The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nok26644, 2022-08-15 06:11:40

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

35

พิชญาภา ยืนยาว (2557, หน้า 19).ให้ความหมาย ปรัชญาการศึกษา ว่าเป็นปรัชญา
ประยุกต์ (applied philosophy) เพราะเป็นการนำเอาปรัชญาบริสุทธิ์ (pured philosophy)
มาประยุกต์ใช้กับการศึกษา จึงเรียกว่า ปรัชญาการศึกษา โดยมุ่งให้มนุษย์เจริญงอกงามเป็นมนุษย์ที่
สมบูรณ์ ดังนั้น ปรัชญาการศึกษา จึงเป็นสิ่งกำหนดทิศทางของการจัดการศึกษาหรือเป้าหมายของ
การศกึ ษาที่กำหนดคุณลักษณะผู้เรียน

ทองเปลือง อภัยวงศ์ (2558, หน้า 19) ให้ความหมาย ปรัชญาการศึกษา ว่าเป็นการ
นำเอาหลักการ ความคิด ความเชื่อ ผลจากการแสวงหาความเข้าใจเกี่ยวกับการศึกษาที่ชัดเจน หรือ
การนำเอาทักษะเกี่ยวกับการศึกษามาดัดแปลงให้เป็นระบบใหม่เพื่อประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ใน
การจดั การศกึ ษา

สมหมาย ปวะบุตร (2558, หน้า 20) ให้ความหมาย ปรัชญาการศึกษา ว่าเป็น
แนวความคิด หลักการ และกฎเกณฑ์ในการกกำหนดแนวทางในการจัดการศึกษา หรือทฤษฎี
การศึกษาทั่วไป ที่นักการศึกษาได้ยึดเป็นหลักในการดำเนินการทางการศึกษาเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
เพื่อทำการวิเคราะห์และทำความเข้าใจเก่ียวกับการศึกษาทำใหส้ ามารถมองเห็นปัญหาของการศึกษา
ได้อย่างชัดเจน ปรัชญาการศึกษาจงึ เปรียบเหมือนเข็มทิศนำทางให้นักการศึกษาดำเนินการทางศึกษา
อยา่ งเปน็ ระบบ ชดั เจน และสมเหตุสมผล

พระครูวนิ ยั ธรจกั รี ศรจี ารุเมธีญาณ (2559, หน้า 121) ใหค้ วามหมายปรชั ญาการศึกษา
ว่าเป็นแนวคิดทฤษฏีในหลักปรัชญาที่นำมาประยุกต์ใช้ในการจัดการศึกษา เพื่อก่อให้เกิดการพัฒนา
ของผูเ้ รยี นให้มปี ระสิทธภิ าพและเกดิ ประสิทธผิ ลมากยิง่ ขนึ้

เริงรณ ล้อมลาย และพิมพ์พรรณ เทพสุเมธานนท์ (2560, หน้า 9) ปรัชญาการศึกษา
หมายถึงแนวคิด ระบบความเชื่อหลักทฤษฎีทางการศึกษามาวิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์และพิจารณา
ดูการศึกษาอย่างลึกซึ้งให้เข้าใจถึงแนวคิดหลักและน่าจะเกิดจากการวิเคราะห์ปัญหาของปัจจุบันให้
ชดั เจนจงึ หาหลกั เกณฑ์การทีจ่ ะนำมาแก้ไขปัญหาปัจจบุ ันดว้ ยการศึกษา

กล่าวโดยสรุปได้ว่า ปรัชญาการศึกษา คือ การผสมผสานเอาทฤษฎีการศึกษาต่าง ๆ
(Eclecticism) เข้าด้วยกันเพื่อทำการประยุกต์เอาหลักการและทฤษฎีในทางการศึกษาไปใช้เป็นหลัก
ในการจัดการศึกษานั้นกระทำกันได้หลายวิธี โดยทั่วไปแล้วก็มักจะใช้วิธีแบบผสมผสานโดยเลือกสรร
หลักการที่ดีของหลายทฤษฎีที่พอจะประมวลเข้าด้วยกันได้ โดยที่ไม่ขัดแย้งกัน นำเอามาใช้เป็น
แนวทางในการจัดการศึกษา ซึ่งปรัชญาการศึกษาเป็นปรัชญาประยุกต์ (applied philosophy)
เพราะเป็นการนำเอาปรัชญาบริสุทธิ์ (pured philosophy) มาประยุกต์ใช้กับการศึกษา จึงเรียกว่า
ปรชั ญาการศึกษา โดยมงุ่ ใหม้ นษุ ย์เจรญิ งอกงามเป็นมนุษย์ท่สี มบรู ณ์

ดังนั้นปรัชญาการศึกษาจึงเป็นสิ่งกำหนดทิศทางของการจัดการศึกษาหรือเป้าหมายของ
การศกึ ษาที่กำหนดคุณลักษณะของผูเ้ รียน (มนสั วี ศรีนนท์ (2559, หน้า 84-93), สมชาย รัตนทอง
คำ (2554, หนา้ 1-10), พชิ ญาภา ยนื ยาว (2557, หน้า 19-27), (สมหมาย ปวะบุตร,2558,หนา้
20-21), วทิ ยา วศิ ทเวทย.์ 2555, หน้า 16-22) ประกอบดว้ ย

1. ปรชั ญาสาขาสารนยิ ม หรือสารตั ถนยิ ม (essentialism)
2. ปรัชญาสาขาสัจวิทยานิยม หรอื สจั นิยมวทิ ยา หรือนิรันตรนิยม (perenialism)
3. ปรัชญาสาขาพิพฒั นาการนิยม หรอื พพิ ฒั นนยิ มหรอื ววิ ัฒนาการนิยม (progressivism)

36

4. ปรชั ญาสาขาปฏริ ูปนยิ ม (reconstructionism)
5. ปรัชญาสาขาอตั ถิภาวนยิ ม หรืออตั นิยม หรอื สวภาพนยิ ม (existentialism)
6. ปรชั ญาและแนวคดิ ทางการศกึ ษาแนวพุทธศาสนา (Buddhism)
1. ปรัชญาสาขาสารนยิ ม หรอื สารัตถนิยม (essentialism)
ความเปน็ มา

สารตั ถะ (Essential) หมายถึง แกน่ สารทีจ่ ำเป็นหรอื เนื้อหาทเ่ี ปน็ หลักสำคัญความเชื่อ
ของปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมเกิดขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อประมาณปี ค.ศ 1930 โดยมีกลุ่มนัก
การศกึ ษาและนักปรชั ญาทั้งฝ่ายจติ นยิ มและฝ่ายวัตถุนิยมของอเมริกาท่ีมีทัศนะทางอนุรักษ์นิยม กลุ่ม
นักการศึกษาที่มีแนวความเชื่อในทางอนุรักษ์นิยมมีผู้นำที่สำคัญคือ William C. bagley (1874-
1946) และนักการศึกษาที่มีความเชื่อในแนวเดียวกันได้ร่วมกันจัดตั้งเป็นคณะกรรมการฝ่ายสารัตถ
นิยมเพื่อความก้าวหน้าทางการศึกษาของสหรัฐอเมริกาขึน้ ในปี ค.ศ 1946 สารัตถนิยมได้แพรห่ ลาย
ออกไปทั้งภายในและภายนอกประเทศได้รับความนิยมสูงสุดในสหรัฐอเมริกาในช่วงระหว่าง
สงครามโลกครั้งที่ 2 ลัทธิปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมมีความแข็งแกร่งในทางวิชาการและมี
ประสิทธิภาพในการสรา้ งค่านยิ มเกีย่ วกบั ระเบยี บวนิ ัยไดเ้ ป็นอยา่ งดี

ความเชือ่
ปรัชญาสารัตถนิยม มีลักษณะอนุรักษวัฒนธรรมของสังคม ซึ่ง บราเมลต ได้

เปรียบเทียบการศึกษาแบบนี้วา "เป็นแนวทางที่นำไปสู่การอนุรักษวัฒนธรรมของสังคม" ซึ่งปรัชญา
สารตั ถนยิ มมรี ากฐานมาจากปรัชญา 2 กลมุ คอื ลัทธจิ ติ นิยม (Idealism) และลทั ธสิ ัจนิยม (Realism)
ความเชื่อตามแนวลัทธิจิตนิยม คือ เครื่องมือในการสืบมรดกทาง
สังคมซึ่งก็คือวัฒนธรรมและอุดมการณ์ทั้งหลายอันเป็นแก่น
สาระสำคัญ (essence) ของสังคมให้ดำรงอยู่ต่อไป และความเชื่อ
ตามแนวลัทธิสัจนิยมเป็นเครื่องมือในการถ่ายทอดความรู้และ
ความจริงทางธรรมชาติเกี่ยวกับการดำรงชีวิตของมนุษย์ คือ การ
อนุรกั ษ์วัฒนธรรมและความเชอ่ื ของสงั คมท่ีทดสอบแล้ววา่ เป็นของ
ดีเหมาะสมที่แต่ละสังคมจะขาดไม่ได้ เช่น ความรู้ ทักษะเจตคติ
ค่านิยม วัฒนธรรมและอื่น ๆ เพื่อถ่ายทอดให้อนุชนรักษาไว้และ
ปฏบิ ตั คิ ล้อยตาม

ภาพประกอบ 22 William Bagley
ที่มา (นกั ปรัชญา, 2564)

ก) จุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ มุ่งพัฒนาในด้านสติปัญญาให้เกิดการเรียนรู้ใน
เรื่องความเชื่อทัศนคติและค่านิยมทางวัฒนธรรมในอดีต เพื่อการธำรงรักษาอนุรักษ์ไว้และถ่ายทอด
มรดกทางวัฒนธรรมนี้ไปสู่อนุชนรุ่นหลังมุ่งพัฒนาบุคคลให้มีระเบียบวินัยมีความขยันหมั่นเพียรและ
เกดิ ความสำนึกรกั และหวงแหนในคุณค่ามรดกวัฒนธรรมของสงั คม

ข) หลักสตู ร คอื ดใู ห้ผ้เู รียนเกิดการเรียนรใู้ นวิชาต่าง ๆ ทไี่ ดม้ กี ารรวบรวมกนั กรอง
คัดเลือกรายวิชาไว้อย่างเป็นระบบหมู่ให้คนในสังคมมีแต่เจตคติ มีความคิดความเชื่อที่เหมือนๆ กัน

37

ก่อให้เกิดความเป็นระเบียบ วินัย สมัครสมานสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน เพื่ออนุรักษ์มรดกทาง
วฒั นธรรมของสังคมนัน้ ไว้

ค) วิธีการเรียนการสอน คือ ส่งเสริมทักษะความรู้และความจำของครูผู้สอนและ
นักเรียนเป็นหลัก เนน้ ความเปน็ ระเบียบวนิ ัยในการสอน การเรียนของครแู ละนักเรียนเปน็ หวั ใจสำคญั

ง) ผู้เรียน คือ ทำให้ผู้เรียนเกิดความรู้และเข้าใจในเนื้อหาสาระวิชาที่ตนได้ศึกษา
เล่าเรียน ทำให้ผู้เรียนเกิดคุณธรรมในตนเอง เช่น ความอดทน ความขยันหมั่นเพียร ความเป็นผู้มี
ระเบยี บวนิ ัยและความรบั ผิดชอบในตนเอง

จ) ผู้สอน คือ ผู้สอนต้องเป็นผู้ที่ได้รับการฝึกฝนและคัดเลือกมาเป็นอย่างดี
มคี วามรูใ้ นวชิ าที่ตนสอนอยา่ งลกึ ซง้ึ มคี วามสามารถในการถายทอดและการกำหนดกระบวนการเรียน
การสอนเองทั้งหมด ผู้สอนกล้องเป็นผู้มีบุคลิกภาพที่ดมี ีความประพฤติดี เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรยี น
ทง้ั ในดา้ นวิชาการและพฤตกิ รรม

ฉ) สถานที่เรียน.พบได้ว่าสถานที่เรียนหรือโรงเรียนจะต้องเป็นสถาบันที่มีการให้
การอนุรักษ์วัฒนธรรม แต่ก็เน้นสภาวะแวดล้อมทางอุดมคติและสัญลักษณ์ สถานที่เรี ยนนั้นถือว่า
มีบทบาทโดยตรงตามความคาดหวังที่สังคมต้องการเพราะการศึกษาตามแนวคิดนี้ ต้องการให้สังคม
เข้ามามีส่วนในการถ่ายทอดวัฒนธรรม ที่ได้ยึดถือกันมาอย่างยาวนาน โดยการยึดเอาหลักการอบรม
จิตใจของเด็กให้มรี ะเบียบวินัยอนั ดีงามที่ยึดถือกันมา เพราะเป็นส่ิงทส่ี ามารถส่งเสริมการอยู่ร่วมกันได้
อย่างมคี วามสขุ การเปน็ อยู่ทพี่ ึ่งพาอาศัยกันน้นั โรงเรียนตอ้ งรักษาขนบธรรมเนยี มประเพณี เพ่ือสร้าง
วินยั ทางจติ ใจ เน้นความหมายที่เปน็ นามธรรม ผู้เรียนจงึ ต้องไดร้ บั การสอนให้เกดิ มโนทัศน์ในเร่ืองของ
ขนบธรรมเนยี มทีม่ มี าตั้งแต่อดตี

กล่าวโดยสรุปแล้วปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมเน้นการถ่ายทอดทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นหลัก
หรือเป็นแก่นของสังคม ในด้านความรู้ที่เป็นพื้นฐานหลัก ส่วนด้านทักษะก็เน้นทักษะที่จำเป็นในการ
แสวงหาความรู้เพื่อการดำรงชีวิตการจัดการเรียนการสอน เน้นการสอนที่เป็นแบบแผนหรือปฏิบัติ
ตามระเบียบวินัย ซึ่งได้กำหนดไว้อย่างเข้มงวดกวดขันไม่ใช่เลือกเรียนอะไรงา่ ยๆ ความเจริญก้าวหน้า
ความคิดริเริ่มขึ้นอยู่กับครูผู้สอนจะเป็นผู้จัดหามาให้ ครูเป็นแบบอย่าง ฉะนั้นครูต้องได้รับการฝึกฝน
อบรมมาอยา่ งดเี น้นให้ผเู้ รยี นรบั รแู้ ละจำ

2. ปรัชญาสาขาสัจวิทยานยิ ม หรือสัจนยิ มวิทยา หรือนริ ันตรนยิ ม (perenialism)
ความเป็นมา
นิรนั ตร (Perennail) หมายถึง ภาวะไม่เปล่ียนแปลง คงอยู่ชว่ั นริ ันดร ปรัชญานริ นั ตรนิยม

เรม่ิ ต้นจากสมัยกรีกโบราณลัทธิปรัชญาทเ่ี ปน็ พื้นฐานของปรชั ญาน้ีไดแ้ กค่ ำ 2 ของปรชั ญาชาวกรีกยุค
โบราณคือคำสอนของโสเครติสเพลโตและอริสโตเติลต่อมาบาทหลวง Thomas aquinas ได้นำความ
เชื่อทางศาสนาโรมันคาทอลิกมาเกี่ยวข้องด้วยปรัชญานิรันตรนิยมจึงเป็นผลของการผสมผสาน
ระหว่างแนวคิดของอริสโตเติลที่เรียกว่า Rational Humanism ซึ่งเน้นเฉพาะการใช้ความคิดและ
เหตผุ ลของบคุ คลกับแนวคิดของบาทหลวงโทมสั อไควนสั ท่เี รยี กว่า Scholastic Realism ซ่ึงคำนึงถึง
เร่อื งความเชือ่ เกี่ยวกับพระเจา้ เรอื่ ง ศาสนาและขอ้ เรยี กร้องทางศาสนา

38

ความเชอ่ื

เชื่อวา่ คนมธี รรมชาตเิ หมือนกนั ทุกคน ดงั น้ันการศึกษาจึงควรเป็นแบบเดยี วกันสำหรับ

ทุกคนและเนื่องจากมนุษย์มีคุณสมบัติที่แตกต่างจากสัตว์อื่น ๆ คือ เป็นผู้สามารถใช้เหตุผล ดังน้ัน

การศึกษาจึงควรเน้นพัฒนาความมีเหตุผลและการใช้เหตุผล

มนุษย์จำเป็นต้องใช้เหตุผลในการดำรงชีวิตและควบคุมกำกับ

ตนเอง การศึกษาเป็นการเตรียมตัวเพื่อชีวิตเป็นสิ่งที่ช่วยให้

มนุษย์ปรับตัวให้เข้ากับความเป็นจริงแท้แน่นอนถาวรไม่

เปลี่ยนแปลง มิใช่การปรับตัวให้เข้ากับโลกแห่งวัตถุ ซึ่งไม่ใช่

ความจริงแท้ ดังน้นั เด็ก ๆ ควรได้รับการสอนวิชาพนื้ ฐานต่าง ๆ

ที่สามารถช่วยให้เขาได้รู้จักการเรียนรู้ความเป็นจริงที่เป็นสัจ

ธรรมไมเ่ ปลยี่ นแปลงทางด้านกายภาพและจติ ใจวชิ าหรือเนื้อหา

สาระที่เป็นความจริงแท้แน่นอนไม่เปลี่ยนแปลง เด็กควรได้

ศึกษาเล่าเรียนคือ “great books” ซึ่งประกอบด้วย ศาสนา

วรรณคดี ปรัชญา ประวัติศาสตร์ ตรรกศาสตร์ คณิตศาสตร์

ภาษาและดนตรี เป็นตน้ ภาพประกอบ 23 Thomas Aquinas

ท่มี า (นักปรัชญา, 2564)

ก) จุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ มุ่งให้ผู้เรยี นรู้จักและทำความเข้าใจกับตวั เองให้

มากที่สุดโดยเฉพาะในเรื่องของเหตุผลและสติปัญญาการศึกษาจะชว่ ยปลดปลอ่ ยมนุษย์จากความไม่รู้

ให้เป็นผ้รู ู้ เข้าใจมเี หตผุ ลทางสติปัญญา ทั้งนี้ม่งุ เนน้ ท่ีจะพัฒนาสติปญั ญาและจิตใจเพื่อจะทำให้เป็นคน

ดีที่สมบรู ณ์

ข) หลักสูตร คือ เป็นหลักสูตรวิชาความรู้มาตรฐานที่จัดไว้เป็นระบบสำเร็จรูป

ซึ่งจะนำไปใช้กับใครที่ไหนเมื่อใดก็ได้ โดยหลักสูตรที่จัดให้เรียนนั้นจะช่วยพัฒนาฝึกฝนการใชเ้ หตุผล

และสร้างความเจริญทางสตปิ ัญญาศีลธรรมแกบ่ คุ คล

ค) วิธีการเรียนการสอน คือ ฝึกให้ผู้เรียนได้ใช้ความรู้ความคิดและสติปัญญา

ของตนเองให้มากท่ีสดุ เนน้ การใช้เหตผุ ลเคารพกฎกติกาและมีระเบยี บวนิ ยั

ง) ผู้เรียน คือ ผู้เรียนจะต้องศึกษาให้เกิดความรู้ความเข้าใจในวิชาความรู้ที่ครู

นำมาสอน ซึ่งการตระหนักถึงหน้าที่ทำให้ผู้เรียนมีความผิดชอบขยันหมั่นเพียรเคารพกติการะเบียบ

วินัยรักความเปน็ เหตผุ ล

จ) ผู้สอน คือ ผู้สอนต้องเป็นผู้มีความรู้อย่างกว้างขวาง เป็นผู้นำทางปัญญามี

วิสัยทัศน์และโลกทัศน์ที่กว้างไกล ซึ่งทำให้ผู้สอนต้องเป็นผู้มีเหตุผลทางสติปัญญา รักความเป็น

ระเบยี บวินัยคอยดแู ลควบคมุ ความประพฤตขิ องผเู้ รียนใหใ้ ชส้ ติปัญญาอยา่ งถูกต้อง

ฉ) สถานที่เรียน.เป็นเพียงสถานที่มุ่งเน้นใหผ้ ู้เรียนรู้จักอุดมคติของชีวติ หอ้ งเรียนก็

เป็นในลักษณะความเป็นระเบียบเรียบรอ้ ย.มกี ารจัดที่นัง่ อยา่ งเป็นระเบียบชัดเจน โรงเรียนตอ้ งตั้งขึ้น

เพื่อให้ สังคมเกิดการปฏิรูป ไม่ใช่เป็นการศึกษาที่เน้นออกไปประกอบอาชีพ สถานที่เรียนเป็นไปเพอ่ื

การส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนในสิ่งที่สามารถให้ผู้เรียนเกิดการพัฒนาจากปัจจัยภายนอกที่เกิดจาก

ความเป็นระเบียบในเบื้องต้น เพื่อให้เกิดความเอาใจใส่ในสิ่งเล็กน้อย และเป็นการฝึกฝนให้เกิดความ

39

เอาใจใส่ในรายละเอียดต่าง ๆ ทฤษฎีนิรันตรนิยมจึงไม่ให้ความสำคัญกับวิชาการที่เป็นไปเพื่อการ
ครองเรือนหรือวิชาท่ีเป็นไปในการหาเลี้ยงชีพ ดังที่ได้กล่าวไว้ว่า การประกอบวชิ าชีพควรจะไปฝกึ กนั
ตามโรงงานหรือสถานศกึ ษาเพือ่ การน้นั ๆ

การโดยสรุปเมือ่ เปรยี บเทียบกับปรชั ญาสารัตถนิยมแลว้ ปรัชญากลุ่มนิรันตรนิยมเน้นหนักใน
ทางด้านการพัฒนาปัญญา การใช้เหตุผล โดยยึดความรู้ที่ได้รับการยอมรับแล้วมากกว่าแนวความรู้
ใหม่ๆ จึงมักถูกมองว่าอยู่ในกลุ่มพวกหัวสูง กลุ่มพวกนักปราญช์จนลืมไปว่าผู้เรียนกลุ่มปัญญาปาน
กลางและต่ำกส็ ามารถเป็นพลเมอื งดแี ละสามารถทำประโยชนใ์ ห้กับสงั คมได้

3. ปรัชญาสาขาพพิ ัฒนาการนยิ ม หรือพิพัฒนนิยม หรือววิ ัฒนาการนยิ ม
(progressivism)

ความเช่ือ
เป้าหมายที่สำคัญที่สุดของการศึกษาก็ คือ การสร้างสถานการณ์ที่จะสร้าง

ความก้าวหน้าให้แก่ผู้เรียนได้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้และถือว่าโรงเรียนเปน็ สถาบันทีจ่ ะต้องมสี ว่ นใน
การเปลี่ยนแปลงทางสังคมใหด้ ีขึน้ จอนห์น ดิวอี้ (John Dewey) ได้ทำการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติม คือ
แทนท่จี ะเน้นการศึกษาเพื่อพฒั นาความเป็นเลิศทางสตปิ ัญญาของผเู้ รยี น ดวิ อ้ื หนั มาเนน้ ใชก้ ารศึกษา
เป็นเครื่องมือในการพัฒนาตัวผู้เรียนแทน โดยเน้นว่าผู้เรียนควรเข้าใจและตระหนักในตนเอง (Self-
realization) การที่เด็กจะพัฒนาได้นั้นต้องเกิดจากการพยายามแก้ปัญหา และสนองความสนใจของ

ตนเอง ลักษณะดังกล่าวทำให้เกิดวิธีการในการพัฒนาหลักสูตร
และการสอนแบบเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง John Dewey เชื่อว่าใน
กระบวนการที่เด็กพยายามแก้ปัญหาหรือสนองความสนใจของ
ตนเองนั้น เด็กจะต้องลงมือกระทำการอย่างใดอย่างหนึ่ง ปรัชญา
พิพัฒนาการนิยมเปน็ ปรัชญาทีป่ ระยกุ ต์มาจากปรัชญาบริสุทธ์ิกลมุ่
ปฏบิ ตั นิ ยิ ม พิพัฒนนยิ ม หมายถึง การนิยมหาความรู้อย่างมีอิสระมี
เสรภี าพในการเรยี นการคน้ ควา้ การทดลองเพื่อพัฒนาประสบการณ์
และความรู้อย่างเสมออย่างไม่หยุดนิ่งแนวคิดเกี่ยวกับการจัด
การศึกษาปรชั ญาพพิ ัฒนาการนิยม ดงั นี้

ภาพประกอบ 24 John Dewey
ท่มี า (นักปรัชญา, 2564)

ก) จุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ มุ่งให้เกดิ ความรูค้ วามเขา้ ใจลกั ษณะวิวัฒนาการ
และความเปลี่ยนแปลงของโลก ให้รู้จักคิดเป็น แก้ปัญหาเป็น รู้จักค้นคว้าแสวงหาความรูและความ
จรงิ ทำให้รู้จกั ปรบั ปรุงตนเอง สามารถปรับตัวเข้ากับสงั คมและดำเนนิ ชีวติ อยา่ งมคี วามสุข

ข) หลักสูตร คือ มุ่งเสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้เพื่อ
นำไปใชแ้ กป้ ญั หาในชีวิตประจำวนั มุ่งพัฒนาให้เกิดความเจริญงอกงามแกผ่ ู้เรยี นทั้งด้านอารมณ์ สังคม
และสตปิ ัญญา

ค) วิธีการเรียนการสอน คือ ปรัชญาการศึกษานี้มีความเชื่อพื้นฐานว่าความจริง
สูงสุดนั้นไม่มีความรู้ที่แน่นอนตายตัว เพราะความรู้นั้นวิวัฒนาการไปเรื่อย ๆ ความรู้จะเกิดขึ้นได้น้ัน

40

เป็นผลมาจากประสบการณ์และการคน้ คว้าทดลองของผู้เรียนเป็นสำคัญดงั น้ัน กจิ กรรมการเรียนการ
สอนจึงมงุ่ ใหผ้ ้เู รยี นเป็นสำคัญ สามารถใชค้ วามรู้ท่ีได้นนั้ แก้ปัญหาตา่ ง ๆ ท่เี กิดขึน้ แกช่ วี ิต

ง) ผู้เรียน คือมุ่งให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรูด้วยการลงมือกระท้าที่เป็นประสบการณ์
ตรงของตนเองตามความสนใจมุ่งให้ผู้เรียนมีความกระตือรือร้นต่อการศึกษาและสามารถปรับ
บคุ ลกิ ภาพตัวใหเปน็ ผูท้ ่ีมใี จกวา้ งเคารพสทิ ธิ ยอมรบั ในความคดิ เห็นของผู้อนื่

จ) ผู้สอน คือ ผู้สอนจะต้องมีความใฝ่รู้ สนใจศึกษาค้นคว้าหาความรู้ใหม่  ๆ
ตลอดเวลา เอาใจใส่ดูแล ให้คำแนะนำเป็นที่ปรึกษาที่ดี รวมทั้งช่วยแก้ปัญหาบางอย่างที่เกิดขึ้นแก่
ผเู้ รียน

4. ปรัชญาสาขาปฏริ ูปนยิ ม หรอื บรู ณาการนิยม (reconstructionism)
ความเชือ่
เป้าหมายการศึกษามุ่งให้ผู้เรียนสนใจและ

ตระหนักในตนเองสร้างความรู้สึกว่าผู้เรียนเป็นสมาชิกของสังคม
และสามารถปฏิรูปสังคมให้ดีขึ้นได้ ปรัชญาปฏิรูปนิยมมีรากฐาน
มาจากปรัชญาปฏิบัตินิยม (Pragmatism) เช่นเดียวกับปรัชญา
พิพัฒนาการนิยม และโดยทั่วไปเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาแบบ
พิพัฒนาการนิยมการศึกษาปฏิรูปนิยมมีก็คือ Theodor
Brameld แนวความคิดเกี่ยวกับการจัดการศึกษาตามปรัชญา
ปฏิรูปนิยม มดี งั น้ี

ภาพประกอบ 25 Theodor Brameld
ท่ีมา (นักปรัชญา, 2564)

ก) จุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ การศึกษาที่ดีจะต้องทำให้ผู้เรียนได้รู ้ เข้าใจ
ปัญหาของสังคมเพือ่ ที่จะได้พัฒนาสังคมใหม่ใหเ้ หมาะสมกับสภาพเศรษฐกิจและวฒั นธรรมในอนาคต
ต่อไป การศึกษาที่ดีจะต้องทำให้ผู้เรียนได้พัฒนาตน รู้จักแก้ปัญหา มีความคิดสร้างสรรค์ รวมทั้งมี
ระเบียบวนิ ัยในตนเอง มคี วามสำนกึ รว่ มรบั ผดิ ชอบสังคม

ข) หลกั สูตร คือ มุ่งใหผ้ เู้ รียนไดร้ ู้และเขา้ ใจในสภาพความเป็นไปของสังคมเพื่อเป็น
ส่วนหนึ่งที่จะไปแก้ปัญหาและพัฒนาสังคมให้ดีขึ้น มุ่งให้ผู้เรียนได้ตระหนักและมีจิตสำนึกร่วม
รับผิดชอบสังคมทีเ่ ปน็ อยู่ด้วยการเป็นสมาชกิ ท่ีดีของสังคม

ค) วิธีการเรียนการสอน คือ วิธีจัดการเรียนการสอนมีวัตถุประสงค์เพื่อทำให้
ผู้เรียนได้รับความรู้และประสบการณ์ แล้วนำความรู้ที่ได้จากการศึกษานั้นไปแก้ปัญหาและพัฒนา
สังคมให้ดียิ่งขึ้นต่อไป กระบวนการเรียนการสอนเนน้ ให้ผู้เรียนมีจติ สำนึกในการร่วมรับผิดชอบสังคม
มีความพยายามมคี วามต้ังใจเพอื่ จะแก้ไขและพัฒนาสังคมให้ดีข้ึน

