏิบัติ
ชดั เจนทุกคร้ัง พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ตั ิ พฤติกรรมทปี่ ฏบิ ตั ิ บางครง้ั
2. การแสดงความ ชัดเจนและสม่ำเสมอ ชัดเจนและ
คดิ เห็น พฤติกรรมที่ปฏิบัติ พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติ
ชดั เจนทุกครั้ง บอ่ ยครั้ง บางครง้ั
3. การรับฟงั ความ พฤติกรรมทปี่ ฏิบตั ิ พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติ
คิดเหน็ พฤติกรรมท่ีปฏบิ ัติ ชัดเจนและสม่ำเสมอ ชดั เจนและ พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ตั ิ
ชดั เจนทุกคร้งั บางคร้ัง
4. ความตงั้ ใจในการ บอ่ ยครง้ั
ทำงาน พฤติกรรมที่ปฏบิ ตั ิ พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ตั ิ พฤติกรรมทปี่ ฏิบัติ พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ตั ิ
ชัดเจนทุกครง้ั ชัดเจนและสม่ำเสมอ ชัดเจนและ บางครั้ง
5. การมีส่วนรว่ มใน
การอภิปราย พฤติกรรมท่ีปฏบิ ัติ บ่อยครัง้ พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติ
ชดั เจนทุกครัง้ พฤติกรรมทป่ี ฏิบตั ิ พฤติกรรมที่ปฏิบัติ บางครั้ง
ชดั เจนและสมำ่ เสมอ ชดั เจนและ
บอ่ ยครั้ง
พฤติกรรมทป่ี ฏิบตั ิ พฤติกรรมท่ีปฏิบตั ิ
ชัดเจนและสมำ่ เสมอ ชัดเจนและ
บ่อยครง้ั
แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 4 ด้าน
ชอ่ื ..............................................................นามสกลุ .................................................... .ชน้ั ......……..เลขที.่ ....
คำช้แี จง : ให้สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียน แล้วขดี ✓ ลงในชอ่ งท่ตี รงกับระดบั คะแนน
สมรรถนะสำคัญที่ประเมิน ระดบั คะแนน สรปุ
432 1 ผล
1. ความสามารถในการสื่อสาร
1.1 มีความสามารถในการถา่ ยทอดความรู้ ความคดิ
ความเขา้ ใจของตนเอง โดยใช้ภาษาอยา่ งเหมาะสม
1.2 ใช้วิธกี ารสอื่ สารที่เหมาะสม
1.3 วิเคราะห์แสดงความคิดเหน็ อยา่ งมเี หตุผล
สรุปผลการประเมิน
2. ความสามารถในการคิด
2.1 มีความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์
2.2 มที กั ษะในการคดิ นอกกรอบอย่างสรา้ งสรรค์
2.3 มีความสามารถในการคดิ อย่างมีระบบ
สรปุ ผลการประเมนิ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
3.1 สามารถแกป้ ญั หาและอุปสรรคต่าง ๆ ทเ่ี ผชญิ ได้
3.2 ใชเ้ หตผุ ลในการแกป้ ญั หา
3.3 สามารถตดั สนิ ใจได้เหมาะสมตามวัย
4 . ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
4.1 มที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี
4.2 สามารถนำเทคโนโลยีไปใชพ้ ฒั นาตนเอง
4.3 มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรมในการใชเท้ คโนโลยี
สรุปผลการประเมิน
สรปุ ผลการประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์รายบคุ คล
ดีมาก ดี ปานกลาง ตอ้ งปรับปรุง
ลงช่อื ........................................ ผู้ประเมนิ
(…………………………………….……)
แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์
ชอ่ื ................................................................ชั้น....................เลขที.่ ...................
คำชี้แจง : ให้สังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในช่องทตี่ รงกบั ระดบั
คะแนน
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ รายการท่ีประเมนิ ระดับคะแนน
ประสงค์ 321
1. มวี นิ ัย 1.1 ตรงตอ่ เวลา
1.2 ปฏิบัตงิ านเรยี บรอ้ ยเหมาะสม
1.3 ปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลง
2. ใฝเ่ รยี นรู้ 2.1 กระตือรือรน้ ในการแสวงหาขอ้ มลู
2.2 มกี ารจดบันทึกความรู้
2.3 สรปุ ความรไู้ ดอ้ ยา่ งมีเหตุผล
3. ม่งุ ม่นั ในการทำงาน 3.1 มคี วามต้งั ใจและพยายามในการทำงานทไี่ ด้รับมอบหมาย
3.2 มีความอดทนและไม่ย่อทอ้ ต่ออุปสรรคเพื่อให้งานสำเร็จ
เกณฑก์ ารให้คะแนน
- พฤติกรรมที่ปฏิบตั ิชดั เจนและสม่ำเสมอ
- พฤติกรรมทีป่ ฏบิ ัตชิ ดั เจนและบ่อยครงั้
- พฤติกรรมที่ปฏบิ ตั ิบางครง้ั
เกณฑ์การให้คะแนนระดบั คณุ ภาพ
18-24 อย่ใู นระดับ ดีมาก
13-18 อยู่ในระดบั ดี
7-12 อยใู่ นระดบั ปานกลาง
1-6 อย่ใู นระดับ ปรบั ปรุง
ลงช่ือ..........................................ผปู้ ระเมนิ
(..........................................)
กิจกรรมท่ี 3.2 เร่อื ง เซลล์พชื และเซลลส์ ตั ว์แตกตา่ งกนั อย่างไร
สมาชิกกลมุ่
1. ชื่อ- สกลุ ………………………………………..…เลขที่………..หนา้ ท่ี………………………………..
2. ชื่อ- สกุล…………………………………………..เลขที่………..หนา้ ท่ี…………………………………
3. ช่อื - สกลุ …………………………………………..เลขท่ี………..หน้าที่…………………………………
4. ชื่อ- สกลุ …………………………………………..เลขที่………..หนา้ ท่ี…………………………………
5. ชือ่ - สกุล…………………………………………..เลขที่………..หน้าที่…………………………………
6. ชอื่ - สกุล…………………………………………..เลขท่ี………..หนา้ ท่ี…………………………………
7. ชื่อ- สกุล…………………………………………..เลขที่………..หน้าท่ี…………………………………
8 . ชื่อ- สกุล…………………………………………..เลขท่ี………..หน้าที่…………………………………
ช้ันมัธยมศึกษาปีที่ 1 หอ้ ง……………..
