ระบบคำและโครงสร้ำงประโยคภำษำอังกฤษ
คอลีเยำ๊ ะ เจะ๊ โด
ศศ.ม. (ภำษำศำสตร์ประยุกต์)
คณะมนษุ ยศำสตร์และสังคมศำสตร์
มหำวทิ ยำลยั รำชภฏั ยะลำ
2560
ค
คำนำ
ตำราวิชา ระบบคำและโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ สามารถใช้ประกอบการเรียน
การสอนรายวิชา วจีวิภาคและวากยสัมพันธ์ (morphology and syntax) รหัสวิชา 2108209
ได้เรียบเรยี งอย่างเป็นระบบ ครอบคลุมเนื้อหาตามสาระคำอธิบายของวิชาโดยได้นำเสนอความรู้เก่ียวกับ
หน่วยคำ โครงสร้างคำ และโครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษ รวมถึงการวิเคราะห์โครงสร้างคำและ
ประโยคด้วยวิธีต่างๆ อย่างไรก็ตามเนื้อหาในบางประเด็นได้เปรียบเทียบกับภาษามลายูถิ่น และ
ภาษาไทยท้ังน้ีเพ่ือให้การเรียนการสอนภาษาอังกฤษสอดคล้องกับบริบทของผู้เรียนส่วนใหญ่ท่ีเป็น
นักศกึ ษาไทยเชอ้ื สายมลายูทใ่ี ชภ้ าษามลายูถนิ่ ปัตตานีเป็นภาษาแม่
ตำราเล่มน้ี ผู้เขียนได้พัฒนาจากเอกสารประกอบการสอนที่ได้ใช้เป็นระยะเวลา 4 ปีการศึกษา
(2555-2559) โดยในระหว่างการนำไปใช้ได้มีการติดตาม ประเมิน สอบถาม สัมภาษณ์นักศึกษา
แล้วนำมาปรับปรุง แก้ไขให้มีความสมบูรณ์จนสามารถใหผ้ ู้เรียนหรือผู้สนใจในรายวิชาดงั กลา่ ว สามารถ
อ่านทำความเข้าใจในเนือ้ หาไดด้ ้วยตนเอง
เน้ือหาในตำรา ผู้เขียนได้อธิบายและแสดงตัวอย่างการวิเคราะห์ โดยตัวอย่างบางส่วน
ได้ดัดแปลงมาจากหนังสือต่างๆ ผู้เขียนหวังเป็นอยา่ งยิง่ ว่าตำราเล่มนี้ จะเป็นประโยชนต์ ่อนกั ศึกษาได้ใช้
ศึกษา ค้นคว้า และช่วยให้เกิดการเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้พอสมควร หากท่านท่ีนำไปใช้
มีข้อเสนอแนะ ผ้เู ขียนยินดีรบั ฟังความคดิ เหน็ และขอขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ดว้ ย
คอลเี ย๊าะ เจะ๊ โด
(5) หนา้
สารบัญ (3)
(5)
เรอ่ื ง (12)
(14)
คำนำ
สารบัญ 1
สารบัญตาราง 1
สารบัญภาพ 1
1
บทที่ 1 ความเบื้องต้นเกี่ยวกับภาษา 2
1. คำนิยามของภาษา 2
2. ลักษณะของภาษา 2
2.1 ภาษามีระบบ 3
2.2 ภาษาเป็นสัญลักษณ์ 3
2.3 ภาษามกี ารเปลยี่ นแปลง 3
2.4 ภาษามีโครงสร้าง 3
2.5 ภาษาทกุ ภาษามีความเท่าเทยี มกัน 4
2.6 ภาษาทุกภาษาเก่ียวข้องกับบริบท 5
2.7 ภาษามลี ักษณะการสรา้ งสรรคป์ ระโยคไม่ร้จู บ 6
2.8 ภาษามคี วามเป็นพลวัต 9
3. องค์ประกอบของภาษา 12
3.1 ระบบเสยี ง 13
3.2 ระบบความหมาย 14
4. ความเป็นเจ้าของภาษา
บทสรุป
แบบฝึกหดั
เอกสารอา้ งอิง
(6) หนา้
สารบญั (ตอ่ ) 15
15
เร่ือง 17
18
บทท่ี 2 หน่วยคำ 18
1. คำนิยามของหนว่ ยคำ 18
2. ชนดิ ของหน่วยคำ 18
2.1 หน่วยคำอสิ ระ 18
2.1.1 lexical morpheme 20
2.1.2 functional morpheme 26
2. 2 หน่วยคำไม่อิสระ 26
2.2.1 inflectional morpheme 26
2.2.2 derivational morpheme 28
3. หน่วยคำยอ่ ย 29
3.1 หนว่ ยคำย่อยตามลักษณะบังคับต่างๆ 30
3.1.1 phonological conditioning 31
3.1.2 lexical conditioning 32
3.1.3 morphological conditioning 35
3.2 หนว่ ยคำยอ่ ยแทนที่
บทสรปุ 37
แบบฝึกหัด 37
เอกสารอา้ งองิ 38
39
บทท่ี 3 คำและประเภทของคำ 38
1. คำนยิ ามของคำ 42
2. ส่วนประกอบของคำ 46
3. ประเภทของคำ 52
3.1 คำนาม 55
3.2 คำสรรพนาม
3.3 คำกริยา
3.4 คำคุณศัพท์
3.5 คำกรยิ าวิเศษณ์
(7) หนา้
สารบัญ (ตอ่ ) 57
59
เรื่อง 61
63
3.6 คำสนั ธาน 64
3.7 คำบพุ บท 67
3.8 คำอทุ าน
บทสรุป 69
แบบฝกึ หัด 69
เอกสารอา้ งอิง 69
69
บทที่ 4 การเพิ่มคำในภาษาอังกฤษ 72
1. การสร้างคำ 73
1.1 การเพิม่ อปุ สรรคปจั จยั 79
1.1.1 การเตมิ อุปสรรค 81
1.1.2 การเติมปจั จยั 81
1.2 การประสมคำ 82
1.3 การแปลงชนดิ คำ 83
1.4 การบัญญตั ิศัพท์ 83
1.5 การคำย่อ 84
1.6 การสร้างคำย้อนกลับ 86
1.7 การเกิดคำใหมจ่ ากความผิดพลาด 87
1.8 การผสมผสาน 90
1.9 การตดั คำให้สั้นลง 91
1.10 การเลยี นเสยี ง 94
2. การยืมคำจากภาษาอื่น
บทสรปุ
แบบฝึกหดั
เอกสารอา้ งอิง
(8) หนา้
สารบัญ (ตอ่ ) 95
96
เรอ่ื ง 97
99
บทที่ 5 โครงสรา้ งคำ 99
1. การวเิ คราะหโ์ ครงสร้างคำ 109
1.1 การหาสว่ นประกอบคำ 111
2. รูปแบบการวเิ คราะห์โครงสรา้ งคำ 112
2.1 การวิเคราะห์โครงสรา้ งคำตามลำดบั ช้นั 114
2.2 การวิเคราะหส์ ่วนประชิด 115
2.3 การวิเคราะห์โครงสร้างคำตามรปู คำ 117
2.4 การวเิ คราะห์คำในประโยค
บทสรปุ 119
แบบฝึกหัด 119
เอกสารอา้ งองิ 119
120
บทท่ี 6 การศึกษาเร่อื งประโยค 120
1. หนว่ ยสร้างในประโยค 125
1.1 คำ 132
1.2 วลตี ่างๆ 133
1.2.1 นามวลี 134
1.2.2 กริยาวลี 135
1.2.3 คุณศัพทว์ ลี 136
1.2.4 วเิ ศษณ์วลี 136
1.2.5 บพุ บทวลี 136
1.3 อนุพากย์
1.3.1 นามานปุ ระโยค
1.3.2 คุณานปุ ระโยค
1.3.3 กรยิ าวเิ ศษณานุประโยค
(9) หน้า
สารบญั (ตอ่ ) 137
138
เร่อื ง 140
บทสรุป 141
แบบฝึกหัด 141
เอกสารอ้างอิง 147
149
บทท่ี 7 โครงสร้างวลี 151
1. ส่วนประกอบหลักของวลี 157
2. กฎโครงสรา้ งวลี 160
2.1 กฎโครงสร้างนามวลี 161
2.2 กฎโครงสร้างกรยิ าวลี 164
2.3 กฎโครงสรา้ งบพุ บทวลี
บทสรปุ 165
แบบฝึกหดั 165
เอกสารอา้ งองิ 165
166
บทท่ี 8 โครงสรา้ งประโยค 167
1.กฎการสรา้ งประโยค 168
1.1 การลำดับคำ 168
1.2 ความถกู ต้องตามหลักไวยากรณ์ 169
1.3 ความกำกวมเชงิ โครงสรา้ ง 170
1.4 ความสัมพันธ์ของคำทางหลักไวยากรณ์ 177
1.5 ความหมายของประโยค 180
2. ชนิดของโครงสรา้ งประโยคภาษาองั กฤษ 184
2.1 โครงสร้าง structure of modification 185
2.2 โครงสร้าง structure of predication
2.3 โครงสร้าง structure of complementation
2.4 โครงสร้าง structure of subordination
2.5 โครงสรา้ ง structure of coordination
(10)
สารบัญ (ตอ่ )
เรื่อง หนา้
3. รปู แบบประโยคพนื้ ฐาน 186
บทสรุป 193
แบบฝึกหัด 194
เอกสารอา้ งอิง 196
บทท่ี 9 การวเิ คราะห์ประโยค 197
1. การวเิ คราะห์โครงสร้างประโยคตามลำดบั ช้นั 197
1.1 โครงสรา้ งประโยคกริยาต้องการกรรม 197
1.2 โครงสร้างประโยคกริยาไมต่ ้องการกรรม 198
1.3 โครงสร้างประโยคกรยิ าต้องมีกรรมซ้อน 201
1.4 โครงสรา้ งประโยคกริยาช่วย 204
1.5 โครงสรา้ งประโยคกรยิ าต้องการวลเี ปน็ สว่ นขยายกรรม 205
1.6 โครงสรา้ งประโยคกรยิ ามีบพุ บทวลี 207
2. การวิเคราะหส์ ่วนประชิด 208
3. การวเิ คราะหป์ ระโยคกำกวม 213
บทสรุป 215
แบบฝกึ หัด 216
เอกสารอ้างอิง 218
บทท่ี 10 กฎไวยากรณป์ ริวรรต 219
1. ประโยคเบื้องต้น 219
2. ประโยคปรวิ รรต 220
3. โครงสร้างลกึ และโครงสรา้ งผิว 222
4. โครงสร้างประโยคปริวรรต 225
4.1 ประโยค active และ passive 225
4.2 ประโยคคำถาม Yes/No question 226
4.3 ประโยคคำถาม WH question 231
4.4 ประโยคปฏิเสธ 233
(11)
สารบัญ (ตอ่ )
เรอื่ ง หนา้
4.5 Relative Clause 234
บทสรุป 240
แบบฝกึ หัด 241
เอกสารอา้ งอิง 243
บทท่ี 11 การสอนภาษาอังกฤษในบริบทสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 245
1. การวเิ คราะห์และการเปรยี บเทียบภาษา 246
1.1 การเปรยี บเทยี บคำ หรอื วลี 247
1.2 การเปรียบเทียบระบบประโยค 251
2. แนวคดิ การเรียนร้ภู าษาท่ีสอง หรือ ภาษาตา่ งประเทศ 255
2.1 การถ่ายโอนทางภาษา 255
3. วิธกี ารเรยี นการสอนภาษาอังกฤษในบริบทสามจังหวดั ชายแดนใต้ 256
บทสรปุ 261
แบบฝึกหดั 262
เอกสารอ้างองิ 263
บรรณานกุ รม 265
(12) หน้า
สารบัญตาราง 16
20
ตารางที่ 21
22
2.1 หนว่ ยคำ 23
2.2 หนว่ ยคำชนิด derivational morpheme 43
2.3 คำใหมท่ ่เี กดิ จากการเติม prefixes 50
2.4 คำท่ีเกดิ จากการเตมิ suffixes 53
2.5 ลกั ษณะของหน่วยคำ 54
3.1 คำสรรพนาม 54
3.2 การเติมหนว่ ยคำวภิ ัตปิ ัจจัยหลังคำกรยิ า 56
3.3 คำคณุ ศัพทท์ ่เี กิดจากการประกอบดว้ ยหน่วยคำไมอ่ สิ ระ 56
3.4 คำคุณศัพท์ที่เกดิ จากการเตมิ คำปัจจัยหลังคำนาม 57
3.5 คำคุณศพั ท์ทเ่ี กิดจากการเตมิ คำปัจจยั หลงั คำกรยิ า 58
3.6 กรยิ าวเิ ศษณท์ ี่เกิดจากการเติมคำปจั จัย 59
