The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by nok26644, 2022-08-15 06:11:40

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

บูรณาการการศึกษาและการจัดการเรียนรู้ (ต้นฉบับ)

185

กว่าเดิมสำหรบั ตอ้ งการฝึกทักษะให้กับผู้เรียนท่ีผ่านเกณฑแ์ ล้ว โดยอาจจะใหท้ ำท่ีบา้ นหรือที่โรงเรียน
ขึ้นอยกู่ บั สภาพการณ์และความเหมาะสม

8) การเฉลยข้อสอบ เปน็ การสอนซ่อมเสริมวิธหี นง่ึ กับเด็กทั้งช้ัน โดยไม่แบง่ เป็นกลุ่ม เก่ง
กลุ่มอ่อน ผลดีส่วนใหญ่มักจะตกอยู่กับพวกเด็กที่เก่งอยู่แล้ว ส่วนพวกเด็กอ่อนจะไม่ค่อยได้อะไร
เพมิ่ เตมิ จากเดมิ เทา่ ใดนัก อย่างมากกไ็ ด้แตเ่ พยี งรวู้ ่าทำไมจึงผิดเทา่ นนั้ เอง เพราะวิธีการ เฉลยข้อสอบ
ของครูที่ปฏบิ ตั ิกันท่ัว ๆ ไป มักจะผ่านไปเร็วๆ โดยไม่ค่อยได้เฉลยข้อข้องใจใหก้ ระจ่างเท่าใดนัก และ
เด็กที่เรียนอ่อนส่วนมากก็ไม่ค่อยกล้าซักถาม แต่จะมีผลพลอยได้กับเขา บ้างก็ตอนที่พวกเด็กเก่งที่
บงั เอิญผดิ เหมือนกัน เดก็ เก่งจะซักถามอย่างละเอียดลออจนหมด ความสงสัย ชว่ งน้ีจะเป็นช่วงเวลาท่ี
ครจู ะอธิบายไดเ้ ป็นย่างดีเพราะความรสู้ ึกของครูมแี นวโนม้ ท่อี ยากจะสอนเด็กเกง่ อยู่แล้วซ่ึงอาจทำให้
ผู้เรียนที่อ่อนมองดูว่าครูที่สอนไม่ค่อยจะยุติธรรม ดังนั้น ครูควรใช้การเฉลยข้อสอบให้เป็นเรื่องของ
การสอนซ่อมเสริม เพื่อจะได้แก้ไข ข้อบกพร่องของผู้เรียนได้โดยเปลี่ยนวิธีการเสียใหม่เพียงเล็กน้อย
คือนาผลวิเคราะห์จากกระดาษ คำตอบของเด็กประมวลเข้าด้วยกัน แล้วหาความถี่ดูว่าเนื้อเร่ืองตอน
ใดที่เด็กผิดกันมากที่สุด ควรจะเน้นเรื่องนั้นให้มาก เสมือนหนึ่งเป็นการสอนทบทวนเรื่องนั้นใหม่อีก
ครง้ั หนึง่ ซ่ึงไม่ตอ้ ง คานงึ ถงึ เด็กเก่งอ่อน ใชว้ ิธีการสอนแบบเดยี วเหมือนกันหมดทงั้ ช้นั และสิ่งที่สำคัญ
คอื ครทู สี่ อนจะต้องพยายามซักถามพวกเด็กอ่อนแบบจี้เปน็ รายตัวเลย จะชว่ ยใหเ้ ด็กอ่อนมโี อกาสซ่อม
เสรมิ สิง่ ทบี่ กพร่องให้สมบรู ณท์ ่ัวถงึ กนั

9) การสอนใหม่วิธีนีค้ ล้ายๆ กบั การสอนกวดวชิ า คือคัดเดก็ กลมุ่ อ่อนที่ทำผิดเหมือนๆ กนั
หรอื ใกลเ้ คียงกันมารบั การสอนใหม่เฉพาะเจาะจงเปน็ บางเรอ่ื งที่ทำผิดเทา่ นัน้ แต่ทัง้ นีจ้ ะตอ้ ง ภายหลงั
ที่ครูได้วิเคราะห์อย่างถ่องแท้แล้วว่า เด็กทำผิดเพราะไม่มีความรู้ความเข้าใจเลยจริง ๆ มิได้เกิดจาก
ความบกพร่องของข้อสอบ ในการนาเรื่องราวที่เคยสอนแล้วมาสอนทบทวนให้ใหม่นี้ครูจะต้อง
เปลี่ยนแปลงวิธีดำเนินการสอนให้แปลกไปจากเดิมอีกด้วย เช่น เคยสอนด้วยวิธีอธิบายหรือบรรยาย
ด้วยปากเปล่า เวลาสอนซ่อมเสริมอาจจะต้องเปลี่ยนเป็นวิธีใช้อุปกรณ์มาประกอบในการเรียนรู้หรือ
สาธิตให้ผู้เรียนเกิดความเข้าใจอย่างแท้จริง เพราะผู้เรียนในแต่ละชั้นจะมี ระดับของสติปัญญา
แตกต่างกัน เมื่อครูอธิบายด้วยปากเปล่า เด็กที่ฉลาดสามารถสร้างภาพ สำเร็จและทำความเข้าใจได้
อย่างรวดเร็ว ส่วนเด็กอีกกลุ่มหนึ่งที่ฉลาดน้อยกว่า อาจจะถามผู้สอน ไม่ทัน เกิดความคลุมเครือ
เขา้ ใจบ้างไมเ่ ขา้ ใจบา้ ง คอื เขา้ ใจแบบคร่งึ ๆ กลางๆ เมื่อเวลาผา่ น ไปนาน ๆ ความรคู้ วามเข้าใจท่ีได้ไว้
ครึง่ เดยี วกห็ ายไป

สรุปการสอนเสริมให้กับผู้เรียนเป็นกลุ่มใหญ่หรือทั้งห้องซึ่ง จะมีวิธีการและแนวทาง
หลากหลายรูปแบบ แต่ในบางกรณีครูผู้สอนจำเป็นที่จะต้องพิจารณาผู้เรียน เป็นรายบุคคลด้วย
โดยใช้วิธีศึกษาเด็กเป็นรายกรณี (Case study) ดูว่าเด็กคนใดที่มีปัญหาหรือ อาจจะเป็นกลุ่มย่อยที่มี
ปญั หาด้านการเรยี น และจัดซ่อมเสริมให้เปน็ รายบุคคล หรือกลมุ่ ยอ่ ยซ่งึ ครูอาจจะใช้เวลาช่วงเช้าก่อน
เข้าเรยี นหรอื ชว่ งตอนพกั เทีย่ ง หรืออาจจะเปน็ เวลาหลังเลกิ เรยี นเหตุทีค่ รูจาเปน็ จะต้องสอบซ่อมเสริม
ผู้เรียนเป็นรายบุคคล หรือเป็นกลุ่มย่อย รวมทั้งอาจสอนเป็นกรณีพิเศษเพื่อเพิ่มเติมความรู้ให้กับ
ผู้เรียนเหล่านี้อีก เนื่องด้วยเหตุผลจากอิทธิพลของสิ่งต่าง ๆ ที่มีต่อการเรียนรู้นั้น ผู้เรียนอาจได้รับที่
ต่างกันจึงทำให้ผลการเรียนรู้แตกต่างกัน อย่างไรก็ตามวิธีการและเทคนิคต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นอยู่กับ

186

ครูผู้สอนและสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ รวมทั้งตัวผู้เรียนด้วย ซึ่งการสอนซ่อมเสริมอาจจะผนวกหลายๆ
วธิ เี ข้าด้วยกันกไ็ ดแ้ ตใ่ นทา้ ยสุดตอ้ งใหผ้ ูเ้ รียนเกดิ การเรยี นรู้ใหไ้ ด้มากทีส่ ดุ เทา่ ท่จี ะเรียนรู้ได้

4. หลกั ของการสอนเสริม
การสอนซ่อมเสริมเป็นการสอนที่นอกเหนือจากการสอนตามแผนการจัดการเรียนรู้ปกติ

เป็นการสอนเพื่อปรับปรุงแก้ไข ข้อบกพร่องทางการเรียนของผู้เรียน ซึ่งครูผู้สอน ควรยึดหลัก ดังน้ี
(พกิ ลุ แซเ่ จน, 2560, หนา้ 42)

1) เนอ้ื หาสอดคลอ้ งกับสภาพปญั หาของผูเ้ รียน
2) เลือกใชว้ ธิ ีสอนหลากหลาย และแตกต่างจากการสอนปกติ
3) จัดกลมุ่ ย่อยผเู้ รียนที่มีปัญหาเดียวกนั เพื่อให้ผเู้ รียนได้ช่วยเหลอื ซงึ่ กนั และกัน
4) ไมค่ วรสอนในสิ่งทผ่ี เู้ รยี นรแู้ ลว้ ซำ้ อกี
5) กระตุน้ และเสรมิ กำลังใจใหผ้ ูเ้ รยี นขณะสอน
6) การทบทวนความรเู้ ดมิ เพอ่ื ให้ต่อเนื่องกบั ความรูใ้ หม่ต้องใชร้ ะยะเวลาส้ันๆ
7) การสอนอยูใ่ นหลกั การของการ ยำ้ ซำ้ ทวน
5. ประสิทธิภาพของการสอนเสรมิ
จำนง พรายแย้มแข (2553, หน้า 42-43) กล่าวว่าเนื่องจากความแตกต่างระหว่าง
บุคคลของผู้เรยี นท่ีต่างกนั ซึ่งผเู้ รยี นบางคนเรยี นดแี ละ ไปไดเ้ ร็ว บางคนเรียนชา้ ด้วยเหตุนจ้ี งึ จำเป็นที่
ครูควรจะใหค้ วามสนใจผูเ้ รยี นท้งั สองประเภทนี้เปน็ พิเศษ โดยช่วยเหลอื แก้ไขผเู้ รียนท่ีมขี อ้ บกพร่องใน
การเรียน และส่งเสริมเพิ่มพูนความรู้ให้ผู้เรียนที่เรียนดีซึ่งการสอนเสริมสามารถเพิ่มประสิทธิภาพได้
ดงั น้ี
1) ชว่ ยแกไ้ ขข้อบกพรอ่ งทางการเรยี นของผู้เรียนออ่ น หรือมปี ัญหาทาง ด้านการเรียน
ในบางเรื่อง
2) ช่วยใหผ้ ้เู รยี นทเ่ี รยี นช้ามีความเข้าใจทัดเทียมกบั ผู้เรยี นอ่ืน ๆ
3) ช่วยส่งเสริมเพมิ่ พนู ความร้ผู ูเ้ รียนทีเ่ รียนดใี หม้ คี วามรู้ความสามารถยิ่งขึน้ ไป
4) ช่วยใหผ้ ้เู รยี นมพี ฒั นาการเพมิ่ ขนึ้ จนสดุ ความสามารถของตน
5) ชว่ ยลดอตั ราการสอบตกซำ้ ช้ันของผูเ้ รยี น
6) ช่วยให้ผู้เรยี นสามารถผา่ นเกณฑก์ ารประเมนิ ผลรายวชิ า
7) ช่วยใหก้ ารจดั การเรยี นการสอนบรรลเุ ป้าหมายของหลักสตู ร การจัดการเรยี นรวู้ ิชา
ต่าง ๆ
8) เริ่มตั้งแต่ผู้สอนดำเนนิ การจัดการเรียนรู้ใหเ้ ป็นไปตามกระบวนการจัดการเรียนรู้ท่ี
ออกแบบไว้
การทีจ่ ะจดั การเรยี นรใู้ หเ้ กดิ ประสิทธภิ าพ ผูส้ อน จะต้องร้เู นอ้ื หาสาระของบทเรยี นรู้วิธีการที่
จะนาวิธีสอนแบบที่เหมาะสมหรือเทคนิคตลอดจน กลวิธีในการสอนวิชานั้น ๆ เพื่อให้การจัดการ
เรียนรู้เป็นไปตามจุดประสงค์การเรียนรู้ท่ีกำหนด ต่อจากนั้นก็ทดสอบเพื่อวัดผลสัมฤทธิใ์ นการเรยี นรู้
ของผูเ้ รียนด้วยวิธกี ารตา่ ง ๆ แลว้ จึงนำผลการทดสอบท่ีได้มาประเมินตามเกณฑท์ ่ีกำหนดไวใ้ นรายวิชา
นั้น ๆ และถ้าผลการประเมินยังไม่ถึงเกณฑ์ที่ตั้งไว้ ครูผู้สอนจะต้องสอนซ่อมเสริมเพื่อแก้ไข
ข้อบกพร่องของผู้เรียนให้สำเร็จ จึงจะนับว่าครูได้ดำเนินการครบกระบวนการจัดการเรียนรู้อย่าง

187

แท้จริง การสอนเสริมเป็นวิธีการในการแก้ไขปัญหาของนักเรียนและนักศึกษาที่เรียนอ่อน หรือ
ตอ้ งการเรยี นรเู้ พมิ่ เตมิ จากในห้องเรียน (พกิ ุล แซ่เจน, 2560, หนา้ 43)

การนำการสอนเสรมิ ไปใชใ้ นการจดั การศึกษา

ชาตรี วงศ์มาสา (2553, หน้า 8) ได้ทำการนำรูปแบบและวิธีการสอนเสริมมาใช้ในการจัด
การศึกษา 2 รูปแบบ คือ การสอนเสริมแบบเผชิญหน้า (Face to Face) หรือแบบดั้งเดิม และการ
สอนเสรมิ แบบผา่ นสื่อหรอื การสอนเสริมแบบสมยั ใหม่ ดงั น้ี

รูปแบบที่ 1 การสอนเสริมแบบเผชิญหนา้ การสอนเสริมแบบเผชญิ หน้า
การสอนเสริมแบบเผชิญหน้า การสอนเสริมแบบเผชิญหนา้ หมายถึง การสอนเสริมที่

อาจารย์สอนเสริมเดินทางไปพบผู้เรียนตามวัน/เวลาและสถานที่ที่กำหนด แบ่งตามลักษณะของการ
เข้ารว่ มกจิ กรรมเปน็ 2 ลักษณะ ดังน้ี

1. การสอนเสรมิ ประจำภาคการศกึ ษา
2. การสอนเสริมกรณพี ิเศษ แบ่งเปน็

1) การสอนเสรมิ ในเรือนจำ/ทณั ฑสถาน
2) การสอนเสรมิ โดยการนดั หมาย
3) การสอนเสริมตามโครงการความรว่ มมอื
3. กจิ กรรมเพ่ือเพิม่ ประสิทธิภาพการเรยี นการสอน (การสอนเสริมแบบเขม้ )
รปู แบบท่ี 2 การสอนเสรมิ แบบผ่านส่อื
การสอนเสริมผ่านสื่อ หมายถึง การสอนเสริมที่ผู้สอนถ่ายทอดเนื้อหาสาระผ่านสื่อ
เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยผู้สอนไม่ต้องเดินทางไปพบปะผู้เรียน แบ่งการสอนเสริมตามรูปแบบของส่ือ
เปน็ 3 ลักษณะ ดงั นี้
1. การสอนเสริมทางไกลผ่านดาวเทยี ม
2. การสอนเสรมิ ผ่าน VCD (VCD เพอ่ื เพิ่มประสทิ ธิภาพการเรยี นการสอน)
3. การสอนเสรมิ ผ่าน Internet
จิรายุทธิ์ อ่อนศรี (2560, หน้า 3) ได้การค้นคว้าเอกสารและวิจัยดังกล่าวข้างต้น ทำให้ผู้
ศึกษาค้นคว้าต้องการที่จะนำรูปแบการสอนเสริมมาใช้สอนในกลุ่มสาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และ
วิศวกรรมศาสตร์ สาขาวชิ าชา่ งอิเล็กทรอนิกส์ เรอ่ื ง จำนวนเชิงชอ้ น ระดับชน้ั ประกาศนียบัตรวิชาชีพ
ชน้ั ปีที่ 2 โดยพฒั นาแผนการจัดการเรียนรู้โดยใช้รปู การสอนเสรมิ เพื่อพฒั นาผสัมฤทธิ์ทางการเรียนให้
สงู ขั้น เพราะนา่ จะเปน็ วธิ ีทท่ี ำให้ผเู้ รียนเกดิ การเรยี นร้โู ดยการได้ลงมือปฏิบัตจิ รงิ เป็นการพฒั นาความ
สามรถของผู้เรียนในการคิดแก้ปัญหาโดยใช้กระบวนการแบบสอนเสริมให้ได้หมั่นฝึกการลงมือทำ
ทักษะด้านการคิด การคำนวณ การวิเคราะห์ ฝึกการแสวงหาความรู้สร้างองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
ตลอดจนฝึกการทำงานอย่างมีระบบ สุดท้ายผู้ศึกษาค้นคว้าหวังว่าผู้เรียนน่าจะเกิดค่านิยมและความ
พึงพอใจในการเรียนวิชาวงจรไฟฟ้ากระแสสลับ ส่งผลให้นักเรียนมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนเรื่อง
จำนวนเชงิ ซ้อนสงู ขน้ึ โดยได้ใชเ้ ทคนคิ การทำงานแบบมสี ว่ นร่วม มหี ลักการดังนี้

188

1.1 ขั้นนำเข้าสู่บทเรียน เพื่อเป็นการทบทวนบทเรียน กระตุ้นความสนใจนักเรียนได้มี
เจตคติที่ดีต่อการจัดกิจกรรมการสอนมีความรวดเร็ว มีความแม่นยำในการคิด การอภิปราย
การซกั ถาม การแก้ปญั หาเฉพาะหน้า

1.2 ขั้นกิจกรรม มุ่งเน้นให้นักเรียนร่วมทำกิจกรรม เพื่อสร้างความรู้ด้วยตนเอง โดยการ
แบ่งนักเรียนออกเป็นกลุ่ม ๆ แต่ละกลุ่มประกอบด้วยนักเรยี นเก่ง ปานกลางและอ่อนและให้นักเรยี น
รว่ มกนั ใชค้ วามคิดในการวเิ คราะห์ วิจารณ์ อภิปรายนำเสนอและร่วมกันสร้างวธิ ีการคิดท่ีหลากหลาย
โดยมีครูเปน็ ผูใ้ หค้ ำปรึกษาและประเมนิ ผลระหวา่ งการปฏบิ ัตงิ าน เพอ่ื ใหข้ ้อเสนอแนะในการปรับปรุง
และพัฒนาต่อไป

1.3 ขั้นวิเคราะห์ จะเน้นให้นักเรียนร่วมกนั วิเคราะหแ์ สดงความคิดเห็นและแสดงการหา
คำตอบตามกระบวนการทางวิศวกรรมศาสตร์ที่อาศัยการคำนวณเพื่อหาคำตอบที่ถูกต้องชิงจำนวน
เชิงซ้อนที่เป็นลำดับ รวมทั้งนำความรู้ที่ได้จากการทำกิจกรรม สรุปเป็นผลงานพร้อมทั้งเตรียมการ
อภิปราย

1.4 ชั้นสรุปและประเมินผล เน้นให้ครูและนักเรียนร่วมกันแสดงความคิด วิธีการหา
คำตอบตามข้นั ตอนของแต่ละบุคคล สรุปถึงวิธกี ารทีไ่ ดจ้ ากการทำกิจกรรมของแตบ่ ุคคล

1.5 วิเคราะหค์ ุณลักษณะท่ีเกิดขึ้นกบั ตวั ผู้เรียน ข้อดี ขอ้ เดน่ และขอ้ บกพร่องหลังการจัด
กิจกรรมการเรยี นรูท้ ่ีเน้นผู้เรียนเป็นสำคญั ลำดบั ข้ันตอนการนำเสนอบทเรยี น

จากแนวคิดการนำการสอนเสริมมาบูรณาการในการจัดการเรียนกาสอนนั้น ผู้เขียน
เล็งเห็นความสำคัญในการให้ความสำคัญเกี่ยวกับการสอนเสริมว่า ตัวครูเป็นส่วนสำคัญในการ
พิจารณาว่าจะสอนเสริมกับนักเรียนในรูปแบบวิธีใด โดยตัวครูควรมีการวิเคราะห์ปัญหาผู้เรียนท่ี
ต้องการความช่วยเหลือ อาจจพสอนเป้นกลุม่ หรือรายบคุ คล เพื่อหาสาเหตุหรือปัญหาเสียก่อน ควรมี
การวางแผนการสอน ออกแบบการสอน เทคนิคการสอน สอ่ื และแหลง่ เรียนรู้ในการสอนใหเ้ หมาะสม
กับผู้เรียน ครูควรมีการติดตามผลการพัฒนาของผู้เรียนอย่างใกล้ชิด สร้างแรจูงใจในการเรียนและท่ี
สำคัญครูควรใหความรัก เมตตา และเข้าใจผู้เรียน โดยนำหลักการจิตวิทยาการศึกษามาใช้ในการ
จัดการเรียนการสอนตอ่ ไป

บทสรุป

การจัดการเรียนรู้ คือ การจัดสถานการณ์สภาพการณ์หรือกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้มี
ประสบการณ์ อันก่อให้เกิดการเรียนรู้ได้ง่าย การอบรมผู้เรียนโดยการจัดกิจกรรม อุปกรณ์และการ
แนะแนวให้กับผู้เรียน การจัดประสบการณ์ให้แก่ผู้เรียน การช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้และ
ความสามารถในการนาความรู้นั้นไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ การจัดกิจกรรมต่าง ๆ ให้ผู้เรียนได้มีส่วน
รว่ ม การแนะแนวทางใหผ้ เู้ รียนค้นพบความรู้ดว้ ยตนเอง และการจดั สรรประสบการณ์ท่เี ลือกสรรแล้ว
เปน็ อยา่ งดี ให้กับผ้เู รียน เปน็ ตน้

ลักษณะการจัดการเรียนรู้ที่ดีเป็นกระบวนการปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้สอนกับผู้เรียนทำให้
ผู้เรียนเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตามจุดประสงค์ที่กำหนดไว้โดยการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมนี้
เป็นพฤตกิ รรมทงั้ 3 ดา้ น ไดแ้ ก่ ด้านความรู้ ความคิด หรือดา้ นพุทธิพิสยั ด้านทักษะกระบวนการ หรือ

189

ดา้ นทกั ษะพิสัย และดา้ นเจตคติ หรอื ดา้ นจติ พิสัย การจดั กจิ กรรมการเรียนรู้จะ ประสบผลสำเร็จได้ดี
ผูส้ อนตอ้ งมที ้ังความรู้ และเทคนคิ การสอนทห่ี ลากหลาย และครูตอ้ งมีคุณธรรมจริยธรรม

องค์ประกอบของการสอนว่า การตั้งจุดประสงค์การสอนเป็นองค์ประกอบสำคัญอันดับแรก
ของการสอน ทำใหผ้ ูส้ อนทราบวา่ จะสอนเพื่ออะไร ใหผ้ ู้เรยี นเกิดพฤติกรรมใดบ้าง การกำหนดเน้ือหา
องคป์ ระกอบขอ้ นี้ หมายรวมถงึ การเลือกและการจดั ลำดับเน้ือหาท่สี อนด้วย การกำหนดเน้อื หาจะทำ
ให้ผู้สอนได้ทราบว่าจะสอนอะไร การจัดกิจกรรมการเรียนการสอน และการวัดผลประเมินผล
องค์ประกอบขอ้ น้ีชว่ ยใหผ้ ู้สอนทราบว่า การสอนท่ีผ่านมานั้นบรรลุผลหรือไม่ มากน้อยเพียงใด

