The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1543307 ศิลปะการนำเสนอ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cola.khamphong, 2021-06-10 01:22:40

1543307 ศิลปะการนำเสนอ

1543307 ศิลปะการนำเสนอ

๑๓๙

ตัวอย่างในเรื่องสั้น "โนรี" ในซอยเดียวกัน ท่ีตัวละครนักศึกษาวัยหนุ่มสาวสนทนาหรือ
แสดงความคิดเหน็ ตอ่ เรื่องการแตง่ หนา้

"ทาไมคณุ ถงึ ต้องแต่งหน้าทาปาก" ผมเคยถามโนรี"
“เป็นคาถามที่รนุ แรงมากนะ คณุ รู้หรอื เปล่า" โนรีถาม ผมกลับพยกั หน้า
"เป็นความสบายใจของหญิงท่ีจะรู้สึกว่าตัวเองสวยข้ึน วันไหนฉันรู้สึก อยากให้ตัวเอง
สวยข้นึ ฉนั ก็แต่งหน้าทาปาก ฉนั ไม่อยากสวยทกุ วันหรอกนะ่ "
"ผมวา่ คุณไม่แตง่ หนา้ เลยสวยกว่า คุณไม่ทาปากเลยสวยกว่า"
"เป็นอันว่าฉนั จะตอ้ งทาสวยเพอ่ื คณุ อย่างนน้ั หรอื "
"ไม่ใช่อย่างน้ัน คุณไม่เคยคิดบ้างเลยหรือว่าคุณค่าของผู้หญิงไม่ได้อยู่ท่ีความสวย"
ผมถามย้มิ ๆ
"อยทู่ ่ีอะไรละ่ "
"อย่ทู ่คี วามฉลาด"
"ฉนั ไมใ่ ชค่ นโง่" โนรตี อบทนั ควนั
"อย่ทู กี่ ารเห็นอกเหน็ ใจเพ่อื นมนุษย์"
"ฉนั ไม่เคยโหดรา้ ยใจดากบั มนุษยท์ ่ไี หน"

การใชค้ าเลยี นเสียง
การเลอื กใชค้ า "เลียนแบบเสยี ง" ที่เกดิ ข้ึน จะทาใหผ้ ู้อ่านได้เห็นทง้ั "ภาพ" และได้ยินท้ัง
"เสยี ง" ของสง่ิ นน้ั จริง ๆ
ดังตวั อย่างบทกวี ในสระน้าใส ความวา่

กว๊ กา๊ ว ก๊ิบก๊าบ เป็ดทาบปีก
ตีนพยุ้ ลัดหลกี -ปีกรมุ่ ร่าม
เหลา่ ลกู เป็ดน้อยแล่นลอยตาม
ใช้แหนแผง่ ามตามแม่มา

ตัวอยา่ งการใชค้ าเลยี นเสยี ง
ฝนตกดงั แปะ ๆ ลมพัดเสยี งหวีดหววิ
"ทง้ั ยุงชุมรุมกัดปัดเปร๊ยี ะประ เสยี งผวั ะผะพบ่ึ พบั ปบุ ปบั แปะ"
ปัง ปัง ปัง เสียงเคาะประตูดังทาให้เต้ิลต้องรีบเปิดประตู แต่ก็ต้อง ผงะกับร่าง

หนาทมี่ ีกลน่ิ เหล้าคละคลุ้งไปหมด ใบหน้า และดวงตาแดงกรา่ เเตย่ งั มสี ติ

๑๔๐

ตัวอยา่ งการใชค้ าเลยี นเสยี ง
ตดื ตืด... เสียงมือถือดังขน้ึ ทาใหเ้ ขารบี รับโทรศัพท์ทันทีอย่างดีใจ เผือ่ ว่าจะเป็นเนย แต่
กต็ อ้ งถอนหายใจออกมาเม่ือไม่ใช่
เอ๊ียด!!! เสียงรถของเขาเบรกได้ทันท่วงทีก่อนจะมองไปที่หน้ารถก็ไม่เห็นอะไรแล้ว เบส
ตกใจเบกิ ตากว้างกอ่ นจะลงจากรถไปกเ็ ห็นรา่ งของคนสลบอยู่ เธอมีเลือดไหลออกจากหน้าผากจนเขา
ยกมือกุมขมบั ตัวเองอยา่ งหัวเสยี
เพล้ง! ฉนั ตกใจทันทีที่พี่หยบิ แก้วเหลา้ มาเขวย้ี งลงพ้นื จนแกว้ แตกละเอียด

การใช้คาทแี่ สดงนา้ เสียงของผใู้ ชภ้ าษา

คาทีค่ วรหลีกเลี่ยง คาที่ควรใช้

กรรมกร / กุลี ผใู้ ชแ้ รงงาน / แรงงาน

คนแก่ ผอู้ าวุโส / มีอาวโุ ส / ผ้สู งู อายุ

บา้ นนอก ต่างจังหวัด / ชนบท

ผวิ ดา ผิวคลา้ / ผวิ เขม้

ยาม รปภ. / เจา้ หน้าที่รกั ษาความปลอดภัย

สลัม ชุมชน + (ช่อื สถานท)ี่ เช่น ชุมชนคลองเตย

การใช้ศลิ ปะการเรียบเรยี งถ้อยคา
ศลิ ปะการเรยี งรอ้ ยถอ้ ยคาให้เกดิ ความจับใจ
๑. การลาดับความ
๒. การสรปุ ความ
๓. หลกั ความสมดลุ
๔. การซา้ คา
๕. การซ้อนคา
๖. การเล่นคา

การลาดับความ
การลาดับความหรือลาดับเรื่องมีความสาคัญต่องานเขียนมาก เพราะช่วยให้ผู้อ่านเห็น
ความสัมพันธ์ของข้อความในย่อหน้าและเข้าใจง่ายขึ้นหากผู้เขียนเรยี งลาดับความไม่ดี จะทาให้ผู้อ่าน
สับสนและเกดิ ความเบอื่ หนา่ ยในการอา่ นต่อไป การลาดบั ความในการเขียนมีหลายวธิ ี ดังนี้

๑๔๑

- ลาดบั ตามเวลาหรอื เหตุการณ์ก่อนหลัง
- ลาดบั ตามทศิ ทางหรอื สถานท่ี
- ลาดับตามความสาคญั
- ลาดบั โดยแบง่ หมวดหมู่
- ลาดบั ตามขั้นตอน
- ลาดบั ตามเหตุไปผลและผลไปเหตุ
- ลาดับรายละเอียดไปสสู่ รปู หรือสรปุ ไปสูร่ ายละเอยี ด
ถ้าเขียนสารคดีเชิงประวัติศาสตร์ การลาดับเรื่องตามปฏทิ ินหรือลาดับตามช่วงเวลาหรือ
ยคุ สมัย
ถ้าเขียนอธิบายเกี่ยวกับการทาสิ่งใดส่ิงหน่ึง เช่น ทาอาหาร การออกกาลังกาย การ
ประดิษฐส์ ่งิ ของเคร่อื งใช้
ลาดับตามข้ันตอนและลาดบั เหตุการณ์ก่อนหลัง

การสรุปความ
การกล่าวให้เห็นภาพรวมของแต่ละประเด็นที่กล่าวมาแล้วก่อนหน้าน้ัน ดังตัวอย่างจาก
เรอ่ื งสนั้ แม่ครบั ในอัญมณแี ห่งชวี ติ ของอญั ชนั
เด๋ียว ๆ แม่ก็ร้องไห้ เด๋ียว ๆ แม่ก็ยิ้ม ก่อนจะบอกความลับสุดท้ายในชีวิตให้กับหนุ่ยว่า
ถ้าหนุ่ยอยากเจอแม่ แม่ไม่ได้ไปไหน แม่อยู่ในจังหวะและเพลงที่หนุ่ยร้อง อยู่ใน ก ไก่ ข ไข่ท่ีหนุ่ย
เขียน แม่อยู่ในภาพตัวการ์ตูนที่หนุ่ยวาดอยู่ในก้อนดินเหนียว ดินน้ามันท่ีหนุ่ยรักจะปั้น แม่อยู่ในน้ี
ในหวั ใจดวงเลก็ ๆ แต่สร้างสรรค์ จนิ ตนาการได้ไมส่ ิน้ สุดขอบเขตของหนุ่ยดวงน้ี

หลักความสมดลุ

คือ เน้ือความหรือบทกวีมีลักษณะสอดรับกันท้ังหมดหรือท้ังเรื่อง ดังตัวอย่างตอน

หนง่ึ ใน เพยี งความเคลื่อนไหว ความว่า

นกอยูฟ่ ้านกหากไม่เหน็ ฟา้ ปลาอยนู่ ้ายอ่ มปลาเหน็ น้าไม่

ไส้เดอื น ไมเ่ ห็นดนิ ว่าฉันใด หนอนย่อม ไร้ดวงตารู้อาจม

ฉนั นน้ั ความเปื่อยเนา่ เป็นของแน่ ย่อมเกิดแกค่ วามนง่ิ ทุกสิง่ สม

แต่วันหนง่ึ ความเน่าในเปอื กตม ก็ผดุ พรายให้ชมซ่งึ ดอกบัว

๑๔๒

การซ้าคา
โดยทั่วไปการซา้ คาเป็นการระบถุ งึ สรรพสิง่
๑. ในเชงิ ปรมิ าณ เช่น "ราคาทองในชว่ งน้นั สูงมาก ๆ"
๒. ในเชิงคุณภาพ เช่น "เนื้อกระดาษมสี ีขาวตุ่น ๆ"
บางคร้ังนักเขียนใช้วิธีการซ้าคา ซ้าความ เพ่ืออธิบาย ขยายความ หรือตอกย้าอารมณ์
ความรสู้ ึกว่าส่งิ ทซี่ ้า ๆ น้ันมันมากมายเพยี งใด

ตวั อย่างการซ้าความในบท "หวั ใจถูกไหม" ของไพวรินทร์ ขาวงาม

หวั ใจฉนั ลุกไหม เปน็ ไฟ

ไฟแหง่ ปรารถนาไฉน โชคฉะนี้

ฉนากาล เนิ่นนานใน อนนั ตทุกข์

เปลวโรจน์เรอื งไรระร้ี ระริกล้อเปลวตะวนั

หวั ใจฉนั ลุกไหม้ เป็นไฟ

ลกุ ทว่ มทรวงอกไสว สว่างจ้า

ไฟเธอ ใช่ไฟใคร ไฟรกั นนั่ แล

รอ้ นยง่ิ ร้อนเนิน่ ช้า ย่ิงใหพ้ ลังงาน

การซ้อนคา
การนาคาท่ีมีความหมายใกล้เคียงกันหรือเป็นไปในแนวเดียวกันมาซ้อนกัน ทาให้เกิด
ความหมายใหม่ท่ีช่วยทาใหค้ วามหมายของคาเดิมมีความชดั เจนข้นึ ดงั นี้
๑. คาซ้อนแสดงสภาพของเหตกุ ารณ์

"เสียงพายกระทบน้าที่ดังวังเวง อ้อยสร้อย เบาหวิว เคว้งคว้าง และเล่ือนลอยอยู่กับ
ลายน้าของกลางคืนนั้น หล่อนนอนฟังติดต่อกันจนดึกดื่น"

๒. คาซ้อนแสดงอารมณค์ วามรู้สึก
"พวกเรารู้สึกใจหาย หวาดหว่ัน หวั่นไหว เม่ือท้องฟ้าเริ่มมืดสนิทจนเกือบจะมองไม่

เห็นหนา้ กนั "
๓. คาซอ้ นแสดงอาการ
"ผหู้ นุ่มและสาวเจ้าท้ังหลายในหมู่บ้าน บัดนี้ต่างพากัน เย้ืองย่าง โยกย้าย กรดี กราย

ไปรอบ ๆ วงราเลว้ "

๑๔๓

การเล่นคา

ในท่นี ้ีมีทั้งการเล่นคาพ้องรปู พอ้ งเสียง และการเล่นคาหลายความหมาย

ตัวอยา่ ง การเลน่ คาพ้องรูปพอ้ งเสียง

สะท้อนเหมอื นสะทอ้ นอกสะทึก แต่นึกๆ แล้วน่ิงคานึงหมาย

ตะแบกเหมือนแบกทกุ ขม์ าดนิ ทาง ไมย้ างเหมอื นยา่ งบาทระยา

มะไฟเหมือนไฟมาเผาสุม มะรมุ เหมอื นหนง่ึ รุมอุระรา่

ตะบากเหมือนแสนวิบากกรรม มะกลา่ กล้ากลนื แตค่ วามทกุ ข์

ตัวอยา่ ง การเล่นคาหลายความหมาย นา้ พลดั ซดั ซา่ ทว่ มผาหิน
พุ่งตาเพยี งไตไ่ ล้ซอกผา ชุ่มดนิ ชมุ่ ป่าชุม่ ตานก
ชมุ่ ตาชุม่ ใจในกระจก
เพรยี วพุ่งระลอกกระฉอกรนิ กอ่ นยกสายตาเพง่ ป่าลกึ
ชุ่มเหนือตานา้ ชุ่มฉ่าไหล
เพียงครปู่ ีนเขาเขา้ ปา่ รก

๕.๘ การใช้ประโยคในการเขียน

การใช้ศลิ ปะการปลุกเรา้ ความรู้สกึ ประกอบด้วย
๑. การใช้ถ้อยคาหรอื ข้อความท่มี ีความหมายขัดแย้งในตัวเอง
๒. การใชส้ ญั ลักษณ์
๓. การใช้ความเปรียบ

การใชถ้ ้อยคาหรอื ข้อความทีม่ ีความหมายขัดแย้งในตวั เอง
การใช้ถ้อยคาหรือข้อความท่ีมีความหมายขัดแย้งกัน ได้แก่ "สวรรค์บนดิน" "ศัตรูคือยา
กาลัง" "ยงิ่ รีบก็ยิง่ ช้า" การใช้ถ้อยคาหรือข้อความท่ีมีความหมายขัดแยง้ กัน อาจฟังดูคล้าย กับเร่ืองท่ี
เป็นไปไม่ได้ แต่แท้จริงกลับสอ่ื ถึงจินตนาการที่ซับซ้อน และความหมายท่ีลึกซ้ึง ทั้งยังกระต้นุ ให้ผู้อ่าน
คิด และฝกึ ตคี วามมากขน้ึ

การใชส้ ญั ลักษณ์
ในวรรณกรรมไทยกอ่ นขา้ งจะเป็นสัญลักษณ์ท่ีตายตัว
ตัวอย่าง การใช้สัญลักษณ์ในบทอัศจรรย์ มักใช้ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ เช่น ฝนตก
ฟา้ ร้อง ดอกไม้บาน ปลาแหวกวา่ ยในน้าหรอื กอบัว แมลงซอกซอนในพุ่มดอกไม้ หรือให้ภาพการต่อสู้
เช่น เรือกาลงั โต้คล่ืน วา่ วปกั เปา้ กับว่าวจุฬา

๑๔๔

ตัวอย่างในบท "นิยายแผ่นดนิ " ใน แสงดาวแหง่ ศรทั ธา ของ คมทวน กันธนู

ตาพริ าบเถลือกถลน ถูกถลก แขวนโอย

หยาดเลือดหยดไหลย้อย หยาดย้อยยงั สนาม

ความเจบ็ แคน้ เคียดขง้ึ ข่ืนขม

ทกุ แห่งหอ้ งใจถม ท่วมหอ้ ง

พริ าบระทม ถึงเพือ่ น

พริ าบให้ร้อง รา่ หารนหา

การใช้ความเปรียบ
ความเปรยี บท่ีใช้กันทัว่ ไปในงานเขยี น มี ๕ ประเภท
๑. บคุ ลาธษิ ฐาน (personification)
๒. ความเปรียบประชด (irony)
๓. ความเปรียบเกนิ จริง (hyperbole)
๔. ความเปรยี บอิงแนวเทยี บ (metaphor)
๕. ความเปรียบแสดงแนวเทียบ (simile)

