The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nok26644, 2022-08-15 06:11:40

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)







ตำรา

บรู ณาการการศึกษาและการจัดการเรยี นรู้

(Integration of Education and Learning Management)

วันเพ็ญ นันทะศรี

ค.บ.การศึกษาปฐมวัย, ศษ.ม.หลักสตู รและการสอน,
ปร.ด.การบริหารและพฒั นาการศึกษา

คณะครศุ าสตร์
มหาวิทยาลยั ราชภัฏสกลนคร

2564





คำนำ

ตำราเรื่อง “บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้” ฉบับนี้ เป็นตำราที่ใช้ประกอบการ
สอน ในรายวิชา บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ รหัสรายวิชา 71065401 ในหลักสูตร
ปรัชญาดษุ ฎีบณั ฑติ สาขาวชิ าการบรหิ ารและพัฒนาการศึกษา โดยผ้เู รยี บเรยี งใชต้ ำรานี้ประกอบการ
เรียนการสอนตั้งแต่ภาคเรียนที่ ๑ การศึกษา ๒๕64 เป็นต้นมา และมีการปรับปรุงเนื้อหาให้ทันสมยั
เรื่อยมา ตำราเล่มนี้มีจุดมุ่งหมายให้ผู้อ่านมีความรู้ความเข้าใจในการบูรณาการการศึกษาและการ
จัดการเรียนรู้ สามารถนำความรู้ประยุกตใช้ในการพัฒนาการศึกษาให้สอดคล้องกับบริบทและ
แนวโน้มทางการศึกษาของไทยในอนาคต เนื้อหาแบ่งออกเป็น 10 บท คือ บทที่ 1 ประวัติและ
แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษาไทย บทที่ 2 ปรัชญาการศึกษา บทที่ 3 จิตวิทยาการศึกษา บทที่ 4
หลักสูตร การพัฒนาหลักสูตร และการประเมินหลักสูตร บทที่ 5 การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา
บทที่ 6 การบริหารแหล่งเรียนรู้เพื่อส่งเสริมการจัดการเรียนรู้ บทที่ 7 การจัดการเรียนการรู้
และการสอนเสริม บทที่ 8 การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ บทที่ 9 การพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้
ของผู้เรยี น และบทที่ 10 บทบาทครแู ละผู้บรหิ ารกับการพัฒนาประเทศ

ตำราประกอบการสอนเล่มนี้ นอกจากให้นักศึกษาหลักสูตรครุศาตรบัณฑิต หลักสูตร
ครุศาตรมหาบัณฑิต และหลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาการบริหารและพัฒนาการศึกษา
ได้ใช้ประกอบการเรียนการสอนในรายวิชาที่กล่าวข้างต้นแลว้ ยังมีประโยชน์ต่อนักศึกษาในหลักสูตร
อื่น ๆ ตลอดจนผู้สนใจที่จะเรียนรู้เกี่ยวกับ การจัดการศึกษา การวัดผลและประเมินผล จิตวิทยา
การศึกษา ปรัชญาการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร รวมไปถึงปรัชญาการศึกษา เพื่อนำไปประยุกต์ใช้
กับการเรียนในสาขาของตนเองไดอ้ ีกด้วย

ผู้เรียบเรียงมคี วามมัน่ ใจอย่างย่ิงว่าตำราประกอบการสอนฉบับนี้ จะมีประโยชน์แก่นักศึกษา
และผู้สนใจทุกท่านให้ได้ทราบถึง การจัดการศึกษา การวัดผลและประเมินผล จิตวิทยาการศึกษา
ปรัชญาการศึกษา การพัฒนาหลักสูตร รวมไปถึงปรัชญาการศึกษา หากมีข้อผิดพลาดประการใดผู้
เรียบเรียงขอน้อมรับคำติชมเพื่อปรับปรุงในครั้งต่อไป ขอขอบพระคุณเจ้าของแหล่งอ้างอิงค้นคว้าท่ี
ปรากฏในบรรณานุกรมทกุ ท่าน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นแหล่งข้อมลู ท่ีมีคณุ ค่าย่ิงต่อการศึกษาและเตมิ เต็ม
ความสมบูรณใ์ นเนือ้ หาไดอ้ ย่างสมบรู ณม์ ากยิง่ ขึน้

ผ้ชู ่วยศาสตราจารย์ ดร. วนั เพ็ญ นันทะศรี
1 กรกฎาคม 2564





สารบญั

คำนำ..........................................................................................................................................ก
สารบญั .......................................................................................................................................ค
บทท่ี 1 ประวัตแิ ละแนวคดิ ทีม่ ีอิทธิพลต่อการศึกษาไทยบทนำ....................................................1

บทนำ............................................................................................................................. ........1
ประวตั ขิ องการศกึ ษาไทย.....................................................................................................2

ครูยุคการศกึ ษาไทยโบราณ (กอ่ น พ.ศ. 1730-2413)................................................2
สมยั อาณาจักรนา่ นเจา้ .........................................................................................2
สมยั สุโขทัย...........................................................................................................3
สมยั กรงุ ศรีอยุธยา ................................................................................................4
สมยั กรงุ ธนบรุ ี และกรุงรตั นโกสินทร์ตอนต้น ........................................................5

ครยู คุ ก่อนมีพระราชบัญญัตคิ รพู ุทธศักราช 2488 (พ.ศ.2414-2487) ....................7
ครยู ุคมีพระราชบัญญัตกิ ่อนมีใบประกอบวชิ าชพี (พ.ศ.2488-2545)...................... 14
ครูยุคมีใบประกอบวชิ าชพี ครู (พ.ศ. 2546) .............................................................. 18
ครูยคุ มีความรุ่งโรจน์แหง่ วิชาชีพครู (พ.ศ. 2547- ปจั จุบัน) ...................................... 19
แนวคดิ ที่มีอทิ ธพิ ลต่อการศึกษาไทย.................................................................................. 22
อทิ ธพิ ลในสมยั ปฏริ ูปการศึกษา พ.ศ. 2412 – พ.ศ. 2475 ..................................... 22
อิทธพิ ลในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกฎุ เกล้าเจา้ อยหู่ ัว ........................................ 23
อิทธพิ ลในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ วั ............................................ 23
อทิ ธิพลในสมัยการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 –ปัจจุบนั ...................... 24
การศึกษาในสมยั ปัจจบุ ัน ........................................................................................... 25
ปจั จัยภายนอกกบั แนวโน้มการศึกษา........................................................................ 25
แนวโนม้ การศกึ ษาไทยในอนาคต ............................................................................... 27
บทสรปุ ................................................................................................................................ 28
บทที่ 2 ปรชั ญาการศกึ ษา........................................................................................................31
บทนำ.............................................................................................................................. .....31
ความหมายของปรชั ญา..................................................................................................... 31
สาขาของปรชั ญา .............................................................................................................. 32
ปรัชญาพน้ื ฐาน ................................................................................................................. 34
ปรัชญาการศกึ ษา.............................................................................................................. 34
ปรชั ญาสาขาสารนิยม หรอื สารัตถนิยม ...................................................................... 36
ปรัชญาสาขาสัจวทิ ยานิยม หรือสจั นยิ มวทิ ยา หรอื นิรันตรนิยม.................................. 37
ปรัชญาสาขาพิพฒั นาการนิยม หรือพิพฒั นนยิ ม หรอื วิวฒั นาการนิยม ....................... 39
ปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม หรือ บูรณาการนิยม (reconstructionism)........................ 40
ปรชั ญาสาขาอตั ถภิ าวนยิ ม หรอื อัตนิยม หรือสวภาพนิยม หรือภาวะนยิ ม.................. 41



สารบัญ (ต่อ)

ปรัชญาและแนวคดิ ทางการศึกษาแนวพทุ ธศาสนาพทุ ธปรชั ญา (Buddhism) ........... 42
การบรู ณการนำปรัชญาการศึกษาไปใช้............................................................................. 43
บทสรปุ ..............................................................................................................................................46
บทท่ี 3 จติ วทิ ยาการศึกษา.......................................................................................................48
บทนำ............................................................................................................................. ......47
ความรพู้ นื้ ฐานเก่ียวกบั จติ วทิ ยา........................................................................................ 48

ความหมายของจติ วิทยา............................................................................................ 48
ความสำคญั ของจติ วิทยา ........................................................................................... 49
แนวคิดเกย่ี วกบั จติ วทิ ยาการศึกษา ................................................................................... 49
ความหมายของจติ วทิ ยาการศึกษา............................................................................. 49
ความสำคัญของจติ วทิ ยาครู ....................................................................................... 50
สาขาจติ วทิ ยาท่ีสัมพันธก์ ับวชิ าชพี ครู......................................................................... 51
ทฤษฎีการเรียนรู้และการประยุกตใ์ ช้ในการจดั การเรียนการสอน ..................................... 52
หลักการสอนตามแนวคดิ ของนักจติ วิทยากลุ่มพฤติกรรมนิยม.................................... 52
หลกั การสอนตามแนวคดิ ของนกั จิตวิทยากลมุ่ พทุ ธิปัญญานิยม.................................. 60
หลักการสอนตามแนวคดิ ของนกั จิตวทิ ยากลมุ่ มนุษยนยิ ม.......................................... 65
หลกั การสอนตามแนวคดิ ของนกั จิตวิทยากลุ่มสรา้ งความร้ดู ้วยตนเอง ....................... 70
หลกั การสอนตามแนวคดิ ของนกั จติ วทิ ยาการเรยี นรู้ทางสงั คมเชิงพุทธปิ ัญญา ........... 72
บูรณาการการนำจิตวทิ ยาการศกึ ษาไปใช้ ......................................................................... 74
บทที่ 4 หลกั สตู ร การพัฒนาหลกั สูตร และการประเมนิ หลกั สตู ร..............................................39
บทนำ...................................................................................................................................79
แนวคิดเกี่ยวกบั หลกั สูตร .................................................................................................. 79
ความหมายของหลกั สูตร............................................................................................ 79
ความสำคัญของหลักสตู ร........................................................................................... 82
ประเภทของหลักสตู ร ................................................................................................ 83
องค์ประกอบของหลกั สูตร......................................................................................... 85
ลักษณะของหลักสตู รท่ีดี............................................................................................ 87
แนวคดิ เกี่ยวกบั การพัฒนาหลักสูตร.................................................................................. 89
ความหมายของการพัฒนาหลักสตู ร........................................................................... 89
รปู แบบการพฒั นาหลกั สูตร ....................................................................................... 89
แนวคิดเกย่ี วกบั การประเมินหลักสตู ร ............................................................................... 96
ความหมายของการประเมนิ หลกั สตู ร ........................................................................ 96
จุดมงุ่ หมายของการประเมินหลกั สูตร ........................................................................ 97
หลักเกณฑก์ ารประเมนิ หลกั สูตร................................................................................ 97



สารบญั (ต่อ)

ประเภทการประเมนิ หลกั สตู ร .................................................................................... 98
เกณฑ์การประเมนิ หลักสตู ร........................................................................................ 98
ประโยชน์ของการประเมินหลักสตู ร............................................................................ 99
รปู แบบของการประเมินหลักสูตร............................................................................... 99
การบรู ณาการการการนำหลักสตู รไปใช้ ......................................................................... 108
บทสรุป............................................................................................................................. 111
บทท่ี 5 การพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา.................................................................................113
บทนำ.................................................................................................. ..............................113
พัฒนาการหลักสตู รการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานของไทย.......................................................... .113
แนวคิดในการพัฒนาสตู รสถานศกึ ษา............................................................................. 122
ความหมายของหลักสตู รสถานศกึ ษา....................................................................... 122
ความสำคญั หลกั สตู รสถานศกึ ษา ............................................................................ 123
องค์ประกอบหลกั สตู รสถานศึกษา .......................................................................... 124
กระบวนการพัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษา........................................................................ 126
การบริหารจดั การหลักสตู รสถานศกึ ษา.......................................................................... 136
การกำกับดแู ลคุณภาพระดับสถานศกึ ษา ....................................................................... 137
การบูรณาการการพัฒนาหลักสูตรสถานศกึ ษาไปใช้ ....................................................... 140
บทสรุป............................................................................................................................. 142
บทที่ 6 การบริหารแหลง่ เรียนรู้เพือ่ สง่ เสรมิ การจดั การเรียนรู้.................................................145
บทนำ.......................................................................................................... ......................145
แนวคิดเกยี่ วกบั แหลง่ เรยี นรู้........................................................................................... 145
ความหมายของแหลง่ เรียนรู้.................................................................................... 145
ความสำคญั ของแหลง่ เรียนรู้ ................................................................................... 147
ประเภทของแหลง่ เรียนรู้......................................................................................... 151
ประโยชน์ของแหลง่ เรียนรู้....................................................................................... 154
แนวคิดเกีย่ วกบั การบริหารแหล่งเรียนรู้ ......................................................................... 155
พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. 2542 แกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบบั ท่ี2) พ.ศ. 2545
และ (ฉบับท่ี 3) พ.ศ. 2553 ท่ีเกย่ี วข้องกับการจัดการแหลง่ เรยี นรู้ ....................... 156
การบรหิ ารจดั การแหล่งเรียนรู้ ................................................................................ 157
บทบาทของบุคลากรในการพัฒนาแหลง่ เรียนรใู้ นสถานศึกษา ................................. 161
การบูรณาการการบริหารแหลง่ เรยี นรู้เพอื่ การจดั การเรียนรู้ .......................................... 162
บทสรปุ .............................................................................................................................166



สารบัญ (ต่อ)

บทที่ 7 การจดั การเรียนการรู้ และการสอนเสริม....................................................................169
บทนำ............................................................................................................................. ...169
แนวคดิ เกยี่ วกบั การจดั การเรียนการรู้.............................................................................170
ความหมายของการจัดการเรียนรู้ ............................................................................170
ความสำคญั ของการจัดการเรยี นรู้............................................................................171
ลักษณะของการจัดการเรยี นรู้..................................................................................171
องค์ประกอบของการจดั การเรยี นรู้..........................................................................172
หลักพน้ื ฐานในการจดั การเรียนรู้..............................................................................175
ลักษณะการจดั การเรียนรูท้ ่ดี ี ...................................................................................176
สมรรถนะการจดั การเรียนรู้ของครู .................................................................................178
การบูรณาการการจดั การเรียนการรู้ ...............................................................................181
แนวคดิ เก่ยี วกบั การสอนเสริม.........................................................................................183
ความหมายของการสอนเสรมิ ..................................................................................183
วตั ถุประสงค์การสอนเสรมิ .......................................................................................183
วธิ กี ารสอนเสรมิ ......................................................................................................184
หลักของการสอนเสริม.............................................................................................186
ประสิทธภิ าพของการสอนเสริม ...............................................................................186
การนำการสอนเสรมิ ไปใชใ้ นการจัดการศึกษา ................................................................187
บทสรุป............................................................................................................................. 188

บทท่ี 8 การวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้...............................................................................191
บทนำ................................................................................................................................191
หลกั เบื้องต้นการวดั และการประเมนิ ผลการศึกษา..........................................................192
ความหมายของการทดสอบ การวัดผล และการประเมินผล ...........................................193
การทดสอบ (testing)..............................................................................................193
การวดั ผล (Measurement)....................................................................................193
การประเมนิ ผล (Evaluation) .................................................................................194
ประเภทของการทดสอบ การวัดผลและการประเมินผล...........................................194
แนวคดิ ในการวัดผลและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ ...............................................................196
การประเมนิ ระดับช้ันเรยี น.......................................................................................197
การประเมินระดบั สถานศึกษา .................................................................................197
การประเมนิ ระดับเขตพนื้ ทีก่ ารศึกษา ......................................................................197
การประเมนิ ระดบั ชาติ.............................................................................................197
หลักการดำเนินการวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้............................................................198



สารบญั (ต่อ)

องคป์ ระกอบของการวดั และประเมนิ ผลการเรยี นรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขัน้ พืน้ ฐาน
พทุ ธศักราช ๒๕๕๑........................................................................................................................ 199

การวดั และประเมินผลการเรียนรู้ตามกลุม่ สาระการเรยี นรู้...................................... 199
การประเมินการอา่ น คดิ วิเคราะห์ และเขียน .......................................................... 200
การประเมินคณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ................................................................... 201
การประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรยี น .......................................................................... 202
เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้ ......................................................................... 202
เคร่อื งมอื วดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้........................................................................... 209
หลักการของการวัดและประเมนิ ผลการศกึ ษา................................................................ 211
ประโยชนข์ องการวดั และประเมนิ ผล ............................................................................. 212
การบรู ณาการการวดั ผลและประเมินผลไปใช้ ................................................................ 213
บทสรปุ ............................................................................................................................. 216
บทท่ี 9 การพัฒนาศกั ยภาพการเรยี นรู้ของผเู้ รยี น..................................................................219
บทนำ................................................................................................................. ...............219
ความหมายของการพฒั นาศกั ยภาพการเรียนรู้............................................................... 220
ความหมายของการพัฒนา ...................................................................................... 220
ความหมายของศกั ยภาพ......................................................................................... 221
ความหมายของการเรียนรู้....................................................................................... 221
หลกั การพัฒนาศกั ยภาพของผูเ้ รยี น ........................................................................ 224
คณุ ลกั ษณะของนักเรยี นใศตวรรษที่ 21........................................................................ 225
ทักษะในศตวรรษท่ี 21 ของผู้เรยี น ............................................................................... 225
ทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม............................................................................... 225
ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรม........................................................................... 226
ทักษะดา้ นสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี ............................................................... 228
แนวทางการพฒั นาศักยภาพผู้เรยี น................................................................................ 229
การพฒั นาผู้เรียนอยา่ งสรา้ งสรรค์ ........................................................................... 229
การพฒั นาศักยภาพการเรยี นรโู้ ดยใชก้ ระบวนการจิตตปญั ญาศึกษา ....................... 231
การพัฒนาศกั ยภาพผเู้ รยี นด้วยทักษะการเรียนรู้ทจ่ี ำเปน็ ในศตวรรษที่ 21.............. 232
บทสรปุ ............................................................................................................................. 233
บทที่ 10 บทบาทครูและผู้บริหารกับการพัฒนาประเทศ........................................................234
บทนำ................................................................................................................................235
ความหมายของบทบาท ................................................................................................. 235



สารบญั (ต่อ)

บทบาทของครกู บั การพฒั นาประเทศ...........................................................................................236
บทบาทของครูตามหลกั วชิ าการ ..............................................................................236
บทบาทของครตู าม TEACHERS MODEL................................................................237
บทบาทของครตู ามแนวคิดปรัชญาลัทธติ ่าง ๆ..........................................................238
บทบาทของครูตามหลักพระพทุ ธศาสนา..................................................................238
บทบาทครูในศตวรรษที่ 21 ....................................................................................239
บทบาทของครูตามพระราชบัญญตั กิ ารศึกษา ..........................................................240
บทบาทของครใู นการสรา้ งเสรมิ ประชาธปิ ไตย"........................................................241

บทบาทของผบู้ ริหารกับการพัฒนาประเทศ ....................................................................242
ความหมายของบทบาทของผู้บริหาร .......................................................................242
บทบาทของผู้บริหารในการพัฒนาประเทศ ..............................................................243

บทสรุป.............................................................................................................................247
บรรณานกุ รม.................................................................................................................... 249



สารบญั ภาพ

ภาพประกอบ 1 อาณาจักรน่านเจา้ ...................................................................................................3
ภาพประกอบ 2 การจดั การศึกษาในสมัยสโุ ขทยั ...............................................................................3
ภาพประกอบ 3 การจดั การศึกษาสมยั กรงุ ศรีอยุทธยา......................................................................5
ภาพประกอบ 4 การจัดการศึกษาสมัยกรุงธนบรุ ี...............................................................................6
ภาพประกอบ 5 การจัดการศึกษาสมยั รตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น..............................................................6
ภาพประกอบ 6 โรงเรยี นหลวง .........................................................................................................7
ภาพประกอบ 7 พระบาทสมเดจ็ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยหู่ วั ..............................................................8
ภาพประกอบ 8 กระทรวงธรรมการ..................................................................................................8
ภาพประกอบ 9 โรงเรยี นฝกึ หัดครู....................................................................................................9
ภาพประกอบ 10 โครงการศึกษา พ.ศ.2445 ............................................................................... 10
ภาพประกอบ 11 โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจา้

