The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nok26644, 2022-08-15 06:11:40

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

135

และเครื่องมือการวิจัยในการศึกษา เช่น ระบบบริหารของสถานศึกษาองค์ความรู้เรื่องการวิจัยของ
ผู้บรหิ ารและครูอาจารย์ การสรา้ งแรงจูงใจ การจดั สรรงบประมาณสนบั สนุน การประเมินคุณภาพ

9. การเรียนรู้ด้วยความร่วมมือของครอบครัวและชุมชน หมายถึง การที่ครอบครัว
ชุมชน และสถานศึกษามีบทบาทร่วมกันในการจัดกระบวนการเรียนรู้ให้กลับผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้
อย่างเต็มความศักยภาพ ขอบเขตเนื้อหาเกีย่ วข้องกับบทบาทของครอบครัวและชุมชนในการรว่ มการ
จัดทำหลังสูตรการสนับสนุนทรัพยากรทางการศึกษา การประเมินคุณภพทางการศึกษากลยุทธ์และ
เครื่องมือสำคัญที่ทำให้สถานศึกษาได้รับความร่วมมือจากชุมชน เช่น เทคนิคการบริหารอย่างมีส่วน
ร่วม การกระจายอำนาจความสมั พนั ธร์ ะหว่างโรงเรยี นกลับชมุ ชน

10. การประเมินผู้เรียน หมายถึง กระบวนการพิจารณาตัดสินคุณภาพ คุณลักษณะ
และพฤติกรรมของผู้เรยี นวา่ เป็นไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไมอ่ ย่างไรขอบเขตเน้ือหา เก่ียวข้อง
กับวิธีประเมินผล เครื่องมือในการประเมินผล องค์ความรู้ในการประเมินผล การมีส่วนร่วมในการ
ประเมินผลของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อกลยุทธ์และเครื่องมือในการประเมินผลผู้เรียน เช่น การประเมินผล
ตามจรงิ แฟ้มสะสมงาน การสังเกต การสัมภาษณ์ การจัดนิทรรศการแสดงผลงาน

ขั้นท่ี 5 การประเมนิ ผลหลกั สตู ร
เป็นการตัดสินคุณค่าของหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นโดยใช้ผลจากการรวบรวมข้อมูลในแง่มุม

ต่าง ๆ เพื่อหาคำตอบว่าหลักสูตรมีผลสัมฤทธิ์ตามที่กำหนดไว้หรือไม่เพียงใด สิ่งใดที่ควรต้องทำการ
ปรับปรุงเพอ่ื ใหห้ ลกั สูตรดยี ิง่ ขน้ึ

การประเมนิ หลกั สตู ร ให้ครูประเมินจากสิ่ง ๆ ต่อไปนี้
1. ผลที่เกิดขึ้นกับนักเรียน ได้แก่ ความรู้ ทักษะ เจตคติ และค่านิยมต่าง ๆ

มีการประเมนิ เปน็ 2 ระยะ คอื
1.1 ประเมินระหว่างการจัดการเรียนการสอน เป็นการประเมินตาม

จดุ ประสงค์เชิงพฤตกิ รรม ทีก่ ำหนดไว้ในแต่ละคาบของการจัดการเรยี นการสอน
1.2 ประเมินเมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอน ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร

วา่ นักเรยี นมผี ลสมั ฤทธ์ิเป็นไปตามจุดประสงคท์ ก่ี ำหนดไว้ในหลกั สูตรหรือไม่ อย่างไร
2. ประเมนิ การจัดการเรียนการสอน เพอ่ื ตรวจสอบวา่ เม่ือนำหลักสูตรไปใช้จัดการ

เรียนการสอนในสถานการณ์จริงแล้วเปน็ อย่างไร มีปัญหา/อปุ สรรคอยา่ งไร การจัดการเรียนการสอน
ให้คำนงึ ถงึ การประเมินสิง่ ต่าง ๆ ต่อไปนี้

2.1 การประเมินเนื้อหาสาระที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอน เหมาะสมและ
สอดคล้องกับพัฒนาการของผู้เรียน ผู้เรียนสนใจในเน้ือหาสาระเรือ่ งราวที่นำมาใช้ในการจัดการเรยี น
การสอนหรือไม่ อย่างไร

2.2 ประเมินสื่อที่ใช้ในการเรียนการสอนว่าเหมาะสม ชัดเจน เข้าใจง่าย และ
ดงึ ดดู ความสนใจของผู้เรยี นเพียงใด

2.3 ประเมินกิจกรรมการจัดการเรียนการสอนว่าเป็นไปตามลำดับจากง่ายไป
ยาก

136

การบริหารจัดการหลกั สูตรสถานศึกษา

การบริหารจัดการเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา หลักสูตรของ
สถานศึกษามีคุณภาพและประสิทธิภาพหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยการบริหารจัดการหลักสูตร
สถานศึกษาอย่างเป็นระบบนั่นเอง ซึ่งประกอบด้วย งาน/ภารกิจที่สถานศึกษาจะต้องดำเนินการ 7
ภารกจิ (กระทรวงศึกษาธิการ กรมวชิ าการ, 2553, หนา้ 7-12) คอื

ภารกจิ ท่ี 1 การเตรยี มความพร้อมของสถานศกึ ษา
ภารกิจทีผ่ ู้บริหารและครผู ู้สอนตลอดจนบุคลากรที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนนิ การเพื่อเตรยี ม

ความพรอ้ มของสถานศึกษา มีดังนี้
1.1 สร้างความตระหนักให้แก่บุคลากรของสถานศึกษา ประกอบด้วย คณะกรรมการ

สถานศึกษา ผู้บริหาร ครูผู้สอน ผู้ปกครอง ชุมชน และนักเรียน เพื่อให้เห็นความสำคัญหรือความ
จำเปน็ ที่ต้องร่วมมอื กันบรหิ ารจดั การหลกั สูตรของสถานศึกษา

1.2 ดำเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการของสถานศึกษาตาม
ระเบียบกระทรวงศึกษาธกิ าร

1.3 เผยแพรป่ ระชาสัมพันธ์ให้นักเรียน ผู้ปกครอง ชุมชน หน่วยงาน/องค์กรในชมุ ชน
ทกุ ฝ่ายได้รบั ทราบ และให้ความร่วมมอื ในการบริหารจัดการหลกั สตู รของสถานศึกษา

1.4 จดั ทำข้อมูลสารสนเทศของสถานศึกษาใหเ้ ป็นระบบ
1.5 จดั ทำแผนพฒั นาคณุ ภาพการศกึ ษาหรอื ธรรมนญู สถานศึกษา
1.6 พัฒนาบุคลากรของสถานศึกษาให้มีความรู้ ความเข้าใจ และสามารถนำความรู้
ไปใช้จดั ทำสาระของหลกั สตู รสถานศกึ ษา
ภารกิจที่ 2 การจัดทำสาระของหลกั สูตรสถานศึกษา
คณะกรรมการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการสถานศึกษาและคณะอนุกรรมการระดับ
กลุ่มวชิ า จะต้องดำเนนิ การจัดทำสาระของหลักสูตรสถานศึกษาดงั ต่อไปนี้ (กรมวชิ าการ 2543 หน้า
19)
2.1 ศึกษาองค์ประกอบของหลักสูตรว่า กำหนดสาระที่เป็นแกนกลางและสาระของ
ท้องถิ่นไวอ้ ย่างไร และมคี วามสอดคลอ้ งสมั พันธแ์ ละสมดลุ อย่างไร
2.2 วิเคราะห์ขอบข่ายเนื้อหาหรือสาระการเรียนรู้ที่กำหนดไว้ ทั้งองค์ประกอบด้าน
ความรู้ทกั ษะ/กระบวนการ คณุ ธรรม จริยธรรมและคา่ นยิ ม
2.3 ศึกษาสภาพปัญหาของชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น ความต้องการของ
ชุมชนและสังคม
2.4 ปรับปรุงสาระการเรียนรู้เพิ่มเติมในส่วนที่ต้องจัดให้สอดคล้องกับสภาพปัญหา
และความต้องการของชุมชน
2.5 ตรวจสอบความสอดคล้องของสาระการเรียนรู้เพิ่มเติมกับมาตรฐานการเรียนรู้
กลุ่มวชิ า และมาตรฐานหลกั สูตรการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน
2.6 วางแผนการจัดการเรียนการสอนตามขอบข่ายสาระการเรียนรู้ มาตรฐานการ
เรยี นรู้ สัดสว่ น เวลาและหน่วยกิตตามทีห่ ลกั สูตรแกนกลางกำหนด
2.7 พัฒนาแนวการจดั การเรียนการสอนเพือ่ นำไปสกู่ ารจัดการเรียนรูใ้ นหอ้ งเรียน

137

นอกจากนี้ครูควรดำเนินการเพื่อให้การจดั ทำหลักสตู รของสถานศกึ ษาสมบูรณ์อีก 2 ประการ
นั่นคอื กำหนดสือ่ การเรยี นรู้และการวัดและประเมนิ ผล

ภารกิจที่ 3 การวางแผนบรหิ ารจัดการหลักสูตร
การวางแผนบริหารจัดการหลักสูตรหรือวางแผนดำเนินการใช้หลักสูตร มีภารกิจที่ต้อง

ดำเนินการ 3 ส่วน คอื
3.1 การบริหารการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ เช่น กิจกรรมที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ การ

ใช้สื่อและแหล่งการเรยี นรู้อย่างหลากหลาย การสอนซ่อมเสรมิ การประเมนิ ผลตามสภาพจรงิ เปน็ ต้น
3.2 การบริหารการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เช่น การวางแผนให้ครูทุกคนสามารถ

แนะแนวผู้เรยี นไดท้ ้งั ดา้ นการศึกษา อาชีพและปัญหาอ่ืน ๆ เป็นต้น
3.3 การส่งเสริมและสนับสนุนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน

เช่น การสร้างเครอื ขา่ ยการเรียนร้ใู นและนอกสถานศึกษา การสง่ เสรมิ ให้ครูทำวจิ ัยในชัน้ เรยี น เปน็ ต้น
ภารกิจที่ 4 การปฏิบตั ิการบริหารจัดการหลกั สูตร
การดำเนินการบรหิ ารจัดการหลกั สตู รให้เปน็ ไปตามภารกิจทีส่ อง หรอื การจดั ทำสาระของ

หลักสูตรสถานศึกษา และภารกิจที่สามหรือการวางแผนบริหารจัดการหลักสูตร ซึ่งสถานศึกษาได้
กำหนดไว้

ภารกจิ ท่ี 5 การนิเทศ กำกบั ตดิ ตามและประเมนิ ผล
การนเิ ทศ กำกบั ตดิ ตามและประเมินผลแยกออกเป็น 2 สว่ น คอื
5.1 การนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผลการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ

ภายในสถานศึกษา
5.2 การนิเทศ กำกับ ติดตามและประเมินผลการบริหารหลักสูตรและงานวิชาการ

จากภายนอกสถานศึกษา
ภารกจิ ที่ 6 การสรปุ ผลการดำเนินงานบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา
สถานศึกษาจะต้องรวบรวมข้อมูลผลการดำเนินงานบริหารจัดการหลักสูตรของ

สถานศึกษา สรุปและเขียนรายงานผลการดำเนินงานเสนอต่อผู้ที่เกี่ยวข้อง และนำผลการรายงาน
เผยแพร่ให้ชุมชนหรือสาธารณชนไดร้ บั ทราบ

ภารกจิ ที่ 7 การปรับปรงุ และพัฒนากระบวนการบริหารจัดการหลักสตู รสถานศึกษา
ผลการดำเนินงานบริหารจัดการหลักสูตรสถานศึกษา ปัญหา/อุปสรรคในการดำเนินงาน

และข้อมูลจากการติดตามประเมินผลการใช้หลักสูตรทั้งหมด จะเป็นประโยชน์ต่อการปรับปรุงและ
พัฒนากระบวนการบรหิ ารจัดการหลักสตู รสถานศึกษาในปตี ่อ ๆ ไป

การกำกับดูแลคณุ ภาพระดบั สถานศกึ ษา

เพอื่ สร้างความมัน่ ใจแก่พ่อแม่ ผู้ปกครองและชมุ ชนผเู้ รยี นได้รบั การพัฒนาให้มีคุณภาพตามที่
คาดหวังตามที่กำหนด ในมาตรฐานการเรียนรู้ และเป็นสมาชิกที่ดีของชุมชนตามความคาดหวังของ
สถานศึกษา การกำกับดูแลคุณภาพของการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและนำหลักสูตรไปใช้จึงเป็น
สิง่ สำคญั จำเปน็ ทส่ี ถานศกึ ษาสามารถดำเนนิ การไดห้ ลายแนวทาง (กระทรวงศกึ ษาธิการ กรมวชิ าการ,
2553, หน้า 68-70) ไดแ้ ก่

138

1. การนเิ ทศ ตดิ ตาม การใชห้ ลกั สูตร
การนิเทศ ติดตาม การใช้หลักสูตรเป็นกระบวนการสำคัญที่สถานศึกษาใช้ในการควบคมุ

คุณภาพโดยใช้เทคนิควิธกี ารท่ีหลากหลาย ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวัตถปุ ระสงคข์ องการติดตาม เช่น การตรวจ
เยี่ยม และการสังเกตการณ์ในชั้นเรียน การสอนแนะ (Coaching) การตรวจสอบแผน การตรวจสอบ
แผนการจัดการเรียนรู้ การบันทึกรายงานหลังการสอน การประเมินผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเป็นต้น
สถานศึกษาควรจัดให้มีแผนนิเทศกำกับติดตามการใช้หลักสูตรอย่างเป็นระบบ ดำเนินการให้
กระบวนการนิเทศเป็นวัฒนธรรมในการปฏิบัติงานของครู และบุคลากรทางการศึกษาบนพื้นฐาน
ความรู้สึกที่เป็นกัลยาณมิตร มีการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน การยอมรับการเปลี่ยนสภาพ
ระหว่างการเป็นผู้นิเทศและเป็นผู้รับการนิเทศซึ่งจะเกิดขึ้นได้ตลอดเวลาเพื่อให้เกิดระบบนิเทศติด
ตามทีเ่ ปน็ กัลยาณมติ รดงั กล่าวแล้วควรดำเนินการ ดังนี้

1. ร่วมกันกำหนดความต้องการในการรับการนิเทศและกำกับติดตามเพื่อเฝ้าระวัง
ไม่ใหค้ ุณภาพการจดั ทำและใชห้ ลกั สตู รเกิดปัญหาอปุ สรรคและส่งผลกระทบต่อคุณภาพของผูเ้ รยี น

2. สร้างความเข้าใจและทัศนคติเกี่ยวกับการนิเทศติดตามการใช้หลักสูตรในเชิงบวก
แก่ครูและบุคลากรทางการศึกษาว่ามิได้เป็นกระบวนการจับผิดแต่เป็นกระบวนการดูแลช่วยเหลือ
เพ่ือใหก้ ารใช้หลักสูตรมีคณุ ภาพและประสทิ ธภิ าพ

3. กำหนดข้อตกลงเพื่อการขับเคลื่อนการนิเทศติดตามร่วมกันและมีแผนการ
ดำเนินการอย่างชดั เจนเป็นรูปธรรม

4. ผู้บรหิ ารสถานศกึ ษาต้องดำเนนิ การให้มีการนิเทศตดิ ตามอย่างเป็นระบบครบวงจร
ทัง้ ในระดบั ชัน้ เรยี นระดับสถานศกึ ษาอย่างตอ่ เน่ืองและครอบคลุม

2. การประกนั คุณภาพภายใน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพุทธศักราช 2542 กำหนดให้สถานศึกษามีการ

จัดระบบการประกันคุณภาพภายใน และการเตรียมความพร้อมสำหรับการประกันคุณภาพภายนอก
เป็นระบบควบคมุ คุณภาพการศกึ ษาท่สี ถานศึกษาต้องใชเ้ ป็นกลไกสำคญั ในการสร้างความมัน่ ใจต่อพ่อ
แม่ผู้ ปกครอง และชุมชน ว่าจะสามารถจัดการศึกษาอย่างมีคุณภาพสถานศึกษา จึงต้องจัดระบบ
ประกันคุณภาพที่เน้นการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ดังนั้นต้องมีการดำเนินการประกันคุณภาพอย่าง
ต่อเนื่อง โดยมีแผนพัฒนาคุณภาพมีเป้าหมายการพัฒนาชัดเจนแผนปฏิบัติการต้องเน้นผลคุณภาพ
ผู้เรียนมีการรายงานผลเป็นระยะระยะอย่างต่อเนื่องและนำผลมาใช้ในการพัฒนาหลักสูตรการเรียน
การสอน

3. การวิจัยและติดตามผลการใช้หลกั สูตรสถานศึกษา
การวิจัยจะเป็นที่มาของข้อมูลข่าวสารที่แม่นตรงแสดงจุดแข็ง จุดอ่อน ปัญหา สาเหตุ

และ แนวทางปรับปรุงพัฒนาให้สถานศึกษาสามารถจัดหลักสูตรการเรียนการสอนได้อย่างมี
ประสิทธภิ าพ ดังนัน้ สถานศกึ ษาควรดำเนินการ ดังน้ี

3.1 การวิจัยพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา มุ่งเน้นการวิจัยเพื่อนำผลมาประกอบการ
พิจารณาปรับปรุงหลักสูตรสถานศึกษาให้เหมาะสมสอดคล้องกับผู้เรียน และความต้องการของ
ผ้ปู กครอง ชมุ ชน

139

1) การประเมนิ ความต้องการจำเปน็ ในการศึกษาต่อ และการประกอบอาชีพของผู้
เรียนใน อนาคต เพ่ือนำมาใช้กำหนดโครงการเรียนรู้ และเวลาเรยี น

2) การประเมนิ ความต้องการของพ่อแม่ผู้ปกครอง และชุมชนในการพัฒนาผู้เรียน
เพอื่ นำมาใช้กำหนดโปรแกรมการเรียน และโครงการต่าง ๆ

3) การประเมินผลหลักสูตรสถานศึกษา โดยมีหัวข้อในการพิจารณา เช่น ความ
ครบถ้วนของ องค์ประกอบหลักสูตร ความสอดคล้องของแต่ละองค์ประกอบสอดคล้องกับหลักสูตร
แกนกลางฯ และกรอบ หลักสูตรระดับท้องถิ่น สอดคล้องกับความต้องการของผู้ เรียน พ่อแม่
ผู้ปกครองและชุมชน ความเหมาะสม ของแนวทางการจัดการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
และระบบการวัดและประเมินผล เป็นตน้

3.2 การวิจัย ประเมินผลการใช้หลักสูตร การประเมินผลการใช้หลักสูตรเป็นส่วน
สำคัญส่วนหนึ่งของกระบวนการพัฒนาหลักสูตร ซึ่งสถานศึกษาจะต้องมีความตระหนักในการ
ปรับปรุงหรือพัฒนาหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นหลักประกัน ว่าผู้เรียนจะได้รับการพัฒนาท้ังดา้ น
สติปัญญา รา่ งกาย คณุ ธรรม บรรลุตามมาตรฐานการเรียนรรู้ ะดบั ชาติ และสามารถดำรงชวี ิตในสังคม
ได้อย่างมีความสุข กระบวนการประเมินผลการใช้หลักสูตรสามารถดำเนินการ ได้ ทั้งระหว่างการใช้
หลักสูตร และเมื่อนำหลักสูตรไปใช้เรียบร้อยแล้ว หรือการติดตามจากผลผลิตของ หลักสูตร
คือ ผู้เรียนทีจ่ บการศึกษาตามหลักสตู ร เพ่ือใหก้ ารประเมินผลการใชห้ ลักสูตรบรรลุเป้าหมายของการ
ควบคมุ คุณภาพ สถานศึกษา ควรจัดใหม้ ีการประเมินท้งั ระบบ คือ

1) กำหนดใหม้ กี ารประเมนิ การใชห้ ลกั สตู ร เปน็ กิจกรรมหลักของสถานศึกษา
2) สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับการประเมินการใช้หลักสูตรด้วยตนเองให้เกิดขึ้นกับ
คณะครู
3) วางระบบเครือข่ายการท างานและมอบหมายงานการประเมินให้คณะ
ผู้ปฏิบัติงานแต่ละ คณะดำเนินการประเมินเป็นระยะ ๆ โดยกำหนดให้ชัดเจนว่าคณะใดต้องประเมิน
รายการใดบ้าง
4) สรุปผลการประเมิน และนำผลการประเมินมาปรับปรุงและพัฒนาหลักสูตร
สถานศกึ ษา
การประเมินผลการใชห้ ลักสูตรมแี นวทางการดำเนินการที่สำคัญ คือ พิจารณาองค์ ประกอบ
ของหลักสูตรที่จะประเมิน พิจารณาหลักเกณฑ์ที่จะใช้ในการประเมิน ออกแบบการจัดเก็บข้อมูล
ดำเนินการเก็บรวบรวมข้อมูล วิเคราะห์ขอ้ มูล เพื่อใช้พิจารณาตัดสินใจในการปรับปรุงหลักสูตรต่อไป
สำหรับประเด็นใน การประเมินนั้น สามารถประเมินได้ทั้งเรื่องปัจจัยที่มีผลต่อการใช้หลักสูตร
กระบวนการใช้หลักสูตร และผล จากการใช้หลักสูตร อย่างไรก็ตาม สถานศึกษาควรมุ่งเน้นการ
ประเมินส่วนท่ีเกี่ยวข้องต่อคณุ ภาพของผู้เรียนเป็นสำคัญและควรคำนึงถึงทั้งผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนรู้
และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ของผู้เรียน สถานศึกษา จะต้องให้ความสำคัญ โดยนำผลการประเมนิ
ระดบั สถานศกึ ษา ระดับเขตพืน้ ที่การศึกษา และระดับชาติ มาพจิ ารณาท้ังผลการประเมินในภาพรวม
และผลการประเมินที่แยกรายวิชา และแยกรายมาตรฐาน หากผล การประเมินไม่เป็นไปตาม
เป้าหมายที่คาดหวัง ควรศึกษาวิเคราะห์เพื่อค้นหาสาเหตุที่แท้จริง ซึ่งสาเหตุย่อมเกิด มาจากปัจจัย
และกระบวนการใชห้ ลกั สูตรสถานศึกษานั้นเอง จากน้นั จึงหาวิธแี ก้ปัญหาเพอ่ื พฒั นาคุณภาพ ตอ่ ไป

140

ประเด็นเกยี่ วข้องในการประเมนิ ผลการใชห้ ลกั สูตร

ปัจจัยของการใช้หลักสตู ร กระบวนการใช้หลกั สตู ร ผลการเรียนร้ขู องผเู้ รยี น
• หลักสูตรสถานศึกษา • การออกแบบและการจดั การ • คณุ ภาพของผเู้ รยี นตาม
• ความพรอ้ มของ บุคลากร เรียนรูข้ องครู มาตรฐานการเรยี นร/ู้ ตวั ชวี้ ดั
• ทักษะการถ่ายทอดของ ครู • การนเิ ทศ ติดตามผลการใช้ • การเปลย่ี นแปลง พฤติกรรม
• เทคนคิ การสอน หลักสตู ร ของผู้เรียน
• สอื่ การเรยี นการสอน • การประเมินผลการเรียนรู้ • คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์
• การวัดผลประเมนิ ผล ฯลฯ และสมรรถนะสำคญั ของผู้เรียน
• การบรหิ ารจัดการหลกั สูตร • ความสำเร็จในการศกึ ษาตอ่
ฯลฯ และประกอบอาชพี ฯลฯ

ภาพประกอบ 51 การประเมนิ ผลการใชห้ ลกั สตู ร
ท่ีมา (กระทรวงศกึ ษาธกิ าร กรมวชิ าการ, 2553, หนา้ 70)

นอกจากนั้นสถานศึกษาควรสนับสนุนส่งเสริมให้ครูทำวิจัยปฏิบัติการ (Action research)
เพือ่ แกป้ ัญหาและพัฒนาการจัดการเรียนการสอนของตนเอง โดยการวิจัยนัน้ อาจเริ่มต้นจากการเลือก
ปัญหาการวิจัยที่มีความสำคัญและส่งผลกระทบต่อผู้เรียนมากที่สุด และที่มาของปัญหาการวิจัยอาจ
เกิดจากผู้เรียน เช่น ปัญหาพฤติกรรม ปัญหาการเรียนรู้ เป็นต้น หรืออาจเกิดจากการจัดการเรียนรู้
ของครูไม่เหมาะสมสอดคล้อง กับผู้เรียนรายคน เมื่อได้ปัญหาการวิจัยแล้วจึงดำเนินการตามขั้นตอน
การวิจัยตอ่ ไป

การบรู ณาการการพฒั นาหลักสตู รสถานศึกษาไปใช้

พระณัฐพงษ ณฎฐิโก (2553, หน้า 114-116) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาหลักสูตร
สถานศึกษา เรื่อง พระธาตุพนม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอุ่มเหม้าประชาสรรค์
ดำเนินการวิจัย 4 ขั้นตอน ดังนี้ ขั้นตอนที่ 1 การศึกษาข้อมูลพื้นฐาน ขั้นตอนที่ 2 การยกร่าง และ
ตรวจสอบความเหมาะสมของหลักสูตร ขั้นตอนที่ 3 การทดลองใช้หลักสูตร และขั้นตอนที่ 4 การ
ประเมินผลการทดลองใชหลักสูตร ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรสถานศึกษา เรื่อง พระธาตุพนม
สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอุ่มเหม้าประชาสรรค์ มีประสิทธิภาพสูงกว่าเกณฑ์
80/80 ที่ตั้งไว้ องค์ประกอบของหลักสูตรสถานศึกษา ประกอบด้วย หลักการและเหตุผล จุดหมาย
ขอบข่ายสาระ (กำเนิดอำเภอธาตุพนม สภาพทางภูมิศาสตร์ สืบสาวเล่าความตำนานพระธาตุพนม
ประวัตศิ าสตร์พระธาตพุ นม ประวัตวิ ดั พระธาตพุ นม ขนบธรรมเนียมประเพณี และวัฒนธรรมท้องถิ่น)
มาตรฐานการเรียนรู้ ผลการเรียนรู้ที่คาดหวัง สาระการเรียนรู้ โครงสร้างรายวิชา คำอธิบายรายวิชา
หน่วยการเรียนรู้ แนวการจัดการเรียนรู้ สื่อการเรียนรู้ และการวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้
2) ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนที่เรียน โดยใช้หลักสูตรสถานศึกษา เรื่อง พระธาตุพนม
สำหรบั นักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปที ี่ 2 โรงเรยี นอุ่มเหมา้ ประชาสรรค์ หลงั เรยี นสงู กวา่ ก่อนเรียนอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 และ3) นักเรียนมีเจตคติต่อการเรียนการสอนโดยใช้หลักสูตร

