๒๔๐
ไปปฏบิ ตั ิ โดยใช้ความสามารถในการเรียงร้อยถ้อยคา วลี ประโยค สานวนภาษา เพื่อส่งสารไปยังผฟู้ ัง
ได้อย่างสละสลวย กระชับ ประทับใจ ได้ใจความที่สมบูรณ์ครบถ้วน จึงนับเป็นการใช้หลกั และศิลปะ
การพูดไดอ้ ย่างเหมาะสม
ศาสตรแ์ ละศิลป์ของการพดู
การพดู เป็นพฤติกรรมการสือ่ สารที่เกิดจาการถ่ายทอดความรู้ ความคดิ ความรู้สกึ หรือ
ความต้องการของผ้พู ดู ซ่งึ เป็นผูส้ ง่ สารที่มีความหมายไปยงั ผู้ฟังซึง่ เป็นผ้รู ับสาร โดยใช้ถ้อยคา น้าเสยี ง
สีหน้าแววตา และอากัปกิริยาท่าทาง เพ่ือให้ผู้ฟังรับรู้ เข้าใจ และสนองตอบต่อสารที่ผู้พูดได้สื่อ
มาถึงตนการพูดเป็นส่ิงจาเป็น และมีความสาคญั ตอ่ การติดต่อสอ่ื สารในทุกสาขาอาชีพ เพราะทุกสาขา
อาชีพต้องอาศัยการพูดเพ่ือสื่อความหมายตามท่ีตนต้องการไปยังผู้ฟัง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้เกิด
ความเข้าใจและรบั รูต้ รงกัน
สุนทรภู่ กวีเอกของไทยผู้สร้างสรรค์ผลงานวรรณคดีไทยอันทรงคุณค่า ท่านได้แต่ง
คาประพันธ์อันเป็นอมตะแห่งบทกวีซึ่งสะท้อนให้เห็นศาสตร์และศิลป์ของการพูด ให้เราพึงระลึกถึง
และจดจาอยูเ่ สมอเม่ือจะเจรจาตดิ ต่อสื่อสารกบั ผู้อืน่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม ดงั น้ี
"ถงึ บางพดู พดู ดเี ปน็ ศรีศักดิ์ มคี นรกั รสถอ้ ยอร่อยจิต
แมน้ พดู ชัว่ ตวั ตายทาลายมติ ร จะชอบผิดในมนุษยเ์ พราะพูดจา"
- นิราศภเู ขาทอง
"อนั อ้อยตาลหวานล้นิ แล้วส้นิ ซาก แต่ลมปากหวานหูไมร่ ู้หาย
แมน้ เจบ็ อ่ืนหมนื่ แสนจะแคลนคลาย เจบ็ จนตายน้นั เพราะเหนบ็ ให้เจ็บใจ"
- เพลงยาวถวายโอวาท
"เป็นมนุษยส์ ดุ นิยมเพียงลมปาก จะไดย้ ากโหยหิวเพราะชวิ หา
แม้นพูดดีมีคนเขาเมตตา จะพูดจาจงพเิ คราะหใ์ ห้เหมาะความ"
- พระอภัยมณี
ในหนังสืออรรถกถาธรรมบท ขุททกนิกาย ภาคท่ี ๓ ท่านกล่าวถึงวาจาสุภาษิตโดย
เปรียบเทียบกบั ดอกไม้งามที่มีสีสวยและมกี ลนิ่ หอม ดังน้ี
ยถาปี รจุ ิร ปปุ ผ วณณุ วนต อคนธุ ก
เอว สภุ าสิตา วาจา อผลา โหติ อกพุ พโต
ยถาปี รจุ ริ ปปุ ผ วณณุ วนต สุคนุธก
เอว สภุ าสติ า วาจา สผลา โหติ สุกพุ ฺพโต "
๒๔๑
คาแปล : ดอกไม้งาม มีสีสวย แต่ไม่มีกล่ิน ฉันใด วาจาสุภาษิต ย่อมไม่มีผลแก่บุคคล
ผู้ไม่ทาตามฉันนั้น แต่วาจาสุภาษิตย่อมมีผลแก่ผู้ทาตามด้วยดี เหมือนดอกไม้งาม มีสีสวย และมีกล่ิน
หอม ฉะน้นั
ข้อความข้างต้นช่วยให้เห็นศาสตร์และศิลป์ของการพูด ท่ีทุกคนควรเรียนรู้และฝึกฝน
จนสามารถนาไปปฏิบัติจนเห็นผลได้จริง ช่ วยให้เกิดการพัฒนาตนเองในทุกด้าน การพูด
เป็นกระบวนการที่ต้องมีการคิดวิเคราะห์อย่างรอบคอบ มีการวางแผน มีการวิเคราะห์ผู้ฟัง และ
เลือกใช้ภาษาที่เหมาะสมกับกลุ่มผู้ฟัง การฝึกฝนทักษะการพูดจึงเป็นการพัฒนาศักยภาพของตนเอง
ท้ังในด้านกายภาพและด้านความคิด ท้ังนี้เพ่ือปรับบุคลิกภาพของตนเองให้พร้อมในทุกสถานการณ์
เพราะเหตุน้ี การพูดจึงเป็นจุดเริ่มต้นของการเสริมสร้างความมีมนุษยสัมพันธ์ที่ดี ช่วยสร้างภาวะ
ความเป็นผนู้ า และเป็นสะพานเช่อื มโยงไปสคู่ วามสาเร็จในการดาเนนิ ชีวติ
ในทน่ี ้สี ามารถสรปุ สาระสาคัญอันวา่ ดว้ ยศาสตร์และศลิ ป์ของการพูดได้ ดังนี้
๑) การพูดช่วยให้มนุษย์มีความเข้าใจซ่ึงกันและกัน เน่ืองจากการพูดเป็นเคร่ืองมือ
สื่อสารท่ีสาคัญที่สุด ซ่ึงจะทาให้มนุษย์อยู่รว่ มกันในสังคมได้อย่างปกติสขุ ชว่ ยสร้างความสัมพันธ์ท่ีทา
ให้เกิดความรู้สึกที่ดีต่อกัน และทาให้มนุษย์ได้เปิดเผยตนเองไปสู่โลกกว้างทั้งในระดับบุคคล ระดับ
สังคม และระดบั ชาตไิ ดอ้ ย่างดียง่ิ
๒) การพูดช่วยให้เกิดการรับรู้ความหมายร่วมกัน ด้วยเหตุผลของกระบวนการทาง
สังคม มนุษย์จึงมีความจาเป็นท่ีจะต้องติดต่อสือ่ สารซ่ึงกันและกันอยู่ตลอดเวลา การสร้างความเข้าใจ
เพ่ือให้เกิดการรับรู้ร่วมกันโดยเฉพาะในด้านการใช้ภาษาเพ่ือส่ือความหมาย จึงเป็นปัจจัยหลักท่ีจะ
ช่วยใหข้ ้นั ตอนของการส่ือสารบรรลผุ ลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
๓) การพูดช่วยให้เกิดการตอบสนองระหว่างกัน การสื่อสารด้วยการพูดส่วนใหญ่จะมี
ลักษณะเป็นการสื่อสาร ๒ ทาง (Two-way Communication) กล่าวคือ มีผู้ส่งสารและผู้รับสารใช้
ภาษาเป็นสื่อกลางในการเจรจาติดต่อถึงกัน ผู้พูดซ่ึงเป็นผู้ส่งสารน้ันย่อมคาดหวังถึงปฏิกิริยา
ตอบสนองจากผู้ฟังซ่ึงเป็นผรู้ ับสาร เพราะการตอบสนองต่อสารเปรียบเสมือนกระจกเงาทีช่ ่วยสะท้อน
ความสาเร็จของการพูด
๔) การพูดช่วยเสริมสร้างลักษณะความเป็นผู้นาที่ดี ผู้พูดท่ีมีการฝึกฝนทักษะการพูด
อยู่เสมอจะช่วยเสริมสร้างคุณลักษณะความเป็นผู้นา โดยเฉพาะอย่างย่ิง คือ การเป็นแบบอย่างที่ดี
ให้แก่ผู้อื่นซึ่งลักษณะการเป็นผู้นาท่ีดีน้ันจะแฝงอยู่ในตัวผู้พูดนั่นเอง ทั้งน้ีโดยเริ่มจากการพัฒนา
บุคลิกภาพการวางตัว มารยาทในการพูด การแสวงหาความรู้และประสบการณ์จากการอ่าน การฟัง
การสังเกตและการลงมอื ทา
๕) การพูดชว่ ยเสรมิ สรา้ งความเป็นประชาธปิ ไตย ผู้พดู ทีม่ ีการฝกึ ฝนและพฒั นาตนเอง
จนเป็นนักพูดที่ดีน้ัน ย่อมเป็นผู้มีจิตใจที่เป็นประชาธิปไตย กล่าวคือ เป็นผู้ยอมรับความแตกต่างทาง
๒๔๒
ความคิดสามารถปรับตัวให้อยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุข รู้จักเคารพสิทธิเสรีภาพของบุคคลอ่ืน มีใจ
เปิดกว้างยอมรบั ความจริง และนอ้ มรบั คาติชมเพื่อนาไปแก้ไขพัฒนาตนเองใหด้ ีข้ึน
วัตถปุ ระสงคข์ องการพดู
วัตถุประสงค์ของการพูดกับตัวผู้พูด นับเป็นปัจจัยท่ีเก้ือหนุนซึ่งกันและกัน การกาหนด
วัตถปุ ระสงค์ท่ีชัดเจนก่อนการพูด ยอ่ มช่วยให้ผู้พูดสามารถกาหนดทศิ ทางการพูดได้อย่างชัดเจน และ
ยังช่วยให้ผู้ฟังสามารถรับรู้เร่ืองราวได้อย่างต่อเน่ืองตามลาดับ ฉะน้ัน ก่อนการพูดทุกครั้งผู้พูดจึงควร
ศกึ ษาวตั ถปุ ระสงคข์ องการพูด เพ่ือเตรียมเนื้อหาให้เหมาะสมกับสถานการณ์และกลุ่มผู้ฟงั ดงั น้ี
๑) การพูดเพื่อให้ความรู้ เป็นการพูดเพ่ืออธิบาย ขยายความ ช้ีแจง แสดงเหตุผล
เก่ียวกับเร่ืองใดเรื่องหน่ึงเพื่อให้ผู้ฟังได้รับความรู้ ความเข้าใจในเน้ือหาสาระอย่างครบถ้วน ผู้พูดจึง
ต้องมีการเตรียมความพร้อมล่วงหน้า ศึกษาค้นคว้า เรียบเรียงข้อมูล และนาเสนออย่างมีข้ันตอน
ตามลาดับก่อนหลัง เพ่ือให้ผู้ฟังเข้าใจง่าย คล่ีคลายข้อสงสัยได้กรอบแนวคิดของความรู้ท่ีสามารถ
นาไปปฏิบัติ หรือศึกษาค้นคว้าเพ่ิมเติมได้อย่างชัดเจน การพูดเพื่อให้ความรู้มีหลายรูปแบบ เช่น
การให้โอวาท การอบรม การปฐมนิเทศ การบรรยาย การอธิบาย การสาธิต การแถลงการณ์
การประกาศ เป็นต้น
๒) การพดู เพอ่ื จงู ใจหรือโน้มน้าวใจ เป็นการพดู ท่ีมีวัตถุประสงค์เพ่ือชกั ชวน ให้เชื่อ ให้
คล้อยตาม หรือปฏิบัติตามในเร่ืองใดเร่ืองหน่ึง ผู้พูดต้องใช้ศิลปะการพูดเพื่อสอดแทรกอารมณ์
ความรู้สึกถึงความจริงใจประกอบน้าเสียงที่พูดออกไป เพื่อแสดงให้เห็นว่า ผู้พูดมีความเชื่อเช่นนั้น
การพูดในลักษณะน้ีนิยมใช้ในโอกาสต่าง ๆ เช่น การโฆษณาสนิ ค้า การปลุกเร้าใหเ้ กิดปฏิกิรยิ ามวลชน
การชักชวนให้ประชาชนไปลงคะแนนเสียงเลือกต้ัง การโน้มน้าวให้เห็นโทษหรือพิษภัยของสิ่งเสพติด
การเชญิ ชวนให้บรจิ าคเงนิ ทาบญุ เปน็ ตน้
๓) การพูดเพอื่ จรรโลงใจ เปน็ การพูดที่มีวัตถุประสงค์เพื่อจะบรรยายให้เห็นภาพหรือ
เรื่องราวของการกระทาคุณงามความดี ความประณีตงดงาม ตลอดจนเร่ืองราวบันเทิงใจ เพื่อให้ผู้ฟัง
เกิดความเพลิดเพลิน รู้สึกผ่อนคลาย สบายใจ และได้รับคุณค่าด้านจิตใจ การพูดในลักษณะนี้นิยมใช้
ในโอกาสต่าง ๆ เช่น การแสดงความยินดี การกล่าวยกย่องสดุดีบุคคลผู้ประกอบคุณงามความดี
การกลา่ วสนุ ทรพจนใ์ นงานร่นื เริง การกลา่ วคาปราศรยั การให้โอวาท เป็นต้น
๔) การพูดเพื่อหาคาตอบ เป็นการพูดที่มีวัตถุประสงค์เพ่ือค้นหาข้อเท็จจริง ความรู้
ความเห็นของผู้ฟังในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง ผู้พูดจะต้องรู้จักการใช้ภาษาท่ีถูกต้อง เหมาะสม เรียบเรียง
ถ้อยคา และความคิดเพื่อส่ือความหมายให้ผู้ฟังเข้าใจได้ชัดเจนตรงตามที่ต้องการ การพูดเพ่ือหา
คาตอบนั้นนิยมใช้ในโอกาสตา่ ง ๆ เช่น การสอบสมั ภาษณ์ การสอบถามขอ้ มูล และการปรึกษาปัญหา
ต่าง ๆ เปน็ ตน้
๒๔๓
การพูดแตล่ ะประเภท
เมื่อทราบวัตถุประสงคข์ องการพูดดังกลา่ วข้างตันแล้ว สิ่งที่ผู้พูดควรจะพิจารณาต่อไปก็
คือจะพูดอย่างไรให้สอดคล้องกับวัตถุประสงค์ และเหมาะสมกับงานในโอกาสต่าง ๆ โดยภาพรวมมี
การแบ่งการพูดออกเป็น ๒ ประเภท ได้แก่ การพูดเพ่ือการสอ่ื สารระหว่างบุคคลอย่างไม่เป็นทางการ
และการพูดเพ่ือการส่ือสารระหว่างบุคคลอย่างเป็นทางการ ในท่ีน้ีจะกล่าวถึงเฉพาะลักษณะการพูด
อยา่ งเปน็ ทางการซงึ่ มีสาระสาคญั พอสรุปได้ ดังน้ี
๑) การพดู โดยไม่มีการเตรยี มตัวล่วงหน้า ได้แก่ การพูดอย่างกะทันหันโดยทผ่ี พู้ ูดไมไ่ ด้
เตรียมตัวมาก่อน หรือได้รับเชิญให้พูดในท่ีประชุมชนในเร่ืองที่ตนไม่ได้เตรียมความพร้อมเกี่ยวกับ
เน้ือหาที่จะพูดทาให้การแสดงทัศนะหรือการให้ข้อคดิ ความเห็นต่อผูฟ้ ังอาจจะดูติด ๆ ขดั ๆ ไมร่ าบร่ืน
นักพูดท่ีมีชื่อเสียงส่วนมากจะหลีกเลี่ยงการพูดประเภทน้ี เพราะเป็นห่วงความรู้สึกของผู้ฟัง แต่หาก
มีความจาเป็นต้องพูดต่อท่ีประชุมชนอย่างกะทันหัน ก็มีข้อที่ควรปฏิบัติ คือ ควบคุมสติให้ม่ัน นึกถึง
ความรู้ประสบการณ์ กล่าวทักทายผู้ฟังช้า ๆ ชัด ๆ พยายามสังเกตปฏิกิริยาผู้ฟังในขณะพูด และ
ไมค่ วรใช้เวลาในการพูดนานเกินไป เพราะจะทาให้เนอื้ หาท่พี ดู วกไปวนมา
๒) การพูดโดยการอ่านต้นฉบับ ได้แก่ การพูดโดยใช้วิธีการอ่านจากต้นฉบับท่ีผู้พูด
เตรียมมาหรือพูดจากบทความซ่ึงเป็นข้อเขียนที่ตนได้ศึกษาค้นคว้ามา เพื่อหลีกเลี่ยงข้อผิดพลาดท่ี
อาจจะเกิดข้ึนและต้องการจะควบคุมเวลาให้เหมาะสม การพูดประเภทน้ีมีลักษณะเป็นการพูดอย่าง
เปน็ พิธกี าร เชน่ พระราชดารัสเปดิ การประชุมรัฐสภา การแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี การกล่าว
รายงานต่อประธานในพิธี การกล่าวเปิดหรือปิดการประชุมสัมมนา เป็นต้น ผู้พูดควรศึกษาข้อปฏิบัติ
เกี่ยวกับการพูดประเภทนี้ได้แก่ การใช้ภาษาท่ีเป็นทางการ เขียนต้นฉบับโดยเว้นระยะห่างระหว่าง
บรรทดั มากกวา่ ปกติทาเครือ่ งหมายวรรคตอนสาหรบั การอา่ น ฝกึ ซ้อนการอา่ นให้ถูกตอ้ งตามอักขรวธิ ี
๓) การพูดโดยการท่องจาเน้ือหา ได้แก่ การพูดท่ีผู้พูดมีเวลาในการเตรียมเนื้อหามาก
พอสมควรจึงมีเวลาในการเขียนบทพูดซ่ึงประกอบด้วย ๓ ส่วน คือ ความนา-เน้ือเร่ือง-และส่วนสรุป
ไว้ล่วงหน้าแต่เน่ืองจากผู้พูดมีประสบการณ์น้อย จึงเลือกวิธีท่องจาเน้ือหา จากนั้นจึงพูดจากท่ีตนได้
ท่องจาไว้การพูดประเภทน้ีมีข้อดี คือ ผู้พดู สามารถถ่ายทอดเน้ือหาไดท้ ้ังหมด และสรุปจบได้ตามเวลา
ทก่ี าหนดแตก่ ็มีขอ้ เสีย คือ หากผู้พูดไม่เตรียมตวั ล่วงหน้ามาอย่างดอี าจจะลมื เนื้อหาท่ีท่องจาไว้ ทาให้
ขาดความเช่อื ม่ันในตนเอง การใชภ้ าษาและกิรยิ าท่าทางประกอบการพดู ไมเ่ ปน็ ธรรมชาติ
๔. การพูดโดยใช้ความรู้และประสบการณ์ท่ีมีการเตรียมตัวล่วงหน้า ได้แก่ การพูดที่มี
ความรู้และประสบการณ์ สามารถใช้ศาสตร์และศิลป์ประกอบการพูดได้อย่างเป็นธรรมชาติ มีวิธีการ
ท่ีดีในการเก็บรวบรวมข้อมูลประกอบเนื้อหาที่จะนาเสนอต่อผู้ฟัง ทาให้เรื่องท่ีพูดมีความทันสมัย
สอดคล้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น ช่วยดึงดูดความสนใจ และตรงใจผู้ฟัง ผู้พูดจะใช้วิธีบันทึกโครง
๒๔๔
เรื่องที่จะพูดเป็นหัวข้อสั้น ๆ แล้วขยายความไปตามความเข้าใจในเน้ือหา สามารถปรับหัวข้อให้
สอดคล้องกบั สถานการณ์และปฏิกริ ยิ าของผู้ฟงั ไดต้ ลอดเวลา
๘.๘ หลักการเปน็ นกั พูดท่ีดี
ปัจจุบันเป็นที่ยอมรับกันโดยท่ัวไปแล้วว่า การพูดเป็นศาสตร์และศิลป์ท่ีมีความจาเป็น
ต่อการประกอบหน้าที่การงานในทุกสาขาอาชีพ และการที่จะพัฒนาตนเองจนถึงขั้นเป็นนักพูดท่ีดีได้
น้ัน ผู้พูดต้องผ่านบททดสอบมากมายด้วยตัวเอง เพราะทุกคนไม่ได้มีพรสวรรค์มาตั้งแต่เกิด ต่อเม่ือมี
ความใฝ่ฝนั ทจ่ี ะเป็น จึงต้องมมุ านะมุ่งม่ัน ขยันหม่ันฝึกฝน จนเกิดทักษะความชานาญ ดังคากลา่ วที่ว่า
"พรสวรรค์หรือจะสู่พรแสวง" และเม่ือผูพ้ ูดมที ักษะพื้นฐานในการใช้ถ้อยคา น้าเสียง และกิริยาท่าทาง
ประกอบการพูดได้อยา่ งมีประสิทธิภาพแล้ว ผู้พดู ควรศกึ ษาหลกั การเปน็ นักพูดท่ีดี ดังนี้
๑) เป็นนักฟังท่ีดี การเป็นผู้ฟังท่ีดีถือเป็นขั้นตอนที่สาคัญของการสะสมความรู้และ
ประสบการณ์ทั้งนี้ เพราะการฟังเป็นทักษะพื้นฐานของการพัฒนาสติปัญญา ช่วยให้ผู้ฟังได้มีโอกาส
"ทบทวนความรู้เดิม และเพิ่มเติมความรู้ใหม่" ได้เปิดโลกทัศนข์ องตนให้กวา้ งไกล ช่วยให้เข้าใจเนื้อหา
อย่างแจ่มแจ้ง และรวู้ ิธที ่ีจะอยู่ร่วมกันในสังคมได้อย่างมีความสุขทา่ มกลางความแตกต่างทางความคิด
การเป็นนักฟังที่ดียังหมายรวมถึงการเป็นผ้สู มาธิในการรบั สาร รู้จกั สงั เกต หรือกาหนดจดจาวธิ ีการใช้
ถ้อยคา น้าเสียง ข้อคิดคาคมต่าง ๆ รวมท้ังลีลาท่าทาง บุคลิกลักษณะ รูปแบบการพูดของนักพูดที่ดี
เพื่อนามาเปน็ แนวทางในการพัฒนาการพูดของตนให้ดยี ่ิงข้นึ
๒) เป็นนักอ่านท่ีดี เนื่องจากปัจจุบันเป็นยุคสังคมข้อมูลข่าวสาร (Information Age)
นวัตกรรมทางเทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้ถูกประดิษฐ์คิดค้นและนามาใช้เป็นเครื่องมือส่ือสารของมนุษย์
ข้อมูลความรู้ในทุกด้านได้รับการถ่ายทอดหรือท่ีเรียกกันว่า "แซร์" ต่อ ๆ กันไปในหมู่สังคมออนไลน์
อย่างรวดเรว็ มีหลายเร่ืองกลายเป็นกระแสสังคมเพียงชว่ งเวลาสั้น ๆ และก็มีหลายเร่อื งเช่นกันท่ีผู้แชร์
เองยังไม่ทราบด้วยซ้าว่าถูกหรือผิด เม่อื เป็นเช่นนี้การเป็นนักอ่านท่ีดีกจ็ ะช่วยให้ผู้อ่านมีความรู้เท่าทัน
ไม่หลงเช่ือไปตามกระแส รู้จักใช้ความคิดวิจารณญาณอย่างรอบคอบ และสามารถพัฒนาตนเองให้
เป็นนกั พูดทด่ี ีมีกลวิธีในการถ่ายทอดความรจู้ ากแหล่งเรยี นรู้ยุคใหม่ได้อย่างมปี ระสิทธิภาพ
๓) เป็นผู้มีบุคลิกภาพท่ีดี บุคลิกภาพเป็นลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละบุคคล มีท้ังส่วน
ท่ีเป็นภายใน ได้แก่ อารมณ์ ความรู้สึกนึกคิด ทัศนคติ สติปัญญา และส่วนที่เป็นภายนอก ได้แก่
รูปร่างหน้าตากิริยาท่าทาง การแต่งกาย การพูดจา ส่วนใหญ่คนจะมองและตัดสินคนจากรูปลักษณ์
ภายนอกมากกว่าภายใน เพราะเป็นบุคลิกภาพท่ีมองเห็นได้อย่างแจ่มชัด บุคลิกภาพยังหมายรวมถึง
พฤติกรรมการแสดงออกโดยภาพรวมขณะปรากฏตัวต่อสาธารณชน ท้ังที่รู้ตัวและไม่รู้ตัว ฉะนั้น
การจะเปน็ นักพูดท่ดี ีผู้พูดตอ้ งรู้จักปรบั ปรงุ บุคลิกภาพของตนเองโดยเฉพาะมารยาทในการแต่งกายให้
๒๔๕
ดูดี และมีความเหมาะสมต้ังแต่แรกเห็นในทุกโอกาส เพราะมีส่วนสาคัญต่อการสร้างความน่าเช่ือถือ
ศรทั ธาต่อผ้พู บเห็นเป็นผู้มีความเช่อื มั่นในตนเอง ความเชือ่ มั่นในตนเอง (Self Confidence) หมายถึง
การกล้าตัดสินใจในการทาส่ิงใดสิ่งหนึ่งด้วยความม่ันใจ กล้าแสดงออก สามารถทาสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วย
ตนเอง พ่ึงพาตนเอง และสามารถปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ใหม่ ๆ เพื่อให้อยู่ในสังคมได้อย่างมี
ความสุข การเป็นผู้มีความเช่ือมั่นในตนเองถือเป็นคุณสมบัติสาคัญประการหน่ึงของบุคคลท่ี
ประสบความสาเร็จทว่ั โลก ฉะน้ัน การจะเป็นนักพูดทด่ี ี ผ้พู ูดควรเปน็ ผู้กล้าพูด กล้าคิด กล้าแสดงออก
กล้าที่จะลงมือทา รู้จกั ริเริม่ สรา้ งสรรคส์ ่งิ ใหม่ ๆ และมีภาวะความเปน็ ผนู้ าทด่ี ี
๕) เป็นผู้มีความรู้ในเรื่องท่ีพูด การมีความรู้ในที่เร่ืองท่ีพูดถือเป็นคุณสมบัติสาคัญ
การเป็นนักพูดที่ดี เคล็ดลับความสาเร็จก็คือ "จงพูดในเรื่องท่ีตนเองรู้" หากไม่มีความรู้ในเรื่องใด
ก็ไม่ควรอย่างยิ่งท่ีจะรับหน้าที่เป็นผู้พูดในเรื่องน้ัน เพราะนอกจากจะเป็นการไม่ให้เกียรติผู้ฟังแล้ว
