The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำราเรื่องระบบคำและโครงสร้างภาษาอังกฤษ ใช้ศึกษาประกอบรายวิชาวจีวิภาคและวากยสัมพันธ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kholeeyoh Jedo, 2020-10-13 03:42:17

ระบบคำและโครงสร้างภาษาอังกฤษ

ตำราเรื่องระบบคำและโครงสร้างภาษาอังกฤษ ใช้ศึกษาประกอบรายวิชาวจีวิภาคและวากยสัมพันธ์

Keywords: morphology and syntax

189

รปู แบบที่ 5: N(1) + TrV + N(2)

ประโยคตามรูปแบบท่ี 5 ประกอบด้วย คำนามหรือคำสรรพนามที่ทำหน้าที่เป็นประธานของ
ประโยคและคำกริยาชนิดท่ีต้องมีกรรมมารองรับ ซ่ึงสามารถแทนด้วย him, her, it หรือ them
ซ่ึงคำนามตัวที่สองเป็นคำนามต่างชนิดกับคำนามตัวแรก กล่าวคือคำนามท่ีสองเป็นกรรมตรงที่ได้รับ
ผลจากการกระทำของคำกริยาโดยตรง นอกจากนี้กรรมตรงอีกกลุ่ม (-self/-selves) สามารถเป็น
สรรพนามทีส่ ะทอ้ นกลบั ไปหาประธานนั่นเอง(reflective pronouns) ยกตัวอยา่ งเชน่

She saw herself.
The lifeguards splashed themselves.
หรือ คำสรรพนาม each other และ one another ทำหน้าที่เป็นกรรมของประโยค
ยกตวั อย่างเชน่
They found each other.
They fought one another.
จากตัวอย่างดังกล่าวสรุปได้ว่า กริยากลุ่ม (transitive verb) ต้องการกรรมตรงซ่ึงต่างจาก
คำกรยิ ากลุ่ม (intransitive verb) ทไี่ ม่จำเปน็ ต้องมกี รรมมารองรับ ยกตวั อยา่ งเช่น

He sang beautifully. InV กริยาที่ไม่ต้องมกี รรมมารองรบั

He sang a beautiful folk song. TrV กริยาท่ีมกี รรมมารองรับ

นอกจากน้ีกริยากลุ่มท่ีต้องมีกรรมมารองรับซึ่งมี 2 รูปแบบคือ ประธานเป็นผู้กระทำ (active) และ
ประธานถกู กระทำ (passive) ยกตัวอยา่ งเช่น

Active: Bella reads an email.
Passive: An email is read by Bella.

จากประโยคทั้งสองสรปุ ได้ดังนี้
1. นำกรรม (an email) ในประโยค active ไปเป็นประธานในประโยค passive
2. เม่ือเปล่ียนประโยค active voice เป็นประโยค passive voice กริยาจะต้องเป็นรูป
กริยาช่องที่ 3 (past participle) และตามหลัง verb to be. (is, am , are, was , were, be, being,
been)
3. นำประธานของประโยค active voice ไปเป็นกรรมของประโยค passive voice และ
มี by นำหนา้ ประธานเดิม นอกจากนก้ี รยิ า to be สามารถแทนท่ดี ว้ ยคำกรยิ า to get ได้ เช่น

190

Active: The mother forgave Lilla.
Passive: Lilla got forgiven by the mother.
นอกจากน้ีกริยา to get ช่วยให้ประโยคชัดเจนมากขึ้น เช่น The gate was closed at
ten o’clock. แสดงว่าประโยคนี้ต้องมีใครปิดประตูร้ัวเวลา 10 นาฬิกา ทั้งนี้สามารถใช้ to get
แทนได้ คอื The gat got closed at ten. อย่างไรกต็ ามคำกริยา to get ไม่สามารถใชแ้ ทนได้ เชน่ The
concert got enjoyed by the fan.

รปู แบบที่ 6: N (1) + TrV + N (2) + N (3)

ประโยคตามรูปแบบท่ี 6 น้ี ประกอบด้วย คำนามที่ทำหน้าที่เป็นประธาน และตามด้วย
คำกริยาทม่ี ีตอ้ งการกรรมตรงและกรรมรอง ข้อสังเกตเกีย่ วกับประโยครปู แบบนีค้ อื

1. คำนามตัวท่ี 1, 2, 3 ในประโยค มีหนา้ ทต่ี ่างกนั
2. มีคำนาม 2 ตัวตามหลังคำกริยา ได้แก่ คำนามตัวท่ี 3 เป็นกรรมตรง และตัวท่ี 2 เป็นกรรม
รอง กรรมรองในประโยคสามารถเขียนใหอ้ ยใู่ นรูปของบุพบทวลไี ด้ โดยใช้คำวา่ to หรอื for เชน่

The mother bought her daughter the best smartphone.
The mother bought the best smartphone for her daughter.
3. คำกริยาในกลุ่มนี้มีจำนวนไม่มาก เช่น to give, to make, to find, to tell, to buy, to
write, to send, to ask, to play, to build, to teach, to assign, to feed, to offer, to throw, to
pass, to sell, to pay
4. ประโยคในรปู แบบที่ 6 สามารถแปลงกรรมตรงหรือกรรมรองเป็นประธานของประโยคได้ เชน่
A smart watch was bought the girl by her father.
The girl was bought a smart watch by her father.
5. รูปแบบประโยคประกอบด้วยกรรมตรงและกรรมรอง หากละกรรมตัวใดตัวหน่ึง
รูปประโยคจะเป็นแบบท่ี 5
6. กรรมรองเปน็ ผลจากการกระทำโดยตรงจากคำกริยาโดยมีกรรมตรงมาประกอบ
7. หากใช้คำสรรพนามมาแทนในตำแหน่งของกรรมตรง (N3) ควรใช้แทนสรรพนามใน
ประโยคที่ประกอบด้วยคำบุพบท เช่น The mother bought it for the girl.

191

รูปแบบที่ 7: N(1) + TrV + N(2) Adj
Pronoun
Adverb (place)
Verb present participle/ Verb past participle
Prep Phrase
Inf phrase with Verb to be

ประโยคในรปู แบบนี้ประกอบด้วยคำนามทำหน้าทเี่ ป็นประธานตามด้วยคำกริยาชนิดต้องการ
กรรม และคำต่างๆ เช่น คำนาม/ คำคุณศัพท์/ บุพบทวลี เป็นต้น คำกริยาที่สามารถใช้ในรูปแบบท่ี 7
มีจำนวนน้อย ได้แก่ name, choose, elect, appoint, designate, select, vote, make, declare,
nominate, call, consider, imagine, think, believe, feel, keep, suppose, find, prove, label,
judge ยกตัวอยา่ งดงั น้ี

1. The basketball team chose Tida to be captain.
2. He considered her to be intelligent.
3. I thought the caller to be you.
4. We supposed him to be upstairs.
5. We considered her to be in the way.
6. We thought Plemjit to be a fine player.

รปู แบบท่ี 8: N + LV + Adj

ประโยคตามรูปแบบท่ี 8 น้ี ประกอบด้วย คำนามที่ทำหน้าที่เป็นประธาน และตามด้วย
คำกรยิ าชว่ ย (linking verb) ทที่ ำหน้าท่เี ช่ือมระหวา่ งคำคุณศพั ท์ เช่น

They appeared quickly.
This soup tastes good.
She feels cold.
The student remains at home.
That picture looks fantastic.

192

รูปแบบที่ 9: N(1) + LV+ N(1)

ประโยคตามรูปแบบท่ี 9 นี้ ประกอบด้วย คำนาม 2 ตัวท่ีหมายถึงนามเดียวกัน อย่างไรก็ตาม
คำนามตัวหลังเป็นคำนามที่ตา่ งจากคำนามในรูปแบบท่ี 5 เช่น

She became a doctor. เป็นรูปแบบที่ 9
My sister was seeking a doctor. เปน็ รปู แบบท่ี 5

193

บทสรุป

ประโยคพื้นฐานในภาษาองั กฤษประกอบด้วย ภาคประธานและภาคแสดง แต่ละสว่ นสามารถ
ขยายด้วยคำชนิดต่างๆ การเพ่ิมส่วนขยายช่วยให้ประโยคที่สร้างตามชนิดต่างๆ ยาวขึ้นและไม่จำกัด
ดงั นน้ั ในการเรียนภาษา ผเู้ รียนจำเป็นต้องเรยี นรกู้ ฎโครงสร้างประโยคซง่ึ ไดอ้ ธิบายข้างต้น ทั้งนี้เพื่อทำ
ให้การเรียงคำในประโยคเป็นไปตามลำดับถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ และสามารถส่ือความหมายได้
ชัดเจน

194

แบบฝึกหดั

1. ให้ขีดเส้นใต้ภาคประธาน (subject) และ ขีดเส้นสองเส้นใต้คำภาคแสดง (verb) ของประโยค
ต่อไปนี้

1.1 Many boys and girls prefer to post their lives on the social media.
1.2 Smoking cigarettes in the public area is degusting habit.
1.3 Climate scientists are predicting that 2015 will be the hottest year.
1.4 Picking durians was her favorite occupation.
1.5 The students in the back row look sleepy.
1.6 He has always seemed a serious boy.
1.7 He hated arriving late.
1.8 Where we are going has not been decided.
1.9 She became what she has hoped.
1.10 The table stood near the desk.

2. ประโยคตอ่ ไปนมี้ โี ครงสรา้ งชนดิ ใด
a. structure of subordination
b. structure of coordination
c. structure of modification
d. structure of complementation
e. structure of predication

2.1 As people get older, the male brain shrinks faster than the female brain.
2.2 Men’s brains are bigger than women’s because men are larger.
2.3 The people in the study were not demented.
2.4 Marinee likes steamed vegetables and brown rice.
2.5 The doctors did not allow him neither to sleep late nor to be stressful.
2.6 Susanee and Hasan arrived at the airport late.
2.7 What he said is right.
2.8 Whoever can answer this question will get the present.