141

สถานศึกษาเรื่อง พระธาตุพนม สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนอุ้มเหม้าประชาสรรค์
โดยรวมอยใู่ นระดับ มาก

ภษู ิต บวั สวัสดิ์ (ภูษติ บัวสวสั ด์ิ, 2560) ได้ศึกษา การพัฒนาหลกั สูตรสถานศึกษา กลุม่ สาระ
การเรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่อง การเล่นสะบ้าล้อของจังหวัดจันทบุรี ชั้นประถมศึกษาปีที่ 5
โรงเรยี นสฤษดิเดช ดำเนนิ การวจิ ยั 3 ขน้ั ตอน ดังน้ี

ขั้นตอนที่ 1 การพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วย ขั้นที่ 1 ศึกษาสภาพความต้องการของ
โรงเรียน และความต้องการของชุมชน ขั้นที่ 2 ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับท้องถิ่น และความรู้เกี่ยวกับ
การละเลน่ สะบ้าล้อของ ขั้นท่ี 3 การสรา้ งเคร่ืองมือเพื่อใชส้ ำหรับผู้เก่ียวข้อง ข้นั ที่ 4 ยกร่างหลักสูตร
และขั้นที่ 5 ยกร่างเอกสารประกอบหลักสูตร การสร้างแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน การ
สร้างแบบประเมนิ ทกั ษะปฏิบตั ิ การสรา้ งแบบประเมนิ แบบวดั เจตคติ และการตรวจสอบหลักฐานและ
เอกสารประกอบโดยผู้เชี่ยวชาญ ตลอดจนการปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรและเอกสารประกอบหลักสูตร
ก่อนนำไปทดลองใช้

ขัน้ ตอนที่ 2 การทคลองใช้หลักสูตร ประกอบดว้ ย ข้ันที่ 1 การเตรยี มการใช้หลกั สตู ร
และขนั้ ท่ี 2 ทดลองใช้หลกั สูตร 2.1 กำหนดแบบแผนการทคลองใชห้ ลกั สูตร 2.2 การดำเนนิ การ
ทดลองใชห้ ลักสูตร

ขั้นตอนที่ 3 การประเมินผลและปรับปรุงหลกั สตู ร ประกอบด้วย ข้นั ที่ 1 กำหนด
หลกั เกณฑ์การประเมินหลกั สูตร ขัน้ ที่ 2 วเิ คราะหข์ ้อมูลเพื่อประเมนิ หลกั สตู ร และขั้นที่ 3 ปรบั ปรงุ
แก้ไขหลกั สตู ร

ผลการวิจยั พบว่า 1) ผลสัมฤทธ์ทิ างการเรียน พบว่า คะแนนเฉล่ยี ของความร้คู วาม
เข้าใจ เรอื่ ง การเล่นสะบา้ ล้อของจังหวดั จนั ทบุรี ก่อนการทดลองใช้หลกั สูตรของนักเรียน เทา่ กับ
15.68 มีความเบ่ียงเบนมาตรฐานเท่ากบั 2.30 ขณะที่คะแนนเฉลีย่ ของความรู้ความเข้าใจหลังการ
ทดลองใชห้ ลกั สูตรของนักเรียนเท่ากับ 2463 มีความเบย่ี งเบนมาตรฐานเทา่ กับ 2.19 โดยมคี ่าเฉล่ีย
เพิ่มขึ้น 8.95 คะแนน 2) ผลคะแนนทักษะปฏิบัติ พบว่า คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนจากการทำจาก
การปฏิบัติงานตามแผนการจัดการเรียนรู้ตามหลักสูตรสถานศกึ ษา กลุ่มสาระการเรียนรู้สุขศึกษาและ
พลศึกษาเรือ่ ง การเล่นสะบ้าล้อของจังหวัดจนั ทบรุ ี มคี า่ เท่ากบั 95.25 จากะแนนเต็ม 112 คะแนน
คดิ เปน็ รอ้ ยละ 85.04 3) นกั เรียนมเี จตคติต่อการเรียนรูใ้ นการใช้หลักสูตรสถานศึกษากลุ่มสาระการ
เรียนรู้สุขศึกษาและพลศึกษา เรื่องการเล่นสะบ้าล้อของจังหวัดจันทบุรี โดยภาพรวมอยู่ในระดับมาก
เม่อื พิจารณาเปน็ รายข้อ พบวา่ นักเรียนมีเจตคติต่อการเรียนรใู้ นการใช้หลกั สตู รสถานศกึ ษากลุ่มสาระ
การเรียนรสู้ ุขศึกษาและพลศึกษา เร่อื ง การเลน่ สะบ้าล้อของจงั หวัดจันทบรุ ี อยู่ในระดับมากและมาก
ทส่ี ดุ

จากการศึกษาตัวอย่างงานวิจัย ผู้เขียนนำเสนอการนำการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาใน
โรงเรียนของท่าน โดยนักพัฒนาหลักสูตรควรที่จะรู้ว่าจะสร้างหลักสูตรสถานศึกษาในลักษณะ
หลักสูตรสถานศึกษาของโรงเรียน ตามปีการศึกษา หรือหลักสูตรสถานศึกษาของแต่ละกลุ่มสาระใน
โรงเรียน เป็นต้น ถึงแมจ้ ะเป็นหลักสตู รใด หลักสตู รท้ัง 2 ประเภทท่ีกล่าวมามีการสร้างและพัฒนาไม่
ต่างกันแต่จะต่างกันตรงเนื้อหาที่จะในการศึกษาในหลักสูตรนั้นและการประเมินหลักสูตรก็จะมีการ
ความแตกต่างต่างกันขึ้นอยู่กับนักพัฒนาหลักสูตรจะประเมินหลักสูตรทั้งระบบคือ ประเมินเอกสาร

142

ประมนิ ผลสมั ฤทธ์ิ ซึง่ อาจมีการประเมินหลกั สูตรที่หลากหลายโดยนักพฒั นาหลักสตู รจำเป็นอย่างย่ิงท่ี
นำความรู้ข้างต้นมาช่วยการเลือกในการพัฒนาหลักสูตร ทั้งนี้ในการพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องอาศัย
การมีส่วนร่วมใของภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้งบุคลที่อยู่ภายในโรงเรียนและภายนอกโรงเรียนที่ได้
การแต่งตั้งในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา ซึ่งสอดคล้องกับ นิยามของคำว่าการมีส่วนร่วมของ
ทนงศักด์ิ คมุ้ ไขน่ ้ำ (2540) ทกี่ ลา่ วว่า การมีส่วนรว่ ม หมายถึง กระบวนการใหป้ ระชาชนเขา้ มามีส่วน
ร่วมในการดำเนินงานพัฒนา รวมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมใช้ความคิดสร้างสรรค์ ความรู้และความ
ชำนาญ เปน็ ตน้

บทสรปุ

พัฒนาการขแงหลักสูตรไทย มีพฒั นาการแบ่งเป็น 2 ยคุ ดงั นี้
1. ก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 (พ.ศ.2503–2543)

หลักสูตรพุทธศักราช 2503 มีการพัฒนาการหลักสูตร ดังนี้ หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2521 และ 2524 และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2521 (ฉบับ
ปรบั ปรุง พ.ศ. 2533)

2. ระยะหลังประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 (พ.ศ.2544–
ปจั จบุ นั ) มีการพัฒนาการหลกั สูตร ดังนี้ หลักสูตรการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศกั ราช 2544 หลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2551 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ.2560)

หลักสูตรสถานศึกษา หมายถึง แบบแผนหรือแนวทางหรือข้อกำหนดของการจัดการ ที่จะ
พัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถโดยส่งเสริมให้แต่ละบุคคลพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสุดของตน
รวมถึงระดับขั้นของมวลประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้สะสมซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปสู่
การปฏิบัติได้ประสบการณ์สำเร็จในการเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จักตนเอง มีชีวิตอยู่ในโรงเรียน ชุมชน
สงั คม และโลกอย่างมคี วามสขุ

หลักสูตรสถานศึกษามีความสำคัญจำเป็นต่อการพัฒนาการศึกษาให้มีคุณภาพ ดังน้ัน
หลักสูตรที่สร้างขึ้นจำเป็นต้องมีความสอดคล้องกับสภาพปัญหา และสนองความต้องการของสังคม
ที่ใช้หลักสูตรนั้น ๆ ตอบสนองต่อความต้องการของสังคม ท้องถิ่นและชุมชนมีสภาพที่แตกต่างกัน
ได้มากที่สุด การพัฒนาแต่ละท้องถิ่นก็ต้องมีความแตกต่างกัน เทคโนโลยีเจริญเร็วจะทำหลักสูตร
ระดับชาติไปใช้กับท้องถิ่นก็ไม่ทันกับความเจริญของเทคโนโลยี ดังนั้นสถานศึกษาจึงต้องจัดทำ
หลักสตู รสถานศึกษาเอง

องค์ประกอบของหลักสูตรประกอบด้วยส่วนต่าง ๆ ดังนี้ 1. ส่วนนำ 2. โครงสร้างหลักสูตร
สถานศึกษา 3. คำอธิบายรายวชิ า 4. กิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น 5. เกณฑ์การจบการศกึ ษา

กระบวนการพัฒนาหลักสตู รสถานศกึ ษา ประกอบดว้ ย
ขั้นที่ 1 การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในด้านต่าง ๆ มีการดำเนินการดังน้ี

ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน และการ
วเิ คราะหห์ ลักสูตรแกนกลาง

143

ขั้นที่ 2 การร่างหลักสูตร มีการดำเนินการดังนี้ การกำหนดจุดประสงค์ของหลักสูตร
การกำหนดเนื้อหาสาระ การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อต่าง ๆ และการกำหนดวิธีวัดและ
ประเมินผลผ้เู รียน

ขน้ั ท่ี 3 การตรวจสอบคณุ ภาพหลกั สูตร มีการดำเนนิ การ
ขนั้ ท่ี 4 การนำหลกั สูตรไปใช้
ขั้นที่ 5 การประเมินผลหลักสตู ร
การบรหิ ารจดั การหลกั สูตรสถานศึกษา มกี ารดำเนินการตามภารกจิ ดังนี้
ภารกิจที่ 1 การเตรียมความพรอ้ มของสถานศึกษา
ภารกิจท่ี 2 การจดั ทำสาระของหลกั สตู รสถานศึกษา
ภารกจิ ท่ี 3 การวางแผนบริหารจดั การหลักสตู ร
ภารกิจท่ี 4 การปฏบิ ัตกิ ารบรหิ ารจัดการหลักสูตร
ภารกจิ ท่ี 5 การนเิ ทศ กำกบั ติดตามและประเมนิ ผล
ภารกิจที่ 6 การสรุปผลการดำเนนิ งานบรหิ ารจดั การหลักสูตรสถานศึกษา
ภารกิจท่ี 7 การปรบั ปรงุ และพัฒนากระบวนการบริหารจดั การหลกั สตู รสถานศกึ ษา
การกำกบั ดูแลคุณภาพระดบั สถานศึกษา ประกอดว้ ย การนเิ ทศ ตดิ ตาม การใชห้ ลกั สูตร การ
ประกนั คณุ ภาพภายใน และการวิจัยและติดตามผลการใช้หลกั สูตรสถานศึกษา



145

บทที่ 6

การบรหิ ารแหลง่ เรยี นรู้เพ่ือสง่ เสริมการจัดการเรยี นรู้

บทนำ

แหล่งเรียนรู้เป็นปัจจัยสำคัญปัจจัยหนึ่งในการจัดการเรียนการสอน เพราะแหล่งเรียนรู้
จะเป็นสื่อในการกระตุ้นให้นักเรียนเกิดความสนใจใคร่รู้และเกิดการเรียนรู้โดยผ่านกระบวนการหรือ
กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้ให้บังเกิดผลต้องเกิดจากการสนับสนุนของ
ผบู้ ริหาร การดำเนินการของครู นักเรยี น และความรว่ มมอื ของทกุ ฝา่ ยการท่โี รงเรียนจะใช้แหล่งเรียนรู้
ให้เป็นประโยชน์ตอ่ การศึกษาได้ดนี ั้น บุคลากรของโรงเรียนจะตอ้ งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแหลง่
เรียนรูอ้ ย่างพอเพยี งทั้งในด้านรายละเอียดของแหล่งเรียนรู้ วิธีการใช้แหล่งเรียนรู้และการบริหารการ
ใชแ้ หลง่ เรียนรใู้ ห้เกิดประสทิ ธิผลอกี ดว้ ย

การพฒั นาแหลง่ เรียนรู้ทีส่ ามารถเช่ือมโยงความรู้ที่หลากหลายจึงมีความสำคัญต่อการพัฒนา
สู่การเป็นเมืองแห่งความเรียนรู้ ไม่ว่าจะเป็นแหล่งเรียนรู้ทางกายภาพและแหล่งเรียนรู้ออนไลน์
โดยมีปัจจัยสำคัญในการสร้างสรรค์แหล่งเรียนรู้ยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยีสารสนเทศที่ช่วย
อำนวยความสะดวกในการเข้าถึงองค์ความรู้ เทคโนโลยีสมัยใหม่ ทชี่ ่วยให้การนำเสนอมคี วามน่าสนใจ
เข้าใจง่าย และช่วยให้เกดิ การมสี ว่ นร่วมในกจิ กรรมการเรยี นร้แู ละพฒั นาทักษะ ท้ังระหวา่ งผู้เรียนรู้กับ
แหล่งเรียนรู้ และระหว่างผู้เรียนรู้ด้วยกันเอง รวมถึงการสร้างความรู้สึกเป็นเจ้าของแหล่งเรียนรู้ของ
คนในชุมชน ซึง่ มีผลต่อความยงั่ ยนื ของแหลง่ เรียนรู้

การใช้แหล่งเรียนรู้มีความสำคัญในกระบวนการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนเพราะผู้เรียน
สามารถเรียนรู้จากสภาพจริง การจัดการเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้จะเกี่ยวข้องกับบุคคล สถานที่
ธรรมชาติ หน่วยงานองค์กร สถานประกอบการ ชุมชน และสิ่งแวดล้อมอื่น ๆ ซึ่งผู้เรียน ผู้สอน
สามารถศึกษาค้นคว้าหาความรู้หรือเรื่องที่สนใจได้จากแหล่งเรียนรู้ทั้งที่เป็นธรรมชาติ และที่มนุษย์
สรา้ งขึ้น ชุมชนและธรรมชาติเปน็ ขุมทรัพย์มหาศาลทีเ่ ราสามารถค้นพบความรไู้ ด้ไม่รูจ้ บ ทำให้ผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้และสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเอง ด้วยเหตุนี้ผู้เขียนขอเสนอการบริหารแหลง่ เรียนรู้เพื่อ
การจดั การเรียนรู้ในรายละเอยี ดเน้ือหา ดงั น้ี 1) แนวคิดเก่ียวกบั แหลง่ เรียนรู้ 2) แนวคิดเก่ียวกับการ
บริหารแหลง่ เรยี นรู้ และ3) การบรู ณาการการบริหารแหลง่ เรียนร้เู พือ่ การจดั การเรยี นรู้

แนวคดิ เก่ียวกับแหล่งเรยี นรู้

1. ความหมายของแหล่งเรยี นรู้
กระทรวงศึกษาธิการ (2550, หน้า 3) ได้ให้ความหมายของแหล่งเรียนรู้ว่า หมายถึง

สื่อที่อยู่รอบตัวเราที่ผู้เรียนและผู้สอนสามารถใช้ในการศึกษาค้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง เช่น ส่ือ
ธรรมชาติสือ่ สิง่ พมิ พส์ ่ือเทคโนโลยแี ละเครือข่ายการเรียนรู้ทีม่ ีอยนู่ ท้องถ่นิ ชมุ ชนและแหลง่ อื่น ๆ

ราชบัณฑิตยสถาน (2555, หน้า 329) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แหล่งเรียนรู้ (Learning
Resources) หมายถึง บุคคล สถานที่ ธรรมชาติ และเทคโนโลยี ที่ให้ความรู้ อำนวยความสะดวก

146

ส่งเสริม สนับสนุนให้เกิดการเรียนรู้ เช่น ผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญ ปราชญ์ชาวบ้าน ห้องสมุด เครือข่าย
คอมพิวเตอรศ์ ูนย์การเรยี นชุมชน ศาสนสถาน องคก์ ารในชุมชน สิ่งแวดล้อมตามธรรมชาติ

รุ่งชัชดาพร เวหะชาติ (2555, หน้า 132) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แหล่งเรียนรู้ หมายถึง
แหล่ง หรือที่รวมซึ่งอาจเป็นสภาพสถานที่หรือศูนย์รวมที่ประกอบด้วย ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ และ
กิจกรรมที่มีรูปแบบแตกต่างจากกระบวนการเรียนการสอนทีม่ ีครูเป็นผูส้ อนหรอื ศูนย์กลางการเรยี นรู้
แตเ่ ป็นการเรียนรูท้ ม่ี กี ำหนดเวลาเรียนยืดหยนุ่ สอดคลอ้ งกบั ความต้องการและความพร้อมของผู้เรียน

Blaug, M (1971, p 341)) ได้ให้ความหมายไว้วา่ แหลง่ เรียนรูส้ าหรับโรงเรียนหมายถึง
ประชาชน สถานทต่ี ่าง ๆ และกจิ กรรมทง้ั หลายทีน่ ำมาใชใ้ นการเรียนการสอนเพ่ือให้นกั เรียนเป็นคนดี
และทรัพยากรท้องถ่ินอาจจะเรียกว่าแหล่งวทิ ยาการในทอ้ งถ่ินตรงกับภาษาองั กฤษว่า “Community
resources” หรอื “Local resources”

Good, C.V (1973, p. 114) ได้ให้ความหมายไว้ว่า แหล่งเรียนรู้ หมายถึง ทุกสิ่งทุก
อย่างที่มีอยู่ในชุมชน เป็นสิ่งทีม่ ีคุณคา่ ทางการศึกษาที่สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการเรียนการสอน
ได้เช่นพิพิธภัณฑ์ โรงมหรสพ ห้องสมุด สวนสาธารณะ เป็นต้น นอกจากนี้รวมถึงบคุ คลหรอื กลุ่มคนที่
อยู่ในชุมชนอกี ด้วย

Nichols, M (1971, p 341) ให้ความหมายคำวา่ แหล่งความรใู้ นชุมชน หมายถึง แหลง่
ที่เป็นวิชาการสำหรับโรงเรียน ประกอบด้วย ประชาชน สถานที่ สิ่งต่าง ๆ และกิจกรรมทั้งหลายท่ี
นำมาใช้ในการศกึ ษาของนกั เรียน เพ่อื ใหเ้ ปน็ พลเมืองดี

สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ (2550, หนา้ 3) ได้กลา่ วถงึ แหล่งเรียนรู้ว่า
เป็น “แหล่ง” หรือ “ที่รวม” อันอาจเป็นสถานทีห่ รือศูนย์รวมทีป่ ระกอบด้วย ข้อมูล ข่าวสาร ความรู้
และกิจกรรมทมี่ กี ระบวนการเรียนรู้ หรือกระบวนการเรยี นการสอนที่มีรูปแบบแตกตา่ งจากกระบวน
การเรียนการสอนที่มีครูเป็นผู้สอน มีระยะเวลาเรียนยืดหยุ่นสอดคล้องกับความต้องการและความ
พรอ้ มของผู้เรยี น มกี ารประเมนิ และการวัดผลการเรียนท่ีมลี ักษณะเฉพาะสรา้ งขึน้ ให้เหมาะสมกับการ
เรียนรู้อย่างต่อเนื่อง ไม่จำเป็นต้องเป็นรูปแบบเดียวกับการประเมินผลในชั้นเรียนห้องเรียนนั้น ซึ่งมี
การจัดแหล่งเรียนรู้อยู่มากมายทั้งที่เป็นภาครัฐและเอกชน โดยมีวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งเป็นกา ร
เฉพาะแตกต่างกันออกไปไม่ว่าจะเป็นพิพิธภัณฑ์ สวนพฤกษาศาสตร์ หรือแม้แต่หอสมุดแห่งชาติ
และอุทยานประวัตศิ าสตร์

สุดารัตน์ งามวิลัย (2561, หน้า 29) สรุปได้ว่า แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูล
ข่าวสาร สารสนเทศทยากร ประสบการณ์ตรง วัตถุสิ่งของต่าง ๆ ที่มีอยู่ในท้องถิ่น สมาคม บุคคล
สถานที่ สถาบันหน่วยงาน และวัตถุสิ่งของที่มนุษย์สร้างขึ้น เทคโนโลยี สิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติ
กิจกรรม ประเพณีหรือ การดำรงชีวิตในชุมชนในท้องถิ่นที่มีคณุ ค่าและมีความสำคัญต่อการเรียนการ
สอนเพราะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้หมายถึง แหล่งที่มีข้อมูล ข่าวสาร ความรู้ที่ให้เข้าไปศึกษาหา
ความรูค้ วามเขา้ ใจและความชำนาญ

147

ภาพประกอบ 52 แหล่งเรยี นรู้ในจังหวดั สกลนคร
ที่มา (แหล่งเรยี น, 2564)

จากที่กล่าวมาสรุปได้ว่า แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งข้อมูลข่าวสาร สารสนเทศ และ
ประสบการณ์ ที่สนับสนุนส่งเสริมให้ผู้เรียนใฝ่เรียน ใฝ่รู้ แสวงหาความรู้และเรียนรู้ด้วยตนเองตาม
อัธยาศัย อย่างกว้างขวางและต่อเนื่อง ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสิ่งที่เป็นธรรมชาติหรือสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น
เป็นได้ทั้งบุคคล สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตได้แก่ บุคคล สถานที่ต่าง ๆ แหล่งวิทยาการ ธรรมชาติ สภาพ
สังคมเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ ที่เสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิด
กระบวนการเรียนรู้ และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยประสบการณ์ตรง เพื่อให้สามารถ
นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ และเพื่อเสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้ และเป็น
บุคคลแหง่ การเรยี นรู้

2. ความสำคัญของแหล่งเรียนรู้
ความก้าวหนา้ ทางวิทยาการของโลกปัจจุบัน เป็นไปอย่างกว้างขวางและรวดเรว็ การศึกษา

หรือการเรียนรู้จะหยุดอยู่เพียงการศึกษาในรั้วโรงเรียนเท่านั้นคงไม่เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพ
ของบุคคล ทั้งด้านความรู้ ทักษะ ทัศนคติ ค่านิยม โดยส่งเสริมการศึกษาหาความรู้อย่าง ต่อเนื่อง
ต่อไปตลอดชีวิต การจัดแหล่งเรียนรู้ที่หลากหลาย มุ่งให้ผู้เรียนรักการเรียนรู้ และแสวงหาความรู้ได้
ดว้ ยตนเอง มีผู้กลา่ วถึงความสำคัญของแหลง่ เรยี นรู้ไว้มากมาย ในสว่ นหน่งึ มดี งั ตอ่ ไปน้ี

ศิริกาญจน์ โกสุมภ์ และดารณี คาวัจนัง (2552, หน้า 15) กล่าวถึงความสำคัญของ
แหลง่ การเรียนรูใ้ นชมุ ชนดงั น้ี

1. เป็นแหล่งที่มีความรู้หลากหลาย พร้อมที่จะให้ผู้เรียนเข้าไปศึกษาค้นคว้าด้วย
กระบวนการจดั การเรียนรูท้ แ่ี ตกต่างกัน

2. เปน็ แหลง่ เชอ่ื มโยงการเรียนรู้ของโรงเรยี นและชมุ ชนเข้าดว้ ยกนั
3. เป็นแหล่งการเรียนรู้ที่ทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้อย่างมีความสุขตามหลกั การ
ปฏิรูป การเรียนรู้ ผู้เรียนสำคัญท่ีสดุ ผู้เรียนต้องเรียนรู้จากการได้คิดเอง ปฏิบัติเอง และสร้างความรู้
ด้วยตนเองในเรอื่ งทส่ี อดคล้องกับการดำรงชวี ิตจากแหลง่ เรียนรู้รอบตวั
เขมนัฏฐ์ มิ่งศิริธรรม (2553, หนา้ 18) กล่าวถงึ ความสำคญั และประโยชน์ของการใช้
แหลง่ เรียนรไู้ ว้ ดังนี้
1. เป็นแหล่งที่มีสาระเนื้อหาที่เป็นขอ้ มูลความรู้ ให้มนุษย์เกิดโลกทัศน์ท่ีกว้างไกล
กว่าเดิม ช่วยให้เกิดความสนใจในเรื่องสำคัญ ช่วยยกระดับความทะเยอทะยานของผู้ศึกษา จากการ

148

นำเสนอสาระความรู้ หรือภาพในอุดมคติ หรือเสนอผลสำเร็จและความก้าวหน้าของงาน หรือชิ้นงาน
หรอื เทคโนโลยหี รือบคุ คลตา่ ง ๆ ของแหล่งเรยี นรู้

2. เปน็ สื่อการเรียนรู้สมัยใหม่ท่ีให้ทั้งสาระความรู้ กอ่ ให้เกดิ ทักษะ และช่วยให้เกิด
การเรียนรู้ ไดเ้ รว็ มากย่ิงขึ้น

3. เป็นแหล่งช่วยเสรมิ การเรยี นรขู้ องการศึกษาประเภทต่าง ๆ ทัง้ การศึกษาระบบ
การศกึ ษาในระบบ การศกึ ษานอกระบบและการศกึ ษาตามอัธยาศยั

4. เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตที่มนุษย์สามารถที่จะมีปฏิสัมพันธ์ในการหาความรู้
ต่าง ๆได้ด้วยตนเองตลอดเวลาโดยไมจ่ ำกัด เพศ วยั และความรคู้ วามสามารถ

5. เปน็ แหล่งที่มนุษยส์ ามารถเข้าไปปฏิสัมพันธใ์ นการหาความรู้ แหลง่ กำเนิด หรือ
แหลง่ ตน้ ตอของความรู้ เช่น จากโบราณสถาน โบราณวัตถุ พันธไุ์ ม้ พันธส์ุ ัตว์ สภาพชีวิตความเป็นอยู่
ตามธรรมชาติของสตั ว์เป็นตน้