อย่หู ัวเป็น “จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย” ............................................................. 11
ภาพประกอบ 12 รัฐบาลคณะราษฎร์............................................................................................ 12
ภาพประกอบ 13 พราะราชกรณียกจิ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้ามหาราช................................... 12
ภาพประกอบ 14 ครูโรงเรียนประชาบาล ...................................................................................... 13
ภาพประกอบ 15 พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานันทมหิด ................................................ 14
ภาพประกอบ 16 โรงเรยี นประชาบาล .......................................................................................... 15
ภาพประกอบ 17 การศึกษาในปี พ.ศ. 2520............................................................................... 17
ภาพประกอบ 18 โรงเรยี นมัธยมในปี พ.ศ.2535 ......................................................................... 17
ภาพประกอบ 19 ตวั อย่างใบประกอบวชิ าชีพครแู ละผ้บู ริหารสถานศกึ ษา..................................... 19
ภาพประกอบ 20 เทคโนโลยที างดา้ นการศกึ ษา............................................................................. 25
ภาพประกอบ 21 แสดงโครงสรา้ งของปรชั ญาบรสิ ุทธิ์ ................................................................... 32
ภาพประกอบ 22 William Bagley.............................................................................................. 36
ภาพประกอบ 23 Thomas Aquinas ........................................................................................... 38
ภาพประกอบ 24 John Dewey................................................................................................... 39
ภาพประกอบ 25 Theodor Brameld ......................................................................................... 40
ภาพประกอบ 26 Soren Kierkegard and Jean Paul Sartre.................................................... 41
ภาพประกอบ 27 พทุ ธทาสภกิ ขุและศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ............................................. 42
ภาพประกอบ 28 การทดลองของธอร์นไดค์ Thorndike Theory................................................. 53
ภาพประกอบ 29 การทดลองของ พาฟลอฟ (Pavlov’s Classical Conditioning)...................... 55
ภาพประกอบ 30 การทดลองของวตั สนั (Watson’s Classical Conditioning)........................... 56
ภาพประกอบ 31 การทดลองของกทั ธรี (Guthrie’s Contiguous Conditioning theory).......... 58
ภาพประกอบ 32 การทดลองของสกนิ เนอร์(Skinner’s Operant Conditioning) ....................... 59
ภาพประกอบ 33 ทฤษฎีการเรียนรูก้ ลุ่มพทุ ธนิ ิยมCognitivism).................................................... 73



สารบัญภาพ (ต่อ)

ภาพประกอบ 34 องคป์ ระกอบของหลักสตู ร ของ Taba Hilda.....................................................86
ภาพประกอบ 35 องค์ประกอบของหลกั สตู รของ Tyler ................................................................86
ภาพประกอบ 36 แบบจำลองการพฒั นาหลักสตู รของ Tyler.........................................................90
ภาพประกอบ 37 รปู แบบการพัฒนาหลกั สูตรของ สงัด อุทรานนั ท์ ...............................................91
ภาพประกอบ 38 แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของ Taba.........................................................93
ภาพประกอบ 39 แบบการจำลองการพัฒนาหลกั สตู รของ Saylor J.G, Alexander .....................94
ภาพประกอบ 40 แบบจำลองการพฒั นาหลักสตู รของ Oliva.........................................................95
ภาพประกอบ 41 รูปแบบและข้นั ตอนการพัฒนาหลักสูตรและการสอนของวิชัย วงษ์ใหญ่.............95
ภาพประกอบ 42 แนวคดิ การประเมินของ Tyler .......................................................................100
ภาพประกอบ 43 ขั้นตอนการประเมนิ ของ Tyler.......................................................................101
ภาพประกอบ 44 รูปแบบการประเมนิ ของ Robert E. Stake ....................................................101
ภาพประกอบ 45 รูปแบบการประเมนิ หลักสูตรของ Stufflebeam............................................104
ภาพประกอบ 46 รูปแบบการประเมนิ ของ Provus....................................................................105
ภาพประกอบ 47 การประเมินโดยใช้การคดิ อย่างเป็นระบบ .......................................................106
ภาพประกอบ 48 รปู แบบการประเมนิ ของ Hammond.............................................................108
ภาพประกอบ 49 หลกั สูตรการศกึ ษาของประเทศไทยจากอดตี สปู่ ัจจบุ ัน....................................114
ภาพประกอบ 50 หลักสูตรแกนกลางการศกึ ษาขั้นพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551

(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.2560).............................................................................122
ภาพประกอบ 51 การประเมินผลการใชห้ ลกั สตู ร .......................................................................140
ภาพประกอบ 52 แหลง่ เรียนรใู้ นจงั หวดั สกลนคร .......................................................................147
ภาพประกอบ 53 แหลง่ เรียนรใู้ นโรงเรยี น...................................................................................154
ภาพประกอบ 54 แหล่งเรียนรภู้ ายนอกสถานศึกษา....................................................................154
ภาพประกอบ 55 กระบวนการ PDCA........................................................................................159
ภาพประกอบ 56 วงจรการบรหิ ารงาน........................................................................................161
ภาพประกอบ 57 แหล่งเรยี นรู้....................................................................................................165
ภาพประกอบ 58 การบรหิ ารแหล่งเรยี นรู้ตามวงจรเดมม่ิง..........................................................166
ภาพประกอบ 59 ไตรยางคก์ ารสอน ...........................................................................................173
ภาพประกอบ 60 แสดงองค์ประกอบการสอน ............................................................................174
ภาพประกอบ 61 ความสมั พันธร์ ะหวา่ งองค์ประกอบของการเรียนการสอน

ตามแนวคิดของไทเลอร์...................................................................................192
ภาพประกอบ 62 การประเมินระดับชั้นเรียน..............................................................................197
ภาพประกอบ 63 แสดงการวดั และประเมินผลการเรยี นรตู้ ามรายกลมุ่ สาระการเรยี นรู้...............200
ภาพประกอบ 64 แสดงการประเมินการอ่าน คิดวเิ คราะห์และเขียน...........................................201
ภาพประกอบ 65 แสดงการประเมนิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์ ..................................................201



สารบัญภาพ (ต่อ)

ภาพประกอบ 66 แสดงการประเมินกิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น......................................................... 202
ภาพประกอบ 67 แผนภูมิสรปุ การวดั และประเมินผลระดับประถมศกึ ษา................................... 203
ภาพประกอบ 68 แผนภมู สิ รปุ การวดั และประเมินผลระดับมธั ยมศึกษา..................................... 207



สารบญั ตาราง

ตาราง 1 แสดงพัฒนาการมาตรฐานความรู้ ประสบการณว์ ิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัตงิ าน
และมาตรฐานการปฏิบัตติ นตาราง แสดงพัฒนาการมาตรฐานความรู้
ประสบการณ์วชิ าชพี มาตรฐานการปฏบิ ตั ิงาน และมาตรฐานการปฏบิ ตั ิตน ................. 20

ตาราง 2 การประเมินหลกั สูตร ก่อน ระหว่าง และหลังการนำหลกั สตู รไปใช้................................. 97
ตาราง 3 แสดงเก่ียวกบั สมรรถนะการจดั การเรยี นรู้ของสำนกั งานคณะกรรมการ

ข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.).......................................................178
ตาราง 4 แสดงพัฒนาครู ด้านการบริหารหลกั สตู รและการจัดการเรียนรู้

ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาข้ันพืน้ ท่ี (สพฐ.)...............................................179
ตาราง 5 แสดงสมรถะการจัดการเรยี นรู้ 6 ดา้ น..........................................................................180
ตาราง 6 วธิ กี ารวดั และประเมินการเรยี นรูและตัวอย่างเครื่องมือ.................................................211

1

บทที่ 1

ประวตั ิและแนวคิดทม่ี อี ทิ ธิพลตอ่ การศึกษาไทย

บทนำ

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีประวัติการเปลี่ยนแปลง ทั้งการเมือง การปกครอง และ
การศึกษายาวนาน ซึ่งจะเห็นได้จากประวัติศาสตร์ไทยที่มีนักการศึกษาได้ทำการศึกษาในเรื่องต่าง ๆ
ซง่ึ รวมไปถงึ เร่อื งเก่ยี วกบั การศกึ ษาในอดีตคนไทยมีความผูกพันอยู่กับศาสนาพุทธมาเปน็ ระยะเวลาอัน
ยาวนาน ดังนั้น พระภิกษุ เปรียบเสมือน ครูผู้สอน และโรงเรียนได้จัดตัง้ ข้ึนในวัด มีการจัดการศึกษา
บ้าน วัด วัง เป็นต้น จนกระทั้งได้รับอิทธิพลในเรื่องการศึกษาจากการเผยแพร่ศาสนา จากมิชชันนารี
ซึ่งเป็นครูชาวต่างประเทศ จึงทำให้ประเทศไทยต้องมีการปฏิรูปการศึกษาและปฏิรูปโดยตั้งโรงเรียน
ฝึกหัดครู ให้ผู้ทำหน้าที่ครูเปน็ ข้าราชการ มาจนกระท่ังในปี พ.ศ.2488 ได้มีการตราพระราชบัญญัติ
ครู พุทธศักราช 2488 นับได้ว่าครูมีความมั่นคงในอาชีพ พระราชบัญญัติครูดังกล่าวได้ปรับปรุง
เปลยี่ นแปลงหลายต่อหลายฉบับ และได้มีการตราพระราชบัญญัติสภาครู และบคุ ลากรทางการศึกษา
พ.ศ.2546 โดยได้บัญญัติให้อาชีพครูเป็นวิชาชีพ และในปีต่อมาได้ตราพระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 เป็นพระราชบัญญัติที่ทำให้ครูมีความรุ่งโรจน์
แห่งวชิ าชีพ

การจัดการศึกษาของไทยมีวิวัฒนาการมาโดยตลอด อาจจะเป็นเพราะมีปัจจัยทั้งภายในและ
ภายนอกประเทศทำให้สังคมมีการเปลี่ยนแปลง กล่าวคือ ปัจจัยภายในเกิดจากความต้องการพัฒนา
สังคมให้มีความเจรญิ และทนั สมัย สว่ นปัจจัยภายนอกเกิดจากกระแสความเปล่ยี นแปลงของสังคมโลก
ทัง้ ด้านเศรษฐกิจและการเมือง ตลอดจนการติดต่อส่ือสารกันทำให้ประเทศไทยต้องปรับตัวให้ทันสมัย
เพื่อความอยู่รอดและประเทศได้เกิดการพัฒนาให้ทัดเทียมกับนานาประเทศ ด้วยเหตุผลที่กล่าวมา
ทำให้การจัดการศึกษาของไทยมีวิวัฒนาการเรื่อยมา ซึ่งเป็นปัจจัยที่ช่วยเสริมความเจริญก้าวหน้าทั้ง
ทางดา้ นสังคม เศรษฐกิจและการเมืองของชาตใิ หม้ ่ันคงและเจริญก้าวหนา้

ผเู้ ขียนศึกษาประวตั แิ ละแนวคดิ ที่มีอทิ ธิพลต่อการศกึ ษาไทย จากเรือ่ งราวดังตอ่ ไปน้ี
1. ประวัติของการศึกษาไทย ของครูในยุคต่าง ๆ ดังนี้ ครูยุคการศึกษาไทยสมัยโบราณ

ครูยุคก่อนมีพระราชบัญญัติครูพุทธศักราช 2488 (พ.ศ.2414- 2487) ครูยุคก่อนมีระราชบัญญัติ
ครู พุทธศักราช 2488 ครูยุคมีใบประกอบวิชาชีพครู (พ.ศ.2546) และครูยุคมีความรุ่งโรจน์แห่ง
วชิ าชีพครู (พ.ศ.2547- ปัจจุบัน)

2. แนวคิดที่มีอิทธิพลต่อการศึกษา โดยมีเนื้อหาดังนี้ อิทธิพลในสมัยปฏิรูปการศึกษา
พ.ศ.2412 – พ.ศ.2475 อิทธิพลในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อิทธิพลใน
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว อิทธิพลในสมัยการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ
พ.ศ.2475 –ปัจจุบัน การศึกษาในสมัยปัจจุบัน ปัจจัยภายนอกกับแนวโน้มการศึกษา และแนวโน้ม
การศกึ ษาไทยในอนาคต

2

ประวัติของการศกึ ษาไทย

การเริ่มต้นในการการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับวิชาชีพครูได้มีพัฒนาการอันยาวนานเพื่อให้เกิด
ความรู้ และความเข้าในลำดับขั้นตอนของการพัฒนาการของวิชาชีพครู ผู้เขียนจึงแบ่งออกเป็นยุค
(Era) เรยี กวา่ ยุคพฒั นาการของวชิ าชพี ครู ดงั ต่อไปนี้ (Namthip Julprayoon, 2020)

1. ครยู ุคการศึกษาไทยโบราณ (ก่อน พ.ศ. 1730-2413)
1.1 สมัยอาณาจกั รนา่ นเจ้า
1.2 สมัยสุโขทยั (พ.ศ.1781-1983)
1.3 สมัยกรงุ ศรอี ยธุ ยา (พ.ศ.1893-2310)
1.4 สมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ.2310-2325) และกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น

(รชั กาลท่ี 1-4 : พ.ศ. 2325-2410)
2. ครยู ุคกอ่ นมีพระราชบญั ญัตคิ รูพุทธศักราช 2488 (พ.ศ.2414-2487)
3. ครูยุคก่อนมีระราชบญั ญตั คิ รู พุทธศกั ราช 2488
4. ครูยคุ มีใบประกอบวิชาชพี ครู (พ.ศ.2546)
5. ครูยคุ มีความรงุ่ โรจน์แห่งวชิ าชีพครู (พ.ศ.2547- ปจั จุบนั )

1. ครยู คุ การศกึ ษาไทยโบราณ (ก่อน พ.ศ. 1730-2413)
ชนชาติไทยมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน การดำเนินชีวิตที่ให้คนไทยอยู่ดีมีสุข

อยรู่ อดปลอดภัย และวัฒนธรรมและประเพณีตอ่ คนรนุ่ หลัง แบ่งออกเป็น 4 สมยั ดังนี้
1.1 สมัยอาณาจกั รนา่ นเจ้า
ในประวัติศาสตร์จีน ได้กล่าวถึงชนชาติไทยที่อาศัยอยู่บริเวณมณฑลยูนาน เรียกว่า

อาณาจักรน่านเจ้า ไทยเป็นชนชาติโบราณที่มีการศึกษาดีชาติหนึ่ง บ้านเมืองมีความเจริญมาก มีการ
จัดระเบียบการปกครอง ตลอดจนวัฒนธรรมประเพณีต่าง ๆ มีการสั่งสอนอบรมและถ่ายทอดมาส่คู น
รุ่นหลัง ครูไทยเกิดขึ้นในสมัยอาณาจักรน่านเจ้า ในสมัยนั้นไม่มีระบบโรงเรียน บุคคลที่ทำหน้าที่เป็น
ครู คือ ผู้รอบรู้เรื่องขนบประเพณีและวัฒนธรรมของเผ่าพันธุ์ได้แก่ หัวหน้าของชุมชน หรือผู้นำ
ครอบครัว ซึ่งบุคคลดังกล่าวคือผู้ที่ได้รับยกย่องให้เป็นครูเพศชายล้วน ครูจำแนกออกเป็น 3 ระดับ
คอื (เจรญิ ไวรวจั นกลู , ม.ป.ป)

ระดับ 1 ตุ๊หลวง คือ เจ้าอาวาส(เป็นผู้มีวิชาสูง มีความรู้ในวิชาหนังสือ)
ทำหน้าที่เปน็ ครูใหญ่

ระดบั 2 ตบุ๊ าลก๋า คอื พระภิกษุท่ีมีพรรษาแกกว่า 5 พรรษาขึ้นไป ทำหน้าท่ี
สอนหนังสอื ใหแ้ ก่พระภกิ ษุและสามเณรทวั่ ไป

ระดบั 3 ตุ๊หนาน คือ พระภกิ ษทุ ี่อ่อนพรรษา ทำหนา้ ท่ีสอนโยมวัด (ศิษย์วัด)
หมายถงึ เด็กที่พอ่ แม่นำไปฝากเปน็ ศษิ ย์

3

ภาพประกอบ 1 อาณาจักรน่านเจา้

ท่ีมา (ไทยรัฐ, (2563). อาณาจกั รนา่ นเจา้ . คน้ เมอ่ื ธนั วาคม 10, 2563, จาก https://www.thairath.co.th/content/298209)

ดังนน้ั ครผู ูส้ อนคอื ผู้บอกหรือใหค้ วามรู้ หรอื มีการสงั่ สอน อบรม และถา่ ยทอดมาสู่คนรุ่น
หลัง เพ่ือให้ลูกศษิ ย์ได้นำความรู้ต่าง ๆ ไปใช้ในการประกอบอาชีพ ไปใช้ในการประกอบอาชีพ และใช้
ในการดำเนินชีวิตประจำวันได้อยู่ปกติสุข อีกทั้งการศึกษาไทยยุคสมัยโบราณ จัดการศึกษาที่ไม่มี
ระบบและแบบแผน คือ ไม่มีระบบโรงเรียน และชั้นเรียน วัดเป็นแหล่งให้ความรู้ มี พระภิกษุเป็น
ผู้สอน เพียงเพื่อประกอบอาชีพ วิชาความรู้ส่วนใหญ่ที่ถ่ายทอดไมม่ ีการจดบันทกึ ไว้ ใช้ความสามารถ
ในการท่องจำมากกว่า ซึ่งการจัดการศึกษาสมัยโบราณไม่มีแบบแผนและรูปแบบที่ชัดเจน จึงทำให้
การศกึ ษาไม่มอี ิทธิพลตอ่ การเปลยี่ นแปลงดา้ นการเมอื ง เศรษฐกจิ และสงั คมมากนัก

1.2 สมัยสโุ ขทัย (พ.ศ.1781-1983)
การศึกษาที่สำคัญคือ การกำเนิดอักษรไทยครั้งแรกคือ พ่อขุนรามคำแหงมหาราช

สถานทศ่ี ึกษาในสมยั สุโขทยั นัน้ แบ่งได้ 4 ประเภท คอื
1) บ้าน เป็นสถานท่เี ร่ิมต้นของผ้ชู ายและผหู้ ญงิ ทุกคน โดยอบรมบม่ เพาะจากบิดา

มารดา
2) วดั เป็นสถานทท่ี ี่ศึกษาสำหรับผูช้ ายเป็นพระเพ่ือศึกษาพระไตรปฏิ ก จริยธรรม

คุณธรรม ส่วนผหู้ ญิงจะเรยี นเกี่ยวกับฝึกความเป็นกลุ สตรี การเยบ็ ปักถกั ร้อย ทำอาหาร
3) สำนักราชบัณฑิต สำหรับผ้มู ียศถาบรรดาศักดิ์ ศึกษาวชิ าชีพท่สี งู ขนึ้ มา
4) วงั สำหรบั เชอ้ื ราชวงศ์ ศึกษาเกย่ี วกบั ยทุ ธหัตถี การปกครอง

ภาพประกอบ 2 การจดั การศึกษาในสมัยสโุ ขทัย

ท่มี า (การจดั การศกึ ษาสมัยสุโขทัย. (2563). ยอ้ นดกู ารศึกษาจากมีวดั เป็นโรงเรียน มีพระเป็นครู. คน้ เม่อื ธนั วาคม 10, 2563,
จาก https://shorturl.asia/ycHiR.)