195

3. จงอธบิ ายประโยคต่อไปนีม้ ีโครงสร้างตามรูปแบบใด
3.1 The technician works in a laboratory.
3.2 The teacher is there.
3.3 My friend is a doctor.
3.4 The girl cries.
3.5 Iman speaks Chinese.
3.6 My daughter will show the tourists the place.
3.7 I had my shoes polished.
3.8 My father became a chairman.
3.9 That boy is intelligent.
3.10 We thought Pitak to be a fine student.

196

เอกสารอ้างอิง

พงศ์ศรี เลขาวัฒนะ. (2552). “ภาษาอังกฤษตามแนวไวยากรณ์ปริวรรตหนว่ ยท่ี 12” ภาษาอังกฤษ
สำหรับครู (น. 281). นนทบุรี : มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช.

Denham, K., & Lobeck, A. (2010). Linguistics for Everyone: Introduction.USA : Michael
Rosenberg.

Gelderen, V. E. (2013). Clause Structure. New York : Cambridge University Press.
Fries, C. C. (1957). The Structure of English. London: Harcort Brace and Company INC.
Halliday, M.A.K. (2004). An Introduction to Functional Grammar. Great Britain: Hodder

Arnold.
Stageberg, C. N. (1977). An Introductory English Grammar. (3rded). New York : Holt,

Rinehart and Winston.

197

บทที่ 9
การวิเคราะหป์ ระโยค

โครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษอาจมีการเรียงคำเป็นชั้นๆ ทำให้ข้อความที่ต่อเน่ืองกันมี
ความซับซอ้ น และก่อให้เกิดความสับสนแก่ผู้ท่ีไม่เช่ียวชาญในเรื่องโครงสร้างประโยค นกั ภาษาศาสตร์
หลายท่านได้เสนอแนวทางการวิเคราะห์ประโยคให้เห็นถึงความซับซ้อนของประโยคหรือท่ีซ้อนกันเป็น
ลำดับชั้นต่างๆ โดยแยกส่วนประกอบระหว่างส่วนที่เป็นประธาน (subject) และ ส่วนขยาย (predicate)
ในบทนี้จะกล่าวถึงการวิเคราะห์ส่วนประชิด (immediate)และวิเคราะห์โครงสร้างตามลำดับช้ัน
(hierarchical structure) โดยแสดงดว้ ยแผนภูมิตน้ ไม้ (tree diagram) (stageberg,1977)

1. การวเิ คราะห์โครงสร้างประโยคตามลำดบั ช้ัน

จากรายละเอียดเกี่ยวกับกฎโครงสร้างวลี (phrase structure rules) ในบทที่ 7 ทำให้ทราบ
กฎเกณฑ์ของวลีต่างๆ เช่น นามวลี กริยาวลี บุพบทวลี เป็นต้น การเรียงประโยคภาษาอังกฤษมีลำดับ
ชั้นชัดเจน(hierarchical structure) ท้ังนี้ในการวิเคราะห์ประโยคในบทน้ีเน้นการวิเคราะห์ประโยค
ตามประเภทของคำกริยาท้ัง 6ประเภท คือ 1)transitiveverb,2)intransitiveverb,3)ditransitive
verb4)linkingverb5)complex- transitiveverb6)prepositional verbซ่ึงกริยาแต่ละประเภท
เหล่านี้มีกฎเกณฑ์และหน้าท่ีเฉพาะในการใช้ หากนำมาใช้ไม่ถูกต้องจะทำให้ประโยคหรือความหมาย
ไมส่ มบูรณ์ การวิเคราะห์ประโยคจะแสดงดว้ ยแผนภมู ติ ้นไม้

1.1 โครงสรา้ งประโยคกรยิ าตอ้ งการกรรม

กริยาต้องการกรรม (transitive verb) คือ กริยาที่ต้องมีนามวลีมาทำหน้าที่เป็นกรรม
(Object) ของคำกรยิ านน้ั (Fromkin, Rodman, & Hyams, 1998; 2003; 2011) เชน่

This girl likes that rabbit.

กรรมหรือผู้ถูกกระทำ (object) ท่ีมาประกอบท้าย transitive verb นั้นเรียกว่ากรรมตรง
(direct object) ดังนั้นจากประโยค ข้างบน นามวลี (NP) that cat ทำหน้าที่เป็นกรรมตรงของกริยา
likes และแสดงในรปู ของแผนภมู ติ น้ ไม้ ได้ดังน้ี

198
S

NP VP
Det N V NP
trans Det N
This girl likes that rabbit

1.2 โครงสรา้ งประโยคกริยาไม่ต้องการกรรม

กริยาไม่ตอ้ งการกรรม (intransitive verb) มคี วามหมายตรงกันข้ามกับ transitive verb
คอื หมายถงึ กรยิ าที่ไม่ต้องมนี ามวลีมาทำหนา้ ท่เี ปน็ ผู้ถกู กระทำหรือกรรมประกอบท้ายคำกริยา เช่น

Anif laughed. แผนภมู ิต้นไม้ของกริยาประเภทน้ี คือ
S

NP VP

V
N Intrans

Anif laughed

ท้ังนี้ประโยคขา้ งต้นสามารถแบง่ ตามหนา้ ท่ีของประโยคได้เชน่ กนั คือ
S = subject (Anif) + predicate (laughed)

อย่างไรก็ตาม ประโยคที่ใช้ intransitive verb สามารถนำคำหรือวลีอ่ืนๆท่ีไม่ไดท้ ำหน้าที่
เป็นกรรมมาประกอบท้ายกริยาหรือมาประกอบในประโยคได้แต่คำหรือวลีท่ีมาประกอบนั้นอาจจะมี
หรือไม่มีก็ได้ ไม่ได้บังคับว่าจะต้องปรากฏในทุกๆประโยคท่ีใช้ intransitive verb และส่วนประกอบ
ทใี่ ช้กับกรยิ าประเภทนี้ คือ วิเศษณ์วลี (AdvP) และบพุ บทวลี (PP) เชน่

Anif laughed very loudly.
The baby cried in the night.

199

มีข้อสังเกตท่ีน่าสนใจคือ very loudly และ in the night มีรูปแบบแตกต่างกัน คือ very
loudly มีรูปแบบเป็นวิเศษณ์วลี ในขณะท่ี in the night มีรูปแบบเป็นบุพบทวลี แต่ท้ังสองวลีนี้ทำ
หน้าที่ (function) เหมือนกันคือเป็นส่วนขยายกริยา (adverbial) จึงมีโครงสร้างวิเคราะห์ตามหน้าท่ี
ของสว่ นประกอบ ซ่งึ สามารถแสดงในแผนภมู ติ น้ ไม้ ดังนี้

S

NP VP
N V AdvP

Intrans deg Adv
Anif laughed very loudly

จากแผนภมู ขิ ้างต้นจะเห็นว่า very loudly มรี ูปแบบเป็นวิเศษณว์ ลี ทำหนา้ ท่ี (function) เป็น
สว่ นขยายกริยา (adverbial)

นอกจากนี้ประโยคที่ใช้ intransitive verb กริยาวลีสามารถขยายความด้วยบุพบทวลี
(prepositional phrase หรือ PP) ดงั แผนภมู ติ น้ ไมต้ ่อไปนี้

S

NP VP PP
Det N V NP
Intrans P
Det
N

The baby cried in the night

จากแผนภูมิข้างต้นจะเห็นว่า in the night มีรูปแบบเป็นบุพบทวลี (PP) ทำหน้าที่
(function) เปน็ สว่ นขยายกรยิ า (adverbial)

200

อยา่ งไรก็ตามกริยาประเภทน้ีสามารถขยายกริยาด้วยบุพบทได้เช่นกัน และทำให้ประโยค
ยาวข้ึนซงึ่ สามารถขยายประโยคไดอ้ ยา่ งไมจ่ ำกัด ยกตวั อยา่ งเช่น

The teacher walked down the street with the book toward the classroom.
S = NP + VP + PP

สามารถแสดงดว้ ยแผนภูมดิ ังนี้

S

NP VP

Det N VP PP

The teacher P NP

VP PP toward

Det N

V PP

P NP P NP the classroom

walked

down Det N with Det N

the book

the street

จะเห็นว่าประโยคสามารถมีส่วนขยายกริยา (adverbial phrase) ด้วยบุพบทวลี
เชน่ เดียวกับคำนามวลสี ามารถขยายดว้ ยบพุ บทวลเี ชน่ กัน ยกตัวอยา่ ง

201

The girl with the cake in a box cried in the room.
แสดงดว้ ยแผนภมู ติ น้ ไม้ดังน้ี

S

NP VP

Det N PP V PP

The girl P NP cried P NP

with Det N PP in Det N

the cake the room
P NP

in Det N

the box

1.3 โครงสร้างประโยคกรยิ ามกี รรมซอ้ น

กริยาต้องมีกรรมซ้อน (ditransitive verb) เป็นกริยาอีกประเภทหน่ึงที่ต้องมีนามวลีมา
ทำหน้าที่เป็นกรรม (object) ประกอบท้ายคำกริยาเหมือนกับ transitive verb แต่ลักษณะท่ีแตกต่าง
จาก transitive verb คอื ประโยค ditransitive verb มนี ามวลีทำหน้าทีซ่ ้อนกันอยู่ในประโยคเดยี วกัน
เรียกว่ากรรมตรง (direct object) และกรรมรอง (indirect object) (Gelderen, 2013) เช่น Adul
told the baby a story. และสามารถแสดงดว้ ยแผนภมู ิดงั นี้

202

S

VP

NP

N V NP NP

Ditrans Det N Det N

Adul told the baby a story

นอกจากประโยคที่มีกริยาวลีเป็น ditransitive verb สามารถสร้างประโยคได้อีกวิธีหน่ึง
โดยใช้บพุ บทวลีมาขยาย เช่น

Adul told a story to the baby.

