139
6.4 Stepped where he was old
6.5 At once shouted to the crowd to stand back
6.6 Without hesitation shouted for help
6.7 Sold his last semester book
7. จงขีดเส้นใต้กริยาวลี (verb phrase)
7.1 Many students attended the Eid al-Fitr party.
7.2 The car has been stolen.
7.3 Amina always says the wrong thing.
7.4 The girl in the back seat looked forward.
7.5 We shall continue the discussion tomorrow.
8.วลีทขี่ ดี เส้นใต้เปน็ วลีชนดิ ใด
8.1 That was what I did too.
8.2 You must do the best with what you have.
8.3 What you say is true.
8.4 She has left for the vacation.
8.5 They finished work late.
8.6 The spiders were everywhere.
8.7 This is not the colour I ordered.
8.8 Who is the head of the class?
8.9 Would you like something spicy?
8.10 I’ll have breakfast while you take a shower.
140
เอกสารอา้ งอิง
วภิ า ฌานวังศะ. (2552). “ การศึกษาเรื่องคำและกลุ่มคำ หนว่ ยที่ 7” ใน ภาษาอังกฤษสำหรบั ครู.
นนทบรุ ี : มหาวิทยาลยั สุโขทยั ธรรมาธิราช.
Bloomfield, L. (1914 ). An Introduction to the Study of Language. New York; Henry Holt.
Denham, K. & Lobeck, A. (2010). Linguistics for Everyone: Introduction.USA: Michael
Rosenberg.
Fries, C. C., (1957). The Structure of English. London: Harcort Brace and Company INC.
Fromkin,V., Rodman & N.Hyams. (1998). An Introduction to Language (6th ed). New York:
Harcort Brace.
Plag. I., Braun. M., Lappe. S., & Schramm. M. (2007). Introduction to English Linguistics.
Germany: Walter de Gruyter GmbH&Co. KG,D-10785 Belin.
Murphy, R. (2014). English grammar in use. London: Cambridge University Press.
Stageberg, C. N. (1977). An Introductory English Grammar (3rded.). New York : Holt,
Rinehart and Winston.
141
บทที่ 7
โครงสร้างวลี
วลีต่างๆ เช่น นามวลี กริยาวลี คุณศัพท์วลี และกริยาวิเศษณ์ เป็นองค์ประกอบของประโยค
และวลดี งั กล่าวมีส่วนท่ีสำคญั ท่สี ดุ เรยี กวา่ คำหลัก (head word)
1. สว่ นประกอบหลกั ของวลี
วลีแต่ละชนิดมีหน่วยคำที่สำคัญที่สุด เรียกว่า คำหลัก (head) โดยส่วนใหญ่ส่วนหลักเป็นคำ
ชนิดต่างๆ ยกตัวอย่างเช่น นามวลี (noun phrase) ประกอบด้วยคำชนิดต่างๆที่เรียงตามลำดับที่
เหมาะสม ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
her brother
an e-mail to Judy
the best restaurant in town
this good teacher from Thailand
my close friend at school
the boy who kicks the ball
คำต่างๆ ท่ีเรียงกันเป็นนามวลีขา้ งตน้ มีคำหลักท่ีเปน็ ส่วนสำคัญที่สดุ จากตัวอย่างอาจสรปุ ได้
วา่ คำชนิดเดยี วกนั มักปรากฏอยใู่ นตำแหน่งเดยี วกนั หากแยกคำจะได้ดงั นี้
142
ตารางท่ี 7.1 ตำแหน่งคำหลัก (head) ของนามวลี
ตำแหนง่ ท่ี 1 ตำแหนง่ ที่ 2 ตำแหนง่ ที่ 3 (head) ตำแหน่งที่ 4
her brother
an best e-mail to Judy
the good restaurant in town
this close teacher from Thailand
my friend at school
the boy who kicks the ball
เม่ือแยกส่วนประกอบของนามวลี จะเห็นได้ว่าตำแหน่งท่ี 1 เป็นคำกำกับนาม (an, the)
คำนำหน้านามช้ีเฉพาะ (this) คำสรรพนาม (her) ในตำแหน่งที่ 2 เป็นคำคุณศัพท์ ตำแหน่งท่ี 3 เป็น
คำนามซึ่งเป็นคำหลกั เรยี กวา่ head word และสว่ นที่ 4 เป็นส่วนขยายจะมหี รอื ไมก่ ็ได้
นอกจากน้ี วลีชนิดอืน่ ๆกม็ ีส่วนหลกั ปรากฏในตำแหนง่ ท่ีแตกต่างกนั ยกตัวอย่างเชน่
a. to the airport [PP]
b. at the hospital [PP]
c. proud of his success [AP]
d. extremely hot [AP]
e. go to the bank [VP]
f. eat a piece of cake [VP]
วลีแต่ละชนิดประกอบด้วยส่วนหลัก (head) อยู่ในตำแหน่งต่างๆ คำท่ีขีดเส้นใต้คือส่วนหลัก
ของวลี ดังตัวอย่างวลี a และ b เป็นบุพบทวลี คำว่า “to” และ “at” เป็นส่วนหลัก วลี c และ d เป็น
คุณศัพท์วลี คำว่า “proud” และ “hot” เป็นส่วนหลัก วลี e และ f เป็นกริยาวลี คำว่า “go” และ
“eat” เปน็ ส่วนหลัก กลา่ วคือ ส่วนหลกั เป็นสว่ นทกี่ ำหนดชนิดของวลีและความหมาย
นอกจากนี้วลีชนิดต่างๆ สามารถประกอบด้วยวลีอื่นได้ เช่น ข้อ e [go to the bank] เป็น
กริยาวลีท่ีมีส่วนประกอบเป็นบุพบทวลี [to the bank] ซ่ึงบุพบทวลี และบุพบทวลีประกอบด้วย
นามวลี [the bank]
นามวลีและกริยาวลีเป็นส่วนประกอบหลักของประโยคในภาษาอังกฤษ (sentence
structure ท้ังนี้ในการอธิบายกฎโครงสร้างวลีในบทนี้จะใช้ตัวย่อในการเขียนโครงสร้างวลีชนิดต่างๆ
(Fromkin, Rodman, & Hyams, 1998; Lambrecht, 1998) ดงั นี้
143
N คือ คำนาม (noun) และหมายรวมถึงคำสรรพนาม เช่น Lilly, girl, cows, running,
Thailand, he, I, them, this
V คอื กริยา (verb) หรือ กรยิ าช่วย เช่น will, might, should could
Adj คือ คำคุณศัพท์ (adjective)
Adv คือ คำกริยาวลี (adverb)
Det คอื คำกำกบั นาม (determiner) เช่น that, this, the, a, some, those
Prep คือ คำบพุ บท (preposition) เช่น in, on, at
Conj คอื คำสนั ธาน (conjunction) เช่น and, or, but
โครงสร้างประโยคในภาษาอังกฤษประกอบด้วยคำ หรือ วลี เรียงตามลำดับ ซึ่งวลีแต่ละชนิดมี
คำหลักตา่ งกัน ดงั ตอ่ ไปน้ี
- นามวลี (noun phrase หรือ NP) มีคำนำม(N) เป็นส่วนประกอบหลัก และอาจมีหน่วย
อืน่ ได้ เชน่
NP = N เชน่ roses ในประโยค I like roses.
NP = Adj + N เชน่ big catsในประโยค I like big cats.
NP = Det + N เชน่ the boy, some houses
NP = Det + Adj+N เชน่ the big boy
NP = Det + N + PP เชน่ the book on the table, the girl with the pink handbag
- กริยาวลี (verb phrase หรือ VP) เป็นหน่วยสร้างที่มี กริยา (V) เป็นส่วนประกอบหลัก
อาจมีหนว่ ยอ่นื ประกอบได้ เช่น
VP = V เชน่ went
VP = V + NP เช่น saw a cat
VP = V + NP +PP เช่น won the bike in May
VP = V + PP เช่น flew to Bangkok
- บุพบทวลี (prepositional phrase หรือ PP) เป็นหน่วยสร้างที่มีคำบุพบท และ
นามวลี โดยคำบุพบท (P) เปน็ สว่ นประกอบหลกั เชน่
PP= Prep + NP เชน่ in the room, with me, for the girl with the pink handbag
144
โ ด ย ทั่ ว ไป ป ร ะ โ ย ค ป ร ะ ก อ บ ภ า ค ป ร ะ ธ า น ซ่ึ ง เป็ น น า ม ว ลี ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ค ำ ก ำ กั บ น า ม
(determiner) และคำนาม ตามด้วยภาคแสดงซ่ึงเป็นกริยาวลี ประกอบด้วยคำกริยาและนามวลี หรือ
เขียนเป็นรูปแบบโครงสร้าง ไดค้ อื ประโยค = NP+VP ดังตวั อยา่ งประโยคภาษาองั กฤษ เชน่
1. The boy saw the calf.
ประโยคท่ี 1 เกิดจากการนำคำมาเรียงตามลำดับโครงสร้างภาษาอังกฤษได้แก่ SVO
กล่าวคือ ประธานของประโยค (S) “the boy” ตามด้วยกริยา (V) “saw” โดยมีกรรมของประโยค (O)
“the calf” ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการเรียงประโยคตามแนวนอน (flat structure) โดยมิได้คำนึงถึง
ความสมั พันธ์ภายในโครงสร้างประโยค ท้ังนส้ี ามารถแสดงโครงสร้างประโยคด้วย แผนภูมติ อ่ ไปน้ี
1.1
The boy saw the calf.