บุคลาธษิ ฐาน

ตวั อย่าง ในบท "ตุก๊ ตากาสรวล" ของไพวรินทร์ ขาวงาม ความวา่

เปลวแดดไมท่ นั ดบั โลกย่งิ กลับร้อนระอุ

เปลวเพลิงเรงิ ปะทุ ใหเ้ ดือดดุกวา่ แดดใด

ตกุ๊ ตาชบหนา้ นง่ิ ไม่ไหวติงแต่ร่าไห้

หวีดรอ้ งในกองไฟ ที่โหมไหม้ท้ังโรงงาน

โรงงาน เหมือนโรงงก เหมือนนรก เหมอื นสุสาน

กลบฝงั รา่ งคนงาน ให้ร้าวรานทุกวิญญาณ

"พระอาทิตย์โบกมืออาลาฉันดว้ ยทา่ ทางรีบร้อน ในขณะที่ดวงจันทร์วันเพ็ญคอ่ ย ๆ กรีด
กรายมาโดดเด่นอยูบ่ นท้องฟ้าสีคราม"

"ตน้ ข้าวในท้องท่งุ กาลังสา่ ยไหวเริงระบาทา่ มกลางสายฝนอนั ชุ่มฉา่ "
"เมอื่ ฝนตกลงมาทไี ร โอ่งทบ่ี ้านของฉนั ต้องสาลกั น้าทุกท"ี

๑๔๕

ความเปรยี บประชด

ความเปรียบท่มี ุ่งเน้นการสอ่ื ความหมายทีต่ รงกนั ข้ามกบั ความหมายของคาทใี่ ช้ เชน่

๑. การกล่าวถึงภาพลบ หรือส่ิงท่ีเลวร้าย น่าตาหนิ แต่ใช้ถ้อยกา และท่วงทานองของ

การสรรเสรญิ เยินยอ ชมเชย

๒. การกล่าวในลักษณะชื่นชม พอใจ ยินดี แต่เลือกใช้ถ้อยคาที่ไม่ดี หรือแสดงภาพใน

ดา้ นลบ

ดังตัวอยา่ งในบท "อารมณอ์ ันรา้ วฉาน" ของสุจิตต์ วงษ์เทศ ว่า

เจ้าแกม้ ตอบนมต่านัยน์ตาเข เสนห่ เ์ จ้าอมตะเป็นท่ีต้งั

โอ๋คอเอ๋ยคอห่านทวารวงั กูนอนนอนนัง่ นงั่ คะนงึ นวล

รปู ของเจา้ จรงิ ราวเทพนมิ ติ สุจรติ ใจกูจึงโหยหวน

ผวิ มน่ั หมายแล้วไมก่ ระบิดกระบวน เป็นอตุ พติ ก็หอมหวนถ้ากูจะดม

ความเปรยี บแสดงแนวเทยี บ (อุปมา)

ความเปรยี บทตี่ ้องการอธบิ ายลกั ษณะของส่ิงใดส่ิงหนงึ่ โดยนาไปเทียบกับอีกสง่ิ หน่ึง มัก

เป็นรปู ธรรมที่คนท่ัวไปรจู้ กั กันดีอยู่แล้ว เช่น

สีขาวเหมอื น กอ้ นเมม/สาลี

สดี าสนทิ ดุจเดยี วกบั ความมดื ในคืนแรม

นยั น์ตาของเธอเหมอื น ดวงดาว/ ตากวาง

ตวั อย่างในบท "ชะรอยเรานมี้ ีเวรกรรม" ของอังคาร กลั ยาณพงศ์ ว่า

โอ้ชะรอยเรานมี้ เี วรกรรม ทาไว้มากมายในปางหลัง

ฟา้ จงึ่ บบี คั้นเจบ็ ใจดัง เข้าขื่อคาคร้ังดกึ ดาบรรพ์ ๆ

สรวงสง่ั สาวรักมาแยม้ ยิม้ พริม้ พรายชมา้ ยให้ใฝ่ฝนั

แต่เจ้ากแ็ ปรเปล่ียนฉบั พลนั มิทนั สปั ดาหล์ าลับไป ฯ

ตวั อย่างเปรยี บเทยี บลกั ษณะบุคคล
สิ่งแรกท่ีเห็น คือ ดวงหน้าหน่ึง ลอยอยู่ตรงหน้าในแสงสว่างอ่อน ๆ สีเทา

ปนทองขมุกขมัว มองเห็นนัยนต์ าดากลมใสแจ๋วในกรอบรูปยาวรมี เี ปลือกตาช้อนกันเด่นชดั ราวกับวาด
ด้วยปลายพู่กัน ต่าลงมาคือแก้มกลมอ่ิม จมูกค่อนข้างแบนแต่ก็เด็ก ไม่เลอะเทอะ ส่วนปากเรียวเล็ก
นา่ รัก

๑๔๖

ในการเขียนสรา้ งสรรค์โดยการใช้ความเปรียบนัน้ ควรพยายามหลีกหนีจากการเปรียบที่
เปน็ ท่ีนยิ มใช้กันอยแู่ ล้ว เช่น

การชมดวงหนา้ ของนางวา่ นวลงามเหมอื นดวงจันทร์ในคนื เพญ็ หรือ
ถามว่า "รักมากแค่ไหน" แล้วตอบว่า "รักเท่าฟ้า" ก็คงเป็นคาตอบที่น่าเบื่อ อาจใช้ว่า
"นับเม็ดทรายทั้งทะเลก็รู้"
ความเปรียบแสดงลักษณะของสิ่งใดส่ิงหน่ึง โดยกล่าวถึงอีกส่ิงหนึ่งแทน เพ่ืออิง
ความหมายจากสิง่ น้ันไปยังส่ิงที่ประสงค์จะกล่าวถงึ
- ลกู เปน็ โซท่ องคล้องใจ
- เธอคอื แสงสว่างในใจฉนั
- ไมว่ า่ รฐั บาลจะมาจากพรรคใด กระดูกสันหลังของชาตกิ ็ยังจนอยูเ่ หมือนเดิม

ดังตัวอย่างใน "โอละเห่ โอละวา" ของ วัน ณ จันทร์ธาร ความว่า กมลมาลย์เพ่ิงรู้ว่า
ตวั เองอยู่ในถังข้าวสาร ก็เมื่อฝูงผีเส้ือกลบั กลายเปน็ แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เด็ดปกี รว่ งหลน่ ไปปลี ะคน
สองคน ไม่อาจมาบินโฉบอวดโฉมให้หล่อนอิจฉาอีก ต่างคนต่างหายตัวเงียบ ปิดปากสนิท ก้มหน้า
ก้มตาหาเงินสง่ คา่ งานผ่อนบา้ นหรือผอ่ นรถตัวเปน็ เกลียวขณะการ์ดเชิญแต่งงานของหลอ่ นร่อนสะพดั

ความเปรียบเกินจรงิ

ดงั ตวั อยา่ งในบท “ใจขา้ นอ้ ยคือนา้ เพชรไส” ขององั คาร กลั ปย์ าณพงศ์

วารหนงึ่ ใจเถลไถลไปล่ิว ปลิววรวัฏฏะอสรพิษอสั ถี

หิวกระหายรสเน่หานารี พลีอุทศิ จิตรแกว้ กามกเิ ลสครองฯ

กิเลสมารนนั้ สวยแตร่ ปู รา่ ง อ้างว้างไรแ้ ก่นสารเศรา้ หมอง

ใหท้ กุ ขืใจภยั ระยาลาพอง ชลเนตรนองคือเลือดไลรินฯ

กลวิธกี ารสร้างสรรค์เขียนสร้างสรรค์ แบง่ ได้ ๒ แนวคือ
๑. กลวธิ ีการสรา้ งสรรคเ์ ชิงแนวคดิ อาจใชว้ ธิ ีการตา่ ง ๆ ได้แก่

- การสะท้อนภาพดว้ ยแง่มมุ ทแ่ี ตกตา่ งจากภาพทั่วไป
- การเสนอแกน่ เรื่องย่อยท่ีน่าสนใจ
- การทาเรอ่ื งท่ีไม่เปน็ เรอื่ งให้เปน็ เรอ่ื ง
๒. กลวิธีการสรา้ งสรรคเ์ ชงิ รูปแบบ มหี ลายวิธี ไดแ้ ก่
- การแปรเปล่ยี นความซับซ้อนของฉนั ทลกั ษณ์ใหเ้ ปน็ ความเรยี บง่าย
- การใชเ้ ชงิ อรรถเ์ พ่อื ขยายความในการเล่าเรอ่ื ง

๑๔๗

- การหกั มุมในตอนจบ
- การเลอื กเฟน้ ถอ้ ยคา
- การเรยี บเรยี งถอ้ ยคา
- การใช้ศลิ ปะการปลุกเร้าความรสู้ ึก
แตไ่ มว่ ่าผู้เขยี นจะใช้กลวิธีแบบใด ตอ้ งเลือกให้เหมาะกบั งานเขียนแตล่ ะประเภทและ
จดุ มุ่งหมายในการสอ่ื สาร เพอื่ ใหเ้ กิดการเขยี นทสี่ ร้างสรรค์

แนวทางการเขียนพรรณนาอาหาร
งานเขียนที่สามารถทาให้ผ้อู ่านรู้สกึ ราวกับว่าได้พบเจอกับส่ิงท่ีกาลังอ่านอยู่จริง ๆ ไม่ใช่
แตเ่ พียงกาลังอ่านเรื่องราวเกี่ยวกับสงิ่ นน้ั ๆ
สามารถทาได้โดยบรรยายกล่ินและรสของวัตถุท่ีกาลังกล่าวถึง และเลือกใช้คาคุณศัพท์
ท่สี ามารถบรรยายกลิน่ และรสไดอ้ ยา่ งชดั เจนเพอ่ื ถ่ายทอดกลิน่ และรสนัน้ ๆ ไปถงึ ผู้อ่าน
ประโยคอย่างเช่น “พายชิ้นน้ีรสชาติดี” น้ันไม่สามารถถ่ายทอดความรู้กสึกพิเศษใด ๆ
ไปยังผูอ้ ่าน
ในขณะที่ประโยคอย่าง “พายช้ินน้ีรสชาติเหมือนพายของคุณยายท่ีท้ังสดใหม่และยังมี
ฟองผุดข้ึนบริเวณขอบ ท้ังกรอบ ทั้งหวาน และรสชาติเข้มข้ม” นั้นช่วยบรรยายรสชาติอันเป็น
เอกลกั ษณ์ของอาหารของคุณได้

ตวั อย่างการพรรณาอาหาร
ต้มยากุ้งเป็นอาหารหลักจานโปรดของหลาย ๆ คน ท่ีคนไทยและคนต่างชาติรู้จักกันดี
เพราะเป็นอาหารที่อร่อย มีรสชาติเปร้ียวเผ็ดจัดจ้าน โดยเฉพาะน้าซุปท่ีเข้มข้นเห็นแล้วก็อดน้าลาย
ไหลไม่ได้ ประกอบกับกุ้งตัวใหญ่ เนื้อสีขาวแน่นๆ ลอยตัวอยู่ในน้าสีส้มแดงอ่อน ๆ จากพริกเผา
พร้อมกับเครื่องปรุงท่ีเป็นสมุนไพรหลายอย่าง เช่น มะเขือเทศ พริก ใบมะกรูด ตะไคร้ และ หัว
หอม ล้วนทาให้รสชาติของต้มยากุ้งอร่อยไม่เกินคาบรรยายได้ เพราะต้มยาถ้วยน้ีเกิดจากการปรุงท่ี
พถิ พี ิถันของแมค่ รัวและใช้วตั ถุดบิ ท่ีสดใหม่

ตัวอยา่ งการบรรยายสถานทท่ี ไี่ ปซื้อโอว้ เอ๋ว
เราเดินย่าต๊อกตามถนนเยาวราชเพื่อตามหาร้านโอ้วเอ๋วร้านแรกจนกระทั่งเราเจอป้าย
ซอนสุ่นอุทิศพร้อมคาว่า “ซอยตัน” แขวนด้านล่างเพื่อทาให้ผู้มาเยืนหน้าใหม่อย่างเราชะงัก หากแต่
เม่ือวกกลับมาบริเวณต้นซอยสายตาของเราก็สะดุดกลุ่มไทยมุงที่รอซื้อโอ้วเอ๋วเจ้าแรกของภูเก็ต เม่ือ
แหวกฝูงชนเข้าไปเราก็จะพบกับสาวใต้กาลังมือเป็นระวิงกับการตักวุ้นโอ้วเอ๋วใส่วุ้นดา (หรือท่ี

๑๔๘

ภาษากลางเรียกว่าเฉาก๊วย) ใส่ถ่วั แดง ก่อนราดนา้ เชือ่ มแดง เพื่อส่งให้ลกู คา้ ที่กาลังตอ้ งการน้าแข็งไส
หวานเย็นดับกระหาย ธนบัตรย่ีสิบบาทหน่ึงใบส่งกลบั สู่มือแมค่ ้า

โอว้ เอ๋วน้ันเป็นของหวานท่ีคกู่ ับชาวจนี ฮกเก้ียนจึงพบของหวานที่มลี ักษณะคล้ายกันตาม
บรเิ วณท่มี ีชาวฮกเกย้ี นอาศยั อยู่ เช่น ปนี ัง หรือไตห้ วัน แต่โอ้วเอ๋วนนั้ จะมีลกั ษณะคลา้ ยนา้ แข็งไสแบบ
ไทยคือใส่เคร่ืองลงไปท่ีก้นถ้วยก่อนแล้วตามด้วยน้าแขง็ ทไ่ี สเป็นฝอยละเอียดก่อนจะราดนา้ เช่ือม หรือ
ทีเ่ รยี กกันว่า “นา้ นมแมว” ปิดท้ายแตเ่ อกลักษณข์ องโอ้วเอว๋ คอื ตัววนุ้ นมิ่ ใส

วุ้นโอ้วเอ๋วนั้นทามาจากผลไม้ตระกูลเดียวกับมะเดื่อ เรียกช่ือภาษาจีว่า “อ้ายหวี้”
ลักษณะคล้ายลูกแพร์หัวเรียวท้ายป้านนม ผิวภายนอกสีเขียวดูขรุขระคล้ายตัวกบ แต่เมื่อนาเมล็ด
ภายในไปแช่นา้ จะทาให้เมลด็ พองออกคลา้ ยไข่กบ ชาวไต้หวนั จึงเรยี กนา้ คั้นจากอ้ายหวว้ี ่า นา้ วุ้นไขก่ บ
มีความเช่ือวา่ นา้ วุ่นไข่กบมีสรรพคุณทางยาในการดบั กระหายและแก้รอ้ นใน

เจา้ ของรา้ นเล่าให้ฟังตอ่ ว่า หลังจากเมล็ดพองเต็มท่ีแล้วบีบนา้ ออกจนได้ “น้าวนุ้ ไข่กบ”
ซึ่งมีลักษณะเป็นเมือกออกมาแล้ว ให้นากล้วยน้าว้าสุกขยาจนเละแล้วกรองด้วยผ้าขาวบางเพ่ือให้ได้
น้าคั้นกล้วยน้าว้าสุก จากนั้นนาน้าวุ้นที่ค้ันได้น้ีไปผสมกับน้าค้ันจากกล้วยน้าว้าจนเป็นเนื้อเดียวกัน
แล้วก็ผ่งึ ไว้หนึ่งคนื เพอ่ื ให้ก้อนโอว้ เอ๋วจบั กน้ เป็นแผน่ ที่นมุ่ ลิ้น