หนว่ ยการเรียนรทู้ ่ี 3 วิทยาศาสตร์ (ว 21101) ชัน้ ม. 1
บทที่ 1 เซลล์ เรอื่ ง การศึกษาเซลลด์ ว้ ยกล้องจุลทรรศน์ ผสู้ อน ปส. อาซือมนั รเู ดง็
ใบกิจกรรม 3.2 เซลล์พืชและเซลลส์ ัตว์แตกต่างกันอยา่ งไร
จุดประสงค์ สงั เกตและรวบรวมหลักฐานเชิงประจกั ษเ์ พ่ือบรรยายและอธิบายรูปร่าง ลักษณะ
และโครงสรา้ งของเซลล์พชื และเซลลส์ ัตว์
ตอนท่ี 1 เซลล์พืช
1.1 จงวาดภาพหรอื ตดิ รูปเซลล์พืชที่นักเรียนสังเกตได้
เย่ือหอมแดง เซลล์สาหรา่ ยหางกระรอก
จากสไลดน์ ักเรยี นสงั เกตเหน็ เซลล์เป็นอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามท้ายกิจกรรม
1. เซลลพ์ ืชทง้ั 2 ชนดิ มรี ปู รา่ งลักษณะเปน็ อยา่ งไร และมโี ครงสรา้ งอะไรบา้ ง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. เซลล์พืชทั้ง 2 ชนิด เหมอื นหรือแตกต่างกันอยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ตอนท่ี 2 เซลลส์ ตั ว์
2.1 จงวาดภาพหรือตดิ รปู เซลลพ์ ชื ทีน่ กั เรยี นสังเกตได้
เย่ือบุขา้ งแก้ม
จากสไลด์นกั เรยี นสงั เกตเห็นเซลลเ์ ป็นอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
1. เซลล์สัตว์มรี ปู รา่ งลกั ษณะเปน็ อยา่ งไร และมโี ครงสรา้ งอะไรบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
กจิ กรรมทัง้ สองตอน สรปุ ได้วา่ อยา่ งไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ใบกิจกรรม 3.2 เซลล์พชื และเซลล์สัตว์แตกต่างกันอยา่ งไร (เฉลย)
คำถามทา้ ยกจิ กรรม
ตอนที่ 1
1. เซลลพ์ ืชทงั้ 2 ชนิด มีรปู ร่างลักษณะเปน็ อยา่ งไร และมโี ครงสร้างอะไรบ้าง
แนวคำตอบ เซลลเ์ ยือ่ หอมรปู รา่ งเป็นเหลย่ี ม โครงสร้างท่พี บ ได้แก่ ผนังเซลล์ เย่อื หุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึมและนวิ เคลยี ส
เซลล์สาหร่ายหางกระรอกมีรูปร่างเหลี่ยม โครงสร้างที่พบ ได้แก่ ผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ ไซโทพลาซึม คลอโรพลาสต์
และนิวเคลียส สำหรับเยื่อหุ้มนิเคลียสอาจจะมองไม่เห็นชัดเพราะเซลล์เต่งเยื่อหุ้มเซลล์จึงเบียดชิดกับผนังเซลล์ได้
ชัดเจนเมอื่ เซลล์เดีย่ ว
2. เซลล์พืชท้ัง 2 ชนิด เหมือนหรือแตกตา่ งกนั อยา่ งไร
แนวคำตอบ เซลล์เยื่อหอมและเซลล์สาหร่ายหางกระรอกมีรูปร่างเหลี่ยม มีผนังเซลล์ เยื่อหุ้มเซลล์ เซลล์สาหร่ายหาง
กระรอกพบคลอโรพลาสต์ แตจ่ ะเห็นเยอ่ื หมุ้ เซลล์ไดช้ ดั เจนเมือ่ เซลลเ์ หย่ี ว
ตอนท่ี 2
1. เซลล์สัตว์มรี ูปรา่ งลกั ษณะเป็นอยา่ งไร และมีโครงสรา้ งอะไรบา้ ง
แนวคำตอบ เซลล์เย่ือบุขา้ งแกม้ มรี ปู รา่ งกลม รี โครงสร้างที่พบ ได้แก่ เย่ือห้มุ เซลล์ ไซโทพลาซมึ และนิวเคลยี ส
กิจกรรมทัง้ สองตอน สรปุ ได้วา่ อย่างไร
แนวคำตอบ เซลล์พืชมรี ูปรา่ เหลย่ี ม เซลล์สัตวม์ ีรปู ร่างค่อข้างกลม โครงสร้างภายในท่ีพบในเซลลพ์ ชื และเซลลส์ ัตว์
ไดแ้ ก่ เย่ือหุม้ เซลล์ ไซโทพลาซึม และนิวเคลยี ส ส่วนโครงสรา้ งภายในทีพ่ บในเฉพาะเซลล์พืช ได้แก่ ผนงั เซลลแ์ ละคลอ
โรพลาสต์
แผนการจัดการเรียนรู้ที่ 11
หน่วยการเรยี นรู้ที่ 3 หนว่ ยพืน้ ฐานของส่งิ มีชีวติ
รหัสวิชา ว 21101 วทิ ยาศาสตร์ กลุ่มสาระการเรียนร้วู ทิ ยาศาสตรแ์ ละเทคโนโลยี
ชนั้
บทที่ 2 มัธยมศึกษาปที ี่ 1 ภาคเรยี นที่ 1 ปีการศึกษา 2565
เรือ่ ง
ผ้สู อน การลำเลียงสารเข้าออกเซลล์
การแพร่ และออสโมซิส จำนวน 3 คาบ
ปส. อาซือมัน รเู ด็ง อาจารย์พีเ่ ล้ียง อาจารยน์ วินดา คงภักดี
1. มาตรฐานการเรียนรู้
มาตรฐาน ว 1.2 เข้าใจสมบัติของสิ่งมีชีวิต หน่วยพื้นฐานของสิ่งมีชีวิต การลำเลียงเข้าและออกจากเซลล์
ความสัมพันธ์ของโครงสร้างและหน้าที่ของระบบต่าง ๆ ของสัตว์และมนุษย์ที่ทำงานสัมพันธ์กันความสัมพันธ์ของ
โครงสร้างและหนา้ ทขี่ องอวัยวะต่าง ๆ ของพืชท่ที ำงานสมั พันธ์กัน รวมทงั้ นำความร้ไู ปใชป้ ระโยชน์
ตัวชี้วดั
ว 1.2 ม.1/5 อธิบายกระบวนการแพร่และออสโมซิสจากหลักฐานเชิงประจักษ์ และยกตัวอย่างการแพร่และ
ออสโมซสิ ในชีวิตประจำวนั
2. สาระสำคัญ/ความคดิ รวบยอด
เซลล์มีการนำสารเข้าสู่เซลล์เพื่อใช้ในกระบวนการต่าง ๆ ของเซลล์และมีการขจัดสารบางอย่างที่เซลล์ไม่
ตอ้ งการออกนอกเซลล์ การนำสารเข้าและออกจากเซลล์มหี ลายวิธี เชน่ การแพรเ่ ปน็ การเคล่ือนท่ีของสารจากบริเวณที่