สมรรถนะที่สำคัญที่ครูควรจะมีควารู้ ทักษะ และความสามารถในตนเองที่สำคัญ ซ่ึง
ประกอบด้วย ความสามารถในการสร้างและพัฒนาหลักสูตร ความสามารถในเนื้อหาสาระที่สอน
ความรู้ความสามารถในการออกแบบการเรียนรู้ ความสามารถในการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่เน้น
ผู้เรียนเป็นสำคัญ ความสามารถในการใช้และพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการจัดการ
เรียนรู้เพื่อการจัดการเรียนรู้ ความสามารถในการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ และความสามารถใน
การทำการวิจยั ในชัน้ เรียน



191

บทที่ 8

การวัดและประเมินผลการเรยี นรู้

บทนำ

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ฉบับปรับปรุง 2560
เป็นหลักสูตรแกนกลางที่มุ่งการกระจายบทบาทหน้าท่ีให้สถานศึกษาเป็นผู้จดั ทำหลักสูตรดว้ ยตนเอง
จงึ ไดก้ ำหนดกรอบทศิ ทางในการจดั ทำหลกั สตู รของสถานศึกษา โดยมมี าตรฐานการเรยี นรู้และตวั ช้ีวัด
เป็นข้อกำหนดคุณภาพผู้เรียน แล้วให้สถานศึกษานำสาระและมาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัดจาก
หลักสูตรแกนกลางไปพัฒนาเป็นหลักสูตรของสถานศึกษาให้สอดคล้องกับสภาพปัญหาในชุมชน
และสังคม ภูมิปัญญาท้องถิ่น และคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ดังนั้นการประเมินผลการเรียนตาม
หลกั สตู รการศึกษาขัน้ พ้ืนฐานจึงต้องมีแนวปฏิบัติ การประเมนิ ให้สอดคล้องกับลักษณะของหลักสูตร
และสภาพการดำเนินงานของสถานศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจึงได้กำหนดแนวปฏิบัติการวัดและ
ประเมินผลตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ไว้เป็นแนวดำเนินการ
สำหรับสถานศึกษา

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนจุดมุ่งหมายพื้นฐานสองประการ
ประการแรกคอื การวดั และประเมนิ ผลเพ่อื พฒั นาผเู้ รยี น โดยเก็บรวบรวมขอ้ มูลเกยี่ วกับผลการเรียน
และการเรียนรู้ของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง บันทึก วิเคราะห์ แปล
ความหมายข้อมูล แล้วนำมาใช้ในการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของผู้เรียนและการสอน
ของครู การวดั และประเมนิ ผลกบั การสอนจึงเปน็ เรื่องที่สัมพันธ์กัน หากขาดสงิ่ หน่ึงสิง่ ใดการเรียนการ
สอนก็ขาดประสิทธิภาพ การประเมินระหว่างการเรียนการสอนเพื่อพฒั นาการเรียนร้เู ช่นน้ีเป็นการวัด
และประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) ที่เกิดขึ้นในห้องเรียนทุกวัน เป็นการ
ประเมินเพื่อให้รู้จุดเด่น จุดที่ต้องปรับปรุง จึงเป็นข้อมูลเพื่อใช้ในการพัฒนาในการเก็บข้อมูล ผู้สอน
ต้องใช้วิธีการและเครื่องมือการประเมินที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การชักถามการระดมความ
คิดเห็นเพื่อให้ได้มติข้อสรุปของประเด็นที่กำหนด การใช้แฟ้มสะสมงาน การใช้ภาระงานที่เน้นการ
ปฏิบัติ การประเมินความรู้เดิม การให้ผู้เรียนประเมินตนเอง การให้เพื่อนประเมินเพื่อน และการใช้
เกณฑก์ ารให้คะแนน (Rubrics) สิง่ สำคญั ทส่ี ดุ ในการประเมินเพือ่ พฒั นา คือ การใหข้ ้อมูลย้อนกลับแก่
ผู้เรียนในลักษณะคำแนะนำที่เชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทำให้การเรียนรู้พอกพูน แก้ไข
ความคิด ความเข้าใจเดิมที่ไม่ถูกต้อง ตลอดจนการให้ผู้เรียนสามารถตั้งเป้าหมายและพัฒนาตนได้
จุดมุ่งหมายประการที่สอง คือ การวัดและประเมินผลเพื่อตัดสินผลการเรียน เป็นการประเมิน
สรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment) ซึ่งมีหลายระดับ ได้แก่ เมื่อเรียนจบหน่วยการเรียน
จบรายวิชาเพื่อตัดสินให้คะแนน หรือให้ระดับผลการเรียน ให้การรับรองความรู้ความสามารถของ
ผู้เรียนว่าผ่านรายวิชาหรือไม่ ควรได้รับการเลื่อนชั้นหรือไม่ หรือสามารถจบหลักสูตรหรือไม่ ในการ
ประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนที่ดีต้องให้โอกาสผู้เรียนแสดงความรู้ความสามารถด้วยวิธีการที่

192

หลากหลายและพิจารณาตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์ผลการปฏิบัติมากกว่าใช้เปรียบเทียบระหว่าง
ผู้เรียน

ดังนั้นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้จึงเป็นกระบวนการที่สำคัญอย่างหนึ่งที่ใช้ในการให้
ข้อมูลยอ้ นกลับเพ่ือพัฒนาการจดั การเรยี นการสอนที่ส่งเสริมให้ผเู้ รียนเกิดทกั ษะการเรียนรู้ ผู้เขียนขอ
นำเสนอ เนื้อหาเกี่ยวกับ การวัดประเมินผล ดังนี้ 1) หลักเบื้องต้นการวัดและการประเมินผล
การศกึ ษา 2) ความหมายของการทดสอบ การวดั ผล และการประเมนิ ผล 3) แนวคดิ ในการวดั ผลและ
ประเมินผลการเรียนรู้ 4) หลักการดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 5) องค์ประกอบของการ
วัดและประเมินผลการเรียนรู้ตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑
6) เครื่องมือวัดและประเมินผลการเรียนรู้ 7) หลักการของการวัดและประเมินผลการศึกษา
8) ประโยชนข์ องการวดั และประเมินผล และ 9) การบรู ณาการการวัดผลและประเมนิ ผลไปใช้

หลกั เบอ้ื งตน้ การวดั และการประเมนิ ผลการศึกษา

Stanley and Hopkin (1972, p. 6) ได้กล่าวถึง การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเป็น
กระบวนการทีจ่ ะสง่ เสริมให้ผู้เรียนเกดิ การเรยี นร้ทู ั้งทางดา้ นพุทธิพิสัยหรือสติปัญญา ด้านจิตพิสัยหรือ
ดา้ นจติ ใจ และดา้ นทักษะพสิ ัยหรือดา้ นการปฏิบัติ ให้เป็นไปตามมาตรฐานการเรยี นรู้หรือจุดประสงค์
การเรียนรู้ ซึ่งองค์ประกอบของการจัดการเรียนการสอนมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ส่วนได้แก่
จุดประสงค์การเรียนรู้ (Learning Objective) กิจกรรมการเรียนการสอน (Learning Experience)
และการวัดและประเมินผล(Evaluation) กล่าวคือ ในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใด ครูผู้สอน
จะต้องเริ่มต้นที่การกำหนดจุดประสงค์การเรียนรู้เพื่อเป็นเป้าหมายให้ผู้เรี ยนหลังจากนั้นจะต้อง
ดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่สอดคล้องเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้นั้น และ
ท้ายที่สุดจะต้องมีการวัดและประเมินผลว่าผู้เรียนได้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่ เพื่อที่จะได้
นำไปปรับปรุงจุดประสงค์การเรียนรู้ และมีการเรียนการสอน กล่าวได้ว่า การวัดและประเมินผล
จะตอ้ งเกิดขึน้ ระหว่างการเรยี นการสอนโดยท่ีองค์ประกอบทง้ั 3 ส่วนจะมคี วามสมั พันธ์กนั ในลักษณะ
มปี ฏสิ มั พนั ธซ์ ง่ึ กนั และกันตามแนวคิดของไทเลอร์ ดงั ภาพที่ 61

จดุ ประสงคก์ ารเรียนรู้

กจิ กรรมการเรยี นการสอน การวัดและประเมนิ ผล

ภาพประกอบ 61 ความสัมพันธร์ ะหว่างองคป์ ระกอบของการเรยี นการสอนตามแนวคิดของไทเลอร์
ท่ีมา : Stanley and Hopkin, 1972 : 6

จากภาพจะเห็นว่าขั้นตอนของการประเมินผลเป็นขั้นตอนสุดท้ายของการจัดการเรียนการ
สอนที่จะต้องทำการวัดและประเมินผลเพื่อประเมินผู้เรียนให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติ การศึกษา

193

แห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 26 ได้กำหนดว่าให้สถานศึกษาได้จดั การประเมนิ ผลผ้เู รยี นโดยพิจารณา
จากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติการ สังเกตพฤติกรรมการเรียนการร่วมกิจกรรมและการ
ทดสอบควบคไู่ ปกับการเรียนการสอนตามความเหมาะสมของแตล่ ะระดบั และรปู แบบการศึกษาดังน้ัน
ผู้สอนตอ้ งดำเนินการวดั และประเมนิ ผลใหไ้ ด้แก่นแท้ของศักยภาพและพฒั นาการของผ้เู รยี น

ความหมายของการทดสอบ การวัดผล และการประเมินผล

คำว่า “การทดสอบ” (Testing) “การวัดผล” (Measurement) และการประเมินผล
(Evaluation) มีผู้นำไปใช้อย่างสับสนปะปนกันหรือใช้แทนกันอยู่บ่อย ๆ ซึ่งความหมาย ของการ
ทดสอบ การวดั ผล และการประเมนิ มคี วามหมาย ดงั น้ี

1. การทดสอบ (testing)
ได้มผี ใู้ หค้ วามหมายไว้ดงั น้ี
Wiersma and Jurs (1990, p. 9) การทดสอบ เป็นส่วนหนึ่งของการวัดผลโดยใช้

แบบทดสอบเป็นเคร่ืองมือหรือแสดงอาการไปกระต้นุ หรือเร่งเร้าให้บุคคลเกิดการตอบสนองในรูปของ
พฤติกรรมอยา่ งใดอยา่ งหน่งึ

ชนมช์ กรณ์ วรอนิ ทร์ (2554, หน้า 4)การทดสอบ (Testing) เป็น กระบวนการใช้
เครอื่ งมอื ในการทดสอบ เช่นแบบทดสอบชนิดตา่ ง ๆ เพื่อให้ผสู้ อบมีพฤติกรรม ตอบสนองในรปู
แบบอยา่ งใดอย่างหนึง่

มณญี า สรุ าช (2560, หนา้ 5) กลา่ วถงึ การทดสอบเป็นการกำหนดสถานการณ์
เงือ่ นไขหรอื การใช้แบบทดสอบ เพือ่ เปน็ ส่งิ เร้ากระตุน้ ใหบ้ คุ คลหรือผเู้ รยี นได้แสดงพฤตกิ รรมตามท่ี
ตอ้ งการออกมาเพ่ือทีจ่ ะสามารถวดั และสังเกตพฤตกิ รรมนั้น ๆได้

จากความหมายของการทดสอบ สรุปได้ว่า การทดสอบเป็นกระบวนการการใช้
เครอ่ื งมือวดั แบบหนงึ่ ทเี่ รยี กวา่ แบบทดสอบ เพ่ือรวบรวมขอ้ มูลจากบคุ คลท่ตี ้องวัด

2. การวัดผล (Measurement)
ในการวัดผลได้มีผู้ให้ความหมายไวด้ ังนี้
Sax, Gilbert (1989, p. 14) กล่าวว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการกำหนด

ตัวเลข ให้กับคุณสมบัติ หรือคุณลักษณะของบุคคล วัตถุ หรือ เหตุการณ์ ตามแบบแผนหรือกฎท่ี
เกดิ ขึ้น

Wiersma and Jurs (1990, p. 8) กล่าวว่า การวัดผล หมายถึง การวัดผล เป็นการ
กำหนดจำนวนใหก้ บั วตั ถุหรือเหตุการณ์ตามกฎท่ที ำใหต้ ัวเลขมีความหมายเชงิ ปรมิ าณ

ชนมช์ กรณ์ วรอินทร์ (2554, หน้า 5) กลา่ ววา่ การวดั ผล (Measurement) หมายถงึ
กระบวนการกำหนด ตัวเลขหรือสัญลักษณ์ หรือคำอธิบาย หรือบรรยายให้กับปริมาณของ คุณสมบัติ
หรือคุณลักษณะทีต่ อ้ งการศึกษา โดยใช้กฎเกณฑ์หรอื วธิ กี ารอย่างใดอยา่ งหนึ่ง

มณีญา สุราช (2560, หน้า 7) กล่าวว่า การวัดผล หมายถึง กระบวนการกำหนด
ตัวเลขให้แก่พฤติกรรมของบุคคลที่ได้แสดงออกในการทดสอบตามเกณฑ์ที่กำหนด หรือ เกณฑ์
มาตรฐานเพื่อทีจ่ ะได้รวบรวมผลทง้ั หมดไปพจิ ารณาตดั สนิ ใจ

194

จากความหมายการวัดผล สรุปได้ว่า เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลขหรือกำหนด
จำนวนให้กับสิ่งที่วัดมีกฎเกณฑ์ หรือกระบวนการเชิงปริมาณในการกำหนดค่าเป็นตัวเลขหรือ
สัญลักษณ์ทม่ี ีความหมาย แทนคุณลกั ษณะของสิ่งทวี่ ัดโดยอาศยั กฎเกณฑ์อยา่ งใดอยา่ งหนึ่ง

3. การประเมินผล (Evaluation)
ได้มีผู้ใหค้ วามหมายการประเมินผลดงั นี้
มณีญา สุราช (2560, หน้า 9) กล่าวว่า ประเมินผล หมายถึง กระบวนการในการ

รวบรวมข้อมูลที่ได้จากการวัดพฤติกรรมของบุคคลหรือผู้เรียน เพื่อนำผลมาพิจารณาตัดสิน หรือ
ประเมินค่าตามเกณฑ์ที่กำหนดหรือเกณฑ์มาตรฐานแล้วนำเสนอเป็นข้อมูลย้อนกลับให้แก่ผู้สอนที่จะ
สามารถนำไปใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาผู้สอนและผู้เรียน ตลอดจนการพัฒนาการจัดกิจกรรมการ
เรียนการสอนต่อไป

Wiersma and Jurs (1990, หนา้ 8) กล่าวว่า ประเมินผล หมายถึง การประเมินผล
เป็นการพิจารณาตัดสินคุณค่าบนพื้นฐานของข้อมูลที่เปน็ จดุ ประสงค์การเรียนรูโ้ ดยการตีความหมาย
ของคะแนนเพือ่ ตัดสินวา่ ดเี ยีย่ มดปี านกลางหรือต่ำ

ชนม์ชกรณ์ วรอินทร์ (2554, p. 6) กล่าวว่า การประเมินผล หมายถึง กระบวนการ
ตัดสิน คุณค่าหรือคุณภาพของผลที่ได้จากการวัดคุณลักษณะของส่ิงใดสิง่ หนึ่งโดยเทยี บกับเกณฑ์หรอื
มาตรฐานอย่างใดอยา่ งหนึง่

จากความหมายการประเมินผล สรุปได้ว่า การประเมินเป็นกระบวนการพิจารณา
ตัดสนิ คณุ ภาพและคณุ คา่ ท่ไี ด้ในการสังเกตจากประสบการณแ์ ละการฝึกทักษะของผเู้ รยี น

4. ประเภทของการทดสอบ การวดั ผลและการประเมินผล
4.1 ประเภทของการทดสอบ
ประเภทของการทดสอบสามารถจำแนกออกได้อย่างหลากหลายขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่จะ

ใช้แบง่ ดงั น้ี ( (สมชาย วรกิจเกษมสกุล, 2556, หนา้ 5)
4.1.1 จำแนกตามจำนวนผู้สอบ ซง่ึ สามารถจำแนกเป็น
4.1.1.1 การทดสอบเป็นรายบุคคล (individual Testing) เป็นการตรวจสอบ

ความรู้ความสามารถของผู้สอบเป็นรายบุคคลที่มีความเฉพาะเจาะจงและแตกต่างกันโดยส่วนมากจะ
ใชส้ ำหรบั การทดสอบความรูด้ า้ นสติปัญญา

4.1.1.2 เป็นการทดสอบเป็นกลุ่ม (Group Testing) เป็นการตรวจสอบความรู้
ความสามารถของผู้สอบเป็นกลุ่มทีใ่ ช้ความสามารถของแตล่ ะบุคคลร่วมกันในการดำเนินการใหบ้ รรลุ
ความสำเร็จโดยสว่ นมากจะใชส้ ำหรบั การทดสอบเกยี่ วกบั การปฏิบตั งิ าน

4.1.2 จำแนกตามลกั ษณะการตอบ ซงึ่ สามารถจำแนกเป็น
4.1.2.1 การทดสอบด้วยการเขียนตอบ (Paper pencil Testing) เป็นการ

ตรวจสอบความรู้ความสามารถโดยกำหนดคำถามแล้วให้ผู้สอนได้เยนอธิบายคำตอบเพื่อนำไป
ตรวจสอบความถกู ต้องหลังจากดำเนินการสอบเสรจ็ สนิ้ แลว้

4.1.2.2 การทดสอบปากเปล่า (Oral Testing เป็นการตรวจสอบความรู้
ความสามารถในลักษณะของการสนทนาโดยให้ผู้สอบได้อธิบายคำตอบด้วยคำพูดให้พิจารณาความ
ถูกต้องตามเกณฑ์ในระหว่างการทดสอบหรือมีการจดบันทึกที่ผู้สอบได้ตอบแล้วน้ำมาพิจารณา

195

ภายหลังการดำเนินการการทดสอบสิ้นสุดลงความรู้ความสามารโดยการกำหนดสถานการณ์จำลอง
แล้วใหผ้ ู้สอบได้แสดงพฤตกิ รรม

4.1.2.3 การทดสอบการปฏิบัติ (Performance Testing เป็นการตรวจสอบ
ปฏิบัติงานตามสถานการณ์นั้น โดยนำข้อมูลที่ได้จากกระบวนการปฏิบัติงานและผลงานมาพิจารณา
เปรียบเทยี บกับเกณฑใ์ นการใหค้ ะแนน

4.2 ประเภทของการวดั ผล
นักวชิ าการได้จำแนกประเภทของการวดั ผลดงั นี้
4.2.1 จำแนกตามคณุ ลกั ษณะของสง่ิ ทวี่ ัด (ศิรชิ ัย กาญจนวาสี, 2552, หน้า 26)
4.2.1.1 การวัดทางกายภาพ (PhysicalMeasurement) เป็นการวัดคุณลักษณะท่ี

เป็นรูปธรรมสัมผัสหรือจับต้องได้โดยใช้เครื่องมือการวัดที่มีมาตรฐานให้ผลการวัดที่น่าเชื่อถือได้อาทิ
ความยาวความสงู น้ำหนกั เป็นตน้

4.2.1.2 การวัดทางจิตวิทยา (Psychological Measurement ) เป็นการวัด
คณุ ลกั ษณะทางจิตวทิ ยาและการศึกษา ที่เป็นลักษณะภายในที่ไมส่ ามารถวัดได้โดยตรงอาทผิ ลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นสมรรถภาพของสมองเจตคติ ค่านิยมหรอื บุคลกิ ภาพ เป็นตน้ ดังนัน้ ในการวัดลักษณะน้ีจึง
เป็นการวัดทางอ้อมที่ใช้แนวคิดเชิงสมมติที่แสดงออกในรูปของทฤษฎีการวัดทฤษฎีการทดสอบที่จะ
นำมาช่วยอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างคุณลักษณะภายในที่ต้องการวัดกับพฤติกรรมที่แสดงออกที่
จำแนกการวัดทางจิตวิทยาเพื่อตอบคำถาม 2 คำถามคือ (1) ใครจะสามารถทำอะไรได้บ้าง และ
(2) ครจู ะทำอะไรตอ่ ไปอยา่ งไร

4.2.2 จำแนกตามความหมายจากการเปรยี บเทียบ ( Gronlund, 1976: 19)
4.2.2.1 การวัดแบบอิงกลุ่ม (Norm-reference Measurement )เป็นการ

กำหนดค่าคุณลักษณะที่ต้องการวัดที่มีความหมายด้วยการนำข้าที่วัดไปเปรียบเทียบกับค่าที่ได้จาก
การวดั คุณลักษณะเดยี วของกลมุ่ ที่เหมาะสมสำหรบั การประเมินผลสรป(Summative Evaluation)

4.2.2.2 การวัดแบบอิงเกณฑ์ (Criterion- referenced Measurement) เป็น
การกำหนดค่าคุณลักษณะที่ต้องการวัดให้มีความหมายโดยการนำข้าที่วัดไปเปรียบเทียบหรือแปล
ความหมายกับคะแนนเกณฑ์หรือคะแนนจุดตัดที่บ่งขีม้ าตรฐานการปฏบิ ัติของเร่ืองนัน้ ๆ ที่กำหนดไว้
ทเ่ี หมาะสมสำหรับการประเมนิ ผลระหวา่ งเรยี น (Formative Evaluation หรอื เพื่อวนิ ิจฉยั

4.3 ประเภทของการประเมินผล
ในการประเมินผลทางการศึกษาจำแนกได้ดังน้ี (สมชาย วรกจิ เกษมสกลุ , 2556, หน้า

10-11)
4.3.1 จำแนกตามจดุ ประสงค์ของการประเมนิ จำแนกได้ 3 ประเภท ดังน้ี
4.3.1.1 การประเมินผลก่อนเรียน (Pre Evaluation) เป็นการประเมินเพ่ือใช้

ตรวจสอบพื้นฐานความรู้หรือทกั ษะว่ามีอย่างพอเพียงทีจ่ ะเรียนรู้ในรายวชิ าใหมห่ รือไม่และหาวิธกี าร
เพื่อปรับพื้นฐานความรู้นั้น ๆ จนกระทั่งผู้เรียนมีความรู้อย่างพอเพียงหรือเป็นการประเมินเพื่อใช้
วินิจฉัยผู้เรียนในการนำข้อมูลมาใชว้ างแผนการจัดการเรียนการสอนหรอื เลอื กวธิ ีการเทคนิคการสอน
ทีเ่ หมาะสมกบั ผู้เรยี น

196

4.3.1.2 การประเมินผลระหว่างเรียน (Formative Evaluation) เป็นการ
ประเมินเพื่อใช้ตรวจสอบการบรรลุจุดประสงค์ย่อยที่กำหนดไว้ของผู้เรียนว่ามีจุดประสงค์ใดบ้างท่ี
ผู้เรียนไม่บรรลุจุดประสงค์เพื่อที่ครูผู้สอนจะได้จัดกิจกรรม การสอนซ่อมเสริมเพื่อให้ความช่วยเหลือ
หรืออาจนำข้อมูลดงั กลา่ วไปใช้ในการปรับปรงุ พฒั นาการเรยี นการสอนในจุดประสงคน์ ั้น ๆ ในอนาคต
ใหม้ ปี ระสิทธิภาพมากยงิ่ ขึ้น

4.3.1.3 การประเมนิ ผลสรุป (Summative Evaluation) เปน็ การประเมินเพ่ือใช้
สรุปผลสัมฤทธิ์หรือตัดสินผลการเรียนเม่ือสิ้นสุดการเรียนการสอนในแต่ละรายวิชาตามเกณฑ์ว่า
ผู้เรียนสอบได้-ตก, สอบผ่าน-ไม่ผ่านหรือควรได้ระดับผลการเรียนในระดับใดและอาจใช้ข้อมูลในการ
ประเมนิ ผลการจัดการเรยี นการสอนของครูผู้สอนในภาพรวมว่ามปี ระสทิ ธภิ าพหรอื ไม่