6. เปน็ แหลง่ ที่มนษุ ยส์ ามารถเขา้ ไปปฏสิ ัมพนั ธ์ให้เกิดประสบการณ์ตรง หรือลงมือ
ปฏิบัติได้จริงเช่นการประดิษฐ์เครื่องใช้ต่าง ๆ การซ่อมแซมเครื่องยนต์ เป็นต้น ช่วยกระตุ้นให้เกิด
ความสนใจ ความใฝร่ ู้

7. เป็นแหล่งที่มนุษย์สามารถเข้าไปปฏิสัมพันธ์ให้เกิดความรู้ เกี่ยวกับวิทยาการ
สมัยใหม่ที่ได้รับการคิดค้นขึ้น และยังมีของจริงให้เห็น เช่นการดูภาพยนตร์ วีดีทัศน์ หรือสื่ออื่น ๆ
ในเรื่องการประดิษฐค์ ดิ ค้นสง่ิ ตา่ ง ๆ ขนึ้ มาใหม่

8. เป็นแหล่งสง่ เสรมิ ความสัมพนั ธ์อันดี ระหว่างคนในท้องถ่ินกับผูเ้ ข้าศึกษาในการ
ทำกิจกรรมร่วมกัน ช่วยสร้างความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของการมีส่วนร่วม เกิดความตระหนัก
และเหน็ คุณค่าของแหลง่ เรยี นรู้

9. เป็นสิ่งที่เปลี่ยน แปลงทัศนคติ ค่านิยมให้เกิดการยอมรับสิ่งใหม่ แนวคิดใหม่
เกิดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์กับผู้เรียนเป็นการประหยัดเงินของผู้เรียนในการใช้แหล่ง
เรยี นรขู้ องชมุ ชนใหเ้ กิดประโยชนส์ งู สุด

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2)
พ.ศ.2545 และที่แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553 (กระทรวงศึกษาธิการ, 2553, หน้า 12)
มุ่งเน้นนักเรียนเป็นสำคัญ โรงเรียนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงต้องทำหน้าที่สนับสนุนส่งเสริมให้
ผูเ้ รียนเปน็ ผมู้ ีความรูเ้ พียงพอทจี่ ะดำรงชวี ิตได้อย่างมคี ุณภาพ สง่ เสริมใหผ้ ู้เรียนรู้ รู้จักและสามารถใช้
ประโยชน์จากแหล่งเรยี นรตู้ ่าง ๆ ได้อย่างเต็มศักยภาพ โดยจดั กระบวนการเรียนรไู้ วด้ งั น้ี

1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของ
ผู้เรยี นโดยคานึงถงึ ความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คล

2. ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์และกี่ประยุกต์
ความรู้มาใชเ้ พ่ือป้องกันและแก้ไขปญั หา

3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้
คิดเป็นทาเป็น รกั การอ่านและเกิดการใฝ่รอู้ ย่างต่อเน่ือง

4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วน
สมดลุ กันรวมทัง้ ปลูกฝังคณุ ธรรม ค่านยิ มทดี่ ีและคุณลักษณะอนั พึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา

149

5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน
และอานวยความสะดวกเพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และมคี วามรอบรู้ รวมทั้งสามารถใชก้ ารวจิ ัยเปน็
ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนและ
แหลง่ วิทยาการประเภทตา่ ง ๆ

6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานร่วมมือกัน บิดา
มารดาผู้ปกครอง และบคุ คลในชมุ ชนทุกฝ่าย เพอื่ รว่ มกันพฒั นาผู้เรียนตามศักยภาพ

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (2550, หน้า 9) ได้กล่าวถึง
ความสำคัญของแหลง่ เรยี นรู้มีดังนี้

1. แหล่งเรียนรู้เป็นแหล่งที่นักเรียนจะศึกษาค้นคว้าหาคาตอบที่สนใจใฝ่รู้แหล่ง
เรยี นรมู้ ีทั้งในโรงเรยี นและชมุ ชน

2. แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียนนอกจากห้องเรียน ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ แล้ว สถานท่ี
ทุกแห่ง ในบริเวณ โรงเรียนจัดเป็นแหล่งเรียนรู้ได้และบางครั้งโรงเรียนอาจจัดเพ่ิมเติมสิ่งที่มีอยู่เช่น
จดั เปน็ จุดศึกษาสวนการเรียนรคู้ า่ ยการเรยี นรู้เป็นต้น

3. แหล่งเรียนรู้ในชุมชน เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีอยู่ตามธรรมชาติและที่สร้างขึ้นอาจ
เป็นสถานที่สำคัญทางศาสนา สาธารณประโยชน์ สถานประกอบการสถาบันทางการศึกษาอาชีพใน
ชุมชนตลอดจนภมู ิปญั ญาท้องถิน่ ในดา้ นต่าง ๆ

4. โรงเรียนจัดการเรียนรู้โดยเชื่อมโยงกิจกรรมต่อเนื่องระหว่างการเรียนรู้ใน
ห้องเรียนในโรงเรียน และชุมชน อย่างไรก็ตามแนวคิดในการจัดการเรียนการสอนโดยใช้แหล่งเรียนรู้
ที่กล่าวในเบ้ืองต้น นั้นจะบังเกดิ ประสทิ ธภิ าพในเชิงปฏบิ ัตติ ้องยึดหลักปรัชญาการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียน
เป็นสำคัญโดยเน้นใหผ้ ู้เรียนได้มีสว่ นรว่ ม ในการจัดการเรยี นรู้ซึง่ ผู้สอนสามารถกระตุ้นให้ผู้เรียนได้คิด
ไดป้ ฏิบัตงิ านด้วยเอกลกั ษณข์ องตวั เอง

วิจารณ์ พานิช (2555, หน้า 11) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแหล่งเรียนรู้ ดังนี้
จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษา 3 ยุค คือยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม และยุคความรู้ มีความ
แตกต่างกันมากหากเราต้องการใหส้ ังคมไทยดำรงศักด์ิศรี และคนไทยสามารถอยู่ในสงั คมโลกได้อย่าง
มีความสุขการศึกษาไทยต้องก้าวไปสู่ เป้าหมายในสู่ “ยุคความรู้” จุดท้าทายในการจัดการศึกษาควร
ไปในทศิ นำทางของความสุขในการทำงานอยา่ ง มีเปา้ หมายเพอ่ื ชวี ติ ที่ดลี ูกศษิ ย์ในยุคความรู้กระตุ้นให้
ศิษย์เรียนรู้ตลอดชีวิต ครูจึงต้องยึดหลัก “สอนน้อย เรียนมาก” ด้วยจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้ผู้เรียน ครู
ต้องตอบได้ว่า ศิษย์ได้เรียนอะไร และเพื่อให้ศิษย์ได้อะไร การประสบผลสำเร็จได้นั้น ครูต้องทำอะไร
ไม่ทำอะไร การทำหน้าที่ครูจึงไม่ผิดทางคือ ทำให้ศิษย์เรียนไม่สนุก หรือเรียนแบบขาดทักษะสำคัญ
“ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21” (21st century skills) จะเกิดขึ้นได้จาก “ครูต้องไม่สอน
แต่ต้องออกแบบการเรียนรู้และอำนวยความสะดวก” ในการเรียนรู้ ให้ศิษย์ได้เรียนรู้จากการเรียน
แบบลงมือทำ แล้วการเรียนรู้ก็จะเกิดจากภายในใจและสมองของตนเอง การเรียนรู้แบบนี้เรียกว่า
PBL (Project-based learning) สาระวิชากม็ ีความสำคัญ แต่ไม่เพียงพอสำหรบั การเรยี นรู้เพื่อมชี ีวิต
ในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชาควรเป็นการเรียนจาก การค้นคว้าเองของศิษย์
โดยครูช่วยแนะนำ และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยให้นักเรียนแต่ละคนสามารถประเมิน
ความกา้ วหน้าของการเรยี นรู้ของตนเองได้

150

วิจารณ์ พานิช (วิจารณ์ พานิช, 2555, หน้า 11) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแหล่ง
เรียนรู้ ดังนี้ จุดมุ่งหมายของการจัดการศึกษา 3 ยุค คือยุคเกษตรกรรม ยุคอุตสาหกรรม และยุค
ความรู้ มีความแตกต่างกัน มากหากเราต้องการให้สังคมไทยดำรงศักดิ์ศรี และคนไทยสามารถอยู่ใน
สังคมโลกได้อย่างมี ความสุข การศึกษาไทยต้องก้าวไปสู่ เป้าหมายในสู่ “ยุคความรู้” จุดท้าทายใน
การจัดการศึกษาควร ไปในทิศนำทางของความสุขในการทำงานอย่างมีเป้าหมายเพื่อชีวิตที่ดีลูกศิษย์
ในยุคความรู้กระตุ้นให้ศิษย์เรียนรู้ตลอดชีวิต ครูจึงต้องยึดหลัก “สอนน้อย เรียนมาก” ด้วยจัด
กิจกรรมต่าง ๆ ให้ผู้เรียน ครูต้องตอบได้ว่า ศิษย์ได้เรียนอะไร และเพื่อให้ศิษย์ได้อะไร การประสบ
ผลสำเร็จได้นั้น ครูต้องทำอะไร ไม่ทำอะไร การทำหน้าที่ครูจึงไม่ผิดทางคือ ทำให้ศิษย์เรียนไม่สนุก
หรือเรียนแบบขาดทักษะสำคัญ “ทักษะเพื่อการดำรงชีวิตในศตวรรษที่ 21” (21st century skills)
จะเกดิ ขน้ึ ได้จาก “ครูต้อง ไมส่ อนแต่ต้องออกแบบการเรยี นรู้และอำนวยความสะดวก” ในการเรียนรู้
ใหศ้ ษิ ย์ได้เรยี นรจู้ ากการเรียนแบบลงมือทำ แลว้ การเรียนร้กู ็จะเกิดจากภายในใจและสมองของตนเอง
การเรียนรู้แบบน้ี เรียกว่า PBL (Project-based learning) สาระวิชาก็มีความสำคัญ แต่ไม่เพียงพอ
สำหรับการเรียนรู้เพื่อมีชีวิตในโลกยุคศตวรรษที่ 21 ปัจจุบันการเรียนรู้สาระวิชาควรเป็นการเรียน
จาก การค้นคว้าเองของศษิ ย์โดยครูช่วยแนะนำ และช่วยออกแบบกิจกรรมที่ช่วยใหน้ กั เรียนแต่ละคน
สามารถประเมนิ ความก้าวหนา้ ของการเรยี นรู้ของตนเองได้

สุปรียา ศิริพัฒนกุลขจร (2555, หน้า 18) ได้กล่าวถึงความสำคัญของแหล่งเรียนรู้
ดังนีก้ ารเปลย่ี นแปลงวธิ ีการเรียนรู้และเปลยี่ นแปลงวธิ คี ิด ใหส้ อดคล้องและสมดลุ กับการเปล่ียนแปลง
ของโลกที่นับวันจะมีการเปลี่ยนอย่างรุนแรงมากขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงวิธีการเรียนรู้และการ
เปลีย่ นแปลงวธิ ีคิดครั้งนีถ้ ือวา่ เป็นเรอ่ื งทจ่ี ะต้องอยูค่ ู่กัน ตอ้ งเก้อื กลู กันจะแยกออกจากกันไม่ได้เมื่อมี
การเรียนรู้ในศตวรรษใหม่ มีคำที่สำคัญที่น่าสนใจคือ ค าว่า “Teach less” และ “Learn more”
โดยความหมายแล้วหมายความว่า การเปลี่ยน วิธีการศึกษา ด้วยการเปลี่ยนแปลงเป้าหมายาก
“ความรู้ (Knowledge) ไปสู่ทักษะ (Skill or practices)” คำว่า “Teacher” ที่แปลว่า “ครู”นั้นถือ
ว่าเป็นค าเก่าไปแล้วนั้น จะถูกให้ความหมายหรือคำจำกัดความเสียใหม่ด้วยการเปลี่ยนมาเป็นเพียง
“Facilitator” โดยระบหุ น้าท่ีหรอื คำจำกัดความว่า เปน็ “ผ้อู ำนวยการเรยี นรู้ (Coach) หรอื ผู้ช้ีแนะ”
ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงจากการศึกษาหรอื การเรียนรู้ทีม่ ี “ครู” เป็นหลักไปเป็น “นักเรียน”เป็นหลัก
ดังนั้นการเรียนรู้จึงจะต้องเรียนให้เลย จากเนื้อหาหลายส่วนก็ไม่จำเป็นต้องสอนผู้เรียนซึ่งผู้เรียน
สามารถเรียนรู้ได้เอง แต่ต้องสร้าง “ทักษะและเจตคติ” กับตัวของผู้เรียนขึ้นมาให้ได้การเรียนรู้ใน
ศตวรรษท่ี 21 จึงเปน็ การเรยี นรู้ ร่วมกันมากกว่าการเรียนรู้แบบตวั ใครตวั มัน (Individual learning)
เพราะการเรียนร้ใู นแบบใหม่ ตอ้ งเป็นการเรยี นรทู้ ี่แบ่งปนั กัน ชว่ ยเหลือเกอ้ื กูลกนั การเรียนในปัจจบุ ัน
ควรให้ผู้เรียนได้ ฝึกปฏิบัติพร้อมเรียนทฤษฎีไปพร้อม ๆ กันไม่ใช่แยกส่วนกันเรียน ห้องเรียนใน
ศตวรรษที่ 21 ควรเปลี่ยนจากห้องเรียนธรรมดา (Class room) เป็นสตูดิโอ (Studio) เป็นที่ทำงาน
เป็นกลมุ่ ๆ ซง่ึ หมายความวา่ การเรยี นจะเปลยี่ นจาก Lecture based เปน็ Project based เปน็ การ
เปลี่ยนผู้เรียนจาก “กรรม” จากเดิมเป็นผู้เรียนเป็น “ประธาน” และเป็น“กริยา” ด้วยพร้อมกันคือ
เปน็ ผู้ลงมือทาโครงงาน (Project)

ไพฑูรย์ ศรีดี (2559, หน้า 19) ได้กล่าวถึง แหล่งเรียนรู้มีความสำคัญในการช่วย
พฒั นาบคุ คลให้เกดิ การเรียนรู้ ทสี่ อดคล้องกบั วิถชี ีวิต อาชพี วัฒนธรรม สภาพแวดล้อมและทรัพยากร

151

ของชุมชน ทำให้เยาวชนมีทักษะการดำรงชีวิตที่เหมาะสมและพัฒนาตนเองได้ตามศักยภาพ
ตามกระบวนการพฒั นาการเรยี นรู้ท่ีย่งั ยนื โดยเฉพาะในเร่อื งแหล่งเรยี นรู้และการจัดการเรียนรู้

สุดารัตน์ งามวิลัย (2561, หน้า 35-36) ได้กล่าวถึงการจัดแหล่งเรียนรู้ทั้งภายใน
และภายนอกโรงเรียน ซึ่งมคี วามสำคัญท่ีจะเปน็ เครื่องมือท่ีจะนำไปสู่การเรียนรู้ของผู้เรียน เป็นแหล่ง
ความรู้ท่ีหลากหลายที่ผูเ้ รียนสามารถเขา้ ไปศึกษาค้นควา้ และเกิดการเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง ด้วยวิธีการ
เรียนรู้ที่แตกต่าง จึงมีความจำเป็นที่สถานศึกษาทุกแห่งจะต้องให้ความสำคัญและจัดการให้มีแหล่ง
เรียนรู้ที่เหมาะสมกับความต้องการของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียนได้มีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้
ต่อไป

จากทก่ี ลา่ วมา สรปุ ได้ว่า ความสำคัญของแหล่งการเรียนรู้ เปน็ เคร่ืองมือหรือวิธีการที่
ครูและเด็กสามารถศกึ ษาหาความรหู้ รือเรยี นรูจ้ ากแหลง่ ความร้ทู ่ีมีอยู่ ดงั น้ี

1. ภูมิปัญญาท้องถิ่น ได้แก่ ปราชญ์ชาวบ้านที่มีความรู้ ความสามารถห รือมี
ประสบการณ์และประสบความสำเรจ็ ในงาน/อาชีพ ทมี่ ีอยใู่ นทอ้ งถนิ่ หรอื ผ้นู ำชมุ ชน ฯลฯ

2. แหล่งวิทยาการ ได้แก่ สถาบัน/องค์กร/หน่วยงาน/ห้องสมุด/ศูนย์วิทยาการทาง
ภาครัฐ และเอกชน ทช่ี ี้แจงให้บริการความรใู้ นเรื่องต่าง ๆ

3. สถานที่ประกอบการ สถานที่ประกอบอาชีพอิสระ โรงงานอุตสาหกรรม
หนว่ ยงานวิจัยในทอ้ งถิ่น ซ่งึ ให้บรกิ ารความรู้ ฝึกอบรมเกย่ี วกบั งาน และวิซาชพี ต่าง ๆ ทีม่ อี ยใู่ นชุมชน
ทอ้ งถิน่

4. ทรัพยากรธรรมชาติหรือสิ่งแวดล้อม เช่น อุทยานแห่งชาติ สวนสัตว์ พิพิธภัณฑ์
ฯลฯ

5. สื่อส่งิ พมิ พต์ า่ ง ๆ เชน่ วารสาร หนังสอื อ้างองิ หนังสอื พมิ พ์ ฯลฯ
6. สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เช่น อินเทอร์เน็ต ซีดีรอม วีซีดี วีดิทัศน์ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน
(CAI) ฯลฯ
3. ประเภทของแหลง่ เรียนรู้
ชัชวาล วงษ์ประเสริฐ (2551, หน้า 58-59) แบ่งแหล่งการเรียนรู้ออกเป็น 3 ประเภท
ไดแ้ ก่
1. แหลง่ การเรยี นรู้ท่เี ป็นบุคคล หมายถงึ บุคคลท่ีสามารถให้ข้อมลู ข่าวสารกับผู้อื่นได้
ซง่ึ ไดแ้ ก่ สมาชิกในครอบครัว เพื่อนบ้าน ผูเ้ ชี่ยวชาญในสาขาตา่ ง ๆ
2. แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นสื่อมวลชน เป็นแหล่งที่เป็นการให้ข้อมูล ข่าวสาร โดยผ่าน
ทางส่ือมวลชนประเภทตา่ ง ๆ เช่น วิทยุ โทรทศั น์ หนังสือพมิ พ์ นติ ยสาร และวารสารตา่ ง ๆ เป็นต้น
3. แหล่งการเรียนรู้ที่เป็นสถาบัน เป็นองค์กรซึ่งจัดตั้งขึ้นโดยหน่วยงานของรัฐบาล
หรอื เอกชนเพ่ือทำหน้าท่ีในการแสวงหาสารสนเทศแลว้ นำมาวิเคราะห์ จดั เก็บ และให้บริการเผยแพร่
ได้แก่ ห้องสมุดหรือศูนย์สารสนเทศ แหล่งข้อมูลของหน่วยงานองค์กรทางราชการ สมาคมวิชาชีพ
เป็นตน้
หน่วยศึกษานิเทศก์ เขตการศึกษา 5 (2552, หน้า 22) แหล่งเรยี นรู้ที่มนุษย์ ทุกคน
ไดส้ ัมผัสก็คือ ส่งิ แวดลอ้ มรอบ ๆ ตวั ไดแ้ กธ่ รรมชาตปิ า่ ไม้ภเู ขา แม่น้ำ ดวงอาทติ ยน์ ก ฯลฯ การเรียนรู้
เกิดขึ้นด้วยตนเองเพื่อความอยู่รอดและการมีชีวิตอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้ การเรียนรู้จึงช่วยพัฒนาร่างกาย

152

และจิตใจให้มีคุณภาพมากขึ้นในปัจจุบัน ด้วยความเจริญด้านเทคโนโลยี มนุษย์สร้างแหล่งเรียนรู้ท่ี
ชว่ ยให้สามารถเรยี นรู้ไดต้ ามความต้องการทุกเพศ ทุกวยั ทกุ สถานท่ี เช่น วิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์
เป็นต้นแหล่งเรียนรู้ที่เป็นบุคคลหรือกลุ่มคนที่มีความรู้ความสามารถ ความเชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่อง
หน่ึง จะเป็นผถู้ า่ ยทอดใหผ้ เู้ รยี นมที ักษะในการพัฒนาชีวติ ตอ่ ไป

สวุ ทิ ย์ มูลคำ และอรทยั มลู คำ (2555, หนา้ 25)จัดประเภทของแหล่งเรียนรู้เป็น 5
ประเภทดงั น้ี

1. สถาบันชุมชนท่ีมอี ยู่แล้วในวิถีชีวิตและการทำมาหากนิ ในชมุ ชน เช่น วัด โบสถ์
วิหารซึ่งเป็นสถานที่ทำบญุ ตามประเพณี ตลาด ร้านขายของชำโรงงานขนาดเล็ก ในหมู่บ้าน ป่า ห้วย
หนอง คลอง บึง

2. สถานทห่ี รอื สถาบนั ท่ีรัฐและประชาชนจัดตั้งขึน้ เชน่ อุทยานการศกึ ษา อุทยาน
ประวตั ศิ าสตรอ์ ทุ ยานแห่งชาติทางทะเล อทุ ยานแหง่ ชาตใิ นทอ้ งถน่ิ ศนู ย์วัฒนธรรม ห้องสมุด

3. สื่อเทคโนโลยีที่มีในโรงเรียนและชุมชน เช่น วีดีทัศน์ โปรแกรมสำเร็จรูป
ภาพยนตรภ์ าพสไลดห์ ่นุ จำลอง หรอื ของจรงิ

4. สื่อเอกสารสิ่งพิมพ์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในโรงเรียนและชุมชน เช่น หนังสือวารสาร
สารานุกรม ตำรายาพน้ื บ้าน ภาพจติ รกรรมฝาผนงั ภาพถ่าย

5. บุคลากรที่มคี วามรูด้ ้านต่าง ๆ ในชมุ ชน เชน่ ผนู้ ำทางศาสนา เกษตรกร ปราชญ์
ชาวบา้ น หมอพนื้ บา้ น

พระสมุห์วินิตย์ ถิรจิตฺโต (การะเกตุ) (2561, หน้า 17-18) สรุปได้ว่า แหล่งเรียนรู้
ซึ่งเปน็ แหลง่ ความรู้ทางวิทยาการ ที่สง่ เสรมิ ให้เกดิ การเรียนรู้ดว้ ยตนเอง สามารถจำแนกเป็นประเภท
ใหญๆ่ ได้ดงั นี้

1. แหลง่ เรยี นรทู้ เ่ี ป็นบคุ คล ผู้ท่มี ีความรคู้ วามสามารถในด้านตา่ ง ๆ ท้ังในโรงเรียน
ชุมชน นอกชุมชนที่โรงเรียนตั้งอยู่ ได้แก่ บุคลากรในโรงเรียน ผู้ปกครองนักเรียน ผู้ทรงคุณวุฒิใน
ทอ้ งถนิ่ บุคลากรในชมุ ชน กรรมการสถานศกึ ษา เป็นต้น

2. แหล่งเรียนรู้ที่เป็นแหล่งวิทยาการ หมายถึง อาคารสถานที่ซึ่งเป็นแหล่งรวม
ข้อมูลแหล่งความรู้ต่าง ๆ แบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ คือ แหล่งเรียนรู้ภายในโรงเรียน แหล่งเรียนรู้
ภายนอกโรงเรียน ได้แก่ ห้องสมุด ห้องพิพิธภัณฑ์ เทคโนโลยี สารสนเทศ ศูนย์วิชาการ สวน
พฤกษศาสตร์หอ้ งปฏิบัติการ อทุ ยาน สวนสาธารณะ สถานประกอบการ โรงงานอุตสาหกรรม สถานท่ี
ราชการเปน็ ต้น

3. แหล่งเรียนรูท้ ีเ่ ป็นธรรมชาติ สง่ิ ตา่ ง ๆ ทมี่ อี ยู่ตามธรรมชาติ ได้แก่ แหล่งน้ำต่าง
ๆสัตว์ต่าง ๆ อุทยานแหง่ ชาติภูเขา ปา่ ไมต้ น้ ไมใ้ บไมเ้ ปน็ ต้น

4. แหล่งเรียนรู้ที่เป็นสื่อสารสนเทศ หมายถึง สื่อนวัตกรรม รวมทั้งเทคโนโลยี
สิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ได้แก่หนังสือ ตำรา สิ่งพิมพ์ ป้ายโฆษณา รายการวิทยุ รายการโทรทัศน์โปรแกรม
คอมพวิ เตอร์ต่าง ๆ เปน็ ต้น

สมศักดิ์ คงเที่ยง (2556, หน้า 52-53) ได้อธิบายประเภทแหล่งเรียนรู้ของ
สถานศกึ ษาดงั นี้

153

1. ด้านบุคลากร ครเู ปน็ ปจั จยั หลกั ของการจัดการเรียนการสอน ดังนั้น การพฒั นา
ครูเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับแหล่งเรียนรู้จึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ศักยภาพของครูมีส่วน
สำคัญยิ่งต่อการดำเนินการเรียนการสอน ตลอดจนการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้สอดคล้องกับการ
ตัดสินใจความต้องการของผู้เรียน เป็นสิ่งที่ผู้บริหารต้องให้ความสนใจ และหาแนวทางการพัฒนา
บคุ ลากรบุคลากรในสถานศกึ ษา

2. ด้านอาคารสถานที่ สิ่งแวดล้อมสิ่งแวดล้อมและบรรยากาศทั้งในและนอก
ห้องเรียนมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเสริมสร้างความรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องสำคัญอย่างยิ่งต่อ
การเสริมสร้างความรู้ และความเข้าใจที่ถูกต้อง การปลูกฝังเจตนคติ และค่านิยมที่ดีงาม ตลอดจน
ลักษณะทพี่ งึ ประสงคใ์ หเ้ กิดขึ้นกบั นกั เรียน

ปรีชา บุญอินทร์ (2562, หน้า 26) ได้อธิบายประเภท แหล่งเรียนรู้ สามารถจำแนก
เป็น 2 ประเภท คือ

1. แหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน ได้แก่ ห้องสมุด ห้องปฏิบัติการต่าง ๆ ห้องเรียน และ
อทุ ยานการศกึ ษา เปน็ ตน้

2. แหล่งเรียนรู้นอกโรงเรียน ได้แก่ แหล่งเรียนรู้ที่อยู่รอบโรงเรียนภายในชุมชน
และห่างไกลออกไป อาจเป็นต่างจังหวัดที่ให้นักเรียนไปศึกษาค้นคว้าได้ทุกสาขาวิชา ทั้งที่เป็นบุคคล
ธรรมชาติและทมี่ นษุ ย์สรา้ งข้นึ ดงั น้ี