โดยท่ัวไปการเรียงคำเป็นประโยคในภาษาอังกฤษ คำต่างๆท่ีมาเรียงกันน้ันสามารถแบ่ง
คำเป็นกลุ่มคำได้และมีลำดับชั้นของกลุ่มคำชัดเจน ท้ังนี้เราสามารถจัดกลุ่มคำในประโยค 1.1 ได้ดังน้ี
[the boy][saw the calf] โดยแบ่งตามส่วนประกอบของประโยคท่ีมีภาคประธานและภาคแสดง
นอกจากนี้อาจแบ่งกลุ่มคำเป็น [the boy][saw][the calf] ตามชนิดของหน่วยคำ และยังสามารถ
แบ่งเปน็ คำเดย่ี วๆ ได้เช่นกัน [the][boy][saw][the][calf] เราสามารถแสดงเป็นแผนภมู ิต้นไม้ดังนี้
1.2 root
the boy saw
the calf
แผนภมู ิต้นไม้ 1.2 แสดงให้เห็นว่าประโยค “The boy saw the calf.” เปรยี บเสมือนราก
(root) ของต้นไม้และมีใบต่างๆ ซ่ึงได้แก่ the, boy, saw, the, calf อย่างไรก็ตามคำต่างๆมิได้เรียง
โดยปราศจากโครงสร้างภายใน กล่าวคือ คำเหล่าน้ันสามารถจัดกลุ่มเป็นกลุ่มคำ ซึ่งการแบ่งกลุ่มคำนี้
145
ต้องเป็นไปตามกฎโครงสร้าง กลุ่มคำหรือวลีที่เรียงกันตามลำดับเป็นส่วนประชิดของประโยค
(constituents) และสามารถแสดงดว้ ยแผนภมู ิดังน้ี
จากแผนภูมิที่ 1.2 คำว่า “the” และ “calf” สามารถจัดกลุ่มคำเป็นส่วนประชิด
(constituent) ไดด้ ังนี้
1.3
the boy saw
the calf
การจัดกลุ่มคำจะแสดงด้วยวงกลมโดยคำที่อยู่ในวงกลมจัดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน จาก
แผนภูมิข้างต้น ได้กลุ่มคำ [the calf] นอกจากน้ีสามารถจัดกลุ่มใหม่ได้โดย [the calf] อยู่ภายในกลุ่ม
ใหม่ ดงั ต่อไปน้ี
1.4
the boy saw
the calf
จากแผนภูมิข้างต้นแสดงการรวมกลุ่มใหม่ได้กลุ่มคำ [saw [the calf]] นอกจากนี้ กลุ่ม
ใหม่ท่สี ามารถจดั ไดอ้ กี 1 กล่มุ คือ [the boy] ดงั ต่อไปนี้
1.5
the boy saw
the calf
146
สามารถสรุปได้ว่ากลุ่มคำตา่ งๆ สามารถประกอบให้มหี น่วยทีใ่ หญ่ขน้ึ เปรยี บเสมือนกงิ่ ก้าน
ตา่ งๆรวมกันเป็นแขนงซึ่งมีจดุ แตกกิ่ง (node) เชื่อมแต่ละแขนงไวด้ ้วยกัน อย่างไรก็ตามการจัดกลุม่ คำ
ไม่สามารถจัดได้โดยไม่คำนึงถึงโครงสร้างภายใน กล่าวคือ หากแขนงไม่เชื่อมต่อกัน คำเหล่านั้นไม่
สามารถจดั ให้อยใู่ นกลมุ่ เดยี วกนั ได้ ดังตอ่ ไปน้ี
1.6 not a constituent
the boy saw
the calf
อย่างไรก็ตามหลักการสังเกตกลุ่มคำที่เรียงต่อกันเป็นประโยคหรือส่วนประชิด
(constituent) ของประโยคมหี ลกั สงั เกตดังน้ี
1. กลุ่มคำนั้นสามารถอยู่โดยลำพัง ซึ่งทดสอบด้วยการตั้งคำถามเช่น What did you
see? คำตอบคือ “the calf” ซ่ึงสามารถเข้าใจได้โดยตัวเอง ในขณะเดียวกันหากตอบคือ “saw the”
ซึ่งไม่สามารถเขา้ ใจได้
2. นำคำสรรพนามมาแทนท่ีได้ซ่ึงทดสอบด้วยการต้ัง Where did you see a calf ?
คำตอบคือ “I saw him in the yard.”
3. ส่วนประชิดของประโยค (constituents) สามารถย้ายตำแหน่งได้ และคงความหมาย
เดิม เช่น ประโยค The boy saw the calf. เขยี นประโยคใหม่ไดว้ ่า
It was the calf that the boy saw.
The calf was seen by the boy.
ประโยคข้างต้น “the calf” ย้ายตำแหน่ง ประโยคที่สอง ตำแหน่งของ “the calf”และ
“the boy” สลับตำแหนง่ กนั
นอกจากน้ีหากประโยคใดมีบุพบทวลี เช่น ประโยค The boy saw the calf in the
yard. สามารถทดสอบว่าบุพบวลี “in the yard” เป็นส่วนประกอบหรือไม่โดยการต้ังคำถาม Where
did the calf stand? หากคำตอบสามารถอยู่โดยลำพังและมีความหมาย นับว่าเป็นส่วนประชิดของ
กลุ่มคำนัน้ ตามแผนภูมติ ้นไม้ (1.7)
147
In the yard (เป็นคำตอบท่สี ามารถอยู่โดยลำพังได้)
The calf stood there. (สามารถแทนที่บุพบทวลี “in the yard” ด้วยคำสรรพนาม
“ there”)
In the yard is where the calf stood. / It was in the yard that the calf stood.
(สามารถย้ายตำแหนง่ ได้)
1.7 saw in
the boy the yard
รายละเอียดท่ีกล่าวมาอาจสรุปได้ว่า วลีต่างๆ ประกอบด้วยคำชนิดต่างๆ และส่วนหลัก
ของวลีข้ึนอยู่กับชนิดของวลี ได้แก่ นามวลี มี คำนามเป็นส่วนหลัก กริยาวลีมีคำกริยาเป็นส่วนหลัก
คณุ ศัพท์วลีมีคำคุณศัพท์เป็นคำหลัก รวมถึงบุพบทวลีมีคำบุพบทเป็นคำหลัก ทั้งน้ีการเรียงคำ หรือวลี
ต้องเป็นไปตามกฎโครงสร้างวลีแต่ละชนิด โดยจะกลา่ วในหัวขอ้ ถัดไป
2. กฎโครงสรา้ งวลี
กฎโครงสร้างวลี (phrase structure rules) แสดงถึงวิธกี ารเรียงคำหรอื วลใี ห้ถูกต้องตามหลัก
ไวยากรณ์ภาษา การสร้างวลีตา่ งๆ เราต้องมีความรู้เก่ียวกับความหมาย คำศัพท์ เจ้าของภาษาเรียกว่า
คลังศัพท์ (lexicon) ศัพท์ต่างๆได้ถูกเรียงประชิดผูกพันกับคำหรือศัพท์แต่ละตัวตามลักษณะทาง
ไวยากรณ์ของศัพท์แต่ละตัว นอกจากจะระบุว่าเป็นหมวดคำใดๆ (grammatical categories) แล้ว
อาจมีการระบหุ มวดคำย่อย ไดอ้ ีก
การแสดงโครงสร้างประโยคสามารถแสดงด้วยแผนภมู ิต้นไม้ (tree diagram) ซ่ึงแสดงให้เห็น
ความสัมพันธ์ของวลีและลักษณะทางไวยากรณ์ของคำหรือวลีได้ครบถ้วน ซึ่งสะท้อนให้เห็นลักษณะ
ความสัมพันธ์ของคำหรือวลีด้านการเรียงลำดับคำ (linear order) และลักษณะความสัมพันธ์ของวลีมี
โครงสร้างตามลำดับชั้น (hierarchical structure) แต่ละกลุ่มคำประกอบด้วยหน่วยย่อยเป็นหน่วย
ใหญ่ในลักษณะใดบ้าง ยกตวั อย่างประโยค เช่น The boy saw the calf. สามารถแสดงแผนภูมิต้นไม้
ดงั นี้
148
1.8 S
NP VP
Det N V NP
The boy saw
Det
N
the calf.
The boy saw the calf. เป็นประโยค (S) และมีส่วนประกอบที่เป็นกลุ่มคำหรือนามวลี
The boy (NP) และ กลุ่มคำหรือกริยาวลี (VP) saw the calf ท้ังนี้แผนภูมิต้นไม้เป็นการแสดงความรู้
เกี่ยวกับโครงสร้างภาษาของผู้พูด ซึ่งสามารถสรุปได้ 3 ประเด็น ดังนี้ (Fromkin, Rodman & Hyams,
2011; Carroll, 2008)
1. การเรยี งลำดบั (linear order)
2. สามารถระบุชนดิ ของคำและกลุม่ คำได้ (syntactic categories)
3. โครงสร้างประโยคเป็นไปตามลำดับช้ัน (hierarchical structure) ส่วนประชิดของ
ประโยคคอื นามวลี ตามดว้ ยกรยิ าวลี เป็นตน้
จากตวั อย่างขา้ งต้นสามารถสรปุ กฎโครงสรา้ งวลี (phrase structure rules) ไดด้ ังน้ี
1. S NP + VP
2. NP Det + N
3. VP V + NP
กฎโครงสร้างวลีสามารถแสดงให้เห็นถึงความรู้ทางภาษาของผู้พูดในการแบ่งกลุ่มคำ
ตามลำดับเพื่อสร้างประโยคภาษาอังกฤษท่ีสมบูรณ์และถูกต้องชัดเจน โดยทั่วไปหากเราไม่ใช่เจ้าของ
ภาษาเราอาจไม่สามารถแยกส่วนประกอบของประโยคได้หากมิได้ศกึ ษากฎเกณฑ์ ของภาษานั้นๆ ต่าง
จากเจ้าของภาษามักรู้ว่าประโยคน้ันเร่ิมต้นและส้ินสุดตรงใดโดยมิต้องศึกษากฎเกณฑ์ ทางภาษา
ดังน้ันนักภาษาศาสตร์ได้สรุปโครงสร้างประโยคที่แสดงให้เห็นกฎโครงสร้างวลีต่างๆ (phrase
structure rules) เพื่ออธบิ ายคำพดู ตา่ งๆไดด้ ังน้ี
S NP + VP
149
โครงประโยคประกอบดว้ ย นามวลี (noun phrase ) เปน็ ภาคประธาน ตามด้วย กริยาวลี
(verb phrase) เป็นภาคแสดงซงึ่ แสดงแผนภูมิตน้ ไมด้ งั นี้
S
NP VP
ประโยคมีโครงสร้างประกอบด้วยส่วนประชิดหรือวลีชนิดต่างๆ แต่ละส่วนสามารถสรุป
กฎโครงสรา้ งวลี ดงั ต่อไปนี้
2.1 กฎโครงสร้างนามวลี
นามวลี (NP) ประกอบดว้ ยคำกำกบั นาม (Det) และคำนาม (N) ดังโครงสรา้ งต่อไปน้ี
S
NP VP
Det N
จากกฎข้อนี้สามารถสร้างนามวลีได้ไม่จำกัด เช่น the house, the school เป็นต้น และ
เขียนสรุปกฎนามวลไี ด้ดงั นี้
กฎข้อที่ 1 : NP Det + N
Noun Phrase หรอื NP ประกอบดว้ ย คำกำหนดคำนาม (Det) และคำนาม (N)
NP
Det N
ยกตวั อยา่ งเชน่
NP
Det N
the teenager
150
กฎข้อท่ี 2 : NP (Det) + N
NP
N
Busro
นามวลี (NP) ในภาษาอังกฤษจะมีหรือไม่มีตัวกำกับนาม (determiner) ก็ได้ โดยท่ัวไปคำนาม
เฉพาะจะไมม่ ีคำกำกับนาม เช่น ชื่อคน ชื่อประเทศ เป็นตน้ การอธิบายโครงสร้างจะใช้สัญลักษณ์วงเล็บ ซึ่ง
หมายความว่า คำประเภทนั้นปรากฏหรือไม่กไ็ ด้ อยา่ งไรกต็ ามคำนามสามารถมสี ว่ นขยายได้ เพือ่ ทำให้
มีความชดั เจนขน้ึ ดงั นน้ั กฎของ NP จำเป็นต้องขยายออก ดังนี้
กฎข้อที่ 3 : NP (Det) + (Adj.) + N
Busro writes bad English.
Pretty girls whispered softly.