4.3.2 จำแนกตามเกณฑอ์ ้างอิงของผลการประเมนิ จำแนกได้ 2 ประเภทดังน้ี
4.3.2.1 การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม (Norm Reference Evaluation)เป็นการ

ประเมนิ ตัดสินคุณค่าผลตามเกณฑ์อา้ งอิงท่ีใช้ผลของผูเ้ รยี นในกลุ่มเดียวกันตามแนวคิดของบิเนต์และ
ไซมอน ทไ่ี ด้ระบวุ ่าแบบทดสอบท่ีดจี ะสามารถจำแนกผู้เรยี นท่ีมีความสามารถทม่ี ากหรือน้อยแตกต่าง
กันออกจากกันได้ใช้ในการพิจารณาเพื่อจัดจำแนกหรือจัดลำดับก่อน-หลังของบุคคลในกลุ่มนั้นๆ ว่า
เป็นอย่างไรอาทิการสอบคัดเลือกเข้าศึกษาต่อหรือการประกวดการคัดลายมือ เป็นต้น แต่จะต้อง
ระมัดระวังว่าผลการประเมินในระดับดีผู้เรียนอาจมีความสามารถไม่ถึงระดับมาตรฐานและไม่ทราบ
ข้อบกพรอ่ งทีเ่ กิดข้ึน

4.3.2.2 การประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ (Criterion Reference Evaluation)เป็น
การประเมินตัดสินคุณค่าของผลตามเกณฑ์อ้างอิงที่ใช้เกณฑ์ที่กำหนดขึ้นหรือเกณฑ์มาตรฐานต าม
หลักการของการเรียนรู้แบบรอบรู้ (Master Learning) เพื่อใช้ระบุสถานภาพของผู้เรียนเมื่อ
เปรียบเทียบกับเกณฑ์ว่าผ่านเกณฑ์ในระดับนั้น 1 มากหรือน้อยเพียงใดอาทิการประเมินผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี นแบบอิงเกณฑ์ เป็นตน้ แตจ่ ะมคี วามยุ่งยากในการกำหนดจดุ ตัดหรือเกณฑ์มาตรฐาน

4.3.2.3 การประเมินผลแบบอิงตนเอง (Self Reference Evaluation) เป็นการ
ประมวลผลที่ตัดสินผลที่ไม่เน้นการแข่งขันโดยการเปรียบเทียบระดับความรอบรู้ของบุคคลนั้นเมื่อได้
เรยี นร้แู ล้วกับระดบั ความรอบร้เู ดมิ ท่มี ีอยู่ทแี่ สดงพัฒนาการในการเรียนรู้ของบุคคลน้นั ผลการประเมิน
ผู้เรียนแต่ละคนจึงขึ้นอยู่กับระดับความรอบรู้ที่เพิ่มขึ้นจากเดิมของบุคคลแต่จะต้องระมัดระวังว่า
บคุ คลมีความร้คู วามสามารถตามเกณฑม์ าตรฐานหรือไม่

แนวคิดในการวัดผลและประเมนิ ผลการเรียนรู้

การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนหลักการพื้นฐานสองประการคือ การ
ประเมนิ เพ่ือพฒั นาผู้เรยี นและเพ่อื ตัดสินผลการเรยี น โดยการพฒั นาและเรียนรอู้ ย่างเต็มตามศกั ยภาพ
การวัดและประเมนิ ผลการเรียนรู้ แบง่ ออกเปน็ ๔ ระดับ ไดแ้ ก่ ระดบั ชั้นเรยี น ระดับสถานศกึ ษาระดับ
เขตพื้นที่การศึกษา และระดับชาติ มีรายละเอียด ดังนี้ (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา,
2553, pp. 2-4)

197

๑. การประเมินระดับชั้นเรียน
เป็นการวัดและประเมินผลที่อยู่ในกระบวนการจัดการเรียนรู้ผู้สอนดำเนินการเป็นปกติ

และสม่ำเสมอในการจัดการเรียนการสอน ใช้เทคนิคการประเมินอย่างหลากหลาย เช่น การซักถาม
การสังเกต การตรวจการบ้าน การประเมินโครงงาน การประเมินชิ้นงาน/ภาระงาน แฟ้มสะสมงาน
การใช้แบบทดสอบ ฯลฯ โดยผู้สอนเป็นผู้ประเมินเองหรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนประเมินตนเอง เพื่อน
ประเมินเพื่อน ผู้ปกครองร่วมประเมิน ในกรณีที่ไม่ผ่านตัวชี้วัดให้มีการสอนซ่อมเสริมการประเมิน
ระดับชั้นเรียนเป็นการตรวจสอบว่า ผู้เรียนมี
พัฒนาการความก้าวหน้าในการเรียนรู้ อันเป็นผล
มาจากการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนหรือไม่
และมากน้อยเพียงใด มีสิ่งที่จะต้องได้รับการพัฒนา
ปรับปรุงและส่งเสริมในด้านใด นอกจากนี้ยังเป็น
ข้อมูลให้ผู้สอนใช้ปรับปรุงการเรียนการสอนของตน
ดว้ ย ท้ังน้ีโดยสอดคลอ้ งกบั มาตรฐานการเรียนรู้และ
ตัวช้ีวัด

ภาพประกอบ 62 การประเมนิ ระดบั ชนั้ เรียน
ทม่ี า (การประเมินในระดบั ชัน้ เรียน, 2564)

๒. การประเมนิ ระดับสถานศึกษา
เป็นการประเมนิ ทีส่ ถานศึกษาดำเนินการเพื่อตัดสินผลการเรยี นของผเู้ รยี นเปน็ รายปี/ราย

ภาค ผลการประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และกิจกรรมพัฒนา
ผเู้ รียน นอกจากน้เี พ่ือให้ได้ข้อมลู เกี่ยวกับการจดั การศึกษาของสถานศึกษาว่าส่งผลต่อการเรียนรู้ของ
ผู้เรยี นตามเป้าหมายหรือไม่ ผเู้ รียนมีจดุ พัฒนาในด้านใด รวมทงั้ สามารถนำผลการเรียนของผู้เรียนใน
สถานศึกษาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ระดับชาติ ผลการประเมินระดับสถานศึกษาจะเป็นข้อมูลและ
สารสนเทศเพื่อการปรับปรุงนโยบาย หลักสูตร โครงการ หรือวิธีการจัดการเรียนการสอน ตลอดจน
เพื่อการจัดทำแผนพัฒนาคุณภาพการศึกษาของสถานศึกษาตามแนวทางการประกันคุณภาพ
การศึกษาและการรายงานผลการจัดการศึกษาต่อคณะกรรมการสถานศึกษาสำนักงานเขตพื้นท่ี
การศึกษา สำนักงานคณะกรรมการการศกึ ษาข้นั พนื้ ฐาน ผปู้ กครองและชุมชน

๓. การประเมนิ ระดับเขตพนื้ ทก่ี ารศกึ ษา
เป็นการประเมินคุณภาพผูเ้ รียนในระดับเขตพื้นที่การศึกษาตามมาตรฐานการเรยี นรู้ตาม

หลกั สูตรแกนกลางการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน เพื่อใช้เป็นข้อมูลพ้ืนฐานในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของ
เขตพน้ื ทีก่ ารศึกษา ตามภาระความรับผิดชอบ สามารถดำเนนิ การโดยประเมินคุณภาพผลสัมฤทธ์ิของ
ผู้เรียนด้วยขอ้ สอบมาตรฐานที่จัดทำและดำเนินการโดยเขตพื้นทีก่ ารศึกษา หรือด้วยความร่วมมอื กบั
หน่วยงานต้นสังกัด ในการดำเนินการจัดสอบ นอกจากนี้ยังได้จากการตรวจสอบทบทวนข้อมูลจาก
การประเมนิ ระดับสถานศกึ ษาในเขตพนื้ ทกี่ ารศึกษา

๔. การประเมินระดบั ชาติ
เป็นการประเมินคุณภาพผู้เรียนในระดับชาติตามมาตรฐานการเรียนรู้ตามหลักสูตร

แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน สถานศึกษาต้องจัดให้ผู้เรียนทุกคนที่เรียนในชั้นประถมศึกษาปีที่ ๓

198

ชั้นประถมศึกษาปีที่ ๖ ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๓ และชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๖ เข้ารับการประเมิน ผลจาก
การประเมินใช้เป็นข้อมูลในการเทียบเคียงคุณภาพการศึกษาในระดับต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการ
วางแผนยกระดับคณุ ภาพการจดั การศึกษา ตลอดจนเป็นข้อมูลสนบั สนุนการตดั สินใจในระดบั นโยบาย
ของประเทศข้อมูลการประเมินในระดับตา่ ง ๆ ข้างต้น เป็นประโยชน์ตอ่ สถานศกึ ษาในการตรวจสอบ
ทบทวนพัฒนาคุณภาพผู้เรียน ถือเป็นภาระความรับผิดชอบของสถานศึกษาที่จะต้องจัดระบบดูแล
ช่วยเหลือ ปรับปรุงแก้ไข ส่งเสริมสนับสนุนเพื่อให้ผูเ้ รียนได้พัฒนาเต็มตามศักยภาพบนพื้นฐานความ
แตกต่างระหว่างบุคคลที่จำแนกตามสภาพปัญหาและความต้องการ ได้แก่ กลุ่มผู้เรียนทั่วไป กลุ่ม
ผู้เรียนที่มีความสามารถพิเศษ กลุ่มผู้เรียนที่มีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนต่ำ กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาด้าน
วินัยและพฤติกรรม กลุ่มผู้เรียนที่ปฏิเสธโรงเรียน กลุ่มผู้เรียนที่มีปัญหาทางเศรษฐกิจและสังคม กลุ่ม
พิการทางร่างกายและสติปัญญา เป็นต้น ข้อมูลจากการประเมินจึงเป็นหัวใจของสถานศึกษาในการ
ดำเนินการช่วยเหลือผู้เรยี นได้ทนั ท่วงที เป็นโอกาสให้ผู้เรียนได้รับการพัฒนาและประสบความสำเรจ็
ในการเรียนสถานศึกษาในฐานะผู้รับผิดชอบจัดการศึกษา จะต้องจัดทำระเบียบว่าด้วยการวัดและ
ประเมินผลการเรียนของสถานศึกษาให้สอดคล้องและเป็นไปตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติที่เป็น
ข้อกำหนดของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อให้บุคลากรที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายถือปฏิบัติ
ร่วมกนั

หลักการดำเนินการวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้

หลกั การดำเนินการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ตามหลักสตู รแกนกลางการศึกษาขั้นพ้ืนฐาน
พุทธศักราช ๒๕๕๑ (สำนกั วชิ าการและมาตรฐานการศึกษา, 2553, หน้า 12) เปน็ กระบวนการเก็บ
รวบรวม ตรวจสอบ ตีความผลการเรียนรู้ และพัฒนาการด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนตามมาตรฐานการ
เรียนรู้/ตัวชี้วัดของหลักสูตร นำผลไปปรับปรุงพัฒนาการจัดการเรียนรู้และใช้เป็นข้อมูลสำหรับการ
ตัดสินผลการเรียน สถานศึกษาต้องมีกระบวนการจัดการที่เป็นระบบ เพื่อให้การดำเนินการวัดและ
ประเมินผลการเรยี นรู้เป็นไปอย่างมีคณุ ภาพและประสิทธภิ าพ และใหผ้ ลการประเมินที่ตรงตามความรู้
ความสามารถที่แท้จริงของผู้เรียน ถูกต้องตามหลักการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ รวมทั้งสามารถ
รองรับการประเมินภายในและการประเมินภายนอกตามระบบประกันคุณภาพการศึกษาได้
สถานศึกษาจึงควรกำหนดหลักการดำเนินการวัดและประเมินผลการเรียนรู้เพื่อเป็นแนวทางในการ
ตดั สนิ ใจเก่ียวกบั การวัดและประเมนิ ผลการเรยี นรู้ตามหลักสูตรสถานศกึ ษา ดังน้ี

๑. สถานศึกษาเป็นผู้รับผดิ ชอบการวัดและการประเมนิ ผลการเรียนรูข้ องผู้เรยี น โดยเปิด
โอกาสใหผ้ ู้ท่ีเก่ยี วข้องมสี ่วนรว่ ม

๒. การวดั และการประเมินผลการเรยี นรู้ มีจุดมุ่งหมายเพื่อพฒั นาผเู้ รียนและตัดสินผลการ
เรยี น

๓. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ต้องสอดคล้องและครอบคลุมมาตรฐานการเรียนรู้
ตวั ชีว้ ัดตามกลุ่มสาระการเรยี นรู้ทกี่ ำหนดในหลักสูตรสถานศึกษา และจัดให้มีการประเมนิ การอ่าน คิด
วิเคราะห์และเขียน คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์ ตลอดจนกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น

๔. การวัดและประเมินผลการเรียนรู้เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการจัดการเรียนการสอน
ต้องดำเนินการด้วยเทคนิควิธีการที่หลากหลาย เพื่อให้สามารถวัดและประเมินผลผู้เรียนได้อย่างรอบ

199

ด้านทั้งด้านความรู้ความคิด กระบวนการ พฤติกรรมและเจตคติ เหมาะสมกับสิ่งที่ต้องการวัด
ธรรมชาตวิ ิชา และระดับช้นั ของผเู้ รยี น โดยตัง้ อยบู่ นพ้ืนฐานของความเท่ยี งตรงยตุ ิธรรมและเชื่อถือได้

๕. การประเมินผู้เรียนพิจารณาจากพัฒนาการของผู้เรียน ความประพฤติ การสังเกต
พฤติกรรมการเรียนรู้ การร่วมกิจกรรม และการทดสอบ ควบคู่ไปในกระบวนการเรียนการสอนตาม
ความเหมาะสมของแต่ละระดบั และรปู แบบการศึกษา

๖. เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรยี นและผู้มีส่วนเกย่ี วข้องตรวจสอบผลการประเมินผลการเรียนรู้
๗. ให้มีการเทียบโอนผลการเรียนระหว่างสถานศึกษาและระหว่างรูปแบบการศึกษา
ต่าง ๆ
๘. ให้สถานศึกษาจัดทำและออกเอกสารหลักฐานการศึกษา เพื่อเป็นหลักฐานการ
ประเมินผลการเรียนรู้ รายงานผลการเรยี น แสดงวุฒิการศึกษา และรบั รองผลการเรียนของผ้เู รียน

องค์ประกอบของการวัดและประเมินผลการเรยี นรู้ตามหลกั สูตรแกนกลางการศึกษาขั้น
พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดจุดหมาย สมรรถนะ
สำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ และมาตรฐานการเรียนรู้ เป็นเป้าหมายและกรอบ
ทิศทางในการพัฒนาผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตที่ดีและมีขีดความสามารถในการ
แข่งขันในเวทีระดับโลก กำหนดให้ผู้เรียนไดเ้ รยี นรู้ตามมาตรฐานการเรยี นรู/้ ตัวชี้วัดท่ีกำหนดในสาระ
การเรียนรู้ ๘ กลุ่มสาระ มีความสามารถในการอ่านคิดวิเคราะห์ และเขียน มีคุณลักษณะอันพึง
ประสงคแ์ ละเขา้ รว่ มกิจกรรมพัฒนาผเู้ รยี น

8 กล่มุ สาระการเรียนรู้ การอา่ น คดิ วเิ คราะห์
และการเขียน

คณุ ภาพ
ผูเ้ รยี น

คุณลักษณะท่พี ึงประสงค์ กจิ กรรมพฒั นาผเู้ รียน

แผนภาพที่ ๒.๑ แสดงความสมั พนั ธ์ขององค์ประกอบการวดั และประเมินผลการเรียนรู้
ทีม่ า (สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2553, p. 13)

๑. การวัดและประเมินผลการเรยี นรตู้ ามกลมุ่ สาระการเรียนรู้
ผู้สอนวัดและประเมินผลการเรียนรู้ผู้เรียนเป็นรายวิชาบนพื้นฐานของตัวชี้วัดในรายวิชา

พื้นฐานและผลการเรียนรู้ในรายวิชาเพิ่มเติม ตามที่กำหนดในหน่วยการเรียนรู้ ผู้สอนใช้วิธีการท่ี
หลากหลายจากแหล่งข้อมูลหลาย ๆ แหล่ง เพื่อให้ได้ผลการประเมินที่สะท้อนความรูค้ วามสามารถท่ี

200

แท้จริงของผู้เรียน โดยวัดและประเมินการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องไปพร้อมกับการจัดการเรียนการสอน
สังเกตพัฒนาการและความประพฤติของผู้เรียน สังเกตพฤติกรรมการเรียน การร่วมกิจกรรม ผู้สอน
ควรเน้นการประเมินตามสภาพจริง เช่น การประเมินการปฏิบัติงาน การประเมินจากโครงงาน หรือ
การประเมินจากแฟ้มสะสมงาน ฯลฯ ควบคู่ไปกับการใช้การทดสอบแบบต่าง ๆ อย่างสมดุล ต้องให้
ความสำคัญกับการประเมินระหว่างเรียนมากกว่าการประเมินปลายปี/ปลายภาค และใช้เป็นข้อมูล
เพื่อประเมินการเลอ่ื นช้ันเรียนและการจบการศึกษาระดบั ตา่ ง ๆ

กลมุ่ สาระการเรียนรู้ การงาน กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ กลุ่มสาระการเรียนรู้ ภาษาไทย
อาชพี และเทคโนโลยี ภาษาตา่ งประเทศ

กลมุ่ สาระการเรยี นรู้ ศิลปะ การวัดและประเมนิ ผลการ กล่มุ สาระการเรยี นรู้ คณติ ศาสตร์
เรยี นดว้ ยวิธีการทีห่ ลากหลาย
บูรณาการในการเรียนการ

สอน

กลุม่ สาระการเรียนรู้ สขุ ศกึ ษาและ กลุ่มสาระการเรยี นรู้ วิทยาศาสตร์
พลศกึ ษา

กลุ่มสาระการเรียนรู้ สังคมศกึ ษา
ศาสนาและวัฒนธรรม

ภาพประกอบ 63 แสดงการวัดและประเมินผลการเรยี นรตู้ ามรายกลมุ่ สาระการเรียนรู้
ที่มา (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2553, p. 14)

๒. การประเมนิ การอา่ น คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น
การประเมนิ การอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขยี น เป็นการประเมินศักยภาพของผู้เรียนในการ

อ่านหนังสือ เอกสาร และสอื่ ตา่ ง ๆ เพื่อหาความรู้ เพ่มิ พูนประสบการณ์ ความสนุ ทรีย์และประยุกต์ใช้
แล้วนำเนื้อหาสาระที่อ่านมาคิดวิเคราะห์ นำไปสู่การแสดงความคิดเห็น การสังเคราะห์ สร้างสรรค์
การแก้ปัญหาในเรื่องตา่ ง ๆ และถ่ายทอดความคดิ น้ันด้วยการเขียนที่มีสำนวนภาษาถูกตอ้ ง มีเหตุผล
และลำดับขั้นตอนในการนำเสนอ สามารถสร้างความเข้าใจแก่ผู้อ่านได้อย่างชัดเจนตามระดับ
ความสามารถในแต่ละระดับชั้น กรณีผู้เรียนมีความบกพร่องในกระบวนการด้านการเห็นหรือท่ี
เกี่ยวข้องทำให้เป็นอุปสรรคต่อการอ่าน สถานศึกษาสามารถปรับวิธีการประเมินให้เหมาะสมกับ
ผู้เรียนกลุ่มเป้าหมายนั้น การประเมินการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขียน สถานศึกษาต้องดำเนินการ
อย่างต่อเนื่องและสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค เพื่อวินิจฉัยและใช้เป็นข้อมูลในการพัฒนาผู้เรียนและ
ประเมนิ การเลอ่ื นชนั้ ตลอดจนการจบการศึกษาระดับต่าง ๆ

201

อา่ น (รบั สาร) หนังสือ เอกสาร โทรทศั น์ อนิ เทอรเ์ นต็ ส่ือต่าง ๆ แลว้ สรปุ เปน้ ความรู้ ความเขา้ ใจ
คดิ วิเคราะห์ ของตนเอง
เขียน (สื่อสาร) วเิ คราะห์ สงั เคราะห์ หาเหตุผล แก้ปญั หา และสรา้ งสรรค์

ถ่ายทอดความรู้ ความคิด สื่อสารใหผ้ ู้อน่ื เขา้ ใจ

ภาพประกอบ 64 แสดงการประเมนิ การอ่าน คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียน
ทม่ี า (สำนักวิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2553, p. 14)

๓. การประเมนิ คณุ ลกั ษณะอันพงึ ประสงค์
การประเมินคุณลักษณะอันพึงประสงค์ เป็นการประเมินคุณลักษณะที่ต้องการให้เกดิ

ขึ้นกับผู้เรียน อันเป็นคุณลักษณะที่สังคมต้องการในด้านคุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม จิตสำนึก
สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้อย่างมีความสุข ทั้งในฐานะพลเมืองไทยและพลโลก หลักสูตร
แกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานพทุ ธศักราช ๒๕๕๑ กำหนดคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ๘ คุณลักษณะ
ในการประเมินให้ประเมินแต่ละคุณลักษณะ แล้วรวบรวมผลการประเมินจากผู้ประเมินทุกฝ่ายและ
แหล่งข้อมูลหลายแหล่งเพื่อให้ได้ข้อมูลนำมาสู่การสรุปผลเป็นรายปี/รายภาค และใช้เป็นข้อมูลเพื่อ
ประเมินการเลอื่ นช้ันและการจบการศกึ ษาระดับต่าง ๆ

มจี ิจ รกั ชาติ
สาธารณะ ศาสน์
กษัตรยิ ์

รกั ความเป็น คุณลักษณะอนั มวี ินัย
ไทย ใฝเ่ รียนรู้
มุง่ มั่นใน พงึ ประสงค์
การทางาน
อยอู่ ยา่ ง
พอเพียง

ภาพประกอบ 65 แสดงการประเมินคุณลกั ษณะอนั พงึ ประสงค์
ทมี่ า (สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศึกษา, 2553, p. 15)

202

๔. การประเมินกิจกรรมพัฒนาผูเ้ รียน
การประเมินกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เป็นการประเมินการปฏิบัติกิจกรรมและผลงาน

ของผู้เรียนและเวลาในการเข้ารว่ มกิจกรรมตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในแต่ละกิจกรรม และใช้เป็นข้อมลู
ประเมินการเลอ่ื นชน้ั เรยี นและการจบการศึกษาระดับตา่ งๆ

กิจกรรมแนะแนว กิจกรรมนักเรยี น
- ลูกเสือ เนตรนารี ยุว
กิจกรรมพฒั นาผู้เรียน กาชาด ผบู้ ำเพ็ญประโยชน์
และนกั ศกึ ษาวิชาทหาร
กิจกรรมเพื่อสังคมและ - ชุมนมุ /ชมรม
สาธารณประโยชน์

ภาพประกอบ 66 แสดงการประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผู้เรียน
ทมี่ า (สำนกั วิชาการและมาตรฐานการศกึ ษา, 2553, p. 15)

5. เกณฑ์การวดั และประเมนิ ผลการเรียนรู้
หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ มีการกำหนดเกณฑ์การวัด