ง) ผู้เรียน คือ ผู้เรียนจะต้องเรียนรู้สภาพความเป็นไปของสังคม ทั้งสภาพปัญหา
แนวทางแก้ไข และการวางแผนจัดการเพื่อพัฒนาสังคม มีจิตสำนึกร่วมรับผิดชอบความเป็นไปของ
สงั คม มใี จกว้าง มคี วามคิดสรา้ งสรรค์ เสยี สละความสุขส่วนนอ้ ยของตนเพื่อประโยชนส์ ขุ สว่ นมากของ
สงั คม

41

จ) ผู้สอน คือ ผู้สอนจะต้องมีความรู้ในหลักประชาธิปไตย ลักษณะความเป็นไป
ของสังคม ผู้สอนมีลักษณะบุคลิกภาพเป็นนักบุกเบิก นักแก้ปัญหา มีใจกว้าง มีความคิดสร้างสรรค์
เคารพในสิทธิผอู้ ่นื เปิดโอกาสให้ผเู้ รียนได้มีส่วนร่วมในการแสดงความคดิ เห็น

5. ปรชั ญาสาขาอตั ถภิ าวนิยม หรืออตั นยิ ม หรือสวภาพนยิ ม หรือภาวะนิยม
(existentialism)

ความเชื่อ
เป้าหมายการศึกษามุ่งให้ผู้เรียนได้ค้นพบและรู้จักตนเองโดยการทบทวนพิจารณา

ใคร่ครวญและตรวจสอบตนเองอยู่เสมอๆ เพื่อให้เกิดสำนึกที่ถูกต้อง การศึกษาช่วยให้ผู้เรียนรู้
ศักยภาพของตนเอง เน้นการมีอยู่ของมนุษยแ์ ต่ละคนซึ่งมีสิ่งแวดลอ้ มและสุขภาพของตนเอง ปรัชญา
การศึกษาอัตถิภาวนิยมเป็นแนวความคิดที่เน้นความพึงพอใจของผู้เรียนเป็นรายบุคคล
ให้ความสำคัญกับเสรีภาพและความเป็นตัวของตัวเองของแต่ละบุคคล ซึ่งเป็นหน้าที่ของมนษุ ย์แต่ละ
คนที่จะเลือกอย่างเสรีสร้างลักษณะของตนเองตามแบบอย่างที่ตนเองปรารถนาการที่มนุษย์จะทำ
เช่นนน้ั ได้จำเปน็ ต้องมเี สรีภาพเปน็ สำคัญ โดยจะเปน็ เสรีภาพในการเลือกและตัดสนิ ใจซ่ึงเสรีภาพต้อง
ควบคู่ไปกับความรับผิดชอบของการตัดสินใจที่มีผลต่อตนเองและผู้อื่นด้วย ปรัชญานี้เกิดจากทัศนะ
เคอการ์ด (Soren Kierkegard) และสาตร์ (Jean Paul Sartre) แนวคดิ เกีย่ วกับการจัดการศึกษาตาม
ปรชั ญาอตั ถิภาวนยิ มนีม้ ีดงั น้ี

ก) จุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ
มุ่งให้ผู้เรียนมีความรู้เข้าใจในชีวิต
ตนเองและโลก เพื่อช่วยให้สามารถ
เผชิญปัญหาต่าง ๆ ได้อย่างชาญ
ฉลาด มุ่งให้ผู้เรียนมีความรับผิดชอบ
ต่อการกระทำของตนและมีวินัยใน
ตนเอง

ภาพประกอบ 26 Soren Kierkegard and Jean Paul Sartre
ทมี่ า (นักปรัชญา, 2564)

ข) หลักสูตร คือ มุ่งให้ผู้เรียนเกิดความรู้เข้าใจลักษณะความเป็นตัวของตัวเองและ
โลกตามความเปน็ จรงิ สง่ เสรมิ คุณค่าของมนุษย์ทางดา้ นอารมณ์ ความสุนทรีย์และคุณธรรมตา่ ง ๆ

ค) วิธีการเรียนการสอน คือ ผู้สอนควรส่งเสริมเอกัตภาพเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มี
โอกาสเรียนรู้ตามความพึงพอใจ และความสนใจในวิชาความรู้ต่าง ๆ ทำให้ผู้เรียนรู้จักตนเอง เข้าใจ
ตนเองว่ามีความรูค้ วามสามารถ ความถนดั ดา้ นใด และแสดงลักษณะเด่นนน้ั ๆ ออกมา

ง) ผู้เรียน คือ ผู้เรียนได้รู้จักตนเอง ศึกษาค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับตนเอง ว่า
ตนเองคือใครเกิดมาเพื่ออะไร ตนเองมีดีอะไรทั้งนี้เพื่อจะมอบสิ่งที่ดีที่สุดที่ตนมีให้แก่โลก ความดี :
ผู้เรียนมีความรับผิดชอบในการตัดสินใจและการกระทำของตน ไม่ก่อปัญหาความเดือนร้อนแก่ผู้อื่น
และสงั คม

42

จ) ผ้สู อน คือ ผูส้ อนมีความรอู้ ย่างกว้างขวางในวิชาท่สี อน สามารถถา่ ยทอดความรู้
ให้แก่ผู้เรียน อย่างละเอียดทุกแง่ทุกมุม ผู้สอนเปิดใจกว้างยอมรับในการตัดสินใจของผู้เรียน มีความ
รับผิดชอบรู้จักสังเกตในความสนใจ ความถนัด ความสามารถของผู้เรียน และส่งเสริมให้ผู้เรียนได้
เรยี นรตู้ ามความสนใจและความถนัดน้นั

6. ปรชั ญาและแนวคดิ ทางการศกึ ษาแนวพุทธศาสนาพุทธปรชั ญา (Buddhism)
ความเชอ่ื
เชื่อว่าการศึกษาไม่แยกออกไปจากชีวิตหรือกิจกรรมของชีวิต การพิจารณาเรื่อง

การศึกษาจะต้องพิจารณาเรื่องของชีวิตด้วยนอกจากนั้นยังต้องสนับสนุนการศึกษาทางด้านวิชาการ
และดา้ นวิชาชพี อันจะก่อใหเ้ กดิ ประโยชน์ในการทจี่ ะดำรงชีวติ อยใู่ นสังคมได้อยา่ งสงบสขุ ตามอัตภาพ
การศึกษาช่วยให้ผู้ได้รับการศึกษาสามารถที่จะเข้าใจชีวิต และนำความรู้อันเกิดจากการเรียนรู้ไปใช้
ฝึกฝนพัฒนาทักษะให้เกดิ ประโยชนแ์ กช่ ีวิต พุทธศาสนาเปน็ ศาสนาประจำชาติ และได้หล่อหลอมเป็น
วิถดี ำเนินชวี ติ ของคนไทย จึงเหน็ ควรให้พทุ ธปรชั ญาการศึกษาเป็นปรัชญาการศึกษาทมี่ ีพื้นฐานอยู่บน
ความเป็นไทย ผู้รู้ที่สนับสนุนให้พิจารณาปรัชญาการศึกษาไทยบนพื้นฐานของพุทธปรัชญา เช่น
ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี ทา่ นพทุ ธทาสภิกขุ พระเทพเวที พระราชวรมุนี สลุ กั ษณ์ ศวิ รกั ษ์ และ
เอกวทิ ย์ ณ ถลาง เป็นต้น

ภาพประกอบ 27 พทุ ธทาสภิกขุและ
ศาสตราจารย์ ดร.สาโรช บัวศรี
ที่มา (นกั ปรชั ญา, 2564)

ก) จุดมุ่งหมายของการศึกษา
คือ มุ่งถ่ายทอดให้ผู้ศึกษาได้รับความรู้
ศลิ ปะวิทยาการต่าง ๆ ท่มี อี ยู่ทง้ั วชิ าการ
ทางโลกและทางธรรม เพื่อการบรรลุ
ประโยชนอันเป็นจุดหมายของชีวิตใน
การนำไปเปน็ อุปกรณ์แก่การเลยี้ งชีพ และดำเนินชวี ิตทีด่ ีงามในสังคม มุ่งให้เกดิ ปัญญาเข้าใจชีวิตและ
โลกตามความเป็นจริงก่อให้เกิดการพัฒนาตนเพื่อเป็นมนุษย์ที่ดีที่สมบูรณ์ มีอิสรภาพทั้งภายนอก
ภายในเป็นอิสระ ปลอดพ้นจากปัญหาทุกข์ ประสบความสุขอย่างแท้จริง และเมื่อตนเองได้รับ
ประโยชนแ์ ล้วกก็ ระจายประโยชนน์ ี้ใหแ้ กผ่ อู้ น่ื
ข) หลักสูตร คือ มุ่งให้ผู้ศึกษาได้เรียนรู้สัจธรรมความเป็นไปของโลกและชีวิตตาม
ความเป็นจรงิ ฝึกการคิดตามหลักโยนโิ นโสมนสิการ ส่วนน้เี ป็นส่วนของการศึกษาภาคทฤษฎีหรือภาค
ปริยัติมุ่งให้ผู้ศึกษาได้นำความรู้ (ภาคปริยัติหรือภาคทฤษฎี) ที่ได้จากการศึกษาเล่าเรียนนั้น นำไป
ประพฤติปฏิบัติประยุกต์ใช้ให้ เหมาะสมเป็นประโยชน์แก่ชีวติ มากที่สุด เพื่อการพัฒนาชีวิตจิตใจเปน็
มนุษย์ทด่ี ที ี่สมบรู ณ์ ส่วนนเ้ี ป็นสว่ นของการศึกษาภาคปฏบิ ัตลิ งมือกระทำ เมอ่ื ศึกษาให้เกิดความรู้จริง
แล้ว ตอ้ งนำเอาความรู้นัน้ มาลงมือปฏบิ ตั ิ ความดีต่าง ๆ กจ็ ะเกิดแก่ผ้เู รียนจากกระทำท้ังสองน้ี
ค) วิธีการเรียนการสอน คือ เป็นกระบวนการถ่ายทอดความรู้วิชาการและวิชาชีพ
ให้แก้นักเรียนได้รับความรู้ในสาขาวิชาการต่าง ๆ ตลอดถึงการจัดสิ่งแวดล้อมที่เอื้อประโยชน์ต่อการ
เรียนรู้ กระบวนการเรียนการสอนนอกจากจะมุ่งให้ผู้เรียนได้รับความรู้ความเข้าใจในศิลปวิทยาการ

43

ต่าง ๆ แล้วยังต้องคำนึงการอบรมจรรยามารยาทคุณธรรมและจริยธรรมแก่ผู้เรียนด้วย สถาบันทาง
การศึกษาที่ประกอบ ด้วยสถานที่เรียน ครูผู้สอนผู้บริหาร ต้องใส่ใจและถอื เปน็ นโยบายหลักท่ีจะต้อง
ดำเนนิ การให้ เปน็ ไปในทศิ ทางที่เหมาะสมดังกล่าว

ง) ผู้เรียน คือ ผู้ศึกษามีความใสใจต่อการศกึ ษาศิลปวิทยา เพื่อให้เกิดความรู้ความ
เข้าใจในวชิ าการตา่ ง ๆ เหลา่ น้ัน ผ้ศู ึกษานำเอาความรู้ที่ได้ศึกษาน้นั มาพัฒนาปรับปรุงชีวิตให้ดีข้ึนทุก
ด้าน คือ ด้านพฤติกรรม มีจริยธรรมของการประพฤติปฏิบัติที่ถูกต้องทางกาย ทางวาจา และการ
ประกอบ สัมมาชีพ ในสังคม ตลอดถึงการสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับสังคมที่เป็นไปในลักษณะเกื้อกูลเป็น
ประโยชน์ ด้านจิตใจที่ประกอบด้วยคุณธรรม เช่น ความกตัญญูกตเวที ความขยันหมั่นเพียร อดทน
มีเมตตา กรุณา เสียสละ และจิตใจที่บริสุทธิ์ปราศจากกิเลสที่เป็นอกุศลจิต คือ ความโลภ โกรธ และ
หลง เป็นต้น และด้านปัญญา รู้เห็นเข้าใจโลกและชีวิตตามความเป็นจริง จนสามารถปรับตัว วางตน
วางใจได้ถกู ตอ้ ง

จ) ผู้สอน คือ ผู้สอนมีหน้าที่ในการถ่ายทอดความรู้แก่ผู้เรียนในวิชาการที่ตน
รับผิดชอบสอน มีความรู้ความเขา้ ใจในวชิ าการนั้น ๆ อย่างรอบรู้แตกฉานเปน็ อย่างดี อีกทั้งเป็นผู้ท่มี ี
วิสัยทัศน์ โลกทัศน์ที่กว้างไกล สามารถประยุกต์เรื่องราวให้เหมาะสมทันสมัยต่อเหตุการณ์ความ
เป็นไปของ สังคม ผู้สอนจะต้องมีจรยิ ธรรมความประพฤติทีง่ ดงาม เป็นแบบอย่างที่ดแี ก่ผูเ้ รียน เป็นผู้
มีอัธยาศัยไมตรี น่ารัก น่าเคารพน่าศรัทธา เป็นกัลยาณมิตรของผู้เรียน มีความรับผดิ ชอบ และเอาใจ
ใสต่ อ่ การเรียนการสอน และการฝึกฝนอบรมจรรยามารยาทของผเู้ รียน

การบรู ณการนำปรชั ญาการศกึ ษาไปใช้

จากการศกึ ษาปรชั ญาการศกึ ษาจากเอกสาร ตำรา แนวคดิ นักวิชาการนกั การศกึ ษาท่ีกล่าวมา
ข้างต้น ผู้เขียนได้ศึกษา วิเคราะห์ และสังเคราะห์บทความวิชาการบทความวิจัยและงานวิจัยที่
เก่ียวกบั การนำปรชั ญการศกึ ษาบรู ณาการเก่ียวกับการจดั การศึกษาดังต่อไปน้ี

สุรเดช สำราชจิตต์ (2555, หน้า 51-56) ได้ศึกษาแนวคิดทางปรัชญาการศึกษาของ
นักศึกษาปริญญาโท ภาคพิเศษ โครงการพัฒนาครูทัง้ ระบบภายใต้แผนปฏบิ ัติการไทยเข้มแข็ง พบวา่
นักศึกษาส่วนใหญ่มองว่าการจัดการศึกษามีความคิดเห็นโน้มไปทางลัทธิพิพัฒนาการนิยม สอดคล้อง
กับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขปรับปรุง (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2545 มาตรา
22 กล่าวว่าการจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้ และพัฒนาตนเองได้
และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนา
ตามธรรมชาตและเต็มตามศักยภาพ โดยมีรายละเอียดของการจัดระบบการศึกษาแต่งต่างกันในด้าน
ต่างดังตอ่ ไปนี้

1. ดา้ นจดุ มงุ่ หมายการศึกษา มแี นวโนม้ การจดั การศึกษาด้านจดุ ม่งุ หมายการศึกษา
โน้มไปทางลัทธิพิพัฒนาการนิยม เนื่องจากลัทธิพิพัฒนาการนิยมสนับสนุนให้โรงเรียนจัดการศึกษา
โดยฝึกเด็กเป็นศูนย์กลาง ถือเอากระบวนการเรียนการสอนเป็นหลัก ไม่ยึดเนื้อหาวิชาและครูเป็น
สำคัญ แต่เน้นความแตกตา่ งของเดก็ แตล่ ะคน

44

2. ด้านหลักสตู ร มแี นวโนม้ การจดั การศกึ ษาดา้ นหลักสตู รโน้มไปทางลัทธิอัตถิภาวะ
นิยม เนื่องจากการรับอิทธิพลด้านคุณค่าของสังคมไทย มีความมีอิสรเสรี เป็นปัจเจกชน ชอบคิดและ
ทำสิง่ ตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง

3. ด้านผู้สอน มีแนวโน้มการจัดการศึกษาด้านผู้สอนโน้มไปทางลัทธิพุทธิปรัชญา
เนื่องจากสภาพสังคมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีผลกระทบต่อครูอยู่ไม่น้อย ครูมี
ปัญหาด้านเศรษฐกิจ แตใ่ นทางกลับกนั แมค้ รจู ะประสบปญั หาทัง้ ดา้ นภาวะเศรษฐกจิ ของตนหรือภาวะ
ทางสังคม ครูกย็ ังมีความเปน็ กลั ยณมิตร มนี ำ้ ใจให้แก่ศิษย์ มคี จิตวญิ ญาณความเปน็ ครูสูง

4. ด้านผู้เรียน มีแนวโน้มการจัดการศึกษาด้านผู้เรียนโน้มไปทางลัทธิพิพัฒนาการ
นยิ ม เนอ่ื งจากลทั ธิพพิ ฒั นาการนยิ มมุ่งเน้นให้เด็กเป็นศูนย์กลาง ผเู้ รียนตอ้ งการให้ผู้สอยเป๋นผู้แนะนำ
และช่วยในการจัดประสบการ์การเรียนในการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เด็กก็พร้อมจเปลี่ยนแปลงและ
ยอมรับความคิดเห็นใหม่ ๆ อยู่เสมอ

5. ด้านสถาบันการศึกษา มีแนวโน้มการจัดการศึกษาด้านสถาบันการศึกษา โน้มไป
ทางลัทธิปฏิรูปนิยม เนื่องจากสังคมไทยในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ด้วยระบบการ
ติดต่อสื่อสรภายนอกทให้เกิดผลกระทบต่อ วัฒนธรรม ระบบสังคม ความก้าวหน้าของวิทยาการและ
เทคโนโลยี จึงทำให้เกิดการแข่งขันเกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจ การเพิ่มจำนวนประชาการและการ
ดำรงชวี ิต

6. ด้านการวัดผลประเมินผล มีแนวโน้มการจัดการศึกษาด้านการวัดผลประเมินผล
โน้มไปทางลัทธิพุทธิปรัชญา เนื่องจากการประเมินผู้เรียน ในพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ.2542
มกี ารกำหนดประเมินโดยพจิ ารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤตแิ ละการสังเกตพฤติกรรม
การเรียน การร่วมกิจกรรม และการทดสอบควบคู่กับกระบวนการเรียนการสอนตามความเหมาะสม
แตล่ ะระดับ

พระครูวินัยธรจักรี ศรีจารุเมธีญาณ และคณะ (2559, หน้า 117-136) ได้ศึกษา
ปรัชญาการศึกษาของไทยกับสงั คมโลกไร้พรมแดน พบว่า การศึกษายุคปัจจุบันเป็นยุคสังคมแห่งการ
เรยี นรูท้ จ่ี ะช่วยพฒั นาศักยภาพหรือเสริมสร้างพลังที่มีอยใู่ นตวั มนุษย์ตลอดวยั ของชีวิต โดยเฉพาะการ
อบรมบ่มนิสัยให้สามารถอยู่ร่วมกับบุคคลอื่นในสังคม ดำรงชีวิตประกอบสัมมาอาชีพและร่วม
สร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคม ทั้งนี้ การจะพัฒนาศักยภาพของมนุษย์ทุกด้านทั้งด้านร่างกายด้าน
จิตใจ ด้านสติปัญญา คุณธรรมจริยธรรม ค่านิยม ความคิด ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. 2542 ที่มุ่งเน้นการพัฒนาการจัดการศึกษา โดยใช้หลักการจัดการศึกษายุคใหม่ในสังคมโลกไร้
พรมแดนที่มุ่งเน้นการพัฒนาคนไทยให้เป็นคนไทยยุคใหม่ที่มีคุณภาพ คุณธรรม และมีคุณค่าแก่
สังคมไทย และสังคมโลก มชี ีวติ อยรู่ ว่ มกบั ผูอ้ ่นื ได้อย่างมีความสขุ สอดคล้องกับหลกั ปรัชญาการศึกษา
ที่เปรียบเหมือนเข็มทิศนำาทางให้กับการศึกษา ให้สามารถดำเนินการอย่างเป็นระบบ ชัดเจน และ
สมเหตุสมผล ดังนั้นการศึกษาของคนไทยในสังคมยุคโลกไร้พรมแดนจะต้องเป็นผู้มีความรู้มีศีลธรรม
และมีความสันติสุข มุ่งพัฒนาและสร้างความสมานฉันท์ โดยพัฒนาคุณภาพของการจัดการศึกษาไทย
ใหม้ มี าตรฐานอย่างถูกต้องและชดั เจน

พระพจน์ กิตฺติปุญฺโญ (นุชกลาง) (2561, หน้า 5) แนวคิดเรื่องปรัชญาการศึกษาใน
ปัจจุบัน พบว่า การศึกษาเป็นวิธีการส่งผ่านจุดมุ่งหมายและธรรมเนียมประเพณี ให้ดำรงอยู่จากรุ่น

45

หนึ่งสู่อีกรุ่นหนึ่ง การศึกษาเป็นกระบวนการอย่างเป็นทางการซึ่งสังคมส่งผ่านความรู้ ทักษะ จารีต
ประเพณแี ละค่านยิ ม ที่ส่ังสมมาจากรนุ่ หนึง่ ไปยังอกี รนุ่ หนึ่ง และการศึกษา หมายถงึ การพฒั นาบุคคล
และสังคมที่ทำให้คนได้มีการเรียนรู้ และพัฒนาขึ้นไปสู่ความเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม การศึกษาเป็น
กระบวนการเรียนรู้เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคมโดยการถ่ายทอดความรู้การฝึกการ
อบรม การสืบสานทางวัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลงความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์
ความรู้อันเกิดจากการจัดสภาพแวดล้อมสังคมการเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่าง
ต่อเนื่องตลอดชีวิต และมีจุดมุ่งหมายของการศึกษา คือ ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และ
พัฒนาตนเองได้ กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและ
เต็มตามศักยภาพ และมีความสำคัญ คือ ปรัชญาช่วยสร้างเป้าหมายหรือความคาดหวัง หรือ
จดุ มุง่ หมายของการจัดการศึกษาไดอ้ ยา่ งชัดเจน วา่ จะไปในทศิ ทางใด และควรจะวางหลกั สูตรอย่างไร
บนพืน้ ฐานของความเปน็ จรงิ ทางสงั คม ท้ังดา้ นเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม ชว่ ยตรวจสอบความคิด
ทฤษฎี สมมตฐิ าน ความหมายและความต้องการในการจัดการเรยี นการสอน

จากการวเิ คราะห์ สังเคราะห์เกี่ยวกบั ปรัชญาการศกึ ษาจากนกั การศึกษา นักวชิ าการ และ
นักวิจัยแล้ว ผู้เขียนมองว่า การนำปรัชญาการศึกษาไปบูรณาการใช้ในการจัดการศึกษานั้นขึ้นอยู่
บริบทความต้องการของผู้เรียนเป็นสำคัญ เช่น บริบทสภาพแวดล้อมขององค์กร/โรงเรียน/สถาบัน
มีนโยบาย พันธกิจ วิสัยทัศน์ เป้าหมาย ว่าอย่างไร ผู้บริหารและครูต้องร่วมกนั พารณาเพื่อนำปรชั ญา
การศึกษานั้นไปใช้เป็นแนวทางยึดเหนี่ยวการจัดการศึกษาในโรงเรียน ในปัจจุบันจะเห็นว่ามีหลาย
โรงเรยี นท่ีพฒั นาหลกั สตู รสถานศึกษาท่ียดึ ลทั ธปิ ฏริ ปู นิยม หรอื ลัทธิพพิ ัฒนาการนยิ ม เพราะ 2 ลัทธิน้ี
มุ่งเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง มองว่าผู้เรียนมีศักยภาพแตกต่างกัน ในขณะเดียวกันเมื่อมองลงไปสู่
ห้องเรียนครูยุคใหม่โดยส่วนใหญ่มีความสามารถด้านการจัดการเรียนการสอน ครูเหล่านี้มักจัดการ
เรียนการสอนทีย่ ึดผ้เู รยี นเป็นสำคญั เชน่ กนั ดงั นใ้ี นการจัดการเรยี นการสอนของครูรวมไปถงึ การวัดผล
ประเมินผลจึงสอดคลอ้ งกบั แนวการจัดทำหลักสูตรสถานศกึ ษาท่ีเน้นผเู้ รยี นเปน็ สำคญั เช่นกนั

ผู้เขียนมีประสบการณ์ด้านการสอนในระดับปฐมวัย 17 ปีของชีวิตราชการการจัด
ประสบการณ์โดยส่วนใหญ่คือเน้นเด็กปฐมวัยมีพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน (ด้านร่างกาย ด้านอารมณ์
ด้านสงั คมและด้านสติปัญญา) มีการจัดกิจกรรมเรยี นปนเล่น ให้เดก็ เกดิ ประสบการณ์ตรงจากการเล่น
ดงั นั้นจึงสอดคล้องกับการจดั การศกึ ษาโดยยดึ ลทั ธิปรัชญาพิพัฒนาการนยิ มเป็นหลกั ของการพัฒนา

ในปัจจุบันผู้เขียนได้มีโอกาสในการจัดการเรียนการสอนในระดับอุดมศึกษา แน่นอนการ
จัดการเรียนการสอนเน้นทั้งภาคปฏิบตั ิและภาคทฤษฎี ผู้เขียนไดบ้ ูรณาการปรัชญาการศึกษามาใชใ้ น
การจัดการเรียนโดยเน้น 4 ปรัชญาหลักของการจัดการเรียนการสอน คือ ลัทธิปรัชญพุทธินยม
ลัทธิปรัชญาอัตถิภาวะนิยม ลัทธิปรัชญปฏิรูปนิยม และลัทธิปรัชญพิพัฒนาการนิยม ตามลำดับ
โดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ส่วนลัทธิปรัชญานิรันตรนิยมและลัทธิปรัชญสารัตถนิยม นั้นนำมาใช้น้อย
มากในระดับอุดมศกึ ษา

แต่ถึงอย่างไรผู้เขียนมองว่าผู้ที่จะจัดการเรียนการสอนควรมีการศึกษา ความรู้ ความ
เข้าใจ ในสาขาปรัชญาการศึกษาเสียก่อนเพ่ือทน่ี ำลัทธปิ รชั ญาการศกึ ษามาใช้ไดอ้ ยา่ งถกู ต้องแมน่ ยำ

46

บทสรุป

ปรัชญา คือ แนวคิด ส่วนการศึกษาเป็นการนำแนวคิดนั้นไปปฏิบัติให้บังเกิดผลซึ่งความเช่ือ
แนวคิดของคนนั้นแตกต่างกันไปความเชื่อดังกล่าวเรียกว่า “อุดมการณ์” ความเชื่อเกี่ยวกับความ
เปน็ ครเ็ู รียกว่า อดุ มการณใ์ นความเปน็ ครู ซ่ึงอุดมการณ์นเี้ องมอี ิทธพิ ลต่อการกระทำของบคุ คล ยึดมั่น
ถือมั่นเพราะอุดมการณ์เสมือนหน่ึงแนวทางยดึ หรือเข็มทิศ กำหนดการกระทำของคนบุคคลให้เป็นไป
ตามนั้น ๆ ทำนองเดียวกัน การให้การศึกษาแก่พลเมืองของชาติจะดำเนินการเกี่ยวกับการศึกษา
อย่างไรน้ันขึ้นอยู่กับความเชื่อ เช่นความเชื่อเกีย่ วกับการจัดการศึกษา แทนที่จะเรียก อุดมการณ์กลับ
เรียก ปรัชญาทางการศกึ ษา นน่ั เอง

ปรัชญา หมายถึง วิชาที่ว่าด้วยหลักแห่งความรู้และความจริง เปิดโอกาสให้มนุษย์ได้ใช้
ความคิด เปน็ การแสวงหาความรเู้ พื่อพบความจริงทเ่ี รียกว่าสัจธรรม เป็นหลักเอาไว้สำหรบั การดำเนิน
ชีวิต และทำหน้าทป่ี ระจำวนั ของตนอยา่ งดีอย่างเหมาะสมเพื่อม่งุ ไปสกู่ ารบรรลุเป้าหมายท่แี ทจ้ รงิ

สาขาปรัชญา สามารถออกเปน็ 2 สาขา คือ ปรชั ญาบรสิ ุทธแ์ิ ละปรัชญาประยุกต์ ซ่ึงปรัชญา
บริสุทธิ์ ประกอบด้วย 1) อภิปรัชญา 2) ญาณวิทยา และ3) คุณวิทยา และ ส่วน ปรัชญาประยุกต์
หมายถึง การนำเอาความรู้และแนวความคิดทางปรัชญาบริสุทธิ์ไปผสมผสานประยุกต์ใช้กับศาสตร์
ต่าง ๆ

ปรัชญาพื้นฐาน ประกอบด้วย 1) ปรัชญาจิตนิยม (Idealism) 2)ปรัชญาสัจนิยม (Realism)
3) ปรชั ญาปฏิบตั ินิยม (Pragmatism) และ4) ปรัชญาอัตถิภาวนยิ ม (Existentialism)