ยังทาให้ตัวผู้พูดขาดความน่าเช่ือถือจากผู้ฟัง ฉะนั้น ไม่ว่าจะพูดเร่ืองใดก็ตาม ผู้พูดควรมีการศึกษา
ค้นคว้าหาข้อมูลความรู้จากเร่ืองน้ัน จนเข้าใจอย่างถ่องแท้ก่อนนาไปพูดในท่ีประชุมชน ซ่ึงปัจจุบัน
มีแหล่งความรู้มากมายให้ค้นหา จงมีความกระตือรือร้นในการสะสมความรู้และประสบการณ์ ผู้พูด
ควรเกบ็ รวบรวมข้อมูลตัวอย่างหลักฐาน เอกสารอ้างอิง งานศึกษาวิจัย เพ่ือใชป้ ระกอบองค์ความรู้ให้
ครบถ้วน และรู้จักเลือกสรรความรู้ท่ีจะนาเสนอให้เหมาะสม และเรียบเรียงความคิดให้ต่อเน่ือง
สัมพันธ์กนั อย่างเปน็ ขั้นตอน
๖) เปน็ ผู้มีความจริงใจ การเป็นผู้มีความจริงใจมิได้เกิดมีขึน้ เพียงชั่วข้ามคืน แต่เกดิ ขึ้น
จากการเป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรมซ่ึงเป็นคุณสมบัติติดตัวประจาตน ที่ผ่านการฝึกฝนอบรมมาอย่าง
ยาวนานเมื่อจะเจรจาความใด ๆ ก็ตาม ความจริงใจที่พูดออกไปก็จะทาให้ผฟู้ ังสามารถสัมผัสหรือรับรู้
ได้เพราะเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่ไดเ้ กิดจากการเสแสรง้ แกล้งกระทา หลักการข้อนี้ถือเป็นเรือ่ งสาคัญ
ขั้นสูงของการอยู่ร่วมกันในสังคม ในพระพุทธศาสนาท่านส่งเสริมการกล่าววาจาท่ีเป็นสุภาษิตว่าเป็น
มงคลอันยอดเยี่ยม ดังพระบาลีว่า "สุภาสิตา จ ยา วาจา เอตมมงคลมุตตม การกล่าววาจาท่ีเป็น
สุภาษิตเป็นมงคลอันสูงสุด" ขยายความได้ว่า ควรกล่าวคาจริง เป็นคาสุภาพ มีประโยชน์ พูดด้วย
จติ เมตตา ไม่บิดเบือนจากความเปน็ จริง ไม่ต่อเติมเสรมิ ความจนกระทั่งไม่เหลือเคา้ โครงแห่งความจริง
อยเู่ ลย
๗) เป็นผู้มีความรับผิดชอบ การเป็นผู้มีความรับผิดชอบถือเป็นคุณธรรมสาคัญอีก
ประการหน่ึงที่ผู้พูดพึงมีท้ังต่อหน้าและลับหลัง กล่าวโดยหลักการ คือ เมื่อพูดถึงส่ิงใดออกไป ควรมี
ความรับผิดชอบต่อสิ่งนั้น และทาให้ได้ดีเหมือนพูด อย่าดีแต่พูด แต่จงพูด และทาในส่ิงท่ีดี สิ่งท่ีพูด
ออกไปจะเป็นพันธะติดตามตัวผู้พูดไปตลอดชีวิต ผู้พูดควรระลึกอยู่เสมอว่า "ก่อนพูดเราเป็นนาย
ของคาพูด แต่หลังจากพูดไปแล้วคาพูดจะเป็นนายของเรา" ฉะนั้น ผู้พูดพึงยึดถือคุณธรรมข้อที่ว่าด้วย
๒๔๖
ความรับผิดชอบอย่างเคร่งครัด กล่าวคือ ต้องมีความรับผิดชอบท้ังคาพูดและการกระทาไม่เสียสัตย์
รักษาคาพูด และไมป่ ล่อยใหค้ าพูดยอ้ นกลับมาเลน่ งานเราได้ในภายหลัง
๘) เป็นผู้มีใจเปิดกว้างยอมรับความจริง หลักการข้อน้ีเกี่ยวข้องกับการรู้จักประเมิน
ตนเองของผู้พูด และรู้จักประเมินสารหรือเน้ือหาสาระท่ีผู้พูดส่งไปยังผู้ฟัง น้อมรับฟังคาวิพากษ์
วิจารณ์ด้วยใจที่เปิดกว้าง เพราะในความเป็นจริงแต่ละคนย่อมต้องมีข้อบกพร่องผิดพลาดด้วยกัน
ท้ังนั้น ไม่มีใครจะสมบูรณ์ไปทุกเรื่อง ผู้พูดพึงระลึกเสมอว่า ปฏิกิริยาตอบสนองทั้งด้านบวกและ
ด้านลบจากผู้ฟังเป็นเหมอื นกระจกเงาท่ีจะช่วยสะท้อนความสาเร็จ การมีใจเปดิ กว้างยอมรบั ความจริง
และพร้อมท่ีจะปรับปรุงแกไ้ ขเป็นคุณสมบัติพนื้ ฐานทมี่ ีความสาคญั ตอ่ การสรา้ งภาวะความเป็นผนู้ าท่ีดี
นอกจากน้ียังช่วยส่งเสริมคุณลักษณะของความเป็นนักประชาธิปไตย กล่าวคือ มีใจเปิดกว้างยอมรับ
ความแตกต่างทางความคดิ มีเหตุมผี ล พร้อมรับฟังคาแนะนาท่ีดีของผู้อนื่ เพ่ือนาไปปรับปรุงแกไ้ ขด้วย
ใจที่เปน็ ธรรม
๙) เป็นตัวของตัวเอง หลักการอีกประการหน่ึงของบุคคลท่ีปรารถนาความสาเร็จก็คือ
การเรียนรู้ความสาเร็จของบุคคลท่ีประสบความสาเร็จ ความเป็นจริงของหลักการนี้ไม่ได้สอนให้เรา
ต้องคอยลอกเลียนแบบความสาเร็จของผู้อื่น แต่สอนให้เรารู้จักศึกษาวิถีแห่งความสาเร็จในหลาย ๆ
เรื่องท่ีไม่มีในตัวเรา เช่น ความมีวินัยในตัวเอง ความอดทดต่อการฝึกฝน ความกระตือรือร้นต่อ
การศึกษาหาความรู้ การเป็นคนช่างสังเกต วิธีการสะสมความรู้ และประสบการณ์ เป็นต้น หากเป็น
เรื่องความสาเร็จด้านการพูดก็คือการศึกษาวิธีการใช้ถ้อยคา น้าเสียง สีลาท่าทางประกอบการพูด
ความรู้ในเรื่องท่ีพูดและวิธีการสร้างบรรยากาศที่ดีในการพูดของนักพูดท่ีประสบความสาเร็จ จากนั้น
จึงค่อยมาพิจารณาว่าตัวตนของเราเป็นอย่างไร ต้องค้นหาจุดเด่นท่ีเป็นเอกลักษณ์ประจาตัว มีความ
เป็นตัวของตัวเองที่ไม่ลอกเลียนแบบใคร พูดด้วยน้าเสียง ลีลาของตนเอง ไม่ควรกังวลเรื่องจุดด้อย
แต่ควรพัฒนาจุดด้อยใหเ้ ป็นจุดเด่น
๑๐) เป็นผู้ใส่ใจต่อการวิเคราะห์ผู้ฟัง การพูดอย่างเป็นทางการโดยท่ัวไปผู้พูดจะเป็น
ผ้กู าหนดวัตถปุ ระสงค์สาคัญของการพูด ทั้งนี้เพ่ือความสะดวกในการเตรียมเรื่องพูด นักพูดท่ดี ีจะต้อง
พิจารณาถึงความต้องการของกลุ่มผู้ฟังเป็นหลัก และนาเสนอเน้ือหาท่ีอยู่ในความสนใจของผู้ฟัง
การใส่ใจต่อการวิเคราะห์ผู้ฟังจึงเป็นอีกหลักการหน่ึงท่ีผู้พูดไม่ควรละเลย ไม่ว่าจะเจรจาพูดคุยเรื่องใด
ก็ตาม ผู้พูดควรพิจารณาเสมอว่าผู้ฟังของเราคือใคร มีความรู้ในเรื่องท่ีฟังอย่างไรบ้าง หากทราบ
พ้ืนฐานด้านการศึกษาและความเชื่อของผู้ฟังด้วยก็จะช่วยให้ผู้พูดสามารถกาหนดวัตถุประสงค์ของ
การพูดได้ดียิ่งขึ้น และรู้จักหลีกเล่ียงท่ีจะพูดในเรื่องท่ีกระทบต่อความรู้สึกหรือสร้างความขัดแย้ง
ขณะที่กาลังพูดก็ควรใส่ใจต่อปฏิกิริยาของผู้ฟังและพยายามปรับเน้ือหาให้เหมาะสมกับบรรยากาศ
ของการฟังในขณะน้ัน นอกจากนี้ยังควรใส่ใจต่อการพิจาณาถึงความชอบ ค่านิยม และกระแสสังคม
ในปจั จุบนั ดว้ ย เพื่อนามาประกอบการพดู ในแต่ละครงั้ ใหเ้ หมาะสม
๒๔๗
๑๑) เป็นผู้มีมารยาทในการพูด การเป็นผู้มีมารยาทในการพูดถือเป็นเรื่องสาคัญอย่าง
มากไม่ว่าจะเป็นการพูดอย่างเป็นทางการหรือไมเ่ ป็นทางการก็ตาม ส่ิงที่ผู้พดู ควรระมัดระวงั อย่างยิ่งก็
คือการตานิ ติฉิน นินทา ว่าร้ายผู้อ่ืน ซึ่งถือเป็นเร่ืองเสียมารยาทอย่างร้ายแรง เพราะจะนาความ
เดือดร้อนขัดแย้ง แตกแยกมาสู่ตนเองและหมู่คณะ ทุกคร้ังท่ีพูดควรใช้กริยาวาจาท่ีสุภาพ รู้จัก
กาลเทศะ รักษาอารมณ์ให้เป็นปกติ เปิดใจรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นไม่ควรบังคับให้ผู้อ่ืนเชื่อหรือ
มีความคิดเห็นเหมือนกับตนเอง ควรรักษามารยาทของการเป็นผู้ฟังที่ดีไม่พึงขัดคอหรือพูดแทรก
ในขณะที่คนอ่ืนยังพูดไม่จบไม่ควรพูดพาดพิงเร่ืองส่วนตัวของบุคคลอ่ืนในท่ีประชุม มีความเคารพ
ให้เกยี รติผูฟ้ ัง และมีมนุษยสัมพนั ธท์ ่ดี ี
๑๒) เป็นผู้ฝึกฝนทักษะการพูดอยู่เสมอ การขยันหม่ันฝึกฝนเป็นคุณสมบัติที่ดี
ของนักปราชญ์เมื่อได้ทราบถึงหลักการสาคัญของการเป็นนักพูดที่ดีแล้วแต่ขาดการฝึกฝน ทักษะ
ความชานาญและความรู้ประสบการณ์ก็ย่อมจะไม่เกิดขึ้น ผลที่ตามมา คือ ขาดความเช่ือมั่นในตนเอง
เกิดความประหม่าตื่นต้น ไม่สามารถจะควบคุมการพูดให้เป็นไปตามธรรมชาติได้ การฝึกฝนทักษะ
การพูดเปรยี บเหมอื นนักกีฬาที่ผา่ นการฝกึ ชอ้ มมาอย่างดีก่อนลงสนามแข่งขัน จุดมุ่งหมายของนักกีฬา
คือ การมีชัยชนะเหนือคู่แข่งขัน แต่จุดมุ่งหมายของนักพูด คือ การชนะใจตนเอง เพราะฉะน้ัน
การฝึกฝนทักษะการพูดอยู่เสมอจะช่วยให้ผู้พูดเข้าใจองค์ประกอบของการพูด มีศิลปะในการ
สอดแทรกอารมณ์ขัน รู้วิธีสร้างบรรยากาศท่ีดีในการพูด ทาให้ผู้ฟังรู้สึกมีส่วนร่วม และสามารถ
จดั ลาดับความคิดสาคญั ของเนอื้ หาท่ีพูดได้อย่างต่อเนื่องสัมพันธก์ ันตงั้ แตต่ น้ จนจบ
การจะเป็นนักพูดที่มีความสามารถน้ัน ไม่ใด้หมายความว่า จะเป็นแต่เพียงคนที่กล้าพูด
หรือพูดเก่งเท่าน้ัน หากแต่ว่าผู้พูดจะตัองมีความรู้ในกระบวนการสื่อสาร ชนิดของการพูดและวิธีการ
ที่จะพูดด้วย การที่ผู้พูดมีความรู้และมีความเข้าใจชนิดของการพูดจะทาให้ผู้พูดสามารถเลือกชนิด
ของการพูดและปรบั การพดู ให้เหมาะสมกบั สถานการณไ์ ด้
ส่วนการส่งทอดคาพูดหรือวิธีการพูดนั้นมีบทบาทสาคัญที่สามารถทาให้การพูดนั้นด้วย
คุณภาพหรือดูมีชีวิตชีวาข้ึนมาได้ การส่งคาพูดไม่ได้เป็นกระบวนการดังเช่นการส่งของ หรือ
ส่งไปรษณีย์ท่ีเป็นกระบวนการหยุดนิ่ง คือ ผู้ส่งของก็นาของนั้นไปส่งยังจุดหมายปลายทางเท่านั้น
แต่การส่งทอดคาพูดนั้นเป็นกระบวนการท่ีมีการปรับปรุง พัฒนา หรือเปล่ียนแปลงตลอดเวลา คือ
เป็นกระบวนการที่ไม่หยุดนิ่งสามารถทาให้สถานการณ์การพูดดีขึ้น หรือเลวลงก็ได้แม้ว่าข้ันตอน
ของการส่งคาพูดน้ีจะไม่ได้เป็นหัวใจของการพูด แต่ก็ถือว่ามีความสาคัญมาก การส่งทอดคาพูดท่ีดีจะ
สามารถชว่ ยให้การพดู ทอี่ ่อนกลับกลายเป็นการพูดที่ดขี นึ้ มาได้
ชนิดของการพูด (Types of Speoch) การพูดในท่ีชุมชนน้ัน เราสามารถแยกชนิด
ของการพูดได้หลายชนิดด้วยกัน แค่เพื่อความเข้าใจของการพูดจึงจัดแยกการพูดออกเป็น ๒ ชนิด
ด้วยกนั คือ
๒๔๘
๑. แบง่ ตามจุดมงุ่ หมายของการพดู
๒. แบง่ ตามวธิ ีการท่ีผ้พู ูดพดู
การพูดตามจดุ มงุ่ หมายของการพูด การพูดโดยท่วั ๆ ไปมจี ดุ มุ่งหมายอยู่ ๓ ชนิดด้วยกัน
คอื
๑. การพดู เพอ่ื รายงานหรือใหข้ ้อเท็จขริง (nformative Speech)
๒. การพูดเพื่อจูงใจ (Persuosve Spoech)
๓. การพูดเพ่ือความบนั เทิง (Entertaining Speech)
๑. การพูดเพื่อรายงานหรือให้ข้อเท็จจริง (nformotive speech) เป็นการพูดเพ่ือให้
ขอ้ มลู ขอ้ เทจ็ จรงิ ต่าง ๆ การพูดชนิดนี้ ผ้พู ูดมจี ุดมุ่งหมายเพ่อื ใหผ้ ูฟ้ ังเข้าใจส่ิงที่ ผูพ้ ดู ไดพ้ ูดลักษณะของ
การพูดจะเป็นการรายงานหรือมีแนวโน้มไปในทางวิชาการ ดังน้ันเท่ากับว่า ผลท่ีผู้พูดต้องการให้เกิด
ข้ึนกับผ้ฟู ัง ก็คอื ความเขา้ ใจนนั่ เองผพู้ ูดจงึ ควรพูดใหช้ ัดถอ้ ยชัดคา ใช้คาพดู ท่งี ่ายต่อความเข้าใจ หากมี
ความจาเป็นจะต้องใช้คาต่าง ๆ ท่ีเป็นคาเฉพาะ เช่น คาศัพท์ทางวิชาการ หรือ ศัพท์เทคนิ ค
เฉพาะด้านผู้พูดควรจักได้อธิบายคาต่าง ๆ เหล่าน้ัน ให้ผู้ฟังเข้าใจอย่างแจ่มแขัง คาท่ียุ่งยากเกินไป
ควรหลีกเลี่ยงท่ีจะใช้มีผู้พูดจานวนมากที่หลงลืม การใช้คาวิชาการดังกล่าวข้างต้นโดยเข้าใจผิดคิดว่า
หากผู้พูดนาเอาคาเฉพาะ ศัพท์ทางวิชาการ หรือคาภาษาอังกฤษมาใช้ประกอบในการพูดแล้ว จะช่วย
สร้างความน่าเช่ือถือใหแ้ ก่ตัวผพู้ ูดในเรื่องของความรู้ความสามารถหรือความชานาญการในเร่ืองน้ัน ๆ
ของตัวผู้พูด ซ่ึงเป็นการเข้าใจผิดอย่างส้ินเชิงผู้พูดสามารถสร้างความน่าเชื่อถือใด้โดยการอธิบายหรือ
บอกเลา่ ใหล้ ะเอียดแจม่ แจ้งก็ได้
หลักของการพูดเพื่อรายงานหรือให้ข้อเท็จจริงน้ี ผู้พูดจะต้องไม่พูดเร็วจนเกินไปอยู่ใน
จังหวะท่ีช้าพอสมควร เพื่อให้ผู้ฟังติดตามได้ทันและต่อเนื่องตลอดทั้งข้อความและข้อความต่อ ๆ ไป
ในทางตรงกันข้ามหากเรื่องราวที่ผู้พูดกาลังพูดถงึ อยู่นัน้ เปน็ เรอื่ งทีง่ ่ายแก่ความเขา้ ใจของผู้ฟงั แล้วละก็
ผู้พูดควรจะเร่งจังหวะของการพูดให้เร็วขึ้น เพื่อสร้างความเร้าใจให้ผู้ฟังสนใจ นอกจากน้ีผู้พูดท่ีพูด
รายงานข้อเท็จจริงจะต้องใช้วิธีการพูดแบบพรรณนาหรือลักษณะการบรรยาย คือต้องอธิบายให้ผู้ฟัง
เหน็ ภาพพจน์ในส่งิ ที่ผพู้ ดู ไดก้ ารอธิบายสิ่งทีพ่ ดู นัน้ สามารถควรกระทาได้ ๒ ลักษณะ คือ
๑. การอธิบายโดยวิธีการวิเคราะห์ เป็นการอธิบายโดยการใหเ้ หตุผลของสิ่งที่กล่าวถึง
ในเชงิ วิทยาศาสตร์ (Scienttic Method) กลา่ วถึงสาเหตุหรอื ที่มาแห่งปัญหาน้ัน ๆ แล้วจึงนามาสู่ผล
ท่ีเกิดข้ึน
๒. การอธบิ ายโดยวิธีการสังเคราะห์ เป็นการอธบิ ายโดยการให้ดาจากดั ความหรือการ
อธบิ าย โดยสรา้ งประโยดขึ้นมาใหม่ แตค่ วามหมายคงเดมิ จากนัน้ จึงนาเอาเหตุผลอน่ื ๆ หรอื ข้อความ
อน่ื ๆ มาช้แี จงประกอบ เพ่ือใหเ้ หน็ ประเดน็ ของปญั หา หรือข้อเท็จงริง ในเร่ืองนน้ั ๆ เด่นชัดขน้ึ
๒๔๙
ลักษณะของการพูดรายงานหรือให้ข้อเท็จจริง การพูดรายงานหรือให้ข้อเท็จจริงมีอยู่
หลายลักษณะดว้ ยกัน คือ
๑. การปฐมนิเทศ เป็นการพูดเพื่อให้ความรู้ และความเข้าใจแก่ผู้มาใหม่ในองค์กร
หรือสถาบันต่าง ๆ เช่น การปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ เป็นการบอกกล่าวให้กับนักศึกษาใหม่ ได้ทราบ
ถึงวิธีการปฏิบัติตน ขณะศึกษาในมหาวิทยาลัยและให้ข้อมูลบางอย่างที่จะเป็นประโยชน์ต่อนักศึกษา
เช่น สวัสดิการท่ีนักศึกษาจะได้รับ กระบวนการเกี่ยวกับการลงทะเบียนเรียน และการเรียนข้อบังคับ
และกฎเกณฑต์ า่ ง ๆ ที่นกั ศกึ ษาจะต้องปฏิบัติตาม ฯลฯ
๒. การบรรบายในชั้นเรียน เป็นการบรรบาย หรือพดู ใหค้ วามรู้ของครู หรอื อาจารยใ์ น
สถาบันการศึกษา แก่ผู้ทีย่ ังไม่มีความรู้ในเนื้อหาวชิ า หรอื เรอื่ งน้ัน ๆ ทั้งน้ีหมายรวมไปถึงการบรรยาย
พเิ ศษของวทิ ยากร หรอื ผู้รู้ผู้เชยี่ วชาญใหก้ บั องค์กร หรือสถาบันต่าง ๆ
๓. การปาฐกถาเป็นการพูดหรือบรรยายท่ีแสดงถึงความรู้ความคิดอ่านของผู้พูดต่อ
หน้าผู้ฟังจานวนมากและมีจุดมุ่งหมายอยู่ท่ีการใหค้ วามรูเ้ พือ่ ประดบั สติปัญญาการปาฐกถานั้นอาจจะ
เป็นการปาฐกถาในด้านวิชาการ เพื่อใหัความรู้ตามหลักสูตรหรือเพ่ือเพ่ิมพูนความรู้ให้แก่ผู้สนใจหรือ
เปน็ การปฐกถาในดา้ นให้ความรู้ทัว่ ไปซึ่งไม่ใช่ปาฐกถา ในสถาบนั การศกึ ษา แตอ่ าจจะเป็น สถาบันอ่ืน
ๆ สมาคม หน่วยงานท้ังของรัฐและเอกชน ฯลฯ ผแู้ สดงปาฐกถา หรอื องค์ปาฐกถาไม่จาเปน็ ตอ้ งพูดใน
เชงิ วิชาการแต่เปน็ การใหข้ ้อมูลเพ่ิมเติม จากสิง่ ทไ่ี ดพ้ บ หรือประสบการณ์ส่วนตวั กไ็ ด้
๔. การกล่าวแนะนาวิชาการ เป็นการพูดใหข้ ้อเท็จจริงแบบหน่ึง ในกรณีที่เป็นการพูด
โดยเชิญบุคคถภายนอก ท่ีไม่ได้อยู่ในสังกัดเดียวกันกับผู้ฟังมาพูดหรือบรรยายหรือแสดงปาฐกถา
อย่างเป็นพิธีการ ผู้จัดหรือผู้เชิญการจัดต้องมีการแนะนาผู้พูดให้สมาชิกหรือผู้ฟังในขณะน้ันได้รู้จัก
ผู้พูด เพื่อเป็นเกียรติกับตัวผู้พูดเป็นการให้ความรู้กับผู้ฟังด้วย โดยปกติการกล่าวแนะนาวิทยากร
มักจะกล่าวนาประวัติส่วนตวั การศกึ ษาประสบการณ์ในการทางานความรูค้ วามสามารถพิเศษส่ิงที่นา
ใหป้ ระสบความสาเรจ็ ฯลฯ
๕. การแถลงข่าว เป็นการพูดเพ่ือให้นักข่าวได้ทราบข้อเท็จจริงต่อกรณีปัญหาต่าง ๆ
เพอื่ จักได้นาไปเขียนข่าวได้ถูกตอ้ งและรายงานใหป้ ระชาชนไดท้ ราบการจดั แถลงขา่ วมกั จะเป็นการจัด
แถลงข่าวโดย องค์กร หรือหน่วยงานต่าง ๆ ในกรณีท่ีมีปัญหาเกิดขึ้นและกรณีปัญหาเหล่าน้ันเป็นท่ี
วิพากษ์วิจารณ์หรือเป็นท่ีสนใจของประชาชนโดยท่ัวไป ผู้นาหรือผู้ใด้รับมอบหมายจากหน่วยงานจะ
แถลงข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้ผู้ส่ือข่าวได้ทราบ หรืออาจจะเป็นการแถลงข่าวโครงการหรือกิจกรรมที่
หน่วยงาน หรือองค์กรน้ัน ๆ กาลังจะดาเนินการเพ่ือให้คนทวั่ ๆ ไปไดท้ ราบ โดยปกตนิ น้ั การแถลงขา่ ว
จะเปน็ วิธีการของการประชาสัมพันธห์ น่วยงานเพ่ือสร้างภาพพจน์ใหก้ ับองค์กร นอกจากการแถลงขา่ ว
ขององค์กรหรือหน่วยงานแล้ว ก็ยังมีการแถลงข่าวของบุคคลบ้าง แต่มักจะเป็นบุคคลสาคัญและ
๒๕๐
มีกรณีปัญหาเกิดขึ้น บุคคลน้ันซึ่งอาจจะเป็นนักการเมือง เจ้าของกิจการ ก็จะจัดแถลงข่าวเพ่ือสร้าง
ภาพพจนใ์ ห้กบั ตนเอง
๖. การกล่าวรายงานแถลงข้อเท็จจริงเป็นการพูดเพ่ือเสนอข้อเท็จจริงหลักฐาน หรือ
วัตถุประสงค์ของกิจกรรมที่จะกระทาหรือที่ได้กระทาไปแล้วให้ผู้ท่ีเกี่ยวข้องได้ทราบกา รพูดรายงาน
หรือแถลงข้อเห็จจริงนี้อาจจะพูดออกมาในรูปของการทบทวน หรือเปรียบเทียบความคิดเห็น การพูด
ในลักษณะของการวิเคราะห์ และการสังเคราะห์
๗. การกล่าวรายงานสรุปผล เป็นวิธีการพูดเพื่อสรุปผลการดาเนินงานหรือเป็นการ
บอกกล่าวอย่างสั้น ๆ ถึงกระบวนการที่ได้ดาเนินการมาแล้วท้ังหมด ทั้งน้ีเพ่ือผู้ฟังจะได้ไม่ต้องฟัง
ในรายละเอยี ดผพู้ ูดกลา่ วสรปุ เฉพาะสาระสาคัญเท่าน้นั
๘. การรายงานความก้าวหน้าคล้าย ๆ กับการกล่าวสรุปผล แต่มีความแตกต่างกัน
เพียงเล็กน้อยเท่านั้นคือ ผู้พูดหรือผู้กล่าวรายงานจะต้องมีความระมัดระวังในการลาดับเรื่องราว
ท่ีจะพูด เพื่อให้ผู้ฟังได้เห็นพัฒนาการของการดาเนินการในเร่ืองน้ัน ๆ ตามลาดับ หากผู้ฟังได้ติดตาม
การดาเนินงานน้ัน ๆ มาอย่างต่อเนื่องแล้ว ผู้พูดจะต้องพยายามพูดให้เห็นถึงการเปล่ียนแปลงหรือ
พัฒนาการของกจิ กรรมนนั้ ๆ อยา่ งชดั เจน