และประเมินผลกลางขึ้น ประกอบด้วย การตัดสินผลการเรียน การให้ระดับผลการเรียน การรายงาน
ผลการเรียน เกณฑ์การจบหลักสูตรระดับประถมศึกษา เกณฑ์การจบหลักสูตรระดับมัธยมศึกษา
ตอนต้น เกณฑ์การจบหลกั สูตรระดับมัธยมศกึ ษาตอนปลาย การพิจารณาเลื่อนชั้น การจัดให้เรียนซำ้
ช้ัน เอกสารหลกั ฐานการศกึ ษา และการเทียบโอนผลการเรยี น ดังแสดงไวใ้ นแผนภาพ

แผนภูมิสรปุ การ

การตดั สนิ ผลการเรยี น

นกั เรียนได้รบั การตัดสินผา่ นรายวิชา เม่ือสนิ้ ปกี ารศกึ ษา นกั เรยี

• เขา้ เรียนในรายวิชานัน้ ๆ (ซง่ึ พิจารณารว่ มกับการมีเวลาเรยี น • มีเวลาเรยี นตลอดปกี า
ตลอดปีการศกึ ษา เรยี นตลอดปกี ารศึกษ

• มีคะแนนในรายวชิ านน้ั ผ่านร้อยละ ๕๐ (ทั้งนน้ี ักเรยี นต้องได้รบั การพัฒนา • มีผลการเรียนรายวิชา
และผ่านเกณฑต์ ัวชีว้ ัดทกุ ตัวในระหว่างกระบวนการพัฒนา) ตามท่ีสถานศึกษากำห

• ใหผ้ ลการเรยี นไดห้ ลายลกั ษณะดังน้ี • มผี ลการประเมนิ การ
- ระบบตัวเลข - ระบบตวั อักษร สถานศกึ ษากำหนด
- ระบบร้อยละ - ระบบทใี่ ชค้ ำสะท้อนมาตรฐาน
• มีผลการประเมนิ คุณล
การตดั สนิ ผลการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น สถานศึกษากำหนด

• ใหผ้ ลการเรยี นเป็นไม่ผ่านผา่ นดี และดีเยยี่ ม • มีผลการประเมนิ กจิ ก
• ตัดสนิ เม่ือสน้ิ ปีการศกึ ษา ๑. กิจกรรมแนะแนว
• เกณฑ์แตล่ ะระดับอาจใหค้ วามหมายเป็นคำอธิบายระดับคุณภาพ ๒. กิจกรรมนักเรยี น
๒.๑ กจิ กรรมในเค
๒.๒ กจิ กรรมชุมนมุ
๓. กิจกรรมเพอื่ สังคม
สถานศกึ ษากำหนด)ต

ภาพประกอบ 67 แผนภมู สิ รุปการว

203

รวัดและประเมนิ ผลระดบั ประถมศกึ ษา

การเลอื่ นชน้ั เรียน เกณฑก์ ารจบ

ยนมีคุณสมบตั ิตามเกณฑ์ นักเรยี นมีคณุ สมบตั ติ ามเกณฑก์ ารจบระดบั
การเล่ือนชั้น ประถมศึกษา

ารศกึ ษาไมน่ ้อยกวา่ ร้อยละ ๘๐ ของเวลา • มเี วลาเรยี นครบตามทห่ี ลักสูตรสถานศึกษา
ษา กำหนดและสอดคลอ้ งกบั หลกั สูตรแกนกลาง
าพนื้ ฐานผา่ นทกุ รายวิชา รายวิชาเพิ่มเติม
หนด • ทกุ รายวชิ าพ้ืนฐานมผี ลการประเมนิ ผา่ น
รอา่ น คิดวิเคราะหแ์ ละเขยี นผ่านตามเกณฑท์ ่ี สำหรบั รายวิชาเพม่ิ เติมเป็นไปตามที่
สถานศกึ ษากำหนด
ลักษณะอันพงึ ประสงคผ์ ่านตามเกณฑท์ ี่
• มีผลการประเมนิ การอา่ น
กรรมพฒั นาผ้เู รยี น ปีละ ๔ กิจกรรม คดิ วิเคราะห์ และเขยี น ในระดบั ผา่ น

ครือ่ งแบบ • มผี ลการประเมินคุณลกั ษณะ
ม ชมรม อนั พึงประสงค์ ในระดับผา่ น
มและสาธารณประโยชน(์ มชี ่ัวโมงเข้าร่วมตามที่
ตามเกณฑ์ทสี่ ถานศกึ ษากำหนด • มผี ลการประเมนิ กจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น ใน
ระดับผา่ นทุกกจิ กรรม และปฏิบตั กิ จิ กรรมเพื่อ
สงั คมและสาธารณประโยชน์ ๖๐ ชวั่ โมง

วดั และประเมนิ ผลระดบั ประถมศกึ ษา

204

การตัดสินผลการเรยี น

การตัดสินผลคุณลกั ษณะ การเรยี นซำ้ ช้นั มคี ณะก
อันพึงประสงค์ ข้างต้น แต่อาจพิจารณา ใ
- แม้เวลาเรียนไมค่ รบ แตข่
• ให้ผลการเรยี นเป็นไม่ผา่ นผา่ นดี และดีเยยี่ ม กำหนด
• ตัดสนิ เม่อื ส้นิ ปีการศกึ ษา - มผี ลการประเมินผ่านมาต
เกณฑก์ ารใหผ้ ลการเรียนแตล่ ะระดบั อาจใหค้ วามหมาย เปน็ คำอธบิ าย - ไม่ถึงเกณฑใ์ นแตล่ ะรายว
คุณภาพ และมคี ณุ สมบตั ใิ นข้ออน่ื ค
- มีผลการประเมนิ ผา่ นในก
การตัดสินกิจกรรมพฒั นาผเู้ รยี น วทิ ยาศาสตร์ สงั คมศึกษาฯ
• ใหผ้ ลการเรียนเป็น ผ่าน ไม่ผา่ น การเลือ่ นชน้ั กลางปี มคี ณ
• ตัดสินเมอื่ สิ้นปกี ารศกึ ษา -๑. ผลการเรียนในปีที่ผา่ น
• การผา่ น ไมผ่ ่าน พิจารณาจาก ๒. มวี ฒุ ิภาวะทจี่ ะเรียนใน

- เวลาการเข้ารว่ มกจิ กรรม ๓. ผ่านการปร
- การปฏบิ ัติกจิ กรรมและผลงานของผู้เรียน ภาคเรียนแรกของช้นั ทีจ่ ะเ
การสอนซอ่ มเสริม

มุ่งใหผ้ เู้ รียนพัฒนาเตม็ ศักยภาพทนั ทว่ งที

การเลื่อนชนั้ เรยี น เกณฑก์ ารจบ

กรรมการพจิ ารณาเมือ่ ไม่เปน็ ไปตามเกณฑ์ เอกสารหลกั ฐานการศึกษา
ให้เล่อื นชัน้ ได้ กรณเี หน็ ว่า
ข้ออื่น ๆ เปน็ ไปตามเกณฑ์การเลื่อนชั้นที่ • โรงเรียนออก ปพ.๑ : ป ให้นักเรยี นเมื่อ
- จบ ป.๖
ตรฐานการเรยี นรแู้ ละตัวชว้ี ัด - ลาออกศึกษาตอ่ ท่ีอ่นื
วชิ า แตส่ ถานศกึ ษาสามารถสอนซ่อมเสรมิ ได้
ครบตามเกณฑ์การเลื่อนช้ัน • โรงเรียนจดั ทำ ปพ.๓ : ป
กลมุ่ สาระภาษาไทย คณติ ศาสตร์ เปน็ หลกั ฐานว่านกั เรยี นจบการศึกษา และ
ฯ เพ่อื ตรวจสอบวุฒิ
ณะกรรมการพิจารณา - เกบ็ ไว้ที่โรงเรยี น ๑ ชดุ
นมา/ระหว่างปีท่ีศกึ ษาอยู่ในเกณฑ์ดเี ยยี่ ม
นชน้ั ที่สงู ขึ้น ส่งให้ สพท. ๑ ชุด
ระเมนิ ทกุ รายวชิ าของชั้นทเ่ี รียนปัจจบุ นั /ใน
เลือ่ นชัน้

แผนภูมสิ รุปการว

การตดั สนิ ผลการเรยี น การเล

นกั เรียนได้รับการตดั สนิ ผา่ นรายวิชา เม่ือส้นิ ภาคเรียน นกั เรยี นมีคณุ สม

• เข้าเรยี นในรายวชิ านัน้ ๆ (ซงึ่ พจิ ารณารว่ มกบั การมีเวลาเรยี น • มีผลการเรียนรายวชิ าพนื้ ฐ
ตลอดภาคเรยี น ตามทสี่ ถานศกึ ษากำหนด

• มคี ะแนนในรายวชิ าน้ันผา่ นร้อยละ ๕๐ (ทั้งน้นี ักเรยี นตอ้ งได้รบั การ • มีผลการประเมินการอา่ น
พฒั นาและผ่านเกณฑต์ วั ชวี้ ัดทุกตัวในระหว่างกระบวนการพัฒนา) สถานศกึ ษากำหนด

• ใหต้ วั เลขแสดงระดบั ผลการเรยี น ๘ ระดบั • มผี ลการประเมนิ คณุ ลักษณ
กำหนด
การตัดสนิ ผลการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น
• ให้ผลการเรียนเปน็ ไมผ่ า่ นผา่ นดี และดีเยี่ยม • มีผลการประเมินกิจกรรม
• ตดั สนิ เมือ่ สิน้ ภาคเรยี น ๑. กจิ กรรมแนะแนว
• เกณฑ์แต่ละระดบั อาจให้ความหมายเป็นคำอธิบายระดับคุณภาพ ๒. กิจกรรมนักเรียน (ม.ต
เลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง)
การตดั สนิ ผลคณุ ลักษณะอนั พึงประสงค์ ๒.๑ กิจกรรมในเครื่อ
• ใหผ้ ลการเรียนเป็นไมผ่ ่านผา่ นดี และดเี ยยี่ ม ๒.๒ กจิ กรรมชมุ นุม ช
• ตัดสนิ เมอื่ สน้ิ ภาคเรยี น ๓. กจิ กรรมเพื่อสงั คมและ
• เกณฑก์ ารใหผ้ ลการเรียนแต่ละระดับอาจให้ความหมาย เป็น ตามทส่ี ถานศึกษากำหนด)

คำอธบิ ายคุณภาพ • ระดบั ผลการเรยี นเฉลยี่ ใน

วดั และประเมนิ ผลระดับมธั ยมศึกษา 205

ลอ่ื นชัน้ เรียน เกณฑก์ ารจบระดับมธั ยมศกึ ษา

มบตั ิตามเกณฑก์ ารเล่ือนช้นั นักเรยี นมคี ุณสมบตั ติ ามเกณฑ์การจบระดบั มธั ยมศกึ ษา

ฐานและรายวชิ าเพ่มิ เตมิ ผา่ นทุกรายวิชา • มหี น่วยกิต ที่เรียนและทีไ่ ดค้ รบตามทหี่ ลกั สูตรสถานศกึ ษา
กำหนดและสอดคล้องกบั หลกั สตู รแกนกลางการศึกษาข้ัน
คิดวเิ คราะหแ์ ละเขียนผา่ นตามเกณฑ์ที่ พืน้ ฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑

ณะอนั พงึ ประสงคผ์ ่านตามเกณฑ์ทีส่ ถานศึกษา • ทุกรายวชิ าพืน้ ฐานมผี ลการประเมนิ ผา่ น สำหรับรายวิชา
เพม่ิ เติมเป็นไปตามทส่ี ถานศึกษากำหนด
มพัฒนาผูเ้ รยี น ปีละ ๔ กจิ กรรม
• มผี ลการประเมนิ การอา่ น คิดวิเคราะห์ และเขียน ในระดับ
ตน้ ตอ้ งร่วมทง้ั ๒ กจิ กรรม ส่วน ม.ปลาย ผ่าน

องแบบ • มีผลการประเมนิ คุณลักษณะอนั พงึ ประสงค์ ในระดับผ่าน
ชมรม
ะสาธารณ-ประโยชน(์ มชี ่วั โมงเขา้ ร่วม • มผี ลการประเมินกิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน ในระดบั ผ่านทกุ
) กิจกรรม และปฏิบตั กิ ิจกรรมเพ่ือสงั คมและสาธารณประโยชน์
นปีการศึกษานน้ั ควรไดไ้ มต่ ่ำกว่า ๑ - ม.ตน้ ๔๕ ชวั่ โมง
- ม.ปลาย ๖๐ ช่ัวโมง

206 การเ

การตัดสนิ ผลการเรยี น การเรียนซำ้ ช้ัน มคี ณะกรรมก
๑. ผู้เรยี นมีระดบั ผลการเรยี
การตัดสนิ กิจกรรมพัฒนาผเู้ รียน
ปีการศึกษานนั้ ตำ่ กว่า ๑
• ใหผ้ ลการเรยี นเปน็ ผ่าน ไม่ผา่ น ในระดบั ชัน้ ทีส่ ูงขน้ึ
• ตัดสนิ เมื่อส้ินภาคเรยี น ๒. ผเู้ รยี นมผี ลการเรียน ๐,
• การผา่ น ไม่ผา่ น พจิ ารณาจาก ในปีการศกึ ษานนั้

- เวลาการเข้ารว่ มกิจกรรม
- การปฏบิ ตั ิกจิ กรรมและผลงานของผูเ้ รยี น

การสอนซ่อมเสรมิ
ม่งุ ให้ผเู้ รยี นพฒั นาเต็มศักยภาพทันทว่ งที

เกณฑก์ ารตดั สนิ การอ่าน คดิ สรุปเกณฑ
วเิ คราะห์ และเขยี น
ดีเยี่ยม หมายถงึ มีผลงานทแ่ี สดงถงึ คว
ดี หมายถึง มผี ลงานทแี่ สดงถงึ คว
ผา่ น หมายถงึ มผี ลงานท่ีแสดงถึงคว

ไมผ่ ่าน หมายถงึ ไมม่ ีผลงานที่แสดงถงึ
ต้องได้รบั การปรบั ปร

เลือ่ นช้นั เรยี น เกณฑก์ ารจบระดับมธั ยมศึกษา

การพิจารณา มี ๒ ลกั ษณะ เอกสารหลักฐานการศึกษา
ยนเฉล่ยี ใน
๑ และมแี นวโนม้ ว่าจะเป็นปญั หากา-รเรยี น • โรงเรียนออก ปพ.๑ : บ ใหน้ ักเรยี นเม่อื
ร, มส เกินครึง่ ของรายวชิ าที่ลงทะเบยี น - จบ ม.๓
- ลาออกศกึ ษาตอ่ ที่อนื่

ออก ปพ.๑ : พ ใหน้ กั เรียน เมื่อจบ ม.๖
ฑก์ ารตัดสิน
• ออก ปพ.๒ (ประกาศนยี บตั ร)
- ปพ.๒ : บ เมอ่ื จบ ม. ๓
- ปพ.๒ : พ เมื่อจบ ม.๖

• โรงเรยี นจดั ทำ ปพ.๓ เป็นหลกั ฐานว่านกั เรยี นจบหลักสตู ร
และเพอื่ ตรวจสอบวุฒิ
- ปพ.. ๓ : บ (จบการศกึ ษาภาคบงั คบั )
- ปพ.๓: พ (จบการศึกษาข้ันพื้นฐาน)
 เกบ็ ไว้ทโ่ี รงเรยี น ๑ ชุด
 ส่งให้ สพท. ๑ ชุด
 สง่ ให้ สพฐ. ๑ ชดุ

วามสามารถในการอ่าน คิดวิเคราะห์ และเขยี น ที่มีคณุ ภาพดีเลศิ อยู่เสมอ

วามสามารถในการอ่าน คดิ วิเคราะห์ และเขยี น ท่มี คี ณุ ภาพเป็นท่ยี อมรบั

วามสามารถในการอ่าน คิดวเิ คราะห์ และเขยี น ทม่ี ขี อ้ บกพร่องบางประการ

งความสามารถในการอ่าน คดิ วเิ คราะห์ และเขยี น หรอื ถ้ามผี ลงาน ผลงานนัน้ ยงั มีข้อบกพรอ่ งท่ี

รงุ แก้ไขหลายประการ

เกณฑ์การตดั สินคณุ ลักษณะ ดเี ยยี่ ม หมายถึง ผ้เู รยี นปฏิบัติตนตาม
อนั พึงประสงค์ ผลการประเมินระดับ

เกณฑ์การตดั สนิ กิจกรรม ดี หมายถงึ ผ้เู รยี นมคี ุณลกั ษณะใ
พฒั นาผู้เรียน ๑. ได้ผลการประเมนิ
๒. ได้ผลการประเมินร
๓. ได้ผลการประเมนิ

ผา่ น หมายถึง ผูเ้ รยี นรับรูแ้ ละปฏบิ
๑. ได้ผลการประเมิน
๒. ได้ผลการประเมนิ

ไม่ผ่าน หมายถงึ ผเู้ รยี นรับรูแ้ ละปฏิบ
๑ คณุ ลักษณะ

“ผ” หมายถึง ผู้เรยี นมีเวลาเขา้ ร
กำหนด

“มผ” หมายถงึ ผเู้ รยี นมเี วลาเขา้ ร
สถานศกึ ษากำหน

ภาพประกอบ 68 แผนภูมสิ รุปการว

207

มคณุ ลกั ษณะจนเปน็ นสิ ัย และนำไปใช้ในชีวติ ประจำวัน เพอ่ื ประโยชน์สุขของตนเองและสังคม โดยพิจารณาจาก
บดเี ยย่ี ม จำนวน ๕-๘ คุณลกั ษณะ และไม่มีคุณลกั ษณะใดไดผ้ ลการประเมนิ ต่ำกวา่ ระดบั ดี
ในการปฏบิ ตั ิตามกฎเกณฑ์ เพ่ือให้เป็นการยอมรบั ของสังคม โดยพจิ ารณาจาก
นระดบั ดีเยยี่ ม จำนวน ๑ - ๔ คณุ ลกั ษณะ และไม่มีคณุ ลักษณะใดได้ผลการประเมนิ ตำ่ กวา่ ระดบั ดี หรอื
นระดับดีเยย่ี ม จำนวน ๔ คุณลกั ษณะ และไม่มีคณุ ลกั ษณะใด ไดผ้ ลการประเมนิ ต่ำกวา่ ระดบั ผา่ น หรือ
นระดบั ดี จำนวน ๕-๘ คุณลักษณะ และไมม่ คี ุณลักษณะใดได้ผลการประเมินต่ำกวา่ ระดบั ผ่าน
บัติตามกฎเกณฑ์และเง่อื นไขทสี่ ถานศึกษากำหนดโดยพิจารณาจาก
นระดบั ผา่ น จำนวน ๕-๘ คุณลักษณะ และไม่มีคณุ ลักษณะใดไดผ้ ลการประเมนิ ตำ่ กวา่ ระดบั ผา่ น หรอื
นระดับดี จำนวน ๔ คณุ ลักษณะ และไมม่ ีคุณลกั ษณะใด ไดผ้ ลการประเมินตำ่ กวา่ ระดบั ผา่ น
บัตไิ ดไ้ ม่ครบตามกฎเกณฑแ์ ละเงอื่ นไขท่ีสถานศึกษากำหนด โดยพจิ ารณาจากผลการประเมนิ ระดับไม่ผ่าน ตัง้ แต่

รว่ มกจิ กรรมพฒั นาผ้เู รยี น ปฏบิ ัติกจิ กรรมและมีผลงานตามเกณฑ์ทส่ี ถานศกึ ษา

ร่วมกจิ กรรมพัฒนาผเู้ รยี น ปฏิบตั กิ จิ กรรมและมผี ลงานไมเ่ ปน็ ไปตามเกณฑท์ ี่
นด

วัดและประเมินผลระดบั มธั ยมศกึ ษา



209

เครือ่ งมอื วัดและประเมินผลการเรียนรู้

เครื่องมือสำหรับรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผู้เรียนมีหลากหลาย ประเภท ทั้งนี้นักออกแบบการ
เรียนการสอนควรพิจารณาเลือกใช้ให้สอดคล้องกับจุดประสงค์และสิ่งที่ ต้องการวัด ดังนี้ (Print,
Murray, 1993, pp. 202-210)

1. ตัวอย่างชิ้นงาน (work samples) ตัวอย่างชิ้นงานเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจากการทำงาน
ของผู้เรียนในสภาพการเรียนการสอนปกติ เป็นสิ่งที่มีความสำคัญเพราะเป็นหลักฐาน ร่องรอยที่บ่งช้ี
ผลการเรียนรู้ของผู้เรียนตามสภาพที่แท้จริง ผู้สอนสามารถใช้ช้ินงานของผู้เรียนวัดทั้งด้านผลผลิต
(product) และการปฏิบัติงาน (performance) ตัวอย่างที่เป็นผลผลิต ได้แก่ ผลงานเขียนต่างๆ
รายงานการทำโครงงาน การสรา้ งแบบจำลอง ผลงานประดิษฐค์ ิดค้น และงานสร้างสรรคใ์ นงานศิลปะ
ต่าง ๆ เป็นต้น ตัวอย่างที่เป็นการปฏิบัติงาน ได้แก่ การแสดง การทดลอง การแข่งขัน การเล่นเกม
การส่อื สาร เปน็ ต้น จดุ เดน่ ของการใชช้ ้ินงานเหลา่ น้ีในการประเมินผล คือ สะทอ้ นสภาพความเปน็ จริง
ให้ใกล้เคียงกับสภาพปกติ ผู้เรียนไม่รู้สึกเครียดและกดดัน ดังนั้นจึงเป็นข้อมูลที่สามารถวัด
ความสามารถที่ แท้จริง หรือพฤติกรรมการแสดงออกที่ใกล้เคียงความจริงได้ดีกว่า เราสามารถใช้
ขอ้ มูลจากชนิ้ งานในวิชา ตา่ ง ๆ เช่น ผลงานการแต่งกลอน การเขียนจดหมาย การเรยี งความ การแต่ง
เรื่องสั้น ในวิชาภาษาไทย ผลงานการประดิษฐ์ การปั้น การวาด การเล่นดนตรี การแสดงละคร
การฟ้อนรำในวิชาทศั นศิลป์ ผลงานจากโครงงานตา่ ง ๆ ในวิชาวทิ ยาศาสตรแ์ ละสังคมศกึ ษา เปน็ ตน้

2. แบบทดสอบปากเปล่า (oral test) เป็นเครื่องมือที่มักใช้ร่วมกับการใช้แบบทดสอบ
ทีใ่ ชก้ ารเขยี น เช่น การทดสอบปากเปล่าภายหลงั การสอบข้อเขยี น การสอบปากเปล่าจะเป็นหนทางท่ี
ผู้เรียน สามารถชี้แจงให้ความกระจ่างชัดในสิ่งที่ตนเองเขียนไว้ในแบบทดสอบได้ดีขึ้น ผู้สอนสามารถ
เลือกใช้การ ทดสอบปากเปล่าแทนการสอบข้อเขียนหรือเปิดโอกาสให้ผู้เรียนเป็นผู้เลือกใช้วิธีการนี้
ในกรณที ีผ่ เู้ รียน ไมม่ ที กั ษะการเขียนแต่มีความรู้ความเขา้ ใจในสงิ่ ท่ีเรียน เชน่ การทดสอบในเด็กระดับ
อนุบาล เพื่อให้ได้ คะแนนที่วัดความรู้ความเข้าใจที่แท้จริงไม่ใช่ทักษะการเขียนของผู้เรียน การใช้
แบบทดสอบปากเปล่า ต้องสอบเป็นรายบุคคลจึงใช้เวลามากและอาจมีข้อโตแ้ ย้งในด้านความเชื่อมนั่
ของการวดั จึงควรกำหนด เกณฑ์ทีช่ ัดเจนในการให้คะแนน

