The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

ตำราเรื่องระบบคำและโครงสร้างภาษาอังกฤษ ใช้ศึกษาประกอบรายวิชาวจีวิภาคและวากยสัมพันธ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by Kholeeyoh Jedo, 2020-10-13 03:42:17

ระบบคำและโครงสร้างภาษาอังกฤษ

ตำราเรื่องระบบคำและโครงสร้างภาษาอังกฤษ ใช้ศึกษาประกอบรายวิชาวจีวิภาคและวากยสัมพันธ์

Keywords: morphology and syntax

89

คำที่ลงท้ายด้วย -throp ซ่ึงแปลวา่ village และ -by แปลว่า town เช่น bylaw ความหมาย
เดิมก็คือ the law of the town และคำจากภาษาอีตาเลียนซ่ึงได้รับอิทธิพลทางด้านดนตรี
ศิลปกรรม และสถาปัตยกรรม เช่น tempo, aria, alto, crescendo, piano, stanza, serenade,
libretto, balcony, corridor, traffic นอกจากนี้คำที่ยืมจากภาษาสเปนบางคำรับมาและดัดแปลง
ยกตัวอย่างเช่น alligator, anchovy, barricade, cask, cedilla, galleon, grenade, hoosegow,
renegade, sherry, stampede, stevedore, vamoose บางคำรับมาใช้ในภาษาอังกฤษโดยตรง
เช่ น adobe, armada, armadillo, bravado, chili, chinchilla, embargo, guerrilla mosquito
เปน็ ต้น

ในช่วงระหวา่ งปี1100-1500 และ 1650-1900 ภาษาฝรัง่ เศสถกู นำมาใชใ้ นภาษาอังกฤษ
เปน็ จำนวนมากทง้ั ดว้ ยเหตุผลดา้ นการคา้ การติดต่อทางสงั คมและวฒั นธรรม ในชว่ งน้มี ีคำจากภาษา
ฝรั่งเศสทน่ี ำมาใช้ในภาษาอังกฤษ เช่น government, parliament, treaty, sermon, religion,
justice, judge, court, prison, guarantee, baptism, bacon, cream, broil, fry, roast, toast,
dinner, supper, beef, pork, veal, mutton, dance, music, chess, conversation, leisure,
carpenter, draper, mason, painter, tailor, story, romance, poet

2) ศกึ ษาคำยมื จากประวตั ิศาสตรช์ าวอเมริกา
ชนชาติอเมริกานับวา่ เป็นเจ้าของภาษาในกลมุ่ อาณานิคมอังกฤษ ดงั น้ันภาษาทใ่ี ช้คือ

ภาษาอังกฤษ คำยืม (loan words) ในภาษาอังกฤษท่ีเกิดขึ้นในแถบนี้ ส่วนใหญ่มาจากภาษาของชน
พ้ืนเมือง เช่น hickory, chipmunk, opossum, squash โดยเฉพาะช่ือมลรัฐต่างๆ เป็นคำยืมจาก
ภาษาอินเดียนแดง

เราอาจสรปุ ไดว้ า่ คำยืม (loan words) เป็นแหลง่ คำศัพทใ์ หมๆ่ ท่ีใช้กนั ทว่ั ไปในภาษาอังกฤษ
ซง่ึ มีความเป็นมาท่สี ามารถศึกษาไดจ้ ากประวัตศิ าสตรช์ นชาติเจา้ ของภาษา

90

บทสรปุ

การเรียกแทนส่ิงต่างๆท่ีเกิดข้ึนใหม่จำเป็นต้องมีคำเฉพาะอธิบายสิ่งน้ัน ทั้งน้ีการเกิด
สิ่งประดิษฐ์ หรอื แนวคิดต่างๆ สามารถเกดิ ได้ไมจ่ ำกัด ขณะท่คี ำมีใชจ้ ำกดั ดังนัน้ การกระบวนการสร้าง
คำใหม่จึงเกิดขึ้น ในภาษาอังกฤษมีคำใหม่เกิดมากมายดว้ ยเหตุผลแตกต่างกัน ทั้งนี้วิธีการเพิ่มคำศัพท์
ทำได้หลายวิธี เช่น การสร้างคำโดยการเติมหน่วยคำ และการประสมระหว่างคำชนิดต่างๆ อีกทั้งการ
ใช้วิธีอ่ืนๆ เช่น coinage, compounding, acronym, back-formation, clipping, word borrowing,
onomatopoeia, blending, รวมทั้งคำศพั ทห์ ลายคำในภาษาองั กฤษเป็นคำยืมจากภาษาอน่ื ๆ

91

แบบฝกึ หัด

1. คำเหล่าน้ีสรา้ งคำอย่างไร ให้ใส่ตัวอกั ษรในช่องว่างที่กำหนด

a. derivation b. compounding c. conversion
f. onomotopoeia
d. coinage e. acronyms

g. blending h. clipping

1.1 fire extinguisher ...........................
1.2 dorm ...........................
1.3 netbook ...........................
1.4 radar ...........................
1.5 hunter-gatherer ...........................
1.6 pop ...........................
1.7 wheeze ...........................
1.8 ruff-ruff ...........................
1.9 codgerhood ...........................
1.10 weirdoism ...........................
1.11 prof ...........................
1.12 math ...........................
1.13 telecast ...........................
1.14 dacron ...........................
1.15 sitcom ...........................
1.16 flunk ...........................
1.17 jeep ...........................
1.18 wig . ..........................
1.19 Amerindian ...........................
1.20 counselorship ...........................

92

2. คำประสมต่อไปนี้เกิดจากการประสม (compounding) ระหวา่ งคำชนิดใด
2.1 breakdown
2.2 outcome
2.3 daydreamer
2.4 rebroadcast
2.5 sweet potato

3. คำยมื (borrowing) ต่อไปน้ยี มื จากภาษาใด
3.1 dinner
3.2 traffic
3.3 alcohol
3.4 monk
3.5 tea

4. คำเหลา่ นี้ เกิดจากการผสมคำใด (blending)
4.1 airtel
4.2 smog
4.3 autobus
4.4 squawk
4.5 escalator

5. คำกรยิ าเหล่านเ้ี กดิ จากการสร้างย้อนคำ (back formation) จากคำนามใด
5.1 typewrite
5.2 administrate
5.3 baby-sit
5.4 laze
5.5 emote

93

6. คำตอ่ ไปนี้ (clipped word) เกิดจากการตัดคำจากคำใด
6.1 gas
6.2 photo
6.3 curio
6.4 brandy
6.5 taxi

7. ให้ระบุคำท่ีขีดเส้นใต้ เป็นคำประสม (compound word) หรือ การใช้คำตามหลักไวยากรณ์
(grammatical structure)

7.1 Lilly new car is a hardtop.
7.2 This jar has a rather hard top.
7.3 Malinee meets her father-in-law. .
7.4 Malinee meets her father in trouble.
7.5 He bought it on the black market.
7.6 The electricity went off, and we were caught in a black market.

94

เอกสารอ้างองิ

ณัฐมา พงศ์ไพโรจน์. (2559). ระบบหนว่ ยคำในภาษาองั กฤษ = English Morphology. กรุงเทพฯ :
จุฬาลงกรณ์วทิ ยาลยั .

ศธิ ร แสงธนู. (2552). “ การศึกษาเร่ืองคำและกลุ่มคำ หน่วยที่ 6” ใน ภาษาอังกฤษสำหรับครู
(น. 303 ). นนทบรุ ี: มหาวทิ ยาลัยสุโขทยั ธรรมาธิราช.

Aarts, B. (2011). English Grammar. UK: Oxford University Press.
Anne, H. S. (1993). Word Watch. The Alantica.271(4),136. Retrieved April, 12,2017 from

https://search.proquest.com/abicomplete.
Dictionary.cambridge.org . Abbriviations initials and acronyms. Retrieved August 23,

2016, from https://dictionary.cambridge.org/grammar/british-
grammar/about-words-clauses-and-sentences/abbreviations-initials-and-
acronyms
Fromkin,V., Rodman, R., & Hyams, N. (1998). An Introduction to Language (6th ed.). New
York : Harcort Brace.
Haugtved, P. C., Herr, M. P., & Kardes, R. F. (2008). Handbook of Consumer Psychology.
New York : Tylor & Francis Group.
Hosseinzdeh , M. N. (2014). New-Blends-in-English-Language. International Journal of
English Language and Linguistics Research. 2(2). Retrieved March, 18, 2017,
from http://www.eajournals.org/wp-content/uploads/.pdf.
Plag. I., Braun. M., Lappe. S., & Schramm.M. (2007). Introduction to English Linguistics.
Germany: Walter de Gruyter GmbH&Co. KG,D-10785 Belin.
Ronald,C., Michael, M., Geraldine, M., & O'Keeffe, A . (2016). English Grammar Today.
UK: Cambridge University Press.
Stekauer, P., & Lieber, R. (2005). Handbook of Word formation. Netherland: Springer.

95

บทที่ 5
โครงสร้างคำ

คำมีโครงสร้างเกิดจากการนำส่วนต่างๆ มารวมกัน ได้แก่ base ซ่ึงอาจะเป็น free base
หรือ bound base และ affixes ซึ่งในภาษาอังกฤษมีใช้อยู่ 2 ชนิดเท่านั้น คือ prefix และ suffix ทั้งมี
ขอ้ กำหนดวา่ prefix ใด สามารถใชไ้ ดก้ ับ base ตัวใด และในกรณีที่ prefix หลายตวั ต้องพิจารณาลำดับ
การเติม prefix และการเติม suffix หลังฐานคำเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นหน่วยคำ {- ion}, {-ment} และ
{-ness} หน่วยคำเหล่าน้ีเป็นหน่วยคำเติมหลังคำเพ่ือทำให้เป็นคำนาม อย่างไรก็ตาม แต่ละตัวไม่สามารถ
นำไปใช้แทนกันได้ เช่น “reception” , “development”, “happiness” จะเติม suffix ตายตัวไม่
สามารถใช้สลบั กนั

กรณีการเติม suffixes หลังฐานคำ bases อาจเรียงกันหลายตัวได้ แต่ตำแหน่งของ
suffixes มักตายตัว กล่าวคือ suffixes มีตำแหน่งอยู่หลัง bases หรือ suffixes อ่ืน แต่จะอยู่หลัง
prefixes ทันทีไม่ได้ถ้ามี suffixes 2 ตัว ประกอบหลัง bases ต่อเน่ืองกัน suffixes เหล่าน้ีจะอยู่ในตำ
แนง่ ตายตัว ท้งั นี้เพราะ suffixes แต่ละตวั มีขอ้ กำหนดว่าจะต่อท้ายคำประเภทใดบ้าง เช่น

base adjective noun

nation national nationality

จะเห็นได้ว่าหน่วยคำ {–al} และ{–ity} เป็น suffixes จะเรียงต่อกันตามลำดับ คือหน่วยคำ
{–al} ต่อท้าย base คำว่า “nation” ซึ่งเป็นคำนามทำให้เกิดคำคุณศัพท์ และหน่วยคำ {–ity} ต่อท้าย
หน่วยคำ { –al} เป็นหนว่ ยคำทสี่ อง ทำให้เกดิ เปน็ คำนาม

ลักษณะการเติมท่ีต่อเน่ืองนี้เป็นกฎตายตัวไม่สามารถสลับตำแหน่งของหน่วยคำ จะเติม
หน่วยคำ{–al} หลัง base ก่อนและตามด้วยหน่วยคำ {–ity} ไมได้ นอกจากการเติมหน่วยคำหลัง base
มากกวา่ 2 หน่วยคำ เชน่ คำวา่ “globalization”

base adjective verb noun
globe global globalize globalization

จะเห็นว่าคำนี้ มี suffixes {–al} , {-ize}, และ {–ation} ท้ัง 3 หน่วยคำนี้เรียงต่อท้ายคำฐาน
“globe” ตามลำดับ จะสลับเอา {–ation} มาต่อกับคำฐาน “globe” ก่อนหน่วยคำ {– al} หรือ {–ize}
ไม่ได้ หรอื จะเตมิ หน่วยคำ {–ize} มาตอ่ กบั คำฐาน “globe” กอ่ นไม่ได้เชน่ กัน

96

ถึงแม้สามารถเติม suffixes ประกอบหลัง bases ได้จำนวนมาก แต่มิได้หมายความว่า
สามารถนำ suffixes ตัวใดมาประกอบกับคำฐานใดก็ได้ บางครั้งเม่ือต้องการจะทราบว่าคำนั้นๆ
ประกอบด้วย prefixes และ suffixes ใดได้บ้าง การเปิดพจนานุกรมภาษาอังกฤษสามารถช่วยให้ทราบ
ว่ากลุ่มคำใดมาจากรากศัพท์เดียวกันและสามารถประกอบด้วย prefixes หรือ suffixes ใด จะเห็นได้ว่า
คำมโี ครงสรา้ งภายในซ่ึงสามารถวิเคราะห์ได้ด้วยการหาส่วนประกอบของคำ ซง่ึ จะกล่าวในลำดบั ถัดไป