๙. รายงานการประชุม เป็นการพูดที่คล้าย ๆ กับการพูดเพ่ือให้ข้อเท็จจริงแบบอื่น ๆ
เป็นเพียงการรายงานสรุปผลของการประชุมท่ีได้ดาเนินเสร็จสิ้นไปแล้ว โดยปกติการกล่าวรายงาน
การประชุมจะเป็นการพูดตามข้อความที่ได้มีการปรุงแต่งและเรียบเรียงมาอย่างดีแล้ว ซ่ึงจะส้ัน
กะทดั รดั ได้ใจความชัดเจน การกล่าวรายงานการประชุมจะมีการกล่าวถึงวาระการประชุม มติหรือผล
ของการประชมุ ในแต่ละเรือ่ งพร้อมทัง้ เหตผุ ลหรอื ความคิดเหน็ ของผเู้ ข้าประชุม
๑๐. การเล่าเรื่อง เป็นการพูดเพื่อกล่าวถึงเหตุการณ์ หรือท้ังนี้ได้เกิดขึ้นมาแล้วให้กับ
ผู้ฟังได้ฟัง การเล่าเรื่องน้ีจะเป็นการพูดตามลาตับเหตุการณ์ท่ีเกิดขึ้น อาจจะเป็นการเล่าประวัติ,
เลา่ เหตกุ ารณ์ หรอื เล่านิทานกไ็ ด้
๑๑. การตอบคาถาม เป็นการพูดเพ่ือให้ข้อเท็จจริงที่สาคัญอย่างหน่ึงเป็นการท่ีผู้พูด
สนองตอบต่อผู้ฟัง เมอื่ ผฟู้ ังมปี ฏิกิรยิ าตอบกลับ (Feeback) มายังผูพ้ ูดทัง้ นอ้ี าจจะเป็นการถามคาถาม
จากผู้ฟัง ในกรณีท่ีไม่เข้าใจในส่ิงท่ีผู้พูดได้พูดไปแล้วหรืออาจจะเป็นการถามทัศนะของผู้พูดต่อกรณี
ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งจะเกิดข้ึนในขณะพูดแต่ก็มีบางกรณีที่เป็นการพูดแบบตอบคาถามโดยเฉพาะ คือใน
กรณีที่มีปัญหากรณีใดกรณีหน่ึง และมีผู้ให้ความสนใจต่อความไม่กระจ่างของกรณีปัญหาน้ัน ๆ ผู้พูด
จะมาพูดตอบคาถามโดยเฉพาะซ่ึงมักจะเป็นการตอบคาถามนักข่าวในการประชุมผู้ส่ือข่าว และ
การตอบคาถามพนักงานหรือสมาชิกในสมาคมองค์กรหรือหนว่ ยงานตา่ ง ๆ ฯลฯ
๑๒. หลกั การพูดรายงานหรอื ให้ข้อเทจ็ จริง นกั พดู หลายคนได้พจิ ารณาว่าการแนะนาตัว
หรือการเริ่มต้นการพูด จะเป็นส่วนที่สาคัญในการพูดทุกรูปแบบและตัวผู้ฟังเองมักจะมีพ้ืนฐาน
๒๕๑
ความคิดเห็นมาจากความประทับใจคร้ังแรก (First Impression) ดังน้ันการเริ่มต้น จึงมีความสาคัญ
มากในการพูด ท่ีจะให้ประสบผลสาเร็จวิธีการทาให้การเร่ิมต้นของผู้พูดให้ประสบความสาเร็จในการ
พูดแบบรายงานหรือให้ข้อเทจ็ จรงิ คอื
๑๒.๑ ดงึ ความสนใจของผู้ฟัง โดยใช้การเรม่ิ ตน้ การพดู ถึงความสนใจถา้ ไมส่ ามารถ
ดึงความสนใจผู้ฟังขณะเร่ิมต้นการพูดได้ การพูดครั้งน้ันไม่บรรลุวัตถุประสงค์ อาจจะเป็นการใช้
อารมณ์ข้ึน (Humor) ซง่ึ สมั พันธ์กับหัวข้อที่พูด หรือการย่อเรื่องท่ีพูดตอนเริ่มต้นการพูดเพราะการย่อ
เรื่องท่พี ูดนั้นจะสัมพันธ์กับหวั ขอ้ อยู่แล้วหรือใชก้ ารทาให้เป็นแบบอย่างเดยี วกนั (Common Ground
Technic) เช่น พูดถึงงานอดิเรก, ความสนใจ, อาชีพ, ประสบการณ์หรือความปรารถนาที่เป็นอย่าง
เดียวกันระหว่างผู้พดู กับผูฟ้ ังหรืออาจจะใช้เทคนิดการทาใหต้ กใจ (Snock Technlque) คอื การพูดให้
ผู้ฟังตระหนักพูดในสิ่งท่ีผิดปกติหรือไม่น่าเชื่อหรือข้อมูล สถิตินอกจากนี้ผู้พูด อาจจะใช้วิธีการขู่
(Supอnse) ผู้ฟังกไ็ ด้
๑๒.๒ ทาให้หัวข้อน่าสนใจ คือพยายามพูดให้หัวข้อท่ีจะพูดในคร้ังน้ัน ๆ พูด
น่าสนใจในขณะท่ีเริ่มต้นการพูด ความสนใจของผู้ฟังอาจจะไม่เท่ากัน ผู้พูดท่ีได้ทาการวิเคราะห์ผู้ฟัง
ก่อนการพูดจะทราบได้ดีกว่า ควรจะสร้างความสนใจในหัวข้อให้ผู้ฟังหรือไม่ วิธีการทาให้หัวข้อ
น่าสนใจ อาจกระทาด้วยการต้ังคาถามที่สัมพันธ์กับหัวข้อโดยที่ผู้พูดไม่ต้องการคาตอบจากผู้ฟัง หรือ
ใช้การกล่าวอา้ งคากลา่ วของบคุ คลอนั ทเี่ กย่ี วข้องกบั หวั ขอ้ ที่เราจะพูดก็ได้
๑๒.๓ กล่าวย้าหัวข้อ การกล่าวรายงาน หรือให้ข้อเท็จจริงกับผู้ฟังน้ัน ผู้พูดต้อง
แน่ใจว่าผู้ฟังได้รับข้อมูลอย่างถูกต้อง ดังนั้น เพ่ือความแน่ใจ ผู้พูดมักจะพยาบามย้าถึงหัวข้อท่ีพูด
กลุ่มย่อย การกล่าวย้าหัวข้อขณะเร่ิมการพูดจึงเป็นโอกาสอันหน่ึงท่ีจะกล่าวย้าถึงหัวข้อที่พูดได้
การกล่าวย้าหัวข้อในตอนต้นเป็นการกล่าวถึงเร่ืองที่จะพูดต่อไปอย่างย่อโดยวิธีง่าย ๆ แล้วจึงฟังเรื่อง
ละเอียดอีกทีหนึ่งไปจนถึงบทสรุปท่ีจะกล่าวซ้าถึงหัวข้ออีกครั้งหน่ึง ผู้พูดจึงสามารถมั่นใจได้ว่าผู้ฟัง
ไดร้ บั ขา่ วสารน้นั
๑๒.๔ สรา้ งความน่าเชอ่ื ถือให้กบั ตัวผู้พูดเอง อาจจะเป็นการสร้างบุคลิกภายนอก
โดยการแต่งกาย การเดินขึ้นปรากฏตัวต่อหน้าผู้ฟัง ให้ดูภูมิฐานมีบุคลิกดีหรือเป็นการสร้าง
ความน่าเช่ือถึงโดยการให้ข้อมูลเพื่อแสดงว่าผู้พูดมีความชานาญการโดยการบอกกล่าวผู้ฟังถึง
ประสบการณ์ ความรับผิดชอบในงานท่ีเกี่ยวข้องกับหัวข้อท่ีพูดหรืออาจจะใช้วิธีการสร้างความ
เป็นกันเองกบั ผฟู้ ังดว้ ยการทกั ทาย
๑๒.๕ ประยุกต์เรื่องท่ีจะพูด โดยผู้พูดพยายามพูดถึงความเกี่ยวข้องของเรื่องท่ีจะ
พูดต่อไปให้เข้ากับผู้ฟัง ว่าเรื่องท่ีจะพูดต่อไปนี้ มีผลกระทบต่อผู้ฟังอย่างไร มีความสาคัญต่อผู้ฟัง
อยา่ งไรบ้าง ฯลฯ
๒๕๒
๑๓. การพูดเพ่ือจูงใจ (Persuative Speech) เป็นการพูดเพื่อถ่ายทอดความคิดที่มี
จุดมุ่งหมาย โดยให้ผู้ฟังเชื่อ และคล้อยตามทั้งความคิดและการกระทาตามความมุ่งหมายของผู้พูด
นกั การเมืองพยายามพูดเพ่ือสร้างความมั่นใจว่าประชาชนจะไปเลือกตัวเอง ทนายความก็พยายามพูด
เพ่ือให้คณะลูกขุนเห็นด้วยการพูดจูงใจน้ีเป็นการพูดเพื่อให้ผู้ฟังเกิดความต้องการที่จะเช่ือต้ องการ
ท่ีจะคิด และปฏิบัติตามการพูดจูงใจน้ีสามารถพูดได้ในโอกาสต่าง ๆ ต้ังแต่การสมัครงานการพูดหา
เสียงการโฆษณาเพ่ือขายสินค้า การพูดให้ผู้บริจาคเงินหรือเสียสละ หรือแม้แต่การเทศน์ของพระ
ให้คนปฏิบัติความดีละความช่ัวกิเลสต่าง ๆ การพูดจูงใจท่ีดีสามารถท่ีจะสร้างสรรค์สังคมได้ ดังน้ัน
นักพดู จงู ใจจงึ ควรตอ้ งมจี รยิ ธรรมประจาตวั ด้วย
๑๓.๑ จริยธรรมของผู้พูดจูงใจ ผู้พูดจูงใจจะต้องมีความจริงใจต่อผู้ฟังซ่ึงถือเป็น
จริยธรรมของผู้จูงใจ ดงั น้ี
๑. จะต้องให้เกียรติต่อผู้ฟังที่ถูกจูงใจเสมอ โดยไม่ยึดถือว่าผู้ฟังมีความคิด
ท่ีไม่ถูกต้องจะต้องคิดให้เหมือนผู้พูดเสมอ ผู้พูดต้องระลึกเสมอว่าคนเราทุกคนย่อมมีความคิดและ
การตัดสนิ ใจของตวั เอง
๒. จะต้องคานึงถงึ ประโยชนท์ ่ีผ้ฟู ังจะได้รับ จากการจงู ใจ โดยผูพ้ ดู จะตอ้ ง
พูดความจริงและคิดถึงประโยชน์ท่ีผู้ฟังจะได้รับ ผู้ฟังจึงจะเชื่อเราโดยผู้พูดใช้กลยุทธ์และวิธีการพูด
เข้ามาช่วย
๓. ผู้พูดต้องชื่อสัตย์กับตนเอง คือ เช่ือในส่ิงที่คนคิดว่าถูกต้อง โดยไม่ใช้
เป็นการพูดโดยเปลี่ยนความคิดของตนเอง เพ่ือหวังผลประโยชน์อื่นใดหากผู้พูดมีความคิดของตนเอง
แล้ว ก็หมายความว่าผู้พูดได้ใช้เหตุผลประเมินความคิดด่าง ๆ จนเป็นความคิดของตนเอง นอกเสีย
จากว่าจะถูกหักลา้ งโดยเหตุผลทด่ี กี ว่าเท่าน้ัน
๑๔. จุดมุ่งหมายของการพูดจงู ใจ ตามทีไ่ ด้กล่าวมาแล้วว่า การพูดจงู ใจน้ัน เป็นการพูด
โดยผ้พู ูดมีจดุ มุ่งหมายทจี่ ะให้ผู้ฟังเชื่อและคล้อยตาม ทั้งความคิดและการกระทา แต่การพดู จูงใจในแต่
ละคร้ัง จะมีจุดมุ่งหมายแตกต่างกันออกไป ข้ึนอยู่กับตัวผู้พูดเองว่า การพูดในแต่ละคร้ังผู้พูดหวังผล
อะไร ผลจากการพดู จงู ใจของผูพ้ ูดอาจแยกได้ดังนี้
๑๔.๑ ให้ผู้ฟังคล้อยตาม โดยให้ผู้ฟังเชื่อในส่ิงท่ีผู้พูดได้พูดการพูดโดยมี
จุดมุ่งหมายให้ผู้ฟังคล้อยตามน้ี ผู้พูดมุ่งท่ีจะเปลี่ยนทัศนติและความเช่ือเดิมของผู้ฟัง ให้หันมาเช่ือถือ
ตามแนวคดิ ท่ผี ู้พดู ไดพ้ ูดออกไป
๑๔.๒ ย้าและเสริมสร้างทัศนคติและความเช่ือของผู้ฟัง คือเป็นการพูดกล่าว
ย้าถึงความเชื่อของผู้ฟังที่มีอยู่แล้วจะตรงกับที่ผู้พูดต้องการให้คงอยู่ตลอดไปว่าความคิดน้ันถูกต้องดี
อยู่แล้ว อาจจะเนื่องจากผู้พูดแล้วว่าผู้ฟังอาจจะเปลี่ยนความเชื่อหรือทัศนะน้ันในอนาคตข้างหน้าได้
เป็นการสร้างความเช่อื ม่นั ให้กับผ้ฟู งั ใหห้ นกั แน่นยงิ่ ข้ึน
๒๕๓
๑๔.๓ พูดเพื่อให้ผู้ฟังปฏิบัติตาม คือให้ผู้ฟังมีพฤติกรรมหรือการกระทา
เกิดขึ้นตามท่ีผู้พูดต้องการ หลักการพูดให้ปฏิบัติตามนั้นก็คือ ผู้พูดจะต้องทาให้ผู้ฟังเกิดความเชื่อม่ัน
ในการกระทานั้นว่าเป็นการกระทาท่ีถูกต้องสมควรกระทา และมีประโยชน์ ผู้พูดต้องแสดงเหตุผล
ความจริงใจและความปรารถนาดีไปพร้อมๆ กัน การทาให้ผู้ฟังปฏิบัติตามได้น้ันจะต้องใช้เทคนิค
การใช้บทบาทสมมติ (Role Playing Strategy) หรือการสร้างการผูกมัด (Commitment) ผู้ฟังให้
ออกมายอมรบั ต่อหนา้ บุคคลอน่ื ๆ ก็ได้
๑๕. หลักการพูดจูงใจ ในการพูดจูงใจเพ่ือทาให้ผู้ฟังคล้อยตาม เปล่ียนทัศนคติหรือเกิด
การปฏิบตั นิ ้ันมีวิธกี าร ดังน้ี
๑๕.๑ ใช้ความน่าเชื่อถอื ของตัวผู้พูดจงู ใจ เพื่อใหผ้ ู้ฟังเกดิ ความเลื่อมใสศรัทธาใน
ตัวผู้พูด โดยผู้พูดจะต้องแสดงความสามารถ ในการใช้วาทะส่ือความหมายและต้องพูดด้วยความ
เชื่อมั่น นอกจากน้ี อริสโตเติลก็ยังได้เคยกล่าวไว้ว่าการสร้างความน่าสนใจกับการพูดสามารถกระทา
ได้โดยอาศัยบุคลิกภาพของตัวผู้พูด บุคลิกลักษณะท่าที และฐานะทางสังคมของตัวผู้พูดจะช่วยสร้าง
ความน่าเชื่อถอื ให้กบั ผ้พู ดู ไดเ้ ป็นอย่างดี
๑๕.๒ ใช้ศิลปะในการพูดโดยผู้พูดจะต้องพยายามพูดให้ผู้ฟังสนใจในสิ่ง ที่ตนได้
พูดอยู่ตลอดเวลา อาจจะใช้วิธีการสร้างความพอใจให้กับผู้ฟัง ซึ่งตัวผู้ฟังเช่ือตามท่ีผู้ได้พูดแล้ว ผู้ฟังก็
จะได้รับประโยชน์จากการฟังครั้งน้ัน หรืออาจจะพูดโดยให้ผู้ฟังเกิดความไว้วางใจโดยพยายามแสดง
ใหผ้ ฟู้ งั เหน็ ว่าผ้พู ูดอย่ฝู ่ายเดียวกบั ผู้ฟังเสมอ
๑๕.๓ สร้างความเช่ือม่ันและการยอมรับจากผู้ฟัง เป็นการพูดโดยใช้หลักการ
ยอมจานนให้เกิดขึ้นในหมู่ผู้ฟังโดยผู้พูดต้องพยายามนาหลักฐานซ่ึงประกอบไปด้วยข้ อเท็จจริงและ
ความคดิ เห็นมากกล่าวอา้ งโดยใชเ้ หตผุ ลมาหักล้างใหผ้ ฟู้ งั ยอมรับ อาจจะให้เหตุผลดว้ ยวธิ ีการดงั นี้
ก. วิธีอนุมาน เป็นการให้ข้อเท็จจริงใหญ่ก่อนแล้วจึงกล่าวถึงข้อเท็จจริง
ย่อยซ่งึ ทั้ง ๒ ประการเปน็ จริง แลว้ จงึ สรุป
ข. วิธีอุปมาน เป็นวิธีตรงข้ามกับการอนุมาน คือ การนาเหตุผลจาก
สว่ นย่อยมาสรปุ เป็นส่วนใหญ่
ค. วิธีให้เหตุผลกัน เป็นวิธีการให้เหตุผลโดยการชี้ให้เห็นถึงที่มาของเหตุ
ซง่ึ นามาสผู่ ลทเี่ กิดขึ้นน้ัน
๑๕.๔ ใช้การกระตุ้นความต้องการ หรือความปรารถนาของผู้ฟังเป็นการนาเอา
หลักการความต้องการนั้นฐานของมนุษย์เข้าใช้เป็น เครื่องมือในการกระตุ้นให้ผู้ฟังเห็นคล้อยตาม
ความตอ้ งการและความปรารถนานนั้ ไดแ้ ก่
ก. ความต้องการดารงชีวิต โดยใชป้ จั จยั ส่ีมาตรฐานผ้ฟู ัง
ข. ความดึงดูดทางเพศ
๒๕๔
ค. การมีพลานามัยทสี่ มบูรณ์เข็งแรง รสู้ ึกปลอดภัย
ง. การเปน็ ทย่ี อมรบั และยกย่องในสงั คม
จ ความอยากรูอ้ ยากเหน็
ฉ. การมสี ว่ นรว่ มเปน็ เจ้าของ
ช. ความรสู้ กึ เป็นพวกเดียวกนั ฯลฯ
๑๖. การพูดเพื่อความบันเทิง (Entertaning speech) เป็นการพูดเพอื่ ให้ผู้ฟงั รู้สึกสบาย
ใจเพลิดเพลินกับสิ่งที่ได้รับฟัง หรือมีความสุขหลังจากท่ีได้ฟังการพูดคร้ังน้ัน ๆ การพูดเพื่อความ
บันเทิงนี้ มีรูปแบบอยู่หลายอย่างด้วยกันโดยมากจะเป็นเร่ืองของการพูดในโอกาสท่ีได้มีการพบปะ
สังสรรค์กันในงานชุมนุมต่าง ๆ หรืองานรื่นเริงหรือการพูดในรูปแบบของละคร การเล่านิทาน
การยอวาที ผู้พูดต้องระลึกเสมอว่าการพูดเพื่อให้ผู้ฟังพอใจ สนุกสนานกับเร่ืองท่ีได้รับฟังจะต้องเป็น
การพูดที่มีรสนิยมและสร้างสรรค์ทางปัญญาด้วย จึงจะเกิดประโยชน์อย่างแท้จริงไม่เป็นการพูดใน
ลักษณะท่ีใหค้ วามหมายแบบสองแง่สองนยั และไมใ่ ช่เร่ืองตลกหยาบโลน ลามก
๑๖.๑ ข้อแนะนาสาหรบั การพดู เพอ่ื ให้ความบันเทิง มดี งั น้ี
๑. การพูดนั้นต้องตรงเนื้อหาและตรงเป้าหมายที่ผู้พูดได้ต้ังเอาไว้มิใช่
การพูดท่ยี ืดยาวจนจบั ประเดน็ ไมไ่ ด้
๒. อย่าพูดให้นานจนเกินไป ซ่ึงอาจจะทาให้ผู้ฟังรู้สึกเบ่ือหน่ายเพราะ
ผู้พดู บางคน ใช้เวลาในการพูดยาวนานกวา่ จะถงึ จุดสาคญั ทจ่ี ะสร้างความบันเทิงเรงิ รมยใ์ หก้ ับผฟู้ งั
๓. พูดให้สนุกสนาน เป็นการพูดให้ตรงรับ และเร่งจังหวะในบางเวลา
ซ่ึงคาหรือข้อความต่าง ๆ จะต้องเป็นคาธรรมดา เข้าใจได้ง่าย ๆ เพ่ือผู้ฟังจะได้ติดตามได้ทันและ
ต่อเนื่อง จะทาให้ผู้ฟังรู้สึกบันเทิงเริงรมย์ หากไม่เช่นนั้นแล้วผู้ฟังจะไม่มีความสุข รู้สึกหงุดหงิด
ราคาญใจ
๑๗. แบ่งตามวธิ กี ารท่ีผู้พูดพดู การสง่ ขา่ วสารด้วยการพดู นี้มีอยทู่ ัง้ หมด ๔ วิธี
๑๗.๑ การพูดโดยการใช้ต้นฉบับ (Monuacipt Method) คือการพูดที่ได้มีการ
วางแผนเอาไว้โดยการบันทึกลงไปในกระดาษท่ีได้เตรียมไว้จากน้ันจึงพูดตามต้นฉบับที่เขียนเอาไว้นี้
วิธีการเช่นน้ีผู้พูดมักจะใช้โอกาสของการพูดท่ีเป็นพิธีการ เช่น การกล่าวสุนทรพชน์ การอ่านข่าว
การกล่าวให้โอวาท กล่าวคาปราศรัย คาแถลงการณ์ หรือการแถลงข่าวของรัฐบาล การอ่านรายงาน
การพูดโดยวิธีการอ่านจากต้นฉบับนี้ ใช้ได้เฉพาะการพูดท่ีเป็นพิธีการเท่านั้น หากใช้ในการพูดแบบ
อ่ืน ๆ จะทาให้ผู้ฟังขาดความเช่ือถือในตัวผู้พูด และะทาให้ผู้พูดมุ่งแต่จะมองดูต้นฉบับขาดการ
ประสานสายตากับผู้ฟัง และไม่สามารถใช้ภาษาท่าทางประกอบการพูดได้อย่างเหมาะสมการพูดจะ
ขาดอรรถรส ขอ้ แนะนาสาหรับผ้พู ูดท่ีพูดโดยการอา่ นจากต้นฉบับ มีดังน้ี
๒๕๕
๑. ขอ้ ความหรือเน้ือความที่ผพู้ ูดเขียนไว้ในต้นฉบับที่เตรียมไว้สาหรับการ
พูดควรจะเขยี นให้มีใจความรัดกมุ มิฉะนัน้ ผพู้ ดู เองจะสบั สนเวลาอา่ นขณะทีพ่ ดู
๒. ผู้พูดไม่ควรยกต้นฉบับท่ีจะใช้อ่านนั้นให้สูงจนเกินไป จนผู้ฟังมองเห็น
ไดถ้ นัดและผู้พูดเองควรต้องระมัดระวัง มิให้ตน้ ฉบับนัน้ ปลิว ขณะท่ีพดู ก็ควรก้มดูต้นฉบับเป็นระยะ ๆ
โดยให้มกี ารประสานสายตากับผฟู้ งั ด้วย
๓. ผู้พูดต้องระมัดระวังในการอ่านเป็นอย่างดี โดยมีการควบคุมเสียงให้มี
การเน้นกาหนดจังหวะ และการหยุดให้พอเหมาะ ไม่หยุดเพ่ืออ่านต้นฉบับนานเป็นท่ีราคาญของผู้ฟัง
ควรอ่านให้เหมือนกบั การพูดปกติ มีลีลาซ่ึงผฟู้ ังจะคอยจบั ตาดผู ู้พูดและต้ังใจฟังอยู่ตลอดเวลาท่ีสาคัญ
คือผู้พูดควรจะมีการฝกึ ซ้อมจนคล่องแคลว่ กอ่ นการพูดโดยอา่ นจากต้นฉบบั
๑๗.๒ การพูดโดยการท่องจา (Memorzatilon Meihod) เป็นวิธีการพูดที่ผู้พูด
พยายามท่องเร่ืองท่ีจะพูดจนข้ึนใจ และเม่ือถึงเวลาพูด ผู้พูดก็จะพูดจากความจา การพูดแบบท่องจา
จะทาได้ดีก็ต่อเมื่อผู้ฟังท่องเร่ืองที่จะพดู ได้ขึน้ ใจ ทุกตอนและพูดไดอ้ ย่างแคล่วคล่องไม่ติดขัดเพราะถ้า
หากผู้พูดลืมข้อความตอนใด หรือเกิดการติดขัดขณะท่ีพูดจะทาให้ผู้พูดเองสับสน จนจับต้นชนปลาย
ไม่ถกู ซ่ึงก็มกั จะเป็นท่ปี รากฎให้เหน็ อยเู่ สมอ ๆ ในการพูดโดยการท่องจา ทเ่ี ป็นเช่นนั้น เพราะว่าผูพ้ ูด
ที่ใช้วิธีการพูดแบบท่องจานี้ มักจะเป็นผู้พูดสมัครเล่นหรือด้อยประสบการณ์จึงต้องท่องจามาพูด
เม่ือขึ้นสู่เวทีการพูดหรืออยู่ต่อหน้าผู้ฟังจานวนมาก ๆ ผู้พูดจะรู้สึกประหม่าตืนเต้น หรือเครียด
จนทาให้ลืมข้อความบางตอนไป หรือบางทีจัดลาดับเน้ือความการพูดสับสนทาให้ผู้พูดพูดได้
ไม่ประทับใจ และผู้ฟังก็จะเบื่อหน่ายสับสนไม่เข้าใจความหมายของเรื่องท่ีพูดบางทีผู้พูดก็จะพูด
วกไปวนมาจนสับสนเอง ในทางตรงกันข้ามก็ไม่ได้หมายความว่าผู้พูดท่ีท่องเรื่องท่ีจะพูดจนขึ้นใจ
จะสามารถทาได้ดีเสมอไป เพราะบางครั้งผู้พูดที่ท่องมาพูดนี้ เม่ือเริ่มต้นพูดจะพยายามรีบพูด จนทา
ให้การพูดน้ันขาดชีวิตชีวา การกาหนดจังหวะ การหยุด และการเน้นเสียงจะเสียไป บางทีก็รีบเร่ง
จนทาให้ขาดการใช้ภาษาท่าทางไม่ว่าจะเป็นการแสดงออกทางสีหน้าหรือการใช้ท่าทางประกอบ
ผู้พูดทีพ่ ูดโดยการท่องจา ควรคานงึ ถึงสิง่ ต่อไปน้ี
๑. พยายามท่องจาสิ่งท่ีจะพูดให้ได้ท้ังหมดและทดสอบความจาโดยการ
ฝกึ ซ้อมต่อหน้าผู้อนื่ ก่อนการพูดจรงิ อาจจะพูดกบั เพ่อื นฝูงกไ็ ด้
๒. ขณะที่พูดควรควบคุมจังหวะ เพ่ือใช้ท่าทางประกอบการพูด และ
การประสานสายตากบั ผูฟ้ ัง
๓. ควบคุมกาวใช้น้าเสียงขณะพูด มีการเน้น หยุดเป็นจังหวะเพื่อให้ผู้ฟัง
เกดิ อารมณค์ ล้อยตาม พดู ให้เปน็ ธรรมชาติ
๑๗.๓ การพูดโดยไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า (Impromtu Mathod) การพูด
แบบไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้ามักจะเกิดขึ้นเสมอ ๆ โดยผู้พูดได้รับเชิญให้ข้ึนพูดโดยไม่ได้บอกกล่าว
๒๕๖
ล่วงหน้าจึงไม่มีเวลาเตรียมตัว เช่น การพูดวิจารณ์ การพูดแสดงทัศนะ การกล่าวคาอวยพรในโอกาส
มงคลการกล่าวขอบคุณ หรือการตอบปัญหา เป็นต้น ผู้พูดท่ีประสบความสาเร็จในการพูดแบบนี้
จะต้องเป็นผู้พูดท่ีมีประสบการณ์ มีไหวพริบ ปฏิภาณ มีความรู้ความชานาญในเรื่องท่ีพูดอยู่
เป็นทุนเดิมสามารถท่ีจะพูดไปและคิดไปพร้อม ๆ กัน หากขาดซึ่งส่ิงเหล่านี้แล้ว การพูดครั้งนั้น ๆ จะ
ประสบความสาเร็งไดย้ าก ข้อแนะนาสาหรับการพูดแบบกะทันหันนมี้ ี ดังน้ี
๑. การพูดให้กระชับ สั้นและชัดเจน ไม่เยิ่นเย้อ หรือพยายามอธิบายให้
มากความ
๒. ต้ังสติและรวบรวมความคิด ประสบการณ์อย่างรวดเร็ว คุมอารมณ์
ไม่ให้ต่นื เตน้ หรอื ประหมา่
๓. ลาดับความคิดเห็นหรือเรือ่ งท่ีจะพูดถึงให้ถกู ต้องตรงประเดน็ และควร
จะเป็นเรอื่ งทผ่ี ้พู ดู เองมคี วามรู้ ชดั เจน และมปี ระสบการณม์ าก่อน
๑๗.๔ การพูดปากเป ล่าโดยมีเวลาเตรียม ล่วงหน้า (Extemporaneous
Method) การพูดแบบน้ีผู้พูดจะได้รับเชิญ หรือได้รับแจ้งล่วงหน้าก่อนถึงกาหนดวันและเวลาที่จะพูด
ทาให้ผู้พูดมีเวลาท่ีจะเตรียมตัว และทราบข้อมูลเกี่ยวกับการพูดได้ล่วงหน้า เช่น พูดที่ใด เมื่อไร
ให้กลุ่มเป้าหมายแบบใดฟัง จึงมีการเตรียมตัวได้เป็นอย่างดีตั้งแต่การ ค้นคว้าหาความรู้
การลาดับเร่ืองราวการหาข้อมูลประกอบ การเตรียมการพูดและเครื่องช่วยการพูด เช่น แผนภูมิ
โสตทัศนอุปกรณ์ นอกจากน้ีผู้พูดยังสามารถทาการวิเคราะห์ผู้ฟังได้อย่างลึกซ้ึง รวมไปถึงการฝึกซ้อม
ด้วยโดยปกติในการพูดแบบมีเวลาเตรียมตัวล่วงหน้านี้ ผู้พูดจะเตรียมนาโน้ตย่อหรือมีแนวสังเขป
(Outline) ไว้ช่วยเตอื นความจาและลาดับเรอ่ื งราวในขณะท่พี ูด การพดู แบบน้ีโดยทั่ว ๆ ไปผู้พูดจะพูด
ไดด้ ี และมีความมั่นใจ ดงั นนั้ จึงมขี ้อแนะนาเพยี งเล็กน้อยสาหรับผูพ้ ูดคือเมื่อผู้พูดไมต่ ้องอ่านต้นฉบับ
และยงั สามารถเตรียมตวั ได้ล่วงหน้า ควรอาศยั โอกาสอนั ดนี ้ีใช้ภาษาท่าทางในการพูดเพอ่ื สร้างอารมณ์
ใหผ้ ้ฟู ังใหม้ าก จะชว่ ยเสรมิ อรรถรสท้ังการพูดและการฟัง แตใ่ นบางครงั้ ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ทจ่ี ะต้องมีการ
อ่านบ้างอย่างเช่นอ้างคากล่าวของผู้อื่น หรือสุภาษิตต่าง ๆ ผู้พูดก็สามารถอ่านได้ แต่พยายามอ่านให้
นา้ เสยี งหนักแนน่ จะชว่ ยสร้างความจริงจงั ในคาท่ีอา่ นไดเ้ ป็นอยา่ งมาก
๑๘. การใช้วิธีการพูดของผู้พูด การแบ่งชนิดของการพูด ตามวิธีการพูดของผู้พูด
ซ่ึงสามารถแบ่งได้เป็น ๔ วิธีตาม ท่ีได้กล่าวมาแล้วนั้นก็มีทั้งขัอดีและข้อเสียปะปนกันไป ดังน้ัน
ในแนวทางของการปฏบิ ตั ิ คือ การเลอื กใช้วธิ ีการพดู จงึ มขี ้อคิดดังนี้
๑๘.๑ เปรียบเทียบวิธีการพูดชนิดต่าง ๆ (Comparing Method of Delivery
วิธีการพูดทั้ง ๔ วิธีต่างก็มีท้ังข้อดีและข้อเสียด้วยกันท้ังสิ้น วิธีการพูดโดยการอ่านจากต้นฉบับมีข้อดี
ตรงที่ ผู้พูดไม่ต้องกลัวว่าจะลืมส่วนท่ีจะพูดตอนใดไป นอกเสียจากว่าลมจะพัดเอาต้นฉบับปลิวไป
และยังทาให้ผู้พูดมีเวลาอย่างเหลือเฟือ การเลือกใช้ภาษาที่จะพูดให้ได้ดีล่วงหน้าซ่ึงกลุ่มผู้นาสังคม
๒๕๗
เช่น รัฐมนตรีหรอื นายกรฐั มนตรีมักจะนามาใช้เสมอเพราะไม่ทาให้พูดหลงทางซึ่งจะไม่ทาให้ขายหน้า
ไม่ว่าการพูดในระดับใด ๆ หรือระดับระหว่างประเทศ การพูดโดยการอ่านจากต้นฉบับนี้มักจะพูดได้
ราบเรียบสม่าเสมอไม่เหมือนการพูดปากเปล่า ท้ังยังทาให้ผู้พูดม่ันใจในเรื่องของเวลาท่ีใช้ในการพูด
ด้วย โดยเฉพาะอย่างย่ิงการพูดผ่านสื่อมวลชนเช่น โทรทัศน์ แต่การพูดแบบน้ีก็มีข้อเสียอยู่ตรงที่
การพูดจะกลายเป็นการอ่านไปแทนท่ีจะเป็นการพูดแบบธรรมชาติซึ่งเม่ือใด ถ้าผู้พูดทาการพูดแบบ
อา่ นหนังสือจะทาใหผ้ ู้ฟังรูส้ กึ หงดุ หงิดราคาญ และอยากขอร้องให้ผพู้ ดู หยดุ พูด
ในการพดู แบบท่องจากม็ ีข้อดีเชน่ เดียวกับการพดู โดยการอ่านจากต้นฉบับ
ในเรื่องของการเลือกใช้ภาษาให้มีประสิทธิผล และรักษาเวลาพูดได้ดี แต่อย่างไรก็ตาม การพูดแบบ
ท่องจาจะทาให้ฟังดูเหมือนกับการพูดแบบสาเร็จรูป และผู้พูดจะรู้สึกหนักใจในการพูดเกี่ยวกับ
ความจาเร่อื งราวทจี่ ะพดู ถา้ ต้องพูดยาวเกินกว่า ๖ นาที ในปจั จุบันมีผใู้ ช้วิธีการแบบน้นี ้อยมาก
การพูดแบบปากเปล่า ไม่มีการเตรียมล่วงหน้านั้นมีข้อดีหลักก็คือ พูดได้
เป็นธรรมชาติเหมือนการสนทนาตามปกติ การพูดแบบปากเปล่า จะเป็นลักษณะของการบอกกล่าว
มากกว่าการอ่านซ่ึงไม่ว่าจะอ่านได้ดีเพียงใดก็ตาม ผู้ฟังก็รู้สึกเบ่ือแต่จะรู้สึกยอมทนฟังผู้พูดที่มีการ
ประสานสายตาขณะพูด หรอื แม้แต่หยุดพูดเป็นเร่ือง ๆ ผฟู้ งั ก็ยังจะคอยติดตามฟังอยู่เสมอ
นอกจากน้ีการพูดแบบปากเปล่านี้ยังทาช่วยให้ผู้พูดสามารถนาประโยชน์
บางอย่างมาใชไ้ ด้ซึ่งก็คือปฏกิ ริ ยิ าตอบกลับจากผู้ฟังไมว่ า่ การตอบสนองนนั้ จะดีหรอื เลวกต็ าม
ส่วนวิธีการพูดแบบไม่มีการเตรียมตัวล่วงหน้า มีข้อดีเพียงประการเดียวก็
คือพูดได้เป็นธรรมชาติคล้ายการสนทนากัน ในทางกลับกันส่ิงท่ีต้อยการพูดโดยไม่มีการเตรียมตัว
ล่วงหนา้ ก็คอื เม่ือผู้ฟงั ฟงั พดู และจะรู้สกึ ว่าผพู้ ดู ไม่ได้มกี ารเตรียมตวั
๑๘.๒ ก ารผ ส ม ผ ส าน วิ ธีก ารพู ด แ บ บ ต่ าง ๆ (Combining Meihod of
Deilveny) ในการพูดเราจะมีการเตรียมร่างโครงเร่อื ง หรือทาบันทึกย่อเน้ือหาใช้ในขณะที่พูดเป็นการ
เตรียมความจาขณะพูด จากวิธีการพูดท้ัง ๔ วิธีน้ีรู้สึกว่าการพูดแบบปากเปล่าโดยไม่มีการเตรียม
ล่วงหน้าเป็นวิธที ี่ดีท่ีสดุ
นักการพูดท่ียิ่งใหญ่จะไม่ใช้การพูดเพียงวิธีใดวิธีหนึ่งหากแต่จะผสมผสาน
วธิ ีการพูดแบบต่าง ๆ เข้าดว้ ยกันการผสมผสานนี้จาเป็นตอ้ งอาศัยทักษะ และประสบการณ์เข้ามาช่วย
อย่างมาก ซ่ึงผู้ฟังจะไม่รู้สึกต่อต้านหรือทราบได้ว่าส่วนใดเป็นการพูดแบบใดใน ๔ แบบ การพูดโดย
วิธีการผสมผสานวิธียุคแบบต่าง ๆ เข้าด้วยกันน้ีต้องอาศัยทักษะในการใช้การพูดแบบปากเปล่าและ
ต้องมกี ารเตรยี มตวั ท่ดี เี ช่นเดียวกบั การพูดโดยการอา่ นจากต้นฉบบั
การจดจาการเริ่มต้นและการสรุปได้ดีนั้นผู้พูดจะรู้สึกว่ามีประโยชน์มาก
การจาการเร่ิมต้นการพูดได้ด้วยทาให้การเริ่มต้นไปได้สวย น่าประทับใจและช่วยสร้างความมั่นใจ
ในการพูดส่วนท่ีเป็นเน้ือเร่ือง และการจาบทสรุปใด้ทุกคาพูดนั้นจะช่วยสร้างความประทับใจให้กับ
๒๕๘
ผู้ฟัง และจบการพูดได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ผู้พูดยังต้องจาช่วงเปลี่ยนเร่ืองหรือ
เปล่ียนประโยคให้ได้ขณะท่ีพูดตัวเนื้อเร่ือง การพูดเน้ือเร่ืองส่วนใหญ่จะใช้วิธีการพูดแบบปากเปล่า
ส่วนการพูดแบบมีต้นฉบับจะใช้ในกรณีท่ีมีการกล่าวอ้างคากล่าวของบุคคลอื่นหรือตัวเลขทางสถิติ
ซึ่งยากแก่การจดจาผู้พูดควรจัดทากระดาษโน๊ตขนาด ๓ x ๕ นิ้ว เอาไว้ หรือเตรียมกระดาษ
จดข้อความ เพื่อใช้ในการอ่านเม่ือจาเป็นต้องใช้จริง ๆ แต่ต้องระวังในช่วงท่ีต้องมีการหยุดยาว ๆ
ระหว่างการพูดแบบปากเปล่าจะแบบการท่องจาดีที่สุดก็คือผู้พูดควรฝึกการพูดแบบปากเปล่าเอาไว้
เพราะจะเป็นหวั ใจของการพดู แบบผสมผสาน
สรุป
การจะเป็นนักพูดที่มีความสามารถจาเป็นจะต้องรู้วิธีการพูด และชนิดของการพูดแบบ
ต่าง ๆ เพ่ือการเลือกวิธีพูดและปรับการพูดให้เหมาะกับสถานการณ์ใด้ การส่งทอดคาพูดของผู้พูดมี
บทบาทสาคญั สามารถใหก้ ารพดู มีคุณภาพ หรอื ด้อยคณุ ภาพได้
การพูดแบ่งออกเป็นชนิดต่าง ๆ มากมาย แตเ่ พ่อื ความเข้าใจ จงึ จัดแยกการพูดออกเป็น
ชนิดดว้ ยกนั คือ
๑. แบ่งตามจดุ ม่งุ หมาย ซึ่งประกอบดว้ ย
๑.๑ การพูดเพ่ือรายงานหรือให้ข้อเท็จจริง ซ่ึงมีวิธีการพูดอธิบายสิ่งต่าง ๆ ได้
๒ วธิ ี คือการพูดโดยการสังเคราะห์ และโดยการวเิ คราะห์
ลักษณะการพูดเพ่ือรายงานหรือให้ข้อเท็จจริง ได้แก่ การปฐมนิเทศ
การบรรยายในชั้นเรียน การปาฐกถา การกลา่ วแนะนาวิทยากร การแถลงขา่ ว การกล่าวรายงาน และ
แถลงข้อเท็จจริง การกล่าวรายงานสรุปผล การรายงานความก้าวหน้า รายงานการประชุม การเด่า
เร่อื ง และการตอบคาถาม ฯลฯ การพูดแบบนี้มีหลักดังนี้ คอื ต้องตงึ ดดู ความสนใจของผู้ฟัง การทาให้
หวั ข้อน่าสนใจ การกลา่ วย้าหวั ข้อ และการสร้างความนา่ เชอ่ื ถอื ใหก้ บั ตัวผู้พดู
๑.๒ การพูดเพ่ือจูงใจ ผู้พูดจูงใจจะต้องมีจริยธรรม คือ พูดตามความเป็นจริง
จุดมุ่งหมายของการจูงใจก็คือ ทาให้ผู้ฟังคล้อยตาม การย้าและเสริมสร้างทัศนคติ และความเชื่อถือ
ของผฟู้ งั และการพูดเพ่ือให้ผฟู้ ังปฏิบตั ิตาม
๑.๓ การพดู เพ่ือความบนั เทงิ
๒. แบ่งตามวธิ ีการที่ผพู้ ดู พดู แบง่ ไดเ้ ปน็ ๔ วธิ ี คือ
๒.๑ การพดู โดยการใช้ต้นฉบบั
๒.๒ การพดู โดยการทอ่ งจา
๒.๓ การพดู โดยไมไ่ ด้มกี ารเตรียมตวั ล่วงหนา้ และ
๒.๔ การพดู ปากเปลา่ โดยมีเวลาเตรียมล่วงหนา้
๒๕๙
๓. การนาวธิ กี ารพดู มาใช้ประโยชน์ในการพูดนน้ั มีขอ้ แนะนา ๒ ประการ คอื
๓.๑ เปรยี บเทียบวิธีการพดู ชนิดตา่ ง ๆ
๓.๒ การผสมผสานวธิ ีการพูดแบบตา่ ง ๆ
๘.๙ การเตรียมตัวเพื่อการพดู
การเตรียมเร่ืองและการซ้อมพูดในการพูดแต่ละครั้ง ผู้พูดจะต้องเตรียมส่วนต่าง ๆ ของ
การพดู ใหค้ รบถว้ น ดังนี้
๑. การปฏสิ นั ถารกับผู้ฟัง
๒. คานา้ หรืออารัมภบท
๓. เน้อื เรื่อง
๔. การสรปุ
๕. การกล่าวอาลาผู้ฟงั
การเตรียมส่วนประกอบในแต่ละส่วน ต้องจัดลาดับให้ต่อเนื่องสัมพันธ์กันอย่างมี
ระเบียบโดยมีวิธีเตรยี มตามลาดับ คือ
๑. การปฏิสันถารหรือการกลา่ วทักทายผูฟ้ งั คอื การเรียกความสนใจจากผู้ฟงั ก่อนที่จะ
คุยกันต่อไป โดยอาจจะเรียกชื่อ สมญา สัญลักษณ์ ก็ได้ ท้ังน้ีก็อยู่กับฐานะของผู้พูด และผู้ฟัง หรือ
สถานที่จะพูด ท้ังน้ีต้องไม่สั้น ไม่ยาว ไม่เบา ไม่ห้วน ต้องพูดให้พอดีและนุ่มนวล (นเรศ นโรปกรณ์
ม.ป.ป. ๕๖-๕๗) ผู้พูดควรกล่าวกับผู้ฟังด้วยลีลาปกติธรรมดา แต่กระฉับกระเฉง และมีชีวิตจิตใจ
คาปฏิสนั ถารแบ่งออกเป็น ๒ ชนดิ คือ
๑.๑ ชนิดท่ีเป็นพิธีการ มักจะใช้ในงานพิธีต่าง ๆ ในโอกาสเช่นนี้ต้องรักษา
ถอ้ ยคาใหก้ ระชบั เป็นทางการ โดยจะเรียกเฉพาะตาแหน่งของผู้ท่ีเข้าร่วมในพิธหี รอื โอกาสน้ัน ๆ จะไม่
นิยมใช้คาที่แสดงความรู้สึกปนเข้ามา อันได้แก่ คาว่า "เคารพ" "นับถือ" "ที่รัก" ฯลฯ เช่น "ท่านผู้รัก
การต่อสู้ท้ังหลาย" "ท่านผู้มีเมตตาจิตต่อผู้ยากไร้ทุกท่าน" "เพ่ือนผู้หวงแหนแผ่นดินเกิดท้ังหลาย"
"ท่านประธานและผู้มีเกียรติทั้งหลาย" "ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด บรรดาข้าราชการ ตลอดจนแขกผู้มี
เกยี รติทกุ ท่าน"
๑.๒ ชนิดท่ีไม่เป็นพิธีการ การกล่าวคาปฏิสันถารในโอกาสเช่นนี้มักมีคาท่ีแสดง
ความรู้สกึ ปนเข้ามาด้วย เป็นการแสดงความเป็นกันเอง หรือความใกล้ชิดสนิทสนม เช่น "เพ่ือนผู้ร่วม
ชีวิตท่ีรักท้ังหลาย" "สวัสดีครับท่านผู้ใหญ่บ้านและพ่ีน้องชาวพระประแดงที่เคารพทุกท่าน "
"ทา่ นประธานตลอดจนคณะกรรมการทนี่ บั ถอื "
๒๖๐
คาปฏิสันถารน้ีนับว่าเป็นส่ิงจาเป็นและถือเป็นมารยาทในการพูด ถ้าผู้พูดคนใด
ไม่ได้ทักทายผู้ฟังก่อนจะดาเนินการพูด อาจจะทาให้ผู้ฟังเข้าใจไปหลายทาง เช่น ผู้พูดท่านน้ีขาด
มารยาท ไม่เคยฝกึ หัดการพูด ไม่เคารพหรือให้เกียรตผิ ฟู้ งั เปน็ ตน้
อย่างไรก็ตามคาปฏิสันถารท่ีไม่เป็นพิธีการมากนัก ควรกล่าวให้ส้ันท่ีสุด จงอย่า
พยายามแจกแจงผู้ร่วมฟังให้ละเอียดมากเกิน ไป เพราะอาจทาให้ผู้พูดหลงลืมคนบางคนได้ ซึ่งจะทา
ให้เกิดปัญหาตามมาในภายหลงั
๒. คานาหรืออารัมภบท การพูดทุกคร้ังต้องมีคานา เพ่ือเป็นการเกร่ืนหรือเสนอที่มา
ของเร่ืองท่ีจะพูด เป็นจุดเรยี กร้องความสนใจ เม่ือเรมิ่ ต้นประโยคแรก ควรจุดไฟให้จุดโพลงข้ึนในการ
พูดทันที ถ้าคานาดีผู้ฟังจะเล่ือมใส ศรัทธาในตัวผู้พูด และจะตั้งอกต้ังใจฟังหรือติดตามเรื่อง การ
ข้ึนต้นควรยึดหลักเกณฑ์ คือ ต้องรวบรัด เร้าอารมณ์ ตรงประเด็น และชวนให้ติดตาม (พ.ท.ทองขาว
พว่ งรอดพนั ธ์ุ, ๒๕๓๒, ๗๕) คานาทดี่ จี ึงควรประกอบดว้ ยความมงุ่ หมาย ๔ ประการ คอื
๒.๑ เป็นการเตรยี มและนาผู้ฟงั เข้าสเู่ รอ่ื ง
๒.๒ เรยี กร้องความสนใจ จูงใจ และจบั ใจคนฟัง
๒.๓ จ้ีใจให้เหน็ ประโยชน์ทีจ่ ะไดร้ ับจากการฟงั
๒.๔ แจ้งในสาระที่จะพูดต่อไป เป็นการให้ความกระจ่างว่า จะพูดอะไรให้คนฟัง
ดว้ ยวิธกี ารอย่างไร (วจิ ิตร อาวะกุล, ๒๕๒๗, ๓๒)
หลักการสรา้ งคานา หรือวธิ ีขนึ้ ต้นทไ่ี ดผ้ ล มใี ห้เลอื กหลายวิธี คือ
๑. ข้ึนต้นแบบพาดหัวข่าว (Headline) วิธีน้ีต้องการให้คนฟังสนใจในเนื้อข่าว แต่เอา
ผลมาพูดก่อน แลว้ คอ่ ยอธบิ ายเหตุทหี ลงั เช่น
"เลือกตัง้ กทม. หงอยเหงา คนใชส้ ทิ ธโ์ิ หรงเหรง..."
"ไฟไหมค้ นื เดียว ๒ รายซ้อน ๒ หนูน้อยกอดกันตายอนาถ..."
๒. ขึ้นต้นด้วยการต้ังคาถาม (Asking Question) โดยคาถามนั้นต้องเก่ียวกับเนื้อหา
สาระที่จะดาเนนิ เร่ืองตอ่ ไป (ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ,์ ๒๕๒๕, ๕๑) หรอื อาจเป็นคาถามท่ยี ั่วผฟู้ ัง เช่น ถ้า
ต้องการจะพูดถงึ "ภยั ทางเพศกบั การลงโทษสถานหนกั " อาจจะขนึ้ ต้นคานา ดงั นี้
"ท่านสาธุชนท้ังหลาย.... การทาร้ายร่างกายคนอ่ืนน้ัน ผิดท้ังกฎหมายบ้านเมือง
และผิดทั้งศีลธรรม แตก่ ารปลุกปล้าขม่ ขืน นอกจากจะเป็นเรื่องทาร้ายร่างกายแล้ว ยังเป็นการข่มเหง
น้าใจผู้ที่อ่อนแอกว่า ทั้งยังประทับรอยแห่งความปวดร้าวแก่สตรีเพศไปช่ัวชีวิตเหมือนตายทั้งเป็นอีก
ด้วย ก็แหละผู้ชายเลวชาติอย่างนั้น ท่านคิดว่า การประหารชีวิตเป็นเร่ืองหนักเกินไปกระนั้นหรือ
หรือว่าจะต้องรอให้ลูกสาวของท่านรับเคราะห์กรรมเสียก่อนจึงจะเห็นว่ามันควรตายสถานเดียว "
(นเรศ นโรปกรณ์ ม.ป.ป. ๖๘) หรอื
๒๖๑
"ทา่ นจะทาอย่างไร เม่ือทา่ นทราบวา่ ถกู สลากกนิ แบง่ รางวัลท่ี ๑?"
"ท่านจะวางแผนบริหารประเทศอยา่ งไร ถ้าท่านได้เป็นนายกรฐั มนตรี"
๓. ขึ้นต้นด้วยการทาให้ผู้ฟังสงสัย (Interest Arousing) และเกิดความอยากที่จะ
ติดตามเรอื่ งตอ่ ไป เช่น
"ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าผมจะเคราะห์ร้ายอยา่ งน้.ี .."
๔. ขึ้นตน้ ด้วยการอ้างบทกวี หรือวาทะของผู้มีช่ือเสียง (Quotation) วาทะหรือบทกวี
ทจี่ ะนามาอา้ งน้ัน ต้องเปน็ ทร่ี ้จู ักกนั ดอี ยูแ่ ลว้ เพือ่ วา่ ผฟู้ ังจะสนใจใคร่รู้วา่ เก่ยี วกับเนอ้ื เรอ่ื งอยา่ งไร เชน่
"ไฟไหมบ้ า้ นสบิ คร้งั ยังสูญเสยี ไมเ่ ทา่ กับการเล่นการพนนั ..."
"นานาประเทศล้วน นบั ถอื
คนที่รู้หนังสือ แต่งได้
ใครเกลียดอกั ษรคอื คนป่า
ใครเยาะกวีไซร้ แนแ่ ทค้ นคง"
๕. ข้ึนต้นให้สนุกสนาน หรือพูดเร่ืองขาขัน (Entertainment) วิธีน้ีต้องระมัดระวัง
เร่ืองเวลา อย่าใช้คาตลกขบขันนานเกินไป จะทาให้ความกระจ่างของเร่ืองลดลง แต่การเร่ิมด้วยวิธีนี้
จะเป็นการทาลายอุปสรรคที่กีดกั้นระหว่างคนพูดกับคนฟังได้ เพราะการเริ่มต้นให้คนฟังหัวเราะหรือ
สนุกสนาน เป็นการสร้างบรรยากาศทด่ี ใี ห้เกดิ ขนึ้ เช่น
"นรกกับสวรรค์เกิดฟ้องร้องกันแต่สวรรค์แพ้ เพราะทนายเก่ง ๆ ที่ตายไปจากโลก
มนษุ ชม์ ักไมไ่ ด้ข้นึ สวรรค์ แต่ไปอย่ใู นนรก ในสวรรค์จึงมีแต่ทนายทีไ่ ม่เกง่ "
"วันนี้ผมต้ังใจว่าจะไม่พูดอะไรเลย แต่รู้สึกคร่ันเนื้อคร่ันตัว คล้ายจะไม่สบายเลย
ตอ้ งขอพูดอะไรบางอย่าง..."
"ท่านประธาน ท่านสมาชิกและแขกผู้มีเกียรติ ก่อนอื่นผมขอเรียกว่า ผมได้มี
โอกาสดีท่ีได้มาพูดท่ีนี่ ผมใช้สินค้าของบริษัทท่านมานานแล้ว อย่างน้อยวันน้ีก็จะได้ทุนคืนบ้างเล็ก ๆ
น้อย ๆ..." (ทินวฒั น์ มฤคพทิ กั ษ,์ ๒๕๒๕, ๕๒)
๖. ยกเหตุการณห์ รือนาเหตกุ ารณ์รอบ ๆ ตวั ท่เี กยี่ วกบั เรอ่ื งจะพดู มากล่าว เช่น
"ไฟไหมโ้ รงพิมพ์มหาวิทยาลัยรามคาแหงเม่ือเช้ามมืดวานน้ี สูญเสียทรัพย์สินท้งั สิ้น
๑๐๐ กว่าลา้ นบาท"
"ท่านผู้ฟังคงจะได้เห็นข่าวพาดหัวหนังสือพิมพ์เม่ือเช้านี้ว่า รถเมล์คว่าคนตาย ๓๐
บาดเจบ็ อกี ๔๒ คน..."