มคี วามเขม้ ขน้ ของสารสูงไปส่บู รเิ วณทมี่ ีความเขม้ ข้นของสารต่ำ สว่ นออสโมซิสเป็นการแพร่ของน้ำผ่านเย่ือห้มุ เซลล์จาก
ดา้ นทมี่ คี วามเข้มขน้ ของสารละลายต่ำไปยงั ดา้ นท่มี ีความเขม้ ขน้ ของสารละลายสูงกวา่
3. สาระการเรยี นรู้
1. การแพร่ (Diffusion) คือการเคลื่อนที่ของโมเลกุลหรอื การกระจายตัวของอนภุ าคภายในสสาร จากบริเวณ
ที่มีความเข้มข้นสูงไปยังบริเวณที่มีความเข้มข้นต่ำ โดยอาศัยพลังงานจลน์ (Kinetic Energy) ของโมเลกุลหรือไอออน
ของสาร ให้เกิดการกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างสมดุลให้ทั้งสองบริเวณมีความเข้มข้นของสารเท่ากันหรือที่
เรียกว่า “สมดุลของการแพร่” (Diffusion Equilibrium) โดยการแพร่นั้นเกิดขึ้นได้ในทุกสถานะของสสาร ทั้งของแข็ง
ของเหลว และกา๊ ซ
การแพร่
ทีม่ า : https://ngthai.com/science/27711/diffusion-science
ปจั จัยท่ีมผี ลตอ่ การแพร่
1. สถานะของสาร: สารที่มีสถานะเป็นก๊าซจะมีอนุภาคเป็นอิสระมากกว่า ส่งผลให้เกิดการแพร่ได้
รวดเร็วยงิ่ กวา่ สารในสถานะของเหลวและของแขง็
2. สถานะของตัวกลาง: ตัวกลางที่มีความหนืดสูงหรือมีอนุภาคอื่นเจือปน มักทำให้กระบวนการแพร่
เกิดข้ึนไดช้ ้า ดงั นนั้ ตัวกลางทม่ี ีสถานะเป็นกา๊ ซจึงมักมแี รงต้านทานตำ่ ทีส่ ุด ส่งผลใหม้ อี ัตราการแพรส่ งู สดุ
3. ขนาดอนุภาค: สารที่มีขนาดของอนุภาคเล็กมักเคลื่อนที่ได้ดี ส่งผลให้อัตราการแพร่เกิดขึ้นได้ง่าย
และรวดเรว็
4. อุณหภูมิ: ในบริเวณที่มีอุณหภูมิสูง อนุภาคของสารสามารถเคลื่อนที่ได้รวดเร็วขึ้น จากการได้รับ
พลงั งานจลน์ทสี่ งู ขนึ้
5. ความดนั : ความดันสูงสง่ ผลใหส้ ารมีอตั ราการแพรเ่ พมิ่ สูงขึน้
6. ความเข้มข้นของสาร: บริเวณทีม่ คี วามเข้มขน้ ของสารแตกต่างกันมาก การแพรม่ ักจะเกดิ ขึ้นได้ดี
7. ความสามารถในการละลายของสาร: สารทีส่ ามารถละลายได้ดจี ะสง่ ผลให้กระบวนการแพร่เกิดขึ้น
ไดร้ วดเร็วย่งิ ขน้ึ
ในชีวิตประจำวันของเรามีตัวอย่างของกระบวน การแพร่ของสาร เกิดขึ้นมากมาย เช่น การเติมน้ำตาลลงใน
กาแฟ การแพร่กระจายของกล่นิ นำ้ หอม การฉดี พ่นยากนั ยงุ การแชอ่ ่มิ ผลไม้ หรอื แมแ้ ตก่ ารจุดธปู บชู าพระ เป็นต้น
2. การออสโมซิส (osmosis) เป็นกระบวนการเคลื่อนทีข่ องน้ำจากบริเวณที่มคี วามเข้มขน้ ของสารละลายตำ่
ไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารละลาย หรือบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำมากไปสู่บริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำน้อยโดย
ผา่ นเย่อื เลอื กผา่ น (semipermeable membrane) ซึ่งมีลักษณะเปน็ เยอื่ บางๆ ท่ียอมให้ของเหลวหรอื น้ำผ่านแพร่ผ่าน
เขา้ ละออกได้ แตไ่ มย่ อมใหส้ ารอน่ื ๆ ผา่ นได้
การออสโมซิสเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างมากในการดำรงชีวิตของสิ่งมีชีวิต เนื่องจากเซลล์ของ
สิ่งมีชีวิตมีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก และเซลล์จะอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่สัมผัสกับน้ำอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับ
กระบวนการลำเลียงสารต่างๆ ในพืชอีกด้วย
ออสโมซสิ
ท่มี า : https://www.trueplookpanya.com/learning/detail
ปัจจัยการควบคุมการออสโมซิส การออสโมซิสของสารจะเกิดขึ้นได้ช้าหรือเร็ว ซึ่งมีหลายปัจจัยมาเกี่ยวข้อง
ดังนี้
1. ความเข้มข้นของสาร ถ้าความเข้มข้นของสารละลายระหว่างสองบริเวณแตกต่างกันมาก การ
ออสโมซิสจะเกดิ ไดอ้ ยา่ งรวดเรว็ แต่ถ้าความเขม้ ขน้ ของสารละลายสองบริเวรใกล้เคยี งกนั การออสโมซสิ จะเกิดช้า
2. อุณหภูมิ การเพิ่มอุณหภูมิเสมือนเปน็ การเพิ่มพลังงานจลน์ให้แก่สาร ทำให้อนุภาคสารเคลื่อนท่ไี ด้
เรว็ กระบวนการออสโมซิสจึงเกิดขน้ึ ไดเ้ ร็ว
3. ขนาดของอนภุ าค อนภุ าคท่มี ขี นาดเล็กจะเกดิ การออสโมซสิ ไดด้ ี
4. สมบัติของเยอื่ กนั้ เย่ือกัน้ บางชนดิ จะยอมใหส้ ารผา่ นไดก้ ารออสโมซิสจึงเกิดข้ึนได้ดี
สารละลายมี 3 ลกั ษณะ แบ่งตามความเขม้ ข้นของสารละลายภายในและภายนอกเซลลไ์ ดด้ ังน้ี
1. สารละลายไอโซโทนิก (isotonic solution) หมายถงึ สารละลายทมี่ คี วามเขม้ ข้นเท่ากับสารละลาย