2.1 แหลง่ เรยี นรูท้ ่ีเป็นบคุ คล คอื ผู้ทส่ี ามารถเล่า อธบิ าย
บรรยาย หรอื สาธติ การทำสง่ิ ตา่ ง ๆ ได้อย่างชำนาญ

2.2 แหล่งเรยี นรู้ที่เปน็ ธรรมชาติ คือ แหล่งเรยี นร้ทู เ่ี กดิ เปน็ และ
มีขึ้นเอง ตามธรรมชาติ เช่น น้ำตก ทะเล ภูเขา หาดทราย แหล่งน้ำ พื้นที่ป่า ฯลฯ2.3 แหล่งเรียนรู้
ที่จัดสร้างขึ้น ได้แก่ สถานที่ที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อเป็นศูนย์ความรู้ต่าง ๆ ให้สืบทอดแก่ลูกหลานใน
ท้องถิ่น เช่น ห้องสมุด พิพิธภัณฑ์ โบราณสถาน โบราณวัตถุ ท้องฟ้าจำลองสถานประกอบการต่าง ๆ
ทั้งภาครัฐและเอกชน ฯลฯ

จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า แหล่งการเรียนรู้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แหล่งการเรียนรู้ใน
สถานศึกษา แหล่งเรียนรูภ้ ายนอกสถานศึกษาและแหลง่ การเรียนรใู้ นท้องถิ่น ดังรายละเอยดดังน้ี

1. แหล่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา คือ บุคคลภายในสถานศึกษา อาคารสถานที่ใน
สถานศกึ ษา ธรรมชาตภิ ายในสถานศกึ ษา หอ้ งปฏบิ ตั กิ ารตา่ ง ๆ เปน็ ต้น ดังตัวอยา่ งในภาพประกอบ

154 - ห้องเฉลิมพระเกยี รติ - หอ้ งสมุดโรงเรียน
- ห้องจรยิ ธรรม - ศูนยว์ ชิ าการกลุม่ สาระตา่ ง ๆ
แหล่งเรยี นรู้ -คลนิ กิ รักษค์ ณิต - ห้องสมุดเคล่ือนที่
ในโรงเรียน - มมุ รักการอา่ น
- ศูนยค์ อมพวิ เตอร์ - มุมเรยี นร้.ู .สู่ปญั ญา
- หอ้ งมลั ตมิ เิ ดยี - มมุ หนังสอื ในโรงเรียน
- ห้องอนิ เทอร์เนต็ - ระเบยี งความรู้ฯลฯ
- หอ้ งโสตทศั นศึกษา

- สวนสมนั ไพร
- สวนวรรณคดีไทย
- สวนสุขภาพ

ภาพประกอบ 53 แหลง่ เรียนรใู้ นโรงเรียน

2. แหล่งเรียนรู้ภายนอกสถานศึกษา คือ ธรรมชาติภายนอก สถานที่ต่าง ๆ รวมไป
ถงึ วัด และองคก์ รตา่ ง ๆ แหล่งการเรยี นร้ใู นท้องถิ่น ภูมิปัญญาทอ้ งถิ่น ปราชญช์ าวบา้ น เป็นต้น
ดังตัวอย่างในภาพประกอบ

แหลง่ เรยี นรู้ - วดั - อุทยานวิทยาศาสตรแ์ ละ
ภายนอก - ห้องสมุดประชาชน เทคโนโลยี
สถาน - พพิ ธิ ภณั ฑ์ - ศูนย์การกีฬา
ศึกษกษา - สถานประกอบการ
- หอศิลป์ - วัด ครอบครัว ชุมชน องค์การ
- สวนสัตว์ ภาครัฐและภาคเอกชน
- สวนสาธารณะ - แหลง่ ข้อมูล ภมู ิปญั ญาท้องถนิ่
- สวนพฤกษศาสตร์

ภาพประกอบ 54 แหลง่ เรียนรภู้ ายนอกสถานศึกษา

4. ประโยชน์ของแหล่งเรยี นรู้
การนำแหล่งเรียนรูม้ าใช้ในการจดั การศึกษาขึ้นอยูก่ ับวตั ถุประสงค์ เป้าหมายและโอกาส

ในการเออ้ื ต่อการจัดการเรยี นรู้ องค์ประกอบของส่งิ แวดล้อมในแตล่ ะท้องถ่ินซึ่งมีความหมายแตกต่าง
กับการใช้แหล่งเรียนรู้ มาใช้ในการจัดการศึกษาถือว่าเป็นงานหนึ่งของงานวิชาการจะต้องบริหาร
จัดการให้มีคุณภาพมีประสิทธิภาพและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้เรียน ดังนั้นการใช้แหล่งเรียนรู้ควรมี
การวางแผนการ ใช้ให้เกดิ ประโยชนส์ ูงสุดมแี นวทางในการใชแ้ หล่งเรียนรทู้ ีเ่ ปน็ ไปตามขั้นตอนท่ีสำคัญ
คือ การวางแผนการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ การดำเนินการใช้แหล่งเรียนรู้ การตรวจสอบติดตาม
การใช้แหล่งเรยี นรู้ และการประเมินผลการนำแหลง่ เรยี นรู้ไปใช้

อรรถพล เชาว์ประยูร (2549 : 19 อ้างถึงใน ณัฐหทัย ขันนอก, 2558.หน้า 27)
ได้กล่าววา่ ประโยชน์ของแหล่งเรียนรู้ มดี ังน้ี

155

1. ประโยชน์ต่อนักเรียน การใช้แหล่งเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนจะทำให้
นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรง ได้สัมผัสของจริง ซึ่งเป็นการใช้ประสาทสัมผัสทุกด้าน ส่งผลให้
บทเรียนนำสนใจ สนุกสนาน นักเรียนมีโอกาสได้ร่วมกิจกรรม สามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเอง มี
ความรู้ในเนื้อหาและกระบวนการแสวงหาความรู้ ซึ่งนักเรียนสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
อยา่ งสัมพนั ธก์ บั ชุมน

2. ประโยชน์ต่อครู การใช้แหล่งเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอน จะช่วย
ลดปัญหาการขาดแคลนครทู ี่มีความรู้ความเชี่ยวชาญในเรือ่ งนั้น ตลอดจนการขาดแคลนวัสดอุ ุปกรณ์
และแหลง่ ความรู้

3. ประโยชน์ตอ่ ชุมชน การใชแ้ หล่งเรยี นรู้ในการจัดการเรยี นการสอนทำให้ชุมชนมีใน
การจดั การศกึ ษา เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างโรงเรยี นและชุมชน

4. ประโยชน์ต่อการจัดการศึกษา การใช้แหล่งเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนจะ
ช่วยลดความแตกต่างระหว่างบุคคลและทำให้การเรียนการสอนดำเนินตามเป้าหมายของหลักสูตร
สง่ ผลใหห้ ลกั สูตรนั้นมคี วามหมายและมีประสิทธิภาพย่ิงขึ้น

ณัฐหทัย ขันนอก (2558, หน้า 27) ได้กล่าวถึง ประโยชน์ของแหล่งเรียนรู้ว่าแหล่ง
เรยี นรู้มีประโยชนต์ ่อการนำมาใชใ้ นการเรยี นการสอน สามารถกระดนั ให้ผู้เรียนเกิดความสนใจในการ
เรยี นเพมิ่ ขึ้นเพราะได้เรียนรู้จากสภาพความเปน็ จริง ไดล้ งมอื ทำหรือปฏบิ ัติจริงอย่างหลากหลายไว้รับ
ประสบการณต์ รงฝึกทักษะในการคิดวิเคราะห์ คิดสงั เคราะห์ และการไปศกึ ษายังแหล่งเรยี นรู้สามารถ
ปลกู ฝังเจตตดีใหเ้ ปน็ ไปตามทพี่ ึงประสงค์ ชว่ ยพัฒนาใหผ้ ูเ้ รียนมคี วามรบั ผิดชอบต่อบทบาทหน้าที่ของ
ตนตอ่ สังคม รกั และผกู พนั กบั ท้องถน่ิ และสง่ิ แวดล้อม

สุดารตั น์ งามวิลัย (2561, หนา้ 44) สรปุ ได้วา่ การจดั การเรยี นรู้จากแหลง่ เรียนรู้การใช้
แหล่งความรู้มีประโยชน์ในกระบวนการการจัดการเรียนรู้สำหรับผู้เรียนเพราะผู้เรียนสามารถเรียนรู้
จากสภาพจรงิ การจัดการเรยี นรู้จากแหลง่ เรียนรูจ้ ะเกี่ยวข้องกับบคุ คล สถานที่ ธรรมชาติ หน่วยงาน
องค์กรสถานประกอบการ ชมุ ชน และสิง่ แวดล้อมอนื่ ๆ

ปรีชา บญุ อนิ ทร์ (2562, หน้า 27) การจดั การศึกษาโดยใช้แหล่งเรยี นรู้ประกอบการจัด
การศึกษามีผลทำให้การจัดการเรียนการสอนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นผู้เรียนได้รับความรู้และ
ประสบการณแ์ ปลกใหม่ การทผี่ ู้เรียนได้รบั ประสบการณ์ตรง ทำให้สามารถเขา้ ใจและจดจำเนอ้ื หาการ
เรียนได้ดี เป็นการเพิ่มพูนทักษะการเรียนรูด้ ้านต่าง ๆ ที่หลากหลาย ทำให้นักเรียนเข้าใจในการเรยี น
เนอ้ื หาน้นั ๆ มากยิง่ ขึ้น ส่งผลใหผ้ ู้เรยี นมีผลสมั ฤทธท์ิ างการเรียนดีขน้ึ

จากการศึกษาสรุปได้ว่า แหล่งเรียนรู้มีประโยชน์ ประโยชน์ต่อนักเรียน ต่อครู ต่อชุมชน
และต่อการจัดการศึกษา เช่น นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรง ได้สัมผัสของจริง การขาดแคลนวัสดุ
อุปกรณ์และแหล่งความรู้ เกิดความเข้าใจอันดีระหว่างโรงเรียนและชุมชนและการใช้แหล่งเรียนรู้ใน
การจัดการเรยี นการสอนจะชว่ ยลดความแตกตา่ งระหว่างบุคคล เป็นต้น

แนวคิดเกย่ี วกับการบริหารแหล่งเรียนรู้

แนวคดิ เกีย่ วกบั กระบวนการบริหารแหลง่ เรยี นรู้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้

156

1. พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 แก้ไขเพม่ิ เติม (ฉบับที่2) พ.ศ.
2545และ (ฉบบั ที่ 3) พ.ศ. 2553 ทเ่ี กี่ยวข้องกับการจดั การแหลง่ เรียนรู้

แนวทางการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 แก้ไขเพิ่มเติม
ฉบับท่ี 2) พ.ศ. 2545 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 มสี ่วนสำคัญเกย่ี วขอ้ งกับแหล่งเรียนรู้ ซ่ึงระบุไว้
ดังน้ี (กระทรวงศึกษาธกิ าร, 2553, หนา้ 3 - 10)

มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทยให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้ง
ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถ
อยู่ร่วมกบั ผู้อ่นื ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ

มาตรา 7 ในกระบวนการเรียนรูต้ ้องม่งุ ปลูกฝังจิตสานึกท่ีถูกต้องเกีย่ วกบั การเมืองการ
ปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข รู้จักรักษาและส่งเสริมสิทธิ
หน้าท่ี เสรภี าพ ความเคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดศ์ิ รีความเปน็ มนุษย์ มคี วามภาคภูมิใจ
ในความเป็นไทย รู้จักรักษาผลประโยชน์ส่วนรวมและของประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนาศิลปะ
วัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญาท้องถิ่น ภูมิปัญญาไทย และความรู้อันเป็นสากลตลอดจน
อนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง
มคี วามรเิ ริ่มสร้างสรรค์ ใฝ่รแู้ ละเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างตอ่ เนือ่ ง

มาตรา 8 การจดั การศึกษาให้ยดึ หลัก ดังนี้
1. เปน็ การศกึ ษาตลอดชีวิตสำหรับประชาชน
2. ใหส้ งั คมมสี ่วนร่วมในการจัดการศึกษา
3. การพฒั นาสาระและกระบวนการเรยี นรใู้ หเ้ ปน็ ไปอยา่ งต่อเน่อื ง

มาตรา 22 การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และ
พัฒนาตนเองได้และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียน
สามารถพฒั นาตามธรรมชาติและเต็มตามศกั ยภาพ

มาตรา 23 การจัดการศึกษา ทั้งการศึกษาในระบบ การศึกษานอกระบบ และ
การศึกษาตามอัธยาศัย ต้องเน้นความสำคัญทั้งความรู้ คุณธรรม กระบวนการเรียนรู้และบูรณาการ
ตามความเหมาะสมของแตล่ ะระดับการศกึ ษาในเร่ืองต่อไปนี้

1. ความรู้เรื่องเกี่ยวกับตนเอง และความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม ได้แก่
ครอบครัวชุมชน ชาติ และสังคมโลก รวมถึงความรู้เกี่ยวกับประวตั ิศาสตร์ความเป็นมาของสังคมไทย
และระบบการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริยท์ รงเปน็ ประมุข

2. ความรู้และทักษะด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รวมทั้งความรู้ความเข้าใจ
และประสบการณ์เรื่องการจัดการ การบำรุงรักษาและการใช้ประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติและ
สิ่งแวดลอ้ มอย่างสมดุลย่ังยืน

3. ความรู้เกี่ยวกับศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม การกีฬา ภูมิปัญญาไทยและการ
ประยกุ ต์ใชภ้ ูมปิ ญั ญา

4. ความรู้ และทักษะด้านคณิตศาสตร์ และด้านภาษา เน้นการใช้ภาษาไทยอย่าง
ถูกต้อง

5. ความรู้ และทกั ษะในการประกอบอาชีพและการดำรงชีวติ อย่างมีความสุข

157

มาตรา 24 การจัดกระบวนการเรียนรู้ ให้สถานศึกษาและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
ดำเนินการดงั ต่อไปนี้

1. จัดเนื้อหาสาระและกิจกรรมให้สอดคล้องกับความสนใจและความถนัดของ
ผู้เรยี นโดยคำนงึ ถึงความแตกต่างระหว่างบุคคล

2. ฝกึ ทกั ษะ กระบวนการคิด การจัดการ การเผชิญสถานการณ์ และการประยุกต์
ความรู้มาใชเ้ พ่ือปอ้ งกันและแกไ้ ขปัญหา

3. จัดกิจกรรมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากประสบการณ์จริง ฝึกการปฏิบัติให้ทำได้
คดิ เป็นทำเป็น รักการอ่านและเกดิ การใฝร่ อู้ ย่างต่อเน่ือง

4. จัดการเรียนการสอนโดยผสมผสานสาระความรู้ด้านต่าง ๆ อย่างได้สัดส่วน
สมดลุ กนั รวมท้งั ปลูกฝงั คุณธรรม คา่ นิยมท่ดี ีงามและคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ไว้ในทุกวิชา

5. ส่งเสริมสนับสนุนให้ผู้สอนสามารถจัดบรรยากาศ สภาพแวดล้อม สื่อการเรียน
และอำนวยความสะดวกเพือ่ ให้ผู้เรยี นเกิดการเรยี นรู้และมีความรอบรู้ รวมทั้งสามารถใช้การวจิ ยั เปน็
ส่วนหนึ่งของกระบวนการเรียนรู้ ทั้งนี้ ผู้สอนและผู้เรียนอาจเรียนรู้ไปพร้อมกันจากสื่อการเรียนการ
สอนและแหล่งวิทยาการประเภทตา่ ง ๆ

6. จัดการเรียนรู้ให้เกิดขึ้นได้ทุกเวลาทุกสถานที่ มีการประสานความร่วมมือกับ
บดิ ามารดา ผปู้ กครอง และบคุ คลในชุมชนทกุ ฝา่ ย เพ่อื ร่วมกนั พัฒนาผู้เรียนตามศกั ยภาพ

มาตรา 25 รัฐต้องส่งเสริมการดำเนินงานและการจัดตั้งแหล่งการเรียนรู้ตลอดชีวิต
ทุกรูปแบบได้แก่ ห้องสมุดประชาชน พิพิธภัณฑ์ หอศิลป์ สวนสัตว์ สวนสาธารณะ สวนพฤกษศาสตร์
อุทยานวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ศูนย์การกีฬาและนันทนาการ แหล่งข้อมูล และแหล่งการเรียนรู้
อ่ืนอย่างพอเพยี งและมปี ระสิทธิภาพ

มาตรา 30 ให้สถานศึกษาพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่มีประสิทธภิ าพ รวมทั้ง
การส่งเสรมิ ใหผ้ ้สู อนสามารถวจิ ยั เพือ่ พัฒนาการเรียนรู้ทเ่ี หมาะสมกับผเู้ รยี นในแตล่ ะระดบั การศึกษา

สรุปได้ว่า การเรียนรู้ที่มีผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ผู้เรียนจะต้องศึกษาค้นคว้าหาความรู้
ด้วยตนเอง จากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ที่หลากหลายทั้งในห้องเรียน และนอกห้องเรียนเพื่อให้มีความรู้
ความเข้าใจ สามารถคิดเป็น ทำเป็น สามารถแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นในชวี ิตประจำวันได้ จึงจำเป็นจะต้อง
จดั แหล่งเรียนรูเ้ พ่ือตอบสนองต่อความต้องการ ความสนใจ ความถนัดของผูเ้ รยี นเพียงพอหลากหลาย
และมปี ระสทิ ธภิ าพ

2. การบริหารจดั การแหล่งเรยี นรู้
ในการศึกษาการบริหารจดั การแหลง่ เรียน มีนักวิชาการ นกั การศึกษา กล่าวไว้ ดงั น้ี
วิฑูรย์ สิมะโชคดี (2555, หน้า 43-47) กล่าวถึง วงจรคุณภาพ (PDCA) เป็นกิจกรรมที่

จะนำไปสู่การปรับปรุงงานและการควบคุมอย่างเป็นระบบอันประกอบด้วย การวางแผน (Plan) การ
นำแผนไปปฏบิ ัติ (Do) การตรวจสอบ (Check) และการปรบั ปรงุ แก้ไข (Act) กล่าวคือ จะเรมิ่ จากการ
วางแผนการนำแผนที่วางไว้มาปฏิบัติ การตรวจสอบผลลัพธ์ที่ได้ และหากไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่
คาดหมายไว้ จะต้องทำการทบทวนแผนการโดยเริ่มต้นใหม่อกี ครั้งหนงึ่ และทำตามวงจรคณุ ภาพซ้ำอีก
เมื่อวงจรคุณภาพหมนุ ซ้ำไปเรื่อย ๆ จะทำให้เกดิ การปรับปรุงงานและทำให้ระดบั ผลลัพธ์สูงขน้ึ เร่ือย ๆ

158

ดังนั้น การกระทำตามวงจรคุณภาพ จึงเท่ากับการสร้างคุณภาพท่ีน่าเชื่อถอื มากขึ้นโดยจดุ เร่ิมตน้ ของ
วงจรคุณภาพอยูท่ ี่การพยายามตอบคำถามให้ได้ว่าทำอย่างไรจึงจะดีข้นึ

ขั้นตอนท่ี 1 การวางแผน (Plan) เรื่องที่สำคัญที่สุด การวางแผนจะเป็นเรื่องที่ทำให้
กิจกรรมอ่นื ๆ ทตี่ ามมาสามารถทำงานได้อยา่ งมปี ระสิทธิผล เพราะถ้าแผนการไม่เหมาะสมแล้ว จะมี
ผลทำใหก้ จิ กรรมอ่นื ไร้ประสิทธผิ ลตามไปด้วย แต่ถ้ามีการเร่ิมต้นวางแผนท่ีดี จะทำใหม้ ีการแก้ไขน้อย
และกิจกรรมจะมปี ระสิทธิภาพมากขนึ้

ขั้นตอนที่ 2 การนำแผนไปปฏิบัติให้เกิดผล (Do) เพื่อให้มั่นใจว่ามีการนำแผนการไป
ปฏิบัติอย่างถูกต้องนั้น เราจะต้องสร้างความมั่นใจว่าฝ่ายที่รับผิดชอบในการนำแผนไปปฏิบัติได้รับ
ทราบถึงความสำคัญและความจำเป็นในแผนการนั้น ๆ มีการติดต่อสื่อสารไปยังฝ่ายที่มีหน้าที่ในการ
ปฏิบัติอย่างเหมาะสม มีการจัดให้มีการศึกษาและการอบรมที่ต้องการเพื่อการนำแผนการนั้น ๆ
มาปฏบิ ตั ิ และมีการจัดหาทรพั ยากรที่จำเปน็ ในเวลาทจี่ ำเป็น

ขั้นตอนท่ี 3 การตรวจสอบ (Check) การตรวจสอบและประเมินผลลัพธ์ของการ
ปฏิบัติตามแผน ควรจะต้องมีการประเมินใน 2 ประการ คือ มีการปฏิบัติตามแผนหรือไม่ หรือ
ตัวแผนการเองมีความเหมาะสมหรือไม่การที่ไม่ประสบความสำเร็จตามที่ตั้งเป้าหมายไว้เป็นเพราะ
ไม่ปฏิบัติตามแผนการ หรือความไม่เหมาะสมของแผนการ หรือจากทั้งสองประการรวมกัน เรา
จำเป็นต้องหาว่าสาเหตุมาจากประการไหน ทั้งนี้ เนื่องจากการนำไปปฏิบัติการปรับปรุงแก้ไขจะ
แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงถ้าความล้มเหลวมาจากแผนการที่จัดทำขึ้นไม่เหมาะสม อาจเป็นผลมาจาก
สาเหตุดงั ตอ่ ไปนี้

1. ความผดิ พลาดในการทำความเขา้ ใจกับสถานการณท์ เ่ี ป็นอยู่
2. เลือกเทคนิคที่ใช้ผิดเนื่องจากมีข้อมูลข่าวสารไม่เพียงพอและมีความรู้ในขั้นตอน
การวางแผนไมเ่ พยี งพอ
3. ประเมินผลกระทบจากการปฏบิ ัตติ ามแผนผดิ พลาด
4. ประเมนิ ความสามารถของบุคลากรทตี่ ้องน าแผนมาใช้ผดิ พลาด
ถา้ ความลม้ เหลวมาจากการไม่ปฏิบัติตามแผน อาจเป็นผลมาจากสาเหตุตอ่ ไปนี้

1) ขาดความตระหนกั ถึงความจำเป็นในการปรบั ปรุง
2) การติดตอ่ สือ่ สารท่ไี มเ่ หมาะสมและมีความเข้าใจในแผนไม่เพียงพอ
3) การให้การศึกษาและการฝกึ อบรมไม่เพียงพอ
4) ปัญหาเกยี่ วกับตัวผูน้ ำและการประสานงานระหว่างการปฏบิ ตั ิ
5) ประเมนิ ทรัพยากรทต่ี อ้ งใชน้ อ้ ยเกนิ ไป
ขั้นตอนที่ 4 ปฏิบัติการปรับปรุงแก้ไข (Act) ถ้าความล้มเหลวมาจากการวางแผน
ที่ไม่เหมาะสม การทบทวนแผนการเท่านั้นไม่เพียงพอต่อการแก้ปัญหา ต้องมีการปรับปรุงคุณภาพ
ของกระบวนการวางแผนโดยการหาปัจจัยที่ไม่เหมาะสม สาเหตุของการวางแผน และทำการ
ปฏิบตั ิการแก้ไข ความก้าวหนา้ ของการปรับปรงุ จะเกิดขึน้ ได้โดยการกำจัดสาเหตุ และขน้ั ตอนที่สำคัญ
ก็คือ การทบทวนแผนการที่ต้องมีการบ่งชี้ถึงสาเหตุแห่งความล้มเหลวอย่างถูกต้องและมีการ
เปลี่ยนแปลงแผนเพื่อให้สามารถดำเนินกิจกรรมไปได้อย่างมีประสิทธิผลเพิ่มขึ้น ควรมีการวาง

159

แผนการปรับปรุงคุณภาพเป็นรายปี และมีการทบทวนทุกปีเพื่อให้มั่นใจว่าแผนการดังกล่าวมีความ
เช่ือถือไดแ้ ละเหมาะสม การนำวงจรคณุ ภาพไปปฏิบัติอยา่ งจริงจังและต่อเนื่องในทกุ ระดบั ขององค์กร

สมศักดิ์ สินธุระเวชญ์ (2552, หน้า 188) กล่าวถึง จุดหมายที่แท้ของวงจรคุณภาพ
(PDCA) ว่าเป็นกิจกรรมพื้นฐานในการบริหารคุณภาพนั่นมิใช้เพียงแค่การปรับแก้ผลลัพธ์ที่เบี่ยงเบน
ออกไปจากเกณฑ์มาตรฐานให้กลับมาอยู่ในเกณฑ์ที่ต้องการเท่านั้น แต่เพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงใน
แต่ละรอบของ PDCA อย่างต่อเนอ่ื งเปน็ ระบบและมีการวางแผน PDCA ดงั ภาพประกอบ

วางแผน อะไร กำหนดปัญหา
ทำไม วเิ คราะหป์ ญั หา

หาสาเหตุ

อย่างไร วางแผนรว่ มกนั
นำไปปฏิบตั ิ
ปฏิบัติ ยนื ยนั ผลลัพธ์
ตรวจสอบ

แก้ไข ทำมาตรฐาน

ภาพประกอบ 55 กระบวนการ PDCA
ที่มา สมศักด์ิ สินธุระเวชญ์ (2552,หน้า 188)

จากภาพประกอบ กระบวนการ PDCA มรี ายละเอียดดังต่อไปน้ี
ขั้นตอนที่ 1 การวางแผน (Plan) การวางแผนงานจะช่วยพัฒนาความคิดต่าง ๆ เพื่อนำไปสู่
รูปแบบที่เป็นจริงขึ้นมาในรายละเอียดให้พร้อมในการเริ่มต้นลงมือปฏิบัติ แผนที่ดีควรมีลักษณะ 5
ประการ ซง่ึ สรุปได้ ดงั น้ี