ปรัชญาการศึกษา คือ การผสมผสานเอาทฤษฎีการศึกษาต่าง ๆ (Eclecticism) เข้าด้วยกัน
เพื่อทำการประยุกต์เอาหลักการและทฤษฎีในทางการศึกษาไปใช้เป็นหลักในการจัดการศึกษาน้ัน
กระทำกันได้หลายวิธี โดยทั่วไปแล้วก็มักจะใช้วิธีแบบผสมผสานโดยเลือกสรรหลักการที่ดีของหลาย
ทฤษฎที ีพ่ อจะประมวลเขา้ ด้วยกันได้ โดยทไ่ี ม่ขัดแย้งกนั นำเอามาใช้เป็นแนวทางในการจัดการศึกษา
ซึ่งปรัชญาการศึกษาเป็นปรัชญาประยุกต์ (applied philosophy) เพราะเป็นการนำเอาปรัชญา
บริสุทธิ์ (pured philosophy) มาประยุกต์ใช้กับการศึกษา จึงเรียกว่า ปรัชญาการศึกษา โดยมุ่งให้
มนุษย์เจริญงอกงามเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ซึงประกอบด้วย 1) ปรัชญาสาขาสารนิยม หรือสารัตถนิยม
(essentialism) 2) ปรัชญาสาขาสัจวิทยานิยม หรือสัจนิยมวิทยา หรือนิรันตรนิยม (perenialism)
3) ปรัชญาสาขาพิพัฒนาการนิยม หรือพิพัฒนนิยม หรือวิวัฒนาการนิยม ( progressivism)
4) ปรัชญาสาขาปฏิรูปนิยม (reconstructionism) 5) ปรัชญาสาขาอัตถิภาวนิยม หรืออัตนิยม หรือ
สวภาพนิยม (existentialism) และ6) ปรัชญาและแนวคิดทางการศึกษาแนวพุทธศาสนา
(Buddhism)

47

บทที่ 3

จิตวทิ ยาการศึกษา

บทนำ

“ครู” ถือเป็นอาชีพที่มีความสำคัญต่อคุณภาพของทรัพยากรมนุษย์ ระบบการศึกษา
ตลอดจนการพัฒนาประเทศให้เจริญกา้ วหน้าต่อไปในอนาคต หน้าที่หลักของครู คือ การจัดการเรียน
การสอนเพื่อพัฒนาผู้เรียนให้เต็มตามศักยภาพ ทั้งด้านกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา และจริยธรรม
ให้เป็นทรัพยากรบุคคลที่มีคุณค่า สามารถพึ่งพาตนเอง สร้างสรรค์ชุมชน สังคมและประเทศชาติ มี
ความรู้และมีคุณธรรมในการดำเนินชีวิต การที่จะดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าว ครูต้องให้
ความสำคญั กับองค์ประกอบทุกด้าน ไดแ้ ก่ ผู้เรยี น ผสู้ อน วิธีสอน สอ่ื เป็นต้น โดยเฉพาะตัวผู้เรียนซ่ึง
ล้วนแตม่ ีความแตกต่างกัน ดังนนั้ การทคี่ รมู ีความรู้ความเข้าใจในจิตวิทยาท่ีเกี่ยวข้อง เช่น ความรู้ด้าน
จติ วิทยาการศกึ ษา จิตวิทยาพัฒนาการ จิตวทิ ยาการเรียนรู้ หลกั และเทคนคิ ทางจติ วิทยาที่นำมาใช้ใน
การเรียนการสอน การดูแลช่วยเหลือการพัฒนาบุคลิกภาพผู้เรียน การสร้างความสัมพันธ์และ
บรรยากาศในการเรียนรู้ เป็นต้น แล้วนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้สู่เป้าหมายดังกล่าว
จึงถือว่าสำคัญยิ่ง รวมทั้งจะส่งผลดีต่อการเรียนการสอนให้มีคุณภาพและถือว่าเป็นภาระหน้าที่อัน
สำคัญของครู (สุนิสา วงศ์อารีย์, 2559) เพื่อให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพและประสบ
ความสำเร็จในการจดั กาเรยี นการสอน การเรยี นรเู้ กย่ี วกับจติ วิทยาการศึกษาจงึ มีความสำคญั

จิตวิทยาการศึกษาเป็นศาสตรท์ างวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกบั กระบวนการเรยี นรพู้ ัฒนาการ
ของผู้เรียนที่ช่วยในการจัดบรรยากาศและสภาพการเรียนการสอนให้ชั้นเรียนเป็นหลักการ แนวคิด
ทฤษฎีที่นำมาใช้ช่วยแก้ปัญหาในทางด้านการศึกษาและส่งเสริมกระบวนการจัดการเรียนการสอนใน
ชั้นเรียนให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ครูที่มีความรู้ทางด้านจิตวิทยาจะช่วยให้ครูสามารถ
เลือกวิธีการ กิจกรรม กลยุทธ์เทคนิคมาใช้ในการจัดการเรียนรูท้ ี่เหมาะสมให้แก่ผู้เรียน ครูเป็นบุคคล
ที่มีบทบาทสำคัญในการจัดการเรียนรู้ให้มีประสิทธิภาพซึ่งครูจะต้องเป็นคนที่มีความรับผิดชอบใน
ตวั เอง มีความความเช่ียวชาญเชี่ยวชาญในศาสตร์ของตนเองเปน็ พิเศษ เชน่ ความรูใ้ นการจัดกิจกรรม
ดว้ ยเทคนิค วิธีการทห่ี ลากหลายรวามถึงความรู้ในด้านการวัดผลประเมินผล ความรใู้ นเรอื่ งเทคโนโลยี
นวัตกรรมทางการศึกษา

ผู้เขียนเห็นความสำคัญเกี่ยวกับการศึกษา โดยเฉพาะ เรื่องเกี่ยวกับจิตวิยาการศึกษา เพื่อใช้
เป็นแนวทางนำความรู้ไปบูรณาการประยุกต์ใช้ในสถานศึกษา หู้ที่เกี่ยวข้องนำไปใช้ ขอนำเสนอ
จิตวิทยาการศึกษาในเรื่องดังต่อไปนี้ 1) ความรู้เกี่ยวกับจิตวิทยา 2) แนวคิดเกี่ยวกับจิตวิทยา
การศึกษา 3) ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ 4) การประยุกตใ์ ช้ในการจดั การเรียนการสอน และ5) การบูรณาการ
การนำจติ วิทยาการศกึ ษาไปใช้

48

ความรพู้ ืน้ ฐานเกี่ยวกบั จิตวทิ ยา

1. ความหมายของจิตวทิ ยา

คำว่า “จิตวิทยา” ตรงกับคำในภาษาอังกฤษว่า Psychology ซึ่งมีสัญลักษณ์ คือ “”
เป็นตัวอักษรตัวหนึ่งของภาษากรีก หากมีการวิเคราะห์คำนี้ออกมาแล้วจะแยกได้เป็น 2 ส่วน ส่วนที่
หนง่ึ คอื Psycho มาจากค าภาษากรีกว่า psyche แปลวา่ จิต หรือวญิ ญาณ (soul) และส่วนที่สองคือ
logy มาจากคำภาษากรีกว่า logos แปลว่า การศึกษา (study) การค้นคว้า หรือการหาความรู้
เมอ่ื นำสองสว่ นนมี้ ารวมกนั จึงไดเ้ ป็นคำศัพทว์ ่า psychology หมายถงึ การศกึ ษาคน้ ควา้ ท่ีเก่ียวกับจิต
หรือวญิ ญาณ (A study of soul) ทง้ั นเ้ี นื่องจากในสมยั กรีกโบราณซึ่งเป็นยคุ เริม่ ต้นของการศึกษาทาง
จิตวทิ ยา นกั ปรัชญาในขณะน้ันได้พยายามค้นคว้าและหาคำตอบว่าจิตหรือวิญญาณมีความสำคัญและ
มีอิทธิพลอย่างไรต่อการกระทำของมนุษย์ จะเห็นได้ว่าเป็นการศึกษาถึงสิ่งที่ไม่มีตัวตน ไม่สามารถ
พิสูจน์และค้นคว้าให้เห็นจริงได้ ต่อมาภายหลังตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา นักจิตวิทยา
ยุคใหม่จึงเปลี่ยนแนวทางมาศึกษาการกระทำของมนุษย์ที่สามารถสังเกตได้ วัดได้ และทดลองได้
จากนั้นจึงใช้คำว่า พฤติกรรม (behavior) มาแทนลักษณะการกระทำของมนุษย์ โดยจะศึกษา
พฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์เป็นสำคัญ นอกจากนี้ยังได้นำระเบียบวิธีการต่าง ๆ
ทางวิทยาศาสตร์มาใช้ในการศึกษาหาคำตอบเกี่ยวกับพฤติกรรมทั้งหลายอีกด้วย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ทำให้จิตวิทยาได้รับการยอมรับให้เป็นวิทยาศาสตร์ประยุกต์แขนงหนึ่ง รวมทั้งมีผู้ให้คำจำกัดความ
และความหมายของจิตวทิ ยาไว้ (สุนิสา วงศอ์ ารีย์, 2559, หนา้ 8) ดงั นี้

Norman L. Munn (1969, หน้า 2) ให้คำจำกัดความไว้ว่า จิตวิทยาเป็นวิทยาศาสตร์
ทศี่ ึกษาถึงพฤตกิ รรมโดยเน้นทเี่ กีย่ วขอ้ งกบั ประสบการณ์

Hilgard, E.R. (1971, หน้า 2) อธิบายว่า จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาพฤติกรรมของ
มนษุ ย์และสตั ว์อ่นื

Crider, A.B., and Others (1983, หน้า 4) ให้คำนิยามว่า จิตวิทยาเป็นการศึกษาถึง
พฤติกรรมและกระบวนการทางจติ ด้วยระเบียบวิธีการทางวิทยาศาสตร์

วิทยากร เชียงกูล (2552, หน้า 191) ให้ความหมาย จิตวิทยา (psychology) คือ
การศึกษาเรื่องของจิตใจ พฤติกรรมและสภาพแวดล้อมของคนและสัตว์โดยวิธีการทดลอง สังเกต
สำรวจอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ มักเน้นการศึกษาแต่ละคนหรือกลุ่มเล็ก ๆ มากกว่า แบ่งเป็นแขนงต่าง
เช่น จิตวทิ ยาการทดลอง (experimental psychology) เน้นวธิ ีการศึกษากระบวนการทางจิตใจและ
พฤติกรรมอยา่ งเปน็ วิทยาศาสตร์ จติ วทิ ยาสังคม จติ วิทยาการศกึ ษา จติ วิทยาอาชพี จิตวิทยาคลนิ ิก

คัคนางค์ มณีศรี (2555, หน้า 1) กล่าวถึงความหมายของจิตวิทยาว่า อริสโตเติล
(Aristotle) ใช้คำว่า “Psyche” เมื่อพูดถึงแก่นของชีวิต (The essence of Life) คำนี้มาจากภาษา
กรีกที่ว่า “mind” แปลว่า ลมหายใจ (Breath) และเชื่อว่า psyche จะหลุดออกจากร่างพร้อมกับลม
หายใจเฮือกสุดท้าย นักจิตวิทยาสนใจการกระทำ ความคิด ความรู้สึกของมนุษย์ เช่นเดียวกับ
อรสิ โตเติล จงึ เอาคำวา่ “Psyche” มาผนวกกบั คำภาษากรีกวา่ “Logos” ซ่งึ แปลวา่ “การศึกษาท่ีว่า
ดว้ ย (The Study of)” กลายเปน็ คำวา่ “Psychology”

กฤตวรรณ คำสม (2557, หนา้ 5)จิตวิทยาเป็นวิชาท่ีศกึ ษาเกีย่ วกับพฤติกรรมของมนุษย์
และสัตว์ ดังนั้นเพื่อให้เข้าใจพฤติกรรมต่าง ๆ ที่เจ้าของพฤติกรรมแสดงออกนั้น จึงจำเป็นจะต้อง

49

ศึกษาสาเหตุและลักษณะของพฤติกรรม เพื่อให้เกิดความเข้าใจในพฤติกรรมนั้น ๆ และนำไปสู่การ
ปรบั พฤติกรรมต่อไป

สุนิสา วงศ์อารีย์ (2559, หน้า 8) ให้ความหมาย จิตวิทยาเป็นวิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับ
พฤติกรรม และกระบวนการทางจิตของมนษุ ย์และสัตว์ โดยใชร้ ะเบียบวธิ กี ารศกึ ษาทางวทิ ยาศาสตร์

จากทีก่ ลา่ วมาสรุปได้ว่า จติ วทิ ยา (psychology) หมายถงึ การศกึ ษาเก่ยี วกับพฤติกรรมของ
มนุษย์และสัตว์ กระบวนการทางจิต และกระบวนการทางปัญญาของมนุษย์ด้วยวิธีการทาง
วิทยาศาสตร์ ระหว่างพฤติกรรมของมนุษย์กับความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์รอบตัวกระบวนการ
ทางจิตใจไปกับการศึกษาพฤติกรรม จิตวิทยาจึงเป็นการศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมและกระบวนการ
ทางจิตใจของมนุษย์ในลักษณะเป็นศาสตร์ที่สามารถศึกษาทดลองหรือพิสูจน์ได้ จิตวิทยาถือว่าการ
กระทำทุกอย่างต้องมีสาเหตุ เมื่อตั้งกฎเกณฑ์อะไรขึ้นมาก็จะต้องพิสูจน์ได้ว่ามีแหล่งมาจากที่ใด เหตุ
กับผลจะต้องสัมพันธ์กันความนึกคิดกิริยา ท่าทาง และพฤติกรรมจะต้องมีสาเหตุเกี่ยวเนื่องกับสิ่งใด
ส่งิ หนง่ึ ซ่ึงสอดคลอ้ งกบั หลกั การทางวิทยาศาสตร์ที่ถือว่าพฤติกรรมทุกอย่างจะต้องมีสาเหตุหรอื เกิดขึ้น
โดยมสี มมติฐาน

2. ความสำคญั ของจิตวิทยา
สนุ ิสา วงศ์อารยี ์ (2559, หน้า 11) ไดก้ ล่าวถึง ความสำคัญของจติ วิทยา ดังน้ี
จิตวิทยาเป็นศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมมนุษย์ ดังนั้นผู้ศึกษาวิชาจิตวิทยาจึง

สามารถนำเอาความรู้ทางจิตวิทยาไปใช้ได้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัวและสถานที่
ทำงาน ตลอดจนมีความสำคัญต่อการประกอบอาชีพต่าง ๆ ทั้งนี้เนื่องจากหลักการของจิตวิทยา
สามารถนำไปประยกุ ตใ์ ช้ได้กับงานต่าง ๆ มากมาย

จิตวิทยาจึงจัดว่ามีความสำคัญมาก เนื่องจากในการดำเนินชีวิตประจำวัน บุคคลต้อง
มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น ๆ อยู่ตลอดเวลา จิตวิทยาจึงเป็นศาสตร์ที่ทำให้บุคคลมีความ
เข้าใจตนเองและผู้อื่นได้เป็นอย่างดี และการอยู่ร่วมกันในสังคมมนุษย์มักมีเรื่องกระทบกระทั่งกันได้
จากการไม่เข้าใจกัน วิชาจิตวิทยาจึงเป็นศาสตร์ที่ทำให้มีความเข้าใจพฤติกรรมมนุษย์ ทำให้สามารถ
อยู่ร่วมกันไดอ้ ยา่ งปกตสิ ขุ และลดปญั หาจากการอย่รู ่วมกนั ในสงั คม

ในปัจจุบัน ความสำคัญของวิชาจิตวิทยาได้ขยายขอบเขตออกไปอย่างมาก โดยได้
นำไปใช้ในสาขาอาชีพต่าง ๆ อย่างหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการบริหารจัดการในองค์การ การขาย
การประชาสัมพันธ์ การให้คำปรึกษา และการบำบัดรักษาคนไข้ เป็นต้น ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า
หลกั การของวิชาจิตวทิ ยามีความสำคญั และจำเปน็ ตอ่ ศาสตร์ต่าง ๆ เปน็ อย่างยงิ่

แนวคิดเก่ียวกบั จติ วทิ ยาการศกึ ษา

1. ความหมายของจติ วทิ ยาการศึกษา
จิตวิทยาการศึกษามีบทบาทสำคัญในการจัดการศึกษา ครูจึงจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐาน

ทางจิตวทิ ยาการศกึ ษา ไดม้ ผี ใู้ หค้ วามหมาย ของจติ วทิ ยาการศกึ ษาไวด้ ังนี้
สุรางค์ โค้วตระกูล (2553, หน้า 1) ได้ให้ความหมายไว้ว่า จิตวิทยาการศึกษาเป็น

วิทยาศาสตร์ที่ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้และ พัฒนาการของผู้เรียน ในสภาพการเรียนการสอน

50

หรอื ในชั้นเรยี น เพ่ือค้นคดิ ทฤษฎีและหลักการทีจ่ ะนำมาช่วยแก้ปญั หาทางการศึกษาและ สง่ เสริมการ
เรียนการสอนใหม้ ปี ระสทิ ธิภาพ

นุชลี อุปภยั (2556, หน้า 3) ไดใ้ ห้ความหมายไว้ว่าจิตวิทยาการศึกษาเป็นการศึกษา
หาความรูเ้ พ่ือนำมาใช้ในการดำเนนิ การเรยี น การสอนใหม้ ปี ระสิทธิภาพ โดยอาศยั แนวคิดและทฤษฎี
ทางจติ วทิ ยามา เปน็ พนื้ ฐานในการสรา้ งสรรค์ศิลปะการสอนให้เกิดคุณคา่ และเกิด ประโยชน์สูงสุดแก่
ผู้เรยี น

กฤตวรรณ คำสม (2557, หน้า 26) ได้ให้ความหมายไว้ว่า จิตวิทยาการศึกษาเป็น
การนำหลักการ แนวคิดทฤษฎี และเทคนิคต่าง ๆ ทางจิตวิทยามาใช้ในกระบวนการทางการศึกษา
กล่าวคือ ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างเต็มศักยภาพ ดังนั้นครูในฐานะที่เป็นผู้สอนจึง
จำเปน็ ต้องมีความรคู้ วามเข้าใจในจิตวทิ ยาการศึกษาเพ่ือนำไปใช้ในการปรับพฤติกรรมนักเรยี น

จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า จิตวิทยาการศึกษา หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้
พัฒนาการของผู้เรียนในสภาพการเรียนการสอนหรือในชั้นเรียนเพื่อค้นคิดทฤษฎีและหลักการที่จะ
นำมาช่วยแกไ้ ขปญั หาในทางการศกึ ษา และสง่ เสริมการเรียนการสอนให้มีประสิทธภิ าพยิ่งขน้ึ

2. ความสำคัญของจิตวิทยาครู
สุรางค์ โค้วตระกูล (2553, หน้า 4-5) จะเห็นว่าการเป็นครูที่ดีนั้นจะต้องเป็นด้วยจิตวิ

ญาณมีความเข้าใจหลักการสอนกระบวนการสอนตามหลักวิชาการแล้วยังไม่พอ ครูจะต้องรู้เกี่ยวกับ
จิตวิทยา เพราะครูทุกคนมีวิถีชีวิตอยูก่ ับคนแทบจะตลอดเวลาจึงจำเป็นจะต้องรู้ชีวิตจติ ใจของมนุษย์
ว่าเขาเหล่านัน้ มีความต้องการอะไร ดังมีกล่าวว่าคนเป็นครูจะต้องรู้จิตวทิ ยาเพราะวา่ จติ วิทยาช่วยครู
ได้

1.ช่วยครูให้รู้จักลกั ษณะนิสัย (Characteristics) ของนักเรียนที่ครูต้องสอนโดยทราบ
หลักพัฒนาการทงั้ ทางร่างกาย สตปิ ญั ญา อารมณ์ สังคม และบคุ ลิกภาพเป็นสว่ นรวม

2.ช่วยให้ครูมีความเข้าใจพัฒนาการทางบุคลิกภาพบางประการของนักเรียน เช่น
อัตมโนทัศน์ (Self concept) ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร และเรียนรู้ถึงบทบาทของครูในการที่จะช่วย
นักเรียนให้มี อัตมโนทัศน์ ที่ดีและถูกต้องได้อยา่ งไร

3. ช่วยครูให้มีความเข้าใจในความแตกต่างระหว่างบุคคล เพื่อจะได้ช่วยนักเรียนเป็น
รายบุคคลให้พัฒนาตามศักยภาพของแตล่ ะบคุ คล

4. ชว่ ยให้ครูรู้วธิ ีจดั สภาพแวดลอ้ มของหอ้ งเรยี นใหเ้ หมาะสมแก่วัย และข้ันพฒั นาการ
ของนักเรียน เพอ่ื จงู ใจให้นกั เรยี นมคี วามสนใจและอยากจะเรียนรู้

5. ช่วยให้ครูทราบถึงตัวแปรต่าง ๆ ที่มีอิทธิพลต่อการเรียนรู้ของนักเรียน เช่น
แรงจงู ใจ อตั มโนทัศน์ และการตงั้ ความคาดหวงั ของครทู มี่ ตี อ่ นักเรยี น

6. ช่วยครูในการเตรียมการสอนวางแผนการเรียน เพื่อทำให้การสอนมีประสิทธิภาพ
สามารถชว่ ยใหน้ กั เรยี นทุกคนเรยี นร้ตู ามศักยภาพของแต่ละบคุ คล โดยคำนึงหัวขอ้ ต่อไปนี้

6.1 ช่วยครูเลือกวัตถุประสงค์ของบทเรียนโดยคำนึงถึงลักษณะนิสัยและความ
แตกต่างระหว่างบคุ คลของนักเรยี นท่จี ะตอ้ งสอน และสามารถทจี่ ะเขียนวตั ถปุ ระสงคใ์ ห้นกั เรียนเข้าใจ
ว่าสิ่งที่ครูคาดหวังให้นักเรียนรู้มีอะไรบ้าง โดยถือว่าวัตถุประสงค์ของบทเรียนคือสิ่งที่จะช่วยให้
นกั เรียนทราบว่า เมื่อจบบทเรยี นแล้วนกั เรียนจะสามารถทำอะไรไดบ้ ้าง

51

6.2 ชว่ ยครูในการเลือกหลักการสอนและวิธสี อนท่ีเหมาะสม โดยคำนึงถึงลักษณะ
นสิ ยั ของนกั เรียนและวิชาทส่ี อน และกระบวนการเรียนร้ขู องนักเรยี น

6.3 ช่วยครูในการประเมินไมเ่ พียงแตเ่ ฉพาะเวลาครูได้สอนจนจบบทเรยี นเท่า นั้น
แต่ใช้ประเมินความพร้อมของนักเรียนก่อนสอน ในระหว่างที่ทำการสอน เพื่อจะทราบว่านักเรียนมี
ความก้าวหนา้ หรอื มีปญั หาในการเรยี นรอู้ ะไรบา้ ง

7. ช่วยครูให้ทราบหลักการและทฤษฎีของการเรียนรู้ที่นักจิตวิทยา ได้พิสูจน์แล้วว่า
ได้ผลดี เชน่ การเรียนรู้จากการสงั เกตหรอื การเลียนแบบ (Observational learning หรอื Modeling)

8. ชว่ ยครใู ห้ทราบถึงหลกั การสอนและวธิ สี อนทม่ี ีประสิทธิภาพ รวมทั้งพฤติกรรมของ
ครูที่มีการสอนอย่างมีประสิทธิภาพว่ามีอะไรบ้าง เช่น การใช้คำถาม การให้แรงเสริม และการทำตน
เปน็ ต้นแบบ

9. ช่วยครูให้ทราบว่านักเรียนที่มีผลการเรียนดีไม่ได้เป็นเพราะ ระดับเชาวน์ปัญญา
เพียงอย่างเดียว แต่มีองค์ประกอบอื่น ๆ เช่น แรงจูงใจ (Motivation) ทัศนคติหรือ อัตมโนทัศน์ของ
นกั เรยี นและความคาดหวังของครูท่ีมตี ่อตัวนกั เรยี น

10. ช่วยครูในการปกครองชั้นและการสร้างบรรยากาศของห้องเรียน ให้เอื้อต่อการ
เรียนรู้และเสริมสร้างบุคลิกภาพของนักเรียน ครูและนักเรียนมีความรัก และไว้วางใจซึ่งกันและกัน
นักเรียน ต่างก็ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทำให้ห้องเรียนเป็นสถานที่ที่ทุกคนมีความสุขและนักเรียนรัก
โรงเรียน อยากมาโรงเรียน

สรุปจิตวิทยามีความสำคัญดังต่อไปนี้ ทำให้เกิดความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธรรมชาติของ
มนุษย์ เชน่ ความตอ้ งการ การแกป้ ญั หา การปรบั ตัว อารมณแ์ ละความรู่สึกในสถานการณต์ ่าง ๆ ชว่ ย
ในการแกป้ ัญหาทางจิต รจู้ ักวิธีรักษาสขุ ภาพจิตได้ดี สามารถเอาชนะปมด้อยตา่ ง ๆ รูว้ ธิ แี กป้ ัญหาและ
ปรับตัวอย่างเหมาะสม ขจดั ความขัดแย้งในใจได้และความวติ กกังวลได้ สามารถเข้าใจ ตดั สนิ ใจ และมี
มนษุ ยส์ ัมพันธท์ ดี่ กี ับบคุ คลในสงั คม และช่วยในการวางแผนการใช้ชีวิตได้อยา่ งเหมาะสม

3. สาขาจิตวทิ ยาท่สี ัมพันธก์ ับวิชาชีพครู
สาขาจิตวิทยาที่สัมพันธ์กับผู้จะเป็นครูควรจะเป็นจิตวิทยาที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาได้

ดังต่อไปน้ี (สอนประจนั ทร์ เสยี งเยน็ , 2559, หนา้ 16) คอื
1. จิตวิทยาทั่วไป (General Psychology) ศึกษาเกี่ยวกับพฤติกรรมทั่วไปของมนุษย์

รวมถึงหลักการและกฎเกณฑ์เบื้องตน้ ทัว่ ไป เช่น ระบบสรรี ะ การรับรู้ การเรียนรู้ อารมณ์ เชาวป์ ัญญา
และบคุ ลกิ

2. จติ วิทยาการเรยี นรู้ (Psychology of Learning) เปน็ ศาสตรท์ ่ีศึกษาด้านพฤติกรรม
ที่สัมพันธ์กับการเรียนรู้ของบุคคล ซึ่งก็คือการนำเอาความรู้ทางจิตวิทยามาประยุกต์ใช้ให้ผู้เรียนเกิด
การเรียนรู้โดยได้อยา่ งเหมาะสม

3 จิตวิทยาการศึกษา (Education Psychology) เป็นการศึกษาธรรมชาติของผู้เรยี น
ทฤษฎีการเรียนรู้ การสร้างแรงจูงใจ การนำเอาความจริงทางจิตวิทยามาใช้ในการศึกษาการพัฒนา
และส่งเสริมหลักสูตรการบริหารและจัดการศึกษาการปฏิบัติการสอนในห้องเรียน พฤติกรรมการ
จัดระบบกระบวนการเรียนรู้และสภาพแวดล้อมที่เกี่ยวข้องกับการจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนเรียนรู้
อยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ

52

4. จิตวิทยาพัฒนาการ (Developmental Psychology) เป็นการค้นคว้าถึงการ
เจริญเติบโตและพัฒนาการของมนุษย์ตง้ั แต่เริ่มปฏสิ นธิจนถึงวยั ชรารวมท้งั อิทธิพลของพันธุกรรมและ
สิ่งแวดล้อมที่มีอิทธิพลต่อการพัฒนาและลักษณะความต้องการความสนใจของคนในวัยต่าง ๆ อาจ
แบง่ เปน็ วิทยาเดก็ จติ วทิ ยาวัยรุ่นและจิตวิทยาวยั ผใู้ หญ่

5 จิตวทิ ยาประยุกต์ (Applied Psychology) เปน็ การนำเอาความรู้และกฎเกณฑ์ทาง
จิตวิทยาแขนงต่าง ๆ มาดัดแปลงใช้ให้เกิดประโยชน์หรือนำไปใช้ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับพฤติกรรม
ของมนุษย์ เช่น นำไปใช้ในการรักษาพยาบาล การให้คำปรึกษาในวงการอุตสาหกรรม การควบคุมผู้
ประพฤติผิด เปน็ ตน้

6. จิตวิทยาบุคลิก (Psychology of Personality) เป็นการศึกษาคุณลักษณะ
เฉพาะตัวของบุคคลที่เป็นตัวกำหนดพฤติกรรม ที่ทำให้บุคคลมีความแตกต่างระหว่างบุคคลหรือ
แตกต่างจากบุคคลอ่ืน ท้ังในด้านแนวคิดทศั นคติ การปรับตวั ตลอดจนแก้ปญั หาดว้ ย

7. จิตวิทยาแนะแนว (Guidance Psychology) เป็นสาขาท่ีศึกษาเก่ยี วกบั การช่วยให้
บคุ คลสามารถเขา้ ใจตนเองเขา้ ใจผู้อืน่ และสามารถปรบั ตวั ในสงั คมอย่างมคี วามสุข

8. จิตวิทยาการให้คำปรึกษา (Counseling Psychology) เป็นสาขาที่ศึกษาทฤษฎี
หลักการและวิธีการในการช่วยเหลือบุคคลที่ประสบอุปสรรคปัญหาให้สามารถเข้าใจปัญหาและ
วางแผนในการจัดการกับปญั หาของตนได้อย่างมีประสิทธภิ าพ