4

การจัดแบง่ การศกึ ษาเปน็ 4 ลกั ษณะคือ
จริยศกึ ษา สอนศลี ธรรมจรรยา เนน้ หลักพทุ ธศาสนาแบบหินยานพระภิกษุเป็นผู้สอน

สถานศึกษาท่ีสำนักสงฆห์ รอื วดั เน้นการปฏบิ ัติ
พลศกึ ษา สอนผู้ชายสำหรับป้องกันตวั ใช้ในเวลาศกึ สงคราม
พุทธิศึกษา ศึกษาจากวัด มีพระภิกษุเป็นผู้สอน การอ่าน เขียนภาษาไทยภาษาบาลี

และวชิ าความรู้เบ้ืองตน้
หัตถศึกษา สอนผู้หญิง พ่อแม่ที่มีความรู้ด้านอาชีพ เพื่อเป็นเครื่องมือทำมาหากิน

และสบื วงศ์ตระกลู อาทิ งานประดษิ ฐ์ เย็บปักถกั ร้อย และทอผ้า
สันนิษฐานได้ว่าในสมัยสุโขทัยมีการจัดตั้งโรงเรียนขึ้นแล้วและมีนักวิชาการอยู่เป็น

จำนวนมาก ดงั ท่ีเหน็ ไดจ้ ากการมีตวั อักษรไทยที่เรียกว่า ลายสือไทย ทีน่ ำมาใชเ้ ปน็ เคร่ืองมือสำคัญยิ่ง
ในการศกึ ษาเล่าเรยี น อบรม ถา่ ยทอดความรู้ สำหรบั จดั การศึกษาในสมยั นั้นคงจัดร่วมกันระหว่างรัฐ
กับวัด ซึ่งวัดเป็นศูนย์กลางแห่งประชาคม โดยประชาคมเป็นได้ทั้งผู้เรียนและผู้สอนอยู่ในตัวเสร็จ
(Namthip Julprayoon, 2020)

1.3 สมยั กรงุ ศรีอยุธยา (พ.ศ.1893-2310)
เปน็ ดินแดนท่ีมีความเป็นเอกราชยาวนานมากกวา่ 400 ปี ในยุคน้มี ีการเปลี่ยนแปลง

และพัฒนาเป็นอย่างมากในทุก ๆ ด้าน เช่น การเมือง เศรษฐกิจ สังคม การปกครอง และการศึกษา
สำหรับชนชาติในเอเชียที่เข้ามาทำการติดต่อค้าขายและทำมาหากินประกอบด้วย จีน มลายู ญวน
เขมร อินเดีย และอาหรับ เมื่อมาถึงในรัชกาลของพระราชาธิบดีที่ 2 มีชนชาติยุโรปเข้ามาติดต่อ
ค้าขายและทำมาหากินที่เป็นชาติแรก คือ โปรตุเกส และมีชาติอื่น ๆ ตามมา เช่น ฮอลันดา ฝรั่งเศส
เป็นต้น (ฤทธชิ ยั มงคลสภุ า, 2558)

จากหลักฐานต่าง ๆ ทางประวัติศาสตรแ์ ละโบราณคดีแล้ว กล่าวได้ว่า ในช่วงที่ยงั ไมม่ ี
การติดตอ่ กับฝรง่ั นนั้ กรงุ ศรอี ยุธยามี ธรรมเนยี มการศึกษาเชน่ เดียวกับกรงุ สโุ ขทัย กล่าวคือ

1. วัด เป็นศูนย์กลางการศึกษาทั้งของฆราวาสและของบรรพชติ แลว้ เป็นศนู ย์กลาง
กิจกรรม ต่าง ๆ ของสังคมพระสงฆ์เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญ ในการอบรมสั่งสอนประชาชน และ
การทีว่ ัดเปน็ สำนกั สงั่ สอนวิชาการต่าง ๆ นน้ั ได้สืบประเพณีมาจนต้นสมัยกรุงรัตนโกสินทร์

2. วิชาชีพ เช่น การทำนา ทำสวน การช่างต่าง ๆ เช่น ช่างเหล็ก ช่างทอง
ช่างหล่อ ช่างบาตร ก็สอนกันในครอบครัวหรือในวงศาคณาญาติ สำหรับชายหนุ่มที่หวังจะเอาดี
ทางวิชาการต่อสู้และป้องกันตัว เช่น วิชามวย วิชาฟันดาบ วิชากระบี่กระบอง ก็จะเล่าเรียน
จากสำนักตา่ ง ๆ

3. ทางฝ่ายราชสำนัก นอกจากจะส่งพระราชกุมารไปศึกษากับพระสงฆ์ตามพระ
อารามต่าง ๆ แล้วก็มักจะมีพระมหาราชครูและ โหราธิบดีเข้ามา สอนนิติศาสตร์ อักษรศาสตร์ ราช
ประเพณี ตลอดจนวิชาการปกครอง และการรบพุ่งอื่น ๆ อีกด้วย พระมหาราชครูและพระโหราธิบดี
ส่วนมากจะเป็น พราหมณ์ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า สมัยกรุงศรอี ยุธยาเรารับปรชั ญาการศึกษามาทางฝา่ ย
ราชสำนักจากศาสนาพราหมณ์ ทำให้ปรัชญาการศึกษาฝ่ายพุทธและ พราหมณ์อยู่คู่กันมาตราบเท่า
ทุกวนั นี้

5

ภาพประกอบ 3 การจดั การศึกษาสมัยกรงุ ศรอี ยุทธยา

ท่ีมา (EDUCATION, (2564). จินดามณี ตำราเรียนของไทยในสมยั อยุธยา ตน้ แบบอกั ษรภาษาในปัจจบุ ัน.)
คน้ เมอ่ื มกราคม 20, 2564, จาก https://shorturl.asia/RhNaC)

นอกจากนี้ยังมีการเรียนภาษาต่างประเทศ ภาษาบาลี ภาษาสันสกฤต ภาษาพม่า
ภาษาเขมร ภาษาจีน ภาษาฝรั่งเศส และมีโรงเรียนบาทหลวง สอนศาสนาได้อย่างเสรี แผ่นดินที่
วรรณกรรมเฟื่องฟูสุดขีด ก็คือ แผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อันเป็นยุคที่มีการติดต่อทำมา
คา้ ขายกบั ฝร่งั อย่างกวา้ งขวาง พระเจา้ อยู่หวั สนพระราชหฤทัย ในด้าน อกั ษรศาสตรเ์ ปน็ พเิ ศษ

วรรณคดีสำคัญ ในสมัยนี้ก็มี เสือโคคำฉันท์ สมุทโฆษคำฉันท์ ลิลิตพระลอ อนิรุทธิ์คำ
ฉนั ท์ กำสรวลศรีปราชญท์ วาทศมาส โคลงนิราศหรภิ ญุ ไชย รำพนั พิลาปคำฉันท์ โคลงเฉลิมพระเกียรติ
สมเด็จพระนารายณ์ เป็นต้น กวีสำคัญๆ ก็มีพระมหาราชครู ศรีปราชญ์ พระศรีมโหสถ ขุนเทพกวี
และองค์พระเจ้าอยู่หัว ก็ทรงเป็นกวีด้วย จินดามณี ซึ่งถือเป็นแบบเรียนเล่มแรกของไทย ก็เกิดขึ้นใน
สมัยน้ี ผู้แต่งคือ พระมหาราชครูวรรณคดีสมัยก่อน ใช้วิธีเขียนลงบนสมุดไทย หรือไม่ก็จะจารลงบน
ใบลาน วธิ กี ารเรยี นจะใช้วิธที อ่ งจำ นักเรยี นส่วนใหญ่เปน็ ผู้ชาย ส่วนนกั เรียนหญิงจะเรียนการบา้ นการ
เรอื น และอยใู่ นราชสำนัก “ศาสตรต์ ่าง ๆ เจริญรุ่งเรืองมากในยุคนี้”

ครูในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือ พระภิกษุทำหน้าที่สำคัญในการให้การศึกษาแก่เยาวชน
เนื่องจากวัดเป็นโรงเรียนสาธารณะประเภทเดียวเท่านั้น นอกเหนือจากพระภิกษุแล้ว ผู้ที่เป็นครู
ประกอบด้วย ปราชญ์ราชบัณฑิต ช่างวิชาชีพต่าง ๆ และบิดามารดา ในสมัยนี้มีการจัดตั้งโรงเรียน
มิชชันนารีซึ่งเป็นโรงเรียนที่ชาวตะวันตกได้เข้ามาสร้างไว้เพื่อเผยแผ่ศาสนา และขณะเดียวกันทำการ
สอนวิชาสามญั ไปด้วย

ดังนั้น บุคคลที่มาเป็นครูในสมัยนี้มีเพิ่มขึ้นอีกประเภทหนึ่ง คือ มิชชันนารี นับได้ว่า
ครูชาวต่างประเทศเกิดขึ้นแล้วในไทย ตามหลักฐานทางการศึกษาที่กล่าวไว้ในหนังสือ ประวัติ
กระทรวงศึกษาธิการ 2435-2507 เขียนโดย กระทรวงศึกษาธิการได้ระบุว่าสมัยสมเด็จพระ
นารายณ์มหาราช การศึกษาเจรญิ ก้าวหนา้ มาก มีพวกสอนศาสนาชาวต่างชาติมาตง้ั โงเรยี นสอนภาษา
และศาสนา (กระทรวงศกึ ษาธิการ. 2507 : 2 อ้างถึงใน Namthip Julprayoon, 2020)

1.4 สมยั กรงุ ธนบุรี (พ.ศ.2310-2325) และกรงุ รตั นโกสินทรต์ อนตน้
(รัชกาลที่ 1-4 : พ.ศ.2325-2410)

มกี ารเปลย่ี นแปลงไม่เด่นชัด ชาวบ้านที่มฐี านะดีและข้าราชการ นิยมส่งบุตรหลาน
ไปศึกษาเล่าเรียนที่วัด และการจัดการศึกษาตอนต้นรัตนโกสินทร์ เริ่มนำวิทยาการใหม่ ๆ จัดพิมพ์
ตำราเรียน เป็นจุดเริม่ ต้นการปฏริ ูปการศึกษาของไทย กรุงธนบุรีเปน็ พระนครหลวงของไทยอยู่เพยี ง

6

15 ปี และเป็น 15 ปีแห่งการทำสงคราม ถึงกระนั้นกรุงธนบุรี ก็ยังได้วางพื้นฐานทั้งในด้านการค้า
การศาสนา และอักษรศาสตร์ ไว้ให้กับ ราชอาณาจักรไทยอย่างมั่นคง ท้ังนี้ด้วยพระอัจฉริยภาพของ
สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีโดยแท้ การศึกษาในสมัยกรุงธนบุรี แม้จะไม่เจริญก้าวหน้านัก แต่ก็เป็นการ
เรมิ่ ตน้ ทางการศึกษาทเี่ ป็น พืน้ ฐานให้เกดิ ความเจริญก้าวหน้าทางการศึกษาในสมยั กรุงรัตนโกสินทร์

ภาพประกอบ 4 การจดั การศึกษาสมัยกรุงธนบรุ ี

ที่มา (การเมืองการปกครอง. (2564). สมัยกรุงธนบุร.ี คน้ เม่ือ มีนาคม, 20, 2564, จาก https://shorturl.asia/kWLAg.)

กรุงรัตนโกสนิ ทร์ตอนต้น (รัชกาลที่ 1-4 : พ.ศ.2325-2413) แนวการจัดการศึกษา
เร่ิมมแี บบแผน แบบเรยี นสมัยน้มี หี นงั สอื จินดามณี หนังสือ ประถม ก กา และ ปฐม มาลา

การศกึ ษาสมยั กรงุ รัตนโกสนิ ทรต์ อนต้น ไม่ผดิ แผกไปจากการศกึ ษาสมัยกรุงศรีอยุธยา
เท่าใดนัก กล่าวคือ ในราชสำนกั คงมีปราชญร์ าชบัณฑติ เป็นผูใ้ หค้ วามรแู้ กพ่ ระราชโอรส พระราชธิดา
และพระบรมวงศานุวงศ์ ส่วนการศกึ ษาของสามัญชนก็อาศยั วดั เป็นศนู ย์กลาง เป็นแหล่งให้ความรู้โดย
มีพระเป็นผู้สอนหนังสือ ให้รู้จักการอ่าน เขียน คิดเลขเป็น พร้อมทั้งสอดแทรกจริยธรรมและ
หลักธรรม ของพระพุทธศาสนาไปในตวั มีการกำหนดหลักการและวิธีการในการจัดการศึกษาเรียกว่า
มาติกาการศึกษา มีหลักฐานปรากฏว่า ได้มีหนังสือเรียนไว้อยู่ 5 เล่ม คือ ประถม ก กา สุบินทกุมาร
ปฐมมาลา ประถมจินดามณี เลม่ 1และประถมจนิ ดามณี เล่ม 2

ถือได้ว่าเป็นการสิ้นการศึกษาไทยโบราณ ในส่วนของการจัดการศึกษาไม่แตกต่างไป
จากกรุงศรีอยุธยา สำหรับในส่วนของครูขึ้นอยู่กับสำนักการศึกษา อาจเป็นพระภิกษุ ปราชญ์ราช
บณั ฑิต ชา่ งวิชาชพี ต่าง ๆ บดิ ามารดา และพวกมิชชันนารสี ำหรบั มิชชนั นารี วิทย์ วศิ ทเวทย์ (2555 :
50) ได้กล่าวว่า เมื่อ พ.ศ. 2391 นางแมตตูน เป็นมิชชันนารีชาวอเมริกันได้รับเด็กชาวมอญมาสอน
หนังสือให้

ภาพประกอบ 5 การจดั การศกึ ษาสมยั รัตนโกสินทรต์ อนต้น

ท่ีมา (พรทิพย์ เทศแจ่ม. (2564). ข่าวเคล่ือนไหวทางการศึกษา. ค้นเมื่อ มิถุนายน, 10, 2564, จาก https://shorturl.asia/evl0t)

7

2. ครูยุคกอ่ นมพี ระราชบัญญตั คิ รูพทุ ธศกั ราช 2488 (พ.ศ.2414-2487)
เป็นเวลา 139 ปีแล้ว ที่ “โรงเรียน” แห่งแรกได้ถือกำเนิดขึ้นในประเทศไทย ด้วย

วัตถุประสงค์เพื่อผลิตคนเข้ารับราชการ นับแต่นั้นมาระบบการศึกษาของไทยก็ได้เหวี่ยงตัวอยู่ภายใต้
ระบบโครงสรา้ งทางการเมอื งและเศรษฐกิจเร่อื ยมายคุ แลว้ ยุคเล่าโดยตลอด

พ.ศ.2414 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระกรุณาโปรดเกล้าฯ
ให้ตั้ง “โรงเรียนหลวง” (โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ) สำหรับบุตรหลานคนชั้นสูงขึ้นใน
พระบรมมหาราชวัง นับเป็นโรงเรียนแรกตามรูปแบบของโรงเรียนในปัจจุบัน กล่าวคือมีสถานที่
ซึ่งจัดไว้โดยเฉพาะ มีฆราวาสเป็นครู และมาทำการสอนตามเวลาที่กำหนด สำหรับความมุ่งหมายใน
การตั้งโรงเรียนคือ การสร้างคนให้มีความรู้เพื่อเข้ารับราชการ (ต่อมาได้มีการขยายโรงเรียนหลวง
ออกไปอกี หลายแห่ง)

พ.ศ.2414 (หลังจากก่อตั้งโรงเรียนหลวง) พระยาศรีสุนทรโวหารได้เรียบเรียง
“แบบเรียนหลวง” ขึ้น มี 6 เล่ม สำหรับใช้เป็นหลักสูตรวิชาชั้นต้น แบบเรียนทั้ง 6 เล่มคือ มูลบท
บรรพกิจ วาหนิตนกิ ร อกั ษรประโยค สังโยคพธิ าน ไวพจนพิจารณ์ และ พศิ าลการนั ต์

ภาพประกอบ 6 โรงเรียนหลวง

ทมี่ า (เกร็ดน่ารู้เกย่ี วกับการศกึ ษา. (2564). โรงเรียนเก่าแก่ทส่ี ุดของไทย ชาย-หญงิ . คน้ เม่อื พฤษภาคม, 22, 2564,
จาก https://shorturl.asia/xC7yA.)

พ.ศ.2427 จัดให้มีการ “วิธีสอบไล่หนังสือไทย” หรือการสอบไล่ ขึ้นเป็นครั้งแรก
ณ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ ปรากฏว่าในการสอบไล่ครั้งที่ 3 ที่จัดให้มีขึ้นในปี พ.ศ.2429
นอกจากนักเรยี นของสวนกหุ ลาบแล้ว มีนกั เรยี นจากทีอ่ น่ื มาทำการสอบเพิ่มขน้ึ ดังมีผลสอบคอื

1. โรงเรยี นพระตำหนักสวนกหุ ลาบ 23 คน ได้ 10 คน ตก 13 คน
2. โรงเรียนสราญรมย์ 5 คน ได้ 3 คน ตก 2 คน
3. โรงเรียนวัดต่าง ๆ 41 คน ได้ 13 คน ตก 28 คน
พ.ศ.2428 ได้มีการกำหนด “หลักสูตรประโยคต้น และ ประโยคสอง” ขึ้น นับเป็น
การเริ่มต้นปรับปรุงหลักสูตรอย่างมีแบบแผนรัดกุมเป็นครั้งแรก (หลักสูตรชั้นต้นนั้นคือ การเรียน
แบบเรียนหลวงท้งั 6 เลม่ ส่วนหลักสตู รประโยคสองแบง่ เป็น 8 วชิ าโดยม่งุ เนน้ ทักษะสำหรับฝึกคนให้
ไปเป็นเสมียนรบั ราชการ) มิถนุ ายน 2428 มีการ “ประกาศโรงเรยี น”

8

โดยพระบาทสมเด็จพระจลุ จอมเกลา้ เจา้ อยูห่ ัวทรงโปรดเกล้าฯ ให้มกี ารประกาศชี้แจง
ความมุ่งหมายของการศึกษาและชักชวนให้ราษฎร
นิยมการเรียน หนังสือ ทั้งนี้สืบเนื่องมาจากที่
พระองค์ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัด
โรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรแห่งแรกขึ้นที่วัด
มหรรณพาราม เมื่อ พ.ศ.2427 ซึ่งปรากฏว่ามี
ประชาชนแตกต่ืน กลัวว่าจะเป็นการเกณฑ์เอาบตุ ร
หลานของตนไปเป็นทหาร

ภาพประกอบ 7 พระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจา้ อยหู่ วั

ที่มา (ศลิ ปะวฒั นธรรม. (2564). ประวตั ศิ าสตร.์ คน้ เมอื่ มิถุนายน, 20, 2564, จาก https://shorturl.asia/2Wv7p.)

พ.ศ.2430 ได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง “กรมศึกษาธิการ” โดยโอน
โรงเรียนตา่ ง ๆ ทเี่ คยอยู่ในสังกดั กรมทหารมหาดเลก็ และโรงเรียนท้ังหมดมาข้ึนกับกรมศกึ ษาธกิ าร

พ.ศ.2431 มีคำสั่งยกเลิกการใช้ “แบบเรียนหลวง 6 เล่ม” ของพระยาศรีสุนทร
โวหาร โดยให้ใช้ “แบบเรียนเร็ว” ของกรมศึกษาธิการแทน โดยเพิ่มความรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น
นอกเหนอื ไปจากวิชาภาษาไทย

พ.ศ.2432 กรมศึกษาธิการได้ไปรวมอยู่ในบังคับบัญชาของกรมธรรมการ และ
ในปีต่อมา (2430) ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง
ราชานภุ าพ ทรงดำรงตำแหนง่ เสนาบดีกรมธรรมการ

พ.ศ.2435 ตั้งกระทรวงธรรมการ โดยนำกรมต่าง ๆ มารวมกันคือ กรมศึกษาธิการ
กรมพยาบาล กรมพิพิธภัณฑ์ และกรมสังฆการี การจัดตั้งกระทรวงธรรมการถือเป็นการรวบความ
รับผิดชอบในการศึกษาที่เคยแยก เป็น 2 ฝ่ายคือ พุทธจักร กับอาณาจักร เข้ามาสู่ความรับผิดชอบ
ของหน่วยงานเดยี ว

ภาพประกอบ 8 กระทรวงธรรมการ

ที่มา (พรทิพย์ เทศแจม่ . (2564). ข่าวเคล่ือนไหวทางการศกึ ษา. คน้ เม่อื มถิ นุ ายน, 10, 2564, จาก https://shorturl.asia/evl0t)

พ.ศ.2435 ประกาศตั้ง “โรงเรียนมูลศึกษา” ขึ้นในวัดทั่วไปทั้งในกรุงเทพฯ และ
หัวเมือง โดยมีเป้าหมายต้องการขยายการเรียนหนังสือไทยให้แพร่หลาย และเป็นแบบแผนยิ่งขึ้น
โรงเรยี นมลู ศกึ ษาแบ่งออกเปน็ 2 ช้นั คือโรงเรยี นมูลศึกษาชัน้ ตำ่ และโรงเรยี นมลู ศึกษาช้ันสงู สำหรับ
เอกชนที่ต้องการจะต้ังโรงเรียนท้ังสองชั้น สามารถขออนญุ าตกระทรวงธรรมการจดั ต้ังเปน็ “โรงเรียน
เชลยศกั ดิ์”

9

พ.ศ.2435 จัดต้ังโรงเรยี นฝึกหัดครูขึ้นเปน็ ครงั้ แรก โดยอาศัยโรงเล้ยี งเด็กเป็นสถานท่ี
เรียน(ต่อมาคือโรงเรียนเบญจมราชูทิศ) มีนาย เอช. กรีนรอด ชาวอังกฤษเป็นอาจารย์ใหญ่ ลูกศิษย์
ของนายกรีนรอดมีอาทิ เช่น นายนกยูง(พระยาสุรินทราชา) นายบุญรอด(พระยาภิรมย์ภักดี) นายบุญ
รอด (พระยาภริ มย์ภกั ดี) นายสน่นั (เจา้ พระยาธรรมศกั ดม์ิ นตรี) และนายเหม (พระยาโอวาทวรกจิ )

ภาพประกอบ 9 โรงเรยี นฝกึ หดั ครู

ทม่ี า (ธเนศ ขำเกิด. (2564). ประวัตกิ ารศกึ ษาไทย : การฝกึ หัดคร.ู คน้ เมอ่ื มิถนุ ายน, 20, 2564, จาก
https://shorturl.asia/iYsm8.)