3.7 คำกริยาวิเศษณ์ แสดงการเปรยี บเทียบ 75
3.8 คำเชือ่ มชนดิ coordinating 76
3.9 คำเชอื่ มชนดิ subordinating 77
3.10 คำเชื่อมชนิด correlative 78
4.1 คำนามประสม 84
4.2 คำกรยิ าประสม 111
4.3 คำคุณศัพทป์ ระสม 111
4.4 คำกริยาวิเศษณป์ ระสม 111
4.5 การสร้างคำด้วยวธิ ี clipping 132
5.1 การวิเคราะหโ์ ครงสร้างคำ 142
5.2 การแยกหน่วยคำของคำคณุ ศัพท์ 248
5.3 การแยกหน่วยคำของคำกรยิ า 249
6.1 คณุ ศัพท์วลี
7.1 ตำแหน่งคำหลกั (head) ของนามวลี
11.1 การเปรียบเทียบการใช้ inflectional morpheme
11.2 การเปรียบเทยี บการเตมิ คำกำกบั นาม
(13) หนา้
สารบัญตาราง (ต่อ) 249
250
ตารางที่ 251
252
11.3 การเปรียบเทียบการใช้รปู กาล 252
11.4 การเปรียบเทียบการใช้ derivational morpheme 253
11.5 การสร้างคำดว้ ยการประสมคำ 254
11.6 การเปรียบเทยี บหน่วยสรา้ งนามวลี 254
11.7 การเปรยี บเทียบหน่วยสร้างกรรมวาจก
11.8 การเปรียบเทยี บการเรยี งคำ
11.9 การเปรียบเทียบหน่วยสรา้ งกริยาเรยี ง
11.10 การเปรียบเทียบการใช้ ditransitive verb
(14) หน้า
สารบัญภาพ 4
7
ภาพท่ี 24
51
1.1 องค์ประกอบของภาษา 62
1.2 องค์ประกอบย่อยของภาษา 96
2.1 หน่วยคำในภาษาอังกฤษ 119
3.1 ชนดิ คำกริยา 171
3.2 ประเภทของคำ 208
5.1 การวเิ คราะห์คำ 209
6.1 หน่วยในประโยค 222
8.1 โครงสร้างแบบ modification 257
9.1 รูปแบบการวเิ คราะห์สว่ นประชดิ (1)
9.2 รูปแบบการวิเคราะหส์ ่วนประชดิ (2)
10.1 ไวยากรณป์ ริวรรต
11.1 รปู แบบการเรยี น การสอนภาษาในบรบิ ทสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
1
บทท่ี 1
ความรู้เบ้อื งตน้ เก่ียวกบั ภาษา
มนุษย์เมื่ออยู่รวมกันเป็นกลุ่มเพ่ือทำกิจกรรมร่วมกัน แลกเปล่ียนความคิดเห็น โต้ตอบ แสดง
ความรัก ติดต่อกับเพือ่ น กับสมาชิกในครอบครัว กับญาติพี่น้อง กบั เพื่อนบ้าน และเพื่อนร่วมงาน หรือ
บุคคลแปลกหน้า ล้วนต้องอาศัยการพูดคุย และต้องใช้ภาษาท่ีสมาชิกในกลุ่มเข้าใจร่วมกัน เราอาจ
กล่าวได้ว่าภาษาเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวันเพราะการดำเนินชีวิตของเรามิอาจเลี่ยงการพูด
แม้กระทั่งขณะหลับเราอาจละเมอพูดเป็นคำ หรือประโยค สรุปได้ว่าเราอยู่ในโลกของการใช้ภาษาใน
การส่ือสาร ซ่ึงการสื่อสารอาจมีหรือไม่มีการตอบสนองทั้งนี้ข้ึนอยู่กับวัตถุประสงค์และสถานการณ์ใน
การพดู การส่ือสารของมนษุ ย์มลี กั ษณะพิเศษแตกต่างจากการส่ือสารของสัตว์
บทนี้จะกล่าวถึงคำนิยามของภาษา ลักษณะทั่วไปของภาษา องค์ประกอบของภาษาและ
ความรู้เกีย่ วกบั ภาษาของเจา้ ของภาษา
1. คำนิยามของภาษา
ภาษา หมายถึง เสียงพูดท่ีมีความหมายและคำพูดเท่านั้นท่ีเป็นภาษาที่แท้จริง เครื่องมือใน
การส่ือสารอ่ืนๆ ไม่นับว่าเป็นภาษาท่ีสมบูรณ์ และภาษาเขียนเป็นตัวแทนของภาษา แต่มิใช่ภาษา
ตวั อักษรเปน็ เพียงสญั ลักษณ์แทนเสียงพดู
2. ลักษณะทว่ั ไปของภาษา
ภาษาเป็นเครื่องมือในการส่ือสารที่แสดงให้เห็นว่ามนุษย์มีระบบการส่ือสารเฉพาะของตน
แตล่ ะภาษาจะมลี กั ษณะร่วมกนั หลายประการ ดังนี้
2.1 ภาษามรี ะบบ
การเรียนภาษาเป็นการเรียนรู้วิธีออกเสียงและเรียบเรียงคำเป็นประโยค และเราจะ
พบวา่ ภาษาเป็นระบบทเ่ี ช่ือมโยงความหมายกบั เสยี ง เสยี งท่ีใช้ในภาษาหน่งึ ๆ น้ัน มีจำนวนจำกัด และ
มีลักษณะเฉพาะเป็นระบบแตกต่างกันไป เช่น แต่ละภาษา เสียงท่ีเปล่งออกมาจะเรียงอย่างไร อยู่ใน
ตำแหน่งใด แทนด้วยสัญลักษณ์ใด ล้วนมีข้อกำหนดแตกต่างกันออกไป ยกตัวอย่าง เสียง /ง/ ท่ีใช้ใน
2
ภาษาไทย เช่นคำวา่ งาน และในภาษาองั กฤษจะใช้พยัญชนะ ng แทนเสยี ง /ŋ/ เช่นคำว่า sing เสียง /
ง/ ในภาษาไทยจะเป็นเสียงพยัญชนะต้นหรือพยัญชนะท้ายของพยางค์ได้ ในขณะที่ภาษาอังกฤษ
เสียง/ŋ/ เริม่ ตน้ พยางคไ์ ม่ได้ แตจ่ ะเป็นเสยี งพยญั ชนะท้ายเทา่ นนั้
2.2 ภาษาเปน็ สัญลกั ษณ์
หากเราเปล่งเสียงออกมา เราจะพบว่าคำท่ีเปล่งออกมามิได้มีความสัมพันธ์กัน
โดยตรงกับความหมาย น่ันหมายความว่า คำ ใช้แทนสิ่งใดๆ และเกิดจากการตกลงว่าจะแทนเสียงนั้น
ด้วยสิ่งใด การใช้สัญลักษณ์แทนคำในแต่ละภาษาเป็นไปอย่างมีระบบเป็นท่ียอมรับและใช้ต่อเน่ืองมา
อย่างไรก็ตามมีคำจำนวนหน่ึงท่ีเหมือนจะมีความสัมพันธ์กับความหมายโดยตรง ส่วนใหญ่เป็นคำท่ี
เลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เปรี้ยง ครืน ในภาษาไทย ซ่ึงในแต่ละภาษาอาจใช้คำสำหรับเลียนเสียง
ธรรมชาติต่างกันไป เช่น เสียงไก่ขันในภาษาไทย เป็น เอ๊ก อิ เอ๊ก เอ๊ก ในภาษาอังกฤษ cock-a-
doodle-do แต่การเลียนเสียงเดียวกันในภาษาไทยและภาษาอังกฤษต่างกันดังน้ันจะเห็นได้ว่าการ
เลียนเสียงธรรมชาติก็น่าจะไม่มีความสัมพันธ์โดยตรงกับเสียงเหล่านั้น เราอาจสรุปได้ว่าคำต่างๆ ใน
ภาษาเปน็ สัญลกั ษณแ์ ละการใชภ้ าษาก็คอื การใช้สญั ลักษณ์ในรูปแบบตา่ งๆ ในการส่อื สารในกลุ่มผู้ทีใ่ ช้
ภาษานั้นๆ
2.3 ภาษามกี ารเปลยี่ นแปลง
ภาษาท่ีใช้ในการส่ือสารนั้น มิได้อยู่คงที่ มีการพัฒนาและเกิดคำใหม่อยู่ตลอดเพ่ือให้
สอดคล้องกับการเปล่ียนแปลงทางเทคโนโลยี สังคม และวัฒนธรรม ภาษาที่ไม่มกี ารเปลยี่ นแปลงถอื ว่า
เป็นภาษาทีต่ ายแลว้ จะเห็นไดว้ า่ ในปจั จบุ ัน มีคำใหม่ในภาษาเพ่มิ ขนึ้ ตลอดเวลา
2.4 ภาษามีโครงสร้าง
ภาษาส่ือความหมายได้ เพราะภาษามีโครงสร้างท่ีสัมพันธ์กันอย่างเป็นระบบ มี
ระเบียบแบบแผน กล่าวคือภาษาทุกภาษามีระบบการสร้างคำและประโยคที่แน่นอน และสามารถ
อธิบายได้ โครงสรา้ งทีส่ ำคญั มอี ยู่ 2 ระบบคอื
2.4.1 โครงสร้างทางเสียง (phonology) ประกอบด้วยองค์ประกอบที่เป็นเสียง
พยญั ชนะและเสยี งสระ
2.4.2 โครงสร้างทางไวยากรณ์ (grammatical structure) หมายถึง ระเบียบ
กฎเกณฑ์ทางภาษา มี 2 อยา่ ง คือ
3
- การประกอบคำ (morphology) คือ การเอาหน่วยเสียงมาประกอบกัน
กลายเป็นหน่วยที่ใหญ่ข้ึนและมีความหมายเรียกว่า หน่วยคำ (morpheme) ภาษาทุกภาษามีคำชนิด
เดยี วกนั เช่น คำนาม (noun) และคำกริยา (verb)
ในภาษาไทย คำประกอบขึ้นอย่างน้อย 3 หน่วยเสียง คือ หน่วยเสียง
พยัญชนะ 1 หน่วยเสียง สระ 1 หน่วยเสียง และวรรณยุกต์ 1หน่วยเสียง ในภาษาอังกฤษจะมี 2
หน่วยเสียง คือ พยัญชนะและหน่วยเสียงสระ
- การประกอบประโยค (syntax) คือ การเรียงคำให้ประสานสัมพันธ์กันเป็น
กลุ่มคำตามลักษณะของภาษา จะทำให้มีความหมายของคำท่ีสมบูรณ์เพราะการเช่ือมโยงกัน แต่ละ
ภาษาอาจเรียงคำไมเ่ หมอื นกัน
2.5 ภาษาทกุ ภาษามีความเท่าเทยี มกนั
ภาษาทุกภาษามีความเท่าเทยี มกันไม่วา่ จะเป็นภาษาของกลุ่มคนท่ีอยู่ในประเทศที่มี
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี หรือด้อยด้านวิทยาการต่างๆ เพราะมนุษย์ในแต่ละสังคมสามารถใช้
ภาษาเป็นเครื่องมือในการส่ือสาร ถ่ายทอดรายละเอียด อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิดตามที่ต้องการได้
กล่าวคือ ไม่มีภาษาใดล้าหลัง ทันสมัยหรือสมบูรณ์กว่าภาษาใด ภาษาทุกภาษามีระดับซ่ึงเป็นค่านิยม
ในแต่ละสังคมท่ีกำหนดตกลงร่วมกัน เช่น การพูดแสดงความสุภาพ การพูดกับบุคคลท่ีคุ้นเคยหรอื คน
แปลกหน้า
2.6 ภาษาทกุ ภาษาเก่ียวข้องกับบริบท
บริบทส่งผลต่อการตีความประโยคในภาษาน้ัน เช่น สถานการณ์ เวลา สถานที่
อารมณ์ความรู้สกึ ทัศนคติ ตลอดจนกริยาท่าทางของผทู้ ี่เกย่ี วข้อง
2.7 ภาษามลี กั ษณะการสรา้ งสรรคป์ ระโยคไมร่ ู้จบ
เจ้าของภาษาสามารถสร้างสรรค์ภาษาโดยนำกฎเกณฑ์ท่ีมีอยู่ในภาษามาใช้ใน
ลกั ษณะท่ีต่างไปจากเดิมอย่างไม่จำกัด เช่น มกี ารสร้างคำใหม่ พูดประโยคตา่ ง ๆ ที่ไม่เคยไดย้ ินมาก่อน
และสามารถเข้าใจประโยคใหม่ได้
2.8 ภาษามีความเป็นพลวตั
การส่ือสารด้วยภาษาแสดงให้เห็นปฏสิ ัมพนั ธ์ระหวา่ งคู่สนทนาทพี่ ยายามเขา้ ใจการ
ส่ือสารโดยผสู้ ง่ สารจะหาถ้อยคำที่จะให้ผู้ฟังเข้าใจขณะท่ผี ู้ฟงั จะพยายามตีความถอ้ ยคำของผู้พดู และ
ทำความเข้าใจถ้อยคำดงั กลา่ ว
4
ลักษณะท่ัวไปของภาษาทำให้เรารู้ว่าภาษาทุกภาษามีลักษณะร่วมกัน หรือ language