1. อยบู่ นพื้นฐานของความเป็นจรงิ (realistic)
2. สามารถเขา้ ใจได้ (understandable)
3. สามารถวัดได้ (measurable)
4. สามารถปฏิบตั ิได้ (behavioral)
5. สามารถบรรลผุ ลสำเรจ็ ได้ (achievable)
วางแผนทีด่ ีควรมอี งคป์ ระกอบ ดงั นี้
1. กำหนดขอบเขตปัญหาใหช้ ดั เจน
2. กำหนดวตั ถุประสงค์และเปา้ หมาย
3. กำหนดวิธีการที่จะบรรลุถึงวัตถุประสงค์และเป้าหมายให้ชัดเจนและถูกต้องแม่นยำ
ท่ีสดุ เท่าทเ่ี ป็นไปได้
ข้ันตอนที่ 2 ปฏิบัติ (Do) ประกอบด้วยการทำงาน 3 ระยะ

160

1. การวางแผนกำหนดการ
1.1 การแยกกจิ กรรมตา่ ง ๆ ท่ตี อ้ งการกระทำ
1.2 กำหนดเวลาที่คาดว่าตอ้ งใช้ในกจิ กรรมแตล่ ะอยา่ ง
1.3 การจดั สรรทรัพยากรตา่ ง ๆ

2. การจัดการแบบแมทริกซ์ (matrix management) การจัดการแบบนี้สามารถ
ชว่ ยดงึ เอาผู้เชีย่ วชาญหลายแขนงจากแหลง่ ต่าง ๆ มาได้ และเปน็ วิธชี ่วยประสานระหว่างฝา่ ยตา่ ง ๆ

3. การพัฒนาขดี ความสามารถในการทำงานของผรู้ ว่ มงาน
3.1 ใหผ้ ูร้ ว่ มงานเขา้ ใจถึงงานท้ังหมดและทราบเหตุผลทตี่ ้องกระทำ
3.2 ให้ผูร้ ว่ มงานพรอ้ มในการใช้ดลุ พินจิ ทเ่ี หมาะสม
3.3 พัฒนาจิตใจให้รกั การรว่ มมอื

ขั้นตอนที่ 3 การตรวจสอบ (Check) การตรวจสอบทำให้รับรู้สภาพการณ์ของงานที่เป็นอยู่
เปรียบเทยี บกบั สง่ิ ทวี่ างแผน ซ่ึงมกี ระบวนการ ดงั น้ี

1. กำหนดวัตถปุ ระสงคข์ องการตรวจสอบ
2. รวบรวมขอ้ มูล
3. การทำงานเป็นตอนๆ เพื่อแสดงจำนวน และคุณภาพของผลงานที่ได้รับในแต่ละ
ขั้นตอนเปรียบเทยี บกับที่ได้วางแผนไว้
4. การรายงานจะเสนอผลการประเมิน รวมทง้ั มาตรการป้องกนั ความผิดพลาดหรือความ
ล้มเหลว

4.1 รายงานเปน็ ทางการอย่างสมบูรณ์
4.2 รายงานแบบอยา่ งไม่เป็นทางการ
ขัน้ ตอนที่ 4 การแกไ้ ขปญั หา (Act) ผลของการตรวจสอบหากพบว่าเกิดข้อบกพร่องขึ้นทำให้
งานที่ได้ไม่ตรงตามเป้าหมายหรือผลงานไมไ่ ด้มาตรฐาน ให้ปฏิบตั ิการแก้ไขปัญหาตามลกั ษณะปัญหา
ที่คน้ พบ
1. ถา้ ผลงานเบีย่ งเบนไปจากเปา้ หมายตอ้ งแก้ไขทีต่ ้นเหตุ
2. ถ้าพบความผิดปกติใด ๆ ให้สอบสวนค้นหาสาเหตุแล้วทำการป้องกัน เพื่อมิให้ความ
ผิดปกตินั้นเกิดขึ้นซ้ำอีกการบริหารระบบคุณภาพขององค์กรทางการศึกษาที่ได้รับการปรับปรุงให้
ทันสมัยเสมอมาโดยอาศัยแนวคิดและหลักการของการพัฒนาองค์กรโดยทั่วไป เช่น แนวคิดการ
บรหิ ารคุณภาพหรอื วงจรคณุ ภาพ (PDCA) ทเ่ี นน้ ขั้นตอนการทำงาน 4 ข้นั ตอนหลกั ได้แก่
ข้ันท่ี 1 การวางแผน (Plan–P)
ขั้นท่ี 2 การปฏิบตั ิตามแผน (Do–D)
ขัน้ ท่ี 3 การตรวจสอบผลการปฏบิ ัติงาน (Check–C)
ขนั้ ท่ี 4 การแกไ้ ขปัญหา (Act–A) ซึ่งขัน้ ตอนทง้ั 4 นน้ั
สมคิด พรมจุ้ย และสุพักตร์ พิบูลย์ (2554: 7-8 อ้างถึงใน ศิริลักษณ์ ศรีสมบูรณ์, 2553,
หน้า 56-58) กล่าวว่า การบริหารงานเป็นกระบวนการดำเนินงานให้สถานศึกษาบรรลุวตั ถุประสงค์
ตามที่ต้องการประกอบด้วยการดำเนินงาน 4 ขั้นตอน คือ การวางแผน (plan) การลงมือปฏิบัติ (do
or implementation) และการตรวจสอบผลปฏิบัติงานหรือประเมิน (check or evaluation) และ

161

การปรับปรุงแก้ไขการทำงาน (act or adjust) เรียกย่อ ๆ ว่า วงจรการบริหารงานแบบวงจรคุณภาพ
(PDCA) ดงั ภาพที่ 2.2

การวางแผน
(Plan)

ปรับปรงุ แกไ้ ขการทำงาน การลงมอื ปฏิบตั งิ าน
(Act or adjust) (Do or implementation)

การตรวจสอบ/ประเมนิ ผล
(Check or evaluation)

ภาพประกอบ 56 วงจรการบริหารงาน
ที่มา : สมคิด พรมจุ้ย, และสุพักตร์ พิบูลย์. (2554, หน้า 7).

จากแผนภูมิดังกล่าว แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ของวงจรการดำเนินงานว่าเริ่มจากการ
วางแผนเพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาให้เป็นไปตามเป้าหมายทีก่ ำหนดไว้ จากนั้นจึงนำแผนไปปฏิบตั ิ
ในระหว่างที่ปฏิบัติตามแผนจำเป็นต้องมีการตรวจสอบ ประเมินผลอยู่ตลอดเวลาว่าได้ผลตาม
วตั ถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้หรือไม่ มปี ญั หาอุปสรรคอะไรบ้าง หากพบปญั หาควรปรับปรุง
แก้ไขเพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์และเป้าหมายที่กำหนดไว้ สรุปได้ว่า การบริหารแหล่ง
เรียนรู้โดยใช้วงจรเดมมิ่ง มี 4 ขั้นตอน คือ วางแผน (P) เพื่อนำไปสู่เป้าหมายที่กำหนด จากนั้นจึง
ดำเนินการตามแผน (D) ดำเนินการก็ทำการตรวจสอบ (C) ว่าดำเนินการไปแล้วนำไปสู่เป้าหมาย
หรอื ไมเ่ พียงใด แล้วนำผลการตรวจสอบมาใชแ้ กไ้ ข ปรบั ปรงุ (A)

3. บทบาทของบุคลากรในการพัฒนาแหลง่ เรยี นรู้ในสถานศึกษา
มีนักวิชาการได้กล่าวถึงบทบาทของบุคลากรในสถานศึกษาในการบริหารจัดการแหล่ง

เรยี นรู้เพอื่ ให้เกดิ คุณคา่ ในการจดั การศึกษาแก่เด็ก ดงั น้ี ณฐั หทัย ขนั นอก (2558, หนา้ 36)
3.1 บทบาทของผู้บรหิ าร/รองผูบ้ ริหารของโรงเรยี น
ผู้บริหารโรงเรียนหรือรองผู้บริหารของโรงเรียนจะมีบทบาทสำคัญต่อการจัดการ

เรียนรจู้ ากแหล่งเรียนรู้ดงั น้ี
1) กำหนดนโยบาย วางแผนเพื่อส่งเสริมสนับสนุนการจัดหา จัดสร้าง หรือพัฒนา

แหล่งเรยี นรู้ภายในโรงเรียน
2) สง่ เสรมิ การพฒั นาบุคลากรใหม้ ีความรู้ ประสบการณใ์ นการจดั การใชแ้ หล่งเรียนรู้

ท้งั ในและนอกโรงเรียน
3) สนับสนนุ ส่งเสรมิ ใหบ้ ุคลากรทกุ ฝา่ ยมสี ว่ นรว่ มในการนำเสนอผลงาน โครงงานหรือ

นวัตกรรมที่เกิดจากการศึกษาหรือใช้แหล่งเรียนรู้ทั้งในและนอกโรงเรียนนิเทศ กำกับ ติดตาม ดูแล
และประเมนิ ผลระบบการจดั การเรยี นการสอนโดยการใช้แหล่งเรียนรูท้ ้ังภายในและภายนอกโรงเรียน

3.2 บทบาทของครูผ้สู อน
ครูผู้สอนจะมบี ทบาทสำคัญในการจดั การเรยี นร้จู ากแหลง่ เรียนรู้ ดังนี้
1. รวบรวมขอ้ มูลเก่ยี วกับแหล่งเรียนรทู้ ่ีมอี ยูใ่ นโรงเรียนและชุมชน

162

2. ใหค้ ำปรึกษา แนะนำผเู้ รยี นในการศกึ ษาหาความรจู้ ากแหลง่ เรียนรู้
3. จัดหา ประสานงานวสั ดุอปุ กรณ์ เอกสารเพม่ิ เตมิ ใหก้ ารแนะนำ และสรา้ งขวัญ
กำลังใจ
4. ประเมนิ ผลการเรยี นรูจ้ ากการจดั กิจกรรมแหลง่ เรียนร้ใู นภาพรวม
5. ติดตาม ช่วยเหลือการดำเนินงาน แนะนำความถูกต้อง
6. ประยุกต์ใช้ เผยแพรผ่ ลงาน สรปุ และประเมินผล
3.3 บทบาทของนักเรยี น/ผูเ้ รยี น
1. สำรวจแหลง่ เรยี นรู้ในโรงเรยี น ชมุ ชน และศกึ ษาเอกสารพร้อมกับจดบนั ทกึ
2. แบง่ กลมุ่ แบง่ หนา้ ทก่ี ารทำงาน นำความรู้เสนอภายในกลมุ่
3. ตรวจสอบข้อมูล ความถกู ต้อง ศึกษาคน้ ควา้ จากเอกสารเพิม่ เติมจากแหลง่ เรยี นรู้
4. ประเมินผลดา้ นความรู้ กระบวนการทำงานโดยตนเอง คณะครู และผปู้ กครอง
5. เลือกรปู แบบและวธิ ีการนำเสนอผลงาน
6. เสนอผลงานการปฏิบัติงาน เผยแพร่ผลงานต่อผู้เรียน คณะครู ผู้ปกครอง ชุมชน
สรปุ ผลและประเมินผลการเผยแพร่ผลงาน
จากรายละเอียดดังกล่าว บุคลากรทุกฝ่ายมีส่วนร่วม และมีบทบาทร่วมกันในการบริหาร
จดั การแหลง่ เรยี นรเู้ พ่ือเพิม่ ประสทิ ธิภาพในการจัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน

การบรู ณาการการบริหารแหลง่ เรียนรเู้ พื่อการจดั การเรยี นรู้

ศักดิ์ชัย เพชรแกมทอง (2555, หน้า 55-67) ได้ศึกษา การพัฒนากลยุทธ์การบริหาร
จัดการแหล่งเรีฐนรู้ของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่า สภาพการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ของ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษามีการนำข้อมูลมาใช้ในการวิเคราะห์สภาพสิง่ แวดล้อมภายในและ
ภายนอก มีเกณฑ์การคำเนินงานที่ชัดเจน โดยการมีส่วนร่วมของผู้เกี่ยวข้อง มีการนำแผนปฏิบัติการ
ไปสู่การปฏิบัติ มีการตรวจสอบประเมินผล มีการปรับปรุงและพัฒนา มีการติดตาม แก้ไขปัญหา
บริหารการจัดการแหล่งเรียนรู้ที่ชัดเจน ส่วนปัญหาได้แก่ ครูผู้สอนให้ความสำคัญในการวางแผน
บริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ก่อนข้างน้อย การดำเนินงานโครงสร้างการบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ไม่
สอดคล้องกับสภาพโรงเรียน การติดตามและประเมินผลมีการจัดระบบการจัดเก็บข้อมูลเพื่อการ
ตรวจสอบผลการประเมินไม่มีประสิทธิภาพ การปรับปรุงและพัฒนา ไม่ได้นำผลการประเมินและ
ข้อเสนอแนะมาใช้ในการวางแผน สำหรับผลการประเมินกลยุทธ์การบริหารจัดการแหล่งเรียนรู้ของ
สถานศึกษาขั้นพื้นฐานสังกัด ในด้านความสอดคล้องของวิสัยทัศน์ พันธกิจ ประเด็นกลยุทธ์
เป้าประสงค์ กลยุทธ์ มาตรการและตัวชี้วัด พบว่า มีความสอดคล้องกันในระดับมากและมากที่สุดใน
ด้านความเหมาะสมและความเป็นไปได้และการใช้ประโยชน์ของกลยุทธ์ มาตรการและตัวชี้วัดมีผล
การประเมนิ อยู่ในระดบั มากและระดบั มากท่ีสดุ

ชลธชิ า ประทุม (2556, หนา้ 152) ได้ศึกษาเรื่อง การใชแ้ หล่งเรยี นรู้และภมู ิปญั ญาท้องถ่ิน
ในการจดั การเรียนร้ขู องสถานศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน ผลการศึกษาพบว่า ความคดิ เหน็ ตอ่ สภาพการใช้แหล่ง
เรียนรู้ในชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน โคยภาพรวมอยู่ในระดับปานกลาง
และ ผลการเปรียบเทียบสภาพการใช้แหล่งเรียนรู้ในชุมชนและภูมิปัญญาท้องถิ่นของสถานศึกษาข้ัน

163

พ้ืนฐาน พบว่า บุคลากรในสถานศกึ ษาท่ีมขี นาดต่างกันมคี วามคิดเห็นแตกต่างกนั อย่างมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .01 และพบว่า สถานศึกษาขนาดเล็กกับขนาดกลางและขนาดเล็กกับขนา ดใหญ่
แตกต่างกันอยา่ งมนี ัยสำคัญทางสถิตทิ ี่ระดับ .01 สว่ นสถานศึกษาทม่ี ีขนาดกลางกับขนาดใหญม่ ีความ
คิดเห็นไม่แตกตา่ งกัน

ไพฑูรย์ ศรีดี (2559, หน้า 46-48) ได้กล่าวถึง กระบวนการบริหารแหล่งเรียนรู้โดยใช้การ
บริหารคุณภาพวงจรเดมมิ่ง ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือการวางแผน การดำเนินการ การตรวจสอบ
ติดตาม และ การปรับปรุง แก้ไข และเมื่อนำมาบูรณาการกับห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ และศูนย์
การเรียนรู้เศรษฐกจิ พอเพียง มีรายละเอยี ด ดังนี้

1. หอ้ งปฏบิ ัตกิ ารคอมพิวเตอร์
1. การวางแผน มีขั้นตอนการดำเนินการซึ่งประกอบไปด้วย แต่งตั้งคณะกรรมการ

รับผิดชอบการดำเนินงานของห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอรอ์ ย่างชดั เจนสำรวจความต้องการ ในการใช้
ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์เพ่ือเป็นข้อมูลในการกำหนดแผนการจัดการห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
กำหนดแผนการจัดการห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในแผนปฏิบัติการสถานศึกษาประจำปี จัดสรร
งบประมาณ การจัดซื้อ/จัดหาสื่อ วัสดุ โละอุปกรณ์ เพื่อการดำเนินงานของห้องปฏิบัติการ
คอมพิวเตอร์ ได้อย่างมีคุณภาพ และเพียงพอ วางแผนจัดทำระบบสารสนเทศของห้องปฏิบัติการ
คอมพวิ เตอร์อย่างเป็นระบบ และจัดทำแผนงาน โครงการ/กิจกรรมเพื่อสง่ เสริมการใช้ห้องปฏิบัติการ
คอมพิวเตอร์

2. การดำเนินการ มีข้ันตอนการดำเนนิ การซ่ึงประกอบไปด้วย จัดประชุมเพ่ือช้ีแจงให้
ผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบถึงแนวทางการดำเนินงานของห้องปฏบิ ตั ิการคอมพิวเตอร์ จัดอบรมบุคลากร
เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญ และการใช้ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ ประชาสัมพันธ์การ
ดำเนนิ งานของห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ สง่ เสริมใหค้ รูใช้ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ในการจัดการ
เรียนรู้ทุกกลุ่มสาระการเรียนรู้ จัดกิจกรรมที่ส่งเสริมให้นักเรียนได้ใช้ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ให้
เกิดประไยชน์สูงสุด จัดทำเอกสาร หรือป้ายนิเทศ ประกอบการใชส้ ่ือ วัสดุ อุปกรณ์ในห้องปฏิบตั กิ าร
คอมพิวเตอร์ จัดครูหรือผู้รับผิดชอบแนะนำวิธีการใช้ระเบียบ และข้อควรปฏิบัติในการใช้
ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ จัดให้มีแสงสว่างเพียงพอต่อการจดั กิจกรรมการเรียนการสอน จัดสภาพ
ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ให้อยู่ในสภาพที่ใช้การได้เป็นสัดส่วน เรียบร้อย มีอุปกรณ์ ครุภัณฑ์
เพียงพอ และอยู่ในสภาพดี ขนาดของห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ควรมีเนื้อที่เพียงพอกับจำนวน
นักเรียน และสามารถประกอบกิจกรรมต่าง ๆ ได้ จัดบรรยากาศและตกแต่งสถานที่ที่เอื้อต่อการ
เรียนรู้ จัดเก็บสื่อการเรียนการสอนให้เป็นระเบียบ และสะดวกในการใช้ ดูแลและบำรุงรักษาให้
หอ้ งปฏบิ ัติการคอมพิวเตอร์ สะอาดและเปน็ ระเบียบเรียบร้อยอยู่เสมอ เตรียมใบงาน ใบความรู้ แบบ
ฝึกอ่ืน ๆ เตรียมโปรแกรมคอมพิวเตอร์ช่วยสอน (CAI) จัดหาสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอน ให้มี
จำนวนเพียงพอต่อการใช้งาน ขอความร่วมมือ ช่วยเหลือจากชุมชน สมาคมครูและผู้ปกครองหรือ
ภาคเอกชน ในท้องถิ่นที่สามารถให้การสนับสนุน จัดหาสื่อและอุปกรณ์การเรียนการสอนให้เพียงพอ
มกี ารเชญิ คร/ู ผู้รับผดิ ชอบผ้ชู ำนาญการดา้ นคอมพวิ เตอร์มาเป็นวทิ ยากรภายนอก และมกี ารจัดเตรียม
แนวการสอน แผนการจัดการเรียนรกู้ ับคร/ู ผรู้ บั ผดิ ชอบ/ผู้ชำนาญการท่เี ป็นวทิ ยากรภายนอก

164

3. การตรวจสอบ ติดตาม มีขั้นตอนการดำเนินการซึ่งประกอบไปด้วย แต่งตั้งผู้ตรวจ
สอบการคำเนินงานของห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ กำหนดวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบติดตาม
การดำเนนิ งานของห้องปฏิบตั กิ ารคอมพิวเตอร์ กำหนดเกณฑใ์ นการตรวจสอบ ตดิ ตามการดำเนินงาน
ของห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์อย่างชัดเจน สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบติดตามการ
ดำเนินงานของห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์อย่างหลากหลาย และตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์
อปุ กรณ์ตอ่ พว่ ง และโปรแกรมการใชง้ านว่าอยใู่ นสภาพพร้อมใชง้ าน

4. การปรับปรุง แก้ไข มีขั้นตอนการดำเนินการซึ่งประกอบไปด้วย ตรวจสอบผลการ
ประเมิน การดำเนินงานของห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์ นำผลการประเมิน การดำเนินงานของ
ห้องปฏิบัติการคอมพิวเตอร์มาวางแผนปรับปรุงแก้ไข และพัฒนา ส่งเสริมให้บุคลากรทุกฝ่ายมีส่วน
ร่วมในการปรับปรุงแก้ไข และหาแนวทางในการแก้ปัญหาการดำเนินงานของห้องปฏิบัติการ
คอมพวิ เตอร์ และนำผลการประเมนิ การคำเนินงานของห้องปฏิบัตกิ าร คอมพิวเตอร์ไปใช้ในการจัดทำ
แผนพฒั นาในปีการศึกษาถัดไป

2. ศนู ย์การเรยี นร้เู ศรษฐกจิ พอเพยี ง
1. การวางแผน มีขั้นตอนการดำเนินการซึ่งประกอบไปด้วย แต่งตั้งคณะกรรมการ

รับผิดชอบการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงอย่างชัดเจน สำรวจความต้องการ
ผู้บริหาร ครู นกั เรยี น ชมุ ชนในการจดั ศนู ย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพยี ง สำรวจรวบรวมข้อมูลพ้ืนฐาน
เกยี่ วกบั ศนู ย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงและจัดทำเปน็ ระบบสารสนเทศ กำหนดแผนการดำเนินงาน
ของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงโดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกฝ่าย วางแผนการบริหารจัดการ
งบประมาณของสถานศึกษาที่สอดคล้องกับหลักเศรษฐกิจพอเพียง โดยคำนึงถึงการใช้ประโยชน์ของ
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างคุ้มค่า และวางแผนจัดการแหล่งเรียนรู้ในสถานศึกษาอย่างคุ้มค่า และเกิด
ประโยชนต์ ่อการเรียนรู้ท่ีจะอยู่อยา่ งพอเพียง กำหนดนโขบายโดยน้อมนำปรัชญเศรษฐกิจพอเพียงมา
ขบั เคล่อื นในสถานศกึ ษาและบูรณาการในแผนปฏิบตั ิการประจำปี

2. การดำเนินการ มีขั้นตอนการดำเนินการซึ่งประกอบไปด้วย ชี้แจงบุคลากรในการ
จัดทำและดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง จัดอบรมให้ครูในสถานศึกษาทุกคนมี
ความรู้ความเข้าใจตามหลักเศรษฐกิจพอเพียงปฏิบัติตามแนวทางสายกลาง และพัฒนาตนให้รู้จักคิด
เป็น ทำเป็นอย่างมีเหตุผล ประชาสัมพันธ์ให้ชุมชน และหน่วยงานภายนอกมีส่วนร่วมในการ
ดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง จัดกิจกรรมการเรียนรู้แบบบูรณาการทุกกลุ่มสาระ
การเรียนรูผ้ า่ นกิจกรรมฐานการเรียนรู้ภายในศูนยก์ ารเรยี นรเู้ ศรษฐกจิ พอเพียง ใช้สถานศกึ ษาเปน็ ฐาน
ในการพัฒนาเรียนรู้ร่วมกับชุมชน ปลูกจิตสำนึกแก่นักเรียนให้รู้จักรับผิดชอบต่อตนเองและชุมชน
ท้องถิ่นผ่านกิจกรรมจิตอาสา กิจกรรม 5ส และช่วยเหลือนักเรียนที่ยากจนขาดแคลน โดยการมอบ
ทุนการศึกษา ส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการอนุรักข์และสง่ เสริมธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม มีการ
รณรงค์การปลูกต้นไม้ในวันสำคัญๆ การมีส่วนร่วมในกิจกรรมธนาคารขยะรีไซเคิล เป็นต้น ส่งเสริม
การจัดกิจกรรมที่สะท้อนวัฒนธรรม ประเพณีท้องถิ่นและศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ ในวันสำคัญร่วมกับ
ชุมชน จัดทำเอกสารป้ายนิเทศในทุกฐานการเรียนรู้เศรษฐกจิ พอเพียงและจดั ครู/ผู้เชี่ยวชาญ/ปราชญ์
ภมู ิปัญญาทอ้ งถนิ่ แนะนำ ในฐานการเรียนรู้ เศรษฐกจิ พอเพยี งตามความเหมาะสม

165

3. การตรวจสอบ ตดิ ตาม มขี นั้ ตอนการคำเนินการซงึ่ ประกอบไปดว้ ย แตง่ ต้งั ผ้ตู รวจสอบการ
ดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง กำหนดวัตถุประสงค์ของการตรวจสอบติดตามการ
ดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง กำหนดเกณฑ์ในการตรวจสอบ ติดตามการ
ดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียงอย่างชัดเจน สร้างเครื่องมือที่ใช้ในการตรวจสอบ
ติดตามการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรเู้ ศรษฐกิจพอเพียงอย่างหลากหลาย และติดตามประเมินผล
การดำเนินงานของศูนย์การเรียนร้เู ศรษฐกิจพอเพียงอย่างต่อเนื่อง

4. การปรบั ปรงุ แก้ไข มขี น้ั ตอนการดำเนนิ การซึ่งประกอบไปดว้ ย ตรวจสอบผลการประเมิน
การดำเนนิ งานของการดำเนินงานของศนู ย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง นำผลการประเมินการคำเนิน
งานของศนู ยก์ ารเรียนร้เู ศรษฐกจิ พอเพียงมาวางแผนปรบั ปรงแก้ไข และพัฒนา ส่งเสรมิ ใหบ้ คุ ลากรทุก
ฝ่ายมีส่วนร่วมในการปรับปรุงแก้ไข และหาแนวทางในการแก้ปัญหาการดำเนินงานของศูนย์การ
เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง และนำผลการประเมินการดำเนินงานของศูนย์การเรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง
ไปใชใ้ นการจดั ทำแผนในปีการศึกษาถัดไป

ผู้เขยี นในฐานะผ้มู ีประสบการณ์ในการจัดการเรียนการสอนในสถานศึกษามองวา่ แหล่งเรียนรู้
เป็นสิ่งสำคัญในการที่ช่วยส่งเสริมในการจัดการศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการสร้างประสบการณ์
การเรียนรู้ที่ให้ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติด้วยตนเองรวมถึงเป็นการสร้างบรรยากาศการเรียนการสอนไม่
จำเจแค่อยู่ในห้องเรียนเพียงอย่างเดียว ดังนั้น ผู้บริหารและครูควรร่วมมือร่วมใจกันในการจัดแหล่ง
เรยี นรู้ในโรงเรียน เช่น ห้องปฏบิ ัติการตา่ ง ๆ (หอ้ งคอมพิวเตอร์ หอ้ งวทิ ยาศาสตร์ ห้องภาพยนตร์ เป็น
ต้น) สร้างแหล่งเรียนรู้ในโรงเรียน (แปลงเกษตรเพื่อปลูกฝังเศรษฐกิจพอเพียง) เป็นต้น และนำเด็ก
สามารถศึกษาแหล่งเรียนรู้ภายนอกโรงเรียน เช่น ประเพณี ศาสนา วัฒนธรรม รวมไปถึงภูมิปัญญา
ทอ้ งถ่ิน เป็นต้น