ทฤษฎกี ารเรยี นรูแ้ ละการประยุกตใ์ ชใ้ นการจดั การเรียนการสอน

นักจิตวิทยาได้พยายามทำการวิจัยเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทั้งสัตว์และมนุษย์ และได้ค้นพบ
หลักการและทฤษฎีหลายอย่างที่สามารถใช้ประยุกต์ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ได้ ทั้งนี้ผู้เขียนได้
ศึกษาเอกสารของนักวิชาการประกอบด้วย สรุ างค์ โคว้ ตระกูล (2559:185- 263), ลักขณา สริวฒั น์
(2557:159-181), อริยา คูหา (2556:184-186) และ สิริอร วิชชาวุธ (2554:13-26) ที่ให้
ความรู้เกี่ยวกับทฤษฎีของการเรียนรู้ และสามารถสรุปทฤษฎีการเรียนรู้ที่ สำคัญได้แก่ ทฤษฎี
พฤติกรรมนิยม (Behavioral Theories) ทฤษฎีพุทธิปัญญานิยม (Cognitive Theories) และทฤษฎี
การเรยี นร้ทู างสังคมแนวพุทธปิ ัญญา (Social Cognitive Learning) ดงั รายละเอยี ดตอ่ ไปน้ี

1. หลักการสอนตามแนวคดิ ของนกั จติ วิทยากล่มุ พฤตกิ รรมนยิ ม (Behaviorism)
นักคิดในกลุ่มนี้มองธรรมชาติของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง คือ ไม่ดี–ไม่เลว การ

กระทำต่างของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้า (Stimulus Response) การเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้าและการ
ตอบสนอง กลุ่มพฤติกรรมนิยมให้ความสนใจกับ “พฤติกรรม” มากเพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้
ชัด สามารถวัดและทดสอบได้ ทฤษฎีการเรยี นรู้ในกลมุ่ น้ี ประกอบดว้ ยแนวคดิ สำคญั ๆ 3 แนวดว้ ยกัน
คอื

1.1 ทฤษฎกี ารเช่ือมโยงของธอรน์ ไดค์ (Thorndike Classical Connectionism)
มีความเชื่อว่าการเรียนรู้เกิดจากการเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ซึ่งมีหลายรูปแบบ
บุคคลจะมีการลองผิดลองถูกปรับเปลี่ยนไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะพบรูปแบบการตอบสนองที่สามารถ
ให้ผลที่พึงพอใจมากที่สุด เมื่อเกิดการเรียนรู้แล้ว บุคคลจะใช้รูปแบบการตอบสนองที่เหมาะสมเพียง

53

รูปแบบและจะพยายามใช้รูปแบบนั้นเชื่อมโยงกับสิ่งเร้าในการเรียนรู้ต่อไปเรื่อย ๆ การจัดการเรียน
การสอนตามทฤษฎีนี้จึงเน้นที่การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนแบบลองผิดลองถูกบ้าง มีการสำรวจ
ความพร้อมของผู้เรียนซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องกระทำก่อนการสอนบทเรียน เมื่อผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
แล้วครคู วรฝึกให้ผู้เรยี นฝึกการนำการเรยี นร้นู ้ันไปใชบ้ ่อย ๆ การศกึ ษาว่าส่ิงใดเป็นส่ิงเร้าหรือรางวัลที่
ผู้เรียนพึงพอใจจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรยี นรู้ กฎการเรียนรู้ของธอร์นไดค์ สรุปได้
ดังน้ี

1. กฎแห่งความพร้อม (Law of Readiness) การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ดีถ้า
ผู้เรยี นมคี วามพร้อมทั้งทางรา่ งกายและจิตใจ

2. กฎแห่งการฝึกหัด (Law of Exercise) การฝึกหัดหรือกระทำบ่อย ๆด้วย
ความเข้าใจจะทำให้การเรยี นรู้น้ันคงทนถาวร ถ้าไม่ได้กระทำซำ้ บอ่ ย ๆ การเรยี นรูน้ ั้นจะไมค่ งทนถาวร
และในท่ีสดุ อาจลืมได้

3. กฎแห่งการใช้ (Law of Use and Disuse) การเรียนร้เู กิดจากการเช่ือมโยง
ระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง ความมั่นคงของการเรียนรู้จะเกิดขึ้น หากได้มีการนำไปใช้บ่อย ๆ
หากไมม่ ีการนำไปใช้อาจมีการลืมเกิดข้ึนได้

4. กฎแห่งผลที่พึงพอใจ (Law of Effect) เมื่อบุคคลได้รับผลที่พึงพอใจย่อม
อยากจะเรียนรู้ต่อไป แต่ถ้าได้รับผลที่ไม่พึงพอใจ จะไม่อยากเรียนรู้ ดังนั้นการได้รับผลที่พึงพอใจ
จงึ เป็นปจั จยั สำคัญในการเรยี นรู้

ธอรน์ ไดค์

ภาพประกอบ 28 การทดลองของธอร์นไดค์ Thorndike Theory
ท่ีมา (ทฤษฎกี ารเรยี นรู้, 2564)

1.2 ทฤษฎีการวางเง่ือนไข (Conditioning Theory)
1.2.1 ทฤษฎกี ารวางเง่ือนไขแบบอตั โนมัตขิ องพาฟลอฟ (Pavlov’s Classical

Conditioning) ได้ทำการทดลองให้สุนัขน้ำลายไหลด้วยเสียงกระดิ่ง โดยธรรมชาติแล้วสุนัขจะไม่มี
น้ำลายไหลเมือ่ ไดย้ นิ เสียงกระดิ่ง แต่พาฟลอฟได้นำเอาผงเนือ้ บดมาเปน็ สิ่งเร้าคู่กบั เสียงกระดง่ิ ผงเน้ือ
บดถือว่าเป็นส่ิงเร้าตามธรรมชาติ (unconditioned stimulus) ทำให้สุนัขน้ำลายไหลได้ เขาใช้สิ่งเร้า
ทั้งสองคู่กันหลาย ๆ ครั้ง แล้วตัดสิ่งเร้าตามธรรมชาติออกเหลือแต่เสียงกระดิ่ง ซึ่งเป็นสิ่งเร้าที่วาง

54

เงื่อนไข ปรากฏว่าสุนัขน้ำลายไหลเมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งอย่างเดียว สรุปได้ว่าการเรียนรู้ของสุนัขเกิด
จากการรู้จักเชื่อมโยงระหว่างเสียงกระดิ่ง ผงเนื้อบดและพฤติกรรมน้ำลายไหล พาฟลอฟ จึงสรุปว่า
การเรียนรู้ของสิ่งมีชีวิตเกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไข (conditioned stimulus) การ
ทดลองของพาฟลอฟ สรปุ เป็นกฎการเรยี นรไู้ ดด้ งั น้ี

ก. ทฤษฎีการเรียนรู้
1. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์เกิดจากการวางเงื่อนไขที่ตอบสนองต่อ

ความตอ้ งการทางธรรมชาติ (สุนขั น้ำลายไหลเม่อื ไดร้ ับผงเนอื้ )
2. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์สามารถเกิดขึ้นได้จากสิ่งเร้าที่เชื่อมโยง

กบั ส่งิ เรา้ ตามธรรมชาติ (สุนัขนำ้ ลายไหลเมื่อไดย้ นิ เสยี งกระดง่ิ )
3. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษยท์ เ่ี กดิ จากสิ่งเร้าทเ่ี ช่ือมโยงกบั สิ่งเร้าตาม

ธรรมชาติจะลดลงเรื่อย ๆ และหยุดลงในที่สุดหากไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติ
(เม่อื สัน่ กระดิง่ โดยไมใ่ ห้ผงเนอื้ ตดิ ๆ กันหลายครงั้ สุนัขจะหยุดนำ้ ลายไหล)

4. พฤติกรรมการตอบสนองของมนุษย์ต่อสิ่งเร้าที่เชื่อมโยงกับสิ่งเร้าตาม
ธรรมชาติจะลดลงและหยุดไปเม่ือไม่ได้รับการตอบสนองตามธรรมชาติและจะกลับปรากฏขึ้นได้อีก
โดยไม่ต้องใช้สิ่งเร้าตามธรรมชาติ (เมื่อผ่านไปช่วงระยะเวลาหนึ่ง สั่นกระดิ่งใหม่โดยไม่ให้ผงเนื้อ
เช่นเดมิ สนุ ัขจะน้ำลายไหลอีก)

5. มนุษย์มีแนวโน้มที่จะรับรู้สิ่งเร้าที่มีลักษณะคล้าย ๆ กันและจะตอบสนอง
เหมือน ๆ กัน (เมื่อสุนัขเรียนรู้โดยมีเสียงกระดิ่งเป็นเงื่อนไขแล้ว ถ้าใช้เสียงนกหวีดหรือระฆังที่คล้าย
เสียงกระด่งิ แทนเสียงกระดงิ่ สุนัขก็จะมนี ้ำลายไหลได)้

6. บุคคลมีแนวโน้มทีจะจำแนกลักษณะของสิ่งเร้าให้แตกต่างกันและเลือก
ตอบสนองได้ถูกต้อง (เมื่อใช้เสียงกระดิ่ง เสียงฉิ่ง เสียงประทัด หรือเสียงอื่นเป็นสิ่งเร้า แต่ให้อาหาร
สนุ ขั พรอ้ มกบั เสยี งกระด่งิ เท่านัน้ สุนัขจะนำ้ ลายไหลเม่ือไดย้ ินเสยี งกระดิ่ง ส่วนเสยี งอนื่ ๆ จะไม่ทำให้
สุนัขน้ำลายไหล)

7. กฎแห่งการลดภาวะ (Law of Extinction) พาฟลอฟ กล่าวว่า ความเข้ม
ของการตอบสนองจะลดลงเรื่อย ๆ หากบุคคลได้รับแต่สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขอย่างเดียว หรือ
ความสมั พนั ธ์ระหว่างสิ่งเร้าท่วี างเง่อื นไขกบั สิง่ เรา้ ท่ไี มว่ างเง่อื นไขหา่ งกนั ออกไปมากขน้ึ

8. กฎแห่งการฟื้นคืนสภาพเดิมตามธรรมชาติ (Law of Spontaneous
Recovery) กล่าวคือ การตอบสนองที่เกิดจากการวางเงื่อนไขลดลง สามารถเกิดขึ้นได้อีก โดยไม่ต้อง
ใช้สงิ่ เร้าทไ่ี ม่วางเง่อื นไขมาเข้าคู่

9. กฎแห่งการถ่ายโยงการเรียนรู้สู่สถานการณ์อื่น (Law of Generalization)
กล่าวคือ เมื่อเกิดการเรียนรู้จากการวางเงือ่ นไขแล้ว หากมีสิ่งเร้าที่คลา้ ย ๆ กับสิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขมา
กระตุ้น อาจทำให้เกิดการตอบสนองท่ีเหมือนกันได้

10. กฎแห่งการจำแนกความแตกต่าง (Law of Discrimination) กล่าวคือ
หากมีการใช้สิ่งเร้าที่วางเงื่อนไขหลายแบบ แต่มีการใช้สิ่งเร้าที่ไม่วางเงื่อนไขเข้าคู่กับสิ่งเร้าที่วาง
เง่ือนไขอย่างใดอย่างหนึ่งเทา่ นั้นกส็ ามารถช่วยให้เกิดการเรียนรู้ไดโ้ ดยสามารถแยกความแตกต่างและ
เลอื กตอบสนองเฉพาะส่ิงเรา้ ทวี่ างเง่อื นไขเทา่ น้ันได้

55

ข. หลักการจดั การศกึ ษา/การสอน
1. การนำความต้องการทางธรรมชาติของครูผู้สอนมาใช้เป็นสิ่งเร้า สามารถ

ช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี ตัวอย่างเช่น ถ้าเด็กชอบเล่นตุ๊กตาสัตว์ ครูควรสอนให้เด็กอ่านและ
เขียนชอ่ื สัตว์ต่าง ๆ โดยใหต้ ุ๊กตาสัตวเ์ ปน็ รางวัล

2. การสอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องใด อาจใช้วิธีเสนอสิ่งที่จะสอนไป
พรอ้ ม ๆ กนั กบั สง่ิ เร้าที่ผู้เรยี นชอบตามธรรมชาติ ตัวอยา่ งเช่น ครูรู้วา่ เด็กชอบฟังนิทาน ครูจึงให้เด็ก
เขยี นคำศพั ทท์ ใี่ ช้ในนทิ านไปพรอ้ ม ๆ กนั กบั การเล่านทิ าน

3. การนำเรื่องที่เคยสอนไปแลว้ มาสอนใหม่ สามารถช่วยให้เด็กเกิดการเรยี นรู้
ตามทตี่ อ้ งการได้

4. การจัดกิจกรรมการเรียนให้ต่อเนื่องและมีลักษณะคล้ายคลึงกัน สามารถ
ช่วยใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ง่ายข้ึน เพราะมีการถา่ ยโยงประสบการณเ์ ดมิ กับประสบการณใ์ หม่

5. การเสนอสิ่งเร้าให้ชัดเจนในการสอน จะสามารถช่วยให้ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรูแ้ ละตอบสนองได้ชดั เจนขึ้น

6. หากต้องการให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมใด ควรมีการใช้สิ่งเร้าหลายแบบ แต่
ต้องมีสิ่งเร้าที่มีการตอบสนองโดยไม่มีเงื่อนไขควบคู่อยู่ด้วย เช่น ถ้าครูต้องการให้ผู้เรียนเขา้ ห้องเรียน
ตรงเวลาและครรู วู้ ่าผู้เรียนต้องการรูค้ ะแนนสอบของตน ครอู าจตง้ั เง่อื นไขว่าจะมีการบอกคะแนนสอบ
ก่อนเรียนหรือจะมีการสอบย่อยเรื่องที่เรียนไปแล้วในตอนต้นชั่วโมงทุกครั้ง ผู้เรียนจะตอบสนองโดย
เข้าเรียนตรงเวลา แต่เง่ือนไขนี้ครูต้องทำอยา่ งสม่ำเสมอและมีเหตุผล ถ้าไม่ทำสม่ำเสมอ อาจเกิดการ
ลดภาวะไดค้ ือ พฤติกรรมการเข้าเรียนตรงเวลาอาจลดลง อย่างไรก็ตาม ตามกฎแห่งการฟื้นคืนสภาพ
พฤติกรรมการการเข้าเรยี นตรงเวลาอาจลดลง สามารถเกิดขึ้นได้อีก นอกจากนั้นตามกฎแห่งการถา่ ย
โยงการเรียนรู้พฤติกรรมตอบสนองคือการเข้าเรียนตรงเวลา สามารถถ่ายโยงไปสู่สถานการณ์อื่นได้
เชน่ ผเู้ รยี นอาจเขา้ เรียนในวิชาอ่ืนที่ครผู ู้นี้สอนด้วยก็ได้

ภาพประกอบ 29 การทดลองของ พาฟลอฟ (Pavlov’s Classical Conditioning)
ทม่ี า (ทฤษฎีการเรียนรู้, 2564)

1.2.2 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบอัตโนมัติของวัตสัน (Watson’s Classical
Conditioning) วัตสัน (Watson) ได้ทำการทดลองโดยให้เด็กคนหนึง่ เล่นกับหนูขาว ก็ทำเสียงดังจน
เด็กตกใจร้องไห้ หลังจากนั้นเด็กก็จะกลัวและร้องไห้เมื่อเห็นหนขู าว ต่อมาทดลองให้นำหนูขาวมาให้

56

เด็กดู โดยแม่จะกอดเด็กไว้จากนั้นเด็กก็จะค่อยๆหายกลัวหนูขาว จาการทดลองดังกล่าว วัตสันสรุป
เป็นกฎการเรียนรไู้ ด้ดงั นี้

ก. ทฤษฎีการเรียนรู้
1. พฤติกรรมเป็นสิ่งที่สามารถควบคุมให้เกิดได้ โดยการควบคุมสิ่งเร้าที่วาง

เงื่อนไขให้สัมพันธ์กับสิ่งเร้าตามธรรมชาติ และการเรียนรู้จะคงทนถาวรหากมีการให้สิ่งเร้าที่สัมพันธ์
กันนัน้ ควบคกู่ ันไปอยา่ งสม่ำเสมอ

2.เม่ือสามารถทำให้เกดิ พฤติกรรมใด ๆ ได้กส็ ามารถลดพฤติกรรมนนั้ ให้หายไป
ได้

ข. หลกั การจดั การศกึ ษา/การสอน
1. ในการสร้างพฤติกรรรมอย่างใดอย่างหนึ่งให้เกิดขึ้นในผู้เรียนควรพิจารณา

สิ่งจูงใจหรือสิ่งเร้าที่เหมาะสมกับภูมิหลังและความต้องการของผู้เรียนมาใช้เป็นสิ่งเร้าควบคู่ไปกับสิ่ง
เร้าที่วางเงื่อนไข เช่น ถ้าตอ้ งการใหเ้ ด็กตอบคำถามครู ครูควรตัง้ คำถามให้เด็กตอบโดยแสดงท่าทางท่ี
ใหค้ วามอบอ่นุ และให้กำลงั ใจแกเ่ ด็ก จะทำให้เด็กเกิดความมั่นใจในการตอบคำถามและถา้ ครูใชว้ ธิ ีการ
นีซ้ ำ้ ๆ อยา่ งสม่ำเสมอ เด็กจะเกดิ การเรียนรแู้ ละมีความคงทนในการแสดงพฤติกรม

2. การลบพฤติกรรรมที่ไม่พึงปรารถนา สามารถทำได้โดยหาสิ่งเร้าตาม
ธรรมชาตทิ ี่ไม่ไดว้ างเงือ่ นไขมาช่วย เชน่ หากผูเ้ รียนไมช่ อบทำการบา้ นคณิตศาสตร์ครูอาจใช้ความเป็น
มิตร เป็นกันเอง ให้ความดแู ล เอาใจใส่และให้ความชว่ ยเหลืออย่างใกล้ชิดส่ิงเร้าเหลา่ นี้ตามธรรมชาติ
เหล่านส้ี ามารถช่วยเปลี่ยนพฤติกรรรมได้

ภาพประกอบ 30 การทดลองของวตั สนั (Watson’s Classical Conditioning)
ทม่ี า (ทฤษฎกี ารเรยี นรู้, 2564)

1.2.3 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบต่อเนื่อง ( Guthrie’s Contiguous
Conditioning theory) Guthrie (1886-1959) ได้ทำการทดลองโดยปล่อยแมวที่หวิ จัดเข้าไปใน
กล่องปัญหามีเสาเล็กๆ ตรงกลาง มีกระจกที่ประตูทางออก มีปลาแซลมอนวางไว้นอกกล่อง เสาใน
กล่องเปน็ กลไกเปิดประตู แมวบางตวั ใช้แบบแผนการกระทำหลายแบบเพอ่ื จะออกจากกล่อง แมวบาง

57

ตัวใช้วิธีเดียว กัทธรี อธิบายว่า แมวใช้การกระทำครั้งสุดท้ายที่ประสบผลสำเร็จเป็นแบบแผนยึดไว้
สำหรับการแก้ปัญหาครั้งต่อไป และการเรียนรู้เมื่อเกิดขึ้นแล้วแม้เพียงครั้งเดียวก็นับได้ว่าเรียนรู้แล้ว
ไมจ่ ำเป็นตอ้ งทำซำ้ อกี กฎการเรียนรู้ของกัทธรี สรุปได้ดงั น้ี

ก. ทฤษฎีการเรยี นรู้
1. กฎแห่งความต่อเนื่อง (Law of Contiguity) เมื่อมีกลุ่มสิ่งเร้ากลุ่มใด

กลุ่มหนึ่งมากระตุ้นจะก่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของร่างกายอย่างใดอย่างหนึ่งขึ้น และเม่ือกลุ่มสิ่งเร้า
เดมิ กลับมาปรากฎอกี อาการเคล่อื นไหวอย่างเกา่ ก็จะเกดิ ขึ้นอีก พฤติกรรมทก่ี ระทำซ้ำน้ันไม่ใชเ่ กิดจาก
การเชื่อมโยงระหว่างสิ่งเร้ากับการตอบสนอง แต่เกิดจากการที่กลุ่มสิ่งเร้าที่ก่อให้เกิดพฤติกรรมแบบ
เกา่ น้ันกลบั มาอีก

2. การเรียนรู้เกิดขึ้นได้แม้เพียงครั้งเดียว (One trial learning)สนอง
ออกมา ถ้าเกิดการเรียนรู้ขึ้นแล้วแม้เพียงครั้งเดียว ก็นับว่าได้เรียนรู้แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำซ้ำอีก
หรอื ไม่จำเปน็ ต้องฝึกซำ้ อกี

3. กฎของการกระทำครั้งสุดท้าย (Low of Recency ) หากการเรียนรู้
เกดิ ขนึ้ อยา่ งสมบูรณ์แล้ว ในสภาพการณใ์ ดสภาพการณห์ น่ึง เม่ือมีสภาพการณ์ใหมเ่ กดิ ข้ึน บุคคคลจะ
กระทำเหมือนท่เี คยได้กระทำในคร้งั สุดท้ายท่ีก่อให้เกิดการเรยี นรนู้ น้ั ไมว่ ่าจะผดิ หรือถูกกต็ าม

4. หลักการจูงใจ (Motivation) การเรียนรู้เกิดจาการจูงใจมากกว่าการ
เสริมแรง

ข. หลักการจดั การศึกษา/การสอน
1. ขณะสอนครูควรสังเกตการกระทำหรือการเคลื่อนไหวของนักเรียนว่ากำลัง

เกย่ี วพนั กบั สิ่งเรา้ ใด ถ้าครูใหส้ ง่ิ เรา้ ทีเ่ ก่ยี วพนั กบั การเคล่อื นไหวน้ันน้อยกว่าก็จะไมส่ ามารถเปล่ียนการ
กระทำของเด็กได้ เช่น ถ้าเด็กกำลังเอะอะวุ่นวายไร้ระเบียบ ครูจะพูดหรือสอนขณะนัน้ ก็ไมม่ ีผล ต้อง
คอยใหเ้ ขาสงบเสยี ก่อน

2. ในการสอน ควรวเิ คราะห์งานอกเป็นส่วนย่อย ๆ และสอนส่วนยอ่ ยเหล่านั้น
ให้เด็กสามารถตอบสนองอย่างถูกต้องจริง ๆ หรือได้รับการเรียนรู้ที่ถูกต้องในทุก ๆ หน่วย เช่น
การสอนให้นักรเยนกรองสร ตอ้ งวเิ คราะหว์ ่าการกรองสรจะตอ้ งมีทักษะย่อย ๆ อะไรบ้าง แต่ละทักษะ
ตอ่ เนอ่ื งกันอย่างไร และสอนหรือฝึกจนนักเรียนทำได้ถูกต้อง

3. ในการจบบทเรียน ไม่ควรปล่อยให้นักเรียนจบการเรียนโดยได้รับคำตอบ
ผิดๆหรือแสดงอาการตอบสนองผิดๆ เพราะเขาจะเก็บการกระทำคร้ังสุดทา้ ยไว้ในความทรงจำ ใช้เป็น
แบบแผนในการทำจนเป็นนิสัย

4. การสร้างแรงจูงใจให้เกิดกับผู้เรียนเป็นสิ่งสำคัญช่วยให้ผู้เรียนประสบ
ความสำเรจ็ ในการเรยี นรู้ ในการสอนจึงควรมกี ารจงู ใจผู้เรียน

58

ภาพประกอบ 31 การทดลองของกัทธรี (Guthrie’s Contiguous Conditioning theory)
ทมี่ า (ทฤษฎีการเรียนรู้, 2564)

1.2.4 ทฤษฎีการวางเงื่อนไขแบบโอเปอร์แรนต์ของสกินเนอร์ (Skinner’s
Operant Conditioning) เนน้ การเสรมิ แรงหรอื ให้รางวลั สรปุ แนวคดิ ตามทฤษฎนี ไี้ ดว้ ่า การกระทำ
ใดๆ ถา้ ได้รับการเสริมแรงจะมีแนวโน้มท่ีจะเกิดขน้ึ อีก การเสรมิ แรงทแี่ ปรเปล่ียนทำให้การตอบสนอง
คงทนกว่าการเสริมแรงที่ตายตัว การจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้จึงเน้นที่การเสนอ
สิ่งเร้าในการเรียนการสอน การจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง มีการแสริมแรงหรือให้รางวัลเพื่อให้ผู้เรียน
เกดิ ความพงึ พอใจทีจ่ ะเรยี นรูส้ กนิ เนอร์ (Skinner) ได้ทำการทดลอง ซึง่ สามารถสรปุ เปน็ กฎการเรียนรู้
ได้ดงั นี้

ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้
1. การกระทำใด ๆ ถา้ ไดร้ ับการเสริมแรง จะมแี นวโน้มทจ่ี ะเกิดขึ้นอีก ส่วน

การกระทำที่ไม่มีการเสริมแรง แนวโน้มที่ความถี่ของการกระทำนั้นจะลดลงและหายไปในที่สุด
(จากการทดลองโดยนำหนทู ี่หิวจัดใส่กล่อง ภายใจมีคานบังคบั ให้อาหารตกลงไปในกล่องได้ ตอนแรก
หนูจะวิ่งชนโน่นชนนี่ เมื่อชนคานจะมีอาหารตกมาให้กิน ทำหลายๆครั้งพบว่าหนูจะกดคานทำให้
อาหารตกลงไปได้เร็วขน้ึ )

2. การเสริมแรงที่แปรเลี่ยนทำให้การตอบสนองคงทนกว่าการเสริมแรงท่ี
ตายตัว (จากการทดลองโดยเปรียบเทียบหนูที่หิวจัด 2 ตัว ตัวหนึ่งกดคานจะได้อาหารทุกครั้ง อีกตัว
หนึ่งเมื่อกดคาน บางทีก็ได้อาหาร บางทีก็ไม่ได้อาหารแล้วหยุดให้อาหารตัวแรกจะเลิกกดคานทันที
ตวั ท่ี 2 จะยงั กดตอ่ ไปอกี นานกว่าตวั แรก)

3.การลงโทษทำให้เรียนรู้ได้เร็วและลืมเร็ว (จากการทดลองโดยนำหนูที่หิว
จัดใส่กรงแล้วช็อตด้วยไฟฟ้า หนูจะวิ่งพล่านจนออกมาได้ เมื่อจับหนูใส่เข้าไปใหม่มันจะวิ่งพล่านอีก
จำไม่ได้วา่ ทางไหนคอื ทางออก)

4.การให้แรงเสริมหรือให้รางวัลเมื่ออินทรีย์กระทำพฤติกรรมที่ต้องการ
สมารถช่วยปรับหรอื ปลูกฝังนสิ ยั ท่ีต้องการได้ (จาการทดลองโดยสอนให้หนเุ ล่นบาสเกตบอล เริ่มจาก
การให้อาหารเมื่อหนูจับลูกบาสเกตบอล จากนั้นเมื่อมันโยนจึงให้อาหารต่อมาเมื่อโยนสูงขึ้นจึงให้
อาหาร ในทส่ี ดุ ต้องโยนเข้าห่วงจึงให้อาหาร การทดลองน้เี ปน็ การกำหนดให้หนูแสดงพฤติกรรมตามที่
ตอ้ งการก่อนจงึ ใหแ้ รงเสริม วิธีนี้สามารถดดั นสิ ัยหรือปรบั เปลย่ี นพฤตกิ รรมได้)

59

ข. หลกั การจดั การศึกษา/การสอน
1.ในการสอนการให้เสริมแรงหลังการตอบสนอง ที่เหมาะสมของเด็กจะช่วย

เพิม่ อตั ราการตอบสนองท่ีเหมาะสมนัน้
2.การเว้นระยะการเสริมแรงอย่างไม่เป็นระบบ หรือเปลี่ยนรูปแบบการ

เสริมแรงจะช่วยให้การตอบสนองของผู้เรียนคงทนถาวร เช่น ถ้าครูชมว่า “ดี” ทุกครั้งที่นักเรียนตอบ
ถูกอย่างสม่ำเสมอ นกั เรยี นจะเห็นความสำคัญของแรงเสรมิ น้อยลง ครคู วรเปลี่ยนแปลงแรงเสริมแบบ
อื่นบ้าง เชน่ ย้ิม พยักหน้าหรือบางครง้ั อาจไม่ให้แรงเสรมิ

3.การลงโทษที่รุนแรงเกินไปมีผลเสียมาก ผู้เรียนอาจไม่ได้เรียนรู้หรือจำสิ่งท่ี
เรียนได้เลย ควรใช้วีการงดการเสริมแรงเมื่อนักเรียนมีพฤติกรรมไม่พึงประสงค์ เช่น เมื่อนักเรียนใช้
ถ้อยคำไม่สุภาพ แม้ได้บอกและตักเตือนแล้วก็ยังใช้อีก ครูควรงดการตอบสนองต่อพฤติกรรมน้ัน
เมอื่ ไมม่ ใี ครตอบสนอง ผู้เรียนจะหยุดพฤติกรมนัน้ ในที่สดุ

4.หากต้องการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมหรือปลูกฝงั นิสยั ใหแ้ กผ่ เู้ รียนการแยกแยะ
ขั้นตอนของปฏิกิริยาตอบสนองออกเป็นลำดับขั้น โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับความสามารถของ
ผู้เรียน เช่น หากต้องการปลูกฝังนสิ ัยในการรักษาความสะอาดห้องปฏิบัติการและเครื่องมือ ส่ิงสำคัญ
ประการแรกคือ ต้องนำพฤติกรรมที่ต้องการจำแนกเป็นพฤติกรรมย่อยให้ชัดเจน เช่น การเก็บ
การกวาด การเช็ดถู การล้าง การจัดเรียง เป็นต้น ต่อไปจึงพิจารณาแรงเสริมที่จะให้แก่ผู้เรียน เช่น
คะแนน คำชมเชย การให้เกียรติ การให้โอกาสแสดงตัว เป็นต้น เมื่อนักเรียนแสดงพฤติกรรมที่พึง
ประสงค์กใ็ หก้ ารเสรมิ แรงท่เี หมาะสมในทนั ที