1. การวเิ คราะห์โครงสร้างคำ

การวิเคราะห์โครงสร้างคำ (morphological analysis) คือการหาส่วนประกอบของคำหรือ
หน่วยคำ (morpheme) ท่ีรวมกันเป็นคำ การวิเคราะห์คำที่มีเพียงหนึ่งหน่วยคำ จะเห็นได้ชัดเจนว่าคำ
น้ันประกอบด้วยหน่วยคำใด ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “book, blaze” แต่คำท่ีประกอบข้ึนด้วยหลาย
หน่วยคำ เราสามารถพิจารณาหาส่วนประกอบหรือโครงสร้างของคำได้โดยการแยกส่วนประกอบคำ
ออกเป็นหน่วยคำที่เล็กท่ีสุด การแบ่งหน่วยคำออกเป็นส่วนๆ อาจประกอบด้วย bases, prefixes, และ
suffixes

การวิเคราะห์โครงสร้างคำช่วยให้ผู้เรียนได้รู้ความหมายของคำจากส่วนประกอบของคำ
เพราะคำประกอบด้วยรากศั พท์ (root word) และหน่วยคำที่มาเพ่ิมข้างหน้าหรือข้างหลัง
(prefixes/suffixes) รากศัพท์ ยกตัวอย่างคำว่า “hemispheres” เราแยกส่วนประกอบคำโดยการแยก
root word, suffix และ prefix ดังนี้

Root word
-sphere

Word
hemispheres
Prefix Suffix
hemi- -s

ภาพที่ 5.1 การวเิ คราะหค์ ำ

97

การวิเคราะห์โครงสร้างภายในของคำ เราต้องศึกษาเรื่องหน่วยคำต่างๆ ท่ีนำมาประกอบ
เปน็ คำ อย่างไรก็ตามการแยกส่วนประกอบออกเปน็ หน่วยคำต่างๆ มวี ธิ ีการ ดงั นี้

1.1 การหาสว่ นประกอบคำ
การหาส่วนประกอบคำทำได้ด้วยการกำหนดหน่วยคำ (identifying morphemes) ทำให้รู้
ว่าส่วนใดเป็นหน่วยคำเดียวกันหรือคนละหน่วยคำ ซึ่งมีหลักการสังเกตได้ดังต่อไปนี้ (Fromkin ,
Rodman &, Hyams , 2011)

1) สังเกตจากการออกเสียงหน่วยคำ คำที่ออกเสียงเหมือนกันและมีความหมาย
เหมือนกันถือว่าเป็นหน่วยคำเดียวกัน เช่น คำว่า giver, player, walker, singer, learner, blender
หน่วยคำ {-er} ที่เตมิ หลังคำกริยาเหลา่ น้ันนับว่าเป็นหน่วยคำเดียวกันเพราะการเติม {-er} /- er/ ข้างหลัง
คำกริยา (verb) ทำให้คำใหม่ที่เกดิ ข้นึ เปลีย่ นเป็นคำชนิดคำนามและมีความหมายเป็นผู้กระทำ

อย่างไรก็ตามการเติมหน่วยคำ {-er} อาจก่อให้เกิดความสับสนได้เพราะการเติม
หน่วยคำ {-er} ข้างหลังคำคุณศัพท์ (adjective) เช่นคำว่า faster, bigger, smaller, warmer หน่วยคำ
{-er} นับว่าเป็นคนละหน่วยคำกับหน่วยคำ {-er} ในคำว่า giver, player, walker, singer, learner,
blender เนื่องจาก {-er} ในคำว่า faster, bigger, smaller, warmer มีความหมายเชิงเปรียบเทียบและ
เปน็ คำคุณศัพท์

ยกตัวอยา่ งคำว่า finger ถึงแมก้ ารออกเสียงท้ายคำเหมือนกับคำว่า “singer” แต่มไิ ด้
หมายความว่าเป็นหน่วยคำเดียวกัน ทั้งนี้คำว่า finger มีเพียง 1 หน่วยคำ (monomorphemic word)
ไม่สามารถแยกเป็นหน่วยคำ fing + er เพราะหน่วยคำ fing ไม่ปรากฏและไม่มีความหมายใน
ภาษาอังกฤษ ในขณะท่ีคำว่า singer และ คำว่า songster มีความหมายเหมือนกันถึงแม้ท้ังสองคำเขียน
ต่างกัน แต่หน่วยคำ {-er} และ {-ster} ยังคงเป็นหน่วยคำเดียว นอกจากน้ีคำว่า “monster”
มีเพียง 1 หน่วยคำ ไม่สามารถแยกหน่วยคำเป็น “mon + ster” เพราะคำว่า mon ไม่มีใช้ใน
ภาษาองั กฤษและไมม่ ีความหมาย

2) สังเกตจากการออกเสียงต่างกันของหน่วยคำเน่ืองจากลักษณะบังคับทางเสียง คำ
หรือส่วนของคำที่มีความหมายเหมือนกันแต่ออกเสียงต่างกันโดยสามารถใช้ลักษณะบังคับทางเสียง มา
อธิบายถึงการเปลี่ยนแปลงของเสียงที่ต่างกันออกไปนับว่า คำหรือส่วนของคำนั้นเป็นหน่วยคำย่อยของ
หน่วยคำเดียวกัน ซ่ึงมี 3 ลกั ษณะได้แก่

2.1) การออกเสียงหนว่ ยคำเพื่อแสดงพจน์
หน่วยคำท่ีแสดงความเป็นพหูพจน์ (plural morpheme) ของคำในภาษาอังกฤษ คือ
/-s/ เช่นคำว่า cats ออกเสียง /-z/ ในคำว่า dogs และออกเสียง /-iz/ ในคำว่า “wishes” ออกเสียง

98

ต่างกันแต่นับว่าเป็นหน่วยคำย่อยของหน่วยคำเดียวกันทั้งนี้การออกเสียงต่างกันเพราะลักษณะบังคับ
ทางเสียงที่อยู่ใกลช้ ิด

2.2) การเติมอปุ สรรค
หน่วยคำท่ีประกอบด้วย prefix ที่ส่ือความหมายเชิงปฏิเสธ (not) ในภาษาอังกฤษ
เช่น {im-}, { in-}, {ir-} เม่ือเติมหน้าคำเช่น im+possible, in + complete, ir + regular นับว่าเป็น
หน่วยคำเดยี วกนั แตอ่ อกเสยี งต่างกนั เพราะการบงั คบั ของสยี งที่ตามหลงั ดวั ยเสยี ง /p/ /k/ /r/
2.3) คำกำกบั หนา้ นาม
คำกำกับหน้านามถูกกำหนดด้วยเสียงสระ คำกำกับหน้าคำนาม หรือ article “a,
an” มีลักษณะการใช้ต่างกัน การใช้คำกำกับหน้าคำนามที่ข้ึนต้นด้วยเสียงพยัญชนะใช้คำนำหน้า “a”
เช่น a smartphone, a library เมื่อคำนามท่ีข้ึนต้นด้วยเสียงสระใช้คำนำหน้า “an” เช่น an
influencer an owl, an elephant เป็นตน้

3) สังเกตจากลักษณะบังคับของคำ (lexical conditioning) เช่น หน่วยคำ /-en/ ในคำว่า
oxen หน่วยคำ /-r-en/ ในคำว่า children ท้ังสอง เป็นหน่วยคำที่มีความหมายแสดงความเป็นพหูพจน์
และ zero morpheme /O/ ในคำว่า sheep, fish, deer นับว่าเป็นหน่วยคำเดียวกันท่ีแสดงความเป็น
พหูพจนเ์ ชน่ กันแตร่ ูปคำไม่เปลี่ยน

4) สงั เกตจากคำพ้องเสียง
คำพ้องเสียง (homophonous form) คือคำและหน่วยคำที่ออกเสียงเหมือนกันแต่

สะกดและมคี วามหมายต่างกัน ดังนั้นคำและหน่วยคำจะเป็นหนว่ ยคำเดยี วกันหรือไม่น้ัน มีเงอื่ นไขดงั นี้
4.1) หากความหมายต่างกันอย่างชัดเจน ก็เป็นคนละหน่วยคำ เช่นคำว่า “right”

อ่านว่า /rit/ ในประโยค He doesn’t know the right answer. คำว่า “right” เป็นส่วนขยายของคำว่า
คำนาม answer แปลว่า “ถูกต้อง” ส่วนคำว่า write อ่านว่า /rit/ ในประโยค He has to write the
journal to publish every year. คำว่า “write” เป็นคำกริยา แปลว่า “เขียน”ดังน้ันจะเห็นได้ว่าคำ
สองคำดังกล่าวอ่านออกเสยี งเหมือนกันแต่มีความหมายตา่ งกันชดั เจนซ่งึ ถอื ว่าไดว้ า่ เป็นคนละหน่วยคำ

4.2) หากความหมายของคำพ้องเสียงมีส่วนสัมพันธ์กันนับได้ว่าเป็นหน่วยคำเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “run” เป็นคำกริยาในประโยค “We run.” และคำว่า “run” ท่ีเป็นคำนามใน
ประโยค It pays in the long run. หรือคำว่า “man” ท่ีเป็นคำนามในประโยค He is the man. กับ
กริยาในประโยค The ship is fully manned. จะเห็นได้ว่า “run” และ “man” เป็นคำนามและ
คำกรยิ าแต่มคี วามหมายสัมพนั ธ์กันดังนน้ั นับวา่ เป็นหน่วยคำเดียวกนั

99

2. รูปแบบการวิเคราะห์โครงสร้างคำ

2.1 การวเิ คราะหต์ ามลำดับชน้ั

คำในภาษาองั กฤษมีโครงสร้างคำท่ีประกอบด้วยหน่วยคำเตมิ หน้าและหลังคำฐานซ่ึงมีต้ังแต่
1 หน่วยคำหรือมากกว่า การนับจำนวนหน่วยคำ ทำให้รู้ว่าคำน้ันประกอบขึ้นด้วยหน่วยคำก่ีหน่วยคำ
ตัวอย่างเช่น คำว่า “boy” สามารถประกอบด้วยหน่วยคำดังน้ี (Fromkin , Rodman & Hyams ,
2011)

boy 1 หนว่ ยคำ boy
boyish 2 หนว่ ยคำ boy + ish
boyishness 3 หนว่ ยคำ boy + ish + ness
gentlemanliness 4 หน่วยคำ gentle + man + li + ness
ungentlemanliness 5 หนว่ ยคำ un + gentle + man + li + ness

ในการวิเคราะห์โครงสร้างคำท่ีประกอบด้วยหน่วยคำไม่กี่หน่วยคำนับว่าไม่ยุ่งยาก
และสามารถแสดงด้วยแผนภมู ิต้นไม้ ดงั นี้ (Plag, Braun, Lappe &Schramm, 2007 )

teacher

teach er

ท้ังน้ีการวิเคราะห์โครงสร้างคำจำเป็นต้องคำนึงถึงลำดับการเติมหน่วยคำต่างๆ ซ่ึงคำใน
ภ า ษ า อั งก ฤ ษ จ ำ น ว น ม า ก ท่ี ป ร ะ ก อ บ ด้ ว ย ห น่ ว ย ค ำ ม า ก ก ว่ า ห น่ึ งห น่ ว ย ย ก ตั ว อ ย่ า ง เช่ น ค ำ ว่ า
unsystematically ประกอบด้วย 5 หน่วยคำ ฐานคำ คือ คำว่า “system” เป็นคำนาม ในการเติม
หน่วยคำ {un-,–atic,-al,-ly} ต้องเติมตามลำดับ กล่าวคือหน่วยคำใดประกอบกับคำฐาน “system”
ก่อนหรือหลัง จากกฎการเติมคำอุปสรรค (suffix) สามารถเติมหน่วยคำ {atic} หลังคำนามและเปลี่ยน
ชนิดคำเป็นคำคุณศัพท์คือ “systematic” นอกจากน้ีคำคุณศัพท์สามารถเติมหน่วย “un” หน้า
คำคุณศัพท์และได้คำคุณศัพท์ใหม่ (stem) คือ คำว่า “unsystematic” ซ่ึงมีความหมายในเชิงปฏิเสธคือ
“ไม่” ในขณะเดียวกันหากเติมหน่วยคำใดๆ โดยไม่คำนึงถึงลำดับของการเติมหน่วยคำ (hierarchical
structure) ก่อนหรือหลังหน่วยคำใด คำท่ีได้น้ันเป็นคำท่ีไม่มีความหมายเนื่องจากการเติมหน่วยคำต้อง

