239
c. I want to see the oven which you told me about.
d. I want to see the oven that you told me about.
e. *I want to see the oven about you told me.
f. I want to see the oven you told me about.
จะเห็นได้ว่าในกรณีที่ relative pronoun เป็นกรรมของบุพบท ทั้งบุพบทและ relative
pronoun อาจย้ายมาวางหน้าประโยค หรือย้ายเฉพาะ relative pronoun เท่าน้ัน ในกรณีน้ี relative
pronoun อาจละได้ 16. e แสดงว่า relative pronoun ที่ตามหลังบุพบทจะละไม่ได้ใน 16. a และ จะใช้
that เป็น relative pronoun ที่จะตามหลังบุพบทไม่ได้ ดังตัวอย่าง 16. b จะเห็นว่า that แต่ถ้าแยก
relative pronoun จากบุพบท จะใช้ which หรือ that ก็ได้เพราะ 16. C และ 16. d เป็นประโยคท่ี
ถูกต้องทงั้ คแู่ ละอาจละ relative pronoun ได้ ดงั ตัวอยา่ ง 16. f
ถ้า relative pronoun เป็นประธานก็อาจจะละได้ในบางกรณี ดังจะเห็นได้ในประโยค
ต่อไปน้ี
17. a. The manager who is working in that company can employ you.
b. The manager working in that company can employ you.
ความหมายของประโยค 17 b. เหมือนกับประโยค a. นับว่าประโยคทั้งสองมาจากโครงสร้าง
ลึก เดียวกัน การท่ีโครงสร้างผิวของ b. ต่างจาก a. เป็นเพราะว่ามีการใช้กฎปริวรรตท่ีเรียกว่า relative
clause reduction transformation ซึ่งจะใช้ได้เม่ือ relative pronoun ตามด้วย v.to be ทั้งสองส่วนนี้
จะถูกตัดออกไป เชน่
18. a. The car that is in the parking lots belongs to me.
b. The car in the parking lots belongs to me.
19. a. The girl who was chased by the dog is my student.
b. The boy chased by the dog is my student.
การซ้อนประโยคแบบ relative clause และกฎปริวรรตที่กล่าวมาน้ีทำให้เห็นว่า
โครงสร้างลึก 1 โครงสร้างอาจสร้างประโยคโครงสร้างผิวเป็นจำนวนมากเพราะการใช้หรือไม่ใช้กฎ
ปริวรรต
240
บทสรุป
ในการส่ือสารเราใช้ประโยคเพื่อส่ือความหมายต่างๆ ทั้งน้ีประโยคโดยทั่วไปท่ีใช้เราเห็นหรือ
ได้ยินเป็นประโยคผวิ (surface structure) บางคร้งั ส่วนประกอบใดส่วนประกอบหนึ่งของประโยคอาจ
ละไว้โดยผูพ้ ูดและผฟู้ ังเข้าใจตรงกัน เชน่ ประโยคคำสั่ง “Go out.” ผู้พดู ทราบว่าประธานของประโยค
คือ You(Yougoout.)ผู้ฟังไม่ได้ยินคำว่า “You”ซึ่งประโยคลักษณะนี้เรียกว่า ประโยคลึก (deep
structure) อาจกล่าวได้ว่า ประโยคลึกเป็นส่วนท่ีกำหนดความหมาย หรือเป็นประโยคเบื้องต้น
(kernel sentence) ซ่ึงประโยคเบ้ืองต้นสามารถแปลงเป็นประโยคที่ซับซ้อนขึ้นด้วยวิธีการต่างๆ เช่น
การย้าย การรวมกัน การตัด และการแทนท่ีองค์ประกอบในวลี และประโยคที่ได้เป็นประโยคปริวรรต
(transformed sentence) ซ่ึงประโยคปริวรรตแต่ละชนิด เกิดจากการแปลงจากประโยคเบ้อื งต้นต่าง
ชนดิ กัน รวมทง้ั ใช้กฎปรวิ รรตสำหรับชนดิ ของประโยคน้ันๆ
241
แบบฝกึ หัด
1.เปล่ยี นรปู ประโยคต่อไปนแ้ี ตใ่ ห้ความหมายคงเดิม
1.1 The villagers built this road.
1.2 Birds are singing in the park.
1.3 To change one’s attitude is not easy.
1.4 Please turn down the volume.
1.5 Workers tore up the road.
2. ให้เขียน deep structure ของประโยคต่อไปน้ีพร้อมอธิบายการใช้กฎปริวรรตและแสดงแผนภูมิ
ตน้ ไม้ของ surface structure และ deep structure
2.1 The secretary will send the memo out.
2.2 Should we go home?
2.3 The window was broken by the ball.
2.4 What can Kate see?
2.5 The birthday present that her mom had given her was made in Japan.
3. ประโยคตอ่ ไปน้ีมโี ครงสร้างลกึ (deep structure) เหมอื นกนั หรอื ไม่ จงอธบิ าย
Haniyah is eager to please.
Haniyah is easy to please.
4. จงเปลยี่ น kernel sentences เป็น transformed sentences พร้อมแสดงด้วย tree diagram
4.1 The boy can sleep.
4.2 The mother wept silently.
4.3 The girl who is sleeping was dreaming.
242
5. จงระบุประโยคตอ่ ไปนีต้ อ้ งใชก้ ฎปริวรรตทีส่ ำคญั อะไรบ้างจงึ ได้โครงสรา้ งผิวเหล่านี้
5.1 Did the hunter shoot the lion?
5.2 Ann does not like the movie.
5.3 Leena cannot play football.
5.4 Can Liza speak French?
5.5 Can Nina liver there?
243
เอกสารอ้างองิ
พงศ์ศรี เลขาวฒั นะ. (2552). “ภาษาอังกฤษตามแนวไวยากรณ์ปรวิ รรตหน่วยท่ี 12 ” ภาษาอังกฤษ
สำหรบั ครู (น. 281 ). นนทบุรี: มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
Carroll, W. D. (2008). Psychology of Language. (5th ed). USA: Thomson Higher Education.
Fromkin,V., Rodman, R., & Hyams, N. (1998). An Introduction to Language. (6th ed). New
York : Harcort Brace.
. (2003). An Introduction to Language. (7th ed). Boston MA : Thomson & Heinle.
. (2011). An Introduction to Language. (9h ed). Singapore : Wadsworth
Cengage Learning.
Radford, A. (2003). Syntactic theory and structure of English. UK: Cambridge University
Press.
Stageberg, C. N. (1977). An Introductory English Grammar. (3rded). New York : Holt,
Rinehart and Winston.
244
245
บทที่ 11
การสอนภาษาองั กฤษในบรบิ ทสามจงั หวดั ชายแดนภาคใต้
การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาตา่ งประเทศ ผู้สอนควรมีความรู้พื้นฐานเก่ยี วกับ
ลักษณะของภาษาที่ผู้เรียนใช้อยเู่ ดมิ หรือภาษาแม่ของผู้เรียนและภาษาอังกฤษที่จะเรียนรู้เพอ่ื สามารถ
เปรียบเทียบ แยกแยะความเหมือนและความต่างของภาษา หรือเช่ือมโยงประสบการณ์เดิมกับ
ประสบการณ์ใหม่ของผู้เรียนได้น่ันเอง โดยทั่วไปในการเรยี นภาษาต่างประเทศบางครั้งภาษาใหม่ท่ีจะ
เรียนรู้มีความแตกต่างกันกับภาษาเดิมท่ีผู้เรียนใช้อยู่มากทำให้เมื่อเรียนภาษาใหม่ก็จะเกิดปัญหาใน
การเรียนการสอนมาก เพราะผู้เรียนจะยึดโยงอยู่กับประสบการณ์เดิมและมักเกิดความสับสนในการ
เรียนภาษาใหม่ ในขณะเดียวกันหากภาษาใหม่มีลักษณะที่เหมือนกับภาษาเดิมก็จะทำให้เกิดการ
เรยี นร้ภู าษาใหมไ่ ด้งา่ ยขึน้ ดังนน้ั หากผู้เรียนเขา้ ใจหลกั ภาษาของตนและภาษาทีก่ ำลังเรียนรู้ก็จะทำให้
เกิดการเรียนรู้ภาษาใหม่ ได้ง่ายขึ้น ผู้เรียนจะสามารถเช่ือมโยงการเรียนรู้จากส่ิงท่ีรู้ไปยังส่ิงที่ไม่รู้
(known to unknown) หรืออาจเกดิ การถ่ายโอนทางภาษา (language transfer) ไดง้ า่ ย