ภาพประกอบ 57 แหล่งเรยี นรู้
ทมี่ า (แหลง่ เรียน, 2564)

ดังนั้นการบริหารจัดการแหล่งเรยี นรู้จึงจำเปน็ ที่จร่วมกันพัฒนาและหาแนวทางให้ยั่งยืนโดย
ใช้กระบวนการบริหารวงจรคุณภาพ PDCA ซึ่งประกอบด้วย 4 ขั้นตอน คือ วางแผน (P) เพื่อนำไปสู่
เป้าหมายที่กำหนด จากนั้นจึงดำเนินการตามแผน (D) ด าเนินการก็ท าการตรวจสอบ (C)
วา่ ดำเนนิ การไปแล้วนำไปสู่เป้าหมายหรอื ไมเ่ พยี งใด แล้วนำผลการตรวจสอบมาใช้แก้ไข ปรับปรุง (A)
ดังภาพประกอบ

166 แนวทางการสร้าง/พัฒนา ใชแ้ หลง่ การเรยี นรู้
1. จัดตงั้ คณะผู้รับผิดชอบแหลงเ่ รียนรู้
แนวทางการวางแผน 2. สำรวจเคราะหค์ วามพร้อมของแหล่งการเรยี นรใู้ น
1. กำหนดนโยบายการพัฒนาแหลง่ เรียนรู้ โรงเรียนและชมุ ชน
2. จดั ตั้งคณะกรรมการ 3. กำหนดแหลง่ การเรียนรแู้ ละจัดระบบสารสนเทศ
3. จดั ทำแผนงานพฒั นาแหลง่ การเรียนรู้ 4. สรา้ งและพัฒนาแหล่งการเรยี นรู้
4. สร้างความเขา้ ใจแก่บุคลากรของ โรงเรียนและชมุ ชน 5. ใช้แหล่งเรียนรู้
5. ประชาสัมพันธโ์ ครงการ 5. ประชาสมั พันธ์โครงการ

ตรวจสอบ ทบทวน กำกับติดตาม
1. กำหนดวิธกี าร เครื่องมอื ประเมินผล
2. กำหนดผู้เกยี่ วขอ้ งประเมินผล การสร้าง พฒั นาแหล่งการเรยี นรู้
3. วเิ คราะหข์ อ้ มลู สรปุ ผลการสรา้ ง พฒั นา และใช้แหล่งเรียนรู้

สรปุ และรายงานผลการสรา้ งและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้
ไม่สำเร็จ - สรปุ รายงานการพัฒนาเรยี นรู้

- ส่งเสรมิ สนับสนุนพฒั นาต่อยอด

ภาพประกอบ 58 การบริหารแหล่งเรยี นร้ตู ามวงจรเดมมงิ่

บทสรุป

แหล่งเรียนรู้ หมายถึง แหล่งวิชาการหรือแหลง่ ทรัพยากร ที่สามารถใช้เป็นที่ศกึ ษาหาความรู้
ความเขา้ ใจ ความชำนาญ ซึ่งอาจเป็นได้ทั้งสิง่ ทเี่ ป็นธรรมชาติหรือส่ิงทีม่ นษุ ยส์ รา้ งขึ้น เป็นได้ทั้งบุคคล
สิ่งมีชีวิตและไม่มีชีวิตได้แก่ บุคคล สถานที่ต่าง ๆ แหล่งวิทยาการ ธรรมชาติ สภาพสังคมเศรษฐกิจ
การเมือง วัฒนธรรม และเทคโนโลยีสารสนเทศต่าง ๆ ที่เสริมสร้างให้ผู้เรียนเกิดกระบวนการเรียนรู้
และเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้ด้วยตนเองโดยประสบการณ์ตรง เพื่อให้สามารถนำไปใช้ประโยชน์ใน
ชวี ติ ประจำวันได้

ความสำคัญของแหล่งการเรียนรู้ เป็นเครื่องมือหรือวิธีการที่ครูและเด็กสามารถศึกษาหา
ความร้หู รือเรียนรู้จากแหล่งความรู้ท่ีมีอยู่ ดังน้ี

1. ภมู ิปัญญาทอ้ งถ่นิ ไดแ้ ก่ ปราชญช์ าวบ้านทมี่ คี วามรู้ ความสามารถหรือมปี ระสบการณ์
และประสบความสำเรจ็ ในงาน/อาชีพ ทม่ี ีอยูใ่ นทอ้ งถน่ิ หรือผนู้ ำชมุ ชน ฯลฯ

2. แหล่งวิทยาการ ได้แก่ สถาบัน/องค์กร/หน่วยงาน/หอ้ งสมุด/ศูนยว์ ทิ ยาการทางภาครัฐ
และเอกชน ทช่ี แี้ จงใหบ้ รกิ ารความรใู้ นเร่ืองต่าง ๆ

3. สถานทปี่ ระกอบการ สถานท่ีประกอบอาชีพอิสระ โรงงานอตุ สาหกรรม หนว่ ยงานวจิ ยั
ในทอ้ งถ่นิ ซงึ่ ให้บริการความรู้ ฝึกอบรมเกย่ี วกบั งาน และวิซาชพี ต่าง ๆ ทม่ี ีอยู่ในชมุ ชนท้องถิ่น

4. ทรพั ยากรธรรมชาติหรือส่งิ แวดล้อม เชน่ อุทยานแห่งชาติ สวนสัตว์ พพิ ิธภณั ฑ์ ฯลฯ
5. สือ่ สงิ่ พมิ พต์ ่าง ๆ เชน่ วารสาร หนังสืออา้ งอิง หนงั สอื พิมพ์ ฯลฯ

167

6. สอ่ื อิเลก็ ทรอนิกส์ เช่น อนิ เทอร์เน็ต ซีดรี อม วซี ดี ี วีดิทศั น์ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน(CAI)
ฯลฯ

แหลง่ เรยี นรมู้ ปี ระโยชน์ ประโยชน์ตอ่ นักเรียน ตอ่ ครู ตอ่ ชมุ ชน และต่อการจดั การศึกษา เช่น
นักเรียนได้รับประสบการณ์ตรง ได้สัมผัสของจริง การขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์และแหล่งความรู้ เกิด
ความเข้าใจอันดรี ะหว่างโรงเรียนและชุมชนและการใช้แหล่งเรียนรู้ในการจัดการเรียนการสอนจะช่วย
ลดความแตกตา่ งระหว่างบุคคล เป็นต้น

แหล่งการเรียนรู้ แบ่งเป็น 2 ประเภท คือ แหล่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา แหล่งเรียนรู้
ภายนอกสถานศึกษาและแหล่งการเรยี นรูใ้ นท้องถิน่ ดังรายละเอยดดังนี้

1. แหล่งการเรียนรู้ในสถานศึกษา คือ บุคคลภายในสถานศึกษา อาคารสถานที่ใน
สถานศกึ ษา ธรรมชาติภายในสถานศึกษา ห้องฎิบัตกิ ารต่าง ๆ เป็นต้น

2. แหล่งเรียนรู้ภายนอกสถานศึกษา คือ ธรรมชาติภายนอก สถานที่ต่าง ๆ รวมไปถึงวัด
และองค์กรตา่ ง ๆ แหลง่ การเรยี นรูใ้ นทอ้ งถ่ิน ภมู ปิ ญั ญาทอ้ งถิ่น ปราชญช์ าวบา้ น เป็นต้น

การบริหารแหล่งเรียนรูโ้ ดยใช้วงจรเดมง่ิ มี 4 ข้นั ตอน คือ วางแผน (P) เพ่อื นำไปสู่เป้าหมาย
ที่กำหนด จากนั้นจึงดำเนินการตามแผน (D) ดำเนินการก็ทำการตรวจสอบ (C) ว่าดำเนินการไปแล้ว
นำไปสูเ่ ปา้ หมายหรือไม่เพยี งใด แล้วนำผลการตรวจสอบมาใช้แกไ้ ข ปรบั ปรุง (A)



169

บทท่ี 7

การจัดการเรยี นการรู้ และการสอนเสรมิ

บทนำ

การศึกษาเป็นกระบวนการสำคัญยิ่งในการพัฒนาคนให้มีคุณภาพ เป็นปัจจัยสำคัญในการ
สร้างและพัฒนาความรู้ ความคิด ความประพฤติและคุณธรรมของบุคคล สังคมและบ้านเมืองใดให้
การศึกษาที่ดีแก่เยาวชนได้ครบถ้วน พอเหมาะกันทุกด้าน สังคมและบ้านเมืองนั้นก็จะมีพลเมืองที่มี
คุณภาพ ซงึ่ สามารถธำรงรักษาความเจริญมั่นคงของประเทศชาติไว้ และพัฒนาให้ก้าวหน้า การทำให้
บุคคลมีปัจจัยหรือมีอุปกรณ์สำหรับชีวิตอย่างครบถ้วนเพียงพอ ทั้งในส่วนวิชาความรู้ ส่วนความคิด
วนิ จิ ฉยั สว่ นจิตใจและคุณธรรมความประพฤติ ส่วนความขยนั อดทน และความสามารถในอันที่จะนำ
ความรู้ ความคิดไปใช้ปฏิบัติงานด้วยตนเองให้ได้จริง ๆ เพื่อให้สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสุข
ความเจรญิ ม่นั คง และสร้างประโยชนใ์ หแ้ ก่ส่ังคมและบา้ นเมอื งไดต้ ามสมควรแกฐ่ านะด้วย

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม 2562 หมวด 4 มาตรา
22 กำหนดแนวการจัดการศึกษาไว้ว่า การจัดการศึกษาต้องยึดหลักว่าผู้เรียนทุกคนมีความสามารถ
เรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้
ผู้เรียนสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ครู ผู้ซึ่งเกี่ยวข้องโดยตรงในการจัดการ
เรียนรู้ให้แก่ผู้เรียน ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม
มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดำรงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมีความสุข ดังนั้น
การจัดการเรียนรู้เพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถตามมาตรฐานการเรียนรู้ สมรรถนะสำคัญ
และคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงคต์ ามท่ีกำหนดไว้ในหลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน

การจัดการเรียนรู้เป็นการตั้งใจกระทำให้เกิดการเรียนรู้ การจัดการเรียนรู้ที่ดีย่อมทำให้เกิด
การเรียนรู้ที่ดี ผู้สอนเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ ผู้สอนที่สอนอย่างมี
หลักการ มีความรู้และมีทักษะ จะช่วยให้ผู้เรียน เรียนอย่างมีความหมาย และมีคุณค่า โดยเฉพาะ
อย่างยิ่งในปัจจุบันนี้ กระบวนการเรียนรู้มิได้จำกัดว่าจะต้องเกิดขึ้นเฉพาะในห้องเรียนเท่านั้น ดังน้ัน
การจัดการเรียนรู้ หรือที่เรียกกันว่า การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ จึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งที่ผู้สอน
จะต้องเรียนรู้ให้เขา้ ใจและนำไปปฏิบัติได้อย่างถูกต้องและสมั ฤทธิ์ผล (สานักส่งเสริมวิชาการและงาน
ทะเบยี น , 2557, หน้า 7)

ดงั นัน้ การจัดการเรยี นเปน็ การพฒั นาผู้เรยี นให้เป็นบุคคลที่มีคณุ ภาพดว้ ยกระบวนการเรียนรู้
เพื่อความเจริญงอกงามของบุคคลและสังคม โดยถ่ายทอดความรู้ การฝึก การอบรม การสืบสานทาง
วัฒนธรรม การสร้างสรรค์จรรโลง ความก้าวหน้าทางวิชาการ การสร้างองค์ความรู้อันเกิดจาก
การจัดสภาพแวดล้อม สังคม การเรียนรู้และปัจจัยเกื้อหนุนให้บุคคลเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต
ตลอดจนการสอนเสริมกับผู้เรียนที่มีความจำเป็นในการพัฒนาการเรียน รู้ให้ได้มาตรฐานตามท่ี
หลักสูตรคาดหวัง ผู้เขียนขอนำสนอ ในเรื่อง การจัดการเรียนรู้ และการสอนเสริม โดยมีเนื้อหา ดังนี้

170

1) แนวคิดการจัดการเรียนรู้ 2) สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครู 3) การบูรณาการการจัดการ
เรียนร้ขู องครู 4) แนวคดิ การสอนเสริม และ5) การนำการสอนเสริมไปใชใ้ นการจัดการศึกษา

แนวคดิ เก่ยี วกับการจัดการเรียนการรู้

1. ความหมายของการจัดการเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้ไม่ใช่เป็นเพียงการถ่ายทอดเนื้อหาวิชา โดยใช้วิธีการบอกให้จดจำและ

นำไปท่องจำเพื่อการสอบเท่านั้น แต่การจัดการเรียนรู้เป็นศาสตร์อย่างหนึ่งซึ่งมีความหมายที่ลึกซ้ึง
กว่านั้น กล่าวคือ วิธีการใดก็ตามที่ผู้สอนนำมาใช้เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ เรียกได้ว่าเป็นการ
จัดการเรียนรู้นกั การศกึ ษาหลายทา่ น ได้ใหค้ วามหมายของการจัดการเรยี นร้ใู นทัศนะตา่ ง ๆ ดังนี้

Hough & Duncan (1970: หน้า 144 อ้างถึงใน (สานักส่งเสริมวิชาการและงาน
ทะเบียน , 2557, หน้า 7) อธิบายความหมายของการจัดการเรียนรู้ หมายถึง กิจกรรมของบุคคลซ่งึ
มีหลักและเหตุผล เป็นกิจกรรมที่บุคคลได้ใช้ความรู้ของตนเองอย่างสร้างสรรค์ เพื่อสนับสนุนให้ผู้อ่นื
เกดิ การเรยี นรู้และความผาสุก ดงั นั้นการจัดการเรยี นรูจ้ งึ เป็นกจิ กรรมในแงม่ ุมตา่ ง ๆ 4 ดา้ น คอื

1. ด้านหลักสูตร (Curriculum) หมายถึง การศึกษาจุดมุ่งหมายของการศึกษา
ความเขา้ ใจในจดุ ประสงค์รายวชิ าและการตง้ั จดุ ประสงค์การจัดการเรียนรทู้ ช่ี ัดเจน ตลอดจนการเลือก
เนอ้ื หาไดเ้ หมาะสมสอดคลอ้ งกบั ท้องถิน่

2. ด้านการจัดการเรียนรู้ (Instruction) หมายถึง การเลือกวิธีสอนและเทคนิคการ
จัดการเรียนรทู้ ี่เหมาะสมเพอื่ ชว่ ยใหผ้ เู้ รียนบรรลุถึงจดุ ประสงค์การเรียนรู้ที่วางไว้

3. ด้านการวัดผล (Measuring) หมายถึง การเลือกวิธีการวัดผลที่เหมาะสมและ
สามารถวเิ คราะห์ผลได้

4. ด้านการประเมินผลการจดั การเรียนรู้ (Evaluating) หมายถึงความสามารถในการ
ประเมนิ ผลของการจดั การเรยี นรทู้ ้งั หมดได้

กัญญา ศรตี ้งิ (2556, หน้า 13) กล่าวถึง การจดั การเรียนรู้ หมายถึง การจัดการศึกษาท่ีถือ
ว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด เป็นกระบวนการจัดการศึกษาที่ต้องเข้นให้ผู้เรียนแสวงหาความรู้ และพัฒนา
ความรู้ใด้ด้วยตนเอง หรือรวมทั้งมีการฝึกและปฎิบัติในสภาพจริงของการทำงาน มีการเชื่อมโยงสิ่งที่
เรียนกับสังคมและการประยุกต์ใช้ มีการจัดกิจกรรม และกระบวนการให้ผู้เรียนได้คิดวิเคราะห์
สังเคราะห์ ประเมิน และสร้างสรรค์สิ่งต่างๆ นอกจากนี้ ต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตาม
ธรรมชาติ และเต็มตามศกั ยภาพโดยสะท้อนจากการที่นักศึกษาสามารถเลือกเรียนรายวชิ า หรือเลือก
ทำโครงงานหรือชน้ิ งานในหัวข้อทสี่ นใจในขอบเขตเนอื้ หาของวิชาน้นั ๆ

สานักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน (2557, หน้า 8) กล่าวถึง การจัดการเรียนรู้
หมายถึง วิธีการ กระบวนการและตวั บุคคล ดังนั้น จึงอาจสรุปความหมายของการจัดการเรียนรูไ้ ด้วา่
การจัดการเรียนรู้ คือ กระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนเพื่อที่จะทำให้ผู้เรียนเกิดการ
เรยี นรตู้ ามวัตถปุ ระสงค์ของผสู้ อน

ดวงหทัย หวังดี (2561, หน้า 6) กล่าวถึง การจัดการเรียนรู้ ว่าการจัดการเรียนรู้เป็น
กระบวนการที่มีระบบระเบียบคลอบคลุมการค าเนินการ ตั้งแต่การวางแผน การจัดการเรียนรู้

171

จนถึงการประเมินผล และการมีปฏิสัมพันธ์ก่อให้เกิดการเรยี นรูแ้ ละประสบการณ์ใหม่ผู้เรียนสามารถ
นำประสบการณ์ใหม่นนั้ ไปใชไ้ ด้

จากทีก่ ล่าวมา สรปุ ได้ว่า การจดั การเรยี นรู้ คอื การจดั สถานการณส์ ภาพการณ์หรือกิจกรรม
การเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มีประสบการณ์ อันก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ง่าย การอบรมผู้เรียนโดยการจัด
กิจกรรม อุปกรณ์และการแนะแนวให้กับผู้เรียน การจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน การช่วยให้ผู้เรียน
เกิดการเรียนรู้และความสามารถในการนาความรู้นั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ
ให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วม การแนะแนวทางให้ผู้เรียนค้นพบความรู้ด้วยตนเอง และการจัดสรร
ประสบการณ์ท่ีเลือกสรรแลว้ เปน็ อยา่ งดี ให้กบั ผูเ้ รยี น เป็นต้น

2. ความสำคัญของการจดั การเรยี นรู้
การจัดการเรียนรู้เปรียบเสมือนเครือ่ งมือที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนรักการเรียน ตั้งใจเรียน และ

เกิดการเรียนรู้ขึ้น การเรียนของผู้เรียนจะไปสู่จุดหมายปลายทาง คือ ความสำเร็จในชีวิตหรือไม่
เพียงใดนั้น ย่อมขึ้นอยู่กับการจัดการเรียนรู้ที่ดีของผู้สอน หรือผู้สอนด้วยเช่นกัน หากผู้สอนรู้จัก
เลือกใช้วิธีการจัดการเรียนรู้ที่ดีและเหมาะสมแล้ว ย่อมจะมีผลดีต่อการเรียนของผู้เรียน
(สานกั สง่ เสรมิ วชิ าการและงานทะเบียน , 2557, หนา้ 8) ดังน้ี

1. มีความรูแ้ ละความเขา้ ใจในเน้ือหาวชิ า หรือกจิ กรรมทีเ่ รียนรู้
2. เกดิ ทักษะหรอื มคี วามชำนาญในเนอ้ื หาวชิ า หรอื กิจกรรมท่เี รยี นรู้
3. เกิดทัศนคติท่ีดตี ่อสิ่งทเ่ี รียน
4. สามารถนาความรู้ทไ่ี ด้ไปประยกุ ตใ์ ช้ในชวี ติ ประจำวนั ได้
5. สามารถนาความรไู้ ปศึกษาหาความรู้เพมิ่ เติมต่อไปอกี ได้
อนึ่ง การที่ผู้สอนจะส่งเสริมให้ผู้เรียนมีความเจริญงอกงามในทุก ๆ ด้าน ทั้งทางด้าน
ร่างกาย อารมณ์ สังคม และสติปญั ญาน้นั การส่งเสรมิ ทีด่ ที ่ีสุดก็คือการให้การศึกษา ซง่ึ จากที่กล่าวมา
จะเห็นได้วา่ การจดั การเรียนรู้เปน็ สงิ่ สำคัญในการใหก้ ารศกึ ษาแกผ่ เู้ รียนเป็นอย่างมาก
3. ลักษณะของการจัดการเรียนรู้
ครูนั้นควรเป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์ เป็นผู้ที่สร้างทรัพยากรมนุษย์ที่ดีต่อสังคม ฉะนั้น
โดยธรรมชาตขิ องครูต้องเป็นผู้ใฝ่เรียน และต้องรู้จกั พัฒนาตนเองอย่างต่อเนื่อง โดยลักษณะการสอน
ที่ดีนั้นจะช่วยให้ครูประสบผลสำเร็จในการสอนให้นักเรียนมีความเข้าใจในบทเรียนนั้น ๆ การจัดการ
เรยี นรู้มลี กั ษณะท่ีเดน่ ชัดอยู่ 3 ลกั ษณะ คือ
1. การจัดการเรียนรู้เป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน ซึ่งหมายความ
ว่าการจัดการเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้นั้นทั้งผู้สอนและผู้เรียนต้องมีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและเป็นปฏิสัมพันธ์
ทีเ่ กดิ ขน้ึ อย่างต่อเนือ่ ง เปน็ ไปตามลำดับขนั้ ตอนเพอื่ ทำใหผ้ ู้เรียนเกดิ การเรียนรู้
2. การจัดการเรียนรู้มีจุดประสงค์ให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตาม
จุดประสงคท์ ี่กำหนดไวโ้ ดยการเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมนเ้ี ปน็ พฤตกิ รรมท้งั 3 ด้าน ไดแ้ ก่
2.1 ด้านความร้คู วามคิด หรอื ดา้ นพุทธิพิสัย
2.2 ดา้ นทกั ษะกระบวนการ หรอื ดา้ นทักษะพิสัย
2.3 ด้านเจตคตหิ รือดา้ นจติ พิสัย

172

3. การจัดการเรียนรู้จะบรรลุจุดประสงค์ได้ดีต้องอาศัยทั้งศาสตร์และศิลป์ของผู้สอน
ซึ่งหมายความว่าการจัดการเรียนรู้จะบรรลุจุดประสงค์ได้หรือไม่นั้นต้องอาศัยความรู้ความสามารถ
ของผูส้ อนท้ังดา้ นวชิ าการ(ศาสตร์) ทักษะและเทคนคิ การจัดการเรยี นรู้ (ศลิ ป)์ เป็นสำคญั

จากที่กล่าวมานี้สรุปได้ว่า ลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ดีเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์
ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนทำให้ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้โดย
การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมนี้เปน็ พฤตกิ รรมทั้ง 3 ด้าน ได้แก่ ดา้ นความรู้ ความคิด หรอื ดา้ นพุทธิพิสัย
ด้านทักษะกระบวนการ หรือด้านทักษะพิสัย และด้านเจตคติ หรือด้านจิตพิสัย การจัดกิจกรรมการ
เรียนรู้จะ ประสบผลสำเร็จได้ดี ผู้สอนต้องมีทัง้ ความรู้ และเทคนิคการสอนที่หลากหลาย และครตู ้องมี
คณุ ธรรมจริยธรรม

4. องค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้
ผู้สอนจำเป็นจะต้องศึกษาจากข้อมูลหลายประการเพื่อนำมาช่วยเสริมสร้างการจัดการ

เรียนรู้ของตนและการเรียนรู้ของผู้เรียนการจัดการเรียนรู้ไม่ว่าระดับใดก็ตามขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ
3 ประการคอื สุเมน อมรวิวฒั น์ (สเุ มน อมรวิวัฒน์, 2543, หนา้ 56)

1. ผเู้ รียน
2. บรรยากาศทางจติ วทิ ยาท่ีเอื้ออำนวยตอ่ การเรยี นรู้
3. ปฏสิ มั พันธ์ระหว่างผ้เู รียนกบั บรรยากาศทางจิตวิทยาในช้นั เรียน
ถ้าองค์ประกอบของการจัดการเรียนรู้ทั้ง 3 ประการนี้ดำเนินไปได้ด้วยดีจะทำให้ผู้เรียน
ประสบความสำเร็จในการเรียนรไู้ ดอ้ ย่างมาก องคป์ ระกอบดงั กลา่ วมีรายละเอยี ดดงั นี้
1. ผ้เู รยี น
ธรรมชาติของผู้เรียนเป็นสิ่งที่ผู้สอนจะต้องคำนึงถึงเป็นอันดับแรก เกี่ยวกับ
ความสามารถทางสมอง ความถนัด ความสนใจ พัฒนาการทางร่างกาย อารมณ์และจิตใจความ
ต้องการพน้ื ฐานเปน็ สงิ่ ที่ผสู้ อนจะต้องคำนึงถงึ และจะละเลยไม่ได้
2. บรรยากาศทางจิตวิทยาท่ีเอื้ออำนวยตอ่ การเรียนรู้
ผู้สอนเป็นส่วนที่สำคัญและเป็นส่วนหนึ่งที่จะกำหนดบรรยากาศในชั้นเรียนให้เป็นไป
ในรูปแบบทตี่ อ้ งการ ความเปน็ ประชาธิปไตย ความเครง่ เครียด ความชน่ื บานของผู้เรยี น ส่งิ เหล่านี้จะ
เกิดขึ้นได้โดยผู้สอนเป็นผู้กำหนด แต่ถึงกระนั้นก็ตามบรรยากาศในชั้นเรียนยังมีองค์ประกอบอื่น ๆ
อีกนอกเหนือไปจากตัวผู้สอน คือ ผู้เรียนเข้าชั้นเรียนโดยไม่ได้รับประทานอาหารเช้าหรืออาหาร
กลางวัน ผ้เู รยี นเร่ิมเรียนชั่วโมงแรก ดว้ ยความร้สู ึกหวิ หรือบางคร้ังผู้เรียนไดร้ ับส่ิงกระทบกระเทือนใจ
ติดตามมาเน่ืองจากความไม่ปรองดองในครอบครัว เป็นต้น ส่วนทางด้านตัวผู้สอนนั้นอาจจะมีความ
กดดันจากฝ่ายบริหารหรอื จากครอบครัว เศรษฐกจิ อาหารเชา้ ก่อนมาสถานศึกษาของผ้สู อนมเี พียงน้ำ
แก้วเดียวเท่านัน้ สิ่งที่นำมาก่อนเหล่านีเ้ กิดขึน้ ก่อนที่ผู้สอนและผู้เรียนจะมาพบกัน ซึ่งเป็น สิ่งที่จะบง่
ไดว้ า่ บรรยากาศทางจติ วทิ ยาในชัน้ เรยี นท่เี อ้อื อำนวยตอ่ การเรียนรู้จะปรากฏออกมาในรูปแบบใด
3. ปฏิสมั พนั ธ์ระหว่างผู้เรยี นกับบรรยากาศทางจิตวิทยาในชน้ั เรยี น
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนและผู้เรียนจะเป็นเครื่องชี้บ่งถึงเงื่อนไขหรือสถานการณ์ว่า
ผู้เรียนจะประสบความสำเรจ็ หรือความลม้ เหลวต่อการเรียนรู้ ผู้สอนควรจะคิดถึงผูเ้ รียนในฐานะเปน็
บคุ คลหนง่ึ ผูเ้ รยี นมสี ทิ ธิท่จี ะไดร้ ับความต้องการพื้นฐาน และผสู้ อนจะต้องหากลวิธีที่จะตอบสนองต่อ