ประโยคขา้ งต้น ขยายด้วยบุพบทวลี กล่าวคือ คำว่า to เป็นคำบุพบท ดังนั้น จากประโยค
บุพบท to the baby ทำหน้าท่ีเหมือนนามวลี คือ a story และ the baby ทำให้เกิดบุพบทวลี (PP)
ทท่ี ำหน้าท่ีเป็นกรรมรอง (iO) โดยมีรปู แบบเป็นนามวลี (NP) แผนภูมิตน้ ไม้ของ ditransitive verb ท่ีมี
นามวลีและบพุ บทวลี คอื

S

NP VP

N V NP PP

ditransitive Det NP NP
Det N

Adul told a story to the baby

โครงสร้างประโยคในลักษณะน้ีมีข้อสังเกตหน่ึงที่น่าสนใจคือ ประโยคที่มีบุพบทวลีมา
ขยาย เพราะประโยคท่ีมีนามวลีที่ทำหน้าท่ีเป็นกรรมตรง (direct object) และกรรมรอง (indirect
object ) ซอ้ นกนั อยใู่ นประโยคเดยี วกนั

203

ข้อสังเกตในการใช้โครงสร้างกริยาวลีท่ีเป็น ditransitive verb มีรูปแบบเป็น NP + NP
กล่าวคือกรรมรองจะประกอบไว้หน้ากรรมตรง แต่ถ้าโครงสร้างมีรูปแบบเป็น NP + PP กรรมตรงจะ
ประกอบไว้หน้ากรรมรอง อย่างไรก็ตามกริยาวลีที่มีโครงสร้าง V + NP + PP ไม่ใช่ ditransitive verb
เสมอไป เช่น

Anny made a cake for the party.
S = V + NP + PP

บุพบทวลี for the party ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นกรรมรอง แต่ทำหน้าท่ีเป็นส่วนขยายกริยา
(adverbial) ซ่ึงส่วนประกอบนี้จะมีหรือไม่มีก็ได้ (optional) วิธีทดสอบว่ากริยาน้ันเป็น ditransitive
verb หรอื ไม่ ทำได้โดยนำคำไปแทนท่ีในโครงสร้าง ซึ่งจะไดด้ ังนี้

* Anny made the party a cake.
S = V + NP + PP

จะเห็นว่าประโยคนี้ไม่สามารถนำมาส่ือความหมายได้ ดังน้ัน กริยา made ในประโยค
Anny made a cake for the party. จึงไม่ใช่ ditransitive Verb แต่เป็น transitive verb ซึ่งบังคบั ว่า
ต้องมี นามวลเี ปน็ กรรมตรง และบพุ บทวลีเปน็ ส่วนขยายกริยา ดังนน้ั จึงสามารถ แสดงโครงสร้างหน้าท่ี
ของสว่ นประกอบไดด้ งั นี้

S

NP VP

N V NP PP

Trans Det N P NP

Det NP

Anny made a cake for the party

204

1.4 โครงสรา้ งประโยคกริยาช่วย

กริยาช่วย (linking verb) ที่ใช้เชื่อมหรือประสานคำ เช่น กริยา หรือ กริยาที่ทำหน้าท่ีต่อ
คำหรือต่อประโยค เชน่ seem, appear, become, look เป็นตน้ ข้อสังเกตของกรยิ าประเภทน้ีคือ วลี
ทมี่ าประกอบกรยิ านี้จะต้องขยายประธาน เช่น

Laila become a doctor

Jinan is in the garden

Sulhan seems unhappy

จะเห็นว่าวลีที่มาประกอบท้ายคำกริยา มีหน้าท่ีเป็นส่วนประกอบท้ายคำกริยา ทำให้
ประธานมีความหมายสมบูรณ์ข้ึน (subject complement) นามวลี “a doctor” บุพบทวลี “in the
garden” และคุณศัพท์วลี “unhappy” ต่างทำหน้าท่ีเป็น ส่วนขยายของประธานท้ังหมด แสดงด้วย
แผนภูมติ น้ ไมไ้ ดด้ งั นี้

S

NP VP

NV NP

linking Det N

Laila becomes a doctor

205

S

NP VP

NV PP

linking P NP

Det N

Jihan is in the garden

S

NP VP

NV AP

linking Adj

Nuhan is unhappy

1.5 โครงสรา้ งประโยคกริยาตอ้ งการวลเี ป็นสว่ นขยายกรรม
กริยาที่ต้องการวลีเป็นส่วนขยายกรรม (complex-transitive verb) มาประกอบท้าย

คำกริยาเพื่อให้ประโยคสมบูรณ์ขึ้นคือ complex-transitive verb และวลีที่นำมาประกอบน้ันจะต้อง
ขยายกรรม (object) คือ ทำหน้าท่ีให้กรรมมคี วามหมายสมบรู ณ์ (object complement) เช่น

(a) The voters elected Sukri president
Subject p dO oC

(b) Nina thought Tida a fool
Subject p dO oC

206

กรยิ าประเภทน้ตี อ้ งมีนามวลซี ้อนกัน
S

NP VP

NV NP NP
Det
complex N N

Nina thought Tida a fool

นอกจากนี้แล้วส่วนประกอบที่ทำให้กรรมสมบูรณ์สามารถประกอบด้วย บุพบทวลี (PP)

และคณุ ศพั ท์วลี (AP) ได้เช่นกนั เช่น

(a) Lalita put the car in the garage (PP)

(b) Sereen made Nina angry (AP)

สำหรับกริยาวลีในประโยค (a) และ (b) นับว่าสมบูรณ์แม้ว่าจะไม่มีส่วนขยาย แต่ไม่
จัดเปน็ กริยาวลปี ระเภท complex-transitive verb แตเ่ ปน็ กริยาวลปี ระเภท transitive verb

S

NP VP

NV NP PP

Complex Det N P NP
Det N
Lalita put the car
in the garage

207

S VP
NP

N V NP AP
Complex N Adj

Sereen made Nina angry

1.6 โครงสร้างประโยคกริยามบี พุ บทวลี
กริยาท่ีจะกล่าวถึงคือ prepositional verb ซ่ึงหมายถึงกริยาที่ต้องมีบุพบทวลีมา

ประกอบท้ายคำกริยานั้นมีความหมายสมบูรณ์ เช่น glance at, lean on, refer to, rely on,
depend upon, deal with เปน็ ต้น

(a) Salihan glanced at my watch.
(b) The children glanced at the playground.

บุพบทวลีในประโยคข้างบน at my watch, at the playground ทำหน้าท่ีเป็นกรรมของ
ประโยค เรียกว่า กรรมบพุ บท แสดงด้วยแผนภูมิตน้ ไม้ ดังน้ี

S VP
NP
NV PP

Prep P NP

Salihan glanced at Det N
my watch

จากรายละเอียดท้ังหมดสรุปได้ว่าโครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษมีโครงสร้างหลักคือ
นามวลีตามด้วยกริยาวลี ท้ังนี้นามวลีสามารถมีส่วนขยายได้ เช่นเดียวกับกริยาวลีสามารถขยายได้ไม่
จำกดั ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี

208

นอกจากนี้จากโครงสร้างพื้นฐาน (S= NP+VP) ทำให้สามารถสร้างประโยคได้ยาวไม่
จำกดั ขึ้นอยูก่ บั ส่วนขยายท่ีนำมาขยายส่วนต่างๆยกตัวอย่างเชน่

S

NP M VP

This girl must V AP PP

seem ADVP A P NP

ADV stupid to DET N

incredibly that boy

จากแผนภูมิต้นไม้สรุปได้ว่า กริยาวลี (VP) สามารถมีส่วนขยายเป็น วิเศษณ์วลี

(AP = adverbial phrase) และ บพุ บทวลี (PP) หรอื สามารถสรปุ เปน็ กฎโครงสรา้ งวลีไดด้ งั นี้

1. VP V AP PP

2. AP ADVP A

3. ADVP ADV

4. PP P NP

5. NP DET N

2. การวเิ คราะห์สว่ นประชิด

แนวคิดทฤษฎีการวเิ คราะห์ส่วนประชิด(immediateconstituentanalysisหรอื IC analysis)
ซึ่ง Hocket เป็นผู้คิดขึ้น เป็นแนวการวิเคราะห์โครงสร้างของภาษาเพื่อให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างคำ
ต่างๆ ในประโยค (Yule, 2006; 2010) ทงั้ น้ีสามารถแสดงการวเิ คราะหไ์ ด้หลายแบบ ดงั ตวั อยา่ งต่อไปน้ี

The friendly student gave some cookies to her classmates. สามารถแสดงการ
วิเคราะหโ์ ดยแยกสว่ นประกอบต่างๆของประโยคดังภาพท่ี 9.1

the friendly student gave some cookies to her classmates
ภาพที่ 9.1 รปู แบบการวิเคราะห์ส่วนประชดิ (1)

209

จากภาพสามารถแทนที่คำชนิดต่างๆ ในตำแหน่งต่างๆ ทำให้ได้ประโยคใหม่ข้ึนดังภาพท่ี
9.2

The friendly student gave some cookies to her classmate
The man cage
Arisa kept a colorful bird in a
Abadah
took Kingston with her

saw her recently

ภาพที่ 9.2 รูปแบบการวิเคราะห์สว่ นประชิด (2)

จากภาพที่ 9.2 แสดงการแทนท่ีคำด้วยคำอื่นในตำแหน่งประธานของประโยค เชน่ คำว่า
“man” แทนที่คำว่า “friendly student” และสามารถแทนท่ีด้วยคำนามเฉพาะ เช่น Arisa ,
Abadah นอกจากนีก้ ารวิเคราะห์ส่วนประชิดสามารถแสดงได้ด้วยแผนภมู ติ อ่ ไปนี้

The friendly student gave some cookies to her classmate.