ส ำห รั บ ผู้ เรี ย น ใน ส าม จั งห วั ด ช าย แ ด น ภ าค ใต้ ส่ ว น ให ญ่ ย่ิ งมี ค ว าม พิ เศ ษ ก ว่ าท้ อ งที่ อื่ น ๆ
ของประเทศไทยเพราะว่าผู้เรียนใช้ภาษามลายูถิ่นเพ่ือส่ือสารในชีวิตประจำวัน และใช้ภาษาไทยเป็น
ภาษากลางในการเรียนการสอนในช้ันเรียน หรือถือว่าเป็นภาษาทางราชการ ดังนั้นการจัดการเรียน
การสอนภาษาอังกฤษในฐานะภาษาต่างประเทศก็จะพบกับความยุ่งยาก และความท้าทายหลาย
ประการทีเดียว กล่าวคือ การเรียนการสอนสำหรับผู้เรียนเหล่าน้ีต้องอาศัยแนวทางที่อยู่บนพ้ืนฐาน
ของความแตกต่างทางภาษา เพ่อื ทำให้ความแตกตา่ งเปน็ ประโยชน์ต่อการเรยี นรู้ภาษาอังกฤษในฐานะ
ต่างประเทศ และเพื่อให้ผู้สอนมีความรู้พื้นฐานในการเทียบเคียงภาษาท่ีผู้เรียนใช้อยู่ท้ังภาษามลายู
ภาษาไทยกับภาษาองั กฤษท่ีจะเรียนเป็นภาษาต่างประเทศซ่ึงถือว่าเปน็ ภาษาท่ีสามของผเู้ รยี น ผู้เขียน
จงึ นำเสนอการเปรียบเทียบลักษณะทางภาษา ในระดบั คำ และระดบั โครงสร้าง ที่จะเป็นประโยชน์ต่อ
การเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้ภาษาอังกฤษ และนำเสนอแนวคิด ทฤษฏีการเรียนรู้ภาษาที่สอง รวมถึง
เสนอแนะวิธีสอนภาษาอังกฤษที่อาจนำมาประยุกต์ใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษให้เหมาะสม
กับบรบิ ทของผเู้ รียนต่อไป
246
1. การวเิ คราะหแ์ ละการเปรียบเทยี บภาษา
การวเิ คราะห์และการเปรียบเทียบภาษา (contrastive analysis)เป็นแนวทางในการหาความ
แตกต่างและความคล้ายคลึงระหว่างสองภาษาหรือมากกว่าน้ันกลวิธีเปรียบเทียบภาษาเป็นเคร่ืองมือ
ชว่ ยผู้สอนภาษาในด้านการช้ีใหเ้ ห็นข้อผิดพลาดในการเรียนภาษา อกี ท้ังช่วยให้ผู้สอนได้ตระหนักและ
ได้ปรับหากลวิธีการเรียน การสอนให้เหมาะสมกับบริบทของผู้เรียน การศึกษาวิเคราะห์เปรียบเทียบ
ภาษาที่สมบูรณ์น้ันสามารถทำได้ต้ังแต่เรื่องระบบเสียง (phonology) ระบบคำ (morphology)
ระบบโครงสร้าง (syntax) แต่ในตำราน้ีจะวิเคราะห์เปรียบเทียบเฉพาะ ระบบคำและระบบโครง
เท่าน้ัน ซ่ึงจะเปรียบเทียบในประเด็นท่ีมักพบในการเรยี นการสอนภาษาอังกฤษในบริบทของนักศึกษา
ที่ใช้ภาษามลายูถิ่นเป็นภาษาแม่และใช้ภาษาไทยในการเรียนการสอนและเรียนภาษาอังกฤษเป็น
ภาษาต่างประเทศ จากงานวิจัยของคอลีเย๊าะ เจ๊ะโด (2558) ได้วิเคราะห์โครงสร้างประโยค
ภาษาอังกฤษจากงานเขียนของนักศึกษา ชั้นปีที่ 2 สาขาภาษาอังกฤษ มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ผล
การวิเคราะห์ข้อมูลจากผลงานเขียนภาษาอังกฤษของนักศกึ ษาโดยแยกเป็นประเด็นข้อผดิ พลาดตา่ งๆ
ดังน้ี
1. การใช้ singular & plural (countable ) เชน่
* I have 1 sister and 2 brother.
*There are 4 persons.
*There are many foods.
2. การใช้ article เชน่
* I like apple.
* He met the man at airport.
* She is smart girl.
* It is important for student to learn about it.
* student can write sentence about themselves.
* Replace question in vocabulary activity.
3. การใช้ Tenses เชน่
* I go with the brother last week.
4. การใช้ punctuation
* We buy clothes cosmetics shoes bags etc at Coliseum.
247
5. การใช้คำคุณศัพท์ adjective เชน่
* I enjoy and happy.
6. การเรยี งคำ (word order)
* She has a body slim.
* He likes a girl beautiful.
ผลการวิจัยดังกล่าวสรุปได้ว่าข้อผิดพลาดเก่ียวข้องกับระบบคำและระบบโครงสร้าง ซึ่งเกิด
จากความแตกต่างระหว่างภาษาไทย ภาษามลายูถ่ิน กับภาษาอังกฤษ ดังนั้นผู้เขียนตำราในฐานะ
ผู้สอนวิชาภาษาอังกฤษจึงได้สรุปประเด็นในการเปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของ
ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษามลายูถ่ิน เพื่อนำไปใช้ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ โดยแยก
ออกเป็น 2 ประเด็นหลักได้แก่ ประเด็นด้านระบบคำ เช่น การแสดงพจน์ (singular &plural) การใช้
คำกำกับนาม (determiners) รูปกาล (tenses) และประเด็นด้านโครงสร้าง เช่น การเรียงคำ เป็นต้น
เพราะการเปรียบเทียบคำ หรือ วลี และ ประโยค ก็เพียงพอสำหรับเป็นพ้ืนฐานในการเรียน
ภาษาองั กฤษในฐานะเป็นภาษาต่างประเทศแลว้
1.1 การเปรียบเทียบ คำหรือ วลี
คำในภาษาต่างๆ มีลักษณะแตกต่างกันไปตามลักษณะของภาษาน้ันๆ คำท่ีใช้ในภาษา
อาจจะมพี ยางค์เดียวหรือหลายพยางคแ์ ตต่ ้องมีความหมาย หน่วยคำในภาษามลายูถ่ิน ภาษาไทย และ
ภาษาอังกฤษ มลี กั ษณะทีแ่ ตกต่างที่เหน็ ไดช้ ัดเจน
การเขียนตัวอย่างประโยคภาษามลายูถ่ิน ผู้เขียนจะใช้อักษรไทย (คู่มือระบบเขียนภาษา
มลายูปาตานี อักษรไทย, 2553) และเขียนคำอ่านด้วยสัทอักษรสากล (IPA) ซึ่งสามารถแทนเสียงใน
ภาษามลายูถน่ิ ได้ครบ
1.1.1 การเตมิ หน่วยผนั คำ
หน่วยผันคำ (inflectional morpheme) เป็นหน่วยคำที่มีความหมายในตัวเอง
ไม่เด่นชัด นอกจากจะนำไปใช้รวมกับคำอื่นจะช่วยให้ความหมายเด่นชัดด้านไวยากรณ์ ลักษณะของ
หน่วยคำประเภทน้ีอาจพบได้ในภาษาท่ีมีวิภัติปัจจัย (affix) อย่างภาษาอังกฤษ เช่น การเติมหน่วยคำ
248
{-s pl} เพ่ือแสดงความเปน็ พหพู จนใ์ นคำว่า rat ทำให้กลายเป็น rats หมายถึงหนหู ลายตัว ซึ่งจะส่งผล
ตอ่ การใชร้ ปู กริยาด้วย เชน่
1. The rat is in the box.
2. The rats are in the box.
จะเห็นวา่ คำว่าrat ในประโยคแรกคำกรยิ าท่ีใช้ คือ is ซ่งึ แสดงความเป็นเอกพจน์ สว่ นประโยค
ท่ีสอง คำว่า rats ในประโยคที่สอง คำกรยิ าที่ใช้ คอื are ซง่ึ แสดงความเปน็ พหูพจน์
ตัวอย่างการเติม inflectional morpheme ข้างต้นจะไม่มีการใช้ในภาษาไทย และภาษา
มลายูถิน่ โดยคำนามทุกคำในภาษาไทยและภาษามลายูนับได้ และในภาษาไทย มคี ำวา่ “หลาย” ที่ใช้
แสดงความเป็นพหูพจน์ เช่น นามวลี “หนูหลายตัว” ในขณะท่ีภาษามลายูมีคำว่า “บาเญาะ”
ในนามวลี “ตีกุฮ บาเญาะ แอกอ” เป็นต้น นอกจากนี้หากระบุจำนวนจะมีลักษณะนามบอกจำนวน
ของทุกส่ิงไดแ้ ละสามารถเลือกใชใ้ หเ้ หมาะสมกับคำนามตา่ งๆ เชน่
ตารางท่ี 11.1 การเปรียบเทียบการใช้ inflectional morpheme
ภาษาองั กฤษ ภาษาไทย ภาษามลายถู นิ่ (อกั ษรไทย)
rats หนหู ลายตัว ตี กุ ฮ บ า เ ญ าะ แอ ก อ .
10 rats หนู 10 ตวั
mangoes มะมว่ งหลายลูก /⧫◆ ◼ /
10 mangoes มะม่วง 10 ลูก
ตี กุ ฮ ซื อ ปู โ ล ะ ฮ แ อ ก อ . / ⧫◆
⬧◆lh k/
บู เว าะ ฮ ป า-โอ ะ ฮ บ าเญ าะ . /buh pɑuh
◼/
บูเวาะฮ ปา-โอะฮ ซือปูโละฮ บูเต.