นามวลีที่ขีดเส้นใต้ประกอบด้วยคำคุณศัพท์ซ่ึงจะมีหรือไม่ก็ได้ โครงสร้างนามวลี (NP)
ของประโยคข้างบนสามารถเขียนแผนภูมติ น้ ไม้ ดังน้ี
NP NP
Adj N Adj N
pretty girls bad English
กฎขอ้ ท่ี 4: NP (Det) + (Adj) + N + (PP)
นามวลี (NP) สามารถขยายได้ด้วย บุพบทวลี (PP) ยกตัวอย่างเช่น “the girl with the
hat” สามารถเขียนดว้ ยแผนภูมิต้นไม้ ดงั น้ี
151
NP
Det N PP
the girl
P NP
with Det N
the hat
กฎโครงสร้างวลีข้างต้นสามารถสร้างประโยคได้ไม่จำกัด และประโยคสามารถขยายด้วย
การซำ้ นามวลีในประโยค เชน่ the girl with the ribbon on the hat
NP
NP PP
Det N P NP
the girl with NP PP
Det N P NP
the ribbon on Det N
the hat
2.2 กฎโครงสรา้ งกริยาวลี
โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดง ต่อไปน้ีจะ
อธิบายโครงสร้างภาคแสดงหรอื กรยิ าวลี (verb phrase หรอื VP)
กฎข้อท่ี 5: VP V + NP
ภาคแสดงหรือกริยาวลี ประกอบด้วยกรรมตรง (direct object) ซึ่งต้องตามหลังกริยา
นั่นคอื ในการสรา้ งกริยาวลใี นภาษาองั กฤษ ทำได้โดยวางคำนามเรียงตามหลังกริยา ดงั นี้
152
VP
V NP
จากกฎขา้ งต้น สามารถสรา้ งประโยคออกมามากมาย เช่น
The boy hits the dog. => VP
The monkey eats a banana. => VP
A cat chased a rat. => VP
John liked Jane. => VP
กลุ่มคำท่ีขีดเส้นใต้เป็นกริยาวลี (VP) อย่างไรก็ตามกฎเหล่าน้ีไม่สามารถใช้กับประโยค
ภาษาอังกฤษได้ทั้งหมด กริยาวลีอาจไม่มีนามวลีหรือกรรมตรงมาประกอบ ดังน้ันจำเป็นต้องขยายกฎ
ของกรยิ าวลี และสรุปกฎของกริยาวลีเพิม่ เติม ดงั น้ี
กฎข้อที่ 6 : VP V
The girl danced.
The baby smiled.
The cat slept.
คำที่ขีดเส้นใต้เป็นนามวลี (VP) ประโยคดังกล่าวสามารถแสดงโครงสร้างด้วยแผนภูมิ
ต้นไมด้ งั น้ี
S
NP VP
V
นอกจากนี้กริยาวลี (VP) สามารถขยายด้วยบุพบทวลี ซึ่งจะทำให้ประโยคยาวข้ึนและ
สามารถ สรปุ เป็นกฎเพม่ิ เตมิ ดังนี้
กฎขอ้ ที่ 7 : VP 153
V + PP
S
NP VP
Det N V PP
P NP
Det N
กริยาวลี (VP) สามารถเพิ่มส่วนขยายได้ด้วย บุพบทวลี (PP) ยกตัวอย่างเช่น “The
children played in the garden.” ส่วนท่ีขีดเส้นใต้ คือ บุพบทวลี ( PP) เป็นส่วนขยายของกริยาวลี
(VP) สามารถเขยี นด้วยแผนภมู ิต้นไม้ ดังน้ี
VP
V PP
played P NP
in Det N
the garden
กฎโครงสร้างวลีข้างต้นสามารถสร้างประโยคได้ไม่จำกัด และประโยคสามารถขยายด้วย
การซ้ำกรยิ าวลี (recursive)ในประโยค เช่น
154
S
NP VP
Det N VP PP
the police VP PP P NP
VP PP P NP toward Det N
V P NP with Det N the accident
walked down Det N the whistle
the street
ประโยคข้างต้นกริยาวลี VP มีส่วนขยายด้วยการซำ้ กริยาวลีและมีบุพบทวลขี ยายความให้
ชดั เจนยงิ่ ขึน้
กริยาวลี (VP) สามารถเพ่ิมสว่ นขยายไดด้ ้วยคำกรยิ าวเิ ศษณ์ (Adv.) ไดเ้ ช่นกัน ยกตวั อยา่ ง
เช่น “The smart girl speaks softly.” ส่วนทข่ี ีดเส้นใต้เป็นกริยาวิเศษณ์ (Adv.) สามารถเขียนสรุปได้
ดังนี้
กฎขอ้ ที่ 8: VP V + Adv.
ประโยค “The smart girl speaks softly.” ส่วนท่ีขีดเส้นใต้เป็นกริยาวลี (VP) แสดงด้วย
แผนภูมติ น้ ไม้ได้ดังนี้
VP
V Adv
speaks softly
นอกจากน้ีกฎของกริยาวลี (VP) สามารถขยายได้ในอีกลักษณะหนึ่งด้วยอนุประโยคท่ี
เชื่อมด้วย that ซึ่งเป็นส่วนขยาย หรือ complimentizer (C) เช่น The teacher believes that the
student knows the answer. ในประโยคน้ี ส่วนของ that the student knows the answer เป็น
นามวลีมีหนา้ ทีท่ างไวยากรณ์เปน็ ส่วนขยาย (Radford, 2003) เขยี นสรุปได้ดังน้ี
155
กฎข้อที่ 9 : VP V + CP
ประโยค “The teacher believes that the student knows the answer.” สามารถ
แสดงดว้ ยแผนภูมติ น้ ไม้ ดงั นี้
S
NP VP
Det N V CP
The teacher believes
CS
that VP
NP
Det N V NP
the students know Det N
the answer
กฎขอ้ ที่ 10 : IP VP + N
โครงสร้างนี้เกิดจากการรวมของกริยาวลี to infinitive กับคำนาม ซ่ึงจะเขียนเป็น
infinitive phrase (IP) ยกตวั อยา่ งเชน่
Speaker A: What’s the education ministry’s objective?
Speaker B: To privatize university.
ในการสื่อสารบางครั้งคำพูดอาจเป็นประโยคท่ีไม่สมบูรณ์เพราะวัตถุประสงค์ของการ
สื่อสารเพ่ือส่ือความหมาย ดังตัวอย่างบทสนทนาที่กล่าวมาแล้ว คำตอบของ speaker B : To
privatize university เป็นโครงสร้างกริยาวลี คือ VP = V+NP ส่วนกฎในข้อนี้มีส่วน infinitive to
มาประกอบหนา้ VP แสดงด้วยแผนภูมิตน้ ไม้ดงั นี้
156
IP
INFL VP
to V NP
privatize universities
นอกจากน้ี infinitive phrase (IP) สามารถมีคำนามมาประกอบขา้ งหน้าได้เช่นกัน เช่นใน
ประโยคต่อไปนี้
Speaker A: What are the rebel ministers unhappy about?
Speaker B: Plans to privatize university.
คำตอบของ speaker B มีคำนาม Plans ที่อยู่ในรูปพหูพจน์เป็นส่วนหลักของวลีและ to
privatize universities เป็นส่วนขยาย (complement) คำนาม Plans สามารถแสดงด้วยแผนภูมิ
ต้นไม้ดังน้ี
NP
N IP
plans INFL VP
to V NP
privatize universities
โครงสร้างข้างตน้ เป็นผลจากการเพ่มิ องค์ประกอบ 3 อย่าง ดงั นี้
1. เพ่มิ คำนามประกอบคำกรยิ าทำให้เกิด กริยาวลี “privatize universities”
2. เพิ่มองค์ประกอบ to infinitive ข้างหน้ากริยาวลี ทำให้เกิด infinitive phrase (IP) คือ
to privatize universities
3.เพ่ิ ม ค ำ น า ม (plans)ข้ า ง ห น้ า infinitivephrase(IP)เป็ น planstoprivatize
universities ซึ่งกล่าวไดว้ ่า IP เป็นส่วนขยายคำนามวลี (plans) ดังแผนภูมิตน้ ไม้ข้างต้น
157
2.3 กฎโครงสรา้ งบพุ บทวลี
บุพบทวลี หรือ Prepositional Phrase (PP) ประกอบด้วยคำบุพบทตามด้วยนามวลี
(NP) ทำหน้าทีเ่ ป็นส่วนขยายของนามวลีและกรยิ าวลี เช่น The book in the drawer is mine. ส่วนที่
ขีดเส้นใต้เป็นบุพบทวลี (PP) สามารถเขยี นกฎไดด้ งั น้ี
กฎขอ้ ที่ 11 : PP P + NP
ประโยค “The book in the drawer is mine.” ส่วนที่ขีดเส้นใต้เป็น บุพบทวลี (PP)
ทำหนา้ ที่ขยายนามวลี (NP) The book สามารถแสดงด้วยแผนภูมติ ้นไม้ ดังน้ี
pp NP
P
in
Det N
the drawer
ประโยคสามารถทำให้ประโยคยาวขึ้นด้วยการขยายด้วยอนุประโยคและทำให้ประโยค
มคี วามซบั ซอ้ นมากขนึ้ อนปุ ระโยคที่เชอ่ื มด้วยthat,if,whetherเป็นส่วนขยายหรือ complimentizer
ท้ังน้ี ส่วนขยายดังกล่าวจะเขียนแทนด้วย CP เช่น I am not sure whether I should talk about
this. ส่วนที่ขีดเส้นใต้เป็นส่วนขยาย (CP) อย่างไรก็ตามเราสามารถสร้างประโยคภาษาอังกฤษได้ยาว
ขนึ้ โดยการเพิม่ สว่ นขยายได้ไมจ่ ำกดั และเขียนเป็นกฎดังนี้
กฎข้อที่ 12 : CP 158
C+S
ตวั อย่างประโยคท่ีมสี ว่ นขยายทเี่ ปน็ อนปุ ระโยค (CP) ดงั น้ี
1. S CP
NP VP
V S
NP VP
Pronoun mean Pronoun V CP
You C you knew C S
that that NP VP
Pronoun V
I knew
ประโยคข้างต้นสรุปได้ว่า กริยาวลีประกอบด้วยส่วนขยาย (CP) ท่ีซ้อนกันเป็นลำดับชั้น
โดยใช้ that มาเช่ือมระหว่างประโยคย่อยท่ีซ้อนกัน เพ่ือขยายกริยาวลี ประโยคย่อยหรืออนุประโยค
(CP) “that you knew” เป็นส่วนขยายกริยาวลีหลัก “mean” และอนุประโยค (CP) “that I knew”
เป็นสว่ นขยายกริยา “ knew”
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า การสร้างประโยคท่ีไม่จำกัด สามารถทำได้โดยการเพิ่มส่วนขยาย
เปน็ ชั้นๆ เช่นเดียวกบั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
159
2. VP
S
NP
V CP
knows C S
that
NP VP
Billa V CP
wonders C S
whether NP VP
Mercy V CP
noticed C S
that NP VP
Tata V NP
caught Det N
a cat
รายละเอียดท่ีได้กล่าวมาท้ังหมดเป็นกฎโครงสร้างวลีท่ีสามารถนำมาสร้างประโยคได้
อย่างไม่จำกัด เปรียบเสมือนต้นไม้ที่แผ่กิ่งก้านสาขาได้โดยมีส่วนรากเป็นหลัก เช่นเดียวกับประโยคมี
สว่ นประกอบก่ิงกา้ นสาขาด้วยการนำวลีมาเรยี งซำ้ กัน(recursive phrase) และสามารถขยายต่อไดไ้ ม่
จำกัด
160
บทสรุป
วลี (phrase) คือ กลุ่มคำท่ีนำมารวมกันมีหน้าที่แตกต่างกันข้ึนอยู่กับชนิดของวลี ท้ังน้ีวลีแต่
ละชนดิ มีส่วนประกอบหลัก (head) ของวลี เช่น นามวลี (noun phrase) มีคำนามเป็นส่วนหลัก กริยา
(verb phrase) มีคำกริยาเป็นส่วนหลัก บุพบทวลี (prepositional phrase) มีคำบุพบทเป็นส่วนหลัก
อย่างไรก็ตาม วลีแต่ละชนิดท่ีมาเรียงกันเป็นประโยคมีองค์ประกอบอ่ืนได้ไม่จำกัดโดยการนำวลีมาซ้ำ
ในประโยค (recursive phrase) ท้ังน้ีขึ้นอยู่กับโครงสร้างวลีชนิดนั้น ๆ เช่น นามวลี มีโครงสร้างดังนี้
NP = (Det) (Adj) N (PP) ส่ ว น ก ริยาวลี มี โค รงส ร้างดั งน้ี VP = V (NP) (Adv) (PP) ก ล่ าวคื อ
สว่ นประกอบทอี่ ย่ใู นวงเล็บมหี รอื ไม่กไ็ ด้
161
แบบฝึกหัด
1. จงขดี เส้นใต้หนว่ ยหลกั (head) ของวลตี อ่ ไปนี้คือคำใด
1.1 after the meal (PP)
1.2 the nice neighbour (NP)
1.3 were waiting for the movie (VP)
1.4 absolutely right (AP)
1.5 at the end of road (PP)
1.6 climb up the highest mountain (VP)
1.7 took the training (VP)
1.8 really very pretty (AP)
1.9 the mother of John (NP)
1.10 sing a national anthem (VP)