universal เราใช้ภาษาเป็นเคร่ืองมือในการสื่อสาร บางคร้ังผู้พูดและผู้ฟังไม่จำเป็นต้องมีความรู้
เก่ียวกับระบบของภาษาเช่นเดียวกับที่เราไม่ต้องมีความรู้เก่ียวกับการผลิตซอฟแวร์ เราสามารถใช้
เครื่องคอมพิวเตอร์ได้ แต่ถ้าผู้ใช้มีความรู้เรื่องซอฟแวร์อยู่บ้างก็จะแก้ไขได้เม่ือระบบเกิดขัดข้อง
มิฉะน้ันแล้วเมื่อเกิดปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ก็ต้องตามผู้เช่ียวชาญมาแก้ไข ในเร่ืองภาษาก็เช่นกัน ความรู้
เร่ืองส่วนประกอบและระบบของภาษาอาจไม่จำเป็นสำหรับคนท่ัวไป มิใช่แต่ต้องเป็นนักภาษาศาสตร์
แต่ผู้ที่ทำงานเกย่ี วขอ้ งกับภาษา เช่น ครูสอนภาษา ความรคู้ วามเข้าใจในองคป์ ระกอบของภาษา ระบบ
ของภาษา และวิธีวเิ คราะห์ภาษาจะทำให้เข้าใจระบบและกลไกของภาษาดีขนึ้
3. องคป์ ระกอบของภาษา
เป็นท่ีทราบกันดีว่าภาษาเกิดจากเสียงที่ประกอบข้ึนมาเป็นคำ ใช้เพ่ือส่ือความหมาย ท้ังนี้
องค์ประกอบสำคัญของภาษาตามหลักภาษาแบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ เสียง โครงสรา้ งและความหมาย
ความแตกต่างของทฤษฏีต่างๆ อยู่ที่แนวคิดเกี่ยวกับองค์ประกอบของภาษา ทฤษฏีโครงสร้างจะเริ่ม
ดว้ ยการศกึ ษาเสยี งแล้วจงึ ศึกษาโครงสรา้ งคำและประโยคตามลำดับ สว่ นทฤษฏีไวยากรณป์ ริวรรตเริ่ม
ที่โครงสร้างซึ่งรวมเป็นคำ โดยเสียงเป็นส่วนท่ีแปรโครงสร้างออกเป็นภาษาพูด และความหมายเป็น
องคป์ ระกอบท่ตี คี วามประโยคซง่ึ เกิดจากโครงสร้าง เราอาจเขยี นเปน็ แผนภูมิดังนี้
ภาพที่ 1.1 องค์ประกอบของภาษา
3.1 ระบบเสียง
เสียงเป็นองค์ประกอบส่วนท่ีเล็กท่ีสุดของภาษา มนุษย์ทุกชาติทุกภาษาท่ีมีอวัยวะครบ
สมบูรณ์ สามารถออกเสียงพูดได้ ท้ังนี้เพราะมนุษย์มีอวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง ในแต่ละภาษาจะมี
เสียงท่ใี ช้สือ่ ความหมายไดเ้ ป็นจำนวนจำกัดและสามารถนบั ได้ เช่น
5
- บางเสียงเกิดได้ต้นคำและท้ายคำ เช่น เสียง /k//ก/ เกิดต้นคำและท้ายคำได้
เชน่ กา กนิ กัด รกั แรก
- บางเสียงเกิดเฉพาะต้นคำ ท้ายคำเกิดไม่ได้ เช่น เสียง /f//ฟ/ ในภาษาไทย เกิด
ต้นคำแต่เกิดท้ายคำไม่ได้ เช่น ฟัก ฟ้า เพราะในตำแหน่งท้ายจะใช้ /p/ /บ/
เช่น กอล์ฟ ออกเสียงท้ายเป็น /p/
- บางเสียงเกิดต้นคำไม่ได้ในภาษาอังกฤษ เช่น เสียง /ŋ/ แต่เกิดได้ในตำแหน่ง
กลางคำ และทา้ ยคำ เชน่ sing ออกเสียงเปน็ /sɪŋ/
- เสียงบางเสยี งเท่านั้นทีค่ วบกล้ำได้ เชน่ เสยี ง /k//ก/, /kh//ข//ค/ ในภาษาไทย
ที่สามารถควบกล้ำกับเสียง /w/ ว เช่น กวาด ขวาน ความ แต่พยัญชนะอ่ืนใช้
ควบกล้ำกับเสยี ง /ว/ ไมไ่ ด้
- เสียงควบกลำ้ ในภาษาไทยเกดิ ไดเ้ ฉพาะต้นคำเท่านน้ั เชน่ คราม ปราง ในขณะท่ี
ภาษาอังกฤษ สามารถเกิดไดท้ ้งั ในตำแหนง่ ต้นคำ กลางคำและท้ายคำ
อวัยวะที่เป็นแหล่งที่มาของเสียงท่ีใช้ในภาษา คือ ปอด ลมหายใจที่ออกมาจากปอด
ตามปกตินั้น จะข้ึนมาตามหลอดลมและผ่านออกมาทางช่องจมูก เสียงท่ีเปล่งออกมาแบ่งออกเป็น 2
ประเภทใหญ่ คอื เสยี งพยญั ชนะ และเสียงสระ
3.1.1 เสียงพยัญชนะ
การออกเสียงพยัญชนะ (consonants) ขึ้นมา 1 เสียงนั้นจะต้องมีการทำงาน
พรอ้ มกนั ของอวยั วะหลายส่วน ส่วนแรกคือ อวัยวะทีใ่ ชใ้ นการผลิตกระแสลม ซ่งึ อาจมาจากปอด กลอ่ ง
เสียง หรือ เพดานอ่อน กล่าวคือหากเสียงพยญั ชนะนั้นเกิดจากกระแสลมจากปอดแลว้ เคลื่อนผ่านเส้น
เสียงทเี่ ปดิ กว้างจะเปน็ เสียงไมก่ ้อง (voiceless) แต่ถ้าเส้นเสียงส่ันจะเป็นเสียงแบบก้อง (voiced) หรือ
ในกรณีที่เสียงเกิดจการกระแสลมท่ีกล่องเสียงน้ันจะมีลักษณะเดียวกัน คือ ถ้า เส้นเสียงส่ันจะถือว่า
เป็นเสียงก้องแต่ถ้าเส้นเสียงไม่ส่นั จะถือวา่ เป็นเสยี งไม่ก้อง สว่ นเสียงที่เกิดจากกระแสลมท่ีเพดานอ่อน
น้ันถือว่าเป็นเสียงไม่ก้องเน่ืองจากไม่มีการสั่นของเส้นเสียง ส่วนสุดท้าย เป็นอวัยวะที่ทำให้กระแสลม
น้ันกลายเป็นพยัญชนะประเภทต่างๆ คืออวัยวะที่ใช้ในการออกเสียง (articulators) จำแนกออกได้
เป็น 2 พวก คอื อวัยวะทีใ่ ช้ในการออกเสียงซงึ่ ไมเ่ คล่ือนที่ ไดแ้ ก่ ริมฝึปากบน ฟันบน ปุ่มเหงือก หลงั ปุ่ม
เหงือก เพดานแข็ง เพดานอ่อน ลิ้นไก่ และ ผนังคอ นอกจากนี้ อวัยวะที่ใช้ในการออกเสียงซึ่งเคล่ือนที่
ได้ ได้แก่ รมิ ฝีปากล่าง ปลายลิ้น สิ้นส่วนปลาย ลน้ิ ส่วนหนา้ ลิน้ ส่วนหลัง โคนลนิ้ และเสน้ เสยี ง
6
3.1.2 เสียงสระ
การออกเสียงสระ (vowels) มีลักษณะเหมือนกับเสียงพยัญชนะ คือ จะต้องมี
กระแสลมท่ีใช้ในการออกเสียง กระแสลมส่วนใหญ่เป็นกระแสลมจากปอด สระอาจเป็นเสียงก้อง
หรือไมก่ ้องก็ได้ เม่อื กระแสลมผา่ นเสน้ เสียงข้ึนไปยังช่องปาก อวยั วะในการออกเสียงภายในช่องปากที่
สำคัญในการออกเสยี งสระคือล้ินและริมฝีปาก เราต้องพิจารณาว่าลนิ้ ส่วนใดที่มกี ารเคลื่อนไหวที่ใช้ใน
การออกเสียง
สรุปได้ว่าการศึกษาภาษาคือการศึกษาส่วนประกอบต่างๆ ท่ีสัมพันธ์กัน ส่วนเล็ก
ท่ีสดุ ก็คือเสียงทแี่ ตกตา่ งกนั ออกไป เสยี งแตล่ ะเสียงไม่มีความหมายในตวั เอง
3.2 ระบบความหมาย
ระบบความหมาย หมายถงึ การจดั เรยี งคำ หรือ คำพูด เพื่อให้ผู้ฟังเขา้ ใจความหมาย
ได้ตรงกัน ในหลาย ๆ ภาษาจะมีการเรียงคำในลักษณะ ประธาน + กริยา + กรรม เช่น คำว่า “เรา,
ข้าว, กิน” จะเรยี งไดห้ ลายแบบแตท่ เ่ี ขา้ ใจและไดค้ วามหมายคือ
เรากนิ ข้าว (ประธาน+กริยา+กรรม)
อย่างไรก็ตามเพื่อให้เราเข้าใจและเห็นองค์ประกอบของภาษาได้ชัดเจน ให้พิจารณา
ตวั อย่างที่แสดงด้วยแผนภูมิต่อไปน้ีซึ่งแสดงองค์ประกอบของภาษาในระดับข้ันต่างๆ ต้ังแต่ระดับเสียง
พยางค์ หน่วยคำ คำกลมุ่ คำตามโครงสร้างวลี และรวมกันเป็นประโยคท่สี มบูรณ์
(1 sentence) 7
That animal is unfriendly.
(2 structures) That animal is unfriendly
(4 words) That animal is unfriendly
(6 morphemes) That animal is un friend ly
(8 syllables) That an i mal is un friend ly
(20 sounds) Th a t a ni mal i s u n f r i nd l y
ภาพท่ี 1.2 องค์ประกอบย่อยของภาษา
จะ เห็ น ได้ ว่า words คื อ ห น่ ว ย ข อ งภ าษ าท่ี มี ค ว าม ห ม าย แ ล ะ อ ยู่ ต าม ล ำพั งได้
ส่วน morphemes เป็นหน่วยทางภาษามีประเภทที่อยู่ตามลำพังได้และท่ีอยู่ตามลำพังไม่ได้ต้อง
ประกอบกับ morphemes อื่น ระดับถัดลงไปจาก morphemes คือ syllables หรือ พยางค์
สว่ นประกอบที่สำคัญของพยางค์ คือ สระ และพยญั ชนะจะมีหรือไมก่ ็ได้
ประโยคดังกล่าว that เปน็ หน่วยที่ประกอบด้วย 3 เสียง กับ 1 พยางค์ มคี วามหมายและอยไู่ ด้
ตามลำพัง ดังน้ัน “that” จึงเป็นท้ังหน่วยคำและคำ animal ประกอบด้วย 6 เสียง แบง่ เป็น 3 พยางค์
แต่ละพยางค์ไม่มีความหมาย เมื่อรวมกันจึงจะมีความหมายและอยู่ตามลำพังได้ ดังนั้น “animal”จึง
เป็นทั้งหน่วยคำและคำ ส่วน “is” ประกอบด้วย 2 เสียง รวมเป็น 1 พยางค์ มีความหมายและอยู่ตาม
ลำพังได้ ดังนั้น “is” จึงเป็นท้ังหน่วยคำและคำ นอกจากน้ี “unfriendly” มี 9 เสียง แบ่งได้เป็น 3
พยางค์ แต่ละพยางค์มีความหมาย จึงนับได้ว่าเป็นคำ ประกอบด้วย 3 หน่วยคำ ท้ังนี้ un และ ly เป็น
หนว่ ยคำชนดิ ท่ีอยูต่ ามลำพงั ไม่ได้
8
แผนภมู ิข้างต้น สรุปได้ว่าส่วนประกอบของภาษาในระดับต่าง ๆ ประกอบดว้ ยส่วนที่เลก็ ท่ีสุด
คือ เสียงจนถงึ ระดบั ใหญ่ท่สี ุดคอื ประโยค
1. เสียง (sound)
ระดับนี้จะเห็นอักษรท่ีใช้แทนเสียง โดยอักษร 1 ตัวอาจแทนเสียง 1 เสียง เช่น /a/, /m/, /l/
หรือ อักษร 2 ตวั อาจแทนเสียง 1 เสยี ง เช่น เสยี ง /θ/ เขยี นแทนด้วยอักษร 2 ตวั คอื th
2. พยางค์ (syllable)
คอื เสียงตา่ งๆเมอ่ื รวมกันเป็นหนว่ ยและสามารถเปลง่ ออกมาได้ สว่ นประกอบที่สำคัญคอื สระ
พยางค์บางพยางค์อาจประกอบด้วยเสียงสระเท่านั้น เช่น พยางค์ที่ 2 ของ “animal” นอกจากน้ี
พยางค์อาจมี 2 เสียง คือ สระตามด้วยพยัญชนะ เช่น is และ un หรือพยางค์ประกอบด้วยพยัญชนะ