/ buh pɑuh səpuloh ◆⧫/
1.1.2 การเติมคำกำกบั นาม
คำนามในภาษาอังกฤษตอ้ งเตมิ คำกำกับนาม (article) เช่น a, an, the คำนามใน
ภาษาอังกฤษจะแยกเป็นคำนามนับได้ และนับไม่ได้ (countable and uncountable nouns)
โดยกำหนด a/an กับนามนับได้ท่ีเป็นเอกพจน์ ดังตัวอย่างในตาราง คำว่า students มี the นำหน้า
คำ และ คำว่า cat มี a นำหน้านาม เช่นเดียวกับคำว่า mat มี the นำหน้าคำ จะเห็นได้ว่าคำกำกับ
นามแตล่ ะคำมหี ลักการใชต้ ่างกัน ภาษาไทยและภาษามลายถู ่นิ ไมม่ คี ำกำกับนาม
249
ตารางที่ 11.2 การเปรยี บเทยี บการเตมิ คำกำกบั นาม
ภาษาองั ภาษาไท ภาษามลายูถ่นิ (อกั ษรไทย) ⬧
กฤษ ย
บูเดาะซือกอเลาะฮ งายี บาซอ ออแร ปูเตะฮ.
The นักเรยี น
stude เรียน /◆ ⬧⚫
nts ภาษาอัง ◆⧫/
study กฤษ
Englis
h. แ ม ว 1 กูจงิ แซกอ โดะ อาตะฮ ตกี า.
ตัวอยู่บน /◆⧫ ⬧ ⧫ ⧫
A cat is เสื่อ /
on the
mat. หล่อนกิน ดียอ มาแก โดนะ เดาะฮ.
โ ด นั ท / ◼ /
She ate แลว้
the
donuts.
1.1.3 การใชร้ ูปกาล
คำกริยาในภาษาอังกฤษต้องแสดงกาล (tense) เสมอว่าเป็นอดีต หรือไม่ใช่อดีต
คำกริยาจะผัน (to inflect) ตามกาล โดยท่ัวไปจะเติมหน่วยคำ {-ed} หลังคำกริยา เช่น worked จะ
ทำให้กริยาดังกล่าว แสดงความเป็นอดีตกาล ลักษณะการใช้รูปกาลเช่นนี้ไม่ปรากฏในภาษาไทย และ
ภาษามลายถู ่ิน ในภาษาไทยการเตมิ ลักษณะของหน่วยคำเชน่ น้ีมักใช้คำวา่ “แลว้ ” เชน่ ฉนั กินขา้ วแล้ว
ทีแ่ สดงความเป็นอดตี กาล หรืออาจกล่าวได้วา่ ในภาษาไทยและภาษามลายถู ่ิน เม่อื ตอ้ งการพูดถงึ สง่ิ ท่ี
เกิดขึ้นในปจั จบุ นั หรือผา่ นมาแลว้ จะใช้คำกรยิ าวเิ ศษณบ์ อกเวลา ตัวอย่างเชน่
ตารางที่ 11.3 การเปรยี บเทยี บการใชร้ ูปกาล
250
ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษามลายูถนิ่ (อักษรไทย)
The mother เมื่อวานแม่ กือมาแร ง แมะ กี รฺ เมาะฮ 'ปีตา.
went to ไป / ◆ ⧫/
the โรงพยาบาล
hospital
yesterday.
The mother วั น น้ี แ ม่ ไป ฮารี นิง แมะ กี ร เมาะฮ 'ปีตา.
goes to โรงพยาบาล / ◼ ◆ ⧫/
the
hospital
today.
The mother พรุ่งนี้แม่จะ แอเซาะ แมะ เนาะ กี รฺ เมาะฮ
will go to ไ ป 'ปีตา.
the โรงพยาบาล /⬧ ◼ ◆ ⧫/
hospital
tomorrow.
ประโยคในตารางแสดงให้เห็นว่าคำกริยา “go” ในภาษาอังกฤษ มี 3 รูปในการ
อธิบายกาล คำกริยาในภาษาไทยใช้คำวา่ “ไป” และภาษามลายูถิ่นใช้คำว่า “กฺ ” ซ่ึงมเี พียงรูปเดียว
ใน การอธิบายเร่ืองกาล แต่มีคำบอกเวลาเป็นตัวกำหนด คือ คำว่า “เมื่อวาน / กือมาแรฺ ง”
ตามลำดบั
1.1.4 การใช้หน่วยคำประสาน
ภาษาอังกฤษมีหน่วยประสานคำ (derivational morpheme) คือนำหน่วยคำไม่
อิสระมาวางหน้าหรือหลัง root words ได้แก่ prefix และ suffix ในขณะท่ีภาษาไทยจะใส่อุปสรรค
ปจั จยั “การ” หรอื “ความ” ข้างหนา้ คำฐาน แต่ในภาษามลายถู ิน่ โดยส่วนใหญ่จะตดั คำอุปสรรคออก
ตารางท่ี 11.4 การเปรียบเทียบการสร้างคำดว้ ยการเตมิ derivational morpheme
ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษามลายถู ่นิ (อักษรไทย)
251
dis + agree = disagree การกิน -
lov + er = lover ความรัก
write + r = writer นกั เขยี น
ตัวอย่างในตารางแสดงให้ว่าการสร้างคำในภาษาอังกฤษทำได้ด้วยการเติมหน่วยคำ
ข้างหน้าและหลังคำฐาน เช่น {dis} และ {er} และในภาษาไทยมีการสร้างคำด้วยการเติมหน่วยคำ
ขา้ งหน้าคำฐาน เช่น การ, ความ, นัก ซงึ่ ทำใหไ้ ด้คำใหม่ ในขณะที่คำในภาษามลายถู ิน่ โดยส่วนใหญจ่ ะ
ตดั คำอปุ สรรคและตัดเสยี งพยัญชนะท้าย
1.1.5 การสรา้ งคำด้วยการประสมคำ
การสร้างคำ ด้วยการประสมคำ (compounding) เป็นกระบวนการเพิ่มคำศัพท์
ในภาษาอังกฤษ เช่นเดียวกับในภาษาไทยและภาษามลายูถิ่น อย่างไรก็ตามคำประสมในภาษาไทย
และภาษามลายูสามารถเทียบเคียงได้ ในขณะท่ีคำในภาษาอังกฤษไม่ใช่คำประสม เช่น คำว่า
student เป็นหน่วยคำอิสระและเป็นคำ ส่วนในภาษาไทย และภาษามลายูถ่ิน เป็นคำประสม ดัง
ตัวอย่างในตาราง 11.5
ตารางที่ 11.5 การสร้างคำด้วยการประสมคำ
ภาษาองั กฤษ ภาษาไทย ภาษามลายูถ่ิน(อักษรไทย)
ice cream น้ำแขง็ (นำ้ + แข็ง) อา-เอ + บาตู
student นัก+เรียน / ⧫◆/
บเู ดาะ + ซอื กอเลาะฮ
/bud/ + / skɔlɔh/
จากรายละเอียดดังกล่าวอาจสรุปได้ว่า ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษามลายูถิ่นมี
ความแตกต่างเร่ืองคำ ในประเด็นการใช้คำเพ่ือแสดงความเปน็ พหพู จน์ การแสดงกาล แตป่ ระเด็นการ
ใช้หน่วยคำประสานมีใช้ในภาษอังกฤษ และภาษาไทย ในขณะท่ีในภาษามลายูถิ่นจะไม่ใช้เพราะ
ลักษณะของคำในภาษามลายูจะตัดคำอุปสรรค และตัวสะกด อย่างไรก็ตามประเด็นท่ีคล้ายกันท้ัง 3
ภาษา คือ การสร้างคำด้วยการประสมคำในภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษามลายูถิ่น นอกจากน้ี
252
การเปรียบเทียบในระดับโครงสร้างนับเป็นประโยชน์ต่อการเรียนรู้ภาษาเป็นอย่างยิ่ง หากผู้เรียนได้
เห็นความแตกต่างในเชิงโครงสร้างก็จะทำให้ผู้เรียนได้ตระหนักและคำนึงถึงความถูกต้องในการใช้
ภาษาไดม้ ากข้ึน
1.2 การเปรียบเทยี บโครงสรา้ งประโยค
โครงสร้างเป็นส่ิงสำคัญมากสำหรับการเรียนรู้ภาษา โครงสร้างเป็นส่ิงท่ีบอกให้เราทราบ
ว่าเราจะนำคำศัพท์ท่ีเรารู้มาประกอบกันหรือเรียงกันอย่างไรจึงจะเป็นที่เข้าใจระหว่างผู้พูด และผู้เรา
สอื่ สารด้วย เม่ือเปรียบเทียบหน่วยสรา้ งในภาษาอังกฤษ ภาษาไทย และภาษามลายูถ่ิน มีหน่วยสร้างท่ี
แตกตา่ งกนั ดงั น้ี
1.2.1 หน่วยสร้างนามวลี : นามวลีในภาษาอังกฤษต้องมีตัวกำหนดอยู่หน้านามเสมอ
ถ้าคำนามน้ันเป็นนามนับได้และเป็นเอกพจน์ (ยกเว้นนามท่ีเป็นช่ือเฉพาะและสรรพนาม) ในขณะท่ี
ภาษาไทย และภาษามลายูถ่ิน ไม่มีคำกำกับนาม มีแต่คำบ่งชี้ เช่น นี้ นั้น โน้น นู้น ซ่ึงบ่งบอก
ความหมายใกล้ไกลและเฉพาะเจาะจง จากตัวอย่างคำท่ีขีดเส้นใต้เป็นนามวลี จะเห็นได้ว่านามวลี
ในภาษาอังกฤษประกอบด้วย คำกำกับนาม the และคำนาม student ในขณะที่นามวลีในภาษาไทย
และภาษามลายูถนิ่ ไม่ต้องมคี ำกำกบั นามสามารถเขียนคำนามไดท้ ันทีในประโยค ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี
ตารางท่ี 11.6 การเปรียบเทียบหน่วยสร้างนามวลี
ภาษาอังกฤษ ภาษาไท ภาษามลายถู ิน่ (ไมม่ คี ำกำกบั นาม)
( determiner ย (ไ ม่ มี
+ นาม) คำกำกับ
นาม)
The student นักเรียน อาเนาะ ซอื กอเลาะฮ กาเซะฮ กอ คือรู.