100

เป็นไปตามกฎเกณฑ์การสร้างคำในภาษาอังกฤษ เชน่ การเติมหน่วยคำ {-un} ข้างหน้าคำฐานชนิดคำนาม
“system” คำใหม่ที่ได้ “unsystem” นับว่าไม่เป็นคำในภาษาอังกฤษ เนื่องจากการเติม {-un} ไม่
สามารถเติ มข้างหน้ าคำนาม ดั งนั้ นสามารถสรุปการการเติ มหน่ วยคำต่ างๆ ของคำว่า
“unsystematically” ตามลำดับได้ดงั นี้

system + atic = systematic (adj.)
un + systematic = unsystematic (adj.)
unsystematic + al = unsystematical (adj.)
unsystematical + ly = unsystematically (adv.)
นอกจากนี้การวิเคราะห์ดังกล่าวสามารถอธิบายกฎเกณฑ์เกี่ยวกับโครงสร้างคำได้
(morphological rules) ดงั น้ี

1. คำนาม + atic คำคณุ ศพั ท์
2. un + คำคณุ ศพั ท์ คำคณุ ศพั ท์
3. คำคุณศพั ท์ + al คำคุณศพั ท์
4. คำคณุ ศพั ท์ + ly คำวิเศษณ์

อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์คำที่มีหลายหน่วยคำมาประกอบเป็นคำ ผู้วิเคราะห์ตอ้ งคำนึงถึง
โครงสร้างคำท่ีมีเป็นไปตามลำดับ (the hierarchical structure of words) และสามารถแสดง
ความสัมพันธ์ภายในหน่วยคำได้ (Fromkin , Rodman & Hyams , 2011) ดังตัวอย่างข้างต้น คำว่า
“unsystematically” สามารถแสดงดว้ ยแผนภมู ิตน้ ไม้ดังนี้

101

1. adverb

adjective ly

adjective al

un adjective

noun atic

system

2. (adverb) stem

adj stem adv suffix

adj stem suf

adj prefix adj stem
N suf

un system atic al ly

จากแผนภูมิดังกล่าวสามารถสรปุ ได้ดังนี้ จุดแตกกิ่ง (node) แต่ละจุดมีการบ่งช้ีถึงประเภท
ของคำของแต่ละส่วนย่อยของคำ เช่น จากตัวอย่างจากจุดแตกก่ิงบนสุด แสดงให้เห็น คำว่า
“unsystematically” เป็นคำกริยาวิเศษณ์ และจุดแตกก่ิงรองลงมา อธิบายถึงส่วนย่อยของคำว่า
“unsystematical” เป็นคำคุณศัพท์ และจุดแตกก่ิงลำดับต่อมา กล่าวถึงส่วนย่อยของคำคือ
“unsystematic” เป็นคำคุณศัพท์ นอกจากนี้จุดแตกก่ิงล่างสุดอ้างถึงส่วนย่อยของคำว่า “systematic”
เปน็ คำคุณศพั ท์

102

นอกจากนี้ยกตัวอย่างคำว่า “unlovable” ประกอบด้วย 3 หน่วยคำ ได้แก่ หน่วยคำ {un}
เติมหน้าคำฐาน “love” และหนว่ ยคำ {able”} เติมหลงั “unlovable” สามารถแสดงด้วยแผนภูมิต้นไม้
ของคำวา่ ไดด้ งั น้ี

3. adj.

prefix adj
V suffix

un love able

แผนภูมิต้นไม้ดงั กล่าวสามารถสรุปตามกฎเกณฑ์การสร้างคำ ดังน้ี

1.คำกริยา (verb) + able คำคณุ ศพั ท์

2.un + คำคณุ ศัพท์ (adj) คำคุณศพั ท์

สรุปได้ว่า กฎข้อท่ี 1 คือ การนำหน่วยคำเติมหลัง (suffix) มาประกอบกับคำฐาน “love”
ซึ่งเป็นคำกริยา ทำให้ชนิดของคำเป็นคำคุณศัพท์ (adj.) โดยสามารถพิสูจน์ด้วยการนำคำฐานอ่ืนชนิด
เดียวกับคำกรยิ ามาแทนท่ีในกฎได้คำคุณศัพท์มากมาย เชน่

accept + able = acceptable
believe + able = believable
speak + able = speakable

นอกจากน้ีสามารถสรุปกฎข้อที่ 2 คือ อุปสรรค (prefix) {un} ซ่ึงมีความหมายเชิงปฏิเสธ
“ไม่” สามารถประกอบหน้าคำคุณศัพท์ “lovable” และได้คำใหม่คือ “unlovable” เป็นคำคุณศัพท์
สามารถพสิ ูจน์ด้วยการนำหน่วยคำอ่ืนมาแทนที่ในกฎเกณฑ์ เช่น

un+ acceptable
un + believable
un+ speakable

103

จากกฎข้อที่ 2 มีข้อสังเกตที่น่าสนใจเกี่ยวกับการเติมอุปสรรค (prefix) {un} โดยส่วนใหญ่
{un} จะประกอบหน้าคำคุณศัพท์ แต่ในปัจจุบันคำว่า “unfriend” ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในการ
สื่อสารทางสังคมออนไลน์ เช่น Facebook คำว่า “unfriend” มีความหมายในการยกเลิกสัมพันธภาพ
บนสังคมออนไลน์ เป็นคำกริยาซ่ึงมีการเติมอุปสรรค {un} ประกอบหน้าคำนาม (noun) “friend”
ตัวอย่าง เช่น “I decided to unfriend my roommate on Facebook after we had a fight.” อาจ
กลา่ วได้วา่ การสร้างคำด้วยการเติมอุปสรรค {un} ของคำวา่ “unfriend” ไม่เปน็ ไปตามกฎเกณฑ์

อย่างไรก็ตามกฎข้อท่ี 2 การเติมหน่วยคำ {un} ข้างหน้าคำคุณศัพท์มีข้อยกเว้นไม่สามารถ
นำมาประกอบกับคำคุณศัพท์ทุกคำ เช่น คำว่า sad (adj), brave (adj.) ไม่สามารถเติม un + sad =
unsad, un + brave = unbrave ทั้งนคี้ ำ 2 คำนไี้ มเ่ ป็นไปตามกฏ “un-Rule”

จากตัวอย่างข้างต้นแสดงให้เห็นว่าการเติมหน่วยคำประกอบในคำต่างๆในภาษาอังกฤษนั้น
มีความสัมพันธ์โดยมีกฎเกณฑ์ของการเติมคำตามลำดับที่แน่นอนไม่สามารถเติมหน่วยคำใดก่อนตาม
ความต้องการ เช่น ลำดับของการประกอบคำ “accept” เป็นคำกริยา ไม่สามารถเติมหน่วยคำ {un}
เป็นลำดับแรกเป็น “unaccept” และเติมหน่วยคำ “able” เป็นลำดับท่ีสอง ท้ังน้ีคำว่า “unacecpt”
ไม่มใี ช้ในภาษาอังกฤษ

4. verb

un verb
accept

แผนภูมิต้นไม้ข้างต้นไม่เป็นไปตามกฎการเติมอุปสรรค (prefix) เนื่องจากหน่วยคำเติมหน้า
{un} ไมส่ ามารถปรากฏข้างหนา้ คำกริยา

คำใหม่ที่เกิดจากการเติมหน่วยคำต่างๆตามกฎเกณฑ์การสร้างคำในภาษาอังกฤษ สามารถ
เติมหน่วยคำอ่ืนเพื่อสร้างคำใหม่ได้ เช่น คำว่า “unacceptable” สามารถเติมหน่วยคำได้เพ่ิมอีกหนึ่ง
ลำดับชนั้ นับเป็นหนว่ ยคำลำดับสุดท้าย ดังที่แสดงในด้วยแผนภมู ิตน้ ไมข้ ้างล่าง

104

5.
adv.(stem 3)

adj.(stem 2) adv. suffix

prefix adj. (stem 1)
V suffix

un accept able ly

จากแผนภูมิต้นไม้ข้างต้น แสดงการลำดับการประกอบคำตามลำดับ กล่าวคือ คำฐาน
“accept” สามารถเติมหน่วยคำและเกิดคำใหม่ (stem) 3 คำ ได้แก่ acceptable, unacceptable,
และ unacceptably ท้ังนี้เมื่อเกิดคำใหม่บางครัง้ เสียงสระมักเกิดการกลืนเสียงหรือบางหน่วยเสียงถูกตัด
ออกเพือ่ ความสะดวกในการออกเสียง

นอกจากนี้โครงสร้างคำท่ีประกอบด้วย 3 หน่วยคำ การเติมหน่วยคำตามลำดับต้องเป็นไป
ตามกฎ เช่นคำว่า ownership , antiundisestablishmentarianism สามารถแสดงลำดับคำด้วย
แผนภูมติ น้ ไมไ้ ดด้ ังนี้

6. ownership
ship

owner

er
own

แผนภูมิขา้ งบนสามารถอธิบายลำดับการเตมิ derivational morpheme กลา่ วคือ การเติม
หน่วยคำไม่อิสระท่ีสามารถเปลี่ยนชนิดคำได้ ลำดบั ท่ีหน่ึงเติมหนว่ ยคำไม่อสิ ระ {-er} หลงั คำฐาน “own”
ซึ่งเป็นคำกริยาและทำให้ชนิดของหน่วยคำเปลี่ยนเป็นคำนาม “owner” ลำดับถัดไปเติมหน่วยคำไม่
อสิ ระ {-ship} ทำใหเ้ กิดคำนามใหม่ คอื “ownership”

105

คำในภาษาอังกฤษท่ีประกอบด้วยหลายหน่วยคำ การเติมหน่วยคำต้องเป็นไปตามลำดับ
ตามกฎเกณฑ์ เช่น คำวา่ antidisestablishmentarianism สามารถแสดงดว้ ยแผนภูมิต้นไม้ดังน้ี

7. noun

N

suffix
prefix N

N
suffix

N

prefix V suffix
anti dis establish ment arian ism

แผนภูมิดังกล่าว (7) สามารถแสดงให้เห็นลำดับการเติมหน่วยคำชนิดต่างๆ โดยฐานคำเป็น
คำกริยา “establish” และเติมปัจจัย (prefix) 1 หน่วยคำ {-dis} ได้คำกริยา (verb) “disestablish”
และเติมอุปสรรค (ment) ได้คำนามอีก 1 คำ “disestablishment” ซึ่งความหมายเป็นไปในทางปฏิเสธ
นอกจากนี้สามารถเพ่ิมอุปสรรค {arian} ได้คำใหม่ “disestablishmentarian” เป็นคำนามลำดับถัดไป
สามารถเติมอุปสรรคได้อีก 1 หน่วยคำ {ism”} ได้คำว่า “disestablishmentarianism” เป็นคำนาม
ลำดับสดุ ทา้ ยเตมิ ปจั จยั {anti} ไดค้ ำวา่ “antidisestablishmentarianism”เป็นคำนาม

การสร้างคำด้วยการประสมคำ (compounding) คือ การนำหน่วยคำมากกว่า 1 หน่วยคำ
มารวมกัน คำประสมในภาษาอังกฤษประกอบด้วยต้ังแต่ 2 หน่วยคำขึ้นไปและประกอบขึ้นด้วยหน่วยคำ
ชนดิ ต่างๆ ได้แก่ คำนาม = N, คำคณุ ศัพท์ = Adj, คำกรยิ า = V ยกตัวอย่างเชน่ (Haspelmath, 2002)

N + N lipstick 106
A + N hardware
V + N drawbridge (lip + stick)
N + V babysit (hard + ware)
N + A leadfree (draw + bridge)
A + A bitter – sweet (baby + sit)
(lead + free)
(bitter + sweet)

โดยท่ัวไปคำประสมมีคำหลัก (head word) อยู่ทางขวาของคำและมีส่วนขยายอยู่หน้า
คำนามหลัก ทั้งน้ีส่วนขยายที่ประสมกับคำหลักเป็นคำชนิดต่างๆ ได้แก่ คำนาม คำกริยา คำคุณศัพท์
โดยสามารถวเิ คราะหโ์ ครงสรา้ งและแสดงดว้ ยแผนภมู ิต้นไม้ดังน้ี

8. 9.
NV

NN NV
lip stick baby sit

อย่างไรก็ตามคำประสมที่ประกอบด้วย 2 หน่วยคำขึ้นไปไม่ได้เกิดจากการนำหน่วยคำตา่ งๆ
มาประกอบเรียงกันโดยไม่คำนึงถึงโครงสร้าง ยกตัวอย่างเช่น คำว่า car seat cover สามารถแสดง
โครงสร้างตามลำดับดังนี้ (ณัฐมา พงศ์ไพโรจน์, 2559:184)

10. 11.
NN

N

NNN car sear cover
car seat cover

คำนามประสม “car seat cover” มีหน่วยคำ cover เป็นคำนามหลัก และมีหน่วยคำที่
เป็นส่วนขยายอยู่ข้างหน้า คือ “car seat” เม่ือพิจารณาหน่วยคำ “car seat” แล้ว คำว่า “seat” เป็น