และสระ เช่น ly ในคำว่า “unfriendly” นอกจากนี้อาจมีพยัญชนะนำหน้าและตามด้วยสระเช่น that
อย่างไรก็ตามพยัญชนะต้นคำและพยัญชนะท้ายอาจมีมากกว่า 1 เสียงได้ เช่น friend ส่วนท่ีขีดเส้น
เป็นพยัญชนะต้นและพยญั ชนะท้าย
3. หน่วยคำ (morpheme)
คอื เสยี งท่ีรวมกนั และมีความหมาย เชน่ ประโยคที่กลา่ วข้างตน้ มี 6 หน่วยคำ บางตัวมี 1
พยางค์ บางตวั มมี ากกวา่ 1
4. คำ (word)
หน่วยท่ีคนส่วนใหญ่คุ้นเคย เพราะเม่ือเขียนภาษาอังกฤษจะเขียนเป็นคำ และเว้นวรรค
ระหว่างคำ เม่ือศึกษาหรือวิเคราะห์ภาษาจะมีการรวบรวมจัดหมวดหมู่คำในภาษาน้ันๆ เป็นบัญชีคำ
หรือพจนานกุ รม
5. โครงสรา้ ง (structure)
คำในภาษาจะรวมกันเป็นระบบ เช่น คำกำกับนาม (determiner) คำว่า that จะนำหน้า
คำนาม จะตามหลังนามไม่ได้ ตามโครงสร้างภาษาอังกฤษ ไม่สามารถจะเรียงเป็น *animal that
นอกจากนีก้ รยิ าประเภท linking จะตามดว้ ยคำคุณศพั ท์ เชน่ is + unfriendly
6. ประโยค (sentence)
ประกอบด้วยส่วนท่ีเป็นภาคประธาน คือ That animal และภาคแสดงคือ is unfriendly
ภาษาพูด ภาษาเขียน ภาษามือ นับว่าเป็นภาษา ส่วนการสื่อสารท่ีไม่มีถ้อยคำ เช่น กริยาท่าทาง การ
สัมผัส ถึงแม้เป็นการสื่อความหมายแต่ในทางภาษาศาสตร์ไม่ถือว่าเป็นภาษาเนื่องจากขาดคุณสมบัติ
9
ของภาษา อย่างไรก็ตามมนุษย์ทุกคนย่อมสามารถเรียนรู้ภาษาท่ีใช้ในสภาพแวดล้อมที่ตนอาศัยอยู่
และนับวา่ เป็นเจา้ ของภาษา
4. ความเป็นเจา้ ของภาษา
ทุกคนเกิดมาพร้อมภาษาท่ีใช้พูดสื่อสารกันอย่างน้อยหน่ึงภาษา ซ่ึงเป็นภาษาที่ใช้ต้ังแต่เริ่ม
สื่อสารได้ เราเรียกคนน้ันว่า เจ้าของภาษา (native speaker) ความรู้เก่ียวกับภาษาท่ีเจ้าของภาษามี
เป็นความรู้ท่ีไม่ได้จากการเรียนอย่างเป็นทางการในช้ันเรียน แต่เป็นความสามารถท่ีมนุษย์มีมาต้ังแต่
เกิดและส่ังสมมาโดยไม่รู้ตัว ถ้ามีใครที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาถามเจ้าของภาษาเกี่ยวกับระบบหรือหลัก
ภาษาของเขา หรือ อาจถามว่าทำไมถึงต้องเรียงคำเป็นประโยคในลักษณะน้ี เจ้าของภาษาอาจจะไม่
สามารถอธบิ ายดว้ ยหลกั ทางภาษาแต่อาจบอกไดว้ ่าต้องเรียงคำในลักษณะใดจึงจะถูกต้อง ดงั นัน้ ผ้ทู ่ีจะ
เรียนรูภ้ าษาใดที่ไม่ใช้ภาษาของตนจำเป็นอย่างยิ่งท่ีจะต้องมีความรเู้ กี่ยวกับหลักภาษาของภาษาท่ีตน
เรียน เพราะหากเรามิใช่เจ้าของภาษาก็ไม่สามารถบอกได้ว่าภาษาที่ใช้ในการส่ือสารน้ันถูกหรือผิด
อย่างไรก็ตามเม่ือเกิดข้อผิดพลาดในการใช้ภาษาผู้ที่เป็นเจ้าของภาษาจะรู้ตัวและสามารถแก้ไขได้
ซ่งึ พอจะสรุปลักษณะความเป็นเจ้าของภาษาได้ดังน้ี
1. เจ้าของภาษาสามารถบอกได้ว่าถ้อยคำท่ีได้ยินนั้นเป็นเสียงของคำท่ีเรียงลำดับตามระบบ
ของภาษาตนหรือไม่และเป็นข้อความในภาษาของตนหรือไม่ เช่น คนไทยได้ยินชาวต่างชาติพูดผิด ก็
บอกไดว้ า่ คำพูดน้นั หมายถงึ อะไร เชน่ ชาวต่างชาติอาจพูดวา่
1.*กินข้าวฉนั
2.*ข้าวกนิ ฉัน
3. ฉันกนิ ขา้ ว
4. *ฉนั ข้าวกนิ
ประโยคที่มีเคร่ืองหมาย (*) นำหน้า เป็นประโยคที่มีการเรียงคำที่ขัดต่อกฎเกณฑ์ประโยค
พื้นฐานของภาษาไทย อย่างไรก็ตามคนไทยก็เข้าใจประโยคดังกล่าวได้ ทั้งน้ีการเรียงประโยคพื้นฐาน
ของภาษาไทยคือ ประธาน – กริยา – กรรม ในทำนองเดียวกันถ้าคนไทยพูดภาษาอังกฤษ เม่ือเจ้าของ
10
ภาษาได้ยินถ้อยคำที่เรียงกันเป็นกลุ่มก็สามารถบอกได้ว่าถ้อยคำที่เรียงกันนั้นถูกต้องหรือไม่ เช่น คำ
ต่อไปนี้ the, fish, he, ate อาจเรยี งเป็นกลมุ่ คำดังนี้
1.* The fish he ate.
2.* Fish the he ate.
3.* He fish the ate.
4.* He ate fish the.
5. He ate the fish.
ประโยคทมี่ ีเคร่ืองหมาย (*) นำหนา้ เปน็ ประโยคท่มี กี ารเรียงคำท่ขี ดั ตอ่ กฎเกณฑ์โครงสร้างวลี
ภาษาอังกฤษ ถึงแม้การเรียงประโยคพ้ืนฐานของภาษาอังกฤษมีลักษณะเช่นเดียวกับภาษาไทย คือ
ประธาน – กริยา – กรรม แต่ผู้ที่เป็นเจ้าของภาษาก็จะบอกว่าการเรียงลำดับคำไม่ถูกตามกฎโครงสรา้ ง
วลี กล่าวคือ นามวลี ประกอบด้วย คำกำกับนาม + คำนาม ได้แก่ the fish ดังน้ันข้อ (5) เรียงลำดับคำ
เป็นประโยคได้ถูกต้อง
2. เจา้ ของภาษาสามารถบอกได้วา่ ประโยคใดเป็นประโยคพ้องความหมาย เมื่อได้ยินประโยค
ท่ีมีใจความอย่างเดียวกัน แต่โครงสร้างหรือศัพท์ท่ีใช้แตกต่างกัน ก็สามารถบอกได้ว่าเป็นประโยคท่ีมี
ความหมายเดียวกนั เช่น
1. To please Lizza is difficult.
2. It is difficult to please Lizza.
3. Lizza is difficult to please.
ประโยคขอ้ (1-3) มีรปู ประโยคต่างกนั แต่มคี วามหมายอยา่ งเดียวกนั
3. เจ้าของภาษาสามารถบอกได้ว่าประโยคท่ีได้ยินหรือได้เห็นเป็นประโยคท่ีมีความหมาย
กำกวมสามารถตีความไดห้ ลายความหมาย (ambiguous sentences) เช่น
1. เขาไปเยีย่ มเพื่อนทเี่ พิ่งแต่งงานกบั นอ้ งของเขา
2. The child is playing nearby the bank.
11
ตวั อย่างประโยคดังกล่าวสามารถตีความไดม้ ากกวา่ 1 ความหมาย ประโยค (1) มีความหมาย
กำกวมทำให้เข้าใจว่าเพ่ือนแต่งงานกับน้องของเขา หรืออีกความหมายหน่ึงคือเขาไปเย่ียมเพื่อนกับ
นอ้ งของเขา
ประโยค (2) หากกล่าวโดยไม่มีข้อความอื่นมาก่อน คนท่ีเข้าใจภาษาอังกฤษอาจรู้ว่าพูดถึง
ธนาคาร หรือ ตลิ่ง แต่หากในบริบทมีการพูดถึงเงินและการฝากหรือถอนเงินก็จะตีความได้ว่า คำว่า
bank หมายถึง ธนาคาร หากมีการพูดถึงน้ำ หรือแม่น้ำ คำว่า bank ย่อมหมายถึงตลิ่ง ดงั นั้นประโยคท่ี
(2) สามารถตีความได้สองความหมายเนื่องจากคำที่ใช้มคี วามหมายมากวา่ หน่งึ
4. เจ้าของภาษาสามารถเข้าใจข้อความ ถึงแม้จะมกี ารละหรอื แทนข้อความบางส่วน ในแต่ละ
ภาษาจะมีประโยคทลี่ ะสว่ นประกอบบางส่วน หรอื ใช้คำเพียงหนงึ่ หรือสองแทนข้อความทีก่ ล่าวมาแล้ว
เชน่
My sister does not like gardening, but I do.
เมื่อเจ้าของภาษาพูดหรือได้ยินประโยคดังกล่าว ก็สามารถเข้าใจเกี่ยวกับการใช้ do เพ่ือแทน
like gardening
สรุปได้ว่าเจ้าของภาษาอาจมีหรือไม่มีความรู้เก่ียวกับระบบภาษาของตน แต่เจ้าของภาษา
สามารถใช้ภาษาในการส่ือสารได้โดยไม่ต้องเรียนรู้เป็นระเบียบแบบแผน เม่ือเราถามว่าภาษามี
ลกั ษณะอย่างไร หรือถามคนทว่ั ไปว่ารู้อะไรเก่ียวกับภาษา เราอาจพบวา่ คนเหล่านัน้ มีความสามารถใน
การใช้ภาษาเพือ่ ส่อื สารเทา่ นน้ั และส่วนใหญม่ ักไม่มีความรู้เกยี่ วกับภาษา
12
บทสรปุ
ตามท่ีได้กล่าวมาแล้วว่าในวันหน่ึงๆ เราใช้ภาษาเกือบจะตลอดเวลาที่เราต่ืนอยู่ น่ัน
หมายความว่าเราสามารถเรียนรู้และพูดภาษาในการสื่อสารได้อย่างน้อย 1 ภาษา เพราะมนุษย์ทุกคน
เกิดมาพร้อมเคร่ืองมือในการเรียนรู้ภาษาที่มีในแต่ละบุคคล ซ่ึงการเร่ิมพูดภาษาใดนั้นข้ึนอยู่กับ
สภาพแวดล้อมท่ีเราอยู่ อย่างไรก็ตามการศึกษาภาษาเป็นเร่ืองสำคัญสำหรับผู้ท่ีทำงานเก่ียวข้องกับ
ภาษา เช่น ผู้สอนภาษา เพราะการศึกษาภาษาเราต้องเข้าใจลักษณะทั่วไปของภาษา นอกจากน้ี ต้อง
เข้าใจลักษณะการเป็นเจ้าของภาษา อีกทั้งเข้าใจเก่ียวกับองค์ประกอบของภาษา เพื่ออธิบาย
ปรากฏการณต์ า่ ง ๆ ทางภาษา เช่น การเรียงคำในประโยคให้ถกู ต้องตามหลักภาษาน้ันๆ เป็นตน้
13
แบบฝึ กหัด
1. สัตว์มภี าษาเพ่ือการส่อื สารหรือไม่ จงอธิบาย
2. คำ และ ความหมายในภาษามีความสัมพันธ์กันหรือไม่ จงอธิบายพร้อมยกตัวอย่าง
ประกอบ
3. ภาษาตา่ งๆในโลกมลี กั ษณะรว่ มกันเป็นสากล อยา่ งไร
4. ผทู้ ี่เปน็ เจา้ ของภาษาสามารถอธบิ ายข้อผิดพลาดทางภาษาไดห้ รือไม่ อยา่ งไร
5. ลักษณะของเจ้าของภาษาเป็นอยา่ งไร
6. จงอธิบายองคป์ ระกอบของภาษา ดังนี้
6.1 เสียง
6.2 ความหมาย
6.3 โครงสร้าง
14
เอกสารอ้างองิ
Fromkin, V., Rodman, R., & Nina, H . (2007). An Introduction to Language. (8th ed). Boston
: Thomson & Wardsworth.
Plag. I., Brauan. M., Lappe. S., & Schramm.M. (2007). Introduction to English Linguistics.
Germany: Walter de Gruyter GmbH&Co. KG,D-10785 Belin.
Yule, G. (2006). The Study of Language. (3rd ed). United Kingdom: Cambridge
University Press.