loves the รักครู /◼ ⬧ə⚫ ⬧
teacher. ◆/
The boy is เด็กผู้ชาย บเู ดาะ ยฺาแต บูวะฮ.
naughty. ซน /◆ ⧫ ◆/
253
1.2.2 หน่วยสร้างกรรมวาจก (passive voice) ในภาษาอังกฤษหน่วยสร้างกรรมวาจก
มีรูปแบบชัดเจนและใช้บ่อยในการเน้นการกระทำ ซึ่งมีโครงสร้างคือ ประธาน (ผู้ถูกกระทำ) + กริยา
(verb to be +past participle) + (by + นามวลี/ผู้กระทำ) เช่น ส่วนท่ีขีดเส้นใต้ในตารางข้างล่าง
เปน็ โครงสรา้ งกรยิ า passive คอื (is kept, was hit) ตามลำดับ
ภาษาไทยและภาษามลายูถ่ินไม่ใช้ passive voice จะใช้รูปประโยคเป็นกรรตุวาจก คือ
(ประธาน+กริยา+กรรม) เช่น นักศึกษาได้รับการช่ืนชม เราจะไม่ใช้ว่า “นักศึกษาถูกชื่นชม” ดัง
ตวั อย่างตอ่ ไปน้ี
ตารางท่ี 11.7 การเปรียบเทยี บหน่วยสรา้ งกรรมวาจก
ภาษาองั กฤ ภาษาไท ภาษามลายูถนิ่ (อักษรไทย)
ษย
The butter เนยอยู่ใน แตกฺอ โดะ ดาแล ตเู ยง.
is kept in ตูเ้ ย็น /⧫ ⚫ ⧫◆/
the
fridge.
The roof พายุทอร์ รโฺ บะ ทอรน์ าโด ปูปุ ปือราฺ บง รเฺ มาะฮ.
was hit นาโดพดั / ⧫◼ ◆◆ ə
by the หลังคา /
Tornado. บ้าน
1.2.3 การเรียงคำ (word order)
การเรียงคำคุณศัพท์เพ่ือขยายคำนาม ในภาษาอังกฤษคำขยาย (คำคุณศัพท์)
จะอยู่หน้าคำนาม แต่ตำแหน่งของส่วนขยายคำนามในภาษามลายูถ่ินและภาษาไทยก็จะอยู่ข้างหลัง
คำนามทน่ี ำมาขยายดังตัวอยา่ งเชน่
ตารางที่ 11.8 การเปรยี บเทียบการเรียงคำ
254
ภาษาอัง ภาษาไ ภาษามลายูถน่ิ (อกั ษรไทย)
กฤษ ทย
He likes เขา ดียอ 'กอื แน บเู ดาะ 'ตนี อ ยอื ปง ตโู บะฮ ตงี ี ปะฮ ยาฺ เงาะ.
a ชอบ / ə◼ ◆ ⧫◆
beautifu เด็กผูห้ ⧫ /
l tall ญิง
Japanes ชาว
e girl. ญ่ปี ุ่นที่
รูปร่าง
สงู
และ
สวย
ดว้ ย
จากตัวอย่างดังกล่าวจะเห็นได้ว่าส่วนขยายคำนามในภาษาอังกฤษ “beautiful tall
Japanese” อยู่ข้างหน้าคำนาม “girl” แต่ส่วนขยายคำนามในภาษาไทย “ชาวญี่ปุ่นท่ีรูปร่างสูงและ
สวย” จะวางข้างหลังคำนาม “เด็กผู้หญิง” และภาษามลายูถ่ิน “ยือปง ตูโบะฮ ตีงี ปะฮ ยฺาเงาะ” จะ
วางขา้ งหน้าคำนาม “บเู ดาะ 'ตีนอ”
1.2.4 หนว่ ยสร้างกริยาเรียง
เมื่อต้องการใช้กริยา 2 ตัวขึ้นไปในภาษาอังกฤษจะต้องมีคำมาค่ันกลางระหว่าง
คำกริยาท้ังสอง ในขณะท่ีภาษาไทยและภาษามลายูถ่ินสามารถวางเรียงกันได้ทันที ยกตัวอย่างเช่น
ประโยคในตารางข้างล่างแสดงให้เห็นการเรียงคำกริยา 2 ตัวในภาษาอังกฤษต้องมี to มาค่ันระหว่าง
คำกริยาท้ังสองคำ คือ goes to play ในขณะท่ีการเรียงคำกริยาในภาษาไทย เช่น (ไปเล่น, ไปซ้ือ)
และภาษามลายูถิ่น เช่น (กฺ มา-อิง, กฺ บือลี) สามารถนำมาเรียงกันได้โดยไม่ต้องมีคำมาคั่นระหว่าง
คำกรยิ าท้งั สอง
ตารางที่ 11.9 การเปรียบเทียบหน่วยสรา้ งกริยาเรียง
255
ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษามลายถู ิ่น (อักษรไทย)
หล่อนไปเลน่ ดยี อ กฺ มา-อิง วอลเลย่ บ์ อล.
She goes to วอลเล่ยบ์ อล
play / ❖⚫⚫⚫⚫/
volleyball. แมไ่ ปซื้อ
อาหาร แมะ กฺ บอื ลี มาแกแน.
The mother
went to buy / ə⚫ ◼/
foods.
1.2.5 โครงสรา้ งประโยคที่กรยิ ามีกรรมซ้อน
โครงสร้างประโยคที่กริยามีกรรมซ้อน หรือเรียกว่า ditransitive verb มีนามวลี
ทำหน้าท่ีซ้อนกันอยู่ในประโยคเดียวกันเรียกว่ากรรมตรง (direct object) และกรรมรอง (indirect
object) เช่น
ตารางท่ี 11.10 การเปรยี บเทยี บการใช้ ditransitive verb
ภาษาอังก ภาษาไทย ภาษามลายูถิ่น(อักษรไทย)
ฤษ
My แม่ซือ้ แมะ บือลี โทราซะ วี บโู กะ อามอ.
mother โทรศัพท์มอื / ə⚫ ⧫⬧ ◆
buys me ถอื ให้ฉัน /
a cell
phone.
The แ ม่ เ ล่ า แมะ รฺอยะ บารฺ บูวี โกะ อาเนาะ.
mother นิทานให้ลูก / ◆
told her ฟงั ◼/
baby a
story.
