The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nok26644, 2022-08-15 06:11:40

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

85

1. หลักสูตรที่กำหนดขึ้นตามความต้องการและความสนใจของผู้เรียนโดยทั่วไป
ร่วมกบความรู้ที่ได้จากการวินิจฉัยความต้องการและความสนใจของประชากรที่จะเรียนตามหลักสตู ร
นน้ั

2. หลักสูตรที่สร้างขึ้นนั้นมีความยืดหยุ่นสูง โดยเตรียมให้สอดคล้องกับความ
ตอ้ งการ และความสนใจของผู้เรียนเฉพาะราย และมที างเลือกหลาย ๆ ทางสำหรบั ผเู้ รียน

3. ผู้เรียนได้รับคำแนะนำและได้รับการสอนเป็นรายบุคคลตามจุดที่เหมาะสมใน
หลักสูตรและกระบวนการสอนนั้นการใชห้ ลักสูตรนี้จะพบมากที่สุดในรูปการจัดให้มีทางเลือกสำหรบั
นกเรียนแต่ละคน ตัวอย่างเช่น ได้แก่ โรงเรียนซัมเมอร์ฮิลล์ (Summerhill) ที่อังกฤษ และโรงเรียน
Free School บางแหง่ ในสหรัฐ การจัดช้ันเรียนแบบเปิดช้ันเรยี นแบบไมแ่ บง่ ชน้ั (Open Classroom)
และการศึกษาแบบอิสระ (Independent Study)

จากประเภทของหลักสูตรที่กล่าวมา สรุปได้ว่า ประเภทของหลักสูตรมีประโยชน์ต่อการ
ประเมินผลและการวิเคราะหห์ ลกั สูตร ทำใหผ้ ทู้ ีพ่ ฒั นาหลักสูตรได้พิจารณาถึงจุดหมายและเน้ือหาของ
หลักสูตรท่ีกำหนดไว้เหมาะสม มเี นอ้ื หาใด กระบวนการคิด และความรูส้ ึกประเภทใดท่ีเป็นประโยชน์
และสำคัญควรที่ผู้เรียนรู้ โดยนักพัฒนาหลักสูตร และผู้รับผิดชอบ ควรคำนึงและพิจารณาทำความ
เข้าใจเกี่ยวกับประเภทของหลักสูตร ดังนี้ หลักสูตรแบบเนื้อหาวิชาหรือแบบรายวิชา (The Subject
Curriculum) หลักสูตรที่เน้นการถ่ายทอดเน้ือหาวิชา หลักสูตรแบบสัมพันธ์วิชา ( Correlated
Curriculum) เปน็ หลักสูตรทน่ี ำเนื้อหาต่าง ๆ ทมี่ ีลกั ษณะคล้ายคลึงกนั และมีสว่ นเก่ียวข้องสัมพันธ์กัน
จัดไวด้ ว้ ยกนั หลักสตู รแบบหมวดวิชาหรือสหสัมพันธ์ (The Broard Field Curriculum) จุดมุ่งหมาย
ผสมผสานเนื้อหาวิชา หลักสูตรกิจกรรมและประสบการณ์ (The Activities And Experience
Curriculum) เป็นการแก้ไขข้อบกพร่องของหลักสูตรแบบรายวิชาที่ไม่คำนึงถึงความต้องการและ
ความสนใจของผู้เรียน หลักสูตรเพื่อชีวิตและสังคม (The Social Process And Life Function
Curriculum) หลักสูตรนี้จะยึดเอาสังคมและชีวิตของเด็กเป็นหลัก หลักสูตรแกนกลาง (The Core
Curriculum) หลักสูตรแบบนี้จะกำหนดวิชาใดวิชาหนึ่งเป็นศูนย์กลาง หลักสูตรแบบเอกัตภาพ
(The Individual Curriculum) จัดเนื้อหาตามความเหมาะสมและความต้องการของผู้เรียนแต่ละ
บุคคล แนวคดิ จาดปรชั ญา อตั ถิภาวนานยิ ม หลักสตู รบูรณาการ (The Integrated Curriculum) เป็น
การผสมผสานเน้ือหาเขา้ ดว้ ยกัน ไม่แยกเปน็ รายวชิ าจะเน้นที่ตวั เดก็ และปัญหาสังคมเปน็ สำคัญ เป็น
ตน้

4. องคป์ ระกอบของหลักสูตร
องค์ประกอบตามหลักสูตรอาจจะแตกต่างกันบ้างในรายละเอียด แต่ส่วนใหญ่มีประเด็น

หรอื องค์ประกอบทีส่ ำคญั เหมือนกันอยา่ งครบถ้วน ซ่งึ จะชว่ ยให้ผใู้ ช้หลกั สูตรสามารถไปใช้หลักสูตรได้
อย่างมีประสทิ ธภิ าพ โดยมนี กั วิชาการหลายทา่ นได้กล่าวถงึ ดังน้ี

Taba (1962, p. 12) ได้เสนอว่า ทุกหลักสูตรไม่ว่าจะเป็นการออกแบบในลักษณะ
ใด ๆ ก็ตามจะต้องประกอบด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ เกี่ยวกับองค์ประกอบหลักของหลักสูตร ซึ่งมี
ความต่อเนื่องและสอดคล้องกันอยู่ 4 ส่วนด้วยกัน ได้แก่ 1) วัตถุประสงค์ทั่วไปและวัตถุประสงค์
เฉพาะ 2) เนื้อหาและจำนวนชั่วโมงสอนแต่ละวิชา 3) วิธีการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และ4)
วธิ กี ารประเมินผล ซึง่ สามารถแสดงเปน็ แผนภมู ไิ ดด้ ังนี้

86

วัตถปุ ระสงค์ทัว่ ไปและ
วตั ถุประสงคเ์ ฉพาะ

เนือ้ หาและจำนวน วธิ ีการจดั กิจกรรมการเรยี น
ชัว่ โมงสอนแตล่ ะวิชา การสอน

วธิ ีการประเมนิ ผล

ภาพประกอบ 34 องคป์ ระกอบของหลกั สูตร ของ Taba Hilda
ทีม่ า : (Taba, H, 1962)

Tyler (1971, pp. 11-13) ได้เสนอแนวคิดในการจัดหลักสูตรแบบหลักการเหตุผล
(The Rational Curriculum Model) ว่าหลักสูตรควรมีองค์ประกอบครอบคลุมประเด็นสำคัญ
ต่อไปนี้ 1) จุดมุ่งหมายทางการศึกษาที่ต้องการ ให้ผู้เรียนรูบ้ รรลผุ ลสำเร็จ 2) ประสบการณ์เรียนรูซ้ งึ่
ต้องจดั ใหผ้ เู้ รียนเพือ่ ใหบ้ รรลุผลสำเรจ็ ตามจุดมุง่ หมายทางการศกึ ษาท่ีกำหนดไว้ 3) มวลประสบการณ์
ที่จะทำให้การเรียนรู้เกิดขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพ และ4) วิธีการประเมินผลว่าการเรียนรู้บรรลุตาม
จดุ มุง่ หมายที่กำหนดไว้ ซง่ึ สามารถแสดงเปน็ แผนภูมิไดด้ งั น้ี

จุดมุง่ หมาย (Aims and
Specific Objectives)

กจิ กรรมและรปู แบบการ เน้อื หาวชิ า
เรยี นการสอน (Learning (Content)
and Teaching Implies

รายการประเมนิ ผล
(Evaluation Program)

ภาพประกอบ 35 องคป์ ระกอบของหลกั สูตรของ Tyler
ทม่ี า (Tyler, R. W., 1949)

บุญชม ศรีสะอาด (2546, หน้า 11) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบที่เต็มรูปของหลักสูตร
ว่า มีองค์ประกอบมากกว่า 4 องค์ประกอบ โดยจะมีส่วนท่ีเป็นองคป์ ระกอบพื้นฐาน 4 องค์ประกอบ
คือ 1) จุดประสงค์ 2) สาระความรู้ประสบการณ์ 3) กระบวนการเรียนการสอน และ4) การ
ประเมินผล

วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554, หน้า 9-11) กล่าวว่าเมื่อศึกษาวิเคราะห์องค์ประกอบ
หลักสตู รของทาบาแล้ว จะมีส่วนคล้ายกบั ของไทเลอร์เพยี งแตท่ าบาไดน้ ำมาขยายรายละเอียดเพิ่มข้ึน
อีก 3 ขั้นตอน คือ 1) การวินิจฉัยความต้องการ 2) การเลือกเนื้อหาสาระ และ3) การเลือก

87

ประสบการณ์การเรียนรู้โดยเลือกแล้วจะนำมาจัดอีกครั้งหนึ่งทั้งเนื้อหาสาระและประสบการณ์ การ
เรียนรู้

Beauchamp.G.A (1981) ได้กล่าวถึงองค์ประกอบหลักสูตรดังนี้ 1) การกำหนด
เป้าหมาย หรือวัตถุประสงค์เฉพาะ 2) การกำหนดขอบข่ายของเนื้อหาสาระ 3) การวางแผนการใช้
หลักสูตร และ4) การพิจารณาตดั สนิ

ชาติชาย ม่วงปฐม (2557, หน้า 12-13) กล่าวถึง องค์ประกอบตามหลักสูตร
ประกอบดว้ ย

1. จุดมุ่งหมายของหลักสูตร (Curriculum Aims) หมายถึง ความตั้งใจหรือความ
คาดหวังที่ต้องการให้เกิดขึ้นในตัวผู้ที่จะผ่านหลักสูตร จุดมุ่งหมายของหลักสูตรมีความสำคัญเพราะ
เปน็ ตวั กำหนดทศิ ทางและขอบเขตในการ ศึกษาแกเ่ ด็กชว่ ยในการเลือกเน้ือหาและกจิ กรรม ตลอดจน
ใชเ้ ป็นมาตรการอย่างหน่ึงในการประเมินผล

2. เน้อื หา (Content) หมายถึง กจิ กรรมขน้ึ ต่อไปน้ี การเลอื กเนอื้ หาประสบการณ์
การเรียนรู้ต่าง ๆ ที่คาดว่าจะช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาไปสู่จุดมุ่งหมายที่กำหนดไว้ โดยดำเนินการตั้งแต่
การเลือกเน้ือหาสาระและประสบการณ์ การเรียงลำดับเนื้อหาสาระ พร้อมทั้งการกำหนดเวลาเรยี นที่
เหมาะสม เมอ่ื กำหนดจุดมุ่งหมายของหลกั สตู รแล้ว

3. การนำหลักสูตรไปใช้ (Curriculum implementation) หมายถึง การนำ
หลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการจัดทำวัสดุหลักสูตร ได้แก่ คู่มือครู
เอกสารหลักสตู ร แผนการสอน แนวการสอน และแบบเรียน เปน็ ต้น

4. การประเมินผลหลักสูตร (Evaluation) หมายถึง การประเมินผลหลักสูตร คือ
การหาคำตอบว่า หลักสูตรสัมฤทธิ์ผลตามที่กำหนดในจุดมุ่งหมายหรือไม่ มากน้อยเพียงใด และอะไร
เป็นสาเหตุ การประเมินผลหลักสูตรเป็นงานใหญ่และมีขอบเขตกว้างขวาง ผู้ประเมินจำเป็นต้อง
วางโครงการประเมนิ ผลไวล้ ว่ งหน้า

จากองคป์ ระกอบของหลักสูตรตามท่ีได้กล่าวมา สรปุ ได้ว่า องค์ประกอบของหลักสูตร
ประกอบดว้ ย ประกอบด้วย 1) จุดมงุ่ หมายของหลักสูตร หมายถงึ คุณภาพหรือผลสัมฤทธ์ิของผู้เรียน
ซ่ึงประกอบดว้ ยความรู้ ทกั ษะกระบวนการเรียนรู้ และคณุ ธรรม จริยธรรมหรือคณุ ลักษณะพงึ ประสงค์
2) เนื้อหาสาระ หมายถึง สาระการเรียนรู้รวมทั้งประสบการณ์ต่าง ๆ ที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้
3) การจัดการเรียนรู้หรือกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการใช้หลักสูตร หรือขั้นตอนการจัด
กิจกรรมของครู 4.สื่อกาเรียนรู้ หมายถึง วัสดุ อุปกรณ์ แหล่งเรียนรู้ ที่ใช้ในหลักสูตร และ4) การวัด
และประเมินผล หมายถึง กระบวนการตรวจสอบและประเมินคุณภาพของผู้เรียนภายหลงั การจัดการ
เรยี นรู้

5. ลกั ษณะของหลกั สูตรท่ีดี
หลักสูตรทีด่ จี ะทำให้การจัดการศึกษาตามหลักสูตรเปน็ ไปอย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจาก

หลักสูตรเป็นกรอบกำหนดแนวทางการจัดการเรียนรู้ ถ้าหลักสูตรดีการจัดการเรียนรู้ก็จะประสบ
ความสำเร็จเกิดสัมฤทธิ์ผลทางการศึกษา (จริญญา สมานญาติ, 2554, หน้า 11-12) หลักสูตรที่ดี
ควรมลี กั ษณะดงั นี้

1. ตรงตามความมุง่ หมายของการศกึ ษา

88

2. ตรงตามลกั ษณะของการพัฒนาการของผู้เรียนในวัยตา่ ง ๆ
3. ตรงตามลักษณะวฒั นธรรม ขนบธรรมเนยี มประเพณแี ละเอกลกั ษณข์ องชาติ
4. เนื้อหาสาระของเรื่องที่สอนบริบูรณ์พอที่จะช่วยให้ผู้เรียนคิดเป็นทำเป็นมี
พัฒนาการทกุ ดา้ น
5. สอดคล้องกับชีวิตประจำวันของผู้เรียน คือ จัดวิชาทักษะและวิชาเนื้อหาให้
เหมาะสมกนั ในอนั ท่จี ะส่งเสรมิ ให้ผ้เู รยี นเจรญิ งอกงามทุกด้าน
6. เกดิ จากความร่วมมือของทกุ ฝา่ ย ควรจัดทำเป็นรปู คณะกรรมการ
7. มคี วามยืดหย่นุ ตามสภาวการณต์ ่าง ๆ เช่น ความเปลยี่ นแปลงทางสงั คม ทรพั ยากร
ธรรมชาติความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ความเปลี่ยนแปลงทาง
ปรัชญาการศึกษา ความเปลี่ยนแปลงแนวคิดทางจิตวิทยา ความเปลี่ยนแปลงในจุดประสงค์ของ
การศึกษาซึ่งส่งเสริมให้ผู้เรียนมีสัจจะแห่งตน หลักมนุษยสัมพันธ์ ความรับผิดชอบในฐานะพลเมืองดี
ววิ ฒั นาการทางอุตสาหกรรม เศรษฐกจิ ระบบการเมอื งการปกครอง และความเปลย่ี นแปลงด้านอื่น ๆ
เป็นตน้
8. ส่งเสริมให้นักเรียนได้เรียนรู้ต่อเนื่องและเรียงลำดับความยากง่ายไม่ให้ขาดตอน
จากกัน
9. สร้างประสบการณ์ชวี ิตประจำวันของผู้เรียน ในการแกป้ ญั หาต่าง ๆ ในชีวิตเพื่อให้
อยู่ในสังคมอย่างมีความสุขรู้จักแก้ปัญหา เกิดความรู้ทักษะ เจตคติ ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ในการ
ดำเนนิ ชวี ติ
10. ต้องเพม่ิ พูนและส่งเสรมิ ทกั ษะเบ้ืองต้นท่ีจำเปน็ แกผ่ เู้ รยี น
11. ส่งเสริมให้เด็กทำงานเป็นอิสระ และทำงานร่วมกันเป็นหมู่คณะ เพื่อพัฒนาให้
รจู้ ักการอยู่ร่วมกันในสงั คมประชาธปิ ไตย
12. เสนอแนวทางวธิ ีสอนและอปุ กรณส์ อื่ การสอนไวอ้ ย่างเหมาะสม
13. มกี ารประเมินผลตลอดเวลา เพ่ือหาข้อบกพรอ่ งทีค่ วรปรบั ปรุงใหด้ ยี ิ่งขนึ้
14. จัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจและมีโอกาสแก้ปัญหาต่าง ๆ
โดยเฉพาะปญั หาครอบครวั ชุมชนและประเทศชาติ
15. จัดประสบการณ์และกจิ กรรมเพอื่ เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เลือกอย่างเหมาะสมตาม
ความสนใจความต้องการและความสามารถของแต่ละบุคคลและจัดประสบการณ์ที่มีความหมายต่อ
ชีวติ ผู้เรียน
16. วางกฎเกณฑ์ไว้อย่างเหมาะสมแก่การนำไปปฏิบัติและสะดวกแก่การวัดและ
ประเมินผล
17. กำหนดจดุ มงุ่ หมายของหลักสตู รอย่างชัดเจนสามารถนำไปใชป้ ฏิบตั ิได้จรงิ
18. มีความยืดหยุ่น สามารถปรับปรุงเปลี่ยนแปลงตามเหตุการณ์ เรื่องราว ความ
ต้องการและผลกระทบจากสภาวะแวดล้อมต่าง ๆ ตามความเหมาะสมและความจำเป็น และกำหนด
ทศิ ทางหรอื แนวโนม้ ให้เหมาะสมกบั สภาพความต้องการ ความสนใจและความจำเปน็ ของชมุ ชนดว้ ย
19. ตอ้ งสอดคล้องกับปัจจัยพ้ืนฐานท่ีสำคัญด้านพ้ืนฐานทางปรัชญา พื้นฐานทางด้าน
จติ วิทยาพน้ื ฐานทางสังคม พ้ืนฐานทางประวตั ิศาสตรก์ ารศึกษา

89

20. ควรใช้ได้ดใี นระยะเวลาหน่ึงเทา่ น้ันและควรไดร้ ับการปรับปรุงแก้ไขข้ึนมาใหม่ทุก
ระยะของการใช้งานและเป็นกระบวนการพัฒนาที่มีความต่อเนื่องและเชื่อมโยงกันได้เป็นอย่างดี
นั่นคอื การนำผลของการใช้หลกั สูตรนัน้ มาวิเคราะห์และวิจัยเพอื่ หาจุดดี จุดบกพรอ่ งของหลักสูตรนั้น
ๆ แลว้ ปรับปรงุ แก้ไขใหมแ่ ละก่อนนำไปทดลองใชเ้ พ่ือหาประสิทธภิ าพและคุณภาพของหลักสตู รนัน้ ๆ
ตอ่ ไป

แนวคิดเก่ียวกบั การพฒั นาหลกั สูตร

1. ความหมายของการพัฒนาหลักสูตร
มผี ไู้ ด้ให้ความหมาย ดงั ต่อไปนี้
Saylor and Alexander (1974, หน้า 7) กล่าวไว้ว่า การพัฒนาหลักสูตรหมายถึง

การจดั ทำหลกั สตู รเดิมที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้นหรือเป็นการจดั ทำหลักสูตรใหมโ่ ดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่ก่อน
การพัฒนาหลกั สูตรจะรวมไปถงึ การสรา้ งเอกสารอน่ื สำหรบั นักเรยี นดว้ ย

วิชัย วงษ์ใหญ่ (2552, หน้า 5) กล่าวถึง การพัฒนาหลักสูตรว่าการเปลี่ยนแปลง
หลกั สตู รไมว่ า่ จะเปลีย่ นแปลงทงั้ ระบบของหลักสตู รหรือเปลี่ยนเฉพาะรายวชิ าการเปล่ยี นแปลงจะเร่ิม
จากองค์ประกอบของหลักสูตร คือวัตถุประสงค์ เนื้อหาวิชา วิธีการสอนและการจัดการเรียนการสอน
และวิธีการประเมินผล ในการเปลี่ยนแปลงหรือปรับปรุงในองค์ประกอบใดหรือทั้งหมดขึ้นอยู่กับ
การศกึ ษาข้อมูล สังเคราะห์และหลอมรวมเป็นปัจจยั หรอื ตัวกำหนดท่สี นับสนนุ การเปล่ยี นแปลง

วรนุช สายทอง (2560, หน้า 17) กล่าวถึง การพัฒนาหลักสูตรเป็นการปรับปรุง
หลกั สูตรเพือ่ ให้หลกั สูตรท่ีพฒั นาขน้ึ มีการปรบั ให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถใช้เป็น
แนวทางในการปฏิบัติได้จริงช่วยให้การนำหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ประสบผลสำเร็จตาม
จุดประสงคข์ องหลกั สตู ร

จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การพัฒนาหลักสูตร หมายถึง การปรับปรุงหลักสูตรที่มีอยู่
แล้วให้ดีขึ้นหรือเป็นการจัดทำหลักสูตรใหม่ให้เหมาะสมกับบริบทที่เปลี่ยนแปลงไป สามารถใช้เป็น
แนวทางในการปฏิบัติได้จริงช่วยให้การนำหลักสูตรไปใช้ในการจัดการเรียนรู้ประสบผลสำเร็จตาม
จดุ ประสงค์ของหลกั สตู ร

2. รปู แบบการพฒั นาหลักสูตร
มนี ักวิชาการไดก้ ล่าวถงึ รูปแบบการพฒั นาหลกั สูตร ดงั ตอ่ ไปน้ี
Tylor (1971, หนา้ 5) กล่าวถงึ การวางแนวคิดในการพฒั นาหลักสตู ร อันเป็นหนทาง

นำไปสู่การพฒั นาหลกั สตู รดว้ ยคำถาม 4 ข้อ ดงั น้ี
1. มีจุดมุ่งหมายทางการศึกษาอะไรบ้างที่สถานบันการศึกษาจะต้องกำหนดให้

ผเู้ รยี น
2. ประสบการณ์ทางการศึกษาอะไรบ้างที่สถาบันการศึกษาควรจัดขึ้นเพื่อบรรลุ

วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้
3. จะจดั ประสบการณท์ างการศึกษาอย่างไรให้มีประสิทธิภาพ
4. จะพิจารณาไดอ้ ย่างใดวา่ วัตถุประสงค์ทก่ี ำหนดไวบ้ รรลุผลแล้ว

90

รปู แบบการพฒั นาหลกั สูตร ดังภาพประกอบท่ี 36

Curriculum Planing
สงั คม ปรัชญา

เนื้อหา แหลง่ ข้อมูล วตั ุประสงค์ กลน่ั กรอง จดุ ประสงคข์ อง
(ฉบบั รา่ ง) หลักสตู ร

ผูเ้ รยี น จิตวทิ ยา

จดุ ประสงคข์ อง จดุ ประสงคข์ อง จดุ ประสงค์ของหลักสูตร
หลักสูตร หลักสูตร

Curriculum Design Curriculum Evaluation

ภาพประกอบ 36 แบบจำลองการพัฒนาหลกั สูตรของ Tyler
ท่มี า (Tyler, R. W., 1949)

สงัด อุทรานันท์ (2532, หน้า 38-42) ได้ประยุกต์แนวคิดของ ไทเลอร์ เพื่อเป็น
พ้นื ฐานในการกำหนดขัน้ ตอนของการพฒั นาหลักสตู รท้ัง 7 ขน้ั ดังน้ี

1. การกำหนดข้อมูลพื้นฐานเป็นกระบวนการที่มีความสำคัญและเป็นขัน้ ตอนแรก
ของการพัฒนาหลักสูตร เพ่ือให้ทราบถึงสภาพปัญหาความต้องการของสังคมและผู้เรียน ซ่ึงจะช่วยให้
สามารถจัดหลักสูตรให้สนองตอบกับความต้องการและสามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้ ข้อมูลพื้นฐาน
ของหลกั สตู ร คือ ขอ้ มูลดา้ นประวัติและปรชั ญาการศึกษา ขอ้ มลู เกย่ี วกับผเู้ รียนและทฤษฎีการเรียนรู้
ข้อมลู ทางสังคมและวัฒนธรรม และข้อมลู เกี่ยวกับธรรมชาติของเนื้อหา

2. การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตร จัดเป็นขั้นตอนสำคัญยิ่งอีกขั้นตอนหนึ่ง
เป็นขั้นตอนที่กระทำหลังจากได้วิเคราะห์และได้ทราบถึงสภาพตลอดจนความต้องการต่าง ๆ
การกำหนดจุดมุ่งหมายของหลักสูตรนั้น เป็นการมุ่งแก้ปัญหาและสนองความต้องการที่ได้จากการ
วิเคราะห์ข้อมูล อาจเป็นข้อมูลพื้นฐานที่มีอยู่เดิม หรือจากการเก็บรวบรวมข้อมูลความต้องการขึน้ มา
ใหม่ก็ได้

3. การคัดเลือกจัดเนื้อหาสาระประสบการณ์การเรียนการสอน ที่นำมาจัดไว้ใน
หลักสูตร จะต้องผ่านการพิจารณากลั่นกรองถึงความเหมาะสม และจำเป็นต้องสอดคล้องกับ
จุดมุ่งหมายของหลกั สตู รทก่ี ำหนดไว้

4. การกำหนดมาตรการวัดและประเมินผล ขั้นนี้มุ่งท่ีจะมาเกณฑ์มาตรฐานเพ่อื ใช้
ในการวัดและประเมินผลว่าจะวัดและประเมินผลอะไรบ้าง จึงจะสอดคล้องกับเจตนารมณ์หรือ
จุดมุ่งหมายของหลกั สูตร

91

5. การทดลองใช้หลักสูตร ขั้นตอนนี้จะมุ่งศึกษาหาจุดอ่อนหรือขอ้ บกพร่องต่าง ๆ
ของหลักสูตร หลังจากไดม้ กี ารร่างหลักสตู รเสรจ็ แลว้ ทง้ั น้เี พ่ือหาวธิ กี ารแกไ้ ขและปรับปรุงหลักสูตรให้
ดยี ่ิงขึ้น

6. การประเมินผลการใช้หลักสูตร หลังจากได้มีการยกร่างหลักสูตรหรือได้ทำการ
ทดลองใช้หลักสูตรแล้ว ก็ควรจะประเมินผลจากการใช้ว่าเป็นอย่างไร มีส่วนไหนที่ควรจะได้รับการ
ปรับปรุงแก้ไขบ้าง ถ้ามีจุดอ่อนหรือไม่เหมาะสมตรงไหนก็จะต้องปรับปรุงให้เป็นที่เหมาะสมก่อน
นำออกไปใชจ้ ริงตอ่ ไป

7. การปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรก่อนนาไปใช้ หลังจากที่ได้มีการตรวจสอบประ
ประเมินผลเบื้องต้นแล้วหากพบว่าหลักสูตรมีข้อบกพร่องจะต้องปรับปรงุ แก้ไขหลักสูตรบรรลุผลตาม
เปา้ หมายท่กี ำหนดไว้

การดำเนินตามกระบวนการต่าง ๆ เหล่านี้ จัดได้ว่าเป็นวัฏจักรท่ีมีความต่อเนื่องกนั
ซึ่งหากขาดขั้นตอนหนึ่งไปแล้ว จะทาให้การพัฒนาหลักสูตรนั้นขาดความสมบูรณ์ไปได้ ดังแสดงใน
แผนภูมแิ ผนภูมิ แสดงกระบวนการพฒั นาหลกั สูตร ดงั ภาพ

ข้อมลู ภายนอก

ข้อมลู พ้ืนฐาน

ประเมนิ การใช้หลักสูตร กาหนดจุดมุง่ หมาย

ปรับปรงุ แก้ไข

นาหลักสตู รไปใช้ คัดเลือกและจดั เนือ้ หา
สาระ

กาหนดมาตราวัดและ
ประเมินผล

ภาพประกอบ 37 รูปแบบการพฒั นาหลกั สตู รของ สงดั อุทรานันท์
ทม่ี า (สงัด อุทรานันท์, 2532)

Taba (1962) ได้ให้แนวคิดในการจัดหลักสูตรโดยเอาสิ่งที่รู้จักในนามของวิธีการ
ระดับล่างเป็นหนทางไปสู่การพัฒนาหลักสูตร คือหลักสูตรควรจะออกแบบและกำหนดจากครูผู้สอน
มากกว่าที่จะกำหนดลงไปโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูง นอกจากนี้ ทาบามีความคิดว่า การพัฒนาหลักสูตร
เป็นงานที่ต้องการ การจัดลำดับความคิดใหเ้ ป็นระเบยี บในวิธีการที่จะทำงานให้สำเร็จลุล่วงไป ทาบา
ได้กาหนดกระบวนการในการพฒั นาหลกั สตู รไว้ ดังนี้

92

ขั้นที่ 1 วิเคราะห์สภาพปัญหา ความต้องการ และความจำเป็นต่าง ๆ ของสังคม
รวมทั้งศึกษาพัฒนาการของผู้เรียน กระบวนการเรียนรู้ ตลอดจนธรรมชาติของความรู้เพื่อนามาเป็น
แนวทางในการกำหนดจดุ มงุ่ หมาย

ขั้นที่ 2 กำหนดจุดมุ่งหมายของการศึกษา โดยอาศัยข้อมูลที่ได้จากขั้นที่ 1 เป็น
หลกั ในการพิจารณา จุดมุ่งหมายทกี่ ำหนดขึ้น ควรจะเปน็ สงิ่ ทสี่ ามารถนาไปปฏิบัติได้จริง และสามารถ
นาไปใช้เป็นแนวทางในการจัดเลอื กเนื้อหาประสบการณก์ ารเรียน ความต้องการ เพื่อให้วตั ถุประสงค์
สอดคล้องกับสงั คมและผเู้ รียน

ขั้นที่ 3 การคัดเลือกเนื้อหาวิชาที่จะนามาใช้ในการเรียนการสอน โดยคำนึงถึง
ความสอดคล้องกับจุดมุง่ หมายท่กี ำหนดไวเ้ ปน็ สำคัญ

ขั้นที่ 4 การจัดลำดับเนื้อหาวิชาที่คัดเลือกมา โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมใน
การที่จะให้ผู้เรียนได้รับความรู้ก่อนหรือหลัง ซึ่งอาจจัดลำดับความยากง่าย ความกว้างแคบหรือการ
เปน็ พ้ืนฐานตอ่ กัน

ขั้นที่ 5 การคัดเลือกประสบการณก์ ารเรียน กระบวนการที่สำคัญของหลักสูตรอีก
กระบวนการหนึ่งก็คือ กระบวนการในชั้นเรียน การคัดเลือกประสบการณ์การเรียนจำเป็นต้องศึกษา
ถึงกระบวนการเรียนรู้และวิธีการสอนแบบต่าง ๆ เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการคัดเลือก
ประสบการณ์การเรียนที่มีคุณค่าแก่ผู้เรียน และสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายตลอดจนเนื้อหาวิชา
ทกี่ ำหนดไว้ดว้ ย

ขั้นที่ 6 การจัดลำดับประสบการณ์การเรียน ตามลำดับก่อนหลัง เพื่อให้การจัด
กระบวนการเรียนการสอนบรรลตุ ามจุดมุ่งหมายที่วางไว้

ขั้นที่ 7 การประเมินผล เป็นขั้นตอนที่จะเป็นเครื่องชี้ว่า การดำเนินการพัฒนา
หลักสูตรประสบผลสำเรจ็ มากนอ้ ยเพยี งใด มีปัญหาหรือข้อบกพร่องในขัน้ ตอนใด ๆ มากน้อยเพียงใด
เพื่อจะได้ทาการปรับปรุงแก้ไขต่อไป การประเมินผลนี้ ตามปกติจะพิจารณาผลจาการใชห้ ลกั สูตรคือ
ผเู้ รียนมกี ารเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมไปตามจดุ มุ่งหมายท่ีกำหนดไวห้ รือไม่ เนอ้ื หาวิชาและกระบวนการ
เรียนการสอนมีความเหมาะสมเพยี งใด

ขั้นที่ 8 ตรวจสอบความคงที่ และความเหมาะสมในแต่ละขั้น โดยการตั้งคำถาม
เพอ่ื ตรวจสอบในลกั ษณะตอ่ ไปนี้

1. เนอ้ื หาทีจ่ ัดขนึ้ เกี่ยวข้องกับจดุ มุ่งหมายหรือไม่
2. ประสบการณ์การเรยี นช่วยใหผ้ เู้ รยี นมีผลสัมฤทธติ์ ามจุดมุง่ หมายหรือไม่
3. ประสบการณก์ ารเรียนทจี่ ัดขึน้ มีความเหมาะสมเพยี งใด

93

การสำรวจความต้องการ ความสมดลุ และ
การกำหนดจดุ มงุ่ หมาย ความสอดคลอ้ ง

การเลอื กเนอ้ื หา
การจดั ลำกับเนอื้ หาวิชา
การเลือกประสบการณก์ ารเรียนรู้
การจัดประสบการณ์การเรียนรู้
กำหนดสง่ิ ทจี่ ะประเมินและวธิ กี ารประเมนิ

ภาพประกอบ 38 แบบจำลองการพฒั นาหลักสตู รของ Taba
ทม่ี า (Taba, H, 1962)

Saylor J.G, Alexander (1974, หน้า 24) นำเสนอแบบจำลองในการพัฒนา
หลักสูตรประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ภายใต้แนวคิดของการวางแผนให้โอกาสในการเรียนรู้เพื่อบรรลุ
ผลสมั ฤทธ์ิทางการศกึ ษาและวตั ถปุ ระสงค์ท่เี กย่ี วข้องสำหรับประชากรดงั นี้

1. จุดหมาย วัตถปุ ระสงค์และขอบขา่ ยทีต่ ้องการพัฒนา
จุดหมายและวัตถุประสงค์ของหลักสูตรถูกเลือกหลังจากการพิจารณาตัวแปร

ภายนอก เช่น ผลการศกึ ษาจากการวจิ ยั ทางการศึกษา การรับรองมาตรฐาน ความเห็นของกลุ่มสังคม
และอื่น ๆ

2. การออกแบบหลกั สูตร
นักวางแผนลักสูตรต้องดำเนินการออกแบบหลักสูตร ด้วยการสร้างโอกาสใน

การเรียนรู้ที่เหมาะสมกับขอบข่ายที่ต้องการพัฒนา ระบุวันเวลาและวิธีการในโอกาสการเรียนรู้
ดังกล่าว การออกแบบหลักสูตรคำนงึ ถงึ ธรรมชาตขิ องวิชา รปู แบบของสถาบันทางสังคมท่ีสัมพันธ์กับ
ความต้องการและความสนใจของผู้เรียน

3. การนำหลกั สตู รไปใช้
ผู้สอนนำหลักสูตรไปใช้ในชั้นเรียน โดยจัดการเรียนการสอนตามวัตถุประสงค์

และเลอื กกลยุทธวธิ กี ารสอนท่ีเกี่ยวขอ้ งเพื่อบรรลผุ ลการเรียนรู้
4. การประเมินหลกั สตู ร

นักวางแผนลักสูตรและผู้สอนร่วมกันประเมินด้วยการเลือกเทคนิคการประเมินที่
หลากหลาย การประเมินมีจุดเน้น 2 ประเภท คือ 1) การประเมินผลรวมของการใช้หลักสูตรท้ัง

94

โรงเรียน ประกอบด้วย เป้าหมาย วัตถุประสงค์ จุดประสงค์การเรียน ประสิทธิภาพของการเรียนการ
สอน และผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน 2) การประเมินกระบวนการหลักสูตรทั้งระบบ ตั้งแต่การออกแบบ
หลกั สตู ร การนำหลักสตู รไปใช้ เพ่อื ตัดสนิ ใจว่าหลักสตู รมีประสิทธิภาพเพียงใด

แบบการจำลองการพัฒนาหลกั สูตรของ Saylor J.G, Alexander ดังภาพประกอบ

ตวั แปรภายนอก
กฎหมาย ผลการวจิ ยั
สมาคมวิชาชพี แนวนโยบายของรฐั

จุดหมายและวตั ถุประสงค์ การออกแบบหลักสตู ร การนำหลักสูตรไปใช้ การนำหลักสตู ร
ไปใช้

พน้ื ฐานของหลักสตู ร
สังคม ผเู้ รยี น
ความรู้

ภาพประกอบ 39 แบบการจำลองการพัฒนาหลกั สตู รของ Saylor J.G, Alexander
ทมี่ า (Saylor, J.G. & Alexander, W.M., 1974)

Oliva (1992) นำเสนอรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรที่มุ่งเน้นความสัมพันธ์ระหว่าง
หลกั สูตรและการเรยี นการสอนอย่างเป็นข้นั ตอน 12 ตอน ดงั น้ี

ขน้ั ท่ี 1 กำหนดปรชั ญา จุดหมายการศึกษา และความเช่อื เก่ียวกับการ
เรยี นรู้

ขั้นท่ี 2 วเิ คราะห์ความตอ้ งการจำเปน็ ของผเู้ รียนและสังคม
ขน้ั ที่ 3 และ 4 กำหนดวตั ถุประสงคท์ ี่ได้จากข้ันที่ 1 และ 2
ขนั้ ที่ 5 การบริหารและนำหลกั สูตรไปใช้
ขน้ั ที่ 6 และ 7 การเพิม่ ระดับจดุ หมายของการเรียนการสอน
ข้ันท่ี 8 การเลอื กกลวิธีการสอน
ขน้ั ที่ 9 การเลอื กวธิ กี ารประเมนิ ผลกอ่ นเรียน
ขั้นท่ี 10 การดำเนินการจดั การเรียนการสอน
ขั้นท่ี 11 เกบ็ รวบรวมข้อมลู การประเมินผลการเรียนการสอน
ขน้ั ที่ 12 การประเมนิ หลักสตู รทง้ั ระบบ
แบบจำลองการพัฒนาหลักสูตรของโอลิวาเป็นความสัมพันธ์อย่างละเอียดระหว่าง
องค์ประกอบที่เป็นสาระสำคัญครอบคลุมกระบวนการพัฒนาหลักสูตรตั้งแต่ต้นจนจบ นักพัฒนา
หลักสูตรต้องทำความเข้าใจแต่ละขั้นโดยตลอด จากข้อมูลพื้นฐานการพัฒนาหลักสูตรด้านปรัชญาถึง
การประเมินหลักสตู ร ดงั ภาพประกอบ

95

ปรชั ญา จดุ ม่งุ หมาย วตั ถปุ ระสงค์ การวางแผน การสอน การประเมินผล

ภาพประกอบ 40 แบบจำลองการพฒั นาหลักสตู รของ Oliva
ทมี่ า (Oliva, P. F., 2009)

วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554) ได้สรุปแนวคิดและขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร โดยรูปแบบ

การพัฒนาหลักสูตรจะเป็นฐานคิดในการพัฒนาหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานคุณวฒุ ิระดับอุดมศึกษา
แห่งชาติ พ.ศ.2552 ดงั ภาพประกอบ

คณะกรรมการพัฒนาหลกั สตู ร สภาพปญั หาและความตอ้ งการของสังคม

กำหนดจุดมุ่งหมายหลกั การและโครงสรา้ ง กลุ่ม รายวชิ า หนว่ ย
ของหลักสูตร

ยกร่างเน้อื หาสาระวางแผนการสอนสร้างสอื่ ผลการเรียนรู้
การเรยี นและคู่มอื การสอน
จดุ ประสงค์เชงิ พฤตกิ รรมหรือจดุ ประสงคก์ าร
ทดลองใชแ้ ละแกไ้ ขปรบั ปรงุ เรยี นรู้
ผู้เชย่ี วชาญเฉพาะสาขา/เสนอข้อคิดเหน็
แผนการจดั การเรียนร้แู ละสอ่ื
อบรมผูส้ อนเพ่ือใชห้ ลกั สตู ร
การบริหารและพัฒนาหลกั สตู ร กิจกรรมการเรียนรู้
กลุ่ม รายบุคคล
ปฏบิ ตั ิการสอน
การประเมนิ ผล
การประเมินผล

ภาพประกอบ 41 รูปแบบและขนั้ ตอนการพัฒนาหลักสูตรและการสอนของวชิ ัย วงษ์ใหญ่
ท่ีมา (วิชยั วงษใ์ หญ่, 2554)

ขน้ั ตอนการพัฒนาหลกั สูตรมีดังนี้
1. คณะกรรมการพัฒนาหลักสูตร ใช้ข้อมูลสภาพปัญหาและความต้องการของ

สังคม มากำหนดจุดมุ่งหมาย หลักการและโครงสร้าง และออกแบบหลักสูตร โดยปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ
ประกอบ

2. ยกร่างเนื้อหาสาระ แต่ละกลุ่มประสบการณ์ แต่ละหน่วยการเรียนและแต่ละ
รายวิชา โดยปรึกษาหารือผู้เชี่ยวชาญแต่ละสาขาวิชา คณะกรรมการฯ ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญแต่ละ

96

สาขาวชิ าเปน็ ผูก้ ำหนดผลการเรยี นรู้ จุดประสงค์ เชิงพฤตกิ รรมหรอื จดุ ประสงค์การเรียนรวู้ างแผนการ
สอนทำบันทกึ ผลติ สอ่ื การสอนจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน

3. ทดลองใชห้ ลักสตู รในสถานศึกษานำรอ่ ง และแกไ้ ขขอ้ บกพรอ่ ง
4. อบรมผู้สอน ผ้บู ริหาร และบุคลากรทางการศึกษาใหเ้ ขา้ ใจหลกั สตู รใหม่
5. ปฏิบัตกิ ารสอน กิจกรรมการใช้หลักสตู รใหมม่ ี 4 ประการ คอื

5.1 การแปลงหลกั สูตรไปสกู่ ารสอน คือจดั ทำวัสดุ สอ่ื การสอน
5.2 ผูบ้ ริหารจดั เตรียมสิ่งตา่ ง ๆ เชน่ บุคลากร (ครู) วัสดุหลักสตู ร และบริการ
ต่าง ๆ
5.3 การสอน ผสู้ อนประจำการ ทำหนา้ ที่ดำเนนิ การสอน
5.4 การประเมนิ ผล ประเมินทง้ั ผลการเรียนและหลักสูตรแล้วนำไปแก้ไข
จากความหมายของการพัฒนาหลักสูตรตามที่ได้กล่าวมา สรุปได้ว่า การพัฒนาหลักสูตร
มีความหมาย 2 นัย คือ การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น เรียกว่า การปรับปรุงหลักสูตร และการ
สร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่เลย คำศัพท์ที่มีความใกล้เคียงกับการพัฒนา
หลักสูตร ได้แก่การออกแบบหลักสูตร การสร้างหลักสูตรการวางแผนหลักสูตร การจัดหลักสูตร
การจดั การหลกั สตู ร การวิเคราะห์หลกั สูตร และการปรบั ปรงุ หลกั สตู ร

แนวคิดเก่ยี วกับการประเมนิ หลกั สตู ร

1. ความหมายของการประเมินหลกั สูตร
มีนักวิชาการได้ให้ความหมายของการประเมินหรือการประเมินผล (evaluation)

ไวต้ ่าง ๆ กนั ดังน้ี
Robbins (1995) กล่าวว่า “การประเมินผล” เป็นกระบวนการดูแลติดตามเพื่อที่ดู

ว่าองค์กรหรอื หน่วยงานใช้ทรัพยากรเพ่ือการด าเนินการให้บรรลุตามวัตถุประสงค์ของโครงการอยา่ ง
มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลหรือไม่เพียงใดเพื่อดูแลปอ้ งกันไมใ่ ห้เกดิ ปญั หา

Stufflebeam (1971) กลา่ ววา่ “การประเมนิ ผล” เปน็ กระบวนการจำแนกแยกแยะ
หรือวิเคราะห์การได้มาซึ่งข้อมูลและการเสนอข้อมูล เพื่อเสนอคำวินิจฉัยสำหรับทางเลือกหรือการ
ตดั สินใจวา่ มีคุณภาพมากน้อยเพยี งใด

Suchman (1967) กล่าวว่า “การประเมินผลโครงการ” เป็นกระบวนการศึกษา
พิจารณาผลลัพธ์ที่พึงปรารถนาและไม่พึงปรารถนาในการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อกำหนดคุณค่า
หรือปรมิ าณของความสำเรจ็ ตามวัตถุประสงคซ์ ึง่ ประกอบด้วยขัน้ ตอนต่าง ๆ ดงั น้ี

1) การกำหนดจดุ มุ่งหมายในการประเมนิ
2) การกำหนดเกณฑ์เพ่อื ตรวจสอบความสำเร็จ
3) การอธบิ ายระดบั ความสำเร็จ
4) การรายงานและการเสนอแนะในการดำเนินงานต่อไป
Alkin (1990) กล่าวว่า “การประเมินผล” หมายถึง กระบวนการกำหนดขอบเขต
การตัดสินใจ การเลือกข้อมูลที่เหมาะสม การเก็บรวมรวมข้อมูล ตลอดจนการเขียนรายงานสรุป
เพือ่ ให้ผู้มอี ำนาจในการตัดสนิ ใจได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

97

พิชิต ฤทธิ์จรูญ (2558, หน้า 16) กล่าวว่า การประเมินหลักสูตร หมายถึง
กระบวนการเชิงระบบ เพื่อจัดหาสารสนเทศที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเกี่ยวกับการปรับปรุง
พัฒนาหลักสูตร การบรหิ าร หลักสูตร และการเปล่ียนแปลงหลกั สตู ร

วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554, หน้า 123) กล่าวว่า การประเมินหลักสูตรเป็นขั้นตอนที่
สำคัญในการพัฒนาหลักสูตร ข้อบกพร่อง หรือความผิดพลาดอาจจะเนื่องมาจากสาเหตุและปัจจัย
ต่าง ๆ เช่น การออกแบบหลักสูตรอาจจะไม่เหมาะสมกับความต้องการของบุคคลและสังคม เป็นต้น
ถ้าไม่มีการประเมินหลักสูตรก่อนการนำหลักสูตรไปใช้อาจจะเป็นภาระที่ยุ่งยากมากสำหรับผู้เรียน
ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร ดังนั้น การประเมินหลักสูตรจึงต้องมีการประเมินเป็นระยะ ๆ
เพอ่ื ท่ีจะลดปญั หาทีอ่ าจจะเกิดข้ึน เมอ่ื ใช้หลกั สตู รจริงการประเมินหลักสูตรแบ่งเปน็ 3 ระยะ คือ

ระยะแรก คอื การประเมินหลักสูตรกอ่ นการนำหลกั สตู รไปใช้
ระยะที่ 2 คือ การประเมนิ หลักสูตรระหวา่ งการดำเนนิ การใช้หลักสูตร
ระยะท่ี 3 คือ การประเมนิ หลักสูตรภายหลังการใชห้ ลักสูตรครบกระบวนการ
จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การประเมินหรือการประเมินผล (evaluation) หมายถึง
กระบวนการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อการตัดสินใจดำเนินการเพื่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง และยังมี
ความหมายเกี่ยวเนื่องกับคำอื่น ๆ อีก เช่น การวิจัย (research) การวัดผล (measurement)
การประเมนิ ตรวจสอบ (appraisal) การควบคุมดแู ล (monitoring) การประมาณการ (assessment)
การพิจารณาตดั สิน (judgement) เปน็ ต้น
2. จุดมุง่ หมายของการประเมนิ หลักสูตร
Taba (1962 : 310) ได้กล่าวไว้ว่า การประเมินหลักสูตรทำขึ้นเพื่อศึกษากระบวนการ
ต่าง ๆ ที่กำหนดไว้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงใดบ้างท่ีสอดคล้องหรือขัดแย้งกบั วัตถุประสงคข์ องการศึกษา
การประเมินดังกล่าวจะครอบคลุมเนื้อหาทั้งหมดของหลักสูตรและกระบวนการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
ซึ่งได้แก่ จุดประสงค์ ขอบเขตของเนื้อหาสาระ คุณภาพของผู้ใชบ้ ริหารและผู้ใช้หลกั สตู ร สมรรถภาพ
ของผูเ้ รียน ความสมั พันธข์ องวิชาตา่ ง ๆ การใช้สอื่ และวสั ดุการสอน ฯลฯ
ตาราง 2 การประเมนิ หลักสูตร กอ่ น ระหวา่ ง และหลงั การนำหลักสตู รไปใช้

ขั้นตอนการประเมินหลกั สตู ร จดุ มงุ่ หมายการประเมิน

1. การประเมินหลักสูตรกอ่ นนำหลักสูตรไปใช้ 1. การประเมินเอกสารและคุณคา่ ของหลกั สตู ร

2. การประเมนิ หลักสูตรระหวา่ งดำเนนิ การใช้ 2. การประเมนิ การนำไปใชแ้ ละผลสมั ฤทธ์ิของ

หลกั สตู ร หลักสตู ร

3. การประเมนิ หลกั สูตรหลงั นำหลกั สูตรไปใช้ 3. การประเมนิ ระบบหลักสูตร

3. หลักเกณฑ์การประเมนิ หลกั สตู ร

1. มีจดุ ประสงค์ในการประเมนิ ที่แน่นอน การประเมินผลหลักสูตรจะต้องกำหนดลงไปให้

แน่นอนชดั เจนวา่ ประเมินอะไร

2. มกี ารวัดท่ีเช่ือถอื ได้ โดยมีเคร่ืองมอื และเกณฑ์การวดั ซึง่ เปน็ ทยี่ อมรบั

3. ข้อมูลเป็นจริงจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับการประเมินผล ดังนั้น ข้อมูลจะต้องได้มาอย่าง

ถกู ตอ้ งเช่ือถอื ได้และมากพอทีจ่ ะใช้เปน็ ตัวประเมินค่าหลักสูตรได้

4. มีขอบเขตทีแ่ น่นอนชัดเจนว่าเราตอ้ งการประเมินในเรอื่ งใดแค่ไหน

98

5. ประเดน็ ของเรื่องทีจ่ ะประเมินอยใู่ นช่วงเวลาของความสนใจ
6. การรวบรวมข้อมูลมาเพื่อกำหนดกฎเกณฑ์ และกำหนดเครื่องมือในการประเมินผล
จะต้องพิจารณาอยา่ งรอบคอบ
7. การวิเคราะห์ผลการประเมินต้องทำอยา่ งระมัดระวังรอบคอบ และใหม้ คี วามเท่ียงตรง
ในการพิจารณา
8. การประเมินผลหลักสตู รควรใชว้ ธิ กี ารหลาย ๆ วิธี
9. มีเอกภาพในการตัดสินผลการประเมิน
10. ผลต่าง ๆ ที่ได้จากการประเมินควรนำไปใช้ในการพัฒนาหลักสูตรทั้งในด้านการ
ปรับปรุงเปลย่ี นแปลงในโอกาสตอ่ ไป เพอื่ ให้ได้หลกั สตู รทีด่ แี ละมีคุณค่าสูงสดุ ตามทีต่ ้องการ
4. ประเภทการประเมนิ หลักสตู ร
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554, หนา้ 124-130) ไดแ้ บง่ ประเภทของการประเมินหลักสูตรสรุป
ได้ดงั น้ี

ระยะท่ี 1 การประเมนิ หลกั สูตรก่อนนำหลักสูตรไปใช้ ในชว่ งระหวา่ งทมี่ ีการสรา้ งหรือ
พัฒนาหลักสูตรอาจมีการดำเนินการตรวจสอบทุกขั้นตอน ของการจัดทำนับแต่การกำหนด
จุดมุ่งหมายไปจนถงึ การกำหนดการวัดและประเมนิ ผลการเรียนซ่งึ สามารถทำได้ 2 ลักษณะคือ

1. ประเมินหลักสูตรเมื่อสร้างหลักสูตรฉบับร่างเสร็จแล้วก่อนจะนำหลักสูตรไปใช้
จริง ควรมกี ารประเมินตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรฉบับร่างและองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตร
การประเมินหลักสูตรในระยะนี้ต้องอาศัยความคิดเห็นจากผู้เชี่ยวชาญ ทางด้านพัฒนาหลักสูตร
ทางด้านวิชาชพี ครทู างด้านการวดั ผลหรือจะใหผ้ เู้ ชยี่ วชาญ วเิ คราะห์หรอื พจิ ารณากไ็ ด้

2. ประเมินผลในขั้นตอนทดลองใช้เพื่อปรับปรุงแก้ไขส่วนที่ขาดตกบกพร่องหรือ
เป็นปัญหาใหม้ ีความสมบรู ณเ์ พื่อประสิทธิภาพในการนำไปใชต้ ่อไป เพอ่ื หาข้อบกพร่อง อปุ สรรคจะได้
แกไ้ ขใหเ้ หมาะสมและมีประสิทธภิ าพต่อไป

ระยะที่ 2 การประเมินหลักสูตรระหว่างการดำเนินการใช้หลักสูตรในขณะที่มีการ
ดำเนินการใช้หลักสูตรที่จัดทำขึ้นควรมีการประเมินเพื่อตรวจสอบว่า หลักสูตรสามารถนำไปใช้ได้ดี
เพียงใดหรือบกพร่องในจุดไหนจะได้แก้ไขปรบั ปรุงให้เหมาะสมเช่น ประเมินกระบวนการใช้หลักสตู ร
ในดา้ นการบรหิ ารการจัดการหลกั สูตรการนิเทศกำกบั ดูแลและการ จดั กระบวนการเรียนการสอน