15
บทท่ี 2
หนว่ ยคำ
การติดต่อสื่อสารเราใช้คำเพ่ือแทนความคิดหรือสื่อความหมายส่ิงต่างๆ ที่ต้องการ ดังนั้นการ
นำคำต่างๆ มาเรียงกันต้องเป็นไปตามหลักภาษาของภาษาน้ันๆ หรืออาจกล่าวได้ว่า “คำ” เป็นหน่วย
ย่อยท่ีสุดทางภาษาที่สื่อความหมายได้ แต่ “คำ” มีโครงสร้างภายในที่สามารถย่อยเป็นหน่วยที่เล็ก
ที่สุดคือ หน่วยคำ (morpheme) บทน้ีจะอธิบายเกี่ยวกับหน่วยคำและชนิดของหน่วยคำใน
ภาษาอังกฤษ
1. คำนยิ ามของหน่วยคำ
คำว่า “หน่วยคำ” ภาษาอังกฤษใช้แทนด้วยคำว่า “morpheme” หมายถึง หน่วยท่ีเล็กท่ีสุด
ในภาษาที่ยังคงมีความหมาย และหากนำมาแยกย่อยจะได้หน่วยเสียงซ่ึงไม่มีความหมายอีกต่อไป
(Fromkin, Rodman & Hyams ,2003; 2011) หรือ กล่าวได้ว่า หน่วยคำ คือ พยางค์ท่ีมีความหมาย
นัน่ เอง ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปนี้
ตัวอย่างท่ี 1 คำว่า “dog” มี 1 พยางค์ 1 หน่วยคำและมีความหมาย จึงจัดเป็นหน่วยคำ โดย
ส่วนย่อยของคำว่า “dog” จะประกอบด้วยหน่วยเสียง 3 หน่วยเสียง ได้แก่ /d/ /ɒ/ /g/ ซ่ึงแต่ละ
หนว่ ยเสียง จะไมม่ ีความหมาย
ตัวอย่างท่ี 2 คำว่า “dreamless” ประกอบด้วย 2 ส่วนคือ dream และ less คำว่า dream
ไม่สามารถแยกส่วนประกอบให้เล็กลง แต่ในแง่ของเสียง (phonology) สามารถแยกได้คือ
/d/ /r//i//m/ แต่ละเสียงไม่มีความหมาย จึงสามารถสรุปได้ว่า dream เป็นหน่วยย่อยท่ีสุดท่ีมี
ความหมาย ส่วน {less} ไปแตกแยกย่อยจะได้ 3 หน่วยเสียง คือ /l//e//s/ ซึ่งไม่มีความหมาย จึง
นับว่า {less} เป็นหน่วยคำที่ประกอบหลังหน่วยคำอื่นได้ เช่น sleepless, helpless, lawless, และ
homeless เปน็ ต้น
ตัวอย่างที่ 3 คำว่า “sadness” จัดเป็นคำที่ประกอบด้วยหน่วยคำ “sad” และหน่วยคำ
{ness} เพราะว่า คำว่า “sad” มีความหมาย (เศร้า) และมีลักษณะเป็นหน่วยที่เล็กท่ีสุดในภาษา เม่ือ
นำไปแตกแยกย่อย จะได้หน่วยเสียงท่ีไม่มีความหมาย 3 หน่วยเสียง คือ /s/ /æ/ /d/ ส่วน {ness} น้ัน
เป็นหน่วยเสียงที่ไม่มีความหมาย สามารถแยกย่อยได้ 3 หน่วยเสียง คือ/n/ /e/ /s/ สรุปได้วา่ {ness}
เป็นหน่วยคำท่ีประกอบหลังหน่วยคำอ่ืนได้ เช่น happiness เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจเก่ียวกับความหมาย
16
ของ morpheme และเข้าใจความแตกต่างระหว่าง syllable และ morpheme มากข้ึนให้ผู้อ่าน
พิจารณารายละเอียดตามตารางที่ 2.1 ดังต่อไปน้ี
ตารางท่ี 2.1 หนว่ ยคำ
คำศพั ท์ จำนวนหนว่ ยคำ (morpheme) จำนวนพยางค์ (syllable)
like
1 หน่วยคำคือ like (having the characteristics 1 พยางคค์ ือ like
of')
lady 1 หน่วยคำ คือ lady (female adult human) 2 พยางค์ คอื
1) la (no meaning on its own)
unladylike 3 หนว่ ยคำ คอื 2) dy (no meaning on its own)
1) un(not) 4 พยางค์ คอื
2) lady (female adult human) 1) un
3) like (having the characteristics of') 2) la
3) dy
sadness 2 หนว่ ยคำ คือ 4) like
1) sad (feeling or showing sorrow) 2 พยางค์ คอื
2) ness (forming abstract nouns 1) sad
2) ness
denoting quality and state)
dogs 2 หนว่ ยคำ คอื 1 พยางค์ คือ
keyboard 1) dog (puppet) 1) dogs
2) –s (plural)
2 พยางค์ คอื
2 หน่วยคำ คือ 1) key
1) key 2) board
2) board
oxygen 1 หนว่ ยคำ คอื 3 พยางค์ คอื
1) oxygen 1) ox
2) xy
3) gen
17
ตารางที่ 2.1 (ตอ่ )
คำศัพท์ จำนวนหน่วยคำ (morpheme) จำนวนพยางค์ (syllable)
desirability 3 หน่วยคำ คอื 6 พยางค์ คอื
1) desire 1) de
2) able 2) sir
3) ity 3) a
4) bil
gentlemanliness 4 หนว่ ยคำ คือ 5) i
1) gentle 6) ty
2) man 5 พยางค์ คือ
3) li 1) gen
4) ness 2) tle
3) man
4) li
5) ness
ตารางที่ 2.1 สามารถอธิบายได้ว่า คำที่ใช้ในภาษาอาจจะมีพยางค์เดียวหรือหลายพยางค์แต่
ต้องมีความหมาย บางคำอาจมีจำนวนหน่วยคำและจำนวนพยางค์เท่ากันหรือไม่เท่ากัน ถ้าแต่ละ
พยางค์ไม่มีความหมาย พยางค์เหล่านั้นก็ไม่มีลักษณะเป็นหน่วยคำ อย่างไรก็ตาม เกณฑ์ในการ
พิจารณาว่าคำศพั ท์นัน้ เปน็ หนว่ ยคำหรอื ไม่ มี 3 ประการ ดังนี้
1. สามารถอยูไ่ ด้อสิ ระหรือไม่ก็ได้ หนว่ ยคำใดอย่ไู ด้อิสระสามารถ เป็นคำ
2. เปน็ หน่วยที่มีความหมายทเี่ ลก็ ทีส่ ดุ
3. ความหมายจะคงที่ไมว่ า่ จะไปรวมกับหน่วยคำใด
2. ชนดิ ของหน่วยคำ
ตวั อย่างในตารางท่ี 2.1 แสดงให้เห็นวา่ คำประกอบด้วยหน่วยคำต่างๆ หน่วยคำที่ประกอบใน
คำว่า like, lady และ oxygen ไม่สามารถแยกให้มีหน่วยท่ีเล็กลง ในขณะท่ีคำว่า unladylike,
sadness, dogs, keyboard, desirability, และ gentlemanliness สามารถแยกให้เป็นหน่วยคำท่ี
เลก็ ลงได้ เมื่อแบ่งกลุม่ หน่วยคำที่ประกอบเป็นคำในตารางดังกลา่ วอาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่ม
18
ที่ 1 เป็นหน่วยคำท่ีมีความหมายและอยู่ได้ลำพัง เรียกว่า หน่วยคำอิสระ คือ lady, like, oxygen,
sad, dog, key, board, desire และ gentleman กลุ่มที่ 2 เป็นหน่วยคำท่ีไม่สามารถอยู่ได้ลำพัง
ตอ้ งประกอบกับหน่วยคำอ่ืน เรียกว่า หน่วยคำไม่อิสระ คือ {un-}, {ness-}, {-s}, {able}, {-ity}, {-ly}
และ {-ness} ดังนั้นอาจสรุปได้ว่าหน่วยคำแบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ หน่วยคำอิสระ และหน่วยคำไม่
อิสระ (Stageberg, 1977)
2.1 หน่วยคำอิสระ
หน่วยคำอสิ ระ (free morpheme) เป็นหนว่ ยคำ ท่ีสามารถทำหน้าที่ได้โดยลำพงั ไม่ต้อง
อาศัย หน่วยคำอื่นในการประกอบขึ้นเป็นคำ หรือทำให้มีความหมาย ซ่ึงหน่วยคำประเภทนี้มี
ความหมายในตัวเอง อาจมี 1 พยางค์หรือ หลายพยางค์ก็ได้ หน่วยคำอสิ ระสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด
ดงั ต่อไปนี้ (Yule, 2010)
2.1.1 lexical morphemes
หน่วยคำอิสระท่ีเป็นคำศัพท์ซ่ึงปรากฏโดยลำพังได้และมีความหมายใช้แทนสิ่งใด
สง่ิ หน่ึง เช่น girl, man, house, lion, sad, excellent, early, red, sincere, close, look, break,
follow เป็นตน้ หนว่ ยคำอสิ ระชนดิ น้เี ป็นสว่ นทแี่ สดงความหมาย
2.1.2 functional morphemes
หน่วยคำอิสระที่ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ และใช้เช่ือมคำต่างๆ เช่น in,on, at,
under, and, yet, but, for, so, nor, neither, or, because, them, when, that เปน็ ต้น
2.2 หนว่ ยคำไม่อิสระ
หน่วยคำไม่อิสระ (bound morphemes) เป็น หน่วยคำที่ไม่สามารถทำหน้าท่ีได้โดย
ลำพัง ต้องอาศัย หน่วยคำอื่นในการประกอบข้ึนเป็นคำ เพ่ือทำให้มีความหมายสมบูรณ์ตามรากศัพท์
คำที่ประกอบหน้าคำฐาน (base) และหลังคำฐานอื่น(base) ในภาษาอังกฤษเรียกว่า affixes ซึ่งเรียก
ตามตำแหน่งที่ปรากฏมี 2 ชนิด ได้แก่ คำอุปสรรค (prefix) ใช้ประกอบหน้าคำ และปัจจัย (suffix) ใช้
ประกอบหลังคำ อย่างไรก็ตาม affixes สามารถแบ่งได้สองชนิดตามหน้าท่ีได้แก่ หน่วยผันคำ หรือ
วิภัตติ และ หนว่ ยประสานคำ
2.2.1 inflectional morphemes
inflectional morphemes (หน่วยผันคำ หรือ วิภัตติ) คือ หน่วยคำท่ีใช้
ประกอบต้นเค้าศัพท์ (stem) เพ่ือให้ได้รูปคำท่ีใช้จริงในภาษา ยกตัวอย่างเช่นคำว่า “playboys”
stem คือ playboy และมีหน่วยผันคำในภาษาอังกฤษ คือ {-s} เม่ือเติมแล้วทำให้มีความหมายเป็น
19
พหูพจน์ (Fromkin, Rodman & Hyams, 2011) โดยทั่วไปหน่วยผันคำในภาษาอังกฤษ มี 8 ชนิด
ดังตัวอย่างต่อไปน้ี
ตัวอยา่ งประโยค หน่วยผันคำ หนา้ ท่ที างไวยากรณ์
past tense
She walked to school. -ed present third-person singular
present participle
She walks to school. -s noun plural
past participle
She is walking to school. -ing noun possessive
comparative
Her friends are at school. -s superlative
She has walked to school. -ed
Her friend’s father doesn’t like her. -’s
She is taller than her friend. -er
She is the tallest in her class. -est
สรุปได้ว่าหน่วยคำชนิดinflectionalmorphemes จะเรียงตามหลัง derivational
morphemes เช่ น ค ำว่ า developments มี ก ารเติ ม derivationalmorphemes แ ล ะต าม ด้ วย
inflectionalmorphemesคือ develop+ment คำน้ีไม่สามารถเติม inflectional morpheme ก่อนการ
เติม derivationalmorpheme เช่น develop + s + ment = *developsment ซ่ึงไม่เป็นคำเพราะไม่มี
ความหมาย
หน่วยผนั คำในภาษาอังกฤษมีลักษณะแตกต่างจากหน่วยประสานคำ ดงั ตอ่ ไปนี้
1) เป็นหน่วยคำท่ีใช้บอกความหมายทางไวยากรณ์เท่านั้นไม่ทำให้ความหมาย
หลกั และ ชนดิ ของคำ (part of speech) เปลี่ยนแปลง เช่น
คำวา่ cow, cows เมอ่ื เตมิ หน่วยผนั คำ ยงั คงเป็นคำนาม
คำวา่ cough, coughs เมอื่ เตมิ หนว่ ยผนั คำ ยงั คงเป็นคำกริยา
คำวา่ cold, colder เมอ่ื เติมหนว่ ยผนั คำ ยงั คงเป็นคำคุณศพั ท์
2) หน่วยผันคำในภาษาอังกฤษท้ังหมดเป็นหน่วยคำเติมหลังเท่านั้น (suffixes)
เชน่ shortened, villainies, industrializing
3) เป็นหน่วยคำท่ีประกอบต้นเค้าศัพท์ชนิดเดียวกันได้ทุกคำ (stem)เช่น He
eats, drinks, dreams, entertains, motivates. หน่วยคำ { -s} บ่งบอกถึง present third-person
singular สามารถเติมหลงั stem ชนดิ ท่ีเปน็ คำกรยิ าได้ทั้งหมด
20
4) คำที่ประกอบด้วยหน่วยผันคำไม่สามารถสื่อความหมายได้ด้วยตัวเอง เช่น