173

ความต้องการพื้นฐานของผู้เรียนใหม้ ากที่สุดเท่าทีจ่ ะมากได้ และผู้สอนควรจะฝึกให้มีความรู้สึกไวตอ่
ความรู้สึกนึกคิดของผู้เรียน เพื่อความสำเร็จแห่งการเรียนรู้และการเจริญเตบิ โต เป็นบุคคลที่สมบรู ณ์
ตอ่ ไป

ไพฑูรย์ สินลรัตน์ (2546, หน้า 106) กล่าวว่า การสอนเป็นกระบวนการสามเส้า
อันประกอบไปดว้ ย OLE ได้แก่

O = Objective = จดุ มุ่งหมาย
L = Learning Experience = การจัดประสบการณก์ ารเรยี นการสอน
E = Evaluation = การประเมินผล
รวมเรียกว่า “ไตรยางศก์ ารสอน” แสดงดงั ภาพ

จุดมงุ่ หมาย

การ การจดั
ประเมนิ ผล ประสบการณ์

ภาพประกอบ 59 ไตรยางคก์ ารสอน
ทีม่ า (ไพฑูรย์ สนิ ลรตั น์, 2546, หนา้ 106)

จากองค์ประกอบของการสอนที่นักการศึกษาทั้ง 3 ท่านเสนอไว้ เมื่อนำมาพิจารณาแล้ว
สามารถวเิ คราะห์แยกย่อยเปน็ องค์ประกอบ 2 ด้าน ได้แก่

1. ด้านองค์ประกอบรวม หมายถึง องค์ประกอบด้านโครงสร้างที่มาประกอบกันเป็นการ
สอน อันประกอบดว้ ย

1.1 ครู หรือผสู้ อน หรอื วิทยากร
1.2 นกั เรียน หรอื ผู้เรยี น
1.3 หลกั สูตร หรือส่ิงทจ่ี ะสอน
2. ด้านองค์ประกอบย่อย หมายถึง องค์ประกอบด้านรายละเอียดของการสอน ซึ่งจะต้อง
ประกอบดว้ ยกระบวนการเหลา่ นี้จงึ จะทำใหเ้ ปน็ การสอนทีส่ มบูรณ์ ไดแ้ ก่

2.1 การต้งั จุดประสงค์การสอน
2.2 การกำหนดเนอ้ื หา
2.3 การจัดกิจกรรมการเรยี นการสอน
2.4 การใช้ส่อื การสอน
2.5 การวัดผลประเมินผล

174
องค์ประกอบของการสอนท้ัง 2 ดา้ น สามารถแสดงได้ ดงั ภาพ

องค์ประกอบการสอน

องคป์ ระกอบรวม องคป์ ระกอบยอ่ ย

1

2

3

4

5
ครู 1

2

3

4

5
ครู

ภาพประกอบ 60 แสดงองคป์ ระกอบการสอน
ท่มี า (อาภรณ์ ใจเทย่ี ง, 2550, หนา้ 8)

หมายเหตุ
1 คอื ตงั้ จุดประสงคก์ ารสอน
2 คือ กำหนดเน้ือหา
3 คอื จัดกจิ กรรมการเรยี นการสอน
4 คอื ใชส้ ่อื การสอน
5 คือ วัดผลประเมินผล

จากแผนภูมิ ถ้าเปรียบการสอนเป็นสามเหลี่ยม สามเหลี่ยมรูปนี้ประกอบด้วยด้าน 3 ด้าน
ได้แก่

ด้านที่ 1 หมายถงึ ครู
ด้านที่ 2 หมายถึง นกั เรยี น
ด้านที่ 3 หมายถงึ หลกั สตู ร
ทั้ง 3 ด้านมาประกอบกันเกิดเป็นสามเหลี่ยม จะขาดด้านใดด้านหนึ่งไม่ได้ถ้าขาดไปก็จะไม่
เป็นสามเหลี่ยม ดังนั้นองค์ประกอบทั้ง 3 นี้ จึงเป็นส่วนที่ทำให้เกิดการสอนขึ้น จัดเป็นองค์ประกอบ
รวมส่วนภายในสามเหลี่ยมหรือในตัวการสอน จะต้องมีองค์ประกอบย่อยที่ทำให้การสอนเกิดความ
สมบูรณไ์ ม่บกพรอ่ ง ได้แก่
1. การตัง้ จดุ ประสงค์การสอน
2. การกำหนดเนื้อหา

175

3. การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
4. การใชส้ อ่ื การสอน
5. การวดั ผลประเมินผล
ทั้ง 5 องค์ประกอบย่อยนี้ ช่วยให้เป็นสามเหลี่ยมที่มคี วามหมาย หรือเป็นการสอนท่ีสมบูรณ์
ด้วยเหตุผล ดังน้ี
1. การตั้งจุดประสงค์การสอน เป็นองค์ประกอบสำคัญอันดับแรกของการสอน ทำให้
ผู้สอนทราบว่าจะสอนเพื่ออะไร ให้ผู้เรียนเกิดพฤติกรรมใดบ้าง มากน้อยเพียงใด เป็นการสอนที่มี
เป้าหมาย ขณะเดยี วกนั การตั้งจุดประสงค์การสอนจะเปน็ ประโยชน์ต่อผู้สอนในการเตรียมเน้ือหาการ
สอน การเลือก ใช้วธิ สี อน เลือกใชส้ ่ือการสอน และการวดั ผลให้สอดคล้องกับจุดประสงค์การสอน
2. การกำหนดเนื้อหา องค์ประกอบข้อนี้ หมายรวมถึง การเลือกและการจัดลำดับ
เนื้อหาที่สอนด้วย การกำหนดเนื้อหาจะทำให้ผู้สอนได้ทราบว่าจะสอนอะไร ผู้เรียนควรได้รับ
ประสบการณ์ใดบ้าง ประสบการณ์ใดควรได้รับก่อน และในขอบเขตมากน้อยเพียงใดจึงจะเหมาะสม
การกำหนดเนือ้ หาไว้ล่วงหน้าจะทำให้การสอนมสี าระค้มุ ค่ากับเวลาท่ผี า่ นไปและมคี ุณคา่ แกผ่ ู้เรยี น
3. การจดั กจิ กรรมการเรียนการสอน ข้อนี้เป็นองคป์ ระกอบสำคญั เชน่ กัน เพราะทำให้
ผู้สอนทราบว่าจะสอนอย่างไร ใช้วิธีการใดในการเสนอหรือสรา้ งประสบการณใ์ ห้แก่ผู้เรยี น ซึ่งจะต้อง
ใช้วิธีการที่เหมาะสม อาจใช้วิธีเดียวหรอื หลายวิธีในการสอนแต่ละครัง้ โดยจะต้องเป็นวิธีที่เหมาะสม
กับลักษณะของเนื้อหาวิชากับผู้เรียน กับสภาพห้องเรียน และสอดคล้องกับจุดประสงค์การสอนที่
กำหนดไว้
4. การใช้สอ่ื การสอน สอื่ การสอนเป็นสว่ นสำคญั ในการช่วยใหผ้ เู้ รียนเกิดการเรียนรู้ได้
ชัดเจนและเร็วขึ้น ตลอดจนช่วยเร้าความสนใจได้ดี สื่อการสอนที่ดีจะช่วยให้การสอนดำเนินไปได้
ราบรื่นและสะดวกคล่องตัวแก่ผู้เรียน การเตรียมสื่อการสอนทำให้ผู้สอนทราบว่าจะใช้อะไรเป็นสื่อ
ชว่ ยสร้างประสบการณ์ใหแ้ กผ่ เู้ รยี นเพอ่ื ให้ผ้เู รียนเกดิ การเรยี นรไู้ ดด้ ที ีส่ ดุ
5. การวัดผลประเมินผล องค์ประกอบข้อนี้ช่วยให้ผู้สอนทราบว่า การสอนที่ผ่านมา
นัน้ บรรลผุ ลหรอื ไม่ มากน้อยเพียงใด ผู้เรยี นเกดิ ผลสัมฤทธต์ิ ามจดุ ประสงค์ท่ีกำหนดไว้หรือไม่มีตอนใด
หรือจุดประสงค์ข้อใดบ้างที่ยังไม่บรรลุ ทำให้ผู้สอนสามารถแก้ไขข้อบกพร่องได้ตรงจุดการวัดผล
ประเมนิ ผลน้ีมปี ระโยชนท์ ัง้ ต่อผเู้ รียนและผู้สอน ผู้สอนจงึ ตอ้ งทำการวดั ผลประเมินผลทกุ คร้ังที่สอน
ศภุ ลักษณ์ ทองจนี (2560) กลา่ วถึง องค์ประกอบของการสอนว่า การต้ังจุดประสงค์การ
สอนเป็นองค์ประกอบสำคัญอันดับแรกของการสอน ทำให้ผู้สอนทราบว่าจะสอนเพื่ออะไร ให้ผู้เรียน
เกิดพฤติกรรมใดบ้าง การกำหนดเนื้อหาองค์ประกอบข้อนี้ หมายรวมถึง การเลือกและการจัดลำดับ
เนื้อหาทีส่ อนดว้ ย การกำหนดเนือ้ หาจะทำใหผ้ ู้สอนได้ทราบว่าจะสอนอะไร การจัดกิจกรรมการเรียน
การสอน และการวัดผลประเมินผล องค์ประกอบข้อนี้ช่วยให้ผู้สอนทราบว่า การสอนที่ผ่านมาน้ัน
บรรลุผลหรอื ไม่ มากน้อยเพยี งใด
5. หลักพน้ื ฐานในการจัดการเรยี นรู้
สำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน (2557, หน้า 11-12) กล่าวว่า หลักการจัดการ
เรยี นรู้สรุปเป็นหลักการพ้นื ฐาน ดังน้ี

176

1. สอนจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวออกไป หาสิ่งที่อยู่ไกลตัวตามปกติ ผู้เรียนมักจะสนใจและ
คุ้นเคยกับสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว บทเรียนที่ผู้สอนจะนำมาสอนนั้นควรเลือกสิ่งที่อยู่รอบตัว หรือใกล้ตัวก่อน
แล้วคอ่ ยสอนส่ิงที่อย่หู า่ งจากตัวออกไปเรื่อย ๆ

2. สอนจากสิ่งที่ง่ายไปหาสิ่งที่ยาก การจัดการเรียนรู้ถ้าจะให้เกิดการเรียนรู้ที่ดีผู้สอน
จะตอ้ งพิจารณาเลือกหัวข้อเรื่องจากงา่ ยไปหายากอยู่แล้ว เพราะสง่ิ งา่ ยๆ นน้ั ผเู้ รยี นจะเขา้ ใจได้ดีและ
เป็นพนื้ ฐานในการเรยี นสิ่งยากต่อไป

3. สอนจากตัวอย่างไปหากฎเกณฑ์ ในการจัดการเรียนรู้ ผู้สอนควรให้ตัวอย่างหลายๆ
ตัวอย่าง หรอื อาจจะใหผ้ ้เู รยี นช่วยหาตัวอยา่ งใหแ้ ลว้ ชว่ ยกันสรปุ ตง้ั กฎเกณฑข์ ึน้ มา

4. สอนจากสิ่งที่รู้ไปหาสิ่งที่ไม่รู้ ทั้งนี้ เป็นเพราะว่าประสบการณ์ใหม่นั้น ย่อมต้องอาศัย
บทเรยี นเก่าหรอื ประสบการณ์เดมิ เปน็ พื้นฐาน จงึ จะเรียนบทเรียนใหม่ไดเ้ ข้าใจดี

5. สอนจากรูปธรรมไปหานามธรรม ในการจัดการเรียนรู้บทเรียนใด ๆ ก็ตาม ผู้สอนควร
พยายามใช้สื่อการเรียนประกอบการจัดการเรียนรู้ จะช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจบทเรียนได้ง่ายขึ้นเพื่อเป็น
วิธีการทาให้บทเรียน เปน็ รูปธรรม ซึง่ จะง่ายแก่การเขา้ ใจของผ้เู รยี น

6. สอนจากการทดลองไปหาการสรุปตั้งกฎเกณฑ์ บทเรียนใดที่สามารถให้ผู้เรียนทดลอง
ปฏิบัติจริงได้ ผู้สอนก็ควรให้ผู้เรียนทดลองปฏิบัติหรือลงมือกระทำด้วยตนเอง เมื่อทดลองเสร็จแล้ว
ผู้สอนจงึ ซักถามและให้ผู้เรียนคิดสรปุ เปน็ กฎเกณฑ์ข้ึนมา

7. สอนโดยคำนึงความแตกต่างระหว่างบุคคล ธรรมชาติของผู้เรียนในวัยต่าง ๆ นั้นจะมี
ความแตกตา่ งกนั ท้ังในด้านความสนใจ ความถนัดพเิ ศษและความสามารถ ผู้สอนจะต้องเข้าใจในหลัก
พัฒนาการของผู้เรียนในวัยต่าง ๆ ด้วย เพื่อที่จะได้จัดเตรียมบทเรียนและกิจกรรม ให้ผู้เรียนได้เลือก
ทาตามความถนัดและความสนใจ ซงึ่ จะเกดิ ผลดีต่อการเรียนของผเู้ รียน

8. สอนโดยคำนึงถึงหลักจิตวิทยา หลักจิตวิทยาที่ผู้สอนต้องนำมาใช้ในการจัดการเรียนรู้
มากที่สุดคือ จติ วทิ ยาพฒั นาการ และจติ วิทยาการศึกษา เปน็ ตน้

9. สอนโดยยึดจุดหมายของการจัดการศึกษา จุดหมายของการจัดการศึกษาจะเป็น
เปา้ หมายหลักตามแนวนโยบายในการจดั ดาเนนิ การศกึ ษาของชาติในระดบั ต่าง ๆ

10. สอนโดยยึดความมุ่งหมายของหลักสูตรและบทเรียนเป็นหลัก ในการจัดการเรียนรู้
น้ันผู้สอนจะตอ้ ง ยึดผลการเรียนรทู้ ค่ี าดหวงั ของหลักสูตรที่กำหนดไวเ้ ปน็ หลัก และอีกทง้ั ผ้สู อนยังต้อง
กำหนดผลการเรียนรู้ที่คาดหวังเฉพาะของแต่ละสาระหรือหน่วยการเรียนรู้ขึ้นด้วย และในขณะสอน
ผ้สู อนตอ้ งพยายามจัดสถานการณ์ สภาพการณแ์ ละกิจกรรมต่าง ๆ เพอ่ื ใหก้ ารจัดการเรยี นรู้บรรลุตาม
ความมุ่งหมายเฉพาะสาระหรอื หน่วยการเรยี นรู้นั้น เพื่อให้ผู้เรยี นเกิดความรู้ ความเข้าใจและมที ักษะ
ในการเรียนท่ีดี

6. ลักษณะการจดั การเรียนรทู้ ด่ี ี
ผู้สอนที่ดีทุกคนย่อมมีความรับผิดชอบในการจัดการเรียนรู้ผู้เรียนให้เป็นสมาชิ กที่ดีของ

ชุมชน ดังนั้นการจดั การเรยี นรทู้ ดี่ ีตอ้ งมีหลกั ในการยดึ ดงั นี้
1. ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ใช้ความคิดอยู่เสมอ โดยการซักถามหรือให้แสดงความคิดเห็น

เกี่ยวกับปัญหาง่ายๆ สำหรับผู้เรียนในระดับต่าง ๆ เพื่อจะได้เป็นการฝึกให้ผู้เรียนคิดหาเหตุผลคิด
เปรยี บเทยี บ และคดิ พจิ ารณาถึงความสัมพนั ธ์ระหวา่ งสิง่ ตา่ ง ๆ

177

2. ส่งเสริมให้ผู้เรียนมีประสบการณ์ตรงให้มากที่สุดด้วยการเรียนโดยการกระทำด้วย
ตนเอง (Learning by Doing)

3. ส่งเสริมให้ผู้เรียนทำงานเป็นกลุ่ม (Group Working) โดยมีการปรึกษาหารอื กันใน
กลุม่ แบง่ งานกนั ทำดว้ ยความร่วมมอื กันและประเมินผลรวมกัน

4. ส่งเสรมิ ให้ผเู้ รยี นรจู้ กั แก้ปญั หาด้วยตนเองตามวธิ กี ารทางวิทยาศาสตร์
5. มีการเปลี่ยนแปลงวิธีการจัดการเรียนรู้อยู่เสมอ เพื่อให้การจัดการเรียนรู้นั้นเกิด
ความยดื หยุ่น นา่ สนใจ และไมน่ า่ เบอื่
6. มีการเตรียมการจัดการเรียนรู้ไว้ล่วงหนา้ เพอื่ ทผ่ี สู้ อนจะได้ทราบว่าจะสอนอย่างไร
บ้างตามลำดบั ข้นั และยังช่วยให้ผู้สอนพร้อมท่ีจะสอนดว้ ยความมนั่ ใจ
7. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็นเพิ่มเติม และคิดหาเหตุผลความเป็นมา
ของสิง่ ท่ีเรยี น และมกี ารรับฟังความคดิ เห็นซ่ึงกนั และกัน
8. มีการประเมินผลอยู่ตลอดเวลา เน้นการประเมินตามสภาพจริง ประเมินตาม
ความรู้ความสามารถของผู้เรียนอย่างแท้จริง เพื่อให้แน่ใจว่าการจัดการเรียนรู้ได้ผลตรงตาม
จุดประสงคท์ ่วี างไวห้ รือไมเ่ พียงใด
9. มีสื่อการจัดการเรียนรู้ เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสนใจและเข้าใจบทเรียน เช่น ของจริง
รูปภาพ หุ่นจำลอง แผนภูมิ คอมพิวเตอร์ช่วยสอน วีดิทัศน์ ฐานข้อมูลการเรียนรู้ เว็บไซต์ และ
โสตทศั นูปกรณอ์ ่ืน ๆ
10. มีการจูงใจในระหว่างการจัดการเรียนรู้ เช่น การให้รางวัล การชมเชย การให้คา
แนะนำ การให้คะแนน การสอบ การแข่งขัน การปรบมอื ใหเ้ กียรตฯิ ลฯ
11. มีกิจกรรมใหผ้ ู้เรียนทำหลายอย่างเพอ่ื เร้าความสนใจของผเู้ รยี นและชว่ ยให้ผเู้ รียน
สนกุ สนานในการเรียน
12. สง่ เสริมให้ผ้เู รยี นมพี ัฒนาการในทุกด้านท้ังรา่ งกาย อารมณ์สังคม และสตปิ ญั ญา
13. ส่งเสริมความสัมพันธ์หรือการบูรณาการระหว่างวิชาที่เรียนกับวิชาอื่น ๆ
ในหลักสตู ร เชน่ สอนภาษาไทยกส็ อนใหส้ มั พนั ธก์ ับสงั คมศึกษา ศลิ ปศกึ ษา ดนตรีและนาฏศลิ ป์
14. มีการสร้างบรรยากาศในการจัดการเรียนรู้ให้เหมาะแก่การเรียนรู้ตามบทเรียนท่ี
สอนทั้งในแงข่ องสิง่ แวดล้อมและอารมณ์ของผู้เรียน
15. สอนแบบเน้นผูเ้ รยี นเป็นสำคัญ (Child Center) ในการจดั กิจกรรมตา่ ง ๆ ผู้เรียน
จะเปน็ ผ้ลู งมอื ปฏบิ ตั ิกิจกรรมต่าง ๆ เอง ผู้สอนจะเป็นเพียงผูค้ อยให้ความชว่ ยเหลือแนะนำ
16. สอนโดยส่งเสรมิ ให้ผเู้ รียนไดใ้ ช้ประสาทสมั ผัสท้ัง 5 ให้มากท่สี ุด
17. สอนตามกฎแห่งการเรยี นรู้โดยจัดบทเรียนให้เหมาะสมกบั วัย ความสามารถและ
ประสบการณ์เดมิ ของผูเ้ รียน
18. สอนโดยส่งเสริมการดำเนินชีวิตตามแบบประชาธิปไตย โดยสามารถแสดงความ
คิดเห็นต่าง ๆ และฝึกให้ผู้เรียนรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น เคารพความคิดเห็นของผู้อื่น อีกท้ัง
เปิดโอกาสให้ผเู้ รียนได้มกี ารวางแผนงานร่วมกับผู้สอน

178

สมรรถนะการจัดการเรียนรขู้ องครู

สมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของครู มีหลายองค์กร นักวิชาการ นักการศึกษา ได้กำหนด

สมรรถนะไว้หลายด้าน ดังตอ่ ไปนี้

สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ได้กล่าวถึง

สมรรถนะการจดั การเรียนรู้ ดงั ตาราง

ตาราง 3 แสดงเกี่ยวกับสมรรถนะการจัดการเรียนรู้ของสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและ

บุคลากรทางการศกึ ษา (ก.ค.ศ.)

ท่ี สมรรถนะการจัดการเรยี นรู้ พฤติกรรมของการจดั การเรียนรู้

1 ความสามารถในการสร้างและ 1) การดำเนินการสร้าง/พัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาและหลักสูตร

พฒั นาหลักสูตร ท้องถิ่น

2) การนำหลักสูตรสถานศึกษา หรือหลักสูตรท้องถิ่นไปใช้ให้บรรลุ

จดุ ประสงค์

3) การนำผลการประเมินการจัดการเรียนรู้มาใช้ในการปรับปรุง

และพฒั นาหลักสตู ร

2 ความสามารถในเนื้อหาสาระท่ี 1) การจัดกจิ กรรมการเรียนร้ใู หส้ มั พันธ์กบั ตัวชี้วดั

สอน 2) การบรู ณาการเนือ้ หา

3) การจดั กจิ กรรมการให้บรรลวุ ัตถปุ ระสงค์

3 ความสามารถในการจดั กระบวนการ 1) การจัดทำแผนการจัดการเรียนรู้ได้อย่างมีระบบโดยมี

เรยี นรทู้ ่เี นน้ ผูเ้ รยี นเป็นสำคญั องคป์ ระกอบทสี่ อดคลอ้ งกนั

2) การจัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการปฏิบตั ิจริงเพื่อให้ผู้เรียนคดิ

เป็น ทำเป็นและแก้ปัญหาได้

3) การจดั กจิ กรรมใหผ้ เู้ รยี นเลอื กเรียนตามความสามารถและความ

สนใจ

4) การใช้สื่อการเรียนรู้ นวัดกรรม เทคโนโลยี และแหล่งเรียนรู้ท่ี

หลากหลาย

4 ความสามารถในการใช้และ 1) การเลือกใช้นวตั กรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ

พัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยี 2) การออกแบบและการสร้างนวตั กรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ เพ่ือ

สารสนเทศเพื่อการจัดการ การจดั การเรียนรู้

เรียนร้เู พอ่ื การจดั การเรยี นรู้ 3) การหาประสิทธภิ าพและพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ

เพ่ือการจดั การเรยี นรคู้ วามสามารถในการสร้างและพฒั นาหลกั สูตร

5 ความสามารถในการวัดและ 1) การประเมินการเรียนรู้ตามสภาพจริง

ประเมนิ ผลการเรียนรู้ 2) การสรา้ งและหาคุณภาพเคร่อื งมือวดั ผลการเรียนรู้

3) การนำผลการประเมินไปใช้ปรับปรุงและพัฒนาการจัดการ

เรียนรู้

179

สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้กล่าวถึง สมรรถนะการจัดการเรียนรู้
ดงั แสดงในตาราง
ตาราง 4 แสดงพัฒนาครู ดา้ นการบรหิ ารหลักสูตรและการจัดการเรยี นรู้ของสำนักงานคณะกรรมการ
การศกึ ษาขัน้ พน้ื ท่ี (สพฐ.)