ภาพประกอบ 32 การทดลองของสกินเนอร(์ Skinner’s Operant Conditioning)
ที่มา (ทฤษฎกี ารเรยี นรู้, 2564)

1.3. ทฤษฎีการเรยี นรูข้ องฮัลล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory)
ฮัลล์ (Hull) ได้ทำการทดลองโดยฝึกหนูให้กดคาน โดยแบ่งหนูเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละ

กลุ่มอดอาหาร 24 ชั่วโมงและแต่ละกลุ่มมีแบบแผนในการเสริมแรงแบบตายตัวต่างกัน บางกลุ่มกด
คาน 5 ครั้ง จึงได้อาหาร ไปจนถึงกลุ่มที่กด 90 ครั้ง จึงได้อาหารและอีกพวกหนึ่ง ทดลองแบบ
เดียวกัน แต่อดอาหารเพียง 3 ชั่วโมง ผลปรากฏว่ายิ่งอดอาหารมากคือมีแรงขับมาก จะมีผลให้เกิด
การเปลี่ยนแปลงความเข้มของนิสัย กล่าวคือจะทำให้การเชื่อมโยงระหว่างอวัยวะรับสัมผัส
(receptor) กับอวัยวะแสดงออก (effector) เข้มแข็งขึ้น ดังนั้นเมื่อหนูหิวมากจึงมีพฤติกรรมกดคาน
เรว็ ข้ึน

60

ก. ทฤษฎกี ารเรียนรู้
1. กฎแห่งสมรรถภาพในการตอบสนอง (Law of Reactive In Hibition)

กล่าวคอื ถ้ารา่ งกายเมอ่ื ยลา้ การเรียนรจู้ ะลดลง
2. กฎแห่งการลำดับกลุ่มนิสัย (Law of Habit Hierachy) เมื่อมีสิ่งเล้ามา

กระตุ้น แต่ละคนจะมีการตอบสนองต่าง ๆ กัน ในระยะแรกการแสดงออกมีลักษณะง่าย ๆ ต่อเม่ือ
เรียนรูม้ ากขึ้น ก็สามารถเลือกแสดงการตอบสนองในระดบั ท่สี งู ขน้ึ หรือถูกตอ้ งตามมาตรฐานของสงั คม

3. กฎแห่งการใกล้บรรลุเป้าหมาย (Goal Gradient Hypothesis) เมื่อผู้เรียน
ย่งิ ใกล้บรรลุเป้าหมายมากเท่าใดจะมีสมรรถภาพในการตอบสนองมากข้ึนเท่านั้น การเสริมแรงท่ีให้ใน
เวลาใกลเ้ ป้าหมายจะชว่ ยทำใหเ้ กดิ การเรียนรไู้ ด้ดที ่ีสดุ

ข. หลกั การจัดการศกึ ษา/การสอน
1. ในการจัดการเรียนการสอน ควรคำนึงถึงความพร้อม ความสามารถและ

เวลาทผ่ี ้เู รยี นจะเรียนได้ดีทส่ี ดุ
2. ผู้เรียนมีระดับของการแสดงออกไม่เท่ากัน ในการจัดการเรียนการสอน

ควรใหท้ างเลือกที่หลากหลาย เพือ่ ผูเ้ รยี นจะได้ตอบสนองตามระดับความสามารถของตน
3. การให้เสริมแรงในชว่ งท่ีใกล้เคียงกับเป้าหมายมากท่สี ุด จะช่วยทำให้ผู้เรียน

เกิดการเรยี นรู้ได้ดี
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม(Behaviorism) นักคิดในกลุ่มนี้มองธรรมชาติ

ของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง คือ ไม่ดี–ไม่เลว การกระทำต่างของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของ
สิ่งแวดล้อมภายนอก พฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า(stimulus response)
การเรยี นรู้เกดิ จากการเชอื่ มโยงระหวา่ งสง่ิ เร้าและการตอบสนอง กลมุ่ พฤตกิ รรมนยิ มใหค้ วามสนใจกับ
”พฤติกรรม” มากเพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เหน็ ได้ชัด สามารถวัดและทดสอบได้ มีแนวคิดสำคญั ๆ 3
แนวด้วยกัน คือ ทฤษฎีการเชื่อมโยง (Classical Connectionism) ทฤษฎีการวางเงื่อนไข
(Conditioning Theory) และ3.ทฤษฎกี ารเรยี นรขู้ องฮลั ล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory)

2. หลกั การสอนตามแนวคดิ ของนักจิตวิทยากลุม่ พทุ ธิปัญญานยิ ม (Cognitivism)
ทฤษฎีเน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของสมอง

นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของพฤติกรรมที่เกิ ดจากกระบวนการ
ตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพียงเท่านั้น การเรียนรู้ของมนุษย์มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้น การเรียนรู้เป็น
กระบวนการทางความคิดท่ีเกดิ จากการสะสมข้อมูล การสร้างความหมายและความสัมพันธ์ของข้อมูล
และการดึงข้อมูลออกมาใช้ในการกระทำและการแก้ปัญหาต่าง ๆ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทาง
สติปัญญาของมนุษย์ในการที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้แก่ตนเอง ทฤษฎีในกลุ่มนี้ที่สำคัญๆ
มี 5 ทฤษฎี คอื

2.1 ทฤษฎีเกสตลั ท์ (Gestalt Theory) แนวความคดิ เกยี่ วกับการเรียนรู้ของทฤษฎี
นี้ คือ การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคิดซึ่งเป็นกระบวนการภายในตัวมนุษย์ บุคคลจะเรียนรู้
จากสิ่งเร้าที่เป็นส่วนรวมได้ดีกว่าส่วนย่อย หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้จะเน้น
กระบวนการคิด การสอนโดยเสนอภาพรวมก่อนการเสนอส่วนย่อย ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีประสบการณ์

61

มากและหลากหลายซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนสามรถคิดแก้ปัญหา คิดริเริ่มและเกิดการเรยี นรู้แบบหยั่งเห็น
ได้

ประยุกตใ์ ช้ในการเรยี นการสอน
1. ในการสอนครูควรจะให้ผู้เรียนมองเห็นโครงสร้าง ทั้งหมดของเรื่องที่จะสอน

ก่อน เพอื่ ให้เด็กเกดิ การรับรู้ เป็นสว่ นรวม แลว้ จึงแยกสว่ นออกมาสอนเปน็ ตอนๆ
2. เน้นใหผ้ เู้ รียนเรยี นดว้ ยความเข้าใจมากกวา่ เน้นการเรียน แบบท่องจำ การเรียน

ด้วยความเข้าใจต้องอาศัยส่ือทีช่ ัดเจนประกอบการเรียนและตอ้ งเรยี นด้วยการปฏิบัติจริง หรือผู้เรยี น
ลงมอื กระทำเอง (Learning by Doing )

3. ฝึกให้ผู้เรียนสามารถโยงความสัมพันธ์ระหว่างความรู้ ที่เรียนไปแล้วกับความรู้
ใหม่ว่ามีความแตกต่าง และคลา้ ยคลงึ กนั อยา่ งไรเพือ่ ชว่ ยให้จำได้นาน

4. นำแนวคิดของทฤษฎีนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ ว่าควรทำความเข้าใจโดย
มองปญั หาทุกแง่ทุกมมุ ไม่ควรมองปญั หาโดยมอี คติ และใชค้ วามคิดอย่างมเี หตมุ ีผลในการแก้ปญั หา

5. นำไปใช้ในการทำความเข้าใจบุคคลว่า ควรมองเขาในภาพรวม (The Whole
Person) คือ การศึกษาคุณลักษณะต่าง ๆ ของบุคคลกับความมีเหตุผล ไม่ตัดสินความดีความชั่ว
ของบุคคล โดยมองด้านใดด้านหน่ึงของเขาเท่าน้นั

6. นำไปใช้ในการทำความเข้าใจบุคคลว่า ควรมองเขาในภาพรวม (The Whole
Person ) คือ การศึกษาคุณลักษณะต่าง ๆ ของบุคคลกับความมีเหตุผล ไม่ตัดสินความดีความชั่ว
ของบุคคล โดยมองดา้ นใดด้านหนึ่งของเขาเท่านัน้

2.2 ทฤษฎีสนามของเลวิน (Lewin's Field Theory) Kurt Lewin นักจิตวิทยา
ชาวเยอรมัน (1890-1947) มีแนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้เช่นเดียวกับกลุ่มเกสตัลท์ ที่ว่าการเรียนรู้
เกิดข้ึนจากการจัดกระบวนการรับรู้ และกระบวนการคิดเพื่อการแก้ไขปญั หาแต่เขาได้นำเอาหลักการ
ทางวิทยาศาสตร์มาร่วมอธิบายพฤติกรรมมนุษย์ เขาเชื่อว่าพฤติกรรมมนุษย์แสดงออกมาอย่างมีพลัง
และทิศทาง (Field of Force) สิ่งที่อยู่ในความสนใจและต้องการจะมีพลังเป็นบวก ซึ่งเขาเรียกว่า
Life space สิง่ ใดทอ่ี ยนู่ อกเหนือความสนใจจะมพี ลงั เปน็ ลบ

Lewin ก ำ ห น ด ว ่ า ส ิ ่ ง แ ว ด ล ้ อ ม ร อ บ ต ั ว ม น ุ ษ ย ์ จ ะ ม ี 2 ช น ิ ด คื อ
1. ส่งิ แวดล้อมทางกายภาพ (Physical environment)
2. ส่ิงแวดลอ้ มทางจติ วทิ ยา (Psychological environment) เป็นโลกแหง่ การรบั รู้
ตามประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งอาจจะเหมือนหรือแตกต่างกับสภาพที่สังเกตเห็นโลก หมายถึง
Life space นั่นเอง Life space ของบุคคลเป็นสิ่งเฉพาะตัว ความสำคัญที่มีต่อการจัดการเรียนการ
สอน คอื ครตู ้องหาวธิ ที าใหต้ ัวครูเข้าไปอยูใ่ น Life space ของผู้เรยี นให้ได้
ประยกุ ต์ใช้ในการเรียนการสอน

1. ครูควรสร้างบรรยากาศการเรียนที่เป็นกันเอง และมีอิสระที่จะให้ผู้เรียนแสดง
ความคิดเห็นอย่างเต็มที่ทั้งที่ถูกและผิด เพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นความสัมพันธ์ของข้อมูล และเกิดการ
หย่งั เหน็

2. เปดิ โอกาสให้มกี ารอภิปรายในชัน้ เรียน โดยใชแ้ นวทางต่อไปนี้
2.1 เน้นความแตกตา่ ง

62

2.2 กระตุ้นให้มกี ารเดาและหาเหตุผล
2.3 กระตุ้นใหท้ ุกคนมสี ่วนร่วม
2.4 กระตุน้ ให้ใชค้ วามคิดอย่างรอบคอบ
2.5 กำหนดขอบเขตไม่ใหอ้ ภิปรายออกนอกประเดน็
3. การกำหนดบทเรียนควรมีโครงสร้างที่มีระบบเป็นขั้นตอน เนื้อหามีความ
สอดคล้องตอ่ เน่อื งกัน
4. คำนึงถึงเจตคติและความรู้สึกของผู้เรียน พยายามจัดกิจกรรมที่กระตุ้นความ
สนใจของผูเ้ รยี นมเี น้ือหาท่ีเปน็ ประโยชน์ ผเู้ รยี นนำไปใช้ประโยชน์ได้ และควรจัดโอกาสให้ผู้เรียนรู้สึก
ประสบความสำเร็จด้วย
5. บุคลิกภาพของครูและความสามารถในการถ่ายทอด จะเป็นสิ่งจงู ใจให้ผูเ้ รียนมี
ความศรทั ธาและครจู ะสามารถเขา้ ไปอยูใ่ น Life space ของผเู้ รยี นได้
2.3 ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) แนวความคิด
เกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฎีนี้คือ ทฤษฎีการเรียนรู้ตามทฤษฎีเครื่องหมายและการประยุกต์ใช้ดังนี้
แนวคดิ หลักของทฤษฎนี ี้คือ การเรียนรเู้ กิดจากการใชเ้ ครื่องหมายเป็นตวั ช้ีทางให้แสดงพฤติกรรมไปสู่
จดุ หมายปลายทาง ในการเรียนรสู้ ง่ิ ต่าง ๆ ผเู้ รยี นมคี วามคาดหมายรางวัล ท่ีคาดวา่ จะไดร้ ับไม่ตรงตาม
ความพอใจและความต้องการ ผู้เรียนจะพยายามแสวงหารางวัลหรือสิ่งที่ต้องการต่อไป และสิ่งอื่น ๆ
ที่เป็นเครื่องชี้ทางตามไปด้วย โดยจะปรับการเรียนรู้ไปตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป จะไม่กระทำซ้ำ
ในทางที่ไม่สามารถสนองความต้องการหรือวัตถุประสงค์ของตนซึ่งการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นในบุคคลหนึ่ง
นั้น บางครั้งอาจจะไม่แสดงออกทันที อาจจะแฝงในตัวผู้เรียนก่อน และเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสมหรือ
จำเปน็ กจ็ ะแสดงออก
ประยุกตใ์ ชใ้ นการเรียนการสอน
1. ผู้สอนควรสร้างแรงขับ และ/หรือ แรงจูงใจให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนโดยมีการ
กระตนุ้ ใหผ้ เู้ รยี นพยายามไปใหถ้ ึงจดุ หมายท่ีต้องการ
2. ผู้สอนควรให้เคร่ืองหมาย สัญลักษณ์ หรือสิ่งอ่ืน ๆ ที่เป็นเครื่องชีท้ างควบคู่
ไปด้วยเพ่ือให้ผู้เรยี นบรรลุจุดหมายทก่ี ำหนดไว้
3. ผู้สอนควรปรับเปลี่ยนสถานการณ์การเรียนรู้ซึ่งจะเป็นส่วนช่วยให้ผู้เรียน
ปรับเปลย่ี นพฤติกรรมของตนได้
4. ผู้สอนควรมีการใช้วธิ ีการทดสอบหลายๆ วิธี ทดสอบบอ่ ย ๆ หรอื ติดตามผล
ระยะยาว ซงึ่ จะชว่ ยให้ผ้เู รียนได้แสดงสิง่ ทเ่ี รียนรู้ออกมาได้
2.4 ทฤษฎพี ฒั นาการทางสตปิ ัญญา (Intellectual Development Theory)
นักคิดคนสำคัญของทฤษฎีนี้มีอยู่ 2 ท่าน ได้แก่ เพียเจต์ (Piaget) และบรุนเนอร์
(Bruner) แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฎีน้ีเน้นเรื่องพัฒนาการทางสติปัญญาของบุคคลที่
เป็นไปตามวัยและเชื่อว่ามนุษย์เลือกที่จะรับรู้สิง่ ที่ตนเองสนใจและการเรียนรู้เกิดจากระบวนการการ
ค้นพบด้วยตนเอง หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีน้ี คือ คำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญา
ของผู้เรียนและจัดประสบการณ์ให้ผู้เรยี นอย่างเหมาะสมกับพัฒนาการนั้น ให้ผูเ้ รียนได้มปี ระสบการณ์

63

และมีปฏิสัมพันธก์ บั สิ่งแวดล้อมมาก ๆ ควรเดก็ ได้คน้ พบการเรียนรูด้ ้วยตนเอง ส่งเสรมิ ให้ผู้เรียนได้คิด
อยา่ งอิสระและสอนการคิดแบบรวบยอดเพ่ือชว่ ยสง่ เสริมความคิดสร้างสรรค์ของผเู้ รยี น

ประยุกต์ใชใ้ นการเรยี นการสอน
เมื่อทำงานกับนักเรียน ผู้สอนควรคำนึงถึงพัฒนาการทางสติปัญญาของ

นกั เรียนดงั ต่อไปน้ี
1. นักเรียนที่มีอายุเท่ากันอาจมีขั้นพัฒนาการทางสติปัญญาที่แตกต่างกัน

ดังนัน้ จงึ ไมค่ วรเปรียบเทียบเด็ก ควรให้เด็กมีอิสระที่จะเรยี นรู้และพฒั นาความสามารถของเขาไปตาม
ระดับพฒั นาการของเขา นกั เรียนแต่ละคนจะได้รบั ประสบการณ์ 2 แบบคอื

2. ประสบการณ์ทางกายภาพ (physical experiences) จะเกิดขึ้นเมื่อ
นักเรียนแต่ละคนได้ปฏิสัมพันธ์กับวัตถุต่าง ในสภาพแวดล้อมโดยตรง ประสบการณ์ทางตรรกศาสตร์
(Logical experiences) จะเกิดขน้ึ เม่ือนักเรยี นได้พัฒนาโครงสรา้ งทางสติปญั ญาให้ความคิดรวบยอด
ที่เปน็ นามธรรม

3. หลักสูตรที่สร้างขึ้นบนพื้นฐานทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญาของ
เพยี เจต์ ควรมีลกั ษณะดงั ต่อไปน้ีคือ

1) เนน้ พัฒนาการทางสตปิ ัญญาของผเู้ รียนโดยต้องเน้นใหน้ ักเรียน
ใชศ้ ักยภาพของตนเองให้มากท่ีสดุ

2) เสนอการเรยี นการเสนอทีใ่ หผ้ เู้ รียนพบกบั ความแปลกใหม่
3) เนน้ การเรียนร้ตู อ้ งอาศยั กิจกรรมการคน้ พบ
4) เนน้ กจิ กรรมการสำรวจและการเพมิ่ ขยายความคดิ ในระหว่าง
การเรยี นการสอน
5) ใช้กิจกรรมขดั แยง้ (cognitive conflict activities) โดยการ
รับฟังความคดิ เหน็ ของผอู้ น่ื นอกเหนอื จากความคดิ เหน็ ของตนเอง
4. การสอนที่ส่งเสริมพัฒนาการทางสติปัญญาของผู้เรียนควรดำเนินการ
ดงั ตอ่ ไปนี้
1) ถามคำถามมากกว่าการให้คำตอบ
2) ครผู ูส้ อนควรจะพดู ใหน้ อ้ ยลง และฟังให้มากขึน้
3) ควรให้เสรีภาพแกน่ ักเรยี นท่ีจะเลอื กเรียนกจิ กรรมต่าง ๆ
4) เม่ือนกั เรียนให้เหตผุ ลผดิ ควรถามคำถามหรือจัดประสบการณ์
ใหน้ กั เรียนใหม่ เพอ่ื นกั เรยี นจะได้แก้ไขข้อผดิ พลาดด้วยตนเอง
5) ช้ีระดบั พัฒนาการทางสติปัญญาของนักเรยี นจากงาน
พัฒนาการทางสตปิ ญั ญาขัน้ นามธรรมหรือจากงานการอนรุ ักษ์ เพื่อดวู ่านกั เรียนคดิ อย่างไร
6) ยอมรบั ความจริงที่ว่า นักเรยี นแตล่ ะคนมอี ัตราพัฒนาการทาง
สตปิ ญั ญาท่แี ตกตา่ งกัน
7) ผ้สู อนตอ้ งเข้าใจวา่ นกั เรยี นมีความสามารถเพิม่ ขน้ึ ในระดบั
ความคดิ ขัน้ ตอ่ ไป
8) ตระหนกั วา่ การเรยี นรทู้ ีเ่ กดิ ขนึ้ เพราะจดจำมากกว่าท่ีจะเข้าใจ

64

เปน็ การเรยี นรทู้ ไี่ ม่แทจ้ ริง (pseudo learning)
5. ในขัน้ ประเมินผล ควรดำเนินการสอนตอ่ ไปน้ี
1) มีการทดสอบแบบการใหเ้ หตุผลของนักเรยี น
2) พยายามให้นกั เรยี นแสดงเหตุผลในการตอนคำถามนั้น ๆ
3) ต้องช่วยเหลือนกั เรยี นทีมพี ฒั นาการทางสตปิ ัญญาต่ำกวา่ เพ่ือ

รว่ มชน้ั
2.5 ทฤษฎีการเรยี นร้อู ย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal

Learning) ของออซเู บล (Ausubel)
ออซูเบล (Ausubel) เชื่อว่า การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้

นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้ คือ มีการ
นำเสนอความคดิ รวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์ หรือกรอบแนวคิดในเรอ่ื งใดเร่ืองหน่ึงแกผ่ ู้เรียนก่อนการ
สอนเนื้อหาสาระนั้น ๆ จะชว่ ยให้ผ้เู รยี นได้เรยี นเนอ้ื หาสาระนัน้ อย่างมคี วามหมาย

Ausubel (1963) กล่าวว่าการเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้
นั้นสามารถเชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีน้ี คือ มีการ
นำเสนอความคดิ รวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์ หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผ้เู รยี นก่อนการ
สอนเนอื้ หาสาระนน้ั ๆ จะชว่ ยให้ผ้เู รยี นได้เรยี นเน้ือหาสาระน้นั อย่างมีความหมาย

ออซเู บล ระบุวา่ การเรียนรอู้ ยา่ งมีความหมายขน้ึ อยู่กับตัวแปร 3 อยา่ ง ดงั ตอ่ ไปนี้
1. ส่ิง (Materials) ที่จะต้องเรียนรู้จะต้องมีความหมาย ซึ่งหมายความว่า

จะต้องเป็นสิ่งที่มี ความสัมพันธ์กับสิ่งที่เคยเรียนรู้และเก็บไว้ในโครงสร้างพุทธิปัญญา (cognitive
structure)

2. ผู้เรียนจะต้องมีประสบการณ์ และมีความคิดที่จะเชื่อมโยงหรือจัดกลุม่ สิ่งท่ี
เรียนรใู้ หมใ่ ห้สมั พนั ธก์ ับ ความรู้หรือส่ิงท่เี รียนรู้เกา่

3. ความตั้งใจของผู้เรียนและการที่ผู้เรียนมีความรู้-คิดที่จะเชื่อมโยงสิ่งที่
เรียนรู้ใหม่ให้มีความสัมพันธ์กับโครงสร้างพุทธิปัญญา (Cognitive Structure) ที่อยู่ในความทรงจำ
แล้ว

ประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
การเรียนรู้ทีผ่ ้เู รียนได้รบั มาจากการท่ผี ู้สอนอธบิ ายสง่ิ ทจ่ี ะตอ้ ง เรียนรู้ให้ฟังและ

ผู้เรียนรับฟังด้วยความเข้าใจ โดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์กับโครงสร้าง พุทธิปัญญาที่ได้เก็บไว้ใน
ความทรงจำ และจะสามารถนำมาใช้ในอนาคต ใช้วิธีการสอนโดยสร้างการเชื่อมช่องว่างระหว่าง
ความรู้ที่ผู้เรียนไดร้ ู้แล้ว (ความรู้เดมิ ) กับความรู้ใหม่ท่ีได้รบั ที่จำเป็นจะต้องเรียนรู้ เพื่อผู้เรียนจะไดม้ ี
ความเข้าใจเนอื้ หาใหม่ได้ดีและจดจำได้ดขี น้ึ โดยมขี น้ั ตอนดงั นี้

1. การจัด เรียบเรียง ข้อมูลข่าวสารที่ต้องการให้เรียนรู้ ออกเป็นหมวดหมู่
หรือ

2. นำเสนอกรอบ หลกั การกว้างๆ ก่อนท่ีจะใหเ้ รยี นรใู้ นเรอ่ื งใหม่ หรอื
3. แบ่งบทเรียนเป็นหัวข้อที่สำคัญ และบอกให้ทราบเกี่ยวกับหัวข้อสำคัญ
ทีเ่ ป็นความคิดรวบยอดใหมท่ จ่ี ะตอ้ งเรียน

65

4. ผู้สอนอธิบายสิ่งที่จะต้อง เรียนรู้ให้ผู้เรียนรับฟังด้วยความเข้าใจ
โดยผู้เรียนเห็นความสัมพันธ์กับโครงสร้าง พุทธิปัญญาที่ได้เก็บไว้ในความทรงจำ และจะสามารถ
นำมาใช้ในอนาคต ในขั้นตอนนี้ ผู้สอนควรสอดแทรกเทคนิคกิจกรรมที่เหมาะสมนอกเหนือจากการ
อธิบาย เช่น การใช้เกม การทายปัญหา การให้ผู้เรียนตั้งคำถาม การสาธิต การแสดงสถานการณ์
จำลอง เป็นต้น

5. นอกจากน้ี อาจนำแนวคิดของทฤษฎีนี้ไปใช้ในการแก้ปัญหาต่าง ๆ
ว่าควรทำความเข้าใจโดยมองปัญหาทุกแง่ทกุ มุม ไม่ควรมองปัญหาโดยมีอคติ และใช้ความคิดอย่างมี
เหตุมีผลในการแก้ปญั หา

สรุปทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธินิยม (Cognitivism) จะเน้นกระบวนการทางปัญญา
หรือความคิด ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของสมอง นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์
ไม่ใช่เรือ่ งของพฤตกิ รรมทีเ่ กิดจากกระบวนการตอบสนองต่อสิ่งเร้าเพยี งเท่านั้น การเรียนรู้ของมนุษย์
มีความซับซ้อนยิ่งไปกว่านั้นทฤษฎีในกลุ่มนี้ที่สำคัญๆ มี 5 ทฤษฎี คือ ทฤษฎีเกสตัลท์ (Gestalt
Theory) ทฤษฎีสนาม (Field Theory) ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ทฤษฎีพัฒนาการทาง
สติปัญญา(Intellectual Development Theory) และทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย(A
Theory of Meaningful Verbal Learning)

3. หลกั การสอนตามแนวคดิ ของนกั จิตวทิ ยากล่มุ มนุษยนยิ ม (Humanism)
ทิศนา แขมมณี. (2550). ได้กล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่านักคิดกลุ่มมนุษยนิยม ให้ความสำคัญ

ของการเป็นมนุษย์ และมองมนุษย์ว่ามีคุณค่า มีความดีงาม มีความสามารถ มีความต้องการ และมี
แรงจงู ใจภายในทจ่ี ะพัฒนาศักยภาพของตน หากบคุ คลได้รบั อิสรภาพและเสรีภาพ มนษุ ย์จะพยายาม
พัฒนาตนเองไปสู่ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นักจิตวิทยาคนสำคัญในกลุ่มนี้คือ มาสโลว์ (Maslow)
รอเจอร์ส (Rogers) โคมส์ (Knowles) แฟร์ (Faire) อิลลิช (illich) และนลี (Neil)

3.1 ทฤษฎีการเรียนรูข้ องมาสโลว์ (Maslow,1962)
Maslow เชื่อว่าพฤติกรรมของมนุษย์เป็นจำนวนมากสามารถอธิบายโดยใช้แนวโน้ม

ของบุคคล ในการค้นหาเป้าหมายที่จะทำให้ชีวิตของเขาได้รับความต้องการ ความปรารถนา และ
ได้รับสิ่งที่มคี วามหมายต่อ ตนเอง เป็นความจรงิ ที่จะกล่าวว่ากระบวนการของแรงจูงใจเป็นหัวใจของ
ทฤษฎีบุคลิกภาพของ Maslow โดยเขา เชื่อว่ามนุษย์เป็น “สัตว์ที่มีความต้องการ” (wanting
animal) และเป็นการยากที่มนุษย์จะไปถึงขั้นของความพึง พอใจอย่างสมบูรณ์ในทฤษฎีลำดับขั้น
ความต้องการของ Maslow เม่ือบุคคลปรารถนาที่จะได้รับความพึงพอใจ และเมื่อบุคคลได้รับความ
พึงพอใจในสิ่งหนึ่งแล้วก็จะยังคงเรียกร้องความพึงพอใจสิ่งอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งถือเป็น คุณลักษณะของ
มนุษย์ ซึ่งเป็นผู้ที่มคี วามตอ้ งการจะได้รับสิง่ ต่าง ๆ อยู่เสมอ โดยมนุษย์ทุกคนมีความตอ้ งการพื้นฐาน
ตามธรรมชาตเิ ป็นลำดับขัน้ คือ ขัน้ ความต้องการางรา่ งกาย (physical need) ขนั้ ความตอ้ งการความ
มั่นคงปลอดภัย (safety need) ขั้นความต้องกาความรัก (love need) ขั้นความต้องการยอมรับของ
ตนอย่างเต็มที่ (self-actualization) หากความต้องการขั้นพื้นฐานดีรับการตอบสนองอย่างพอเพียง
สำหรบั ตนในแต่ละขั้น มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนไปสู่ข้ันทส่ี ูงข้ึน จึงจะมคี วามต้องการในลำดับต่อ ๆ
ไป รายละเอียดแต่ละขั้นมดี งั น้ี (สุรางค์ โค้วตระกูล, 2553: 161-162)

66

ขั้นที่ 1 ความต้องการด้านร่างกาย (Physiological needs) คือ ความต้องการทาง
สรีรวิทยาหรือความต้องการด้านร่างกาย มาสโลว์อธิบายว่า มนุษย์จะต้องได้รับการตอบสนองต่อ
ความต้องการดังกล่าวน้ีเป็นพื้นฐานก่อน โดยระดับความต้องการในขั้นนี้ ได้แก่ ความต้องการอาหาร
น้ำดื่ม อากาศ การพักผ่อน ความต้องการทางเพศ ความต้องการความอบอุ่น ต้องการขจัดความ
เจ็บป่วยและต้องการรักษาความสมดุลของร่างกาย มนุษย์ทุกคนต้องการสิ่งเหลา่ น้ีเหมือนกัน แต่อาจ
แตกต่างกนั เป็นรายบคุ คล ทงั้ น้ขี น้ึ อยูก่ ับเพศ วยั และสถานการณ์