วิธนี ้ีเราสามารถแบ่งประโยคให้ยอ่ ยลงได้ตามลำดบั ดงั นี้
The friendly student gave some cookies to her classmate.

ในการวิเคราะห์ประโยคด้วยวิธีนี้ทำได้โดยแบ่งประโยคออกเป็น 2 ส่วน และลำดับถัดไป
แบ่งประโยคแต่ละส่วนให้ออกเป็น 2 ส่วนย่อย และไม่สามารถแบ่งย่อยได้อีก ทั้งน้ีการแสดง
รายละเอียดการวเิ คราะห์ด้วยแผนภูมสิ ามารถเหน็ ลำดบั ชั้นของประโยคโดยใช้สญั ลักษณ์ ชี้ไปยังส่วน
หลกั (head) ของคำหรือประโยค การวเิ คราะหส์ ว่ นประชดิ สามารถทำได้ดงั น้ี

1. แบ่งประโยคออกเป็น 2 ส่วน คอื ประโยคหลกั และสว่ นขยาย ตัวอยา่ งเชน่

Of course, the tuition fee must be paid.
Unless you learn to dive, you cannot go to the beach.
To attract birds, one must provide food.

210

2. ประโยคท่ีไม่มีส่วนขยาย ให้แบ่งประโยคออกเป็น 2 ส่วน คือ ภาคประธานและภาค
แสดง ตวั อยา่ งเช่น

The canoe in the boathouse had dried out during the summer.

The big and well-known university will accept the high GPA students.

เมื่อประโยคใดๆประกอบด้วยส่วนขยาย (modifier) ให้แยกส่วนประกอบของส่วนขยาย
เปน็ ลำดบั ที่ 1 และแยกส่วนทเ่ี ป็นภาคประธานและภาคแสดงเป็นช้ันท่ี 2 เช่น

Unless you hurry, we might be late on meeting.

3. แยกประโยคหลักออกจากอนุประโยคท่ีเป็นส่วนขยายของกริยาในประโยค
(adverbial clause) ตัวอย่างเชน่

Unless you bring a bottle opener……..

4. แยกประโยคหลักออกจากอนุประโยคเป็นส่วนขยายคำนาม (relative clause) โดยมี
คำวา่ who, which, that ตวั อยา่ งเชน่

........who was late for lunch…….
5. แยกคำบพุ บทวลี (prepositional phrase) ออกจากวลีในประโยค ตัวอย่างเช่น

in the garden
6. แยกส่วนประกอบ to หนา้ กรยิ า (infinitive phrase) ตวั อยา่ งเช่น

to reduce the budget
7. แยกนามวลี (noun phrase) ออกจากประโยคโดยระบุคำนามหลักและส่วนขยายของ
นามวลี ตัวอย่างเช่น

NH

The students in the library who borrow the book………..

211
หากนามวลีมีส่วนขยายอยู่ข้างหนา้ ตอ้ งแยกส่วนขยายออก ตวั อยา่ งเช่น

The beautiful tulip garden in the park……

8. แยกสว่ นขยายทีอ่ ยหู่ นา้ คำกรยิ า (verb phrase) ออกจากคำกริยา
happily jumped on the table

กรณีคำกริยาชว่ ย ตอ้ งแยกออกจากกริยาหลกั เชน่
may have been eating

VH

happily jumped on the table

จากลักษณะท่ีกล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปหลักการวิเคราะห์ประโยคตามรูปแบบส่วน
ประชิด ดังน้ี

1. แยกสว่ นขยายตา่ งๆออกจากประโยคหลกั
2. แยกส่วนประกอบของประโยคเป็นสองส่วนคือ นามวลีท่ีทำหน้าท่ีประธานของ
ประโยคและส่วนของกรยิ าวลีทท่ี ำหนา้ ที่เปน็ ภาคแสดง
3. แยกส่วนประกอบของนามวลีและกริยาวลใี หเ้ ป็นส่วนย่อยๆ

212
การวิเคราะหป์ ระโยคตามรปู แบบส่วนประชดิ ดังนี้

a. If everyone is ready, we can begin to watch the movie.
If everyone is ready we can begin to watch the movie.

b. Many young girls giggle outrageously.
Many young girls giggle outrageously.

c. The girl in the next door bought a short skirt at the market.
The girl in the next door bought a short skirt at the market.

วิธีการแบ่งส่วนประชิดในการวิเคราะห์ภาษายังไม่สามารถอธิบายโครงสร้างบาง
โครงสรา้ งหรือหลายๆ โครงสร้าง ดงั น้ันทฤษฎีน้ีไม่เป็นท่ีนิยมเพราะมีข้อบกพร่อง การวเิ คราะหแ์ บบน้ี
หากไม่พิจารณาให้ละเอียดถี่ถว้ นอาจกอ่ ใหเ้ กดิ ความสับสนได้ ยกตัวอยา่ งเช่น

(a) He eats a banana.
(b) He runs.
จากตัวอย่างประโยคขา้ งบน สรปุ ได้ว่าประโยค 2 ประโยคมีโครงสร้างตา่ งกนั ประโยค (a)
คำกริยา “eats” เป็น Transitive verb ต้องการกรรม แต่ประโยค (b) คำกริยา เป็น Intransitive

213

verb ซง่ึ หากพิจารณาประโยคน้ีจากส่วนประชิดเพียงอยา่ งเดียวอาจทำใหเ้ ข้าใจวา่ เป็น 2 ประโยคน้ีมี
โครงสร้างเหมือนกนั

ในการสื่อสารบางครั้งผู้ส่งสารแลผู้รับสารอาจมีความเข้าใจคลาดเคล่ือนทั้งน้ีเนื่องจาก
เหตุผลต่างๆ เชน่ ผู้รับสารไมเ่ ข้าใจประโยค หรือประโยคยาวและมีสว่ นขยายในตำแหนง่ ท่ไี มเ่ หมาะสม
จนทำใหผ้ ้รู บั สารตีความตา่ งจากผสู้ ่งสาร ประโยคเหล่านเ้ี รียกวา่ ประโยคกำกวม

3. การวเิ คราะห์ประโยคกำกวม

กริยาวลี (VP) สามารถประกอบด้วย กริยาตามด้วยนามวลีและบุพบทวลี เช่น ประโยค The boy
saw the man with the telescope. ประโยคสามารถตีความได้ 2 ความหมาย (ambiguous
sentences) จึงเรียกประโยคน้ีเป็นประโยคกำกวม และสามารถเขียนเป็นแผนภูมิต้นไม้ ได้ 2 แบบ
ดังน้ี

1. S

NP VP

Det N V NP PP
The boy

saw NP
Det N P

the man with Det N
the telescope

จากแผนภูมิข้างบน (1) บุพบทวลี (with the telescope) มีหน้าท่ีขยายกริยา (saw)
ซ่ึงประโยคนี้แปลว่า เด็กผูช้ ายดผู ูช้ ายโดยใชก้ ล้องสอ่ งทางไกล

นอกจากน้ี บพุ บทวลี (PP) สามารถขยายนามวลี (NP) ได้เช่นกนั ดงั แผนภมู ิข้างล่าง

214

2.
S

NP VP

Det N V NP PP
The boy saw Det N

the man P NP

with Det N
the
telescope

แผนภูมิข้างบน (2) บุพบทวลี (with the telescope) เป็นส่วนขยายของนามวลี (the man)
แปลว่า เด็กผูช้ ายเหน็ ผู้ชายท่ีถือกลอ้ งสอ่ งทางไกล (Fromkin, Rodman & Hyams,2003)

215

บทสรปุ

ท้ังหมดข้างต้นเป็นตัวอย่างการวิเคราะห์ประโยคที่สามารถวิเคราะห์ได้หลายวิธี เช่น
วิเคราะห์ส่วนประชิด (immediate constituent analysis) การวิเคราะห์ประโยคตามโครงสร้างวลี
(phrase structure rules) และอธิบายด้วยแผนภูมิต้นไม้เพื่อแสดงความสัมพันธ์ของคำในประโยคที่
เรียงตามลำดับตามกฎเกณฑ์ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ หากประโยคท่ีเรียงลำดับคำไม่เหมาะสมอาจทำ
ใหป้ ระโยคน้ันสามารถตีความได้มากกว่า 1 ความหมาย หรอื ทำใหเ้ ปน็ ประโยคกำกวม

216

แบบฝกึ หัด

1. จงเขยี น Tree diagram จากประโยคต่อไปน้ี

1.1 The cat found a rat.

1.2 Mirin hit him.
1.3 He broke the law.
1.4 This boy likes that rabbit.
1.5 She sells the shale.

2. จงเขียน Tree diagram จากประโยคต่อไปน้ีและบอกประเภทของคำกรยิ าในประโยค

2.1 The children slept.
2.2 The children snore very loudly.
2.3 The children cried in the classroom.
2.4 Lula played the guitar.
2.5 The teacher told the children a story.
2.6 The mother told a bed story to the baby.
2.7 Tida made a cake for the party.
2.8 Sereen becomes an artist.
2.9 Nusreen is in the park.
2.10 The voters elected Peter president.