ระยะที่ 3 การประเมินหลักสูตรหลังการใช้หลักสูตร หลังจากที่มีการใช้หลักสูตร
มาแล้วระยะหนึ่งคือครบกระบวนการเรียบร้อยแล้วควรจะ ประเมินหลักสูตรทั้งระบบซึ่งได้แก่การ
ประเมินองค์ประกอบด้านต่าง ๆ ของหลักสูตรทั้งหมดคือ เอกสารหลักสูตร วัสดุหลักสูตร บุคลากร
ที่เกี่ยวข้องกับการใช้หลักสูตร การบริหารหลักสูตรการนิเทศกำกับติดตามการจัดกระบวนการเรียน
การสอน ฯลฯ เพื่อสรุปผลตัดสินว่าหลักสูตรที่จัดทำขึ้น นั้นควรจะดำเนินการใช้ต่อไปหรือควร
ปรบั ปรงุ แก้ไขใหด้ ขี น้ึ หรือควรจะยกเลกิ

5. เกณฑ์การประเมินหลักสูตร
ผลการประเมนิ หลกั สตู ร จะมีความนา่ เชือ่ ถือเพยี งใด อยู่ที่เกณฑส์ ำหรับการใช้พจิ ารณา

ตัดสินการประเมินหลกั สูตรของคณะกรรมการประเมินหลักสตู ร เลอื กใช้ได้ เหมาะสมกับวตั ถุประสงค์
ของการประเมนิ เกณฑท์ ี่ใช้พิจารณาสำหรบั การประเมนิ หลักสูตร มดี ังนี้

99

1. ความเที่ยงตรงภายใน (internal validity) หมายถึง การออกแบบการประเมินเพ่ือ
การเก็บรวบรวมข้อมูล ทำให้ได้ข้อมูลตรงตามวัตถุประสงค์ที่ประเมิน ผลของการประเมินตรงตาม
ปรากฏการณ์ท่ีเปน็ ตัวแทนภายในขอบขา่ ยของการพจิ ารณาอย่างถกู ต้องและเปน็ จริง

2. ความเที่ยงตรงภายนอก (external validity) หมายถึง ผลการประเมินหลักสูตรท่ี
ได้ สามารถนำไปอ้างองิ สรปุ ได้กว้างขวางเพยี งใด เกี่ยวกับเรือ่ งเวลา ส่ิงแวดล้อม ภูมิภาคและบุคคลที่
มีสภาพความคลา้ ยคลึงกบั กลุ่มที่ประเมนิ

3. ความเชื่อถือได้ (reliability) หมายถึง ความคงท่ีของข้อมูลท่ีเก็บรวบรวมได้จาก
การใช้เครื่องมือวัดหลายอย่าง ผู้ประเมินหลักสูตรควรคำนึงถึงความเพียงพอของการเก็บหรือการวัด
หรืออาจจะทำการวดั หลาย ๆ ครั้ง หรอื วัดครง้ั เดียวด้วยเทคนคิ การวัดแบบตา่ ง ๆ เพือ่ ตรวจสอบความ
คงท่ีของคำตอบเรื่องนี้ ผู้ประเมินหลักสูตรต้องเข้าไปเกี่ยวข้องกับการวัดค่อนข้างมาก และมีความ
ละเอยี ดรอบคอบ และมีความรับผดิ ชอบ

6. ประโยชนข์ องการประเมินหลกั สตู ร
1. ทำให้ทราบหลักสูตรที่สร้างหรือพัฒนาขึ้นนั้นมีจุดดีหรือจุดเสียตรงไหน ซึ่งจะเป็น

ประโยชนใ์ นการวางแผนปรับปรงุ ได้ถกู จดุ สง่ ผลให้หลกั สูตรมคี ุณภาพดียงิ่ ขน้ึ
2. สร้างความน่าเชื่อถือ ความมั่นใจ และค่านิยมที่มีต่อโรงเรียนให้เกิดขึ้นในหมู่

ประชาชน
3. ช่วยในการบริหารทางด้านวิชาการ ผู้บริหารจะได้รู้ว่าควรจะตัดสินใจและสนับสนุน

ชว่ ยเหลอื หรือบริหารทางดา้ นใดบา้ ง
4. สง่ เสรมิ ใหป้ ระชาชนมคี วามเข้าใจในความสำคัญของการศึกษา
5. ส่งเสริมให้ผู้ปกครองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโรงเรียนมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้การ

เรียนการสอนนกั เรยี นไดผ้ ลดี ดว้ ยความรว่ มมอื กนั ทั้งทางโรงเรยี นและทางบ้าน
6. ให้ผู้ปกครองทราบความเป็นไปอย่างสม่ำเสมอ เพื่อหาทางส่งเสริมและปรับปรุงแก้ไข

รว่ มกันระหวา่ งผปู้ กครองนกั เรยี นกบั ทางโรงเรยี น
7. ช่วยให้การประเมินผลเป็นระบบระเบียบ เพราะมีเครื่องมือ และหลักเกณฑ์ทำให้เปน็

เหตุผลในทางวิทยาศาสตรม์ ากขนึ้
8. ชว่ ยช้ใี ห้เหน็ ถงึ คณุ คา่ ของหลกั สูตร

7. รปู แบบของการประเมนิ หลักสตู ร
7.1 รปู แบบการประเมนิ ของ Tyler
ปี ค.ศ. 1934 Tyler ไดเ้ ขียนหนงั สอื ชื่อว่า Constructing Achievement Test เป็น

หนังสือที่สะท้อนให้เห็นถึงการประเมินหลักสูตรอย่างเป็นรูปธรรม มีจุดเน้น คือการใช้การวัดผล
สัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของผู้เรียนเป็นวิธีการประเมินหลักสูตร จากนั้นใน ปี ค.ศ. 1949 Tyler ได้
เขียนหนังสือเล่มหนึง่ ออกมาอีกเลม่ หนึ่งชือ่ ว่า Principles of Curriculum and Instruction และใน
หนังสือเล่มนี้ Tyler ได้นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการประเมินหลักสูตรแนวคิดหนึ่งว่า การประเมิน
หลักสูตรเป็นกระบวนการหนึ่งที่สำคัญมากในการพัฒนาหลักสูตร “Evaluation is also an
important operation in curriculum development” (Tyler, R. W., 1949, p. 104)

Tyler ไดร้ ะบวุ า่ การประเมินหลักสตู รเปน็ ส่วนหนง่ึ ของการพัฒนาหลกั สูตรมสี าระ

100

สำคัญ 2 ประการ คือ 1) การประเมินพฤติกรรมที่แสดงออกของผู้เรียน และ 2) การใช้วิธีการที่
หลากหลาย ประเมินหลายๆ ครั้ง เนือ่ งจากพฤติกรรมของผู้เรียนอาจมีการเปลย่ี นแปลงได้ตลอดเวลา
ในระหว่างการเรียนรู้ ดังนั้นการประเมินจึงไม่ใช่เพียงแค่การทดสอบผู้เรียนเมื่อเสร็จสิ้นการจัดการ
เรียนรูเ้ ทา่ นน้ั แตจ่ ะต้องประเมินอย่างตอ่ เน่ืองในระหวา่ งการจัดการเรยี นรู้

ลักษณะเด่นของรูปแบบการประเมินหลักสูตรของ Tyler มุ่งเน้นการประเมิน
ความสัมพันธ์ระหว่างเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของหลักสูตรกับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนรู้ของ
ผเู้ รยี น ดงั แผนภาพตอ่ ไปน้ี

เปา้ ประสงคแ์ ละวัตถปุ ระสงค์ ความสอดคลอ้ ง ผลสัมฤทธเิ์ รียนรู้
ของหลกั สูตร ของผูเ้ รียน

ภาพประกอบ 42 แนวคดิ การประเมนิ ของ Tyler
ท่ีมา (Tyler,R.W., 1971)

กระบวนการประเมนิ ของ Tyler มี 7 ขั้นตอน ดงั นี้
1. วิเคราะห์จุดประสงค์การเรียนรู้เชิงพฤติกรรมที่กำหนดไว้ซึ่งประกอบด้วย

สาระสำคญั ของการเรียนรู้และพฤติกรรมการเรียนรู้ของผเู้ รยี น
2. ระบุสถานการณ์ที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้แสดงความรู้ความสามารถของตนเอง

ทส่ี อดคล้องกบั จดุ ประสงคก์ ารเรยี นรู้
3. คัดเลือกวิธีการและเครื่องมือที่ใช้ในการวัด และตรวจสอบคุณภาพด้านความ

เทยี่ งตรง (validity) ความเช่ือมัน่ (reliability) และความเปน็ ปรนยั (objectivity)
4. เก็บรวบรวมข้อมูลที่นำไปสู่การประเมินตามจดุ ประสงค์การเรียนรู้โดยใช้เครื่องมือ

ทีห่ ลากหลาย
5. เปรียบเทียบขอ้ มลู ท่ีเก็บรวบรวมกับเกณฑห์ รือมาตรฐานการประเมินรวมทั้งการลง

สรปุ ผลการประเมิน
6. วเิ คราะหผ์ ลการประเมนิ เก่ยี วกับจุดแข็งและจุดทีต่ ้องปรับปรุงแกไ้ ขหลักสตู ร
7. นำผลการประเมินไปปรบั ปรุงและพฒั นาหลกั สตู รให้มคี ุณภาพอยา่ งต่อเนื่อง

เมื่อสรุปผลการประเมินแล้วจะต้องนำผลการประเมินที่ได้ ไปใช้สำหรับการปรับปรุงและ
พฒั นาหลักสตู รให้มีคุณภาพยิ่งขึ้นต่อไป แสดงได้ดังแผนภาพต่อไปน้ี

101

วิเคราะห์วตั ถุประสงค์ นยิ ามปฏบิ ัติการ
กำหนดวธิ ีการและพัฒนาเคร่อื งมอื กำหนดสถานการณเ์ งอ่ื นไข
เปรยี บเทยี บกับวัตถุประสงค์
เก็บรวบรวมขอ้ มลู หลกั ฐาน
สรปุ ผลการประเมนิ

การปรับปรุงและพฒั นาหลกั สตู รในประเดน็ ต่าง ๆ เชน่ วตั ถปุ ระสงคข์ อง
หลกั สตู ร การจดั การเรยี นรู้ การประเมนิ ผลการเรยี นรู้

ภาพประกอบ 43 ขัน้ ตอนการประเมินของ Tyler
ท่มี า (Tyler,R.W., 1971)

7.2 รูปแบบการประเมินของ Stake
Robert E. Stake ได้เสนอบทความการประเมินทางการศึกษาเรื่อง “The

Countenance of Educational Evaluation” ตีพิมพ์ในวารสาร Teachers Collage Record โดย
ระบวุ ่าการประเมนิ จึงต้องให้ความสนใจกับปัจจยั และเงื่อนไขต่าง ๆ ที่มีความเชือ่ มโยงกนั 3 ประการ
ไดแ้ ก่ สงิ่ ทมี่ ีอยู่ก่อน (antecedent) กระบวนการ (transaction) และผลผลติ (outcomes) ดงั นี้

สิ่งที่คาดหวงั สิ่งท่ีเป็นจริง มาตรฐาน สงิ่ ทเ่ี ป็นจรงิ

1 สภาพกอ่ นการใช้หลกั สูตร 10
2 47 11

หลกั การของ 5 การดำเนินการใช้หลกั สตู ร
หลกั สูตร 8

3 6 การดำเนนิ การใช้หลกั สตู ร 12
9

ตารางการบรรยาย ตารางการตัดสิน

หมายถงึ ความสมั พนั ธ์ หมายถึง ความสอดคลอ้ ง

ภาพประกอบ 44 รูปแบบการประเมนิ ของ Robert E. Stake
ทม่ี า Stake, Robert .E., 1969 อ้างถึงใน (มารุต พฒั ผล, 2564, หน้า 235)

102

ข้อมูลในตารางการบรรยายและการตดั สนิ ในแผนภาพมีรายละเอียดดงั นี้
ชอ่ งที่ 1 หมายถึง สิ่งท่คี าดหวงั ว่าจะต้องมอี ยกู่ อ่ นการใช้หลกั สูตร เป็นสภาพทีเ่ อื้อ

ตอ่ การบรรลเุ ป้าประสงค์และวตั ถปุ ระสงคข์ องหลกั สตู ร
ช่องที่ 2 หมายถึง สิ่งที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในระหว่างการใช้หลักสูตรเป็นสิ่งที่

สะท้อนถึงประสิทธิภาพของการใช้หลักสูตรซึ่งส่งผลโดยตรงต่อการบรรลุเป้าประสงค์และ
วตั ถปุ ระสงค์ของหลกั สตู ร

ช่องที่ 3 หมายถึง สิ่งที่คาดหวังว่าเป็นผลผลิตที่จะได้รับภายหลังการใช้หลักสูตร
โดยท่ัวไปคือคณุ ภาพของผู้เรียนตามเป้าประสงค์และวตั ถุประสงค์ของหลักสูตร

ช่องท่ี 4 หมายถึง สภาพทเี่ ป็นจรงิ ในช่วงเวลากอ่ นการใช้หลักสตู ร
ช่องที่ 5 หมายถึง สภาพที่เป็นจรงิ ในระหวา่ งการใชห้ ลกั สูตร
ช่องที่ 6 หมายถึง ผลผลิตที่ได้รับหลังจากการใช้หลักสูตร โดยทั่วไปคือ คุณภาพ
ของผเู้ รยี นที่ก าหนดไว้ในเปา้ ประสงคแ์ ละวัตถปุ ระสงคข์ องหลักสูตร
ช่องท่ี 7 หมายถึง เกณฑท์ ใี่ ชใ้ นการประเมินสิง่ ท่ีคาดหวังว่าจะต้องมีอยู่ก่อนการใช้
หลกั สตู ร
ช่องที่ 8 หมายถึง เกณฑ์ที่ใช้ในการประเมินสิ่งที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในระหว่าง
การใชห้ ลักสูตร
ช่องที่ 9 หมายถึง เกณฑ์ที่ใช้ประเมินสิ่งที่คาดหวังว่าเป็นผลผลิตที่จะได้รับ
ภายหลังการใชห้ ลกั สูตร
ชอ่ งที่ 10 หมายถงึ ผลการตัดสนิ การประเมินสงิ่ ที่คาดหวังว่าจะต้องมีอยู่ก่อนการ
ใชห้ ลกั สตู ร จากการเปรียบเทียบข้อมูลในชอ่ ง 1, 4 กบั เกณฑใ์ นชอ่ งท่ี 7
ชอ่ งท่ี 11 หมายถงึ ผลการตดั สินการประเมินส่ิงท่ีคาดหวังว่าจะเกิดข้นึ ในระหว่าง
การใชห้ ลกั สตู ร จากการเปรียบเทียบกับข้อมูลในชอ่ งท่ี 2, 5 กับเกณฑ์ในช่องที่ 8
ช่องที่ 12 หมายถึง ผลการตัดสินการประเมินสิ่งที่คาดหวังว่าเป็นผลผลิตที่จะ
ไดร้ ับภายหลังการใชห้ ลักสตู ร จากการเปรยี บเทียบขอ้ มลู ในช่องท่ี 3, 6 กับเกณฑ์ในช่องท่ี 9
นอกจากนี้ Stake ยังได้อธิบายเก่ียวกับการประเมนิ หลกั สูตรว่า ผู้ประเมินจะตอ้ งเก็บ
ขอ้ มูล ที่แทจ้ ริงใหไ้ ด้ เพราะในการประเมนิ หลกั สตู รมีข้อมูลอย่เู ปน็ จำนวนมาก ซง่ึ จำเป็นตอ้ งใช้วิธีการ
เก็บรวบรวมขอ้ มูล ยงั มีหลายวิธกี าร
ดังนั้นการประเมินหลักสูตรต้องมีการกำหนดจุดประสงค์ของการประเมินที่มีความชัดเจนว่า
จะประเมินอะไร ใช้ข้อมูลมาท าอะไร Stake ได้มุ่งเน้นว่าการเก็บรวบรวมข้อมูลเพื่อการอธิบาย
(description) และการตัดสนิ ใจ (judgment) ซงึ่ ได้แกข่ ้อมลู หลักทงั้ สามประการดังท่ีกลา่ วมา ในการ
นี้ผู้ประเมินต้องบันทึกข้อมูลทั้งสามประเภทนี้ และแยกออกเป็น 4 ประการ ได้แก่ ผลที่คาดหวัง
(intents) ผลที่เกิดขึ้นจริ ง (observation) มาตรฐาน (standard) และที่มาของการตัดสินใจ
(judgment)
7.3 รูปแบบการประเมนิ ของ Stufflebeam
รปู แบบการประเมินน้ีเปน็ รปู แบบการประเมินท่ีเน้นการตัดสนิ ใจ นำเสนอโดย Daneil
L. Stufflebeam (1983) เรียกโดยทั่วไปว่า “ซิปโมเดล”(CIPP Model) ย่อมาจากตัวอักษรตัวแรก

103

จากค าศัพท์ต่าง ๆ ดังต่อไปน้ี Context (บริบทหรือสภาวะแวดล้อม) Input (ปัจจัยนำเขา้ ) Process
(กระบวนการ) Product (ผลผลิต) มีลักษณะเด่นคือ เป็นการประเมินทีละด้านตามลำดับจากการ
ประเมินบรบิ ท การประเมนิ ปจั จัยนำเข้า การประเมินกระบวนการและการประเมินผลผลิต ซง่ึ ผลการ
ประเมินแต่ละด้านจะนำไปสู่การตัดสินใจดำเนินการในขั้นตอนต่อไป ซึ่งมีแนวทางการประเมินแต่ละ
ดา้ น ดังนี้

1. การประเมินบริบท (Context evaluation) เป็นการประเมินสิ่งแวดล้อมและ
สถานการณ์ที่เปน็ อยู่ในปจั จุบัน รวมทั้งสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ เพื่อนำมาเป็นขอ้ มูลสารสนเทศสำหรับการ
กำหนดเป้าประสงคแ์ ละวตั ถปุ ระสงค์ของหลกั สูตร ตลอดจนความเป็นไปได้ ความเหมาะสม ตลอดจน
ความสอดคลอ้ งกับนโยบายและการเปล่ยี นแปลงทางสังคม

2. การประเมินปัจจัยนำเข้า (Input evaluation) เปน็ การประเมินปัจจัยที่เอื้อต่อ
การใช้หลกั สตู รอยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ เช่น บคุ ลากร งบประมาณ วสั ดุอุปกรณ์ การบรหิ ารจัดการ เวลา
เทคโนโลยี เปน็ ตน้ การประเมนิ ปจั จัยนำเขา้ จะท าให้ไดข้ ้อมูลสนับสนุน การเตรียมความพรอ้ มในการ
ใชห้ ลกั สตู ร

3. การประเมินกระบวนการ (Process evaluation) เป็นการประเมินที่มุ่งข้อมูล
สารสนเทศเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการใช้หลักสูตร เช่น การประเมินการบริหารจัดการหลักสูตร
การประเมินการจัดการเรียนการสอน เป็นต้น เพื่อแสวงหาประเด็นที่จะต้องปรับปรุงและพัฒนาให้
การดำเนนิ การใชห้ ลกั สูตรมีประสิทธิภาพอย่างตอ่ เนอื่ ง

4. การประเมนิ ผลผลิต (Product evaluation) เป็นการประเมินท่ีมุ่งเน้นคุณภาพ
ของผู้เรียนตามที่กำหนดไว้ในเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของหลักสูตร เป็นการตรวจสอบว่าเม่ือ
เสรจ็ ส้นิ การใช้หลักสตู รแล้วเกิดผลผลิตคือคุณภาพของผ้เู รียนอยา่ งไร

นอกจากนี้ Stufflebeam ยังได้นำเสนอประเภทของการตดั สินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่
เกดิ จากการประเมนิ ด้านบรบิ ท ด้านปจั จัยนำเขา้ ดา้ นกระบวนการ และดา้ นผลผลิต ดังน้ี

1. การตัดสินใจเกี่ยวกับการวางแผนดำเนินการ (planning decisions) เป็นการ
ตดั สนิ ใจเกี่ยวกบั การวางแผนการพฒั นาหลักสตู ร ซง่ึ เป็นการตดั สนิ ใจโดยใชผ้ ลการประเมนิ บริบทเป็น
ข้อมลู สารสนเทศ เช่น การกำหนดเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของหลักสตู ร เป็นต้น

2. การตัดสินใจเกี่ยวกับการกำหนดโครงสร้าง (structuring decisions) เป็นการ
ตัดสินใจโดยใช้ข้อมูลจากการประเมินปัจจัยนำเข้ามากำหนดโครงสร้างของหลักสูตร หรือการ
ออกแบบหลักสตู ร เช่น โครงสรา้ งเนอ้ื หาสาระของหลกั สูตร เวลาเรียน เปน็ ต้น

3. การตัดสินใจเพื่อนำหลักสูตรไปปฏิบัติ (implementation decisions) เป็นการ
ตดั สินใจโดยใชผ้ ลการประเมินกระบวนการ เพื่อพิจารณาดำเนนิ การใช้หลักสตู รใหม้ ปี ระสิทธิภาพและ
เป็นไปตามโครงสร้างที่กำหนดการตัดสินใจในขั้นนี้ให้ความสำคัญการปรับปรุงและพัฒนา มากกว่า
การตดั สนิ

4. การตัดสินใจเพื่อทบทวนหลกั สตู ร (recycling decisions) เป็นการตดั สินใจโดยใช้
ผลการประเมินผลผลิต ที่เกิดจากการใช้หลักสูตรเสร็จสิ้นแล้ว เพื่อพิจารณาปรับปรุงแก้ไขขยาย
โครงการหรอื หลกั สูตรตอ่ ไป หรือยกเลิกการใช้หลักสูตรประเภทการประเมนิ และการตัดสินใจดังกล่าว
แสดงเปน็ ความสัมพนั ธร์ ะหว่างกันดังแผนภาพต่อไปนี้

104

มติ กิ ารประเมิน นำไปสู่ ประเภทการตดั สนิ ใจ
นำไปสู่ การกำหนดเป้าประสงค์
สภาวะแวดลอ้ ม/บริบท นำไปสู่ และวัตถปุ ระสงคข์ องหลักสตู ร
ปจั จัยนำเข้า นำไปสู่
กระบวนการ การออกแบบหลักสตู ร
ผลผลติ
การนำหลักสูตรใช้

การปรบั ปรุง / เปลย่ี นแปลง
ยกเลิกการใช้หลกั สตู ร

ภาพประกอบ 45 รปู แบบการประเมินหลักสตู รของ Stufflebeam
ท่มี า: (Stufflebeam, Daniel L, 1983 อา้ งถึงใน มารุต พฒั ผล, 2561, หน้า 241)

นอกจากน้รี ปู แบบการประเมิน CIPP ยงั ได้มกี ารปรับขยายเป็น CIPPIEST โดยมกี าร
ขยายการประเมินผลผลิตออกแบบเปน็ การประเมินผลกระทบ (Impact Evaluation)
การประเมินประสิทธิผล (Effectiveness Evaluation) การประเมินความยั่งยืน (Sustainability
Evaluation) และการประเมินการถ่ายทอดส่งต่อ (Transportability Evaluation) ของสิ่งที่ประเมิน
ในดา้ นผลผลติ อีกด้วย
7.4 รปู แบบการประเมนิ ของ Provus
Malcolm Provus ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับการประเมินหลักสูตรไว้โดยมีสาระสำคัญ
คือ การประเมินหลักสูตรมจี ุดประสงค์เพ่ือตดั สินใจว่าหลักสูตรที่ดำเนินการใช้อยูน่ ั้น ควรจะปรับปรุง
หรือดำเนินการต่อ หรือยกเลิกการใช้ Provus เรียกว่าวิธีการประเมินความไม่สอดคล้องกัน
(discrepancy model) และนิยามการประเมินว่าเป็นกระบวนการที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งต่อไปน้ี
1) กำหนดมาตรฐานของหลักสูตร ได้แก่ มาตรฐานด้านการพัฒนาและมาตรฐานด้านเนื้อหา
2) พิจารณาความไม่สอดคล้องระหว่างส่วนต่าง ๆ ของหลักสูตรกับมาตรฐานที่กำหนดข้ึน
และ 3) ใชข้ ้อมลู ทไี่ ม่สอดคล้องสำหรับค้นหาจุดอ่อนของหลักสูตรและนำไปสู่การตดั สนิ ใจ
การประเมินหลกั สตู รตามรูปแบบของ Provus มี 5 ประเดน็ ดงั นี้
1. การประเมินคุณภาพของการออกแบบหลักสูตร (program definition) เป็นการ
ประเมินรายละเอียดของหลักสูตร โดยพิจารณาคุณภาพของสิ่งต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตร
ประกอบดว้ ย 3 ส่วน ไดแ้ ก่ 1) วัตถุประสงคข์ องหลกั สูตร 2) คุณลกั ษณะของผสู้ อน คุณลักษณะของ
ผู้เรียน ปรมิ าณและคณุ ภาพของโสตทัศนูปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกตา่ ง ๆ ในการใช้หลักสูตร
และ 3) กิจกรรมของผู้สอนและผู้เรียนที่จะทำให้บรรลุวัตถุประสงค์การใช้หลักสูตร เช่น การจัดการ
เรยี นการสอน โดยนำทงั้ สามสว่ นน้ีไปเปรยี บเทยี บกบั เกณฑ์มาตรฐานของการใชห้ ลกั สูตรที่กำหนดไว้

105

2. การประเมินการเร่ิมใชห้ ลักสูตร (program installation) เปน็ การประเมินสภาพท่ี
เป็นจริงระหว่างการใช้หลักสูตร โดยการเปรียบเทียบสภาพที่เป็นจริงระหว่างการใช้หลักสูตรกับ
มาตรฐานหลกั สตู รทก่ี ำหนดไว้ ว่ามีความเหมาะสมเพียงใด การประเมินในขน้ั ตอนนี้ ทำให้ทราบความ
แตกต่างระหวา่ งส่งิ ทคี่ าดหมายไวใ้ นข้ันที่ 1 กับสงิ่ ทเี่ ปน็ จริง