พ.ศ.2439 จัดตั้งโรงเรียนในทำนอง “ปับลิคสกูล” ขึ้นที่บ้านสมเด็จเจ้าพระยา
เรยี กว่า “โรงเรียนราชวิทยาลัย” โดยมีจดุ หมายสองประการคือ การเตรียมคนไปศกึ ษาตอ่ ตา่ งประเทศ
และการเตรียมคนเข้ารบั ราชการในกระทรวงตา่ ง ๆ

พ.ศ.2440 ช่วงกลางปีพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จประพาส
ยุโรปครั้งแรก การเสด็จประพาสในครั้งนี้ ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากแก่การศึกษาไทย
โดยเฉพาะอย่างยง่ิ ในเรือ่ งแนวความคดิ การจดั การศึกษา

พ.ศ.2441 กระทรวงธรรมการได้เสนอ “โครงแผนการศึกษาในกรุงสยามของกรม
ศึกษาธิการ” วัตถุประสงค์ของแผนฯเป็นไปเพื่อยกระดับมาตรฐานการศึกษาในประเทศให้สูงข้ึน
แทนการส่งคนไปเรียนตา่ งประเทศ

พ.ศ.2441 ได้มี “ประกาศจดั การเล่าเรียนในหัวเมือง” โดยมีนโยบายอาศัยคณะสงฆ์
ใหเ้ ป็นกำลงั หลกั ในการศึกษาตามหัวเมือง

พ.ศ.2445 ประกาศใช้ “พระราชบัญญัตลิ ักษณะปกครองคณะสงฆ์” ซง่ึ ในแง่มุมของ
การศึกษา ถือเป็นการแบ่งงานระหว่างพระสงฆ์กับกรมศึกษาธิการ โดยพระสงฆ์จะจัดการศึกษาใน
ระดับประถมศกึ ษา สว่ นในระดับสูงกว่าเป็นหนา้ ทขี่ องกรมศกึ ษาธกิ าร

พ.ศ.2445 คณะข้าหลวงตรวจการศึกษาของไทยไปดูการศึกษาของประเทศ
ญี่ปุ่น และต่อมาได้ประกาศใช้เป็น ”โครงการศึกษา ปี พ.ศ. 2445” (แผนการศึกษาญี่ปุ่นเป็น
แผนการศึกษาที่ใหม่ท่ีสุดในเวลาน้ัน โดยญ่ีปนุ่ ไดส้ ง่ คนไปศกึ ษาแผนการศึกษาของชาติต่าง ๆ ทง้ั ยุโรป
และอเมริกา และนำมาดดั แปลงใหเ้ ข้ากับสังคมของญีป่ ุน่ )

โครงการศึกษา พ.ศ. 2445 ได้แบ่งหลักสูตรออกเป็น 3 ระดับ คือ ชั้นต้น
(ประถมศึกษา) ชั้นกลาง(มัธยมศึกษา) และชั้นสูง (อุดมศึกษา) หลังจากนั้นได้มีการปรับปรงุ โครงการ
ศกึ ษาใหเ้ หมาะสมย่งิ ข้ึน ใน พ.ศ.2450 และ พ.ศ.2452

10

ภาพประกอบ 10 โครงการศกึ ษา พ.ศ.2445

ท่ีมา (แผนการศึกษา พ.ศ. 2445 . 2564). คน้ เมอื่ มถิ ุนายน 20, 2564, จาก https://shorturl.asia/Z3A4R)

พ.ศ.2447 จัดตั้ง “สามัคยาจารย์สมาคม” และมีการออก ”จดหมายเหตุ” ของ
สมาคมเป็นรายปักษ์ ต่อมาได้กลายเป็นหนังสือ วิทยาจารย์ การก่อตั้งสมาคมนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อ
ช่วยเหลือการจัดฝึกอบรมครู

พ.ศ.2453 ประกาศจัดตั้ง “โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระ
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” โดยหมายที่จะผลิตนักศึกษาให้มีความรู้ความสามารถในการออกไปรับ
ราชการ สำหรับเงินทุนในการก่อสร้างนั้นอาศัยจากเงินคงเหลือจากที่ประชาชนบริจาคในการสร้าง
พระบรมรูปทรงม้าเป็นจำนวน 982,672.47 บาท (ต่อมากลายเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มหาวทิ ยาลัยแผนปัจจุบันแห่งแรกของไทย)

พ.ศ.2454 ได้มกี ารประกาศจัด “การศึกษาของมณฑลกรุงเทพฯ” (มณฑลกรุงเทพฯ
ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2440 ประกอบด้วย เมืองพระนคร เมืองธนบุรี เมืองมีนบุรี เมืองนนทบุรี เมือง
พระประแดง และเมืองสมุทรปราการ) โดยประกาศให้ผปู้ กครองของเด็กชายและหญิงซงึ่ มอี ายยุ ่างเข้า
8 ปี ส่งบตุ รธิดาเข้าเลา่ เรยี นในโรงเรียน(แต่ปรากฏว่ารา่ งระเบยี บนี้ไม่มีการ ประกาศใช)้ ตอ่ มาไม่นาน
นกั ในปีเดียวกนั เจ้าพระยาพระเสด็จสเุ รนทราธิบดี (ม.ร.ว. เปีย มาลากลุ ) เสนาบดีกระทรวงธรรมการ
ก็ได้ร่าง “ความเห็นที่จะจัดการศึกษา ร.ศ. 131” (2454) ขึ้นทูลเกล้าถวาย โดยมุ่งให้มีการจัด
การศกึ ษาภาคบงั คบั ขึ้น แต่ปรากฏว่าพระเจา้ อยหู่ ัวไมท่ รงมพี ระราชวนิ ิจฉัยอยา่ งใด

พ.ศ.2454 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสถาปนา “คณะลูกเสือ
ไทย” ขึ้นและได้ตราข้อบังคับลักษณะปกครองลูกเสือขึ้นมา โดยมุ่งบ่มเพาะให้เยาวชนไทยเป็น
พลเมอื งดี

พ.ศ.2456 ได้มีการประกาศ “โครงการจัดการศึกษาชาติ พ.ศ. 2456” ซึ่งมุ่งแก้
ความเข้าใจผิดของราษฎรในเรื่อง “โรคอยากเป็นเสมียน” โครงการศึกษาฉบับนี้ได้แบ่งการศึกษา
ออกเป็นสองสาย คือสายสามัญศึกษาและสายวิสามัญศึกษา อย่างไรก็ตามยังไม่มีการพูดถึงเรื่องการ
ประกาศการศึกษาภาคบังคับแต่อย่างใด

พ.ศ.2459 ได้มีประกาศให้โรงเรียนข้าราชการพลเรือนของพระบาทสมเด็จพระ
จลุ จอมเกล้าเจ้า อยู่หวั เปน็ “จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย” โดยให้ข้นึ อยู่ในสงั กดั ของกระทรวงธรรมการ

11

ภาพประกอบ 11 โรงเรยี นข้าราชการพลเรอื นของพระบาทสมเดจ็ พระจลุ จอมเกล้าเจ้าอย่หู วั เป็น “จฬุ าลงกรณ์
มหาวิทยาลยั ”

ท่ีมา (หอจดหมายเหต.ุ (2564). รัชกาลที่ 7 พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจา้ อยู่หวั : ค้นเม่อื มิถุนายน, 21, 2564, จาก
https://shorturl.asia/WsjcM.)

พ.ศ.2460 ประกาศตั้ง “กรมมหาวิทยาลัย” ขึ้นเป็นกรมหนึ่งในกระทรวงธรรมการ
ทำหนา้ ทีใ่ นการบงั คบั บญั ชา จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั และหน่วยงานในสังกัด

พ.ศ.2461 ประกาศใช้ “พระราชบัญญัติโรงเรียนราษฎร์” เป็นครั้งแรก ความมุ่ง
หมายสำคัญของพระราชบัญญัติฉบับนี้ก็เพื่อวางระเบียบกฎหมายการปกครองโรงเรียนราษฎร์ให้
เรียบร้อยรัดกุม ขึ้น รวมถึงมุ่งประโยชน์ในการควบคุมโรงเรียนราษฎร์ของคนจีนที่สอนภาษาจีน
ใหส้ อดคล้องกับนโยบายของรัฐ

พ.ศ.2463 ได้มีการจัดตั้ง “กรมตำรา” ขึ้นโดยมีหน้าที่สำคัญคือแต่งแบบเรียน
จดั ต้งั ห้องสมดุ สำหรับประชาชน และจัดจำหนา่ ยแบบเรยี นใหแ้ พรห่ ลาย

พ.ศ.2464 ประกาศใช้ “พระราชบัญญัติประถมศึกษาฉบับแรก ปี 2464” ทำให้
เด็กเล็กตั้งแต่อายุ 7-14 ปีบริบูรณ์ต้องเรียนในโรงเรียนประถมศึกษา พระราชบัญญัติฉบับนี้ได้
กำหนดให้จดั เก็บ “เงนิ ศกึ ษาพลี” หรือภาษกี ารศกึ ษาขึน้ ดว้ ย ภายหลงั การประการใช้ พระราชบญั ญตั ิ
ประถมศกึ ษา 2464 แล้ว ก็ไดม้ ีความพยายามทจี่ ะขยายการศกึ ษาให้ท้ังทกุ ตำบลการขยายการศึกษา
ในระดบั ทสี่ งู กว่าประถมศึกษา และการเรง่ รัดพฒั นาคุณภาพของการศึกษา

พ.ศ.2468 พระบาทสมเดจ็ พระปกเกลา้ เจ้าอยหู่ ัวเสดจ็ ขึ้นครองราชสมบัติ
พ.ศ.2468 พระเจ้าอยู่หัวทรงมีบันทึกถึงเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรีว่า ทรงเห็นเด็ก
ในกรุงเทพฯ เพ่นพ่านไปมาซึ่งมีโอกาสเสียคนได้มาก แต่ถ้าได้ศึกษาเล่าเรียนก็จะช่วยลดโอกาส
ที่จะเสียคนได้บ้าง จากพระราชบันทึกนี้ จึงทำให้มีการประชุมและตกลงที่จะจัดการศึกษาภาคบังคับ
ในกรุงเทพฯ โดยไม่เก็บเงินศึกษาพลี ดังนั้นในปีเดียวกัน จึงมีประกาศ “การจัดการศึกษาภาคบังคับ
ในกรุงเทพฯ พ.ศ. 2468” ขนึ้
พ.ศ.2469 ได้มีดุลยภาพข้าราชการทั่วประเทศ สำหรับกระทรวงศึกษาธิการ
มผี ทู้ ี่ตอ้ งออกจากราชการ นบั ตั้งแตเ่ สนาบดี คอื เจ้าพระยาธรรมศักด์ิมนตรี ตลอดจนขา้ ราชการอ่ืน ๆ
อีกเป็นอันมาก และในระหว่าง 2469-2474 เป็นระยะที่เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำ ทำให้การ
ปรบั ปรงุ การศึกษาตอ้ งชะงัก
พ.ศ.2475 “คณะราษฎร์” ได้เข้ายึดอำนาจเปลี่ยนระบอบการปกครองเป็นระบอบ
ประชาธิปไตย โดยอ้างเหตุผลวา่ “รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวง ไม่ซื่อตรงต่อราษฎร

12

…มหิ นำซำ้ ยังกลา่ วคำหมิ่นประมาทราษฎรผู้มบี ุญคุณเสยี ภาษีอากรให้พวกเจ้ากิน ว่าราษฎรจะมีเสียง
ในการเมืองไม่ได้ เพราะราษฎรยังโง่อยู่ …ถ้าราษฎรโง่ เจ้าก็โง่ เพราะเป็นคนชาติเดียวกัน ที่ราษฎรรู้
ไมเ่ ทา่ ถงึ เจา้ นน้ั ไมใ่ ชเ่ พราะโง่ เป็นเพราะขาดการศกึ ษาทพ่ี วกเจ้าปกปดิ ไว้ไมใ่ ห้เรยี นเต็มท่ี…”

ภาพประกอบ 12 รัฐบาลคณะราษฎร์

ที่มา (ศิลปะวัฒนธรรม. (2564). ประวตั ศิ าสตร.์ คน้ เม่ือ มิถุนายน, 20, 2564, จาก https://shorturl.asia/2Wv7p.)

พ.ศ.2475 มี “ประกาศของคณะราษฎรฉบับที่ 1” ซึ่งมี “หลัก 6 ประการ”
ในการบรหิ ารบ้านเมือง คณะราษฎรได้ให้ความสำคัญในด้านการศึกษา โดยกำหนดไว้ในหลักประการ
ที่ 6 ว่า “..จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร…” ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ต่อการปกครองใน
ระบอบประชาธปิ ไตย

พ.ศ.475 ได้มีการโปรดเกล้าฯ ประกาศ “พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครอง
แผ่นดินสยามชั่งคราว พุทธศักราช 2475” ในบทเฉพาะกาลของรัฐธรรมนูญฉบับนี้ ได้กำหนด
เงื่อนไขและเงื่อนเวลาให้ “ราษฎรต้องเรียนจบประถมศึกษามากกว่ากึ่งหนึ่งก่อนที่จะสามารถมี
ผแู้ ทนราษฎร โดยการเลือกต้งั ได้ท้งั หมด แต่อย่างช้าไม่เกนิ 10 ปี”

พ.ศ.2475 ไดม้ ีการประกาศใช้ “แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2475” ขนึ้ โดยมุ่งหมาย
ให้พลเมืองทุกคน ไม่เลือกเพศ ชาติ ศาสนา ได้รับการศึกษาเหมาะแก่อัตภาพของตน และได้จัด
การศึกษาออกเป็นสามส่วนคือ จริยศึกษา พุทธิศึกษา และพลศึกษา เป็นการศึกษาที่เน้นการท่อง
จำเป็นหลกั

พ.ศ.2475 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดเกล้าฯพระราชทาน
รัฐธรรมนูญฉบบั ถาวร พ.ศ. 2475 พร้อมกนั น้ีได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตัง้ “สภาการศึกษา”
ข้ึน โดยมีหน้าที่เสนอร่างแผนการศึกษาต่อกระทรวงธรรมการ (สภาการศึกษาตอ้ งงดการประชุมตั้งแต่
เดอื นกันยายน 2476 เปน็ ตน้ ไป เพราะถกู เพง่ เล็งวา่ เป็นคอมมิวนสิ ต์)

ภาพประกอบ 13 พราะราชกรณยี กจิ พระบาทสมเด็จพระปกเกลา้ มหาราช

ท่ีมา (หอจดหมายเหต.ุ (2564). คน้ เมอื่ มิถนุ ายน, 21, 2564, จาก https://shorturl.asia/WsjcM)

13

พ.ศ.2475 ได้มีการประกาศใช้ “แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2475” ขึ้น โดยมุ่งหมาย
ให้พลเมืองทุกคน ไม่เลือกเพศ ชาติ ศาสนา ได้รับการศึกษาเหมาะแก่อัตภาพของตน และได้จัด
การศึกษาออกเป็นสามส่วนคือ จริยศึกษา พุทธิศึกษา และพลศึกษา เป็นการศึกษาที่เน้นการท่อง
จำเป็นหลัก

พ.ศ.2477 หลังจากที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงสละราชสมบัติ
สภาผู้แทนฯ มีมติเห็นชอบให้สถาปนาพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล เป็นสมเด็จพระ
เจา้ อยูห่ ัว ขณะมพี ระชนมายุ 10 พรรษา

พ.ศ.2478 ประกาศใช้ “พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. 2478” ทำให้การจัด
การศกึ ษาประชาบาลขยายตวั ไปท่ัวทุกตำบลเป็นคร้ังแรก (ในปี 2486 กระทรวงศึกษาได้รับโอนการ
ประถมศกึ ษาจากเทศบาลกลับมาดำเนนิ การอีกครง้ั และในปี 2487 ไดก้ ลับโอนการประถมศึกษาให้
เทศบาลดำเนนิ การตามเดิม)

พ.ศ.2479 ได้มีการประกาศใช้ “แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2479” เนื่องจากว่า
แผนการศึกษาฉบับปี 2475 นั้นมีระยะเวลาในการศึกษาสามัญยาวเกินสมควร คือต้องเรียนสาย
สามัญ 12 ปี และยังต้องเข้าเรียนต่อสายวิสามัญอีก แผนการศึกษา 2479 นี้กำหนดระยะเวลาของ
การเรียนชั้นประถมศึกษาเพียง 4 ปี ทัง้ นี้ เป็นเพราะต้องการเรง่ รดั ให้ประชาชนสำเร็จการศึกษาภาค
บังคับถึงกง่ึ หนงึ่ โดย เร็ว

พ.ศ.2479 ในช่วงเดียวกันนี้ ได้มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติข้าราชการพล
เรือน พุทธศักราช 2479” มีผลให้ “ครูโรงเรียนรัฐบาล” มีฐานะเทียบเท่าข้าราชการพลเรือน
โดยทั่วไป (สำหรับ“ครูประชาบาล” นั้นได้รับการยกฐานะให้เป็นข้าราชการพลเรือน เมื่อ 5
พฤษภาคม พ.ศ. 2491)

ภาพประกอบ 14 ครูโรงเรียนประชาบาล

ทม่ี า (สิทธิชยั วมิ าลา. (2564). คณะครโู รงเรียนฝกึ หดั ครปู ระถมกสกิ รรม ห้วยแมโ่ จ้ ปพี ทุ ธศักราช ๒๔๗๘. คน้ เมือ่ มิถนุ ายน, 23,
2564, จาก https://shorturl.asia/8Qevq.)

พ.ศ.2484 ไดม้ กี ารออกพระราชบัญญตั ปิ รับปรงุ กระทรวง ทบวง กรม พ. ศ. 2484
ซึ่งเปลี่ยนกระทรวงธรรมการเป็น “กระทรวงศึกษาธิการ” และกรมสามัญศึกษามีหน้าที่รับผิดชอบ
โรงเรยี นระดบั ประถมศกึ ษา

ในช่วงตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2485 ถึงกลาง พ.ศ. 2488 ประเทศไทยตกอยู่ในภาวะ
สงครามโดยตลอด เนอ่ื งจากเปน็ ชว่ งท่เี กิดสงครามโลกครัง้ ที่ 2

14

พ.ศ.2485“คณะกรรมการส่งเสริมวัฒนธรรมภาษาไทย” ได้ตกลงกันที่จะปรับปรุง
ภาษาไทยให้กระทัดรัด เช่นพยัญชนะไทยลดจาก 44 เหลือ 31 ตัว คำที่เคยใช้ ใ(ไม้ม้วน) ให้ใช้ ไ
(ไม้มลาย) แทนเป็นตน้

พ.ศ.2487 กระทรวงศึกษาฯ ได้ทำความตกลงกับกระทรวงมหาดไทย เกี่ยวกับการ
โอนประถมศึกษากลับไปให้เทศบาลจัดทำต่อไปตามเดิม และได้ตกลงให้ดำเนินการให้เสร็จสิ้นใน
วันที่ 31 ธนั วาคม พ.ศ.2487

3. ครูยคุ มีพระราชบัญญัติก่อนมีใบประกอบวิชาชีพ(พ.ศ.2488-2545)
พัฒนาการของครูในยุคนี้เป็นยุคที่มีกฎหมายเป็นของตนเอง มีศักดิ์ของอาชีพที่จะทำ

ภารกิจตามบทบาท หน้าที่ และสิทธิต่าง ๆ ภายใต้ของการรับรองของกฎหมายครูโดยเฉพาะ
สถานภาพของครใู นช่วงระหวา่ งเวลาดงั กล่าวมกี ารพฒั นาการ ดงั ตอ่ ไปนี้

พ.ศ.2488 ไดม้ ีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัตคิ รู” จาก พระราชบัญญตั ิ ฉบบั น้ีทำ
ให้เกิด “คุรุสภา” ขึ้น โดยมีหน้าที่เป็นสภาทีป่ รึกษาและช่วยยกฐานะครู นอกจากนี้ยังได้ยุบสามัคยา
จารย์สมาคม โดยนำไปรวมกจิ การเขา้ กับคุรสุ ภา

พ.ศ.2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หวั อนันทมหิดล เสด็จสวรรคตเพราะต้องพระ
แสงปนี รฐั บาลเหน็ ชอบใหส้ ถาปนาเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชขนึ้ ครองราชยส์ มบตั ิ

ภาพประกอบ 15 พระบาทสมเดจ็ พระปรเมนทรมหาอานนั ทมหดิ

ที่มา (ศิริวรรณ คุ้มโห.้ (ม.ป.ป). พระราชประวัติพระมหากษัตรยิ ์ 9 รัชกาล. กรงุ เทพฯ : สำนกั พมิ พเ์ ดอะบคุ ส์.)