2. จงขดี เส้นใต้คำหลัก (head) ของนามวลีตอ่ ไปน้ี
2.1 The bridge
2.2 The new bridge
2.3 The new concrete bridge
2.4 The bridge between the villages
2.5 The new bridge which was painted black
2.6 The new bridge between the villages which painted black
3. ขีดเสน้ ใต้ NP ในประโยคต่อไปน้ี
3.1 The birds are singing happily.
3.2 The bad boys kicked the dog.
3.3 Lalita bought those books.
3.4 The news was shocking.
3.5 These books were chosen by Anny.
162
3.6 The building will be renovated next week.
3.7 Huda will mail these letters.
3.8 Those letters will be mailed by Huda.
4. ขีดเสน้ ใต้ส่วนที่เป็น VP
4.1 Every day Anne sends her mother a shot massage.
4.2 Maria refused every one of the accusations.
4.3 Ananda keeps her bedroom spotlessly clean.
4.4 I shall look up my close friend in Bangkok.
4.5 Tomorrow will be the last day of my trip.
4.6 The lecture will be finished at eleven.
4.7 No one had told Liza the bad news.
4.8 They will move next year.
4.9 Somebody should have turned on the light.
4.10 Everybody enjoyed the party last night.
5. จงยกตัวอย่างวลีตามกฎโครงสรา้ ง (phrase structure rules) ต่อไปน้ี
VP V + (NP)
…………………………………………………….
NP (Det) + (Adj) + N + (PP)
……………………………………………………
PP P + NP
……………………………………………………
6. ระบวุ า่ VP ต่อไปน้ี มสี ่วนประกอบอะไรบ้าง
ตัวอย่าง convince the customer V + NP
6.1 comfort the patients .......................
163
6.2 send her teacher those books .......................
6.3 run away .......................
6.4 look happy .......................
6.5 disappear .......................
7. จงเขยี นโครงสร้างวลขี องประโยคต่อไปนี้
7.1 A boy laughed at the girl.
7.2 The ice melted.
7.3 The hot sun melted the ice cream.
7.4 The police realized that the guy lied.
7.5 The children put the dirty clothes in the basket.
7.6 The baby slept in the cradle.
7.7 The phone rings continually.
7.8 The amazingly thin girl runs very fast.
7.9 The girl biked to the market.
7.10 The clever pretty girl gets high scores.
8. จงเขียน Tree diagram จากวลีต่อไปน้ี
8.1 drive swiftly
8.2 the brilliant student of the class
8.3 against government plans to privatize schools
8.4 vote against government plans to private schools
8.5 that they will vote against government plans to private schools
164
เอกสารอ้างองิ
Carroll, W. D. (2008). Psychology of Language. (5th ed). USA: Thomson Higher Education.
Fries, C. C. (1957). The Structure of English. London: Harcort Brace and Company INC.
Fromkin,V., Rodman, R., & Hyams, N. (1998). An Introduction to Language (6th ed). New
York : Harcort Brace.
. (2011). An Introduction to Language. (9h ed). Singapore : Wadsworth
Cengage Learning.
Gelderen, V. E. (2013). Clause Structure. New York: Cambridge University Press.
Lambrecht, K. (1998). Information structure and sentence form. United Kingdom:
Cambridge University Press.
Radford, A. (2003). Syntactic theory and structure of English. UK: Cambridge University
Press.
165
บทที่ 8
โครงสร้างประโยค
ประโยคเกิดจากการนำคำหรือวลีต่างๆ มาเรียงกันตามโครงสร้างของแต่ละภาษา ประโยค
ภาษาอังกฤษท่ีถูกต้องตามไวยากรณ์เรียงแบบ Subject – Verb – Object (SVO) ยกตัวอย่างเช่น The
priminister nominated a minister of Education. หากเรียงประโยคเป็น *The nominated a
minister priminister of Education. กจ็ ะได้ประโยคท่ีไม่ถูกตอ้ งตามกฎการสร้างประโยค ในบทน้ีจะ
อธิบายกฎการสร้างประโยค (syntactic rules) โครงสร้างประโยคชนิดต่างๆ รวมถึงนำเสนอรูปแบบ
ประโยคพนื้ ฐานในภาษาอังกฤษ
1. กฎการสร้างประโยค
การสร้างประโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ผู้เรียนภาษาต้องเข้าใจหลักการสร้างประโยค
เพราะการสร้างประโยคมิใช่เพียงการนำคำมาเรียงกัน ทั้งนี้คำท่ีนำมาเรียงต้องมีความสัมพันธ์กันและ
เรียงตามลำดบั ตามกฎเกณฑ์ ดงั ต่อไปน้ี
1.1 การลำดับคำ
การลำดับคำ (word order) มผี ลต่อความหมายของประโยคและความหมายของคำขึ้นอยู่กับ
ลำดับของคำ ยกตวั อยา่ งเช่น
a. Alina defeated Stephen.
b. Stephen defeated Alina.
จะเห็นได้ว่าประโยคข้างต้น มีความหมายต่างกัน ประโยค a. Alina ยอมพ่ายแพ้ต่อ
Stephen ในขณะที่ประโยคb. Stephen เป็นฝ่ายยอมพ่ายแพ้ต่อ Alina แต่ในการลำดับคำในบาง
กรณีกไ็ ม่มีผลตอ่ ความหมายของประโยค ยกตัวอย่างเช่น
c.The Chief Justice swore in the new President.
d.The Chief Justice swore the new President in.
จากตวั อย่างเหน็ ได้ว่าทั้งสองประโยคมีคำท่เี รยี งสลับที่แต่ความหมายของท้ังสองประโยค
ยังคงเดมิ
166
นอกจากนกี้ ารเรยี งคำในประโยคในกรณีที่ต้องการพดู ประโยคทเ่ี นน้ การกระทำที่
กล่าวถึง ใครไดร้ บั ส่งิ ใดสง่ิ หน่ึง ผู้พดู สามารถเรยี งคำในประโยคในลกั ษณะ การใช้กรรมรอง (indirect
object เขียนย่อ io) ตามดว้ ยกรรมตรง (direct object เขียนย่อ di) และในทางกลับกันหากตอ้ งการ
เนน้ ผรู้ บั (recipient) สามารถเรยี งประโยคโดยใช้คำบุพบทวลเี ป็นส่วนขยาย(prepositional
complementเขียนย่อpc) ดังตวั อยา่ งต่อไปนี้
I gave Alinda a new e-mail address. เรยี งคำตามโครงสรา้ งท่ัวไป
(IO) (DO) IO+DO
ใช้ PC เพื่อเน้นผ้รู ับ
I gave a new e-mail address to Alinda
(DO) (PC)
1.2 ความถูกต้องตามหลกั ไวยากรณ์
การสร้างประโยคที่ถูกต้อง (grammaticality) นอกจากต้องคำนึงถึงลำดับคำในการเรียงใน
ประโยคท้งั น้ตี อ้ งพจิ ารณาชนิดของคำ และความหมายอกี ดว้ ย ยกตัวอย่างเช่น
Colorless green ideas sleep furiously.
A verb crumpled the milk.
ประโยคท้ังสองเป็นประโยคที่เรียงถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ได้แก่ ประธาน +กริยา+ กรรม
หรือส่วนขยาย แม้ความหมายไมส่ ามารถเขา้ ใจได้ บางครั้งเจ้าของภาษาสามารถเข้าใจความหมายของ
ประโยคได้โดย สัญชาตญาณทางภาษาถงึ แม้การเรียงคำ (word order) ในประโยคไม่ถูกต้องก็ตาม ผู้ที่
ไมใ่ ช่เจ้าของภาษาท่ีมีความรูเ้ ก่ียวกับไวยากรณ์ภาษาอังกฤษกส็ ามารถระบุไดว้ ่าประโยคใดถูกต้องตาม
หลกั ไวยากรณ์ (Fromkin, Rodman & Hyams, 1998) ดงั ตัวอย่างตอ่ ไปน้ี
a. The boy found the ball.
b.* The boy found quickly.
c. *The boy found in the house.
d. The boy found the ball in the house.
เจ้าของภาษาสามารถเข้าใจประโยค (b) และ(c) ถึงแมเ้ ป็นประโยคที่ไมถ่ ูกหลักไวยากรณ์ หาก
พิจารณาตามกฎเกณฑ์การเรียงคำในประโยค ประโยคทั้งสองไม่สมบูรณ์ เพราะ คำว่า found ต้องตาม
167
ด้วยกลุ่มคำ เช่น “the ball” และไม่สามารถตามด้วยวิเศษณ์วลี อย่างเช่นคำว่า “quickly” หรือ
บพุ บทวลี“inthehouse.”ดังน้นั สรปุ ไดว้ า่ ประโยค(a)และ(d)ถกู ตอ้ งถามหลกั ไวยากรณภ์ าษาองั กฤษ
1.3 ความกำกวมเชิงโครงสร้าง
วลีหรือกลุ่มคำท่ีเรียงกัน การเลือกคำท่ีมีความหมายไม่ชัดเจน (Denham & Lobeck, 2010)
การแบ่งหรือจัดกลุ่มคำไม่เหมาะสม และการวางคำขยายห่างจากคำหลัก เป็นปัจจัยที่ส่งผลให้เกิด
ความกำกวมเชงิ โครงสรา้ งทั้งสิ้น (structural ambiguity) ยกตวั อยา่ ง เชน่
1.3.1 วลีกำกวมเนื่องจากการเลอื กคำทีม่ ีความหมายไมช่ ดั เจน เช่น
smart girl คำว่า smart สามารถตีความได้มากกว่า 1 ความหมาย คือ หมายถึง
ฉลาด (clever) และ หมายถึง เท่ ดดู ี (stylish)
1.3.2 วลีกำกวมเนื่องจากการแบ่งหรือจัดกลุ่มคำ คือ การแบ่งคำทีไ่ ม่เหมาะสม อาจทำให้
วลีมีความหมายกำกวมได้ ยกตัวอย่างเช่น “intelligent boy and girl” สามารถจัดกลุ่มคำได้ 2 แบบ
ได้แก่
[intelligent [boy and girl]]
การจัดกลุ่มคำในลักษณะน้ีแสดงให้เห็นว่า intelligent ขยายคำนาม “boy และ
girl” ทั้งสอง
[intelligent boy] and [girl]
หากจัดกลุ่มคำดังตัวอย่าง แสดงให้ว่า intelligent ขยาย คำนาม boy เพียงอย่างเดียว
ตามหลักไวยากรณ์การแบ่งคำในลักษณะดังกล่าวสามารถทำได้แต่ทั้งสองแบบมี
ความหมายกำกวม ซง่ึ สามารถแสดงดว้ ยแผนภูมิไดด้ งั นี้
intelligent boy and girl intelligent boy and girl
วลีกำกวมเน่ืองจากการวางคำขยายห่างจากคำหลัก ในการสื่อสารบางคร้ัง
ผู้สื่อสารอาจไม่คำนึงถึงความหมายท่ีมีความกำกวม สามารถตีความได้มากกว่าหน่ึงความหมาย ท้ังน้ี
ความกำกวมอาจเกิดจากการเรียงคำในประโยค การจัดกลุ่มคำ และการวางคำขยายห่างจากคำหลัก
เช่นประโยคตอ่ ไปนี้
For sale: “an antique desk suitable for lady with thick legs and large drawers”
Wanted: Boy to take care of sheep that does not take a shower and sleep.