107

คำนามหลักและมีส่วนขยาย “car” ดังน้ันโครงสร้างภายในของคำประสมดังกล่าวเป็นไปตามแผนภูมิ
(10) นอกจากนี้การเน้นคำในคำประสมที่ประกอบด้วยคำมากกว่า 2 คำ ก็จะเป็นไปตามหลักการลงเสียง
หนักในคำประสม กลา่ วคอื การลงเสียงหนักจะอยู่ท่ีองคป์ ระกอบทางซ้ายมือ

คำที่ประกอบด้วยหน่วยคำมากกว่า 2 หน่วยคำจะมีโครงสร้างคำที่สามารถแสดงได้ 2
ลักษณะทั้งน้ีเน่ืองจากเม่ือแยกส่วนประกอบคำตามลำดับแล้วความหมายยังคงเหมือนเดิม ยกตัวอย่าง
เชน่ wind power station

1. [[wind power][station]]
2. [[wind][power station]]

การแบ่งหน่วยคำแบบท่ี 1 มี [station] เป็นคำนามหลัก และ หน่วยคำ [wind power]
เป็นส่วนขยาย ส่วนคำว่า [wind power] มีหนว่ ยคำ power เปน็ ส่วนขยาย แสดงดว้ ยแผนภมู ทิ ่ี (14)

การแบ่งหน่วยคำแบบท่ี 2 มี [power station] เป็นคำนามหลัก และ [power] เป็นส่วน
ขยายของนาม [station] หนว่ ยคำ [wind] เป็นส่วนขยาย แสดงด้วยแผนภูมทิ ่ี (15)

12. 13.
N N
N N

NN N NN N

wind power station wind power station

นอกจากน้ี คำประสมที่มี 3 คำ เช่นคำว่า “business performance graph” สามารถ
แสดงการวเิ คราะหโ์ ครงสร้างภายในคำได้ 2 ลักษณะโดยยงั คงความหมายเดมิ ดงั แผนภูมิต่อไปน้ี

14. N 108 N
15.

NN

NN N NN N
business performance graph
business performance graph

จากตัวอย่างข้างต้นท่ีแสดงด้วยแผนภูมิต้นไม้สามารถอธิบายโครงสร้างภายในของคำท่ี
ประกอบด้วยหน่วยคำต่างๆ และในกรณีคำที่ตีความได้มากกว่าหนึ่งความหมาย (ambiguous words)
สามารถแสดงด้วยแผนภูมิต้นไม้เพื่อแสดงโครงสร้างภายในของคำและทำให้เข้าใจความหมายได้อย่าง
ชัดเจน (Fromkin, Rodman & Hyams, 2011) ยกตัวอย่างคำว่า “unlockable” ซึ่งมีสองความหมาย
คือ ไม่สามารถล็อคได้ (not able to be locked) และ สามารถปลดล็อคได้ (able to be unlocked)
กล่าวคือ ถ้าคุณอยู่ในห้องและต้องการความเป็นส่วนตัวและคุณอาจไม่มีความสุขหากประตูไม่สามารถ
ล็อคได้ “the door is unlockable –able to be locked” ในทางตรงกันข้ามหากคุณอยู่ข้างในห้องที่
ล็อคและเมื่อจะออกข้างนอก คุณก็เห็นว่าประตูสามารถปลดล็อคได้ “the door is unlocked – able
to be locked” คำประสมที่มีความหมายมากกว่า 1 ความหมาย เรียกว่า คำกำกวม (ambiguous
words ) ยกตวั อยา่ งคำว่า unzipable มี 2 ความหมายและมีโครงสรา้ งคำต่างกัน ดงั ต่อไปนี้

16. adj 17. adj

un adj verb able

verb able un verb
zip zip

โครงสร้างที่ 1 ของคำว่า “unzipable” (18) เกิดจากการประกอบคำตามลำดับ กล่าวคือ
คำกริยา “zip” ประกอบกับหน่วยคำเติมหลัง (suffix) {-able} เป็นลำดับแรกและกลายเป็นคำคุณศัพท์
“zipable” และเติมหน่วยคำเติมหน้า {-un} ท่ีมีความหมายเชิงปฏิเสธ เป็นคำว่า unzipable แปลว่า ไม่
สามารถรูดซิปปิดได้ ส่วนโครงสร้างที่ 2 คำกริยา zip (19) ประกอบกับหน่วยคำเติมหน้า (prefix) {-un}

109

เป็นลำดับแรกและกลายเป็นคำกริยาแต่ความหมายเป็นเชิงปฏิเสธ คือคำว่า unzip แปลว่า รูดซิปเปิด
ต่อด้วยหนว่ ยคำเตมิ หลัง (suffix) {-able} เปน็ คำว่า unzipable แปลวา่ สามารถรูดซปิ เปิดได้

จากข้อมูลข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า คำไม่ได้เกิดจากการนำหน่วยคำแต่ละหน่วยคำมา
ประกอบกันเพียงเท่านั้นแต่ต้องคำนึงถึงลำดับการประกอบคำเพราะการลำดับคำทำให้สามารถคาดเดา
ความหมายของคำได้ ทั้งน้ีการลำดับคำที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์อาจทำให้สามารถตีความคำน้ันได้
มากกว่า 1 ความหมาย เรียกว่าคำกำกวม (ambiguous words) การวิเคราะห์โครงสร้างคำ และแสดง
ลำดับการประกอบคำด้วยแผนภูมิต้นไม้ เป็นท่ียอมรับอย่างกว้างขวาง อย่างไรก็ตามการวิเคราะห์ส่วน
ประชิดก็เปน็ อีกวธิ ีหน่ึงทสี่ ามารถใชว้ ิเคราะหโ์ ครงสร้างคำ

2.2 การวิเคราะหส์ ว่ นประชดิ

การวิเคราะห์ส่วนประชิด หรือ Immediate Constituents หรือเรียกว่า IC เป็นทฤษฏีท่ี
เน้นการวิเคราะห์หน่วยคำให้เห็นโครงสร้างอย่างชัดเจน เมื่อแยกย่อยให้เล็กลงสามารถแสดง
สว่ นประกอบท่ีมีความสัมพนั ธ์เปน็ ลำดับชั้น ยกตวั อย่างเช่น คำว่า helpful สามารถแยกส่วนประกอบได้
2 ส่วนดงั น้ี (Stageberg, 1977)

help ful

คำว่า helpful ประกอบด้วยหน่วยคำ help เป็นฐานคำ (base) และหน่วยคำ{- ful} เป็น
ปัจจัย (suffix) วางเรียงกันและมีความหมาย ส่วนคำท่ีมีส่วนประกอบมากกว่า 2 หน่วยคำต้องพิจารณา
ลำดับการเรียงของหน่วยคำ เน่ืองจากหน่วยคำบางหน่วยคำไม่สามารถนำมาประกอบกับบางหน่วยคำได้
ทันที ยกตัวอย่างเช่น คำว่า “gentlemanly” หากนำหน่วยคำ gentle และ manly มาประกอบเป็น
ลำดับแรก “gentlemanly” เป็นคำท่ีไม่สามารถสื่อความหมายเพราะคำว่า gentle และ manly ไม่
สามารถมาประกอบได้ทันที ดังนั้นสามารถกล่าวได้ว่า gentlemanly เกิดจากการประกอบด้วย 2
ส่วนประกอบคือ gentleman และ {-ly }ทั้งนี้การเติมส่วนประกอบ l{-y} เพื่อทำให้เป็นคำกริยาวิเศษณ์
สามารถแสดงโครงสร้างของคำตามลำดับดังน้ี

gentleman ly

ลำดบั ชั้นถดั ไปสามารถพจิ ารณาส่วนประกอบย่อยลงของคำว่า gentleman ไดด้ งั นี้
gentle man ly

110

นอกจากน้ีสามารถเติมคำอุปสรรค (prefix) ประกอบหน้าคำได้คำว่า “ungentlemanly”
ในการวิเคราะห์โครงสร้างคำหากแยกส่วนประกอบออกเป็น2 ส่วนหลักคือ ungentleman และ {-ly}
พบว่าในภาษาอังกฤษไม่มีคำว่า ungentleman ดังน้ันการแยกส่วนประกอบดังกล่าวไม่ถูกต้อง ใน
ขณะเดียวกันหากแยกส่วนส่วนประกอบเป็น 2 ส่วน คือ un และ gentlemanly มีความหมายในเชิงลบ
อย่างไรก็ตามคำว่า gentlemanly มีใช้ในภาษาอังกฤษ สามารถสรุปได้ว่า prefix {un-} ต้องเติมเป็น
ลำดบั สดุ ท้ายดงั น้ี

un gentle man ly

การวิเคราะห์โครงสร้างคำข้างต้นแสดงให้เห็นโครงสร้างคำที่เรียงซ้อนกันเป็นช้ันตามลำดับ

ได้แก่ {un},{ gentle}, {man} และ {-ly}

หลักการแยกส่วนประชิด (constituents) ในการวิเคราะห์คำโดยทฤษฏีวิเคราะห์ส่วน

ประชิด (IC)สามารถแสดงการวิเคราะห์คำเป็นแผนภูมิเพ่ือแสดงลำดับช้ันของโครงสร้าง (layersof

structure) ได้ดังนี้

1. แยกหน่วยคำออกเป็น 2 ส่วนหลัก ได้แก่ หน่วยผันคำ (inflectional suffix) และคำฐาน

(base) คำ เช่น

pre coneiv ed mal formation s

2. แยกหน่ วยคำไม่ อิสระ ออกจากคำ เช่น คำว่า enlargement, dependent,
supportable สามารถแยกคำลำดับแรกได้ดงั นี้

การตดั คำที่ถกู ต้อง การตดั คำที่ไม่ถกู ต้อง
en large ment en large ment
in depend ent in depend ent
in support able in support able

3. แยกคำเป็นส่วนๆ แต่ละส่วนต้องมีความหมายสอดคล้องกัน เช่น คำว่า restrain หากแยกส่วน
ประชิดออกเป็น rest rain นับว่าไม่ถูกต้องเนื่องจาก rest และ rain มีความหมายเป็น อิสระไม่
สอดคล้องกัน เช่นเดียวกับคำว่า starchy ไม่สามารถแยกส่วนออกเป็น star chy ในการแยกส่วนประชิด
ของทัง้ สองคำ มีลกั ษณะดงั น้ี

111
re strain และ starch y

2.3 การวิเคราะหโ์ ครงสรา้ งคำตามรูปคำ

นอกจากนี้เราสามารถวิเคราะห์โครงสร้างคำและแสดงด้วยตารางแยกส่วนประกอบของคำ
ออกออกเป็น morphs และ morphemes ดงั ตวั อย่างในตารางที่ 5.1-5.2

ตารางที่ 5.1 การแยกหนว่ ยคำของคำนาม

คำนาม(noun) รปู หนว่ ยคำ (morphs) หน่วยคำ (morphemes)
writers 3 morphs: write / er /s 3 morphemes: {write}+{-er}+{pl}
authors 2 morphs: author / s 2 morphemes: {author}+{pl}
mice 1 morph: mice 2 morphemes: {mouse} + {pl}
sheep 1 morph: sheep 2 morphemes: {sheep}+ {pl}
children 2 morphs: child / ren 2 morphemes: {child}+{pl}
feet 1 morph: feet 2 morphemes: {foot}+{pl}
man’s 2 morphs: man /’s 2 morphemes: {man}+{poss}
men’s 2 morphs: men/’s 3morphemes: {man}+{pl}+{poss}

ตารางท่ี 5.2 การแยกหน่วยคำของคำคุณศัพท์ หนว่ ยคำ (morphemes)
คำคณุ ศัพท์ (adjective) รปู หน่วยคำ (morphs) 2 morphemes: {tall}+{comp}
taller 2 morphs: tall / er 2 morphemes: {tall}+{supl}
tallest 2 morphs: tall / est 2 morphemes: {bad} + {comp}
worse 1 morph: worse 2 morphemes: {bad}+ {supl}
worst 1 morph: worst

ตารางท่ี 5.3 การแยกหนว่ ยคำของคำกริยา

คำกรยิ า (verb) รูปหน่วยคำ (morphs) หน่วยคำ (morphemes)
2 morphemes: {work}+{past}
worked 2 morphs: work / ed 2 morphemes: {go}+{past}

went 1 morph: went

112

สรุปได้ว่า คำในภาษาอังกฤษอาจมีรูปคำ (morph) และจำนวนหน่วยคำ (morpheme)
ไมเ่ ทา่ กัน ขน้ึ อยู่กับสภาวะท่ีกำหนดของคำน้ันๆ

2.4 การวิเคราะห์คำในประโยค

ความแตกต่างระหว่างหน่วยผันคำ (inflectional morpheme) และหน่วยประสานคำ
(derivational morpheme) เป็นปัจจัยหลักในการวิเคราะห์หน่วยคำในประโยค กล่าวคือ การเติม
inflectional morpheme ไม่ส่งผลต่อการเปล่ียนแปลงชนิดคำ เช่น คำว่า “tall” และ “taller” เป็น
คำคุณศัพท์ท้ังสองคำ หน่วยคำ {-er} แสดงการเปรียบเทียบ ส่วนคำกริยา “sing” เมื่อเติม derivational
morpheme {-er} ทำให้ชนิดคำเปลี่ยนเป็นคำนาม “singer” การเติม derivational suffix และ
inflectional suffix หลังคำเดียวกันน้ันจำเป็นต้องเติมหน่วยคำตามลำดับ เช่น คำว่า “singers”
หน่วยคำ {-er} (derivational morpheme) ต้องเติมกอ่ นหนว่ ยคำ {-s} (inflectional morpheme)