3. การประเมินกระบวนการใช้หลักสูตร (program process) เป็นการประเมิน
เกี่ยวกับการบรรลุวัตถุประสงค์ย่อย ๆ ที่จะนำไปสู่การบรรลุเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของ
หลักสูตรโดยนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานการประเมิน คือ ความสมั พนั ธ์ระหว่างกระบวนการ
กับผลผลิตที่จะเกิดขึ้นตามที่ก าหนดไว้เพื่อนำผลการประเมินไปปรับปรุงการดำเนินการใช้หลักสูตร
ตอ่ ไป

4. การประเมินผลผลิตของหลักสูตร (program product) เป็นการประเมินคุณภาพ
ของผู้เรียนขั้นสุดท้ายที่เกิดขึ้นจากการใช้หลักสูตร มุ่งตอบค าถามว่าหลักสูตรได้บรรลุเป้าประสงค์
และวัตถุประสงค์หลักหรือไม่ เพียงใด โดยนำข้อมูลมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานการประเมิน คือ
ผลผลิตของหลักสูตรตามที่กำหนดไว้ในเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ของหลักสูตร ส่วนมากคือ
คุณภาพของผเู้ รียน

5. การวิเคราะห์ค่าใช้จ่ายและผลตอบแทน (cost – benefit analysis) เป็นการ
ประเมินเกี่ยวกับคา่ ใชจ้ า่ ยในการดำเนินการใช้หลักสูตรวา่ ได้ผลตอบแทนคุ้มคา่ กับการลงทนุ มากน้อย
เพียงใด การประเมินขั้นนี้จะกระทำหรือไม่ขึ้นอยู่กับความเป็นไปได้ของคณะกรรมการประเมิน
หลักสูตรจะพิจารณาการประเมินหลักสูตรทุกขั้นตอนของ Provus จะมีการเปรียบเทียบสิง่ ที่เป็นจรงิ
กับสิ่งที่กำหนดไว้เป็นมาตรฐาน ว่ามีความสอดคล้องกันหรือไม่ ซึ่งถ้าหากพบว่าไม่สอดคล้องกันจะ
เป็นข้อมูลนำไปสู่การตดั สินใจปรบั ปรงุ เปลีย่ นแปลงหลักสตู รต่อไป ดังแผนภาพต่อไปนี้

ภาพประกอบ 46 รูปแบบการประเมนิ ของ Provus
ทมี่ า: (Provus, M.M, 1971 อ้างถึงใน มารุต พัฒผล, 2561, หน้า 244)

ความหมายของสัญลักษณ์และหมายเลขตา่ ง ๆ
S คือ มาตรฐาน (standard) ท่คี ณะกรรมการประเมนิ หลกั สตู รและผู้บรหิ ารกำหนด
P คือ การปฏิบัติ (performance) ขอ้ มลู จากสิง่ ทเี่ กิดขึ้นในระหวา่ งการรา่ งหลกั สูตร
C คือ การเปรยี บเทยี บ (compare) ผลการปฏบิ ตั จิ รงิ กบั มาตรฐานทก่ี ำหนดไว้
D คือ ข้อมูลที่แสดงความไม่สอดคล้อง (discrepancy) หรือความแตกต่างระหว่างการ

ปฏบิ ตั ิจริงกบั มาตรฐานท่ีกำหนดไว้

106

A คือ การปรับปรุงการปฏิบัติจริงหรือการปรับปรุงมาตรฐาน (alteration) เกี่ยวกับการ
ปฏิบตั ิหรอื มาตรฐาน

1 , 2 , 3 , 4 , 5 คอื ขั้นตอนการประเมินหลกั สูตร โดยท่ี
1 คอื นยิ ามหลกั สูตร
2 คอื การดำเนินการเรม่ิ การใชห้ ลักสตู ร
3 คอื กระบวนการ
4 คอื ผลผลิตของหลักสูตร
5 คือ ขนั้ การวเิ คราะหค์ า่ ใช้จา่ ยและผลตอบแทน
T คอื ส้นิ สดุ การใช้หลักสตู ร

จากแผนภาพที่แสดงขั้นตอนการประเมินหลักสูตรทั้ง 5 ประเด็น โดยมีแนวปฏิบัติที่
เหมือนกัน คือ การเปรียบเทียบสภาพที่เป็นจริงของหลักสูตรกับมาตรฐานที่กำหนดว่ามีความ
สอดคลอ้ งกันหรอื ไม่ การประเมินของ Provus ให้ความสำคญั กับการคดิ อย่างเป็นระบบ โดยระบบจะ
เริ่มจากการตั้งคำถามแล้วนำไปสู่การกำหนดเกณฑ์ นำไปสู่การแสวงหาสารสนเทศที่เกี่ยวข้อง และ
นำไปส่กู ารตัดสนิ ใจ ดว้ ยการตอบคำถามที่ไดต้ งั้ ไวใ้ นขั้นตอนแรกดังแผนภาพต่อไปนี้

คาถาม เกณฑ์ สารสนเทศ การตดั สนิ ใจ
(Q) (C) (I) (D)
Question Critrtion
Information Decision

ภาพประกอบ 47 การประเมนิ โดยใช้การคิดอยา่ งเปน็ ระบบ
ที่มา (มารตุ พัฒผล, 2561, หนา้ 246)

7.5 รูปแบบการประเมินของ Hammond
Robert L. Hammond ได้เสนอรูปแบบประเมินหลักสูตรโดยมีจุดมุ่งหมายเพ่ือ

ตรวจสอบว่าหลักสูตรบรรลุเป้าประสงค์และวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่รวมทั้งการประเมิน
ประสิทธภิ าพของหลักสตู รท่ีกำลงั ดำเนินการใช้อยู่ในปัจจุบนั โดยเปรยี บเทียบขอ้ มลู เชิงพฤติกรรมกับ
จุดประสงค์โดยมุ่งเน้นการพัฒนาหลักสูตรและการเรียนการสอนที่อิงอยู่กับบริบทของสถานศึกษา
ชุมชนและท้องถิ่นโครงสร้างการประเมินหลักสูตรของ Hammond ประกอบด้วยการประเมินด้าน
ต่าง ๆ 3 มิติ ประกอบด้วย มิติด้านการเรียนการสอน มิติด้านสถาบัน และมิติด้านพฤติกรรม
ความสำเร็จของหลักสูตรขึ้นอยู่กับปฏิสัมพันธ์ระหว่างตัวแปรในมิติต่าง ๆ โดยแต่ละมิติจะมีตัวแปร
ยอ่ ยท่จี ะตอ้ งประเมินอีกหลายตวั แปร ดงั น้ี

ก) มิติด้านการเรียนการสอน ประกอบด้วย การจัดชั้นเรียน เนื้อหาสาระ วิธีการ
จัดการเรียนรู้ สง่ิ อำนวยความสะดวกต่าง ๆ และงบประมาณ

ข) มิติด้านสถาบัน ประกอบด้วย
- ผู้เรียน (อายุ เพศ ระดับชั้นที่กำลังศึกษา ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน สุขภาพกาย

และความเครียด ภมู หิ ลงั ทางครอบครัว)

107

- ผู้สอน (อายุ เพศ วุฒิสูงสุดทางการศึกษา ประสบการณ์การสอน เงินเดือน
กจิ กรรมท่ีทำเวลาว่าง การฝึกอบรมเพ่ิมเติมเกยี่ วกบั การใชห้ ลกั สูตร ความพึงพอใจในการปฏบิ ัตงิ าน)

- ผู้บริหาร (อายุ เพศ วุฒิสูงสุดทางการศึกษา ประสบการณ์ทางการบริหาร
เงนิ เดอื น ความพงึ พอใจในการปฏบิ ตั ิงานด้านวิชาการ ลักษณะทางบุคลกิ ภาพ การฝกึ อบรมเพม่ิ เตมิ )

- ผู้เชี่ยวชาญ (อายุ เพศ ความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ลักษณะของการให้คำปรึกษา
การช่วยเหลอื ลักษณะทางบคุ ลกิ ภาพ ความพงึ พอใจในการปฏบิ ัติงาน)

- ครอบครัว (สถานภาพการสมรส ขนาดครอบครัว รายได้ สถานที่อยู่ การศึกษา
การเป็นสมาชิกของสมาคม ชุมชน การโยกย้าย ระยะเวลาที่อยู่ในชุมชน จำนวนบุตรที่กำลังอยู่ใน
ระหว่างการศกึ ษา จำนวนญาติท่ีอยู่ร่วมสถานศึกษา)

- ชุมชน (สภาพชุมชน ด้านกายภาพ ประวัติความเป็นมาของชุมชน จำนวน
ประชากร การกระจายของอายุประชากร ความเชื่อ ค่านิยม ประเพณี ศาสนา วัฒนธรรม ลักษณะ
ทางเศรษฐกจิ สภาพการให้บริการทางสุขภาพอนามัย การรบั นวัตกรรมและเทคโนโลย)ี

ค) มิติด้านพฤตกิ รรม (behavioral dimension) มอี งคป์ ระกอบของพฤติกรรม
3 ดา้ น ได้แก่ ด้านการรคู้ ิด ด้านทักษะ และดา้ นเจตคติ

1. พฤติกรรมด้านการรู้คิด ได้แก่ ความจำ ความเข้าใจ การนำไปใช้ การวิเคราะห์
การสงั เคราะห์ การประเมินค่า และการสร้างสรรค์

2. พฤติกรรมด้านทักษะ ได้แก่ การกระทำทั้งหลายที่ใช้การประสานงานของ
ประสาทกลา้ มเนอื้ หรอื พฤติกรรมท่เี กยี่ วขอ้ งกบั การใชม้ ือและรา่ งกายปฏบิ ตั ิงานตา่ ง ๆ

3. พฤติกรรมด้านเจตคติ ได้แก่ พฤติกรรมที่เกี่ยวกับความสนใจ ความชอบ
ไม่ชอบ ทัศนคติ ความซาบซงึ้ และค่านยิ ม

การประเมนิ หลักสูตรของ Hammond เรม่ิ ดว้ ยการประเมนิ หลักสูตรที่กำลงั ดำเนินการใช้
อยู่ในปัจจุบนั แล้วทำการนิยามตัวแปรในแต่ละมิติ ต่อด้วยการกำหนดพฤติกรรมที่จะประเมนิ เพือ่ ให้
ได้ข้อมูลพื้นฐานอย่างเพียงพอสำหรับการประกอบการตัดสินใจ แล้วจึงกำหนดแนวทางขั้นตอนการ
เปลย่ี นแปลงหลักสูตร โดยการประเมนิ หลกั สตู รของ Hammond มีประเดน็ สำคญั ดังน้ี

1. การประเมินหลักสูตรที่กำลังใช้อยู่ โดยประเมินส่วนย่อย ๆ ของหลักสูตร เช่น
การประเมินเพยี งรายวชิ าหน่ึงของหลกั สูตร

2. นิยามลักษณะต่าง ๆ ของตัวแปร โดยอธิบายถึงตัวแปรต่าง ๆ ในมิติด้านการเรียน
การสอน มติ พิ ฤตกิ รรม และมติ ดิ ้านสถาบัน

3. กระบวนการประเมินหลักสูตรการก าหนดจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมโดยระบุ
พฤติกรรมที่ผู้เรียนแสดงออกด้วยการกระทำเพื่อบ่งถึงความสำเร็จ ตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้
สถานการณ์ที่ยอมรับผลของพฤติกรรมโดยการบรรยายให้ชัดเจนว่าผู้เรียนต้องแสดงพฤติกรรมได้ใน
ระดับใด

4. ประเมินพฤติกรรมที่ระบุไว้ในจุดประสงค์ ผลที่ได้จากการประเมินจะเป็นสิ่ง
กำหนดพจิ ารณาหลกั สูตรท่ีดำเนนิ การใช้อยเู่ พ่อื ตัดสินรวมทั้งการปรบั ปรุงหลกั สูตร

108
5. การวเิ คราะห์ผลภายในองคป์ ระกอบและความสัมพนั ธ์ระหวา่ งองคป์ ระกอบเพื่อให้

ได้ข้อสรุปตามสิ่งที่เกิดขึ้นจรงิ ในทางปฏิบัติ โดยนำไปตรวจสอบกับจุดประสงค์ที่กำหนดไว้เพื่อตัดสนิ
ประสิทธภิ าพของหลกั สตู รเก่ยี วกับการบรรลุผลถงึ ระดบั ทีค่ าดหวัง ดงั แผนภาพต่อไปน้ี

ภาพประกอบ 48 รูปแบบการประเมนิ ของ Hammond
ท่มี า: (Hammond, R.L, 1973 อ้างถงึ ใน มารุต พฒั ผล, 2561, หนา้ 251)

การบูรณาการการการนำหลกั สูตรไปใช้

ในการศึกษาเรื่องหลักสูตร การพัฒนาหลักสตู รและการประเมินหลักสูตร นั้นมีนักการศึกษา
นักวิจัยได้มีการพัฒนาหลักสูตรไปใช้ในการจัดการศึกษามากมายทั้ง ผู้เขียนขอนำเสนอตัวอย่างที่
นกั การศกึ ษานำหลกั สูตรต่างไปใช้จนเกิดประโยชน์และเป็นแบบอย่างในการพฒั นาหลักสูตรดังน้ี

1. การพัฒนาหลกั สตู รเพื่อใชก้ ารจัดการเรียนการสอนในช้นั เรยี นและใช้ประกอบการ
เรียนการสอนในรายวชิ า

บุญรอด ชาติยานนท์ (2561, หน้า 85-88) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาหลักสูตรบูรณา
การโดยเน้นโครงงานเป็นฐานรายวิชาเพิ่มเติม เรื่องการปลูกพืชไร้ดนิ สำหรับนักเรียนช้ันมัธยมศึกษา
ตอนต้น เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ประกอบด้วย เอกสารประกอบหลักสูตร (แผนการจัดการเรียนรู้

109

และเอกสารประกอบการเรียน) และแบบทดสอลวดั ผลสมั ฤทธิ์ทางการเรยี น โดยมกี ารพัฒนาหลักสูตร
ดังนี้ ศึกษาข้อมูลพื้นฐาน พัฒนาโครงร่างหลักสูตร การทดลองใช้หลักสูตร และการประเมินและการ
ปรับปรุงหลักสูตร ผลการวิจัย พบว่า ผลวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรบูรณาการโดยเน้นโครงงานเป็นฐาน
รายวิชาเพ่มิ เตมิ เร่ือง การปลกู พืชไรด้ ินสำหรับนักเรียนชน้ั มธั ยมศึกษาตอนต้น ประกอบดว้ ย แนวคิด
หลักการของหลักสูตรจุดมุ่งหมายของหลักสูตร เนื้อหาสาระหลักสูตร คำอธิบายรายวิชา โครงสร้าง
หลักสตู รรายวชิ า เวลาเรยี นส่อื และแหล่งการเรยี นรู้ การวดั และประเมนิ ผลหลักสตู ร มคี วามเหมาะสม
อยู่ในระดับมาก ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของนักเรียนหลังเรียนด้วยหลักสูตรบูรณาการโดยเน้น
โครงงานเป็นฐานรายวิชาเพิ่มเดิม เรื่อง การปลูกพืชไร้ดิน สำหรับนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น
สูงกวา่ ก่อนเรียนอยา่ งมนี ยั สำคญั ทางสถติ ทิ รี่ ะดบั .05

โชติกา กุณสิทธิ์ (2563, หน้า 384-388) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม
เสริมสร้างสมรรถนะการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดการใช้สมองเป็นฐาน
สำหรับครูปฐมวัย สังกัดสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา เครื่องมือที่ใช้ในการศึกษา ได้แก่ เอกสาร
หลักสูตรฝึกอบรม คู่มือประกอบการใช้หลักสูตรฝึกอบรม แบบสอบถามสภาพความคาดหวังและ
สภาพทีม่ อี ยู่จริงเกี่ยวกบั สมรรถนะดา้ นการจัดประสบการณ์การเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ตามแนวคิดการใช้
สมองเป็นฐาน แบบทดสอบสมรรถนะด้านความรู้ แบบประเมินสมรรถนะด้านทักษะ แบบวัด
สมรรถนะด้านคุณลักษณะ และแบบสอบถามความพึงพอใจ การดำเนินการศึกษาแบ่งออกเป็น 3
ขนั้ ตอน ได้แก่ 1) ศกึ ษาขอ้ มลู พื้นฐานเกยี่ วกบั สมรรถนะ 2) พฒั นาหลักสตู รฝึกอบรม 3) ทดลองและ
ศึกษาผลการทดลองใช้หลักสูตร ผลการศึกษาพบว่า 1) หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีองค์ประกอบ ดังนี้
1) ความเป็นมา 2) หลักการ 3) จุดมุ่งหมาย 4) สมรรถนะสำคัญ 5) โครงสร้างเนื้อหา 6) กิจกรรม
การฝึกอบรม 7) สื่อและแหล่งเรียนรู้ และ 8) การวัดผลและประเมินผล โดยที่สมรรถนะสำคัญ
แบง่ เป็น 3 ดา้ น คอื 1) ดา้ นความรู้ 5 สมรรถนะ 25 ตวั บง่ ช้ี 2) ดา้ นทกั ษะ 2 สมรรถนะ 4 ตัวบ่งช้ี
และ 3) ด้านคุณลกั ษณะ 3 สมรรถนะ 6 ตัวบ่งช้ี โครงสร้างเนื้อหามี 6 หน่วยการเรยี นรู้ คือ 1) การ
จดั ประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์สำหรับเด็กปฐมวัย 2) การเรียนรู้โดยใช้สมองเป็นฐาน 3) สื่อ
แหล่งเรียนรู้ และสภาพแวดล้อมในการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดการใช้
สมองเป็นฐาน 4) การวัดและประเมินพัฒนาการของเด็กปฐมวัย 5) การออกแบบและการจัดท า
แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้วิทยาศาสตร์ตามแนวคิดการใช้สมองเป็นฐาน และ 6) การนำ
แผนการจัดประสบการณ์การเรียนรู้สู่การปฏิบัติในสถานศึกษา กิจกรรมการฝึกอบรม มี 4 ขั้นตอน
คือ 1) ขั้นประสบการณ์ 2) ขั้นการสะท้อนและอภิปราย 3) ขั้นความคิดรวบยอด และ4) ขั้นการ
ประยุกต์ใช้แนวคิด 2) ผลการทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม พบว่า 1) สมรรถนะด้านความรู้ของครู
หลงั การฝกึ อบรมสูงกว่าก่อนการฝกึ อบรม และสูงกว่าเกณฑท์ ่ีต้งั ไว้ท่ีร้อยละ 80 อยา่ งมีนัยสำคัญทาง
สถิติที่ระดับ .05 2) สมรรถนะด้านทักษะของครูที่ได้รับการฝึกอบรมอยู่ในระดับดีมาก และสูงกว่า
เกณฑ์ที่ตั้งไว้ อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 และ 3) สมรรถนะด้านคุณลักษณะของครูหลัง
การฝึกอบรมสูงกว่ากอ่ นการฝึกอบรม อยา่ งมีนัยสำคัญทางสถิตทิ ่รี ะดับ .05 นอกจากนัน้ ครยู ังมีความ
พงึ พอใจต่อการใชห้ ลกั สูตรฝกึ อบรมอยู่ในระดับมากที่สุด

110

2. การพฒั นาหลกั สูตรเพ่ือใชใ้ นการพัฒนาครผู ้สู อนในดา้ นการจัดการศกึ ษา
ขวัญจิรา โสภณ (2563, หน้า 137-143) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม

การสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับครูผู้สอน เครื่องมือที่ใช้ในงานวิจัย ประกอบด้วย หลักสูตร
ฝึกอบรมการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ แบบทดสอบความรู้ความเข้าใจการสร้างหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ แบบประเมินทักษะการปฏิบัติงาน และแบบประเมินความพึงพอใจ ผลการวิจัยพบวา่
1) หลักสูตรฝึกอบรมการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ สำหรับครูมี 5 องค์ประกอบหลัก ได้แก่
1) หลักการและเหตุผล 2) จุดมุ่งหมาย 3) โครงสร้างเนื้อหา 4) กิจกรรมการฝึกอบรม และ
5) การวัดและประเมินผล 2) ผลการศึกษาประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการสร้างหนังสือ
อิเล็กทรอนิกส์ สำหรับครู พบว่า 1) ความรู้ความเข้าใจหลังการอบรมสูงกว่าก่อนการอบรม
อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ทักษะการปฏิบัติการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกสข์ องครู อยู่
ในระดับดีมาก และ 3) ความพึงพอใจของครูท่ีมีต่อหลักสูตรฝึกอบรมการสร้างหนังสืออิเล็กทรอนิกส์
อยู่ในระดับมากทส่ี ดุ

เจษฎา ทองกนั ทม (2562, หน้า 153-155) ไดศ้ ึกษา การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมการ
จัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา สำหรับครูผู้สอนโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา
การดำเนินการวิจัยแบ่งออกเป็น 2 ระยะ ประกอบด้วย ระยะที่ 1 การพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม
มี 2 ขน้ั ตอน ประกอบด้วย 1.1) การศึกษาขอ้ มลู พ้ืนฐาน แนวคดิ ทฤษฎแี ละงานวิจยั ท่ีเกย่ี วข้อง และ
1.2) การสร้างและพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรม และระยะที่ 2 การประเมินประสิทธิภาพ และ
การปรับปรุงหลักสูตร มี 2 ขั้นตอน ประกอบด้วย 2.1) การทดลองใช้หลักสูตรฝึกอบรม 2.2) การ
ประเมินผลและการปรับปรุงหลักสูตรฝึกอบรม ผลการวิจัยพบว่า 1) หลักสูตรฝึกอบรมการจัดการ
เรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษาสำหรับครูโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษามี 5 องค์ประกอบหลัก
ได้แก่ 1) หลักการและเหตุผล 2) จุดมุ่งหมายของหลักสูตร 3) โครงสร้างเนื้อหา 4) กิจกรรมการ
ฝึกอบรมและ 5) การวัดและประเมินผล และ 2) ประสิทธิภาพของหลักสูตรฝึกอบรมการจัดการ
เรียนรตู้ ามแนวทางสะเต็มศึกษาสำหรับครูโรงเรียนขยายโอกาสทางการศึกษา พบวา่ 1) ความรู้ความ
เข้าใจเกี่ยวกับการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา หลังฝึกอบรมสูงกว่าก่อนฝึกอบรมอย่างมี
นัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .01 2) ทักษะการปฏิบัติงานการจัดการเรียนรู้ตามแนวทางสะเต็มศึกษา
ของครูอยูใ่ นระดับดีมาก และ 3) ความพึงพอใจของครูที่มตี ่อหลักสูตรฝึกอบรมการจัดการเรียนรู้ตาม
แนวทางสะเตม็ ศึกษาอยใู่ นระดบั มากที่สุด

ผู้เขียนได้นำเสนอการบูรณาการ 2 ลักษณะ คือ 1) การพัฒนาหลักสูตรเพื่อใช้การจัดการ
เรียนการสอนในชั้นเรียนและใช้ประกอบการเรียนการสอนในรายวิชา 2) การพัฒนาหลักสูตรเพื่อใช้
ในการพัฒนาครูผู้สอนในด้านการจัดการศึกษา ซึ่งในการพัฒนาหลักสูตรนี้มีลักษณะการพัฒนาท่ี
เหมือนกันดังนี้ ผู้ศึกษามีการพัฒนาหลักสูตรโดยการออกแบบหลักสูตรโดยศึกษาองค์ประกอบของ
หลกั สตู รว่าประกอบดว้ ยอะไรบา้ ง ซ่งึ โดยส่วนใหญ่ ประกอบด้วย ความเป็นมา/หลักการ จดุ มุงหมาย/
วัตถุประสงค์ เนื้อหาที่ใชการสอน/หน่วยการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน/กระบวนการสอน/
วิธีการสอน/ขั้นตอนการสอน สื่อ/วัสดุ/อุปกรณ์/แหล่งเรียนรู้ และการวัดผลประเมินผล เป็นตต้น
นอกน้นั กจ็ ะมี แผนการสอน แบบทดสอบวดั ผลสมั ฤทธ์ิทางการเรียน แบบประเมนิ ทักษะ/พฤติกรรม/
สังเกต และแบบสอบถามความพึงพอใจ/วัดเจตคติ เป็นต้น ซึ่งองค์ประกอบเหล่านี้ ผู้วิจัยมักจะใช้

111

เรียกว่าเครื่องมือการวิจัย จำเป็นอย่างยิ่งที่เครื่องเหล่านี้ตอ้ งหาคุณภาพ/ประสิทธิภาพก่อนการนำไป
ทดลองใชก้ ับกล่มุ ตวั อยา่ งในการวจิ ัย ซง่ึ ในการออกแบบการกาคณุ ภาพของเครื่องมือ ผู้วิจัยสร้างแบบ
ประเมินต่างๆ เพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญหรือผู้ทรงคุณวุฒิตรวยสอบคุณภาพให้เสียก่อน แล้วนำไปทลองใช้
จรงิ

สิ่งหนึ่งที่นักพัฒนาหลักสูตรจะต้องหนักเป็นสำคัญในการสร้างหลักสูตรคือ หลักสูตรน้ัน
พัฒนาใคร หลกั สูตรนน้ั เหมาะสมกับกับวยั ความสามารถและศักยภาพของผใู้ ช้หลักสูตรหรือไม่ อีกท้ัง
ในการพัฒนาหลักสูตรควรคำนึงถึงเนื้อหา การวัดผลประเมินผล และผู้นำหลักสูตรไปทดลองใช้นั้นมี
ความสามารถและมีความเชี่ยวชาญในเนื้อหาสาระนั้นเป็นพิเศษด้วยจึงจะนำพาหลักสูตรที่สร้างข้ึน
เกดิ ประสทิ ธิภาและประสิทธิผลทีย่ ั้งยนื

บทสรุป

หลักสูตร หมายถึงมวลประสบการณ์ที่ผู้บริหาร ครู และผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องร่วมกันจัดขึ้น
เพือ่ ใหผ้ ู้เรยี นเกิดคณุ ภาพ โดยพฒั นาผเู้ รียนทั้งดา้ นสตปิ ัญญา ดา้ นเจตคติ และคุณลักษณะอันพึงประ
สงค ตามความมุ่งหมายที่กำหนดไว้ ซึ่งมวลประสบการณ์ดังกล่าวได้แก่ เอกสารหลักสูตร หนังสือ
ตำรา คู่มอื การสอน ระบบการเรยี นการสอนและกิจกรรมการเรียนการสอนต่าง ๆ เปน็ ตน้