ข้ันที่ 2 ความตอ้ งการความม่ันคงปลอดภัย (Safety needs) คอื การที่มนุษย์ชอบอยู่
อย่างสงบ มีระเบียบวินัย และไม่รุกรานผู้อื่น ความต้องการในระดับนี้อาจแยกย่อยได้ ดังต่อไปนี้
(1) ความมั่นคงในครอบครัว เช่น การมีบ้านที่แข็งแรงปลอดภัยและมีความรักใคร่ปรองดอง กันใน
ครอบครัว เป็นต้น (2) ความมั่นคงปลอดภยั ในอาชีพ เช่น มีรายได้ยตุ ิธรรม ไม่ถูกไล่ออก งานไม่เสี่ยง
อันตราย และผู้บังคับบัญชาดีมคี วามยตุ ธิ รรม เปน็ ต้น (3) การมหี ลักประกันชวี ิต เช่น มผี ู้ดูแลเอาใจใส่
ยามชราและยามเจบ็ ไข้ เปน็ ตน้

ขั้นที่ 3 ความต้องการความรักและความเป็นเจ้าของ (Belongingness and love
need) คือ แรงจงู ใจท่มี นษุ ย์ตอ้ งการจะแสดงความเปน็ เจ้าของ ทั้งจากสถานะของผูม้ อบความรกั และ
ผู้ที่ได้รับความรัก ความรักในที่นี้ คือ ความรัก ความเอ็นดู ความเอาใจใส่ที่ได้รับจากบุคคลรอบ ข้าง
ได้แก่ พ่อ แม่ เพื่อน ภรรยา สามี รวมทั้งจากคนรอบข้าง เป็นต้น โดยความรักจากพ่อและแม่
คือ ความรัก ความห่วงใย ความเอาใจใส่ การอบรมสั่งสอน การให้อภัยและความเมตตาที่มีต่อลูก
ความรักจากเพื่อน คือ ความรักที่ช่วยเหลือกัน เข้าใจในทุกเรื่องโดยไม่มีปัญหาเรื่อง ช่องว่างระหว่าง
วัยเดียว สว่ นความรักของภรรยาและสามี คอื ความรกั ทพ่ี ร้อมที่จะดูแลคนที่ใชช้ วี ิตดว้ ยเปน็ คู่ ร่วมกัน
ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ ซึ่งความรักในที่นี้ แตกต่างจากความรักที่เกี่ยวข้องกับเพศ หากเป็น เรื่อง
เพศ จะเป็นความต้องการทางสรีระระหว่างหญิงชาย ชายชายและหญิงหญิง อีกทั้งมนุษย์ยังมี ความ
ต้องการได้รับการยกย่องจากผู้อื่นเพื่อความมั่นคงในชีวิต ความต้องการการยอมรับจากกลุ่ม รวมท้ัง
ต้องการแสดงความคิดเหน็ ในกลุ่ม ต้องการรักคนอื่นและไดร้ ับความรักจากคนอื่น ต้องการ ความรู้สึก
ว่าสังคมเป็นของตนและเห็นคุณค่าของการมีชีวิตของตนเอง ว่าสามารถทำประโยชน์ให้กับ ผู้อื่น
ไดม้ ากเพียงใด และความตอ้ งการมเี พื่อน

ขั้นที่ 4 ความต้องการเกียรติยศชื่อเสียงและความภาคภูมิใจ (Self-esteem need)
คือ แรงจูงใจที่จะแสวงหาและเกียรติยศศักดิ์ศรีทั้งโดยตนเองส านึกและผู้อื่นกล่าวยกย่องเชิดชู
เช่น ความต้องการมีเกียรติยศ การได้รับยกย่อง การได้รับการยอมรับ ได้รับความสนใจจากคนใน
สังคม มีสถานภาพท่ดี ที างสังคม มชี ื่อเสยี ง และมีความตอ้ งการทจ่ี ะได้รบั คำชมเชยจากสิ่งท่ีตนกระทำ
เป็นต้น สิ่งเหล่าทำให้มนุษย์รู้สึกถึงการมีคุณค่าในความสามารถที่ตนได้รับการยอมรับจากผู้อื่น
ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติของล าดับขั้นเรื่องความต้องการด้านแรงจูงใจตามหลักทฤษฎีของมาสโลว์
ที่แต่ละบุคคลมักจะแสวงหาความตอ้ งการได้รับการยกย่องจากผู้อ่ืน เมื่อตนทำสิ่งต่าง ๆ ได้จนตนเอง
พึงพอใจนำเสนอผลงานของตนให้ผู้อื่นได้เห็น ได้สัมผัสจนปราศจากคำติในที่สุด ส่งผลให้กลายเป็น
มนุษย์ที่มีความสุขทางใจมากคนหนึ่ง เพราะได้รับความยอมรับจากผู้อื่นในสังคม ในขณะเดียวกัน
มาสโลว์ได้กล่าวว่า ศักดิ์ศรีที่สำคัญต่อความมีสุขภาพจิตดีคือ ความรู้สึกนับถือและเคารพตนเอง
รวมท้ังการได้รบั การนับถอื จากผอู้ น่ื ทม่ี ิใช่ลักษณะท่ีฉาบฉวยหรือจอมปลอม

67

ขั้นที่ 5 ความต้องการตระหนักในตนเอง (Self-actualization need) คือ แรงจูงใจ
เพื่อตระหนักรู้ถึงความสามารถของตน ประพฤติหรือปฏิบัติตนตามความสามารถ และสุด
ความสามารถ โดยคำนงึ ถงึ ผลประโยชนข์ องส่วนรวมเป็นสิ่งสำคัญดว้ ย เชน่ รจู้ ักตนเอง ยอมรบั ตนเอง
เปิดใจรับฟังคำวิจารณ์โดยไม่ไม่มีอคติกับผู้วิจารณ์รู้จักแก้ไขตนเองในส่วนที่ยังบกพร่อง ต้องการ
พฒั นาตนเอง พรอ้ มที่จะรบั ฟังความคิดเห็นของผู้อนื่ เกีย่ วกบั ตนเอง ต้องการคน้ พบความจริง พร้อมที่
จะเปิดเผยตนเองโดยไม่มีการปกป้อง ต้องการเป็นตัวของตัวเองและประสบความสำเร็จด้วยตัวเอง
เป็นต้น

มาสโลว์เชื่อว่า มนุษย์ทุกคนมีความมุ่งหมายในชีวิต เพื่อที่จะบรรลุต่อการเป็นมนุษย์
โดย สมบูรณ์หรือต้องการก้าวขึ้นมาในขั้นที่ 5 ซึ่งเป็นขั้นสูงสุดตามแนวความคิดของเขากันทุกคน
แต่การที่ มนุษย์ทุกคนจะบรรลุความปรารถนาในระดับนี้นั้น จะต้องได้รับการตอบสนองของความ
ตอ้ งการใน ลำดบั ขัน้ ต่าง ๆ ทง้ั 4 ลำดับเบอ้ื งตน้ อย่างเพียงพอกอ่ น

ประยกุ ตใ์ ช้ในการเรียนการสอน
1. เข้าใจถึงความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ สามารถช่วยให้เข้าใจพฤติกรรมของ

บคุ คลได้ เนอ่ื งจากพฤติกรรมเปน็ การแสดงออกของความตอ้ งการของบุคคล
2. จะสามารถช่วยใหผ้ ู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี จำเปน็ ต้องตอบสนองความต้องการ

พ้นื ฐานท่ีเขาตอ้ งการเสยี กอ่ น
3. ในกระบวนการเรียนการสอน หากรูสามารถหาได้ว่าผู้เรียนแต่ละคนมีความ

ต้องการอยู่ในระดับใดขั้นใด ครูสามารถใช้ความต้องการพื้นฐานของผู้เรียนนั้นเป็นแรงจูงใจ ช่วยให้
ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นร้ไู ด้

4. การช่วยให้ผู้เรียนได้รับการตอบสนองความต้องการพื้นฐานของตนอย่าง
พอเพยี ง การใหอ้ สิ รภาพและเสรภี าพแก่ผ้เู รยี นในการเรียนรู้ การจดั บรรยากาศทเ่ี อื้อต่อการเรียนรู้จะ
ช่วยสง่ เสริมใหผ้ เู้ รียนเกิดประสบการณใ์ นการร้จู ักตนเองตรงตามสภาพความเป็นจรงิ

3.2 ทฤษฎีการเรยี นรูของรอเจอรส์ (Rogers,1969)
รอเจอร์ส (Rogers) อธิบายว่า อธิบายว่า มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองได้ดี หากอยู่ใน

สภาพที่ผ่อนคลายและเป็นอิสระบรรยากาศการเรียนที่ผ่อนคลายและ เอื้อต่อการเรียนรู้ จะช่วยให้
ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทีดี จากแนวคิดทฤษฎีตามที่กล่าวมา ซึ่งจะนำมาใช้ในการจัดการเรียนการสอน
มนุษย์จะสามารถพัฒนาตนเองได้ดีหากอยู่ในสภาพการณ์ที่ผ่อนคลายและเป็นอิสระ การจัด
บรรยากาศการเรียนที่ผ่อนคลายและเอื้อต่อการเรียนรู้ (supportive atmosphere) และเน้นให้
ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (student-centered teaching) โดยครูใช้วิธีการสอนแบบชี้แนะ (non-
directive) และทำหน้าที่อำนวยความสะดวกในการเรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน (facilitator) และการเรียนรู้
จะเนน้ กระบวนการ (process learning) เป็นสำคัญ

ประยุกต์ใชใ้ นการเรียนการสอน
1. การจัดสภาพแวดล้อมทางการเรียนให้อบอุ่น ปลอดภัย ไม่น่าหวาดกลัว

น่าไวว้ างใจ จะชว่ ยใหผ้ เู้ รยี นเกิดการเรียนรูไ้ ด้ดี

68

2. ผู้เรียนแต่ละคนมีศักยภาพและแรงจูงใจที่จะพัฒนาตนเองอยู่แล้ว ครูจึงควร
สอนแบบชี้แนะ (non-directive) โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้นำทางในการเรียนรู้ของตน (self-directive)
และคอยช่วยเหลอื ผ้เู รียนให้เรียนอย่างสะดวกจนบรรลุผล

3. ในการจัดการเรียนการสอนควรเน้นการเรียนรู้กระบวนการ (process
learning) เป็นสำคัญ เนอื่ งจากกระบวนการเรียนร้เู ป็นเคร่อื งมือสำคญั ทบี่ ุคคลใช้ในการดำรงชีวิตและ
แสวงหาความรู้ตอ่ ไป

4. ครูควรสร้างบรรยากาศทางการเรียนรู้ให้ผู้เรียนรู้สึกปลอดภัย ไม่น่ากลัวทำให้
ผู้เรยี นรู้สึกไว้วางใจ

5. ครูควรสอนแบบชี้แนะ โดยให้ผู้เรียนเป็นผู้น้าตนเองในการเรียนรู้ เนื่องจาก
ผเู้ รียนมี ศักยภาพ และแรงจงู ใจทีจะพัฒนาตนเองอยู่แล้ว

3.3 แนวคดิ เกยี่ วกับการเรยี นรู้ของโคมส์ (Combs)
อาเทอร์ เป็นศิษย์คนสำคัญของคาร์ล โรเจอร์ ที่พยายามเผยแพร่การเรียนรู้ด้าน

แรงจูงใจ และเป็นผู้สนับสนุนการเรียนรู้เชิงเชิงจิตลักษณะเชื่อว่าเจตคติ ความรู้สึก และอารมณ์ของ
นกั เรยี นมคี วามสำคัญต่อกระบวนการเรยี นรขู้ องผู้เรยี น 4 ประการ ดังนี้

1. สมององคนเราเกี่ยวข้องกับความหมายโดยตรง
2. การเรยี นรูค้ อื การคน้ พบความหมายของแตล่ ะคน
3. ความรสู้ กึ และอารมณ์เปน็ เสมือนดัชนขี องความหมาย
4. องคป์ ระกอบเชงิ ความรสู้ กึ ท่ใี ช้ในการเรียนรู้
อาเทอร์ โคมส์ ได้ตั้งข้อสังเกตและข้อเตือนใจไว้ว่า ในบางครั้งความจริงเกิดข้ึน
เหมือนกันที่ผู้สนับสนุนความสำคัญของความหมายได่ทุ่มเทและยึดอยู่กับความเข้าใจตนเอง ค่านิยม
หรือความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งมากกว่าลักษณะปกติของหลักสูตร และจะทำให้เกิดความเสื่อม
เสียแก่วงการจัดการศึกษาเชิงจิตลักษณ์ แต่ความผิดพลาดยังเสียหายน้อยกว่าความผิดพลาดของคน
ทีไ่ มย่ อมรับ และไม่ทราบถึงธรรมชาตหิ น้าทส่ี ำคัญของความรสู้ ึก และอารามณ์ทเ่ี กิดจากการวิจัยและ
ทฤษฎี ซึ่งแนวคิดของกลุ่มแรงจูงใจ จะมีประโยชน์อย่างมากในการวางแผนเพื่อจัดกิจกรรมการเรียน
การสอนให้มีประสิทธิผลคือ เน้นบรรยากาศการเรียนการสอนที่ให้ความสบายใจแก่ผู้เรียน และการ
ยอมรับคุณค่าของกันและกันระหว่างครูกับนักเรียน และระหว่างนักเรียนด้วยกัน นอกจากนี้การจัด
หลักสูตรโดยอาศัยแนวคิดของกลุ่มแรงจูงใจจะเน้น และให้ความสำคัญในการปลูกฝังทางด้านจิต
ลกั ษณะ ไดแ้ ก่ ความรสู้ กึ เจตคติ และบุคลิกภาพท่ดี ี
ประยุกตใ์ ช้ในการเรียนการสอน
การคำนึงถึงความรู้สึกของผู้เรียน การสร้างเจตคติที่ดีต่อการเรียนรู้เห็นสิ่งสำคัญ
ทจี่ ะชว่ ยใหผ้ ้เู รียนเกดิ การเรยี นรไู้ ดด้ ี
3.4 แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรูข้ องแฟร์ (Faire)
แนวคดิ เก่ียวกบั การเรียนรู้
เปาโล แฟร์(Faire) เชื่อในทฤษฎีของผู้ถูกกดขี่ (Pedagogy of the oppressed)
เขากล่าวว่า ผู้เรียนต้องถูกปลดปล่อยจาการขดขี่ของครูที่สอนแบบเก่า ผู้เรียนมีศักยภาพ และมี
ความคิดรเิ รมิ่ สร้างสรรคท์ ่จี ะกระทำส่ิงตา่ ง ๆ ดว้ ยตนเอง

69

ประยกุ ต์ใช้ในการเรียนการสอน
ระบบการจัดการศึกษา ควรเป็นระบบที่ให้อิสรภาพและเสรีภาพในการเรียนรู้แก่

ผเู้ รยี น
3.5 แนวคิดเก่ยี วกับการเรียนรู้ของอลสิ (Illich)
แนวคิดเก่ียวกับการเรียนรู้
อิวาน อิลลิช (Ivan Illich) ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการล้มเลิกระบบโรงเรียน

(deschooling) ไว้ว่า สังคมแห่งการเรียนรู้เป็นสังคมที่ต้องล้มเลิกระบบโรงเรียน การศึกษาควรเป็น
การศกึ ษาตลอดชีวิตแบบเปน็ ตามธรรมชาติ โดยใหโ้ อกาสในการศึกษาเล่าเรียนแกบ่ คุ คลอยา่ งเตม็ ท่ี

ประยุกตใ์ ช้ในการเรยี นการสอน
การจัดการศึกษาไม่จำเป็นต้องจัดทำในลักษณะระบบของโรงเรียนควรจัดใน

ลกั ษณะท่เี ปน็ การศึกษาตอ่ เนื่องไปตลอดชวี ติ ตามธรรมชาติ
3.6 แนวคิดเกยี่ วกบั การเรยี นรขู้ องนลี (Neil)
แนวคดิ เก่ียวกับการเรียนรู้
นีล (Neil) กล่าวว่า มนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรี มีความดีโดยธรรมชาติหากมนุษย์อยู่ใน

สภาพแวดล้อมที่อบอุ่น บริบูรณ์ไปด้วยความรัก มีอิสรภาพและเสรีภาพมนุษย์จะพัฒนาไปในทางที่ดี
ตอ่ ตนเองและสังคม

ประยุกตใ์ ช้ในการเรียนการสอน
การให้เสรีภาพอย่างสมบรู ณ์แก่ผเู้ รียนในการเรยี น เรียนเมื่อพรอ้ มทจ่ี ะเรยี น

จะช่วยให้ผูเ้ รยี นพฒั นาไปตามธรรมชาติ
3.7 แนวคดิ เกย่ี วกับการเรยี นรขู้ อง ikque love
ได้กล่าวถึงทฤษฎีนี้ว่าทฤษฎีมนุษยนิยมมีวิวัฒนาการมาจากทฤษฎีกลุ่มที่เน้นการ

พัฒนาตามธรรมชาติ แต่ก็จะมีความเป็นวิทยาศาสตร์ คือเป็นกระบวนการมากยิ่งขึ้น กลุ่มทฤษฎี
มนุษยนิยม เป็นทฤษฎีที่คัดคา้ นการทดลองเกี่ยวกับพฤติกรรมของสัตว์แล้วมาใช้อ้างอิงกับมนษุ ยแ์ ละ
ปฏิเสธท่ีจะใช้คนเป็นเครื่องทดลองแทนสัตว์ นักทฤษฎีในกลุ่มนี้เห็นว่ามนุษย์มีความคิด มีสมอง
อารมณ์และอิสรภาพในการกระทำ การเรยี นการสอนตามแนวทฤษฎีนเี้ ช่ือว่าผ้เู รยี นเปน็ ศนู ยก์ ลางของ
การเรียน การจัดการเรียนการสอนจึงมุ่งให้เกิดการเรียนรู้ทั้งด้านความเข้าใจ ทักษะและเจตคติไป
พร้อม ๆ กนั โดยให้ความสำคัญกบั ความรู้สกึ นกึ คดิ ค่านยิ ม การแสดงออกตลอดจนการเลอื กเรยี นตาม
ความสนใจของผู้เรียนเป็นหลัก บรรยากาศในการเรียนเป็นแบบร่วมมือกันมากกว่าการแข่งขันกัน
อาจารยผ์ สู้ อนทำหน้าท่ชี ่วยเหลือให้กำลังใจและอำนวยความสะดวกในขบวนการเรียนของผู้เรียนโดย
การจัดมวลประสบการณ์ เออื้ ใหผ้ ้เู รียนเกดิ การเรยี นรู้

หลกั การหรอื ความเช่ือของทฤษฎี คอื
1. มนษุ ยม์ ีธรรมชาติแห่งความกระตือรือรน้ ท่ีจะเรยี นรู้
2. มนุษย์มีสิทธิในการต่อต้านหรือไม่พอใจในผลที่เกิดขึ้นจากสิ่งต่าง ๆ แม้สิ่งน้ัน

จะไดร้ ับการยอมรับว่าจรงิ
3. การเรียนรู้ท่ีสำคัญที่สุดของมนุษย์คือการที่มนุษย์มีการเปลี่ยนแปลง

แนวความคิด หรอื มโนทัศน์ของตนเอง

70

ลกั ษณะสำคัญ นกั ทฤษฎีกลุ่มนมี้ ีความเชื่อว่ามนุษยม์ ีอสิ ระที่จะเรียนรู้ในสภาพแวดล้อมท่ี
ดีจากการสนับสนุน หรือส่งเสริมของครูผู้สอน ผู้นำความคิดที่สำคัญได้แก่ Rogers และ Maslow
ทฤษฎีนี้ เชื่อว่าผู้เรียนเปน็ ศนู ย์กลางของการเรียน การจัดการเรยี นการสอนจึงมุ่งให้เกิดการเรียนรูท้ ้งั
ดา้ นความเข้าใจ ทกั ษะและเจตคติไปพร้อม ๆ กนั โดยให้ความสำคญั กับความรสู้ ึกนึกคิด ค่านิยม การ
แสดงออกตลอดจนการเลอื กเรยี นตามความสนใจของผู้เรยี นเปน็ หลัก

ประยุกตใ์ ช้ในการเรียนการสอน
การประยุกต์ใช้ของทฤษฎีมนุษย์นิยม ซึ่งครูผู้สอนเป็นผู้นำไปประยุกต์ใช้ มีข้อปฏิบัติ
สำคัญ ดังน้ี

1. ครคู วรเป็นคนใจกว้าง ไม่ยึดติดกับความคิด หรอื ความเชื่อของตนเอง
2. ครคู วรรับฟังผู้เรียนมากยิง่ ข้ึน โดยเฉพาะเรื่องเก่ยี วกับความรูส้ กึ
3. ให้ความสำคัญกบั ผ้เู รียนเท่ากับความสำคญั ของเนือ้ หาทนี่ ำมาสอน
4. ยนิ ดีรบั ฟังข้อเสนอแนะทง้ั ทางบวกและทางลบ
5. กระตนุ้ ให้ผู้เรียนมคี วามรบั ผดิ ชอบต่อการเรียนรู้ของตนเอง
6. จดั การเรยี น กิจกรรม สื่อการเรียนการสอนใหห้ ลากหลาย
7. กระตุ้นให้ผู้เรียนเข้าใจว่าการประเมินผลที่มีคุณค่า คือการประเมินตนเองของ
ผเู้ รยี น
สรุปทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (Humanism) ให้ความสำคัญของการเป็นมนุษย์ และ
มองมนษุ ย์ว่ามคี ุณคา่ มีความดีงาม มคี วามสามารถ มคี วามตอ้ งการ และมแี รงจงู ใจภายในท่ีจะพัฒนา
ศักยภาพของตน หากบุคคลไดร้ ับอสิ รภาพและเสรีภาพ มนษุ ย์จะพยายามพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็น
มนุษย์ที่สมบูรณ์ นักจิตวิทยาคนสำคัญในกลุ่มนี้คือ มาสโลว์ (Maslow) รอเจอร์ส (Rogers) แฟร์
(Faire) อิลลิช (illich) และนีล (Neil)
4. หลักการสอนตามแนวคิดของนักจิตวิทยากลุ่มสร้างความรู้ด้วยตนเอง
(Constructivism)
ทิศนา แขมมณี (2554, หน้า 9) กล่าวถึงแนวคิด Constructivism เกี่ยวข้องกับ
ธรรมชาติของความรู้ของมนุษย์ มีความหมายทั้งในเชิงจิตวิทยาและเชิงสังคมวิทยา ทฤษฎีด้าน
จิตวิทยา เริ่มต้นจาก Jean Piaget ซึ่งเสนอว่า การเรียนรู้ของเด็กเปน็ กระบวนการส่วนบุคคลมีความ
เป็นอตั นัย Vygotsky ได้ขยายขอบเขตการเรียนรู้ของแตล่ ะบคุ คลวา่ เกิดจากการสอื่ สารทางภาษากับ
บุคคลอื่น สำหรับด้านสังคมวิทยา Emile Durkheim และคณะ เชื่อว่าสภาพแวดล้อมทางสังคมมีผล
ต่อการเสริมสรา้ งความรใู้ หม่
ทฤษฎีการเรียนรู้ตามแนว Constructivism จัดเป็นทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มปัญญานิยม
(cognitive psychology) มีรากฐานมาจากผลงานของ Ausubel และ Piaget
ประเด็นสำคัญประการแรกของทฤษฎีการเรียนรู้ตาม Constructivism คือ ผู้เรียนเป็น
ผู้สร้าง (Construct) ความรู้จากความสัมพันธ์ระหว่างสิ่งที่พบเห็นกับความรู้ความเข้าใจที่มีอยู่เดิม
โดยใชก้ ระบวนการทางปญั ญา (cognitive apparatus) ของตน
ประเด็นสำคัญประการที่สองของทฤษฎี คือ การเรียนรู้ตามแนว Constructivism คือ
โครงสร้างทางปัญญา เป็นผลของความพยายามทางความคิด ผู้เรียนสร้างเสริมความรู้ผ่าน

71

กระบวนการทางจติ วิทยาด้วยตนเอง ผู้สอนไม่สามารถปรับเปลีย่ นโครงสร้างทางปัญญาของผู้เรยี นได้
แต่ผู้สอนสามารถช่วยผู้เรียนปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางปัญญาได้โดยจัดสภาพการณ์ที่ทำให้เกิดภาวะ
ไม่สมดลุ ขึน้

ก. ลกั ษณะการพัฒนารูปแบบการสอน
1. การสอนตามแนว Constructivism เน้นความสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ของ

ผู้เรียน และความสำคัญของความร้เู ดมิ
2. เปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นเป็นผู้แสดงความรู้ได้ด้วยตนเอง และสามารถสร้างความร้ดู ้วย

ตนเองได้ ผู้เรียนจะเป็นผู้ออกไปสังเกตสิ่งที่ตนอยากรู้ มาร่วมกันอภิปราย สรุปผลการค้นพบ แล้ว
นำไปศึกษาคน้ คว้าเพ่มิ เติมจากเอกสารวิชาการ หรอื แหล่งความร้ทู หี่ าได้ เพื่อตรวจความรู้ที่ไดม้ า และ
เพมิ่ เตมิ เปน็ องค์ความรทู้ ่ีสมบูรณ์ต่อไป

3. การเรยี นรูต้ อ้ งให้ผ้เู รยี นลงมือปฏบิ ัตจิ ริง ค้นหาความรดู้ ว้ ยตนเอง จนคน้ พบความรู้
และรู้จักสิ่งที่ค้นพบ เรียนรู้วิเคราะห์ต่อจนรู้จริงว่าลึก ๆ แล้วสิ่งนั้นคืออะไร มีความสำคัญมากน้อย
เพียงไร และศกึ ษาคน้ ควา้ ให้ลกึ ซ้งึ ลงไป จนถึงรแู้ จง้

ข. บทบาทของผ้สู อนในการจัดการเรยี นรผู้ ูส้ อน
1. เปดิ โอกาสใหผ้ ้เู รยี นสงั เกต สำรวจเพื่อใหเ้ ห็นปัญญา
2. มีปฏิสัมพนั ธ์กบั ผเู้ รยี น เชน่ แนะนำ ถามให้คิด หรือสร้างความรไู้ ด้ดว้ ยตนเอง
3. ชว่ ยให้ผ้เู รียนคิดค้นตอ่ ๆ ไปใหท้ ำงานเป็นกล่มุ
4. ประเมินความคิดรวบยอดของผู้เรียน ตรวจสอบความคิดและทักษะการคิดต่าง ๆ

การปฏบิ ัติการแกป้ ัญหาและพฒั นาใหเ้ คารพความคดิ และเหตุผลของผู้อืน่
ค. บทบาทของผเู้ รยี น
ในการเรียนตามทฤษฎี Constructionism ผู้เรียนจะมีบทบาทเป็นผู้ปฏิบัติและสร้าง

ความรู้ไปพร้อม ๆ กันด้วยตัวของเขาเอง(ทำไปและเรียนรู้ไปพร้อม ๆ กัน) บทบาทที่คาดหวังจาก
ผ้เู รียน คือ

1. มีความยนิ ดีร่วมกิจกรรมทกุ คร้ังด้วยความสมัครใจ
2. เรยี นรไู้ ดเ้ อง รู้จักแสวงหาความรู้จากแหล่งความรตู้ า่ ง ๆ ทม่ี อี ยดู่ ว้ ยตนเอง
3. ตดั สนิ ปญั หาตา่ ง ๆ อยา่ งมเี หตผุ ล
4. มคี วามรสู้ ึกและความคดิ เปน็ ของตนเอง
5. วิเคราะหพ์ ฤตกิ รรมของตนเองและผอู้ ่ืนได้
6. ให้ความช่วยเหลือกันและกัน รู้จักรับผิดชอบงานที่ตนเองทำอยู่และที่ได้รับ
มอบหมาย
7. นำส่ิงที่เรยี นรไู้ ปประยุกตใ์ ชป้ ระโยชน์ในชวี ิตจริงได้น้ัน
ง. ประยุกต์ใชใ้ นการเรยี นการสอน

1. การใช้สื่อและเทคโนโลยีที่เหมาะสมในการให้ผู้เรียนสร้างสาระการเรียนรู้และ
ผลงานต่าง ๆ ด้วยตนเอง

2. การสร้างสภาพแวดล้อมที่มีบรรยากาศที่หลากหลาย เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้
เลอื กตามความสนใจ

72

3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้ทำในสิ่งที่สนใจ ซึ่งจะทำให้ผู้เรียนมีแรงจูงใจในการคิด
การทำและการเรียนรู้ต่อไป

4. จัดสภาพแวดล้อมที่มีความแตกต่างกัน เพื่อประโยชน์ในการเรียนรู้ เช่น
วยั ความถนดั ความสามารถ และประสบการณ์