ตวั อยา่ งการพรรณนาขนมเค้ก
Chocolate Cake ถือเป็นขนมมือวางอันดับหนึ่งของร้าน เนื้อเค้กสีโกโก้ดูชุ่มฉ่าน่ากิน
ก็จริง แต่หลายคนอาจตกใจเมื่อได้รู้ว่าเค้กตัวน้ีไม่มีแป้งเป็นส่วนประกอบเลย เจ้าของร้านใช้ซูคินีซ่ึง
เป็นผกั ไม่มรี สชาติมาแทนท่ีเพ่อื เพิ่มความนุ่มนวลของเนื้อสมั ผสั

๕.๙ การลาดบั ประโยคในการเขยี น

ศิลปะการใชค้ าในการเขียนสร้างสรรค์
การใชค้ า ในการเขียนเชิงสร้างสรรค์นน้ั การใช้คานับเปน็ เร่ืองแรกที่ผ้เู ขียนควรพจิ ารณา
ก่อนการเขยี น เพราะการใช้คาน้ันเปน็ จุดเรม่ิ ตน้ ของการสรา้ งความหมายให้แก่งานเขยี นหากผเู้ ขยี นไม่
ระวังในการใช้คา เช่น การเขียนโดยไม่พิจารณาความหมายของคาขาดการเลือกสรรถ้อยคาอย่าง
สละสลวย ก็จะทาให้งานเขียนขาดความละเมียดละไม หรือผู้อ่านอาจจะเข้าใจความหมายหรือความ
ต้องการของผู้เขียนได้ยากยิ่งข้ึน ดังน้ัน ในส่วนน้ีจะนาเสนอกลวิธีการใช้คาในลักษณะต่าง ๆ เพ่ือ
นาไปใช้ในการเขียนเชงิ สรา้ งสรรคไ์ ดถ้ ูกต้องและเหมาะสม ดังน้ี
๑. ใชค้ าให้ถกู ความหมาย

ในภาษาไทยน้ันมีการจาแนกคาโดยใช้ความหมายเป็นเกณฑ์ได้ ๒ ชนิดด้วยกัน คือ
คาที่มีความหมายโดยตรงหรือความหมายโดยอรรถ (Denotative Meaning) หมายถึง ความหมาย

๑๔๙

ประจาคาที่ปรากฎในพจนานุกรม ซึ่งเป็นความหมายตามตัวอักษร และคาท่ีมีความหมายแฝงหรือ
ความหมายโดยนัย (Connotative Meaning) หมายถึง ความหมายย่อยท่ีแฝงเร้นอยู่ในความหมาย
หลักหรือความหมายตรง โดยผู้ใช้ภาษาจะต้องอาศัยประสบการณ์ทางภาษา บริบท เลือกใช้เพื่อสื่อ
ความหมายให้ถูกต้องเพื่อสื่ออารมณ์ ความคิด ความรู้สึกได้อย่างมีช้ันเชิง ดังเช่น เปลื้อง ณ นคร
(๒๕๔๐ : ๑๑-๒๐) อธิบายความหมายของคาต่าง ๆ ซ่ึงมคี วามหมายโดยตรง และโดยนยั ไว้เชน่ คาว่า
เสือ ความหมายโดยตรงหมายถงึ สัตว์ ๔ เท้า รูปคล้ายแมวแต่ตัวใหญ่กว่ากินสัตวเ์ ป็นอาหาร มีหลาย
ชนิด เช่น เสือโคร่ง เสอื ดาว ฯลฯ แต่เมอื่ นาไปใชร้ ่วมกับบริบทอน่ื ๆ ก็จะมีความหมายโดยนัยได้ เช่น
ทหารเสอื เสือผหู้ ญิง มอื ชั้นเสือ อา้ ยเสือ ซ่ึงคาว่า "เสือ" ดังทกี่ ล่าวมาน้ีลว้ นมีความหมายโดยนัยทง้ั สิ้น
ดังนั้น การใช้คาตามความหมายแฝงหรือความหมายโดยนัยน้ัน จึงเป็นสิ่งสาคัญของนักเขียนที่จะ
นาไปใชส้ อื่ ความหมาย เพราะจะช่วยใหเ้ กดิ อารมณ์และอรรถรสในงานของตนได้

ตวั อย่าง การใช้คาทีม่ คี วามหมายโดยตรงและความหมายโดยนัย

๑) ไข่ดาว ความหมายโดยตรง คือ ไข่ทอดท่ีไม่ตกตีผสมกันระหว่างไข่ขาวกับไข่แดง

เชน่ ฉันชอบกินข้าวกะเพราหมูสับไข่ดาว ความหมายแฝง คือ แบน แฟบ หรอื ไม่ใหญ่ เชน่ หล่อนพวก

น้ีอกไข่ดาวท้งั นัน้

๒) กา ความหมายโดยตรง คือ นกชนิดหน่ึงตัวสีดา ร้องกา ๆ บางที่ก็เรียกว่า อีกา

เช่น สุนัขกาลังว่ิงไล่กัดกาตัวน้ัน ความหมายแฝง คือ ความต่างในทางท่ีแย่หรือเลวกว่าผู้อื่น สกุลต่า

ความต่าต้อย เชน่ หลอ่ นเป็นกาในฝงู หงส์

๓) ควาย ความหมายโดยตรง คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม มีส่ีขา เค้ียวเอ้ือง กินหญ้า

เป็นอาหาร ชาวนาเลี้ยงไว้ไถนา เช่น ฝูงควายกาลังเล็มหญ้าอยู่ข้างทาง ความหมายแฝง คือ โง่ เซ่อ

ตวั ใหญ่แต่ไมฉ่ ลาด เช่น สอนอะไรกไ็ ม่จาควายจรงิ ๆ!

นอกจากความหมายโดยตรงและโดยนัยในการเขียนแล้ว ยังมีความหมายอื่น ๆ ท่ี

สามารถใช้ในการสื่อความหมาย ได้แก่ ความหมายตามบริบทและความหมายตามประวัติ โดย

ความหมายตามบริบทนั้นจะข้ึนอยู่และเปล่ียนไปตามข้อความหรือบริบทที่แวดล้อมคานั้น เช่น คาว่า

"ข้ึน" เมอื่ ใชใ้ นบริบทตา่ งกัน ความหมายของคาก็จะเปล่ียนไป เช่น

รถยนต์กาลังขึ้นภูเขา (เคลอ่ื นไปข้างบน)

ผกั ในแปลงขึน้ แล้ว (แตกยอด, งอก)

ดวงอาทิตย์ข้ึนทางทศิ ตะวันออก (ผุด, โผล)่

เน้อื หมูในตลาดขนึ้ ราคา (เพ่มิ )

๑๕๐

สว่ นความหมายตามประวัติเป็นความหมายที่เกย่ี วเน่ืองกับประสบการณ์ หรือความเคย
ชินของผู้ใช้ภาษา เช่น คาว่า "หมู" เม่ือนาไปพูดกับเด็ก ๆ ก็มักจะนึกถึงนิทานเร่ืองลูกหมูสามตัว
กระปุกออมสิน หมูน้อยรัก ถ้านาไปพูดกับพระสงฆ์ หรือนักกินเจ ก็มักจะนึกถึงบาปกรรมที่เกิดจาก
การกนิ เนอื้ หมู ถา้ นาไปพดู กบั พอ่ ค้าแมค่ ้ากม็ ักจะนกึ ถึความรา่ รวยจากการค้าขายหมรู าคาหมู เปน็ ต้น

อย่างไรก็ตาม ความหมายของคานั้นสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ซึ่งส่งผลให้
ความหมายของคาหรือข้อความอาจจะเพ่ิมข้ึนหรือลดลง แคบหรือกว้างท้ังน้ีในการเขียนเชิง
สร้างสรรค์นั้น ผู้เขียนควรพิจารณาความหมายอย่างถ่ีถ้วนเพ่ือเลือกใช้ให้เหมาะสมตามกาลเทศะและ
สถานการณ์การส่ือความหมายในครั้งน้ัน ๆ (นติ ยา กาญจนะวรรณ, ๒๕๔๒ : ๑๙๔) เช่น

ศิลปะการใช้ประโยคในการเขียนสร้างสรรค์
ในการเขียนเชิงสร้างสรรค์นั้น ประโยคถือเป็นส่วนสาคัญประการหนึ่งในการเขียน
เพราะจะทาให้ผู้อ่านเข้าใจความหมาย และเร่ืองราวต่าง ๆ ที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอด ดังน้ัน
การศกึ ษาการใช้ประโยคในการเขียน การลาดบั ประโยค การใช้ประโยคแสดงเจตนา การใช้ภาษาและ
ระดับภาษา จะเป็นแนวทางให้เกิดการเขียนที่มีประสิทธิภาพ และสร้างงานเขียนที่มีพลังในการสื่อ
ความไดเ้ ป็นอยา่ งดี

๑. การใชป้ ระโยคในการเขยี น
๑.๑ ความถกู ต้องตามหลักภาษา ไม่ควรตดั คา ไม่ควรใชค้ าเกนิ ความจาเป็นหรือใช้

คาฟุ่มเฟือย ไม่ควรเรียงลาดับคาผิด ควรเรียงตามหลักภาษา คือ เรียงจากประธาน กรยิ า กรรม ถ้ามี
คาขยายก็จะอยู่หลังคาท่ีถูกขยาย ไม่ควรใช้ประโยคไม่ส้ินกระแสความ (ประโยคไม่สมบูรณ์) คือ
ประโยคที่ขาดส่วนใดส่วนหน่ึงในโครงสร้างไป เช่น ภาคประธานหรือภาคแสดง เช่น ตึกท่ีจังหวัด
นครราชสมี า ควรเขียนใหส้ ิ้นกระแสความโดยการเติมหน่วยกริยาลงไป เป็น ตึกทจ่ี ังหวัดนครราชสีมา
ถล่มเมื่อวานนี้ เป็นต้น ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม โดยท่ัวไป
ประโยคที่ใช้ในภาษาเขียนระดับทางการมักมีรูปเป็นประโยคประธาน หากผู้เขียนต้องการเน้น
ส่วนประกอบอื่นของประโยค เช่น กริยา หรือกรรม ก็สามารถ เลือกใช้ประโยคกริยา หรือประโยค
กรรมในการสื่อความได้ ซึ่งการใช้ประโยคเหล่านี้แตกต่างกันตามจุดมุ่งหมายในการส่ือสาร หาก
ผ้เู ขยี นต้องการเนน้ ส่วนใดเปน็ พิเศษให้นาสว่ นนน้ั มาไวใ้ นตาแหน่ต้นประโยค ดงั นี้ (วัลยา ช้างขวัญยนื ,
๒๕๓๓ อ้างถงึ ใน จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ, ๒๕๕๘ : ๕๕)

ประโยคประธาน คือ ประโยคท่ีผู้ใช้กระทาขึน้ ต้นประโยค เช่น
แมต่ ลี ูก
เขาเลน่ เทนนสิ ทกุ วนั
วันน้พี ่อล้างรถยนตค์ นั ใหม่

๑๕๑

ประโยคกรรม คอื ประโยคทถ่ี ูกกระทาขึ้นต้นประโยคเมอ่ื ต้องการเน้น เชน่
ลกู ถูกแมต่ ี
ประโยคนี้ต้องการเน้น "ลกู " ซ่ึงเปน็ กรรมของประโยค
นกั ศกึ ษาถกู อาจารยต์ ักเตือนเรือ่ งการแตง่ กายเขา้ ชั้นเรียน
ประโยคนี้ตอ้ งการเนน้ "นักศึกษา" ซึ่งเป็นกรรมของประโยค

ประโยคการติ คือ ประโยคประธานหรอื ประโยคคาทม่ี ีผรู้ บั ใชอ้ ยู่ดว้ ย เชน่
ครสู ัง่ ใหน้ ักเรียนทาการบ้าน
ประโยคนมี้ ีผู้รบั ใช้ คือ "นักเรยี น"
นกั ศกึ ษาถูกอาจารยส์ ัง่ ให้พักการเรียนเปน็ เวลา ๑ เทอม
ประโยคน้ีมีผรู้ ับใช้ คือ "นกั ศึกษา"

ประโยคกริยา คือ ประโยคที่ใช้คากริยาข้ึนต้นประโยคเมื่อต้องการเน้นกริยาให้
เดน่ คากริยาท่ีมกั ใช้ขึน้ ต้นในประโยคกรยิ า ได้แก่ เกดิ มี ปรากฏ เช่น

เกิดพายฤุ ดรู ้อนเม่ือสปั ดาหท์ ี่ผ่านมา
ประโยคน้ีต้องการเน้นกริยา "เกิด" จึงย้ายกริยา "เกิด" มาไว้
ตน้ ประโยค หากเนน้ ประธาน "พายฤุ ดรู ้อน" กจ็ ะเขียนเป็นประโยคประธาน ได้วา่ พายุฤดูร้อนเกดิ เม่ือ
สัปดาหท์ ่ผี ่านมา
๑.๒ ประโยคกะทัดรัด ควรเขียนให้กระชับ โดยไม่ใช้คาฟุ้มเฟือย จนทาให้ผู้อ่าน
สับสน หรืออ่านไปแล้วได้สาระน้อย ดังสานวนที่ว่า "น้าท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงในการฝึกเขียน
ประโยคกะทัดรัดน้ัน ควรมีลักษณะ คือ ไม่ใช้คาซ้า ๆ กันในประโยค เช่น ในช่วงปิดภาคเรียนฤดูร้อน
ท่ีผ่านมาน้ัน ข้าพเจ้าได้มีโอกาสเดินทางไปเท่ียวจังหวัดอุดรธานี ในการเดินทางครั้งนี้ข้าพเจ้าเดินทาง
ไปกบั คณุ พอ่ คณุ แม่ พ่ีสาว และนอ้ งชาย ซ่งึ นบั เป็นการเดนิ ทางที่ข้าพเจ้าประทับใจมากที่สุด"
จากตัวอย่างข้างต้น จะเห็นคาทข่ี ีดเส้นใต้ว่าผูเ้ ขียนใช้คาซา้ ซ้อน และฟุ่มเฟอื ย
โดยไม่ได้ก่อให้เกิดความหมายใหม่หรือแตกต่างไปจากเดิม เช่น การใช้คาว่า ข้าพเจ้า ซ้ากันหลายคร้ัง
หรือใชค้ าฟมุ่ เฟอื ย คือ คณุ พอ่ คุณแม่ พช่ี าย และน้องสาว ควรเปลยี่ นเปน็ คาว่า ครอบครัว แทน
ในส่วนการสร้างประโยคให้กะทัดรัดในการเขียนน้ัน จุไรรัตน์ ลักษณะศิริ,
(๒๕๕๘ : ๕๘-๕๙) ไดเ้ สนอหลักเกณฑ์ในการสรา้ งไว้ ดงั น้ี
๑. การรวบความให้กระซับ หากประโยคมีประธานมากกว่าหน่ึง แต่ใช้
คากริยาร่วมกัน ควรหาคาท่ีสามารถรวบความในหน่วยประธานเข้าด้วยกัน เช่น การออกกาลังกาย
สมา่ เสมอ การพกั ผ่อนใหเ้ พียงพอ การรบั ประทาน ผกั ผลไม้ ล้วนส่งผลดตี ่อสุขภาพ
๒. การใช้คาที่มีความหมายรวม หรอื คาจากลุ่ม (Superordinate) ซงึ่ ได้แก่
คาที่มีความหมายรวม ครอบคลมุ กลุ่มคาท่ีมีความหมายย่อยแทนคาลูกกลุ่ม (Subordinate) ซึ่งได้แก่