256
ตัวอย่างคำท่ีขีดเส้นใต้เป็นกรรมของประโยค จะเห็นได้ว่า การเรียงประโยคท่ีมีทั้งกรรม
ตรงและกรรมรองในประโยคภาษาอังกฤษสามารถเรียงกรรมรอง คือ (me) และตามด้วยกรรมตรง
(a cell phone) แต่การเรียงกรรมตรงและกรรมรองในภาษาไทยและภาษามลายูถ่ินจะใช้คำบุพบท
เชน่ คำว่า “ให้ฉนั ” และ “บูวี โกะ อามอ” ในภาษามลายู จากรายงานวิจยั ในชนั้ เรียน ของ คอลีเย๊าะ
เจ๊ะโด (2558) พบว่านักศึกษาสาขาวิชาภาษาอังกฤษ หลักสูตรครุศาสตรบัณฑิต มหาวิทยาลัย
ราชภัฏยะลา ช้ันปีที่ 2 ทล่ี งทะเบยี นในรายวิชาวจวี ภิ าคและวากยสัมพันธ์ จำนวนทง้ั หมด 28 คน และ
คิดเป็นร้อยละ 70 แต่งประโยคภาษาอังกฤษโดยใช้ บุพบทวลีขยายกรรมตรง เช่น “My mother
buys a cell phone for me.” มากกว่าใช้โครงสรา้ งประโยค ditransitive verb“Mymother buys
me a cell phone.” โครงสร้างประโยคในลักษณะน้ีไม่ปรากฏในภาษามาลายูถ่ิน และภาษาไทย
ลกั ษณะดังกล่าวอาจกล่าวได้ว่าภาษาแมม่ ผี ลตอ่ การเรียนภาษาท่ีสองหรือภาษาตา่ งประเทศ
รายละเอียดท่ีกล่าวมาข้างต้นอาจสรุปได้ว่า ผู้เรียนส่วนใหญ่ใช้ภาษามลายูถ่ินซึ่งเป็น
ภาษาแม่เพื่อการสื่อสารในชีวิตประจำวัน และใช้ภาษาไทยในการศึกษาวิชาการในห้องเรียนและนอก
ห้องเรียน อีกทั้งศึกษาภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ ดังน้ันการเปรียบเทียบลักษณะต่างๆ ของ
ภาษาให้ผูเ้ รยี นได้เหน็ ความแตกต่างระหวา่ งภาษาจะสง่ ผลดตี อ่ การเรยี นการสอนได้ ทัง้ น้กี ารเรยี นการ
สอนภาษาต่างประเทศผู้สอนจำเป็นต้องเข้าใจแนวคิด ทฤษฎีการสอนภาษาที่สองเพ่ือนำมา
ประยุกตใ์ ชใ้ ห้เกดิ ประโยชน์ตอ่ ผู้เรียนมากท่ีสดุ โดยคำนึงถึงพื้นฐานความแตกตา่ งทางภาษา
2. แนวคิด การเรียนร้ภู าษาท่ีสอง หรือ ภาษาต่างประเทศ
แนวคิดการเรียนรู้ภาษาที่สอง (second language acquisition) หรือ ภาษาต่างประเทศ
ส่วนใหญ่ได้รับอิทธิพลจากแนวคิดทฤษฏีการเรียนรู้ภาษาแม่ หรือภาษาท่ีหน่ึง (mother tongue)
การนำหลักการของไวยากรณ์สากล (universal grammar) ไปอธิบายเรื่องการรับรู้ภาษาที่สอง
นักภาษาศาสตร์อธิบายว่า เม่ือกฎทางภาษาคล้ายคลึงกัน หากการต้ังข้อกำหนด (parameter
setting) ของภาษาที่หนึ่งและภาษาท่ีสองมีลักษณะเดียวกันแนวโนม้ ของการถา่ ยโอนจากภาษาที่หน่ึง
ไปยังภาษาท่ีสอง
2.1 การถ่ายโอนทางภาษา
การถ่ายโอนภาษา (language transfer) เกิดขึ้นในกรณีท่ีมีความแตกต่างระหว่างภาษา
แม่และภาษาที่สอง ซึ่งการถ่ายโอนอาจเกิดในเชิงบวก (positive transfer) ซึ่งช่วยให้ผู้เรียนเรียน
ภาษาที่สองหรือภาษาเป้าหมายได้อย่างง่ายข้ึน ในทางตรงกันขา้ มหากข้อกำหนดของภาษาทหี่ นึ่งและ
257
ภาษาท่ีสองแตกต่างกัน การถ่ายโอนเชิงลบ (negative transfer/interference) อาจเกิดข้ึน (Ellis,
1994) เป็นปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้คำและโครงสร้างประโยคของภาษาท่ีสองหรือภาษาต่างประเทศ
(second / foreign language) นั่นคือ ถ้ารูปแบบของภาษาเป้าหมายเหมือนหรือคล้ายกับภาษาแม่
หรือภาษาท่ีได้เรียนรู้มาก่อน ก็จะส่งผลให้การเรียนรู้ภาษาเป้าหมายเป็นไปได้ง่ายย่ิงขึ้น แต่ในทาง
ตรงกันข้าม ถ้าภาษาเป้าหมายมีความแตกต่างกับภาษาแม่หรือภาษาท่ีเรียนรู้มาก่อนของผู้เรียนมาก
เท่าไร การเรียนภาษาเป้าหมายก็จะยากและมีข้อผิดพลาดมากข้ึน การถ่ายโอนทางภาษานั้นจำแนก
ออกเปน็ 4 ประเภท ได้แก่
1. การถ่ายโอนเพื่อความสะดวกในการใช้ภาษา (facilitation) คือ การถ่ายโอนเชิงบวก
ท่ีผู้เรียนนำเอาความรู้ในส่ิงที่มีในภาษาแม่หรือภาษาที่เรียนรู้ก่อนหน้ามาใช้ทำให้ การเรียนรู้ภาษาท่ี
สองเป็นไปได้งา่ ยขึ้นเชน่ การท่ีนักศึกษาท่ีใช้ภาษามลายถู ่ินเอาความรู้เรอื่ งการออกเสียงพยัญชนะหรือ
สระท่ีมีในภาษาแม่ภาษามลายูถิ่น เช่น เสยี ง /g/ มาใชใ้ นการออกเสยี งภาษาทอ่ี ังกฤษ
2. การถ่ายโอนเพ่ือการหลีกเล่ียงข้อผดิ พลาด (avoidance) คอื การเล่ียงใช้ลกั ษณะหรือ
รปู แบบภาษาของเป้าหมายที่ไม่มีในภาษาแม่ของตัวผู้เรียนเอง ท้ังนี้เพื่อหลีกเลี่ยงรูปแบบทางภาษาที่
ผู้เรียนเห็นว่าเรียนรู้ได้ยากหรือไม่คุ้นเคยในการใช้ เช่น การที่นักศึกษาไทยเลี่ยงที่จะใช้ประโยค
ซับซ้อนในภาษาองั กฤษโดยการแทนทีข่ องประโยคความเดี่ยว เพราะเกรงว่าจะใชผ้ ดิ เปน็ ต้น
3. การถ่ายโอนที่ทำให้เกิดข้อผิดพลาด (errors) คือ การถ่ายโอนภาษาเชิงลบที่ผู้เรียน
ใช้รูปแบบภาษาเป้าหมายผิดไปจากมาตรฐานของภาษาเป้าหมาย ซึ่งเกิดจากการแทรกแซงโดยตรง
ของภาษาแม่ของผู้เรียน เช่น การไม่ออกเสียงพยัญชนะท้ายหรือตัวสะกดในภาษามลายูถิ่นส่งผลให้
การออกเสยี ง พยางคท์ ้ายคำภาษาองั กฤษของนักศึกษาเกดิ ความผิดพลาด
4. การถ่ายโอนจากการใช้มากเกินไป (over-use) คือ การใช้รูปแบบใดรูปแบบหน่ึงใน
ภาษาที่สองมากกว่าที่เจ้าของภาษาปกติใช้กัน เช่น การพูดคำว่า Yes หรือ No มากเกินความจำเป็น
ของนักศึกษาเพ่ือให้ชาวต่างชาติทราบว่าตนกำลังแสดงความสนใจในส่ิงท่ีชาวต่างพูดในการสนทนา
ระหวา่ งกัน
รายละเอียดดังกล่าวสรุปได้ว่า การถ่ายโอนทางภาษามักเกิดข้ึนเน่ืองจากความแตกต่าง
ของภาษาเดิมของผู้เรียนและภาษาใหม่ ซ่ึงอาจเกิดในเชิงบอกหรือลบทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความรู้ความ
เชี่ยวชาญในภาษาของตน หากส่ิงใดเหมือนกันก็จะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ภาษาใหม่ได้อย่างมี
ประสิทธิภาพ ในขณะเดียวกันหากผู้เรียนสามารถเปรียบเทียบความเหมือนและความต่างระหว่าง
ภาษาได้ก็จะลดข้อผิดพลาดในการเรียนรู้ภาษาใหม่ อย่างไรก็ตามผู้สอนควรมีแนวทางการเรียนการ
สอนทสี่ ามารถนำความแตกตา่ งระหว่างภาษามาเป็นประโยชน์ตอ่ ผเู้ รียนได้
258
3. วธิ ีการเรยี น การสอนภาษาอังกฤษในบรบิ ทสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
จากแนวคิดเก่ียวกับการถ่ายโอนทางภาษาและประสบการณ์ของผู้เขียนในการสอน
ภาษาอังกฤษโดยเฉพาะอย่างย่ิง แก่ผู้เรียนที่มีภาษามลายูถ่ินเป็นภาษาแม่และภาษาไทยเป็นภาษา
ท่ีสอง ซึ่งเป็นพ้ืนฐานในการเรียนภาษาท่ีสาม เช่น ภาษาอังกฤษ การเรียนรู้ภาษาใหม่นั้นอาจสร้าง