๗. ยกตวั อยา่ งให้เหน็ จรงิ เชน่
"เมอ่ื ปีท่ีแล้วเกษตรคนหน่ึงที่จังหวัดสมทุ รปราการเล้ียงปลาหมอเทศ ชั่วระยะเวลา
๔ เดือน จับขายไดเ้ งินถงึ ๔ หมน่ื บาท" (วจิ ิตร อาวะกลุ , ๒๕๒๗, ๓๑-๓๒)
๒๖๒
๘. ขน้ึ ต้นแบบวิเคราะห์ช่ือเร่ือง ท่ีต้องวิเคราะห์ชื่อเร่ืองเพราะว่าช่ือเรื่องนั้นคลุมเครือ
เป็นท่ีเข้าใจผิดหรือเข้าใจยาก เช่น ต้องการจะพูดในหัวข้อ "ศิลปะ วัฒนธรรมที่ควรแก่การอนุรักษ์"
ผพู้ ูดอาจจะแยกคา ศลิ ปะกบั วฒั นธรรมให้กระจา่ ง เช่น
"ท่านผูม้ ีเกยี รติท้งั หลาย ช่อื เรือ่ งทจ่ี ะพูดกันวันนี้ ออกจะระรัวสักหน่อย โคยเฉพาะ
คาว่า "ศิลปะวัฒนธรรม" เรามักจะพูดรวมกันเหมือนเป็นคา ๆ เดียว ทั้งท่ีมันเป็นสองคา คือศิลปะ
คาหนึ่งและวัฒนธรรมคาหนึ่ง "ศิลปะ" เป็นของท่ีตระหนักทางใจ แต่ "วัฒนธรรม" เป็นของท่ีประจักษ์
ทางกาย เพราะฉะน้ันศิลปะอาจไม่มีวัฒนธรรมก็ได้ เช่น ภาพวาดบางภาพที่คนเห็นว่าเป็นศิลปะ
เหลือเกิน อาจจะเป็นภาพคนกาลังทาอะไรท่ีไม่มีวัฒนธรรมน่ันแหละ ตรงกันข้ามวฒั นธรรมบางอย่าง
เชน่ การเขา้ คิวซื้อนา้ ตาลอย่างเปน็ ระเบยี บเรียบรอ้ ย แตไ่ มเ่ ปน็ ศลิ ปะเลยสักนิดเดยี ว ดงั น้ี เป็นต้น"
๙. ขึน้ ต้นด้วยการชี้สาเหตทุ ตี่ ้องมาพดู เชน่ เรอ่ื ง "วาระสดุ ทา้ ยของเวียดนามได้"
"ท่านท่เี คารพรกั ทั้งหลาย ผมเพ่ิงกลบั มาจากเวยี ดนามใตเ้ มือ่ สัปดาห์ทีแ่ ล้วหลงั จาก
ติดอยู่ท่ีไซ่ง่อนตั้งแต่วันที่เวียดนามเหนือยืดเมืองได้ ผมไปทามาหากินในเมืองญวนอย่างชาวบ้านคน
หนึ่ง ซ่ึงแทบไม่มีใครรู้จักเลย แต่เม่ือรอดตายกลับมากลายเป็นข่าวหนังสือพิมพ์เอิกเกริกเจ็ดวันยัง
ไม่จบ ประหนึ่งเป็นวีรบุร อย่างนี้ก็เขินเหมือนกันครับ และเม่ือคิดว่าวีรบุรุษไม่ควรขัดศรัทธาใคร
ผมจงึ รบั คาเชญิ มากล่าววาระสดุ ทา้ ยของเวียดนามใตใ้ นสายตาของผมใหท้ า่ นทง้ั หลายฟัง"
๑๐. ขึ้นต้นแบบสาแดงคุณโทษ หรือขอ้ ได้ข้อเสียในเรอื่ งที่จะพูด เช่น ถ้าต้องการจะพูด
เรือ่ ง "ควรเปดิ เผยรายชอ่ื ผู้เสียภาษีมากน้อยหรือไม่" อาจข้นึ ตน้ วา่
"ท่านผู้มีเกียรติทั้งหลาย ท่านคงจะเคยได้ยินบ้างแล้วก็ได้ว่า คนยากคนจนมักจะ
เสียภาษีครบถ้วนทกุ บาททุกสตางค์ตามท่ีกฎหมายกาหนด คอื เสียกัน ๑๐๐% ทีเดียว แต่เศรษฐที ่ีทา
มาหากินร่ารวย...บางทีเสียไม่ถึง ๑๐% แทบทั้งนั้น ผมรู้เรื่องดีเพราะผมอยู่ในวงการของมหาเศรษฐี
ร้อยเล่ห์มาเกือบตลอดชีวิต ผมจึงขอสนับสนุนดาริของรัฐบาลในเร่ืองนี้ พร้อมกับแฉหลักฐานให้ท่าน
ทั้งหลายฟงั บ้าง"
๑๑. ขึ้นต้นแบบจ้ีจุดสากัญของเรื่องน้ัน ๆ คือ พุ่งเข้าสู่จุดไม่อ้อมค้อม เพราะผู้ฟังก็รู้
เรื่องอยู่แล้ว เป็นการแสดงทรรศนะของผู้พูดเท่านั้น เช่น ต้องการพูดเรื่อง "ควรมี ส.ส. จากการ
เลอื กตั้งประเภทเดยี ว" อาจขึ้นตน้ วา่
"ทา่ นผู้เปน็ เจา้ ของอานาจอธปิ ไตยทั้งหลาย
การเลือกต้ังผู้แทนนั้น แสดงถึงการเป็นเจ้าของอานาจอธิปไตย อันเต็มเปี่ยมของ
เราก็แล้วทาไมจะต้องมี ส.ส. ประเภทอื่น ประหน่ึงว่าอานาจอันศักดิ์สิทธิของเราขาดแหว่งหรือมีโจร
มาแย่งชงิ ไปบางสว่ นอย่างนัน้ ?" (นเรศ นโรปกรณ์ ม.ป.ป., ๕๕-๕๖, ๖๖-๖๗)
๑๒. นาด้วยการยกข้อความท่ีเร้าใจ ให้พยายามยกเอาข้อความท่ีสะเทือนใจส้ัน ๆ และ
ตรงกับเรอ่ื ง เช่น
๒๖๓
"คนจนต้องการเนื้อใส่กระเพาะ แตค่ นรวยต้องการกระเพาะใส่เนือ้ "
ถา้ จะพดู ถงึ วิธที าใหผ้ ้บู ังคับบัญชารกั อาจจะขน้ึ ต้นคานาวา่
"สู้นิ่งเสียหาว่าโง่ พูดมากคามหาว่าสอพลอ ยอมอ่อนน้อมหนักหาว่าเง่ืองกลัวอยู่
ห่างหน่อยหาว่าเลยี่ งเรียกใช้ไมท่ ันใจ หนา้ ทขี่ องบ่าวเฝอื อย่างย่ิง ตอ่ ใหม้ ีความสามารถเทียมพระอศิ วร
กไ็ มป่ ฏบิ ัตใิ ห้ถงึ ใจนายได้บรบิ ูรณ์" (อทุ ัย หิรัญโต ม.ป.ป. ๕๐)
๑๓. นาด้วยการสรรเสริญคนฟัง วิธีน้ีจะต้องแนบเนียน พูดด้วยความจริงใจ เพราะ
คนฟังย่อมรู้ตัวว่าถูกแกล้งยอได้เร็วมาก จงพยายามหาจุดเด่นของคนหรือสถานที่น้ัน ๆ มาพูดให้
เหมาะสม เช่น
"ผมรู้สึกเป็นเกียรติและมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ ได้มาพูคคุยกับท่ านผู้รัก
ความเป็นไทยทั้งหลาย จากท่ีได้สังเกต และได้รบั ทราบมาย่ิงทาให้เชื่อได้แน่ชดั ยงิ่ ข้นึ วา่ ทุกท่านในท่ีนี้
รักความเป็นไทย เช่น การแต่งกาย เคร่ืองมือเครื่องใช้ การดาเนินชีวิต ตลอดจนอัธยาศัยอันงาม
ของทุกท่าน จึงคิดว่าวันน้ีผมได้รับประโยชน์อย่างใหญ่หลวง ท่ีได้มาพบความจริงว่าเราเป็นใคร
ควรจะทาอะไรตอ่ ไป"
๑๔. นาด้วยการกล่าวถึงความสาคัญของเร่ือง วิธีนี้นิยมใช้กันมาก เพราะโอกาส
ที่จะผิดหวังมีน้อย เป็นการโยงความสาคัญของเรื่องที่มีต่อผู้ฟัง โดยแสดงให้เห็นว่า เรื่องท่ีพูด
มีประโยชน์ต่อผู้ฟังอย่างไร เช่น "เรื่องการออกกาลังกาย" ช้ีให้ผู้ฟังเห็นว่า ทาให้ร่างกายแข็งแรง
มีภูมิตา้ นทานโรค ประหยัดเงนิ ไมต่ ้องไปหาหมอ ชว่ ยใหค้ ลายเครยี ด นอนหลบั ฯลฯ
นอกจากนี้ยังมีการใช้คานาหรือคาขึน้ ต้นได้อีกหลายวิธี แตจ่ ะใช้วิธใี ดก็ตามต้องคานึงถึง
บคุ คล เรื่อง สถานท่ี และโอกาสทจี่ ะพูดใหส้ อดคล้องกนั จึงจะเปน็ ที่สนใจและชวนตดิ ตาม
ขอ้ บกพรอ่ งในการใชค้ านา
๑. อย่าพูดนอกเรื่องหรือพูดอ้อมค้อม เช่น ถ้าต้องการจะพูดถึงเร่ืองหญิงโสเภณี
อย่าได้นาเร่ืองการเมือง หรือเร่ืองวิศวกรรมมาพูด เพราะเป็นคนละเรื่องกัน รวมทั้งอย่าใช้คานาแบบ
เยิ้นเย้อจบั ความไมไ่ ด้ เช่น
"ท่านคงจะรู้จักถนนสายหน่ึงในกรุงเทพมหานคร เป็นถนนท่ีสวยงาม ร่มรื่น น่า
อภริ มย์มาก สองข้างถนนมีต้นไมเ้ ขียวสดงดงาม ทาความสดช่ืนให้กับผู้คนท่ีสัญจรไปมา ถนนสายน้ีคือ
ถนนวิทยุไงละ่ ครับ ผมเกดิ ณ บา้ นเลขที่ ๒๑๗ บนถนนสายน.ี้ .." (ทนิ วฒั น์ มฤตพทิ กั ษ์ ๒๕๒๕, ๕๐)
จะเห็นได้ว่า การพูดคานาในลักษณะน้ีไม่รวบรัด หรือรีบเข้าประเด็น ทาให้
เสียเวลาไปโดยเปลา่ ประโยชน์
๒. อย่าออกตัว เช่น เตรียมมาพูดไม่พร้อม กระทันทัน เพ่ิงได้รับมอบหมายมาให้พูด
แทน เปน็ ผู้รู้น้อย เหล่านี้นอกจากจะเสยี เวลาแล้ว อาจแสดงว่าผพู้ ูดไม่เต็มใจพูด เชน่
๒๖๔
"ก่อนที่ผมจะพูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับอังกฤษ ผมใคร่จะกราบเรียนท่าน
ผู้ฟังท่ีเคารพว่า ผมไม่มีความรู้ในเรื่องนี้มากมายนัก ประวัติศาสตร์ผมก็เร้ือรังมานาม และที่สาคัญ
ทส่ี ดุ ก็คือ ผมเองไม่เคยไปเมอื งองั กฤษ แตท่ มี่ าพูดก็ดว้ ยขัดคาเชิญของท่านนายกสมาคมไมไ่ ด้..." หรอื
"ก่อนอ่ืนผมขอเรียนให้ทราบว่า ผมมาพูดเรื่องน้ีด้วยความไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่ง
เพราะผมไม่ได้เตรียมตัวเพียงพอ แม้จะได้รบั เชิญหลายวันแล้วกต็ าม แตผ่ มลมื เสยี สนิทว่ายงั อีกหลาย
วัน แต่เพ่ือมิให้เสียคาพูดที่ได้รับเชิญไว้แล้ว จึงขอพูดเท่าท่ีรู้ ผิดบ้างถูกบ้างอภัยให้ผมด้วย..." (อุทัย
หิรัญโต ม.ป.ป., ๕๖) หรือ
"ก่อนอื่นผมต้องขอออกตัวเสียก่อนว่า ผมไม่ได้เตรียมตัวมาเลยวันนี้ เพ่ิงได้รับเชิญ
ลว่ งหนา้ เพียง ๓ วนั ก็เลยหาเวลาเตรียมตัวไมไ่ ด้ แต่จาเป็นต้องมาพดู เพราะได้รับปากไว้..." (ทนิ วัฒน์
มฤคพิทักษ์ ๒๕๒๕, ๔๙)
๓. อย่าขอโทษ เชน่
"ผมต้องขออภัยท่านผู้ฟัง หากว่าผมพูดไม่ดี เน่ืองจากผมหา ยป่วยเมื่อ
วานน้ีเอง คิคว่าจะเตรียมการพูดท่ีโรงพยาบาล แต่ก็ทาไม่ได้ เพราะแขกไปเยี่ยมเยียนมากเหลือเกิน"
(อุทัย หิรัญโตม.ป.ป., ๕๘) หรือ
"ผมต้องขออภัยท่านท้ังหลายเสียก่อน เร่ืองราวที่จะพูดต่อไปนี้อาจผิดพลาดเล็ก ๆ
น้อย ๆ หรืออาจกระทบกระเทือนท่านผู้หน่ึงผู้ใดท่ีนั่งฟังอยู่ ผมเองก็ไม่แน่ใจนักว่าจะพูดได้ถูกต้อง
แค่ไหน..." (ทินวัฒน์ มฤกพิทักษ์, ๒๕๒๕,๕๐) การขึ้นต้นท่ีผู้พูดเองก็ไม่มีความแน่ใจเสียแล้ว ผู้ฟังจะ
เช่อื เรอ่ื งทีพ่ ูดได้อย่างไร
๔. อยา่ ถ่อมตน เชน่
"ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับเชิญมาพูดท่ามกลางปัญญาชนอย่างท่าน
ทั้งหลายอันท่ีจริงผมกไ็ ม่ใชค่ นมีความรู้อะไรมากมายนกั ประสบการณ์ทางนก้ี ็มีน้อยเต็มที แต่เมอื่ ท่าน
ประธานได้ขอร้องแถมบังคับให้มาพูด ผมก็จะพยายามพูคให้ดีที่สุด" (ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์, ๒๕๒๕,
๕๐)
การขน้ึ ตน้ เช่นนี้มคี วามอืดอาด ถอ่ มตนจนเกินไป ความศรัทธาของผูฟ้ งั จะลดลง
๕. อย่าดูถูกหรือก้าวร้าวผู้ฟงั ด้วยคาพูด ท่าที หรือท่าทาง อยา่ ทะเลาะ โต้เถียง ขุ่นมัว
กับผูฟ้ ัง หรอื กลมุ่ ท่ีไม่เห็นดว้ ย (วิจติ ร อาวะกุล, ๒๕๒๗, ๓๓) เชน่
"ผมรู้สึกไม่สบายใจเลยที่ต้องมาพูดกับท่านในวันน้ี เพราะเร่ืองท่ีผมจะพูดเป็นเร่ือง
ท่ียากแก่การเข้าใจ ขนาดผมได้พยายามแล้วกว่าจะเข้าใจเรื่องก็ต้องเรียนกันจนถึงข้ันค๊อกเตอร์ จึงไม่
แน่ใจว่าท่านท้ังหลายจะรู้เรื่องหรือ ไม่ เพราะดูหน้าตาแล้วเห็นว่าคงเป็นเร่ืองลาบากสาหรับหลาย ๆ
ท่าน การพูดในวนั นค้ี งจะเปน็ บรรยากาศท่ีน่าเบอ่ื หนา่ ย"
๒๖๕
เน้ือเรื่องท่ีจะพูด ในส่วนท่ีเป็นเนื้อเรื่องน้ี เป็นส่วนท่ีจะต้องใช้เวลาในการพูดมากท่ีสุด
เพราะเป็นรายละเอียดที่ผู้พูดจะนาเสนอผฟู้ ังดว้ ยวธิ กี ารต่าง ๆ กนั และควรจัดลาดับขนั้ ตอน ดังน้ี
๑. การเลือกหัวข้อเร่ือง ก่อนอื่นผู้พูดควรเลือกหัวข้อที่ก่อให้เกิดความตื่นเต้นเร้าใจ
กับตัวเอง อันสืบเนื่องมาจากประสบการณ์อันยาวนาน จึงจะเป็นการสร้างความต่ืนเต้นให้กับตนเอง
ในการพูด เพราะถ้าผู้พูดไม่ตื่นเต้นกับเน้ือหาท่ีจะพูดแล้วก็จะไม่สามารถทาให้ผู้ฟังเชื่อถือได้ (เดล
คารเ์ นก้ี ม.ป.ป., ๑๐๒)
ฉะนั้นนักพูดท่ีดีจะต้องมีความสามารถในการเลือกเร่ืองท่ีจะพูดให้ตรงกับความ
ตอ้ งการของผู้ฟัง โดยเลือกเร่อื งท่ีแปลก ๆ ใหม่ ๆ ซึ่งนักพูดคนอ่ืน ๆ นึกไม่ถึง จะทาให้การพูด เป็นท่ี
สนใจของผู้ฟงั ซงึ่ มหี ลักสาคัญ ๆ ที่ผูพ้ ดู ควรปฏบิ ัติ ดงั น้ี
๑.๑ เลือกเรือ่ งท่ีมีเนื้อหาตรงกับความต้องการของผู้ฟัง คือเป็นเรื่องที่ผู้ฟังสนใจ
เน้อื หาสาระเกี่ยวข้องกับผู้ฟัง และเหมาะกับระดบั คนฟัง ผูพ้ ูดจะต้องวิเคราะหห์ รือกาคการณ์ล่วงหน้า
ว่าจะพูดให้ใครฟัง ถ้าวิเคราะห์หรือคาดการณ์ถูกจะทาให้ผู้ฟังนิยมชมชอบ (เพียรศักย์ ศรีทอง,
๒๕๓๗, ๓๔)
๑.๒ เลือกเรื่องที่ผู้พูดมีความถนัดและสนใจมากท่ีสุด เพราะว่าการพูดในเร่ืองที่
ตนถนดั และสนใจ จะทาใหก้ ารพูดมีประสทิ ธิภาพ
๑.๓ เลือกเร่อื งท่ีผู้พูดมีความร้จู รงิ หรือรดู้ ีอยู่แลว้ อีกท้ังสามารถค้นคว้าหาข้อมูล
เพิ่มเดิมได้ เน้ือเรื่องมีความสอดคลอ้ งกับความเชื่อ ทัศนตติ และค่านิยมของผู้ฟัง นอกจากนี้ผู้พูดต้อง
มีทักษะในการถ่ายทอดสาระด้วยสติปัญญา ไหวพริบ และปฏิภาณของผู้พูดเอง (ลักษณะ สตะเวทิน,
๒๕๓๖, ๔๑)
๑.๔ เลือกเรื่องให้เหมาะกับระดับสติปัญญาของผู้ฟัง ผู้พูดจะต้องมีจิตวิทยาใน
การวิเคราะห์ว่าผู้ฟังมีสติปัญญาหรือระดับการศึกษาเป็นอย่างไร รวมทั้งต้องทราบความรู้สึกนึกคิด
และความต้องการของผู้ฟงั ว่าต้องการฟังเก่ียวกับเรื่องใดบ้าง
๑.๕ เลือกเร่ืองให้เหมาะกับเวลาท่ีกาหนด และโอกาสท่ีไปพูด นักพูดท่ีดีจะต้อง
พูดให้ตรงตามเวลาท่ีกาหนดให้ สาหรับโอกาสนั้นควรพิจารณาว่าโอกาสที่พูดเป็นอย่างไร ควรจะพูด
เรอื่ งใดให้เหมาะสมกบั โอกาสนน้ั ๆ
๑.๖ เมื่อเราพูดแล้วทาให้ผู้ฟังเข้าใจ เชื่อถือ และเกิดการเปล่ียนแปลงหรือไม่
มีอุปกรณ์ โสตทัศนูปกรณ์ แผนภูมิ ภาพนิ่ง ฯลฯ ประกอบการบรรยายหรือไม่ (วิจิตร อาวะกุล,
๒๕๒๗, ๓๓)
๒. การเตรยี มเนื้อเรือ่ ง ผพู้ ูดควรตงั้ คาถามประมวลความคิดเสยี กอ่ น ดงั นี้
๒.๑ เรื่องที่จะพูดเหมาะกับเวลาท่ีใช้พูดหรือไม่ กาหนดขอบเขตของเนื้อหาไว้
ก่อนว่าจะพูดเร่ืองใด เกี่ยวกับอะไร ถ้าเร่ืองน้ันมีขอบข่ายเนื้อหากว้างเกินไป ควรจากัดขอบข่ายให้
แคบลงจนเหมาะสมกบั เวลา
๒๖๖
๒.๒ จุดมงุ่ หมายหรือวตั ถปุ ระสงคใ์ นการพูดคืออะไร
๒.๓ มีรายละเอียดอะไรบ้างท่ีต้องกล่าวถึง ถ้าหากยังขาดความรู้ในเรื่องน้ัน
จะต้องค้นควา้ หาข้อเทจ็ จริงของสิ่งนัน้ อย่างถีถ่ ว้ น
๒.๔ มรี ายละเอยี ดสว่ นใดบ้างท่ีตอ้ งการเนน้ เปน็ พเิ ศษ และทาไมตอ้ งเนน้
๒.๕ จะจดั ลาดับเน้ือเร่ืองอย่างไร คือจดั ลาดับหัวข้อวา่ ควรจะพูดอะไรก่อนหลัง
หรือลาดับความแบบใด เช่น ตามลาดับเวลา สถานที่ จัดเป็นหมวดหมู่ ตามลาดับเหตุผลหรือตาม
ความสาคญั
๒.๖ จะขยายความเน้ือเรื่องอย่างไร เช่น ให้คาจากัดความ ยกตัวอย่าง
เปรยี บเทยี บแสดงข้อแตกต่าง สภุ าษิต คาพังเพย ข้ออา้ งองิ เลา่ เรื่อง หรอื ใชโ้ สตทัศนปู กรณ์
๒.๗ จะทหวิธีเน้นความคิดอย่างไรในแต่ละหัวข้อให้มีน้าหนัก น่าเช่ือถือ และ
ประทบั ใจผู้ฟงั ให้มากทีส่ ุด
เมื่อตั้งคาถามแล้ว จึงค่อยรวบรวมรายละเอียดของเน้ือเร่ือง โคยการระดม
ความคิด การสัมภาษณ์ผู้อ่นื หรือไปอ่านค้นคว้าจากหนงั สอื หรือตาราต่าง ๆ แล้วเก็บรายละเอียดมาก
เรียบเรียงเป็นโครงเร่ือง
การรวบรวมข้อมูลในการพูด นักพูดท่ีดีทุกคนก่อนท่ีจะไปพูด ต้องมีการเตรยี มการ
ด้านข้อมูลเก่ียวกับการพดู ซง่ึ รวบรวมได้จากวิธกี ารและแหล่งตา่ ง ๆ คอื
๑. จากความรู้และประสบการณ์ของผู้พูดเอง นักพูดควรจดจาเร่ืองท่ีคิดว่าจะ
นามาเป็นข้อมูลในการพูดให้ได้มากที่สุด และควรเป็นข้อมูลที่ทันสมัย สามารถใช้อ้างอิงในการพูดได้
เป็นอย่างดี เช่น จากการท่องเที่ยว งานอดิเรก เป็นต้น หรือจากการได้ประสบพบมาด้วยตนเอง เช่น
การไปทัศนศึกยา การพูดคุย เป็นต้น ข้อมูลเหล่านี้เป็นข้อมูลท่ีแน่นอน เช่ือถือได้ ทาให้ผู้ฟังสนใจ
และเชื่อถือไดอ้ ยา่ งดยี ่งิ
๒. จากการอ่านหนังสือตาราประเภทต่าง ๆ ผู้ที่เป็นนักพูดต้องอ่านตาราอยู่เสมอ
โดยเฉพาะการหาข้อมูลท่ีจะพูด โดยรวบรวมจากหนังสือในห้องสมุด เพราะห้องสมุดเป็นแหล่ง
รวบรวมสรรพวิทยาการเอาไว้ รวมทั้งผลการวิจัย โสตวัสดุอุปกรณ์ เป็นต้น (เพียรศักย์ ศรีทอง ,
๒๕๓๗, ๕๑-๕๒) ด้วยเหตุนี้นักพูดท่ีดีควรเป็นนักอ่านที่ดีด้วย เพราะจะทาให้มีข้อมูลประกอบการพูด
ได้อยา่ งกว้างขวาง หนังสอื ประเภทตา่ ง ๆ ทผ่ี พู้ ดู ควรใหค้ วามสนใจมดี งั นี้
๒.๑ หนงั สอื วชิ าการ สามารถใชอ้ ้างอิงให้สอดคลอ้ งกบั เร่ือง
๒.๒ หนังสอื เกีย่ วกับลัทธิ ประเพณี ความเช่อื ภาษิต คาคม คตธิ รรม ฯลฯ
๒.๓ หนังสอื พมิ พ์ ทาใหท้ ราบความเป็นไปของบา้ นเมอื งและปญั หาสังคม
๒.๔ วรรณคดี จะไดน้ าขอ้ ความทกี่ นิ ใจบางตอนมาสนบั สนุนการพูด
๒.๕ รวมสนุ ทรพจน์ หรือคาปราศรยั ของบุคคลสาคัญ ๆ นามาอ้างอิงได้
๒๖๗
๒.๖ พจนานุกรม จะได้ใช้อ้างอิงหรืออธิบายความหมายของคาต่าง ๆ
(ลกั ษณา สตะเวทิน, ๒๕๓๖, ๔๒)
๓. จากการติดตามชมและฟังข่าวสารจากสื่อมวลชนแขนงต่าง ๆ นักพูดท่ีดีจะต้อง
เป็นผู้ทันสมัย รู้ทันโลก ติดตามความเคล่ือนไหว และการเปลี่ยนแปลงในวิชาการสาขาต่าง ๆ ด้วย
การติดตามฟังข่าวสารทางส่ือมวลชนประเภทต่าง ๆ อย่างต่อเน่ือง เพราะจะได้ความรู้ท่ีหลากหลาย
และทันสมยั สามารถนามาประกอบการพูดได้เป็นอย่างดแี ละมปี ระสิทธิภาพ
๔. การสนทนากับผู้รู้ จะได้ความรู้ และทัศนะที่แปลก ๆ ใหม่ ๆ ที่ไม่ปรากฏใน
หนงั สอื หรือหลกั ฐานอื่น
๕. การสัมภาษณ์ อาจเป็นการสัมภาษณ์จากบุคคลที่เก่ียวข้องกับเรื่องท่ีพูดหรือ
จากผู้รนู้ ับเปน็ ข้อมลู ขนั้ ปฐมภูมิ ผู้ฟงั จะมีความศรทั ธาเชื่อถือเป็นอย่างดี
๓. การทาโครงเรื่อง วิธีท่ีจะสร้างความตรึงใจให้กับผู้ฟังวิธีหน่ึง คือ การจัดลาดับ
ประเด็นลงไปใหเ้ ด่นชัด (เดล คารเ์ นกี้ ม.ป.ป., ๑๖๖) ท้ังนเี้ พราะการพูดคือการเดินทางของสมองและ
ความรู้สึกนึกคิด จึงต้องมีจงั หวะและลีลา มจี ุดเริ่มต้นและจุดหมายปลายทาง เพ่ือให้การพดู ดาเนนิ ไป
ได้โดยสะดวก เป็นระเบียบเรียบร้อย เส้นทางเดินของการพูด คือ โครงเรื่องนั่นเอง (พ.ท. ทองขาว
พ่วงรอคพันธ์, ๒๕๓๒, ๗๓)
ฉะนั้นการทาโครงเรื่องก็คือ การจัดระเบียบของเร่ืองโดยแสดงความสัมพันธ์ของ
ความคิดหลักกบั ความคิดยอ่ ย หรือหัวข้อใหญ่กับหัวขอ้ ยอ่ ย ให้ดาเนนิ ไปตามลาดับข้ันตอน แต่การทา
โครงเร่ืองบางทีมีแต่ความคิดหลักหรือหัวข้อใหญ่ ไม่ต้องมีหัวข้อย่อยก็ได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะ
เนอ้ื หาของเร่ือง และความต้องการของผ้พู ดู ด้วย
การสรา้ งโครงเร่ืองเปน็ สิง่ จาเป็นในการพูด เพราะทาใหส้ ามารถจัดสาระสาคัญของ
ข้อความทั้งหมดให้สอดคล้องและเป็นระเบียบต่อเน่ืองกัน มีลีลาท่ีเคลื่อนไปอย่างสม่าเสมอไม่มีการ
หยดุ ชะงัก หรอื หยุดคิดทบทวน เพราะฉะนัน้ การพูดท่ีปราศจากโครงเรื่องมักจะไม่บรรลจุ ุดมุ่งหมายได้
หรอื ลงไม่ได้ตามเวลาทกี่ าหนด
โครงเร่ืองนอกจากจะเป็นเส้นทางท่ีช่วยให้นักพูดไม่หลงทางแล้ว ยังเป็นแกน
สาหรับร้อยเรียงคาให้เป็นระเบียบ ทาให้การพูดมีชีวิตชีวา ด้วยเหตุนี้การวางโครงเรื่องจะเป็นการ
ช่วยให้
- มีการไตรต่ รองกอ่ นพูด คอื คดิ กอ่ นพูด อยา่ พูดก่อนคดิ
- การพดู มลี าดับขน้ั ตอนไม่สับสน
- สามารถพดู ไดท้ นั ตามเวลาท่กี าหนด (พ.ท.ทองขาว พ่วงรอดพนั ธ์ุ, ๒๕๓๒, ๗๓)
๒๖๘
การวางโครงเรอ่ื งจึงเป็นยุทธการสาคัญในการพูด ถ้าวางโครงเร่ืองดี การพูดจะดีมี
การต่อเนือ่ งเป็นระเบียบ ผ้ฟู งั ไมเ่ บอ่ื หน่าย จงึ ควรยดื หลักในการวางโครงเรือ่ ง ดงั น้ี
๑. วางโครงเรื่องตามลาดับเวลา คือพูดไปตามลาคับปฏิทินว่าเหตุการณ์ใดเกิด
ก่อนให้พูดก่อน เช่น พูดถึงชีวประวัติบุคคล จะต้องเร่ิมตั้งแต่สถานท่ีเกิด การศึกษา การงาน
ชีวิตครอบครัว การยกยอ่ งสรรเสริญจากสังคม และจบลงดว้ ยการตาย เปน็ ตน้
๒. วางโครงเร่ืองตามลาดับสถานท่ีหรือภูมิศาสตร์ มักจะใช้ในการพูดที่เก่ียวกับ
การเคลื่อนไหว การเดินทาง การจัดสถานที่ ทิศทาง ให้ดาเนินไปตามลาดับพ้ืนที่ ไม่วกวนกลับไป
กลบั มา