๑๕๒

คาท่ีมีความหมายย่อย แสดงความเป็นสมาชิกของคาที่มีความหมายรวมในกรณีท่ีไม่จาเป็นต้องแจก
แจงรายละเอยี ด จะชว่ ยใหป้ ระโยค กระชับ กะทดั รัด และสละสลวยข้นึ เช่น

รายการน้ีโฆษณาสินค้าประเภทหม้อหุงข้าว กระทะ ตะหลิว ทัพพี ช้อน
สอ้ ม มีด จาน ชาม และถ้วย (คาลูกกลุ่ม) ควรเปล่ียนเป็น รายการนี้โฆษณาสินค้าประเภทเคร่ืองครัว
(คาจ่ากล่มุ )

๓. การหลกี เล่ียงการใช้นามวลีแทนคากรยิ า เช่น
นกั กฬี าทาการฝกึ ซ้อมอยา่ งหนัก

ควรเปลย่ี นเป็น นกั กฬี าฝึกซ้อมอยา่ งหนัก
เขามีความดีใจอย่างยิ่งท่ีสามารถสอบเข้าศึกษา

ต่อในระดบั อุดมศึกษาได้
ควรเปลี่ยนเปน็ เขาดีใจอย่างยิ่งท่ีสามารถสอบเข้าศึกษาต่อใน

ระดับอดุ มศกึ ษาได้
ขณะที่ตารวจไปพบนั้น เขากาลังตกอยู่ในสภาพ

มึนเมา
ควรเปลยี่ นเป็น ขณะที่ตารวจไปพบนน้ั เขากาลงั เมา

๑.๓ ประโยคชัดเจน หากผู้เขียน เขียนได้ชัดเจน ตรงตามวัตถุประสงค์ในการส่ือ
ความหมายแล้ว ก็จะทาใหผ้ อู้ ่านเกดิ ความเข้าใจงานเขียนไดง้ ่ายและรวดเร็วขนึ้ โดยการเขียนประโยค
ให้ชัดเจนน้ีผู้เขียนควรหลีกเลี่ยงการใช้ประโยคในลักษณะ ดังน้ี การใช้ประโยคไม่กระจ่าง ไม่ควรใช้
คาศัพท์ยาก หรือโบราณมาก ไม่ควรใช้ศัพท์แสลง ไม่ควรใช้ศัพท์ต่างประเทศ หรือศัพท์เฉพาะทาง
วิชาการ นอกจากนี้ ควรหลีกเล่ียงการใช้ประโยคกากวม หรือประโยคท่ีมีความหมายได้หลายอย่าง
เพราะจะทาใหผ้ ูอ้ า่ นเกิดการสับสน และอาจจะตคี วามหมายผิดไป

ตวั อยา่ ง
๑) ฉนั ไม่ทานข้าวเย็น เป็นประโยคกากวม คาว่า ขา้ วเย็น อาจมคี วามหมาย
๒ ความหมาย คือ ข้าวทเี่ ยน็ ชืด (ไม่ร้อน) หรอื ข้าวมอื้ เย็น

ควรแก้ไขโดยระบุลงไปให้ชัดเจนว่า ฉันไม่ทานข้าวท่ีเย็นแล้ว หรือฉันไม่
ทานข้าวม้อื เย็น เป็นตน้

๒) หล่อนเป็นคนใช้ฉัน เป็นประโยคกากวม คาว่า คนใช้ อาจมีความหมาย
๒ ความหมาย คอื คนทใ่ี ช้ผู้อ่ืนใหท้ าสิง่ ตา่ ง ๆ ใหต้ ามความต้องการของตน หรอื คนรบั ใช้

ควรแก้ไขโดยระบุลไปให้ชัดเจนว่า หล่อนเป็นคนใช้ให้ฉันไปทา หรือ
หล่อนเป็นคนรับใช้ของฉัน

๑๕๓

๒. การลาดับประโยค
การลาดับประโยค เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านได้รู้เร่ืองต่อเน่ืองกันโดยตลอด และ

เข้าใจเนื้อเร่ืองอย่างดีตามจุดประสงค์ของผู้เขียน โดยจะต้องพิจารณาว่าควรเอาประโยคใดนาก่อน
ประโยคใดขยายประโยคใด และเรียงสาดับให้มีความสัมพันธ์กันตลอดจนจบเร่ือง ฉลวย สุรสิทธิ์
(๒๕๒๒ : ๑๕๕-๑๕๖) ไดส้ รปุ แนวคิดในการลาดบั ประโยคไว้ ดงั นี้

๒.๑ ต้องตั้งโครงเร่ืองที่จะเขียน และแบ่งเป็นหัวข้อย่อย เพ่ือเป็นการจัดระเบียบ
ความคดิ มิให้สับสน และป้องกนั มิให้มกี ารเขียนเน้อื เร่ืองซา้ กนั

๒.๒ ในการเขียนเร่ือง ให้แบ่งเน้ือเรื่องออกเป็นตอน ๆ เม่ือจบตอนหนึ่งจะต้องขึ้น
บรรทดั ใหมเ่ สมอ

๒.๓ การเรม่ิ เขียนประโยคแรก หรือในการเขยี นขึ้นบรรทัดใหม่ ควรเขียนประโยค
ให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ คือ มีภาคประธาน ภาคแสดง และควรใช้ประโยคสั้น ๆ มีความชัดเจน
ไม่มคี วามหมายทีค่ ลางแคลง

๒.๔ เขียนประโยคแรกเหมือนจะเปน็ ช่ือเรือ่ ง คอื เปน็ การเขียนนาเร่อื งด้วยถ้อยคา
ทช่ี ัดเจนทีส่ ุด เพอ่ื ให้รวู้ ่าเร่ืองทเี่ ขยี นนนั้ เกยี่ วกบั อะไร

๒.๕ การลาดับประโยค ต้ังแต่ประโยคแรกจนกระท่งั ถึงประโยคสุดท้ายรวมทั้งการ
ย่อหน้าแต่ละคร้ัง ข้อความและเน้ือเร่ืองจะต้องเก่ียวเน่ืองกันเหมือนลูกโซ่ คือ เช่ือมโยงกันระหว่าง
ประโยคตอ่ ประโยค และระหวา่ งตอนกบั ตอน

๒.๖ การเรียงลาดับประโยค ควรจะทาไปตามธรรมชาติ คือ เห็นว่าอะไรควรจะ
กล่าวกอ่ น อะไรควรจะกล่าวทีหลัง ไม่ควรเรยี งประโยคกลบั ไปกลับมาจนจบั ใจความไม่ได้

ตัวอย่าง "งานเฉลมิ ฉลองศกั ราชใหม่ เตรียมการกนั ใหม้ โหฬาร ครึกคร้ืนไมย่ ิ่งหยอ่ น
กว่าปีท่ีแล้วมา ท้องสนามหลวงจะมีการจัดงานอย่างพิเศษสุด โดยจะจัดการอานวยความสะดวกแก่
ประชาชนผไู้ ปเท่ียว และจะชักชวนประชาชนร่วมฉลองกนั อย่างครึกครืน้ อกี ด้วย"

สามารถพจิ ารณาขอ้ ความตวั อยา่ งได้ ดังนี้
๑) การเรียงลาดับประโยคไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ขาดการล้าดับเหตุการณ์ท่ีจะ
ทาให้ผู้อ่านเข้าใจ และรับทราบข้อมูลได้ทันที ควรจะลาดับโดยใช้หลัก ๕W๑H (ใคร ทาอะไร ที่ไหน
เม่อื ไหร่ ทาไม ผลเปน็ อยา่ งไร)
๒) ใช้ถ้อยคาฟมุ่ เฟือยเกนิ ความจาเป็น
๓) เข้าใจยากเพราะเร่ิมประโยคแรกไม่เป็นไปตามหลักการวางประโยค ซ่ึงควร
นาภาคประธานข้ึนต้นประโยค ก่อใหเ้ กิดการเข้าใจความหมายไดย้ ากวกวน

๑๕๔

๓. การใชป้ ระโยคแสดงเจตนา

ในการส่ือสารด้วยการเขียนแต่ละครั้งนั้น ผู้เขียนย่อมมีความมุ่งหมายหรือ

จุดประสงคแ์ ตกต่างกันออกไป ดังน้ัน ในการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ ผ้เู ขยี นควรศึกษา และทาความเข้าใจ

ลักษณะการใช้ประโยคตามเจตนาของผู้ส่งสาร หรือผู้เขียน โดย นววรรณ พันชุมธา (๒๕๔๙ : ๒๙๘-

๓o๗) แบ่งประโยคออกเป็น ๓ ประเภท คือ ประโยคแจ้งให้ทราบ ประโยคถามให้ตอบ และประโยค

บอกใหท้ า

๓.๑ ประโยคแจ้งให้ทราบ มีหลายชนิด อาทิ ประโยคบอกเล่า ประโยคอธิบาย

ประโยคเตือน ประโยคชี้แนะ ซึ่งประโยคบอกเล่าแบ่งตามความหมายได้เป็นประโยคบอกเล่ามี

เน้ือความรับรอง และประโยคบอกเล่ามีเน้ือความปฏิเสธ ประโยคบอกเล่าทัว่ ๆ ไปมเี นื้อความรับรอง

คือ รับรองข้อความที่กาลังกล่าวอยู่ แต่ประโยคบอกเล่าบางประโยคมีเนื้อความปฏิเสธ คือ ปฏิเสธ

ข้อความท่กี าลังกลา่ วอยู่

ตวั อยา่ ง

๑. ดุจดาวชอบไปโรงเรยี น

๒. ดุจดาวไมช่ อบไปโรงเรยี น

ประโยคแรกเป็นประโยคบอกเล่าที่มีเน้ือความรับรองว่าดุจดาวชอบไปโรงเรียน แต่

ประโยคที่ ๒ เป็นประโยคบอกเล่าท่ีมีเนื้อความปฏิเสธข้อความ ดังกล่าว ซึ่งประโยคท่ีมีเน้ือความ

ปฏิเสธจะใชค้ าปฏิเสธ เช่น ไม่ มิ ไมไ่ ช่ ไม่ได้ บ่ ไม่ยัก ไมส่ ู้ ไมค่ ่อย หามไิ ด้ เป็นตน้

๓.๒ ประโยคถามให้ตอบ มีหลายชนดิ อาทิ ประโยคถามเน้ือความ ประโยคถามให้

ตอบรับหรือปฏิเสธ ประโยคถามให้เลือก โดยประโยคถามเน้ือความใช้ถามเร่ืองราวบางอย่าง จะมีคา

หรือกลุ่มคาไม่ชี้เฉพาะ เชน่ ใคร อะไร ไหน เท่าไร กี เมอ่ื ไร อย่างไร ทาไม เหตุไฉน อยู่ในตาแหน่งคา

หรือกลุ่มคาที่ถามถึง หรืออยู่ในตาแหน่งต้น หรือท้ายประโยค นอกจากนี้ ประโยคถามให้ตอบรบั หรือ

ปฏิเสธ จะมีคาบอกการถาม หรือ ไหม อยู่ท้ายประโยค ในบางกรณี อาจมีคาอื่น ๆ ปรากฏร่วมกับ

คา หรือ ไหม กลายเป็นกลุ่มคาบอกการถาม หรือเปล่า หรือยัง ใช่ไหม ไม่ใช่หรือ ฯลฯ คาตอบรับ

หรอื ตอบปฏิเสธนน้ั จะสัมพนั ธก์ บั คาหรอื กลมุ่ คาถามทา้ ยประโยค

ตวั อยา่ ง

ถาม เธอรักใคร ตอบ ฉนั รกั เธอ

ถาม ทาไมสอบตก ตอบ ฉันไม่อา่ นหนังสอื

ถาม คุณทานา้ หกหรือเปล่า ตอบ ใช่

ถาม ทา่ นจะไปกบั ผมไหม ตอบ ไปครบั

๑๕๕

๓.๓ ประโยคบอกให้ทา มีหลายชนิด อาทิ ประโยคขอร้อง ประโยคสั่ง ประโยค
ชักชวน ประโยคอนญุ าต

๓.๓.๑ ประโยคขอร้อง ใช้ขอร้องให้ผู้อื่นให้ปฏิบัติตามความต้องการของตน
มีประธานของประโยคเป็นคาบอกบุรุษที่ ๒ และมีคาลงท้าย ซิ นะ อยู่ท้ายประโยคเช่นเดียวกับ
ประโยคสั่ง แต่ประโยคขอร้องมักมีคาขยายกริยาเพ่ิมเข้าในประโยค เพื่อไม่ให้ประโยคฟังห้วนเกินไป
เช่น ช่วยเก็บผ้าให้หน่อยนะ โปรดเก็บหนังสือให้เป็นระเบียบ กรุณางดใช้โทรศัพท์มือถือขณะรับชม
ภาพยนตร์ เป็นต้น

๓.๓.๒ ประโยคส่ัง ใช้บังคับหรือส่ังให้ผู้อื่นปฏิบัติตามความต้องการ ของตน
ประธานของประโยคจะเป็นคาบอกบุรุษที่ ๒ และในประโยคที่มีลักษณะเป็นทางการ อาจมีคาว่า จง
อยู่หน้าคากริยา เช่น จงรักษาความสะอาด อย่านาอาหาร และเคร่ืองด่ืมมารับประทานในห้องเรียน
ต้องทาครมี กันแดดทุกครงั้ ก่อนว่ายนา้

๓.๓.๓ ประโยคชักชวน ใช้ชักชวนให้ผู้อ่ืนปฏิบัติตามความต้องการของตน
มีประธานของประโยคเป็นคาบอกบุรุษที่ ๑ พหูพจน์ หมายถึง ท้ังผู้พูดและผู้ฟัง หรือเป็นคาบอก
บุรุษท่ี ๒ คาบอกมาลาในประโยคชักชวนมักจะเป็นคาว่า นะ เถอะ เถอะนะ ถ้าประโยคชักชวนมี
ความหมายปฏิเสธ หรือที่เรียกว่าประโยคห้าม มักจะใช้คาบอกมาลา นะ เช่น ออกกาลังกายกันเถอะ
ไปดูหนังกนั ดกี ว่า เป็นตน้

๕.๑๐ สรุป

ศิลปะและกลวิธีการเขียนน้ัน มีความสาคัญต่อการเขียนเชิงสร้างสรรค์ เป็นอย่างมาก
ทง้ั นี้ ผู้เขยี นจะตอ้ งอาศัยทั้งกลวิธีการใช้คาในลักษณะต่าง ๆ การใช้ประโยค และระดับภาษาเพื่อการ
สอื่ ความหมายอย่างสมบูรณ์ และถูกกาลเทศะตลอดจนการสร้างย่อหน้าท่ีอาศัยท้ังความสอดคล้องใน
ด้านเอกภาพ สมั พนั ธภาพ สารัตถภาพ และความสมบูรณ์ประกอบกนั เพ่ือให้เกิดเนื้อความที่ครบถ้วน
ชัดเจน นอกจากน้ี ส่ิงสาคัญประการหนึ่งทจ่ี ะทาให้งานเขียนกลายเป็นงานเขียนเชงิ สร้างสรรค์ที่แสดง
ตัวตนของนักเขียนก็คือ การสร้างท่วงทานองการเขียนที่เป็นเอกลักษณ์นั่นเองอย่างไรก็ตาม
ความสาเรจ็ ของการเขียนเชิงสร้างสรรค์นนั้ ยังขนึ้ อยู่กับความใฝ่รู้ และการฝึกฝนจนเกิดความชานาญ
จงึ จะสามารถรังสรรคง์ านเขียนให้เกดิ ความสร้างสรรค์ได้อยา่ งแท้จริง

๑๕๖

๕.๑๑ คาถามทบทวน

๑. ศลิ ปะในท่นี ี้ คืออะไร
๒. กระบวนการคดิ สรา้ งสรรคข์ อง Plesk ประกอบด้วยอะไรบา้ ง
๓. กลวิธี การเขยี นสร้างสรรค์เชิงรปู แบบมีอะไรบา้ ง
๔. ศลิ ปะและกลวธิ ใี นการเขยี นเชิงสร้างสรรค์ประกอบดว้ ยอะไรบ้าง
๕. การจดั รปู แบบการจัดการเรยี นรูต้ ้องอาศยั ศิลปะอยา่ งไร

๕.๑๒ เอกสารอ้างอิง

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ : เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เน่ืองในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๔ ธันวาคม
๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : นามมบี ุ๊คสพ์ นั ลเิ คชนั ส์, ๒๕๕๖.