5. สร้างบรรยากาศท่มี คี วามเปน็ มติ ร
6. ครตู อ้ งทำหนา้ ทอ่ี ำนวยความสะดวกในการเรยี นรแู้ ก่ผเู้ รียน
7. การประเมนิ ผลการเรียนรู้ต้องประเมินทัง้ ผลงานและกระบวนการ
8. ใช้วิธีการที่หลากหลายในการประเมิน เช่น การประเมินตนเอง การประเมิน
โดยครแู ละเพื่อน การสังเกต การประเมนิ โดยแฟ้มสะสมงาน
สรุปทฤษฎีการสร้างความรู้ด้วยตนเอง (Constructionism) เป็นทฤษฎีทางการศึกษาท่ี
พัฒนาขึ้นโดย Professor Seymour Papert ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม (Constructionism) หรือ
ทฤษฎีการสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วย
ตนเอง ประสบการณ์ใหม่ / ความรู้ใหม่ + ประสบการณ์เดิม / ความรู้เดิม= องค์ความรู้ใหม่ บุคคล
และเป็นทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการและวิธีการของบุคคลในการสร้างความรู้ความเข้าใจ
จากประสบการณ์ รวมทั้งโครงสร้างทางปัญญาและความเชื่อที่ใช้ในการแปลความหมายเหตุการณ์
และสิ่งต่าง ๆ ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้จัดกระทำกับข้อมูลหรือประสบการณ์ต่าง ๆ และจะต้องสร้าง
ความหมายใหก้ บั สิ่งน้ันดว้ ยตนเอง และครูเป็นผทู้ ่คี อ่ ยใหค้ ำแนะนำ
5. หลักการสอนตามแนวคดิ ของนกั จิตวิทยาการเรียนรู้ทางสังคมเชิงพุทธปิ ัญญา
(Cognitive Learning Theory)
บันดูรามคี วามเช่ือว่าการเรียนรู้ของมนษุ ยส์ ่วนมากเป็นการเรียนรู้โดยการสังเกตหรอื การ
เลียนแบบ เน่อื งจากมนษุ ยม์ ีปฏิสมั พันธ์กบั สง่ิ แวดล้อมทอี่ ยู่รอบ ๆ ตวั อยูเ่ สมอ
บันดูราเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ส่วนมาก เป็นการเรียนรู้โดยการสังเกต
(Observational Learning) หรือการเลียนแบบจากตัวแบบ (Modeling) สำหรับตัวแบบไม่
จำเป็นต้องเป็น ตัวแบบที่มีชีวิตเท่านั้น แต่อาจจะ เป็นตัวแบบ สัญลักษณ์ เช่น ตัวแบบที่เห็นใน
โทรทัศน์ ภาพยนตร์ เกมส์คอมพิวเตอร์ หรืออาจจะเป็น รูปภาพ การ์ตูน หนังสือ นอกจากนี้ คำบอก
เลา่ ด้วยคำพดู หรือขอ้ มลู ที่เขียนเปน็ ลายลักษณ์- อักษรกเ็ ป็นตัวแบบได้
บันดูราได้ให้ความสำคัญของการปฏิสัมพันธ์ของอินทรีย์และสิ่งแวดล้อม และถือว่าการ
เรียนรกู้ ็เป็นผลของปฏิสัมพันธ์ระหว่างผเู้ รียนและสิ่งแวดล้อม โดยผูเ้ รียนและส่ิงแวดล้อมมีอิทธิพลต่อ
กนั และกัน บนั ดรู าไดถ้ อื ว่าทั้งบุคคลท่ีต้องการจะเรยี นรแู้ ละสิ่งแวดล้อมเปน็ สาเหตุของพฤติกรรมและ
ไดอ้ ธิบายการปฏสิ ัมพันธ์

73

ภาพประกอบ 33 ทฤษฎกี ารเรียนรูก้ ลุ่มพทุ ธินิยม
Cognitivism)

ที่มา (ทฤษฎกี ารเรยี นรู้, 2564)

หลักพื้นฐานของทฤษฎีปัญญา
สังคม มี 3 ประการ คือ

1. กระบวนการเรียนรู้ต้อง
อาศัยทั้งกระบวนการทางปัญญา และทักษะ
การตดั สินใจของผเู้ รยี น

2. การเรียนรู้เป็นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบ 3 ประการ ระหว่างตัวบุคคล
(Person) สง่ิ แวดลอ้ ม (Environment) และพฤตกิ รรม (Behavior) ซง่ึ มอี ิทธิพลตอ่ กันและกนั

3. ผลของการเรียนรู้กับการแสดงออกอาจจะแตกต่างกัน สิง่ ที่เรียนรู้แล้วอาจไม่มีการ
แสดงออกก็ได้ เช่น ผลของการกระทำ (Consequence) ด้านบวก เมื่อเรียนรู้แล้วจะเกิดการแสดง
พฤติกรรมเลยี นแบบ แต่ผลการกระทำดา้ นลบ อาจมกี ารเรียนรู้แตไ่ ม่มกี ารเลียนแบบ

สาเหตุที่สำคญั อีกอย่างหนง่ึ ในการเรยี นรู้ดว้ ยการสังเกต คือ ผ้เู รยี นจะต้องเลือกสังเกตส่ิง
ที่ต้องการเรียนรู้โดยเฉพาะ และสิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผู้เรียนจะต้องมีการเข้ารหัส (Encoding)
ในความทรงจำระยะยาวได้อยา่ งถูกต้อง นอกจากนผ้ี ูเ้ รียนต้องสามารถท่จี ะประเมินไดว้ า่ ตนเลียนแบบ
ได้ดีหรือไมด่ ีอยา่ งไร และจะตอ้ งควบคมุ พฤติกรรมของตนเองไดด้ ว้ ย

ก. ขนั้ ตอนของการเรยี นรโู้ ดยการสังเกต
1. ขั้นให้ความสนใจ (Attention Phase) ถ้าไม่มีขั้นตอนนี้ การเรียนรู้อาจจะไม่

เกิดขึ้น เป็นขั้นตอน ที่ผู้เรียนให้ความสนใจต่อตัวแบบ (Modeling) ความสามารถ ความมีชื่อเสียง
และคุณลักษณะเด่นของตวั แบบจะเป็นสิง่ ดึงดูดให้ผูเ้ รยี นสนใจ

2. ขั้นจำ (Retention Phase) เมื่อผู้เรียนสนใจพฤติกรรมของตัวแบบ จะบันทึกสิ่งที่
สังเกตได้ไว้ในระบบความจำของตนเอง ซึ่งมักจะจดจำไว้เป็นจินตภาพเกี่ยวกับขั้นตอนการแสดง
พฤตกิ รรม

3. ขั้นปฏิบัติ (Reproduction Phase) เป็นขั้นตอนที่ผู้เรียนลองแสดงพฤติกรรมตาม
ตัวแบบ ซงึ่ จะส่งผลให้มกี ารตรวจสอบการเรยี นรู้ทไ่ี ดจ้ ดจำไว้

4. ขั้นจูงใจ (Motivation Phase) ขั้นตอนนี้เป็นขั้นแสดงผลของการกระทำ
(Consequence) จากการแสดงพฤติกรรมตามตัวแบบ ถ้าผลที่ตัวแบบเคยได้รับ (Vicarious
Consequence) เป็นไปในทางบวก (Vicarious Reinforcement) ก็จะจูงใจให้ผู้เรียนอยากแสดง
พฤติกรรมตามแบบ ถ้าเป็นไปในทางลบ (Vicarious Punishment) ผู้เรียนก็มักจะงดเว้นการแสดง
พฤตกิ รรมนนั้ ๆ

ข. ประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอน
1. ในห้องเรียนครูจะเป็นตัวแบบที่มีอิทธิพลมากที่สุด ครูควรคำนึงอยู่เสมอว่า

การเรยี นรู้โดยการสงั เกตและเลยี นแบบจะเกิดข้นึ ได้เสมอ แมว้ า่ ครูจะไม่ได้ตัง้ วตั ถปุ ระสงค์ไว้ก็ตาม

74

2. การสอนแบบสาธิตปฏิบัติเป็นการสอนโดยใช้หลักการและขั้นตอนของทฤษฎี
ปัญญาสังคมท้ังสิ้น ครูต้องแสดงตัวอย่างพฤติกรรมที่ถูกต้องที่สุดเท่านั้น จึงจะมีประสิทธิภาพในการ
แสดงพฤตกิ รรมเลยี นแบบ ความผิดพลาดของครูแมไ้ มต่ ั้งใจ ไม่วา่ ครจู ะพรำ่ บอกผเู้ รียนวา่ ไมต่ ้องสนใจ
จดจำ แต่ก็ผา่ นการสังเกตและการรบั รขู้ องผ้เู รียนไปแล้ว

3. ตวั แบบในชัน้ เรียนไม่ควรจำกัดไว้ทีค่ รเู ท่านั้น ควรใช้ผเู้ รียนด้วยกันเป็นตัวแบบ
ได้ในบางกรณี โดยธรรมชาติเพื่อนในชั้นเรียนย่อมมีอิทธิพลต่อการเลียนแบบสูงอยู่แล้ว ครูควร
พยายามใชท้ กั ษะจูงใจให้ผู้เรียนสนใจและเลยี นแบบเพ่ือนท่มี ีพฤติกรรมทด่ี ี มากกวา่

บรู ณาการการนำจติ วิทยาการศกึ ษาไปใช้

นิศากร หวลจิตร์ และคณะ (2557, หน้า 46-47) ได้ศึกษาเรื่อง รูปแบบการใช้จิตวิทยา
การศึกษาและการแนะแนวเพื่อพัฒนาการจัดการเรียนรู้ พบว่า รูปแบบการจัดการเรียนรู้ที่เหมาะสม
ขึ้นอยู่กับ รูปแบบการจัดการเนื้อหา การใช้สื่อ ความรู้และประสบการณ์ของผู้สอน ความพร้อมของ
ผู้เรียน การมีส่วนร่วมของผู้ปกครองและชุมชนในการส่งเสริมกิจกรรมด้านต่าง ๆ สิ่งสำคัญคือ การ
สร้างแรงจงู ใจในการเปน็ ผู้ใฝร่ ู้ใฝ่เรียนให้กบั นักเรียนซึ่งหมายถึงการใชห้ ลักทางด้านจติ วิทยาการศึกษา
และอีกประการหนึ่งคือ การแนะนำในสิ่งที่ดีที่ถูกต้องให้กับนักเรียน ไม่ว่าจะเป็น ด้านการเรียนหรือ
การใช้ชีวิตให้เหมาะสมซึ่งก็คือหลักของการแนะแนว ข้อค้นพบของการศึกษารูปแบบการจัดการ
เรยี นรู้ มีรายละเอยี ดการดำเนนิ การดงั นี้

1. ด้านครูผู้สอน มีการดำเนินการดังนี้ มีการสร้างขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงาน มีการ
การถ่ายทอดความรู้ มีการศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม มีการจัดการเรียนการสอนให้เหมาะสมกับผู้เรียน
และมีการติดตามประเมินผลทั้งที่บ้านและโรงเรยี น

2. ด้านผู้เรียน มีการจัดการเรียนการสอนดังนี้ มีการส่งเสริมสติปัญญา มีการตอบสนอง
ทางด้านการเรียนรู้ มีการสร้างแรงจูงใจทางการเรียน มีการสร้างขวัญกำลังใจ และมีการจัดกิจกรรม
การสอนให้มคี วามเหมาะสมของเวลา

3. ด้านภูมิปัญญาท้องถ่ิน มีการจัดการ ดังนี้ ภูมิปัญญาท้องถ่ินมีความชำนาญเฉพาะทาง
ภมู ปิ ัญญาทอ้ งถน่ิ มคี วามสามารถทางการถ่ายทอด

4. ด้านผู้บรหิ าร มีการจัดการ ดังนี้ ดำเนินการภายใต้นโยบายทางการศึกษา มีการนิเทศ
ติดตามครูผู้สอน มีการสร้างขวัญกำลังใจให้กับผู้ใต้บังคับบัญชา และมีการประสานงานกับหน่วยงาน
ต่าง ๆ

เริงชัย หมื่นชนะ (2558, หน้า 1-9) ได้กล่าวถึง จิตวิทยาการศึกษากับหลักการสอนโดย
นำเสนอเกี่ยวกบั จิตวิทยาการศกึ ษาในโรงเรยี นสมยั ใหม่ และ จติ วทิ ยาการศึกษาไดน้ ำมาประยุกต์เข้า
กับหลักการสอน ดงั นี้

1. จิตวทิ ยาการศกึ ษาในโรงเรียนสมยั ใหม่
ในการทำการสอนให้มีประสิทธิภาพนั้น นักจิตวิทยาการศึกษาต่างก็แสวงหาวิธีการ

แนะนำมาประยุกต์เข้ากับหลักการของขบวนการเรียนรู้ทางจิตวิทยา เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์
ดังกล่าว จิตวิทยาการศึกษาควรปรับปรุงตนเอง ในด้านความต้องการทางการศึกษา (Educational
needs) วัตถุประสงค์ (Objectives) หลักสูตร (Curriculum) และทฤษฎี (Theory) ในการแก้ปัญหา

75

เหล่านี้ โรงเรียนแบบใหม่ต่างยกเลิกความพยายามที่จะเรียนเนื้อหาประมวลความรู้ทั้งปวง โดยเน้น
เร่ืองวิธีการเรียน การใช้แหล่งสรรพความรู้ การแก้ปัญหาและการปรับตัวด้านบุคลิกภาพ และด้าน
สงั คมอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ

2. จิตวิทยาการศกึ ษาได้น ามาประยุกตเ์ ข้ากับหลักการสอน
จติ วิทยาการศกึ ษาไดน้ ามาประยกุ ตเ์ ขา้ กบั หลกั การสอน ดังน้ี
๑. พัฒนาความคดิ รวบยอดท่ีเป็นประโยชน์ของวัตถปุ ระสงค์ของโรงเรยี น
๒. เลือกและรวบรวมหลักสตู รที่จะทำใหบ้ รรลคุ วามสำเร็จตามวัตถปุ ระสงค์
๓. สร้างสถานการณ์ที่ทำให้มีการเรียนรู้ (Learning) อย่างมีประสิทธิภาพและจำ

ไดด้ ี (Retention) และมกี ารนำความคดิ รวบยอด และทักษะมาใชใ้ ห้เปน็ ประโยชน์
๔. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลและจัดสร้างประสบการณ์ให้แตกต่างกัน

ไป ตามระดบั วุฒิภาวะและความสามารถของเดก็
๕. สง่ เสริมสุขภาพจติ และพฒั นาการดา้ นสังคมของเดก็
๖. วดั และประเมนิ ผลความสำเร็จของเดก็ ตามวตั ถปุ ระสงค์ของการศึกษา

หลักสูตรของโรงเรียนแบบใหม่ได้รวมวิชาชีพต่าง ๆ ที่สังคมต้องการเข้าไว้ด้วยกัน
และครูควรให้เด็กประสบการณ์ด้านสังคมประชาธิปไตยส่วนย่อย (Miniature Democracy) ภายใน
โรงเรียน ซึ่งเด็กสามารถทำไดข้ ณะทีท่ ำงานร่วมกัน ในบางโรงเรียนการเลอื กและรวบรวมหลักสูตรครู
ตอ้ งคำนึงถึงสง่ิ ตอ่ ไปน้ี

๑. มรดกตกทอดทางสังคม
๒ . ความตอ้ งการทางสังคมทเ่ี ปลี่ยนแปลง
๓ . การถ่ายโยงความเรียนรู้ (Transfer of Learning)
๔. ความสนใจและความต้องการของเดก็
๕ . แหล่งสรรพความรู้ทไี่ ด้จากสงิ่ แวดล้อมในทอ้ งถิน่ นน้ั
๖. ระดับความพร้อมของผู้เรียนความแตกต่างระหว่างบุคคลในเรื่อง
ความสามารถ และความต้องการที่จะเสริมสร้างการแก้ปัญหาและสังคมสัมพันธ์อย่างมี
ประสทิ ธิภาพ
แม้ว่าสงั คมจะมีความต้องการให้เราสอนนักเรยี นจำนวนมากเก่ียวกับความคิดรวบ
ยอดและทักษะทั้งหลายในโรงเรียนแบบใหม่จงึ มีภาระสำคัญเพิ่มขึ้น เพื่อความยุง่ ยากในชวี ิตสมยั ใหม่
(Modern Life) เพมิ่ ขน้ึ ความต้องการโรงเรยี นก็เพ่ิมขึ้น จุดมุง่ หมายของเรากค็ ือ พฒั นาศักยภาพของ
แต่ละบุคคลจิตวิทยาการศึกษาก็ช่วยให้เราเข้าใจเด็กได้ดีขึ้น และช่วยเพิ่มความรู้ที่จะช่วยเสริมสร้าง
สภาพการณ์การเรียนร้ใู หม้ ปี ระสทิ ธิภาพยง่ิ ขน้ึ
นิตย์ บุหงามงคล (2559, หน้า 14-20) กล่าวว่า การที่ครูผู้สอนจะสามารถเรียนรู้ และ
ประยุกต์ใช้วิชาจิตวิทยาการศึกษาได้ดีที่สุด จำเป็นจะต้องเข้าใจกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ทางด้านจิตวิทยา
การศกึ ษาดังน้ี 1) มงุ่ เนน้ กฎเกณฑส์ ำคัญของวินยั 2) เช่ือมโยงกฎเกณฑ์ต่างๆ ให้มีความเช่ือมโยงกับ
การเรียนรู้ และพฤติกรรมของตนี้เอง 3) ใช้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ เพื่อให้เข้าใจกา รเรียนรู้และพฤติกรรม
ของผู้เรยี น และ4 ประยกุ ต์ใช้กฎเกณฑต์ ่าง ๆ ในการจัดการช้นั เรยี น อกี ท้ัง ยังได้กล่าวถึง การพัฒนา
บรรยากาศในชั้นเรียนอย่างมีประสิทธิผล ว่าครูควรจะสร้างบรรยากาศในชั้นเรียน (Classroom

76

climate) ที่นักเรียนมีความรู้สึกมั่นคงปลอดภัยมีการเรียนรู้ และเต็มใจที่จะเสี่ยงต่อความผิดพลาด
บางประการ ทั้งนี้เพื่อจะประสบความสำเร็จทางวิชาการในระยะยาวในที่สุดมีกลยุทธ์ิใบต่อไปนี้ ที่ไม่
เพียงแต่จะเสริมสร้างนและรักษาบรรยากาศชั้นเรียน แต่ยังวสงเสริมการเรียนรู้ของนักเรียนได้เป็น
อยา่ งดอี กี ด้วย

1. การสร้างและรกั ษาความสัมพันธท์ ด่ี ีกบั นกั เรยี นทกุ คน
2. การพฒั นาบรรยากาศเชิงธรุ กิจ ทปี่ ราศจากการขม่ ขู่คกุ คาม
3. การสอื่ สารทเี่ หมาะสมเกยี่ วกบั เน้ือหาการเรยี นการสอน
4. การจดั ใหน้ กั เรียนทำการควบคุมกิจกรรมในชัน้ เรยี น
5. การส่งเสรมิ ความรสู้ กึ เกย่ี วกบั ชมุ ชนและความเป็นสมาชกิ ของสังคม
ผเู้ ขยี นสรุปได้ว่าจิตวิทยาการศกึ ษาสำหรบั ครสู ามารถพฒั นาสมรรถนะของผูเ้ รยี นได้ดงั น้ี

จิตวทิ ยา ด้านความรู้ 1. จติ วทิ ยาพ้นื ฐานท่เี กยี่ วข้องกบั พัฒนาการมนุษย์
การศึกษา สมรรถนะ 2. จิตวิทยาการศกึ ษา
สำหรับครู 3. จติ วิทยาการแนะแนวและให้คำปรึกษา

1. เข้าใจธรรมชาติผเู้ รียน
2. สามารถชว่ ยเหลอื ผเู้ รยี นใหเ้ รียนรแู้ ละพฒั นาได้ตามศกั ยภาพของตน
3. สามมารถใหค้ ำคำแนะนำชว่ ยเหลือผเุ้ รยี นใหมม่ คี ณุ ภาพชวี ติ ท่ดี ขี ึน้
4. สามารถส่งเสรมิ ความถนัดและความสนใจของผู้เรียน

บทสรปุ

จิตวิทยาการศึกษาเป็นศาสตร์ที่เกี่ยวกับ “จิตวิทยา” และ “การศึกษา” ซึ่งนำมาใช้เป็น
แนวทางในการจัดการเรยี นการสอนให้มปี ระสิทธิภาพโดยอาศัยแนวคิดและทฤษฎีทางจิตวทิ ยามาเป็น
พื้นฐานในการสร้างสรรค์ศิลปะการสอนให้เกิดคุณค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้เรียน เช่น

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพฤติกรรมนิยม (Behaviorism) นักคิดในกลุ่มนี้มองธรรมชาติของ
มนุษย์ในลักษณะที่เป็นกลาง คือ ไม่ดี–ไม่เลว การกระทำต่างของมนุษย์เกิดจากอิทธิพลของ
สิ่งแวดล้อมภายนอกพฤติกรรมของมนุษย์เกิดจากการตอบสนองต่อสิ่งเร้า(stimulus response)
การเรียนรู้เกดิ จากการเช่อื มโยงระหว่างสิง่ เร้าและการตอบสนอง กลุม่ พฤติกรรมนยิ มให้ความสนใจกับ
พฤติกรรม” มากเพราะพฤติกรรมเป็นสิ่งที่เห็นได้ชัดสามารถวัดและทดสอบได้มีแนวคิดสำคัญ ๆ
3 แนวด้วยกัน คือ ทฤษฎีการเชื่อมโยง (Classical Connectionism) ทฤษฎีการวางเงื่อนไข
(Conditioning Theory) และทฤษฎีการเรียนรู้ของฮลั ล์ (Hull’s Systematic Behavior Theory)

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มพุทธนิ ิยม (Cognitivism) จะเน้นกระบวนการทางปัญญาหรือความคิด
ซึ่งเป็นกระบวนการภายในของสมอง นักคิดกลุ่มนี้มีความเชื่อว่าการเรียนรู้ของมนุษย์ไม่ใช่เรื่องของ
พฤติกรรมท่เี กดิ จากกระบวนการตอบสนองตอ่ ส่ิงเรา้ เพยี งเทา่ นั้น การเรียนร้ขู องมนษุ ยม์ ีความซับซ้อน
ยิ่งไปกว่านน้ั ทฤษฎใี นกลุ่มนที้ ีส่ ำคัญๆ มี 5 ทฤษฎี คือ

77

1. ทฤษฎีเกสตัลท์ (Gestalt Theory) แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฎีนี้ คือ
การเรียนรู้เป็นกระบวนการทางความคดิ ซึ่งเป็นกระบวนการภายในตัวมนุษย์ บุคคลจะเรียนรู้จากสิง่
เรา้ ท่เี ป็นส่วนรวมไดด้ ีกว่าส่วนย่อย

2. ทฤษฎีสนาม (Field Theory) แนวความคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของทฤษฎีนี้ คือ
การเรยี นรู้เกดิ ขนึ้ เมื่อบคุ คลมีแรงจูงใจหรอื แรงขับทจี่ ะกระทำให้ไปสูจ่ ุดหมายปลายทางที่ตนต้องการ

3. ทฤษฎีเครื่องหมาย (Sign Theory) ของทอลแมน (Tolman) แนวความคิดเกี่ยวกับ
การเรียนรู้ของทฤษฎีนี้คือ การเรียนรู้เกิดจากการใช้เครื่องหมายเป็นตัวชี้ทางให้แสดงพฤติกรรมไปสู่
จุดหมายปลายทาง

4. ทฤษฎีพัฒนาการทางสติปัญญา (Intellectual Development Theory) นักคิดคน
สำคัญของทฤษฎีนี้มีอยู่ 2 ท่าน ได้แก่ เพียเจต์ (Piaget) และบรุนเนอร์ (Bruner) แนวความคิด
เกย่ี วกับการเรียนรขู้ องทฤษฎีนเี้ น้นเรื่องพัฒนาการทางสติปญั ญาของบุคคลทีเ่ ป็นไปตามวยั และเชื่อว่า
มนุษยเ์ ลอื กทีจ่ ะรับรู้สง่ิ ทต่ี นเองสนใจและการเรียนรูเ้ กิดจากระบวนการการค้นพบดว้ ยตนเอง

5. ทฤษฎีการเรียนรู้อย่างมีความหมาย (A Theory of Meaningful Verbal Learning)
ของออซูเบล (Ausubel) เชื่อว่า การเรียนรู้จะมีความหมายแก่ผู้เรียน หากการเรียนรู้นั้นสามารถ
เชื่อมโยงกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่รู้มาก่อน หลักการจัดการเรียนการสอนตามทฤษฎีนี้ คือ มีการนำเสนอ
ความคิดรวบยอดหรือกรอบมโนทัศน์ หรือกรอบแนวคิดในเรื่องใดเรื่องหนึ่งแก่ผู้เรียนก่อนการสอน
เน้อื หาสาระนน้ั ๆ จะชว่ ยให้ผ้เู รียนไดเ้ รียนเนื้อหาสาระน้ันอยา่ งมีความหมาย

ทฤษฎีการเรียนรู้กลุ่มมนุษยนิยม (Humanism) ให้ความสำคัญของการเป็นมนุษย์ และมอง
มนุษย์ว่ามีคุณค่า มีความดีงาม มีความสามารถ มีความต้องการ และมีแรงจูงใจภายในที่จะพัฒนา
ศกั ยภาพของตน หากบคุ คลไดร้ ับอิสรภาพและเสรภี าพ มนษุ ย์จะพยายามพัฒนาตนเองไปสู่ความเป็น
มนษุ ย์ท่ีสมบรู ณ์ นกั จิตวทิ ยาคนสำคัญในกล่มุ น้คี อื

1. ทฤษฎกี ารเรยี นรู้ของมาสโลว์ (Maslow, 1962)
1. มนษุ ยท์ ุกคนมีความต้องการพน้ื ฐานตามธรรมชาติเป็นลำดบั ชนั้
2. มนุษยม์ คี วามตอ้ งการท่ีจะร้จู ักตนเองและพัฒนาตนเอง

2. ทฤษฎกี ารเรียนรู้ของรอเจอร์ส (Rogers)
1. การจดั สภาพแวดลอ้ มทางการเรยี นใหอ้ บอุ่น ปลอดภัย
2. ผเู้ รียนแตล่ ะคนมศี กั ยภาพและแรงจงู ใจท่ีจะพฒั นาตนเองอยู่แล้ว
3. ในการจัดการเรยี นการสอนควรเน้นการเรียนรกู้ ระบวนการเปน็ สำคญั

3. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของโคมส์ (Combs) โคมส์ เชื่อว่าความรู้สึกของผู้เรียนมี
ความสำคัญต่อการเรยี นรู้มาก เพราะความรู้สึกและเจตคติของผู้เรียนมีอิทธิพลต่อกระบวนการเรียนรู้
ของผู้เรียน

4. แนวคิดเกี่ยวกับการเรยี นรูข้ อง โนลส์ (Knowles)
1. ผู้เรยี นจะเรยี นร้ไู ดม้ ากหากมีส่วนรว่ มในการเรยี นรู้ดว้ ยตนเอง
2. การเรียนรขู้ องมนษุ ย์เป็นกระบวนการภายใน
3. มนุษย์จะเรียนรไู้ ดด้ หี ากมอี สิ ระที่จะเรียนในสงิ่ ทต่ี นต้องการ
4. มนษุ ย์ทุกคนมีลกั ษณะเฉพาะตน

78

5. มนุษย์เปน็ ผมู้ ีความสามารถและเสรีภาพทจี่ ะตัดสินใจ
5. แนวคิดเก่ียวกับการเรียนรู้ของแฟร์ (Faire) เปาโล แฟร์ เชื่อในทฤษฎีของผู้ถูกกดข่ี
ผ้เู รียนต้องถกู ปลดปล่อยจากการกดขี่ของครูที่สอนแบบเก่า
6. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของอิลลิช (Illich) อิวาน อิลลิช ได้เสนอความคิด
เกย่ี วกบั การลม้ เลิกระบบโรงเรยี น การศึกษาควรเปน็ การศึกษาตลอดชวี ิตแบบเป็นไปตามธรรมชาติ
7. แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนรู้ของนีล (Neil) กล่าวว่า มนุษย์เป็นผู้มีศักดิ์ศรี มีความดี
โดยธรรมชาติหากมนุษย์อยู่ในสภาพแวดล้อมที่อบอุ่น มีอิสรภาพและเสรีภาพ มนุษย์จะพัฒนาไป
ในทางท่ดี ี
ทฤษฎกี ารสร้างความรดู้ ว้ ยตนเอง (Constructionism) เปน็ ทฤษฎีทางการศึกษาที่พัฒนาขึ้น
โดย Professor Seymour Papert ทฤษฎีคอนสตรัคชั่นนิสซึ่ม (Constructionism) หรือทฤษฎีการ
สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง เป็นทฤษฎีการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง
ประสบการณ์ใหม่ / ความรู้ใหม่ + ประสบการณ์เดิม / ความรู้เดิม= องค์ความรู้ใหม่ บุคคลและเป็น
ทฤษฎีที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการและวิธีการของบุคคลในการสร้างความรู้ความเข้าใจจาก
ประสบการณ์ รวมทั้งโครงสร้างทางปัญญาและความเชื่อที่ใช้ในการแปลความหมายเหตุการณแ์ ละส่ิง
ต่างๆ ผู้เรียนจะต้องเป็นผู้จัดกระทำกับข้อมูลหรือประสบการณ์ต่าง ๆ และจะต้องสร้างความหมาย
ให้กับสงิ่ นัน้ ดว้ ยตนเอง และครเู ป็นผ้ทู ค่ี อ่ ยใหค้ ำแนะนำ