ภายในเซลล์ การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เม่ืออยู่ในสารละลายชนดิ ต่างๆ ไมม่ ีการเปล่ยี นแปลง ดงั รูป
2. สารละลายไฮโปโทนิก (hypotonic solution) หมายถึง สารละลายที่มีความเข้มข้นต่ำกว่า
สารละลายภายในเซลล์ การเปลี่ยนแปลงของเซลล์เมื่ออยู่ในสารละลายชนิดต่าง ๆ น้ำจะออสโมซิสเข้าสู่เซลล์ ทำให้
เซลลเ์ ตง่ , เซลล์พอง, เซลลแ์ ตก ดงั รูป
3. สารละลายไฮเปอร์โทนิก (hypertonic solution) หมายถึง สารละลายที่มีความเข้มข้นสูงกว่า
สารละลายภายในเซลล์ การเปลี่ยนแปลงของเซลลเ์ ม่ืออยู่ในสารละลายชนิดต่างๆ นำ้ จะออสโมซิสออกจากเซลล์ ทำให้
เซลลห์ ด, เซลล์เห่ียว เรียกว่า พลาสโมไลซสิ (Plasmolysis)
ตัวอย่างออสโมซิสในชีวิตประจำวัน เช่น การให้น้ำเกลือแก่ผู้ป่วย น้ำเกลือที่ใช้มีความเข้มข้นเท่ากับ
ความเข้มข้นของสารละลายภายในเม็ดเลือดแดง จึงไม่ทำให้เสียสมดุลของน้ำในเซลล์ การนำผักและผลไม้ไปแช่น้ำ ทำ
ให้ผักและผลไม้ที่เหี่ยวกลับคืนสู่สภาพเดิม เพราะสารละลายในผักและผลไม้มคี วามเข้มข้นมากกว่านำ้ น้ำจึงออสโมซิส
เข้าสู่ผักและผลไม้ และการใส่ปุ๋ยในดินมากๆ จะทำให้ความเข้มข้นของสารละลายในดินสูงกว่าในรากพืช ทำให้น้ำ
ออสโมซสิ ออกจากรากเข้าสูด่ นิ มผี ลใหพ้ ืชขาดนำ้ และเหี่ยวเฉาตายได้
4. สมรรถนะของผู้เรียน
4.1 ความสามารถในการสอ่ื สาร
4.2 ความสามารถในการคดิ
4.3 ความสามารถในการแก้ปัญหา
4.4 ความสามารถในการใช้เทคโนโลยี
5. คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
5.1 มวี ินัย
5.2 ใฝเ่ รียนรู้
5.3 มุง่ ม่นั ในการทำงาน
6. ช้นิ งาน/ภาระงาน
6.1 ใบกจิ กรรม 3.3 เร่ือง การแพร่และออสโมซิส
7. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
7.1 ด้านความรู้ (K)
7.1.1 อธิบายกระบวนการแพรแ่ ละออสโมซิสในการลำเลยี งสารเข้าและออกจากเซลลไ์ ด้
7.1.2 อธิบายความแตกตา่ งของกระบวนการแพร่และออสโมซิสได้
7.1.3 ยกตัวอยา่ งการแพร่ และออสโมซสิ ทีพ่ บในชวี ติ ประจำวนั
7.2 ด้านทกั ษะกระบวนการ (P)
7.2.1 ปฏบิ ตั ิการทดลองกระบวนการแพรแ่ ละออสโมซสิ ได้
7.3 ดา้ นเจตคต/ิ คณุ ลกั ษณะ (A)
7.3.1 รับผิดชอบต่อหนา้ ท่ีและงานทไี่ ด้รบั มอบหมาย
8. กจิ กรรมการเรยี นรู้
8.1 ขัน้ สรา้ งความสนใจ (Engagement)(10 นาท)ี
8.1.1 นกั เรียนดูรูปภาพการชงชา พรอ้ มตอบคำถามจากครู ดงั นี้
- นกั เรยี นคดิ ว่าสีน้ำตาลของชามาจากไหน (แนวคำตอบ สารสนี ำ้ ตาลมาจากใบชา)
- ทำไมนำ้ ในแกว้ จงึ มีสีน้ำตาล (แนวคำตอบ เพราะสารสีนำ้ ตาลจากใบชาละลายออกมาแลว้ ผสม
กบั นำ้ )
8.1.2 หลังจากนัน้ ใหน้ ักเรยี นดูรูปภาพท่ี 2 รปู ผักกอ่ นแชน่ ้ำและหลงั แช่น้ำ และตอบคำถามครู ดงั น้ี
- ครไู ปตลาดแลว้ สังเกตว่าผักมันเหย่ี ว เลยเอาไปแช่น้ำพบว่าผกั มันสดขน้ึ การเปล่ียนแปลงน้ี
เกดิ ขึน้ ไดอ้ ยา่ งไร (แนวคำตอบ นักเรยี นตอบตามความเข้าใจ)
8.2 ขั้นสำรวจและคน้ หา (Exploration) (40 นาท)ี
8.2.1 นักเรียนแบ่งกลุ่ม 6 กลมุ่ ๆ ละ 6-7 คน โดยใชว้ ธิ ีการส่มุ เลขท่ี
8.2.2 นกั เรียนแตล่ ะกล่มุ ศึกษาจดุ ประสงค์ของกิจกรรม 3.3 เร่ือง การแพร่และออสโมซสิ และวิธีการ
ดำเนนิ กจิ กรรมในหนังสือเรยี น หน้า 110 และ 116-117
8.2.3 นักเรียนแต่ละกลุ่มลงมือทำกิจกรรม 3.3 เรื่อง การแพร่และออสโมซิส และบันทึกผลลงในใบ
กิจกรรมท่ี 3.3 เรื่อง การแพรแ่ ละออสโมซิส
8.3 การอธิบายและลงข้อสรุป (Explanation)(20 นาท)ี
8.3.1 นกั เรียนแตล่ ะกลุ่มนำเสนอผลการทำกิจกรรม โดยนำผลการทำกจิ กรรมไปตดิ บนกระดาน หรือ
นำข้อมลู ทีไ่ ด้ไปเปรียบเทยี บกบั เพื่อนกลุม่ อน่ื ในห้องเรยี น
8.3.2 นักเรียนและครูร่วมกันอภปิ รายและสรุปเนื้อหาทั้งหมดท่ีได้เรียนรู้จากการทำกิจกรรมและการ
อ่านเนื้อหาเพิม่ เติมเพื่อใหไ้ ด้ขอ้ สรุปว่า การแพร่เกิดข้ึนเม่ือมคี วามแตกต่างของความเข้มข้นของสารละลายสองบริเวณ
โดยมีทิศทางการเคลื่อนที่ของตัวละลายจากบริเวณที่มีความเข้มข้นมากไปยังบริเวณความเข้มข้นน้อย ส่วนการออสโม
ซิสเป็นการเคลื่อนที่สุทธิของโมเลกุลน้ำจากบริเวณที่มีความเข้มข้นของสารละลายต่ำ (มีโมเลกุลของน้ำมาก) ผ่านเย่ือ
เลอื กผ่านไปยงั บรเิ วณที่มีความเขม้ ขน้ ของสารละลายสูง (มโี มเลกุลนำ้ น้ำ)
8.3.3 นักเรยี นฟังครอู ธบิ ายเพ่ิมเติมเกย่ี วกับการแพร่และการออสโมซิส โดยใช้สไลดป์ ระกอบการสอน