Anuruthwong, Ausanee. (๒ ๕ ๕ ๕ ). Thinking Skill: How to development ?. Bangkok:
Inthanon. Applegates, M. (1949). Helping Children Write. Seranton : Penn
International Textbook Compan

Bedell, Christopher. (๒๐๑๕). ๑๕ Unfortunate Problems Every Creative Writing
Major Attempts To Get Over. from
http://thoughtcatalog.com/christopherbedell/2015/04/15-unfortunate-
problems-every-creative-writing-major-attemptsto-get-over/ March 3, 2015.

Boostrom, Robert. (๑๙๙๓). Developing Creative & Critical Thinking : An Integrated
Approach. Loncolnwood, Ill.: National Textbook.

Buzan, Tony and Barry Buzan. (๑ ๙ ๙ ๗ ). The Mind Map Book: Radiant Thinking.
London: BBC Books. –

--------. (๒๐๐๘). The Mind Map Book. Tanya Phonana and Nobpadon Phonana, Trams
Bangkok: kwankao’ ๙๔.

Chutavichit, Kasinee. (๒ ๕ ๕ ๗ ). Creative Writing : The Good idea is never end. 2nd
ed. Nakhonpathom: Nakhon Pathom Rajabhat University.

Chewapun, Achara. (๒ ๐ ๐ ๕ ). Crative Writhing Activities in Elementay School. 6th
ed.Bangkok: Chulalongkorn University Press.

Mantasood, Somporn. (๒ ๕ ๒ ๕ ). Creative Writing. Bangkok: Thammasat University
Bookstore.

๑๕๗

Naknuan, Natthakarn. (๒ ๕ ๕ ๒ ). “Creative Writing.” In LATH 100 Arts of Using Thai
Language in Communication, ๒๐๗-๒๒๔. 3rd ed. Bangkok:

Sahadhammik Pruksawan, Banlue. (๑๙๙๐). Deverlopment of Creative Writing.
Bangkok: Thai watanapanitch.

Phoyen, Kamol. (๒๕๔๗). A model for developing systematic thinking to improve
Thai language writing skill abilities for undergraduate students based
on Triarchic theory and Scaffolding approach. The Degree of Doctor of
Philosophy in Eduactional Psychology. Chulalongkorn University.

Plsek, Paul E. (๑ ๙ ๙ ๗ ). Creativity, innovation, and quality. Milwaukee, Wis.: ASQC
Quality Press.

Pornrungroj, Channarong. (๒๕๔๖). Crative Thinking. Bangkok: Chulalongkorn
University.

Sinlarat, Paitoon. (๒๕๕๗). Fulfilling for ๒๑st Century of Thai Eduacation. Bangkok:
Chulalongkorn University Press.

Sharples, M. (๑๙๙๖). An account of writing as creative design. from http: //
citeseerx.ist.psu.edu /viewdoc/download?doi=10.1.1.37.6909&rep=rep1
&type=pdf. October ๑๘th , ๒๐๑๕.

----------. (๑๙๙๙). How we write : Writing as creative design. London: Routledge.
Sternberg, Robert J. (๑๙๘๕). Beyond IQ:A triarchic theory of human intelligence.

New York: Cambridge University Press.
----------. (๑๙๙๗). “What does it mean to be smart?.” Education Leadership ๓:

Volume ๕๔, ๒๐-๒๔.
----------. (๒๐๐๙). “Foreword.” In The Psychology of Creative Writing, xv- xvii. Edited

by Kaufman, Scott Barry and Kaufman, James C. New York: Cambridge
University Press.
Wechakul, Chana. (๒๕๒๔). Creative Writing. Bangkok: Odean Store.

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี ๖
การเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์

หัวขอ้ เนอื้ หาประจาบท

๑. ความหมายของการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์
๒. ความสาคัญของการเขยี นสร้างสรรค์
๓. ประเภทของการเขียนสรา้ งสรรค์
๔. ลักษณะของการเขียนสร้างสรรค์
๕. จุดม่งุ หมายของการเขยี นสร้างสรรค์
๖. งานเขียนเชิงสร้างสรรค์
๗. การกอ่ กาเนิดความคิดสรา้ งสรรค์
๘. การคิดและการจดั ระเบียบความคดิ
๙. กลวิธกี ารเขียนสรา้ งสรรค์

วตั ถุประสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม

๑. นกั ศึกษาสามารถอธิบายการเขียนแบบสร้างสรรค์ในรปู แบบตา่ ง ๆ ได้
๒. นกั ศกึ ษาสามารอธิบายประเภทของการเขียนแบบสร้างสรรค์ได้
๓. นกั ศึกษาสามารถอธิบายหลักการเขยี นแบบสร้างสรรค์ เพ่อื การสร้างสรรค์งานเขียนจาก
การริเร่ิมส่งิ ใหม่ ๆ ได้

วธิ สี อนและกจิ กรรมการเรยี นการสอน

๑. วิธสี อน
๑.๑ การฟงั การอภิปราย และบรรบาย
๑.๒ การใหค้ ้นคว้าหาความรู้ด้วยตนเอง
๑.๓ การวิเคราะห์เอกสาร
๑.๔ การใหน้ าเสนอผลการทางานกล่มุ

๑๖๐

๒. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
๒.๑ การฟัง การอภปิ ราย และการบรรยาย
อภิปรายรว่ มกนั ระหว่างอาจารย์และนักศึกษา เกี่ยวกับเร่ืองรปู แบบการเขียนแบบ

สรา้ งสรรคท์ ี่ตอ้ งสรา้ งงานเขยี นจากสิ่งใหม่ ๆ
๒.๒ การให้คน้ คว้าหาความรู้ดว้ ยตนเอง
ให้นกั ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ตามประเด็นทีไ่ ด้รบั มอบหมายโดยใช้กรณีศึกษา แล้ว

นาผลการศึกษามารว่ มกันแสดงความคดิ เหน็ กอ่ นฝกึ ปฏบิ ัติการเขียน
๒.๓ การวเิ คราะหเ์ อกสาร
ให้นักศึกษาทางานกลุ่มร่วมกันวิเคราะห์เอการประกอบการบรรยายจากการ

วเิ คราะหส์ าร สังเคราะห์ และประเมนิ ค่าองคค์ วามรู้จากงานเขียนประเภทต่าง ๆ เปน็ ผลงานรายกลุ่ม
๒.๔ การฝกึ ปฏิบัติ
ให้นักศึกษาฝึกปฏิบัติทักษะกระบวนการแสวงหาความรู้ และส่งเสริมให้ผู้เรียน

สรา้ งความรใู้ หม่ ๆ จากงานเขียนแบบสร้างสรรค์

สื่อการเรยี นการสอน

๑. บทความเกี่ยวกบั การเรยี น
๒. Power Point สรปุ เนอ้ื หา
๓. งานเขียนประเภทต่าง ๆ

การวัดผลและประเมนิ ผล

๑. ประเมินจากความรับผิดชอบในงานท่ีได้รับมอบหมาย
๒. ประเมินจากการฝกึ ปฏบิ ัติ
๓. ประเมินจากผลงานการฝึกการวิเคราะห์ สังเคราะหส์ าร
๔. ประเมนิ จากผลนาเสนอผลงานกลุ่ม

บทท่ี ๖
การเขียนเชิงสรา้ งสรรค์

๖.๑ ความหมายของการเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์

การเขียน เป็นทักษะการส่ือสารประเภทหนึ่ งท่ีผู้เขียนมุ่งแสดงความรู้ อารมณ์
ความรู้สึกและความคิดเห็นผ่านการบันทึกหรือถ่ายทอดเป็นตัวอักษรในรูปแบบใดรูปแบบหนึ่ง ท้ังนี้
เพ่อื การเรียนรู้ของตนเอง เพื่อชว่ ยให้คนอ่ืนรคู้ วามจริง เพื่อปลุกเร้าความร้สู ึก ตลอดจนเพือ่ กระตุ้นให้
เกดิ การเปลย่ี นแปลง

ความคิดสร้างสรรค์ เป็นการทาให้เกิดขึ้น ทั้งทางวัตถุและจิตใจ จากส่ิงที่ยังไม่เคยมีมา
ก่อนหรือมีเพียงต้นเค้าเดิมแล้วสามารถนามาดัดแปลงให้เกิดส่ิงใหม่หรือความคิดใหม่ ซ่ึงต้องใช้
จนิ ตนาการ อาศัยความรู้และประสบการณ์ต่าง ๆ เพ่ือให้เกิดความคิดท่ีเป็นประโยชน์และมีคณุ ค่าต่อ
สังคม

การเขียนเชิงสร้างสรรค์ เป็นการเขยี นท่แี สดงถึงความคิดรเิ ริ่มของผู้เขียน ซึ่งอาจปรากฎ
ออกมาในรูปแบบของ "เน้ือหา" ด้ือ แนวคิดและจินตนาการใหม่ หรือ "รูปแบบ" คือ กลวิธีการ
นาเสนอหรือการเล่าเร่ืองด้วยวิธีการใหม่ที่ไม่ได้ให้แบบเดิมหรือหยุดย่าอยู่กับที่ ทั้งนี้อาจเป็นสิ่งท่ี
ผู้เขยี นคิดข้ึนเองไม่ไดล้ อกเลียนแบบผูอ้ ื่นหรือพัฒนามาจากของเดมิ ที่มอี ยแู่ ล้ว ซึ่งการเขยี นสรา้ งสรรค์
จะต้องมี "คณุ ค่า" กล่าวคือเปน็ ส่งิ ที่จรรโลงใจ ยกระดับความคิดและสติปญั ญาแกผ่ ู้อา่ นในแงม่ ุมใดมุม
หนึ่ง ไม่ใช่คานึงแต่เพียงความแปลกใหม่แต่เพียงอย่างเดียวโดยไม่สนใจในเรื่องการส่ือความหมาย
ในทางทสี่ ร้างสรรค์ ยกตวั อยา่ งเชน่ "วันเอ๋ยวันน้ี เป็นวนั สาคญั กวา่ วนั ไหน เป็นวนั สาคญั กว่าวน้ ใด วัน
อื่นใดไม่สาคัญเท่าวันนี้" ซ่ึงเป็นการกล่าวที่วกไปวนมาด้วยการเล่นคา เพียงเพื่อให้เกิดความ
สละสลวยและแปลกโดยไม่สนใจเน้ือหาแต่อย่างใด ในกรณีเช่นนี้ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการเขียนเชิง
สร้างสรรค์

การเขียนเชิงสร้งสรรค์เป็นกระบวนการเขียนที่สะท้อนความคิดและจินตนาการแปลก
ใหม่ของผู้เขียน และได้มีผู้เช่ียวชาญและนักศึกษาหลายท่านได้ให้ความหมายของการเขียน
เชิงสร้างสรรค์ไว้ ดงั น้ี

สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (๒๕๒๓:๑๓๔) ให้ความหมายของการเขียน
เชิงสร้างสรรค์วา่ การเขียนเชงิ สร้างสรรค์ หมายถงึ การเขียนเรียบเรียงความรู้ ความคดิ ประสบการณ์
ต่าง ๆ ตลอดจนความรู้สึกนึกคิด และจินตนาการออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นข้อความสั้น ๆ
ทานองคาขวัญ รอ้ ยแกว้ ส้ัน ๆ หรอื กวีนิพนธ์ก็ได้ ข้อเขยี นเหลา่ น้ีจะมีเอกภาพทง้ั ในด้านความคิด และ
การใช้ภาษาเรียบเรยี ง

๑๖๒

ถวัลย์ มาศจรสั (๒๕๔๕ : ๔) ได้กลา่ วถงึ ความหมายของการเขียนเชงิ สร้างสรรคว์ า่ เป็น
งานเขียนท่ีแสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ของผู้เขียนที่เขียนด้วยสานวนภาษาท่ีมีลักษณะเฉพาะ
เป็นของตนเอง หรือมีรูปแบบการเขียนที่เขียนด้วยสานวนภาษาท่ีมีลักษณะเฉพาะเป็นของตน หรือมี
รปู แบบการเขยี นท่มี ีรปู แบบแปลกใหม่ มีคุณค่า และเปน็ ทยี่ อมรบั ของสาธารณชน

องั ฉรา ชวี พันธ์ (๒๕๔๘ : ๓) ไดใ้ ห้ความหมายของการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ไว้วา่ เป็นการ
เขียนเชิงลักษณะของการคิดริเริ่ม โดยผู้เขียนต้องใช้จินตนาการ และประสบการณ์ของตนเอง
มาเช่ือมโยงความคดิ ในการเขียน

เกทินี จุตาวิจิตร (๒๕๕๒ : ๗) อธิบายการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า การเขียนเชิง
สร้างสรรค์คือการขียนท่ีผู้ขียนมีจุดมุ่งหมายในการนาเสนอเนื้อหาสาระ หรือรูปแบบที่ใหม่ แปลก
แตกตา่ ง" ไปจากสิ่งทม่ี อี ย่หู รือเป็นอยเู่ ดิม อกี ทั้งไม่มลี กั ษณะทเี่ ปน็ สูตรสาเร็จ

คณาจารย์สาขาวิชาภาษาไทย วิทยาลัยมหิดล (๒๕๕๒ : ๒๐๗) ได้ให้ความหมายของ
การเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า การเขียนสร้างสรรค์ หมายถึง การสร้างงานเขียนท่ีผู้เขียนมีอสิ ระในการ
คิดและใชจ้ ินตนาการของตนเองอยา่ งเต็มท่ีเพ่อื สร้างสรรค์งานข้ึนมา งานเขยี นที่เกดิ ขนึ้ น้นั ผู้เขียนอาจ
นาเสนอเน้ือหาแนวคิดท่ีแปลกใหม่ ใช้มุมมองใหม่ ที่ไม่ซ้าใคร มีการสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ท่ีอาจเกิด
จากการนาศาสตร์หรือเทคนิคต่าง ๆ ใช้ร่วมกนั เช่น การนารูป สีสัน การวดั วางตัวอักษรมาใช้ร่วมกัน
ในการสอื่ ความหมาย มีการใช้ลูกเล่นทางภาษาอยา่ งมศี ลิ ปะ เช่น การสร้าง และใช้ศัพทเ์ ฉพาะ การใช้
คาเลยี นเสยี งเครอื่ งดนตรีในกวีนิพนธ์ การใชส้ ัญลกั ษณ์

ดังที่ได้กล่าวมาข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การเขียนเชิงสร้างสรรค์ คือ การถ่ายทอด
อารมณ์ความคิด ความรู้สึก ผ่านภาษาและตัวอักษรโดยใช้กระบวนการเขยี นผนวกกับจินตนาการและ
ความคิดสร้างสรรค์รวมกับประสมการณ์ของผู้เขียน เพ่ือสร้างสรรค์ ผลงานการเขียนที่มีความแปลก
ใหม่ ผ่านการถ่ายทอดเรื่องราวด้วยสานวนภาษาของตนเอง โดยใช้ภาษาอย่างถูกต้องเหมาะสมเพื่อ
เปน็ สอื่ กลางในการสอื่ สารไปยงั ผรู้ บั สาร ได้อย่างชดั เจนและถูกต้อง