168
จะเห็นได้ว่าข้อความโฆษณา (For sale) ข้างบนมีความกำกวมเนื่องจากส่วน
ขยายอยู่ห่างจากคำหลักที่จะขยาย “with thick legs and large drawers” เป็นส่วนขยายของคำว่า
“desk” ดังนั้นควรวางส่วนขยายให้ใกล้คำนามหลักนั้น หากพิจารณาจากความหมายของกลุ่มวลี
ดังกล่าวสามารถเขียนให้เข้าใจง่ายและไม่กำกวม คือ “an antique desk with thick legs and large
drawers, suitable for a lady” เช่นเดียวกับประโยคประกาศรับสมัคร (Wanted) มีใจความกำกวม
เพราะ วลี “that does not take a shower and sleep” เป็นส่วนขยายของคำว่า Boy เมื่อนำไปวาง
ขา้ งหลงั คำว่า sheep ทำให้ดเู หมือนว่า วลีดงั กล่าวไปขยายคำวา่ sheep ดังนั้นอาจเขียนใหม่ได้คือ “A
boy who does not take a shower and sleep is needed to take care of sheep” หรือ “A boy
is needed to take care of sheep that does not take a shower and sleep.” ข้ อ ค ว า ม ท่ี
ยกตัวอย่างดังกล่าวข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า ส่วนขยายต้องเรียงอยู่ติดกับคำหลัก (head) และ
ความหมายของประโยคทำให้ผู้อ่านรู้สึกประหลาดใจ เน่ืองจากการจัดกลุ่มคำ การวางส่วนขยายใน
ตำแหนง่ ท่ไี ม่เหมาะสมและห่างจากคำหลัก
1.4 ความสมั พนั ธข์ องคำทางหลักไวยากรณ์
โดยทั่วไปส่วนประกอบของประโยคจะมีความเก่ียวโยงและสัมพันธ์กัน (grammatical
relations) สามารถพิจารณาได้จาก ประธาน (subject) และ กรรมของคำกริยา (direct object)
ยกตวั อยา่ งเช่น
a. Lina hired Rusmi.
b. Rusmi hired Lina.
ประธานของประโยค (a) ไดแ้ ก่ Lina เป็นผู้กระทำกริยา hired และ Rusmi เป็นกรรมตรง
กล่าวคือ ความสัมพันธ์ของ Lina และ Rusmi เป็นนายจ้างและลูกจ้าง ส่วนประโยค (b) Rusmi เป็น
ประธานของประโยคในขณะที่ Lina เป็นกรรมตรง ดังนั้น Rusmi เป็นนายจ้างส่วน Lina เป็นลูกจ้าง
ดงั น้ันประโยค (a) และ (b) มคี วามหมายแตกตา่ งกัน
1.5 ความหมายของประโยค
โดยทัว่ ไปประโยคในภาษาอังกฤษจะเรียงประธานเปน็ ผ้กู ระทำกรยิ าต่างๆ (active voice)
อย่างไรกต็ ามสามารถสร้างประโยคทีเ่ น้นผูไ้ ด้รับการกระทำได้ (passive voice) ดว้ ยการใชบ้ ุพบทวลี
เช่น
a. Lina hired Rusmi.
b. Rusmi was hired by Lina.
169
ประโยค (a) และ (b) มีความหมายเหมือนกันถึงแม้โครงสรา้ งประโยคต่างกัน ประโยค (b)
เน้นผู้กระทำดว้ ยการใช้บพุ บทวลี (by Lina)
จากข้อมูลข้างบนสรุปได้ว่า การสร้างประโยคต้องเป็นไปตามกฎ (syntactic rules) หรืออาจ
สรุปได้ว่าประโยคทุกประโยคย่อมเกิดจาการนำส่วนต่างๆ (constituent) มาเรียงตามลำดับ
ดงั ตัวอยา่ งประโยคต่อไปน้ี
The child found the rabbit.
เป็นประโยคที่มีส่วนของนามวลีคือ “The rabbit “ และ “found the rabbit” เป็นกริยาวลี
อยา่ งไรกต็ ามนามวลี “The child” สามารถนำกลมุ่ คำอ่ืนๆมาแทนทีไ่ ด้ ดงั ประโยคต่อไปน้ี
A police officer found the rabbit.
Your neighbor found the rabbit.
He found the rabbit.
กลุ่มคำ “A police officer” “Your neighbor” และ “He” เป็นนามวลี จึงสามารถนำมาใช้
แทนท่ตี ำแหน่งของ “The child”ได้
จากข้อความข้างต้นสรุปได้ว่า การสร้างประโยคต้องให้ความสำคัญกับกฎการสร้างประโยค
เพ่อื ให้ไดป้ ระโยคที่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์
2. ชนิดของโครงสรา้ งประโยคภาษาองั กฤษ
ประโยค คือ คำท่ีเรียงต่อกันอย่างเป็นระบบเพ่ือสื่อสาร ทั้งน้ีในการเขียนและพูด ผู้สื่อสารได้
นำคำมาเรียงกันบางคร้ังคำท่ีเรียงต่อกันอาจไม่ใช่ประโยคเสมอไป บางคร้ังประโยคท่ีไม่ถูกต้อง
สามารถส่ือสารได้ เช่น “ฉันจะข้าวกิน” เป็นประโยคที่วางส่วนประกอบผิดตำแหน่งอย่างไรก็ตามใน
ฐานะเจ้าของภาษา อาจเข้าใจความหมายที่ผู้พูด ต้องการสื่อ เช่นเดียวกับกลุ่มคำในประโยคจะต้อง
แบ่งให้ถูกต้องตามกฎโครงสร้างวลีในภาษาน้ันๆ เช่น “The little girl washes the dish” ผู้ท่ีมี
ความรู้ภาษาอังกฤษสามารถแยกส่วนประกอบของประโยคได้ เป็น 2 กลุ่ม [The little girl] และ
[washes the dishes] หากผู้ท่ีไม่มีความรู้ดังกล่าวอาจแบ่งกลุ่มคำในประโยคเป็น [the little]
[girl][washes the dish]
170
ในการวิเคราะห์ประโยคภาษาอังกฤษ นักไวยากรณโ์ ครงสร้างไดแ้ ยกส่วนประกอบประโยคท่ี
มารวมกนั เปน็ คำหรอื กลมุ่ คำทมี่ คี วามสัมพันธใ์ นลักษณะแตกต่างกนั โดยทว่ั ไปโครงสรา้ งพื้นฐานประโยค
ภาษาองั กฤษสามารถจำแนกได้5แบบได้แก่โครงสร้างแบบmodification,predication,
complementation, subordination, และ coordination มีรายละเอียดดังนี้ (Fries,1957)
2.1 โครงสรา้ ง structure of modification
โครงสร้างชนิดนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบหลักกับส่วนที่มาขยาย
โครงสร้างน้ีแสดงความสัมพันธ์ของส่วนประกอบ 2 ส่วน คือ ส่วนหลัก (head) กับส่วนขยาย
(modifier)
ส่วนหลัก คือ ส่วนที่เป็นใจความสำคัญ หรือ เป็นแก่น มีลักษณะคงท่ีตายตัวละไม่ได้ แต่
สว่ นขยายนั้นเป็นองค์ประกอบที่มาช่วยเสริมหรือให้รายละเอียดเพิ่มเติมเก่ียวกับส่วนหลัก ส่วนขยาย
ส่วนใหญ่จึงละได้ (optional) ยกตัวอย่างเช่น วลี “ white cars” หรือ “quite big” ซ่ึงแต่ละวลี
ประกอบไปด้วย 2 คำ โดยทั่วไปส่วนหลักจะอยู่ท่ีคำว่า cars ใน วลีแรก และ คำคุณศัพท์ big ในวลีท่ี
สอง สรุปได้ว่า คำว่า cars และ big เป็นสิ่งที่ผู้พูดต้องการพูดถึง ส่วนคำว่า white และ quite นั้นมา
ชว่ ยเสรมิ ขยายความใหผ้ ้ฟู ังทราบว่า รถมสี ใี ดในวลีแรก และใหญ่ขนาดไหนในวลที ส่ี อง
การเรียงองค์ประกอบของวลีข้างต้นเป็นการเรียงตามโครงสร้างที่มี modifier และ
โครงสร้างชนิดนี้ มขี ้อทน่ี า่ สังเกตว่าองค์ประกอบใดจะมาก่อนก็ได้ ดงั จะเหน็ ไดจ้ ากแผนภมู ขิ ้างล่างน้ี
modifier head
lovely girls very cold
brick walls rather red
interesting story extremely hot
จากตัวอยา่ งข้างบน สงั เกตได้ว่าสว่ นหลกั อยทู่ างขวามอื ส่วนขยายอยู่ข้างหน้า นอกจากนี้
สว่ นหลักสามารถอยู่ขา้ งหน้าส่วนขยายไดเ้ ช่นกนั ดงั ตวั อย่างต่อไปน้ี
head 171
student outside modifier
rooms upstairs work hard
difficult indeed run rapidly
walk home
จากกลุ่มตัวอย่างข้างบน สังเกตได้ว่าส่วนหลักอยู่ทางซ้ายสุด ส่วนขยายอยู่ข้างหลัง
องค์ประกอบทั้งสองส่วนคือส่วนหลัก (head) และส่วนขยาย (modifier) อาจเป็นคำประเภทใดก็ได้
รวมถึง function word บางตัว โครงสร้างแบบ modification สามารถมีส่วนหลักและส่วนขยายได้
อาจสรุปไดด้ งั นี้
STRUCTURE OF MODIFICATOIN
head modifier
nouns nouns
verbs verbs
adjectives adjectives
adverbs adverbs
function words function words
ภาพที่ 8.1 โครงสรา้ งแบบ modification
ทมี่ า (พงษ์ศรี เลขะวฒั นะ, 2552 : 224)
สรุปได้ว่า คำชนิดต่างๆที่แสดงในภาพที่ 8.1 สามารถเป็นส่วนหลักและส่วนขยาย
โครงสร้างชนิดนี้สามารถวิเคราะห์ส่วนหลักและส่วนขยายโดยจะพิจารณาองค์ประกอบที่เป็น head
word เป็นหลกั (Denham & Lobeck, 2010) ดังนี้
172
1. คำนามเป็นส่วนหลกั (head)
โครงสร้างแบบ modification หากมีคำนามเป็นองค์ประกอบหลัก ส่วนขยายจะเป็น
คำประเภทใดก็ได้ ดังตอ่ ไปนี้
1.1 คำนามด้วยกัน
1.2 คำกริยา
1.3 คำกรยิ าวเิ ศษณ์
1.4 คำคุณศัพท์
1.5 คำที่แสดงหนา้ ทีท่ างไวยากรณ์ (function words)
คำนามที่ขยายคำนามด้วยกัน คำนามที่เป็นส่วนขยาย จะอยู่ในตำแหน่งหน้าคำนามที่
เป็นสว่ นหลักเสมอ แบ่งได้ 2 ลกั ษณะไดแ้ ก่