เร่ือง การลำเลียงสารเขา้ ออกเซลล์ และนักเรียนตอบคำถามครู ดังนี้
- การแพรเ่ กดิ ขนึ้ ได้อย่างไร (แนวคำตอบ การเคลื่อนท่ีของโมเลกุลหรือการกระจายตัวของอนุภาค
ภายในสสาร จากบรเิ วณที่มคี วามเข้มขน้ สงู ไปยงั บริเวณท่มี คี วามเข้มข้นต่ำ)
- ส่วนการออสโมซิสเกดิ ขึ้นได้อยา่ งไร (แนวคำตอบ เปน็ กระบวนการเคล่ือนที่ของน้ำจากบริเวณท่ี
มีความเข้มข้นของสารละลายต่ำไปสู่บริเวณที่มีความเข้มข้นของสารละลาย หรือบริเวณที่มีโมเลกุลของน้ำมากไปสู่
บริเวณท่ีมโี มเลกุลของน้ำนอ้ ยโดยผ่านเยอื่ เลอื กผา่ น)
- ให้นักเรียนยกตัวอย่างการแพร่และออสโมซิสที่พบเจอในชีวิตประจำวัน อย่างละ 2 ตัวอย่าง
(แนวคำตอบ นักเรยี นตอบตามความเข้าใจ)
- นักเรียนคิดว่าการแพร่และออสโมซิสแตกต่างกันอย่างไร (แนวคำตอบ ความแตกต่างระหว่าง
ออสโมซิสและการแพร่คือ อนุภาคตัวทำละลายและตัวทำละลายสามารถเคลื่อนที่ได้อย่างอิสระในการแพร่ แต่ใน
ออสโมซสิ มีเพียงโมเลกุลตวั ทำละลาย (โมเลกุลของน้ำ) เท่านนั้ ทเ่ี ยอื่ หุ้มเซลล)์
8.4 การขยายความรู้ (Elaboration)(30 นาที)
8.4.1 นักเรียนแบง่ กลุ่ม 6 กลุ่ม ๆ ละ 6-7 คน โดยใช้กลุม่ เดมิ จากกจิ กรรมกอ่ นหน้านี้
8.4.2 นักเรยี นเลน่ เกมทายการแพร่และการออสโมซิส โดยมวี ธิ ีการเลน่ เกม ดังน้ี
- ให้สมาชิก 1 คนเป็นใบ้และสมาชิกที่เหลือเป็นคนตอบ เพื่อยกตัวอย่างการแพร่ และการออสโม
ซสิ ในชีวิตประจำวัน
- ตัวอย่างเช่น การเพร่ของกลิ่นอาหาร การแพร่ของน้ำหอม การฉีดพ่นสารกำจัดศัตรูพืช การแช่
อิ่มผลไม้ การแช่ผักในน้ำ การปักดอกไม้ในแจกัน การดูดน้ำเข้าสู่รากพืช การหุบของต้นไมยราบ การเหี่ยวของต้นพืช
เป็นตน้ )
8.5 การประเมนิ ผล/สรุป (Evaluation)(50 นาที)
8.5.1 นักเรียนและครูร่วมกันอภิปรายและสรุป เรื่อง การลำเลียงสารเข้าออกเซลล์ โดยใช้สไลด์
ประกอบการสอน เร่ือง การลำเลยี งสารเข้าออกเซลล์
8.5.2 นกั เรยี นร่วมกันตอบคำถามจากรปู ภาพการชงชา และรปู ผักกอ่ นแชน่ ้ำและหลงั แชน่ ้ำ วา่ ทัง้ เป็น
การลำเลียงสารในกระบวนการใด
- รูปภาพการชงชา (แนวคำตอบ กระบวนการแพร)่
- รูปผกั ก่อนแชน่ ้ำและหลังแชน่ ำ้ (แนวคำตอบ กระบวนการออสโมซสิ )
8.5.3 นกั เรยี นทำแบบทดสอบทา้ ยหน่วยท่ี 3 หน่วยพนื้ ฐานของสิ่งมีชวี ติ โดยใช้ขอ้ สอบทา้ ยหน่วยท่ี 3
เร่ือง หนว่ ยพืน้ ฐานของสิง่ มชี วี ติ
9. สอ่ื และแหลง่ เรยี นรู้
9.1 หนงั สือเรยี นรายวชิ าพืน้ ฐานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ชน้ั มัธยมศกึ ษาปที ่ี 1 เลม่ ที่ 1
9.2 สไลด์ประกอบการสอน เร่อื ง การลำเลียงสารเข้าออกเซลล์
9.3 บัตรคำ เกมการแพรแ่ ละการออสโมซิส
9.4 ข้อสอบท้ายหนว่ ยที่ 3 เร่ือง หน่วยพืน้ ฐานของสิ่งมชี ีวิต
10. การวดั และการประเมนิ ผล
การวดั ผลประเมนิ ผล วิธีการวดั เคร่อื งมือวดั เกณฑ์การผา่ น
1. ด้านความรู้ - ใบกิจกรรม 3.3 เรอ่ื ง - นักเรียนสามารถปฏิบัตใิ น
การแพร่และออสโมซสิ ระดบั ดขี นึ้ ไป คะแนนอยูใ่ น
1. อธิบายกระบวนการ - ตรวจใบกิจกรรม 3.3 - เกมการแพร่และการ ระหวา่ ง 9-12 คะแนน ถือว่า
ออสโมซิส ผ่านเกณฑ์
แพร่และออสโมซิสในการ เร่ือง การแพร่และออสโม - ชุดคำถาม - นกั เรียนสามารถปฏบิ ตั ิใน
ระดับดีขนึ้ ไป คะแนนอยใู่ น
ลำเลียงสารเข้าและออก ซสิ ระหวา่ ง 9-12 คะแนน ถือว่า
ผา่ นเกณฑ์
จากเซลล์ได้ - ตรวจเกมการแพร่และ - นกั เรยี นสามารถตอบ
คำถามได้ถูกต้องร้อยละ 50
2. อธิบายความแตกต่าง การออสโมซสิ สรปุ วา่ ผ่านเกณฑ์
ของกระบวนการแพร่และ - สังเกตการตอบคำถาม - นกั เรียนสามารถปฏิบตั ิใน
ระดับดขี ึ้นไป คะแนนอย่ใู น
ออสโมซิสได้ ในชั้นเรียน ระหว่าง 9-12 คะแนน ถือว่า
ผ่านเกณฑ์
3. ยกตัวอย่างการแพร่
และออสโมซิสที่พบใน
ชีวิตประจำวัน
2. ด้านทักษะกระบวนการ
1. ปฏิบัตกิ ารทดลอง - ตรวจใบกิจกรรม 3.3 - ใบกิจกรรม 3.3 เร่อื ง
การแพร่และออสโมซสิ
กระบวนการแพร่และ เรือ่ ง การแพร่และออสโม
ออสโมซิสได้ ซสิ
3. ดา้ นเจตคติ /คุณลักษณะ
1. รบั ผิดชอบตอ่ หนา้ ที่ - สังเกตพฤติกรรมการ - แบบสงั เกตพฤตกิ รรม - นักเรยี นสามารถเข้ารว่ ม
และงานที่ไดร้ บั มอบหมาย ทำงานกลมุ่ การทำงานกล่มุ กจิ กรรมกลุม่ และรบั ผิดชอบ
งานไดใ้ นระดับดีขนึ้ ไป มี