3. แบบสังเกตอยา่ งมีระบบ (systematic-observation) โดยปกตผิ ู้สอนใช้วิธกี าร สงั เกต
พฤติกรรมของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนเพื่อตรวจสอบความเข้าใจของผู้เรียนและ
พฤติกรรมการเรียน แต่การสังเกตที่ผู้สอนทำไม่ใช่การสังเกตอย่างเป็นระบบในมุมมองของการวัดผล
ดังน้นั ผ้สู อนควรกำหนดเกณฑ์ในการสังเกตอยา่ งมีจดุ ประสงคช์ ดั เจนเพื่อสังเกตผเู้ รียนอย่างเป็นระบบ
และบันทึกผลการปฏิบัติงานของผู้เรียน เช่น ต้องการประเมินผลกระบวนการทำงานกลุ่มของผู้เรียน
ในขณะทำโครงงาน ผสู้ อนกำหนดส่งิ ที่ต้องการสงั เกตในการทำงานกล่มุ ประกอบดว้ ย การวางแผนงาน
การแบ่งหน้าที่รับผิดชอบของสมาชิกในกลุ่ม การทำงานที่ได้รับมอบหมายตามแผนที่กำหนดไว้ การ
ช่วยเหลือซึ่งกันและกันของสมาชิก จากนั้นครูสร้างแบบบันทึกการสังเกตพฤติกรรมของผู้เรียน และ
ระยะเวลาในการสังเกต โดยข้อมูลที่ได้จากการสังเกตมีทั้งข้อมูลเชงิ ปรมิ าณ ได้แก่ การบันทึกความถ่ี
ของพฤติกรรมที่เกิดขึ้น และขอ้ มลู เชงิ คุณลักษณะ ได้แก่ การบรรยายพฤติกรรมท่สี งั เกตเห็น ข้อมูลที่
รวบรวมได้น้จี ะเป็นประโยชนต์ ่อการพฒั นาและปรับปรงุ พฤติกรรมการทำงานกลุ่มของผเู้ รยี นอยา่ งย่งิ

210

4. แบบสัมภาษณ์ (interviews) เป็นเครื่องมือในการรวบรวมข้อมูลซึ่งใช้ในการวัดผลทั้ง
ใน ด้านผลการเรียนรู้ (product) และการปฏิบัติงาน (performance) แบบสัมภาษณ์ที่ใช้โดยทั่วไป
แบ่งได้เป็น แบบสัมภาษณ์แบบมีโครงสร้างและแบบสัมภาษณ์แบบไม่มีโครงสร้าง ผู้สอนควรใช้แบบ
สัมภาษณ์ แบบมีโครงสร้างเพื่อรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับการปฏิบัติงานของผู้เรียนตามประเด็นที่สนใจ
การสัมภาษณ์ แบบเจาะลึกจะชว่ ยให้ไดร้ ายละเอียดข้อเทจ็ จริงจากผ้เู รียนซ่ึงไม่สามารถพบได้จากการ
สงั เกต

5. แบบสอบถาม (questionnaires) เป็นเครื่องมือที่เหมาะกับการรวบรวมข้อมูลจาก
ผู้เรียน กลุ่มใหญ่ ใช้สำหรับการวัดความคิดเห็น ความรู้สึกของผู้เรียน หรือการวัดพฤติกรรมของ
ผเู้ รยี นในบาง สถานการณ์ เชน่ การวดั เจตคตขิ องผู้เรียนที่มีต่อวชิ าคณิตศาสตร์ การวดั พฤติกรรมการ
เรียนของผู้เรียน เป็นต้น การสร้างแบบสอบถามให้มคี ุณภาพต้องกำหนดโครงสร้างของแบบสอบถาม
ให้ครอบคลุมสิ่งที่จะวัด กำหนดตัวบ่งชี้พฤติกรรมตามกรอบโครงสร้างอย่างชัดเจน การคัดเลือกกลุ่ม
ตัวอยา่ ง การเลือกใช้สถิติ ในการวเิ คราะห์ข้อมลู เปน็ ตน้

6. แบบตรวจสอบรายการและแบบจัดลำดับ (checklists and rating scales) เป็น
เครื่องมือที่เหมาะสำหรบั การวัดพฤติกรรมของผูเ้ รียนและจัดลำดับความถ่ีหรือคุณภาพของการแสดง
พฤตกิ รรมของผู้เรียนอยา่ งเป็นระบบ ดงั นี้

6.1 แบบตรวจสอบรายการ (checklists) เป็นแบบประเมินท่ีประกอบด้วยรายการ
พฤติกรรม ของผ้เู รียนท่ตี ้องการบนั ทกึ หรือรวบรวม ดงั นน้ั ในการพัฒนาแบบตรวจสอบรายการส่ิงแรก
ทต่ี ้องพจิ ารณา คือ การกำหนดพฤตกิ รรมที่ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง พิจารณาว่าความครอบคลุมและ
ความพอเพียง ของพฤติกรรมที่กำหนดนั้นสามารถวัดพฤติกรรมที่ต้องการได้จริงหรือไม่ ตัวอย่าง
ได้แก่ แบบวัดความ ร่วมมือและการมีส่วนร่วมในกิจกรรมกลุ่มของนักเรียนระดับประถมศึกษา แบบ
วดั กระบวนการปฏิบตั ิการ ทดลองวทิ ยาศาสตร์ของนักเรยี นระดบั มธั ยมศกึ ษา เป็นต้น

6.2 แบบจดั อันดับ (rating scales) เปน็ เคร่ืองมือที่นิยมใช้ในการวัดด้านเจตคติ แต่ก็
มีผู้ประยุกต์ ไปใช้ในการวัดด้านความรู้ และด้านทักษะพอ ๆ กับการวัดด้านเจตคติ ลักษณะสำคัญ
ของแบบทดสอบ แบบจัดอนั ดบั คือ มีการจัดช่วงการแสดงพฤติกรรมออกเป็นหลายระดบั ใหเ้ ลือก การ
สรา้ งแบบทดสอบ แบบจดั อันดับสามารถสร้างได้ง่าย ไม่มีความยุง่ ยาก และเป็นเคร่ืองมือทส่ี ามารถใช้
สนองจดุ ประสงคไ์ ด้ หลายประการจึงเปน็ ทีน่ ยิ มใชอ้ ย่างแพรห่ ลาย

7. แบบรายงานตนเอง (self–reports) เป็นเครื่องมือที่ใช้รวบรวมข้อมูลด้านพฤติกรรม
และการปฏิบัติงานของผู้เรียน โดยผู้เรียนเป็นผู้รวบรวมและนำเสนอข้อมูลการประเมินตนเองทั้งใน
ด้าน ความคิดเห็นและกระบวนการทำงาน ซึ่งช่วยให้ผู้สอนสามารถประเมินพฤติกรรมและการ
ปฏิบัติงานของ ผู้เรียนได้ชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น แบบรายงานตนเองสามารถจัดทำในรูปแบบ
บันทึกรายวันหรือ บันทึกเหตุการณ์สำคัญ (diaries or log) บันทึกตามลำดับพฤติกรรมของผู้เรียน
(self-report scale) เป็นแบบบันทึกซึ่งผู้เรียนเป็นผู้เลือกพฤติกรรมหรือทัศนคติที่ตรงกับผู้เรียนใน
การบันทกึ

8. แบบประเมินการปฏิบัตเิ ชิงคณุ ภาพ (rubric) เปน็ เครอ่ื งมือการประเมินประเภทเกณฑ์
ใช้สำหรับประเมินความสามารถในการปฏิบัติงานและผลงานของผู้เรียนเพื่อบอกระดับคุณภาพ การ
ประเมิน รูปแบบนี้ประกอบด้วยองค์ประกอบของสิ่งที่ต้องการประเมินหลายองค์ประกอบ เช่น การ

211

ประเมินการ รายงานผลโครงงานของนักเรยี น มอี งคป์ ระกอบทตี่ ้องการประเมิน 3 ด้าน ไดแ้ ก่ เน้ือหา
การจดั แสดง ผลงาน และการรายงาน เกณฑใ์ นการประเมินมีระดับคุณภาพหลายระดบั ตัง้ แต่ระดับดี
มากไปจนถึง ระดบั ปรับปรุง ในแต่ละระดับคุณภาพจะมีคำบรรยายที่ละเอียดเกี่ยวกับคุณลักษณะของ
องค์ประกอบที่ ต้องการประเมิน ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อการวิเคราะห์คุณภาพของสิ่งที่ประเมิน การ
ตัดสินใจว่าจะเลือกเครื่องมือแบบใดในการวัดผลการเรียน ผู้ออกแบบการเรียนการสอน ควรคำนึงถงึ
จุดประสงค์ของการเรียนรู้ ความคุ้มทุนทั้งด้านเวลาและค่าใช้จ่าย ซึ่งสามารถพิจารณาได้ จากตาราง
การวิเคราะหด์ งั นี้

ผดงุ ชยั ภู่พัฒน์ (2563, หน้า 2) กลา่ วถงึ วธิ กี ารวัดและประเมินการเรียนรมู้ ีหลากหลาย
ผู้สอนควรเลอื กใช้ให้เหมาะสมกบั ธรรมชาติของการเรียนรู้ วิธีการวัดและประเมินการเรยี นรูท้ ี่นยิ มใช้
เช่น การทดสอบ การสัมภาษณ์การสอบถาม การสังเกต การตรวจผลงาน การใช้แฟ้มสะสมงาน เป็น
ต้น แตล่ ะวธิ ีสามารถใชเ้ ครอ่ื งมอื วัดได้แตกตา่ งกันตามความเหมาะสม ตัวอย่างดงั แสดงในตาราง 6
ตาราง 6 วธิ กี ารวดั และประเมินการเรยี นรูและตัวอย่างเครื่องมือ

วธิ กี ารวัด ตวั อย่างเครอ่ื งมือ
การทดสอบ (Testing)
แบบสอบขอ้ เขียน (Written Test)
การสัมภาษณ์ (Interview) แบบสอบภาคปฏบิ ัติ (Performance Test)
การสอบถาม (Inquiry) แบบวดั (Scale)
การสังเกต (Observation)
แบบสัมภาษณ์ (Interview guide)
การตรวจผลงาน
การใชแ้ ฟ้มสะสมงาน (Portfolio) การสอบถาม (Inquiry)

การใช้ศนู ยก์ ารประเมนิ แบบตรวจสอบรายการ (Checklist)
(Assessment Center Method) แบบมาตรประเมินคา (Rating scale)
แบบบันทกึ (Record)

แบบประเมินผลงาน

แบบบันทึก (Record)
แบบประเมนิ ผลงาน
แบบประเมินตนเอง

แบบตรวจสอบรายการ (Checklist)
แบบบนั ทกึ (Record)
แบบมาตรประเมินคา (Rating scale)
แบบประเมินพฤตกิ รรม
แบบประเมนิ ผลงาน

หลักการของการวดั และประเมนิ ผลการศกึ ษา

การวัดผลและประเมินผลในพฤติกรรมการเรียนรู้ของผู้เรียนที่เกดิ ขึ้นได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
น้นั ตอ้ งมีหลักการที่จะตอ้ งนำไปปฏบิ ัติดังนี้ (มณญี า สรุ าช, 2560, หนา้ 15)

1. กำหนดจดุ ประสงค์ของการวดั และการประเมินผลใหช้ ัดเจนในลักษณะของจดุ ประสงค์
เชิงพฤตกิ รรมท่ใี ตร้ ะบุพฤตกิ รรมของผ้เู รียนท่ีต้องการใหเ้ กิดขนึ้ และจะสามารถวัดไดห้ รอื สังเกตได้เม่ือ
สิ้นสดุ การเรียนการสอนแล้วท้งั ใน ดา้ นพุทธิพิสัย จิตพิสัย และทกั ษะพิสัย

212

2. เลือกใช้วิธีการวัด เครื่องมือที่ให้เหมาะสมและสอดคล้องกับจุดประสงค์นั้น ๆ เพราะ
จะทำให้ผลท่ไี ด้จากการวัดมคี วามนำ้ เชื่อถือมากยิง่ ข้นึ

3. เลือกใช้เครื่องมือการวัดผลที่มีคุณภาพเนื่องจากผลที่ได้จากการวัดจะต้องนำไปใช้ใน
การประเมนิ เพื่อตัดสนิ คุณค่าหรอื ตัดสินใจดงั น้นั จำเปน็ ต้องมีความม่ันใจวา่ ผลนน้ั 1 เกดิ จากเคร่ืองมือ
ทม่ี ีคณุ ภาพอย่างแทจ้ รงิ

4. ในการวดั ผลแตล่ ะคร้ังครูผูส้ อนควรจะเลือกใช้วธิ กี ารหรือเครื่องมือวตั ผลทห่ี ลากหลาย
เพอ่ื ชว่ ยลดความคลาดเคล่ือนท่ีเกิดจากข้อบกพรองของวธิ ีการหรือเคร่อื งมือนนั้ ๆ

5. ใช้ผลจากการวัดที่มีความคุ้มค่า กล่าวคือการวัตผลจะได้รับข้อมูลที่แสดงให้เห็นว่า
ผู้เรียนได้บรรจุจุดประสงค์ที่กำหนดไว้หรือไม่เพื่อนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ในการปรับปรุง การจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนหรือการแนะแนวการศึกษาต่อหรือการพัฒนาระบบการบริหารการเรียน
การสอนในโรงเรยี น เป็นต้น

ประโยชนข์ องการวดั และประเมินผล

ประโยชน์ในการวัดและประเมินผลมีอย่างมากมายถ้าผู้ที่เกี่ยวข้องได้นำผลจากการวัด
และประเมินผลมาดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ซึ่งสามารถจำแนกคุณประโยชน์ของการวัดและ
ประเมินผลการศึกษาตามผูท้ ีเ่ กี่ยวของดงั น้ี (มณีญา สรุ าช, 2560, หนา้ 18)

1. ประโยชนต์ อ่ ผู้เรียน
1.1 ก่อให้เกิดการพัฒนาตนเองในแนวทางที่เหมาะสมโดยจะใชผลจากการประเมิน

ความสามารถของตนเอง
1.2 ก่อใหเกิดแรงจงู ใจในการเรียนเพื่อทจ่ี ะรักษามาตรฐานและส่งผลใหมีผลการเรียน

ทดี่ ขี ึน้ ตามลำดบั
1.3 ก่อใหเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระเพิ่มขึ้นเพราะการวัดและประเมินผล

ในแตล่ ะคร้ังนนั้ ผ้เู รยี นจะตองมีการทบทวนเนอื้ หาสาระเพม่ิ เติมเสมอ ๆ
1.4 ก่อใหเกิดการรับทราบจุดประสงค์การเรียนที่ชัดเจนเนื่องจากจะได้รับการแจ้ง

จดุ ประสงคก์ อ่ นเรียนทกุ คร้งั ส่งผลต่อการกำหนดแนวทางในการเรียนรู้ได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
2. ประโยชนต์ ่อครผู สู้ อน
2.1 ได้รับทราบผลการเรียนของผู้เรียนแต่ละคนว่าเก่ง-อ่อนหรือได้-ตกเพื่อที่จะได้

แสวงหาวธิ กี ารเพอื่ แกไ้ ขท่ถี ูกตอ้ ง
2.2 เพื่อรับทราบบรรลุจุดประสงค์ของผู้เรียนว่ามาก-น้อยเพื่อใช้เป็นดัชนีบ่งชี้ที่

สะท้อนใหเห็นประสิทธิภาพในการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนของครูผู้สอนว่าเป็นอย่างไรอันจะ
นำไปใชเ้ ปน็ ขอมูลพืน้ ฐานในการแสวงหาและพฒั นาวิธกี ารและเทคนคิ การสอน

2.3 ได้รับทราบขอมูลพื้นฐานของผู้เรียนที่ครูผู้สอนอาจใช้เป็นแรงกระตุ้นให้ผู้เรียน
เกดิ ความสนใจในการเรียนมากยิ่งข้ึน

2.4 นำข้อมูลมาดำเนนิ การดว้ ยวิธีการทางสถิตเิ พื่อหาดชั นีบง่ ชี้คุณภาพของเคร่ืองมือ
วดั การเรียนรูว้ า่ เป็นอย่างไรควรมีการปรับปรุงหรือแก้ไขในสวนใดเพ่ือให้เครื่องมือมปี ระสิทธิภาพมาก
ยิง่ ขึ้น

213

3. ประโยชนต์ ่อผู้บริหาร
3.1 ไดร้ ับทราบขอ้ มลู ทเ่ี ป็น ดชั นีบ่งช้มี าตรฐานการศึกษาของโรงเรยี นท้ังในสวนของ

ผู้เรียนและครูผ้สู อน
3.2 ได้รับขอมูลในการนำไปประชาสัมพันธ์โรงเรียนใหผู้ปกครองและผู้ที่สนใจในการ

ดำเนินงานของโรงเรยี นไดร้ บั ทราบ
3.3 ได้รับขอมูลในการนำมาพิจารณาประกอบการตัดสินใจแก้ไขปัญหาพัฒนาและ

ดำเนนิ งานบริหารโรงเรียนใหมีความเจรญิ กา้ วหน้าไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ
4. ประโยชน์ต่อผู้ปกครอง
4.1 ได้รับทราบขอมูลเกี่ยวกับความรูความสามารถสมรรถภาพหรือคุณลักษณะของ

บุตรหลานของตนเอง
4.2 ได้รับทราบขอมูลในการทำความเขาใจหรือแก้ไขพฤติกรรมที่ เกิดขึ้นของบุตร

หลานไดอ้ ย่างถกู ต้องรวดเรว็
5. ประโยชนต์ อ่ ครูแนะแนว
ผลจากการวัดใช้เป็นขอมูลพื้นฐานให้คำปรึกษาแนะนำผู้เรียนในการเลือกเพื่อศึกษา

ตอ่ หรือการประกอบอาชีพการความสามารถหรือการแก้ไขปญั หาที่เกดิ ข้ึนได้อย่างมปี ระสทิ ธิภาพ

การบูรณาการการวดั ผลและประเมนิ ผลไปใช้

มัสยา โซ๊ะศิริ (2561, หน้า 8-10) ได้ศึกษาเรื่อง การพัฒนาสมรรถนะด้านการวัดและ
ประเมินผลการเรียนรู้ ตามแนวทางการจัดการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญของครู พบว่า
สมรรถนะด้านการวัดและประเมินผลการเรียนรูข้ องครู ประกอบด้วย 1) ด้านการกำหนดจดุ มุง่ หมาย
ของการวัดและประเมินผล 2) ด้านการวัดให้ครอบคลุมทุกดา้ น 3) ด้านการใช้วิธกี ารและเคร่ืองมือที่
หลากหลายในการวัดและประเมินผล 4) ด้านการเก็บรวบรวมข้อมูลการวัดและประเมินผล และ5)
ด้านการรายงานผลและการนำผลไปใช้ ซ่งึ มีรายละเอยี ดดงั นี้

1. การกำหนดจุดมุ่งหมายในการวัดและประเมินผล หมายถึง การระบุชัดเจนว่า จะวัด
อะไร วัดทำไม วัดอย่างไร วัดช่วงใด และจะตัดสินผลอย่างไรให้ชัดเจน โดยระบุไว้ในแผนการจัดการ
เรยี นรูแ้ ตล่ ะแผน

2. การวัดให้ครอบคลุมทุกด้าน หมายถึง การวัด ให้ครอบคลุมทั้งด้านความรู้ ทักษะ
กระบวนการต่าง ๆ หรือพฤติกรรมที่แสดงออกและสามารถวัดได้ เจตคติ คุณธรรม จริยธรรมและ
คณุ ลักษณะอันพึงประสงค์ ในขณะที่ผเู้ รยี นปฏิบตั ิกิจกรรมตา่ ง ๆ เพ่อื ใหไ้ ด้ข้อมูลตามสภาพจริงอย่าง
ครอบคลุมและตอ่ เนอื่ ง

3. การวัดโดยใช้วิธีการและเครื่องมือที่หลากหลายในการวัดและประเมินผล หมายถึง
การที่ผู้สอนต้องวัดผลการเรียนรู้ทุกด้าน จึงต้องใช้วิธีการและเครื่องมือที่หลากหลายให้เหมาะสมกับ
ลักษณะของขอ้ มูล เช่น ตอ้ งการข้อมูลด้านทกั ษะปฏบิ ตั ิ ผู้สอนควรเลือกใชแ้ บบสังเกตพฤตกิ รรม แบบ
ประเมนิ ทักษะและผลงานทเี่ กิดจากการใช้ทกั ษะปฏบิ ตั ิ

214

4. การเก็บรวบรวมขอ้ มูลการวัด และประเมินผล หมายถึง ผู้่เกี่ยวข้องหลายๆ ฝ่ายเชน่
ผู้สอน เพือ่ นในชัน้ เรยี น ผปู้ กครอง ฯลฯ เปน็ ผู้ให้ขอ้ มูล เพอื่ ให้ได้ข้อมลู ที่ถกู ตอ้ งตรงกบัสภาพจริงของ
ผู้เรียนมากท่สี ดุ

5. การรายงานผลและนำผลไปใช้ หมายถึง การเก็บขอ้ มูลผลงาน ผลการประเมินของ
บุคคลที่เกี่ยวข้องในแฟ้มสะสมผลงาน แฟ้มพัฒนางาน รายงานความก้าวหน้าในการเรียน และนำผล
การประเมินผ้เู รยี นมาพัฒนาการเรยี นการสอน

ดนุพล กาญจนะกันโห (2560, หน้า 90-92) ได้ศึกษาแนวทางการวัดและประเมินผลการ
เรียนรู้ตามสภาพจริงสำหรับสถานศึกษา พบว่า ควรมีแนวทางการดำเนินการพัฒนา ดังรายละเอียด
ตอ่ ไปน้ี

1. ด้านการกำหนดจุดประสงค์การวัดและประเมนิ ผล
1. ควรจัดให้ครูได้เข้ารับการอบรมการกำหนดจุดประสงค์การวัดและประเมินผลตาม

สภาพจริงเพื่อให้สอดคล้องกับตัวชี้วัดตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2551 และ
หลกั สตู รสถานศกึ ษา

2. กำหนดจุดประสงค์ในการวัดและประเมินผลควรให้สอดคล้องกับจุดประสงค์ในการ
สอน เพราะการสอนกับการวดั และประเมินผลเปน็ กจิ กรรมท่ตี ่อเนอ่ื งกัน

3. กำหนดจุดประสงคก์ ารวัดและประเมนิ ผลใหค้ รอบคลุมความรู้ ทกั ษะกระบวนการและ
คณุ ลกั ษณะอนั พึงประสงค์

4. กำหนดจุดประสงค์การวัดและประเมินผลโดยใช้ภาษาที่ชัดเจนและกะทัดรัดผู้เรียน
สามารถเขา้ ใจไดง้ ่าย เหมาะสมกบั ระดบั ความสามารถ วยั และวุฒิภาวะของผเู้ รยี นใหม้ สี อดคล้องและ
สนองความต้องการของผเู้ รียน สังคมและประเทศชาติ

2. ด้านการกำหนดภาระงานการเรยี นรู้ตามสภาพจริง
1. กำหนดภาระงานการเรียนรู้ตามสภาพจริงโดยศึกษาพื้นฐานความรู้ความสามารถและ

ประสบการณ์เดิมของนักเรยี น
2. กำหนดภาระงานการเรียนรู้ตามสภาพจริงให้เป็นภาระงานที่นักเรียนควรทำและเป็น