79

บทท่ี 4

หลักสตู ร การพัฒนาหลักสตู ร และการประเมนิ หลกั สูตร

บทนำ

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) 2553
มาตรา 9 ได้กำหนดการจัดระบบโครงสร้างและกระบวนการจัดการศึกษาให้ยึดหลักมีเอกภาพ
ดา้ นนโยบาย และมคี วามหลากหลายในการปฏิบัติ และในหมวด 4 แนวจดั การศกึ ษายังต้องให้การจัด
การศกึ ษามีความยืดหยุ่นหลากหลาย ทงั้ ในเรอื่ งรูปแบบและกระบวนการเรยี นรู้ การวดั ผลประเมินผล
และรูปแบบจดั การศึกษาตามมาตรา 12 ท่ีระบใุ ห้การจัดการศึกษาขั้นพนื้ ฐานให้เป็นไปตามที่กำหนด
ในกฎกระทรวงเพื่อให้การศึกษาตอบสนองต่อความแตกต่างของบุคคล และกลุ่มบุคคลที่มุ่งสู่การ
พัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ ในอดีตนักพัฒนาหลักสูตรจะให้ความสำคัญเกี่ยวกับเป้าหมาย
เนื้อหาและวิธีการสอนของหลักสูตร โดยไม่ค่อยสนใจหรือคำนึงผู้เรียนว่าจะมีความรู้สึกหรือมี
ผลกระทบอย่างไร ปกตินักพัฒนาหลักการสูตรจะกำหนดจะกำหนดจุดมุ่งหมายให้เกิดประโยชน์แก่
ผู้เรียนเป็นสำคัญ และเนื้อหาสาระตลอดทั้งกระบวนการเรียนการสอนก็จะต้องเป็นเรื่องของครูท่ี
จะต้องคดิ ครมู กั จะหาเน้ือเรื่องและวธิ ีการเรียนการสอนโดยไม่คำนึงว่าผู้เรยี นคิดอย่างไร มีความรู้สึก
อย่างไรและมีความต้องการอย่างไร แต่ในปัจจุบันแนวคิดนี้ได้เปลี่ยนไป จึงเป็นหน้าที่ของนักพัฒนา
หลักสูตรที่จะต้องหาแนวทางในการพัฒนาหลักสูตรให้มีความถูกต้อง ชัดเจนและเป็นประโยชน์กับ
ผู้เรียนมากทีส่ ดุ หลักสูตรถือเป็นหัวใจของการจัดการศึกษา เพราะเป็นเคร่ืองมือสำคญั ในการกำหนด
ทิศทางในการจัดการศึกษา เพื่อวางรากฐานผู้เรียนให้มีทกั ษะพื้นฐานด้านความรู้ ทักษะ คุณลักษณะ
ที่สำคัญจำเปน็ ในการดำรงชีวิต สามารถพฒั นาคณุ ภาพชวี ติ ของตนเองและสังคมได้

ดงั นั้น หลักสูตรจึงจำเป็นต้องปรบั ปรงุ พฒั นาเปลยี่ นอยเู่ สมอทัง้ น้เี พอื่ ให้มีความสอดคล้องกับ
การเปลี่ยนแปลงทางทางสังคม เศรษฐกิจการเมืองของประเทศ รวมถึงคำนึงถึงความเหมาะสม
สอดคล้องกับสภาพชีวติ และสงั คมของผู้เรียนในยุคปัจจุบัน และอนาคต กระบวนการพัฒนาหลกั สตู ร
จึงมคี วามสำคญั อยา่ งย่ิงตอ่ การจดั การศึกษา

ผู้เขียนขอนำเสนอความรู้เกี่ยวกับ หลักสูตร การพัฒนาหลักสูตร และการประเมินหลักสูตร
เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการศึกษา โดยมีรายละเอียดเนื้อหาดังต่อไปนี้ 1) แนวคิดเกี่ยวกับ
หลักสูตร 2) แนวคิดเกี่ยวกับการพัฒนาหลักสูตร 3) แนวคิดเกี่ยวกับการประเมินหลักสูตร และ
4) การบูรณาการการนำหลักสตู รไปใช้

แนวคิดเกย่ี วกบั หลกั สูตร

1. ความหมายของหลกั สูตร (Curriculum)
มีนกั การศกึ ษาได้ให้ความหมายหลกั สูตร ดังต่อปนี้
Bobbitt,F (1918, หน้า 42) ได้เขียนหนังสือชอ่ื “The Curriculum”

80

ในปี ค.ศ.1918 มมี ุมมองทางการศกึ ษาว่าการศกึ ษาเปน็ ไปเพื่อความสามารถในการดำรงชวี ติ และได้
ระบุว่าคำว่า “Curriculum” มีที่มาจากภาษาลาตินว่า race-course หรือ “the race” หมายถึง ชุด
กิจกรรมทีก่ ำหนดไวใ้ หผ้ ู้เรียนปฏิบัติเพ่ือใหเ้ กิดประสบการณ์การเรียนรู้

Wiles, J. W. & Bondi, C. Joseph. (2011, p. 1) ได้ให้ความหมายของหลักสูตรใน
มุมมองของบุคคลทั่งไป หมายถึง สิ่งที่เป็นเอกสารต่าง ๆ เช่น เอกสารหลักสูตร หนังสือ ตำรา คู่มือ
การสอน เป็นต้น ส่วนมุมมองของนักวิชาการด้านหลักสูตร หมายถึงเอกสารหลักสูตร หนังสือ ตำรา
คู่มือการสอน เปน็ ต้น รวมถงึ ประสบการณ์ตา่ ง ๆ ทจ่ี ัดใหก้ ับผเู้ รยี นและผลการเรียนรู้

Oliva, P. F. (2009, p. 3) กลา่ วถึงหลักสตู รข้นึ อยกู่ บั ความเช่ือในเชิงปรชั ญาของแต่
ละบุคคลไม่ว่าจะเป็นผู้บริหาร ผู้สอน ผู้เรียน ผู้ปกครอง หรือชุมชนก็ตาม ด้วยเหตุนี้การนิยามคำว่า
หลกั สตู รจึงมคี วามหลากหลาย ดงั นี้

หลกั สูตร คือ สิง่ ที่ไดส้ อนในโรงเรยี น
หลักสูตร คือ รายวิชา
หลักสูตร คอื เน้ือหาสาระ
หลักสูตร คือ โปรแกรมการศึกษา
หลักสูตร คอื ชุดของวสั ดอุ ุปกรณ์
หลกั สตู ร คือ ลำดบั รายวิชา
หลกั สตู ร คือ กล่มุ ของวัตถุประสงคเ์ ชิงปฏบิ ัติ
หลักสูตร คือ รายวิชาท่ีศกึ ษา
หลักสตู ร คือ ทุกสิ่งทกุ อย่างท่ีดำเนนิ การอยู่ในโรงเรยี น
หลักสูตร คือ สงิ่ ทโ่ี รงเรยี นกำหนดให้สอนท้ังในและนอกโรงเรียน
หลักสูตร คอื ทุกสิ่งทกุ อยา่ งที่วางแผนโดยบุคลากรของโรงเรียน
หลักสูตร คือ ชดุ ของประสบการณ์ในโรงเรียนซง่ึ จัดขนึ้ เพ่ือผูเ้ รียน
หลกั สูตร คือ ประสบการณ์ที่ผเู้ รยี นแต่ละคนได้รบั
บุญเลย้ี ง ทุมทอง (2553, หนา้ 7) ใหค้ วามหมายหลักสตู รในประเด็นตา่ ง ๆ ดังนี้
1. หลักสูตรในฐานะที่เป็นวิชาและเนื้อหาสาระที่กำหนดให้ผู้เรียนต้องเรียนในชนั้
เรียนระดับต่าง ๆ หรือกลมุ่ วิชาทดี่ ีข้ึนด้วยวัตถุประสงค์เฉพาะอย่างใดอย่างหนึง่ เช่น หลักสูตรเตรียม
แพทย์ หลกั สตู รวทิ ยาศาสตร์ หลักสูตรธรุ กจิ หลกั สตู รตดั เส้อื เปน็ ตน้
2. หลักสูตรในฐานะที่เป็นเอกสารหลักสูตร ประกอบด้วย จุดหมาย หลักการ
โครงสร้างเนื้อหาสาระ อัตราเวลาเรียน กิจกรรม ประสบการณ์ และการประเมินผลการเรียนเพื่อให้
ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถ มีเจตคติที่ดีในการอยู่ร่วมกัน มีพฤติกรรมตามที่กำหนดไว้ใน
จุดมุ่งหมายของหลักสูตร แนวคิดนี้จะเน้นหลักสูตรที่เป็นเอกสารเป็นรูปเล่ม ซึ่งจำแนกเป็น 2
ประเภท คอื เอกสารหลกั สตู ร และเอกสารประกอบหลกั สูตร
3. หลักสูตรในฐานะที่เป็นกิจกรรมต่าง ๆ ที่จะให้แก่ผู้เรียนเป็นการมองหลักสูตร
ในลกั ษณะของกิจกรรมต่าง ๆ ท่คี รูและนักเรยี นจดั ขนึ้ หรอื กิจกรรมการเรยี นการสอนท่ีเตรียมไว้และ
จัดให้แก่นักเรียนโดยโรงเรียน ทั้งในและนอกโรงเรียนเพื่อให้ผู้เรียนได้มีความรู้ประสบการณ์ และ
คุณลักษณะที่พึงประสงคต์ ามทก่ี ำหนด

81

4. หลักสูตรในฐานะแผนสำหรับจัดโอกาสการเรียนรู้หรือประสบการณ์ที่คาดหวัง
แก่นักเรียน เป็นแผนในการจัดการศึกษาเพื่อเป็นแนวทางให้ผู้เกี่ยวข้องปฏิบัติ โดยมุ่งให้ผู้เรียนมี
ความรู้ความสามารถและพฤตกิ รรมตามที่กำหนดหลกั สตู รน้ีจะแสดงเกีย่ วกบั จดุ หมายหรือจุดประสงค์
ของการออกแบบหลักสูตรการนำหลักสูตรไปใช้และการประเมินผล ซึ่งสร้างขึ้นตามประเภท
สถานการณ์ หรือกลมุ่ บุคคลในระดับการศกึ ษาต่าง ๆ

5. หลักสูตรในฐานะที่เป็นมวลประสบการณ์ หมายถึงประสบการณ์ทุกอย่างของ
นกั เรียนทีอ่ ย่ใู นความรับผิดชอบของโรงเรยี น รวมถงึ เนอื้ หาวิชาที่โรงเรยี นจัดให้แกผ่ ู้เรยี นดว้ ย แนวคิด
นี้เกิดจากสาเหตุ 2 ประการ คือ หลักสูตรไม่ส่งเสริมให้ผู้เรียนเกิดพัฒนาการรอบด้าน และการสอน
ของครูยึดหนังสอื เรยี นและเนื้อหาสาระมากเกนิ ไป ทำใหก้ ารสอนจืดชืดไมม่ ีชวี ติ ชวี า

6. หลกั สูตรในฐานะท่ีเป็นจดุ หมายปลายทาง เป็นสงิ่ ท่ีสังคมมุง่ หวังหรือคาดหมาย
ให้เด็กได้รับ กล่าวคือ ผู้ที่จบการศึกษาจากหลักสูตรนี้ไปแล้วจะมีคุณลักษณะอย่างไรบ้าง จะเกิดผล
อย่างไรในตัวผู้เรียนบ้าง แนวคิดนี้มองหลักสูตรในฐานะที่ทำให้เกิดผลการเรียนรู้ตามที่มุ่งหวังที่จะ
เกิดขน้ึ จากการเรียนรู้

7. หลักสูตรในฐานะที่เป็นระบบการเรียนการสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอน
เป็นการมองหลักสูตรในฐานะที่เป็นแผนการเตรียมโอกาสของการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนที่จัดขึ้นโดย
โรงเรียนหรือสถาบันการศึกษาที่รับผิดชอบ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ เป็นการคาดการณ์
ล่วงหนา้ โดยรวมเอาแผนย่อย ๆ ทเี่ ปน็ โอกาสของการเรียนรู้ทคี่ าดหวังเขา้ ไว้ด้วย

ชาติชาย ม่วงปฐม (2557, หน้า 10-11) ให้ความหมายหลักสูตรมีความหลากหลาย
ขึ้นกับแนวคิดของปรัชญาการศึกษา เช่น หลักสูตรที่มีความหมายเป็นรายวิชาซึ่งเน้นเนื้อหาน่าจะมา
จากแนวคิดปรัชญาการศึกษาสารัตถนิยมและนิรันตรนิยม หลักสูตรหมายถึงกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียน
ยอ่ มสอดคล้องกับแนวคิดปรชั ญาการศึกษาพิพัฒนนิยม และหลกั สตู รหมายถึงมวลประสบการณ์ที่จัด
ให้กับผู้เรียน สอดคล้องกับแนวคิดปรัชญาการศึกษาปฏิรูปนิยม และเมื่อพิจารณาให้ความหมายจาก
รากศัพท์ของหลักสูตร Curriculum มาจากภาษาละตินคือ Currere หมายถึงลู่วิ่ง และกำหนด
ความหมายให้เป็นรูปธรรม หลักสูตรจะหมายถึงแผนหรือแผนแบบที่มีองค์สำคัญคือจุดมุ่งหมาย
เนือ้ หา กจิ กรรม และวิธกี ารประเมินผล สำหรบั เปน็ แนวทางในการจดั การศึกษา การจัดการเรียนการ
สอนและกิจกรรมสนบั สนนุ การเรยี นการสอน เพ่ือใหผ้ ูเ้ รยี นเกดิ การเรียนร้ตู ามเปา้ หมายทก่ี ำหนดไว้

รงุ่ ทวิ า ปณุ ะตงุ (2560, หนา้ 53) ให้ความหมายหลักสูตรหมายถงึ มวลประสบการณ์
ทุกอย่างที่โรงเรียนจัดไว้ให้แก่ผู้เรียนภายใต้การดูแลควบคุมของโรงเรียน สามารถพัฒนาผู้เรียนให้มี
ลกั ษณะตามที่สงั คมม่งุ หวงั เพอื่ นำผเู้ รยี นไปส่เู ป้าหมายของการจดั การศกึ ษาได้

ฐิติวรดา พลเยี่ยม (2560, หน้า 17) ให้ความหมายหลักสูตร หมายถึง มวลประสบ
การณที่ได้จัดทำขึ้นหรือกำหนดขึน้ อย่างมีระบบแบบแผนที่จดั ใหผูเรียน ทั้งในและนอกหองเรียนเพื่อ
พัฒนาผู้เรียนทั้งด้านสติปัญญา ด้านเจตคติ และคุณลักษณะอันพึงประสงค ตามความมุ่งหมายที่
กำหนดไว้

นีรนาท จลุ เนียม (2560, หน้า 35) ใหค้ วามหมายหลกั สตู ร หมายถึง เอกสารที่สร้าง
ข้ึนจากกระบวนการบูรณาการความรู้ ทกั ษะและประสบการณ์การเรียนรู้ ประกอบดว้ ย ความเป็นมา
หลักการ วัตถปุ ระสงค์ โครงสร้าง กิจกรรม สื่อการวดั ประเมินผล และแผนการจัดกจิ กรรม

82

จากความหมายของหลักสูตรตามที่ได้กล่าวมา สรุปได้ว่า หลักสูตร หมายถึง
มวลประสบการณ์ ที่ผู้บริหาร ครู และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันจัดขึ้นเพื่อให้ผู้เรียนเกิดคุณภาพ
โดยพัฒนาผู้เรียนทั้งด้านสติปัญญา ด้านเจตคติ และคุณลักษณะอันพึงประสงค ตามความมุ่งหมาย
ที่กำหนดไว้ ซึ่งมวลประสบการณ์ดังกล่าวได้แก่ เอกสารหลักสูตร หนังสือ ตำรา คู่มือการสอน ระบบ
การเรียนการสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอนต่าง ๆ เปน็ ต้น

2. ความสำคญั ของหลกั สูตร
หลักสูตรนับว่ามีความสำคัญยิ่งต่อการจัดการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ เนื่องจาก

หลักสูตรจะเป็นแนวทางสำหรบั ผสู้ อนในการจัดการเรียนรู้ ซ่งึ นักการศึกษาไดก้ ล่าวถงึ ความสำคัญของ
หลกั สตู รในหลายประการดังน้ี

บุญเลีย้ ง ทุมทอง (2554, หนา้ 13) ทไ่ี ด้ใหค้ วามสำคญั ของหลักสูตร สรปุ ได้วา่ หลักสูตร
1. เปน็ เสมอื นเบ้าหลอมพลเมืองให้มีคณุ ภาพ
2. เปน็ มาตรฐานของการจดั การศึกษา
3. เป็นโครงการและแนวทางในการใหก้ ารศึกษา
4. ในระดบั โรงเรียนหลักสตู รเปน็ แนวปฏบิ ตั ิแก่ครู
5. เป็นแนวทางในการส่งเสริมความเจริญงอกงามและพัฒนาการของเด็กตาม

จุดมุ่งหมายของการศึกษา
6. เป็นเครือ่ งกำหนดแนวทางในการจดั ประสบการณว์ ่า ผเู้ รยี นและสงั คมควรจะได้รับ

สิง่ ใดบา้ งที่จะเปน็ ประโยชน์แก่เดก็ โดยตรง
7. เป็นเครื่องกำหนดว่า เนื้อหาวิชาอะไรบ้างที่จะช่วยให้เด็กมีชีวิตอยู่ในสังคมอย่าง

ราบร่นื เปน็ พลเมอื งทด่ี ขี องประเทศชาติ และบำเพ็ญตนให้เปน็ ประโยชน์แกส่ งั คม
8. เป็นเครื่องกำหนดว่า วิธีการดำเนินชีวิตของเด็กให้เป็นไปด้วยความราบรื่นและ

ผาสกุ เปน็ อยา่ งไร
9. เป็นตัวบ่งชล้ี กั ษณะสังคมในอนาคตว่าจะเปน็ อย่างไร
10. เป็นตัวกำหนดแนวทางความรู้ ความสามารถ ความประพฤติ ทักษะ และเจตคติ

ของผ้เู รียนเพื่อการดำรงอยรู่ ่วมกับสงั คม และบำเพ็ญให้เปน็ ประโยชน์ต่อชมุ ชนและชาตบิ ้านเมือง
รุ่งทิวา ปุณะตุง (2560, หน้า 55) ได้กล่าวถึงความสำคัญของหลักสูตรว่าหลักสูตรเป็น

แนวทางในการจัดการศึกษาทุกระดับ เปรียบเสมือนแผนทีบ่ อกทิศทางในการจัดการเรยี นการสอนว่า
จะให้ดำเนินการไปในทิศทางใด เพื่อให้ผู้สอนนำไปพัฒนาคนให้มีความรู้ ทักษะความสามารถ และ
ความประพฤติที่จะเปน็ ประโยชนต์ อ่ การพฒั นาตนเองและสงั คมโดยรวม

ฐิติวรดา พลเยี่ยม (2560, หน้า 19) จากความสำคัญของหลักสูตรที่นักการศึกษาได้
กล่าวมาข้างต้น สรุปได้ว่า หลักสูตรมีความสำคัญอย่างยิ่งในการเป็นกรอบแนวทางการจัดการศึกษา
ของผู้สอนเพื่อพัฒนาคนให้มีความรู้ทักษะ ความสามารถ และความประพฤติที่จะเป็นประโยชน์ต่อ
การพัฒนาสงั คมโดยรวม

จากความสำคัญของหลักสูตรตามที่ได้กล่าวมา พอสรุปได้ว่า หลักสูตรมีความสำคัญ
ทางด้านการศึกษา เมื่อมนุษย์ได้รับการศึกษาแล้วจะสามารถพัฒนาตนให้มีคุณภาพชีวิตตาม
ประสบการณ์ที่ได้รับเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างเข้มแข็ง นำความรู้

83

ความสามารถของตนเองพัฒนาประเทศได้เจริญก้าวหน้า และยังมีความสำคัญต่อการสอน เพราะ
หลักสตู รเปน็ ตัวกำหนดการจดั การศึกษาทกุ ระดบั เพื่อใหผ้ ูเ้ รยี นไดบ้ รรลผุ ลตามสงิ่ ที่คาดหวงั

3. ประเภทของหลักสูตร
ในการสร้างและพัฒนาหลักสูตร ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับประเภท

ของหลักสูตร ดังทีน่ ักวชิ าการได้กลา่ วถงึ ดังนี้
บุญชม ศรีสะอาด (2546, หน้า 49–61) ได้กล่าวว่า รูปแบบของหลักสูตร จำแนก

ได้ 9 รปู แบบ ดังน้ี
1. หลักสูตรรายวิชา (Subject Curriculum) เป็นรูปแบบหลักสูตรเก่าแก่ที่สุด

มีรากฐานมานานต้งั แตส่ มัยกรีกและโรมนั โดยมีจุดม่งหมายเพื่อเพมิ่ พูนความเข้าใจโลกรอบ ๆ ตัวของ
ผู้เรียนซง่ึ มลี ักษณะดงั ต่อไปนี้

1.1 เนื้อหาสาระของแต่ละรายวิชาจะแยกจากกันโดยเด็ดขาดเช่น แยกเป็น
วิชาประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ หน้าที่พลเมือง เลขคณิต พีชคณิต เรขาคณิตตรีโกณ ฯลฯ และในการ
สอนก็สอนแยกกนตามรายวิชานั้น ๆ เช่น สอนประวัติศาสตร์แยกจากวิชาอื่นที่สัมพันธ์กัน อันได้แก่
ภมู ศิ าสตร์ เศรษฐศาสตร์ ฯลฯ เปน็ ต้น

1.2 แต่ละวิชาจะมีลำดับ (Orderliness) มีหลักเหตุผล (Logic) มีการจัดเรียง
เนื้อหาสาระและวิธีการค้นคว้าของตนเอง มีขอบเขตที่ตายตัวของความรู้ในวิชานั้นไม่มีการพาดพิง
หรอื แสดงความสมั พนั ธเ์ กย่ี วกับวิชาอน่ื ๆ

1.3 ไมไ่ ด้โยงความสัมพันธ์ระหว่างความรกู้ บั การปฏิบัตใิ นสถานการณจ์ ริง
1.4 การเลือกเน้ือหาและการจัดเนื้อหาเพื่อสอนยดึ คุณค่าท่ีมีอยู่ในตัวของเร่ือง
ท่ีสอนนนั้ โดยสันนษิ ฐานวา่ นกั เรยี นจะสามารถนำเอามาใชไ้ ดเ้ มือต้องการ
2. หลักสูตรสหสัมพันธ์ (Correlated Curriculum) หลักสูตรแบบนี้จะมีการ
นำเอาเน้อื หาของวชิ าอ่นื ท่สี ัมพนั ธ์กันมาผนวกเข้าไว้จึงแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างวชิ า ต้งั แต่
2 วิชาขึ้นไป โดยไม่ทำลายขอบเขตวชิ าเดิม ตัวอย่าง เช่น การจัดเนื้อหาให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง
เหตุการณ์บางอยา่ งในประวัตศิ าสตร์ไทยกบั วรรณคดใี นยุคนั้นท้ังนีจ้ ะไม่ทำลายเอกลักษณข์ องวิชาท้งั
สอง แต่จะแสดงให้เห็นว่าแต่ละวชิ าเสริมกันอยา่ งไร
3. หลักสตู รผสมผสาน (Fused Curriculum) เป็นการจดั หลักสูตรท่รี วมวิชาตั้งแต่
2 วิชาขึ้นไปเป็นวิชาเดียวแต่ยังคงรักษาเนื้อหาวิชาเดิมมากกว่า ในระดับมัธยมศึกษา จะพยายามจัด
หลักสูตรแบบนี้ในวิชาวิทยาศาสตร์และในวิชาสังคมศึกษา เช่น การรวมวิชาสัตวศาสตร์และวิชา
พฤกษศาสตร์เข้าเป็นวิชาชีววิทยาหรือการรวมวิชาการปกครอง สังคมวิทยา และวิชาอื่น ๆ จากทาง
สังคมศาสตร์ เข้าเป็นวิชาประชาธปิ ไตยของไทย เป็นต้น
4. หลกั สตู รหมวดวิชา (Board Fields Curriculum) เป็นรปู แบบหลกั สูตรที่ขยาย
จากหลกั สตู รแบบสหสมั พนั ธแ์ ละแบบผสมผสาน เปน็ การนำเอาเนื้อหาวชิ าจากหลายๆ วชิ ามาจดั เป็น
วิชาทั่วไปกว้างๆ ความแตกต่างที่สำคัญของหลักสูตรแบบนี้กับแบบสหสัมพันธ์และแบบผสมผสานก็
คือ แนวความคิดในการจัดทำหลกั สูตรแบบนีจ้ ะมองไปไกลกว่าการรวมวิชา 2 วิชาเข้าด้วยกัน แต่ยัง
พยายามทจี่ ะทำความเข้าใจอย่างกว้าง ๆ โดยเน้นความสัมพันธร์ ะหวา่ งวิชาตา่ ง ๆ เหล่านนั้ สัมพนั ธ์กับ
ความเขา้ ใจมโนทศั น์กวา้ ง ๆ ตัวอยา่ งเช่น วิชาสังคมศึกษา ภาษาศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ทว่ั ไป

84

5. หลกั สตู รวชิ าแกน (Core Curriculum) มลี กั ษณะของหลกั สูตรดงั นี้
5.1 มวี ิชาใดวิชาหน่ึงหรือกล่มุ วิชาหนง่ึ เป็นแกนของวชิ าอน่ื ๆ
5.2 มุ่งให้ผู้เรียนมีความสามารถในการทำหน้าทีป่ ระชากรที่มปี ระสทิ ธิภาพใน

ระบบประชาธปิ ไตย
5.3 เน้นความต้องการของสังคมปจั จุบัน
5.4 เนื้อหาจะมาจากปัญหาทางสังคมและส่วนตนที่พิจารณาเห็นว่าเป็น

ข้ันตอนสำคัญของการศกึ ษาท่ัวไป
5.5 เน้นการแกป้ ัญหา
5.6 เนอ้ื หาวชิ าของหลักสตู รแบบนจ้ี ะไม่มีขอบเขตของวิชาตา่ ง ๆ ที่มารวมกัน
5.7 มีการวางแผนรว่ มกนั ระหว่างครูกบั นักเรยี น
5.8 เนน้ การสอนทักษะทย่ี ึดความตอ้ งการ
5.9 ใช้เวลาสอนชว่ งยาวกวา่ 1 คาบเรียนปกติ
5.10 การแนะแนวเปน็ ส่วนหนง่ึ ของหลักสตู รแบบนี้

6. หลักสูตรที่เน้นทักษะกระบวนการ (Process Skills) เป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับ
กระบวนการในการเรียนรู้ เช่น ทักษะกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ (Science Process Skills)
อันประกอบไปด้วย การสังเกต การจัดประเภท การตีความ และการทดลองโดยมีเนื้อหาจาก
วิทยาศาสตร์ดา้ นตา่ ง ๆ เพื่อพัฒนากระบวนการเหลา่ น้ี เป็นต้น

7. หลักสูตรที่เน้นสมรรถฐาน (CompetencyorPerformancebase Curriculum) เป็น
หลักสูตรที่เน้นความสัมพันธ์โดยตรงระหว่างจุดม่งหมายกิจกรรมการเรียนและความสามารถในการ
ปฏิบัติของผู้เรียนในขณะที่หลักสูตรแบบอื่นเน้นความสัมพันธ์ระหว่างองค์ประกอบน้อยกว่าแบบอื่น
ในการจัดหลักสตรแบบนี้จะต้องกำหนดความสามารถในการปฏิบัติที่ต้องการไว้เป็นจุดประสงค์เชิง
พฤติกรรมหรือจุดประสงค์ด้านความสามารถ แลว้ วางแผนกิจกรรมการเรียนเพื่อให้ผเู้ รียนบรรลุแต่ละ
จุดประสงค์ และมีการตรวจสอบการปฏบิ ัตขิ องผูเ้ รียนกอ่ นทีจ่ ะผา่ นไปเรียนตามวัตถประสงค์ถัดไป

8. หลักสูตรที่เน้นกิจกรรมและปัญหาทางสังคม (Social Activities and Problem
Curriculum) หลักสูตรแบบนี้จะมีลกษณะแตกต่างกันไปตามทฤษฎีที่ยึดถือ เช่น ตัวอย่างหลักสูตรที
เน้นหน้าที่สำคัญทางสังคมของรัฐเวอร์จเิ นยี มีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันและอนุรักษ์ชีวิต ทรัพย์สมบัติ
และทรพั ยากรธรรมชาติ ผลติ อาหารและบรกิ ารตา่ ง ๆ ติดตอ่ สอ่ื สาร และขนสง่ สนิ ค้า

9. หลกั สตู รทเี่ น้นความต้องการและความสนใจของแตล่ ะบุคคล (Individual and
Interest Curriculum) หลักสูตรที่เน้นความสนใจและความต้องการของนักเรียน ตามรูปแบบ
หลักสูตรที่รุสโซ (Rousseau) ใช้ในศตวรรษที 18 เปสตาลอสซี (Pestalozz) ใช้ในสวิสซอร์แลนด์ใน
ต้นศตวรรษที่ 19 และในโรงเรียนทดลอง (Laboratory School) ของดิวอี้ (John Dewey) มีช่ือ
เรียกหลายๆ แบบ เช่น การเน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง (Child Centered) การเน้นประสบการณ์
(Experienced Centered) การศึกษาแบบพิพัฒนาการนิยม (Progressive Education) การศึกษา
แบบเปิด (Open Education) และการศกึ ษาเนน้ มนุษยน์ ิยม (Humanistic Education) เปน็ ต้น

Saylor and Alexander (1974, p. 231) ให้ความเห็นว่ารูปแบบหลักสูตรที่เน้น
ความต้องการและความสนใจของแตล่ ะบุคคล มลี กษณะดังนี้


Click to View FlipBook Version