คะแนนอย่รู ะหวา่ ง 11-15
สรปุ วา่ ผา่ นเกณฑ์
11. บนั ทกึ หลงั การสอน
ช้ัน ม.1/1 ช้นั ม.1/2 ช้นั ม.1/3
ผลการสอน - นักเรียนอธิบายและสามารถ - นักเรียนอธิบายและสามารถ - นักเรียนอธิบายและสามารถ
ปญั หา/
บอกถึงความแตกต่าง บอกถึงความแตกต่าง บอกถึงความแตกต่าง
กระบวนการแพร่และออสโมซิส กระบวนการแพร่และออสโมซิส กระบวนการแพรแ่ ละออสโมซสิ
ในการลำเลียงสารเข้าและออก ในการลำเลียงสารเข้าและออก ในการลำเลียงสารเข้าและออก
จากเซลล์ได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อย จากเซลล์ได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อย จากเซลล์ได้ถูกต้อง คิดเป็นร้อย
ละ 100 ละ 100 ละ 100
- นักเรียนสามารถยกตัวอย่าง - นักเรียนสามารถยกตัวอย่าง - นักเรียนสามารถยกตัวอย่าง
การแพร่ และออสโมซิสที่พบใน การแพร่ และออสโมซิสที่พบใน การแพร่ และออสโมซิสที่พบใน
ชีวิตประจำวันได้ถูกต้อง คดิ เปน็ ชีวติ ประจำวันไดถ้ ูกต้อง คิดเปน็ ชีวติ ประจำวนั ไดถ้ กู ตอ้ ง คิดเปน็
ร้อยละ 100 รอ้ ยละ 100 ร้อยละ 100
- นักเรียนปฏิบัติการทดลอง - นักเรียนปฏิบัติการทดลอง - นักเรียนปฏิบัติการทดลอง
กระบวนการแพร่และออสโมซสิ กระบวนการแพรแ่ ละออสโมซสิ กระบวนการแพร่และออสโมซสิ
ไดถ้ ูกต้อง คิดเปน็ รอ้ ยละ 100 ไดถ้ ูกต้อง คดิ เปน็ ร้อยละ 100 ได้ถูกตอ้ ง คดิ เปน็ ร้อยละ 100
- นักเรียนมีความกระตือรือร้น - นักเรียนมีความกระตือรือร้น - นักเรียนมีความกระตือรือร้น
ในการทำกจิ กรรมกลุ่ม สามารถ ในการทำกิจกรรมกลุ่ม สามารถ ในการทำกจิ กรรมกลุ่ม สามารถ
ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมี ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมี ทำงานร่วมกับผู้อื่นได้ และมี
ความรับผิดชอบต่องานที่ได้ ความรับผิดชอบต่องานที่ได้ ความรับผิดชอบต่องานที่ได้
มอบหมายไว้ คิดเป็นร้อยละ มอบหมายไว้ คิดเป็นร้อยละ มอบหมายไว้ คิดเป็นร้อยละ
100 100 100
---
อุปสรรค
ขอ้ เสนอแนะ - - -
/แนว
ทางแก้ไข
บนั ทึกสำหรบั อาจารยพ์ เ่ี ล้ยี ง
............................................................................................................................. ...............................................................
.................................................................... .......................................................................................................... ..............
............................................................................................................................. ...............................................................
.................................................................... ............................................................................................ ............................
ลงชอ่ื .....c........f....u........t....n...................ผสู้ อน ลงชือ่ ............................................................
(อาจารย์นวินดา คงภักด)ี
(นายอาซอื มัน รูเด็ง) อาจารยพ์ เ่ี ลีย้ ง
นักศึกษาปฏบิ ัตกิ ารสอน
วนั ท่ี 13 เดอื นสงิ หาคม พ.ศ. 2565 วันท่ี 13 เดือนสงิ หาคม พ.ศ. 2565
แบบบันทึกการใหค้ ะแนนใบกจิ กรรม 3.3 เรือ่ ง การแพร่และออสโมซสิ
ช้นั มธั ยมศกึ ษาปีท่ี 1 หอ้ ง……..
คำชแี้ จง : ใหท้ ำเคร่ืองหมาย ลงในชอ่ งรายการประเมินใบกิจกรรม Infographics เร่ือง การใชธ้ าตุมีผลอย่างไรบ้าง
ตรงกับระดับคะแนนทน่ี ักเรียนปฏิบตั ไิ ด้
พฤติกรรม
ความถกู ต้อง ความ ความตง้ั ใจใน การนำเสนอ รวม
ลำ ช่อื -สกุล ของเนอื้ หา สร้างสรรค์ การทำงาน
ดับที่ 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 16
1. 1
2. 2
3. 3
4. 4
5. 5
6.
7.
8.
9.
10.
11.
12.
13.
14.
15.
16.
17.
18.
19.
20.
21.
22.
23.
24.
พฤติกรรม
ความถูกตอ้ ง ความ ความตงั้ ใจใน การนำเสนอ รวม
ลำ ชอื่ -สกุล ของเนอ้ื หา สรา้ งสรรค์ การทำงาน
ดับที่ 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 4 3 2 1 16
25.
26.
27.
28.
29.
30.
31.
32.
33.
34.
35.
36.
37.
38.
39.