ภาระงานการเรียนรู้ที่เน้นความคิดของนักเรียนตามความชอบ ความถนัด หรือเป็นแนวทางของ
นกั เรยี นเอง

3. ภาระงานการเรยี นรูต้ ามสภาพจริงควรกำหนดให้สอดคล้องกบั สถานการณ์ในชีวิตจรงิ
หรือสามารถนำไปประยุกตใ์ ช้กับชวี ิตจริงของผู้เรียนได้

4. กำหนดภาระงานที่นักเรียนสามารถนำความรู้และทักษะที่ได้รับจากกิจกรรมใน
ห้องเรียนมาประยกุ ต์ใช้ไดเ้ นน้ การลงมอื ปฏิบตั ิจรงิ

5.กำหนดภาระงานการเรียนรู้และกำหนดกิจกรรมการพัฒนาผู้เรียนให้ชัดเจนในแต่ละ
ช่วงชั้น โดยจัดภาระงานการเรยี นรู้ท่ีนักเรียนสามารถศึกษาค้นคว้าจากแหล่งเรียนรู้ต่าง ๆ ทั้งในและ
นอกหอ้ งเรยี น

6. ภาระงานการเรียนรู้ตามสภาพจริงควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของสถานการณ์จริง สามารถ
สะท้อนให้เห็นการสังเกตสภาพงานปัจจุบัน ของผู้เรียน และสิ่งที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติจริง และสอดคล้อง
กบั หลกั สูตรและการเรียนการสอนในชัน้ เรยี น

215

7. เปดิ โอกาสใหผ้ ู้เรียนมีส่วนรว่ มรบั รรู้ ายละเอยี ดของงานก่อนปฏบิ ตั ิ
3. ด้านการกำ หนดผวู้ ดั และประเมินผล

1. กำหนดผปู้ ระเมนิ ใหค้ รอบคลมุ เพือ่ สะทอ้ นสภาพท่แี ทจ้ ริงของผูเ้ รยี น
2. ผปู้ ระเมนิ ควรมหี ลายคนโดยมีการประชุมระหว่างกนั เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลเก่ียวกับตัว
ผู้เรียนต้องสร้างความเข้าใจในเกณฑ์การประเมนิ และวิธีการประเมนิ ใหแ้ ก่ผู้ท่ีจะมารว่ มประเมนิ
3.เปิดโอกาสให้ผู้มีส่วนเกีย่ วข้องทั้งอาทิ เช่น เพื่อนครู เพื่อนผู้เรียนและผู้ปกครองมีส่วน
รว่ มในการประเมนิ ผู้เรยี น
4. ดา้ นการกำหนดวิธีการและเคร่ืองมือวดั และประเมนิ ผล
1.การกำหนดวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลที่สามารถวัดความรู้ทักษะด้านกา ร
ปฏบิ ตั ิงานและความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์ของผู้ถกู ประเมินไดอ้ ย่างเท่ยี งตรง
2.กำหนดวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลให้มีความหลากหลายโดยให้เหมาะสม
กบั วตั ถุประสงค์ของการประเมิน
3.ควรเป็นวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลที่ออกแบบมาเพื่อสะท้อนให้เห็น
พฤติกรรมและทกั ษะที่จำเป็นของนกั เรยี นในสถานการณท์ ีเ่ ปน็ จริงแห่งโลกปัจจุบัน
4.ควรเป็นวิธีการและเครื่องมือวัดและประเมินผลที่เน้นงานที่นักเรียนแสดงออกใน
ภาคปฏบิ ัติ เน้นกระบวนการเรยี นรู้ ผลผลติ และแฟ้มสะสมงาน
5.ครูควรเน้นการปฏิบัติจริงโดยจัดกิจกรรมให้เหมาะสมหรือใช้วิธีการที่เป็นธรรมชาติ
เพอื่ ใหน้ ักเรียนสร้างกระบวนการคดิ อยา่ งเปน็ ระบบ
5. ดา้ นการกำหนดเกณฑ์การวดั และประเมินผล
1.อบรมให้ความรู้แก่ครูในการสร้างเกณฑ์การให้คะแนนแบบรูบริค (Rubrics Score)
และจดั ทำเอกสารคู่มอื ใหเ้ พ่อื ให้ครไู ด้ศกึ ษาเพิ่มเติมเอง
2.กำหนดเกณฑ์การวัดและประเมินผลต้องกำหนดให้สอดคล้องกับภาระงานและ
จุดประสงค์การเรยี นรู้ มีความชดั เจนเป็นรูปธรรมใช้ภาษาชัดเจน เข้าใจงา่ ย
3. กำหนดเกณฑ์การวัดและประเมินผลทส่ี ามารถสะท้อนส่ิงที่มีคุณคา่ ท่ีนอกเหนือไปจาก
ความสำเร็จของงาน เชน่ แสดงถึงการชว่ ยเหลอื ซ่ึงกนั และกันของนกั เรยี นเพอื่ ความสำเรจ็ ของงาน
4. เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในการกำหนดหรือรับรู้เกณฑ์การประเมินก่อนลงมือ
ปฏบิ ัติงาน
6. ดา้ นการกำหนดเวลาและสถานทวี่ ดั และประเมินผล
1. กำหนดเวลาและสถานท่ีประเมินควรกำหนดไว้ให้ชัดเจนในแผนการจัดการเรียนรู้ของ
ครูว่าควรจะประเมินผู้เรียนช่วงใด เวลาใดและสถานที่ใดในการประเมินจึงจะเหมาะสมและจะได้ผล
การประเมินทีม่ ีความเที่ยงตรงและน่าเชอ่ื ถือ
2. กำหนดเวลาและสถานที่วัดและประเมินผลควรกำหนดให้สอดคล้องกับสิ่งที่ต้องการ
ประเมินโดยดูจากความพร้อมของผู้เรียนเป็นหลักเพราะการประเมินส่วนใหญ่จะเป็นการประเมินใน
ชั้นเรียนซ่ึงเปน็ การประเมินโดยดูจากพฤติกรรมท่ปี รากฏขณะน้ัน ครคู วรทำการประเมินนักเรียนนอก
หอ้ งเรียนรว่ มดว้ ย
7.ด้านการนำเสนอผลการวัดและประเมินผล

216

1. ครูควรมีการรายงานการประเมินผลให้นักเรียนและผู้ปกครองทราบเป็นระยะอย่าง
ตอ่ เน่อื ง อย่างนอ้ ยภาคเรยี นละ 1 ครงั้

2. ครูผู้สอนควรมีการวัดและประเมินผลตลอดเวลาขณะจัดกิจกรรมการเรียนการสอน
แลว้ สรุปขอ้ มูลนกั เรียนเปน็ รายบุคคลไวอ้ ย่างต่อเน่ือง

3.ควรมีการนำผลการวัดและประเมินผลที่ได้ไปใช้ในการวางแผนเพื่อพัฒนาคุณภาพ
ผู้เรียนตอ่ ไป

บทสรุป

การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนใด ครูผู้สอนจะต้องเริ่มต้นที่การกำหนดจุดประสงค์การ
เรียนรู้เพื่อเป็นเป้าหมายให้ผู้เรียนหลังจากนั้นจะต้องดำเนินการจัดกิจกรรมการเรียนการส อนที่
สอดคล้องเพื่อให้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้นั้น และท้ายที่สุดจะต้องมีการวัดและประเมินผลว่า
ผู้เรียนได้บรรลุจุดประสงค์การเรียนรู้หรือไม่ เพื่อที่จะได้นำไปปรับปรุงจุดประสงค์การเรียนรู้ และมี
การเรียนการสอน

การทดสอบเป็นกระบวนการการใช้เคร่ืองมือวัดแบบหนงึ่ ท่ีเรยี กว่าแบบทดสอบ เพื่อรวบรวม
ขอ้ มูลจากบคุ คลที่ต้องวัด

การวัดผล สรุปได้ว่า เป็นกระบวนการกำหนดตัวเลขหรือกำหนดจำนวนให้กับสิ่งที่วัดมี
กฎเกณฑ์ หรือกระบวนการเชิงปริมาณในการกำหนดค่าเป็นตัวเลขหรือสัญลักษณ์ที่มีความหมาย
แทนคุณลกั ษณะของสงิ่ ทวี่ ัดโดยอาศยั กฎเกณฑอ์ ย่างใดอยา่ งหน่งึ

การประเมินผล สรปุ ได้วา่ การประเมนิ เป็นกระบวนการพจิ ารณาตดั สินคุณภาพและคุณค่าที่
ได้ในการสังเกตจากประสบการณแ์ ละการฝึกทกั ษะของผเู้ รยี น

การทดสอบเป็นกระบวนการที่เป็นระบบในการใช้เคร่ืองมือ เพ่ือให้ได้ขอ้ มลู เพอ่ื การบรรยาย
หรอื อธิบายพฤตกิ รรมของมนุษย์เป้าหมายสำคัญของการทดสอบคือ ไดผ้ ลการทดสอบถกู ตอ้ ง แม่นยำ
โดยลดความคลาดเคลื่อนจากแหล่งต่างๆ ให้น้อยที่สุด การวัดผลเป็นกระบวนการบ่งชี้ผลผลิตหรือ
คุณลักษณะของสิ่งที่วัดโดยกำหนดเป็นตัวเลข ตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด การประเมินผลเป็นการจัด
รวบรวมขอ้ มูลและจัดข้อมูลเพอื่ ใช้ ในการตัดสินใจเกีย่ วกบั คุณคา่ ของส่งิ ทีว่ ัดได้

การสร้างเครื่องมือวัดผลและประเมนิ ผลนั้น จำต้องสร้างให้ครอบคลุมพฤติกรรมทั้งสามดา้ น
คือวัดพุทธิพิสัย ส่วนใหญ่จะใช้ข้อสอบวัดผลสมฤทธิ์ทางการเรียนชนิดเขียนตอบทุกรูปแบบ
ประกอบด้วยข้อคำถามที่ใช้เปน็ สิง่ เร้าทางสมอง ซ่ึงคำถามนั้นอาจจะเป็นประโยคคำถามโดยตรง หรือ
เป็นประโยคคำสั่งหรือเป็นข้อความที่ทำหน้าที่เป็นคำถามก็ได้ คำถามที่กำหนดขึ้นต้องคำนึงถึง
ลักษณะที่ดีหลายประการ เช่น ถามตรงตามสาระถามตรงจุดประสงค์ของการเรียนรู้ มีความชัดเจน
รดั กมุ ตลอดจนถามไดล้ ึกกว่าความจำ ซึ่งจะมผี ลโดยตรงที่ทำให้ข้อสอบทงั้ ฉบับมีคุณลักษณะสำคัญที่
ตอ้ งการ เช่น มีความตรง มีความเท่ยี ง และมีความเป็นปรนยั เป็นต้น สำหรับขอ้ คำถามแบบอัตนัยน้ัน
จะใช้คำถามที่กว้างหรือค่อนข้างกว้าง และผู้สอบต้องตอบคำถามโดยการเขียนเรียบเรียงคำตอบจาก
การบูรณาการความรู้ ความคิดตลอดจนประสบการณ์ของตนเอง ทำให้ข้อค าถามชนิดนี้สามารถวัด
พฤติกรรมทางสมอง (ด้านพุทธิพิสัย) ของผู้เรียนในขั้นสูง หรือในระดับลึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่ง
ถือเป็นข้อสอบที่วัดความสามารถจริง (Authentic Test) ส่วนด้านจิตพิสัยและทักษะพิสัย ส่วนใหญ่

217

จะใช้เครื่องมือวัดที่เป็นแบบตรวจสอบรายการ มาตรประมาณค่า การสังเกต ซึ่งครูควรพิจารณา
เลอื กใชใ้ ห้เหมาะกับสถานการณ์การจดั การเรียนรแู้ ละ การประเมินผลการเรียนรู้ในปจั จบุ ัน



219

บทท่ี 9

การพัฒนาศกั ยภาพการเรียนรขู้ องผเู้ รียน

บทนำ

พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2562
เป็นจุดเริ่มต้นใหม่ในการปฏิรูปการจัดการศึกษาแห่งชาติ มีความมุ่งหมายเพื่อการจัดการศึกษา
ต้องเป็นไปเพื่อพฒั นาคนไทยใหเ้ ป็นมนุษยท์ ี่สมบรู ณท์ ัง้ รา่ งกาย จติ ใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม
มจี รยิ ธรรม และวัฒนธรรมในการดำรงชวี ิต สามารถอยูร่ ่วมกบั ผู้อ่นื ไดอ้ ย่างมคี วามสขุ

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 (ฉบับปรับปรุงพุทธศักราช
2560) กำหนดจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาคุณภาพผู้เรียนให้เป็นคนดี มีปัญญา มีคุณภาพชีวิตดี
มคี วามสามารถแข่งขันในเวทีโลก ใหส้ ถานศกึ ษามีสว่ นร่วมในการพัฒนาหลักสูตร ม่งุ พฒั นาผู้เรียนทุก
คนซึ่งเป็นกำลังของชาติให้เป็นมนุษย์ที่มีความสมดุลทั้งด้านร่างกาย ความรู้ คุณธรรม มีจิตสำนึก
ในความเป็นพลเมืองไทยและเป็นพลโลก ยึดมั่นในการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมี
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมีความรู้และทักษะพื้นฐาน รวมทั้ง เจตคติ ที่จำเป็นต่อการศึกษาต่อ
การประกอบอาชีพและการศึกษาตลอดชีวิต โดยมุ่งเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญบนพื้นฐานความเชื่อว่า
ทกุ คนสามารถเรียนรู้และพฒั นาตนเองไดเ้ ต็มตามศักยภาพ" โดยมีจดุ มุง่ หมายพฒั นาผู้เรียนให้เป็นคน
ดี มปี ัญญา มคี วามสขุ มีศกั ยภาพในการศึกษาต่อ และประกอบอาชีพ จงึ กำหนดเปน็ จุดหมายเม่ือจบ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน คือ การมีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ เห็นคุณค่าของตนเอง
มีวินัยและปฏิบัติตนตามหลักธรรมของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ ยึดหลักปรัชญาของ
เศรษฐกิจพอเพียง การมีความรู้ ความสามารถในการสื่อสารการคิด การแก้ปัญหา การใช้เทคโนโลยี
และมีทักษะชีวิต การมีสุขภาพกายและสุขภาพจติ ที่ดี มีสุขนิสยั และรักการออกกำลังกาย การมีความ
รักชาติ มีจิตสำนกึ ในความเป็นพลเมืองไทยและพลโลก ยึดมั่นในวถิ ีชีวิตและการปกครองตามระบอบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรง เป็นประมุข มีจิตสำนึกในการอนุรักษ์วัฒนธรรมและภูมิ
ปัญญาไทย การอนุรักษ์และพัฒนาสิ่งแวดล้อม มีจิตสาธารณะที่มุ่งทำประโยชน์ และสร้างสิ่งที่ดีงาม
ในสงั คม และอยรู่ ่วมกนั ในสงั คมอย่างมคี วามสุข

การพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนต้องอาศยั ความรว่ มมือของหลายฝ่าย การปฏิสัมพันธ์ระหว่าง
ครูกับนักเรียนมีผลต่อการส่งเสริมศักยภาพของผู้เรียน ถ้าครูกับผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ที่ดตี ่อกันย่อมจะ
ส่งผลให้การเรียนการสอนในห้องเรียน หรือการจะทำงานต่าง ๆ ร่วมกันส่งผลที่ดีไปด้วย อีกทั้งยัง
สามารถส่งเสริมพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะสร้างประโยชน์
ให้เกิดขึ้นกับทั้งครูและตัวนักเรียนเอง ไม่ว่าจะเป็นด้านการเรียนการสอน ด้านความรู้ประสบการณ์
ด้านสังคม และอ่ืน ๆ อันจะนำไปสกู่ ารพัฒนาสังคมและประเทศตอ่ ไป

220

ในการศึกษาบทนี้ ผู้เขียนขอนำเสนอเนื้อหาเพื่อสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนาศักภาพ
การเรียนรู้ของผู้เรียน ดังนี้ 1) ความหมายของการพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ 2) คุณลักษณะของ
นักเรียนใศตวรรษที่ 21 และ3) ทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผเู้ รียน

ความหมายของการพฒั นาศกั ยภาพการเรียนรู้

1. ความหมายของการพัฒนา
พระธรรมปฎิ ก (ป.อ. ปยตุ ฺโต) (2537, หนา้ 68-77) ได้ใหค้ วามหมายของ “การพัฒนา”

แปลว่าเจริญหรือทำให้เจริญ คำว่า “พัฒนา” ทางศาสนาไม่เคยใช้ แต่ถ้าหมายถึงคำว่า ความเจริญ
แล้ว ทางศาสนาได้ใช้มานานแล้ว เช่น ถ้าเราจะสร้างกุศลให้มากเราก็เรียกว่าเจริญกุศล ถ้าจะปฏิบัติ
วิปัสสนากรรมฐานก็เรียกว่า เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ถ้าจะสร้างเมตตาให้เกิดขึ้นก็เรียกว่าเจริญ
เมตตา ดงั นนั้ ถา้ จะโยงเรื่องการพัฒนากบั คำว่าเจรญิ แล้ว ก็ต้องถือว่าเราไดม้ ีการพฒั นากนั มานานแล้ว
ดงั นั้น

๑. การพัฒนากาย หมายความว่า นอกจากจะมีปัจจัยสี่มาบำรุงเลี้ยงร่างกายอย่าง
เพียงพอ ให้แข็งแรงเป็นปกติสุขแล้ว ยังจะต้องมีความสัมพันธ์ที่ถูกต้องดีงามกับสภาพแวดล้อมทาง
กายภาพไม่ให้เกิดโทษแก่ร่างกายและจิตใจ เช่น กินอาหารก็มุ่งประโยชน์ต่อสุขภาพ มิใช่เพื่อ
เอร็ดอร่อยสนองตัณหาโดยไม่คำนึงถึงประโยชน์คุณค่าอาหารว่าจะมีโทษต่อร่างกายหรือไม่ ส่วนการ
รบั รูส้ ่ิงแวดล้อมภายนอกจากการสมั ผสั ทางตา หู จมกู กาย กร็ ้จู ักเลอื กรบั ร้สู ิง่ ทเี่ ปน็ ประโยชน์ไม่รับส่ิง
ทเ่ี ป็นโทษเขา้ มา และไม่ก่อปัญหาแก่สภาพแวดลอ้ มทางกายภาพ

๒. การพัฒนาศีล คือ การพฒั นาความสัมพันธ์ทางด้านกาย วาจา กับบุคคลอ่ืนซ่ึงเป็น
สิ่งแวดล้อมทางสังคมอย่างถูกต้อง ลำพังการเป็นอิสระ ปลอดพ้นจากการถูกผู้อื่นเบียดเบียนเท่าน้ี
ยังไม่เพียงพอ บุคคลยังต้องไม่กระทำการเบียดเบียนผู้อื่นอีกด้วย และประพฤติตนเป็นประโยชน์
เกอื้ กลู ผอู้ ื่นตลอดจนมีสัมมาอาชวี ะ (เลยี้ งชพี สจุ รติ )

๓. การพัฒนาจิต คือ การฝึกฝนอบรมจิตให้มีคุณสมบัติครบถ้วนทั้งสามด้าน คือ
มีคุณภาพจิตดี เช่น มีความเมตตากรุณา อ่อนน้อมถ่อมตน มีสมรรถภาพจิตดี เช่น มีสติและสมาธิมี
ความขยันหม่ันเพียรมีสุขภาพจิตดี เชน่ มคี วามปีติปราโมทย์แช่มชืน่ ใจ จติ ที่ได้รับการพัฒนาแล้วย่อม
ปลอดพน้ จากความหมองมวั เรา่ ร้อน ทะยานอยาก หากแตป่ ระสบสุขที่ประณตี ย่งิ ๆ ขึน้

๔. การพัฒนาปัญญา นอกจากการฝึกฝนให้มีความสามารถในการคิดเป็นคิดอย่าง
ถูกต้องตามความเป็นจิรง ปราศจากอคติแล้วยงั มีความหมายต่อไปถึงการรู้จักเข้าใจโลกและชวี ิตตาม
ความเป็นจริงรู้เท่าทันธรรมดาของสังขาร จนสามารถชำแหรกอวิชชาจนจิตใจเป็นอิสระ ไม่ถูกกิเลส
ครอบงำหลุดพ้นจากความทุกข์สิ้นเชิงเมื่อบุคคลสามารถพัฒนาตนให้เป็นที่พึ่งมีจิตและปัญญาแล้ว
การพัฒนาชีวิตด้านในของบุคคลด้วยกระบวนการศึกษาอบรมในหลายลักษณะ จะทำให้บุคคลมี
คุณภาพภายใน อันเป็นพื้นฐานสำคัญในการรองรับการจัดระเบียบสังคมอย่างใหม่ ที่เป็นผลจากการ
พัฒนาสังคมอย่างแท้จรงิ การพัฒนาสภาพทางกายภาพตลอดจนการพัฒนาความสัมพันธ์ทางสังคมจะ
สามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เพราะผู้คนมีหลักธรรมพื้นฐาน เช่น มีสัมมาทิฐิ เห็นความเจรญิ งอก
งามของชีวิตดีกว่าความมั่งคั่งทางวัตถุ มีความสันโดษพึงพอใจในความเป็นอยู่แต่พอดีควบคู่ไปกับ
ความขยันหมั่นเพียร และมีฉันทะเป็นแรงจูงใจในการทำงาน มีจิตใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อสรรพชีวิต

221

เป็นต้น คุณภาพของชีวิตที่กล่าวมาแล้วย่อมเป็นสิ่งสะท้อนและเป็นทั้งปัจจัยในการบรรลุเป้าหมาย
ของการพฒั นาสังคมอย่างแท้จริง

จากที่กล่าวมา สรุปได้ว่า การพัฒนา หมายถึง การพัฒนาคุณสมบัตินั่นเอง การพัฒนา
คุณสมบัติ ๔ ประการได้แก่ ๑) การพัฒนากาย ๒) การพัฒนาศีล ๓) การพัฒนาจิต ๔) การพัฒนา
ปัญญา

2. ความหมายของศกั ยภาพ
อุดมลักษณ์ ดวงลกดก (2553, หน้า 14) ได้ให้ความหมาย ศักยภาพ หมายถึง

คุณลักษณะ และความสามารถด้านต่าง ๆ ที่แฝงอยู่ในแต่ละบุคคล สามารถพัฒนาและนำมาใช
กำหนดวิธีการวางแผนสรา้ งแนวทางในการปรับปรุงแกไข เพื่อใหเกิดประโยชนตอการพัฒนางานดา้ น
ต่าง ๆ ใหบรรลวุ ตั ถปุ ระสงคอย่างมีประสิทธิภาพ

แขก บุญมาทัน (2556) ไดใ้ ห้ความหมาย ศักยภาพ หมายถงึ สงิ่ ที่มมี าก่อนในตัวบุคคล
ซึ่งบุคคลน้ันอาจนำออกมาใช้หรอื ไม่ก็ได้ หรอื การเพ่มิ พูนส่ิงที่มีอยู่ในบุคคลและกระตุนใหบุคคลน้ัน ๆ
แสดงส่งิ ทม่ี อี อกมาในรปู แบบของชน้ิ งาน

ศักด์ิดา นาคอ่วมค้า (2558, หน้า 25) ได้ให้ความหมาย ศักยภาพ หมายถึง
ความสามารถ ความพร้อมหรือคุณสมบัติที่แฝงอยู่ในตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ซึ่งสามารถทำให้ปรากฏ
หากไดร้ บั การพัฒนา หรือกระตนุ้ จากภายนอก อันจะสง่ ผลตอ่ ความสำเร็จ และความพงึ พอใจสูงสุด