ลักษณะที่ 1 คำขยายเป็นคำนาม ลูกศรโยงจากส่วนขยายมายังส่วนหลัก ยกตัวอย่าง
เชน่
gold / ring leather / shoes
fish / market brick / house
ลักษณะท่ี 2 ส่วนขยายที่เป็นคำแสดงความเป็นเจ้าของส่วนหลักอยู่ทางขวา
ตัวอยา่ งเช่น
Bella’s / car Rusnee ’s / house
children’s / toys parents’ concern
นอกจากน้ี คำกรยิ าสามารถเป็นส่วนขยายนามได้ เม่ือใช้คำกริยาเป็นส่วนขยาย (modifier)
คำกรยิ าจะอยู่ในรูปแบบต่อไปนี้
173
1. รูปแบบ present participle คอื เติม {-ing} ท้ายคำกริยา
2. รปู past participle คือ เติม {-ed} ท้ายคำกริยา
3. รูป infinitive ทมี่ ี to อยขู่ ้างหน้าคำกริยา
กริยารูปแบบ present participle ท่ีเป็นส่วนขยายนามสามารถอยู่หน้าหรือหลัง
คำนาม ถ้าไม่มีคำชนิดอื่นตามมามักจะวางข้างหน้าคำนาม ถ้าเป็นส่วนของโครงสร้างใหญ่ก็จะวางข้าง
หลังคำนาม ดงั ตวั อยา่ ง
roaring / tigers
the tiger / roaring in the zoo
กริยาในรูปแบบ past tense form ที่เป็นส่วนขยายคำนามจะอยู่ข้างหน้าคำนามหลัก
ดังตัวอยา่ ง เช่น
vanished / car
กริยารปู แบบ infinitive ท่ีมี to จะตามหลังคำนามหลักเสมอ เชน่
the doctor / to consult
the place / to stay
ตัวอย่างข้างล่างต่อไปนี้มีข้อสังเกตท่ีน่าสนใจเกี่ยวกับกริยารูป {- ing} คือ คำนามที่
ประกอบด้วย suffix {- ing} และคุณศัพท์ท่ีประกอบด้วย suffix {- ing } อาจใช้เป็นส่วนขยายนามได้ และ
อยู่ในตำแหน่งระหว่างคำกริยากับคำนาม ท้ังนี้ คำที่ลงท้ายด้วย {-ing}จะเป็นคำประเภทใด
อาจพจิ ารณาได้ดังตวั อย่างนี้
an interesting machine
a falling machine
a washing machine
174
การทดสอบคำที่ ลงท้ ายด้วย {- ing} ท้ั งสามคำ “interesting”, “falling” และ
“washing” สามารถพิจารณาคุณสมบัติของคำท้ังสามด้วยการนำไปวางหลังคำกริยา be ซึ่งเป็น
linking verb คำทีเ่ ป็นคำกริยาและคำคณุ ศัพทเ์ ทา่ นั้นสามารถปรากฏหลัง be ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
a machine that is interesting
a machine that is falling
*a machine that is washing
คำว่า “washing” ไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งหลัง be ส่วนคำว่า “interesting” และ
“falling” อยู่ในตำแหน่งนี้ได้ เมื่อเป็นเช่นน้ี คำทั้งสองอาจเป็นคำประเภทเดียวกัน การทดสอบลำดับ
ถัดไปคือ หากเติมคำประเภท intensifier เช่น very หรือ quite ข้างหน้า โดยทั่วไปคำประเภท
intensifier นั้นจะปรากฏ ข้างหน้าคำคุณ ศัพท์ได้ แต่ปรากฏหน้าคำกริยาไม่ได้ จะเห็นว่า
“very”สามารถเติมได้กับ interesting เท่านั้น แสดงว่า “interesting” และ “falling” ไม่เป็นคำ
ประเภทเดียวกนั “interesting” จดั อยใู่ นประเภทคำคุณศัพท์
a machine that is very interesting
* a machine that is very falling
เราอาจกล่าวได้ว่า คำที่ลงท้ายด้วย {-ing} ทั้ง 3 คำน้ี เป็ นคำต่างประเภ ท
“interesting” ในที่นี้เป็นคำคณุ ศพั ท์ สว่ น falling เป็นคำกริยา และ washing เป็นคำนาม
กริยาวิเศษณ์สามารถเป็นส่วนขยายได้แต่มักไม่ปรากฏบ่อย เม่ือคำนามเป็น
องค์ประกอบหลกั กับคำคณุ ศัพท์และคำนาม คำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้เป็นสว่ นขยายมักปรากฏหลังคำนาม
เชน่
Thailand / now
people / here
the road / back
คำคุณศัพท์นับว่าเป็นส่วนขยายคำนามที่พบบ่อยท่ีสุด ทำให้เข้าใจว่าคำที่ขยายนามมี
เพียงคำคุณศัพท์เท่านั้น ในภาษาอังกฤษคำคุณศัพท์ (adj.) มักอยู่หน้าคำนาม แต่คำคุณศัพท์วลี
(adjective phrase) จะอยหู่ ลงั นามเสมอ ตัวอย่างเช่น
175
important / news
news / important to us
common mistakes
mistakes common among students
big / room
rooms / big enough for the seminar
กรณีทมี่ ีคำกำกับนาม คำคุณศัพทจ์ ะอยู่ระหว่างคำกำกับนามและคำนาม เช่น
tall building
a tall building
this tall building
นอกจากน้ี function word บางประเภท เช่น determiner ใช้กำกบั นามมักอยู่ข้างหนา้
คำนามเสมอ คำที่พบบ่อยได้แก่ definite and definite determiners (a, an, the) demonstrative
determiners (this, that, these those) number (one, two, three, first, second) เปน็ ต้น
ยกตวั อย่างเชน่
the / boys his / boys
those / boys many / boys
two / boys several / boys
นอกจากนี้คำนามท่ีทำหน้าท่ีเป็นส่วนหลัก เมื่อมีคำขยายประเภทอื่น คำกำกับนาม
(determiner) จะมาวางขา้ งหน้าสุด ตัวอยา่ งเชน่
the university student
that smiling student
several smart students
a few fascinating students
176
2. คำกริยาเปน็ คำหลกั
โครงสร้างแบบ modification มีคำกริยาเป็นองค์ประกอบหลัก เป็นอกรรมคำกริยาไม่
ตอ้ งการกรรม แตส่ ามารถมสี ว่ นขยายได้ ดงั นี้
2.1 คำนาม
2.2 คำกรยิ าดว้ ยกนั
2.3 คำคุณศพั ท์
2.4 คำกรยิ าวิเศษณ์
ขอ้ ท่ีนา่ สนใจก็คือ คำนามบางตัวอาจทำหน้าที่ขยายคำกรยิ า และในกรณีเช่นนี้ คำนาม
จะอยู่ตามหลังกริยา (คำทลี่ ูกศรช้เี ป็นคำหลกั ) เช่น
go home walk that way
rest all day walk several hours
โครงสร้างแบบ modification มีคำกริยาเป็นส่วนหลักและคำนามเป็นส่วนขยาย
มลี ักษณะคลา้ ยกับกริยาทต่ี ้องมีกรรมตามหลัง หากวเิ คราะหใ์ หเ้ ห็นข้อแตกต่างของโครงสรา้ งทัง้ สองนี้
ทำได้โดยการนำสรรพนามมาแทนคำนาม ถ้าแทนได้โดยไม่เปลี่ยนความหมาย คำนามน้ันเป็นกรรม
ของกริยา แต่ถ้าแทนด้วยสรรพนามทำให้ความหมายเปล่ียนหรือทำให้เสียความ คำนามน้ันก็ไม่ใช่
กรรมแตเ่ ปน็ ส่วนขยายกริยา ดังจะเห็นได้จากตวั อย่างทเ่ี ปรียบเทยี บดังตอ่ ไปน้ี
สว่ นขยายของกรยิ า กรรมของกรยิ า
She called home. She called his dad.
They arrived this morning. They spent the morning together.
จะเห็นว่า his dad กับ the morning แทนด้วยสรรพนาม him และ it ตามลำดับได้
โดยประโยคไม่เสียความ แสดงว่าท้ัง 2 ตัวนี้เป็นกรรม แต่ ถ้า home และ this morning แทนด้วยคำ
สรรพนาม him และ it จะทำให้ไม่ไดใ้ จความ แสดงวา่ เปน็ สว่ นขยายกริยา
กริยาที่นำมาขยายกริยาด้วยกัน จะอยู่ข้างหลังเสมอ และมักเป็นการกระทำ 2 อย่างท่ี
เกิดข้ึนพร้อมกนั มี 2 ลกั ษณะ คือ
177
1. present participle เชน่
came running
sat playing
2. infinitive
go to play
pretend to speak
คำคณุ ศัพท์บางตัวอาจทำหน้าท่ขี ยายกริยาได้ เช่น
go /crazy
fall /flat
run / wild
คำประเภทสุดทา้ ยท่ีขยายกริยาไดก้ ็คือกรยิ าวเิ ศษณ์ ซง่ึ ส่วนใหญ่จะปรากฏหลงั กริยา
drive fast went outside
saw him afterwards spoke to me about it briefly
seldom speaks rarely smiles
2.2 โครงสร้าง structure of predication
องค์ประกอบของโครงสร้างชนิดนี้ คือ ภาคประธานsubject (S) และ ภาคแสดง predicate
(P) นอกจากน้ีภาคประธานอาจเป็นคำเดี่ยวๆ หรือเป็นประโยค โครงสร้างชนิด modification,
complementation และ coordination และโครงสร้างแบบ predication น้ี ส่ิงที่เห็นได้ชัดที่สุดคือ
เมื่อพบ predicate ก็จะเห็น subject ได้โดยง่าย predicate ต้องเป็นกริยาหรือกริยาวลีเท่าน้ัน
เนื่องจากส่วนสำคัญของ predicate คือกริยา ดังนั้นถ้า predicate เป็นคำเพียงคำเดียว คำน้ันจะต้อง
เป็นกรยิ า เช่น
178
Sulhan walked.
My friend comes.
เมื่อกล่าวถึงส่วนประกอบภาคประธานหรือ subject จะปรากฏหน้า predicate ประธาน
สว่ นใหญเ่ ปน็ คำนามหรือโครงสรา้ งขยายทีม่ นี ามเป็นหลัก (ส่วนทข่ี ดี เส้นใต้เป็นภาคประธาน) เช่น
Johan came.