3. จงวเิ คราะหป์ ระโยคต่อไปนีต้ ามแนวทฤษฏวี ิเคราะห์สว่ นประชดิ (IC)

3.1 We are not going to this hospital ever again.
3.2 The boy in front of me is handsome.
3.3 Some students study at the building 24 on the fifth floor.
3.4 After lunch the children go and play at the playground.
3.5 The fresh fruits from that farm are sold at the night market.

217

4. จงวิเคราะห์ประโยคกำกวมและเขียนแผนภมู ติ น้ ไม้พร้อมอธิบายความหมายทสี่ ามารถตีความได้

4.1 I hate raw beef and onion.
4.2 The price includes soup or salad and sausage.
4.3 The boys chased the rat with the cookies.
4.4 The lady called the man with a microphone.
4.5 Look at the cat with one eye.

218

เอกสารอา้ งองิ

Fries, C. C. (1957). The Structure of English. London: Harcort Brace and Company INC.
Fromkin,V., Rodman, R., & Hyams, N. (1998). An Introduction to Language. (6th ed).

New York : Harcort Brace.
. (2003). An Introduction to Language. (7th ed). Boston MA : Thomson & Heinle.
. (2011). An Introduction to Language. (9h ed). Singapore : Wadsworth
Cengage Learning.
Gelderen, V. E. (2013). Clause Structure. New York: Cambridge University Press.
Stageberg, C. N. (1977). An Introductory English Gramma.r (3rded.). New York : Holt,
Rinehart and Winston.
Yule, G. (2006). The Study of Language. (3rd ed). United Kingdom: Cambridge University
Press.
. (2010). The Study of Language. (4th ed). United Kingdom: Cambridge
University Press.

บทที่ 10
กฎไวยากรณ์ปริวรรต

ทฤษฎีไวยากรณ์ปริวรรต (transformational grammar) หรือนิยมเรียกกันย่อๆ ว่า TG เป็น
ทฤษฎีที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในกลุ่มนักภาษาศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เช่น Chomsky
มองว่าไวยากรณ์ดั้งเดิมและกลุ่มไวยากรณ์โครงสร้าง (structural grammar) (ตามแนวคิดของ
Leonard Bloomfield) มีข้อจำกัด มีแต่การจัดกลุ่มจัดประเภท ทำรายการข้อยกเว้นต่างๆ แต่ไม่เป็น
กฎแบบเพ่ิมพูน (generative) Chomsky กล่าวว่าทฤษฎีภาษาศาสตร์ไม่ใช่คู่มือข้ันตอนการวิเคราะห์
ภาษา (a manual of procedures) เพราะเราจะไม่ได้ความรู้ทางภาษาอย่างแท้จริง Chomsky กล่าวว่า
ทฤษฎีเป็นสิ่งท่ีเป็นนามธรรม เป็นการอธิบายความเป็นจริง และการอธิบายทางทฤษฎีก็มีลักษณะเป็น
นามธรรม Chomsky ได้พูดถึงความแตกต่างระหว่าง competence และ performance เมื่อผู้พูดใช้
ภาษา (performance) ทั้งนี้ไม่ใช่อิทธิพลของความรู้ของผู้พูด (competence) เพียงอย่างเดียว และ
สิง่ ท่ีพูดไม่จำเป็นต้องเก่ียวข้องกับ competence เสมอไป ประโยคที่พูดอาจเป็นประโยคท่ีไม่สมบูรณ์
ก็เป็นไดห้ ากมสี งิ่ ทม่ี าขดั จงั หวะ

ดังนั้น Chomsky ได้เสนอทฤษฏีไวยากรณ์ เพิ่มพูน (generativegrammar)มาอธิบาย
competence เพราะ Chomsky มองว่า phrase structure grammar นั้นไม่เพียงพอต่อการอธิบาย
ภาษา ต้องใช้กฎปริวรรต (transformation rule) เพ่ือเพ่ิมการอธิบายไวยากรณ์ องค์ประกอบของกฎการ
ปริวรรต (transformation) ทำให้ไวยากรณ์เรียบง่ายมากขึ้น แสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่าง
ประโยคต่างๆอย่างเป็นธรรมชาติตามกฎเกณฑ์ของ transformational grammar ดังน้ัน Chomsky
ไดแ้ บ่งประโยคออกเปน็ 2 ประเภทใหญ่ๆ (Stageberg, 1977: 292) ไดแ้ ก่

1. ประโยคเบอื้ งต้น

ประโยคเบ้ืองต้น (kernal sentence) เป็นประโยคพ้ืนฐาน หรือประโยครากฐานของภาษา
ซ่งึ จะเป็นฐานเพื่อใหเ้ กดิ ประโยคอื่นๆ โดยทั่วไปประโยคเบ้ืองต้นมีส่วนประกอบงา่ ยๆ คอื ประกอบดว้ ย
นามวลี และกรยิ าวลี ดงั นี้

S NP + VP

220

ประโยคเบ้ืองต้นเป็นหน่วยเบื้องต้นของประโยคพื้นฐานภาษาอังกฤษ (S) คือ นามวลี (NP)
และ กริยาวลี (VP) ซ่ึงนามวลีสามารถประกอบด้วยคำกำกับนาม คุณศัพท์วลี คำนาม และกริยาวลี
และบุพบทวลีประกอบด้วย เรื่องวิเศษณ์วลีและบพุ บทวลี

2. ประโยคปรวิ รรต

ประโยคปริวรรต (transformed sentences) คือ ประโยคท่ีประกอบขึ้นหรือแปลงมาจาก
ประโยคพืน้ ฐาน และมีลกั ษณะซบั ซอ้ นขน้ึ

ประโยคเบ้ืองต้น (kernel sentence) เป็นแกนของภาษาในประโยค ประโยคท่ีซับซ้อนล้วน
เป็นผลมาจากการแปลงประโยคเบื้องต้นทง้ั สิ้น เชน่

Paul can play tennis. ประโยคเบอื้ งตน้
Can Paul play tennis? แปลงมาจากประโยคเบอ้ื งตน้

การแปลงประโยคเบื้องต้นไปสู่ประโยคปริวรรตนั้น ใช้กฎปริวรรต (transformationrules)
(Fromkin, Rodman, & Hyams1998; 2003; 2011) ในการอธบิ ายจะใชเ้ ครื่องหมาย
ในการแสดงประโยคที่แปลงจากประโยคเบอ้ื งต้น ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้

Paul can play tennis. Can Paul play tennis?

การใช้กฎการปริวรรตทำให้ประโยคบางประโยคมีความชัดเจนขึ้น เพราะการย้ายตำแหน่ง
ของวลี เช่น กริยาวิเศษณ์ บุพบทวลี ส่งผลให้ประโยคมีความหมายชัดเจน เช่น ประโยค With a
telescope, the girl saw the boy. แทนประโยคท่ีมีความหมายกำกวม The girl saw the boy with
the telescope. นอกจากนี้กฎปริวรรตสามารถละ “that” ที่เป็นกรรมตรง แต่ “that” ไม่สามารถ
ละได้ในตำแหนง่ ของประธานของประโยค เช่น

I know that you know. I know you know.

กฎโครงสร้างวลี (phrase structure rules) S NP + VP ทำให้ทราบว่าประโยค
ภาษาอังกฤษทุกประโยคจะต้องประกอบด้วยนามวลี และ กริยาวลี เสมอ และ นามวลีจะต้องนำหน้า
กรยิ าวลี อยา่ งไรก็ตามประโยคภาษาอังกฤษมีประโยคที่ไมป่ รากฏนามวลีอยู่หนา้ กรยิ าวลี เชน่

221

Sit down.
Go out.
Stop.
Be careful.
Give me that pen.
Help the girl.

จะเห็นได้ว่าประโยคเหล่านั้นไม่มีนามวลีตามกฎโครงสร้างวลีได้กำหนดไว้ ประโยคเหล่านี้
ไม่ใช่ประโยคที่ผิดหลักไวยากรณ์ ประโยคทั้ง 6 ประโยคนี้มีประธานที่ละไว้ในใจคือ you ซ่ึงเจ้าของ
ภาษาทุกคนทราบดี ท้ังน้ีนามวลี “you”ไม่ปรากฏในภาษาพูดแต่อยู่ในความคิด เราเรียกประโยคท่ีได้
เห็นหรือได้ยินว่าโครงสร้างผิว (surface structure) ส่วนประโยคที่อยู่ในความคิด เรียกว่าโครงสร้าง
ลึก (deep structure) อาจกล่าวได้ว่าโครงสร้างลึกกำหนดความหมายของประโยค และโครงสร้างผิว
เป็นประโยคที่ใช้ในการสื่อสาร (Carroll, 2008) อย่างไรก็ตามการเปล่ียนโครงสร้างลึกเป็นโครงสร้าง
ผวิ สามารถทำไดโ้ ดยใช้กฎปริวรรต (transformational rules) ดงั ตวั อย่างตอ่ ไปนี้

โครงสร้างผวิ โครงสรา้ งลึก
S S

V NP NP VP
V imperative Det N V NP

Help the girl You help
Det N
the girl

กฎไวยากรณ์ปริวรรตช่วยให้ประโยคมีความสมบูรณ์มากขึ้น และสรุปได้ว่าการเปลี่ยน
โครงสร้างไปสโู่ ครงสร้างผวิ ทำได้โดยการใช้กฎปรวิ รรตต่างๆสามารถสรุปไดด้ ังน้ี

Deep structure 222 Surface structure
Phrase structure Transformations

plus lexicon pronunciation

meaning The above symbolically represents
Speaker’s competence

ภาพที่ 10.1 ไวยากรณป์ ริวรรต
ท่ีมา: Stageberg, 1977: 314

3. โครงสรา้ งลกึ และโครงสรา้ งผวิ

โครงสร้างลึกเกิดจากการใช้กฎโครงสร้างวลี (phrase structure rules) และคำจากบัญชีคำ
(lexical categories) เมื่อรวมกันแล้วจะให้ความหมายของประโยค จากน้ันกฎปริวรรตก็จะเปล่ียน
โครงสร้างลึกเป็นโครงสร้างผิวโดยไม่เปล่ียนความหมาย ลักษณะเช่นนี้คือ ความแตกต่างจากทฤษฏี
ภาษาศาสตร์อ่ืนๆ ที่ Chomskyได้เสนอใน Aspect of the Theory of Syntax (พงษ์ศรี เลขะวัฒนะ,
2552 ;334)

ประโยคในโครงสร้างผิว เกิดจากการใช้กฎวลีต่างๆ เช่น กฎเร่ือง affixและการย้าย particle
เป็นกฎปริวรรตอีกประเภทหนึ่งท่ีทำให้เกิดโครงสร้างผิวหลากหลายรูปหรือปรากฏการณ์ในภาษาท่ี
เรียกว่าประโยคพอ้ งความหมาย (synonymous sentences) ดังตัวอยา่ งต่อไปนี้

1. a. The girl tore up the letter.
b. The girl tore the letter up.