๖.๒ ความสาคัญของการเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์

การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นงานเขียนท่ีมีความแตกต่างจากการเขียนท่ัวไป เนื่องจาก
ต้องใช้ความคิด และจินตนาการในการนาเสนอเร่ืองราว และรูปแบบท่ีแปลกใหม่ ดังนั้นการเขียน
เชิงสร้างสรรค์จึงมีความสาคัญ และจาเป็นต่อผู้เขียนอย่างมาก ด้วยเหตุน้ีจึงมีผู้กล่าวถึงความสาคัญ
ของการเขยี นเชงิ สร้างสรรค์ ไว้ดังนี้"

Tidyma and Putopi (๑๙๗๔ : ๒๒ อ้างถึงใน ชโลบล ทัศวิล, ๒๕๔๒ : ๖๑) ได้
กล่าวถึงความมุ่งหมายในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า เพ่ือให้เด็กได้แสดงออกซ่ึงประสบการณ์ท่ีเคย
ได้รับ เพ่ือการแสดงออกอย่างเสรี และเพ่ือวางรากฐานความพอใจในวรรณคดีให้เกิดข้ึนกับตัวเด็ก

๑๖๓

ซึ่งแสดงออกโดยการเขียนเชิงสร้างสรรค์นั้น จะต้องแสดงความคิด ความรู้สึกและอารมณ์ ทั้งนี้โดย
การใช้ถ้อยคาทีง่ ดงามมีความไพเราะ

กรรณิการ์ พวงเกษม (๒๕๓๓ : ๓๔) กล่าวถงึ ความมุง่ หมายของการเขียนเชิงสร้างสรรค์
ไว้ ดังน้ี

๑. เพื่อให้รู้จักระบายความรู้สึกนึกคิดของตนเองออกมาในทางสร้างสรรค์ และเข้าใจ
แนวคดิ ผ้อู ่ืน

๒. เพ่ือให้เข้าใจ เห็นคุณค่า และชื่นชมศิลปะ วรรณคดี ดนตรี ตลอดจนกิจกรรมทาง
วฒั นธรรม สามารถเข้ารว่ มกจิ กรรมนัน้ ได้

๓. เพอ่ื ใหม้ ีความสามารถในการปรบั ตวั ทางอารมณแ์ ละสังคม
๔. ครชู ่วยส่งเสรมิ การสังเกต การสร้างเรื่อง การเขยี นท่ีชัดเจน เป็นรายบกุ คล
๕. เด็กไดร้ บั ประสบการณ์ตา่ ง ๆ จากส่งิ ท่ีครใู หใ้ นกจิ กรรมการเรียนการสอน
๖. ประสบการณ์ท่ีได้จากการอภิปรายร่วมกัน จะช่วยพัฒนาทักษะในการเขียนได้
มากกว่าการเขียนเพยี งอย่างเดียว
ถวัลย์ มาศจรัส (๒๕๔๖ : ๕-๖) ได้อธิบายความสาคัญของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ต่อ
ชีวิตบุคคลและสังคมโดยสรปุ ดังน้ี
๑. ความสาคัญต่อชีวิต เกิดภูมิปัญญาด้านสานวนภาษาใหม่ ๆ สาหรับการ
ติดต่อสื่อสารได้ทันโลก เกิดอาชีพใหม่ ๆ จากการใช้ภาษาเชิงสร้างสรรค์ เช่น นักโฆษณา นักเขียน
นักเขียนบทโทรทัศน์ โฆษก พิธีกร นักโต้วาที การแสดงเด่ียว (ทอล์กโชว์) นักแปล เกิดการสืบสวน
รากเหงา้ ทางวฒั นธรรม ได้แก่ การฟงั การพูด การอา่ น การเขียน การแสดงซงึ่ เปน็ ทั้งสาระ และความ
บนั เทิงของชวี ิต
๒. ความสาคัญต่อบคุ คลพัฒนาสมองซกี ขวาในเร่ืองของความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ๆ ทา
ให้เกิดภูมิปัญญา (Wison) ด้านต่าง ๆ ด้วยตนเอง อาทิ ภูมิปัญญาด้านภาษา ภูมิปัญญาด้านเหตุผล
ภมู ิปญั ญาดา้ นการศกึ ษา ศาสนา ศลิ ปะ วฒั นธรรม
๓. ความสาคัญต่อสังคม เกิดรูปแบบใหม่ในการติดต่อส่ือสารของคนในสังคมและ
ระหว่างสังคมต่อสังคม เกิดวัฒนธรรม และอารยธรรมใหม่ของการติดต่อส่ือสาร เป็นการจุดประกาย
ความคิดให้เกิดสิ่งใหม่ ๆ ในสังคม ที่มาจากความคิด ความฝัน และจินตนาการผ่านการนาเสนอใน
รปู แบบของการเขยี นเชิงสร้างสรรค์

๑๖๔

ศิวกานท์ ปทุมสูติ (๒๕๔๘ : ๑๔๕-๑๕๔) อธิบายความสาคัญของการเขียนเชิง
สรา้ งสรรค์สรุปได้ ดังนี้

๑. คณุ ค่าดา้ นการประเทอื งอารมณ์
๒. คุณค่าดา้ นการพฒั นาสติปญั ญา
๓. คุณค่าดา้ นความจรรโลงใจ และยกระดับจติ สานึก

๖.๓ ลกั ษณะของการเขยี นสร้างสรรค์

ความใหม่ แปลก แตกตา่ ง
งานเขียนที่สร้างสรรค์ต้องมีความใหม่ แปลก แตกต่าง ซึ่งไม่ได้หมายความว่าต้องถึงข้ัน
“ใหม่เอี่ยมถอดด้าม” หรือไม่เคยมีมาก่อน แต่อาจเกิดจากการผสมผสานส่ิงที่มีอยู่ก่อนแล้ว เช่น
การสร้างคาใหม่จากคาเดิมท่ีเคยมีการใช้กัน หรือ การแต่งนิราศที่มิได้มุ่งเน้นการคร่าครวญถึงหญิง
คนรักในยามพลดั พรากจากการ แต่หากครา่ ครวญเกี่ยวกบั สภาพบ้านเมอื งหรอื สงั คมปจั จบุ ัน

สุนทรยี ภาพที่ลงตัว
สุนทรียภาพ คือ ความงามทางศิลปะหรือความงามในเชิงวรรณศิลป์ การเขียนเป็น
ศิลปะการส่ือสารแขนงหน่ึง การเขียนที่ดีและสร้างสรรค์จึงควรเป็นการเขียนที่แสดงถึงความงดงาม
ทางศิลปะ โดยผู้เขียนต้องมี "คลังศัพท์" และต้องมีความรู้ความเข้าใจในคาศัพท์อย่างมากจึงจะเลือก
นามาใช้ในการเรียงร้อย และส่ือความหมายได้อย่างลึกซึ้ง ชัดเจน และเห็นกาพ ตลอดจนเกิด
จินตนาการท่ีกว้างไกล เกิดความสะเทือนอารมณ์ ทั้งความสุขท่ีประสบกับสิ่งสวยงาม นุ่มนวล และ
อ่อนหวาน และความต่าช้า ความทุกข์ทรมาน เช่น วรรณกรรม ประเภทโศกนาฏกรรม ท่ีมักจะสร้าง
ใหต้ วั ละครเอกประสบกบั ความเจบ็ ปวดรวดร้าวทผ่ี อู้ า่ นจะเกดิ ความเหน็ อกเหน็ ใจ

การผสมผสานอย่างเหมาะสมระหว่างเน้ือหากับรูปแบบ
ในส่วนที่เก่ียวกับ "เน้ือหา" ผู้เขียนต้องมีความรู้ในเรื่องนั้น ๆ อย่างแท้จริง ไม่ใช้รู้เพียง
คร่ึง ๆ กลาง ๆ ซึ่งจะเป็นข้อจากัดในการอธิบายขยายความ รวมถึงยกตัวอย่างให้เกิดความชัดเจน
เชน่ การบรรยายภาพดอกไม้นานาพนั ธ์ทุ ีบ่ านสะพรงั่ ในป่า โดยไมร่ ูว้ ่าดอกไมเ้ หล่านั้นบานกนั คนละฤดู
นอกจากความรู้เก่ียวกับเนื้อหาแล้ว ก็ควรคานึงถึงความลงตัวระหว่าง "เนื้อหา" กับ
"รูปแบบ" ตามลักษณะของงานเขียนแต่ละประเภท เช่น การเขียนข่าว สารคดี บทความ ฯลฯ ต้อง
ม่งุ เน้นให้ความสาคัญ กับการนาเสนอเน้ือหาที่เข้มข้นและลึกซ้ึงให้มากกว่าการคานึงถึงรูปแบบ กลวิธี
การเล่าเรื่อง และวรรณศิลป์ เพ่ือให้เกิดความน่าเชื่อถือ แต่ถ้าเป็น แนวนวนิยาย เร่ืองส่ัน กวีนิพนธ์
ก็จาเป็นต้องให้ความสาคัญกับรูปแบบการนาเสนอ กลวิธีการเล่าเรื่อง และวรรณศิลป์ แต่ต้องไม่มุ่ง

๑๖๕

นาเสนอเนื้อหาอย่างตรงไปตรงมา ยัดเยียด ส่ังสอน และชี้นาจนเกินไปเพระจะถูกประเมินได้ว่าขาด
ลกั ษณะสร้างสรรคเ์ นอื่ งจากเปน็ การนาเสนอแบบไมม่ ที างเลือกอื่นเผื่อไว้ใหผ้ ู้อ่านได้คิดและไตรต่ รอง

การแสดงอตั ลักษณ์ของผเู้ ขยี น
คาว่ "อัตสักษณ์" (identit) ในบริบทที่เก่ียวข้องกับการเขียนนี้ หมายถึง การใช้ภาษา
ลีลาท่วงทานองการเขียนที่เป็นลักษณะเฉพาะตัว ซ่ึงผู้เขียนต้องแสวงหา และพัฒนาตนเองโดยอาศัย
ข้อสังเกตประสบการณ์ ความรู้สึกนึกคิด จินตนาการ กลวิธี ลีลา ฯลฯ ผนวกกับขนบธรรมเนียม แนว
ปฏิบัติ หรือฉันทลักษณ์ ทั้งน้ีอาจจะมีการดัดแปลงมาจากผู้อื่น การปรับเปลี่ยนจากของเดิมท่ีมีอยู่
การผสมผสานความหลากหลายจนกลายเป็นความลงตัว เป็นอัตลักษณ์ท่ีไม่เหมือนใคร และเป็นที่
จดจาของนักอ่าน เช่น นกั เขียนท่ีมีอตั ลักษณใ์ นการเขียนที่ชัดเจนผ้หู น่ึง คือ อังคาร กัลยาณพงศ์ ท่ีไม่
สรา้ งกวีนิพนธ์โดยไม่ยึดติดกับฉันทลักษณ์และมักนาเสนอความคิดและเค้าโครงเรื่องใหม่ด้วยน้าเสียง
เสียดสี ประชดประชัน
การเขียนที่แสดงความเป็นอัตลักษณ์ของนักเขียน จึงถือเป็นงานท่ีมีลักษณะสรางสรรค์
เนื่องจากเป็นการเขียนที่ผู้เขียนต้องใช้เวลาใการพัฒนาความคิด และฝีมือ โดยหลีกหนีออกจากกรอบ
ฉันทลักษณห์ รอื แนวปฏิบัติเดิมจนกระท่งั ได้รบั การยอมรบั ในที่สุด

การเปิดโอกาสแหง่ การตคี วามทหี่ ลากหลาย
ในการเขียนทั่วไป มักจะมีบทสรุปท่ีชัดเจน เพ่ือตอกย้าความหมายที่ผู้เขียนต้องการ
สื่อสาร แต่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ไม่จาเป็นต้องมีบทสรุปที่ชัดเจนตายตัว หรือคลี่คลายความสงสัย
ให้แก่ผูอ้ ่านเสมอไป แต่ควรเปิดโอกาสใหม้ ีการตคี วามที่หลากหลาย เพราะในชีวิตจะมคี าถามมากมาย
ท่ีไม่มีคาตอบหรือไม่จาเป็นต้องตอบและอาจถือได้ว่าเป็นการจบเร่ืองเล่าท่ีสื่อความหมายได้อีกแบบ
หนึ่ง ซ่ึงจะทาให้ผู้อ่านเกิดความสะดุดใจและจุดประกายให้ผู้อ่านเกิดการอภิปราย ถกเถียงกับตนเอง
และผู้อ่ืน อันจะนาไปสู่การบ่มเพาะทางปัญญาและเกิดแนวคิดใหม่ ๆ ท่ีอาจจะไม่เคยนึกคิดมาก่อน
งานทีม่ อี งค์ประกอบเช่นน้ี จงึ นับได้วา่ เปน็ การเขียนทสี่ ร้างส้ รรค์

ความสามารถในการส่นั คลอนหรือร้ือถอนอคติ
การเขียนสร้างสรรค์ ควรเป็นการเขียนท่ีทาให้ผู้อ่านเป็นอิสระ ปราศจากอคติ หรือ
ปลดปล่อยจากการยึดติด อันจะทาให้ผู้อ่านเห็นโลกในแง่มุมที่แปลกแตกต่างไปกว่าท่ีเคยเห็น รวมทั้ง
เกิดการตั้งคาถามกับส่ิงที่เคยยึดติดและเกิดความต้องการค้นหาคาตอบบางประการในสิ่งที่ไม่เคยเห็น
วา่ เปน็ ปญั หามาก่อน

๑๖๖

การสรา้ งจิตสานึกต่อสงั คม

งานเขียนเชิงสร้างสรรค์ต้องนาเสนอเนื้อหา และแนวคิดท่ีแสดงออกซ่ึงจิตสานึกต่อ

สังคม ในท่ีน้ี หมายถึง จิตสานึของความเป็นพลมือง ท้ังการมีจิตอาสา การเอาใจใส่ ความรับผิดชอบ

และการเป็นธุระแก่สังคม ซ่ึงผู้เขียนสามารถเขียนได้ด้วยรูปแบบท่ีหลากหลายท้ังสุภาพ นุ่มนวล

ท้าทาย เย้ยหยัน และประชดประชันเเสยี ดสี

งานเขียนท่ีนาเสนอแนวคิด หรือมีเน้ือหาท่ีแสดงออกซึ่งจิตสานึกของความเป็นพลเมือง

ถือว่าเป็นงานท่ีมีลักษณะสร้างสรรค์ เพราะช่วยยกระดับจิตสานึก และความตระหนักรู้ให้แก่ผู้อ่าน

ทั้งอาจพิจารณาได้ว่าเป็นการจรรโลงให้ผู้อ่านทราบว่า อย่างน้อยท่ีสุดในสังคมก็ยังไม่ส้ินไร้

ซ่ึงอุดมการณ์ และยังมีคนอีกหลายคนที่มีความรับผิดชอบ มีความมุ่งมั่น และปราถนาการอยู่ร่วมกัน

ในสังคมอย่างมีความสุข ดังตัวอย่างงานเขียนของ เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ ใน จารึก ร.ศ. ๒๐๐ ความ

วา่

บ้านเมืองเราตอนนม้ี มี รสุม ฟา้ กค็ ลุ้มดินกค็ ลา้ ระส่าระสาย

นาคพน่ นา้ ฉา่ ฉ่าบ่าทลาย น้าตาปรายประแตม้ แกม้ แผน่ ดิน

ไอเ้ ขอ่ื นรอบขอบคนั ไม่กัน้ น้า เขอ่ื นใจดาหรือว่าใครหนอใจหิน
ตัดต้นไม้ไมเ่ หลือเกอ้ื ธรณนิ ทร์ น้าจึงรินไหลแรงแขง่ น้าตา
โรงนาอยู่ใต้น้าซ้าหดหู่ โรงงานอยใู่ ตค้ วนั ประจันหน้า
หนมุ่ นาล่มไรพ่ งั นง่ั ตวั ชา สาวโรงงานฉันทนาถกู ด่าทอ