The boy was late.
That beautiful house was sold last week.
การกระทำ) คำประเภทอนื่ สามารถเป็นประธานได้เช่นกัน ยกตวั อยา่ งเชน่
คุณศัพท์ : Handsome is as handsome dose. (จะงดงามหรือไม่สุดแล้วแต่
กริยาวิเศษณ์ :Now is the time to show.
กรยิ า infinitive :To survive is human.
ภาคประธาน (subject) สามารถมีโครงสร้างชนิดตา่ งๆได้ ดงั ตัวอยา่ งต่อไปนี้
1. ภาคประธานท่ีอยู่ในรูปโครงสร้างพื้นฐานชนิด structure of complementation
ทำหนา้ ท่ีเปน็ ภาคประธาน ดงั ตัวอย่างประโยคต่อไปนี้
To make a good living takes hard work.
Playing volleyball is his favorite sport.
Voting him president was a mistake.
สว่ นที่ขดี เสน้ ใต้ เป็น subject และส่วนทไ่ี มข่ ดี เสน้ ใต้เปน็ predicate
2. ภาคประธานท่ีอยู่ในรูปโครงสร้างพ้ืนฐานชนิด structure of coordination สามารถ
ทำหน้าที่เปน็ ภาคประธานไดเ้ ชน่ กนั ดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี
Food and drink will be served in the lobby.
To do or not to do is the question.
3. ภาคประธานท่ีอยู่ในรูปโครงสร้าง structure of subordination สามารถทำหน้าท่ี
เป็นภาคประธานได้ ดังตวั อย่างต่อไปน้ี
179
After dinner is the most convenient time.
Whether he can attend the seminar is crucial.
เม่ือประธานเป็นสรรพนาม I, he, she, we, they และ who ซึ่งมีหลายรูป สรรพนามมัก
อยใู่ นรปู subjective เช่น
She went yesterday.
We were forced to be there at six.
They left late.
Who is that girl?
นอกจากนี้ประธาน “ there” ในตัวอย่างข้างล่างนี้เป็น function word สามารถทำหน้าท่ี
เป็นประธานอยู่ในตำแหน่งข้างหน้ากริยาแทนประธานท่ีแท้จริงท่ีอยู่ตามหลังกริยา กริยาในประโยค
ประเภทนจ้ี ะเปน็ เอกพจน์หรือพหูพจนข์ ึน้ อยกู่ ับนามทีต่ ามมา เช่น
There is a book on the table.
There are several children in the room.
ภาคแสดง หรือ Predicate สามารถเปน็ กริยาวลีได้ซงึ่ จะเป็นโครงสรา้ งแบบ modification,
complementation หรอื coordination ได้เช่นกนั ดงั ตวั อยา่ งตอ่ ไปนี้
กรณีท่ีภาคแสดง หรือ predicate มีโครงสร้างแบบ modification ตัวหลัก (head)
ตอ้ งเปน็ กริยาทีป่ ระกอบดว้ ยสว่ นขยาย ยกตวั อยา่ งเช่น
The man returned home after midnight.
The bus usually comes at seven o’clock.
เมื่อภาคแสดง หรือ predicate มีโครงสร้างแบบ complementation ดังน้ันคำกริยา
ชนิดต้องการสว่ นขยายมาเตมิ เตม็ หรือ มีกรรมมารองรบั ยกตัวอย่างเชน่
The water is warm.
The mother punished him.
180
เมื่อภาคแสดง หรือ predicate มีโครงสร้างแบบ coordination ดังนั้นภาคแสดงมี
กริยามากกวา่ 1 คำและมีคำเชอ่ื มระหวา่ งคำ เชน่
Islah laugh and cried.
Bila came on time and returned late.
ข้อสังเกตเกี่ยวกับคำกริยาท่ีเป็นองค์ประกอบของ predicate ในโครงสร้างแบบ
predication เป็นกริยา non-finite (กริยาไม่แท้) ในรูป infinitive และตามด้วยสรรพนามซ่ึงเป็น objective
ตัวอย่างเชน่
He told me to leave.
She persuaded him to write an easy.
ท้ังหมดสรปุ ไดว้ ่า โครงสร้างแบบ predication มหี ลกั การสำคญั คือ มคี ำกรยิ าเปน็ ส่วนสำคัญ
ของภาคแสดง (predicate) และภาคประธาน (subject) เป็นผู้กระทำกริยาน้ันโดยประธาน อาจเป็นคำ วลี
หรืออนุประโยค
2.3 โครงสร้าง structure of complementation
โครงสร้างชนิดน้ีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบท่ีเป็นคำกริยาท่ีไม่สามารถ
ปรากฏโดยลำพัง องค์ประกอบของโครงสร้างนี้คือ verbal element (v) และ complement (c) ส่วนท่ี
เรียกว่า verbal element เป็นกริยาหรือกริยาวลีก็ได้ แต่กริยาหลักจะต้องตามด้วย linking verb หรือ
transitive verb เท่าน้ัน และต้องมี complement ตามทุกครั้ง ยกตัวอย่างเช่น feels happy
เป็นโครงสร้างแบบ complementation กริยา feels เป็น verbal element ซึ่งเป็น linking verb
สว่ น happy เป็น complement
อีกตัวอย่างหนึ่งได้แก่ are studying English เป็นโครงสร้างแบบ complementation
ประกอบด้วย verbal element คือ “are studying” เป็นกริยาต้องการกรรม (transitive verb) และ
สว่ น เตมิ เตม็ (complement) คอื English
complement เป็นองค์ประกอบคู่กับกริยา ทั้งน้ีอาจแบ่งประเภทกริยาในภาษาอังกฤษ
โดยใช้ complement เป็นเกณฑ์ไดเ้ ปน็ 3 ประเภทใหญ่ คอื
181
1. linking verb ได้แก่กริยาท่ีเช่ือมระหว่างประธานกับ subject complement
ไม่สามารถปรากฏโดยลำพังได้ จำเป็นต้องมี subject complement ตามมาเสมอเพื่อให้ความหมาย
สมบูรณ์ กริยาท่ีพบบ่อยท่ีสุด คือ v.to be ตัวอย่างอ่ืนๆได้แก่ seem, remain, appear, feel, sound
เป็นต้น
ตวั อย่าง becomes angry
The baby seems
remains
looks
sounds
ท้ังนี้อาจใช้ be เป็นเกณฑ์ในการตัดสินว่ากริยาตัวใดเป็น linking verb หรือไม่ ถ้าใช้ BE
แทนทไ่ี ด้โดยไมเ่ ปลีย่ นความหมายทางโครงสร้าง กรยิ าตวั น้ีนบั ว่าเป็น linking verb ในตัวอย่างข้างบน
จะเห็นว่า becomes, seems remains , looks, และ sounds สามารถแทนท่ีด้วย be คือ is ได้
ดงั นนั้ กริยาเหลา่ นจี้ ึงเป็น linking verb
คุณสมบัติอีกประการหนึ่งของกริยาประเภทนี้คือ ไม่มีรูป passive รูปแบบท่ีประธานถูก
กระทำ การพิจารณาว่ากริยาตัวใดเป็น linking verb หรอื ไม่จะใช้คุณสมบัติข้อนี้เป็นเกณฑ์เพียงอย่าง
เดียวไมไ่ ด้ เพราะเป็นกริยาประเภทไม่ต้องการกรรม (intransitive verb) ก็ไม่มีรูป passive เช่นกัน
2. intransitive verb เป็นกริยาประเภทไม่จำเป็นต้องมีองค์ประกอบใดตามมา แต่ถ้ามี
องค์ประกอบตามมา ส่วนที่ตามมาน้ันมักเป็น modifier ช่วยขยายความให้กับประโยคเท่าน้ัน
ยกตวั อย่าง เชน่
The boy ran.
The boy ran quickly.
The boy ran quickly toward his father.
The rain stopped.
The rain stopped at once.
The rain stopped at once before we started the journey.
182
3. transitive verb กริยาประเภทนี้มีลักษณะเหมือนกับ linking verb คือสามารถ
ปรากฏลำพังได้ จำเป็นต้องมี complement เสมอ มิฉะนั้นใจความประโยคจะไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้
กริยาประเภทนี้ มีรูป passive ต่างจากกริยาท้ัง 2 ประเภทที่ได้กล่าวมาแล้ว ซึ่งไม่มีรูป passive
โดยส่วนทีเ่ ปน็ complement จะเปน็ ประธานของประโยค passive เช่น
The man painted the room.
The boy kicks the ball.
กริยา painted และ kicks ในรูป active voice อาจจะแทนด้วย was painted และ is
kicked ได้ เมอ่ื ย้ายสว่ นทีเ่ ปน็ complement คือ the room และ the ball มาเป็นประธาน
The room was painted by the man.
The ball was kicked by the boy
คำกริยาภาษาอังกฤษหลายตัวมีรูปเหมือนกันแต่เป็นกริยาต่างประเภทกัน เม่ือกริยา
เหล่าน้ีปรากฏเดี่ยวๆ เราอาจไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นกริยาประเภทใด เราอาจบอกได้ก็ต่อเม่ือกริยา
เหลา่ น้อี ยูใ่ นโครงสร้างประโยคสมบูรณ์ ดงั ตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
linking Ella sounds angry.
intransitive The fire alarm sounded.
transitive The watchman sounded the alarm.
นอกจากนี้ทั้ง linking verb และ transitive verb ยังต้องปรากฏคู่กับ complement
ที่แตกต่างออกไปด้วย การปรากฏคู่กันของกริยาท้ัง 2 ประเภทน้ีกับ complement อาจพิจารณาใน
ลกั ษณะต่อไปนี้
1. linking verb + subjective complement
subjective complement หมายถึง ส่วนเติมเต็มประธานของประโยค อาจเป็น
คำนาม กริยา คุณศพั ท์ กรยิ าวิเศษณ์ วลหี รืออนุประโยค เชน่
Her sister is a nurse.
183
The mango is green
She is in her house.
Her hobby is doing yoga.
The trouble is he did not tell the truth.
2. transitive verb + direct object
direct object คือกรรมตรงของกริยา (ได้แก่ คำนาม สรรพนาม กริยา) วลี หรือ
อนปุ ระโยค ถ้า direct object เป็นสรรพนามจะอยู่ในรูปสงิ่ ของ (object case) เช่น
I saw him
He found his book.
I want to go.
We saw an excellent film about India.
He likes walking in the rain.
This factory hires young men and women.
I know he is here.
We wonder where he is.
3. transitive verb + indirect object + direct object
indirect object (กรรมรอง) อาจเป็นคำหรือวลี แต่โดยส่วนใหญ่ เป็นคำนาม
สรรพนาม และ นามวลี ยกตัวอยา่ ง เช่น
They sent their son a school bag.
She asked the student several questions.
4. transitive verb + direct object + objective complement
objective complement (สว่ นขยายกรรม)อาจเป็นคำเดี่ยวๆ หรอื วลี เชน่
They chose him their guide.
We appointed Silta our representative.
He made his family happy.