2. a. Nida sent her friend some candies.
b. Nida sent some candies to her friend.

223

ประโยคแต่ละคู่ในข้อ 1 และข้อ 2 นั้น แม้คำจะเรียงต่างกัน แต่ความหมายไม่ต่างกัน เมื่อเป็น
เช่นนี้ เราอาจตั้งสมมติฐานว่าประโยคแต่ละคู่มาจากโครงสร้างลึกเดียวกัน ความแตกต่างในระดับ
โครงสร้างผิวเกิดจากการใช้หรือไม่ใช้กฎปริวรรตบางกฎ ในกรณขี องประโยคคู่แรก ในข้อ 1ประโยค b.
ตา่ งจากประโยค a. เพราะมีการย้ายท่ี particle “up” ประโยคที่เกิดจากการยา้ ยที่ particle มีจำนวน
มาก เชน่

3. a. The cook shook up the mixture.
b. The cook shook the mixture up.

4. a. The villagers cut down the tree.
b. The villagers cut the tree down.

การอธิบายปรากฏการณ์ในลักษณะน้ี อาจกล่าวได้ว่า ในภาษาอังกฤษมีกฎปริวรรตที่เรียกว่า
particle movement ซ่ึงแยก particle ออกจากกริยาและย้ายมาอยู่หลังกรรม จากตัวอย่างในข้อ 1,
3 และ 4 อาจสรุปได้ว่า particle movement เป็นกฎที่อาจใช้หรือไม่ใช้ก็ได้ แต่เมื่อเราพิจารณาเร่ือง
particle เราจะตอ้ งคำนงึ ถงึ กรรมทีเ่ ปน็ สรรพนามด้วย เช่น

5. a. Sunwa called them up.
b.* Sunwa called up them.

จะเห็นได้ว่าในกรณีท่ีกรรมของประโยคเป็นสรรพนามจะไม่สามารถใช้กฎ particle
movement และประโยคในขอ้ 5 b.เปน็ ประโยคไมถ่ ูกต้อง

จากตัวอย่างเหล่าน้ีจะเห็นได้ว่ากฎปริวรรตสามารถย้าย หรือ เปลี่ยนที่ส่วนประกอบของ
ประโยค แตค่ วามหมายของประโยคยงั คงเดมิ

การเปล่ียนแปลงในโครงสร้างผิวซ่ึงเกิดจากการใช้กฎปริวรรตอีกประเภทหนึ่ง เห็นได้จาก
ประโยคตอ่ ไปนี้

6. a. The boy does not run.
b. The boy doesn’t run.

224

ความแตกต่างระหว่างประโยค a. และ b. เกิดจากกฎปรวิ รรตท่ีเรียกว่า contraction เป็นกฎ
ที่รวมส่วนประกอบเข้าด้วยกันในประโยค ตัวอย่างส่วนประกอบ คือ does และ not รวมกันเป็นส่วน
เดียวคอื doesn’t

นอกจากนี้กฎปริวรรตยังมีลักษณะสำคัญอีกอย่างหนึ่ง คือ การตัดส่วนประกอบ (deletion)
บางส่วนออกไป หรือแทนส่วนประกอบสว่ นหนึ่งด้วยสว่ นประกอบอกี สว่ นหนึง่ ดังตวั อย่างต่อไปน้ี

1. a. Amena can speak Malay language, and Anus can speak Malay language
too.

b. Amena can speak Malay language, and Anus can, too.
2. a. It is convenient to buy some Arab food.

b. Some Arab food is convenient to buy.

กล่าวโดยสรปุ คอื การสลับท่ี การตัด การรวมส่วนประกอบ และการแทนท่เี ป็นกฎปริวรรตท่ีทำ
ให้ประโยคเปล่ียนไปและนอกจากนี้ก็สามารถทำได้ การแทรกคำหรือส่วนของคำเข้าไปในโครงสร้าง
ประโยคโดยไม่ทำให้ความหมายเปลย่ี นไป เชน่

3. a. Children are playing in the amusement park.
b. There are children playing in the amusement park.

4. a. Some Arab food is convenient to buy.
b. It is convenient to buy some Arab food.

จะเห็นได้ว่าประโยค b. มีคำเพ่ิมจากประโยค a. คำท่ีขีดเส้นใต้ คือ “There , It” และมีผลทำ
ใหก้ ารเรยี งคำในประโยค b. แตกตา่ งจากการเรยี งคำใน a. แต่ความหมายยงั คงเดมิ

ท้ังหมดที่กล่าวมาดังตัวอย่างพอจะสรุปได้ว่า โครงสร้างลึกทำให้เกิดโครงสร้างผิวท่ีแตกต่าง
ออกไป และเกดิ เปน็ ประโยคพ้องความหมาย ตามกฎปริวรรตเหล่านี้

1. จดั เรียงสว่ นประกอบต่างๆใหม่ เช่น กฎการย้าย particle
2. รวมสว่ นประกอบเข้าดว้ ยกัน เชน่ contraction
3. ตดั สว่ นประกอบบางส่วนออก เชน่ การตดั VP ทเ่ี หมอื นกันออกไป
4. เติมส่วนประกอบบางสว่ น เชน่ การเตมิ there และ it
5. แทนส่วนประกอบส่วนหน่ึงด้วยส่วนประกอบอีกส่วนหนึ่ง เช่น การแทนประธานใน
ประโยค เปน็ ต้น

225
นอกจากน้ีการใช้กฎปรวิ รรตทำใหเ้ กดิ ประโยคชนดิ ตา่ งๆ ดังต่อไปน้ี

4. โครงสรา้ งประโยคปรวิ รรต

การนำกฎการปริวรรตมาใช้ทำให้ประโยคพื้นฐานเปล่ียนแปลง เป็นประโยคชนิดต่างๆ
ได้มากมาย ดงั น้ี

4.1 ประโยค active และ passive
ประโยค active เป็นประโยคท่ีประธานเป็นผู้กระทำกริยานั้นๆ สามารถเปลี่ยนให้เป็น

ประโยค passive ทปี่ ระธานได้รบั การกระทำโดยใชก้ ฎปริวรรต ดงั ตวั อยา่ งประโยคตอ่ ไปน้ี

a.The students ate some cookies.
b.Some cookies were eaten by the children.

จากตัวอย่างความหมายของ ประโยค a. และ b. มีความหมายเหมือนกัน แต่อยู่ท่ี
โครงสร้างผิว (surface) แตกต่างกัน ประโยค a. มีโครงสร้างผิวเป็นประโยค active ส่วนประโยค b.
มีโครงสรา้ งผิว เปน็ ประโยค passive ดงั จะเห็นไดจ้ ากแผนภูมิตอ่ ไปนี้

1.
S

NP(1) VP

DET N AUX VB NP(2)

PAST DET N

the students ate some cookies

แผนภูมิข้างบนประโยค a เป็นโครงสร้างผิวของประโยค active แสดงด้วยแผนภูมิท่ี 1
เป็นประโยคทใี่ ช้กฎปริวรรตบังคับ ซ่งึ ได้แก่ การรวม eat กับ PAST เป็นรูป ate ในประโยค a. ประธาน
คือ the students เป็นพหูพจน์ กริยา ate ไม่แสดงพจน์ให้เห็นชัด ถ้าหากเปลี่ยนเป็น present

226

progressive จะเห็นชัดว่ากริยาจะต้องเป็นพหูพจน์ด้วย คือ “the students are eating some
cookies.”