working, higher, written คำเหล่านี้ประกอบด้วยหน่วยผันคำ {-ing, -er, -en} เป็นคำที่ต้องมีคำมา
ต่อท้ายเพื่อให้เป็นประโยคที่สมบูรณ์ ยกเว้นในกรณีของหน่วยผันคำที่เติมหลังคำนามเพื่อแสดงความ
เป็นเจา้ ของ (plural possessive) เช่น the students’ worries
2.2.2 derivational morphemes
derivational morphemes (หน่วยประสานคำ) คอื หน่วยคำไม่อิสระเม่ือเติมเข้า
กบั คำฐาน (bases) แล้วทำใหเ้ กิดคำใหม่ ทำให้ประเภทคำ หรือ ความหมายเปลี่ยนไป ในภาษาอังกฤษ
derivationalmorphemes คือ affixes มีทั้งที่เป็นอุปสรรค(prefixes)และปัจจัย(suffixes)เม่ือเติม
prefixes และ suffixes ทำใหไ้ ดค้ ำใหม่ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี
ตารางท่ี 2.2 หน่วยคำชนิด derivational morphemes
derived words prefixes bases suffixes
1. unfriendly un friend ly
2. prediction pre dict ion
3. coeducation co educate ion
4. polygamy poly gamy
5.supernatural super nature al
6. immorality im moral ity
7. irreplaceable ir , re place able
8.irresponsible ir response ible
9. decentralize de central ize
10.contradiction contra dict ion
11.disagreeable dis agree able
12.reuse re use
13. placement place ment
14.enlarge en large
21
ตัวอย่างในตาราง 2.2 แสดงตัวอย่างคำที่เกิดจากการเติม derivational
morphemes ได้แก่ การเติม prefixes หน้า bases เช่น คำที่ 12 คำว่า “reuse” เป็นคำใหม่ที่เกิด
จากการเติม prefix {re-} หน้า base คำว่า “use” และคำที่ 13 คำว่า “placement” เป็นคำใหม่ที่
เกิดจากการเตมิ suffix {-ment} หลงั base คำว่า “place”
เม่ื อพิ จารณ ารายละเอียดท่ี อธิบ ายข้างต้น จะเห็ น ได้ว่า derivational
morphemes มี 2 ชนดิ ไดแ้ ก่ prefixes และ suffixes
1) อปุ สรรค
อุปสรรค (prefixes) คือ หน่วยคำที่นำมาเติมหน้าคำฐาน (bases) และทำให้
ชนิดของคำเปลี่ยนไป อย่างไรก็ตาม การเติม prefixes อาจทำให้คำที่เกิดใหม่มีความหมายเปล่ียนไป
แต่ชนิดคำไม่เปลี่ยน เช่น เม่ือเติมหน่วยคำ{un-} และ {re-}หน้า bases ทำให้คำใหม่ที่เกิดขึ้น
มีความหมายเปลี่ยนแต่ชนิดคำไม่เปลี่ยน คำใหม่ชนิดต่างๆ ที่เกิดจากการเติม prefixes ดังตัวอย่าง
ตอ่ ไปนี้
ตารางที่ 2.3 คำใหม่ทเ่ี กดิ จากการเตมิ prefixes
prefixes noun derived verb
en courage encourage
ac company accompany
ac custom accustom
prefixes adjective derived verb
en rich enrich
prefixes verb derived verb
un do undo
re cover recover
dis believe disbelieve
auto destruct autodestruct
prefixes noun derived noun
im prison imprison
in habit inhabit
22
ตารางที่ 2.3 คำใหมท่ เ่ี กดิ จากการเติม prefixes (ตอ่ )
prefixes adjective derived adjective
il legal illegal
dis agreeable disagreeable
a moral amoral
2) ปจั จัย
ปัจจัย (suffixes) คือหน่วยคำท่ีเติมท้ายคำอื่นและทำให้ชนิดของคำนั้น
เปลี่ยนไป อาจเปล่ียนจากคำนามเป็นคำคุณศัพท์ แต่คงความหมายเดิม อย่างไรก็ตามสามารถเติม
ปัจจัยหลังฐานคำ (bases) ได้มากกว่า 1 หน่วยคำ เช่นคำว่า “naturalizes” เราสามารถเติมปัจจัย
หลังคำฐาน“nature” ได้ 3 หน่วยคำ ได้แก่ {-al, -ize, และ -s } และการเติมปัจจัยต้องเป็นไป
ตามลำดบั แน่นอน คำใหม่จากการเตมิ ปจั จยั ดงั ตัวอยา่ งดงั ต่อไปนี้
ตารางท่ี 2.4 คำทเี่ กิดจากการเติม suffixes
noun suffixes derived verb
beauty ify beautify
colony ize / ise colonize
length en lengthen
adjective suffixes derived verb
short en shorten
simple ify simplify
real ize realize
adjective suffixes derived adverb
exact ly exactly
merry ly merrily
gentle ly gently
verb suffixes derived noun
type ist typist
write er writer
23
ตารางท่ี 2.4 คำทีเ่ กิดจากการเตมิ suffixes (ตอ่ )
verb suffixes derived noun
manage ment management
pronounce ment pronouncement
noun suffixes derived noun
youtube er youtuber
mother hood motherhood
child hood childhood
ตาราง 2.4 แสดงให้เห็นคำชนิดต่างๆ ท่ีเกิดจากการเติม suffixes ซ่ึงทำให้
ชนิดคำเปลี่ยนไป นอกจากน้ีการเติม suffix หลังคำท่ีลงท้ายด้วย “y” ต้องตัดหรือเปล่ียน “y” เป็น
“i” ก่อนแล้วเติม suffixes เช่นคำว่า “beauty” เป็นคำนาม สามารถเติม suffix {-ify} ได้คำใหม่คือ
คำว่า “beautify” เป็นคำกริยา เช่นเดียวกันกับคำท่ีลงท้ายด้วย “le” เช่นคำว่า “gentle”เป็น
คำคุณศัพท์ เมื่อเติม suffix {-ly} จะไดค้ ำใหม่คือคำว่า “gently”เปล่ียนเป็นคำกริยาวิเศษณ์ สว่ นการ
เติมsuffix “ist”สามารถเติมหลงั คำกริยา และทำใหเ้ ปลีย่ นเปน็ คำนาม เช่นคำวา่ “typist”
เน้ือหาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่าหน่วยคำไม่อิสระประกอบด้วย หน่วยผันคำ
ห รื อ วิ ภั ต ติ (inflectionalmorpheme)แ ล ะ ห น่ ว ย ป ร ะ ส า น ค ำ (derivationalmorpheme)
โดยสามารถสรุปลกั ษณะของหน่วยคำทงั้ 2 ชนดิ ดังนี้
ตารางที่ 2.5 ลักษณะของหนว่ ยคำ
inflectional morpheme derivational morpheme
ทำหน้าท่ีทางไวยากรณ์ เช่น แสดงพจน์ การก ทำหนา้ ทเ่ี ชิงความหมาย
เปล่ยี นชนิดคำ ไมเ่ ปลย่ี นชนดิ คำ
อยูห่ ลังหนว่ ยคำประสาน อยหู่ นา้ หน่วยผนั คำ
รายละเอียดดังกล่าว สามารถสรุปได้ว่าหน่วยคำในภาษาอังกฤษสามารถแบ่ง
ได้เป็นหน่วยคำอิสระ (free morpheme) และหน่วยคำไม่อิสระ (bound morpheme) โดยหน่วยคำ
24
ไม่อิสระประกอบด้วย หน่วยผนั คำ หรือ วภิ ัตติปจั จยั (inflectional morpheme) ไดแ้ ก่ suffixes และ
หนว่ ยประสานคำ (derivational morpheme) ไดแ้ ก่ prefixes และ suffixes (derivational affixes)
เม่ือพิจารณาในภาพรวมแล้วสามารถสรุปได้ว่าหน่วยคำในภาษาอังกฤษ
ประกอบดว้ ยสว่ นต่างๆ ดงั ตอ่ ไปนี้
หนว่ ยคำในภาษาอังกฤษ
(English morphemes)
BOUND (หน่วยคำไมอ่ ิสระ) FREE(หนว่ ยคำอิสระ)
AFFIX ROOT OPEN CLASS CLOSED CLASS
(หน่วยคำเตมิ ) (รากศพั ท์) (หน่วยคำเปดิ ) (หนว่ ยคำปดิ )
-ceive -nouns - determiners
-mit -adjectives - pronouns
-fer -verbs - auxiliary verb
-adverbs -conjunction
- prepositions
DIRIVATIONAL INFLECTIONAL
(หน่วยคำอนุพันธ์) (หนว่ ยคำวิภตั ิปัจจยั )
PREFIX SUFFIX SUFFIX
pre- -ly -ing -er -s
un- -ist -s -est -’s
con- -ment -en -ed
dis- - ful re- - er -ness
ภาพท่ี 2.1 หน่วยคำในภาษาอังกฤษ
ที่มา (Fromkin, Rodman & Hyams, 2003)
25
อย่างไรก็ตาม หน่วยคำอีกกลุ่มที่มีลักษณะเกิดข้ึนเฉพาะกับหน่วยคำใด
หน่วยคำหน่ึงเท่าน้ัน เช่นคำว่า“paired”จะปรากฏหลังprefix{-un} เป็นคำว่า “unpaired”เท่าน้ัน
ซ่ึงไม่สามารถปรากฏคู่กับหน่วยคำอื่น เช่น “*inpaired”เรียกว่า หน่วยคำเฉพาะ หรือ unique
morphemes(Plag,Braun, Lappe & Schramm, 2007 ; Walker, 2013) นอกจากนี้ยังมีตัวอย่าง
uniquemorphemes อื่นดงั อยา่ งต่อไปน้ี
หนว่ ยคำ { cran-} เกิดขน้ึ เฉพาะกบั หน่วยคำ berry เป็น cranberry
หนว่ ยคำ {rasp-} เกดิ ข้ึนเฉพาะกับหนว่ ยคำ berry เป็น raspberry
หนว่ ยคำ {luke-} เกิดขน้ึ เฉพาะกับหน่วยคำ warm เป็น lukewarm
หน่วยคำ {-ept} เกิดขึ้นเฉพาะกบั หนว่ ยคำ in- เป็น inept
หนว่ ยคำ{-kempt} เกิดขน้ึ เฉพาะกบั หนว่ ยคำ un- เป็น unkempt
หน่วยคำ {-sumpt} ประกอบเป็นคำต่าง ๆ ดังนี้ consumption, presumption,
resumption, assumption
หน่วยคำ {-sume} ประกอบเป็นคำตา่ งๆ ดงั น้ี consume, presume, subsume,
resume, assume
คำฐานหรือ bases เป็นหน่วยท่ีกำหนดความหมายของคำและมีหน่วยคำอื่น
มาประกอบข้างหน้าหรือข้างหลัง เช่นคำว่า denial, lovable, annoyance ส่วนที่ขีดเส้นใต้เป็น free
morpheme เป็นคำฐาน เรียกว่า free base นอกจากนี้ คำว่า consent, dissent และ assent
ประกอบด้วย bound morpheme กับ bound morpheme แต่หน่วยคำที่เป็นคำฐาน (base) คือ
{-sent} ซ่ึงเป็นหน่วยที่กำหนดความหมาย ดังน้ันจึงเรียกว่า bound base ความหมายจากพจนานุกรม
ของ {-sent} แปล่า ความรู้สึก “fell” ซึ่งเป็นภาษาลาติน สามารถหาหน่วยคำท่ีเป็น base ได้ใน
พจนานุกรม Webster’s New Collegiate Dictionary เช่น phot- photo (light); xer-,xero (dry);
bi- bio (life); mis- miso (hate); ge- geo (earth); phil -phile(lover); -logy (science or study)
อยา่ งไรก็ตามเราสามารถพจิ ารณาว่าหนว่ ยใดเปน็ bases ไดจ้ ากคุณสมบัตติ อ่ ไปนี้
1. เป็นหน่วยคำท่ีสามารถมีหน่วยคำมาประกอบหน้าและหลังได้ เช่น react,
active, fertilize
2. เป็นหน่วยคำย่อย (allomorph) ของหน่วยคำที่ประกอบกับหนว่ ยคำอิสระ
เชน่ depth (deep), wolves (wolf)
3. เป็นหนว่ ยคำยืมจากคำในภาษาอ่นื ซึ่งเป็นหน่วยคำอิสระ เช่น biometrics,
microcosm, phraseology
26
รายละเอียดทั้งหมดท่ีได้กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า หน่วยคำ (morpheme)
เป็นหน่วยท่ีเล็กที่สุดของคำและมีความหมาย โดยส่วนใหญ่หน่วยคำสามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิดคือ
หน่วยคำอิสระ (free morpheme) และหน่วยคำไม่อิสระ (bound morpheme) และหน่วยคำ