พ.ศ.2492 ไทยเขา้ เป็นสมาชกิ ขององค์การสหประชาชาตโิ ดยเปน็ สมาชิกลำดับที่ 45
นอกจากน้นั ไทยยังไดเ้ ขา้ เป็นสมาชิกขององคก์ ารศกึ ษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ
(UNESCO) อีกด้วย (ไทยได้รับการรับรองเข้าเป็นสมาชิกองค์การสหประชาชาติโดยต้องแลกกับการ
ยกเลิกกฎหมายการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ ซึ่งเรียกร้องโดยสหภาพโซเวียต ซึ่งเป็นสมาชิกถาวร
ของสภาความมั่นคงแหง่ สหประชาชาติ)

พ.ศ.2492 จัดตั้ง “โรงเรยี นฝึกหดั ครูชัน้ สูง” ทีถ่ นนประสานมติ ร (ต่อมาในปี 2496
ไดก้ ลายเป็นวทิ ยาลัยวชิ าการศึกษา)

พ.ศ.2494 ประกาศใช้ “แผนการศึกษาชาติ พ.ศ. 2494” โดยแตกต่างจากแผนก
การศึกษาฉบับก่อนๆ คือ มีการกำหนดองค์สี่แห่งการศึกษาคือ พุทธิศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา และ
หัตถศึกษา(ได้อิทธิพลปรัชญาการศึกษาแบบอเมริกัน) แผนการศึกษาฉบับนี้ได้ยกฐานะกองโรงเรียน

15

ประชาบาลในกรมสามัญศึกษาขึ้นเป็นกรม ประชาศึกษา เพื่อทำหน้าที่เกี่ยวกับการศึกษาผู้ใหญ่และ
การศึกษาพเิ ศษ นอกจากน้ยี ังมคี วามพยายามขยายการศึกษาภาคบังคับเปน็ 7 ปีอกี ด้วย

พ.ศ.2495 เปลี่ยนชื่อกรมประชาศึกษาเปน็ กรมสามัญศึกษา ซง่ึ ประกอบดว้ ย 3 กอง
ได้แก่ กองการประถมศึกษา กองการศึกษาพิเศษ และกองการศึกษาผู้ใหญ่ และเปลี่ยนชื่อกรมสามญั
ศึกษา(เดิม) เป็นกรมวิสามัญศกึ ษา นอกจากนี้ยังได้มกี ารตั้ง กรมวิชาการเพื่อดำเนินการศึกษาในดา้ น
วชิ าการโดยเฉพาะ

พ.ศ.2501 คณะปฏิวัติซึ่งมีจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์เป็นหัวหน้า ได้ทำการปฏิวัติยึด
อำนาจการปกครองบา้ นเมือง รวมถึงยกเลกิ รัฐธรรมนญู และสภาผูแ้ ทนราษฎร รัฐบาลชุดนีถ้ ือเปน็ ชุด
แรกทห่ี ัวหนา้ รฐั บาลไมไ่ ด้มสี ว่ นในคณะกอ่ การเปล่ยี น แปลงการปกครอง 2475

พ.ศ.2503 ได้มีการประกาศ “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2503” ขึ้น แผนนี้ร่าง
โดยคณะกรรมการ 77 คนจากหลายสาขาอาชีพโดยมี หม่อมหลวง ปิ่น มาลากุล รัฐมนตรีว่าการ
กระทรวงศกึ ษาในขณะน้ันเป็นประธาน แผนนี้มงุ่ จดั ระบบการศกึ ษาให้เข้ากับระบบสากลโดยเน้นการ
จดั การศกึ ษาใหส้ อด คล้องกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจชาติ จากแผนฯนีไ้ ด้ขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น
7 ปี (แผนนม้ี อี ายุการใช้ยาวนานทีส่ ดุ ถึง 16 ป)ี

พ.ศ.2504 รัฐบาลได้ประกาศใช้ “แผนพัฒนาการเศรษกิจแห่งชาติ ฉบับที่ 1”
(2504-2509) โดยแบ่งเป็น 2 ระยะคือ ระยะแรกระหว่าง 2504-2506 และระยะที่ 2 ระหว่าง
2507-2509 ในระยะแรกนั้น แผนพัฒนาการเศรษฐกิจมุ่งเน้นแต่การพัฒนาเศรษฐกิจโดยไม่ได้มี
การกำหนดนโยบาย และโครงการพัฒนาการศึกษาไว้เลย ต่อมาในช่วงที่ 2 จึงได้มีการผนวก
แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติเข้าไว้ โดยมุ่งเน้นจัดการศึกษาให้สอดคล้องกับความต้องการของ
ประเทศในด้านกำลังคน เปน็ สำคัญ

พ.ศ.2505 ได้มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ.2505”
มีสาระสำคัญว่า เมื่อตำบลใดมีความเหมาะสมที่จะประกาศการศึกษาภาคบังคับถึงประโยค
ประถมศึกษา ตอนปลายได้ ก็ให้รฐั มนตรวี า่ การฯ

พ.ศ.2506 เริ่มโอนโรงเรียนประชาบาลในเขตเทศบาลต่าง ๆ ทั่วประเทศให้เทศบาล
นั้น ๆ รับผิดชอบดำเนินการ 1 ตุลาคม 2509 ได้มีการโอนโรงเรียนประชาบาลส่วนใหญ่ไปอยู่ใน
สังกดั ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยให้องค์การบริหารส่วนจังหวดั เป็นผู้จดั

ภาพประกอบ 16 โรงเรียนประชาบาล

ทม่ี า (สิทธชิ ยั วมิ าลา. (2564). คณะครูโรงเรยี นฝึกหัดครปู ระถมกสกิ รรม ห้วยแม่โจ้ ปพี ุทธศกั ราช ๒๔๗๘. ค้นเม่อื มถิ นุ ายน, 23,
2564, จาก https://shorturl.asia/8Qevq.)

16

พ.ศ.2510 มีการ “ประกาศใช้หลักสูตรโรงเรียนมัธยมแบบผสม” ขึ้น โดยโครงสร้าง
หลักสตู รประกอบดว้ ยวิชาบังคบั และวชิ าเลือก ให้ผู้เรียนเลือกไดต้ ามความสนใจและมีการประเมินผล
เป็นรายวิชา

พ.ศ.2512 ได้มีการประกาศ “พระราชบัญญัติวิทยาลัยเอกชน พ.ศ.2512” โดยให้
เอกชนดำเนนิ การจดั ต้งั วิทยาลัยเอกชน และดำเนินการสอนได้ถงึ ระดบั ปริญญาตรี

พ.ศ.2512 รัฐบาลซึ่งมีจอมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรี ได้แถลงนโยบาย
เกี่ยวกับการศึกษามีใจความว่า “รัฐบาลจะขยายการศึกษาภาคบังคับออกไปให้ทั่วประเทศ ปรับปรุง
โรงเรียนทุกชนิด โดยเฉพาะโรงเรียนอาชีวศึกษา ให้มีคุณภาพสูงขึ้น… นอกจากนี้รัฐบาลจะสนับสนุน
ให้เอกชนได้เขา้ มามบี ทบาทในการใหก้ ารศกึ ษาแก่ ประชาชน…”

พ.ศ.2515 ได้มีการประกาศคณะปฏิวัติ ให้ตั้ง “ทบวงมหาวิทยาลัย” ของรัฐข้ึน
และต่อมา ในวันที่ 1 ตลุ าคม พ.ศ.2515 ไดม้ ปี ระกาศคณะปฏิวัตใิ ห้รวบกรมวิชาสามัญศึกษากับกรม
วสิ ามัญศกึ ษาเข้าเปน็ “กรมสามญั ศึกษา”

พ.ศ.2516 จัดสอบเอนทรานซ์เข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยรวมกันเป็นปีแรก
โดยก่อนหน้านน้ั มหาวทิ ยาลยั แตล่ ะแหง่ จะจัดให้มกี ารสอบเข้าเรยี นกนั เอง

พ.ศ.2516 เกิดเหตุการณ์วันมหาปิติ นักศึกษาและประชาชนได้พร้อมใจกันขับไล่
รัฐบาลเผด็จการทมี่ จี อมพลถนอม กิตติขจร เป็นนายกรฐั มนตรีในขณะนั้นได้สำเร็จ หลังจากนั้นกอ่ เกิด
ยุคประชาธิปไตยเฟอ่ื งฟใู นช่วงระยะเวลาสั้น ๆ

พ.ศ.2517 รัฐบาลนายสัญญา ธรรมศักดิ์ ได้จัดตั้ง “คณะกรรมการวางพื้นฐานเพื่อ
การปฏิรูปการศึกษา” เพื่อทำหน้าที่เสนอแนวทางการวางพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปการศึกษาให้
สอดคล้อง กับการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมในระบอบประชาธิปไตย ต่อมาในต้นเดือน สิงหาคม
ปีเดียวกัน กรมวิชาการได้ริเริ่มจัดสัมมนา “การศึกษาเพื่อมวลชน” ขึ้นและได้เสนอรายงานปฏิรูป
การศกึ ษาว่าด้วย “การศึกษาเพ่อื ชีวติ และสงั คม” แก่รัฐบาลเมอ่ื 4 ธันวาคม 2517

พ.ศ.2519 นักศึกษาและประชาชนไม่พอใจการกลับมาประเทศไทยของจอมพล
ถนอม กิตติขจร เกดิ เหตกุ ารณน์ องเลอื ดคร้ังใหญ่ และความผันผวนทางการเมือง

พ.ศ.2520 ทบวงมหาวิทยาลัยได้มีคำสั่งให้มหาวิทยาลัยต่าง ๆ จัดหนังสือที่
นายกรัฐมนตรีเป็นผู้แต่ง(รัฐบาลธานินทร์ กรัยวิเชียร) เกี่ยวกับเรื่องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ให้นิสิตนักศึกษาใช้เป็นหนังสืออ่านประกอบแทนหนังสือลัทธิการเมือง โดยจะให้เป็นข้อสอบด้วย
ในช่วงเวลาเดียวกัน หนังสือต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับลัทธิการเมือง เศรษฐกิจเปรียบเทียบ จะถูกยึดหรือ
ถูกทำลาย นอกจากนี้รฐั บาลส่งั ให้ยุบเลิกองคก์ ารนักศึกษาในมหาวทิ ยาลยั อีกดว้ ย

พ.ศ.2520 ได้มีการประกาศใช้ “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2520” โดยได้จัด
การศึกษาระดับประถมและมัธยมเป็นระบบ 6:3:3 คือ ชั้นประถมศึกษา 6 ชั้น มัธยมศึกษา 6
ชั้น มัธยมตอนต้น 3 ชั้นตอนปลาย 3 ชั้น (ระบบปัจจุบัน) แผนการศึกษาฉบับน้ียังได้ให้ความสำคัญ
กับการศึกษานอกระบบโรงเรียนเป็นพิเศษ อีกด้วย แผนการศึกษาแห่งชาติ 2520 นี้ ทำให้เกิดการ
เปลีย่ นแปลงระบบบรหิ ารประถมศกึ ษาครัง้ ใหญ่

17

ภาพประกอบ 17 การศกึ ษาในปี พ.ศ. 2520

ทมี่ า (หอจดหมายเหต.ุ (2564). คน้ เมอ่ื มิถนุ ายน, 21, 2564, จาก https://shorturl.asia/WsjcM)

พ.ศ.2523 มีการออกพระราชบัญญัติหลายฉบับโดยมุง่ แกป้ ัญหาในเรื่องการปรับปรุง
ระบบ บริหารงานการประถมศึกษาให้มีเอกภาพ รวมถึงปัญหาการศึกษาประชาบาล อาทิเช่น
การจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการการประถมศึกษา และสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครู
การโอนการศึกษาประชาบาลจากองคก์ ารบริหารสว่ นจงั หวดั มาสังกดั กระทรวงศึกษาธิการ

พ.ศ.2525 ได้มีการประกาศใช้ “พระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน” โดยบัญญัติให้
เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน เป็นผู้มีอำนาจอนุญาตให้จัดตั้งโรงเรียนในส่วนกลาง
และให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้มีอำนาจอนุญาตสำหรับโรงเรียนในส่วนภูมิภาค ทั้งนี้เพื่อให้การขอ
จดั ตัง้ โรงเรยี นเปน็ ไปดว้ ยความรวดเรว็ (ก่อนหน้าน้ตี อ้ ง ได้รับความเหน็ ชอบจากรัฐมนตรีวา่ การฯ)

พ.ศ.2527 ประกาศใช้ “พระราชบัญญัติวิทยาลัยครู (ฉบับที่ 2)พ.ศ. 2527” ให้
วิทยาลยั ครผู ลิตครไู ด้ถงึ ระดบั ปรญิ ญาตรแี ละเปดิ การสอนวิชาต่าง ๆ ไดต้ ามความตอ้ งการของท้องถน่ิ

พ.ศ.2527 นายชวน หลีกภัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาฯ แถลงเตือนเด็ก
นกั เรยี นวา่ อยา่ ม่งุ เรยี นทางด้านวิชาชีพครูมากนัก เนือ่ งจากในระยะ 3 ปีท่ผี า่ นมา การรับสมคั รครูเข้า
ทำงานในหนว่ ยงานต่าง ๆ 9 หน่วยงานของกระทรวงศึกษาฯ มีแนวโนม้ ลดลงทุกปี

พ.ศ.2530 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้ดำเนินการขยายการศึกษาขั้นพื้นฐานในเขต
ชนบท 38 จังหวัด จนถึงระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1-ม.3) โดยไม่บังคับ ทั้งนี้เพื่อเป็นการขยาย
โอกาสทางการศึกษาแก่ประชาชน

ภาพประกอบ 18 โรงเรียนมัธยมในปี พ.ศ.2535

ที่มา (หอจดหมายเหต.ุ (2564). คน้ เมอ่ื มิถุนายน, 21, 2564, จาก https://shorturl.asia/WsjcM)

18

พ.ศ.2533 ปรับปรงุ หลักสูตรมธั ยมศึกษาท้ัง 2 ระดบั คอื หลักสูตรมธั ยมศกึ ษา
ตอนต้น พ.ศ. 2521(ฉบับปรับปรุง 2533) และหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พ.ศ. 2524
(ฉบับปรับปรุง 2533) โดยมุ่งหมายส่งเสริมให้ครูพัฒนาการเรียนการสอนโดยเน้นกระบวนการให้
ผเู้ รียน คน้ ควา้ ความรดู้ ว้ ยตัวเอง ให้สอดคล้องกบั ยุคสารสนเทศและเทคโนโลยี

พงศ.2535 ประกาศใช้ “แผนการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2535” โดยมุ่งจัดการศึกษา
ที่เนน้ การพัฒนาบคุ คลใน 4 ดา้ นอย่างสมดลุ และกลมกลืนกัน คอื ดา้ นปัญญา ด้านจติ ใจ ด้านรา่ งกาย
และด้านสังคม ตลอดจนมีความร้แู ละทักษะในการประกอบอาชพี และสามารถพึ่งตนเองได้

พ.ศ.2538 คณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติในหลักการให้มหาวิทยาลัยของรัฐ 10 แห่ง
ขยายวิทยาเขตไปยังจังหวัดต่าง ๆ ของส่วนภูมิภาค 11 จังหวัด ตั้งแต่ปีงบประมาณ 2538
เป็นต้นไป และได้มีการออกพระราชบัญญัติให้สถาบันราชภัฏเป็นนิติบุคคลขึ้นแทนวิทยาลัย ครู
และให้สำนกั งานสภาสถาบนั ราชภัฏเป็นนิตบิ ุคคล มฐี านะเป็นกรมในกระทรวงศกึ ษาฯ

พ.ศ.2538 เรม่ิ ทดลองออกอากาศรายการสอนโดยสัญญาณผ่านดาวเทียม จากสถานี
ส่งสัญญาณ ณ โรงเรียนไกลกังวล จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ โดย ”โครงการการศึกษาทางไกลผ่าน
ดาวเทยี ม” ม่งุ ให้นักเรยี นในสว่ นภมู ภิ าคหรือชนบทห่างไกล ได้มีโอกาสรบั ประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีมี
คุณภาพไม่ดอ้ ยกว่าโรงเรียนทมี่ ี คุณภาพและได้มาตรฐานแล้ว

พ.ศ.2540 ประกาศใช้ “รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2540” (ฉบับ
ประชาชน) รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้มุ่งเน้นความสำคัญของการศึกษา โดยมีการระบุไว้ชัดเจนในมาตรา
81 ทีก่ ำหนดใหต้ อ้ งมกี ฎหมายเก่ยี วกบั การศึกษาแห่งชาติข้นึ เป็นคร้ังแรก

4. ครยู ุคมีใบประกอบวิชาชีพครู (พ.ศ.2546)
พ.ศ.2546 มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศกึ ษา 2546

คือ ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาเป็นผู้มีบทบาทสำคัญต่ อ
การจัดการศึกษาของชาติ จึงต้องเป็นผู้มีความรู้ ความสามารถ และทักษะอย่างสูงในการประกอบ
วิชาชีพ มีคุณธรรม จริยธรรมและประพฤติปฏิบัติตนตามจรรยาบรรณของวิชาชีพ รวมทั้งมีคุณภาพ
และมาตรฐานเหมาะสมกับการเปน็ วิชาชพี ชน้ั สูง จงึ จำเปน็ ตอ้ งตรากฎหมายเพื่อ

1. พัฒนาวิชาชีพครูตามมาตรา 81 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
พุทธศักราช 2540 และส่งเสริมมาตรฐานวิชาชีพครู และบุคลากรทางการศึกษา ตามมาตรา 9 (4)
แหง่ พระราชบัญญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542

2. เพื่อปรับสภาในกระทรวงศึกษาธิการตามพระราชบัญญัติครูพุทธศักราช 2488
เป็นองค์กรวิชาชีพครูตามมาตรา 53 แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และให้
เปน็ ไปตามมาตรา 73 โดยกำหนดใหม้ ี

2.1 สภาครูและบุคลากรทางการศึกษา เรียกชื่อว่า “คุรุสภา” มีอำนาจหน้าท่ี
กำหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กำกับดูแลการปฏิบัติตาม
มาตรฐานและจรรยาบรรณของวชิ าชพี และการพฒั นาวิชาชพี

2.2 สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากร
ทางการศึกษามีอำนาจหน้าที่ในการส่งเสริมสวัสดิการ สวัสดิภาพ ความมั่นคงของผู้ประกอบวิชาชีพ
และผู้ปฏบิ ัตงิ านดา้ นการศึกษา รวมท้ังสง่ เสรมิ และสนบั สนุนการจัดการศกึ ษาของกระทรวงการศึกษา

19
3. เพ่อื สบื ทอดประวัตศิ าสตร์และเจตนารมณ์ของการจดั ต้งั คุรุสภาให้เปน็ สภาวชิ าชพี

ครูต่อไป

ภาพประกอบ 19 ตวั อย่างใบประกอบวชิ าชีพครแู ละผู้บริหารสถานศึกษา
ทมี่ า (คุรุสภา. (2564). ค้นเม่ือ กรกฎาคม, 1, 2564, จาก https://www.ksp.or.th/ksp2018/)

5. ครูยคุ มคี วามรุ่งโรจนแ์ ห่งวิชาชีพครู (พ.ศ. 2547- ปัจจุบัน)
พ.ศ. 2547 ในยุคนี้มีการประกาศใช้ระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

พ.ศ. 2547 คอื เน่อื งจากพระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ได้กำหนดให้มกี ารจัดระบบ
ขา้ ราชการครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาขนึ้ ใหม่ ตามที่บญั ญัติไว้ในหมวด 7 โดยเฉพาะใน
มาตรา 54 ไดก้ ำหนดใหม้ ีองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครแู ละบุคลากรทางการศึกษา
โดยใหค้ รูและบุคลากรทางการศกึ ษาท้ังของหน่วยงานการศึกษาในระดับสถานศึกษาของรัฐและระดับ
เขตพื้นที่การศึกษาเป็นข้าราชการในสังกัดองค์กรกลางบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษาโดยยึดหลักการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลสู่ส่วนราชการที่บริหาร
และจัดการศึกษา เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา จึงเห็นควรกำหนดให้บุคลากรที่ทำหน้าที่ด้าน
การบริหารและการจัดการศึกษาสังกัดอยู่ในองค์กรกลางบริหารงานบุคคลเดียวกันและโดยที่องค์กร
กลางบริหารงานบุคคลและระบบการบรหิ ารงานบุคคลของข้าราชการครูตามพระราชบัญญตั ริ ะเบียบ
ข้าราชการครู พ.ศ.2523 ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน มีหลักการที่ไม่สอดคล้องกับพระราชบัญญัติ
การศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ที่ให้ยึดหลักการกระจายอำนาจการบริหารงานบุคคลสู่เขตพื้นที่
การศึกษาและสถานศึกษาอีกท้ังไม่สอดคล้องกับหลักการปฏริ ูประบบราชการ สมควรยกร่างกฎหมาย
ว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาขึ้นใหม่แทนพ ระราชบัญญัติระเบียบ
ข้าราชการครู พ.ศ. 2523 และเพื่อให้เอกภาพทางดา้ นนโยบายการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ
ครูและบุคลากรทางการศึกษาในเขตพนื้ ท่ีการศึกษาท้ังหมด จึงจำเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญตั ิน้ี

พ.ศ.2551 มกี ารแกไ้ ขพระราชบัญญัติระเบยี บขา้ ราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
(ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551 คือ โดยที่บทบัญญัติของกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษาในส่วนที่เกี่ยวกับคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และ
คณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาประจำเขตพื้นที่การศึกษา รวมท้ัง
บทบัญญัติอื่นที่เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีความ
ไม่เหมาะสมและไม่สอดคล้องกับสภาพการณใ์ นปจั จุบัน ทำใหก้ ารบริหารงานบุคคลของข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษาเป็นไปโดยลา่ ช้าและไม่มีประสิทธิภาพ สมควรปรับปรุงบทบัญญตั ิในเรื่อง
ดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหาและอุปสรรคนั้นอันจะเป็นประโยชน์ในการบริหารงานบุคคลของข้าราชการ

20

ครูและบคุ ลากรทางการศกึ ษายงิ่ ขึ้น จึงจำเป็นตอ้ งตราพระราชบญั ญัตินี้ โดย มาตรา 16 ให้กรรมการ

ก.ค.ศ. และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาซึ่งปฏิบัติหน้าที่อยู่ในวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับยั งคง

ปฏบิ ัติหน้าทตี่ ่อไปจนกวา่ จะครบวาระ และใหด้ ำเนนิ การแต่งต้ังหรือเลือกต้ังกรรมการเพ่ิมเติมให้ครบ

จำนวนตามพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 ซึ่งแก้ไข

เพิ่มเติมโดยพระราชบัญญตั นิ ี้ภายในหนึง่ ร้อยแปดสิบวันนับแต่วนั ท่ีพระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ และให้

มีวาระอยู่ในตำแหน่งเท่ากับวาระที่เหลืออยู่ของกรรมการดังกล่าว โดยมิให้นับเป็นวาระการดำรง