(จารกึ ร.ศ. ๒๐๐, ๒๕๒๖, น. ๓๕)

กวีสื่อให้เห็นถึงความแปรปรวนของธรรมชาติอันมีสาเหตุมาจากวิถีของการพัฒนาและ
ความโลภของมนษุ ยท์ ม่ี ุ่งตัดตนั ไม้หรือทาลายป่า จนไม่มีต้นไม้คอยดูดซับ หรอื กักเก็บน้าไวใ้ หม้ นุษยไ์ ด้
ใช้อย่างสมดุล จนเกิดน้าท่วมไปท้ังบ้านเมือง โรงงาน และไร่นา แม้แต่วิทยาการ และเทคโนโลยี
สมัยใหม่ที่มนุษย์สร้างข้ึนเพ่ือกักเก็บน้าอย่างเขื่อนไม่อาจก้ันน้าได้ บทกวีนี้จึงให้ขัอคิด และกระตุ้น
เตือนให้มนุษย์ตระหนักว่าหากตัดไม้ทาลายป่าก็อาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อวิถีชีวิต และอาจมาสู่
ความทกุ ข์โศกเศรา้ เพราะมนษุ ย์ไม่อาจควบคมุ ไดเ้ สมอไป

๑๖๗

การยกระดบั ทางปญั ญา

ปัญญา ในที่น้ีไม่ได้หมายถึง ความรู้ เท่าน้ัน หากหมายรวมถึง ความดี ความงาม และ

ความจริง งานเขยี นสร้างสรรค์จงึ ต้องสร้างความตระหนักรใู้ นการเข้าถงึ "ธรรม" หรอื "ธรรมชาติ"

ดังตัวอย่างงานเขียนเร่ือง จิตตนคร บทพระนิพนธ์ใน สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จ

พระสังฆราช สกล มหาสังฆปริณายก ท่ีได้สร้างสรรค์มาจากพุทธสุภาษิตประโยคเดียวว่า "อยากให้

รกั ษาจิตเหมือนกับนคร" อันหมายความว่า หากเราพยายามรกั ษาพระนครหรือเมืองให้ตัง้ ม่ัน สะอาด

ปราศจากศัตรูฉันใด ก็พึงรักษาจิตให้สะอาดปราศจากอบาย ฉันน้ัน การท่องไปในจิตตนคร ก็คือ

การเข้าไปดูแล ระลึกรู้ภายในของชีวิตอย่างมีสติ หรือฝึกชาระล้างสิ่งสกปรกภายในที่สะสม ทับถม

พอกพูนไปด้วยกิเลสตัณหา ไม่ใช่เพียงสนใจดูแลเพียงภายนอกร่างกายให้หอมกรุ่น สะอาดปราศจาก

คราบไคลเท่านน้ั

อีกตัวอย่างหน่ึงคือบท "ปริศนา" ใน บางกอกแก้วกาศรวล ของอังคาร กัลยาณพงศ์

ความวา่

ชวี ติ มนษุ ยส์ ุดลงก็แคน่ ้ี หรือมีอะไรมากไปกว่าน้นั

คือโลภกนิ นอนแลว้ สืบพัน เว้นแตอ่ รหนั ตร์ ู้พุทธธรรม ฯ

ยง่ิ คดิ ไกลใจไหวสังเวช เหตุอัตตาดิบดึกลึกล้า

เหตอุ สภุ อดสอู ยู่ประจา ยงั ครอบงากเิ ลสลกึ คึกคะนอง ฯ

อยา่ งน้นี ี่หนออนาถชาติมนษุ ย์ ขาดพทุ ธธรรมนาจิตรสว่างไสว

โลกจึงรอ้ นนรกรา้ ยรมุ ไฟ หมกไหม้ไปทวั่ ฟา้ สากล ฯ

(บางกอกแก้วศรวล, ๒๕๒๑, น. ๑๓๒)

บทกวีข้างต้น กวีสร้างสรรค์ผลงานให้ผู้อ่านตระหนักรู้ถึงความจริงในชีวิตว่ามนุษย์มี
ข้อจากัดเรื่องของเวลาที่แสนส้ันและย่อมเปล่ียนแปลงไปตลอดเวลา แต่มนุษย์ยังคงมีความ "โลภ"
หรือความอยากได้ไม่รู้จักพอท้ัง "กินนอนแล้วสืบพันธุ์" อีกท้ังหลงยึดม่ันถือมั่นใน "อัตตา" อยากให้
ตัวตนหรือส่ิงที่ปรารถนาสาหรับตอบสนองความสุขนั้นคงอยู่ ไม่อยากให้เปล่ียนแปลงหรือดับสูญไป
ชวี ิตของมนษุ ย์ทม่ี ีทง้ั กิเลสตณั หา และอุปทานเปน็ ท่ตี ัง้ นี้ กวีช้ใี หเ้ ห็นวา่ เปน็ การ "ขาดพทุ ธธรรมนาจิตร
สว่างไสว" หรือมนุษย์ขาดการเรียนรู้และเข้าใจในหลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าเพื่อนามา
ประพฤติปฏิบัติในการดาเนินชีวิต มนุษย์จึงเผชิญอยู่กับความทุกข์ใจเหมือนอยู่กับความร้อนของ
ไฟนรก

๑๖๘

โดยสรุป การเขียนเชิงสร้างสรรค์น้ันถึงประกอบไปด้วย ความใหม่ แปลก และแตกต่าง
สนุ ทรียภาพท่ีลงตวั การผสมผสานอย่างเหมาะสมระหว่างเน้ือหากับรูปแบบ การแสดงอัตลักษณ์ของ
นักเขียน การเปิดโอกาสให้ตีความอย่างหลากหลาย การสร้างความสั่นคลอนหรือร้ือถอนอคติ การ
สรา้ งจิตสานึกต่อสังคม และการยกระดับทางปัญญา

๖.๔ จุดมงุ่ หมายของการเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์

ในฐานะของผู้เขียนจาเป็นต้องมีความชัดเจนว่า ตนต้องการท่ีจะ "ส่ือ" อะไร ถึงใครและ
ด้วยเจตนาใดซึ่งการจาแนกประเภทของการเขียน โดยใช้เจตนาในการสื่อสารเป็นเกณฑ์ สามารถ
จาแนกได้ ๕ ประเภท

๑. การเขียนเพอื่ เล่าเร่ือง
การเขียนเพื่อเล่าเรื่อง เป็นการเขียนท่ีผู้เขียนมีเจตนานาเสนอเรื่องราวหรือ

เหตุการณ์ที่เกิดข้ึนท้ังประสบการณ์ท่ีได้รับ โดยอาจจะเป็นการเล่าตามลาดับเวลาหรือเล่าตามลาดับ
ความสาคัญ หรืออาจเป็นการเขียนที่มุ่งเสนอหรือแนะนาเรื่องราวของบุคคล สถานที่ตลอดจน
ปรากฎการณ์ทางสังคมใหม่ การเขียนท่มี จี ุดมงุ่ หมายเช่นนี้ ไดแ้ ก่ การเขยี นคอลมั น์แนะนาหนังสือ บท
เพลง ภาพยนตร์ ละคร ประวัติบคุ คลสาคญั สถานทีท่ อ่ งเทยี่ ว เร่อื งขาขัน เร่อื งซบุ ซบิ เปน็ ต้น

๒. การเขียนเพอื่ แสดงข้อคิดหรือทัศนะ
การเขียนเพื่อแสดงข้อคิดหรือทัศนะ เป็นการขียนท่ีผู้เขียนมีเจตนาเสนอข้อคิด

ทัศนะและความคิดเห็นทั่วไปหรือความคิดเห็นเฉพาะต่อรื่องใดเรื่องหน่ึงซ่ึงอาจจะเป็นการนาเสนอ
อย่างตรงไปตรงมาหรือหยิกแกมหยอกโดยนัยของการเสียดสี ย่ัวล้อ และประชดประชัน การเขียน
เชน่ น้ีผ้เู ขยี นมักจะมีสมมตฐิ านอย่ใู นใจแล้ววา่

ผู้อ่านมีข้อมูลพื้นฐานหรือข้อจริงทั่วไปเก่ียวกับเรื่องน้ัน ๆ มากพอที่จะจับประเด็นได้
การเขียนที่มีจุดมุ่งหมายเช่นน้ี ได้แก่ การเขียนบทวิเคราะห์เหตุการณ์ทางการเมือง บทวิจารณ์
ภาพยนตร์ หรอื บทกวี บทบรรณาธกิ าร และการต์ ูนล้อการเมือง เป็นตน้

๓. การเขียนเพอ่ื ใหค้ วามรแู้ ละทกั ษะเฉพาะเรื่อง
การเขียนเพื่อให้ความรู้และทักษะเฉพาะเร่ือง เป็นการเขียนท่ีผู้เขียนมีเจตนาให้

ความรู้และทักษะในเรื่องใดเร่ืองหน่ึงอย่างละเอียดโดยการอธิบาย ขยายความ ระบุขั้นตอน วิธีการ
ตลอดจนแนวทางในการปฏิบัติอย่างชัดเจน การเขียนที่มีจุดมุ่งหมายเช่นน้ี ได้แก่ การเขียนคอลัมน์
ประกอบอาหาร การจัดแจกันดอกไม้ การให้ความรู้เฉพาะด้านในเรื่องต่าง ๆ เช่น บทความเรื่อง
"ผลข้างเคียงจากการใช้ยาภูมิแพ้" อาจจะเร่ิมจากการกล่าวถึงโรคภูมิแพ้โดยทั่วไป วิธีการรักษาแบบ
ต่าง ๆ รวมทั้งการใช้ยา แตส่ ่ิงท่ีต้องขยายความให้มาก กค็ ือ อะไร คือผลขา้ งเคียงท่ีอาจเกิดข้ึนกบั ผใู้ ช้
ยา ผลขา้ งเคยี งมีกีแ่ บบ อันตรายขนาดไหน อย่างไร และจะลดผลขา้ งเคียงไดอ้ ยา่ งไร เป็นตน้

๑๖๙

๔. การเขียนเพือ่ โนม้ นา้ วและจูงใจ
การเขียนเพ่ือโน้มน้าว และจูงใจ เป็นการเขียนท่ีผู้เขียนมีเจตนาสร้างความสะดุด

ตาสะดุดใจให้แก่ผู้อ่านโน้มน้าวและชัดจูงให้คล้อยตามและเห็นด้วย ด้วยการใช้ภาษาภาพพจน์ และ
การเรียงร้อยถ้อยคาอย่างละเมียดละไมและพิถีพิถัน เพื่อให้เกิดภาพในใจของผู้อ่านและมองเห็น
ภาพลักษณท์ ด่ี ีแก่บุคคล สินคา้ หรือองคก์ ร หรอื ส่งิ ทเ่ี ป็นเป้าหมายของการโฆษณาและประชาสัมพนั ธ์
การขียนท่ีมีจุดมุ่งหมายเช่นนี้ ได้แก่ การเขียนข้อความโฆษณา การเขียนบทความเพื่อประชาสัมพันธ์
การเขียนขา่ วเพ่ือการประชาสมั พันธ์ เป็นต้น

๕. การเขียนเพ่ือความจรรโลงใจและความเพลิดเพลิน
การเขียนเพือ่ ความจรรโลงใจ และความเพลดิ เพลิน เป็นการเขียนท่ีผู้เขียนมีเจตนา

สว่างสรรค์ความจรรโลงใจ และความเพลิดเพลินโดยการนาเสนอจินตนาการ และความคิดริเร่ิม
สร้างสรรค์ด้วยการใช้ภาษาอย่างพิถีพิถัน การสรา้ งภาพพจน์ให้ผู้อ่านมองเห็นภาพ และเพลิดเพลินไป
กับจินตนาการ การเขยี นทจ่ี ดุ มุ่งหมาย เช่นน้ี ไดแ้ ก่ การเขยี นนวนยิ าย เรื่องสั้น และบทกวี

การจาแนกประเภทของการเขียนตามเจตนาของผู้เขียนดังกล่าวนี้ เป็นเพียงการ
แสดงใหเ้ ห็นความหลากหลายของจุดมุ่งหมาย หรือเจตนาของผ้เู ขียน แต่ในความเป็นจริงแลว้ งานช้ิน
หน่ึง ๆ อาจมีเจตนาของผู้เขียนมากกว่าหน่ึงประการก็ได้ นอกจากน้ีงานเขียนบางช้ิน ผู้เขียนอาจมี
เจตนาท่ีจะส่ือสารกับบุคคลที่เป็น "กลุ่มเป้าหมาย" ซึ่งเป็นผู้อ่านกลุ่มใดกลุ่มหน่ึงหรือกลุ่มเฉพาะ
เท่านั้น การเขียนที่มีเจตนาเช่นนี้ผู้เขียนจะต้องใช้ความคิดอย่างลึกซ้ึง และใช้ทักษะมากเป็นพิเศษ
เพราะต้องเขียนให้ "ผู้อ่านทั่วไป" เข้าใจได้ด้วย ในขณะท่ี "ผู้อ่านท่ีเป็นเป้าหมาย" ก็สามารถอ่านได้
อย่างมีความหมายตามเจตนาของการส่อื สาร

ไพรถ เลิศพิริยกลม (๒๕๔๓ : ๒) ได้จาแนกประเภทการเขียนเชิงสร้างสรรค์ออกเป็น
ประเภทต่าง ๆ ดงั น้ี

๑) การเขยี นขยายความ
๒) การเขียนพรรณนา
๓) การเขียนอปุ มาอุปไมย
๔) การเขียนคาคม
๕) การเขยี นคาขวัญ
๖) การเขยี นลักษณะพเิ ศษ
๗) การเขียนเชงิ กวีนิพนธ์
๘) การเขยี นเรื่องส้นั

๑๗๐

๙) การเขียนวรรณกรรมสาหรับเด็ก
๑๐) การเขยี นนวนิยาย
๑๑) การเขยี นบทละคร

ถวัลย์ มาศจรัส (๒๕๔๖ : ๑๐-๑๑) ได้แบ่งประเภทการเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ ๓
ประเภท ดังน้ี

๑) ประเภทความเรียง ไดแ้ ก่ ความเรยี ง บทความ เร่ืองเลา่ จดหมาย บันทกึ
๒) ประเภทบันเทิงคดี ได้แก่ นิทาน หนังสือเด็ก เร่ืองสั้น วรรณกรรมเยาวชน
นวนยิ าย
๓) ประเภทสารคดี ได้แก่ สารคดีบุคคล สารคดีโอกาสพิเศษ สารคดีประวัติศาสตร์
สารคดีท่องเท่ียว สารคดีแนะนาวีธีทา สารคดีเด็ก สารคดีสตรี สารคดีเกี่ยวกับสัตว์ สารคดีความ
ทรงจา สารคดจี ดหมายเหตุ
สรุปได้วา่ ประเภทการเขียนเชิงสร้างสรรค์ สามารถแบง่ ออกเป็น ๒ ประเภทใหญ่ ๆ ถือ
ประเภทความเรียง และประเภทบันเทิงคดี ซ่ึงมที ้ังร้อยแก้วและร้อยกรอง โดยลกั ษณะของการเขียนท่ี
พบในงานวิจยั ในคร้ังนจ้ี ะเป็นการเขยี นประเภทความเรยี งรอ้ ยแกว้

ประภาศรี สีหอาไพ (๒๕๓๑ : ๑-๒) ได้กล่าวถึงลักษณะทั่วไปของการเขียนเชิง
สรา้ งสรรค์วา่