ท่ี สมรรถนะการจดั การเรยี นรู้ ตวั บ่งชข้ี องการจัดการเรยี นรู้

1 การสร้างและพัฒนาหลักสตู ร 1. สร้าง/พัฒนาหลักสูตรกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับ

หลกั สตู รแกนกลางและทอ้ งถ่ิน

2. ประเมินการใช้หลักสูตรและนำผลการประเมินไปใช้ในการ

พฒั นาหลกั สูตร

2 ความร้คู วามสามารถในการ 1. กำหนดผลการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เน้นการวิเคราะห์ สังเคราะห์

ออกแบบการเรียนรู้ ประยุกต์วิเริ่มเหมาะสมกับสาระการเรียนรู้ ความแตกต่างและธร

มชาตขิ องผู้เรียนเปน็ รายบุคคล

2. ออกแบบกิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลายเหมาะสม

สอดคล้องกบั วัยและความต้องการของผ้เู รียนและชุมชน

3. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการออกแบบการเรียนรู้ การ

จดั กจิ กรรมและการประเมนิ ผลการเรียนรู้

4. จัดทำแผนการจัดการเรียนรู้อย่างเปน็ ระบบโดยบูรณาการอยา่ ง

สอดคล้องเช่ือมโยงกนั

5. นำผลการออกแบบการเรียนรู้ไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ และ

ปรับใช้ตามสถานการณ์อย่างเหมาะสมและเกิดผลกับผู้เรียนตามที่

คาดหวงั

6. ประเมินผลการออกแบบการเรียนรู้เพอ่ื นำไปใชป้ วับปรงุ /พฒั นา

3 การจัดการเรยี นรู้ท่เี นน้ ผู้เรยี น 1. จดั ทำฐานข้อมูลเพ่อื ออกแบบการเรียนรทู้ ่เี น้นผเู้ รยี นเป็นสำคัญ

เปน็ สำคญั 2. ใช้รูปแบบเทคนิควิธีการสอนอย่างหลากหลายเพื่อให้ผู้เรียน

พัฒนาเตม็ ตามศกั ยภาพ

3. จัดกิจกรรมการเรียนรู้ปลูกฝัง/ส่งเสริมคุณลักษณะอันพึง

ประสงคแ์ ละสมรรถนะของผู้เรียน

4. ใช้หลักจิตวิทยาในการจัดการเรียนรู้ให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้

อย่างมีความสขุ และพัฒนาอยา่ งเต็มศักยภาพ

5.ใช้แหล่งเรียนเรยี นรแู้ ละภูมิปัญญาท้องถิ่นในชมุ ชนในการจัดการ

เรยี นระหว่างโรงเรียนกบั ผปู้ กครอง และชมุ ชน

6. พฒั นาเรอี ข่ายการเรยี นรู้ระหว่างโรงเรยี น ผปู้ กครองและชมุ ชน

4 การใชแ้ ละพัฒนาส่อื นวัตกรรม 1. ใช้สื่อนวัตกรรมและเทคโนโลยีในการจัดการเรียนรู้อย่าง

เทคโนโลยีเพ่อื การจดั การเรียนรู้ หลากหลายเหมาะสมกบั เน้ือหาและกิจกรรมการเรียนรู้

2. สืบค้นข้อมูลผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ตเพื่อพัฒนาการจัดการ

เรยี นรู

3. ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์ในการผลิตสื่อ/นวัตกรรมที่ใช้ในการ

จดั การเรยี นรู้

180

พฤหัส คงเทศ (2560, หนา้ 81-83) กล่าวถงึ สมรรถนะการจัดการเรยี นรู้ 6 ดา้ น ดังตอ่ ไปนี้
ตาราง 5 แสดงสมรถะการจดั การเรียนรู้ 6 ดา้ น

ที่ สมรรถนะการจดั การเรยี นรู้ ตวั บ่งชีข้ องการจดั การเรยี นรู้

1 การสร้างและพัฒนาหลักสตู ร 1. ครูสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับองค์ประกอบและกระบวนการสร้างและ

พฒั นาหลักสตู ร

2. จดั ทำหลกั สตู ร วิเคราะห์หลกั สูตร

3. นำหลักสตู รสถานศึกษาหรือหลกั สตู รท้องถิน่ ไปใช้ให้บรรลวุ ัตถุประสงค์

4. ประเมินหลักสตู รไ์ ด้ทั้งกอ่ นและหลงั การใชห้ ลกั สตู ร

5. นำผลการประเมินไปใชพ้ ัฒนาปรับปรงุ หลกั สตู ร

2 ความรู้และความสามารถใน 1. ครบู รู ณาการกำหนดผลเรยี นรู้ของผ้เู รียนทเี่ นน้ การวเิ คราะห์ สังเคราะห์

การออกแบบการเรยี นรู้ความรู้ ประยุกต์ริเร่มิ ตามความแตกตา่ งเปน็ รายบคุ คล

และความสามารถในการ 2. ประยุกต์ใช้ทฤษฎีออกแบบกิจกิจกรรมการเรียนรู้อย่างหลากหลาย

ออกแบบการเรียนรู้ สัมพนั ธก์ ับตวั ชีว้ ัด

3. เปิดโอกาสใหผ้ ูเ้ รียนมีส่วนร่วมออกแบบการเรียนรู้ การจัดกิจกรรมและ

การวดั ประเมินผล

4. จัดทำแผนการเรยี นรู้ ดำเนินกิจกรรมให้ให้บรรลวุ ตั ถปุ ระสงค์

5. เลือกใช้ พัฒนา สร้างสื่ออุปกรณท์ ่สี ่งเสริมการเรียนรู

6. ประเมนิ ผลการออกแบบการเรยี นรู้เพอ่ื นำไปปรบั ปรงุ พัฒนาการเรียนรู้

3 การจดั การเรยี นรทู้ ่เี นน้ ผู้เรยี น 1. ครูสามารถจดั ทำแผนการเรียนรูไ้ ด้อยา่ งมรี ะบบ

เปน็ สำคญั การจดั การเรียนรู้ที่ 2. ใชร้ ปู แบบ เทคนคิ สอนอย่างหลากหลาย จัดกจิ กรรมให้ผ้เู รียนคิดเปน็ ทำ

เน้นผเู้ รยี นเป็นสำคญั เปน็

3. ปลกู ฝังจรยิ ธรรม คุณลกั ษณะอันพงึ ประสงค์และสมรรถนะของผ้เู รยี น

4. ใช้หลักจิตวิทยาสรา้ งแรจูงใจใผสมั ฤทธใ์ิ หก้ ับผเู้ รียน

5. เลือกใช้ สื่อเทคโนโลยีพัฒนา ผลิตเหล่งเรียนรู ภูมิปัญญาท้องถิ่นท่ี

หลากหลาย

6. จัดกิจกรรมใหผ้ ู้เรยี นพัฒนาตนเองตามความถนัดและสนใจ

7. พัฒนาเครือขา่ ยการเรยี นระหว่างโรงเรยี น ผู้ปกครองและชมุ ชน

4 การใช้และพฒั นาสื่อนวตั กรรม 1.ครูมีความสามารถแสวงหาข้อมูลสืบค้นผ่านเครือข่ายอินเตอร์เน็ต

เทคโนโลยีเพ่ือการจัดการ พัฒนาการเรยี นรู้

เรียนรู้ 2. ออกแบบผลติ นวตั กรรมเทคโนโลยสี ารสนเทศ

3. หาประสิทธิภาพของนวตั กรรม

4 ประยกุ ตใ์ ชป้ ระเมินสอ่ื นวัตกรรมเทคโนโลยใี นการจัดการเรยี นรู้

5. ใชเ้ ทคโนโลยสี ารสนเทศเพ่อื การส่อื สาร

5 การวดั และประเมินผลการการ 1. ครสู รา้ งเคร่ืองมือวัตผล

เรียนรกู้ ารวัดและประเมินผล 2. หาคณุ ภาพของเคร่อื งมอื

การการเรยี นรู้ 3. นำเครื่องมือไปใชว้ ดั ผลการเรียนรู้

4. ประเมินผลการเรียนรู้ตามสภาพจริง

5. นำผลการประเมินไปใชป้ รบั ปรงุ การเรยี นการสอน

6 ความสามารถในการทำการ 1. ครเู ลือกปัญหาในการวจิ ัย

วิจัยในชน้ั เรยี น 2. ออกแบบการวจิ ัย

181

ที่ สมรรถนะการจัดการเรยี นรู้ ตัวบ่งชีข้ องการจดั การเรยี นรู้

3. ทำการวจิ ัยเพ่ือพัฒนาการเรยี นการสอนและพฒั นาผูเ้ รียน

4. รวบรวม วเิ คราะหแ์ ละสรูปผลการวจิ ัย

5. เขยี นรายงานการวจิ ยั

6. น้ำผลการวจิ ยั ไปใชใ้ นการจัดการเรยี นการสอน

สรุปได้ว่า การจัดการเรียนรู้ของครู สมรรถนะที่สำคัญที่ครูควรจะมีควารู้ ทักษะ และ
ความสามารถในตนเองที่สำคัญ ซึ่งประกอบด้วย ความสามารถในการสร้างและพัฒนาหลักสูตร
ความสามารถในเน้ือหาสาระที่สอน ความรู้ความสามารถในการออกแบบการเรยี นรู้ ความสามารถใน
การจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ความสามารถในการใช้และพัฒนานวัตกรรม
เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการเรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนรู้ ความสามารถในการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้ และความสามารถในการทำการวิจัยในช้ันเรยี น

การบูรณาการการจดั การเรยี นการรู้

พสิ ษิ ฐ์ แกว้ วรรณะ (2558, หน้า 939-950) ได้ศกึ ษา การพฒั นาครูดา้ นการจัดการเรียนรู้
ตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา พบว่า การการพัฒนาครูโดยใช้ชุดฝึกอบรมครู
ด้านการจัดการเรียนรู้ตามแนวทฤษฎีการเรียนรู้เพื่อสร้างสรรค์ด้วยปัญญา ประกอบไปด้วย
กระบวนการ 4 ข้นั ตอน คอื การวางแผน การปฏบิ ัติการ การสงั เกตการณ์ และการสะท้อนกลับ และ
การพัฒนาครดู า้ นการจัดการเรยี นร้ตู ามแนวทฤษฎีการเรยี นรดู้ ว้ ยปัญญา

1) ดา้ นความรู้ ครูมีความร้คู วามเข้าใจเพมิ่ ขึ้น
2) ด้านเจตคติ ครูมคี วามพึงพอใจตอ่ การจัดการอบรมครู
3) ด้านทักษะ ครูใชก้ จิ กรรม วิธีการหรอื สือ่ เทคโนโลยกี ระตุน้ ให้นกั เรียนเกดิ ความอยากรู้
อยากเรียนรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจ มีการชี้แนะแนวทางการค้นคว้าในการหาความรู้ ฝึกให้นักเรียน
เรยี นรู้ด้วยตนเองทง้ั เปน็ กล่มุ และรายบคุ คล รวมทั้งฝกึ ใหน้ กั เรียนรู้จักนำเสนอมวลประสบการณ์ท่ีเกิด
จากการเรียนรู้ของนักเรียนส่งผลให้นักเรียนเกิดการเรียนรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจเกิดการเรียนรู้ด้วย
ตนเองและกระบวนการกลุ่มโดยผ่านสื่อและเทคโนโลยีและสามารถนำมวลประสบการณ์จากการ
เรียนร้มู าสรุปเป็นองค์ความรู้ของตนเองอย่างเปน็ ระบบ
วิทวัส ดวงภมุ เมศ (วิทวัส ดวงภุมเมศ, 2560, หน้า 1-14) ได้ศึกษา การจดั การเรียนรู้ในยุค
ไทยแลนด์ 4.0 กล่วถงึ ลักษณะการจดั การเรียนรู้ดงั น้ี
1. ลกั ษณะของกิจกรรมการเรียนรู้ มลี ักษณะสำคญั 7 ประการด้วยกัน คอื

1) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้เพอ่ื สว่ นรวม (mindful Learning)
2) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้ที่จะทำให้นักเรียนได้รับทักษะที่จำเป็นสำหรับศตวรรษที่
21 คือ ทักษะการคิดวิเคราะห์ การแก้ปัญหา การคิดสร้างสรรค์ การสร้างนวัตกรรม การเรียนและ
การทำงานร่วมกันเป็นทีม การมภี าวะผู้นำ การสอ่ื สาร การใชข้ ้อมลู และสารสนเทศ การติดต่อส่ือสาร
ทางไกลการใชค้ อมพวิ เตอรแ์ ละปัญญาประดิษฐ์ การคิดคำนวณ

182

3) เปน็ กิจกรรมทีเ่ น้นกระบวนการของการเรียนรโู้ ดยยึดปัญหาเป็นฐาน เพ่ือการนำไป
ปฏบิ ตั ิ (Result Based Learning) ส่งเสรมิ การวเิ คราะห์และแก้ไขปญั หา จัดกิจกรรมการทำโครงงาน
และแก้ปญั หาโจทย์ในรูปแบบต่าง ๆ

4) ส่งเสริมให้ได้แสวงหาโอกาส นำไปสู่การออกแบบ ลงมือปฏิบัติ ค้นหาคำตอบจาก
ห้องทดลอง ห้องปฏิบัติการ จัดให้มีกิจกรรมการเรียนรู้นอกห้องเรียนสถานประกอบการ แปลงสาธติ
โรงงาน บริษัท ธรุ กจิ ของรัฐ หรอื ของเอกชน เพอื่ คน้ หาคำตอบจากสถานท่ีและสถานประกอบการจริง

5) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้อย่างสร้างสรรค์และกระตือรือร้นในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ
ทำใหน้ ักเรยี นและ/หรือครคู ้นพบความรใู้ หม่ สร้างสรรค์ความรูใ้ หม่ และสร้างนวัตกรรมใหม่

6) เรียนรู้ทั่วโลกและภูมิปัญญาหลักของไทย ศึกษาทางเลือกของสังคมไทยและของ
โลก ท่ีมคี วามหลากหลาย

7) เป็นกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมเี ปา้ หมาย (Purposeful Learning)เป็นกระบวนการ
เรียนรู้มีความเชื่อมโยงกับวิถีชีวิต ส่งเสริมวัฒนธรรมการเรียนรู้ด้วยตนเองและการเรียนรู้ตลอดชีวิต
และสามารถสร้างอาชพี ได้

2. บทบาทของผสู้ อน ตอ้ งแสดงออกถึงพฤติกรรมดงั นี้
1) เป็นผู้กระตุ้นให้เกิดการเป็นห้องเรยี นแห่งความสงสัย อยากเรียนอยากรู้ อยากหา

คำตอบ "Community of Inquiry" ตอ้ งสอนน้อย แต่ใหผ้ เู้ รยี นเรียนรู้มาก
2) ส่งเสริมกระบวนการวิจัยให้เกิดขึ้นกับตัวผู้เรียนและกระตุ้นให้ผู้เรียนได้ลงมือ

ปฏิบัติกจิ กรรม
3) กระตุ้นกิจกรรมการเรียนรู้ที่เน้นการคิดสร้างสรรค์ (Creative Learning) ให้นำ

องค์ความรู้ที่มีอยู่ทุกที่ มาบูรณาการเชิงสร้างสรรค์ เพื่อสร้างและพัฒนานำไปสู่การผลิตนวัตกรรม
(Innovation) ขึ้นมาตอบสนองความต้องการของชมุ ชน สังคมและประเทศ

4) กระตุน้ ให้ผเู้ รียนเกดิ การทำงานรว่ มกัน (Sharing Incentive)
5) กระตุ้นให้ใช้กระบวนการคิด วิเคราะห์ปัญหารายบุคคลแล้ว แลกเปลี่ยนความ
คดิ เหน็
6) เปลยี่ นจากผู้ถ่ายทอด (Transmitting) เปน็ ผูซ้ ี้แนะ (Mentoring)
7) จัดกิจกรรมการเรียนรู้ที่บูรณาการการพัฒนาทักษะทางสังคมคุณธรรม จริยธรรม
คารวธรรม การสร้างเสริมสขุ ภาพอนามยั การเปน็ พลเมืองทด่ี ีของประเทศและของโลก
8) กระตุ้นให้ผ้เู รยี นมจี ติ สาธารณะยึดประโยชน์สว่ นรวมเป็นทีต่ งั้ (Mindful People)
3. บทบาทของผเู้ รยี น แสดงออกถึงพฤติกรรมดังน้ี
1) ผู้เรียนแต่ละคนจะไม่อยู่นิ่ง กระตือรือร้นและคิดคันหาความรู้และคำตอบอยู่
ตลอดเวลา (Active Learner)
2) แสดงถงึ ร่วมกันลงมือปฏิบตั ิกิจกรรม ใช้การวเิ คราะห์และแก้ไขปัญหา การร่วมกัน
ระดมความคิดสรา้ งสรรคแ์ บบกลมุ่ (Common Creating)
3) สามารถแสดงออกถงึ การคดิ นอกกรอบ (Out of the Box)
4) สามารถใช้ทกั ษะกระบวนการในการแกป้ ญั หาท่ีชับซอ้ น
5) เกดิ ทกั ษะ ในการสรา้ งองค์ความรูด้ ้วยตนเองและการทำงานอยา่ งเปน็ ระบบ

183

6) ใช้ทักษะการสื่อสารการเปลี่ยนเรียนรู้ การนำเสนอผลกรเรียนมาอภิปราย
แลกเปลยี่ นในชนั้ เรียน

7) มีความสามารถในการรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ที่เป็นประโยชน์หรือสนองต่อความ
ตอ้ งการของชุมชน สงั คม หรอื ประเทศชาติ

8) แสดงถึงคุณลกั ษณะมีจิตสำนึกสาธารณะ และมีคุณธรรม จริยธรรม ความดีงาม

แนวคิดเกี่ยวกับการสอนเสรมิ

1. ความหมายของการสอนเสริม
มีนกั วชิ าการไดใ้ หค้ วามหมายดงั ต่อไปนี้
ชาตรี วงศม์ าสา (2553, หนา้ 1) กล่าวถึง การสอนเสรมิ หมายถงึ กจิ กรรมปฏิสมั พันธ์ที่

มุ่งเสรมิ เน้ือหาสาระในสื่อเอกสารการสอนและสื่ออ่ืน ๆ ท่เี ก่ียวข้องให้กับนักศึกษา เพอื่ เพิ่มพูนความรู้
ความเขา้ ใจ และประสบการณ์ให้แนน่ แฟ้นมากยง่ิ ขึน้

พิกุล แซเ่ จน (2560, หนา้ 41) กล่าวถงึ การสอนเสริม หมายถงึ กิจกรรมทางวิชาการที่
จัดให้มีขึ้นเพื่อมุ่งเสริมเนื้อหาสาระในเอกสารการสอนเสริมหรือสื่ออื่น ๆ ให้นักศึกษามีความรู้ความ
เข้าใจเพิ่มมากยิ่งขึ้น การสอนซ่อมเสริมเป็นการสอนกรณีพิเศษนอกเหนือไปจากการสอนแบบปกติ
เพอ่ื แก้ไขขอ้ บกพร่องท่ีพบในตวั เด็ก

จิรายุทธิ์ อ่อนศรี (2560, หน้า 3) ได้กล่าวถึง การสอนเสริมเป็นการจัดการเรียนการ
สอนลกั ษณะหนง่ึ ซ่งึ ตอบสนองความแตกตา่ งระหวา่ งบคุ คลของผเู้ รยี น การจัดการศกึ ษาควรตั้งอยู่บน
พน้ื ฐานดังต่อไปนี้

1. ผเู้ รียนแต่ละคนมีความแตกตา่ งกันทงั้ ในดา้ นร่างกาย สติปัญญา อารมณแ์ ละสงั คม
2. ผูเ้ รยี นแต่ละคนมพี ืน้ ฐานต่างกัน และแต่ละคนจะตอ้ งเรียนรเู้ พ่อื ปรับตวั เขา้ หากนั และ
ใหท้ นั โลกท่กี ำลงั เปลี่ยนแปลงไป
3. ผู้เรียนแต่ละคนย่อมมีความสามารถอยู่ในตัวมากบ้างและน้อยบ้าง การศึกษาจะช่วย
ให้ความสามารถของผู้เรียนปรากฏเดน่ ชดั ขึน้
4. ในสังคมมนุษย์นั้นย่อมมีทั้งคนปกติและคนพิการ ในเมื่อเราไม่สามารถแยกคนพิการ
ออกจากสังคมของคนปกติได้ เราก็ไม่ควรแยกให้การศึกษาแก่ผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษ ดังน้ัน
หากเปน็ ไปได้ควรให้ผเู้ รยี นที่มีความต้องการพิเศษได้มีโอกาสเรยี นรว่ มกบั คนปกติเท่าที่สามารถจะทำ
ได้
5. การให้การศึกษาควรมีหลากหลายรูปแบบเพื่อให้ผู้เรียนได้มีการพัฒนาศักยภาพการ
เรยี นรู้ได้เตม็ ที่
2. วตั ถปุ ระสงคก์ ารสอนเสริม
การสอนเสริมมีวตั ถุประสงค์ 4 ประการ คือ (ชาตรี วงศม์ าสา, 2553, หน้า 1)
1) เพื่อสรุปเนื้อหาสาระของหน่วยหรือชุดวิชาในบางประเด็นที่ยากสลับซับซ้อน
ซึง่ นักศกึ ษาอาจไมเ่ ขา้ ใจได้จากการอ่านเอกสารการสอน หรือการศกึ ษาจากสือ่ อนื่ ๆ มาแลว้
2) เพื่อเปิดโอกาสให้นักศึกษาซักถามข้อสงสัยในเนื้อหาสาระที่ศึกษาในชุดวิชาที่จัดให้
มกี ารสอนเสริม และไดร้ ับฟังคำตอบ คำเฉลยปญั หาทีน่ กั ศึกษาสงสัยขอ้ งใจ

184

3) เพื่อให้นักศึกษาได้มีส่วนร่วมในกิจกรรมสอนเสริม เช่น สถานการณ์จำลอง กลุ่ม
สัมพันธ์ การวิพากษ์วิจารณ์ แสดงความคิดเห็น เป็นตน้

4) เพื่อให้นกั ศึกษาไดม้ โี อกาสพบอาจารย์และเพ่ือนนักศกึ ษา พร้อมกับการสรา้ งเครือข่าย
เพ่อื การตดิ ตอ่ สือ่ สารในการเรียน การใหค้ ำปรกึ ษาเกยี่ วกับการศึกษา เล่าเรยี นโดยทว่ั ไป

3. วธิ ีการสอนเสรมิ
วิธีการสอนเสริมต้องเลือกวิธีการทีเ่ หมาะสม หรืออาจเลือกวิธีสอนหลายๆวิธีมาใช้ในการ

สอนซ่อมเสรมิ แต่ละครง้ั ดงั น้ี (พิกลุ แซ่เจน, 2560, หน้า 41-42)
1) การสอนแบบตัวต่อตัวระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน เป็นวิธีที่ดีที่สุดเพราะครูมีเวลาที่จะ

อธบิ ายใหผ้ ้เู รียนไดเ้ รยี นรไู้ ด้อย่างละเอียด และผ้เู รียนสามารถที่จะซกั ถามปญั หาตา่ ง ๆ ไดเ้ ต็มที่
2) การสอนเป็นกลุ่มย่อย ซึ่งครูอาจจัดผู้เรียนเป็นกลุ่มย่อย ๆ ประมาณ 2-3 คนโดย

ผ้เู รยี นทม่ี ปี ญั หาเหมอื นๆกนั อยู่ในกลมุ่ เดียวกนั และครอู าจจะใชว้ ิธสี อนและให้งานสลับหมนุ เวียนกัน
ไปทีละกลุ่ม ส่วนดีของการสอนเป็นกลุ่ม คือผู้เรียนจะได้ช่วยกันภายในกลุ่ม ช่วยกันแก้ไขปัญหา
แลกเปล่ียนความคิดซ่งึ กนั และกัน สำหรับครผู ้สู อนแล้วนอกจากจะใช้ครปู ระจำ อาจหมุนเวยี นให้ผู้อ่ืน
มาสอนทดแทนได้

3) ผู้เรียนสอนกันเอง การสอนกันเองผู้สอนจะใช้ภาษาง่ายๆและเข้าใจความรู้สึกของกนั
และกนั เป็นอย่างดีทาใหก้ ารอธิบายหรอื ชี้แนะ หรอื สอนนั้น ผูเ้ รียนจะเข้าใจได้ง่าย นอกจากน้ียังทำให้
ผู้เรยี นทชี่ ว่ ยสอนเกดิ ความภมู ใิ จและสนใจบทเรียนมากยง่ิ ข้นึ เพอื่ ทจ่ี ะได้มคี วามรูแ้ จ่มแจ้งและแม่นยา
จะไดน้ ำมาอธบิ ายให้เพ่ือนฟงั ได้หรือการสอนโดยให้ผู้เรยี นสอนกันเอง อาจให้ผู้เรียนท่อี ยู่ในชั้นสูงกว่า
มาชว่ ยสอน

4) การใช้บทเรยี นโปรแกรม สาหรับผ้มู ปี ญั หาด้านการเรยี นในบางเรอื่ งนัน้ อาจใชบ้ ทเรียน
โปรแกรมสำเร็จรูปสาหรับเรื่องนั้น ให้ผู้เรียนอ่าน และเรียนด้วยตนเอง ถ้าไม่เข้าใจจึงซักถามและทำ
แบบฝึกหัดในแบบเรยี นน้นั เม่อื ทำเสรจ็ แลว้ จึงเปดิ ดเู ฉลย ถ้าไม่เข้าใจครผู ู้สอนจะอธิบายเพ่มิ เติม

5) การใช้สมุดแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเอง ลักษณะของสมุดแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเอง
นนั้ คลา้ ยกับแบบเรียนสำเรจ็ รปู คือเร่ิมตน้ ดว้ ยการอธิบายเนื้อหา ตัวอยา่ ง แบบฝกึ หัด แลว้ จึงเป็นการ
เฉลย แต่ลักษณะที่แตกต่าง คือสมุดแบบฝึกหัดเรียนด้วยตนเองจะมีแบบฝึกหัดมากกว่าแบบเรียน
สำเรจ็ รปู เพราะต้องการใหผ้ ูเ้ รียนได้ฝึกทักษะในการทำแบบฝึกหดั ให้มากนัน่ เอง

6) การเขียนคำถามเอง วิธีการนี้ครูผู้สอนกำหนดให้ผู้เรียนอ่านบทเรียนแต่ละเรื่อง เมื่อ
ผู้เรียนอ่านจบ ให้แต่ละคนตัง้ ปัญหาในกระดาษบัตรคำ ซ่ึงครูอาจจะเตรียมไวใ้ ห้โดยให้แต่ละคนเขียน
คำถามลงในบัตรคำนั้น ครูจะเป็นผู้กำหนดว่าให้เขียนคนละกี่คำถามและให้แต่ละคน ที่เขียนคำถาม
นน้ั เขียนคำตอบลงบนอีกดา้ นหนง่ึ ต่อจากนนั้ ใหผ้ เู้ รยี นจับคู่กัน เพือ่ ฝกึ โดยการ ผลดั กันถามตอบ และ
อาจมีการสลับเปลี่ยนคำถามระหว่างคู่ดว้ ยก็ได้ผู้เรยี นจะได้มีโอกาสตอบคำถามและเข้าใจในบทเรยี น
มากขน้ึ

7) การให้ทำกิจกรรมเพิ่มเติม หลังจากครูได้วัดผลหรือประเมินผลดูแล้ว พบว่าผู้เรียน
มีผลการทดสอบใกล้เคียงกับเกณฑ์ที่จะผ่านหรือผ่านเกณฑ์ไปแล้วแต่ผู้สอนยังอยากให้ฝึกทักษะ ใน
การทำแบบฝึกหดั เพ่ิมเติมอีก เพ่ือจะได้ผ่านเกณฑห์ รือให้มีความเข้าใจเพ่ิมขึน้ ผ้สู อนอาจให้ผู้เรียนทำ
แบบฝึกหัดเพิ่มเติม โดยแบบฝึกหัดนั้นอาจจะมีระดับความยากง่ายใกล้เคียงเพิ่มเติม หรืออาจจะยาก


Click to View FlipBook Version