จากกที่กล่าวมา สรุปได้ว่า ศักยภาพ หมายถึง ความสามารถที่ยังไม่พัฒนาหรือยังไม่
พัฒนาเต็มที่ศักยภาพเป็นพลังภายในพลังที่ซ่อนไว้หรือพลังแฝงที่ยังไม่ได้แสดงออกมาให้ปรากฎหรือ
ออกมาบ้างแต่ยังไม่หมด เช่น เมล็ดมะม่วงมีศักยภาพที่จะโตเป็นต้นมะม่วงถ้าหากได้ดินดีน้ำดีแดดดี
ปุ๋ยดีเด็กจำนวนมากที่มีศักยภาพที่จะเป็นผู้ใหญ่ที่ดีและเก่งถ้าหากได้รับการเลี้ยงดูที่ดีการศึกษาที่ดี
ส่งิ แวดล้อมที่ดี

3. ความหมายของการเรยี นรู้
Marcy P. Driscoll (2000) ให้ความหมายของการเรียนรู้ไว้ว่า การเรียนรู้ เป็นการ

เปล่ียนแปลงพฤติกรรมอย่างถาวรอนั เปน็ ผลมาจากประสบการณ์ และการมีปฏสิ มั พนั ธร์ ะหว่างตนเอง
และสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ ตัว ยังมีนักการศึกษาไทยหลายท่านได้ ให้ความหมายของการเรียนรู้ไว้
เช่นเดยี วกัน

สิริอร วิชชาวุธ (2554, หน้า 2) ได้กล่าวว่า การเรียนรู้มีองค์ประกอบ 3 อย่าง คือ 1)
มนุษย์ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมจาก “ไม่รู้” เป็น “รู้” “ทำไม่ได้” เป็น “ทำได้” “ไม่เคย
ทำ” เป็น “ทำ” 2) การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมนั้นต้องเป็นไปอย่างถาวร (Permanent not
Temporary) และ 3) การเปลยี่ นแปลงพฤติกรรมนนั้ เกิดจากประสบการณ์การฝึกฝนและการฝึกหัด
ไมใ่ ช่จากเหตอุ นื่ ๆ นอกจากนน้ั

จิราภา เต็งไตรรัตน์ (2554:123) กล่าว่า การเรียนรู้ (Learning) หมายถึง การ
เปลีย่ นแปลงพฤติกรรมท่ีค่อนขา้ งถาวรซ่งึ เป็นผลมาจากประสบการณ์และการฝึกหัด พฤติกรรมที่เป็น
การเปลี่ยนแปลงเพียงชั่วคราวไม่จัดว่าเกิดจากการเรียนรู้ เช่น ความเหน็ดเหนื่อย ผลจากการกินยา
การเปลีย่ นแปลงพฤตกิ รรมอนั เนือ่ งมาจากวฒุ ิภาวะ เป็นตน้

222

อัชรา เอิบสุขศิริ (2556, หน้า 48) กล่าวว่า การเรียนรู้ หมายถึงการเปลี่ยนแปลง
พฤติกรรมอันเป็นผลมาจากประสบการณห์ รือการฝึกฝน แตก่ ารเปล่ียนแปลงพฤติกรรมของมนุษย์มิได้
เป็นการเรยี นรู้เสมอไป โดยเฉพาะการเปลี่ยนแปลงชว่ั คราวในช่วงระยะหนึ่งซ่งึ เกิดจากการมีส่ิงเร้ามา
กระตนุ้

ธิดา เมฆวะทัต และคณะ (2561, หน้า 7) การพัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ หมายถึง
การเปลี่ยนแปลงพฤตกิ รรมหรือปรมิ าณความรู้สะสมคุณสมบตั ิ พลังด้านในที่แฝงอยู่ให้มีการเจรญิ ข้ึน
ดีขึ้น และเปลี่ยนแปลงอย่างมีระบบอย่างถาวร อันเป็นผลมาจากการผ่านประสบการณ์หรือการมี
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ในการวิจัยครั้งนี้พัฒนาศักยภาพการเรียนรู้ 3 ด้าน คือ ด้านการทำงาน
ได้แก่ การปรับตัว ความเป็นผู้นำ ด้านการเรียนรู้ ได้แก่ การชี้นำตนเอง และการตรวจการเรียนรู้ของ
ตนเอง และดา้ นศีลธรรม ได้แก่ เคารพผูอ้ ่ืน ความซ่อื สัตย์ และสำนึกพลเมือง

4. การพฒั นาศกั ยภาพการเรียนร้ผู า่ นการพฒั นาสมอง 5 ดา้ น
วิจารณ์ พานิช (วิจารณ์ พานิช อ้างจากโฮวาร์ด การ์ดเนอร์ Howard Gardner,2555,

หน้า 23-26) วา่ การเรยี นรู้เพอื่ พฒั นาสมอง 5 ดา้ น ไมด่ ำเนนิ การแบบแยกสว่ น แตเ่ รยี นรทู้ ุกดา้ นไป
พร้อมๆ กนั หรอื ที่เรียกว่าเรียนรู้แบบบูรณาการ และ ไม่ใชเ่ รยี นจากการสอน แต่ใหเ้ ด็กเรียนจากการ
ลงมือทำเองซึ่งครูมีความสำคัญมาก เพราะเด็กจะเรียนได้อย่างมีพลัง ครูต้องทำหน้าที่ ออกแบบการ
เรียนรู้ และช่วยเป็น “คุณอำนวย” หรือเป็นโค้ชให้ ครูที่เก่ง และเอาใจใส่จะช่วยให้นักเรียนเรียนรู้ได้
ลึกและเชื่อมโยง นี่คือ มิติทางปัญญา (ธิดา เมฆวะทัต เสาวลักษณ์ สังข์เอียด และสุวิมล ถนอมจิต,
2561, หน้า 58-60)

1. สมองดา้ นวชิ าและวินยั (disciplined mind)
คำว่า disciplined มีได้ ๒ ความหมาย คือหมายถึง มีวิชาเป็นรายวิชา ก็ได้และ

หมายถึง เป็นคนมีระเบียบวินัยบังคับตัวเองให้เรียนรู้เพื่ออยู่ในพรมแดนความรู้ก็ได้ในที่นี้ หมายถึง
มีความรู้และทักษะในวิชาในระดับที่เรียกว่า เชี่ยวชาญ (master) และสามารถพัฒนาตนเองในการ
เรียนรู้อยู่ตลอดเวลา หลักการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 บอกเราว่าคำว่า เชี่ยวชาญ ในโรงเรียน
หรอื ในการเรยี นรขู้ องเดก็ ต้องคำนึงถึงบริบท โดยเฉพาะอย่างย่งิ บรบิ ทของการเจรญิ เตบิ โตทางสมอง
ของเด็ก คำว่า เชี่ยวชาญ ในวิชาคณิตศาสตร์สำหรับเด็ก 6 ขวบ กับเด็ก 12 ขวบต่างกันมาก และ
ต้อง ไม่ลืมว่าเด็กบางคนอายุ 10 ขวบแต่ความเชี่ยวชาญด้านคณิตศาสตร์ ของเขาเท่ากับเด็กอายุ
13 ขวบ หรือในทางตรงกันข้าม เด็กบางคน อายุ 10 ขวบ แต่ความเชี่ยวชาญทางคณิตศาสตร์ที่เขา
สามารถมีได้เท่ากับ เด็กอายุ 7 ขวบ คำว่า เชีย่ วชาญ หมายความวา่ ไม่เพยี งรู้สาระของวิชานั้น แต่ยัง
คิดแบบผู้ที่เข้าถึงจิตวิญญาณ ของวิชานั้น คนเชี่ยวชาญด้านประวัติศาสตร์ ไม่เพียงรู้เรื่องราวทาง
ประวัติศาสตร์ แต่ยงั คดิ แบบนักประวตั ิศาสตร์ดว้ ย เป้าหมายคือ การเรียนรู้แกน่ วิชา ไม่ใช่จดจำสาระ
แบบผิวเผิน แต่รู้แก่นวิชาจนสามารถเอาไปเชื่อมโยงกับวิชาอื่นได้ และสนุกกับมันจนหมั่นติดตาม
ความก้าวหนา้ ของวิชาไมห่ ยดุ ยัง้

2. สมองด้านสังเคราะห์ (synthesizing mind)
นี่คือ ความสามารถในการรวบรวมสารสนเทศและความรู้ต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องนำมา

กลั่นกรองคัดเลือกเอามาเฉพาะส่วนที่สำคัญ และจัดระบบนำเสนอใหม่อย่างมีความหมาย คนที่มี
ความสามารถสังเคราะห์เรื่องต่าง ๆ ได้ดีเหมาะที่จะเป็นครู นักสื่อสาร และผู้นำ ครูต้องจัดให้ศิษย์

223

ได้เรียนเพื่อพัฒนาสมองด้านสังเคราะห์ ซึ่งต้องเรียนจากการฝึกเป็นสำคัญและครูต้องเสาะหาทฤษฎี
เกี่ยวกับการสังเคราะห์มาใช้ ในขั้นตอนของการเรียนรู้จากการทบทวนไตร่ตรอง (reflection) หรือ
AAR หลังการทำกิจกรรมเพื่อฝึกหัด เพราะผมเชื่อว่าการฝึกสมองด้านสังเคราะห์ ต้องออกแบบการ
เรียนรู้ให้ ปฏิบัตินำทฤษฎีตามและการสังเคราะห์กับการนำเสนอเป็นคู่แฝดกัน การนำเสนอมีได้
หลากหลายรูป แบบทั้งนำเสนอเป็นเรียงความ การนำเสนอด้วยสื่อมัลติมีเดีย (multimedia
presentation) เปน็ ภาพยนตรส์ ้นั เปน็ ละคร ฯลฯ

3. สมองด้านสร้างสรรค์ (creating mind)
โดยคุณสมบัติสำคัญที่สุดของสมอง สร้างสรรค์คือ คิดนอกกรอบ แต่คนเราจะคิด

นอกกรอบเก่งได้ต้องเก่ง ความรู้ในกรอบเสียก่อน แล้วจึงคิดออกไปนอกกรอบนั้น ถ้าคิดนอกกรอบ
โดยไม่มีความรู้ในกรอบเรียกว่า คิดเลื่อนลอย คนที่มีความรู้และทักษะอย่างดีเรียกว่า ผู้เชี่ยวชาญ
ต่างจาก ผู้สร้างสรรค์ตรงที่ผู้สร้างสรรค์ทำสิ่งใหม่ๆ ออกไปนอกขอบเขตหรือวิธีการเดิม ๆ โดยมี
จินตนาการแหวกแนวไป และการสร้างสรรคต์ ้องใชส้ มองหรือ ทักษะอนื่ ๆ ทุกด้านมาประกอบกันการ
สร้างสรรค์ที่ยิ่งใหญ่มักเป็นผลงานของคนอายุน้อย เพราะ คนอายุน้อยมีธรรมชาติติดกรอบน้อยกว่า
คนอายุมาก เป็นเครื่องบ่งชี้ว่า การมีความรู้เชิงวิชาและวินัย รวมถึงความรู้เชิงสังเคราะห์มากเกินไป
อาจลดทอนความสร้างสรรค์ก็ได้ และเป็นที่เชื่อกันว่าความสร้างสรรค์นั้นเรียนรู้ หรือฝึกได้ ครูเพ่ือ
ศิษย์จึงต้องหาวิธีฝึกฝนความสร้างสรรค์ให้แกศ่ ิษย์ สมองที่สร้างสรรค์คือ สมองที่ไม่เชื่อว่าวิธีการหรอื
สภาพซึ่งถือว่าดี ทีส่ ุดที่มอี ยนู่ ้ัน ถอื เป็นท่ีสดุ แลว้ เป็นสมองทเ่ี ชือ่ ว่ายังมวี ิธีการหรือสภาพท่ดี ี กว่าอย่าง
มากมายซ่อนอยู่หรือรอปรากฏตัวอยู่แตส่ ภาพหรือวธิ ีการเช่นนน้ั จะเกิดได้ต้องละจากกรอบวิธีคิดหรือ
วิธีดำเนินการแบบเดิม ๆ ศัตรูสำคัญที่สุดของความคิดสร้างสรรค์ คือ การเรียนแบบท่องจำ
เปรียบเทียบสมอง 3 แบบข้างต้นไดว้ า่ สมองด้านวิชาและวินัยเนน้ ความลึก (depth) สมองด้านการ
สังเคราะห์เนน้ ความกวา้ ง (breath) และ สมองด้านสรา้ งสรรค์เนน้ การขยายหรอื ฝืน (stretch)

4. สมองด้านเคารพใหเ้ กียรติ (respectful mind)
คุณสมบัติด้านเคารพให้เกียรติผู้อื่นมีความจำเป็นในยุคโลกาภิวัตน์ที่ผู้คน

เคลื่อนไหวเดนิ ทางและส่ือสารได้ง่าย คนเราจึงตอ้ งพบปะผู้อ่นื จำนวนมากขึ้นอย่างมากมาย และเป็น
ผู้อื่นที่มีความแตกต่างหลากหลาย ทั้งด้านกายภาพ นิสัยใจคอ วัฒนธรรมความเป็นอยู่ ความเชื่อ
ศาสนา มนุษย์ในศตวรรษที่ 21 จึงต้องเป็นคนที่สามารถคุ้นเคยและให้เกียรติคนที่ มีความแตกต่าง
จากที่ตนเคยพบปะได้ที่สำคัญ คือ ต้องไม่มีอคติ ทั้งด้านลบและด้านบวกต่อคนต่าง เชื้อชาติต่าง
ศาสนา ตา่ งความเช่อื

5. สมองด้านจริยธรรม (ethical mind)
นคี่ อื ทักษะเชงิ นามธรรม เรยี นรซู้ มึ ซบั ได้โดยการชวนกนั สมมตแิ ละ แลกเปลย่ี น

ขอ้ คิดเหน็ กันว่าตวั เองเป็นอย่างไรในเรื่องใดเร่ืองหนง่ึ และหากคนทงั้ โลกเป็นอยา่ งนห้ี มดโลกจะเปน็
อยา่ งไร รวมท้ังอาจเอาข่าวเรื่องใด เรื่องหนึง่ ขนึ้ มาคยุ กัน ผลัดกันออกความเหน็ วา่ พฤตกิ รรมในข่าว
กอ่ ผลดี หรือผลเสียตอ่ การอยู่รวมกันเป็นสงั คมท่ีมีสนั ตสิ ขุ อย่างไร

224

5. หลกั การพัฒนาศกั ยภาพของผเู้ รียน
ในการพัฒนาศักยภาพของผู้เรียนผู้เขียนสรุปเป็นหลักการพัฒนาศักยภาพของบุคคลใน

ด้านต่าง ๆ เพื่อผู้เรียนการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย จะได้นำไปเป็นแนวทางใน
การพัฒนาตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพมีประเดจนในเร่ืองต่าง ๆ ดังตอ่ ไปนค้ี ือ

1. การพัฒนาความรู้และสติปัญญา ความสามารถทางสมองเป็นนามธรรม และเป็น
ความ แตกต่างระหว่างบุคคล การฝึกฝนช่วยให้บคุ คลมีความสามารถมากขึ้น และการพัฒนา ความรู้
และพัฒนาสตปิ ญั ญาของตนเองน้ันจะเปน็ พื้นฐานสำคญั ยิ่งในการทีจ่ ะนำไปเปน็ พ้นื ฐานในการต่อยอด
ทางการศึกษา การทำงานและการดำเนินชีวิตและสามารถนำไปประยุกต์ใช้ในอนาคตได้อย่างมีเหตุ
มีผลและตรงกบั สถานการณ์

2. การพัฒนาจิตใจ คือการพัฒนาคุณลักษณะทางจิตใจให้เป็นคนดี มีพฤติกรรมที่ดี
ทั้งทางจริยธรรม และศีลธรรมซึ่งถือได้ว่าเป็นบุคคลอุดมคติที่บุคคลทุกคนปรารถนาที่จะให้ตนเป็น
และอยใู่ นวสิ ยั ที่ปฏบิ ัตไิ ด้จริง

3. การพัฒนาสุขภาพและศักยภาพทางร่างกาย ความแขจงแกร่งทางกายและจิตใจ
จะช่วย ให้เตรียมพร้อมเสมอในการกระทำสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และการมีสุขภาพที่ดีจะ
ส่งผลตอ่ การดำเนนิ กิจกรรมในเรื่องต่าง ๆ ท้ังโดยทางตรงและทางอ้อม

4. การพัฒนานิสัยและความสนใจ การพัฒนาทางด้านนี้จะหล่อหลอมเป็นบุคลิกภาพ
ซึ่ง อาจจะเกิดจากการอบรมเลี้ยงดู หรืออาจจะเกิดจากสภาพแวดล้อม ดังนั้นการพัฒนานิสัย และ
ความสนใจในทางบวกจะทำให้พัฒนาบุคลิกภาพทางบวกเช่น ความร่าเริง แจ่มใส อารมณ์ดี มีน้ำใจ
เป็นต้น

5. การพัฒนาความถนัดและความเชี่ยวชาญเฉพาะบุคคล ในสังคมมนุษย์ทุกสังคม
มักจะ ยอมรับความสามารถและความถนัดเฉพาะบุคคล ถึงแม้ว่าขณะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตก็ตาม
ผลงานที่เป็นที่ยอมรับจะคงอยู่ตลอดไปถ้าหากบุคคลจะพัฒนาความสามารถ เฉพาะตนเองจึงควร
ค้นหาความสนใจและความถนัดและพัฒนาให้เกิดความเชี่ยวชาญ จนเป็นที่ยอมรับได้ เช่น อาจารย์
เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์เป็นศิลปินวาดภาพ ครูลิลล่ี เป็นครูผู้เช่ียวชาญการสอนภาษาไทย วนิษา เรซ
เป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านสมอง เปน็ ตน้

ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ก่อนที่จะปรบั ปรุงหรอื เปลี่ยนแปลง ผู้เรียนจะต้องยอมรับเสียก่อน
ว่า การเปลี่ยนแปลงนั้นเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้เรียนเอง และต้องเชื่อว่าผู้เรียนสามารถกระทำได้
ประเด็นสำคัญคือ ผู้เรียนต้องยอมรับและสนใจปัญหานั้น ไม่ใช่หลีกเลี่ยง ซึ่งกระทำได้โดย การศึกษา
จากหนังสอื ตำรา หรือปรึกษาปัญหาน้ันกับคนอืน่ ๆ แล้วลองคดิ ถึงผลทีจ่ ะเกิดขึน้ ว่า ชีวิตของผู้เรียน
จะดีขึ้นเพยี งใดถา้ หากไมม่ ีปัญหานั้น หลังจากตัดสนิ ใจว่าจะปรับปรุงตนเองในเรือ่ ง ใดเป็นการเฉพาะ
แน่นอนวา่ เราจำเป็นอย่างย่ิงท่ีจะต้องศึกษาปัญหาน้ันให้ชดั เจน อย่ากลัวการ เปล่ยี นแปลงหรือกลัวว่า
จะเปลยี่ นแปลงไมส่ ำเร็จ เริ่มต้นหาแนวทางว่าจะทำอย่างไรบ้างเพ่ือให้ การเปล่ยี นแปลงเป็นไปตามที่
ต้องการ การปรับปรุงตนเองต้องอาศัยความรู้ความเข้าใจหลายอย่าง ไม่ใช่อาศัยเพียงแต่ความตั้งใจ
จริงที่จะทำอะไรสักอย่างเท่านั้น ดังนั้นผู้เรียนจึงต้องใส่ใจหาความรู้ และทักษะที่จำเป็นที่จะช่วยให้
การปรบั ปรงุ ตนเองบังเกดิ ผล

225

คุณลักษณะของนกั เรียนใศตวรรษท่ี 21

แนวทางจัดการเรียนรู้ในศตวรรษที่ 21 ของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน.
(สำนักงานการมัธยมศึกษาตอนปลาย สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขัน้ พื้นฐาน,2560, หน้า 9-
16 ได้กล่าวถงึ คณุ ลกั ษณะของนักเรยี น ในศตวรรษท่ี 21 ดังน้ี

ทักษะพื้นฐานจำเป็นในการอ่าน เขียน และคิดคำนวณ เป็นตัวการที่ทำให้คนใน ศตวรรษท่ี
21 รู้จักใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารเป็นเครื่องมือในการสืบค้น รวมรวมความรู้ ใช้
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณให้เกิดการเท่าทันสื่อ สารสนเทศที่จะพิสูจน์ยืนยันสิ่งที่ตนและ
สังคมอยากรู้ได้อย่างชาญฉลาดไม่ถูกชวนเชื่อ ชักนำอย่างงมงาย เกิดเป็นแรงบันดาลใจสร้าง
จินตนาการ อยากพัฒนา อยากผลิต สร้างผลิตภัณฑ์ หรือนวัตกรรมขึ้นใช้ในการดำรงชีวิตในสังคม
และนำไปแลกเปลี่ยนกับสังคมอื่นเกิดเป็นรายได้ บนเวทีฐานเศรษฐกิจความรู้ที่มีความรับผิดชอบต่อ
กฎกตกิ าในข้ันตอนการผลิตและมคี วามรับผิดชอบต่อผลท่เี กดิ ข้นึ ถ้าผลิตภณั ฑ์ ผลผลติ มีคุณภาพไมด่ ี

โดย สรุปกค็ ือ ทักษะการดำรงชีวิตของคนในศตวรรษท่ี 21 ซ่ึงจะถกู หล่อหลอมตกผลกึ
เปน็ ผทู้ ่สี ามารถนำทางชีวติ ตนเองไดอ้ ย่างมคี ุณภาพชวี ิต และเกดิ เป็นคณุ ลักษณะของคนในศตวรรษที่
21 คุณลกั ษณะ คือ เป็นนกั คิดวิเคราะหน์ กั แกป้ ญั หา นักสรา้ งสรรค์ นกั ประสานความร่วมมอื ร้จู กั ใช้
ขอ้ มลู และข่าวสาร เรียนรูด้ ว้ ยตนเอง นักส่ือสาร ตระหนกั รับรสู้ ภาวะของโลก เป็นพลเมืองทรงคุณค่า
และมีพื้นฐานความรู้ เศรษฐกิจและการคลงั ซ่งึ สรปุ เป็นคุณลกั ษณะใน 3 ดา้ น ดงั นี้

1. คณุ ลกั ษณะด้านการทำงาน ได้แก่ การการปรบั ตวั และความเป็นผนู้ ำ
2. คุณลักษณะด้านการเรียนรู้ ได้แก่ การชี้นนำตนเอง การตรวจสอบการเรียนรู้ของ
ตนเอง
3. คณุ ลักษณะดา้ นศลี ธรรม ได้แก่ ความเคารพผ้อู ่นื ความซ่ือสตั ย์ สำนกึ พลเมอื ง

ทกั ษะในศตวรรษที่ 21 ของผเู้ รียน

จากการศึกษาเอกสาร บทความและงานวิจัยทเี่ กย่ี วข้อง ผู้ท่เี ก่ียวข้องกับการพัฒนาศักยภาพ
ผู้เรียนควรมี่การศึกษาทักษะในศตวรรษที่ 21 ของผู้เรียนเพื่อจะสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ตรงตาม
ศักยภาพและสอดคล้องกับยุคโลกาภิวัฒน์ในปัจจุบัน ซึ่งทักษะที่จำเป็นของผู้เรียนในศตวรรษที่ 21
ประกอบดว้ ย (ธดิ า เมฆวะทัต เสาวลักษณ์ สงั ข์เอียด และสวุ มิ ล ถนอมจติ , 2561, หน้า 27-32)