ความสำคัญของหลักสูตร เมื่อมนุษย์ได้รับการศึกษาแล้วจะสามารถพัฒนาตนให้มีคุณภาพ
ชวี ติ ตามประสบการณ์ท่ีไดร้ ับเป็นผู้มีคุณธรรม จริยธรรม ดำรงตนอยู่ในสังคมอย่างเข้มแข็ง นำความรู้
ความสามารถของตนเองพัฒนาประเทศได้เจริญก้าวหน้า และยังมีความสำคัญต่อการสอน เพราะ
หลกั สตู รเปน็ ตัวกำหนดการจัดการศกึ ษาทุกระดบั เพื่อใหผ้ ้เู รยี นไดบ้ รรลุผลตามสง่ิ ที่คาดหวงั

องคป์ ระกอบของหลักสูตร ประกอบดว้ ย ประกอบด้วย 1) จุดมุ่งหมายของหลกั สูตร หมายถึง
คุณภาพหรือผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วยความรู้ ทักษะกระบวนการเรียนรู้ และคุณธรรม
จริยธรรมหรอื คุณลักษณะพึงประสงค์ 2) เน้อื หาสาระ หมายถึง สาระการเรยี นรู้รวมทั้งประสบการณ์
ต่าง ๆ ที่ผู้เรียนต้องเรียนรู้ 3) การจัดการเรียนรู้หรือกิจกรรมการเรียนรู้ หมายถึง กระบวนการใช้
หลักสูตร หรอื ขัน้ ตอนการจัดกจิ กรรมของครู 4.สือ่ กาเรยี นรู้ หมายถงึ วัสดุ อปุ กรณ์ แหลง่ เรยี นรู้ ท่ีใช้
ในหลักสตู ร และ4) การวดั และประเมนิ ผล หมายถงึ กระบวนการตรวจสอบและประเมินคุณภาพของ
ผู้เรียนภายหลังการจัดการเรยี นรู้

การพัฒนาหลักสูตรมีความหมาย 2 นัย คือ การทำหลักสูตรที่มีอยู่แล้วให้ดีขึ้น เรียกว่าการ
ปรับปรุงหลักสูตร และการสร้างหลักสูตรขึ้นมาใหม่ โดยไม่มีหลักสูตรเดิมอยู่เลย คำศัพท์ที่มีความ
ใกล้เคียงกับการพัฒนาหลักสูตร ไดแ้ ก่ การออกแบบหลักสูตร การสรา้ งหลักสตู รการวางแผนหลักสูตร
การจัดหลักสตู ร การจดั การหลักสูตร การวเิ คราะหห์ ลกั สตู ร และการปรับปรุงหลกั สูตร

การประเมินหรอื การประเมินผล (evaluation) หมายถึง กระบวนการรวบรวมและวิเคราะห์
ข้อมูลเพื่อการตัดสนิ ใจดำเนนิ การเพื่อส่งิ ใดสิ่งหน่งึ และยังมีความหมายเก่ียวเน่ืองกับคำอ่ืนๆ อีก เช่น
การวิจัย (research) การวัดผล (measurement) การประเมินตรวจสอบ (appraisal) การ
ควบคมุ ดูแล (monitoring) การประมาณการ (assessment) การพจิ ารณาตัดสนิ (judgement)

112

113

บทที่ 5

การพฒั นาหลกั สูตรสถานศกึ ษา

บทนำ

สถานศึกษามีภารกิจหลักในการจัดการศึกษาให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาอย่างเต็มตาม
ศกั ยภาพ สถานศึกษาจงึ มีบทบาทสำคญั ในการจัดทำหลกั สตู รสถานศึกษา และดำเนินการนำหลักสูตร
สู่การปฏิบัติในการจัดการเรียนการสอนในชั้นเรียนอย่างมีประสิทธิภาพ โดยต้องสร้างความมั่นใจต่อ
พ่อแม่ผู้ปกครอง และชุมชนว่า ผู้เรียนจะมีคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้/ตัวชี้วัด และเกิด
สมรรถนะสำคัญตลอดจนมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์ตามที่กำหนดไว้ในหลักสูตร เพื่อให้บรรลุ
เจตนารมณ์ดังกล่าว สถานศึกษาจะต้องออกแบบหลักสูตรใหค้ รอบคลมุ ส่วนที่เป็นหลกั สูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน ตามที่กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้ เพื่อพัฒนาผู้เรียนให้บรรลุถึงคุณภาพ
ตามมาตรฐาน อันเป็นความคาดหวงั ท่ีกำหนดไว้ร่วมกนั ในการพัฒนาเยาชนทุกคนในชาติ

สถานศึกษาเป็นหน่วยงานทีจ่ ัดการศึกษาเป็นแหล่งของการแสวงหาความรูจ้ ึงต้องมีหลักสตู ร
เป็นของตนเอง คือหลักสูตรสถานศึกษาต้องครอบคลุมภาระงานการจัดการศึกษาทุกด้านหลักสูตร
สถานศึกษาจึงประกอบด้วยการเรยี นรูท้ ง้ั มวลเปน็ ประสบการณ์อืน่ ๆ ทส่ี ถานศกึ ษาแต่ละแห่งวางแผน
เพื่อพัฒนาผู้เรียนซึ่งเกิดจากการมีส่วนร่วมของบุคลากรและผู้เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก
สถานศึกษาและเป็นหัวใจสำคัญสำหรับการจัดการศึกษาให้มีคุณภาพ ผู้เรียนมี คุณลักษณะอันพึง
ประสงค์การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาต้องใช้ความร่วมมือ ร่วมใจของบุคคล ที่เกี่ยวข้อง
ทุกฝ่ายทั้งผู้ บริหาร ครูผู้ปกครอง ชุมชน ตลอดจนตัวผู้เรียน ส่วนการใช้ หลักสูตร สถานศึกษาก็
จะต้องมีระบบการควบคุมคุณภาพในด้านการจัดการเรียนรู้ และกระบวนการวัดและ ประเมินผล
ผู้เรียนให้เป็นไปตามที่หลักสูตรสถานศึกษากำหนดไว้สุดท้ายคือการประเมินหลักสูตร สถานศึกษา
ที่ต้องดำเนินการอย่างต่อเนื่องเป็นระบบครบวงจรและนำผลการประเมินมาปรับปรุง และพัฒนา
หลักสตู รสถานศกึ ษาใหม้ คี ณุ ภาพมากยงิ่ ขนึ้

ผู้เขยี นได้ศกึ ษาขอมูลเก่ียวกับ การพฒั นาหลกั สตู รสถานศกึ ษา เพอ่ื เป็นแนวทางในการปฏิบัติ
และสร้างหลักสูตรสถานศึกษาที่ถูกต้องเป็นไปตามขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร โดยมีเนื้อหาการ
นำเสนอดังต่อไปนี้ 1) พัฒนาการหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทย 2) แนวคิดในการพัฒนา
หลักสูตรสถานศึกษา 3) กระบวนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา 4) การบริหารจัดการหลักสูตร
สถานศึกษา 5) การกำกับดูแลคุณภาพระดับสถานศึกษา และ6) การบูรณาการพัฒนาหลักสูตร
สถานศกึ ษาไปใช้

พฒั นาการหลกั สูตรการศึกษาขน้ั พ้ืนฐานของไทย

ตงั้ แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงปรบั ปรุงระบบการจดั การศึกษา โดยการ
ผสมผสานจัดตั้งโรงเรียนขึ้นเพื่อจัดการเรียนการสอนจากเดิมที่ใช้วัง วัดและบ้านสำหรับการจัด
การศึกษาการปรับปรุงระบบการจัดการศึกษาไทยในระยะแรกโดยประกาศใช้แผนการศึกษาและ

114
แผนการศึกษาแหง่ ชาติ ซง่ึ มีจุดหมายเพอ่ื การจดั การศกึ ษาสำหรบั สรรหาบุคคลเข้ามารับราชการ และ
เพื่อใช้การศึกษาเป็นปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาประเทศ ด้วยเหตุนี้ระบบการจัดการศึกษาจึงถูก
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงมาโดยตลอด ทั้งนี้เพื่อให้การจัดการศึกษาสอดคล้องกับสภาวะของสังคมตาม
ยุคสมัย หลักสูตรการศกึ ษาขน้ั พ้นื ฐานของไทยจึงถูกปรับปรงุ เปลย่ี นแปลงใหส้ อดคล้องกับสภาวการณ์
ของสังคม และมีชื่อเรียกแตกต่างกันตามยคุ สมัย สำหรับในตำราเล่มนีจ้ ะกลา่ วถึงเฉพาะเหตุการณ์ 2
ช่วงระยะเวลา คือ ก่อนประกาศใช้พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติพ.ศ.2542 (พ.ศ.2503 –
2543) และหลังประกาศใช้พระราชบัญญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติพ.ศ.2542 (พ.ศ.2544 – ปจั จบุ นั )

การพฒั นาการหลกั สตู รการศึกษาของประเทศไทยจากอดีตสปู่ จั จบุ นั ดงั ภาพประกอบ และมี
รายละเอยี ดดังตอ่ ไปน้ี

ภาพประกอบ 49 หลักสตู รการศกึ ษาของประเทศไทยจากอดตี สปู่ จั จบุ นั
ทม่ี า (วฒั นาพานิช สำราญราษฎร์ (วพ.), 2561, หนา้ 3)

1. กอ่ นประกาศใช้พระราชบญั ญตั ิการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 (พ.ศ.2503–2543)
หลักสตู รพุทธศักราช 2503

พุทธศักราช 2503 กระทรวงศึกษาธิการ ได้ปรับปรุงหลักสูตรทุกระดับให้สอดคล้องกบั
แผนการศึกษาชาติที่ปรับปรุงใหม่ เรียกว่า หลักสูตรพุทธศักราช 2503 แบ่งเป็น 4 ฉบับ คือ
หลักสูตร ประโยคประถมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2503 ใช้เวลาเรียน 4 ปี หลักสูตรประโยค
ประถมศึกษา ตอนปลาย พุทธศักราช 2503 ใช้เวลาเรียน 3 ปีเพื่อเตรียมการขยายการศึกษาภาค
บังคับเป็น 7 ปี หลักสูตรประโยคมัธยมศกึ ษาตอนต้น พุทธศักราช 2503 (ม.ศ.1 – 2 – 3) ใช้เวลา
เรียน 3 ปีและ หลักสูตรประโยคมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2503 (ม.ศ.4 – 5 – 6)
ใช้เวลาเรียน 3 ปีผู้จบหลักสูตรแต่ละประโยค สามารถทำงานและดำรงชีวิตอยู่ได้พอสมควรตาม

115

อัตภาพ หลักสูตรนี้พัฒนาบนฐานความต้องการของสังคมไทย ที่ได้รับอิทธิพลจากตะวันตก
คอ่ นข้างมาก

รูปแบบของการจัดหลักสูตรได้รับการพัฒนาให้มีลักษณะกว้าง เนื้อหามีการผสมผสาน
บูรณาการกันมากขึ้น โดยรวมวิชาต่าง ๆ ที่มีเนื้อหาใกล้เคียงกันเข้าเป็นหมวดวิชา กำหนดความ
มุ่งหมายไว้ครบตั้งแต่ระดับชาติระดับหลักสูตร ระดับหมวดวิชา และระดับรายวิชา ความมุ่งหมายใน
ระดับชาติมุ่งให้ทุกคนได้รับการศึกษาตามควรแก่อัตภาพเพื่อเป็นพลเมืองดี มีความรู้ความสามารถท่ี
จะประกอบอาชีพและทำคุณประโยชนแ์ ก่ประเทศชาติโดยเนน้ ความสำคัญด้านพุทธิศึกษา จริยศึกษา
พลศึกษาและหตั ถศกึ ษา

หลักสูตรพุทธศักราช 2503 ใช้อยู่ประมาณ 15 ปี โดยที่รัฐบาลมีแนวโน้มสามารถให้
การศึกษาภาคบังคับได้เพียง 6 ปีจึงต้องปรับระบบการศึกษา ประถมศึกษาเป็น 6 ปีและนำรายงาน
ผลการวิจัยหลักสูตร 2503 จากหน่วยงาน และผลสัมฤทธิ์ในการเรียนวิชาต่าง ๆ ค้นหาข้อดีและ
ขอ้ ควรปรับปรุง

ปี พ.ศ.2517 คณะกรรมการวางพื้นฐานเพื่อการปฏิรูปการศึกษาและคณะอนุกรรมการ
วิเคราะห์หลักสูตร ได้เสนอผลการวิเคราะห์หลักสูตร 2503 โดยมีข้อเสนอให้ปรับระบบการศึกษา
จากเดมิ 4: 3 : 2 เป็น 6 : 3 : 3 ซงึ่ เปน็ การเปลี่ยนทั้งโครงสร้างหลกั สูตร เนอ้ื หาสาระ กระบวนการ
เรียนการสอน และการประเมินผล เนื่องจากเห็นว่าหลักสูตรมัธยมศึกษา 2503 มีเนื้อหาเน้นหนัก
ทางดา้ นสามญั ทำ ให้เด็กมุ่งเรยี นเพ่อื ศกึ ษาต่อ ไมส่ ามารถนำความร้ไู ปประกอบ อาชพี ตามความถนัด
และความสนใจได้ จึงได้พิจารณาปรับหลักสูตรระดับมัธยมศึกษาตอนปลายใน ปีพ.ศ. 2518 และ
ประกาศใชใ้ นปี 2521

หลักสตู รการศกึ ษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2521 และ 2524
ในระหว่างปีพ.ศ. 2517 – 2520 คณะอนกุ รรมการปรับปรุงหลักสูตร ได้ดำเนินการ

ปรับปรุงหลกั สูตรตามแผนการศึกษาแหง่ ชาติพุทธศักราช 2520 โดยปรบั ระบบการศึกษา เป็นระดับ
ประถมศึกษา 6 ปีมัธยมศึกษาตอนต้น 3 ปีและมัธยมศึกษาตอนปลาย 3 ปีโดยกำหนดให้ระดับ
ประถมศึกษา เป็นการศึกษาภาคบังคับ พร้อมทั้งประกาศใช้หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช
2521 หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น พุทธศักราช 2521 และหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย
พุทธศักราช 2524

ในระยะ 10 ปี ของการใช้หลักสูตรพุทธศักราช 2521 และพุทธศักราช 2524
ในโรงเรียน กรมวิชาการได้มีการติดตามและประเมินผลการใช้หลักสูตรทั้ง 3 ระดับโดยตลอด พบว่า
หลักสูตรทั้ง 3 ระดับ มีปัญหาในทางปฏิบัติ กล่าวคือ กระบวนการของหลักสูตรขาดปัจจัยที่
เอ้ืออำนวยต่อการเปล่ียนแปลงอยา่ งรวดเร็ว และความจำเป็นของสังคมโดยสว่ นรวม โดยเฉพาะอย่าง
ยิ่งในการพัฒนาคนให้สามารถพึ่งตนเองได้ และการนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาใช้ในการพัฒนา
คุณภาพชีวิต ซึ่งโครงสร้างของหลักสูตรบางส่วนยังไม่สอดคล้องกับสภาพความต้องการทางด้าน
เศรษฐกิจและสังคมของประเทศ เนื่องจากจุดหมายของหลักสูตรที่กำ หนดไว้มากเกินไป และบางข้อ
ไม่ชัดเจน อีกทั้งการนำหลักสูตรไปใช้ในการบริหารไม่สามารถจัดกิจกรรมการบริหารภายในได้
ครบถ้วน ผลการใช้หลักสตู ร พบวา่ นักเรยี นมคี วามรู้และทกั ษะพืน้ ฐานไม่เพียงพอกบั การดำรงชวี ิต

116

หลกั สตู รการศึกษาข้ันพ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2521 (ฉบับปรบั ปรงุ พ.ศ. 2533)
ปี พ.ศ. 2533 กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับปรุงหลักสูตรทั้ง 3 ระดับ เพื่อให้สนอง

แผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ โดยเฉพาะการเตรียมการขยายการศึกษาภาคบังคับเป็น 9 ปี โดยมี
เป้าหมายให้ผู้เรียนสามารถพัฒนาตน และรู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงของสังคม สามารถลงมือทำ
ประโยชน์ให้สังคมตามความสามารถของตน โดยยังคงโครงสร้างของหลักสูตรเป็นมวลประสบการณ์
5 กลุ่ม เหมือนหลักสูตร 2521 และประกาศใช้หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521
(ฉบบั ปรบั ปรงุ พ.ศ. 2533) หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนตน้ 2521 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2533) และ
หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช 2524 (ฉบับปรับปรุง 2533) ในโรงเรียนร่วมพัฒนา
หลกั สูตร และใชใ้ นโรงเรียนทว่ั ประเทศในปีการศกึ ษา 2534 หลกั สตู รปรบั ปรงุ พ.ศ. 2533 นี้ยังคง
ใช้โครงสร้างหลักสูตรเดิม แต่เน้นที่การจัดหลักสูตรให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการใน
ท้องถิ่นให้มากขึ้น และให้โรงเรียนจัดการเรียนการสอนโดยใช้ทักษะกระบวนการ 9 ประการ
ในทุกกลุ่มประสบการณ์ทุกวิชา และทุกระดับชั้น ส่วนหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย พุทธศักราช
2524 (ฉบับปรับปรุง 2533) โครงสร้างแบ่งเป็นวิชาแกนบังคับ บังคับเลือก และเลือกเสรี เหมือน
มัธยมศึกษาตอนต้น โดยมีวิชาต่าง ๆ 9 วิชา คือ ภาษาไทย สังคมศึกษา พลานามัย วิทยาศาสตร์
พ้นื ฐานวชิ าชีพ คณติ ศาสตรภ์ าษาต่างประเทศ ศิลปะ และอาชพี

กล่าวได้วา่ หลักสูตรฉบับปรบั ปรุง พ.ศ. 2533 ทั้ง 3 ระดับ มีความเหมาะสมในการ
พฒั นา ผ้เู รียนมากกวา่ หลักสูตรฉบับก่อนๆ เป็นหลกั สตู รทีไ่ ด้รบั การพัฒนาโดยใช้การจดั การเรียนการ
สอนท่ีเน้นทักษะกระบวนการให้นักเรียนได้รับประสบการณ์ครบทั้งด้านความรู้ด้านทักษะ
กระบวนการ และด้านเจตคติคา่ นยิ มทพ่ี ึงประสงคห์ ลักสูตรท้ัง 3 ฉบับนถี้ กู ใชเ้ ปน็ เวลาเกอื บ 10 ปี

2. ระยะหลังประกาศใช้พระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ.2542 (พ.ศ.2544–
ปจั จุบนั )

ในปี 2540 มีการประกาศใช้รฐั ธรรมนญู แห่งราชอาณาจกั รไทย พทุ ธศกั ราช 2540 ที่มี
สาระสำคญั ของการกระจายอำ นาจจดั การศึกษาสู่ท้องถิ่นอย่างแท้จริง ซง่ึ เปน็ กฎหมายสำคัญนำไปสู่
การกำหนดพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พุทธศักราช 2542 และการพัฒนาหลักสูตรการ
ศึกษาขั้นพื้นฐาน กล่าวคือ พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติกำหนดไว้อย่างชัดเจนในเรื่องหลักการ
ในการจัดการศึกษาและการจัดกระบวนการเรียนรู้ท่ีให้ผู้เรียนทุกคนมีความสามารถเรียนรู้และพัฒนา
ตนเองได้ และถือวา่ ผเู้ รยี นมีความสำคญั ท่ีสดุ กระบวนการจดั การศึกษาต้องส่งเสรมิ ใหผ้ ู้เรียนสามารถ
พัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ ซึ่งนำไปสู่การพัฒนาหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศกั ราช 2544 ทใี่ ห้สว่ นกลางคือ คณะกรรมการการศึกษาข้ันพ้นื ฐานเป็นผู้กำหนดหลักสูตรแกน
กลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน และให้สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทำสาระของหลักสูตรในส่วนที่
เกี่ยวกับสภาพปัญหาในชุมชนและสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น คุณลักษณะที่พึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิก
ที่ ดขี องครอบครัว ชุมชน และประเทศชาติ

การพัฒนาหลกั สูตรขนั้ พื้นฐาน พุทธศกั ราช 2544 มกี ารดำเนนิ การเปน็ 3 ชว่ ง คือ
ช่วงที่ 1 จัดทำกรอบแนวคิดการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ยกร่างหลักสูตร และจัดทำ

เอกสารประกอบ เช่น คู่มือ กลุ่มสาระการเรียนรู้คู่มือการจัดกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน ช่วงที่ 2 รับฟัง
ความคิดเห็นจากผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกกลุ่ม อาชีพ ทั่วประเทศ

117

ทั้งกลุ่มเป้าหมายทั่วไปและเจาะลึกกลุ่มเป้าหมาย เช่น นักการศึกษา ครูผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิ
ผูป้ กครอง นกั เรียน และสื่อมวลชน

ช่วงที่ 3 ส่งเสริม สนับสนุน ให้ท้องถิ่น/สถานศึกษา สามารถพัฒนาหลักสูตรและ
จดั การ เรยี นรตู้ ามเจตนารมณ์ของหลักสูตรได้อยา่ งมปี ระสทิ ธภิ าพ กระทรวงศึกษาธกิ ารไดป้ ระกาศใช้
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ.2544 ให้ใช้ใน
โรงเรียนนำ ร่องและโรงเรียนเครือข่ายในปีการศึกษา 2545 และในโรงเรียนทั่วประเทศใน
ปีการศกึ ษา 2546 โดยทยอยใชป้ ลี ะ 4 ช้นั จนครบ 12 ชนั้

หลักสูตรการศกึ ษาขัน้ พ้ืนฐาน พทุ ธศักราช 2544
สาระสำคญั ของหลักสูตรการศกึ ษาข้ันพนื้ ฐาน พุทธศกั ราช 2544 โดยสรปุ คอื
1. เป็นหลักสูตรแกนกลางระดับชาติ ครอบคลุมการศึกษานอกระบบ และการศึกษา

ตามอัธยาศัยเพื่อความเป็นเอกภาพ แต่มีความหลากหลายในทางปฏิบัติ โดยมีการเทียบโอนผล
การเรยี นระหวา่ งการศกึ ษาทกุ ระบบ

2. เป็นหลักสูตรต่อเนื่อง 12 ปีตั้งแต่ระดับประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย
แบ่งเป็น 4 ช่วงชั้น ช่วงชั้นละ 3 ปีคือ ช่วงชั้นที่ 1 (ป.1-3) ช่วงชั้นที่ 2 (ป.4 – 6) ช่วงชั้นที่ 3
(ม.1 – 3) และช่วงชั้นที่ 4 (ม.4 – 6) เพื่อให้มีความยืดหยุ่นในการถ่ายโอนการศึกษาทุกระบบ
และ สามารถให้เรียนรไู้ ดต้ อ่ เน่ืองตลอดชีวติ

3. เป็นหลักสูตรที่ใช้มาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนให้มี
คุณลักษณะที่พึงประสงค์มีคุณภาพทั้งด้านความรู้ทักษะ เจตคติและคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม
โดย กำหนดไวท้ ้ังมาตรฐานการเรียนรู้เมอ่ื จบการศกึ ษาขั้นพ้นื ฐาน 12 ปี และมาตรฐานการเรยี นรู้เม่ือ
จบ การศกึ ษาแต่ละชว่ งช้ัน

4. การจัดโครงสรา้ งของหลกั สูตร กำหนดโครงสรา้ งเดยี วตลอด 12 ปปี ระกอบดว้ ย 8
กลุ่มสาระการเรียนรู้คือ ภาษาไทย คณิตศาสตร์วิทยาศาสตร์สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม
สขุ ศกึ ษาและพลศึกษา ศลิ ปะ การงานอาชีพและเทคโนโลยีและภาษาต่างประเทศ

5. การจดั กจิ กรรม กำหนดให้กจิ กรรมพฒั นาผู้เรียนเป็นสว่ นหน่ึงท่ีสำคัญในโครงสร้าง
หลักสตู ร ให้เอ้ือตอ่ การเรียนรใู้ น 8 กลมุ่ สาระ ใหก้ วา้ งขวาง ขณะเดียวกนั เปน็ การเสรมิ สรา้ งให้ผู้เรียน
รจู้ กั ตนเอง เห็นคณุ คา่ ของตนเอง ได้พฒั นาทกั ษะชวี ิต พฒั นาความสามารถความถนัดของตนเองและ
ผูเ้ รยี นสามารถเลอื กทำกิจกรรมทห่ี ลากหลาย ทั้งทคี่ ดิ เอง และรว่ มกิจกรรมท่ีจดั ให้

6. การกำหนดเวลาเรียน เปิดโอกาสให้สถานศึกษากำหนดเวลาเรียนได้เอง ตามวิสัย
ทัศน์และเป้าหมายการพัฒนาผู้เรียน โดยที่ส่วนกลางจะกำหนดเวลาเรียนไว้เป็นกรอบกว้าง ๆ คือ
ระดบั ประถมศกึ ษา ช่วงชน้ั ท่ี 1 และชว่ งช้ันท่ี 2 กำหนดเวลาเรียนไวป้ ีละ 800–1,000 ช่วั โมง หรือ
ประมาณวนั ละ 4–5 ช่วั โมง ระดับมัธยมศกึ ษา ช่วงชน้ั ที่ 3 กำหนดไวป้ ระมาณปีละ 1,000–1,200
ช่ัวโมง หรือประมาณ วันละ 5–6 ชั่วโมง และช่วงชั้นที่ 4 กำหนดเวลาเรียนไว้ไม่น้อยกว่า 1,200
ชว่ั โมง

7. การจัดการเรียนรู้ เนน้ การจัดการเรยี นรู้ทบ่ี รู ณาการทั้งในกลุ่มสาระ ขา้ มกลุ่มสาระ
และบูรณาการกับวิถีชีวิตของผู้เรียน โดยถือว่าผู้เรียนสำคัญที่สุด ผู้เรียนสามารถแสวงหาความรู้ด้วย
ตนเองจากสือ่ ท่หี ลากหลายและแหล่งการเรียนรูต้ า่ ง ๆ จากหนังสอื เรียน และหนงั สืออ่านเพ่ิมเตมิ