จากความรู้เก่ียวกับหน่วยคำ ทำให้สามารถวิเคราะห์หน่วยคำต่างๆในประโยคได้
ยกตัวอยา่ งเชน่ The child’s smile impressed his parents. (Yule, 2010)

The child {-’s} smile impress

functional lexical inflectional lexical lexical

{-ed} his parent {-s}
inflectional lexical lexical inflectional

ประโยคดังกล่าวประกอบด้วยหน่วยคำชนิดต่างๆและสามารถแสดงการวิเคราะห์หน่วยคำ
ด้วยแผนภมู ิ ดงั น้ี

113

morpheme free lexical (child, smile, impress, his, parent)
bound functional (the)
derivational (er)
inflectional (-’s, - ed)

ยกตัวอย่างประโยค เช่น “The chemist worked continuously for three hours in a
laboratory.” ประโยคนี้สามารถวิเคราะห์คำออกเป็นหน่วยคำโดยแบ่งตามชนิดได้ ดังน้ี

คำ ชนิดหน่วยคำ
the functional
chemist lexical
worked lexical+ inflectional {-ed}
continuously lexical + derivational {-ous} + derivational {-ly}
for functional
three lexical
hours lexical + inflectional {-s}
in functional
a functional
laboratory lexical

ประโยคข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า คำบุพบท (preposition) คำกำกับนาม (determiner)
เป็นหน่วยคำแสดงหน้าท่ีทางไวยากรณ์ (functional)และคำนาม (noun) คำคุณศัพท์ (adjective)
คำกรยิ า (verb) เป็นคำที่มคี วามหมายสมบรู ณ์ในตัวเอง (lexical)

114

บทสรปุ

คำ (words) มีโครงสร้างภายในท่ีประกอบด้วยหน่วยคำ (morphemes) ต้ังแต่ 1 หน่วยคำ
ข้ึนไป การประกอบคำมีวิธีการต่างๆซ่ึงได้กล่าวมาแล้วในบทที่ 3 ท้ังน้ีการวิเคราะห์โครงสร้างภายในคำ
สามารถช่วยใหผ้ ู้เรียนเขา้ ใจคำในภาษาอังกฤษมากข้ึน และผลของการวิเคราะห์โครงสร้างคำทำให้ผู้เรียน
สามารถคาดเดาความหมายของคำศัพท์ใหม่ได้ ทั้งน้ีการวิเคราะห์คำในภาษาอังกฤษเน้นการหา และระบุ
หน่วยคำว่าเป็นหน่วยคำชนิดใดโดยมีหลักการในการสังเกตหน่วยคำ เมื่อสามารถกำหนดหน่วยคำได้แล้ว
จะทำให้สามารถแยกส่วนประกอบได้ ท้ังนี้การวิเคราะห์โครงสร้างคำสามารถแสดงให้เห็นลำดับชั้นของ
หน่วยคำต่างๆท่ีมาประกอบ โดยสามารถนำเสนอในรูปแบบต่างๆ เช่น การนำเสนอด้วยแผนภูมิต้นไม้
การนำเสนอด้วยตาราง การแยกสว่ นประชดิ เปน็ ต้น

115

แบบฝึกหัด

1. จงวิเคราะห์โครงสรา้ งคำต่อไปนี้

words morphs morphemes
1. singers
2.played
3.best
4.ate
5.oxen

2. จงระบุว่าประโยคต่อไปนี้มีก่ีหน่วยคำ ในกรณีที่คำใดท่ีมีมากกว่า 1 หน่วยคำ ให้แยกคำน้ันให้เป็น
หนว่ ยที่เล็กทีส่ ุด

2.1 She was tougher than he looked.
2.2 The girl saved her life.
2.3 From the bridge, we saw the thunder storm.
2.4 Kulliya has a sweet heart.
2.5 We admired the silky coat.

3. จงเขียนแผนภูมิต้นไม้ (tree diagram) แสดงการวิเคราะห์โครงสร้างคำตามลำดบั

3.1 uncomfortable

3.2 expressionism
3.3 lifelessness
3.4 refertilize
3.5 anticlerical

116

4. จงวเิ คราะห์หนว่ ยคำในประโยคต่อไปนเี้ ปน็ ชนิดใด
4.1 We expected the teacher to give us good grades.
4.2 The officer shot three times at one of the fleeing people.
4.3 The richest man in the world is Bill Gate.
4.4 Mothers usually take too much care of their children.
4.5 All students should read books before an exam.

5. จงแสดงการวิเคราะห์โครงสรา้ งคำต่อไปน้ีตามแนวทฤษฏี Immediate Constituents
5.1 itemized
5.2 preprofessional
5.3 malconstruction
5.4 supernatural
5.5 newspaperdom

117

เอกสารอ้างอิง

ณัฐมา พงศ์ไพโรจน์. (2559). ระบบหน่วยคำในภาษาอังกฤษ = English Morphology. กรุงเทพฯ :
จุฬาลงกรณ์วิทยาลยั .

Antonacci, A. P., & O’Callaghan. M. C. (2011). Developing content Area Literacy. United
States Of America: SAGE Publication, Inc.

Fromkin,V., Rodman, R., & Hyams, N. (2011). An Introduction to Language. (9h ed).
Singapore : Wadsworth Cengage Learning.

Haspelmath, M. (2002). Understanding Morphology. London: Oxford University Press.
Jarad, I. N. (2015). Morphemic Analysis Increase Vocabulary and Improves
Comprehension. Retrieved March, 5, 2017 from
https://pressto.amu.edu.pl/ index.php/gl/article/ viewFile/5511/5591.

Larsen, J. A. (2007). Morphological Analysis in School-Age Children: Dynamic Assessment
of a Word Learning Strategy. Language, Speech & Hearing Services in Schools. 38
(3).

McCutchen, D. (2011). Inside Incidental Word Learning: Children's Strategic Use of
Morphological Information to Infer Word Meanings. Reading Research Quarterly.
46(4).

Plag. I., Braun. M., Lappe. S., & Schramm.M. (2007). Introduction to English Linguistics.
Germany: Walter de Gruyter GmbH&Co. KG,D-10785 Belin.

Pacheco, B. M. (2013). Putting Two and Two Together: Middle School Students'
Morphological Problem-Solving Strategies For Unknown Words. Journal of
Adolescent & Adult Literacy. 56(7).

Stageberg, C. N. (1977). An Introductory English Grammar (3rded). New York : Holt,
Rinehart and Winston.

Yule, G. (2010). The Study of Language (4th ed). United Kingdom : Cambridge University
Press.

118

119

บทท่ี 6
การศึกษาเรอ่ื งประโยค

บทท่ีผ่านมาได้กล่าวถึงความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหน่วยคำ คำ และการสร้างคำ รวมถึงการ
วิเคราะห์โครงสร้างคำ การอธิบายไวยากรณ์สามารถแบ่งออกเป็น 2 ส่วน (Bloomfield,1914) คือ วจี
วิ ภ าค (morpholoy) อ ธิ บ าย เก่ี ย ว กั บ ห น่ ว ย ค ำ ซ่ึ งได้ ก ล่ า ว แ ล้ ว ใน บ ท ที่ ผ่ าน ม า แ ล ะ
วากยสัมพันธ์(syntax) จะศึกษาเรื่องประโยคจะกล่าวถึง หน่วยในประโยคประกอบด้วย คำ (words)
วลีต่างๆ (phrases) และ อนุพากย์ (clauses) มาเรียงกันเป็นประโยค โดยจะเสนอรายละเอียด
ดังตอ่ ไปน้ี

1. หน่วยสร้างในประโยค

การศึกษาเร่ืองประโยคจะต้องมีความเข้าใจเกี่ยวกับหนว่ ยในประโยคท่ีมีความสัมพันธ์กันเม่ือ
นำหนว่ ยตา่ งๆมาเรียงกันเปน็ ประโยค หน่วยในประโยคท่จี ะกล่าวถงึ ดงั แผนภาพตอ่ ไปนี้

words

phases

clauses
sentence

ภาพที่ 6.1 หน่วยในประโยค

1.1 คำ
คำ (words) ในภาษาอังกฤษแบง่ หน่วยวากยสมั พันธ์ (syntactic categories) ออกเป็น 2

ประเภทใหญ่ๆ คือ กลุ่มท่ีมีความหมาย (lexical categories) และ กลุ่มที่มีหน้าที่ทางไวยากรณ์
(functional categories) รายละเอียดเกี่ยวกับคำประเภทต่างๆ ได้กล่าวไว้แล้วในบทท่ี 3 หัวข้อ
ประเภทของคำ

120

1.2 วลตี า่ งๆ
วลี (phrase) คอื คำหรอื กลุ่มคำท่ีประกอบด้วยคำต่างๆ ท่ีนำมาเรยี งกันและมคี วามหมาย

และทำหน้าท่ีหน่ึงในประโยค เช่น เป็นประธาน กริยา กรรม ส่วนเสริม ส่วนกริยาวิเศษณ์ วลีนับว่าเป็น
สว่ นหนึ่งของประโยคซึ่งไมไ่ ด้ประกอบด้วยภาคประธานและภาคแสดง วลแี บ่งออกเปน็ ประเภทใหญ่ๆ
คือ นามวลี กริยาวลี คุณศัพท์วลี กริยาวิเศษณ์วลี บุพบทวลี ในบทนี้บุพบทวลีจะกล่าวรวมกับส่วน
ขยาย

1.2.1 นามวลี
นามวลี (noun phrase) คือ กลุ่มคำที่ประกอบด้วยคำนาม (N) และกลุ่มคำต่างๆ

โดยมีคำนามหลัก (head word) และคำอ่ืนๆ เป็นส่วนขยายคำนาม (modifier) ซ่ึงในตำแหน่งของ
นามวลีน้ันสามารถแทนท่ีดว้ ย สามานยนามหรือนามทว่ั ไป (common noun) วิสามานยนามหรอื นาม
เฉพาะ (proper noun) ซึ่งเป็นได้ท้ังนามท่ีเป็นรูปธรรม (abstract noun) รวมทั้งคำสรรพนาม
pronoun) ก็สามารถแทนท่ีในตำแหน่งของนามวลีได้เช่นกัน กล่าวคือ นามวลีสามารถมีส่วนขยายได้
ไม่จำกัด (Stageberge, 1977) เชน่

The pink roses
The pink roses in the vase
The pink roses in the vase which were gaily blooming

จากตัวอย่างคำว่า roses เป็นนามหลัก (head) และคำอ่ืนๆ เป็นส่วนขยาย (modifier)
กลา่ วคือสว่ นขยายของนามวลีสามารถนำคำหรือวลีอนื่ ๆมาประกอบหน้าและหลังคำนามได้

pre-noun modifier noun head post- noun modifier
- determiners - prepositional phase
- adjective - relative clause
- participial phase

ส่วนขยายหน้าคำนาม
โครงสร้างนามวลีสามารถมีส่วนขยายประเภทต่างๆ ท่ีวางข้างหน้าคำหลักได้
(pre modification) ดงั นี้

121

1. คำกำกับนาม (determiners)
คำกำกับนามสามารถขยายคำนาม จะอยู่ข้างหน้าคำนาม (pre determiners) เช่น

ในภาษาอังกฤษยงั มีคำกำกับนาม ดังตอ่ ไปนี้
1.1 Definite article : the
1.2 Indefinite articles : a, an
1.3 Demonstratives: this, that, these, those
1.4 Pronouns and possessive determiners : my, your, his, her, its, our,

their
1.5 Quantifiers : a few, a little, much, many, a lot of, most, some, any,

enough
1.6 Numbers : one, ten, thirty
1.7 Distributives : all, both, half, either, neither, each, every
1.8 Difference words : other, another
1.9 Pre-determiners : such, what, rather, quite

นามวลี (NP) นามวลปี ระกอบดว้ ยส่วนขยาย และคำนาม ดังตัวอยา่ งตอ่ ไปน้ี
a. That lawyer is so clever.
b. Most children like those animation movies.
c. Every flight starts from Bangkok.
d. Children loved their toys.
e. This boy’s shoes are very dirty.

คำชนิดอ่ืนๆ ที่สามารถอยู่ระหว่างคำกำกับนาม (determiners) และคำนามหลักได้
อาจมหี ลายชนิด เช่น คำคุณศพั ท์ (adjective) ยกตวั อย่างเช่น

a. The small dog can cross that low fence.
b. Your lovely baby is crying.