ส่วนประโยค b. เป็นโครงสร้างผิวของประโยค passive เม่ือใช้กฎปริวรรต affix รวมกับ
คำกริยา be กับ PAST เป็น were และรวม en กับ eat เป็น eaten การท่ีรูปของ be กับ PAST เป็น
were น้ัน เนื่องมาจาก NP (some cookies) อยู่ในรูปพหูพจน์ ความสำคัญของประธานในระดับ
โครงสร้างผิวก็คือ เป็นส่ิงที่กำหนดรูปของกริยาว่าเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ และโครงสร้างผิวของ
ประโยค passive มีบุพบทวลี (PP) มาขยาย ดงั แผนภูมติ ้นไมต้ อ่ ไปนี้

S

NP(2) Aux VP

were

DET N V PP

some cookies eaten

P NP(1)

by Det N
the student

4.2 ประโยคคำถาม Yes/No question
โครงสร้างประโยคคำถามไม่มีความแตกต่างจากประโยคบอกเล่ามากนัก ความแตกต่าง

อยู่ที่การเรียงคำ และความหมาย ดังนั้นไวยากรณ์ปริวรรตจึงมีองค์ประกอบท่ีใช้ระบุว่าเป็นประโยค
คำถาม (ใชต้ วั ยอ่ Q) และโครงสร้างลกึ ของประโยคคำถามมลี กั ษณะดงั นี้

S
Q NP AUX VP

ความแตกต่างกันของความหมายระหว่างประโยคบอกเล่าและประโยคคำถามจะปรากฏ
ในระดับโครงสร้างลึก ซึ่งเป็นระดับท่ีกำหนดความหมายของประโยค คำท่ีใช้ระบุคำถาม (Q) เป็น
ตัวกำหนดว่าจะต้องใช้กฎ interrogative transformation กับโครงสร้างลึกให้เกิดโครงสร้างผิว
ทถี่ กู ตอ้ ง ยกตัวอยา่ งดังน้ี

227

ประโยคคำถาม Can Jenan eat the curry? เปน็ โครงสรา้ งผิว ซง่ึ มีโครงสร้างลึกดงั น้ี

S

Q NP AUX VP
Jenan
VB NP
can eat the curry

เมื่อ Q ปรากฏในโครงสร้างลึก ในการสร้างประโยคคำถามต้องใช้กฎ interrogative
transformation ซง่ึ จะระบใุ หย้ ้าย AUX มาวางขา้ งหน้า NP ไดด้ งั น้ี

S

Q AUX NP VP
Can VB NP

Jenan eat the curry

และเม่ือย้าย AUX แล้วประโยคที่ได้เป็นประโยคผิวซึ่งจะตัด Q ออกไป ทำให้โครงสร้าง
เปล่ียนไปดังนี้

S

AUX NP VP

VB NP

Can Jenan eat the curry

228

กฎ interrogative transformation ตามท่ีกล่าวมาน้ีมี 2 ข้ันตอน คือ ย้าย AUX มาวาง
ข้างหน้า NP และตัด Q ออกไป ประโยคที่ได้คือประโยคคำถามชนิด yes / no question คือ
Can Jenan eat the curry?

ประเด็นท่ีน่าสนใจเก่ียวกับการใช้กฎปริวรรตอีกประการหนึ่ง คือการสร้างประโยค
คำถาม จากประโยคเบ้ืองตน้ ท่มี กี รยิ าช่วย (auxiliary verb) สามารถสรา้ งประโยคคำถามได้ดงั น้ี

The boy is swimming. Is the boy swimming?
The boy will swim. Will the boy swim?
The boy has swum. Has the boy swum?
The boy can swim. Can the boy swim?

ในการสร้างประโยคคำถาม เราใช้กฎการย้ายกริยาช่วย “move auxiliary” ไปวางใน
ตำแหน่งหน้าของประโยค กล่าวคือ ตำแหน่งเดิมของ auxiliary อยู่หลังคำนามทท่ี ำหน้าท่ีประธาน เม่ือทำ
ให้เป็นประโยคคำถาม auxiliary verb ย้ายไปอยู่ตำแหนง่ หน้าประธานของประโยค ดงั แผนภูมิตอ่ ไปนี้

S
NP VP

Aux etc.

เปล่ียนเปน็ ประโยคคำถาม
S

Aux S

NP VP
etc.

229

จากแผนภูมิ เครื่องหมาย “__” หมายถึงตำแหน่งเดิมของ auxiliary verb ดังตัวอย่าง
ขา้ งต้น The boy is swimming. Is the boy __ swimming?

S

NP VP

The boy Aux VP
is swimming

S

Aux S VP
Is NP

__ VP
swimming

จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่า การสร้างประโยคคำถามสามารถสร้างจากประโยคเบ้ืองต้น
ที่มีโครงสร้าง NP – Aux กล่าวโดยสรุปประโยคคำถาม ชนิด Yes- no question ที่มี auxiliary verb
ในประโยคบอกเล่ามีลักษณะดังนี้

1. กฎโครงสรา้ งวลเี กิดจากประโยคเบอ้ื งตน้
2. ได้โครงสร้างผิวท่ีเกิดจากการแปลงประโยคเบื้องต้น โดยการย้ายตำแหน่งของ
Auxiliary verb

นอกจากนี้หากพิจารณาประโยค Is the mother silently weeping? ซึ่งเป็นประโยค
ปริวรรต ท่ีมีประโยคพ้ืนฐาน คือ The mother is weeping silently. ท้ังน้ีตามกฎการปริวรรต
คำกริยาวิเศษณ์สามารถย้ายตำแหน่ง (Radford, 2003) ซ่ึงทำให้ได้ประโยคคือ The mother is
silently weeping. ทงั้ น้สี ามารถแสดงดว้ ยแผนภูมดิ งั นี้

230

S

NP aux VP

The father is V adv
weeping silently

ยา้ ยตำแหนง่ Adv
S

NP aux VP

The father is adv V
silently weeping

ยา้ ยตำแหน่ง Auxiliary verb เพอื่ สร้างประโยคคำถาม

231

ในกรณีท่ีคำกริยาอยู่ในรูป perfect tense กฎปริวรรตก็จะทำให้ AUX อยู่ในรูป HAVE
ที่เป็นไปตามโครงสร้างประโยค present perfect tense และวาง affix {–en} หลังกริยาหลัก
สว่ น HAVE จะย้ายไปอยขู่ า้ งหน้า NP ตัวอยา่ งเชน่

Has Jenan eaten the curry?

ในกรณีที่คำกริยามีคุณลักษณ์เป็นประโยคบอกเล่า (progressive) กฎปริวรรตจะทำให้
ตำแหน่งของ AUX จะใช้กริยา do ในรูปที่เหมาะสม และย้ายมาอยู่ข้างหน้า NP หากอยู่ในรูปอดีต
(past tense) จะได้ โครงสรา้ งผิวคอื

Did Jenan eat the curry?

4.3 ประโยคคำถาม WH question
ประโยคคำถามประเภท WH question เป็นคำถามเก่ียวกับ NP คำท่ีใช้ถามในประโยค

คำถามประเภทนี้ เช่น Who, What, Which เป็นสรรพนามในระดบั โครงสร้างลึก สรรพนามเหลา่ นี้เป็น
NP ที่คำนามมีคุณลักษณ์ เป็น pronoun เช่นเดียวกับ คุณลักษณ์ <-Who > ในโครงสร้าง NP
ทค่ี ำนามมีคณุ ลักษณท์ ี่ปรากฏในรปู คำ Wh ในโครงสรา้ งผวิ ดังประโยคตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี

S

Q NP AUX VP
N
VB NP
monkey can

eat bananas

ประโยคคำถามจะใช้กฎ interrogative transformation จะย้าย AUX มาอยู่ข้างหน้า NP ที่
เป็นประธานทำให้โครงสรา้ งเปล่ียนเป็น

232

S

Q AUX NP VP

VB NP

N

can monkey eat banana

และเมื่อใช้กฎ WH question transformation กฎนี้จะแทนท่ี Q ด้วย NP ท่ีนามวลี
มีคณุ ลักษณ์ Wh ดงั นี้

S

NP AUX NP VP

N VB

(Wh) can monkey eat

เมอื่ NP นแี้ ทนทีด่ ้วยคำ Wh ที่เหมาะสม กจ็ ะไดโ้ ครงสรา้ งผิวดังต่อไปน้ี

S

NP AUX NP VP
N N VB
What can monkey eat

233

4.4 ประโยคปฏเิ สธ

ประโยคปฏิเสธมีลักษณะเช่นเดียวกับประโยคคำถาม คือ โครงสร้างไม่แตกต่างจาก
โครงสร้างประโยคบอกเล่า NEG (negation) เป็นองค์ประกอบของประโยคในระดับโครงสรา้ งลึก และ
สัญลักษณ์น้ีเป็นตัวกำหนดว่าจะต้องใช้กฎ negative transformation ซ่ึงเติม not หลัง AUX เพื่อให้
ไดโ้ ครงสร้างผิวทถ่ี ูกต้อง ดังตัวอยา่ งเช่น

NEG NP S VP
AUX

Jenan can eat the curry

เม่ือใช้กฎปริวรรตก็จะได้ Jenan cannot eat the curry. โครงสร้างลึกเดียวกันน้ีเมื่อใช้
negative transformation แล้ว อาจใชก้ ฎ contraction ในการลดรปู cannot เป็น can’t เชน่

Can’t Jenan eat the curry?
Can Jenan not eat the curry?

ประโยคดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าในการใช้กฎปริวรรตนั้น บางกฎจะต้องใช้ตามลำดับก่อนหลัง เช่น
กฎ interrogative transformation, negative transformation และ contraction transformationในกรณีที่
Q และ NEG อยู่ในโครงสร้างลึก หากใช้กฎ interrogative transformation ก่อนก็จะได้ can Jenan eat the
curry และเมื่อใช้กฎ negative transformation ซึ่งเติม not หลัง AUX ก็จะได้ cannot Jenan eat the
curry เม่ือพิจารณาประโยคที่ใช้ในภาษาอังกฤษ ประโยคท่ีได้จากการใช้กฎ interrogative สามารถใช้กฎ
negative คือ cannot Jenan eat the curry ซ่ึงเป็นประโยคท่ีไม่ได้ใช้กันโดยทั่วไป รูปท่ีนิยมใช้คือ การลด
รูป

Can’t Jenan eat the curry?
และหากต้องการเน้นท่ี not กค็ ือ
Can Jenan not eat the curry?

234

4.5 Relative Clause

การใช้กฎปริวรรตสามารถทำประโยคในภาษาอังกฤษยาวขนึ้ ด้วยการเพิ่มส่วนขยายด้วย
อนุประโยค (relative clause) ดังตวั อยา่ งต่อไปน้ี

1. Nurihan told me the rumor.
2. Nurihan told me the rumor that was created by Sara.
3.Nurihan told me the rumor that was created by Sara that Yaya bought new
car.