118

8. การวัดผลและการประเมินผล ไม่มีระเบียบวัดผลประเมินผลจากส่วนกลาง
แต่ กระจายอำ นาจให้สถานศึกษาจัดระบบ หลักเกณฑ์ และวิธีการวัดผลประเมินผลได้เอง เน้นการ
ประเมินผลตามสภาพจริง และการประเมนิ คณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ของผู้เรยี น ตลอดจนผลสัมฤทธ์ิ
ด้านการอ่าน การคิดวิเคราะห์และการเขียน เพื่อการควบคุมคุณภาพผู้เรียนโดยมีการประเมินภายใน
และภายนอก และการประเมนิ ผลเพ่ือตรวจสอบคณุ ภาพของผ้เู รยี นจากส่วนกลางเป็นชว่ งช้นั

หลกั สูตรแกนกลางการศกึ ษาข้นั พน้ื ฐาน พุทธศักราช 2551
หลังจากที่กระทรวงศึกษาธิการประกาศใชห้ ลักสูตรการศกึ ษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช

2544 ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของประเทศ ที่กำหนดจุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็น
เป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและ
มี ขีดความสามารถในการแข่งขันในเวทีระดับโลก รวมทั้งปรับกระบวนการพัฒนาหลักสูตรให้มีความ
สอดคล้องกับเจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 2) พ.ศ.2545 ที่มุ่งเน้นการกระจายอำนาจทางการศึกษาให้ท้องถิ่นและสถานศึกษา
มีบทบาท และมีส่วนร่วมในการพัฒนาหลักสูตร ให้สอดคล้องกับสภาพและความต้องการของท้องถนิ่
ไปแล้ว

การวิจัยและติดตามประเมินผลการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2544 ในช่วงระยะ 6 ปีที่ผ่านมา ชี้ให้เห็นว่า หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
มขี ้อดหี ลายประการ เชน่ ชว่ ยส่งเสริมการกระจายอำนาจทางการศึกษาทำใหท้ ้องถน่ิ และสถานศึกษา
มีส่วนร่วม และมีบทบาทสำคัญในการพัฒนาหลกั สูตรให้สอดคล้องกับความต้องการของท้องถิน่ และ
มีแนวคิด และหลักการในการส่งเสริมการพัฒนาผู้เรียนแบบองค์รวมอย่างชัดเจน แต่มีประเด็นที่เปน็
ปญั หาและ ความไมช่ ัดเจนของหลักสตู รหลายประการท้ังในสว่ นของเอกสารหลักสูตร กระบวนการนำ
หลักสูตรสู่การปฏิบัติ และผลผลิตที่เกิดจากการใช้หลักสูตร ได้แก่ ปัญหาความสับสนของผู้ปฏิบัติใน
ระดับ สถานศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สถานศึกษาส่วนใหญ่กำหนดสาระและผลการ
เรียนรู้ ที่คาดหวังไวม้ าก ทำ ให้เกิดปัญหาหลักสตู รแน่นเกินไป และการวัดและประเมินผลไมส่ ะท้อน
มาตรฐาน ส่งผลต่อปัญหาการจัดทำเอกสารหลักฐานทางการศึกษาและการเทียบโอนผลการเรียน
รวมทั้งปัญหา คุณภาพของผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะ ความสามารถและคุณลักษณะที่พึงประสงค์
ซึง่ ยงั ไม่เปน็ ทน่ี ่าพอใจ

นอกจากนน้ั แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบบั ท่ี 10 (พ.ศ. 2550 – 2554)
ยัง ได้ชี้ให้เห็นถึงความจำ เป็นในการปรับเปลี่ยนจุดเน้นในการพัฒนาคุณภาพคนในสังคมไทยให้มี
คุณธรรม และมีความรอบรูอ้ ยา่ งเท่าทัน มีความพร้อมทั้งด้านรา่ งกายสติปัญญา อารมณ์และศีลธรรม
สามารถก้าวทันการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำไปสู่สังคมฐานความรู้ได้อย่างมั่นคง คือมุ่งเตรียมเด็กและ
เยาวชนให้มีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม มีจิตสาธารณะพร้อมท้ังมีสมรรถนะ ทักษะและความรู้พื้นฐานที่
จำเป็นในการดำรงชีวิต ให้ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศแบบยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของ
กระทรวงศึกษาธิการ ในการพัฒนาเยาวชนของชาติเขา้ สู่โลกยุคศตวรรษที่ 21 ที่มุ่งส่งเสริมผู้เรียนให้
มีคุณธรรม รักความเป็นไทย ให้มีทักษะการคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์มีทักษะด้านเทคโนโลยี สามารถ
ทำงานร่วมกบั ผอู้ ืน่ และสามารถอยูร่ ่วมกับผู้อนื่ ในสังคมโลกไดอ้ ยา่ งสนั ติ

119

ข้อค้นพบในการศึกษาวิจัยและติดตามผลการใช้หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พุทธศักราช 2544 และข้อมูลจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 เกี่ยวกับ
แนวทางการพัฒนาคนในสังคมไทย รวมทั้งจุดเน้นของกระทรวงศึกษาธิการในการพัฒนาเยาวชนสู่
ศตวรรษที่ 21 ดังกล่าว นำไปสู่การทบทวนหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 เพื่อ
การพัฒนาหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่มีความเหมาะสม ชัดเจน
ทั้งเป้าหมายของหลักสูตรในการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน และกระบวนการนำหลักสูตรไปสู่การปฏิบัติ
ในระดับเขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา โดยการกำหนดวิสัยทัศน์จุดหมาย สมรรถนะสำคัญของ
ผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่ชัดเจน เพื่อใช้เป็น ทิศทางใน
การจัดทำหลักสตู ร การเรียนการสอนในแตล่ ะระดับ รวมทั้งกำหนดโครงสร้างเวลาเรียนข้ันต่ำของแต่
ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละชั้นปีไว้ในหลักสูตรแกนกลาง โดยเปิดโอกาสให้สถานศึกษาเพิ่มเติม
เวลาเรียนได้ตามความพร้อมและจุดเน้น ตลอดจนปรับกระบวนการวัดและประเมินผลผู้เรียน เกณฑ์
การจบการศึกษาแต่ละระดับ และเอกสารแสดงหลักฐานทางการศึกษาให้มีความสอดคล้องกับ
มาตรฐานการเรียนร้แู ละมีความชดั เจนตอ่ การนำไปปฏบิ ตั ิ

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นี้ จัดทำขึ้นสำหรับท้องถ่ิน
และสถานศึกษาได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาและจัดการเรียน
การสอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานให้มีคุณภาพด้านความรู้
และทักษะที่จำเป็นสำหรับการดำรงชีวิตในสังคมที่มีการเปลี่ยนแปลง และแสวงหาความรู้เพื่อพัฒนา
ตนเองอยา่ งต่อเนอ่ื งตลอดชวี ิต

มาตรฐานการเรียนรู้และตัวช้วี ัดที่กำ หนดไว้ในหลกั สตู รนชี้ ่วยทำให้หน่วยงานท่ีเกี่ยวข้อง
ในทุกระดับเห็นผลคาดหวังที่ต้องการในการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียนที่ชัดเจนตลอดแนว ซึ่งจะ
สามารถช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาร่วมกันพัฒนาหลักสูตรได้อย่าง
มั่นใจ ทำให้การจัดทำหลกั สูตรในระดบั สถานศึกษามีคุณภาพและมีความเป็นเอกภาพยิ่งขึ้น อีกทั้งยงั
ชว่ ยให้เกดิ ความชดั เจนเร่ืองการวัดและประเมินผลการเรยี นรูแ้ ละชว่ ยแก้ปญั หาการเทียบโอนระหว่าง
สถานศึกษา ดังนั้นในการพัฒนาหลกั สูตรในทุกระดับตัง้ แต่ระดับชาติจนกระทัง่ ถึงสถานศกึ ษาจะต้อง
สะท้อนคุณภาพตามมาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัดที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน รวมทั้งเป็นกรอบทิศทางในการจัดการศึกษาทุกรูปแบบ และครอบคลุมผู้เรียนทุกกลุ่ม
เปา้ หมายในระดบั การศกึ ษาขัน้ พื้นฐาน

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขัน้ พน้ื ฐาน พุทธศกั ราช 2551 (ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ.
2560) (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา, 2561, หน้า 4-5)

กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศใช้มาตรฐานการเรียนรู้และตัวชี้วัด กลุ่มสาระการ
เรียนรู้คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และสาระภูมิศาสตร์ในกลุ่มสาระการเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา
และวัฒนธรรม (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ.2560) ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขัน้ พื้นฐาน พทุ ธศกั ราช
2551 ตามคำส่งั กระทรวงศกึ ษาธิการท่ี สพฐ. 1239/2560 ลงวันท่ี 7 สิงหาคม 2560 และคำสั่ง
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่ 30/2561 ลงวันที่ 5 มกราคม 2561 ให้
เปล่ียนแปลงมาตรฐานการเรยี นรู้และตัวชี้วัด กลมุ่ สาระการเรียนรูค้ ณติ ศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (ฉบับ
ปรับปรงุ พ.ศ.2560)

120

โดยมีคำสั่งให้โรงเรียนดำเนินการใช้หลักสูตรในปีการศึกษา 2561 โดยให้ใช้ใน
ชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 และ 4 ตั้งแต่ปีการศึกษา 2561 เป็นต้นมา ให้เป็นหลักสูตรแกนกลางของ
ประเทศ โดยกำหนดจุดหมาย และมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายและกรอบทิศทางในการพัฒนา
คุณภาพผู้เรียนมีพัฒนาการเต็มตามศักยภาพ มีคุณภาพและมีทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21
เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายและเป้าหมายของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ดังรายละเอยี ดตอ่ ไปนี้

1. กลมุ่ สาระฯ ทเี่ ก่ยี วข้องกับการปรับหลกั สูตรใหม่ มเี พียง 3 กลมุ่ สาระ คือ คณิตศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และสังคมศึกษาฯ ในสาระภูมิศาสตร์ ส่วนกลุ่มสาระฯการงานอาชีพและเทคโนโลยี มี
ผลกระทบเล็กน้อยเพราะมีการย้ายสาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี และสาระ
ที่ 3 เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จากกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยี
มาเปน็ สาระท่ี 4 ของกลุม่ สาระการเรยี นรวู้ ิทยาศาสตร์

2. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ยังคงมีรายวิชาพื้นฐานและ
เพิ่มเติม แต่ในส่วนของรายวิชาเพิ่มเติม มีการกำหนดผลการเรียนรู้ในหลักสูตรให้มีความชัดเจนและ
ง่ายสำหรบั การนำไปใชม้ ากย่งิ ข้นึ โดยมรี ายละเอยี ดดังนี้

2.1 กลุ่มสาระฯคณิตศาสตร์ ปรับลดเนื้อหา ปรับย้ายเนื้อหาระหว่างชั้น เพิ่มเนื้อหา
ใหม่ และแบ่งรายวิชาออกเป็น

คณิตศาสตร์พื้นฐาน ที่กำหนดสาระการเรียนรู้แกนกลาง กำหนดมาตรฐานการเรยี นรู้
และตัวชี้วัด สำหรับผู้เรียน ชั้น ป.1-ม.3 และ ม.4-6 แผนการเรียนอื่น ๆ จำนวน 3 สาระการเรยี นรู้
สาระที่ 1 จำนวนและพีชคณิต สาระที่ 2 การวัดและเรขาคณิต และสาระที่ 3 สถิติและความน่าจะ
เป็น

คณิตศาสตร์เพิ่มเติม ที่กำหนดสาระการเรียนรู้เพิ่มเติม กำหนดผลการเรียนรู้ที่
เชื่อมโยงกับมาตรฐานการเรียนรู้ในสาระที่ 1-3 และผลการเรียนรู้ในสาระแคลคูลัส สำหรับผู้เรียน
ชน้ั ม.4-6 แผนการเรยี นวิทยาศาสตร์

2.2 กลุ่มสาระฯวิทยาศาสตร์ ปรับลดเนื้อหา ปรับย้ายเนื้อหาระหว่างช้ัน เพิ่มเนื้อหา
ใหม่ และแบง่ รายวิชาออกเปน็

วทิ ยาศาสตร์พื้นฐาน ท่ีกำหนดสาระการเรยี นรู้แกนกลาง กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้
และตัวชี้วัด สำหรับผู้เรียนชั้น ป.1-ม.3 และ ม.4-6 แผนการเรียนอื่น ๆ จำนวน 4 สาระการเรียนรู้
สาระที่ 1 วิทยาศาสตร์ชีวภาพ สาระที่ 2 วิทยาศาสตร์กายภาพ สาระที่ 3 วิทยาศาสตร์โลกและ
อวกาศ และสาระที่ 4 เทคโนโลยี ซึ่งประกอบด้วย การออกแบบและเทคโนโลยี และวิทยาการ
คำนวณ โดยสามารถดาวน์โหลดคำอธิบายรายวิชาการออกแบบและเทคโนโลยี และวิชาวิทยาการ
คำนวณ

วิทยาศาสตร์เพิ่มเติมที่กำหนดสาระการเรียนรู้เพิ่มเติม และกำหนดผลการเรียนรู้
สำหรับผู้เรียนชั้น ม.4-6 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ จำนวน 4 สาระการเรียนรู้ ดังนี้ สาระชีววิทยา
สาระเคมี สาระฟสิ ิกส์ สาระโลก ดาราศาสตร์ อวกาศ

ทั้งนี้รายวิชาคณิตศาสตร์เพิ่มเติมและวิทยาศาสตร์เพิ่มเติมอื่น ๆ ในระดับชั้น
ประถมศึกษา มัธยมศึกษาตอนต้น และมัธยมศึกษาตอนปลาย สามารถเปิดสอนได้ตาม ความพร้อม

121

และจุดเน้นของโรงเรียน ตามความต้องการและความถนัดของผู้เรียน โดยโรงเรียนกำหนดผลการ
เรียนรู้ของรายวิชานนั้ ๆ

2.3 กลุ่มสาระฯสังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม ปรับสาระภูมิศาสตร์ ที่ให้
ความสำคัญกับการรูเ้ ร่ืองภูมิศาสตร์ (Geo-Literacy) ซึ่งเน้นความรู้ทางภมู ิศาสตร์ ความสามารถทาง
ภูมิศาสตร์ ทักษะทางภูมิศาสตร์และกระบวนการทางภูมิศาสตร์ และมีการตัดเนื้อหา เพิ่มเนื้อหา
เปลยี่ นคำและข้อความบางส่วน

3. การจัดรายวิชาตามโครงสร้างของหลักสูตรและการปรับหลักสูตรสถานศึกษา
ยังคงมีรายวิชาพื้นฐานและเพิ่มเติมเหมือนเดิม แต่ต้องมีการเปิดรายวิชาใหม่ในกลุ่มสาระการเรียนรู้
วิทยาศาสตร์ เนื่องจากมีการย้ายสาระที่ 2 การออกแบบและเทคโนโลยี และสาระที่ 3 เทคโนโลยี
สารสนเทศและการสื่อสาร จากกลุ่มสาระการเรียนรู้การงานอาชีพและเทคโนโลยีมาเป็นสาระที่ 4
ของกล่มุ สาระการเรียนรวู้ ิทยาศาสตร์ ซึง่ ประกอบด้วย มาตรฐาน ว 4.1 การออกแบบและเทคโนโลยี
และ มาตรฐาน ว 4.2 วิทยาการคำนวณ โดยเฉพาะวิชาคอมพิวเตอร์เดิม ที่จะต้องเปลี่ยนรหัสวิชา
จาก "ง" มาเป็น "ว"

4. การจัดครูผู้สอน กลุ่มสาระฯคณิตศาสตร์ กับ สังคมศึกษาฯ คงมีผลกระทบไม่มากนัก
หลักๆคงเป็นกลุ่มสาระฯ วิทยาศาสตร์ที่จะต้องนำครูเทคโนโลยี/ครูคอมพิวเตอร์ ซึ่งเดิมอยู่กับกลุ่ม
สาระฯการงานอาชีพ มารวมกับกลุ่มสาระฯวิทยาศาสตร์ จึงอาจส่งผลให้กลุ่มสาระวิทยาศาสตร์ มี
จำนวนครูผู้สอนเพิ่มขึ้น มีจำนวนรายวิชาที่เปิดสอนและจำนวนคาบสอนเพิ่มขึ้น อาจกระทบกับ
อัตรากำลัง ดังนั้นโรงเรียนจึงต้องวางแผนในระยะยาว นอกจากนี้อาจประสบปัญหาต้องเปิดรายวิชา
ใหม่ตามมาตรฐาน ว การออกแบบและเทคโนโลยี ที่เป็นลักษณะของการจัดกิจกรรมตามแนวคิดสะ
เตม็ ศึกษา ซ่งึ อาจหาครูผู้สอนในวิชาน้ีได้ยาก (เกีย่ งกันระหวา่ งครวู ิทยก์ ับครูคอม) เพราะครูผู้สอนวิชา
นี้ต้องเข้าใจ Concept ของ STEM Education พอสมควร ส่วนประเด็นเรื่องที่นั่งของครูว่าครูคอม
ต้องย้ายมานั่งห้องพักครูวิทย์ไหม อันนี้คงแล้วแต่ความเหมาะสมตามบริบทของแต่ละสถานศึกษา
จะนัง่ ตามท่เี ดิมกไ็ ม่ได้มผี ลอะไรสง่ิ สำคัญหรือเปล่ยี นแปลงหลักสตู รและการสอนต่างหาก

5. การใช้หลักสูตรกับนักเรียนในระดับชั้นต่าง ๆ ปีการศึกษา 2561 เริ่มใช้กับ ระดับ
ป.1 ป.4 ม.1 และ ม.4 ปีการศึกษา 2562 เริ่มใช้กับ ระดับ ป.1 ป.2 ป.4 ป.5 ม.1 ม.2 ม.4 และ
ม.5 ปกี ารศึกษา 2563 เปน็ ต้นไป ใชค้ รบทุกระดบั ช้ัน

122

ภาพประกอบ 50 หลกั สตู รแกนกลางการศกึ ษาขนั้ พ้นื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551
(ฉบบั ปรับปรงุ พ.ศ.2560)

ทีม่ า กอบวิทย์ พริ ยิ ะวัฒน์, 2562, ออนไลน์ อา้ งถึงใน วัฒนาพานิช สำราญราษฎร์ (วพ.), 2561, หน้า 26

แนวคดิ ในการพัฒนาสูตรสถานศกึ ษา

1. ความหมายของหลักสตู รสถานศกึ ษา (School Based Curriculum)
หลกั สูตรสถานศึกษาได้มผี ้ทู ี่ใหค้ ำนยิ ามไว้ดังต่อไปน้ี
ปัญญา แก้วกียูร และสุภัทร พันธ์พัฒนกุล (2545, หน้า 26) ได้ให้ความหมายของ

หลักสูตรสถานศึกษาว่าหมายถึงหลักสูตรที่โรงเรียนได้ดำเนินการจัดทำหรือพัฒนาขึ้นโดยจัดทำ
องค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรให้เป็นไปตามขอบข่ายที่กำหนดไว้ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐานแล้วจัดทำสาระหรือรายละเอียดให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาของโร งเรียนชุมชนและ
ท้องถิ่นรวมทั้งความถนัดความสนใจตลอดจนความสามารถของผู้เรียน หลักสูตรของแต่ละโรงเรียน
จงึ มีสว่ นท่เี ปน็ แกนกลางเหมือนกัน แต่จะมีความแตกต่างกันในสว่ นทเี่ พ่ิมเติมตามวิสัยทัศน์และความ
ต้องการของบุคคลตา่ ง ๆ ทีม่ สี ว่ นเกย่ี วข้อง

กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ (2545, หน้า 5) กล่าวว่าหลักสูตรสถานศึกษา
เป็นแผนแนวทางหรือข้อกำหนดของการจดั การศึกษาที่จะพัฒนาผูเ้ รียนให้มีความรูค้ วามสามารถโดย
ส่งเสริมให้แต่ละบุคคลพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสุดของตนรวมถึงลำดับขั้นของมวลประสบการณ์ที่
ก่อใหเ้ กิดการเรยี นร้สู ะสมซึ่งจะชว่ ยใหผ้ ูเ้ รยี นนำความร้ไู ปสู่การปฏบิ ตั ไิ ด้ประสบความสำเร็จมาทำ

123

วีรภัทร ไม้ไหว (2552, หน้า 24) หลักสูตรสถานศึกษาหมายถึงมวลประสบการณ์
ความรตู้ ่าง ๆ ทโ่ี รงเรยี นจัดทำข้ึนและนำไปใชใ้ นการจัดการเรียนการสอนเฉพาะในโรงเรยี นนัน้

สำนักงานปลัดกระทรวงศกึ ษาธิการ (2553, หน้า 1) หลักสูตรสถานศึกษา หมายถึง
แผนหรือแนวทางหรือข้อกำหนดของการจัดการสาที่จะพัฒนาให้ผู้เรียนมีความรู้ความสามารถซึ่ง
จัดทำโดยคณะบุคคลของ สถานศึกษาและผู้เกี่ยวข้องเพื่อพัฒนาผู้เรียนและชุมชนสังคมให้มีคุณภาพ
ตามมาตรฐานการเรียนรูแ้ ละสง่ เสริมให้ผูเ้ รียนรู้จักตนเองมีชีวิตชีวิตอยู่ในชมุ ชนสังคมอย่างมีความสุข
ซ่ึงตอ้ งไมข่ ัดต่อความมน่ั คงของชาติและสิทธมิ นษุ ยชน

หลักสูตรสถานศึกษา เป็นแบบแผนหรือแนวทางหรือข้อกำหนดของการจัดการ ที่จะพัฒนา
ให้ผู้เรียนมีความรู้ ความสามารถโดยส่งเสริมให้แต่ละบุคคลพัฒนาไปสู่ศักยภาพสูงสุดของตนรวมถึง
ระดับขั้นของมวลประสบการณ์ที่ก่อให้เกิดการเรียนรู้สะสมซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปสู่การ
ปฏิบัติได้ประสบการณ์สำเร็จในการเรียนรู้ด้วยตนเอง รู้จักตนเอง มีชีวิตอยู่ในโรงเรียน ชุมชน สังคม
และโลกอยา่ งมีความสุข

2. ความสำคญั หลักสูตรสถานศกึ ษา
มีนกั วชิ าการได้กล่าวถึงความสำคญั ของหลกั สตู ร ดงั ต่อไปน้ี
วิชัย วงษ์ใหญ่ (2554, หน้า 7) กล่าวว่า หลักสูตรมีความสำคัญและจำเป็นสำหรับ

การจัดการศึกษาของประเทศในระดับและประเกทต่าง ๆ ตั้งแต่การจัดการศึกษาผู้เรียนก่อนวัยเรยี น
การประถมศึกษา การมัธยมศึกษา การศึกษานอกระบบ การศึกษาประเภทอาชีวศึกษา และการ
อุดมศึกษา รวมทั้งการฝึกอบรมทั้งระยะสั้นและระยะยาวซึ่งหลักสูตรเป็นเครื่องมือที่ทำให้ความมุ่ง
หมายของการจดั การศกึ ษาของประเทศมีประสิทธิภาพ ความสำคัญของหลักสูตรสรุปไดด้ งั น้ี

1. หลักสูตรเป็นแผนและแนวทางในการจัดการศึกษาของชาติให้บรรลุตามความ
มุง่ หมายและนโยบาย

2. หลักสูตรเป็นหลักและเป็นแนวทางในการวางแผนวิชาการ การจัดการ
การบริหารการศึกษา การสรรหาและการพัฒนาบุคลากร การจัดวัสดุ อุปกรณ์ เครื่องมือ นวัตกรรม
การเรียนการสอน งบประมาณ อาคารสถานที่ ซึ่งจำเป็นต้องได้รับการพิจารณาให้เหมาะสมและ
สอดคล้องกบั ความคาดหวังของหลักสตู ร

3. หลักสูตรเป็นเครื่องมือในการควบคุมมาตรฐานการศึกษา ของสถานศึกษาและ
คณุ ภาพของผเู้ รียนให้เป็นไปตามนโยบายและแผนการศึกษาชาติ และสอดคลอ้ งกับความต้องการของ
แต่ละทอ้ งถิน่

4. ระบบหลักสตู รจะกำหนด ความมุง่ หมาย ขอบข่ายเนอ้ื หาสาระ แนวทางการจัด
ประสบการณ์ การเรียนการสอน แหล่งทรัพยากร และการประเมินผล สำหรับการจัดการศึกษาของ
ผู้สอนและผู้บริหาร

5. หลักสูตรจะเป็นเครื่องบ่งขี้ทิศทางการพัฒนาทัพยากรมนุษย์ให้มีคุณภาพและ
สอดคลอ้ งกบั แนวโนม้ การพฒั นาสังคมของประเทศ

กระทรวงศึกษาธิการ (2557, หน้า 1) กลา่ วว่า ความสำคญั ของหลกั สตู รสถานศึกษา
มคี วามสำคัญ ดังน้ี

124

1. เป็นข้อกำหนดทีท่ ุกคนในสถานศึกษาต้องปฏิบัตเิ พื่อพัฒนาผู้เรียนให้มคี ุณภาพ
ตามมาตร ฐานที่กำหนด และพัฒนาให้สอดคลอ้ งกับความถนัด ความสนใจ ความด้องการของผู้เรยี น
สถานศกึ ษา และเปน็ ไปตามสภาพ ปัญหาของชุมชน สงั คม

2. เป็นเอกสารที่บุคคลภายนอกหรือหน่วยงานต่าง ๆ ใช้ประ โยชน์ในกรณีท่ี
ตอ้ งการศกึ ษาเก่ยี วกบั การจดั การศึกษาของสถานศึกษา

3.เป็นเอกสารที่ใช้ประกอบการประเมินคุณภาพภายนอก เพื่อประเมินให้
สอดคล้องกบั สภาพจรงิ ในการปฏิบัติงานของสถานศึกษา

จากทกี่ ล่าวมา สรปุ ได้ว่าหลกั สูตรมคี วามสำคัญ ดงั นี้
1. หลกั สูตรเปน็ เครื่องบ่งช้ีถงึ สภาพของการพฒั นาและความเจริญเติบโตของประเทศ

ท้งั ทางวตั ถแุ ละจติ ใจ
2. หลกั สตู รเปน็ โครงการหรือแนวทางในการปฏบิ ัติงานการจดั การศึกษา จดั การเรียน