ประโยค a มี “The small dog” และประโยค b มี “Your lovely baby”เป็น noun
phrase (NP) และคำว่า “small” “lovely” เป็น adjective อยู่ระหว่าง คำกำกับนาม “The” และ

122

คำนาม“dog” และ “baby” อยู่ในตำแหน่งของประธาน นอกจากน้ี NP สามารถอยู่ในตำแหน่งกรรม
ได้ เชน่ “ that low fence” ในประโยค a.

ในขณะเดียวกันระหว่างคำกำกับนามและคำนามหลักสามารถขยายด้วยคำนาม (noun)
ได้เชน่ กนั เช่น

a. Our garden fence was destroyed.
b. The wire fence is stronger than the wooden fence.

ประโยค a มี “Our garden fence” และประโยค b มี “The wire fence”เป็น noun
phrase(NP)และคำว่า“garden”เป็น nounอยู่ระหว่าง คำกำกับนาม “Our”และคำนาม“fence”
และ “wire” เป็น noun อยู่ระหว่าง คำกำกับนาม “The” และ คำนาม “fence” อยู่ในตำแหน่งของ
ประธาน

นอกจากนี้ระหว่างคำกำกับนามหลักขยายด้วย คำคุณศัพท์และคำนาม ได้เช่นกัน
ดงั ตัวอยา่ งต่อไปน้ี

a. Our sturdy garden fence can protect our plants from animals.
b. It is easy for dogs to cross that low wire fence.
noun phase ในประโยค a และ b มีส่วนขยายหน้านาม ดังน้ี คำว่า “Our” “that” เป็น
determiner คำว่า “sturdy ” “low” เป็น adjective และ คำว่า “garden” “wire” เป็น noun ส่วน
ขยายท้ังหมดน้ขี ยายคำนามหลกั คอื คำวา่ “fence”

2. คุณศัพท์
คำคุณศัพท์หรอื คุณศัพท์วลี (adjective phrase) เป็นส่วนขยายหน้าคำนามชนิดหน่ึง

ซึ่งประกอบด้วยคำคุณศัพท์ตัวเดียว หรืออาจมีส่วนขยายข้างหน้าที่เรียกว่า pre modifer และส่วน
ขยายข้างหลงั ทเี่ รยี กว่า post modifier ได้ ยกตวั อย่างเช่น

a. That car hit the calf.
b. That expensive car hit the calf.
ประโยค b นามวลีประกอบด้วยคำกำกับนาม “That” คำคุณศัพท์ “expensive”
และ คำนาม “car” เป็น นามวลี “That expensive car” ตามหลักโครงสร้างวลีหากนำคำใดมาขยาย
ควรวางเรียงติดกับคำน้ันในลักษณะประชิดกันมากที่สุด (immediate constituent) เช่น Det + N,
deg + adv หรือ adj + N ในประโยค b มีคำคุณศัพท์ “expensive” แทรกอยู่ระหว่าง determiners
กบั นาม ในการวิเคราะห์ประโยค b ต้องแยกส่วนต่างๆออกดังน้ี that + expensive + car และนามวลี

123

ดังกล่าวทำหน้าที่เป็นประธานของประโยค หากต้องการทดสอบว่าส่วนต่างๆ นั้นเป็นหน่วยเดียวกัน
(single unit) หรือไม่ สามารถพสิ จู นโ์ ดยนำคำสรรพนามไปแทนท่ีนามวลี จะได้ดังนี้

That car
That expensive car hit the calf yesterday.
It hit the calf.

จากประโยค It hit the calf. แสดงให้เห็นว่า สรรพนาม “It” สามารถแทนท่ีคำ
ทงั้ หมดที่เปน็ หนว่ ยของนามวลี แสดงวา่ that expensive car คอื หน่วยคำเดียวกนั

ท้ังน้ีนามวลีสามารถเพิ่มจำนวนคำคุณศัพท์ที่มาขยายได้มากกว่าหนึ่งคำ ยกตัวอย่าง
เชน่

That white expensive car hit the calf. => It hit the calf yesterday.
การทดสอบว่า That white expensive car เป็นหน่วยเดียวกนั หรือไม่ ทำได้โดยการ
นำสรรพนาม “It” ไปแทนทน่ี ามวลแี ละส่วนขยายทัง้ หมด

3. คำกรยิ าขยายคำนาม
คำกริยาที่ขยายคำนาม (participial phrase) คือคำกริยาท่ีอยู่ในรูปของ กริยาเติม

{-ing} (present participle) ทำให้รวู้ ่าคำนามที่อยูข่ ้างหน้าทำอาการตามความหมายของ v-ing , กริยา
ที่อยู่ในรูปช่องที่ 3 เติม {-ed} (past participle) เป็นการขยายนามแล้วทำให้มีความหมายเป็นส่ิงท่ีถูก
กระทำ ยกตัวอย่างเชน่

a. A crying baby is scared of a standing cat. “crying /standing” ทั้งสองคำ
ทำหนา้ ทเ่ี ป็น adjective คำวา่ crying ขยายคำนาม baby และ คำว่า standing ขยายคำนาม cat

b. The stolen car last week is mine. “stolen” ทำหน้าที่เป็น adjective ขยาย
คำนาม car

สว่ นขยายหลังคำนาม
ในการสร้างประโยคภาษาอังกฤษ สามารถนำคำหรือวลีมาประกอบหลังคำนาม (post
modification) ในลักษณะเดียวกันกับส่วนขยายหน้าคำนาม เพื่อเป็นส่วนขยายได้เช่นกนั ซ่ึงในท่ีนี้จะ
กล่าวถึงการขยายส่วนหลังคำนามด้วยบุพบทวลี (prepositional phrase) และ สัมพันธานุประโยค
(relative clause) ซึง่ จะกล่าวรายละเอยี ดแตล่ ะหัวข้อดังตอ่ ไปนี้

124

1. บุพบทวลี
บุพบทวลี (prepositional phrase) จะแสดงความสัมพันธ์ระหว่างคำนามหรือ

สรรพนามกบั คำอื่นๆ ในประโยค ยกตัวอยา่ งเชน่
The glass on the kitchen floor is broken by the cat.
ประโยคข้างต้น บุพบทวลี “on the kitchen floor” เป็นส่วนขยายหลังคำนาม

“glass”
สามารถสรุปได้ว่า หน้าท่ีหนึ่งของบุพบทวลีคือ เป็นส่วนขยายคำนามหรือคำสรรพ

นาม ใหช้ ัดเจนยิง่ ข้ึน

2. สัมพันธานปุ ระโยค
การขยายส่วนหลังคำนามอีกวิธีหน่ึงคือ การใช้ relative clause หมายถึงอนุภาค

เพื่ออ้างถึงคน สัตว์ หรือสิ่งของ ใช้เม่ือต้องการขยายคำนามโดยเชื่อมอนุประโยค (clause) เข้ากับ
คำนามซึ่งทำหน้าที่เหมือนคำคุณศัพท์สัมพันธสรรพนาม (relative pronoun) ประกอบด้วย who,
which, that, whom, whose ซึ่งทั้ง 5 คำนี้ตรงกับคำว่า “ท่ี” หรือ “ซึ่ง” ในภาษาไทยเป็นส่วนเชื่อม
ประโยค เช่น

adj clause
The present that you gave me for my graduation is too expensive.

ประโยคนี้ that อ้างอิงถึง present และเช่ือมข้อความท่ีตามมา “you gave me
for my graduation” กล่าวคือ อนุประโยค “that you gave me for my graduation” เป็น adj
clause ขยายคำนาม “The present”

adj clause
The woman whose car was stolen lives in Pattani.

ประโยคนี้ whose อ้างอิงถึง woman และเช่ือมข้อความที่ตามมา “car was
stolen” กล่าวคือ อนุประโยค “whose car was stolen” เป็น adj clause ขยายคำนาม “The
woman” ในที่นี้ต้องเปล่ียนรูปของ who เป็น whose เพ่ือจะแสดงความเป็นเจ้าของให้ทราบว่า
“car” เป็นของ “woman”

adj clause
I like the table which is made of marble.

125

ประโยคนี้ which อ้างอิงถึง table และเช่ือมข้อความท่ีตามมาด้วย “is made of
mable” ดังน้ันอนปุ ระโยค which is made of marble ขยายคำนาม “table”

ประโยค ข้างต้น ประกอบ ประโยคหลัก (mainclause) และอนุประโยค (subordinate
clause) และสมั พนั ธสรรพนามทีใ่ ชค้ ือ which, who, that ซงึ่ สามารถสรุปหลกั การใช้ ดังนี้

1. which, that ใช้เป็นสรรพนามเม่ืออา้ งถงึ คำนามท่ีเปน็ สตั ว์หรือส่งิ ของ
2. who ใชเ้ ปน็ สรรพนามทอ่ี า้ งถึงคำนามที่เปน็ คน

ข้อควรสังเกตอีกหนึ่งประการคือการขยายคำนามด้วย relative clause ส่วนของ
นามวลีที่ทำหน้าทเี่ ปน็ ประธานของประโยค ไมส่ ามารถแทนท่ดี ้วยคำสรรพนามได้ เช่น

The cat which is under the dining table eats fish.
*It which is under the dining table eats fish.

2.2.2 กริยาวลี

กริยาวลี (verb phrase) ประกอบด้วย คำกริยาแท้ และกริยาช่วย และนามวลี

(V+NP) คำกริยาถือว่าเป็นคำหลัก (head) และคำอ่ืนๆ เป็นส่วนขยาย (modifiers) เป็นส่วนเติมเต็ม
(complement) ของคำกริยาหลกั เชน่

soon arrived
arrived late
soon arrived at the station
arrived just as the plane came in
was waiting the door
may have been stolen by the cashier

จากตัวอย่างคำที่ขีดเส้นใต้เป็นคำกริยาหลัก และส่วนอ่ืนๆเป็นส่วนขยาย อย่างไร
ก็ตาม กริยาวลี (VP) ไม่ได้มีโครงสร้างเช่นน้ีเสมอไป แต่ขึ้นอยู่กับชนิดหรือประเภทของคำกริยาท่ี
นำมาใช้ในประโยคด้วย นอกจากน้ี verb phase สามารถขยายด้วยวลีต่าง ๆ และวลีดังกล่าวทำ
หน้าท่เี ปน็ สว่ นขยายกรยิ า (adverbial) ซึง่ อยใู่ นรปู ตา่ งๆ ดงั นี้

126

adverbia Noun / Noun Phrase
l Prepositional Phrase
Verb
Adverb
Adjective
Uninflected word

เชน่ a. They bought two books last month. = NP
b. She bought the new dress to her mom. = PP
c. She bought the new dress extremely expensive. = AdvP
d. They stood eating. = Verb
e. He played dirty. = Adjective
f. Come inside. = Uninflected word

ประโยค a มี last month ทำหน้าท่ีเป็นส่วนขยายของคำกริยา bought เป็น adverbial
ท่ีอยู่ในรูปของนามวลี (NP) ประโยค b. มี to her mom ทำหน้าที่เป็นส่วนขยายของคำกริยา
bought เป็น adverbial ที่อยู่ในรูปของบุพบทวลี (PP) และ มี extremely expensive ทำหน้าที่เป็น
สว่ นขยายของคำกรยิ า bought เป็น adverbial ที่อยู่ในรูปของวิเศษณ์วลี (AdvP) อย่างไรกต็ าม หาก
ไม่มี adverbial ในประโยค ประโยคนั้นยงั เป็นประโยคท่ถี ูกต้อง (grammatical)

คำกริยาแบ่งได้เป็น 6 ประเภท คือ transitive, intransitive, ditransitive, complex-
transitive และprepositional ซึ่งกริยาแต่ละประเภทมีกฎเกณฑ์การใช้ และหน้าท่ีเฉพาะหาก
นำมาใชไ้ ม่ถูกตอ้ งจะทำให้ประโยคหรือความหมายไมส่ มบรู ณ์

1. กริยาตอ้ งการกรรม
กริยาต้องการกรรม (transitive verb) คือ กริยาที่ต้องมีนามวลีมาทำหน้าที่เป็น

กรรม (object) ประกอบคำกรยิ านนั้ ดว้ ย ยกตวั อยา่ งเช่น

verb obj
a. The attendant filled the tank with gasoline. “tank” เป็ นกรรมของกริยา
filled

127

verb obj
b. The cat found a rat. “rat” เป็นกรรมของกริยา found

กริยาวลีชนิด transitive verb ถ้าไม่มีนามวลมี าทำหน้าทเี่ ปน็ กรรมทา้ ยคำกริยาก็จะ
ทำใหป้ ระโยคท่ีสรา้ งขนึ้ นนั้ ไม่สมบูรณ์ทงั้ หลักไวยากรณ์และความหมาย เชน่

c.* This girl likes. “likes” เป็นกรยิ าต้องการกรรม
d.* Kamilah hugged. “hugged” เป็นกริยาตอ้ งการกรรม

กรรมหรือผู้ถูกกระทำ (object) ท่ีมาประกอบท้าย transitive verb นั้นเรียกว่า
กรรมตรง ดังนน้ั จากประโยค a นามวลี “the tank” ทำหน้าทีเ่ ปน็ กรรมตรงของกรยิ า “filled” นน่ั เอง

2. กรยิ าไมต่ อ้ งการกรรม

กริยาไม่ต้องมีกรรม (intransitive verb) มีความหมายตรงกันข้ามกับ transitive

verb คือ กรยิ าท่ไี ม่ต้องมนี ามวลมี าทำหน้าทเ่ี ป็นผู้ถูกกระทำหรอื กรรมประกอบท้ายคำกรยิ า เช่น

a. Kanya snores. กริยา “snores” ไมม่ กี รรมมารองรบั

b. The boy cried. กรยิ า “cried” ไม่มีกรรมมารองรบั

อย่างไรก็ตาม ประโยคท่ีใช้ intransitive verb สามารถนำคำหรอื วลีอ่ืนๆที่ไม่ได้ทำ
หน้าที่เป็นกรรม มาประกอบท้ายกริยาหรือมาประกอบในประโยคได้ แต่คำหรือวลีที่มาประกอบน้ัน
อาจจะมีหรือไม่มีก็ได้ (optional) ไม่ได้บังคับ (obligatory) ว่าจะต้องมีปรากฏในทุกๆประโยคที่ใช้
intransitive verb โดยส่วนใหญ่ส่วนประกอบที่มักจะใช้กับกริยาประเภทนี้ คือ วิเศษณ์วลี (AdvP)
และบุพบทวลี (PP) เชน่

c. Kanya snores very loudly.
d. The baby cried in the night.