หน่วยคำเฉพาะที่เกิดกับหน่วยคำบางคำเท่าน้ัน เรียกว่า unique morpheme นอกจากน้ี คำฐาน
(bases) นับว่าเป็นหน่วยคำท่ีเป็นตัวกำหนดความหมายของคำ อย่างไรก็ตามบางหน่วยคำอาจ
เปลี่ยนแปลงรูปได้ตามท่ีปรากฏในสภาพแวดลอ้ มท่ีแตกต่างกนั โดยความหมายยังคงเดิม ซ่งึ หน่วยคำท่ี
เปลยี่ นแปลงตามสภาพแวดลอ้ มทต่ี ่างกนั เรยี กวา่ หน่วยคำยอ่ ย
3. หนว่ ยคำยอ่ ย
หน่วยคำย่อย หรือ allomorph คือ หน่วยคำท่ีแยกย่อยออกจากหน่วยคำ หน่วยคำย่อยมีรูป
และเสียงต่างกันออกไป แต่ทุกหน่วยมีความหมายเดียวกัน คำว่า allomorph ประกอบด้วย 2 หน่วยคำ
คือ allo และ morph มาจากภาษากรีก โดย allo แปลว่า “แตกต่าง” ส่วน morph แปลว่า “รูป”
หน่วยคำย่อยเกิดข้ึน 3 ลักษณะ คือ ลักษณะบังคับทางหน่วยเสียง (phonological conditioning)
ลักษณะบังคับทางหน่วยคำ(morphological conditioning) และลักษณะบังคับตามชนิดคำ (lexical
conditioning) (Plag, Braun, Lappe & Schramm, 2007) ในการอธิบายต่อไปน้ี หน่วยคำเติมจะ
แสดงในเคร่อื งหมาย { } และเสยี งพยัญชนะจะแสดงในเครอ่ื งหมาย // ดังนี้
3.1 หนว่ ยคำย่อยตามลกั ษณะบงั คับตา่ งๆ
3.1.1 phonological conditioning
ลักษณะบังคับทางหน่วยเสียง (phonological conditioning) คือการออกเสียง
หน่วยคำย่อยของหน่วยคำที่เป็นคำกริยาในรูปกาลอดีต กริยาช่องสองและสาม และหน่วยคำท่ีแสดง
ความเปน็ พหูพจน์ (plural morpheme) จะอธิบายตามลำดบั ดังนี้
1) หน่วยคำย่อยของคำกรยิ าในรปู กาลอดีต
คำกริยาปกติ (regular verb) ที่แสดงความเป็นอดีตโดยการเติม {-ed} เช่น talk-
talked, play-played และ want–wanted หน่วยคำแสดงความเป็นอดีต {-ed} เมื่อไปเติมหลัง
คำกรยิ าแลว้ จะออกเสยี งตา่ งกนั เป็น 3 เสยี ง คอื /t//d/และ /ɪd/ ดังต่อไปน้ี
1.1) เม่ือหน่วยคำ {-ed} เติมท้ายคำกริยาที่ลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง หรือ
voiceless /f//k//p//s/ จะทำให้เสียงท้ายของหน่วยคำย่อยเมื่อเติม {-ed} ในรูปคำกริยาช่องที่สอง
และสาม ออกเสียงเปน็ เสียง /t/ เชน่
27
กรยิ า รูปอดตี เสียงท้าย ออกเสียง /t/
work worked /k/voiceless /wərkt/
stop stopped /p/voiceless /stɒpt/
wash washed /ʃ/voiceless /wɒʃt/
1.2) เม่ือหน่วยคำ {-ed} เติมท้ายคำกริยาที่ลงท้ายด้วยเสียงก้อง หรือ voiced
/b//g//v//m//n//r//l/ (เมื่อนำมือไปสัมผัสที่ต้นคอเสียงจะสั่น) ทำให้เสียงท้ายของหน่วยคำย่อย
เมอื่ เตมิ {-ed} ในรปู คำกริยาชอ่ งสองและสาม ออกเสียงเปน็ เสียง /d/ เชน่
กริยา รปู อดตี เสียงท้าย ออกเสยี ง /d/
open opened /n/voiced /ˈəʊpənd/
arrive arrived /v/voiced /əˈraɪvd/
1.3) เม่ือหน่วยคำ {-ed} เติมท้าคำยกริยาที่ลงท้ายด้วย /t/ หรือ / d/ ทำให้เสียงท้าย
ของหน่วยคำยอ่ ยเม่อื เตมิ {-ed} ทา้ ยคำจะออกเป็นเสยี ง /ɪd/ เชน่
กรยิ า รปู อดตี เสยี งทา้ ย ออกเสยี ง /ɪd/
want wanted /t/ /wɒntɪd/
land landed /d/ /lændɪd/
จะเห็นได้ว่าหน่วยคำย่อยของคำกริยาที่เติม {-ed} เพ่ือแสดงความเป็นอดีต
สามารถอ่านได้ 3 รูปแบบ คือ /t/, /d/, /ɪd/ ทั้งน้ีข้ึนอยู่กับลักษณะบังคับของหน่วยเสียงท้ายของคำ
น้นั
2) หนว่ ยคำแสดงพหพู จน์
หน่วยคำแสดงพหูพจน์ (plural morpheme) ด้วยการเติมหน่วยคำ {-s} เพ่ือ
แสดงความเปน็ พหูพจน์สามารถอา่ นได้ 3 รปู แบบเช่นกนั ดังตัวอย่างต่อไปน้ี
2.1) เม่ือเติมห น่วยคำ {-s} ห ลังคำนามท่ีลงท้ายด้วยเสียงไม่ก้อง
(voiceless) เช่น /p/, /t/, /k/, /f/, etc. (ยกเว้น /s/, / ʃ /, /tʃ/) เสียงพยัญชนะท้าย ออกเสียงเป็น
เสยี ง /s/ เชน่
คำนาม 28
lock
รูปพหูพจน์ เสยี งท้าย ออกเสยี ง /s/
pot locks /k/ voiceless /lɒks/
pots /t/ voiceless /pɒts/
2.2) เมื่อเติมหน่วยคำ { - s} หลังคำนามที่ลงท้ายด้วยเสียงก้อง (voiced)
/b/, /d/, /g/, /v/, /m/, /n/ (ยกเว้น /z/, /j/) หรือลงท้ายด้วยสระ เสียงพยัญชนะท้าย ออกเสียง
เป็นเสยี ง /z/ เช่น
คำนาม รปู พหพู จน์ เสยี งท้าย ออกเสียง /z/
fan fans /n/ voiced
/fænz/
kid kids /d/ voiced /kɪdz/
2.3) เม่ือเติมหน่วยคำ { - s, -es} หลังคำนามที่ลงท้ายด้วยเสียงเสียดแทรก
(fricatives) เช่น /s /, / ʃ / เสียงกักเสียดแทรก (affricate) เช่น /tʃ/, / dʒ / จะออกเสียงเป็น /ɪz/
เชน่
คำนาม รปู พหพู จน์ เสียงทา้ ย ออกเสียง /ɪz/
bus buses /s/ fricatives /bʌsɪz/
cage cages /dʒ/ affricate /keɪdʒɪz/
จะเห็นได้ว่าหน่วยคำย่อยของการแสดงรูปพหูพจน์มี 3 รูปแบบ คือ /-s/, /-z /,
/ɪz/ ซ่ึงเป็นหน่วยคำเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากเสียงใกล้เคียงเป็นตัวกำหนดการออกเสียงหน่วยคำ
{ - s, -es} ปรากฏการณ์น้ีเรยี กวา่ ลักษณะบงั คับทางเสียง (phonological condition)
3.1.2 lexical conditioning
lexical conditioning ลักษณะบังคับของการใช้คำ คอื หน่วยคำท่ีปรากฏเฉพาะกับ
คำบางคำเท่านั้น กล่าวคือคำศัพท์บางคำในภาษาอังกฤษที่มีความหมายเป็นพหูพจน์ คำนั้นก็มีเสียง
สระเปลีย่ นไปดังตัวอย่างดงั น้ี
singular nouns 29
plural nouns
tooth /tuːθ/ teeth /tiːθ/
goose /guːs/ geese /giːs/
mouse /maʊs/ mice /maɪs/
sheep /ʃɪːp/ sheep /ʃɪːp/
ox /ˈɒks/ oxen /ˈɒksən/
child /tʃaɪd/ children /ˈtʃɪldrən/
ตวั อย่างดงั กล่าวสามารถสรุปได้ว่าเม่ือคำศพั ท์เหล่าน้ีมีความหมายเป็นพหูพจน์ส่งผลให้
เสียงสระของคำนั้นเปล่ียนไป เช่น คำว่า “tooth – teeth” เปล่ียนจากเสียง /uː/ เป็นเสียง /iː/ ส่วน
คำว่า “sheep” เม่ือตอ้ งการความหมายที่เป็นพหูพจน์ รปู คำและเสียงสระคงเดมิ เรียกว่า หนว่ ยคำไม่
เปลี่ยนรูป (zero morpheme) ส่วนคำว่า “oxen” เป็นคำนามพหูพจน์ด้วยการเติมคำอุปสรรค
(suffix) และออกเสียงเป็น /ən/ นอกจากนี้ คำว่า “children” เป็นรูปพหูพจน์ของคำว่า “child” ซึ่ง
เสียงสระเปล่ยี นจาก /aɪ / เปน็ เสยี ง /ɪ/ และมีการเตมิ หนว่ ยคำตามหลงั /rən/
3.1.3 morphological conditioning
ลักษณะบังคับทางหน่วยคำ คือ การออกเสียงท้ายของคำฐาน (bases) มีความแตกต่าง
กนั เม่ือเติม suffixies ยกตัวอยา่ งเชน่
conclude /kənˈkluːd/
conclusion /kənˈkluːʒən/
conclusive /kənˈkluːsɪv/
คำในตัวอย่างข้างต้นมีคำฐานเดียวกัน คือคำว่า “conclude” มีเสียงพยัญชนะท้าย
/d/ เมื่อเติมหน่วยคำ {–ion} ได้คำใหม่เป็นคำว่า “conclusion” ส่งผลให้เสียงพยัญชนะเปลี่ยนไป
เป็น /ʒ/ และเม่อื เตมิ หนว่ ยคำ {-ive} ไดค้ ำใหม่ คำว่า “conclusive” และออกเสียงพยัญชนะเป็น /s/
การเติมหน่วยคำประกอบหลังคำ (affixes) หน่วยคำเดิมนั้นอาจมีรูปคำ เสียง หรือ
การเน้นเสียงเปลีย่ นไปเช่นกัน ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปนี้
30
agile /ˈædʒaɪl/
agility /əˈdʒɪləti/
receive /rɪˈsiːv/
receptive /rɪˈseptɪv/
จากตัวอย่างดังกล่าว คำว่า “agile” มีหน่วยคำย่อยคือ /ˈædʒaɪl/ และ /əˈdʒɪl/
เมื่อมีหน่วยคำเติมหลัง {-ity} คำว่า “agility”เปลี่ยนเป็นเสียงสระ /ə/ จากเสียง /æ / และจากเสียง
สระประสม /aɪ/ เปลีย่ นเป็นเสยี งสระเดยี่ ว /ɪ/ และการเนน้ เสียงจากพยางค์แรกเปน็ พยางค์ที่สอง
จะเห็นได้ว่าหน่วยคำย่อย (allomorph) สามารถออกเสียงต่างกันถึงแม้อยู่ในรูป
เดียวกันก็ตาม การออกเสียงหน่วยคำท่ีแสดงถึงอดีตกาล {-ed} สามารถออกเสียงได้ 3 ลักษณะท้ังนี้
เกิดจากลักษณะบังคับทางเสียง(phonological conditioning) และการแสดงพจน์ของบางคำใน
ภาษาอังกฤษอาจอยู่ในรูปอื่นท่ีนอกเหนือจากการเติมหน่วยคำ {-s} ซึ่งรูปหน่วยคำท่ีเปลี่ยนแปลงไปนี้
เกดิ จากลักษณะบงั คบั ทางหนว่ ยคำ (morphological conditioning)
3.2 หนว่ ยคำย่อยแบบแทนที่
หน่วยคำย่อยที่กล่าวมาข้างต้น เป็นหน่วยคำย่อยที่ต้องเติมเข้าไปกับฐานศัพท์ หน่วยคำ
ย่อยอีกประเภทหน่ึงคือ replacive allomorph เช่น หน่วยคำย่อยที่แสดงความเป็นอดีตกาลของ
กริยาท่ีเปล่ียนรูป (irregular verb) เช่น drink – drank, swim – swam ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเสียงสระ
เปลี่ยนไป จากเสียง /ɪ/ ในคำวา่ drink, swim เป็นเสยี ง /æ/ เขยี นเป็นสัญลกั ษณ์ไดด้ ังนี้
/drɪŋk/ = /dræŋk/+/ɪ > æ /
/swɪm/= /swæm/+ /ɪ > æ /
เคร่อื งหมาย > มคี วามหมายวา่ becomes ในทน่ี ี้ +/ɪ > æ / จัดเป็นหนว่ ยคำย่อย
ของหนว่ ยคำแสดงอดตี กาลหน่วยคำหนึ่ง
31
บทสรปุ
วจีวิภาค หรือ (morphology) คือ การศึกษาเก่ียวกับหน่วยคำ (morpheme) ซ่ึงเป็นหน่วยที่
เล็กท่ีสุดของคำและมีความหมาย หน่วยคำสามารถแบ่งได้ออกเป็น 2 ประเภท คือ หน่วยคำอิสระ
(free morpheme) ที่สามารถปรากฏตามลำพังได้ และหน่วยคำไม่อิสระ (bound morpheme)
เป็นหน่วยคำท่ีต้องประกอบด้วยหน่วยคำอื่น หน่วยคำอิสระ (free morpheme) เป็นหน่วยคำท่ี
กำหนดความหมายซึ่งอาจแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ หน่วยคำท่ีเป็นคำศัพท์ (lexical morpheme) เช่น
คำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ คำกริยาวิเศษณ์ เป็นต้น และหนว่ ยคำอิสระท่ีกำหนดหนา้ ที่ทางไวยากรณ์
(functional morpheme) เช่น คำบุพบท คำเชื่อม คำสรรพนาม เป็นต้น ส่วนหน่วยคำไม่อิสระ
(bound morpheme) ต้องไปประกอบกับหน่วยคำอื่นจึงจะมคี วามหมายสมบูรณ์ แบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ
หน่วยผันคำ (inflectional morpheme) เป็นหน่วยคำท่ีไปประกอบคำต่างๆและทำให้หน้าที่ทาง
ไวยากรณ์เปล่ียนไป หน่วยผันคำในภาษาอังกฤษมี 8 ชนิด ดังได้กล่าวมาแล้วข้างต้น และหน่วยประสาน
คำ (derivational morpheme) เป็นหน่วยคำท่ีไปประกอบหน้า กลาง หรือหลังคำอ่ืน (affix) โดยส่วน
ใหญ่หน่วยคำชนิดน้ีท่ีใชบ้ ่อยในภาษาอังกฤษ มี 2 ชนิดคือ อุปสรรค (prefix) เป็นหนว่ ยคำเติมหน้าคำ
ฐาน (base) และ ปจั จยั (suffix) เปน็ หน่วยคำเติมหลงั หนว่ ยคำอนื่ อย่างไรก็ตามหน่วยคำบางหน่วยคำ
มีรูปและเสียงที่ต่างกัน เรียกว่า หน่วยคำย่อย (allomorph) ซึ่งเกิดจากอิทธิพลของสภาพแวดล้อม
เช่นเสยี งข้างเคยี ง หรือหน่วยคำขา้ งเคยี ง ท่ที ำใหห้ นว่ ยคำนั้นมีรูปคำต่างออกไป
32
แบบฝึกหัด
1. จงระบุจำนวนหน่วยคำของคำต่อไปนี้
ตัวอย่าง small : 1 หน่วยคำ
1.1 play 1.6 keeper
1.2 replay 1.7 unable
1.3 date 1.8 miniskirt
1.4 hygiene 1.9 rain
1.5 manly 1.10 rainy
2. คำต่อไปนป้ี ระกอบดว้ ยหน่วยคำชนดิ ใด
ตัวอยา่ ง books = book (free morpheme) + {-s} (inflectional morpheme)
2.1 carelessness 2.6 humanitarian
2.2 overgeneralization 2.7 purposely
2.3 thickeners 2.8 ineligible
2.4 blackened 2.9 uneducated
2.5 biometric 2.10 helpful
3. คำเหล่านี้ประกอบด้วยหน่วยคำใด
ตวั อยา่ ง: replaces = re + place + s
3.1 retroactive 3.11 bureaucrat
3.2 befriended 3.12 democrat
3.3 televise 3.13 democracy
3.4 endearment 3.14 democratic
3.5 unpalatable 3.15 democratically
3.6 holiday 3.16 democratization
3.7 mistreatment 3.17 democratize
3.8 deactivation 3.18 democratizer
3.9 grandmother 3.19 democratizing
3.10 airsickness 3.20 democratized
33
4. จงขีดเส้นใต้ หน่วยคำไม่อสิ ระ (bound morpheme) ของคำต่อไปน้ี
4.1 speaker 4.6 dreamed
4.2 kingdom 4.7 undo
4.3 petrodollar 4.8 idolize
4.4 selective 4.9 impossible
4.5 remark 4.10 unable
5. จงขีดเส้นใต้ คำฐาน (base) ของคำต่อไปนี้
5.1 womanly 5.2 failure
5.3 famous 5.4 infamous
5.5 lighten 5.6 enlighten
5.7 unlikely 5.8 falsify
5.9 subway 5.10 unenlivened
6. จงเตมิ หนว่ ยคำ inflectional morphemes คำต่อไปน้ี
6.1 kindness 6.2 beautify
6.3 depth 6.4 arrival
6.5 orientate 6.6 friendly
6.7 happy 6.8 tourist
6.9 pressure 6.10 popularize
7. จงเติมหน่วยคำ derivational morphemes คำตอ่ ไปนี้
7.1 reasonable 7.2 formal
7.3 organize 7.4 purify
7.5 possible 7.6 proper
7.7 mature 7.8 reversible
7.9 large 7.10 human
34
8. จงเขยี นหนว่ ยคำยอ่ ย (allomorph) แสดงรปู พหูพจนโ์ ดยเขยี นเปน็ phonemic script
8.1 sons 8.2 passes
8.3 dishes 8.4 garages
8.5 naps 8.6 hoes
8.7 tooth 8.8 mice
8.9 goose 8.10 ox
9. จงขดี เสน้ ใต้ปจั จยั (suffix) ของคำตอ่ ไปนี้
9.1 journalists 9.2 personalities
9.3 flirtatiously 9.4 friendliest
9.5 contradictorily 9.6 trusteeship
9.7 greasier 9.8 environmentalist
9.9 faithfully 9.10 responsibilities
10. จงเรียงหน่วยคำใหเ้ ปน็ คำท่ถี ูกต้องตามหลักประกอบคำ
10.1 ment / en / courage
10.2 de / ize / central / ation
10.3 ly / fortune / un / ate
10.4 ion / divide / sub
10.5 con / ient /vene / in
10.6 ing/ ate/ termin
10.7 ity/ work/ able
10.8 marry/ age/ ity/ abil
10.9 in/ most/ er
10.10 ly/ some/ grue
35
เอกสารอา้ งองิ
Fromkin, V., Rodman, R., & Hyams, N. (2003). An Introduction to Language. (7th ed).
Boston MA : Thomson & Heinle.
. (2011). An Introduction to Language. (9h ed). Singapore : Wadsworth
Cengage Learning.
Plag. I., Braun. M., Lappe. S., & Schramm. M. (2007). Introduction to English Linguistics.
Germany: Walter de Gruyter GmbH&Co. KG,D-10785 Belin.
Short stories. Retrieved from https://english-magazine.org/english-stories
Stageberg, C. N. (1977). An Introductory English Grammar. (3rded). New York : Holt,
Rinehart and Winston.
Walker, R. (2013). Mind the lexical gab, and The Cranberry morpheme. The Christian
Science Monitor. Retrieved March, 1, 2015, from
https://search.proquest.com/abicomplete /docview/1428210974/
C8F4AB46EFCA43D4PQ/77? accountid=32095.
Yule, G. (2010). The Study of Language. (4th ed). United Kingdom: Cambridge University
Press.
36
37
บทท่ี 3
คำและประเภทของคำ
หน่วยท่ีเล็กที่สุดของคำและมีความหมายคือ หน่วยคำ ซง่ึ มี 2 ชนิด ได้แก่ หน่วยคำอิสระและ
หน่วยคำไม่อิสระ อย่างไรก็ตามหน่วยคำอิสระ (free morpheme) จะมีความหมายในตัวเอง และ
สามารถเป็นคำได้ “คำ” หรอื ในภาษาอังกฤษเรียกว่า “word”
1. คำนยิ ามของคำ
คำ (word) หมายถึง หน่วยอิสระที่เล็กท่ีสุดในภาษา เกิดตามลำพังได้และมีความหมาย
ประกอบด้วยหน่วยอิสระอย่างน้อยหน่ึงหน่วยคำหรืออาจประกอบด้วยหน่วยคำไม่อิสระอยู่ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “school” เป็นคำ เพราะอยู่ได้อิสระ ไม่สามารถแยกย่อยให้เล็กและมี
ความหมาย ส่วนคำว่า “Lon” หากพิจารณาจากลักษณะของคำ จะเห็นได้ว่า “Lon” ไม่เป็นคำ
เพราะ ไม่มีความหมาย ยกเว้นกรณีท่ีเป็นชื่อเฉพาะ เช่น ชื่อคน ช่ือสถานท่ี ในกรณีดังกล่าว คำว่า
“Lon” นับว่าเปน็ คำ เพราะเป็นชอ่ื เฉพาะ นอกจากนี้ คำ (word) สามารถมีหน่วยคำมาประกอบหน้า
และหลังคำได้ ( prefix หรือ suffix) หรือไม่ก็ได้ เช่น คำว่า “apple” มีลกั ษณะเป็นหน่วยอิสระและมี
ความหมายซึ่งหมายถึงผลไม้ชนิดหน่ึง ส่วนคำว่า “apples” มีหน่วยคำไม่อิสระมาประกอบซ่ึงทำให้
ความหมายเป็นพหูพจน์ คำว่า “proper” เป็นหน่วยอิสระท่ีสามารถเติมหน่วยคำ ไม่อิสระ {-ly}
ตามหลัง นอกจากนี้ “คำ” ยังมีกลุ่มของตัวอักษรที่สามารถวางเรียงต่อกัน แล้วมีความหมาย เช่นคำ
ว่า “act” เป็นคำ เพราะไม่สามารถแบ่งแยกย่อยให้เป็นหน่วยที่เล็กได้ และคำว่า “actor” ก็เป็นคำ
แต่สามารถแบ่งแยกย่อยได้ คือ “act + or” หน่วยคำ {-or} เป็นหน่วยคำไม่อิสระและสามารถนำไป
ประกอบคำอื่นได้ เช่น นำไปประกอบกับคำว่า “govern” เป็นคำใหม่คือ คำว่า “governor” จาก
ตวั อย่างขา้ งต้นสามารถสรปุ ได้วา่ คำ (word) มคี ณุ สมบัติท่ีสำคัญดังนี้
1. เป็นหน่วยอิสระ เกิดตามลำพังได้
2. คำประกอบดว้ ยหนว่ ยเสียงตา่ งๆมาเรียงกัน
3. คำต้องมีความหมาย
4. เมอ่ื นำคำมารวมกันเป็นกลุ่ม หรือเรยี งกัน แตล่ ะคำมีหน้าท่ี และมีความสัมพันธ์กัน
38
2. ส่วนประกอบของคำ
คำ (word) มีความแตกต่างจากหน่วยคำ (morpheme) สังเกตได้จากลักษณะต่างๆ เมื่อ
พิจารณาประโยค “ Expenses and wages change quickly.” แสดงให้เห็นจำนวนคำและหน่วยคำมี
ความแตกต่างกัน กล่าวคือ ประโยคน้ีประกอบด้วย 5 คำ (words) คือ คำว่า “expenses, and, wages,
change และ quickly” หากนับหน่วยคำ (morpheme)ประกอบด้วย 8 หน่วยคำ คือ “{expense},
{s}, {wage}, {s}, {quick}, {-ly} {and} และ {change} นอกจากนี้จะเห็นได้ว่าหน่วยคำ “{and} และ
{change} เป็นหน่วยคำอิสระที่เกิดตามลำพังและสามารถเป็นคำ (word) ได้ คำประกอบข้ึนด้วย
หน่วยคำบางหน่วยคำซ่ึงอาจเป็นหน่วยท่ีเกิดตามลำพังได้หรือบางหน่วยคำอาจต้องเกิดร่วมกับ
หน่วยคำอืน่ ลักษณะของคำจงึ มีหลายแบบ ดงั ต่อไปน้ี
1.คำซึ่งประกอบด้วยหน่วยคำอิสระ (free morpheme) ได้แก่ คำที่มีความหมายในตัวเอง
สามารถปรากฏตามลำพังได้ โดยไม่ต้องอาศัยคำอื่นมาประกอบ เรียกว่า คำอิสระ เช่น cat,
elephant
2. คำซึ่งประกอบด้วยหน่วยคำอิสระ + หน่วยคำอิสระ เรียกว่า คำประสม (compound
word) เกิดจากส่วนประกอบของหน่วยคำอิสระตั้งแต่สองหน่วยคำข้ึนไปมาประกอบเป็นคำใหม่
ความหมายของคำใหม่นน้ั อาจคงความหมายเดมิ หรอื อาจไม่มีความหมายเดิม เช่น คำว่า bed (เตียง
นอน) + คำว่า room (ห้อง) เป็นคำว่า bedroom ซึ่งมีความหมายใหม่คือ ห้องนอน เช่น bluebell
คอื ช่ือดอกไมช้ นดิ หน่งึ มาจาก blue (สีฟ้า) +bell (ระฆงั )
3. คำซึ่งประกอบขึ้นด้วยหน่วยคำผูกพัน + หน่วยคำอิสระ เรียกว่า คำซ้อน (complex
word) เกดิ จากส่วนประกอบของคำทีม่ ีความซบั ซ้อนมารวมกันดังน้ี
- หน่วยคำไม่อิสระ และหน่วยคำไม่อิสระต้ังแต่หน่ึงหรือสองหน่วยคำขึ้นไป เช่น
re + ceiv + er + s = receivers และ tele + vis + ion = television
- หน่วยคำอิสระและหน่วยคำไม่อิสระประกอบเข้าด้วยกัน เช่น lov + er =
lover , un + do = undo, hope + less + ness = hopelessness, un + comfort + able =
uncomfortable
อาจกล่าวได้ว่า คำ (word) คือหน่วยคำที่มคี วามหมายและเม่อื นำมารวมกันเป็นกลุ่ม
หรือเรียงกันเป็นประโยคได้ ท้ังนี้คำท่ีนำมาเรียงกันนั้น อาจแบ่งเป็น 2 ประเภทคือ content words
หรือเรียกว่า lexical categories เป็นคำที่กำหนดความหมาย เช่น คำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์ และ
คำกริยาวิเศษณ์ ซึ่งสามารถจัดอยู่ในหมวดคำเปิด (open class) และคำอีกประเภทคือ function
words หรือเรียกว่า functional categories เป็นคำที่ทำหน้าที่ทางไวยากรณ์ มักมีจำนวนจำกัด เช่น