ความสับสนแก่ผู้เรียนเนื่องจากแต่ละภาษามีธรรมชาติของภาษาแตกต่างกันไป ดังน้ันผู้เขียนจึงได้
เสนอแนวทางการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศให้มีประสิทธิภาพ แบ่งเป็น 5 ขั้นตอนดังแผนภาพ
ต่อไปนี้
5. ประเมินผลการเรยี นรู้
4. ใช้เทคนคิ การเรยี นการสอนภาษา
3ทำความเข้าใจความแตกตา่ ง
2. เสริมประสบการณ์ใหม่
1. ทบทวนภาษาเดิม
แผนภาพที่ 11.1 รปู แบบการเรยี น การสอนภาษในบรบิ ทสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
ขน้ั ตอนที่ 1 ขั้นทบทวนภาษาเดมิ
ผู้สอนต้องทบทวนภาษาแม่ของผู้เรียน ในกรณีท่ีผู้เรียนมีภาษาแม่เป็นภาษามลายูถิ่นที่ใช้ใน
การสื่อสารในชีวิตประจำวัน และใช้ภาษาไทยในการเรียนรู้วิชาการอื่นๆ ผู้สอนต้องทบทวนท้ังสอง
ภาษา เพราะบางครั้งผู้เรียนสามารถสื่อสารได้แต่ไม่สามารถอธิบายหลักภาษาของภาษาท่ีตนรู้ ทั้งนี้
เพ่ือเช่ือมโยงกับความรู้ที่มีอยู่แล้ว เช่น เริ่มให้ผู้เรียนมีความเข้าใจภาษา เกี่ยวกับ หน่วยคำ ลักษณะ
ของคำ การแสดงออกทางภาษาด้วยการใช้ถ้อยคำหรือประโยคต่างๆ และการเข้าใจกฎเกณฑ์ต่างๆ
ทางภาษาซง่ึ เป็นพ้นื ฐานสำคญั ในการเรยี นรู้ภาษา
259
ขั้นตอนท่ี 2 ขน้ั เสริมประสบการณ์ใหม่
การเรียนภาษาของมนุษย์เป็นความสามารถที่ติดตัวมาแต่เกิด (innate) เด็กสามารถจะใช้
ภาษาและเข้าใจภาษาที่ไม่เคยได้ยินมาก่อนได้เพราะมีกลไกในสมองท่ีจะวิเคราะห์ข้อมูลและสร้าง
กฎเกณฑ์ข้ึน ไม่ใช่เป็นการทำตามแบบใคร ส่ิงที่สำคัญท่ีสุดในการเรียนกาษา คือ ความสามารถท่ีติด
ตัวมาแต่เกิด ผู้สอนไม่สามารถจะสอนให้ผู้เรียนเห็นโครงสร้างหรือกฎเกณฑ์ซึ่งซับซ้อนได้หมด ผู้สอน
เป็นเพียงผู้ป้อนข้อมูลให้แก่ผู้เรียน ส่วนการเรียนรู้ ผู้เรียนจะเป็นผู้กระทำเองโดยอาศัยกลไกตา
ธรรมชาติ ดังน้ันผู้สอนต้องเสริมความรใู้ นภาษาใหมโ่ ดยจดั ลำดบั เนอ้ื หาใหค้ รบองค์ประกอบของภาษา
เช่น ความรู้เก่ียวกับระบบคำ และระบบประโยคในภาษาใหม่ เพื่อให้ผู้เรียนสามารถท่ีจะเข้าใจภาษา
(competence) และมีความสามารถในการแสดงออกทางภาษา (performance) ก่อนที่จะให้ผู้เรียน
แสดงออก ผเู้ รียนต้องมคี วามร้ตู า่ ง เช่น ความรดู้ า้ นระบบเสยี ง ระบบคำ และ ระบบโครงสรา้ ง เปน็ ตน้
ขัน้ ตอนท่ี 3 ขั้นทำความเข้าใจความแตกต่าง
ขั้นน้ีผู้สอนต้องสอนให้ผู้เรียนได้เปรียบเทียบความแตกต่างของภาษาเดิม คือ ภาษามลายูถ่ิน
และภาษาไทย กับภาษาใหม่ คือ ภาษาอังกฤษ เพื่อให้ผู้เรียนทำความเข้าใจข้อแตกต่างในภาษา
ด้านระบบคำ เช่น ความรู้เร่ืองหน่วยคำ รูปกาล การเพ่ิมวิภัตปัจจัย และความแตกต่างในภาษาด้าน
ระบบโครงสร้างประโยค เช่น หน่วยสร้างวลีต่างๆ การเรียงคำ การใช้คำกริยา เป็นต้น เพราะการ
เรียนรู้ภาษาท่ีแตกตา่ งกันมักทำใหเ้ กิดขอ้ ผิดพลาดในภาษาใหม่ ดังนน้ั การเขา้ ใจในข้อแตกตา่ งระหวา่ ง
ภาษาจะเป็นประโยชนต์ ่อการเรยี นภาษาใหมใ่ ห้มีประสิทธภิ าพมากข้ึน
ขัน้ ตอนท่ี 4 ขน้ั การเรยี นการสอนด้วยวิธีต่าง ๆ
ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศน้ันมีการพัฒนาวิธีสอนข้ึนมาหลาย
วิธีด้วยกันท่ีจะช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพ บางวิธีนิยมใช้กันอยู่ช่ัวระยะหน่ึง แล้วก็
เส่อื มความนิยมไป การท่ีวิธีสอนน้ัน ๆ เสื่อมความนิยมมิใช่เพราะความล้มเหลวในการนำไปปฏิบัติจริง
แต่เป็นเพราะการเปล่ยี นแปลงแนวคดิ เก่ยี วกับการเรียนรภู้ าษาทงั้ ทางดา้ นภาษาศาสตร์ จติ วิทยา และ
การศึกษา ทำให้แนวคิดเกี่ยวกับการเรียนการสอนภาษาเปล่ียนแปลงไปด้วย วิธีสอนแบบใดจะเป็นที่
นิยมมากน้อยเพียงใดจึงขึ้นอยู่กับแนวคิดทางการสอนนั้นจะเป็นที่นิยมมากน้อยเพียงใด ยังไม่อาจ
กล่าวได้ว่าวิธีสอนภาษาอังกฤษแบบใดเป็นการสอนที่ดีและสมบูรณ์ที่สุดแต่ละวิธีก็มีทั้งข้อดีและ
ขอ้ เสีย ครูผู้สอนจงึ ควรทีจ่ ะศึกษาวธิ ีสอนแตล่ ะวิธใี ห้เขา้ ใจ เพือ่ ท่ีจะสามารถเลือกนำไปใช้ให้เหมาะสม
กับผู้เรียน และจุดมุ่งหมายของการเรียนการสอนภาษาในแต่ละระดับช้ัน ตลอดจนช่วยให้ดำเนินการ
เรยี นการสอนอย่างมีประสิทธิภาพด้วย ในที่นจ้ี ะขอกล่าวถึงวิธีสอนภาษาองั กฤษเฉพาะวธิ สี อนทเี่ คยใช้
260
กันแพร่หลายหรือเป็นท่ีรู้จกั กันตี วิธีสอนกาษาอังกฤษที่สำคัญ ๆ และเป็นที่รู้จกั กันดีในประเทศไทยมี
ดังนี้
1. วิธีสอนแบบฟังพูด (audio lingual method) ผู้เรียนจะตอบโต้กับสิ่งเร้า ถ้ามีการ
เสริมแรงใหท้ ำต่อไป การเรียนรูภ้ าษาจงึ คล้ายกับพฤติกรรมอ่ืนๆ เน้นการฝึกทำซ้ำๆ การสอนภาษาจึง
เน้นการจำและการฝึกอย่างเต็มทเ่ี พอื่ สรา้ งทักษะใหมใ่ ห้เปน็ นิสยั
2. วิธีสอนแบบไวยากรณ์และแปล (grammar-translation method) วิธีสอนแบบ
ไวยากรณ์และแปลน้ี อิงแนวคิดท่ีว่าภาษามีกฎเกณฑ์ มีระบบและระเบียบ คนจะเข้าใจภาษาได้ต้อง
เข้าใจกฎและระเบียบในภาษาน้ัน ๆ ดงั น้นั ถ้าสามารถทำให้ผู้เรยี นได้รกู้ ฎและคำศัพทแ์ ล้ว ผเู้ รียนก็จะ
สามารถรู้ความหมายของข้อความนั้นๆ ได้ วิธีสอนแบบนี้ใช้วิธีการแปลเป็นหลักโดยถือว่า ภาษา
ประกอบด้วยคำเป็นจำนวนมาก ที่มีความหมายตรงกับคำในภาษาอื่น ผู้เรียนต้องเรียนรู้กฎไวยากรณ์
ต่าง ๆ มากมายรวมท้ังข้อยกเว้นต่างๆ ท่องจำชนิดของคำหรือหน้าที่ทางไวยากรณ์ของคำ การ
กระจายคำ กริยาการเปลี่ยนรูปของคำ ชื่อคำศัพท์เฉพาะต่างๆ ทางไวยากรณ์ รวมทั้งการใช้
พจนานุกรมท่มี คี ำแปลสองภาษา องั กฤษไทย และไทย-องั กฤษดว้ ย
3. วิธีสอนแบบตรง (direct method) จดุ ประสงคข์ องวิธสี อนแบบนี้คือ ต้องการให้ผู้เรียน
สามารถพูด อ่าน เขียนและคิดเป็นภาษาอังกฤษได้โดยไม่ต้องผ่านขั้นตอนการแปลเป็นภาษาไทย
เสียก่อนในเวลาสอนผู้สอนจะพยายามสร้างสภาพแวดลอ้ มในห้องเรยี นให้เป็นสภาพแวดลอ้ มของการ
ใช้ภาษาอังกฤษที่กำลังเรียนอยู่ โดยผู้สอนพูดแตภ่ าษาอังกฤษตลอดเวลา ไม่มีการเน้นอธิบายเกีย่ วกับ
โครงสร้างทางไวยากรณ์ของภาษาอีกต่อไป จะอธิบายก็ต่อเม่ือจำเป็นและจะอธิบายโดยใช้
ภาษาอังกฤษที่เรยี นอยู่ วิธีสอนแบบน้ีจึงมักใชเ้ จ้าของภาษาเองหรอื ผู้ทีส่ ามารถใช้ภาษาไดใ้ กลเ้ คียงกับ