ถ้าเปรียบเทียบประโยค c และ d จะเห็นว่า very loudly และ in the night
มีรูปแบบแตกต่างกันคือ very loudly มีรูปแบบเป็น วิเศษณ์วลี ในขณะที่ in the night มีรูปแบบเป็น
บุพบทวลี แต่ทั้งสองวลีนี้ ทำหน้าท่ี (function) เหมือนกัน คือเป็นส่วนขยายกริยา (adverbial) และ
อาจสรุปโครงสร้างตามหนา้ ท่ีของส่วนประกอบไดด้ ังน้ี

128

subject + predicate + adverbial

3. กริยาตอ้ งมกี รรมซ้อน
กริยา (ditransitive verb) อีกประเภทหน่ึงท่ีต้องมีนามวลีมาทำหน้าท่ีเป็นกรรม
(object)ประกอบท้ายคำกริยา แต่มีลักษณะที่แตกต่างจาก transitiveverbคือประโยค ditransitive
verb จะมีนามวลีที่ทำหน้าที่ซ้อนกันอยู่ในประโยคเดียวกันเรียกว่ากรรมตรง (direct object) และ
กรรมรอง (indirect object ) เช่น

iO dO
a. Roslan told the children a story.

จากประโยค นามวลี “astory” เป็นกรรมตรงของกริยา “told” และใน
ขณะเดียวกันนามวลี “the children” ก็เป็นผู้รบั การกระทำหรือเป็นกรรมของกริยา “told” รองจาก
กรรมตรง “a story” หรือกล่าวได้ว่า “a story” เป็นกรรมตรงและ “the children” เป็นกรรมรอง
เขยี นโครงสร้างได้ดงั น้ี

subject + predicate +iO + dO

นอกจากประโยคท่ีมี intransitive verb สามารถสร้างประโยคได้ ตามโครงสร้างแล้ว
ยงั สามารถสร้างประโยคได้อีกวิธหี นง่ึ เชน่

dO iO
b. Roslan told a story to the children.

ดังที่ได้กล่าวแล้วในเรื่องบุพบทวลี คำว่า “to” เป็นคำบุพบท ดังนั้น จากประโยค
ข้างต้น คำบุพบท “to” ทำหน้าท่ีเหมือนนามวลี “a story” และ “to the children” ทำให้เกิดเป็น
บพุ บทวลี (PP) ทที่ ำหนา้ ทเ่ี ป็นกรรมรอง (iO) โดยมีรปู แบบเป็นนามวลี (NP)

ข้อสังเกตคือ ถ้าโครงสร้างกริยาวลีท่ีเป็น intransitive verb มีรูปแบบเป็น NP + NP
กรรมรองจะประกอบไว้หน้ากรรมตรง แต่ถา้ โครงสร้างมีรูปแบบเป็น NP + PP กรรมตรงจะประกอบไว้หน้า
กรรมรอง

129

อย่างไรกต็ าม กรยิ าวลีท่มี โี ครงสรา้ ง V + NP + PP จะเป็น intransitive verb เสมอ
ยกตวั อยา่ งเช่น

V NP PP
c. Kanya made a cake for the party.
ประโยค c มีบุพบทวลี (PP) “for the party” ไม่ได้ทำหน้าท่ีเป็นกรรมรองของ
นามวลี (NP) “a cake” แต่ทำหน้าท่ีเป็นส่วนขยายกริยา (adverbial) ซึ่งสว่ นประกอบนี้จะมีหรือไม่มี
ก็ได้ (optional) วิธีทดสอบว่ากริยาวลีน้ันเป็น intransitive verb หรือไม่ ทำได้โดยนำคำไปแทนที่ใน
โครงสร้างท่มี รี ูปแบบ NP+NP (กรรมรองประกอบไว้หน้ากรรมตรง) ซ่ึงจะได้ดงั นี้

NP NP
d.* Kanya made the party a cake.

จะเห็นว่าประโยค d เป็นประโยคท่ีไม่สามารถสื่อความหมายได้ ดังน้ัน กริยา
“made” ในประโยค d จึงไม่ใช่ intransitive verb แต่เป็น transitive verb ซึ่งบังคับว่าต้องมีนามวลี
เป็นกรรมตรง และบุพบทวลีเป็นส่วนขยายกริยา ดังนั้น ประโยค c จึงสามารถแสดงโครงสร้างหน้าที่
ของสว่ นประกอบได้ดงั น้ี

subject + predicate + dO + adverbial

4. กริยาช่วย
กริยาช่วย (linking verb) หมายถึง กริยาท่ีเชื่อมหรือประสานคำนามหรือสรรพ

นามกับคำท่ีอธิบายถึงคำนามหรือสรรพนามน้ันๆ เช่น กริยา be หรือกริยาท่ีทำหน้าที่ต่อคำหรือต่อ
ประโยค เช่น seem, appear, become, look เป็นต้น ข้อสังเกตของกริยาประเภทน้ีคือ วลีที่มา
ประกอบกริยาน้จี ะตอ้ งขยายประธาน เช่น

a. Ida becomes a doctor.

b. Sireen is in the garden.

c. Nusreen seems unhappy.

จากประโยคข้างบน จะเห็นว่าวลีท่ีมาประกอบท้ายคำกริยา มีหน้าท่ีเป็น
ส่วนประกอบกริยาเพื่อทำให้ประธานมีความหมายสมบูรณ์ขึ้น ดังนั้นจากประโยคข้างต้นนามวลี “a

130

doctor” บุพบทวลี “in the garden” และคุณศัพท์วลี “unhappy” ต่างทำหน้าท่ีเป็นส่วนขยาย
ประธาน (subject complement)

ลกั ษณะสำคญั ของ linking verb คอื

1. จะต้องมีคำหรือวลีมาประกอบท้ายกริยาเพื่อทำให้ประโยคสมบูรณ์ ซ่ึงเหมือนกับ

transitive verb และ intransitive Verb ที่ต้องมีวลีมาประกอบเพ่ื อทำให้ประโยคสมบูรณ์

เชน่ เดยี วกนั แต่ไม่ไดท้ ำหนา้ ท่ีเป็น ส่วนขยายประธาน เหมือนกับวลีท่ปี ระกอบ linking verb

2. linking verb เฉพาะ กริยา be เท่าน้ันที่สามารถตามด้วยวลีที่มีรูปแบบเป็น NP,

PP และ AP ได้ ยกตวั อยา่ ง เชน่

d.Ida is a doctor. (NP)

e.Sireen is in the garden. (PP)

f. Nusreen is unhappy. (AP)

นอกจากกริยา be แล้ว linking verb คำอ่ืนๆ จะใช้ได้เฉพะกับวลบี างรูปแบบเทา่ น้ัน

ยกตวั อย่าง เชน่

g. Ida becomes a doctor. (NP)

h. Ida becomes unhappy. (AP)

แต่ไมส่ ามารถใชไ้ ด้ในลักษณะต่อไปนี้
i. *Sireen becomes in the garden. (PP)
j *Sireen seems in the garden. (PP)

5. กรยิ าต้องการวลีเป็นสว่ นขยายกรรม
กริยาประเภทน้ี (complex-transitive verb) ต้องมีคำหรือวลีมาประกอบท้าย

คำกริยาเพ่ือให้ประโยคสมบูรณ์ขึ้น วลีที่นำมาประกอบนั้นต้องขยายกรรม (object) และทำหน้าท่ีให้
กรรมมีความหมายสมบูรณ์ (object complement) ยกตัวอยา่ งเชน่

a. The voter selected Sanid president.

ประโยค a จัดเป็น complex-transitive verb กล่าวคือ คำว่า “president” มา
ขยายกรรมคือ “Sanid” รปู แบบโครงสร้างของ complex-transitive verb มลี กั ษณะเดียวกับรูปแบบ
โครงสรา้ งของ intransitive verb คือ ประกอบด้วย นามวลีซ้อนนามวลี (NP + NP) หรือประกอบด้วย
นามวลแี ละบพุ บทวลี (NP +PP) เช่น

131

NP(1) NP(2)
b. The porter called Nawal a taxi.

NP(1) NP(2)
c.The porter called Joe an idiot.

NP PP
d. Tada puts the cake in the oven.

NP PP
e.She gave a carrot to the rabbit.

ประโยคเหล่านี้มีข้อสังเกต คือ นามวลีตวั ที่สองน้ัน ทำหน้าทเี่ ป็นกรรมตรง หรอื ทำ

หน้าที่เป็นส่วนขยายกรรม ถ้าทำหน้าที่เป็นกรรมตรง จะเป็น intransitive verb แต่ถ้าทำหน้าท่ีเป็น

สว่ นขยายกรรมจะเป็น complex-transitive verb

ดังน้ันประโยค b มีนามวลี “a taxi” และ ประโยค e มีนามวลี “the rabbit” ทำ

หน้าที่เป็นกรรมตรง จึงเป็น intransitive verb ในขณะท่ีประโยค c มีนามวลี “an idiot” และ

ประโยค d มี บุพบทวลี “in the oven” ทำหน้าท่ีเป็นส่วนขยายกรรม จึงเป็น complex-transitive

verb

นอกจากนี้แล้วส่วนขยายกรรมท่ีประกอบทำให้กรรมสมบูรณ์ขึ้น สามารถประกอบด้วย

บุพบทวลี (PP) และคุณศัพท์วลี (AP) ไดด้ ้วย เชน่

f. Jasmine put the car in the garage. (PP)

g. Hasun stood the lamp on the table. (PP)

h. Arin made Koi angry. (AP)

i. Kate called John stupid. (AP)

ตัวอย่างประโยคข้างต้นแสดงให้เห็นว่าถ้ากริยาวลีในประโยค f และ g ขาดส่วน
ขยายกรรม ก็จะทำใหไ้ ด้ประโยคไมส่ มบูรณ์ ดังตวั อยา่ งตอ่ ไปน้ี

j *Jasmine put the car.
k *Hasun stood the lamp.

132

6. กริยามคี ำบพุ บทวลี
กริยาประเภทสุดท้ายท่ีจะกล่าวถึงคือ prepositional verb ซึ่ง หมายถึง กริยาท่ีต้อง

มบี พุ บทวลี มาประกอบท้ายคำกริยานน้ั และมีความหมายสมบรู ณ์ เช่น glance at, lean on, refer to,
rely on, depend upon, deal with เป็นตน้

a. Sareen relied on truth.
b. *Sareen relied.
c. The children glanced at the ice cream.
d. *The children glanced.