เกณฑ์การให้คะแนนระดบั คณุ ภาพ
13-16 อยู่ในระดบั ดมี าก
9-12 อยู่ในระดบั ดี
5-8 อย่ใู นระดบั พอใช้
1-4 อยู่ในระดบั ปรับปรุง
*หมายเหตุ : นักเรยี นสามารถปฏบิ ัติในระดบั ดีขนึ้ ไป คะแนนอยใู่ นระหว่าง 9-12 คะแนน ถอื ว่าผ่านเกณฑ์
ลงช่ือ...........................................ผสู้ ังเกต
(...............................................................)
........../.........../...........
รายละเอยี ดการให้คะแนนใบกิจกรรม 3.3 เร่อื ง การแพร่และออสโมซิส
ประเด็นการประเมนิ 4 เกณฑ์การให้คะแนน 1
ดมี าก 32 ปรับปรุง
1. ความถูกต้องของ เนอ้ื หาถูกต้องครบถว้ น ดี พอใช้ เนือ้ หาผดิ พลาด
เนอื้ หา เนื้อหาครบถว้ นมี เน้อื หาไมค่ รบถว้ น ตอ้ งบอกให้แก้ไข
2. ความคดิ สร้างสรรค์ รปู แบบแปลกใหม่ ผิดพลาดเลก็ น้อย ผิดพลาดเล็กน้อย เลียนแบบ
มีความแปลกใหม่ ไมค่ ่อยแปลกใหม่
3. ความต้ังใจในการ พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ัติ พฤติกรรมทีป่ ฏิบัติ พฤติกรรมทป่ี ฏิบตั ิ พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ัติ
ทำงาน ชดั เจนทุกครัง้ ชัดเจนและสม่ำเสมอ ชัดเจนและ บางครง้ั
บ่อยคร้งั
4. การนำเสนอ เมือ่ นำเสนอถูกตอ้ ง เมอ่ื นำเสนอถูกต้อง เม่ือนำเสนอไม่ เมอื่ นำเสนอ
ครบถ้วน เน้นประเดน็ ครบถว้ น ประเด็น ผดิ พลาดมาก
สำคญั ไมช่ ัดเจน คอ่ ยถูกต้อง ไม่มี
สำคัญ ประเดน็ ชัดเจน
แบบสังเกตพฤติกรรมการเข้าร่วมกิจกรรมกลุ่ม
รายวิชา ว 21101 วิทยาศาสตร์ ระดบั ช้นั มัธยมศึกษาปีที่ 1 หอ้ ง………ภาคเรียน……………..ปกี ารศกึ ษา………
กลุม่ ท…่ี …………ชอื่ กลุม่ ……………
คำชแี้ จง : สงั เกตพฤติกรรมของนักเรียนรายกลุม่ ในระหว่างเรียนแลว้ ทำเครื่องหมาย ✓ ลงช่องทตี่ รงกบั ระดับ
คะแนนท่นี ักเรยี นปฏบิ ตั ิได้
ลำ ช่อื -สกุล พฤตกิ รรม รวม
ดบั ท่ี สมาชิกกลุ่ม ความ การแสดง การรบั ฟงั ความตงั้ ใจ การมีสว่ น 20
รว่ มมือ ความ ความ ในการ รว่ มในการ
1. 1
2. 2 คดิ เหน็ คิดเห็น ทำงาน อภิปราย
3. 3 43214321432143214321
4. 4
5. 5
6. 6
7. 7
8. 8
9. 9
10. 0
11.
12.
13.
14.
15.
16.
17.
18.
พฤติกรรม รวม
20
ความ การแสดง การรบั ฟงั ความตั้งใจ การมสี ่วน
ลำ ชือ่ -สกุล ร่วมมอื ความ ความ ในการ รว่ มในการ
ดับที่ สมาชกิ กลุ่ม คดิ เห็น คิดเหน็ ทำงาน อภิปราย
43214321432143214321
19.
20.
21.
22.
23.
24.
25.
26.
27.
28.
29.
30.
31.
32.
33.
34.
35.
36.
37.
38.
39.
เกณฑ์การให้คะแนนระดับคุณภาพ
16-20 อยู่ในระดบั ดมี าก
11-15 อยู่ในระดบั ดี
6-10 อยู่ในระดบั พอใช้
1-5 อย่ใู นระดบั ปรบั ปรงุ
*หมายเหตุ : นกั เรียนสามารถปฏิบตั ใิ นระดับดีข้นึ ไป คะแนนอย่รู ะหวา่ ง 11-15 คะแนน ถือวา่ ผา่ นเกณฑ์
ลงชอ่ื ........................................ ผู้ประเมนิ
(…………………………………….……)
รายละเอียดการใหค้ ะแนนการเข้ารว่ มกจิ กรรมกลุ่ม
ประเดน็ การประเมนิ 4 เกณฑ์การใหค้ ะแนน 1
ดมี าก 32 ปรับปรุง
1. ความร่วมมือ พฤติกรรมที่ปฏบิ ัติ ดี พอใช้ พฤติกรรมที่ปฏิบัติ
ชดั เจนทุกคร้ัง พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ตั ิ พฤติกรรมทปี่ ฏบิ ตั ิ บางครง้ั
2. การแสดงความ ชัดเจนและสม่ำเสมอ ชัดเจนและ
คดิ เห็น พฤติกรรมที่ปฏิบัติ พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติ
ชดั เจนทุกครั้ง บอ่ ยครั้ง บางครง้ั
3. การรับฟงั ความ พฤติกรรมทปี่ ฏิบตั ิ พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติ
คิดเหน็ พฤติกรรมท่ีปฏบิ ัติ ชัดเจนและสม่ำเสมอ ชดั เจนและ พฤติกรรมท่ปี ฏบิ ตั ิ
ชดั เจนทุกคร้งั บางคร้ัง
4. ความตงั้ ใจในการ บอ่ ยครง้ั
ทำงาน พฤติกรรมที่ปฏบิ ตั ิ พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ตั ิ พฤติกรรมทปี่ ฏิบัติ พฤติกรรมทป่ี ฏบิ ตั ิ
ชัดเจนทุกครง้ั ชัดเจนและสม่ำเสมอ ชัดเจนและ บางครั้ง
5. การมีส่วนรว่ มใน
การอภิปราย พฤติกรรมท่ีปฏบิ ัติ บ่อยครัง้ พฤติกรรมทป่ี ฏิบัติ
ชดั เจนทุกครัง้ พฤติกรรมทป่ี ฏิบตั ิ พฤติกรรมที่ปฏิบัติ บางครั้ง
ชดั เจนและสมำ่ เสมอ ชดั เจนและ
บอ่ ยครั้ง
พฤติกรรมทป่ี ฏิบตั ิ พฤติกรรมท่ีปฏิบตั ิ
ชัดเจนและสมำ่ เสมอ ชัดเจนและ
บ่อยครง้ั
แบบประเมนิ สมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน 4 ด้าน
ชอ่ื ..............................................................นามสกลุ .................................................... .ชน้ั ......……..เลขที.่ ....