เจ้าของภาษาเป็นผู้สอน การเรียนการสอนด้วยวิธีสอนแบบตรงมักจะประกอบด้วยข้อความให้อ่าน
และสถานการณ์หรอื เร่อื งทจ่ี ะให้ฝกึ พดู
4. วิธีสอนภ าษ าตามแนวการสอนภาษาเพ่ือการส่ื อสาร (thecommunicative
approach) จุดม่งุ หมายของวธิ ีสอนส่วนใหญ่ทกี่ ล่าวมาแล้วมุ่งเน้นให้ผ้เู รยี นสามารถใช้ภาษาท่ีเรยี นใน
การสื่อสาร และสว่ นใหญ่มคี วามเชื่อว่าถ้าผู้เรียนมคี วามร้เู กี่ยวกับโครงสร้างทางภาษาและคำศัพทแ์ ล้ว
จะใช้ภาษในการสื่อสารได้ แต่จากข้อเท็จจริงแล้วพบว่า ถึงแม้ผู้เรียนจะเรียนรู้โครงสร้างของ
ภาษาต่างประเทศมาแล้วเป็นอย่างดี ก็ยังไม่สามารถพูดคุยหรือส่ือสารกับชาวต่างประเทศได้เลย การ
สอนเพื่อการสื่อสาร (the communicative approach) มีความเชื่อว่า ภาษาไม่ได้เป็นเพียงระบบ
ไวยากรณ์ท่ีประกอบด้วยเสียง ศัพท์ โครงสร้าง เท่านั้น แต่ภาษาคือระบบท่ีใช้ในการส่ือสารหรือส่ือ
261
ความหมาย ดังนั้นการสอนภาษาจึงควรสอนให้ผู้เรียนสามารถนำภาษาไปใช้ในการสื่อสารหรือส่ือ
ความหมายได้ ไม่ควรสอนให้ผู้เรียนได้เรียนรู้เฉพาะรูปแบบหรือโครงสร้างของภาษาเท่าน้ัน ทั้งนี้
เพราะในการส่ือสารน้ันต้องใช้ภาษาเป็นสื่อเพ่ือทำหน้าท่ีต่างๆ เช่นโต้แย้ง ชักจูง ขออนุญาต ฯลฯ ซ่ึง
ตอ้ งใช้ใหเ้ หมาะตามสภาพสังคมด้วย
ขัน้ ท่ี 5 ขน้ั ประเมนิ ผล
ผู้สอนต้องประเมินการเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา ตั้งแต่ก่อนสอนเพื่อทดสอบความรู้ หรือทบทวน
ความรู้เดิมของผู้เรียนตามข้ันที่ 1 ผู้สอนอาจประเมินโดยใช้วิธีการประเมนิ แบบไมท่ างการ ด้วยการตั้ง
ประโยคคำถามเกี่ยวกับบทเรียนท่ีกำลังจะสอน เมื่อกระบวนการสอนสิ้นสุดหากผู้เรียนขาดความรู้
หรือมีปัญหาเรื่องใดเรื่องหน่ึง ผู้สอนประเมินแล้วผู้เรียนไม่บรรลุวัตถุประสงค์ เราอาจเริ่มการเรียน
การสอนด้วยการเริ่มใหม่ด้วยการทบทวนความรู้เดิมของผู้เรียนเพื่อเชื่อมโยงไปสู่การเรียนรู้ส่ิงใหม่
รปู แบบการสอนนี้สามารถเกดิ ซ้ำๆ จนผเู้ รยี นมีความเขา้ ใจและเรยี นร้สู ง่ิ ใหมไ่ ด้
262
บทสรุป
อาจสรุปได้ว่าความแตกต่างระหว่างภาษาที่ผู้เรียนรู้ก่อนท่ีจะเรียนรู้ภาษาใหม่ เช่น ความรู้
ด้านระบบคำ ด้านโครงสร้างคำ ล้วนจะเป็นประโยชน์ต่อการเรียนภาษใหม่ได้ ทั้งน้ีผู้สอนต้องมีแนว
การเรียนการสอนท่ีสามารถให้ผู้เรียนเห็นความเหมือนและความต่างของภาษาที่ตนรู้มาก่อนและ
ภาษาอังกฤษ และการเรียนการสอนภาษามิควรยึดติดกับวิธีการสอนใดวิธีการหน่ึง ทั้งน้ีผู้สอนควร
ประยุกต์ใชแ้ นวคดิ ต่างๆ และเข้าใจความแตกต่างของภาษาเพ่ือจะทำให้การเรียนการสอนภาษาบรรลุ
เป้าหมายได้ ในการจัดเรียนการสอนภาษาอังกฤษบนพื้นฐานความหลากหลายทางภาษาของผู้เรียนที่
ใช้ภาษามลายูถ่ินซึ่งเป็นภาษาแม่ในการสือ่ สารในชีวิตประจำวัน และใช้ภาษาไทยในการตดิ ต่อส่ือสาร
เรียนรวู้ ิชาการต่างๆ ให้บรรลุเป้าหมายนัน้ อาจต้องอาศยั แนวคดิ ต่างๆ มาผสมผสานกัน เพอื่ ใหผ้ ้เู รยี น
เหน็ ขอ้ แตกต่างและเข้าใจภาษาระหว่างภาษาทต่ี นรู้และภาษาอังกฤษ
263
แบบฝกึ หัด
1. ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของนักศึกษา นักศึกษาคิดว่า ความแตกต่างทางภาษามี
ผลต่อการเรยี นภาษาอังกฤษ หรือไม่ อย่างไร
2. จากการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ นักศกึ ษาคิดว่า วธิ กี ารสอนใดดีทส่ี ดุ เพราะเหตุใด
3. การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในบริบทสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ต่างจากบริบทอื่นใน
ประเทศไทยอยา่ งไร
264
เอกสารอา้ งอิง
คอลเี ย๊าะ เจ๊ะโด. (2558). การวิเคราะหป์ ระโยคภาษาอังกฤษท่นี ักศึกษาเลือกใช้ (รายงานผลการวิจัย).
ยะลา: มหาวทิ ยาลัยราชภฏั ยะลา.
คู่มอื ระบบเขียนภาษามลายปู าตานอี กั ษรไทย ฉบับราชบัณฑติ ยสถาน กรุงเทพฯ : ราชบณั ฑติ ยสถาน,
2553
สุกินา อาแล. (2552). ความแตกต่างของโครงสร้างภาษาไทยและภาษาอังกฤษซ่ึงส่งผลต่อ
ประสิทธิภาพทางการเขียนภาษาอังกฤษของนักศึกษา: กรณีศึกษานักศึกษาเอก
ภาษาอังกฤษชั้นปีที่ 2 และ 3 สาขาศิลปะศาสตร์แลสาขาครุศาสตร์. (รายงาน
ผลการวิจัย). ยะลา: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ยะลา.
สุภา วัชรสุขุม. (2555). ปัญหาการใช้ภาษาไทยของนักศึกษาของนักศึกษาไทยเชื้อสายมลายูในสาม
จังหวดั ชายแดนภาคใต้ (รายงานผลการวจิ ัย). ยะลา: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ยะลา.
Fromkin, V., Rodman, R., & Hyams, N. (2003). An Introduction to Language. (7th ed).
Boston MA : Thomson & Heinle.
. (2011). An Introduction to Language. (9h ed). Singapore : Wadsworth
Cengage Learning.
265
265
บรรณานกุ รม
คอลเี ย๊าะ เจะ๊ โด. (2558). การวเิ คราะห์ประโยคภาษาองั กฤษทีน่ ักศกึ ษาเลอื กใช้ (รายงาน
ผลการวจิ ยั ). ยะลา : มหาวิทยาลยั ราชภฏั ยะลา.
ณฐั มา พงศไ์ พโรจน์. (2559). ระบบหนว่ ยคำในภาษาอังกฤษ = English Morphology. กรงุ เทพฯ :
จุฬาลงกรณ์วิทยาลัย.
พงศ์ศรี เลขาวฒั นะ. (2552). “ภาษาอังกฤษตามแนวไวยากรณ์ปริวรรตหน่วยท่ี 12” ภาษาอังกฤษ
สำหรับครู. นนทบุรี : มหาวิทยาลัยสโุ ขทยั ธรรมาธริ าช.
รัฐธิดา กระสนิ ธุ์. (2557). การวิเคราะหก์ ารใช้คำนำหนา้ นามภาษาองั กฤษของนักเรียนไทย.
วรสารวจั นะ.2(2), 12-20.
ราชบัณฑติ ยสถาน. (2553). ค่มู ือระบบเขียน ภาษามลายูปาตานี อกั ษรไทย ฉบับราชบัณฑิตยสถาน.
กรุงเทพฯ: บริษทั สหมิตรพริ้นต้งิ แอนด์พับลิสชง่ิ จำกดั .
วภิ า ฌานวงั ศะ. (2552). “การศึกษาเร่ืองคำและกลุม่ คำ หนว่ ยที่ 7” ในภาษาอังกฤษสำหรบั ครู.
นนทบรุ ี : มหาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.
ศธิ ร แสงธนู. (2552). “การศึกษาเร่ืองคำและกลุ่มคำ หน่วยท่ี 6” ในภาษาอังกฤษสำหรับครู.
นนทบุรี : มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธิราช.
ศนู ยศ์ ึกษาและฟื้นฟภู าษาและวัฒนธรรมในภาวะวิกฤต มหาวิทยาลยั มหิดล มูลนิธิเอเชีย. (2558).
พจนานุกรม มลายูปาตานี ไทย มาเลเซยี รมู ี – ยาวี.นครปฐม : จรลั สนิทวงศก์ ารพิมพ์
จำกดั .