การสอนสำหรบั บุคลากร ด้านการศึกษอนั ได้แก่ นักการศึกษา ผู้บริหารการศกึ ษา ผู้สอน เป็นตน้
3. หลักสูตรเป็นบรรทัดฐานหรือเกณฑ์มาตรฐานทางการศึกษา ที่ช่วยกำกับและ

ตรวจสอบคุณภาพทางการจัดการเรียนการสอนของสถานศึกษาเป็นสิ่งกำหนดแนวทางในการพัฒนา
ผู้เรียนว่าควรได้รับประสบการณ์การเรียน ทั้งทางด้านความรู้ ความสามารถ ทักษะ ทัศนคติ และ
ความประพฤตอิ ะไรบ้าง อนั เปน็ ประโยชน์ ต่อเอง ท้องถ่นิ และประเทศชาติ

4. หลักสูตรเป็นเสมือนเบ้าหลอมพลเมืองที่ดีและมีคุณภาพ เนื่องจากผู้เรียนหรือ
ประชาชน คือ ผลผลิตของการศกึ ษา

3. องค์ประกอบหลักสูตรสถานศกึ ษา
องค์ประกอบของหลกั สตู รประกอบดว้ ยสว่ นตา่ ง ๆ (สำนักวิชาการและมาตรฐาน

การศกึ ษา, 2561, หนา้ 4) ดงั น้ี
1. ส่วนนำ
ข้อมูลในส่วนนี้ช่วยให้ครูผู้สอน และผู้เกี่ยวข้อง ทราบถึงเป้าหมายโดยรวมของ

สถานศึกษาในการพัฒนาผู้เรียน ประกอบด้วยสว่ นสำคัญ คือ ความนำวสิ ัยทัศน์ สมรรถนะสำคัญของ
ผู้เรยี น และคณุ ลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ดงั นี้

ความนำ คือ แสดงความเชื่อมโยงระหว่างหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพ้นื ฐาน
พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่นจุดเน้น และความ
ตอ้ งการของโรงเรียน

วิสัยทัศน์ คือ แสดงภาพอนาคตท่ีพึงประสงค์ของผู้เรียนที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์
ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) อย่าง
ชัดเจน สอดคล้องกับกรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น ครอบคลุมสภาพความต้องการของโรงเรียน ชุมชน
ท้องถ่ิน มีความชัดเจนสามารถปฏิบัตไิ ด้

สมรรถนะสำคัญของผูเ้ รียน คอื มคี วามสอดคล้องกับหลกั สูตรแกนกลางการศึกษา
ขน้ั พืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช 2551 (ฉบับปรับปรงุ พ.ศ. 2560)

125

คุณลักษณะอันพึงประสงค์ คือ มีความสอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2560) สอดคล้องกับเป้าหมาย จุดเน้น
กรอบหลกั สูตรระดับท้องถิน่ สอดคล้องกับวิสยั ทัศน์ ของโรงเรียน

2. โครงสรา้ งหลักสูตรสถานศกึ ษา
เป็นส่วนที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกำหนดรายวิชาที่จัดสอนในแต่ละปี/ ภาคเรียน

ประกอบด้วยรายวิชาพื้นฐาน รายวิชาเพิ่มเติม กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนพร้อมทั้งจำนวนเวลา
เรียน หรอื หนว่ ยกิตของรายวชิ าเหลา่ นัน้ (โครงสร้างเวลาเรียน และโครงสรา้ งหลกั สตู รช้ันป)ี ดังน้ี

โครงสร้างเวลาเรยี น คือ มีการระบุเวลาเรยี นตลอดหลกั สูตร จำนวน 8 กลุ่มสาระ
การเรียนรู้ ที่เป็นเวลาเรียนพื้นฐาน และเพิ่มเติมจำแนกแต่ละชั้นปีอย่างชัดเจน ระบุเวลาการจัด
กิจกรรมพัฒนาผู้เรียนจำแนกแต่ละชั้นปีอย่างชัดเจน เวลาเรียนรวมของหลักสูตรสถานศึกษา
สอดคล้องกับโครงสร้างเวลาเรียนตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551
(ฉบบั ปรับปรุง พ.ศ. 2560)

โครงสร้างหลักสูตร คือ มีการระบุรายวิชาพื้นฐาน รายวิชาเพิ่มเติม ระบุรหัสวิชา
ชื่อรายวิชา พร้อมทั้งระบุเวลาเรียน และ/หรือหน่วยกิต มีการระบุกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน พร้อมทั้งระบุ
เวลาเรียนไว้อย่างถูกต้อง ชัดเจน รายวิชาเพิ่มเติม / กิจกรรมเพิ่มเติมที่กำหนดสอดคล้องกับวิสัยทัศน์
จุดเน้นของโรงเรียน

3. คำอธิบายรายวิชา
ส่วนนี้เป็นรายละเอียดที่ช่วยให้ทราบว่าผู้เรียนจะเรียนรู้อะไรจากรายวิชานั้นๆ

ในคำอธิบายรายวิชาจะประกอบด้วยรหัสวิชา ชื่อรายวิชา ประเภทรายวิชา (พื้นฐาน/เพิ่มเติม)
กลุ่มสาระการเรียนรู้ ระดับชั้นที่สอน พร้อมทั้งคำอธิบายให้ทราบว่าเมื่อเรียนรายวิชานั้นแล้วผู้เรียน
จะมีความรู้ ทักษะ คุณลักษณะหรือเจตคติอะไร ซึ่งอาจระบุให้ทราบถึงกระบวนการเรียนรู้ หรือ
ประสบการณ์สำคญั ที่ผู้เรียนจะไดร้ บั ด้วยกไ็ ด้ ดังนี้

มีการระบุรหัสวิชา ชื่อรายวิชา และชื่อกลุ่มสาระการเรียนรู้ ชั้นปีที่สอน จำนวน
เวลาเรยี น และ/หรือหนว่ ยกิต ไวอ้ ย่างถกู ต้องชัดเจน

การเขียนคำอธิบายรายวิชาได้เขียนเป็นความเรียงโดยระบุองค์ความรู้ ทักษะ
กระบวนการ และคณุ ลกั ษณะหรือเจตคติท่ตี อ้ งการและครอบคลมุ ตัวช้ีวัด สาระการเรียนร้แู กนกลาง

ระบุรหัสตัวชี้วัด ในรายวิชาพื้นฐานและจำนวนรวมของตัวชี้วัดและระบุผลการ
เรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติมและจำนวนรวมของผลการเรียนรู้ถูกต้องมีการกำหนดสาระการเรียนรู้
ทอ้ งถ่นิ สอดแทรกอยูใ่ นคำอธิบายรายวชิ าพ้นื ฐานหรอื รายวิชาเพิม่ เติม

4. กจิ กรรมพัฒนาผูเ้ รยี น
เป็นส่วนหนึ่งที่สถานศึกษากำหนดให้ผู้เรียนได้พัฒนาตนเองตามศักยภาพ

ประกอบด้วยกิจกรรม 3 ลักษณะ ได้แก่ กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรียน และกิจกรรมเพื่อสังคม
และสาธารณประโยชน์ โดยระบแุ นวการจดั เวลา และแนวทางการประเมนิ กิจกรรม

5. เกณฑ์การจบการศกึ ษา
เป็นส่วนที่สถานศึกษากำหนดคุณสมบัติของผู้ที่จะจบการศึกษาในแต่ละระดับ

โดยพัฒนาเกณฑ์ดังกล่าวให้สอดคล้องสัมพันธ์กับเกณฑ์การจบหลักสูตรตามหลักสูตรแกนกลางและ

126

สถานศึกษาจะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและประเมินผลการเรียนเพื่อใช้ควบคู่กับหลักสูตร
สถานศึกษา ดังน้ี

ระบุเวลาเรียน/หน่วยกติ ท้ังรายวชิ าพน้ื ฐานและรายวชิ าเพ่ิมเติมตามเกณฑ์การจบ
การศึกษาของโรงเรยี น ชัดเจน

ระบุเกณฑก์ ารประเมินการอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขยี นไว้อยา่ งชัดเจน
ระบุเกณฑก์ ารประเมินคุณลกั ษณะอนั พึงประสงค์ไวอ้ ย่างชัดเจน
ระบุเกณฑ์การผา่ นกิจกรรมพฒั นาผูเ้ รียนไว้อย่างชดั เจน

กระบวนการพัฒนาหลักสตู รสถานศึกษา

การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาอาศัยแนวคิดภายใต้พื้นฐานของการบริหารงานที่ใช้โรงเรยี น
เป็นฐาน (School-Based Management-SBM) ซ่งึ เปน็ แนวคิดทมี่ ุง่ ใหส้ ถานศึกษามีอิสระและมีความ
คล้องในตัวในการบริหารงานด้านวิชาการ ด้านการเงิน ด้านการบริหารงานบุคคลและการบริหาร
ทั่วไปเปิดโอกาสให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของบุคคลที่อยู่ใกล้ชิดและมีส่วนเกี่ยวข้องกับ
นักเรียนมากที่สดุ แนวทางที่จะทำให้คุณภาพการศึกษาดีขึน้ ใช้กระจายอำนาจการบริหารและการจัด
การศึกษาไปยังโรงเรียนให้มากขึ้นมีการนำวิธีการบริหารงบประมาณด้วยตนเอง (Self-Budgeting
School) การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (School-Based Curriculum Development) และการ
พฒั นาบคุ ลากรโดยใช้โรงเรยี นเป็นฐาน (School-Based Student Counseling) เข้ามาใช้

ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่นำมาใช้ดำเนินการในครั้งนี้ นำแนวความคิดและ
รูปแบบจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ในมาตรา 27 วรรคสอง ที่กำหนดให้
สถานศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน้าที่จัดทำสาระของหลักสูตรที่สอดคล้องกับหลั กสูตรแกนกลางในส่วนที่
เกีย่ วกบั สภาพปญั หาในชมุ ชนและสงั คม ภูมปิ ัญญาท้องถ่นิ คุณลกั ษณะอันพึงประสงค์เพื่อเป็นสมาชิก
ที่ดีของครอบครัว ชุมชน สังคม และประเทศชาติ รวมทั้งแนวคดิ และรูปแบบของการพัฒนาหลกั สตู ร
เช่น ไทเลอร์ ทาบา เซย์เลอร์อเล็กซานเดอร์และเลวิสโอลิวา สกิลเบ็กมาร์ช และคณะเอ็กเกิลสตัน
วอล์คเกอร์ และรูปแบบการพัฒนาหลักสูตรของไทย เช่น กรมวิชาการ และกรมการศึกษานอก
โรงเรยี น มากำหนดเปน็ กรอบแนวทางการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา (วิชัย วงษใ์ หญ่ และมารตุ พัฒ
ผล, 2552, หนา้ 142-143)

ขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาที่กำหนดขึ้น เป็นการพัฒนาหลักสูตรครบวงจรคือ
เรมิ่ ต้งั แต่การศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพน้ื ฐาน การร่างหลกั สูตร การตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตร
การนำหลักสูตรไปใช้ในสถานการณ์จรงิ รวมทงั้ การประเมนิ ผลหลกั สตู ร โดยหวังว่าขั้นตอนการพัฒนา
หลักสูตรที่สมบูรณ์ทำให้ได้หลักสูตรที่มีประสิทธิภาพ กล่าวโดยสรุปขั้นตอนการพัฒนาหลักสูตร
สถานศกึ ษา ประกอบดว้ ยขน้ั ตอนท่ีสำคัญ 5 ขัน้ ตอน ดังนี้คอื

ข้ันที่ 1 การศึกษาและวเิ คราะหข์ ้อมูลพื้นฐานในด้านตา่ ง ๆ ได้แก่
1.1 ข้อมลู เกี่ยวกับสภาพและความตอ้ งการของชุมชน
1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน
1.3 การวิเคราะหห์ ลกั สตู รแกนกลาง

ขนั้ ท่ี 2 การรา่ งหลักสูตร

127

2.1 การกำหนดจุดประสงค์ของหลกั สูตร
2.2 การกำหนดเนือ้ หาสาระ
2.3 การจดั การเรยี นการสอน กิจกรรมและสือ่ ต่าง ๆ
2.4 การกำหนดวธิ วี ัดและประเมินผลผเู้ รยี น
ข้ันท่ี 3 การตรวจสอบคุณภาพหลกั สตู ร
ขน้ั ท่ี 4 การนำหลกั สตู รไปใช้
ขั้นท่ี 5 การประเมินผลหลักสูตร
รายละเอยี ดในแต่ละขนั้ ตอนมีดังนี้
ขนั้ ที่ 1 การศึกษาและวเิ คราะหข์ ้อมูลพน้ื ฐาน
ในการพัฒนาหลักสูตรจำเป็นต้องศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพืน้ ฐานในดา้ น ต่าง ๆ เพื่อใช้
ในการกำหนดองค์ประกอบต่าง ๆ ของหลักสูตรซึ่งได้แก่ วัตถุประสงค์ของหลักสูตร เนื้อหาสาระ
กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน/สื่อ การวัดและประเมินผลผู้เรียนซึ่งข้อมูลพื้นฐานที่ได้จาก
การศึกษาช่วยในการ กำหนดวัตถุประสงค์หรือการกำหนดสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนได้เรียนรู้
วัตถุประสงค์จะเป็นตัวกำหนดเนื้อหาสาระที่ควรจัดให้ผู้เรียน ซึ่งอยู่ในลักษณะรายวิชา หลังจากนั้น
จงึ นำมากำหนดกจิ กรรมในการจัดการเรยี นการสอน สอ่ื การเรยี นรู้ตา่ ง ๆ รวมทงั้ การกำหนดวิธกี ารวัด
และประเมินผลผู้เรียนว่าจะใช้วิธีการอย่างไร ซึ่งการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานในการพัฒนา
หลักสูตรควรประกอบดว้ ย
1.1 การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน เนื่องจากโรงเรียนที่มีหน้าท่ี
ถ่ายทอดความรู้ ทักษะ และวัฒนธรรมของชุมชน ช่วยเตรียมคนให้กับชุมชนและสังคม ดังนั้นการ
พัฒนาหลักสูตรเพื่อให้ผู้เรียนเป็นผู้มีความรู้ความสามารถและประสบการณ์ มีความคิ ดริเริ่ม
สร้างสรรค์ คิดเป็นทำเป็นและเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม จำเป็นต้องทราบข้อมูลเกี่ยวกับสภาพและ
ความต้องการของชุมชนหรือสังคมที่โรงเรียนตั้งอยู่ เพื่อให้หลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมีความทันสมัย
เหมาะสมกับการเปลี่ยนแปลงของชุมชน การศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชนมีการศึกษาใน
หลายด้าน เช่น การศึกษา สาธารณูปโภค สิ่งแวดล้อม การประกอบอาชีพ ในปัจจุบันและแนวโน้ม
ของอาชีพในอนาคต สุขภาพอนามัย ขนบธรรมเนียมประเพณี วัฒนธรรม ค่านิยม ทรัพยากรต่าง ๆ
ปัญหาของชุมชน ข้อมูลเกี่ยวกับชุมชนอาจศึกษาจากการสำรวจสอบถามสัมภาษณ์บุคคลในชุมชน
และศกึ ษาจากเอกสาร รายงานต่าง ๆ ทีเ่ กย่ี วข้อง เพือ่ กำหนดแนวทางในการตอบสนองความต้องการ
ของชุมชนในพ้นื ทไ่ี ด้
ข้อมลู ของชุมชนท่สี ำคญั มีดังต่อไปน้ี
1. ข้อมูลสภาพทั่วไปของชุมชน แผนที่ชุมชน แสดงที่ตั้งของสถานที่ต่าง ๆ เช่น
สิ่งสำคัญในชุมชน เช่น วัด โรงเรียน เทศบาล ธนาคาร ฯลฯ รวมทั้งลักษณะการตั้งบ้านเรือนภายใน
ชมุ ชน ประวัติความเป็นมาและสภาพของชุมชน จำนวนประชากร แยกตามเพศ อายุ จำนวนครวั เรือน
ศาสนา สถานทท่ี อ่ งเทย่ี ว เป็นต้น
2. ข้อมูลด้านการศึกษา จำนวนผู้จบการศึกษาในระดับต่าง ๆ จำนวนนักเรียนใน
ระดับต่าง ๆ เช่น ประถม มัธยม ฯลฯ จำนวนครูที่สอนในระดับต่าง ๆ จำนวนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับ
การศกึ ษา เช่น ศึกษานิเทศก์ ฯลฯ

128

3. ข้อมูลศิลปวัฒนธรรม ขนบธรรมเนียมประเพณีของชุมชน ภาษาท้องถ่ิน
โบราณสถาน โบราณวตั ถภุ ายในชุมชน ดนตรี เพลง การแสดงพน้ื บ้านของชุมชน วรรณกรรม ตำนาน
พนื้ บ้านของชุมชน

4. ข้อมูลพื้นฐานทางเศรษฐกิจ อาชีพ/รายได้ของคนในชุมชน ปฏิทินการ
ปฏิบัติงานของชุมชน เช่น ช่วงเดือนการเก็บเกี่ยวข้าว ช่วงเวลาการเก็บเงาะ การตัดยาง เป็นต้น
รวมทง้ั ทรพั ยากรทมี่ ใี นชุมชน เชน่ ป่าไม้ แร่ธาตุ แหลง่ นำ้ และพืชเศรษฐกจิ หลักของชุมชน

5. ภูมิปัญญาท้องถิ่น ทำเนียบชื่อ ที่อยู่ ความรู้ความสามารถ ความชำนาญ
ของ แต่ละบุคคลปญั หาชมุ ชน

6. ปัญหาท่เี กิดขึน้ ภายในชุมชน เช่น ยาเสพตดิ พชื ผลราคาตก โจรผรู้ ้ายชุกชุม
นอกจาการศกึ ษาและสำรวจสภาพและความต้องการของชุมชน รวมท้งั ข้อมูลทส่ี ำคัญของ
ชุมชนแล้ว ต้องมีการสำรวจสภาพและความต้องการของผู้เรียน ทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม
ซ่ึงข้อมลู เหล่าน้ีสามารถไดจ้ ากครใู นโรงเรยี น ผูป้ กครอง และตัวนักเรยี นเอง
วิธกี ารศกึ ษาชุมชน สามารถดำเนนิ การได้ดงั นี้

1. ศกึ ษาจากเอกสารต่าง ๆ จัดเปน็ ข้อมูลทุติยภูมิ (Secondary Data) ซงึ่ เป็นข้อมูลที่
มีผู้จัดพิมพห์ รือรวบรวมไว้อยู่ในรูปเอกสารส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ เอกสารเหล่านี้สามารถค้นคว้าศึกษาได้จาก
หอ้ งสมุดจากหน่วยงานต่าง ๆ ท่รี วบรวมจัดเกบ็ ไว้

2. ศึกษาจากการสำรวจชุมชน จัดเปน็ ขอ้ มลู ปฐมภมู ิ (Primary Data) ซงึ่ ผู้ต้องการใช้
ข้อมูลเป็นผู้เก็บรวบรวมข้อมูลโดยตรงจากชุมชน ทำให้ได้เห็นสภาพที่แท้จริง และสร้างความสมั พันธ์
อันดีกับชมุ ชนด้วย ซึ่งการสำรวจชมุ ชนต้องใช้วิธีการตา่ ง ๆ กัน เพื่อให้ได้ข้อมูลทีถ่ ูกต้องตรงกบั ความ
เปน็ จริง วิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การสัมภาษณ์ การสอบถาม และการสงั เกตเปน็ ต้น

จากการศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน นำข้อมูลที่ได้ทั้งหมดมาจัดลำดับ
ความสำคัญ โดยกำหนดเป็นหัวเรื่องที่ต้องการให้นักเรียนได้เรียนรู้ เช่น ในชุมชนมีปัญหายาเสพติด
สิ่งแวดลอ้ มเป็นพิษ ภาวะโลกรอ้ น มกี ารทำลายทรัพยากรธรรมชาติ เหล่านเ้ี ปน็ ต้น หรืออาจเป็นเร่ือง
ที่ชุมชนต้องการถ่ายทอดวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชนให้กับนักเรียนได้เรียนรู้สิ่งเหล่านี้
จัดแยกเป็นหมวดหมูใ่ ห้ชัดเจน ว่าอะไรเป็นปัญหาเร่งด่วนทีต่ ้องการแก้ไข หรืออะไรเป็นสิ่งที่ต้องการ
ให้นักเรียนรู้เพื่อสืบทอดวัฒนธรรมของ ชุมชนในการดำเนินงานขั้นตอนนี้มีความสำคัญที่ต้องให้ผู้มี
ส่วนเกี่ยวข้องกับ ชุมชน เช่น ผู้ปกครอง กรรมการโรงเรียน คนในชุมชน รวมทั้งนักเรียนได้เข้ามามี
ส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นร่วมกับครู ผู้บริหารโรงเรียน เพื่อนำไปสู่ข้อสรุปของการจัดลำดับ
ความสำคญั ของปัญหา หรือเร่อื งราวที่ให้นักเรยี นไดเ้ รียนรู้

1.2 การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนเป็น
การศึกษาสภาพทั่วไปของโรงเรียนในด้านต่าง ๆ เช่น บุคลากร งบประมาณ อุปกรณ์ และสื่อต่าง ๆ
อาคารสถานที่ ห้องเรียน ปัญหาที่เกิดจากการใช้หลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอน ความ
รว่ มมือระหว่างโรงเรียนกับชุมชน ข้อมูลเหล่านี้จะชว่ ยในการพิจารณาว่าโรงเรียนมีความพร้อมหรือไม่
มีผลต่อการตัดสินใจว่าจะเลือกแนวทางการพัฒนาหลักสูตรอย่างไรจึงจะเหมาะสมกับศักยภาพของ
โรงเรียนมากที่สุด ข้อมูลต่าง ๆ เหล่านี้ได้จากเอกสาร รายงานต่าง ๆ เช่น สถิติของโรงเรียน รายงาน
การประเมนิ คุณภาพของโรงเรยี น การสำรวจภายในโรงเรียน เปน็ ตน้

129

1.3 การวิเคราะห์หลักสตู รแกนกลาง เนื่องจากปจั จุบันเปน็ ระยะเวลาท่เี ราผา่ นการใช้
หลักสูตรมาหลายคร้ังจนปัจจุบันกำลังจะนำหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 มาใช้
กับโรงเรียนนำร่องจำนวน 555 แห่ง ในปีการศึกษา 2552 และคาดว่าจะนำมาใช้ครบทุกชั้นในปี
การศึกษา 2553 ดงั นั้น การวเิ คราะหห์ ลักสูตรแกนกลางใช้แนวทางการวิเคราะหด์ งั นี้

1. หลักสูตรประถมศึกษา พุทธศักราช 2521 (ฉบับปรับปรุง พ.ศ. 2533)
ใหพ้ จิ ารณาจาก

1.1 จุดมงุ่ หมายของหลกั สตู ร
1.2 จดุ ประสงคร์ ายวชิ า (ความมุ่งหวังทตี่ ้องการ)
1.3 เน้อื หาสาระ (โครงสรา้ งหลักสตู ร)
1.4 กจิ กรรมการจดั การเรียนการสอนและการประเมินผลการเรียนรู้
2. หลักสูตรการศึกษาขน้ั พน้ื ฐาน พทุ ธศกั ราช 2544 ให้พิจารณาจาก
2.1 มาตรฐานการเรยี นรูข้ องหลกั สูตร
2.2 สาระและมาตรฐานการเรียนรู้แต่ละช่วงชั้น 8 กลุ่มสาระและกิจกรรม
พฒั นาผู้เรียน
2.3 การจัดการเรียนรู้
2.4 การวดั และประเมินผลการเรยี นรู้
ซึ่งสถานศึกษาแต่ละแห่งควรนำข้อมูลการศึกษาและวิเคราะห์ข้อมูลพื้นฐานท่ี
ประกอบด้วยการศึกษาสภาพและความต้องการของชุมชน การวิเคราะห์ศักยภาพของโรงเรียนและ
การวเิ คราะหห์ ลกั สตู รแกนกลาง
ข้นั ที่ 2 การรา่ งหลกั สูตร
เป็นการกำหนดแผนการจัดประสบการณ์ หรือการกำหนด แนวทางการจัดการเรียนการ
สอนให้แก่ผู้เรียน ซึ่งประกอบด้วยจุดประสงค์ เนื้อหาสาระ กิจกรรมและวิธีวัดและประเมินผลผู้เรยี น
เพือ่ ใหผ้ เู้ รียนมีความรู้ ความสามารถ ทักษะ และทัศนคติตามเป้าหมายทก่ี ำหนดไว้
ในการร่างหลักสูตรสถานศึกษาจะต้องนำข้อมูลที่ได้จากการศึกษาในขั้นที่ 1 คือ ข้อมูล
พืน้ ฐานทจี่ ำเป็น ได้แก่ สภาพและความต้องการของชุมชน ศักยภาพของโรงเรียน หลกั สูตรแกนกลาง
ที่กำหนดจดุ ประสงค์การเรียนรู้วชิ าทต่ี อ้ งการพฒั นา ประกอบดว้ ยข้ันตอนต่าง ๆ คือ
2.1 การกำหนดจุดประสงค์ของหลกั สูตร ประกอบด้วย 2 สว่ นคือ
1. จดุ ประสงคท์ ั่วไป เป้าหมายหรอื สิ่งทม่ี งุ่ หวงั ใหเ้ กิดกับผเู้ รียนหลังจากทผี่ ู้เรียนได้
เรียนรสู้ ง่ิ นั้น ๆ แลว้ ตอ้ งนำข้อมลู ท่ีไดจ้ ากการเก็บรวบรวมในขัน้ ท่ี 1 มากำหนดเปน็ จดุ ประสงค์ทั่วไป
ตอ้ งพจิ ารณาให้สอดคล้องกับหลักสูตรแกนกลาง การกำหนดจุดประสงค์ต้องเขียนด้วยภาษาท่ีชัดเจน
เขา้ ใจงา่ ยและสามารถนำไปปฏิบัติไดจ้ รงิ ภายใตศ้ กั ยภาพของแต่ละสถานศึกษา
ตัวอย่าง การกำหนดจุดประสงค์ทั่วไปของหลักสูตร “การทำผลไม้แปรรูป คือ
ใหน้ ักเรียนมคี วามรู้และทักษะในการทำผลไมแ้ ปรรปู ”
2. จดุ ประสงค์การเรียนรู้
- บอกความหมายของ “ผลไมแ้ ปรรปู ” ได้
- สามารถทำผลไมแ้ ปรรูปได้