จากตัวอยา่ งประโยค a และc มีคำกริยาท่ีตามด้วยคำบพุ บทและมีกรรมของบุพบท
ตามหลัง สว่ นประโยค b และ d เปน็ ประโยคไมส่ มบูรณ์

2.2.3 คณุ ศัพทว์ ลี
คุณศัพท์วลี (adjective phrase เขียนย่อได้ว่า AP) คือ กลุ่มคำคุณศัพท์ท่ีนำมา

ขยายคำนาม คำสรรพนามของประโยค หรือเป็นส่วนเสริมประธาน คุณศัพท์วลีจะประกอบด้วย
คำคุณศัพท์และมักมีส่วนขยายรวมอยู่ในวลีด้วย ตำแหน่งของคุณศัพท์วลีอาจอยู่ก่อนหรือหลังคำนาม
ที่ขยายได้ กล่าวคือคุณศัพท์วลีสามารถนำมาประกอบ หรือขยายหน้าคำนามตามโครงสร้างของ
นามวลีที่ประกอบดว้ ยคำนำหน้านาม (Det) และคำนาม (N) หรือคำสรรพนามดังตัวอยา่ งต่อไปน้ี

ตารางที่ 6.1 คุณศัพทว์ ลี สว่ นขยาย คณุ ศพั ท์
คุณศัพทว์ ลี
This cake is very delicious and extremely very, extremely delicious,
expensive.
Many of the exercises are fairly difficult. expensive

fairly difficult

ตัวอย่างประโยคข้างต้น กลุ่มคำท่ีขีดเส้นใต้คือ adjective phase นอกจากน้ี
ส่วนขยายอาจอยหู่ ลังคุณศัพทไ์ ด้ ดังประโยคตอ่ ไปน้ี

a. I am happy to see you.
adjective phase ในประโยค a คือ “happy to see you” ส่วนขยาย “to see
you” อยูห่ ลังคำคณุ ศพั ท์

133

นอกจากนค้ี ุณศพั ทว์ ลอี าจมคี ำต่างๆประกอบ ดังตวั อย่างตอ่ ไปนี้
a. The movie was not too terrible.
b.The final exams were unbelievably difficult.
c. I am happy to see you.
d. Mom said the cost of a house is too high.
e. Students upset about the rising cost of tuition staged a rally.
f. That complex has quite small but cheap apartments.
g. She was proud of her son winning the science fair.
h. My brother is older than me.
i. I love the taste of a sweet juicy orange.
j The boys were annoyed about the long lines.
k. The dancing was exquisitely graceful

2.2.4 วเิ ศษณว์ ลี

คำวิเศษณ์ (adverbs) คือคำท่ีทำหน้าที่ขยายกริยาและคำคุณศัพท์เพ่ือกำหนด

ความหมายของคำทข่ี ยายนั้น ซึง่ มักเก่ยี วข้องกบั เวลา สถานที่ และการกระทำ ใหเ้ ดน่ ชดั มากย่ิงข้นึ เชน่
a. Husen snores loudly.
คำวิเศษณ์วลี (adverb phrase เขียนย่อว่า AdvP) มีลักษณะเช่นเดียวกับการสร้าง

นามวลีท่อี าจจะประกอบดว้ ยคำตา่ งๆ เพียงคำเดียวหรือมคี ำอื่นมาประกอบมากกว่าหนง่ึ คำ วเิ ศษณ์วลี
สามารถมสี ่วนประกอบอ่ืนได้ เช่น

b. The baby cried continually. คำวา่ continually เป็นวเิ ศษณว์ ลี
c. Husen snores very loudly. คำว่า very loudly เปน็ วเิ ศษณว์ ลี

จะเห็นได้ว่าในประโยค c มีคำว่า “very” มาประกอบอยู่ด้านหน้าคำวิเศษณ์ ซ่ึงคำว่า
“very” จัดว่าเป็นคำขยายหรือคำท่ีบอกระดับความเข้มของความหมายของคำวิเศษณ์ (degree
adverb: เขียนย่อว่า deg) ซ่ึงมอี ยู่หลายคำเช่น quite, too, highly, extremely, more, less, rather
เป็นต้น และเนื่องจาก degree adverb ทำหน้าท่ีขยายคำวิเศษณ์ จึงต้องมาควบคู่กับคำวิเศษณ์ด้วย
จึงไม่สามารถพดู ว่า

d. * Husen snores very.
ประโยค d นับว่าเป็นประโยคท่ีผิดหลักไวยากรณ์ เพราะจะใช้ “very” ไม่ได้เนื่องจาก
คำวเิ ศษณไ์ ม่ปรากฏในประโยค จงึ สรปุ เปน็ กฎไดด้ ังน้ี

134

AdvP (deg) + adv

คำวิเศษณ์วลีไม่เพียงแต่ขยายคำกริยาเท่าน้ัน ยังสามารถขยายคำคุณศัพท์หรือขยายทั้ง
ประโยคได้ด้วย คำวิเศษณ์วลีที่ขยายท้ังประโยค เช่น frankly, certainly, actually, perhaps,
unfortunately ดงั ตวั อย่างประโยคตอ่ ไปนี้

e. Unfortunately the cat killed the mouse.
f. The cat unfortunately killed the mouse.
g. The cat killed the mouse unfortunately.

เม่ือเปรียบเทียบประโยคข้างบน e, f และ g จะเห็นว่า การขยายด้วยคำวิเศษณ์สามารถ
วางได้หลายตำแหน่งในประโยค และเป็นส่วนขยายของท้ังประโยคไม่แยกส่วนขยายเฉพาะกริยาวลี
(VP) ซ่ึงต่างจากคำวิเศษณ์ทีข่ ยายเฉพาะกริยาและคำคุณศัพท์ แตไ่ มว่ ่าวิเศษณว์ ลจี ะแยกสว่ นประกอบ
ออกจากประโยคหรอื แยกส่วนออกจากกรยิ าวลีก็ตาม กจ็ ัดว่าเปน็ ส่วนขยายกริยา

อย่างไรก็ตามวิเศษณ์วลีท่ีอยู่ในประโยคยังเป็นตัวกำหนดความหมายของประโยค
โดยทั่วไปจะใช้เครื่องหมาย comma (,) หรือพูดโดยใช้น้ำเสียง (intonation) ทต่ี า่ งกันดว้ ย เช่น

h. He understands everything clearly.
ประโยค h หมายถงึ ความเข้าใจของเขาชดั เจน
i. Clearly, he understands everything.
j. He understands everything, clearly.
ประโยค i และ j หมายถึง เปน็ ทชี่ ดั เจนกบั ทุกคนวา่ เขาเข้าใจ

2.2.5 บุพบทวลี
บุพบทวลี (prepositional phrase) ประกอบด้วยคำบุพบทและกรรมของบุพบท

ซึ่งมีหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น นามหรือสรรพนาม, gerund , infinitive หรือ noun clause กรรมของคำ
บุพบท (object of preposition) เปน็ ส่วนเตมิ เตม็ (complement) แบ่งได้ 3 ลกั ษณะคือ

- complement ที่เป็นคำนามหรือคำสรรพนาม ยกตวั อย่างเช่น
The cows were behind a truck and a tractor.
จากประโยคดังกล่าว คำว่า “behind” เป็น preposition และ “a truck and a
tractor” เป็น นามวลี

135

- complement ที่เป็น noun clause เช่น
The rumor from what I have heard is not true.
จากประโยคดังกล่าว คำว่า “from” เป็น preposition และ “what I have
heard” เป็น noun clause
- complement ที่อยู่ในรูปกริยาเติม (v-ing) เช่น without sneezing กล่าวคือ
without เป็น preposition และ sneezing เป็น gerund

ทั้งนี้สามารถสังเกตได้โดยการตั้งคำถาม which one? และคำตอบจะเป็นคำ บุพบท
วลี ยกตัวอย่างเชน่

เราต้ังคำถาม “Which glass?” ซึ่งคำตอบได้แก่ แก้วใบที่ on the kitchen floor
ซึง่ เปน็ prepositional phrase ขยาย noun phrase “the glass”

1.3 อนุพากย์

อนุพากย์ (clauses) คือ หน่วยทางไวยากรณ์ที่มีส่วนประกอบสำคัญคือ ประธาน และ
ภาคแสดง เรยี งลำดบั แบบ S + V + O ยกตัวอย่างเช่น

a. She is reading. เป็นประโยคที่มี 1 อนพุ ากย์
b. After I finish my work, I will pick my baby up at the kindergarten. เ ป็ น
ประโยคท่มี ี 2 อนุพากย์
c. *Will Nina tell the story.

ประโยคในข้อ a และ b เป็นประโยคท่ีถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ ในขณะที่ข้อ c เป็น
ประโยคทผ่ี ิดหลักไวยากรณ์เนอ่ื งจากการเรียงลำดบั คำต้องมรี ูปแบบดังนี้
ประธาน (subject) + [ คำวิเศษณ์ (adverb)] + กริยา (verb) + กรรม(object) + [ส่วนขยาย
(modifier)]

ประโยค a “She” เป็นภาคประธาน
“is reading” เป็นภาคแสดง

ประโยค b ประโยคมีคำสันธานเชื่อมระหว่าง 2 อนุพากย์ เรียงตามลำดับ ประธาน +
กรยิ า + กรรม

136

อนุพากยท์ ่ี 1 “After I finish my work,”
อนุพากย์ที่ 2 “I will pick my baby up at the kindergarten.”
นอกจากนี้ อนุพากย์ (clauses) ในภาษาองั กฤษมอี ย่ดู ว้ ยกัน 3 ชนดิ ดงั น้ี

1.3.1 นามานปุ ระโยค

นามานุประโยค (nouns clause) คือ อนุประโยคท่ีทำหน้าที่เป็นคำนาม
เช่น

What you do is amazing.
I know where she likes to go.
I don’t know how he can do it.

1.3.2 คุณานุประโยค
คุณานุประโยค (adjectiveclause)คือ อนุประโยคท่ีทำหน้าท่ีเป็น

คำคณุ ศพั ท์ หรือ เรียกอกี ชอ่ื ว่า relative clause เช่น

The girl who is standing there is my friend.
The man whom you are talking about is my boss.
The house which is near the river is very big.

1.3.3 กรยิ าวิเศษณานปุ ระโยค
กริยาวิเศษณานุประโยค (adverbclause)หรืออีกช่ือหนึ่งคือ adverbial

clause ทำหน้าท่เี หมือนกบั adverb เชน่

I will sit where I want to sit.
I will eat this cake when I am hungry.

อาจสรุปได้ว่า adverbclause ใช้ขยายคำกริยาหรืออธิบายลักษณะการกระทำ
กริยานอกจากนี้ยังใช้ขยายคำคุณศัพท์ และบางคำใช้ขยายคำกริยาวิเศษณ์ด้วยกันได้คำกริยาวิเศษณ์
อย่างไรก็ตามการใช้ adverbclause ต้องคำนึงถึงตำแหน่งของคำในประโยค เพราะในบางคร้ัง
ความหมายของประโยคจะเปลีย่ นไป เม่อื วางคำกริยาวเิ ศษณไ์ วใ้ นตำแหนง่ ที่ตา่ งกัน

137

บทสรปุ

องคป์ ระกอบของประโยค คือ คำ วลตี า่ งๆ อนุพากย์ การเรียงประโยคต้องเป็นแบบประธาน +
กริยา + กรรม ท้ังน้ีข้ึนอยู่กับกฎเกณฑ์ของภาษาน้ันๆในการสรา้ งประโยคภาษาองั กฤษเพื่อให้ประโยค
มีความสมบรู ณ์สามารถสื่อสารได้อย่างถกู ต้อง ทั้งนี้ในการส่อื สาร โดยท่ัวไปผู้พูดสามารถพดู ประโยคได้
ยาวไม่จำกัด ซ่ึงการทำให้ประโยคข้ึนนั้นผู้พูดสามารถขยายความส่วนต่างๆ เช่น ขยายความส่วนของ
นามวลี ด้วยคำหรือวลีต่างๆ เช่น คำคุณศัพท์ คุณศัพท์วลี บุพบทวลี เป็นต้น หรือขยายความส่วนของ
กริยา ด้วยคำวิเศษณ์ หรือ บุพบทวลี ทั้งน้ีการนำวลีมาขยายส่วนของกริยา ต้องคำนึงถึงชนิดของ
คำกรยิ าน้นั ดว้ ย

138

แบบฝึกหัด

1. หน่วยในประโยคภาษาองั กฤษมีกี่ชนดิ อะไรบ้าง

2. จงวเิ คราะห์วา่ ข้อความต่อไปนี้ เป็น คำ วลี หรอื อนุพากย์
a. a diligent girl
b. sleep
c. while she is waiting for her mom

3. จงวเิ คราะหส์ ่วนท่ีขดี เส้นใต้เป็น วลี หรือ อนุพากย์ ชนิดใด
Lana is drawing a beautiful picture in the English class. She wants to be an artist

after she graduates from university.

4. จงเรียงคำใหเ้ ปน็ นามวลี (noun phrase) และขีดเสน้ ใต้คำหลัก (headword)
4.1 table, the, small, study
4.2 Raya, evening, that, day
4.3 soft, a, on the head, pat
4.4 eye glasses, that, lying in the bedroom, broken
4.5 The, in the front row, whose bag he was carrying

5. จงเติมสว่ นขยายนามวลี (noun phrase) ทขี่ ีดเสน้ ใต้
5.1 Korlae boats are beautiful to watch.
5.2 They sailed under the bridge.
5.3 The basketball player under the basket is my friend.
5.4 Camping is not always fun.
5.5 I gave the boy a bottle of milk.

6. จงขีดเสน้ ใต้คำหลัก (head) ของกรยิ าวลตี ่อไปน้ี
6.1 Stepped lightly
6.2 Stepped into the room
6.3 Quickly stepped in


Click to View FlipBook Version