เม่อื พิจารณาประโยคทงั้ 3 จะเหน็ ไดว้ า่ ประโยคท่ี 1 ประกอบดว้ ยส่วนต่างๆ ดังน้ี

S

NP AUX VP
DET N
T VB NP N
Nurihan DET N

ART

Past tell me the rumor

ประโยคที่ 2 ต่างจากประโยคแรกเพราะมีอนุประโยค that was created by Sara
เติมเข้ามา สว่ นประโยคที่ 3 กย็ าวขน้ึ เพราะตอ่ ดว้ ย that Yaya bought a new car.

ความแตกต่างระหว่างประโยค 1. และ 2. ในแง่ของโครงสร้างก็คือ NP the rumor ซ่ึงเป็น
กรรม มีประโยค that was created by Sara มาขยาย ส่วนประโยค 3. มีประโยคย่อย that Yaya bought
a new car เพ่ิมข้ึน

ประโยคท่ีซ้อนเพ่ิมข้ึนมาในประโยค จะเป็นองค์ประกอบของส่วนใดนั้น สามารถพิจารณา
ได้ดังนี้ จากประโยคท่ี 1 และ 2 มีประโยคซ้อนเพิ่มจากประโยคเดิม การซ้อน (embedding) เป็นการ
เพ่ิมองค์ประกอบใหม่หรือเพียงแต่ขยายองค์ประกอบหลักให้ยาวขึ้นในการพิจารณาจะใช้ประโยค
ตัวอย่างดังต่อไปนี้

235

4. (a)The students do the homeworks.
(b)The students do the homework that the teacher had given them.

5. (a) The boys will read the novel.
(b) The boys who are in this library will read the novel.

ประโยค b ยาวกว่าประโยค a เพราะมีส่วนที่ขีดเส้นใต้ that the teacher had given
them มาเพิ่มในประโยคท่ี 4. (b) ส่วนท่ีขีดเส้นใต้เป็น NP เหมือนกับ the homework ในประโยค
4.(a) และ the boy who are in the library ในประโยค 5.(b) เป็น NP เหมือนกับ the boys ใน
ประโยค 5.(a) หรือพิสูจน์ด้วยการใช้กฎ passive ซึ่งสลบั ที่ NP1 และ NP2 การใช้กฎปริวรรตน้ีทำใหไ้ ด้
ประโยคผิวคอื

6. (a). The homeworks were done by the students.
(b).The homeworks that the teacher had given them were done by the

students.
7. (a). The novel will be read by the boys.
(b). The novel will be read by the boys who are in this library.

กฎ passive ได้พิสูจน์แล้วว่า “that the teacher had given them” 6. (b) เป็นส่วน
หนึ่งของนามวลี The homeworks และ “who are in this library” ในประโยค 7. (b) เป็นประโยค
ย่อยที่ซ้อนเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของนามวลี“the boys” หากแยก “that the teacher had given
them” ออกจาก “the homeworks” และแยก “who are in this library” ออกจาก “the boys”
จะได้กลุ่มคำในประโยค 8 และ 9 ซึ่งไม่ใช่ประโยคท่ีถูกหลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ ดังตัวอย่างต่อไปน้ี

8. *The homeworks were done by the students that the teacher had given
them.

9. * Who are in this library the novel will be read by the boys.

สรุปได้ว่าประโยคที่ซ้อนเข้ามาในลักษณะ 6.( b) และ 7.(b) นี้มีช่ือเรียกว่า relative clause
และเมื่อ relative clause เป็นส่วนหนึ่งของ NP ดังนั้น NP ในประโยค 6.( b) “The homeworks that
the teacher had given them” และ 7.( b) “the boys who are in this library” เป็นไปตามกฎ NP ท่ี
ได้กลา่ วมาแล้วในบทท่ี 7 อาจเขียนกฎการขยายด้วย NP โดย S แทนประโยคที่อาจขยายออกไป ดังนี้

236

NP NP S

NP

NP S

NP AUX VP

NP S

NP AUX VP

การซ้อนประโยคสามารถทำได้ ท้ังนี้ เป็นเพราะองค์ประกอบวลีทางซ้ายและทางขวาของ
ลูกศร เป็นตัวเดียวกัน ในกรณีนี้ NP ประกอบด้วย NP S และเม่ือแทนสัญลักษณ์ S ก็จะเป็น NP [ NP
AUX VP ] เมื่อแทนสัญลักษณ์ NP สัญลักษณ์ S ก็อาจจะปรากฏได้อีก กฎประเภทนี้เรียกว่ากฎ
recursive เปน็ กฎทท่ี ำให้เราสามารถแทนสัญลักษณเ์ ชน่ NP และ S ไปเรื่อยๆ

กฎประเภท recursive จะทำให้ประโยคยาวไปได้โดยไม่มีข้อจำกัด แต่ในทางปฏิบัติเรา
จะซ้อนประโยคเพียงไม่กี่ประโยค ทั้งน้ีเพราะการซ้อนประโยคหลายประโยคในการพูด ท้ังผู้พูดและ
ผู้ฟังอาจลืมว่า คำใดเป็นนามหลัก ถ้าเป็นการเขียนผู้อ่านอาจกลับไปทบทวนจุดเร่ิมต้นได้ แต่การ
ทบทวนทำให้เสียเวลา และถา้ มีประโยคประเภทน้ียาวมากๆ ผู้อ่านอาจหมดความพยายามท่ีจะตดิ ตาม
ทำใหก้ ารส่อื สารไมไ่ ดผ้ ลเทา่ ทคี่ วร

จากตัวอย่างเหล่าน้ี พ อจะสรุปได้ว่า relative pronoun มีความสัมพั นธ์กับ NP
ในประโยคหลกั และในโครงสร้างลึกก็จะต้องเป็น NP ที่มีสัญลักษณ์เหมือนกับ NP ในประโยคหลักทุก
ประการ มิฉะนน้ั แล้วจะใชก้ ฎปริวรรตเปล่ียนประโยคเปน็ relative clause ไมไ่ ด้ กฎ relative clause
เป็นกฎปริวรรตที่แปลงโครงสร้างลึกเป็นโครงสร้างผิว ซ่ึงลักษณะสำคัญของ relative clause
พิจารณาไดจ้ ากโครงสร้างของประโยคต่อไปน้ี

10. The lady who is wearing the diamond ring will marry him.
11. The watch that I buy is expensive.

237

จากตวั อยา่ งเป็นประโยคทใ่ี ช้กฎ relative clauseโดยเติม (Wh) ใน NP ของประโยคซอ้ น
ดังตัวอย่างในประโยค 10 แทนด้วย who หรือ that (แต่ไม่สามารถเป็น which) เพราะ lady
มีคณุ ลกั ษณเ์ ปน็ คน (human) และแสดงดว้ ยแผนภมู ติ น้ ไม้ดังนี้

S

NP AUX VP

NP S

DET N NP AUX VP

ART DET N T ASPECT VB NP

ART PROG DET N

ART ADJ

The lady the lady PRES BE ING wearing the diamond ring

อาจกล่าวโดยสรุปว่า กฎ relative clause ทำให้ประโยคท่ีซ้อนในโครงสร้างลึกมาเป็น
โครงสร้างผิวอย่างไร NP จะแทนด้วย which หรือ that เม่ือทำหน้าที่เป็นกรรมในประโยคดังจะเห็น
ไดจ้ ากแผนภมู ติ ้นไม้ต่อไปน้ี

NP S Aux VP
VP
NP NP S
DET N
AUX

ART N T VB NP

DET N

The watch I PRES buy the watch

238

ในกรณีกฎ relative clause ท่ีเป็นกรรมจะย้าย NP “watch” ในประโยคซ้อนมาอยู่หน้า
ประโยค ทำให้แผนภมู ติ น้ ไม้เปลย่ี นไปดงั น้ี

NP

NP S

NP NP AUX VP

The watch the watch PRES buy

และการเติม which หรือ that ทำให้ NP (the watch) ในประโยคซ้อนกลายเป็น relative

pronoun เมื่อเปล่ยี นที่และแทน NP ด้วย relative pronoun แล้ว จะได้โครงสร้างผิวคือ The watch that

I buy เป็นนามวลีที่มปี ระโยคซอ้ นที่ใชก้ ันในภาษา อย่างไรก็ตาม relative pronoun อาจละได้ในบาง

กรณี โดยพิจารณาตัวอย่างตอ่ ไปนี้

12. *The lady is wearing the diamond ring will marry him.

13. The watch I buy is expensive.

ประโยค 13 เป็นประโยคท่ีถูกต้องเพราะ NP ที่แทนด้วย relative pronoun เป็นกรรม
อาจตัดออกไปได้ โดยใชก้ ฎ relative pronoun deletion transformation แต่ประโยค 12 ไม่ถูกต้อง
น้ัน แสดงว่า relative pronoun เป็นประธานของประโยคจึงไม่สามารถละได้ ดังจะเห็นได้จากตัวอย่าง
เพม่ิ เตมิ ตอ่ ไปนี้ (พงษ์ศรี เลขะวฒั นะ, 2552)

14. a The boy whom I spoke to wanted to see you.
b. The boy I spoke to wanted to see you.
whom ละได้เพราะ the boy เปน็ กรรม
c. The boy to whom I spoke wanted to see you.
d. *The boy to I spoke wanted to see you.
whom ละไมไ่ ด้ เพราะ The boy เป็น subject

15. a. The book which she bought is difficult.
b. The book she bought is difficult.
which ละได้เพราะ book เป็นกรรม

16. a. I want to see the oven about which you told me
b. *I want to see the oven about that you told me.


Click to View FlipBook Version