1. ทักษะการเรียนรแู้ ละนวัตกรรม
โลกยุคศตวรรษที่ 21 มีการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว พลิกผัน รุนแรง และคาดไม่

ถึง ต่อการดำรงชีวิต ดังนั้นคนในยุคศตวรรษที่ 21 จึงต้องมีทักษะสูงในการเรียนรู้และปรับตัว
การสร้างทักษะการเรียนรู้และนวัตกรรม จะใชก้ ระบวนการ Project-Based Learning: PBL โดยเร่ิม
จากการนำบริบท สภาพแวดล้อมเป็นตัวการสร้างแรงกดดันให้นักเรียนตั้งคำถามอยากรู้ ให้มากตาม
ประสบการณ์ พื้นฐานความรู้ที่สั่งสมมา และตั้งสมมติฐานคำตอบตามพื้นฐานความรู้และ
ประสบการณ์ของตนเองที่ไม่มีคำว่าถูกหรือผิด นำไปสู่การแลกเปลี่ยนประเด็นความคิดเห็นกับกลุ่ม
เพื่อน เพื่อสรุปหาสมมติฐานคำตอบที่มีความน่าจะเป็นไปได้มากที่สุด โดยมีการพิสูจน์ยืนยัน
สมมติฐานคำตอบจากการไปสืบคน้ รวบรวมการพฒั นาศกั ยภาพการเรยี นรูใ้ นรปู แบบต่าง ๆ

226

ความรู้ จากแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้มาสนับสนุน หรือโต้แย้งได้เป็นคำตอบที่เรียกว่าองค์
ความรู้ เรียกว่า การเรียนแก่นวิชา ซึ่งไม่ใช่เป็นการจดจำแบบผิวเผิน แต่การรู้แก่นวิชาหรือทฤษฎี
ความรู้ จะสามารถเอาไปเชื่อมโยงกับวิชาอื่น ๆ เกิดแรงบันดาลใจอยากพัฒนางาน สร้างผลงานที่
เกี่ยวกับการการพัฒนา คุณภาพชีวิต ที่เรียกว่าความคิดเชิงสร้างสรรค์ นำทฤษฎีความรู้มาสร้าง
กระบวนการและวิธีการผลิต สร้างผลงานใหม่ ที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคล และสังคมที่เรียกว่าพัฒนา
นวัตกรรม

1.1 การคิดอย่างมีวิจารณญาณและการแก้ปัญหา (Critical Thinking and Problem
Solving)เป็นการสร้างทกั ษะการคดิ ในแบบตา่ ง ๆ ดงั นี้

(1) แบบเป็นเหตุเป็นผล ทัง้ แบบอุปนัย (inductive) และแบบอนมุ าน (deductive)
(2) แบบใช้การคิดกระบวนการระบบ (systems thinking) โดยวิเคราะห์ปัจจัยยอ่ ยมี
ปฏิสมั พันธก์ ันอยา่ งไร จนเกิดผลในภาพรวม
(3) แบบใช้วิจารณญาณและการตัดสินใจ ที่สามารถวิเคราะห์และประเมิน ข้อมูล
หลักฐาน การโต้แย้ง การกล่าวอ้างอิง และความน่าเชื่อถือ วิเคราะห์เปรียบเทียบและประเมิน
ความเห็นประเด็นหลักๆ สังเคราะห์และเชื่อมโยงระหว่างสารสนเทศกับข้อโต้แย้ง แปลความหมาย
ของ สารสนเทศและสรปุ บนฐานของการวเิ คราะห์ และตีความและทบทวนอยา่ งจริงจังในด้านความรู้
และกระบวนการ
(4) แบบแก้ปัญหา ในรูปแบบการฝึกแก้ปัญหาที่ไม่คุ้นเคยหลากหลาย
ใน แนวทางท่ยี อมรับกันทั่วไป และแนวทางที่แตกต่างจากการยอมรับ รูปแบบการตั้งค าถามสำคัญท่ี
ชว่ ยทำความกระจ่างในมมุ มองตา่ ง ๆ เพื่อนำไปสทู่ างออกที่ดีกว่า
1.2 การสื่อสารและความร่วมมือ(Communication and Collaboration) ความ
เจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีดิจิตอล และเทคโนโลยีการสื่อสาร (digital and communication
technology) ทำให้โลกศตวรรษที่ 21 ต้องการทักษะของการสื่อสารและความร่วมมือที่กว้างขวาง
และลกึ ซึง้ ดงั น้ี
(1) ทักษะในการสอื่ สารอย่างชัดเจน ต้งั แตก่ ารเรียบเรียงความคิดและ มมุ มอง (idea)
สอ่ื สารเข้าใจง่าย ในหลายแบบ ท้ังการพดู เขียน และกิรยิ าทาทาง การฟงั อยา่ งมี ประสิทธภิ าพ นำไป
ถ่ายทอดสื่อสาร ความหมายและความรู้ แสดงคุณค่า ทัศนคติ และความตั้งใจ การสื่อสารเพื่อการ
บรรลุเป้าหมายการทำงาน การสื่อสารด้วยหลากหลายภาษาและสภาพแวดล้อมที่หลากหลายอย่าง
ได้ผล
(2) ทกั ษะความรว่ มมือกับผู้อ่ืนตั้งแต่การทำงานให้ไดผ้ ลราบรื่นท่ีเคารพและให้เกียรติ
ผู้ร่วมงาน มีความยืดหยุ่นและช่วยเหลือประนีประนอมเพื่อการบรรลุเป้าหมายร่วมกัน มีความ
รับผิดชอบรว่ มกบั ผู้รว่ มงาน และเหน็ คุณค่าของบทบาทของผูร้ ่วมงาน
2. ความคดิ สรา้ งสรรคแ์ ละนวัตกรรม(Creativity and Innovation)
ทกั ษะทางด้านนเ้ี ปน็ เร่ืองของการจินตนาการมาสรา้ งขน้ั ตอนกระบวนการ โดยอ้างอิงจาก
ทฤษฎีความรูเ้ พอ่ื นำไปสูก่ ารคน้ พบใหมเ่ กดิ เปน็ นวัตกรรมท่ีใชต้ อบสนองความต้องการในการดำรง
ชวี ิตทลี่ งตวั และนำไปสู่การเป็นผู้ผลติ และผ้ปู ระกอบการต่อไป ทักษะด้านน้ี ได้แก่

227

1. การคิดอย่างสร้างสรรค์ ที่ใช้เทคนิคสร้างมุมมองอย่างหลากหลาย มีการสร้าง
มุมมองที่แปลกใหม่อาจเป็นการปรับปรงุ พัฒนาเพยี งเลก็ น้อย หรือทำใหมท่ ่แี หวกแนวโดนส้ินเชงิ ที่เปิด
กว้างในความคิดเห็นที่ร่วมกันสร้างความเข้าใจ ปรับปรุง วิเคราะห์ และประเมินมุมมองเพื่อพัฒนา
ความเข้าใจเกย่ี วกบั ความคดิ อยา่ งสรา้ งสรรค์

2. การทำงานร่วมกับผู้อื่นอย่างสร้างสรรค์ในการพัฒนา ลงมือปฏิบัติและสื่อสาร
มุมมองใหม่กับผู้อื่นอยู่เสมอ มีการเปิดใจและตอบสนองมุมมองใหม่ๆ รับฟังข้อคิดเห็น และร่วม
ประเมินผลงานจากกลุ่มคณะทำงาน เพื่อนำไปปรับปรุงพัฒนา มีการทำงานด้วยแนวคิดหรือวิธีการ
ใหม่ๆ และเข้าใจข้อจำกัดของโลกในการยอมรับมมุ มองใหม่ และให้มองความล้มเหลวเป็นโอกาสการ
เรยี นรู้

3. การประยกุ ต์ส่นู วัตกรรมท่ีมกี ารลงมือปฏิบัติตามความคิดสร้างสรรคใ์ ห้ได้ผลสำเร็จ
ที่เป็นรูปธรรมทักษะชีวิตและงานอาชีพการเรียนรู้ที่จะปรับตัวได้อย่างดีในสภาวะการเปลี่ยนแปลง
หรือมีภัยคุกคามได้อย่างชาญฉลาดถือเป็นเรื่องสำคัญในการดำรงชีวิตที่มีทักษะชีวิตในโลกศตวรรษที่
21 และการคิดสรา้ งผลิตภณั ฑ์ใหม่เพื่อตอบสนองการดำรงชวี ิตเฉพาะบรบิ ท สภาพแวดล้อมท่ีต่างกัน
ไป นำไปส่กู ารเผยแพรเ่ ทคนิควธิ ีการใชแ้ ละพฒั นาทักษะใช้เกิดเป็นกลยุทธ์ การขายเกิดผปู้ ระกอบการ
ในงานอาชีพต่าง ๆ ซึ่งเป็นทักษะงานอาชีพที่ต้องมีการส่งเสริมให้มีเท่าทันในยุคต่อการเปลี่ยนแปลง
ของโลกศตวรรษที่ 21 ทักษะชีวิตและทกั ษะงานอาชีพจึงควรมกี ารพัฒนาสิง่ ต่อไปนี้

1) ความยืดหยนุ่ และความสามารถในการปรบั ตัว (Flexibility and Adaptability)
เป็นทักษะเพื่อการเรียนรู้การทำงานและการเป็นพลเมืองในศตวรรษที่ 21 ซึ่งต้องทำเพื่อการบรรลุ
เป้าหมายแบบมีหลักการ และไม่เลื่อนลอยภายใต้การเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และไม่คาดคิด ทั้งมี
ข้อจำกัดด้านทรัพยากร เวลา และการมีคู่แข่ง โดยใช้วิกฤตให้เป็นโอกาส ในด้านการปรับตัว ต่อการ
เปลีย่ นแปลง เป็นการปรับตัวให้เข้ากับบทบาทท่ีแตกต่างไปงานทีม่ ีกำหนดการท่เี ปล่ียนไป และบริบท
ท่ีเปล่ียนไปในด้านความยืดหยุ่นเป็นการนำเอาผลลัพธท์ ่ีเกิดขึ้นมาใชป้ ระโยชน์อย่างไดผ้ ลมีการจัดการ
เชิงบวกต่อคำชม คำตำหนิ และความผิดพลาด สามาถนำความเห็นและความเชื่อที่แตกต่าง
หลากหลายทั้งของคณะทำงาน หรือข้ามวัฒนธรรมคณะทำงาน มาทำความเข้าใจ ต่อรอง สร้างดุลย
ภาพ และทำให้งานลลุ ่วง ดงั นนั้ ความยืดหยุ่นจึงทำเพ่อื การบรรลผุ ลงานไม่ใชเ่ พ่อื ให้ทกุ คนสบายใจ

2) การริเริ่มสร้างสรรค์และกำกับดูแลตนเองได้ (Initiative and Self-Direction)
เป็นทกั ษะท่ีสำคัญมากในการทำงานและดำรงชีวติ ในโลกศตวรรษที่ 21 ทต่ี อ้ งมกี ารกำหนดเป้าหมาย
โดยมเี กณฑ์ ความสำเร็จทเี่ ป็นรูปธรรม และนามธรรม มีความสมดลุ ระหว่างเป้าหมายระยะส้ัน ที่เป็น
เชิงยุทธวิธี และเป้าหมายระยะยาวที่เป็นเชิงยุทธศาสตร์ มีการคำนวณประสิทธิภาพการใช้เวลากับ
การจัดการภาระงาน การทำงานต้องทำงานสำเร็จได้ด้วยตนเอง โดยกำหนดตัวงาน ติดตามผลงาน
และ ลำดบั ความสำคัญของงานได้เอง นอกจากนนั้ การทำงานยงั ต้องฝึกทักษะการเปน็ ผเู้ รียนรู้ได้ ด้วย
ตนเอง ที่มีการมองเห็นโอกาสเรียนรู้ สิ่งใหม่ๆ เพื่อขยายความเช่ียวชาญในงานของตนเอง มีการริเรม่ิ
การพัฒนา ทักษะไปสรู่ ะดบั อาชีพ แสดงความเอาใจใส่จริงจงั ต่อการเรียนรู้ และทบทวนประสบการณ์
ในอดีต เพอื่ คดิ หาทางพัฒนาในอนาคต

3) ทักษะสังคมและสังคมข้ามวัฒนธรรม (Social and Cross-Cultural Skills)
เป็นทักษะทำให้คนในศตวรรษที่ 21 สามารถทำงานและดำรงชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมและผู้คน

228

ที่มีความแตกต่างหลากหลายได้อย่างไม่แปลกแยก ทำให้งานสำเร็จ การพัฒนาทักษะนี้จะทำให้เกิด
ปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นอย่างเกิดผลดีในเรื่องกาลเทศะ เกิดการทำงานในทีมที่แตกต่างหลากหลายอย่าง
ได้ผลดีที่มีการเคารพความแตกต่างทางวัฒนธรรม ตอบสนองความเห็นและคุณค่าที่แตกต่างอย่างใจ
กว้าง เพื่อยกระดับความแตกต่างทางสังคมและวัฒนธรรมสู่การสร้างแนวความคิด วิธีทำงานใหม่สู่
คณุ ภาพของผลงาน

4) การเปน็ ผสู้ รา้ งผลงานหรอื ผลผลิตและความรับผิดชอบเช่ือถือได้ (Productivity
and Accountability) เป็นการกำหนดขั้นตอนวิธีการทำงานในการสร้างชิ้นงาน ผลงาน หรือ
ผลิตภัณฑ์ อย่างมีหลักการตามทฤษฎีความรู้ที่ต้องมีทักษะความชำนาญการ ซึ่งเป็นเรื่องของการ
จัดการโครงการที่มีการกำหนดเป้าหมายและวิธีการบรรลุเป้าหมายภายใต้ข้อจำกัดที่มีอยู่
โดยการกำหนดลำดับความสำคัญ วางแผน และการจัดการ ผลิตภัณฑ์ และผลงานที่ได้จากการผลิต
ตอ้ งมี คณุ ภาพเพ่ือแสดงถงึ ทกั ษะการทำงานอย่างเป็นระบบจากผู้ที่มคี วามเชยี่ วชาญการผลิตนำไปใช้
ประโยชน์แก่บุคคล ชุมชนได้อย่างไม่มีผลกระทบทางลบ แต่ถ้ามีจะต้องออกมายอมรับข้อบกพร่อง
อยา่ ง ไมป่ ิดบัง อนั นำไปสู่การปรบั แก้ไข หรอื ยกเลกิ เพอื่ แสดงจรยิ ธรรมที่เป็นบรรทดั ฐานทางสงั คม

5) ภาวะผู้นำและความรับผิดชอบ (Leadership and Responsibility) ใน
ศตวรรษที่ 21 มีความต้องการภาวะผู้นำและความรับผิดชอบแบบกระจายบทบาท จากการ
รับผิดชอบต่อตนเอง รับผิดชอบการทำงานแบบประสานสอดคล้องเป็นคณะทำงาน และรับผิดชอบ
แบบสร้าง เครือข่ายร่วมมือแบบพันธมิตรการทำงาน เพื่อไปสู่เป้าหมายของผลงานร่วมกัน ซึ่งต้อง
พฒั นาทักษะมนุษยสัมพันธ์ และทักษะการแก้ปญั หาในการชักนำผู้อน่ื ให้เห็นเปา้ หมายร่วมกัน และทำ
ให้ผู้อื่นเกิด พลังในการทำงานให้บรรลุผลสำเร็จร่วมกัน เกิดแรงบันดาลใจให้ผู้อื่นใช้ศักยภาพหรือ
ความสามารถ สูงสุด โดยการทำตัวอย่างที่ไม่ถือผลประโยชน์ของตนเองเป็นที่ตั้ง และไม่ใช้อำนาจ
โดยขาดจริยธรรม และคุณธรรมถือประโยชนส์ ว่ นรวมเปน็ ท่ีตง้ั

3. ทักษะดา้ นสารสนเทศ สอ่ื และเทคโนโลยี
การรับรู้สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นแล้วตอบสนอง รับสิ่งที่รับรู้มาเป็นกระบวนทัศน์ใหม่ทันที

แสดงถงึ การขาดทกั ษะการคิดแบบขาดวจิ ารณญาณ ผลท่ีเกดิ ขนึ้ ก็จะตกอยภู่ ายใต้การชวนเชื่อ และไม่
สามารถกำหนดตนเองได้ การสรา้ งทกั ษะด้านสารสนเทศ สือ่ และเทคโนโลยี เพอื่ ให้เกิดการเท่าทันไม่
ตกอยภู่ ายใต้การถกู ชกั จูงชวนเชอื่

1. การรู้เท่าทันสารสนเทศ (Information Literacy) การรับรู้คำบอกเล่าจากเพื่อน
ผ้อู นื่ รวมถึงครูผู้สอน หรอื แมน้ แต่สมมตฐิ านคำตอบท่หี ารอื กันในกลมุ่ อภปิ ราย เป็นเพียงความคิดเห็น
ทร่ี อการพิสจู น์ ยนื ยันคำตอบท่ีเป็นจรงิ จากสารสนเทศท่ีได้จากการสืบคน้ รวมรวมจากแหล่งอ้างอิงท่ี
เชื่อถือได้มาผ่านกระบวนการคิดแบบขาดวิจารณญาณ สนับสนุน หรือโต้แย้งพิสูจน์ ความเป็นจริง
สร้างเป็นความรู้ และองค์ความรู้ที่ได้จากการเรียนรู้ ซึ่งต้องใช้ทักษะในการเข้าถึงแหล่งความรู้ได้
อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง มีทักษะการประเมินความน่าเชื่อถือของข้อมูลสารสนเทศ และทักษะใน
การใชอ้ ย่างสร้างสรรค์

2. การรู้เท่าทันสื่อ (Media Literacy) การรับสารจากสื่อและสื่อสารออกไป ในยุค
media คนในศตวรรษที่ 21 จะต้องมีความสามารถใช้เครื่องมือผลิตสื่อ และสื่อสารออกไป หรือ
แม้แต่การรับเข้ามาในรูป วิดีโอ (video) ออดิโอ (audio) พอดคาส์ท (podcast) เว็บไซด์ (website)

229

และอื่น ๆ อีกมากมาย แต่การรับรู้จากแหล่งสื่อเหล่านั้นถ้าขาดการเท่าทัน ขาดการคิดอย่างมี
วิจารณญาณ ก็จะตกอย่ภู ายใต้ การถกู ชักจูง ชวนเชอื่ ไดเ้ ช่นกนั จงึ ต้องสรา้ งทักษะการวิเคราะห์สื่อให้
เท่า ทันวัตถุประสงค์ของตัวสื่อ และผลิตสื่อนั้นอย่างไร มีการตรวจสอบแหล่งอ้างอิงที่เชื่อถือได้ และ
เท่าทัน ต่อการมีอิทธิพลต่อความเชื่อและพฤติกรรมอย่างไร และมีข้อขัดแย้งต่อจริยธรรมและ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไร ในเรื่องการสร้างผลิตภัณฑ์สื่อ ต้องมีความเท่าทันต่อการเลือกใช้
เครื่องมือที่พอเพียงพอเหมาะกับวัตถุประสงค์การใช้งานและเหมาะสมกับสภาพแวดล้อมความ
แตกต่างหลากหลายด้านวฒั นธรรม

3. การรู้ทันเทคโนโลยี (ICT: Information, Communication and Technology
Literacy) ในโลกยุคศตวรรษที่ 21 เป็นโลกเทคโนโลยีที่มีการแข่งขันกันผลิต และนำมา สู่การสร้าง
กลยุทธ์การขายสู่กลุ่มผู้บริโภคที่ต้องการความทันสมัยอยู่ตลอดเวลา ซึ่งถ้าขาดความเท่าทัน การใช้
เทคโนโลยีจะกลายเป็นผู้ซื้อ แต่ไม่อยากจะเรียนรู้การเป็นผู้ผลิต เพื่อนำไปใช้งานที่พอเพียงเหมาะสม
กับงานการถูกชักจูงชวนเชื่อให้เป็นผู้ซื้อก็จะง่ายขึ้นผลการสูญเสียงบประมาณและการขาดดุลทาง
เศรษฐกิจจะตามมา ดังนั้นทักษะความเท่าทันด้านเทคโนโลยีจึงเป็นทักษะที่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
ทำให้คนรู้จักผลิตใช้และนำไปแลกเปลีย่ นใช้ในเวทีการค้า เกิดการสร้างงานสร้างรายได้รวมถึงการใช้
เทคโนโลยีเพื่อการเรียนรู้ให้เกิดการสืบค้น รวมรวมความรู้พิสูจน์ สมมติฐานคำตอบในการใช้ทักษะ
การคิดแบบมีวิจารณญาณ มากกว่าที่จะใช้เพื่อการบันเทิง ในแบบสังคมก้มหน้า จึงควรใช้เทคโนโลยี
เพื่อการ วิจัย จัดระบบ ประเมิน และสื่อสารสารสนเทศ ใช้สื่อสารเชื่อมโยงเครือข่าย และ Social
network อย่างถูกต้องเหมาะสม เพื่อการเข้าถึง การจัดการ การผสมผสาน ประเมิน และสร้าง
สารสนเทศ เพื่อทำหน้าที่ในเศรษฐกิจฐานความรู้ ทั้งนี้ต้องคำนึงถึงการปฏิบัติตามคุณธรรมและ
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการ เขา้ ถงึ และใชเ้ ทคโนโลยีสารสนเทศ

แนวทางการพัฒนาศกั ยภาพผเู้ รยี น

ผเู้ ขยี นไดศ้ ึกษาเอกสารและงานวิจยั ทเ่ี กีย่ วกับการพัฒนาศักยภาพผูเ้ รียน ขอนำเสนอแนว
ทางการพฒั นาศกั ยภาพออกเปน็ 3 แนวทาง และมรี ายละเอียดดังตอ่ ไปน้ี

1. การพฒั นาผเู้ รยี นอย่างสร้างสรรค์

2. การพัฒนาศกั ยภาพการเรียนรู้โดยใช้กระบวนการจติ ตปัญญาศึกษา

3. การพัฒนาศักยภาพผูเ้ รยี นด้วยทักษะการเรียนร้ทู ี่จำเป็นในศตวรรษที่ 21
1. การพฒั นาผเู้ รยี นอย่างสร้างสรรค์

วิชัย วงษ์ใหญ่ และมารุต พัฒผล (2562, หน้า 1) กล่าวว่า ผู้เรียนยุคใหม่ในโลก
เทคโนโลยีที่ทันสมัย มีวิธีการเรียนรู้ ที่หลากหลาย ตามรูปแบบการเรียนรู้ (Learning style)
ของแต่ละคน การเรียนรู้มีลักษณะเป็น Personalized ที่ตอบสนองความต้องการ ของผู้เรียน
รายบุคคล ผู้สอนไม่สามารถจัดการเรียนรู้แบบเหมารวม ด้วยการกำหนดเป้าหมายและวิธีการเรียนรู้
เพียงรูปแบบเดียว ได้อีกต่อไป การพัฒนาผู้เรียนเชิงสร้างสรรค์เป็นคำตอบของคำถาม ที่ว่าผู้สอนยุค
ใหม่ควรมีวิธีการพัฒนาผู้เรียนอย่างสร้างสรรค์ ได้อย่างไร จึงได้ให้แนวทางการพัฒนาผู้เรียนอย่าง
สรา้ งสรรค์เพอ่ื ตอบสนองความต้องการของผูเ้ รียนได้มากทสี่ ดุ เพ่ือให้เกิดการเรยี นรไู้ ด้สูงสุด


Click to View FlipBook Version