๓. วางโครงเรื่องตามลาดับเนื้อหา ต้องเรียงลาดับเนื้อหาให้ถูกต้องเหมาะสม
เป็นไปตามลาดบั เช่น จากเร่อื งที่ง่ายไปหายาก จากเหตุไปหาผล จากเหตทุ ี่ทาให้เกิดความทุกข์ไปหา
เร่ืองที่ก่อให้เกิดความสุข ฯลฯ การลาดับเช่นนี้เหมาะในการพูดเชิงวิชาการ พูดแสดงความคิดเห็น
หรือเสนอแนะแนวทางในการแก้ปัญหาต่าง ๆ เป็นการสร้างความเข้าใจแก่ผู้ฟัง (เพียรศักข์ ศรีทอง,
๒๕๓๗, ๔๙-๕๐)
๔. วางโครงเร่ืองแบบลาดับข้อความหรือเร่ือง เป็นการจัดเรื่องหรือข้อความ
ประเภทเดยี วกนั ไว้เป็นหมวดหมูเ่ ดียวกนั มีข้อท่คี วรสังเกตเกยี่ วกับตรรกวิทยาและจติ วิทยาดงั ต่อไปน้ี
๔.๑ ควรวางหัวข้อใหญ่ท่ีมีน้าหนักมากที่สุดไว้ตอนต้น และตอนสุดท้าย โดย
เอาหัวข้อที่เห็นว่า มีเหตุผลน้อยกว่าไว้ตอนกลาง เพราะคนฟังมักจาตอนแรกกับตอนสุดท้ายได้ดีกว่า
ตอนอ่ืน ๆ
๑. การนดั หยุดงานของกรรมกรรถไฟมผี ลเสียตอ่ กรรมกรเอง
๒. การนัดหยดุ งานของกรรมกรรถไฟมผี ลเสียตอ่ การรถไฟ
๓. การนดั หยุดงานของกรรมกรรถไฟมีผลเสียตอ่ ส่วนรวม
กรรมกรย่อมสนใจต่อผลเสียที่จะเกิดกับตนมากกว่าของการรถไฟ และ
ในขณะเดียวกนั กม็ คี วามสนใจตอ่ สว่ นรวมมากกวา่ การรถไฟด้วย
๔.๒ หากจะพูดถึงเรื่องเก่ียวกบั วชิ าการหรือเร่ืองท่สี ลับซับชอ้ น ใหเ้ รมิ่ ตน้ จาก
หัวข้อที่ง่ายที่สุดไปสู่หัวข้อท่ียากท่ีสุด เพราะตามปกติส่วนที่ง่ายมักเป็นพื้นฐานความเข้าใจในส่วน
ทย่ี ากหรอื สลบั ชับช้อนต่อไปอีกด้วย (นิพนธ์ ศศิธร, ๒๕๒๔, ๗๐)
๔.๓ วางโครงเรื่องให้มีเงื่อนงาแก่ผูฟ้ ัง วิธีนี้เปน็ การสร้างความสงสัยให้เกิดแก่
ผู้ฟังเพื่อต้องการให้อยากติดตามเรื่อง ทั้งน้ีต้องอาศัยศิลปะในการสร้างปมของผู้พูด ฉะน้ันจะต้องมี
การคิดทด่ี ีและถูกตอ้ งตามแนวทางทค่ี ิดวา่ ผูฟ้ ังส่วนใหญส่ นใจ (เพยี รศักย์ ศรีทอง, ๒๕๓๗, ๕๐)
ตัวอย่างที่ ๑ การพูดเพื่อให้ความรู้ เร่ือง "การดูแลรักษาสีรถยนต์" ใช้
เวลาพูด ๑๐ นาที
๒๖๙
วตั ถปุ ระสงค์ เพือ่ แนะนาวธิ ีการดแู ลรกั ษาสขี องรถยนต์
จากัดแนวความคิดที่ ๑ เพ่ือให้ทราบถึงการล้าง การขัด เช็ด และรักษา
รถยนตท์ ถ่ี กู ตอ้ ง
จากัดแนวความคิดท่ี ๒ เพ่ือให้ทราบถึงวิธีใช้น้ายา การขัด การเช็ด
การจอดรถในทร่ี ่ม ไม่ตากแดด ตากฝน ฯลฯ
แนวความคิดใหม่ เพ่ือให้สีของรถยนตม์ คี วามคงทน สีไม่ด้าน ไมเ่ สียเร็ว
การใชน้ ้ายา วิธกี าร และเคร่อื งมือใหมใ่ นการดูแลรักษาสีรถ (วจิ ิตร อาวะกุล, ๒๕๒๗, ๓๕)
ตัวอย่างท่ี ๒ การพูดเพื่อโน้มน้าวใจ เรื่อง "มาอ่านหนังสือกันดีกว่า" ใช้
เวลาพูดประมาณ ๑๐-๑๕ นาที
วัตถปุ ระสงค์ เพือ่ ชักจูงใหผ้ ูฟ้ ังหันมาสนใจการอ่านหนังสือ
ประเด็นของเน้ือเรื่อง ให้เหตุผลเพ่ือให้ผู้ฟังเห็นว่า หนังสือและการอ่าน
หนงั สอื ดีอยา่ งไร
๑. หนังสือเป็นเพื่อนที่ดี (หยิบออกอ่านเมื่อใดก็ได้ พกพาไปไหนก็
สะดวก)
๒. การอ่านหนงั สือเป็นการใชเ้ วลาว่างที่มปี ระโยชน์และประหยดั (ราคา
ไมแ่ พงนกั ซ้อื มาแล้วใชไ้ ดน้ าน อ่านช้าได้อกี เล่มเดยี วอา่ นได้หลายคน)
๓. การอา่ นหนังสือช่วยพฒั นาตนเองให้กา้ วหน้า (อ่านแลว้ ได้ความรู้ ทา
ใหเ้ รยี นเกง่ ทางานเก่ง กา้ วทันโลก)
๔. การอ่านหนังสือช่วยให้เพลดิ เพลิน คลายความเครียด (เช่น อ่านเรื่อง
ตลกขาขัน เร่อื งอา่ นเล่น)
๕. การอ่านหนังสือช่วยให้เห็นโลกและชีวิตกว้างขึ้น (ได้ความคิดใหม่ ๆ
ดี ๆ มองเห็นโลกและชีวิตหลายแงห่ ลายมุม)
๖. การอ่านหนังสือทาให้เกิดกาลังใจ (ทาให้ไม่ท้อแท้ มีกาลังใจต่อสู้
อปุ สรรค)
การขยายความ เมื่อได้วางโครงเร่ือง และจัดลาดับความไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อไปก็เป็น
การขยายความ คอื การเสริมใจความสาคัญให้ละเอยี ดพิสดารกว้างขวางออกไปจากโครงเร่ืองทวี่ างไว้
เพ่ือให้เป็นที่น่าสนใจ ก่อให้เกิดความเข้าใจและมีชีวิตชีวาน่าฟัง อาจกล่าวถึงใจความสาคัญก่อนแล้ว
จึงขยายความตามมา หรือเร่ิมด้วยการขยายความก่อนแล้วลงท้ายด้วยใจความสาคัญก็ได้ การขยาย
ความต้องเป็นการขยายใจความสาคัญนั้น ๆ โดยตรง และเหมาะสมกับเวลา บุคคล และสถานการณ์
ตา่ ง ๆ (นพิ นธ์ ศศธิ ร, ๒๕๒๔, ๗๖-๗๗)
๒๗๐
แบบของการขยายความ
๑. นิทานหรือตัวอย่าง ได้แก่ การเล่าเรื่องท่ีเกิดข้ึน เพื่อให้ผู้ฟังได้เห็นข้อท่ีผู้พูดเสนอ
ชัดเจนยงิ่ ข้นึ ท้งั นต้ี อ้ งใหเ้ ห็นเปน็ จริงเปน็ จังและได้ผลท้ังด้านอารมณ์และเหตผุ ลต่อคนฟัง เชน่
"...ในท่ีนี้ใครเคยเห็นคนตายด้วยโรคมะร็งมาบา้ ง ? เปน็ กรรมเหลือเกินท่ขี า้ พเจ้าได้
ไปเหน็ เขา้ หลายปีมาแล้วเพ่ือนคณุ พ่อขา้ พเจา้ เป็นโรครา้ ยนี้ ขา้ พเจา้ ไปเย่ียม ...ที่โรงพยาบาลยังจาได้
ดีว่า แต่ก่อนเป็นคนรูปหล่อ ท่าทางกระฉับกระเฉงและมีชีวิตชีวา ต้องกลับกลายเป็นคนสิ้นหวัง มีแต่
นอนรอวันตายอย่ทู ุกขณะ.. (นพิ นธ์ ศศิธร, ๒๕๒๔, ๘๑-๘๒)
๒. สถิติ คือตัวเลขที่นักพูดใช้ประกอบการพูดของตน หากใช้ได้เหมาะสมจะมีผล
ในการพิสูจน์ชักจูงใจได้ดีมาก เพราะฉะนั้นเวลาใช้ต้องสง่ เสริมความสาคัญท่ีจะขยายโดยตรง ต้องอา้ ง
จากแหล่งที่เชื่อถือได้ ไม่ล้าสมัย และอย่าใช้ให้มากเกินไปจะทาให้สับสนน่าเบ่ือ นอกจากน้ีควร
พยายามหลีกเล้ียงการเสนอตัวเลขท่ีละเอียดมากเกิน ไป เช่น จังหวัดน้ีมีประชากร ๔๙๗, ๘๖๗ คน
เป็นชาย ๒๔๗, ๔๒๐ คน เป็นหญิง ๒๔๗, ๔๔๗ คน ข้อความนี้ถ้าพูดเร็ว ๆ จะไม่เกิดผลอะไรเพราะ
คนฟังจาไม่ได้ แต่ถ้าพูดว่า จังหวัดนี้มีประชากรประมาณคร่ึงล้านคน เป็นชายและหญิงเกือบเท่า ๆ
กันจะฟังได้ง่ายและจาได้ง่ายข้ึน ข้อควรคานึงอีกประการคือ สถิติจะมีความหมายมากยิ่งข้ึน
ถา้ สามารถเสนอให้สอดคล้องกับประสบการณ์ ความรอบรู้หรือความเคยชินของคนฟัง (นิพนธ์ ศศิธร
๒๕๒๔, ๘๔-๘๕)
๓. การเปรียบเทียบหรืออุปมา เป็นการแสดงเหตุผลโดยการเปรียบเทียบจากวัตถุ
เหตุการณ์ความคิด หรือสถาบนั ที่คลา้ ยคลึงกันทผ่ี ฟู้ ังรจู้ กั หรอื เข้าใจดี ส่งิ ทเี่ อามาเปรียบเทยี บกนั ต้องมี
สาระสาคัญเหมือนกัน พอท่ีจะเปรียบกันได้ และคนฟังรับรอง เชน่ อธิบายให้ชาวนาไทยฟังเร่ืองแอป
เป้ิล แต่พูดว่า "ลูกแอปเป้ีลมีลักษณะคล้าย ๆ กับลูกพืชนั่นเอง" อย่างน้ีจะทาให้ยุ่งไปอีก (นิพนธ์
ศศิธร, ๒๕๒๔, ๘๖-๘๗) หรืออีกตัวอย่างหนึ่ง ถ้าจะเล่าเรื่องเรือเดินสมุทรท่ีท่านไปพบเห็นใน
ต่างประเทศมาให้ชาวนาฟัง แล้วใช้การเปรียบเทียบดังนี้ "..เรือเดินสมุทรลาน้ัน ขนาดยาวมากกว่า
ความสูงของตึกไครสเล่อร์ในกรุงนิวยอร์ด.." การเปรียงเทียบลักษณะน้ี ตาสี ตาสา คงตื่นเต้น เพราะ
ไม่เคยห็นตึกไครสเล่อร์มาก่อน แต่ถ้าเปรียบเทียบใหม่ว่า "...เรือเดินสมุทรลานั้นมีความยาวเท่ากับ
จากท่ีน่ีไปถึงบ้านกานันโน่นแน่ะ..." คนฟังจะเข้าใจได้ดีขึ้น เพราะฉะนั้นจะเปรียบเทียบอะไร ต้องหา
ส่ิงที่ผู้ฟังรู้จักมาเปรียบอย่าเปรียบเทียบกับส่ิงท่ีเขาไม่เคยเห็นหรือไม่รู้เป็นอันขาด (ม.ร.ว. ชนม์สวัสดิ์
ชมพูนทุ ม.ป.ป., ๙๓)
๔. การยกหลักฐานอ้างอิง เช่น พยานบุคคล เอกสาร ตารา หนังสือพิมพ์ วรรณคดี
ตาราประวัติศาสตร์ คัมภีร์ คาพังเพย สุภาษิต คากล่าวของบุคคลสาคัญ ฯลฯ การขยายความแบบนี้
อาจใช้ปนกับการขยายความแบบอ่ืน ๆ ได้
๕. การแสดงเหตผุ ล อาจจะพูดโดยยกเหตุไปหาผล หรอื จากผลมาหาเหตกุ ็ได้
๒๗๑
๖. การใช้ทัศนูปกรณ์ ตามคติท่ีว่า "สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น" น้ัน ตรงกับผลการวิจัย
สมยั ใหมว่ ่า คนเราเรียนรู้ทางตามากกว่าทางหู และถ้าใชท้ ั้งสองทางพรอ้ มกันจะเรียนรู้ไดเ้ รว็ ข้ึนฉะน้ัน
การใชท้ ัศนูปกรณจ์ ึงเป็นการช่วยให้เกิดความกระจ่างย่ิงขึน้ เพราะบางครง้ั หรือบางเรอ่ื งใช้คาพูดอย่าง
เดียวไม่สามารถช่วยใหเ้ ข้าใจกระจ่างแจง้ ได้ นักพูดจงึ ควรใช้ทัศนูปกรณ์ตา่ ง ๆ ขยายความการพูดของ
ตน เชน่ กราฟ แผนภูมิ แผนภาพ แบบจาลอง ตวั อยา่ งของจรงิ ภาพยนตร์ ภาพนิ่ง ฯลฯ
การใชท้ ศั นูปกรณแ์ ม้จะมีประโยชนต์ อ่ การพูด แต่เวลาใช้ตอ้ งคานงึ ดงั น้ี
๖.๑ ตอ้ งตรงกบั เร่อื งหรือใจความทตี่ อ้ งการขยาย
๖.๒ อยา่ เน้นทัศนปู กรณม์ ากเกนิ สัดส่วนของเวลาทพ่ี ูด
๖.๓ ทศั นปู กรณ์ต้องมีขนาดทผ่ี ฟู้ งั เห็นได้ชัดเจน
๖.๔ จงพดู และมองผฟู้ ังในขณะแสดงทัศนูปกรณ์ อยา่ พูดกบั ทศั นปู กรณน์ น้ั
๖.๕ ทัศนูปกรณ์เป็นเคร่ืองประกอบการพูด อย่ามีจนมากเกินไปทาให้การพูด
เปน็ เครอื่ งประกอบทศั นปู กรณ์ ความสนใจของผฟู้ งั จะลดนอ้ ยลง (นพิ นธ์ ศศธิ ร, ๒๕๒๔, ๙๙-๑๐๐)
๔. การสรปุ เร่ืองพูด การสรุปการพดู เป็นการทบทวนและเน้นจุดที่สาคญั อยา่ งย่ิง หรือ
เพื่อเป็นการรวบรวมข้อความทกี่ ระจดั กระจายให้กระชับยิ่งขึ้น เน้นตอนที่สาคัญของเรื่องใหม้ ีน้าหนัก
จรงิ จงั เรา้ ใจผูฟ้ งั ให้เชื่อถอื หรอื คล้อยตาม
ในการสรุปนี้ จงอย่าสรุปอย่างขอไปที ไม่มีน้าหนัก หรือจบลงอย่างเนือย ๆ
ไม่น่าสนใจ การสรุปต้องเป็นการตอกตรึง และช่วยเน้นเรื่องท่ีได้บรรยายมาให้แน่นแฟ้นยิ่งข้ึน (วิจิตร
อาวะกลุ , ๒๕๒๗, ๓๗)
ทินวัฒน์ มฤคพทิ ักษ์ ได้ใหห้ ลักในการสรปุ ไว้ว่า
"มคี วามหมายชดั เจน ไม่เล่อื นลอย
สัมพนั ธ์กบั เนือ้ เรื่องและหวั ขอ้ เรื่อง
กะทัดรัด ไมเ่ ยืน่ เย้อ
พุ่งข้ึนสู่จดุ สุดยอดของสุนทรพจน์" (๒๕๒๕, ๕๔)
การสรปุ ทไ่ี ดผ้ ลกระทาได้หลายวิธี คอื
๔.๑ สรปุ ความ คือย่อเรื่องที่บรรยายท้ังหมดสั้น ๆ เพ่ือให้ผฟู้ ังเข้าใจและจดจาได้
งา่ ยว่าที่พูดมาทั้งหมดวา่ ดว้ ยเร่ืองใดบ้าง
๔.๒ ย้าจุดสาคัญ เป็นการย้าจุดท่ีผู้พูดเห็นว่าสาคัญนามาพูดใหม่ในตอนสรุป
ยอ่ มทาให้ความม่งุ หมายเฉพาะของการพดู เด่นชัดและฝังแนน่ ในตวั ผู้ฟงั เช่น "กล่าวโดยสรุป การท่เี รา
จะรกั ษาต้นนา้ ลาธาร และบรรเทาภัยที่จะเกดิ จากน้าท่วมได้นั้น จาเป็นที่เราจะต้องร่วมแรงรว่ มใจกัน
รักษาทรพั ยากรปา่ ไมเ้ อาไวใ้ ห้จงได"้
๒๗๒
๔.๓ ใช้ถ้อยคาตลกขบขัน วิธีนี้ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง เพราะการพูดตลกขบขัน
มักเป็นการชักจูงให้ออกนอกเร่ือง หรือทาให้รู้สึกว่า เรื่องท่ีพูดนั้นหย่อนความจริงจังลงไปมาก แต่ถ้า
สามารถกระทาไดด้ ี จะทาใหค้ นฟงั จดจาไดเ้ ป็นอย่างดี
"ท่านท้ังหลายคงจะทราบแล้วว่าทองแพงทาให้ร่างกายเจ็บปวดได้ ด้วยเหตุ
ทท่ี องแพงน่ีแหละ ผมจึงเจ็บปวดนัก เพราะเมื่อก่อนฟันปลอมซี่หนึ่ง ไมก่ ่ีรอ้ ยบาท มาบัดน้ีซีหน่ึงราคา
เรือนหมื่น กเ็ พราะทองแพงผมกเ็ ลยฟนั โหวอ่ ย่จู นทกุ วันนี้"
๔.๔ การสรรเสริญสดุดี มักใช้ในโอกาสพิเศษ เช่น การเฉลิมฉลอง การเล้ียงส่ง
การชุมนุมเพ่ือแสดงความระลึกถึง โอกาสเหล่านี้มักจบลงด้วยคาสดุดีเกียรติคุณ หรือถ้อยคาท่ีแสดง
ความตน้ื ตนั ใจอยา่ งสุดซ้งึ เชน่ ครบรอบรอ้ ยปีเกดิ ของเซอร์ วอลเตอร์ สกอต สรปุ ด้วยคาสคดุ ีว่า
"สกอตแลนด์ได้กล่าวคาอาลาแก่บุตรผู้ล่วงลับแล้วของตน แต่มวล
มนุษยชาติท้ังหลายได้อ้าแขนต้อนรับเขาในฐานะท่ีเป็นของขวัญอันล้าค่าจากสกอตแลนด์ บรรจงสวม
มงกุฎให้แก่เขาอยู่ตราบทาทุกวันนี้ ในฐานะที่เป็นทายาทแห่งความไม่รู้จักตาย" (นิพนธ์ ศศิธร,
๒๕๒๔, ๑๓๖)
๔.๕ ใช้ถ้อยคาอาลา ใช้ในโอกาสที่จะต้องจากกัน เช่น "ผมเร่ิมอาชีพราชการท่ีน่ี
ได้พบเพื่อนรักและภรรยาที่แสนดีที่นี่ ได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับบัญชา และเจริญเติบโตในสาย
งานอาชีพก็ที่น่ี บัดนี้ถึงเวลาท่ีผมจะต้องจากสถานที่อันเป็นที่รัก เพื่อไปรับราชการในท่ีใหม่ตาม
แนวทางของงานอาชีพ และความตอ้ งการของผู้บังคับบญั ชา จงึ ขออาลาท่านทง้ั หลาย ณ โอกาสน้ี"
๔.๖ ฝากข้อคิดหรือทิ้งท้ายท่ีเป็นภาพเด่นชัด โดยการท้ิงคาถามให้ผู้ฟังนาไปคิด
เป็นการบา้ น เชน่ เรอื่ ง "ภาวะผู้นา" อาจท้ิงท้ายว่า
"ท่านท้ังหลายครับ ผู้นาคือผู้อาสาแก้ปัญหาให้ตนเองและผู้อ่ืม คนดีดูท่ีการ
กระทา ผู้นาดูที่การเสียสละ ผู้นามองเห็นคาตอบในทุกปัญหา แต่ท่านเช่ือไหมครับผู้แพ้ย่อมมองเห็น
ปัญหาในทุกคาตอบ ท่านละครับ ท่านจะเป็นผู้นาหรือผู้แพ้ ฝากท่านท้ังหลายคิดพิจารณาเอาเองก็
แล้วกัน" (สเุ มธ แสงนิม่ นวล, ๒๕๔๐, ๓๐)
๔.๗ เชิญชวนให้ปฏิบัติตามหรือให้เห็นด้วย เช่น ชักชวนให้ลูกเสือชาวบ้าน
ร่วมกันพฒั นาหมบู่ ้าน อาจสรปุ วา่
"พ่นี ้องลกู เสอื ที่เคารพรักทงั้ หลาย ถึงเวลาแล้วที่เราจะมาช่วยกัน ร่วมมือกัน
พัฒนาหมู่บ้านของเราให้เจริญรุ่งเรือง โคยถือหลัก ๕ ร่วม คือ ร่วมคิด ร่วมสร้าง ร่วมใช้ประโยชน์
ร่วมรักษา และท่ีสาคัญคือร่วมใจ ถ้าเราร่วมกันได้ทุกร่วม หมู่บ้านของเรา ตาบลของเรา อาเภอ
ของเรา เจริญรุ่งเรื่องแน่นอน มาชิครับมาร่วมกันพัฒนาหมู่บ้านด้วยกันตั้งแต่บัดน้ีเป็นต้นไป" (สุเมธ
แสงน่มิ นวล, ๒๕๔๐, ๓๐-๓๑)
๒๗๓
๔.๘ ยกคาคม คาพังเพย สุภาษิต กาพย์กลอน หรือวาทะของบุคคลสาคัญ
โดยเฉพาะพุทธสุภาษิตมาลงท้าย มักจะประสบความสาเร็จเสมอ เช่น ยกคาคม ของจอห์น เอฟ
เคนเนดี้
"ท่านคณะกรรมการหมู่บ้านท่ีเคารพรักทั้งหลาย หมู่บ้านของเราจะ
เจริญรุ่งเรืองหรือไม่ อยู่ที่กามือของท่านท้ังหลายแล้ว เรามาช่วยกันพัฒนาหมู่บ้านให้เจริญนะครับ
โดยอยากให้ถือคติของอดีตประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จอห์น เอฟ เคนเนด้ี ที่ว่า อย่า อย่าถามว่า
รฐั บาลจะให้อะไรแก่พวกเราได้บ้าง แต่จงถามตัวของท่านเองว่า เราจะให้อะไรแก่รัฐบาลได้บ้าง ครับ
เรามาใหแ้ ละใหก้ ารพัฒนาแกห่ มบู่ า้ นของเราดีกวา่ " (สุเมธ แสงนิ่มนวล, ๒๕๔๐, ๓๑) หรอื
"ก่อนลาจากการบรรยายในวันน้ี มีคากล่าวที่น่าสนใจว่า ถ้าต้องการความ
สบายให้ขวนขวายทาความดี ถ้าต้องการเป็นเศรษฐีให้มีการประหยัด ถ้าต้องการสมบัติให้มีความ
กตัญญูถ้าต้องการความรู้ ให้คบบัณฑิต ถ้าต้องการมิตรให้รู้จักเสียสละ ถ้าต้องการพละให้บริหาร
ร่างกายถ้าต้องการเป็นนายให้มีความยุติธรรม ถ้าอยากให้คนอุปถัมก็ให้อ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าอยากให้
งานมีผลให้มีความขยัน และถ้าอยากให้เร่ืองสั้น เขาบอกให้หยุดพูด ครับ ผมก็อยากหยุดพูดแล้วครับ
ขอความสขุ สวัสดีจงมีแตท่ ุกท่านครับ สวสั ดี" (สุเมธ แสงน่มิ นวล, ๒๕๔๐, ๓๒)
๔.๙ อวยพรก่อนลา อาจอวยพรให้ผู้ฟังมีความสุข ความจริญ ให้ได้เลื่อนยศ
ตาแหนง่ หน้าทก่ี ารงานใหส้ มใจปรารถนา ใหส้ ุขภาพเขง็ แรงสมบรู ณ์ ฯลฯ
๔.๑๐ ลงท้ายแบบคลายปมปญั หาทผ่ี ูกไว้ เช่น "โรคทส่ี าธยายถึงโทษสาหัสสากรรจ์
มาแลว้ นน้ั คอื โรคเกยี จคร้าน และโรคฉอ้ ราษฎรบ์ ังหลวงนั่นเอง" (นเรศ นโรปกรณ์ ม.ป.ป., ๘)
๔.๑๑ ลงท้ายแบบประกาศเจตจานงส่วนตัวในเรื่องใดเรื่องหน่ึง ซึ่งส่วนใหญ่ต้อง
เป็นคนสาคัญ หรือคนที่กาหัวใจของเร่ืองน้ัน ๆ อยู่ เช่น พูคเรื่องการทุจริตในวงราชการ ในฐานะท่ีผู้
พดู เปน็ นายกรัฐมนตรี ใชค้ าลงท้ายว่า
"ข้าพจ้าเข้ามาแบกภาระบ้านเมือง เพื่อสรา้ งความเจรญิ ให้เกิดขึน้ ทุกวิถที าง
ถา้ ข้าพเจ้าไม่สามารถกาจัดทุจริต คอรัปช่ันลงได้ในสองปีตามที่ตั้งใจไว้ ข้าพเจ้าก็จะไม่ด้านหน้าอยู่ใน
ตาแหนง่ นายกรฐั มนตรอี ีกตอ่ ไปเป็นอันขาด" (นเรศ นโรปกรณ์, ม.ป.ป., ๘๒)
๔.๑๒ ลงทา้ ยแบบเปรียบเทยี บ หรือยกอทุ าหรณป์ ระกอบ เชน่
"โรงงานไกลหูไกลตาเจ้าหน้าท่ีบ้านเมือง มักจะเทของเสียลงแม่น้าอย่าง
โรงงานริมแม่น้าแม่กลอง ผลก็คือแม่น้าแม่กลองเน่า ปลาตายเป็นแพมากท่ีสุด ถ้าท่านยังอยากให้
แม่น้าเจ้าพระยา ท่าจีน บางปะกง เป็นอย่างน้ันบ้าง ก็เชิญเทน้าเสีย และท้ิงของโสโครกลงไปเถิด
ไม่ผดิ หวงั แน"่ (นเรศ นโรปกรณ์, ๒๕๔๐, ๘๒)
๒๗๔
ข้อบกพรอ่ งในการสรปุ
๑. จบห้วนเกินไปหรือเย่ินเย้อ ความมุ่งหมายของการสรุปก็เพื่อตลบการพูดให้
กระชับแน่นอีกคร้ังหน่ึง อย่าหยุดโดยกะทันหันเหมือนกับจะรีบไปทาธุระอ่ืน แต่อย่าให้ยาวนักจน
คนฟังต้องถอนหายใจ ทีจ่ บโดยกะทนั หนั มักจะมีคา ขอจบ ขอยุติ ไมม่ ากกน็ ้อย เช่น
"ท่พี ูดมาน้ี ก็สมควรแกเ่ วลาแล้ว กข็ อจบเพยี งเท่านี้"
"ความคิดเห็นของผมเก่ียวกับปัญหาน้ีก็มีเพียงเท่านี้ จงึ ขอยุติการพูดไว้แต่เพียง
เทา่ น"้ี
"ที่กล่าวมาท้ังหมดน้ี ก็หวังวา่ ท่านคงจะไดร้ ับประโยชน์บ้างไม่มากกน็ ้อย สวัสดี
ครบั " (ทนิ วฒั น์ มฤกพิทักษ์, ๒๕๒๕, ๕๓)
๒. ขออภัยหรือขอโทษผู้ฟัง เป็นการแสดงให้เห็นว่าผู้พูดไม่มีความเช่ือม่ันใน
ตนเองพอเพราะถ้าต้ังใจพูดเป็นอันดี เตรียมตัวมาอย่างดี และพยายามพูดอย่างดีท่ีสุดแล้ว ย่อมจะ
ได้รบั ความเห็นใจจากผ้ฟู งั ตัวอยา่ งการขออภยั ผฟู้ งั เชน่
"ท่ีพูดมาท้ังหมดนี้ อาจมีอะไรผิดพลาดบ้างไม่มากก็น้อย ก็ขอโทษท่านผู้รู้
ทัง้ หลายเอาไว้ ณ ท่นี ีด่ ้วย" (ทินวฒั น์ มฤคพทิ ักษ,์ ๒๕๒๕, ๕๓)
๓. ยกเอาหัวข้อใหม่ท่ีสาคัญเพิ่มเติมอีก ถ้าจะมีควรอยู่ในตอนคานา หรือเน้ือ
เรอ่ื ง
๔. สรุปนอกเรื่อง วิธีนี้จะเบนความสนใจของผู้ฟังออกไปจากจุดสาคัญท่ี
ต้องการจะให้คนฟงั ไดร้ บั ทราบ เป็นการเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
๕. ทาให้คนฟงั ขาดความสนใจ ตอนจบต้องสรา้ งความประทับใจใหก้ บั คนฟงั ให้
มากทสี่ ุดอยา่ ใหค้ นฟงั ขาดความสนใจเป็นอันขาด
๖. ขอบคุณผู้ฟัง การกระทาเช่นน้ีไม่เกิดผลดีอะไรข้ึนมา เพราะไม่ได้ให้ความ
กระจ่าง หรอื ย้าจดุ สนใจใด ๆ เชน่
"ในทสี่ ุด ผมก็ขอขอบคณุ ทา่ นทง้ั หลาย ที่อตุ สา่ ห์มานัง่ ฟงั ตงั้ แต่ต้นจนจบ"
"สุดท้ายนี้ ผมขอขอบคุณท่านผู้ฟังทุกท่านท่ีให้เกียรติแเก่ผมมาพูดในวันนี้
อีกครง้ั หนึ่งขอบคุณครับ" (ทนิ วัฒน์ มฤคพทิ กั ษ์, ๒๕๒๕, ๕๔)
๕. การอาลาผู้ฟัง ในการจบเร่ือง ควรใช้ภาษาเป็นสัญญาณเตือนผู้ฟังให้ทราบว่า
การพูดใกล้จะจบลงแลว้ เช่น "ในทีส่ ุดนี้..." "สุดท้ายนี้..." "ผมขอเรยี นย้าอกี คร้ังหนึ่งกอ่ นที่จะจบว่า...."