130

- มเี จตคตทิ ด่ี ีต่ออาชีพการทำผลไม้แปรรปู
- สามารถบรรจหุ ีบห่อท่ีสวยงามได้
- สามารถต้ังราคาขายท่ีเหมาะสมได้
ฯลฯ
2.2 การกำหนดเนื้อหาสาระ เนื้อหาสาระเป็นองค์ประกอบที่สำคัญในการพัฒนา
หลักสูตร ทั้งนี้เนื่องจากเน้ือหาสาระเป็นเครือ่ งมือหรือส่ือกลางท่ีจะพาผู้เรียนไปยังวัตถุประสงคท์ ี่วาง
ไว้ การพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษาใช้เนื้อหาสาระที่เกี่ยวข้องกับชุมชนที่เป็นบริบทของโรงเรียนให้
สอดคล้องกับจุดประสงค์ที่วางไว้ มีความยากง่ายสอดคล้องเหมาะสมกับวัยหรือลำดับขั้นของการ
พัฒนาการทั้งทางร่างกายและจิตใจ รวมทั้งประสบการณ์เดิมของผู้เรียน มีประโยชน์ต่อผู้เรียนที่จะ
นำไปใช้ในชีวิตประจำวัน เนื้อหาที่เลือกมาสามารถจัดให้ผู้เรียนได้โดยพิจารณาถึงความพร้อม
ศักยภาพของโรงเรียน บุคลากรที่เป็นผู้สอน วัสดุ อุปกรณ์ต่าง ๆ ตัวอย่างการพัฒนาหลักสูตร
“การทำผลไม้แปรรูป” ประกอบด้วยเนือ้ หาสาระดังน้ี
- ลักษณะและชนดิ ของผลไม้ทนี่ ำมาแปรรปู
- ขัน้ ตอนการทำผลไม้แปรรูป
- การทำความสะอาดเคร่ืองใช้
- การบรรจุหบี หอ่
- การตง้ั ราคาขาย ฯลฯ
2.3 การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ กิจกรรมการเรียนการสอน
คือ กจิ กรรมท่ที ้ังผู้เรียนเป็นผู้กระทำ และกจิ กรรมท่ีผ้สู อนเป็นผู้กระทำ มีการใช้ส่ือการเรียนการสอน
ต่าง ๆ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้กิจกรรมในการจัดการเรียนการสอน การบรรยาย การสาธิต
ผ้เู รียนมีการซกั ถามโต้ตอบ การลงมือปฏบิ ัติ ซึ่งสอดคล้องกับจุดประสงคแ์ ละเน้ือหาสาระที่กำหนดขึ้น
ครูต้องคำนึงถึงพื้นฐานและประสบการณ์เดิมของผู้เรียน การกำหนดกิจกรรมการเรียนการสอนต้อง
สอดคล้องกับประสบการณ์เดิมของผู้เรียน ซึ่งอาจมีการนำสื่อทั้งในด้านวัสดุอุปกรณ์ และบุคคล
สถานที่ที่อยู่ในชุมชน เข้ามากำหนดเป็นกิจกรรมที่เป็นรูปธรรม เพื่อให้การเรียนรู้เชื่อมโยงกับชุมชน
สง่ ผลต่อการเปล่ียนพฤติกรรมของผู้เรียนอนั เน่ืองมาจากการเรยี นรตู้ ามจุดประสงคท์ ่ีกำหนดไว้ได้
กจิ กรรมการเรียนการสอน ไดแ้ ก่ กิจกรรมในลักษณะต่อไปนค้ี ือ ศึกษา ทดลอง สำรวจ
ฝึกปฏบิ ัติ วิเคราะห์ อภปิ ราย สมั มนา ระดมความคิด ฯลฯ ตวั อยา่ งกจิ กรรม “ศึกษา” ไดแ้ ก่
- ฟังคำอธิบายจากครู
- ค้นควา้ จากห้องสมดุ ของโรงเรียน
- คน้ ควา้ จากแหล่งวทิ ยาการอื่น ๆ
- เชญิ ผูท้ รงคณุ วุฒใิ นท้องถ่ินมาบรรยาย
- ออกไปสัมภาษณ์ผูท้ รงคุณวฒุ ิหรอื ผ้เู ก่ียวข้องในท้องถ่ิน
- ออกไปสำรวจดูสภาพจรงิ ในพ้นื ที่
- สงั เกตสิ่งแวดลอ้ มรอบข้าง
- ออกไปทัศนศ์ ึกษา
- รวบรวมขอ้ มูลจากแหลง่ ตา่ ง ๆ

131

- นำหรือพฒั นาภูมปิ ัญญาทอ้ งถ่นิ มาใช้ ฯลฯ
นอกจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนแล้ว ครูยังสามารถจัดทำสื่อการเรียนการ
สอนเพื่อให้ผู้เรียนบรรลุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้โดยการจัดสื่อต่าง ๆ เพื่อใช้ประกอบการจัดการเรียน
การสอนไดด้ งั นี้ (กรมวชิ าการ กระทรวงศกึ ษาธกิ าร, 2539 หน้า 17-18)

1. หนังสือเรียน เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้สำหรับการเรียน
มีสาระตรงตามที่ระบไุ ว้ในหลักสูตรอย่างถกู ต้อง อาจมลี ักษณะเป็นเลม่ เป็นแผ่นหรอื เป็นชดุ กไ็ ด้

2. คู่มือครู แผนการสอนแนวการสอนหรือเอกสารอื่น ๆ ที่จัดทำขึ้นเพื่อช่วยครู
ในการจดั กจิ กรรมการเรียนการสอนแตล่ ะรายวิชาใหเ้ ป็นไปตามจดุ ประสงค์ของหลักสตู ร

3. หนังสอื เสรมิ ประสบการณ์ เปน็ หนังสือที่จดั ทำข้ึนโดยคำนึงถงึ ประโยชน์ในด้าน
การศึกษาหาความรู้ของตนเอง ความสนุกสนานเพลิดเพลิน ความซาบซึ้งในคุณค่าของภาษา
การเสรมิ สรา้ งทกั ษะและนสิ ยั รกั การอา่ น การเพมิ่ พนู ความรู้ ความเข้าใจในสิ่งทเี่ รยี นรูต้ ามหลกั สูตรให้
กว้างขวางขึ้น หนังสือประเภทนี้โรงเรียนควรจดั หาไว้บริการครูและนักเรียนในโรงเรียน หนังสือเสริม
ประสบการณ์จำแนกออกเป็น 4 ประเภท คือ

3.1 หนังสืออ่านนอกเวลา เป็นหนังสือที่กระทรวงศึกษาธิการกำหนดให้ใช้ใน
การเรียนวิชาใดวิชาหนึ่งตาม หลักสูตรนอกเหนือจากหนังสือเรียนสำหรับให้นักเรียนอ่านนอกเวลา
เรยี น โดยถือว่าเปน็ กจิ กรรรมการเรียนเกีย่ วกับหนงั สือน้ีเปน็ ส่วนหนึง่ ของการเรียน ตามหลักสตู ร

3.2 หนังสืออ่านเพิ่มเติม เป็นหนังสือที่มีสาระ สำหรับให้นักเรียนอ่านเพื่อ
ศกึ ษาหาความรู้เพิ่มเติมดว้ ยตนเอง ตามความเหมาะสมกับวยั และความสามารถในการอ่านของแต่ละ
บุคคล หนงั สอื ประเภทนเี้ คยเรียกว่าหนังสอื อา่ นประกอบ

3.3 หนังสืออุเทศ เป็นหนังสือใช้ค้นคว้าสำหรับอ้างอิงเกี่ยวกับการเรียนโดย
มกี ารเรียบเรยี งเชิงวชิ าการ

3.4 หนังสือส่งเสริมการอ่าน เป็นหนังสือที่จัดทำขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เน้นไป
ในทางสง่ เสริมให้ผู้อ่านเกิดทักษะในการอ่าน และมีนสิ ัยรักการอา่ นมากย่ิงขึ้น อาจเป็นหนังสือสารคดี
นวนิยาย นิทาน ฯลฯ ที่มีลักษณะไม่ขัดต่อวัฒนธรรม ประเพณีและศีลธรรมอันดีงาม ให้ความรู้ มีคติ
และสารประโยชน์

4. แบบฝึกหัด เป็นสื่อการเรียนสำหรบั ให้ผู้เรียนไดฝ้ ึกปฏบิ ัติ เพื่อช่วยเสริมใหเ้ กิด
ทักษะ และความแตกฉานในบทเรยี น

5. ส่ือการเรียนการสอนอืน่ ๆ เช่น ส่ือประสม วดี ีทัศน์ แถบบนั ทึกเสียง ภาพพลิก
แผน่ ภาพ เป็นตน้

ส่อื การเรียนการสอนดงั กล่าวขา้ งต้น โรงเรียนสามารถเลือกใช้ ปรบั ปรงุ หรอื จดั ทำ
ข้ึนเพ่อื ใชใ้ นการจดั กิจกรรมการเรยี นการสอนไดต้ ามความเหมาะสม

2.4 การกำหนดวิธีวัดและประเมินผลผู้เรียน เนื่องจากการพัฒนาหลักสูตร
จุดประสงค์ชัดเจนที่กำหนดความคาดหวังในคุณลักษะต่าง ๆ ที่ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน รวมท้ัง
วธิ ีการดำเนินการเพ่ือใหบ้ รรลจุ ุดประสงค์ที่กำหนดไว้ การที่ผู้ใช้หลกั สูตรหรือครูทราบว่าผลท่ีเกิดจาก
การจดั การเรียนการสอนเป็นอยา่ งไร มสี ่งใดท่ีตอ้ งปรับปรุง แก้ไข ผเู้ รียนได้บรรลตุ ามจุดประสงค์ท่ีต้ัง
ไว้หรือไมเ่ พียงใดนั้น ต้องมีวธิ กี ารวดั และประเมินผลการเรียนรู้ของผูเ้ รียน รวมทงั้ เครอื่ งมือทใ่ี ชว้ ดั และ

132

ประเมนิ ผล ซงึ่ การวัดและประเมินตอ่ ผ้สู อนท่ีช่วยแก้ไขข้อบกพร่องของผ้เู รียนรวมท้ังตวั ผูส้ อนเองช่วย
ให้ผู้สอนทราบคุณภาพการจัดการเรียนการสอน ซึ่งรวมถึงคุณภาพของหลักสตู ร นำไปสู่การปรับปรุง
หลักสูตรให้เหมาะสมยิ่งขึ้น ซึ่งการวัดและประเมินผลผู้เรียนมีทั้งก่อนการจัดการเรียนการสอน
ระหว่างและสนิ้ สดุ การจัดการเรียนการสอน แล้วแต่ความเหมาะสม

ขน้ั ที่ 3 การตรวจสอบคณุ ภาพของหลกั สูตร
เมื่อร่างหลักสูตรเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะนำไปใช้กับนักเรียน จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ

คุณภาพของหลักสูตรก่อน เพื่อหาข้อบกพร่องและปรับปรุงแก้ไขให้เหมาะสมและสมบูรณ์ที่สุด สิ่งท่ี
ต้องพิจารณาในการตรวจสอบคุณภาพของหลกั สูตรคือ ความสอดคลอ้ งขององคป์ ระกอบต่าง ๆ ได้แก่
จุดประสงค์ เนื้อหาสาระ การจัดการเรียนการสอน กิจกรรมและสื่อการเรียนรู้ วิธีวัดและประเมินผล
ผูเ้ รยี น ซงึ่ วธิ ีการตรวจสอบกระทำไดโ้ ดย

1. คณะทำงานร่างหลักสูตร เป็นกลุ่มบุคคลที่พัฒนาหลักสูตรขึ้นมา เช่น คณะครู
ผบู้ รหิ ารผู้ปกครอง คนในชมุ ชน เปน็ ผู้ให้ความคิดเห็นและขอ้ เสนอแนะ

2. ผเู้ ชย่ี วชาญ ซงึ่ อาจเปน็ ผเู้ ชยี่ วชาญในด้านตา่ ง ๆ เชน่ ดา้ นเนื้อหาสาระ ด้านส่อื การ
เรยี นรู้ ดา้ นหลักสูตรและการสอน เป็นผ้ใู ห้ความคิดเหน็ และข้อเสนอแนะ

3. การรับฟังความคิดเห็นของผู้มีส่วนเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจอยู่ในลักษณะของการจัด
ประชมุ /สัมมนา เพอื่ รับฟงั ขอ้ คิดเหน็ และข้อเสนอแนะ เพอ่ื นำสูก่ ารปรับปรงุ หลักสตู ร

ขนั้ ที่ 4 การนำหลกั สตู รไปใช้
หลังจากที่มีการตรวจสอบคุณภาพของหลักสูตรละปรับปรุงแก้ไขหลักสูตรที่ร่างขึ้นมา

เรียบร้อยแล้ว ขั้นต่อไปคือ การนำหลักสูตรไปใช้ ซึ่งเป็นขั้นตอนที่มีความสำคัญมาก ครูที่เป็นผู้
ปฏิบัติการหลักในการพัฒนาหลักสูตรเป็นผู้นำหลักสูตรไปใช้ ด้วยการแปลงหลักสูตรไปสู่การสอน
ครูกำหนดวิธีการจัดการเรียนการสอน กำหนดรายละเอียดกิจกรรมในแต่ละคาบ พร้อมทั้งจัดเตรียม
วัสดุอุปกรณ์ต่าง ๆ การประสานงานกับบุคคลที่จะเข้ามาช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ รวมทั้งการ
จัดเตรียมส่ือการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับสภาพของชมุ ชน

จากภาพสรุปขา้ งตน้ พบว่า การนำหลักสูตรไปใช้ สงิ่ ทตี่ ้องคำนึงถึงส่ิงแรกคือ จดุ ประสงค์
ของหลักสูตรที่พัฒนาขึ้นมากำหนดไว้ว่าอย่างไรหลังจากนั้นจึง พิจารณาจุดประสงค์เชิงพฤติกรรมท่ี
ต้องการให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนนำมาสู่การ จัดการเรียนการสอน/กิจกรรมในแต่ละคาบและในการจัด
กิจกรรมจำเป็นต้องคำนึงถึง สื่อที่ใช้ในการจัดการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ซึ่งสื่อการ
เรียนรู้ได้แก่ เอกสาร/ตำรา แบบฝึกหัด โสตทัศนูปกรณ์ ต่าง ๆ นอกจากนั้นยังสามารถเรียนรู้จาก
แหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ เช่น จากบุคคลได้แก่ ครู วิทยากรในและนอกชุมชน สถาบันทางสังคม ได้แก่
โรงเรียน กลุ่มโรงเรียน สมาคมต่าง ๆ ธนาคาร/มูลนิธิ ฯลฯ หรือเรียนรู้จากแหล่งเรียนรู้ที่อยู่ตาม
ธรรมชาติ ไดแ้ ก่ ป่าไม้ แม่น้ำ ลำคลอง ทะเล ภูเขา เหล่านั้นเป็นตน้

เพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการจัดการเรียนการศึกษาตามพระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติ พ.ศ.2542 ตามมาตรา 22 ซึ่งบัญญัติไว้ว่า “การจัดการศึกษาต้องยึดหลังว่า ผู้เรียนทุกคน
มีความสามารถเรียนรู้และพัฒนาตนเองได้ และถือว่าผู้เรียนมีความสำคัญที่สุด กระบวนการจัดการ
ศึกษาตอ้ งส่งเสริมให้ผ้เู รยี นสามารถพัฒนาตามธรรมชาติและเต็มตามศักยภาพ” การนำหลักสูตรไปใช้

133

จดั การเรยี นการสอนใหผ้ ้เู รียนได้เรียนรู้ ซงึ่ ในทีน่ ี้ การเรียนรู้ หมายถงึ การปรบั เปลยี่ นไปในทางที่ดีข้ึน
การจดั การเรยี นการสอนใหผ้ ู้เรยี นไดเ้ รียนรู้ ตามนัยแหง่ พระราชบญั ญตั ิการศกึ ษาแหง่ ชาติ มดี ังน้ี

1. การเรียนรู้โดยสรา้ งองค์ความรู้ด้วยตนเอง หมายถึง การเรียนรู้ที่เป็นกระบวนการ
สร้างประสบการณ์และสิ่งต่าง ๆ ให้มีความหมายต่อตนเองจากปฏิสัมพันธ์กับสิ่งแวดลอ้ ม โดยการใช้
กระบวนการคิดและแสวงหาความรู้ควบคู่ไปกับการปฏิบัติจริง ให้ผู้เรียนค้นพบข้อความรู้และ
ประสบการณ์ด้วยตนเอง ครูเป็นผู้อำนวยการเรียนรู้ จัดโอกาส จัดบรรยากาศสิ่งแวดล้อมและแหล่ง
วิทยาการ ใหเ้ ออ้ื ต่อการสรา้ งแรงจงู ใจให้เกดิ การเรียนรู้

ขอบเขตเนื้อหาของการเรียนรู้โดยสร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองคือ การฝึกทักษะ
กระบวนการคดิ วิเคราะห์ การสรา้ งแรงจงู ใจให้เกิดการใฝ่รู้ใฝ่เรียน

กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม (participatory
learning : pl) กระบวนทางปญั ญา 10 ขน้ั ของ ศ. นพ.ประเวศ วะสี ซึง่ ไดแ้ ก่ การสงั เกต การบันทึก
การนำเสนอ การฟัง การถาม-ตอบ การตั้งสมมติฐาน การค้นหาคำตอบ การวจิ ัย การเช่อื มโยง การบูร
ณาการ และการเรียบเรียง

2. การเรียนรู้เรื่องของตนเอง ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม หมายถึง การเรียนรู้เพ่ือ
เชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายและจิตใจของตนเอง การรับรู้และตระหนังในตนเองสามารถ
ปรบั เปลย่ี นทศั นคตแิ ละพฤติกรรมใหส้ อดคล้องกับคา่ นยิ มท่ีดีงาม ยึดมน่ั ในคณุ ธรรมจริยธรรม มคี วาม
เพียรพยายามในการทำความดี การเสริมสร้างลักษณะนิสัยและสุนทรียภาพความดีงามในตนเอง
การเรียนรู้เพ่ือให้สามารถดำรงชวี ิตอยู่ได้อย่างสอดคล้องเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม การตระหนักถึง
คณุ คา่ และพฒั นาคุณภาพของธรรมชาติส่ิงแวดล้อมอย่างย่ังยนื ขอบเขตเนื้อหา ไดแ้ ก่ การเรียนรู้เรื่อง
ตนเองทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ การเรียนรู้เกี่ยวกับธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเรื่อง
ศิลปวัฒนธรรม กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้ในสถานการณ์จริง การฝึกปฏิบัติ
(learning by doing) การเรยี นรู้แบบมีส่วนร่วม การฝกึ ทกั ษะกระบวนการคดิ

3. การเรยี นรทู้ ่มี ่งุ พัฒนาทักษะการดำรงชีวิตและการประกอบอาชพี
3.1 การเรียนรูท้ ี่มุ่งพัฒนาทักษะการดำรงชีวิต หมายถึง การเรียนรู้ท่ีทำให้ผ้เู รียน

มที ักษะชีวติ ทีส่ ำคัญจำเป็นคอื การรู้จักคิดวเิ คราะหว์ ิจารณ์ มีความคดิ สร้างสรรค์ มคี วามตระหนักรู้ใน
ตน มีความเห็นใจผู้อื่น มีความภูมิใจในตนเอง มีความรับผิดชอบต่อสังคม รู้จักการสร้างสัมพันธภาพ
และการสื่อสาร รู้จักตัดสินใจและแก้ปัญหา รู้จัดการจัดการกับอารมณ์และความเครียด ขอบเขต
เนื้อหาประกอบดว้ ยทักษะชวี ิตทีส่ ำคัญและจำเป็นข้างต้น รวมทั้งการเรียนรู้เรือ่ งเพศศกึ ษา การเลือก
บริโภคสอ่ื ยาเสพตดิ ศกึ ษา ทักษะการเป็นผนู้ ำ ผตู้ าม การเรยี นร้คู วามแตกต่างระหว่างเพศ การแก้ไข
ความขัดแย้งและความรนุ แรงในครอบครวั และสงั คม

3.2 การเรียนรู้ที่มุ่งพัฒนาทักษาการประกอบอาชีพ หมายถึง การเรียนรู้เพื่อ
ค้นพบและใช้ศักยภาพของตนเพื่อเตรียมตัวประกอบอาชีพให้เหมาะกับตนเอง รู้จักวิธีเลือกประกอบ
อาชีพสุจริตเหมาะสม สามารถพึ่งตนเองและเลี้ยงตนเองได้อย่างพอเพียงแก่อัตภาพขอบเขตเนื้อหา
ประกอบด้วยทกั ษะเกี่ยวกบั การสร้างนิสยั รักการทำงาน มีความขยันหม่ันเพียร มคี ุณธรรม 4 ประการ
คือ ความอดทน ความซ่ือสัตย์ รูจ้ กั เสียสระและความรบั ผดิ ชอบต่อตนเองและสว่ นรวม รู้จักแก้ปัญหา

134

รวมทักษะในการจัดการ กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วม การฝึก
ปฏิบัตจิ รงิ การสาธติ การทดลอง (Experimentation)

4. การเรียนรู้ที่มุ้งพัฒนากระบวนการคิด การแก้ปัญหาโดยเน้นประสบการณ์และ
การฝึกปฏิบัติ หมายถึง การใช้ทักษะการคิดเพื่อค้นหาคำตอบในสถานการณ์ต่าง ๆ โดยอาศัย
ประสบการณ์และฝึกปฏิบัตจิ รงิ เพื่อสามารถเผชิญและผจญกับปัญหาและการจัดการกบั ภาวะต่าง ๆ
ได้อย่างเหมาะสมเป็นประโยชน์กับตนเองและส่วนรวมขอบเขตเนื้อหาของการเรียนรู้ที่พัฒนา
กระบวนการคิด การแก้ปัญหาจากประสบการณ์และการฝึกปฏิบัติ โดยการสังเกต การเปรียบเทียบ
การตั้งคำถาม แปลความหมาย ตีความ ขยายความ อ้างอิง คาดคะเน การสรุปความคิดสร้างสรรค์
และกระบวนการคิดวิเคราะห์ กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การเรียนรู้จากการปฏิบัติจริง
การเรียนรู้แบบมีส่วนร่วมการใช้กระบวนการแก้ปัญหา กระบวนการกลุ่ม (Group Process)
กระบวนการทางปัญญา

5. การเรียนรู้โดยผสมผสานความรู้ คุณธรรม ค่านิยม คุณลักษณะอันพึงประสงค์
หมายถึง การเรียนรู้ที่มุ้งให้ความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ ควบคู่กับการพัฒนาตนเองทางจิตใจ บุคลิกภาพ
และลักษณะนิสัยขอบเขตเนื้อหาคือ ความรู้ในศาสตร์ต่าง ๆ เช่น วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์
สงั คมศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และมนษุ ยศาสตร์ ตลอดการเรยี นร้เู ก่ียวกับมารยาท วิธีปฏบิ ัติตนทางกาย
วาจาใจ ความมีสติสัมปชัญญะ การมีคุณธรรมสำคัญ ความรักในเพื่อนมนุษย์ ธรรมชาติและ
สิ่งแวดล้อมการพัฒนาจิตใจ บุคลิกภาพและลักษณะนิสัย กลยุทธ์ และเครื่องมือการเรียนรู้
เชน่ การบรู ณาการการฝกึ ปฏบิ ตั ิจรงิ การเรียนรูแ้ บบมีส่วนรว่ ม

6. การฝึกการเรียนรู้ที่มุ้งพัฒนาประชาธิปไตย หมายถึง การเรียนรู้ในเรื่องสิทธิ
เสรีภาพความเสมอภาคและการปฏิบัติตามหน้าที่ของตน การเคารพให้สิทธิเสรีภาพของผู้อื่น โดย
คำนึงถึงความคิดเห็นและผลประโยชน์ของส่วนร่วมเป็นหลัก ขอบเขตเนื้อหาคือ ความรู้ความเข้าใจ
ความศรัทธาในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ความรักและ
หวงแหนในสิทธิเสรีภาพของตน การเคารพในสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ความเป็นพลเมืองดี การรักษา
ประโยชนส์ ่วนร่วม กลยุทธ์และเครื่องมือการเรียนรู้ เช่น การฝึกปฏิบัติจริง การเรียนรู้แบบมสี ว่ นร่วม
การฝึกกระบวนการคิดวเิ คราะห์ การเรยี นจากสถานการณจ์ ำลอง (Simulation)

7. การเรียนรู้เรื่องภูมิปัญญาและศิลปวัฒนธรรม หมายถึง การเรียนรู้เพื่อให้เกิด
ความรู้ความเขา้ ใจ และความ ตระหนังในคุณค่าของความรู้ต่าง ๆ ที่ได้คิดค้นและสั่งสมประสบการณ์
โดยภูมิปัญญาไทย ตลอดจนมีความรัก ชื่นชมและหวงแหนในคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมไทย สามารถ
นำไปใช้ประโยชน์ในชีวิตและสืบสานให้ยั่งยืน ตลอดจนเชื่อมโยงสู่สากขอบเขตเนื้อหา เกี่ยวข้องกับ
ศาสตร์สาขาต่าง ๆ ได้แก่ เกษตรกรรม อุตสาหกรรมและหัตกรรม การแพทย์แผนโบราณ
ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ธุรกิจชุมชน สวัสดิการ ศิลปกรรม การจัดการองค์กร ภาษาและ
วรรณกรรม ศาสนาและประเพณี การศกึ ษา กีฬาและนันทนาการกลยทุ ธ์และเครอ่ื งมือการเรียนรู้ เชน่
การเรียนรู้จากครอบครัว ชุมชน ท้องถิ่น ภูมิปัญญา และปราชญ์ชาวบ้าน การเรียนรู้โดยปฏิบัติจริง
การเรยี นรู้แบบมีสว่ นรว่ มกระบวนการคิดวเิ คราะห์

8. การวิจัยเพื่อพัฒนาการกระบวนการเรียนรู้ หมายถึง การศึกษารวบรวมข้อมูลเพื่อ
นำมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ สรุปผล เพื่อแก้ไขปัญหาและกระบวนการเรียนรู้ของสถานศึกษากลยุทธ์


Click to View FlipBook Version