รายละเอียดท่ีกล่าวมาทั้งหมด จะเห็นได้ว่าโครงสร้างชนิดน้ีประกอบด้วย กรรม (object)
ตัวเรียงกัน เช่นเดียวกับแบบที่ 3 ที่ได้กล่าวไว้แล้ว การที่จะแยกแยะว่าเป็น direct object ตามด้วย
184
objective complement จึงต้องอาศัยการพิจารณาคุณสมบัติของ object ท้ังสองประเภทน้ี
เช่นเดียวกับคู่ indirect object และ direct object ในแบบท่ี 3 กล่าวคือ คุณสมบัติประการแรกของ
direct object และ objective complement คือ object ท้ัง 2 ตัวนี้จะต้องหมายถึงส่ิงของหรือคน
เดียวกัน ในประโยคตัวอย่างประโยคแรก him และ their guide คือคนเดียวกัน การเปล่ียนประโยค
เป็น passive จะเป็นอีกหนึ่งวิธีในการพิจารณาว่าคำนั้นเป็น direct object หรือไม่เพราะ direct
object สามารถปรากฏเป็นประธานของประโยค เม่ือเปล่ียนรูปประโยคให้เป็น passive แต่
objective complement ไม่สามารถทำให้เป็นประธาน ตวั อย่างเช่น
They chose him their guide.
He was chosen their guide by them.
แต่ objective complement จะมาเป็น subject ไมไ่ ด้
* their guide was chosen him by them.
สรุปได้ว่า กริยาที่เป็นองค์ประกอบของโครงสร้างแบบcomplementationมี2ประเภท
คือ linking verb ซ่ึงปรากฏคู่กับ complement เสมอ ส่วน complement นั้นมี 4 ประเภท ได้แก่
subjective complement, direct object, indirect object และ objective complement กริยา
ประเภท linking และกริยา transitive มีข้อจำกัดในการเกิดร่วมกับ complement สังเกตได้จากรูปแบบ
ทปี่ รากฏ ทัง้ 4 แบบที่ได้กลา่ วแล้ว นอกจากน้ีข้อให้สังเกตว่า complement แต่ละตัวนั้นจะมีตำแหน่ง
แน่นอน เช่น indirectobjectจะปรากฏระหว่างtransitiveverbกับdirectobjectเท่าน้ันหรือobjective
complement จะตอ้ งตามหลัง transitive verb กบั direct object ตามลำดับ
2.4 โครงสร้าง structure of subordination
โครงสรา้ งน้ีแสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบท่ีเป็นสันธานหรอื บุพบท โครงสร้าง
นี้ประกอบด้วย subordinator (sub) และ dependent (d) subordinator ได้แก่ บุพบท หรือสันธาน
และ dependent ได้แก่ คำหรือโครงสร้างท่ีมากบั บุพบทและสันธาน เช่น
in / the room
behind / the big factory
when / she fell down
after / he arrived
185
ดังนั้น โครงสร้างนี้คือ บุพบทวลี และอนุประโยคน่ันเอง โครงสร้างนี้มักจะเป็น
ส่วนประกอบของโครงสร้างอ่ืน เชน่ เป็น modifier ในโครงสร้าง modification
the tables in the room............
They drove behind the big factory.
They were there when she fell down.
They left after he arrived.
2.5 โครงสร้าง structure of coordination
โครงสร้างนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่างส่วนประกอบต้ังแต่ 2 ส่วนขึ้นไป โครงสร้างนี้
แตกต่างจากโครงสร้างอื่นๆ ที่ได้กล่าวมาแล้ว ตรงที่โครงสร้างอ่ืนๆจะประกอบด้วยองค์ประกอบเพียง
2 ส่วนเท่าน้ัน แต่โครงสร้างแบบ coordination อาจมีองค์ประกอบได้มากกว่าสอง ซึ่งจะเช่ือมด้วย
coordinator หรอื ไม่ก็ได้ แต่ละส่วนนน้ั จะตอ้ งเปน็ คำหรอื โครงสรา้ งประเภทเดียวกนั เช่น
1.5.1 Tom and Jerry (แต่ละสว่ นเปน็ คำนาม)
1.5.2 Anus, Putra, and Mariam (แต่ละส่วนเป็นคำนาม)
1.5.3 To live or to go (แตล่ ะส่วนเปน็ คำกรยิ า)
1.5.4 Sweet as well as beautiful lady (แต่ละสว่ นเปน็ คณุ ศัพท)์
1.5.5 John walks but Mary runs. (แต่ละส่วนเป็นประโยค หรือโครงสร้างแบบ
predication)
โครงสร้างนี้อาจเปน็ สว่ นหน่ึงของโครงสรา้ งใหญก่ ว่าก็ได้ เชน่
1. เป็นส่วนขยายของ modification เชน่
1.1 The blue and white car
1.2 The books in the drawer and on the shelf
2. เป็นสว่ นหลกั ของโครงสรา้ ง modification เชน่
2.1 The boys and girls in this class
2.2 Men and women in the village
186
โครงสร้างแบบ coordination อาจเปน็ subject หรือ predicate เชน่
1.subject: Rinda and Terry went to the sea.
Either you or he should help her.
2. predicate: They play and learn.
She can leave or stay.
รายละเอียดท่ีกล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า ประโยคในภาษาอังกฤษตามแนวไวยากรณ์โครงสร้าง
(structural grammar) ได้แบ่งประโยคเป็น 2 ส่วนหลัก คือ ภาคประธาน (subject) และภาคแสดง
(predicate)ท้ังนี้แต่ละส่วนมีโครงสร้างพื้นฐาน 5ชนิด ได้แก่ structureofmodification, structure
of predication, structure of subordination, structure of coordination, complementation
3. รปู แบบประโยคพน้ื ฐานภาษาองั กฤษ
การอธิบายรูปแบบโครงสร้างประโยคพื้นฐานในภาษาอังกฤษ จะใช้ตัวพยัญชนะแทน
สว่ นประกอบต่างๆ ดังต่อไปนี้ (Fries, 1957)
N = noun แทน คำนาม TrV = transitive verb แทนคำกรยิ าต้องการกรรม
be = verb BE แทน คำกรยิ าชว่ ย InV = intransitive verb แทนคำกริยาไมต่ ้องมีกรรม
Adj = adjective แทน คำคุณศพั ท์ LV = linking verb แทนกรยิ าเชื่อมประโยค
Adv = adverb แทน คำกริยาวเิ ศษณ์
รปู แบบที่ 1 : N + be + Adj
ประโยครูปแบบท่ี 1 อธิบายสภาพลักษณะของคำนามที่ทำหน้าที่ประธานของประโยค ซึ่งจะ
ใช้กริยา be เสมอ ตามด้วยคำคุณศัพท์ หรือคุณศัพท์วลี ยกตัวอย่างเช่น That student is lazy. ทั้งนี้
เราสามารถพสิ ูจนว์ า่ ประโยคใดเปน็ ประโยคตามรูปแบบท่ี 1 โดยการเติมคำขยาย เช่น
That student is lazy. That lazy student is very lazy.
That student is lazy. That lazy student is very lazy.
187
ประโยค That student is lazy. เขียนประโยคใหม่โดยการขยายคำนาม student ด้วย
คำคุณศัพท์ lazy ไดว้ า่ That lazy student is very lazy. ซ่ึงเป็นประโยคที่สามารถเขา้ ใจได้ สรุปไดว้ ่า
ประโยค That student is lazy. เป็นประโยคตามรูปแบบที่ 1 หากประโยคใหม่ใดท่ีขยายด้วย
คำคุณศัพท์เดิมแล้วทำให้ประโยคผิดหลักไวยากรณ์แสดงว่าประโยคนั้นไม่ใช่รูปแบบที่ 1 ยกตัวอย่าง
เชน่
My mother is outside. My outside mother is very outside.
ประโยคดังกล่าว ถึงแม้ประกอบด้วย N + be + Adj แต่เมื่อคำนึงถึงความหมาย คำคุณศัพท์
outside มิได้อธิบายลักษณะของคำนาม mother แต่เป็นส่วนขยายของคำนามท่ีเป็นประธาน ดังน้ัน
ประโยคนีไ้ มใ่ ช่ประโยครูปแบบท่ี 1
รปู แบบท่ี 2: N + be + Adv
ประโยครูปแบบที่ 2 แตกต่างจากรูปแบบที่ 1 ในแงต่ า่ งๆ ดงั นี้
1. คำกรยิ า be มคี วามหมายเก่ียวกบั การบอก ที่ตัง้ หรือ การเกิด
2. รูปแบบที่ 2 ไมส่ ามารถสร้างประโยคขยายไดเ้ หมือนรปู แบบท่ี 1
3. ตำแหนง่ ลำดับท่ี 3 ในประโยคเปน็ คำวเิ ศษณ์บอกที่ตั้ง ตำแหน่ง และสามารถขยายคำกรยิ า
คำวิเศษณ์ท่ีใช้ในรูปแบบที่ 2 มีดังนี้ here, there, up, down, in, out, inside, outside, upstairs,
downstairs, on, off, now, then, tomorrow, yesterday, over, through, above, below, before,
after, upper, uppermost, inner, inmost, innermost, outmost. เชน่
The game was yesterday.
The balls are outdoors.
รูปแบบ ที่ 3 : N (1) + be + N (2)
ประโยครูปแบบท่ี 3 ประกอบด้วย คำนามตัวท่ีสองอ้างอิงถึงคำนามตัวแรก หรืออาจกล่าวได้
วา่ คำนามตัวแรกทำหน้าทีเ่ ปน็ ประธาน (subject) และนามตัวที่สองเป็นส่วนขยายของคำนามเรียกว่า
ส่วนขยายประธาน (subjectivecomplement) ท้ังนี้คำสรรพนามต่างๆ สามารถเป็นส่วนขยาย
ประธานไดเ้ ชน่ กนั ดังตัวอยา่ งเช่น
188
He is a teacher.
This is he.
Those are mine.
They are my teachers.
Husnee is my favorite auntie.
He had never been an honor student.
รปู แบบที่ 4: N + InV
ประโยครูปแบบท่ี 4 ประกอบด้วย คำนามท่ีเป็นประธานของประโยคและคำกริยาที่ไม่
ต้องการกรรมมารองรับ ยกตวั อยา่ งเช่น
Boys run.
The old men were fishing.
นอกจากนปี้ ระโยครูปแบบนส้ี ามารถขยายดว้ ยกลุม่ คำเชน่ คำวเิ ศษณห์ รือ วเิ ศษณ์วลี เชน่
The old men were fishing in the ocean.
The old men were fishing when we drove up.
อย่างไรก็ตามประโยคแบบที่ 4 คำกริยาประเภทนี้จะไม่มีคำนามหรือคำสรรพนามใดตามหลัง
ยกตัวอย่างเช่น
They finished late. คำกริยา finished เป็นคำกริยาชนิดไม่ต้องการกรรมมารองรับ แต่ถ้า
ประโยค ต่อไปน้ี
They finished the game.
They finished it.
คำกริยา finished ในประโยคดังกล่าวมีส่วนเติมเต็มเป็นคำนามหรือสรรพนามดงั นั้นคำกริยา
finished จึงไม่ใช่กริยาชนิด intransitive บางครั้งคำกริยาชนิดน้ีอาจทำให้สับสนว่าเป็นกรรมของ
คำกริยาหรือเป็นเพียงส่วนเติมเต็ม ท้ังน้ีสามารถทดสอบด้วยการแทนที่ด้วยคำสรรพนาม เช่น him,
her, it หรือ them ในตำแหน่งของคำนามหรือสรรพนาม