สุกินา อาแล. (2552). ความแตกต่างของโครงสร้างภาษาไทยและภาษาอังกฤษซ่ึงส่งผลต่อ
ประสิทธิภาพทางการเขียนภาษาอังกฤษของนักศึกษา: กรณีศึกษานักศึกษาเอก
ภาษาอังกฤษชั้นปีท่ี 2 และ 3 สาขาศิลปะศาสตร์แลสาขาครุศาสตร์. (รายงาน
ผลการวิจยั ). ยะลา: มหาวิทยาลัยราชภฏั ยะลา.
สมโภชน์ พนาวาส. (2543). วากยสัมพันธ์ภาษาองั กฤษ. ยะลา : มหาวทิ ยาลยั ราชภัฏยะลา.
สภุ า วัชรสขุ มุ . (2555). ปญั หาการใช้ภาษาไทยของนักศกึ ษาของนักศึกษาไทยเช้ือสายมลายูในสาม
จังหวดั ชายแดนภาคใต้ (รายงานผลการวจิ ยั ). ยะลา : มหาวทิ ยาลัยราชภัฏยะลา.
266
บรรณานกุ รม(ตอ่ )
Aarts, B. (2011). English Grammar. UK : Oxford University Press.
Adam, V. (1973). An introduction to modern English word-formation. London :
Longman Troup Limited.
Akmajian, A., et al. (2001). Linguistics : An Introduction to Language and
Communication. The United States of America: Massachusetts Institute of
Technology.
Ana, M. C. (2015). Word formation of Blends. Mostariensia, 19 (2). Retrieved May, 13,
2016 from https://webcache.googleusercontent.com/search?q=cache:
JSuQIkFyP7AJ:https://hrcak.srce.hr/file/226396+&cd=8&hl=en&ct=clnk&gl
=th
Anne, H, S. (1993). Word Watch. The Alantica.271(4),136. Retrieved April, 12,2017
from https://search.proquest.com/abicomplete.
Antonacci, A. P., & O’Callaghan. M. C. (2011). Developing content Area Literacy.
United States Of America: SAGE Publication, Inc.
Bauer, L. (1983). English Word formation. London : Cambridge University Press.
Bloomfield, L. (1914 ). An Introduction to the Study of Language. New York; Henry
Holt.
Brown, C.A., Nilson. J., Shaw,W.F, & Weldon, R. A. (1986). Grammar and
Composition.USA : Houghton Mifflin Company.
Brown, R. (1973). A first language : The early stages. London : George Allen & Unwin.
Ltd.
Carroll, W. D. (2008). Psychology of Language. (5th ed). USA: Thomson Higher
Education.
Crystal, D. (1982). Linguistics. Great Britain: Hazell Watson & Viney Ltd.
Conlin, A.D., Herman, R. G., & Martin, J. (1978). Our Language Today. New York :
Litton Educational Publishing Inc.
Denham, K., & Lobeck, A. (2010). Linguistics for Everyone: Introduction.USA: Michael
Rosenberg.
267
บรรณานุกรม(ตอ่ )
Dictionary.cambridge.org. Abbreviations- initials and acronyms. Retrieved August 23,
2016, from https://dictionary.cambridge.org/grammar/british-
grammar/about-words-clauses-and-sentences/abbreviations-initials-and-
acronyms Encyclopedia.com. Compound-complex words. Concise Oxford
Companion to the English
Language. Retrieved May 27, 2016 from Encyclopedia.com:
http://www.encyclopedia.com/ humanities/encyclopedias-almanacs-
transcripts-and-maps/compound-complex-word
English-magazine.org. Short stories. Retrieved March, 1, 2016 from https://english-
magazine.org/english-stories
Fries, C. C. (1957). The Structure of English. London : Harcort Brace and Company INC.
Fromkin,V., Rodman, R., & Hyams, N. (1998). An Introduction to Language. (6th ed).
New York : Harcort Brace.
. (2003). An Introduction to Language. (7th ed). Boston MA : Thomson &
Heinle.
. (2011). An Introduction to Language. (9h ed). Singapore : Wadsworth
Cengage Learning.
Gelderen, V. E. (2013). Clause Structure. New York : Cambridge University Press.
Genetti, C. (2014). How Language Work. New York: Cambridge University Press.
Halliday, M.A.K. (2004). An Introduction to Functional Grammar. Great Britain : Hodder
Arnold.
Haspelmath, M. (2002). Understanding Morphology. London: Oxford University Press.
Hockett, C. F. (1976). Poems in Praise of English Phonology, Word Way, 9(3), 4.
Retrived March 15, 2017,
from https://digitalcommons.butler.edu/wordways/vol9/iss3/4.
Haugtved, P. C., Herr, M. P., & Kardes, R. F. (2008). Handbook of Consumer
Psychology. New York : Tylor & Francis Group.
Hosseinzdeh , M. N. (2014). New-Blends-in-English-Language. International Journal of
English Language and Linguistics Research. 2(2). Retrieved March, 18, 2017,
from http://www.eajournals.org/wp-content/uploads/.pdf.
268
บรรณานุกรม(ตอ่ )
Huddleston, R., & Pullum, K. G. (2005). A student’s introduction to English Grammar.
United Kingdom : Cambridge University Press.
Jarad, I. N. (2015). Morphemic Analysis Increase Vocabulary and Improves
Comprehension. Retrieved March, 5, 2017 from
https://pressto.amu.edu.pl/index.php/gl/article/viewFile/5511/5591.
Katamba, F. (1993). Types of Morphemes. In : Morphology. Modern Linguistics
Series. London : Palgrave.
Larsen, J. A. (2007). Morphological Analysis in School-Age Children: Dynamic
Assessment of a Word Learning Strategy. Language, Speech & Hearing
Services in Schools. 38 (3).
Lambrecht, K. (1998). Information structure and sentence form. United Kingdom:
Cambridge University Press.
McCutchen, D. (2011). Inside Incidental Word Learning: Children's Strategic Use of
Morphological Information to Infer Word Meanings. Reading Research
Quarterly. 46(4).
Merriam-Webster’s Collegiate Dictionary. 11th edition. (2004). USA: Merriam-Webster’s,
Incorporated.
Murphy, R. (2015). Essential Grammar in Use. (4th ed). United Kingdom: Cambridge
University Press.
O’Grady, G. (2013). Key concepts in Phonetics and Phonology. Palgrane Macmillan :
UK.
Pacheco, B. M. (2013). Putting Two and Two Together : Middle School Students'
Morphological Problem-Solving Strategies For Unknown Words. Journal of
Adolescent & Adult Literacy. 56(7).
Plag. I., Brauan. M., Lappe. S., & Schramm.M. (2007). Introduction to English Linguistics.
Germany: Walter de Gruyter GmbH&Co. KG,D-10785 Belin.
269
บรรณานกุ รม(ตอ่ )
Radford, A. (1988). Transformational Grammar: A First Course. UK:
Cambridge University Press.
Radford, A. (2003). Syntactic theory and structure of English. UK:
Cambridge University Press.
Rani, R. (2010). Morphological Analysis on the word formation Found in the Terms of
Microsoft Word. Research in English and Applied Linguistics (Real). JAKAT-
BATIM. Halaman Moeka and LLC Publishing.
Roderick, A. J., & Peter, S. R . (1968). English Transformational Grammar. USA :
Blaisdell Publishing .
Ronald,C., Michael, M., Geraldine,M., & O'Keeffe, A . (2016). English Grammar Today.
UK : Cambridge University Press.
Stekauer, P., & Lieber, R. (2005). Handbook of Word formation. Netherland : Springer.
Sapir, E. (1921). Language : An introduction to the study of speech. New York :
Harcourt, Brace.
Somschit, B. (2014). Inside Linguistics : Bangkok : University press.
Stageberg, C. N. (1977). An Introductory English Grammar. (3rded.). New York : Holt,
Rinehart and Winston.
Sumon, A. (2003). Introduction to Linguistics. Bangkok : Chulalongkorn University
Printing House.
Walker, R. (2013). Mind the lexical gab, and The Cranberry morpheme. The Chistian
Science Monitor. Retrieved March, 1, 2015, from
https://search.proquest.com/abicomplete /docview/1428210974/
C8F4AB46EFCA43D4PQ/77? accountid=32095.
Willgress, L. (2016). Words are getting shorter due to social media as ‘Jomo’ and ‘mic
drop’ feature on word of the year list. Retrieved June 4, 2017,
from http://www.telegraph.co.uk/news/2016/11/03/words-are-getting-
shorter-due-to-social-media-as-jomo-and-mic-dr/www.encyclopedia.com
.Word formation. Retrieved August 8, 2016, from
270
บรรณานุกรม(ตอ่ )
encyclopedia. com /humanities/ encyclopedias-almanacs-transcripts-and-
maps/word - formation www.twobells.com Ambiguous sentence.
Retrieved May 27, 2016 from http://www.
twobells.com/Writing_Online/rayas-dungeon/03.htm
Yousef, T. (2012). The Awareness of the English Word-formation Mechanisms is a
Necessity to Make an Autonomous L2 Learner in EFL Context. Journal of
Language Teaching and Research, 3,(6). Retrieved March, 12, 2017 from
https://wac.colostate.edu/books /sound/ chapter5.pdf
Yule, G. (2006). The Study of Language. (3rd ed). United Kingdom: Cambridge
University Press.
. (2010). The Study of Language. (4th ed). United Kingdom: Cambridge
University Press.