คำช้แี จง : ให้สงั เกตพฤติกรรมของนกั เรียนในระหวา่ งเรียน แล้วขดี ✓ ลงในชอ่ งท่ตี รงกับระดบั คะแนน
สมรรถนะสำคัญที่ประเมิน ระดบั คะแนน สรปุ
432 1 ผล
1. ความสามารถในการสื่อสาร
1.1 มีความสามารถในการถา่ ยทอดความรู้ ความคดิ
ความเขา้ ใจของตนเอง โดยใช้ภาษาอยา่ งเหมาะสม
1.2 ใช้วิธกี ารสอื่ สารที่เหมาะสม
1.3 วิเคราะห์แสดงความคิดเหน็ อยา่ งมเี หตุผล
สรุปผลการประเมิน
2. ความสามารถในการคิด
2.1 มีความสามารถในการคิดวเิ คราะห์ สงั เคราะห์
2.2 มที กั ษะในการคดิ นอกกรอบอย่างสรา้ งสรรค์
2.3 มีความสามารถในการคดิ อย่างมีระบบ
สรปุ ผลการประเมนิ
3. ความสามารถในการแก้ปัญหา
3.1 สามารถแกป้ ญั หาและอุปสรรคต่าง ๆ ทเ่ี ผชญิ ได้
3.2 ใชเ้ หตผุ ลในการแกป้ ญั หา
3.3 สามารถตดั สนิ ใจได้เหมาะสมตามวัย
4 . ความสามารถในการใชเ้ ทคโนโลยี
4.1 มที ักษะกระบวนการทางเทคโนโลยี
4.2 สามารถนำเทคโนโลยีไปใชพ้ ฒั นาตนเอง
4.3 มคี ณุ ธรรมจรยิ ธรรมในการใชเท้ คโนโลยี
สรุปผลการประเมิน
สรปุ ผลการประเมินคณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์รายบคุ คล
ดีมาก ดี ปานกลาง ตอ้ งปรับปรุง
ลงช่อื ........................................ ผู้ประเมนิ
(…………………………………….……)
แบบประเมนิ คุณลักษณะอันพึงประสงค์
ชอ่ื ................................................................ชั้น....................เลขที.่ ...................
คำชี้แจง : ให้สังเกตพฤติกรรมของนกั เรยี นในระหว่างเรยี นและนอกเวลาเรยี น แล้วขดี ลงในช่องทตี่ รงกบั ระดบั
คะแนน
คณุ ลกั ษณะอนั พงึ รายการท่ปี ระเมนิ ระดับคะแนน
ประสงค์ 321
1. มวี นิ ัย 1.1 ตรงตอ่ เวลา
1.2 ปฏิบัตงิ านเรยี บรอ้ ยเหมาะสม
1.3 ปฏบิ ัตติ ามขอ้ ตกลง
2. ใฝเ่ รยี นรู้ 2.1 กระตือรือรน้ ในการแสวงหาขอ้ มลู
2.2 มกี ารจดบันทึกความรู้
2.3 สรปุ ความรไู้ ดอ้ ยา่ งมีเหตุผล
3. ม่งุ ม่นั ในการทำงาน 3.1 มคี วามต้งั ใจและพยายามในการทำงานทไี่ ด้รับมอบหมาย
3.2 มีความอดทนและไม่ย่อทอ้ ต่ออุปสรรคเพื่อให้งานสำเร็จ
เกณฑก์ ารให้คะแนน
- พฤติกรรมที่ปฏิบตั ิชดั เจนและสม่ำเสมอ
- พฤติกรรมทีป่ ฏบิ ัตชิ ดั เจนและบ่อยครงั้
- พฤติกรรมที่ปฏบิ ตั ิบางครง้ั
เกณฑ์การให้คะแนนระดบั คณุ ภาพ
18-24 อย่ใู นระดับ ดีมาก
13-18 อยู่ในระดบั ดี
7-12 อยใู่ นระดบั ปานกลาง
1-6 อย่ใู นระดับ ปรบั ปรุง
ลงช่ือ..........................................ผปู้ ระเมนิ
(..........................................)
กจิ กรรมที่ 3.3 เรือ่ ง การแพร่และออสโมซิส
สมาชิกกลมุ่
1. ช่ือ- สกุล………………………………………..…เลขที่………..หน้าท่ี………………………………..
2. ชอ่ื - สกลุ …………………………………………..เลขที่………..หน้าที่…………………………………
3. ช่อื - สกลุ …………………………………………..เลขที่………..หนา้ ที่…………………………………
4. ช่ือ- สกุล…………………………………………..เลขที่………..หน้าท่ี…………………………………
5. ชอื่ - สกลุ …………………………………………..เลขที่………..หน้าท่ี…………………………………
6. ชื่อ- สกลุ …………………………………………..เลขที่………..หน้าที่…………………………………
7. ช่อื - สกุล…………………………………………..เลขท่ี………..หนา้ ท่ี…………………………………
8 . ช่ือ- สกลุ …………………………………………..เลขที่………..หนา้ ท่ี…………………………………
ชนั้ มัธยมศกึ ษาปีที่ 1 หอ้ ง……………..
หน่วยการเรียนรทู้ ่ี 3 วิทยาศาสตร์ (ว 21101) ชน้ั ม. 1
บทที่ 2 เรอ่ื ง การลำเลยี งสารเข้าออกเซลล์ ผสู้ อน ปส. อาซือมนั รเู ด็ง
ใบกจิ กรรม 3.3 การแพรแ่ ละออสโมซิส
จุดประสงค์ 1. สงั เกตและอธิบายกาเคลื่อนท่ีของอนภุ าคดา่ งทับทมิ ในน้ำ
2. สงั เกต และอธบิ ายการเคล่ือนท่ขี องน้ำผ่านเยื่อเลือกผ่าน
ตอนที่ 1 การแพร่
1.1 จงวาดภาพหรอื ติดรูปผลการทดลอง
เร่มิ ต้น 5 นาที 10 นาที
จากการสงั เกตอนุภาคของด่างทับทิมเป็นอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
คำถามทา้ ยกิจกรรม
1. เมอื่ ใส่เกลด็ ด่างทับทิมในน้ำ มกี ารเปลยี่ นแปลงอย่างไรตั้งแตเ่ รมิ่ ต้นจนครบเวลาทก่ี ำหนด
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
2. การกระจายของดา่ งทบั ทิมมที ศิ ทางใดบ้าง
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………………….
3. ถ้าวางบีกเกอรท์ ่ีมเี กร็ดด่างทบั ทิมต่อไป 2 ชว่ั โมง สารละลายในบกี เกอรม์ ีลักษณะอย่างไร
………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
…