ตำแหน่งตามพระราชบัญญัตินี้ ให้ ก.ค.ศ. กำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการได้มาและดำเนินการเพื่อให้

ได้มาซึ่งกรรมการในก.ค.ศ. และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษาจนครบจำนวนตามองค์ประกอบ

ตามพระราชบญั ญตั ิระเบยี บขา้ ราชการครูและบคุ ลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547

พ.ศ.2553 มีการแก้ไขพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา

(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 เพือ่ ใหม้ ีการปรับปรงุ เขตพืน้ ท่ีการศึกษาเป็นเขตพ้ืนที่การศึกษาประถมศึกษา

และเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา เพื่อรับผิดชอบการบริหารงานบุคคลของข้าราชการครูและ

บุคลากรทางการศกึ ษา ทำให้ตอ้ งปรับปรุงองค์ประกอบของคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร

ทางการศึกษาและคณะอนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ให้สอดคล้องกับการ

บริหารงานบุคคลในเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและเขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา จึง

จำเปน็ ต้องตราพระราชบัญญตั นิ ้ี

พ.ศ. 2556 – ปัจจุบัน มีการเปลี่ยนแปลงข้อบังคับมาตรฐานความรู้ของวิชาชีพครู

จาก 9 มาตรฐาน 11 มาตรฐาน และ 6 มาตรฐาน ตามลำดับ ด้วยเหตุผลของการมีความต้องการ

ยกระดับวิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูง จึงมีการพัฒนาวาชีพครูให้มีมาตรฐานที่สูงข้ึน

ตาราง 1 แสดงพัฒนาการมาตรฐานความรู้ ประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงานและ

มาตรฐานการปฏบิ ัติตน

มาตรฐานความรู้ (พ.ศ.2548) มาตรฐานความรู้ (พ.ศ.2556) มาตรฐานความรู้ (พ.ศ.2562)

1. ภาษาและเทคโนโลยี 1. ความเปน็ ครู 1. การเปลี่ยนแปลงบริบทของโลก สังคม

สำหรบั ครู 2. ปรชั ญาการศกึ ษา (เพิม่ ) และแนวคิดของปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง
2. การพัฒนาหลกั สตู ร 3. ภาษาและวัฒนธรรม (เดิมเป็นภาษาและ 2. จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวิทยาการศึกษา
3. การจัดการเรยี นรู้ เทคโนโลยีสำหรบั คร)ู และจติ วิทยาาให้คำปรึกษาในการวิเคราะห์
4. จติ วิทยาสำหรับครู 4. จิตวิทยาสำหรบั ครู และพฒั นาผู้เรียน
5. การวัดและประเมินผล 5. หลกั สูตร 3. เนื้อหาวิชาที่สอน หลักสูตร ศาสตร์การ
การศึกษา 6. การจดั การเรียนรแู้ ละการจดั การชน้ั เรยี น สอน และเทคโนโลยีดิจิทัลในการจัดการ
6. การบริหารจัดการใน (รวม 2 มาตรฐาน) เรยี นรู้
ห้องเรยี น 7. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ (เดิมการ 4. การวัด ประเมินผลการเรียนรู้ และการ
7. การวิจัยทางการศกึ ษา วจิ ัยทางการศึกษา) วิจัยเพื่อแก้ไขปัญหาและพัฒนาผู้เรียน
8. น ว ั ต ก ร ร ม แ ล ะ 8. นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทาง 5. การใช้าษาไทย ภาษาอังกฤษเพื่อการ
เทคโนโลยีสารสนเทศทาง การศกึ ษา สื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อ
การศึกษา 9. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ การศึกษา
9. ความเป็นครู 10. การประกันคุณภาพทางการศึกษา (เพิม่ ) 6. การออกแบบและการดำเนินการ
11. คุณธรรม จริยธรรมและจรรยาบรรณ เกี่ยวกบั งานประกันคุณภาพการศกึ ษา
(เพ่มิ )

21

ตาราง (ตอ่ )

ด้านประสบการณ์วิชาชีพ ผ่านการปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญญาทางการศึกษา

เป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่

คณะกรรมการคุรุสภากำหนด ดังน้ี 1) การฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน 2) การปฏิบัตกิ ารสอนในสถานศึกษา

ในสาขาวิชาเฉพาะ

มาตรฐานการปฏิบัติงาน มาตรฐานการปฏิบตั ิงาน

(พ.ศ.2548) และ(พ.ศ.2556) (พ.ศ.2562)

มาตรฐานที่ 1 ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการ ก ) ก า ร ป ฏ ิ บ ั ต ิ ห น ้ า ท ี ่ ค รู

เกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพครู (1) มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียน ด้วยจิตวิญญาณความเป็นครู

อย่เู สมอ (2) ประพฤตตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม

มาตรฐานท่ี 2 ตดั สนิ ใจปฏบิ ัตกิ ิจกรรมต่าง ๆ และมีความเปน็ พลเมอื งท่เี ข้มแขง็

โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดกับ (3) ส่งเสริมการเรียนรู้ เอาใจใส่ และยอมรับความแตกต่าง

ผเู้ รยี น ของผู้เรยี นแตล่ ะบุคคล

มาตรฐานท่ี 3 ม่งุ ม่ันพฒั นาผู้เรยี นใหเ้ ตม็ ตาม (4) สร้างแรงบันดาลใจผู้เรียนให้เป็นผู้ใฝ่เรียนรู้ และผู้สร้าง

ศักยภาพ นวัตกรรม

มาตรฐานที่ 4 พัฒนาแผนการสอนให้ (5) พัฒนาตนเองให้มีความรอบรู้ ทันสมัย และทันต่อการ

สามารถปฏบิ ตั ไิ ดเ้ กดิ ผลจรงิ เปล่ียนแปลง

มาตรฐานที่ 5 พัฒนาส่อื การเรยี นการสอนให้ (ข) การจัดการเรยี นรู้

มีประสทิ ธิภาพอยเู่ สมอ (1) พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา การจัดการเรียนรู้ สื่อ

มาตรฐานที่ 6 จัดกิจกรรมการเรียนการสอน การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้

โดยเน้นผลถาวรที่เกิดแก่ (2) บูรณาการความรู้ และศาสตร์การสอน ในการวางแผน

ผเู้ รยี น และจัดการเรียนรู้ที่สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มีปัญญารู้คิด

มาตรฐานที่ 7 รายงานผลการพัฒนาคณุ ภาพ และมคี วามเปน็ นวัตกร

ของผเู้ รยี นได้อย่างมรี ะบบ (3) ดูแล ช่วยเหลือ และพัฒนาผู้เรียนเป็นรายบุคคลตาม

มาตรฐานท่ี 8 ปฏบิ ตั ติ นเป็นแบบอยา่ งทดี่ แี ก่ ศักยภาพ สามารถรายงานผลการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนได้อย่าง

ผู้เรยี น เปน็ ระบบ

มาตรฐานที่ 9 ร่วมมือกับผูอ้ ื่นในสถานศึกษา (4) จัดกิจกรรมและสร้างบรรยากาศการเรียนรู้ ให้ผู้เรียน

อย่างสร้างสรรค์ มีความสุขในการเรียน โดยตระหนักถึงสุขภาวะของผู้เรียน

มาตรฐานที่ 10 ร่วมมือกับผู้อื่นอย่าง (5) วิจัย สร้างนวัตกรรม และประยุกต์ใช้เทคโนโลยี ดิจิทัล

สร้างสรรค์ในชุมชน ให้เกดิ ประโยชน์ต่อการเรียนรขู้ องผเู้ รยี น

มาตรฐานที่ 11 แสวงหาและใช้ข้อมูล (6) ปฏิบัติงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์และมีส่วนร่วมใน

ข่าวสารในการพฒั นา กจิ กรรมการพฒั นาวิชาชพี

มาตรฐานที่ 12 สร้างโอกาสให้ผู้เรียนได้ (ค) ความสัมพันธ์กับผู้ปกครองและชุมชน

เรยี นรู้ในทุกสถานการณ์ (1) รว่ มมอื กับผ้ปู กครองในการพัฒนาและแกป้ ญั หาผเู้ รียนให้

มีคณุ ลกั ษณะทพ่ี ึงประสงค์

(2) สร้างเครือข่ายความร่วมมือกับผู้ปกครองและชุมชน

เพอ่ื สนบั สนนุ การเรยี นรู้ทม่ี คี ณุ ภาพของผู้เรียน

(3) ศึกษา เขา้ ถึงบรบิ ทของชมุ ชน และสามารถอยู่ร่วมกันบน

พ้นื ฐานความแตกต่างทางวัฒนธรรม

(4) สง่ เสริม อนุรกั ษ์วฒั นธรรม และภูมปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ

22

ตาราง (ต่อ)

มาตรฐานการปฏิบตั ติ น

(1) จรรยาบรรณต่อตนเอง
-ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องมีวินัยในตนเอง พัฒนาตนเองด้านวิชาชีพ บุคลิกภาพ และวิสัยทัศน์

ให้ทนั ตอ่ การพฒั นาทางวิทยาการ เศรษฐกจิ สังคมและการเมอื งอยเู่ สมอ
(2) จรรยาบรรณตอ่ วิชาชีพ

-ผู้ประกอบวชิ าชีพทางการศกึ ษา ต้องรกั ศรัทธา ซอ่ื สตั ย์สจุ รติ และรบั ผิดชอบต่อวิชาชีพ เปน็ สมาชกิ ทด่ี ีของ
องค์กรวิชาชีพ
(3) จรรยาบรรณตอ่ ผู้รบั บรกิ าร

– ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องรัก เมตตา เอาใจใส่ ช่วยเหลือ ส่งเสริม ให้กำลังใจแก่ศิษย์
และผู้รบั บรกิ ารตามบทบาทหน้าทีโ่ ดยเสมอหน้า

– ผู้ประกอบวชิ าชีพทางการศึกษา ตอ้ งสง่ เสริมใหเ้ กดิ การเรียนรู้ ทักษะ และนิสยั ท่ีถกู ตอ้ งดีงามแกศิษย์และ
ผรู้ ับบรกิ าร ตามหน้าทีอ่ ย่างเตม็ ความสามารถดว้ ยความบริสทุ ธิ์ใจ

– ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี ทั้งทางกาย วาจาและจิตใจ
– ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องไม่กระทำตนเป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญ ทางกาย สติปัญญา
จิตใจ อารมณแ์ ละสงั คมของศษิ ยแ์ ละผรู้ บั บรกิ าร
– ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา ต้องให้บริการด้วยความจริงใจและเสมอภาค โดยไม่เรียกรับหรือยอมรบั
ผลประโยชน์จากการใช้ ตำแหน่งหนา้ ที่โดยมชิ อบ
(4) จรรยาบรรณตอ่ ผ้รู ่วมประกอบวิชาชพี
-ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาพึงช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันอย่างสร้างสรรค์ โดยยึดมั่นในระบบ
คณุ ธรรม สรา้ งความสามคั คใี นหมูค่ ณะ
(5) จรรยาบรรณตอ่ สังคม
-ผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา พึงประพฤติปฏิบัติตน เป็นผู้นำในการอนุรักษ์ และพัฒนาเศรษฐกิจ
สังคม ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ภูมิปัญญา สิ่งแวดล้อมรักษาผลประโยชน์ ของส่วนรวมและยึดมัน่ ในการปกครอง
ระบอบประชาธปิ ไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ท์ รงเปน็ ประมขุ

แนวคิดท่มี ีอิทธพิ ลตอ่ การศกึ ษาไทย

จากการศึกษาปัจจัย ปัญหา ต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลทำให้ระบบการศึกษามีการเปลี่ยนแปลง
มีหลายสาเหตุที่ทำให้การศึกษาการปรับเปลี่ยนเพื่อการปฏิรูปให้ดียิ่งขึ้น ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
ดังรายละเอยี ดต่อไปนี้ (ครไู ม้เอกเสกความรู้, 2563, หน้า 1-19)

1. อิทธพิ ลในสมัยปฏริ ูปการศึกษา พ.ศ. 2412 – พ.ศ. 2475
ปัจจัยที่มีผลในการปฏริ ูปการศกึ ษาในครัง้ นี้ มีหลายปจั จยั เชน่
1) แนวคิดและวิทยาการต่าง ๆ ของชาติตะวันตก ซึ่งคณะมิชชันมารีได้นำวิทยาการ

เข้ามาเผยแพร่ในด้านการแพทย์ การพิมพ์หนังสือและระบบโรงเรียนของพวกสอนศาสนา ตั้งแต่สมัย
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสืบเนื่องมาถึงใน
สมัยนี้ เป็นเหตุให้ไทยต้องรับและปรับปรุงแนวคิดในการจัดการศึกษาขึ้นเพื่อประโยชน์ในการพัฒนา
ประเทศ

23

2) ภัยจากการคุมคามของประเทศมหาอำนาจในต้นคริสต์ศตวรรษท่ี 19 หรือปลาย
พุทธศตวรรษที่ 24 ลัทธิจักรพรรดินิยมกำลังแผข่ ยายมายังประเทศต่าง ๆ ในเอเชียซึ่งประเทศเพื่อน
บ้าน เช่น พม่า ญวน เขมรและมลายูเป็นต้น ต่างตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศมหาอำนาจ
ส่วนประเทศไทยมจี ดุ อ่อนทง้ั ในเร่ืองความล้าหลงั ระบบการปกครองและการกำหนดเขตแดนที่ชัดเจน
พระองค์จึงทรงห่วงใยบ้านเมือง จึงดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบประนีประนอมและเร่งปรับปรุง
ประเทศโดยเนน้ การศกึ ษาของชาติ

3) ความต้องการบุคคลที่มีความรู้ความสามารถ เข้ามารับราชการเนื่องจากพระองค์
ทรงปรับปรงุ และขยายงานในส่วนราชการต่าง ๆ จึงจำเปน็ ตอ้ งจัดตั้งโรงเรียนเพื่อสอนคนให้เข้ามารับ
ราชการ

4) โครงสร้างของสังคมไทยได้มีการเปลี่ยนแปลง โดยมีการเลิกทาสและมีการติดต่อ
กับต่างประเทศมากขนึ้ วฒั นธรรมแบบอย่างตะวันตกได้แพรห่ ลายจึงจำเปน็ ตอ้ งการปรับปรุงการศึกษา
เพ่ือใหป้ ระชาชนได้รับการศกึ ษาเพิ่มข้ึน

5) การที่พระองค์ได้เสด็จต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป ทำให้ได้แนวความคิด
เพื่อนำมาปฏริ ูปการศกึ ษาและใชเ้ ป็นแนวทางพฒั นาบ้านเมือง

2. อทิ ธิพลในรัชสมยั พระบาทสมเดจ็ พระมงกุฎเกลา้ เจา้ อย่หู วั
ปัจจัยทม่ี อี ิทธิพลตอ่การจดั การศึกษา มีดังน้ี
1) พระบรมราชโชบายในการปกครองประเทศ เพื่อให้ประเทศมีความเจริญก้าวหน้า

ทัดเทียมกับนานาประเทศ โดยการส่งทหารไปร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตรในสงครามโลกครั้งที่ 1
นอกจากนี้ พระองค์ทรงสร้างความรู้สึกชาตินิยมในหมู่ประชาชนชาวไทยโดยมีสาระสำคัญของ
อดุ มการณช์ าตนิ ยิ ม คือ ความรักชาติ จงรกั ภกั ดตี ่อพระมหากษตั รยิ แ์ ละความยึดมนั่ ในพทุ ธศาสนา

2) พระองค์ทรงศึกษาวิชาการจากต่างประเทศ และเมื่อเสด็จกลับมาแล้วพระองค์ได้
ทรงนำเอาแบบอย่างและวิธีการที่เป็นประโยชน์มาใช้เป็นหลักในการปรับปรุงการศึกษา เช่น ทรง
นำเอาแบบอย่างและวิธีการที่เป็นประโยชน์มาใชเป็นหลักในการปรับปรุงการศึกษา เช่น ทรงนำเอา
วิชาลูกเสือจากประเทศอังกฤษเข้ามาจัดตั้งกองเสือป่า พระองค์ทรงเป็นนักปราชญ์โดย ทรงแปล
วรรณคดตี า่ งประเทศเป็นภาษาไทยและทรงนพิ นธ์วรรณคดีไว้หลายเรอ่ื ง

3) ผลอันเนื่องจากการจัดการศึกษาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเ กล้า
เจ้าอยู่หัว เมื่อคนส่วนมากที่ได้รับการศึกษา มีความรู้และแนวคิดเกี่ยวกับการปกครองประเทศใน
ระบอบรัฐธรรมนูญในระบบรัฐสภา จึงมีความปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงการปกครองไปเป็นระบอบ
ประชาธิปไตย และปัญหาอันเกิดจากคนล้นงานและคนละทิ้งอาชีพและถิ่นฐานเดิม มุ่งที่จะหันเข้า
สู่อาชพี ราชการมากเกนิ ไป

3. อทิ ธพิ ลในรชั สมยั พระบาทสมเดจ็ พระปกเกล้าเจา้ อยู่หวั
ปจั จยั ทมี่ อี ทิ ธิพลต่อการจดั การศกึ ษาใน สมัยน้ีมดี งั นี้
1) ปัญหาการเมอื งท่เี กิดขึน้ ภายในประเทศ มีกลุ่มผูต้ ่ืนตวั ทางการเมืองในกรงุ เทพ-

มหานครเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง มีการวิพากษ์วิจารณ์
ระบอบสมบรู ณาญาสิทธิราช

2) ปัญหาสบื เนือ่ งจากอทิ ธพิ ลจักรวรรดินิยมตะวนั ตกซ่ึงตกคา้ งมาตงั้ แต่รชั กาลก่อน ๆ

24

3) ปัญหาสืบเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำในระหว่าง พ.ศ.2463-พ.ศ.2474
เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำจนเป็นเหตุให้รัฐบาลต้องตัดทอนรายจ่ายลง มีการยุบหน่วยงาน และ
ปลดข้าราชการออก สร้างความไมพ่ อใจใหก้ บั รฐั บาลระบอบสมบูรณาญาสิทธริ าชย์

4) ปัญหาสืบเนื่องจากการประกาศใช้กฎหมายการศึกษา คือพระราชบัญญัติ
ประถมศกึ ษา ทำให้การศกึ ษาแพรห่ ลายออกไปแต่ขาดความพร้อมทางด้านงบประมาณการศึกษา

4. อิทธพิ ลในสมัยการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2475 –ปจั จุบนั
ปัจจัยของไทยท่ีมีอิทธพิ ลตอ่ การจัดการศึกษา สมยั นี้มีดงั น้ี
1) นโยบายการจัดการศึกษาของคณะราษฎร์ ประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงการ

ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.
2475 คณะราษฎร์ซึ่งเป็นกลุ่มบุคคลที่รวมตัวกันเปลี่ยนแปลงการปกครอง ได้วางเป้าหมายสำคัญ
หรืออุดมการณ์ของคณะราษฎร์ มีปรากฏอยู่ในหลัก 6 ประการ ข้อที่ 6 จะต้องให้การศึกษาอย่าง
เต็มที่แก่ราษฎร เพราะคณะราษฎร์มีความเห็นว่าการที่จะให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจเร่ืองการ
ปกครองระบอบประชาธิปไตย จำเป็นต้องจัดการศึกษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง เมื่อประชาชน
มกี ารศึกษาดยี ่อมจะทำให้ประเทศชาติเจรญิ ขนึ้ ด้วย ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลพระ
ยามโนปกรณ์นิติธาดา พ.ศ. 2475 กล่าวไว้วา่ “….การจัดการศึกษาเพื่อจะให้พลเมืองได้มีการศึกษา
โดยแพร่หลาย ก็จะต้องอนุโลมตามระเบียบการปกครองที่ให้เข้าลักษณะเกี่ยวกับแผนเศรษฐกิจ
แห่งชาติ หลักสูตรของโรงเรียนและมหาวทิ ยาลัยจะตอ้ งขยายให้สูงขึ้นเท่าเทียมอารยประเทศ ในการ
นี้ จะต้องเทียบหลักสูตรของนานาประเทศ หลักสูตรใดสูงถือตามหลักสูตรนัน้ ” รัฐบาลชุดต่อ ๆ มาก็
ไดพ้ ยายามทีจ่ ะไดจ้ ดั การศกึ ษาให้ทวั่ ถึงในหมู่ประชาชนทั่วไป ถา้ วิเคราะหด์ ู

จากคำแถลงนโยบายของรัฐบาลพบว่า ได้ตั้งความหวังเรื่องการศึกษาไว้สูงเกินไปจะให้เท่า
เทียมอารยประเทศซึ่งสภาวการณ์ในประเทศขณะนั้นยังไม่มีความพร้อม โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ
ซ่ึงเป็นปัญหาใหญข่ องประเทศในขณะน้นั เป็นผลให้เกิดปัญหาในการจดั การศึกษานบั แตน่ น้ั เปน็ ตน้ มา

2) การเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง พ .ศ. 2484 - พ.ศ. 2488ประเทศไทยตกอยู่ใน
ภาวะสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งมีผลกระทบ กระเทือนต่อประเทศไทยอย่างรุนแรงทั้งด้านเศรษฐกิจ
สังคมและการศึกษา หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ประเทศไทยได้รับความเสียหาย อันสืบเนื่องมาจาก
สงครามโลกครั้งที่สอง จึงจำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคารโลกเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาประเทศและ
ประเทศไทยสมัครเป็นสมาชิกองค์การศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ทำให้
ประเทศไทยได้รับความช่วยเหลือในด้านต่าง ๆ ตลอดจนแนวคิดใหม่ๆ มาใช้ในการพัฒนาประเทศ
ทำใหแ้ นวคดิ ทางการศกึ ษาของไทยเร่มิ เปล่ียนแปลงจากเดมิ เปน็ อย่างมาก

25

5. การศกึ ษาในสมัยปจั จุบนั
มกี ารจดั การศกึ ษาตามบริบทของการจดั การศกึ ษาอนั เป็นปามแผนการศกึ ษาของชาติ คือ

พัฒนาคน พัฒนาครูอาจารย์ พัฒนาสังคม ในหลากหลายรูปแบบที่เน้นการมีส่วนร่วมขององค์กร
ภาครัฐและเอกชน เป็นการจัดการศึกษาที่เน้นด้านอาชีวศึกษามากขึ้น การมุ่งเน้นให้มีการจัด
การศึกษาขั้นพื้นฐานและระดับปริญญาตรีเพื่อเน้นการมีงานทำโดนอาศัยปัจจัยหลักในองค์กรหลัก
จากภายนอกหลายปัจจัยเช่น ปัจจัยด้านเทคโนโลยี ด้านเศรษฐกิจ ด้านระบบราชการ ด้านการเมือง
การปกครอง ด้านคุณธรรมจริยธรรมซึ่งส่งผลให้จัดระบบบริหารจัดการกระทรวงศึกษาธิการรูปแบบ
ใหม่ โดยบูรณาการองค์กรหลักของกระทรวงทั้ง5 องค์กรหลัก โดยให้ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
เป็นผู้มีอำนาจสูงสุด กระจายอำนาจไปสู่ส่วน
ภูมิภาคไปยังศึกษาธิการภาค 1-18 โดยแต่ระ
ภาคจะประกอบไปด้วยกลุ่มจังหวัด ในแต่ละ
จังหวัดมี ศึกษาธิการจังหวัดเป็นฝ่ายกำกับดูแล
หนว่ ยงานทางการศึกษาในจังหวดั เขตพื้นท่ีและ
สถานศึกษาซึ่งเป็นการกระจายอำนาจโดยให้มี
การกำกบั ควบคุมดแู ลกันอย่างเป็นระบบมากขึ้น
(ประหยัด พิมพา, 2561, หนา้ 242-249)

ภาพประกอบ 20 เทคโนโลยที างดา้ นการศึกษา

ทีม่ า (เทคโนโลยีดา้ นการศกึ ษา. (2564). คน้ เมอื่ กรกฎาคม, 1, 2564, จาก https://shorturl.asia/eiKNE)

6. ปัจจยั ภายนอกกับแนวโนม้ การศกึ ษา
การกำหนดทิศทางและนโยบายการจัดการศึกษาไทย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องจัดทำ

ฐานข้อมูล โดยวิเคราะห์และสกัดปัจจัยสำคัญออกมา บทความนี้นำเสนอปัจจัยภายนอก 5 ประการ
สำคัญที่มีผลต่อการจดั การศึกษาไทย ดังน้ี (เกรียงศักดิ์ เจริญวงศ์ศักดิ์, 2556, หน้า 11-15 อ้างใน
ประหยัด พมิ พา, 2561, หน้า 242-249)

1. ปัจจัยด้านเทคโนโลยี ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีมีผลต่อการกำหนดคุณสมบัติ
และคุณภาพของแรงงานในอนาคต เทคโนโลยีสารสนเทศ เทคโนโลยีการขนส่ง เทคโนโลยีการผลิต
นาโนเทคโนโลยี เทคโนโลยีชีวภาพ ฯลฯ มีความก้าวหน้าข้ึนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้มี

ประโยชน์ในการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของ
ประเทศ ดังนั้นการจัดการศึกษาจึงต้องมีการ
เพิ่มเติมความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีใหม่ ๆ ใน
หลักสูตรการเรียนการสอน และปรับปรุงให้ทัน
ต่อการเปล่ียนแปลงเทคโนโลยี

ภาพประกอบ 21 เทคโนโลยที างด้านการศึกษา

ทมี่ า (เทคโนโลยดี า้ นการศึกษา. (2564). คน้ เม่ือ กรกฎาคม, 1,
2564, จาก https://shorturl.asia/eiKNE)

26

2. ปัจจัยด้านเศรษฐกิจ ปัจจัยทางเศรษฐกิจมีผลต่อตลาดแรงงานและตลาด
การศึกษา เนื่องจากการกำหนดลักษณะของแรงงานทีต่ ้องการ อาทิ เศรษฐกิจใหม่ จะแข่งขันกันด้วย
นวัตกรรมใหม่ ๆ ซึ่งต้องอาศัยการวิจัยและพัฒนา ดังนั้น การศึกษาต้องพัฒนาคนให้มีทักษะการทำ
วิจยั ใหส้ ามารถสร้างนวตั กรรมใหมท่ ่ีมีคุณค่าต่อระบบเศรษฐกิจ การเปิดเสรีทางการค้าและการลงทุน
เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้า และเงินลงทุนจากต่างประเทศมากขึ้น ประเทศต่าง ๆ ไม่เพียงแต่ต้องลด
การกีดกันการแข่งขันเท่านั้น ยังต้องแข่งขันกันด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งต้องอาศัยแรงงานที่มีฝีมือ
มีทักษะความสามารถที่หลากหลาย เช่น ความรู้ด้านเทคโนโลยี ภาษาต่างประเทศ การบริหาร ฯลฯ
ซ่ึงเป็นหน้าที่ของผบู้ รหิ ารการศึกษาท่จี ะพฒั นาคนใหม้ ีคณุ ภาพ

3. ปัจจัยดา้ นระบบราชการ การปฏิรูปการศึกษาที่ผ่านมาเคล่ือนไปอยา่ งยากลำบาก
เนื่องด้วยระบบราชการเป็นอุปสรรค ซึ่งเกิดจากความล่าช้าในการประสานงาน เนื่องจากการทำงาน
ตามระบบราชการไทย มักทำงานแบบต่างคนต่างทำไม่ไปในทิศเดียวกัน นอกจากนี้ ยังมีลักษณะของ
การรวมศูนยท์ ี่ส่วนกลางมากเกินไป การทำงานแบบราชการทีย่ ดึ กฎระเบียบตายตัว ขาดความยืดหยุ่น
และเออื้ ตอ่ การปฏิบัตงิ านของผบู้ รหิ ารการศึกษาและครูบางส่วนทีไ่ มย่ อมปรับตวั

4. ปัจจัยด้านการเมือง กล่าวกันว่า การปฏิรูปหรือพัฒนาการจัดการศึกษาจะสำเร็จ
หรือล้มเหลว ขึ้นอยู่กับการเมืองมากกว่าแนวทางและวิธีการ แต่หากการเมืองไทยมีเงื่อนไขบาง
ประการที่เป็นอุปสรรค จะส่งผลให้การปฏิรูปการศึกษาไทยไม่ก้าวหน้าหรือประสบความสำเร็จ
เท่าที่ควร อาทิ การปรับเปลี่ยนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) บ่อยครั้งทำให้การดำเนิน
นโยบายการพัฒนาการศึกษาไม่ต่อเนื่อง นักการเมืองมองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.)
ว่า เป็นกระทรวงที่สร้างผลงานได้ยาก ตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ จึงนำมาใช้เพ่ือ
วัตถุประสงค์ทางการเมือง อาทิ เป็นรางวัลแก่ผู้สนับสนุนพรรค ผู้ที่เข้ามาดำรงตำแหน่งจึงมิใช่ผู้มี
ความรู้ในด้านการศึกษาอย่างแท้จริง ความไม่สอดคล้องของเป้าหมายของการจัดการศึกษากับ
เป้าหมายทางการเมืองเป้าหมายของนักการเมืองหลายคนคือ ต้องการคะแนนนิยม จึงมีนักการเมือง
จำนวนไม่น้อยที่ไม่ดำเนินนโยบายที่ให้ผลในระยะยาว เนื่องจากเสี่ยงที่จะทำให้ตนเองไม่เป็นที่นิยม
ทางการเมือง ซึ่งนน่ั หมายความรวมถึงนโยบายการศึกษา ดงั นั้นนักการเมืองจงึ เลือกดำเนินนโยบายที่
เห็นผลในระยะสั้น เพื่อทำให้ตนเองได้รับเลือกตั้งเข้ามาอีกครั้ง อันเป็นอุปสรรคยิ่งต่อการพัฒนา
การศกึ ษาไทย

5. ปัจจัยด้านวัฒนธรรม สังคมไทยมีเงื่อนไขทางวัฒนธรรมหลายประการ ที่เป็น
อุปสรรคต่อการพัฒนาคุณภาพการจดั การศึกษาไทย ดังนี้ ขาดวัฒนธรรมการมีส่วนรว่ ม สังคมไทยใน
ปัจจุบันขาดความเหนียวแน่น ขาดความร่วมแรงร่วมใจ คนในสังคมจึงมองการศึกษาว่าเป็นเรื่องของ
รัฐบาลไม่เกีย่ วกับตนเองรักความสนุกและความสบายคนไทยสว่ นใหญ่สนใจความบันเทงิ มากกว่าการ
แสวงหาความรู้ จงึ เป็นอุปสรรคต่อการพฒั นาคุณภาพการศึกษา สังคมอุปถัมภ์ สงั คมไทยยังมีลักษณะ
สังคมอุปถัมภ์ เห็นแก่พวกพ้องมากกว่าส่วนร่วม ผู้ที่มีอำนาจมักแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตนเองและ
พวกพ้อง โดยที่ประชาชนไม่กล้าขัดขวาง เพราะต้องพึ่งพาอาศยั ดังนั้น เมื่อมีการกระจายอำนาจทาง
การศึกษา อาจกลายเป็นแหลง่ ผลประโยชน์ให้กับผู้มีอิทธิพลได้หากควบคุมไมด่ ี ขาดการเปิดกว้างทาง
ความคดิ และการรบั ฟังความเหน็ ของผู้อ่ืน สงั คมไทยมีค่านยิ มวา่ การมีความคดิ ท่ีแตกตา่ งหรอื การเป็น
แกะดำ เป็นสิ่งไม่ดี มองผู้ที่คิดแตกต่างเป็นศัตรู และพยายามหักล้างความคิดซึ่งมักกระทำโดยใช้

27

อารมณ์มิได้ใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาผู้เรียนที่ปัจจุบันมุ่งสร้างคนให้คิดเป็น
ทำเป็น

ปัจจัยที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ล้วนเป็นปัจจัยหลักที่หน่วยงานกำหนดธงพัฒนาระบบ
การศึกษาไทย จะต้องให้ความสำคัญ และนำไปใช้วิเคราะห์วางแผนกำหนดทิศทางและนโยบาย
โดยเฉพาะปัจจัยด้านการเมือง ซง่ึ มอี ทิ ธพิ ลมากต่อการพัฒนาการศึกษาไทย เพราะหากแม้ว่าจะมีการ
ขยับหรือพัฒนาปัจจัยอ่ืนมากเพียงใด แต่หากปัจจัยการเมืองไม่ถูกพัฒนาให้เอื้อต่อการจัดการศึกษา
ย่อมส่งผลให้การขยับหรือพัฒนาปัจจัยอื่นย่อมกระทำได้ยาก และอาจไม่นำพาสู่ความสำเร็จได้ หาก
เปรยี บเทยี บใหป้ ัจจัยทางการเมือง เปรียบเสมอื นน้ำท่ีหล่อเลย้ี งให้ระบบการศึกษาไทยเติบโตงอกงาม
ผลดิ อกออกผลที่มีคณุ ภาพ แตห่ ากขาดการหล่อเล้ียงน้ำที่มากเพียงพอ ยอ่ มจะทำให้การจัดการศึกษา
เหี่ยวเฉา และไม่เจริญก้าวหน้า ดังนั้นการพัฒนาการจัดการศึกษาไทย จึงขึ้นอยู่กับจุดยืนและภาวะ
ของผู้นำประเทศและผู้นำกระทรวงศึกษาธิการที่ให้ความสำคัญ ผลักดันและสนับสนุน ให้เกิดการ
ขับเคลื่อนในการพฒั นาระบบการศกึ ษาไทย

7. แนวโนม้ การศึกษาไทยในอนาคต
หลังจากการจัดการศึกษาในรูปแบบการบริหารจัดการปฏิรูปองค์การศึกษาของ

กระทรวงศึกษาธิการแล้ว การจัดการศึกษาไทยมีแนวโน้มทีจ่ ะกา้ วสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วและ
อาจจะเกดิ การเปลยี่ นแปลงเป็นแนวโน้มอนาคตทางการศึกษาไทยไดเ้ ป็นดังน้ี

7.1 เกิดการปฏิรูปโครงสร้างการบริหารการจัดการศึกษาของกระทรวงศึกษาธิการ
ของไทย

7.2 มีหลักสูตรใหม่เกิดเพมิ่ มากขึน้
7.3 มกี ารบรู ณาการหลกั สูตรนานาชาตมิ ีความเปน็ สากลมากขนึ้
7.4 เกดิ การมีสว่ นรว่ มมากขนึ้
3.5 เพิ่มโอกาสทางการศึกษาและลดความเหล่อื มลำทางการศกึ ษา
7.6 เกิดการแข่งขันทางการศึกษาสูงขึ้น เน้นด้านคุณภาพและอาจด้อยด้านคุณธรรม
จรยิ ธรรม
7.7 เกิดวิวัฒนาการ การสืบค้นด้านเทคโนโลยี ข้อมูลข่าวสารได้รวดเร็วและพัฒนา
องคค์ วามรู้ตลอดเวลา
การจัดการศึกษาในอนาคตของไทยจึงต้องอาศัยเทคโนโลยีและการสืบค้นด้วยตนเอง
มากกว่าใช้ครูและบุคลากรทางการศึกษาที่ต้องเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้มาเป็นผู้ก ำกับดูแลและให้
คำปรึกษาการสืบค้นข้อมูล การใช้ข้อมูลที่เหมาะสม การเรียนรู้จะอาศัยการศึกษาเรียนรู้จากสภาพ
จริงของสังคมและสิ่งแวดล้อมมากกว่าการเรยี นรู้ในชั้นเรียน การวัดและการประเมินผลการเรียนรู้ใช้
เทคโนโลยี ข่าวสารทางอิเล็กทรอนิกส์นวัตกรรม สังคมจะปรับตัวตามเทคโนโลยีและนวัตกรรม
การศึกษาในอนาคตจึงต้องปรับตัวตามเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงเพื่อเตรียมความพร้อมสู่ประเทศ
ไทย 4.0 ตอ่ ไป (ประหยัด พิมพา, 2561, หนา้ 242-249)

28

บทสรุป

การพัฒนา หมายถึง ความเจริญก้าวหน้า ความเจริญ งอกงาม การทำให้ดี ให้เจริญเติบโต
การปรับปรุง การเปล่ยี นแปลงไปสู่สภาพท่ีดกี วา่ เดิม ซ่ึงตามแนวความคดิ ใหม่ การพฒั นาจะม่งุ ไปท่ีคน
ที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางสังคม เศรษฐกิจ อันเป็นกระบวนการดำเนินการไปเรื่อย ๆ ไม่มีท่ี
สิ้นสุด โดยวิชาชีพครูในอดีต เป็นวิชาชีพที่มีเกียรติสูงเป็นที่ยกย่องนับถือของคนทั่วไปในสังคม และ
เป็นวิชาชีพที่คนเก่งคนดีใฝ่ฝันที่จะเป็นแต่ด้วยบริบทที่เปลี่ยนแปลง ค่านิยมก็เปลี่ยนไปตามสังคม
บริโภคนิยม เกิดวิกฤติในวิชาชีพครู คนเก่ง คนดี ไม่เลือกเรียนครู ยุคของพัฒนาการวิชาชีพครูตั้งแต่
อดีตจนถงึ ปจั จุบัน มี 5 ยุค ดังนี้

1. ครูยคุ การศกึ ษาไทยโบราณ (ก่อน พ.ศ. 1730-2413
1.1 สมัยอาณาจกั รนา่ นเจ้า
1.2 สมัยสโุ ขทยั (พ.ศ.1781-1983)
1.3 สมัยกรงุ ศรอี ยุธยา (พ.ศ.1893-2310)
1.4 สมัยกรุงธนบุรี (พ.ศ.2310-2325) และกรุงรตั นโกสนิ ทร์ตอนต้น (รัชกาลท่ี

1-4 : พ.ศ. 2325-2410)
2. ยุคกอ่ นมพี ระราชบญั ญตั คิ รูพุทธศักราช 2488 (พ.ศ.2414-2487)
3. ครยู คุ มีพระราชบญั ญตั กิ อ่ นมใี บประกอบวชิ าชพี (พ.ศ.2488-2545)
4. ครยู ุคมีใบประกอบวชิ าชีพครู (พ.ศ. 2546)
5. ครูยคุ มคี วามรุ่งโรจน์แหง่ วิชาชีพครู (พ.ศ. 2547- ปัจจุบัน)

ในยุคของการปฏิรูปการศึกษาของไทย จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ได้เสด็จไปต่างประเทศทั้งในเอเชียและยุโรป พระองค์ท่านจึงนำแนวความคิดมาใช้เพื่อปฏิรูป
การศึกษา และใช้เปน็ แนวทางในการพฒั นาบา้ นเมือง จงึ ไดม้ ีการจดั ตัง้ โรงเรียน การศกึ ษาของไทยใน
สมัยปฏริ ูปการศกึ ษาทีเ่ กยี่ วข้องกับครมู กี ารพัฒนา ดงั นี้

พ.ศ..2414 ตั้งโรงเรียนหลวงขึ้นในพระบรมมหาราชวัง โดยมีพระยาศรีสุนทรโวหาร
(น้อย อาจาริยางกูล) ในขณะที่เป็นหลวงสารประเสริฐเป็นอาจารย์ใหญ่ และมีการจัดตั้งโรงเรียน
ประเภทอนื่ ๆ เช่น โรงเรียนหลวงสำหรับสอนภาษาองั กฤษในพระบรมมหาราชวัง

พ.ศ.2427 ทรงตั้งโรงเรียนหลวงสำหรับราษฎรขึ้นตามวัดในกรุงเทพหลายแห่ง
แหง่ แรกคือ โรงเรยี นวดั มหรรณพาราม

พ.ศ.2435 ตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูเป็นแห่งแรกที่ตำบลโรงเลี้ยงเด็ก ต่อมาย้ายไปอยู่ที่
วัดเทพศิรนิ ทร์

พ.ศ.2437 นั่งเรียนฝึกหัดครูยุคแรก 3 คน สำเร็จการศึกษาได้รับประกาศนียบัตร
วิชาชีพครสู อนภาษาไทยและภาษาอังกฤษ

พ.ศ.2449 ยกระดับโรงเรียนฝึกหัดครู โดยปรับปรุงหลักสูตรให้สูงขึ้นเป็นโรงเรียน
ฝึกหัดอาจารยส์ อนหลกั สตู ร 2 ปี รับนกั เรียนทส่ี ำเรจ็ มธั ยมศกึ ษา

พ.ศ.2450 ตัง้ โรงเรียนฝกึ หดั ครูหญิงขนึ้ เปน็ คร้ังแรกทีโ่ รงเรียนเบญจมราชาลัย

29

อนึ่ง ใน พ.ศ.2414 นั้น ได้มีพระบรมราชโองการตั้งโรงเรียน ซึ่งประกาศ ณ
วนั พฤหสั บดี เดือนอา้ ย แรม 3 ค่ำ ปีมะแม พ.ศ.2414 จงึ ทำใหม้ องเห็นระบบโรงเรยี นได้ 6 ประการ
มอี ยู่ 2 ประการทีเ่ กี่ยวข้องกับครอู ยา่ งชดั เจน คอื

1) โรงเรียนแห่งแรกที่สอนหนังสือไทยตั้งขึ้นในพระบรมมหาราชวัง มีขุนนางและ
เจา้ พนกั งานจากกรมพระอาลกั ษณท์ ำหน้าที่เป็นครูสอน

2) ผู้เป็นครูเป็นข้าราชการ มีเงินเดือน ผู้เรียนมีเสื้อผ้าและอาหารกลางวัน
พระราชทาน

พ.ศ.2461 ปรับปรุงและขยายการฝึกหัดครู โอนกลับมาขึ้นกับกระทรวงศึกษาธิการ
ซง่ึ เดมิ เปน็ แผนหนง่ึ ของโรงเรยี นขา้ ราชการพลเรือน

สำหรับในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยมีปัญหาภายใน
หลายประการ อาทิเช่น ปัญหาการเมืองที่เกิดขึ้นทั่วทั้งภายในประเทศ อันเนื่องจากมีการตื่นตัวทาง
การเมือง ปัญหาอิทธิพลจักรวรรดินิยมตะวันตก ปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ และปัญหาจาการ
ประกาศใช้กฎหมายการศึกษา คือ พระราชบัญญัติเกี่ยวกับการประถมศึกษา ปัญหาดังกล่าวเป็น
ปัญหาที่เกิดจากขาดความพร้อมทางด้านงบประมาณการศึกษา และมีปัญหาอื่น ๆ เป็นตัน ในส่วนท่ี
เก่ียวกบั ครูไม่มกี ารเปล่ยี นแปลง

เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ประเทศไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงการ
ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสทิ ธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย โดยบุคคลคณะหนึง่ เรียกว่า
“คณะราษฎร์เมื่อเปล่ยี นแปลงการปกครองแล้ว อุดมการณ์ของคณะราษฎร์ที่มเี ปา้ หมายสำคัญในการ
พัฒนาประเทศ เรียกว่า หลัก 6 ประการ สำหรับในประการที่ 6 มีความว่า “จะต้องให้การศึกษา
อย่างเต็มที่แก่ราษฎร” ในส่วนที่เกี่ยวกับครู พบว่าในปี พ.ศ.2484 มีการจัดตั้งกองฝึกหัดครูใน
กระทรวงธรรมการ

จนกระทั้งมาถึงยุคครูยุคมใี บประกอบวิชาชีพครู (พ.ศ.2546) และความรุ่งโรจนแ์ ห่ง
วิชาชีพครู (พ.ศ.2547- ปัจจุบัน) ทำให้ระบบการศกึ ษาเป็นรูปธรรมซึ่งจะเห็นได้จาก การมีกฎหมาย
แมบ่ ท กฎหมายตา่ งท่ีออกตามกฎหมายแม่บท มีองคก์ รวชิ าชีพ มีสวสั ดิการท่มี ั่นคง รวมถึงการมีวิทย
ฐานะ อีกทั้งความสำเร็จในการจัดระบบใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู เพื่อเป็นหลักประกันคุณภาพ
การศึกษา อันส่งผลต่อการยกมาตรฐานวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง และเพื่อครูจะได้พัฒนา
ประเมนิ ปรับปรุงตนเองอย่างต่อเนอ่ื ง



31

บทท่ี 2

ปรชั ญาการศกึ ษา

บทนำ

การจัดการศึกษาของชาติก็จะต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แต่ละสังคมจะมีแนวทางในการ
จัดการศกึ ษาต่างกัน เพราะระบบทั้งสามไม่เหมือนกนั แนวความคดิ หรือความเชื่อในการจัดการศึกษา
ก็คือ ปรัชญาการศึกษา ซึ่งผู้ที่มีหน้าที่ในการจัดการศึกษาจะยึดแนวทางในการจัดการศึกษาหรือ
ปรัชญาของการศึกษาต่างกันไปตามวัตถุแระสงค์ของสังคมและสถานการณ์ทางสังคมในแต่ละยุคแต่
ละสมยั การจดั การศกึ ษาของประเทศใดถ้าไม่ยดึ การศึกษาที่ถูกต้องก็ไม่มีทางท่จี ะทำให้ประเทศเจริญ
ไปสู่เป้าหมายที่ต้องการ ปรัชญาการศึกษา จึงเป็นสิ่งสำคัญในการกำหนดแนวทางในการพัฒนา
ประเทศ ในการจัดการศึกษา มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกำหนด แนวทาง ทิศทาง เพื่อให้เกิด
ความน่าเชื่อถือ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในการจัดการศึกษา ต้องมีการศึกษาปรัชญา แนวคิดและทฤษฎี
ทางการศึกษา ซง่ึ ปรชั ญาเป็นศาสตร์ทเ่ี น้นการค้นหาความจริง คณุ ค่าและความหมายของชีวิตช่วยให้
มนษุ ย์คดิ และแสวงหาความรู้อย่างมีระบบและด้วยหลักและเหตุผล การจดั การศึกษาน้ันจะจัดไปตาม
ปรชั ญาการศึกษาที่แตกต่างกันไปตามวตั ถปุ ระสงค์ของสังคมและสถานการณท์ างสงั คมในแต่ละยุคแต่
ละสมัย ปรัชญาการศึกษาเป็นปรัชญาประยุกต์ ซึ่งต่างจากปรัชญาทั่วไปที่เป็นปรัชญาบริสทุ ธิ์ เพราะ
ปรัชญาการศกึ ษาเปน็ การนำเอาปรชั ญาท่วั ไปมาประยุกตใ์ ช้ในการจัดการศึกษา

ผูเ้ ขียนไดด้ ำเนินการศกึ ษาเกี่ยวกบั เรื่องปรชั ญาการศึกษา เพ่อื ใช้ในการประยุกต์ใช้ในการจัด
การศึกษาในยุคปัจจุบัน โดยมีรายละเอียดเนื้อหาดังต่อไปนี้ 1) ความหมายของปรัชญา 2) สาขา
ปรัชญา 3) ปรัชญาพื้นฐาน 4) ปรัชญาการศึกษา 6 ปรัชญา และ5) การบูรณาการนำปรัชญา
การศึกษามาใช้

ความหมายของปรชั ญา

มีผ้ไู ดใ้ หค้ วามหมายของปรัชญาหลายทา่ นดงั นี้
พิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ (2554, หน้า 1-3) ให้ความหมายของคำว่าปรัชญาว่า

ปรัชญาเป็นภาษาไทยที่แปลมาจากภาษาอังกฤษว่า Philosophy รากศัพท์มาจากภาษากรีก แปลว่า
ความรักในความรู้ รักในความฉลาดหรือรักในปัญญา ย่อมแสดงให้เห็นว่า หัวใจของปรัชญาคือรักใน
ความรู้ ดังนั้นคนท่ไี ดช้ อื่ ว่าเป็นนกั ปราชญ์ คอื คนที่รกั ในการแสวงหาความรู้

พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2552 (ราชบัณฑิตยสถาน, 2546) ให้
ความหมายของปรัชญาวา่ ปรัชญาเป็นวิชาท่วี ่าด้วยหลกั แห่งความรู้และความจริง

พชิ ญาภา ยนื ยาว (2557, หนา้ 16) ให้ความหมายของปรัชญาวา่ ปรัชญาเป็นวชิ าท่ีเปิด
โอกาสให้มนุษย์ได้ใช้ความคิด ใช้ปัญญาและเหตุผลแสวงหาความรู้ ช่วยให้มนุษย์รู้จักตนเองและมี
หลักการในการดำเนินชวี ิตในสังคม

32

ทองเปลือง อภัยวงศ์ (2558, หน้า 341-344) ให้ความหมายของปรัชญาว่า ปรัชญา
เป็นแนวความคิดที่ลึกซึ้งเพื่อค้นหาความรู้ที่เกี่ยวกับความเป็นจริงสูงสุดสำหรับมนุษย์ และเป็น
กระบวนการท่ปี ระกอบดว้ ยการแสวงหาความรแู้ ละเป็นผลแห่งการแสวงหาความรู้ทั้งหลาย

เริงรณ ล้อมลาย และพิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ (2560, หน้า 7) ให้ความหมายของ
ปรัชญาว่า ปรัชญาเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความรู้ทั้งปวงของมนุษย์ทำให้ผู้ศึกษาเกิดปัญญาเกิดความรู้ที่
แท้จริง

จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า ปรัชญา หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง
เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้ความคิด เป็นการแสวงหาความรู้เพื่อพบความจริงที่เรียกว่าสัจธรรม
เป็นหลักเอาไว้สำหรับการดำเนนิ ชวี ติ และทำหนา้ ทปี่ ระจำวนั ของตนอย่างดอี ยา่ งเหมาะสมเพอ่ื มุ่งไปสู่
การบรรลุเป้าหมายท่แี ทจ้ ริง

สาขาของปรชั ญา

ในการศึกษาวิชาปรัชญา ซึ่งสามารถแบ่งออกได้ 2 สาขาใหญ่ๆ คือ ปรัชญาบริสุทธิ์และ
ปรัชญาประยกุ ต์ (พิมพ์พรรณ เทพสเุ มธานนท์, 2554 : 38 – 40)

1. ปรัชญาบริสุทธ์ิ หมายถึง การศึกษาปรัชญาที่เป็นเนื้อหาสาระของปรัชญาโดยตรง
ไม่ใช่ศึกษาเพื่อการอื่น ๆ ทั้งนี้ โลกตะวันตกแบ่งปรัชญาออกเป็นสามสาขาใหญ่ๆ โดยการมุ่งตอบ
ปัญหาใดปญั หาหนงึ่ ปรัชญาบรสิ ุทธิจ์ ะแบง่ ออกเปน็ 3 สาขาคอื

ปรัชญาบรสิ ุทธิ์

1. อภปิ รัชญา 2. ญาณวทิ ยา 3. คณุ วทิ ยา

1) เรื่องธรรมชาติ 1) ตรรกวทิ ยา
2) เรอ่ื งจติ หรือวญิ ญาณ 2) จรยิ ศาสตร
3) เรือ่ งพระเจา 3) สุนทรยี ศาสตร์

ภาพประกอบ 21 แสดงโครงสร้างของปรชั ญาบรสิ ทุ ธ์ิ

จากภาพประกอบ 1 ปรัชญาบริสุทธิ์จะแบ่งออกเปน็ 3 สาขา ดังรายละเอยี ดต่อไปน้ี
1. อภปิ รชั ญา (Metaphysics or Theory of Being) เปน็ วชิ าทีว่ า่ ดว้ ยเร่อื งความมอี ยู่

และความจริงแท้ของสรรพสิ่งในโลก เช่น ศึกษาเรื่องธรรมชาติมนุษย์ วิญญาณโลก พระเจ้า
สง่ิ ตา่ ง ๆ เหล่าน้เี ปน็ จรงิ อย่าง ดำรงอยอู่ ย่างไร ซ่ึงแบง่ ออกประเดน็ ศกึ ษาดังน้ี

1.1 เรื่องธรรมชาติ เป็นการศึกษาเรื่องธรรมชาติต่าง ๆ ของจักรวาลหรือเอกภพ
อันทจี่ ะรวมไปถงึ เรอ่ื ง การเวลา อวกาศ สสาร ชวี ิตจกั รวาลและโลก เป็นตน้ เช่น การศกึ ษาเรื่องอะไร
เป็นบ่อเกิดของสรรพสิ่งและธรรมชาติหรอื โลกเกิดขึ้นได้อย่างไร จักรวาลนี้เป็นหนึ่งหรือมากกวา่ หรือ
เป็นทั้งสองอย่าง โลกนี้ใครเป็นผู้สร้างหรือเกิดขึ้นมาเอง ในการศึกษาเรื่องนี้ถ้าเป็นการศึกษาถึง

33

โครงสร้างเรียกว่า จักรวาลวิทยา (Cosmology) แต่ถ้าเป็นเรื่องการศึกษาเรื่องการเกิดเรียกว่า
รงั สรรค์วิทยา (Cosmogony)

1.2 เรื่องจิตหรือวิญญาณ เป็นการศึกษาถึงเรื่องราวต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับจิต เช่น
ลักษณะกำเนิดจุดหมายปลายทางและธรรมชาติต่าง ๆ ของจิต ตลอดถึงความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับ
รา่ งกายและศึกษาตัวจติ เองวา่ คอื อะไรซ่ึงเรยี กวา่ อตั ตาวิทยา (Phillosophy of Self)

1.3 เรอื่ งพระเจ้า เปน็ การศกึ ษาถงึ เร่ืองพระเจา้ หรือสิ่งสมบูรณ์ เช่น ศึกษาว่าพระ
เจ้ามีจริงหรือไม่ พระเจ้ามีคุณลักษณะะหรือธรรมชาติอย่างไร พระเจ้ามีความสัมพันธ์กับสิ่งต่าง ๆ
อยา่ งไร เปน็ ต้น ซ่งึ เรียกวา่ ปรชั ญาวา่ ด้วยพระเจ้า (Phillosophy of God)

2. ญาณวิทยา (Epistemology or Theory of Knowledge) การศึกษาค้นคว้าใน
เรื่องความรู้ ความรู้อันแท้จริง บ่อเกิดความรู้ ธรรมชาติของความรู้ ขอบเขตของความรู้และความ
สมเหตุสมผลของความรู้ โดยการศึกษาค้นคว้าจะเป็นไปในลักษณะของการวิเคราะห์วิจารณ์และ
สงั เกตเพ่อื ใหเ้ กิดความรทู้ แี่ ทจ้ รงิ

3. คุณวิทยา (Axiology of Theory of Values) เป็นวิชาที่ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับ
คณุ ค่าของส่ิงตา่ ง ๆ และอุดมคตแิ หง่ ชวี ติ ซึง่ จะแบง่ ออกเป็น 3 สาขาดังน้ี

3.1 ตรรกวิทยา (Logics) เป็นวิชาที่ว่าดว้ ยหลกั แห่งความจริง วิธีการตัดสินความ
จริง หลักคิดหรือการใช้เหตุผลในการแสวงหาความจริง แบบแห่งการเสนอความคิด สมมติฐาน
การนิยาม การเปรียบเทียบ การจำแนก การกระจายและกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ในการใช้เหตุผลเพื่อเข้าถึง
ความจริง เป็นต้น

3.2 จรยิ ศาสตร์ (Ethics or Theory of Morality) เป็นวิชาทีว่ า่ ดว้ ยกฎเกณฑ์
แหง่ ความประพฤติ หลกั การในการแสวงหาความดี หลกั แห่งความดี ความถกู ต้องและความยุตธิ รรม
ตลอดถึงคณุ ค่าทางจริยธรรม เปน็ ต้น

3.3 สุนทรียศาสตร์ (Aesthetics or Theory of Beauty) วิชาที่ว่าด้วยธรรมชาติ
แห่งความงาม หลักแห่งการแสวงหาความงาม มาตรฐานแห่งการตัดสินความงามและลักษณะแห่ง
ความงาม เป็นตน้

2. ปรัชญาประยุกต์ หมายถึง การนำเอาความรู้และแนวความคิดทางปรัชญาบริสุทธิ์ไป
ผสมผสานประยุกต์ใช้กับศาสตร์ต่าง ๆ กล่าวคือ ศาสตร์ใดก็ตามที่มีเนื้อหาและมีคำตอบในปรัชญา
เป็นที่ยอมรับและสรุปผลออกมา แยกตัวออกมาจากปรัชญาบริสุทธิ์และเป็นผลใหน้ ำไปสู่การทดลอง
และปฏิบัติให้เกิดผลในสาขาวิชาหรือศาสนาอื่น ๆ เช่น ปรัชญาศาสนา ปรัชญาคณิตศาสตร์ ปรัชญา
วิทยาศาสตร์ ปรัชญาสังคม ปรัชญาการเมือง ปรัชญากฎหมาย ปรัชญาอาชีวศึกษาปรัชญาศิลปะ
ปรัชญาภาษา ปรัชญาจิต ปรัชญาการศึกษา และอื่น ๆ เป็นต้น ปรัชญาประยุกต์ที่นำไปใช้ได้จริงใน
สาขาเฉพาะของศาสตร์นั้น ๆ ถ้าศาสตร์ใดยังไมม่ ีปรชั ญาของตนเองและศาสตร์นั้นยังถือว่าไม่มีความ
เพียบพรอ้ มในเน้ือหาหลักการและคำตอบทย่ี อมรบั จะเปน็ แนวทางสกู่ ารปฏิบัติได้ ยงั ถอื วา่ ศาสตร์นั้น
ยังอ่อนอยู่ต้องใช้เวลาในการพัฒนาศึกษาเพิ่มเติมเพื่อตอบปัญหาต่าง ๆ อันเป็นพื้นฐานของปรัชญา
ได้แก่ 1) เพื่อรู้จักปัญหาที่ยังหาคำตอบไม่ได้ 2) เพื่อพยายามหาคำตอบในปัญหาต่าง ๆ ให้มากที่สุด
เท่าที่จะเป็นได้ 3) เพื่อรู้จักเก็บส่วนดีจากทุกคำตอบเป็นแนวทางในการปฏิบัติหรือเพื่อใช้เผยแพร่
พนื้ ฐานความร้นู ้ัน ตอ่ ไป

34

ปรัชญาพื้นฐาน

ปรัชญาพื้นฐานที่สำคัญและมีอิทธิพลตอ่ การจัดการศึกษามีหลายกลุ่มแต่เนื่องจากการศึกษา
ตะวันตกมีอิทธิพลต่อการจัดการศึกษาในไทยในปัจจุบันจึงมีการรวบรวมไว้ในหนังสือปรัชญา
การศกึ ษาดงั นี้ (สมหมาย ปวะบตุ ร,2558, หน้า 20-21)

1. ปรัชญาจิตนิยม (Idealism) เป็นปรัชญาพื้นฐานเก่าแก่มีแนวคิดว่าการรับรู้ของมนุษย์
เกิดขน้ึ ท่ีจิตใจเปน็ หลกั สำคญั คนจะรู้ไดด้ ว้ ยความคิดไม่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ยึดถือความเป็น
เหตุเป็นผลเป็นหลักเหตุผลทำให้บุคคลเข้าถึงความรู้ที่แท้จริงได้อย่างถูกต้อง การศึกษาจึงเน้นการ
พัฒนาจิตใจและสติปัญญาส่งเสริมการพัฒนาคุณธรรมศีลธรรมการวินิจฉัยคุณค่าที่แท้จริงของ
คุณธรรมจริยธรรมส่งเสริมให้รู้จักและเข้าใจตนเองตลอดจนการส่งเสริมให้เข้าใจถึงแบบอย่างที่ดีงาม
เหมาะสม

2.ปรัชญาสัจนิยม (Realism) เป็นปรัชญาพื้นฐานที่ให้ความสำคัญกับสิ่งที่เห็นได้ด้วยตา
สัมผัสและจับต้องได้ ดังนั้นการเรียนรู้จึงเป็นสิ่งที่เป็นการเรียนรู้เชิงประจักษ์ เป็นการใช้วิธีทาง
วทิ ยาศาสตรก์ ฎเกณฑ์ทางธรรมชาตเิ ป็นหลัก

3. ปรัชญาปฏิบัตินิยม (Pragmatism) เป็นปรัชญาพื้นฐานที่มีแนวคิดว่า สิ่งทั้งหลายท่ี
เกิดขึ้นเป็นกระบวนการที่บคุ คลได้อยูใ่ นประสบการณ์น้ัน ได้แก่ ได้เรียนรูไ้ ด้สัมผัสเป็นกระบวนการที่
เกิดขนึ้ จากความสัมพันธร์ ะหวา่ งคนกบั สิ่งแวดลอ้ ม ดงั น้ันความรู้ยอ่ มเกิดจากประสบการณ์และบุคคล
ที่เก็บรวบรวมไว้ เน้นการให้การศึกษาเพื่อส่งเสริมให้คนรู้จักคิด คิดเป็นและปรับตัวเข้า กับสังคมที่
เปลยี่ นแปลงไปอยา่ งเหมาะสม การเรยี นการสอนจึงเป็นการเปิดโอกาสให้เด็กฝึกฝนและแกป้ ัญหาด้วย
ตนเอง

4. ปรัชญาอัตถิภาวนิยม (Existentialism) เป็นปรัชญาพื้นฐานที่มีแนวคิดว่า ความจริง
อยู่ที่การมีชีวิตอยู่จริง ๆ ของบุคคลเป้าหมายอยู่ที่การศึกษาเพื่อตัวของตนเองบุคคลที่มีสิทธิเสรีภาพ
การใช้เสรีภาพของตนอย่างอิสระการศึกษาตามแนวคิดนี้เป็นการส่งเสริมให้บุคคลรู้จักพิจารณาและ
ตดั สินสภาพและเจตจำนงทีม่ ีความหมายต่อการดำรงชีวิตอยู่

ปรชั ญาการศกึ ษา (Educational Philosophy)

นกั การศึกษาตอ้ งอาศยั ปรชั ญาเป็นทิศทางในการจัดการศึกษาและนักปรชั ญาเองกม็ ีความ
สนใจอยา่ งยิ่งต่อการศึกษาเช่นกันมีนกั การศึกษาไดใ้ ห้ความหมายของปรชั ญาการศึกษาไว้ดงั นี้

อุบล เลี้ยววาริณ (2556, หน้า 39-40) ให้ความหมาย ปรัชญาการศึกษา ว่าปรัชญา
การศกึ ษาที่นักการศึกษาไทยและนักการศึกษาตางประเทศศึกษากันอยูมีหลากหลาย ในที่นี้จะะกล่าว
เฉพาะปรัชญาการศึกษาที่ใช้แพร่หลายในวงการศึกษาไทย อาทิเช่น ปรัชญาการศึกษาสารนิยมหรือ
ปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยม (Essentialism) ปรัชญาการศึกษาสัจนิยมวิทยาหรือปรัชญาการศึกษา
นิรันตรนิยม หรือปรัชญาการศึกษานิรันดรนิยมหรือปรัชญาการศึกษาอนุรักษนิยม (Perennialism)
ปรัชญาการศึกษาพิพัฒนาการนิยมหรือปรัชญาการศึกษาพิพัฒนนิยมหรือปรัชญาการศึกษา
วิวัฒนาการนยิ ม (Progressivism) ปรชั ญาการศกึ ษาปฏริ ูปนิยมหรือปรัชญาการศึกษาสรรค์สร้างนิยม
(Reconstructionism)


Click to View FlipBook Version