ฯลฯ (วิจิตร อาวะกุล, ๒๕๒๗, ๓๗-๓๘) และจบลงโดยอาจจะใช้คาว่า "ขอบคุณ" หรือ "สวัสดี"
พรอ้ มท้งั โค้งคานับ หรือยกมอื ไหว้
๒๗๕
การเตรียมเร่ืองพูดตามขั้นตอนต่าง ๆ ที่ได้กล่าวมาน้ี นักการเมืองชาวไอริชผู้หนึ่ง
ได้ให้คาแนะนาส้ัน ๆ สาหรับการพูดว่า "ประการแรก บอกคนฟังถึงเร่ืองท่ีต้องการจะบอก (คานา)
แล้วจึงบอกเขา (เนื้อเร่ือง) แล้วบอกเขาว่าได้บอกอะไรแก่เขาบ้าง" (สรุป) (นิพนธ์ ศศิธร, ๒๕๒๔,
๑๔๐) และควรกาหนดสัดสว่ นของเนอ้ื หาในเรื่องทจี่ ะพูด ดงั นี้
คานาหรือคาขึน้ ตน้ ๕-๑๐%
เน้ือเร่อื ง ๘๐-๙๐%
สรปุ ๕-๑๐%
โดยยึดหลักท่ีว่า ขึ้นต้นให้ตื่นเต้น ตอนกลางหรือเนื้อหาให้กลมกลืน และจบลงให้
จบั ใจ (พ.ท.ทองขาว พว่ งรอดพันธ์ุ, ๒๕๓๒, ๗๔)
การรา่ งต้นฉบบั
เม่ือได้ศึกษาส่วนต่าง ๆ ของเร่ืองแล้ว ต่อมาให้ร่างตันฉบับของเร่ืองท่ีจะไปพูดให้
ครบถ้วนทุกส่วน เร่ิมตั้งแตค่ าปฏิสนั ถาร คานา เนื้อเรอื่ ง สรุป และการจบเร่ือง เพ่ืออาลาผู้ฟัง จงอย่า
ลืมว่านักพูดผู้เตรียมตัวมาพรอ้ มเทา่ นั้นทส่ี มควรจะได้รับความเชอ่ื มั่น การเตรยี มพรอ้ มท่ีสมบรู ณแ์ บบ
จะสามารถขจัดความหวาดหว่ันต่อผู้ฟังได้ (เคล คาร์เนกี้ ม.ป.ป., ๔๒)
เพราะฉะนั้นเมื่อจะต้องพูดทุกครั้ง ผู้พูดควรมีการบันทึกประเด็นสาคัญไว้บน
แผ่นกระดาษเล็ก ๆ ท่ีสามารถถือไว้ในมือข้างหนึ่ง ให้เขียนส่ิงที่จะพูดลงไปให้หมด แล้วฝึกฝนให้
คนุ้ เคยจากนั้นก็ย่อให้สั้นลง ต้องตรวจดูว่าบันทกึ น้ันถูกตอ้ งตรงตามประเด็นที่จะพูดหรอื ไม่ อาจจะใช้
ปากกาลีตา่ ง ๆ เพ่ือช่วยใหผ้ ้พู ูดใชเ้ สียงในระดบั ตา่ ง ๆ กนั หรอื เพ่ือการหยุดชวั่ คราว (ชาญชัย อาจนิ ส
มาจาร ม.ป.ป., ๑๐๒) ควรเขียนบนกระดาษแห้ง เพราะใช้สะดวก และบนมุมกระดาษควรมีเลขกากับ
บอกแผ่นไว้ด้วย เม่ือเวลาพูดจริง ควรวางบันทึกไว้บนโต๊ะ หรือถือไว้แต่อย่าให้เกะกะเพ่ือใช้อ่าน แต่
อย่าพ่ึงบันทึกอย่างเดียว ก่อนพูดต้องซักซ้อมทบทวนเนื้อหา หัวข้อ ขั้นตอน และแนวคิดจนจาได้โดย
ตลอด (ปรชั ญา อาภากลุ และกรนุ นั ทน์ รตั นแสนวงษ์, ๒๕๔๐, ๓๘)
ในการรา่ งต้นฉบับพยายามคิดเสมอวา่
๑. การกล่าวปฏิสันถารและคาอาลาต้องใช้ภาษาให้เหมาะกับสถานการณ์ หรือ
กาลเทศะทจี่ ะพูด
๒. คานา เนื้อเร่ือง และสรุป ต้องเขียนให้อยู่ในประเด็นของหัวข้อเร่ืองที่จะพูดและ
สอดคล้องกบั จดุ มุ่งหมายของการพูดเสมอ
๓. ต้องเรียบเรียงหรือลาดบั ความคิดให้เนื้อหาทุกตอนเชื่อมโยงสัมพนั ธ์กันตั้งแต่ตน้ จน
จบ
๒๗๖
๔. ใหภ้ าษาใหก้ ระชับ ชดั เจน เข้าใจงา่ ย และสภุ าพเหมาะกับสถานการณ์
คร้ันร่างเสร็จแล้ว พยายามอ่านทบทวนหลาย ๆ เท่ียว หากเน้ือหาตอนใดไม่เรียบร้อย
หรือบกพร่อง ให้ขัดเกลาแก้ไขเสียใหม่ จนกระท่ังได้ต้นฉบับท่ีพอใจ แล้วลองอ่านออกเสียงดัง ๆ
เหมือนกับการพดู จรงิ
๘.๑๐ บคุ ลกิ และท่าทาง
ความพอใจซ่ึงผู้ฟังมีต่อผู้พูดมิได้เกิดจากการได้ยินได้ฟังการพูดแต่เพียงอย่างเดียว หาก
ยงั เลยรวมไปกระทั่งบุคลิกภาพ อากัปกิริยา และท่าทางของผู้พูดด้วย
สาหรับผู้พูดที่ประสบปัญหาเก่ียวกับบุคลิกภาพและท่าทางประกอบการพูด จงมีความ
เชื่อมั่นได้ว่าท่านจะสามารถปรับปรุงแก้ไขข้อบกพร่องประการน้ีไปได้อย่างราบรื่นและไม่ยาก
การพัฒนาบุคลิกภาพและท่าทางประกอบการพูดดังจะได้กล่าวต่อไปน้ี ถือเอาหลักของความ
เหมาะสมเปน็ สาคญั และมิได้หมายความว่าผู้พูดจะต้องพยายามใช้ท่าทางประกอบการพูดใหม้ ากมาย
จนเกนิ ความจาเป็น
หลกั การพัฒนา
สาเนียงส่อภาษา กิรยิ าส่อสกลุ เพราะฉะน้นั คนส่วนใหญ่จึงมักวินจิ ฉัยอุปนิสัยใจคอของ
ผซู้ ึ่งตนพบเห็นโดยพิจารณาบุคลิกภาพและอากัปกิริยาก่อนอื่น ทั้ง ๆ ทกี่ ารวินิจฉัยดังกล่าวอาจจะถูก
จบั ตามองโดยบุคคลรอบข้างอยู่ตลอดเวลา จะโดยต้ังใจหรือไม่ตง้ั ใจก็ตาม ดังน้ัน ผู้พูด ท่ีดีจึงควรฉวย
โอกาสนใี้ ชบ้ ุคลกิ ภาพและท่าทางอันเหมาะสมสรา้ งคะแนนนิยมขึน้ มาให้ได้
๑. การแตง่ กาย
มนุษย์ทุกผู้ทุกนามย่อมมีความพึงพอใจในผู้ท่ีมีบุคลิกภาพดีจาเริญใจ ดังน้ันผู้พูด
ที่ดีย่อมต้องพยายามรักษาบุคลิกภาพอันดีงามและเหมาะสมกับกาลเทศะไว้ด้วยความระมัดระวัง
มีความสุภาพเรียบร้อยในการแต่งกายต้ังแต่ศรี ษะจรดปลายเท้า อยา่ ใหข้ ้อบกพรอ่ งเล็กนอ้ ยมาทาลาย
ความเช่ือถือซ่งึ ผฟู้ ังมีตอ่ ผูพ้ ดู ได้
การแต่งกายให้เหมาะสมกับกาลเทศะเป็นส่ิงสาคัญประการหนึ่งสาหรับผู้ พูดท่ีดี
เพราะฉะน้ันจึงควรวิเคราะห์ผู้ฟังและส่ิงแวดล้อมให้ดีเสียก่อนการพูดทุกครั้ง เพ่ือจะได้สามารถเลือก
แต่งกายไปในทางท่ีจะทาให้ผู้พูดเป็นกันเองและอยู่ใกล้ชิดกับฐานะของผู้ฟังที่สุด การแต่งกายวิจิตร
พิสดารจนเกินไปโดยเฉพาะในหมู่ผู้พูดสตรี นอกจากจะทาให้ไม่เป็นกันเองกับผู้ฟังแล้ว ยังอาจเบน
ความสนใจของผู้ฟงั จากการพูดไปส่เู คร่ืองแต่งกายของผู้พดู ได้ ทาให้ผพู้ ูดไม่ประสบความสาเร็จในดา้ น
การพูด แตไ่ ปประสบความสาเร็จในดา้ นเคร่ืองแตง่ กายงามแทน
๒๗๗
๒. การวางท่า
เม่ือผู้พูดอยู่บนเวที สายตาทุกคู่ของผู้ฟังจะจ้องเขม็งมายังผู้พูดเป็นทางเดียว
เพราะฉะนน้ั ไมว่ า่ ผูพ้ ดู จะวางทา่ ดเี ลวเพยี งใด ต่างกอ็ ยูใ่ นตายตาของผู้ฟงั ท้ังสิ้น
การวางท่าที่ถูกต้องและเป็นธรรมชาติจะช่วยให้ผู้ฟังมีความรู้สึกในทางท่ีดีต่อผู้พูด
ช่วยให้ผู้พูดมีความรู้สึกเชื่อม่ันในตนเองยิ่งข้ึน และยังจะช่วยให้การเปล่งเสียงของผู้พูดเป็นไปอย่างมี
สมรรถภาพ
ลักษณะของการวางท่าท่ีดีคือการยืนตามสบาย ไม่ต้องเกร็ง สามารถเปลี่ยน
อิริยาบถตามธรรมชาติซึ่งจะไมท่ าให้บุคลิกภาพของผ้พู ูดเสีย ปลอ่ ยน้าหนักตัวลงบนฝาเท้าทั้งสองข้าง
ซ่ึงวางแยกกันเล็กน้อย ปล่อยมือทั้งสองข้างไว้ข้างลาตัวหรือวางลงบนแท่นพูดอย่าพยายามเอามือยึด
กับไมโครโฟนหรือเท้าแท่นพูดจนร่างโน้มลง ทาให้ขาดความสง่าผ่าเผย และพยายามอย่าเอามือไพล่
หลังหรือเอามากุมไว้ข้างหน้าซ่ึงจะทาให้ไม่น่าดู และรู้สึกว่าผู้พูดวางตัวสูงกว่าหรือต่ากว่าผู้ฟัง
จนเกนิ ไป
๓. อากปั กิริยา
การเคล่ือนไหวร่างกายเป็นธรรมชาติเป็นส่ิงปกติธรรมดาของผู้พูดท่ีดี ผู้พูดย่อมมี
ความอิสระในการที่จะเคล่ือนไหวส่วนต่าง ๆ ของร่างกายไปตามอารมณ์ความรู้สึกโดยธรรมชาติได้
การเอียงคอ เอียงตัว ยักไหล่ การเดิน ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเป็นอากัปกิริยาซ่ึงผู้พูดย่อมกระทาได้แม้ไม่มี
ความหมายใด ๆ แฝงอยู่เลย เพราะเป็นการช่วยให้การพูดดเู ป็นธรรมชาติขึ้น และเป็นการเปิดโอกาส
ใหผ้ พู้ ดู ได้ผอ่ นคลายความตึงเครยี ดทางสรีระของตนในขณะพดู ด้วย
อย่างไรก็ตาม อากัปกิริยาบางอย่างก็ควรมีการระมัดระวังและละเว้น กล่าวคือ
การล้วง แคะ แกะ เกา หาว โยก ค้อน กะพริบ เป็นต้น ซึ่งเป็นลักษณะอาการอันไม่น่าดูในขณะ
ปรากฏตวั ตอ่ หน้าทชี่ ุมนมุ ชน
นอกจากนั้น ควรระวังอย่าแสดงอากัปกิริยาใดซ้าซากจนเป็นนิสัยให้ผู้ฟังสังเกตได้
เพราะหากอากัปกิริยาใดมีบ่อยเกินไปจนผู้ฟังจับได้ จะทาให้เกิดความรู้สึกขัดตาและเป็นผลเสีย
ต่อการพดู
๔. สีหน้าและสายตา
ส่ิงที่ถ่ายทอดความรู้สึกจากน้าใสใจจริงของผู้พูดไปสู่ผู้ฟังได้ดีท่ีสุด คือ สีหน้าและ
สายตา โดยทั่วไป การยิ้มแย้มแจ่มใสแต่พอสมควรตามความเหมาะสมเป็นลักษณะของการพูด
ซงึ่ ตอ้ งการปลูกสร้างความเป็นกันเอง แต่ในบางคร้งั ผู้พูดต้องเปล่ียนความรู้สกึ ทางสีหน้าให้เป็นไปตาม
สาระของการพูดด้วย บางครั้งต้องมีความจริงจัง บางคร้ังมีความร่าเริงยินดี บางครั้งมีความโศกเศร้า
๒๗๘
รันทด หรือบางครั้งมีความไม่พ่ึงพอใจ เป็นต้น ทั้งน้ีขอให้ยึดหลักของความเป็นธรรมชาติและความ
จรงิ ใจ อย่าพยายามแสรง้ ตีสีหนา้ ท้ัง ๆ ที่ในส่วนลกึ ของจติ ใจไม่มีความรู้สึกเช่นนนั้ เลย จะทาให้ผู้ฟงั รู้
ไดท้ ันทีว่าผู้พดู ไมม่ ีความจรงิ ใจ และผฟู้ ังจะขาดความเชือ่ ถือในตัวผพู้ ดู ไป
สาหรับการใช้สายตาน้ัน มีผู้เคยกล่าวว่า หากต้องการรู้ว่าผู้พูดมีความจริงใจ
อย่างไรให้มองดวงตาของผู้พูด เพราะฉะนั้น ผู้พูดที่ดี และมีความจริงใจจะต้องเผยดวงตาแก่ผู้ฟัง
มองผู้ฟังให้ท่ัวถึง เพื่อให้สนใจท่ีจะติดตามฟังการพูดโดยตลอด เพราะนอกจากการมองผู้ฟังเป็นการ
แสดงให้เห็นว่าผู้พดู มีความจริงใจแลว้ ยงั แสดงวา่ ผู้พดู มีความสนใจและไม่ทอดท้ิงผฟู้ งั ดว้ ย
๕. การใชม้ อื ประกอบการพูด
ผู้พูดที่ฉลาดมักสามารถใช้มือให้เป็นประโยชน์ต่อการพูดได้เป็นอย่างดี ในขณะที่
ผู้พูดซึ่งไม่คุ้นเคยกับการใช้มือประกอบการพูดต้องพลาดโอกาสอันดีนี้ไปอย่างน่าเสียดายจุดมุ่งหมาย
ของการใช้มอื ประกอบการพดู อาจแบ่งเปน็ ๒ ประการ คอื
๕.๑ เพ่ือขยายความ ในกรณีต้องการให้ผู้ฟังมีความกระจ่างในเนื้อหาที่ตนพูด
ยง่ิ ข้ึนหรอื สามารถนึกภาพของสง่ิ ที่ตนกาลังกล่าวได้อย่างงา่ ย ๆ ผู้พดู กอ็ าจใชม้ ือประกอบในการชี้แจง
เชน่ การบอกถงึ ทศิ ทาง จานวน ขนาด และรูปร่าง เป็นต้น
๕.๒ เพ่ือเพิ่มน้าหนักให้กับคาพูด บางครั้งผู้พูดอาจไม่ต้องการขยายความ เพราะ
คาพูดนั้นกระจ่างต่อผู้ฟังพอแล้ว แต่เพื่อเป็นการแสดงอารมณ์ ความรู้สึก หรือความหนักแน่นของ
คาพูด ผู้พูดก็อาจยกมือประกอบการพูดในลักษณะต่าง ๆ กันตามธรรมชาติ และเนื้อหาในตอนนั้น ๆ
ได้ การยกมือในบางครงั้ ของผูพ้ ูดอาจจะไม่เก่ยี ว หรือมิไดแ้ สดงความหมายใกล้เคียงกับคาพูดที่พูดเลย
แต่ก็มิใช่ข้อห้าม เพราะอารมณ์ความรู้สึกในส่วนลึกได้บงการประสาทให้ทาตาม เช่น การฟาดมือ
ขนึ้ ลง เปน็ ต้น
เกี่ยวกับการใช้มือประกอบการพูด มีข้อระวังบางประการ คือ อย่าใช้ท่าทางใด
บ่อยซ้าซาก อย่าพยายามชี้ผู้ฟังเพราะเป็นท่าทางอันไม่สุภาพ อย่าแสดงท่าทางซึ่งไม่จาเป็นกล่าวคือ
ไมแ่ สดงท่าทางในตอนซ่ึงคาพูดชัดเจนอยู่แล้วและไมต่ ้องการการเน้นแตอ่ ยา่ งไรนอกจากนน้ั ควรระวัง
จังหวะในการยกมือประกอบการพูดให้ราบร่ืนพอดีกับคาพูดหรือก่อนคาพูดเล็กน้อย อย่าแสดงท่าทาง
ภายหลงั ทเี่ ปล่งคาพูดอันเกยี่ วข้องออกไปแล้วเป็นอนั ขาด
การใช้มือประกอบการพูดในบางครั้งควรต้องพิจารณาสถานท่ี จานวน และ
ประเภทของผู้ฟังประกอบด้วย เช่น การพูดในท่ี ๆ คนฟังเป็นหม่ืน จะยกมือประกอบการพูดให้
ยิ่งใหญ่มโหฬารอย่างไรก็ได้ แต่การพูดในที่ ๆ มีคนฟังเพียงสามสิบคน ผู้พูดย่อมแสดงท่าทางให้
ยง่ิ ใหญ่ขนาดนั้นไมไ่ ด้ เพราะจะทาให้เกดิ ความร้สู ึกขดั เขนิ ขึ้นอย่างมาก
๒๗๙
๘.๑๑ สรุป
บทความน้ีมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษาศาสตร์และศิลป์ของการพูด เน่ืองจากการพูดเป็น
พฤติกรรมการสื่อสารท่ีเกิดจากการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก หรือความต้องการของผู้พูด
ซึ่งเป็นผู้ส่งสารที่มีความหมายไปยังผู้ฟังซ่ึงเป็นผู้รับสาร โดยใช้ถ้อยคา น้าเสียง สีหน้า แววตา และ
อากัปกิรยิ าท่าทาง เพื่อให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจและรับรตู้ รงกัน และมปี ฏิกิริยาตอบสนองต่อสารท่ีผู้พูด
ได้สื่อมาถึงตน การพูดจึงมคี วามสาคัญต่อการดารงชีวิตมนษุ ย์เป็นอย่างมากไม่ว่าจะอาศัยอยู่ในตาบล
ใด ประกอบหน้าท่ีการงานใด หรือคบหาสมาคมกับผู้ใดก็ตาม ล้วนต้องอาศัยทักษะการพูดให้เกิด
ประโยชน์ท้ังแก่ตนเองและผู้อ่ืนแทบท้ังสิ้นปัจจัยเกื้อหนุนท่ีช่วยให้การพูดประสบความสาเร็จก็คือ
การรู้จักกาหนดวัตถุประสงค์ท่ีชัดเจนก่อนการพูด เพราะนอกจากจะช่วยให้ผู้พูดสามารถกาหนด
ทิศทางการพูดได้ถูกต้องแล้ว และยังช่วยให้ผู้ฟังสามารถรับรู้เร่ืองราวได้อย่างต่อเน่ืองตามลาดับ
การพูดโดยทั่วไปจึงมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ความรู้จูงใจหรือโน้มน้าวใจ จรรโลงใจ และตอบข้อสงสัย
ก่อนการพูดทุกคร้ังผู้พูดควรศึกษาวัตถุประสงค์ของการพูด เพ่ือเตรียมเน้ือหาให้เหมาะสมกับ
สถานการณ์และกลุม่ ผู้ฟังส่ิงที่ผู้พูดควรจะพิจารณาอยู่เสมอก็คือการพูดให้สอดคลอ้ งตามวัตถปุ ระสงค์
และเหมาะสมกับงานในโอกาสต่าง ๆ โดยภาพรวมมีการแบ่งการพูดออกเป็น ๖ ประเกท ได้แก่
การพูดเพื่อการส่ือสารระหว่างบุคคลอย่างไม่เป็นทางการ และการพูดเพื่อการสื่อสารระหว่างบุคคล
อย่างเป็นทางการ หากได้รับเชิญให้พูดในที่ประชุมชนอย่างกะทันหัน มีข้อควรปฏิบัติ คือ ควบคุมสติ
ให้มั่น นึกถึงความรู้ประสบการณ์ กล่าวทักทายผู้ฟังให้ชัดถ้อยชัดคา สังเกตปฏิกิริยาผู้ฟังในขณะพูด
และไม่ควรใช้เวลาในการพูดนานเกินไป การพูดอย่างเป็นทางการอีกลักษณะหน่ึง ได้แก่ การพูดจาก
การอ่านต้นฉบับที่เตรียมมา เพ่ือหลีกเล่ียงข้อผิดพลาดและต้องการจะควบคุมเวลาให้พอเหมาะ เช่น
การแถลงนโยบายของนายกรัฐมนตรี ผู้พูดควรใช้ภาษาท่ีเป็นทางการ และฝึกซ้อนการอ่านให้ถูกต้อง
ตามอกั ขรวิธี
ผู้พู ด ที่ มี ป ระสบ ก ารณ์ น้ อยอาจเลือกใช้ การพู ดโด ยก ารท่ องจาเน้ื อห าต าม บ ท พู ด
ซึ่งประกอบด้วยความนา-เนื้อเร่ือง-และส่วนสรุป ข้อดี คือ ช่วยให้ผู้พูดถ่ายทอดเน้ือหาได้ทั้งหมดและ
จบได้ตามเวลาทก่ี าหนด แตม่ ีขอ้ เสีย คือ อาจจะลมื เนื้อหาท่ีทอ่ งจาไว้ ทาใหข้ าดความเชื่อมนั่ ในตนเอง
การใช้ภาษา และกิริยาท่าทางไม่เป็นธรรมชาติ สาหรบั ผู้พูดที่มีความชานาญจะเลือกวิธีการพูดโดยใช้
ความรู้และประสบการณจ์ ากการเตรียมตัวล่วงหนา้ เพราะสามารถใช้ศาสตร์และศิลป์ประกอบการพูด
ได้อย่างเป็นธรรมชาติ ทาให้เร่ืองที่พูดดูน่าสนใจ ตรงใจผู้ฟัง ผู้พูดจะใช้วิธีบันทึกโครงเร่ืองเป็นหัวข้อ
ส้ัน ๆ แล้วขยายความไปตามความเข้าใจในเน้ือหา สามารถปรับหัวข้อให้สอดคล้องกับสถานการณ์
และปฏิกิริยาของผู้ฟังได้ตลอดเวลาการท่ีจะพัฒนาตนเองจนถึงข้ันเป็นนักพูดท่ีดีได้นั้น ผู้พูดต้องผ่าน
บททดสอบมากมายด้วยตัวเองเพราะทุกคนไม่ได้มีพรสวรรค์มาตั้งแตเ่ กดิ ตอ่ เม่อื มคี วามใฝ่ฝันที่จะเป็น
๒๘๐
จึงต้องมุมานะมุ่งมั่น ขยันหมั่นฝึกฝน จนเกิดทักษะความชานาญ ผู้พูดควรศึกษาหลักการเป็นนักพูด
ที่ดี ๑๒ ประการ ไดแ้ ก่
๑) เปน็ นกั ฟงั ท่ดี ี ๒) เปน็ นักอ่านท่ีดี
๓) เป็นผู้มีบคุ ลิกภาพท่ดี ี ๔) เป็นผมู้ ีความเชื่อมน่ั ในตนเอง
๕) เป็นผมู้ ีความรู้ในเร่ืองที่พูด ๖) เป็นผมู้ คี วามจริงใจ
๗) เปน็ ผมู้ ีความรับผดิ ชอบ ๔) เปน็ ผู้มใี จเปิดกวา้ งยอมรบั ความจรงิ
๙) เปน็ ตวั ของตวั เอง ๑๐) เป็นผูใ้ สใ่ จตอ่ การวิเคราะหผ์ ้ฟู งั
๑๑) เป็นผู้มมี ารยาทในการพดู ๑๒) เป็นผ้ฝู กึ ฝนทักษะการพูดอยเู่ สมอ
๘.๑๒ คาถามทบทวน
๑. ...........................................................................
๒. ...........................................................................
๓. ...........................................................................
๔. ...........................................................................
๕. ...........................................................................
๘.๑๓ เอกสารอ้างอิง
พระสิริมังคลาจารย์. มังคลัตถทีปนี ภาคที่ ๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหามกุฎราชวิทยาลัย,
๒๕๒๘.
คณาจารยม์ หาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช. ประมวลสาระชดุ วชิ าภาษาไทยเพือ่ การส่ือสาร. นนทบุรี
: สานกั พิมพ์มหาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธริ าช, ๒๕๕๕.
วาสนา บุญ สม. แบบเรียน สาเร็จรูปภ าษาไทย การฟั ง การพูด การอ่าน การเขียน .
กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพป์ ระกายแสง, ๒๕๔๓.
ประชา อภิบาล. ศลิ ปะการพูดท่ีชนะใจคน. กรงุ เทพมหานคร : สานักพิมพ์หอสมดุ กลาง .๙, ๒๕๔๐.
สภุ ัชชา นาทอง. ศลิ ปะการพูด พดู อย่างไรใหช้ นะใจคน. กรงุ เทพมหานคร : ณ ดา สานักพิมพ์,
๒๕๕๓.
แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี ๙
ศิลปะในการนาเสนองาน
หวั ข้อเนอื้ หาประจาบท
๑. ศลิ ปะการพดู นาเสนอ
๒. ความหมายและลาดับของการนาเสนอ
๒.๑ ความหมายของการนาเสนอ
๒.๒ ความสาคญั ของการนาเสนอ
๒.๓ จดุ มุ่งหมายในการนาเสนอ
๒.๔ ประเภทของการนาเสนอ
๒.๕ ลักษณะของการนาเสนอ
๒.๖ การเตรยี มการนาเสนอ
๓. องคป์ ระกอบการนาเสนอ
๔. รูปแบบการนาเสนอ
๕. เทคนิคการนาเสนอทด่ี ี
๖. การนาเสนออย่างมอื อาชีพ
๗. เทคนคิ การวางทา่ ในการนาเสนอ
วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤติกรรม
๑. นักศกึ ษาสามารถอธบิ ายความหมาย ความสาคญั และองคป์ ระกอบของการนาเสนอ
๒. นักศึกษาสามารอธิบายรูปแบบของการนาเสนอ
๓. นกั ศกึ ษาสามารถนาเทคนิคการนาเสนอไปใช้ในชีวติ ประจาวนั ได้
วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน
๑. วธิ ีสอน
๑.๑ การประเมินความรเู้ ดมิ
๑.๒ ค้นควา้ หาความรดู้ ว้ ยตนเอง
๑.๓ อภิปรายเน้ือหาที่เรยี นมาท้งั หมด
๑.๔ การทางานร่วมกนั เป็นกลุม่
๑.๕ การฟงั การอภิปราย และการบรรยาย
๑.๖ การวเิ คราะหเ์ อกสาร
๑.๗ การนาเสนอผลงานกลุม่ /เดียว
๒๘๒
๒. กิจกรรมการเรียนการสอน
๒.๑ การประเมนิ ความรูเ้ ดิมของนกั ศึกษา
ใหน้ ักศึกษาทาแบบทดสอบเพ่อื ประเมินความรู้เดมิ ของนักศึกษา
๒.๒ การอภิปรายร่วมกนั ระหวา่ งอาจารย์และนกั ศึกษา
อาจารย์นานกั ศกึ ษาใหร้ ว่ มกันอภปิ รายในช้ันเรียนเกยี่ วกบั เรอื่ งศลิ ปะการพดู
๒.๓ การสนทนากบั ผ้สู อนเกีย่ วกบั ศิลปะการนาเสนอ
๒.๔ การแบง่ กล่มุ ศึกษาค้นควา้
ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มทางานสืบค้นความรุ้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมท้ังฐานข้อมูล
ในระบบอินเตอรเ์ น็ต และนาข้อมูลที่คน้ คว้าได้มาเรยี บเรยี งเปน็ เอกสารและนาเสนอในชั้นเรียน
๒.๕ การบรรยาย และถามตอบปญั หา
ให้นักศึกษาอ่านเอกสารประกอบการสอนล่วงหน้าก่อนฟังบรรยายจากอาจารย์ใน
ช้ันเรียน ซึ่งจะเน้นประเด้นที่นักศึกษาอ่านไม่เข้าใจ หรือสิ่งท่ีจาเป็นต้องยึดถือเป็นหลักในการฝึก
ปฏิบตั พิ ฒั นาทักษะในการนาเสนอ
๒.๖ การวเิ คราะห์เอกสารประกอบการบรรยาย
ให้นักศึกษาทางานร่วมกัน ศึกษาวิเคราะห์รูปแบบของผลงานตามที่ได้รับ
มอบหมายจากผสู้ อน พร้อมยกตวั อยา่ ง
ส่ือการเรียนการสอน
๑. เอกสารคาสอนประกอบการสอนศิลปะการนาเสนอ
๒. Power Point
๓. แบบฝึกปฏิบัตทิ ักาะการพูด
การวดั ผลและประเมินผล
๑. ประเมินความรหู้ ลังการเรียนเทยี บกับความรเู้ ดมิ ของนักศึกษา
๒. ประเมนิ การมีสว่ นรว่ มในการอภิปราย และสาระในการอภิปรายของนักศกึ ษา
๓. ประเมินผลงานจากการศกึ ษาค้นควา้ ของนักศึกษา
๔. ประเมินความสนใจจากบทเรียน ด้วยการสังเกต การซักถาม การมีส่วนร่วมในการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอน
๕. ประเมินการทางานกลมุ่ ของนักศึกษา และผลที่ได้จากการทางานร่วมกัน
บทที่ ๙
ศิลปะในการนาเสนองาน
นับต้ังแต่มนุษย์เรารวมตัวกันเป็นหมู่เหล่า มีภาษาเป็นสื่อในการถ่ายทอดความหมาย
มีผู้นาและผู้ตาม ศิลปะการพูดจึงได้เร่ิมเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจาวันของมนุษย์อย่างช้า ๆ และ
มากยิ่งขึ้นทุกที การออกคาส่ัง การชักชวน การชี้แจงต่อบุคคลหมู่มาก แม้ว่าจะไม่เป็นพิธีรีตองอะไร
เหล่าน้ถี ือเปน็ ศิลปะการพดู ท้งั สิน้
ในสมัยกรีก ผู้ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็นนักปราชญ์ราชบัณฑิตน้ัน นอกจากจะต้องเป็น
ผู้ทรงภูมิปัญญาอันเป็นที่ยอมรบั แล้ว ยังจะต้องเป็นผมู้ ีความสามารถในการถ่ายทอดภูมปิ ัญญาของตน
อีกดว้ ย ไมว่ ่าจะดว้ ยการเขยี นหรือการพูด
โรมในสมัยกลางได้กาหนดศิลปะวิชาการที่จาเป็น ๗ วิชา เรียกว่า "ศิลปศาสตร์
๗ ประการ" ประกอบด้วยวิชาไวยากรณ์ ศิลปะการพูด ตรรกวิทยา เลขคณิต เรขาคณิต ดาราศาสตร์
และดนตรี
ขณะเดียวกัน อินเดียซึ่งถือกนั ว่าเป็นแหล่งอารยธรรมที่สาคัญทางตะวนั ออกก็ได้กาหนด
"ศิลปศาสตร์ ๑๘ ประการ" ของตนข้ึนมาบ้าง มีวิชาศิลปะการพูดรวมอยู่ด้วย อินเดียยังมีคัมภีร์
มหาตมะ ซ่ึงบรรยายถึงคุณสมบัติของผู้เป็นมหาตมะ ซึ่งได้แก่ผู้มีอิทธิฤทธิ์และจิตใจสูง โดยกาหนด
คณุ สมบัติไว้ ๕ ประการ ประการหนึง่ ในจานวนน้ันคอื ตอ้ งเป็นผรู้ ู้วิชาวาทศาสตร์
แมแ้ ต่สุนทรภู่กวีเอกของไทยเรา ท่านก็ยังไดเ้ คยเขียนถึงความสาคัญของการพูดไว้หลาย
ตอนด้วยกนั ดังความตอนหน่ึงจาก "นิราศภูเขาทอง" ซง่ึ กลา่ วไว้ดงั นี้
ถึงบางพูดพูดดเี ป็นศรศี ักดิ์
มคี นรักรสถ้อยอรอ่ ยจิต
แมน้ พดู ช่ัวตัวตายทาลายมติ ร
จะชอบผิดในมนุษย์เพราะพูดจา
ปราชญ์ท่านอ่ืน ๆ ของไทยเราก็ได้ให้ความสาคัญแก่การพูดไว้มาก ซึ่งเราจะอ่านพบได้
ในวรรณคดีหลาย ๆ เร่ือง ดังเช่นความตอนหนึ่งจากพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลท่ี ๖ เรื่อง
"ววิ าหพ์ ระสมุทร"
ปากเป็นเอกเลขเปน็ โทโบราณว่า
หนงั สอื เปน็ ตรมี ีปญั ญาไมเ่ สียหลาย
ถงึ รูม้ ากไมม่ ปี ากลาบากตาย
มอี ุบายพูดไมเ่ ปน็ เห็นปว่ ยการ
๒๘๔
ถึงเปน็ ครูรวู้ ชิ าปญั ญามาก
ไมร่ ู้จกั ใชป้ ากไหจ้ ดั จา้ น
เหมือนเต่าฝงั นั่งช่ืออ้อื อราคาญ
วชิ าชาญมากเปลา่ ไมเ่ ขา้ ที
โดยสรุปแลว้ วิชาการพูดตอ่ ที่ชุมนุมชนเป็นวิชาที่มีประโยชน์และมคี วามจาเป็นอยา่ งยิ่ง
มาเป็นเวลาช้านานแล้ว ไม่ว่าจะเป็นยุคใดสมัยใด ในสังคมระดับใด หรือในแขนงอาชีพใด การพูดท่ีดี
นั้นจะเปน็ อาวธุ และอาภรณป์ ระดับกาย เป็นเคร่ืองสง่ เสรมิ ความก้าวหนา้ ความสาเรจ็ ท้งั ในทางสงั คม
และการงาน โดยเฉพาะอย่างย่ิงสาหรับผู้ที่ปรารถนาจะเป็นผู้นาหรือมีส่วนรว่ มอนั สาคญั ในกิจการตา่ ง
ๆ แลว้ การพูดต่อทช่ี มุ นมุ ชนเกือบจะเปน็ ส่งิ ซง่ึ ไม่อาจหลกี เลี่ยงไดเ้ ลย
๙.๑ การพูดคืออะไร
ทินวัฒน์ มฤคพิทักษ์ กล่าวว่า การพูดคือการสื่อสารความคิดจากผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง โดย
อาศยั น้าเสยี ง ภาษา และกิรยิ าท่าทางเปน็ ส่ือ
การพูดเป็นท้ังศิลปะและวิทยาศาสตร์อยู่ในตัวของมันเอง หมายความว่าส่วนหนึ่งของ
การพูดตอ้ งอาศยั ความสามารถเฉพาะตัว และอกี ส่วนหนงึ่ ก็มกี ฎกณฑ์สาหรับปฏิบัตแิ ละถ่ายทอดสกู่ ัน
ได้
เราอาจกล่าวได้ว่า แม้เครื่องมือสื่อข้อความจะก้าวหน้าทันสมัยข้ึนเพียงใด ความสาคัญ
ของการพดู ก็หาไดล้ ดน้อยลงไป ตรงกนั ข้าม กลับทวีความสาคัญขึน้ เปน็ เงาตามตวั
การพูดเปน็ ศลิ ปะ
เราปฏิเสธไม่ได้อย่างเด็ดขาดว่าการพูดมิใช่คิลปะ เช่นเดียวกันกับที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า
การพูดท่ีดีไม่จาเป็นต้องอาศัยพรสวรรค์ เพราะโดยเนื้อแท้แล้วการพูดที่ดี โดยเฉพาะการพูดต่อท่ี
ชุมนุมชนท่ีดี จาเป็นต้องอาศัยทั้งศิลปะและพรสวรรค์ของผู้พูดประกอบกันอยู่ด้วย เราจะสังเกต
เห็นได้ว่าการพูดของแต่ละคนมีความคิดผิดแผกแตกต่างกันไป แม้ว่าคนเหล่าน้ันจะได้รับการฝึกฝน
อบรมมาเท่า ๆ กันจากสถาบันเดียวกัน บางคนประสบความสาเร็จมาก ในขณะที่คนอ่ืน ๆ ประสบ
ความสาเร็จลดหล่ันกันลงมาผู้พูดบางคนมีความสามารถในการสร้างอารมณ์ขันเป็นเลิศ บางคนถนัด
ในการพูดปลุกเร้า ในขณะท่ีอีกคนอาจจะไม่สันทัดในการสร้างอารมณ์ขันหรือ พูดปลุกเร้า แต่กลับมี
ความสามารถเป็นเย่ียมในการบรรยายให้ความรู้ อย่างถ่องแท้ การสร้างอารมณ์ขันต้องอาศัยศิลปะ
อย่างหน่ึง เช่นเดียวกับการพูดปลุกเร้าหรือ ความเข้าใจแก่ผ้ฟู ังได้ การพูดบรรยายซึ่งต้องอาศัยศิลปะ
๒๘๕
ในแบบฉบับท่ีแตกต่างกันไป อัตราความสาเร็จของผู้พูดแต่ละคน จึงขึ้นอยู่กับคิลปะและพรสวรรค์ท่ี
แตกตา่ งกันไปดว้ ย
การพูดเปน็ ศาสตร์
หมายความว่าการพูดเป็นสิ่งซ่ึงสามารถจะนามาศึกษาฝึกฝนอบรมกันให้มีการพัฒนา
ไปในทางท่ีดีขึ้นได้คนเราทุกคนท่ีไม่เป็นใบ้ย่อมพูดได้มาต้ังแต่เด็ก แต่การพูดได้กับพูดดีน้ัน ต่างกัน
คนที่พูดได้บางคนพูดจาเนือย ๆ ตะกุกตะกัก บางคนพูดซ้าซากเย่ินเย้อยืดยาด บางคน พูดไม่ชวนฟัง
ไม่น่าเล่ือมใส เป็นต้น ซึ่งหากบุคคลเหล่าน้ีได้ผ่านการศึกษาอบรมและฝึกฝนใน ด้านการพูดอย่าง
พอเพียง ลกั ษณะท่ีรุ่มร่ามไมพ่ ึงปรารถนาเหล่าน้ีก็จะถูกขจัดให้หมดส้ินไปได้ อย่างแน่นอน กลายเป็น
คนท่ีพดู ดีขึ้นมา แทนท่ีจะเป็นคนพดู ได้แต่เพียงอยา่ งเดียว
อย่างไรก็ตาม ความสาเร็จที่เกิดตามข้ึนมานั้นอาจจะไม่เท่าเทียมกัน ขึ้นอยู่กับศิลปะ
และพรสวรรคข์ องแต่ละคนดังได้กล่าวไว้แล้ว บางคนเม่อื ผ่านการศึกษาอบรมและการฝึกไปแล้ว ก็พูด
ดีแต่เพียงพื้น ๆ ขนาดที่เรียกว่าไม่ถึงกับตกม้าตาย หรือต้องอับอายขายหน้าใคร ในขณะท่ีบางคน
อาจจะประสบความสาเรจ็ ยอดเย่ียม เป็นนักพูดเอกชนิดโด่งดังดับฟ้าเลยทีเดียว ทั้ง ๆ ที่ กอ่ นหน้านั้น
ก็เคยมีปัญหาเช่นเดียวกันกับคนอื่น ๆ ท้ังน้ีก็เพราะการศึกษาและการฝึกฝนจะสามารถช่วยขุดเอา
พรสวรรค์ทีซ่ ่อนเร้นอยู่ในตวั ของแต่ละคนใหป้ รากฏออกมาได้
เดมอสเธนิส นักพูดฝีปากเอกชาวกรีก ได้เคยพูดปลุกใจทหารท่ีกาลังระส่าระสายให้
ตอ่ สกู้ ับกองทัพอนั เกรยี งไกรของพระเจ้าฟลิ ปิ แหง่ เมสโิ ดเนียจนไดร้ ับชยั ชนะ
ตามประวัติแต่เดิม เดมอสเธนิสเป็นคนพูดติดอ่าง ไปพูดในที่ชุมนุมชนก็ถูกเย้ยหยัน
เหยียดหยามมาแล้ว แต่เดมอสเธนิสเป็นคนมีศรัทธาแก่กล้าในเร่ืองการพูด จึงหลบจากกรุงเอเธนส์ไป
ฝึกอยู่นอกเมือง ฝึกด้วยตนเอง พูดกับทะเลบ้าง ก้อนหินบ้าง จนคล่องแคล่วดีแล้วจึงกลับเข้ากรุง
เอเธนส์ และกลายเปน็ นกั พูดเอกของกรีกไปในที่สดุ
อดีตประธานาธิบดีอับราธัม ลินคอล์น แห่งสหรัฐอเมริกา เมื่อเริ่มเป็นทนายไปว่าความ
คร้ังแรก ปากสั่นขาส่ันเหงื่อตกด้วยความประหมา จนศาลสงสารสั่งให้น่ังลง ท่านได้พยายาม ฝึกฝน
ตนเองจนประสบความสาเร็จในการพูดอย่างยอดเย่ียม ได้รับการยกย่องว่าเป็นนักพูดเอกของโลก
สุนทรพจน์ของท่านท่ีเรียกกันว่า "สุนทรพจน์เกตต๊ิกสเบอร์ก" ได้รับเกียรติให้ลงบันทึกในหนังสือเอ็น
ไซโคลพีเดีย และเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง วาทะส่วนหน่ึงของท่านที่ว่า "รัฐบาล ของประชาชน
โดยประชาชน และเพื่อประชาชน จักไม่สูญสลายไปจากโลก" ได้กลายมาเป็น รากฐานอันสาคัญยิ่ง
ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
เซอรว์ ินสตนั เซอร์ชิล รัฐบุรษุ ขององั กฤษผู้เป็นทั้งนักการเมอื ง นักการทหาร และนักพูด
เคยใชัวาทศลิ ปัทั้งในและนอกรัฐสภา ปลุกใจทหารหาญตลอดจนชาวองั กฤษทั้งมวลให้ เป็นน้าหน่ึงใจ
๒๘๖
เดียวกัน ต่อผู้ป้องกันเกาะอังกฤษได้สาเร็จมาแล้วเมื่อปลายสงครามโลกคร้ังที่ 2 ตามประวัติ
เซอร์ซิลพูดไม่ค่อยจะชัดและพูดพล่ามจนได้ช่ือว่าเป็นนักพูดท่ีพูดไม่รู้จักจบ ต่อมา จึงได้ฝึกฝน
ปรับปรงุ ให้ดขี ้นึ จนกลายเปน็ นกั พูดฝีปากเอกไปในท่สี ดุ
แม้แต่อดีตประธานาธิบดีจอห์น เอฟ. เคนนดี้ แห่งสหรัฐอเมริกา เจ้าของวาทะ "จงอย่า
ถามว่าประเทศชาติจะทาอะไรให้ท่านได้บ้างแต่จงถามว่าท่านจะทาอะไรให้แก่ประเทศชาติ" ก็ยังเคย
ผา่ นการฝกึ การพดู มากอ่ นเชน่ กัน
ตัวอย่างเหล่าน้ีแสดงให้เห็นอย่างเด่นชัดว่า การพูดต่อที่ชุมนุมชนน้ันเป็นสิ่งซึ่งเรา
สามารถ จะศึกษาอบรมและฝึกฝนกันได้ ไม่ใช่ส่ิงเหลือวิสัยเลยที่เราจะปรับปรุงหรือพัฒนาตนเองให้
เป็นคนพูดดี
สรุปได้ว่า การพูดเป็นทั้งศิลป์และเป็นท้ังศาสตร์ ดังกล่าวข้างต้น ต้องอาศัยการฝึกเป็น
ปจั จัยสาคญั ฝึกบ่อย ๆ เปน็ สาคัญ จนเกดิ ทกั ษะมีความชานาญ การฝึกพูดก็เชน่ กัน
๙.๒ ศลิ ปะในการนาเสนอ
การนาเสนอ ถือเป็นทักษะท่ีจาเป็นของคนทางานท้ังในสังคมธุรกิจ และงานราชการที่
จาเป็นส่วนหนึ่งนาไปสู่ความสาเร็จในหน้ที่การงานที่จะประสบความสาเร็จในการนาเสนอท่ีดี ผู้นา
เสนอจะต้องมีความเข้าใจในความหมาย ความสาคัญของการนาเสนอ ต้องเป็นผู้ที่รู้รูปแบบ ข้ันตอน
ของการนาเสนอ มลี ักษณะของการนาเสนอท่ีดี รวมถึงพัฒนาทักษะท่ีเป็นตัวตนเปน็ เอกลักษณ์ในการ
นาเสนออย่างมีประสทิ ธภิ าพ
ความหมายของการนาเสนอข้อมลู
การนาเสนอข้อมูล หมายถงึ การส่ือสารเพ่ือนาเสนอข้อมูลความรู้ความคดิ เห็นหรือความ
ตอ้ งการไปสู่ผู้รับสารใช้เทคนิค หรือวิธีการต่าง ๆ อันจะทาให้บรรลุผมสาเร็จตามจุดมุ่งหมายของการ
นาเสนอ
ความสาคัญของการนาเสนอ
ในปัจจุบันนี้การนาเสนอเข้ามามีบทบาทสาคัญในองศ์กรทางธุรกิจทางการเมืองทาง
การศึกษาหรือแม้แต่หน่วยงานของรัฐทุกแห่งก็ต้องอาศัยวิธีการนาสนอเพ่ือส่ือสารข้อมูลเสนอ
ความเห็นเสนอขออนุมัติ หรือเสนอข้อมูลสรุปผลการดาเป็นงานต่าง ๆ ผู้มีหน้าที่เก่ียวกับการ
ประชาสัมพันธ์ิการแนะนาเพ่ือการเย่ียมชม การฝึกอบรมการประชุมหรือผู้ท่ีเป็นหัวหนา้ งานทุกระดับ
จะต้องรู้วิธีการนาเสนอเพ่ือนาไปใช้ให้เหมาะสม กับงานต่าง ๆ และเพื่อผลสาเร็จของการพัฒนางาน
ของตนหรือขององค์กร และหน่วยงานต่าง ๆ กล่าวโดยสรุปการนาเสนอมีความสาคัญต่อการ
๒๘๗
ปฏิบัติงาน ทุกประเภทเพราะช่วยในการตัดสิน ใจในการ ดาเนิ นงาน ใช้ในการพั ฒ นางานตลอดจน
เผยแพร่ความกา้ วหนา้ ของงานต่อผ้บู ังคับบัญชาและบคุ คลที่สนใจ
จดุ มุ่งหมายในการนาเสนอ
๑. เพื่อให้ผู้รับสารรับทราบความคิดเห็นหรือความต้องการ เช่นในการประชุม
คณะกรรมการต่าง ๆ ประธานในท่ีประชมุ จะต้องชีแ้ จงวาระการประชุมรับทราบทมี่ ักเรยี กกนั ว่าเร่ือง
ทป่ี ระธานจะแจ้งใหท้ ราบ
๒. เพ่ือให้ผู้รับสารพิจารณาเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง เช่นในการประชุมคณะกรรมการแต่ละ
คร้ังคณะกรรมการฝ่ายต่าง ๆ จะต้องชี้แจงข้อมูลหรือแสดงความคิดเห็นให้ที่ประชุมรับให้ทราบเพ่ือ
ประกอบการพจิ ารณาวินจิ ฉัยหรอื ลงมตทิ ปี่ ระชมุ
๓. เพ่ือให้ผู้รับสารได้รับความรู้จากการนาเสนอเช่นในการฝึกอบรมหรือการสัมมนา
วทิ ยากรหรือผู้เชีย่ วชาญ จะต้องเสนอข้อมูลทเ่ี ป็นข้อความร้แู ละข้อเท็จจริงต่าง ๆ ให้แก่ผ้เู ขา้ ฝกึ อบรม
หรือใช้การบรรยายสรุปผลการ ดาเนินการต่าง ๆ เพื่อให้ผู้มาเย่ียมชมกิจการหรือผู้บังคับบัญชาที่
เดินทางมาตรวจเย่ียมให้รบั ทราบ
๔. เพื่อให้ผู้รับสารเกิดความเข้าใจท่ีถูกต้องเช่นการชี้แจงระเบียบหรือวิธีการปฏิบัติ
ตา่ ง ๆ ให้แก่ผู้เกี่ยวข้องเข้าใจโดยเฉพาะเม่ือมีการออกระเบียบใหม่ หรือเปล่ียนแนวทางในการปฏิบัติ
กจ็ าเปน็ เพอ่ื ให้เกิด ความเข้าใจท่ีตรงกนั และปฏิบัติไดอ้ ย่างถกู ต้อง
ประเภทของการนาเสนอ
ใน ร ะ บ บ ก า ร ท า ง า น ปั จ จุ บั น นี้ ก า ร น า เส น อ ด้ ว ย ว า จ า มี ค ว า ม จ า เป็ น ที่ ย อ ม รั บ กั น
อย่างแพร่หลายเพราะมี ส่วนช่วย ให้การปฏิบัติงานบรรลุจุดมุ่งหมายและพัฒนาได้อย่างรวดเร็วข้ึน
การนาไปใช้ก็ขึ้นอยู่กับลักษณะของงานท่ีนาไปใช้และมีความเก่ียวข้องกับตาแหน่งและหน้าที่การงาน
ทรี่ ับผดิ ชอบของผูน้ าไปใชป้ ระเภทของการนาเสนอ แบ่งอยา่ งกวา้ ง ๆ มี ๒ รูปแบบ ดังนี้
๑. การนาเสนอเฉพาะกล่มุ เป็นการนาเสนอข้อมูลตา่ ง ๆ ตอ่ ผทู้ ่มี หี น้าทีเ่ ก่ียวขอ้ งหรอื ผู้
ที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมรับทราบข้อมูลในการนาเสนอเช่นการนาเสนอต่อท่ีประชุ มการนาเสนอผลงาน
หรือการสรุปงาน การแนะนาชีแ้ จงเรื่องตา่ ง ๆ เปน็ ต้น
๒. การนาเสนอท่ัวไปในที่สาธารณะเป็นการนาเสนอข้อมูลต่าง ๆ ที่เปิดโอกาสให้
บุคคลท่ัวไปเข้าร่วม ฟังการนาเสนอได้ มีการเปิดโอกาสให้ผู้ฟังได้ชักถามเพ่ิมเต็ม หรือแสดงความ
คิดเห็นได้อีกด้วยเช่น การนาเสนอในการประชุมเชิงปฏิบัติการ การประชุมสัมมนาการประชุมใหญ่
การอภปิ รายการแถลงขา่ ว หรอื เหตกุ ารณ์การจดั งานหรอื พธิ กี ารที่สาคญั เป็นต้น
๒๘๘
ลกั ษณะของขอ้ มูลทนี่ าเสนอ
ในการนาเสนอแต่ละครั้งน้ันสามารถนาข้อมูลที่มีลักษณะแตกต่างกันมาร่วมนาเสนอ
ด้วยกัน ได้ข้ึนอยู่กับจุดประสงค์ของผู้นาเสนอข้อมูลท่ีจะนาเสนอแบ่งออกตามลักษณะของข้อมูล
ได้แก่
๑. ข้อเท็จจริงหมายถึงข้อความที่เก่ียวข้องกับเหตุการณ์เร่ืองราวท่ีเป็นมาหรือเป็นอยู่
ตามความจรงิ
๒. ข้อคิดเห็น เป็นความเห็นอันเกิดจากประเด็น หรือเรื่องราวท่ีชวนให้คิด ข้อคิดเห็น
มีลักษณะต่าง ๆ กันคอมพิวเตอร์ได้เข้ามามีบทบาทสาคัญต่อชีวิตประจาวัน พัฒนาการคอมพิวเตอร์
ทาให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง มีขีดความสามารถสูงข้ึน คานวณได้เร็วและยังแสดงผลในแบบ
รปู ภาพได้ดีดว้ ยเหตนุ ี้จงึ มีการพฒั นาโปรแกรมคอมพวิ เตอรส์ าหรับการใช้งานในระดบั ส่วนตัวมากมาย
เช่น การสร้างเอกสาร สามารถจัดพิมพ์ เอกสารที่มีความสวยงาม พิมพ์เอกสารท่ีเป็นตาราง รูปภาพ
หรือการจัดรูปแบบเอกสาร เพื่อนาเสนอได้ดี ยังมี ในรูปแบบตารางคานวณที่เรียกว่า สเปรดซีต หรือ
อเิ ลก็ ทรอนกิ ส์สเปรดชตี ตารางคานวณมีขีดความสามารถเชิงคานวณไดส้ ูง คานวณตามฟังก์ขันต่าง ๆ
ผู้ใช้ ใช้งานได้ง่ายโดยไม่ต้องเขียนโปรแกรม สามารถสร้างรูปกราฟแบบต่าง ๆ และนาเสนอผลจาก
ตวั เลขในรูปแบบทีเ่ ป็นรปู กราฟเพ่อื ความเข้าใจทีด่ ีได้
การเตรยี มการนาเสนอ
การนาเสนอเรื่องในลักษณะใดก็ตามถ้าไม่มีการเตรียมพร้อมอาจก่อให้เกิดความ
ผิดพลาดได้ง่ายหรือไม่เป็นไปดังท่ีตั้งจุดมุ่งหมายไว้ฉะนั้นถ้าต้องการให้การนาเสนอข้อมูลเป็นไปด้วย
ความราบรื่น และบรรลุจุดมุ่งหมายตามที่ตอ้ งการผนู้ าเสนอทุกครั้งการเตรียมการเพื่อนาเสนอข้อมูลมี
ขั้นตอนดังนี้
๑. ศึกษาข้อมลู
๒. วางแผนการนาเสนอ
๓. จดั เตรยี มวัสดอุ ุปกรณ์
๔. เตรยี มความพร้อมของสถานที่
๑. การศึกษาข้อมูลการที่ต้องศึกษาข้อมูลก็เพ่ือจะได้วางโครงของเร่ืองท่ีจะนาเสนอให้
ถกู ต้องก่อนท่จี ะวางเค้าโครงเร่อื งผูท้ ี่จะนาเสนอจะต้องศึกษาข้อมูลด้านตา่ ง ๆ ดังน้ี
๑.๑ ศึกษาเร่อื งทจ่ี ะนาเสนอเพือ่ รวบรวม และจัดหมวดหมู่ข้อมูลทจ่ี ะนาเสนอให้
สมบรู ณ์ทสี่ ดุ
๒๘๙
๑.๒ ศึกษาวิเคราะห์ผรู้ ับการนาเสนอ หรือผฟู้ ังเพื่อทจี่ ะไดว้ างแผนการใช้เทคนิค
และวิธกี ารนาเสนอ ตลอดจนการใช้ถอ้ ยคาภาษาท่ีเหมาะสม
๑.๓ ศึกษาวิเคราะห์จุดมุ่งหมายที่จะนาเสนอเพื่อให้สอดคล้องสัมพันธ์กับผู้รับ
การนาเสนอ และวธิ กี ารในการนาเสนอ
๑.๔ ศึกษาโอกาสเวลาและสถานท่ีท่ีจะนาเสนอเพื่อจะได้กาหนดเค้าโครงและ
เน้ือหาพรอ้ มทั้งจัดเตรยี มวสั ดุอุปกรณ์ ที่ใช้ประกอบการนาเสนอให้เหมาะสมกับสถานที่และเวลาที่ใช้
นาเสนอ
๒. การวางแผนการนาเสนอจะช่วยให้การนาเสนอเป็นไปตามลาดับข้อมูลไม่สับสน
ครบถ้วนบริบูรณ์ เหมาะสมกับเวลาการนาเสนอท่ีบรรลุจุดมุ่งหมายท่ีต้ังไว้ควรมีการวางแผนที่จะ
นาเสนอ ดังน้ี
๒.๑ วางรูปแบบวิธีนาเสนอโดยมีหลักในการวางรูปแบบวิธีนาเสนอ คือวาง
รูปแบบให้เหมาะสมกับเวลา สถานการณ์และบุคคล รูปแบบในการนาเสนอแบ่งกว้าง ๆ ได้เป็น
๒ รปู แบบ คือ การนาเสนอแบบท่ีเป็นทางการ และการนาเสนอแบบทไี่ ม่เป็นทางการ
๒.๒ วางแนวทางในการแก้ปัญหาและอุปสรรคปัญหา และอุปสรรคในการ
นาเสนออาจจะเกิดข้ึนได้ในหลาย ๆ กรณีถ้าเราคาดเดาปัญหาและอุปสรรคไว้ก่อนล่วงหน้าโดย
การศึกษาข้อมูลก่อนที่จะนาเสนอให้ถ่องแท้ก็จะ สามารถช่วยให้มองแนวทางในการแก้ไขปัญหาและ
อปุ สรรคต่าง ๆ ท่จี ะเกดิ ข้นึ ได้
๒.๓ วางเค้าโครงการนาเสนอทาได้โดยการนาหัวข้อท่ีจะนาเสนอมาแบ่ง
หมวดหมูเ่ รียงตามลาดับ แลว้ เขยี นเปน็ ลาดับข้ันตอนของแผนการนาเสนอ
๒.๔ วางแนวทางในการนาเสนอเป็นการกาหนดแนวทางที่จะใช้ในการนาเสนอ
จัดทาหลังจากที่ได้วางเค้าโครงงาน และแบ่งการนาเสนอออกเป็นหัวข้อย่อย ๆ แล้วการวางแนวทาง
ในการนาเสนอจะช่วยใหผ้ ู้นาเสนอเกดิ ความพรอ้ ม และความมน่ั ใจในการนาเสนอมากยง่ิ ขน้ึ
๒.๕ วางกาหนดขั้นตอนการนาเสนอเม่ือได้วางแนวทางการนาเสนอขั้นต่าง ๆ
มาแล้วขึ้นสุดท้ายก็จะต้องกาหนด ข้ันตอนการนาเสนอให้สัมพันธ์กับวธิ ีการและอุปกรณ์ประกอบการ
นาเสนอพร้อมทั้งกาหนดการควบคมุ ในเรื่องเวลาท่ีจะใชใ้ นการนาเสนอของแตล่ ะขัน้ ตอนกากบั ไว้ดว้ ย
๓. การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์การจัดเตรียมวัสดุอุปกรณ์การบรรยายเพียงอย่างเดียว
ไม่อาจดึงดูดความสนใจของผู้ฟังได้ตลอดเวลา วัสดุอุปกรณ์ท่ีนามาใช้ประกอบการนาเสนอน้ันมี
ประสทิ ธิภาพ และสัมฤทธิ์ผลตาม ความมุ่งหมาย มีดงั น้ี
๓.๑ อุปกรณท์ ่ใี ชป้ ระกอบการบรรยาย
- เครือ่ งฉายแผน่ ใส หรอื เครือ่ งฉายภาพข้ามศรี ษะ