๑. มีแนวคิดเป็นจิตวิสัย ผู้เขียนมีความคิด ความเห็น จินตนาการของตนเองแล้ว
จึงเขยี นงานประพันธข์ ้นึ

๒. มคี วามแปลกใหม่ และมีความสามารถในการแสดงออก
๓. โดยทวั่ ไป ไม่ได้เป็นความเรียงประเภทร้อยแกว้ เสมอไป
๔. ไม่ยึดตดิ กบั ฉนั ทลกั ษณ์แบบแผนท่ีกาหนด

กรมวิชาการ (๒๕๓๒ : ๗) กล่าววา่ ลกั ษณะการเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์มี ดังนี้
๑. ให้ความแปลกใหม่ หมายถึง ความคิดที่ไม่ซ้าแบบหรือไม่ลอกเลียนแบบผู้อ่ืนมา
เปน็ ความคดิ ทผี่ ู้เขียนคิดข้ึนเอง หรือดดั แปลงมาอยา่ งแยบคายดว้ ยภูมิปัญญาของตน
๒. ใช้ภาษาคมคาย กะทัดรัด ทั้งนี้ต้องเป็นการใช้ภาษาที่ไม่ผิดแปลกไปจากระเบียบ
ของภาษา ซึง่ เปน็ ทีย่ อมรบั กันโดยท่วั ไป

๑๗๑

๓. สามารถเร้าความรู้สึกของผู้รับสาร อาจเป็นความขบขัน ความเศร้า ความปิติยินดี
ความพิศวง ความสงบ ความซาบซึ้ง ความอาลัย ความมั่นใจ อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือหลายอย่าง
รวมกนั ก็ได้

๔. เป็นประโยชนท์ างตรง และทางอ้อม ให้ข้อคิดเป็นคติในการดารงชีวิต ชี้ให้เห็นคุณ
และโทษ แนะนาให้คนรู้จักสังเกต พิจารณาส่ิงต่าง ๆ โดยแยบคาย ก่อให้เกิดจินตนาการในทางที่ดี
ที่งาม หรอื ใหค้ วามเพลิดเพลินแก่จติ ใจ ในลักษณะของนนั ทนาการ

ปราณี สุรสิทธ์ิ (๒๕๔๑ : ๕) กล่าวถึงลักษณะสาคัญของการเขยี นสร้างสรรค์ ๓ ประการ
ดังน้ี

๑. มีจินตนาการ ผู้เขียนต้องใช้จินตนาการ หรือความคิดคานึงเขียนให้ผู้อ่านเกิด
จนิ ตนาการคล้อยตามผู้เขียน โดยผู้เขยี นจะตอ้ งสร้างภาพให้แจ่มชัดในความรสู้ ึกก่อนเสมอ จากนน้ั จึง
จดั องค์ประกอบต่าง ๆ ของงานเขยี นให้ครบถว้ นเป็นเร่ืองราว

๒. สานวนภาษาดี ผู้เขียนต้องเลือกในถ้อยคา นามาเรียบเรียงให้ไพเราะสละสลวย
และมีความหมายตามท่ีผเู้ ขียนต้องการ

๓. มีคุณค่าทางด้านจิตใจ และสติปัญญา ผู้อ่าน อ่านแล้วมีความรู้สึกท่ีจรรโลงความดี
งามและมองโลกในแง่ดี

นภดล จันทร์เพ็ญ (๒๕๔๒ : ๙๑) อธิบายถึง การเขียนเชิงสร้างสรรค์ไว้ว่า ส่ิงสาคัญที่
ทางานเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์สาเรจ็ และมีคณุ คา่ ประกอบดว้ ยสงิ่ สาคัญ ๓ ประการ คือ

๑. ความคดิ
๒. การถา่ ยทอดความคิด
๓. การใช้ภาษาท่เี หมาะสม
จากข้อสนับสนุนข้างต้นที่กล่าวถึงประเภทของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ รวมถึงลักษณะ
ของการเขียนเชิงสร้างสรรค์น้ัน สามารถอธิบายได้ว่า การเขียนเชิงสร้างสรรค์ คือการสะท้อน
ความรู้สึกนึกคิด จินตนาการท่ีแปลกใหม่ของผู้เขียนและถ่ายทอดผ่านตัวอักษรด้วยภาษาท่ีเหมาะสม
และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของผู้เขียน ซึ่งการเขียนสร้างสรรค์นั้นนอกจากจะเป็นการพัฒนาทางด้าน
ความคิดจินตนาการของผู้เขียนแล้ว ยังสามารถสร้างจิตสานึกท่ีดีต่อผู้อ่านได้ อีกทั้งยังมีคุณค่าต่อ
สงั คมอกี ประการหนง่ึ

๑๗๒

๖.๕ งานเขยี นเชิงสรา้ งสรรค์

งานเขียนท่ีปรากฎทั่วไปในหน้าหนังสอื พิมพ์ นิตยสาร และส่ือสิ่งพิมพอ์ ื่น ๆ อาจจาแนก
ได้โดยใช้เกณฑ์กว้าง ๆ ท่ีแตกต่างกัน ๒ ลักษณะ คือ การจาแนกว่าเป็นงานเขียนประเภท "ร้อยแก้ว"
(prose) กับ "ร้อยกรอง" (verse) และการจาแนกว่าเป็นงานเขียนประเภท "เรื่องสมมติ" (fiction) กับ
"เร่อื งทไ่ี มใ่ ชเ่ ร่อื งสมมต"ิ (non- fiction)

๑. ร้อยแก้วและร้อยกรอง
ความหมายของ ร้อยแก้ว" ท่ีคนทั่วไปเข้าใจ คือ ความเรียงที่เขียนอย่างธรรมดา ๆ

ตรงไปตรงมา (straightforwarddiscourse) และไม่ได้ถูกกากับด้วยฉันทลักษณ์ ส่วน "ร้อยกรอง" คือ
งานเขยี นท่ีเรยี บเรียงขึน้ อยา่ งมีกฎเกณฑ์ หรอื ฉนั ทลกั ษณ์

คาว่า "กฏเกณฑ์หรือฉันทลักษณ์" นี้ อาจตีความได้ ๒ แบบ ความหมายแบบหน่ึง
คือ บทบัญญัติท่ีมีมาแต่เดิม หรือที่ปรากฏอยู่ในวรณคดีโบราณ ส่วนความหมายอีกแบบหน่ึง คือ
บทบัญญัติท่ีผู้อ่ืนได้ต้ังไว้หรือผู้แต่งได้ตั้งข้ึนเอง ซึ่งอาจจะไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ท่ีมีอยู่เดิม การ
ตีความ แบบทส่ี องน้ที าให้รปู แบบของร้อยกรองมคี วามหลากหลายมากขึ้น

งานเขียนท่ีปรากฎอยู่ในหนงั สอื พิมพ์และนิตยสารในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นรอ้ ยแก้ว
ส่วนร้อยกรองมักปรากฏอยู่ในคอลัมน์เล็ก ๆ อยู่มุมใดมุมหนึ่งของหนังสือ รูปแบบของร้อยกรองมี
ความหลากหลายท้ังโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอนแปด ฯลฯ ด้านเน้ือหาโดยท่ัวไปขึ้นอยู่กับประเภทของ
หนังสือพิมพ์ และนติ ยสาร เช่น นิตยสารข่าว มักมีเน้ือหาเกี่ยวกบั เหตกุ ารณ์บ้านเมือง นติ ยสารผู้หญิง
มักมีเนอ้ื หาเก่ียวกบั ชวี ติ และความรัก นิตยสารการต์ ูนมกั มเี น้ือหาเกี่ยวกับแง่มุมขาขนั เป็นต้น

๒. เร่ืองสมมตแิ ละเร่อื งท่ีไม่ใช่เรื่องสมมติ
การจาแนกเรื่องเล่าออกเป็นเร่ืองสมมติ และเร่ืองที่ไม่ใช่เรื่องสมมติเพ่ือแสดงให้

เหน็ ถึงบทบาทที่แตกต่างกนั ของการใหจ้ ินตนาการในการเขียนทั้งสองประเภท
เร่ืองสมมติ ได้แก่ นวนิยาย และเร่ืองส้ัน หรือท่ีบางคนเรียกว่า "เรื่องแต่งแฝงเรือ่ ง

จริง" ซ่ึงมีสัดส่วนของการใช้จินตนาการมากกว่าข้อเท็จจริง นักเขียนบางคนแรงบันดาลใจจาก
ขอ้ เท็จจริงเพียงเล็กน้อย แล้วจินตนาการต่อไปจนกลายเป็นเรื่องได้ เช่น นวนิยาย ทองเนื้อเก้า ผู้แต่ง
คือ โบตั๋น เล่าว่าได้แรงบันดาลใจในการเขียนเรื่องมาจากการได้เห็นเด็กชายตัวเล็ก ๆ แถวบ้านคน
หนึง่ หน้าตาหมองเศร้าอยู่เสมอ เธอรู้เพียงว่า เขามีแมเ่ ป็นหญิงข้ีเมา ต่อมาเด็กชายคนน้ีบวชเณรและมี
หน้าตาผ่องใสข้ึน ข้อเท็จจริงของเรื่องมีเพียงเท่านี้ ส่วนท่ีเหลือเป็นจินตนาการที่ผู้เขียนได้สร้างข้ึน
เพ่ือใหง้ านมีความสมบูรณท์ งั้ ในแง่ของวรรณศิลป์และความสมจรงิ

๑๗๓

เร่ืองที่ไม่ใช่เรื่องสมมติ ได้แก่ งานเขียนประเภทข่าว บทความ และสารคดี ซ่ึง
โดยทั่วไปจะเป็นการนาเสนอ "ข้อเท็จจริง" (fact) "ปรากฎการณ์ทางสงั คม" (social fact) และ "ความ
คดิ เห็น" (opinion) โดยมุ่งให้ได้ใจความท่ีตรงประเดน็ ตามจุดมุ่งหมาย ด้วยการใชภ้ าษาท่ีกระชับและ
ชัดเจน ดังน้ันกลวิธีการนาเสนอจึงมักไม่มีความชับซ้อน และไม่ใช้จินตนาการในการเสริมแต่งมากนัก
เพื่อมใิ หห้ ่างไกลและหลุดลอยจากข้อเท็จจรงิ และปรากฏการณท์ างสังคม

โดยสรุปแล้ว ในหนังสือพิมพ์ และนิตยสารฉบับหนึ่ง ถ้าพิจารณาที่รูปแบบก็จะพบงาน
เขียนท้ังประเภทร้อยแก้ว และร้อยกรอง และถ้าพิจารณาถึงที่มา หรือต้นกาเนิดของเรื่องก็จะพบทั้ง
เรื่องสมมติและเร่ืองท่ีไม่ใช่เร่ืองสมมติ การที่สื่อสิ่งพิมพ์จะมีสัดส่วนของงานเขียนแบบใดมากกว่าน้ัน
ขึ้นอยู่กับจุดมุ่งหมาย และทิศทางของส่ือแต่ละฉบับ เช่น ถ้าเป็นนิตยสารข่าว อาทิ มติชนสุดสัปดาห์
สยามรัฐสัปดาห์ เนช่ันสุดสัปดาห์ ฯลฯ ก็จะมีสัดส่วนที่ไม่ใช่เรื่องสมมติมากกว่าเร่ืองสมมติ ในขณะที่
นิตยสารเพื่อความบนั เทิงสาหรับครอบครัว อาทิ สกลุ ไทย หญงิ ไทย แพรว ฯลฯ อาจจะมีสัดสว่ นของ
เร่ืองสมมติมากกว่าเร่ืองท่ีไม่ใช่เรื่องสมมติ เป็นต้น หรือถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ที่มุ่งนาเสนอข่าวหนัก
(hard new หรือสาระทางการเมืองก็มักจะไม่ปรากฎเรื่องสมมติ ในขณะที่หนังสือพิมพ์ท่ีเน้นข่าวเบา
(so news) และข่าวสารประเภทบันเทิงมักจะให้ความสาคัญกับเร่ืองสมติ ดังจะเห็นได้จากการตีพิมพ์
บทละครโทรทศั น์ เป็นต้น

คาแนะนาสาหรบั การเรม่ิ ต้นทจ่ี ะเป็นนักเขียน
ข้อแนะนาสาหรับการเริ่มเขยี น มดี งั นี้
๑. เริ่มด้วยการฝึกเขียนส่ิงละอันพันละน้อยหรืองานชิ้นเล็ก ๆ ก่อนเพื่อสร้าง
ความคุ้นเคยกับการเล่าเร่ือง ด้วยการเขียน ซ่ึงถ้าไม่ทราบว่าจะเขียนเร่อื งอะไร ก็ควรอานวยบทความ
ส้นั ๆ ในหนังสือพิมพ์หรือนิตยสารสักช้ินหนึ่งแล้วหาแง่มมุ ที่น่าสนใจ โดยต้องพยายามเขียนทุกวันให้
เปน็ นสิ ัย แมว้ า่ จะมเี วลาเพยี งสบิ นาที
๒. ถ้ารู้สึกว่าคิดไม่ออกหรือติดขัด ควรจะนาคอมพิวเตอร์แบบพกพาหรือกระดาษ
ดินสอปากกาตดิ ไปด้วยทุกหนทุกแห่ง และบันทึกส่ิงท่ีได้พบเห็น ท้ังน้ีอาจจะไดเ้ ร่ืองราวดี ๆ ในขณะท่ี
น่ังอยบู่ นรถโดยสารหรอื ในรา้ นอาหาร
๓. ตักตวง และกอบโกยการเขียนในช่วงนาทีทอง คือ ช่วงท่ีความคิดสร้างสรรค์กาลัง
ทางาน หรือโลดแล่นมากท่ีสุด นักเขียนบางคนมักจะเขียนหนังสือในตอนเช้าของแต่ละวัน ในขณะท่ี
บางคนใช้เวลาในช่วงดึกหลังจากที่ทุกคนในครอบครัวนอนหมดแล้ว ดังนั้นนักเขียนมือใหม่จึงควร
ทดลองดูวา่ ช่วงใดคอื ช่วงนาทีทองของตน
๔. อย่าพึ่งกังวลกับผลงาน นักเขียนส่วนใหญ่ต้องการผลงานท่ีสมบูรณ์สวยงามจึงมัว
แต่เขียนไปแก้ไปสิ่งท่ีถูกน้ันคือควรเขียนให้เสร็จเป็นร่างท่ีหนึ่งก่อน จากนั้นท้ิงเวลาไว้ ๒-๓ วัน แล้ว

๑๗๔

ค่อยกลับมาอ่านใหม่ วิธีน้ีจะทาให้ผู้เขียนมองเห็นข้อบกพร่องของผลงาน และถ้ายังรู้สึกว่าผลงานยัง
ไม่ดีพอแต่ไม่อาจที่ชัดลงไปได้ว่าเป็นจุดไหน อย่างไร ก็อาจจะขอร้องให้เพื่อนท่ีเป็นนักเขียนช่วยอ่าน
และใหข้ ้อเสนอแนะ

๕. ต้องสร้างความรู้สึกว่า การเขียนเป็นงานที่สนุกและท้าทาย ไม่ใช่งานประจาท่ี
"ตอ้ งทา" หรอื เปน็ งานทีจ่ าเจและน่าเบอื่ หน่าย

บน "ถนนนักเที่ยน" ทุกสาย กล่าวได้ว่า นักเขียนทุกคนล้วนเติบโตมาจาก "การอ่าน"
การอ่านหนังสอื หลายประเภทจึงเป็นเร่ืองของการส่ังสมและปมเพาะทัง้ ทางความคิดและการให้ภาษา
เพ่ือการสื่อความหมายนับเป็นเรื่องน่าเสียดายที่คนส่วนใหญ่ เมื่อ "อ่านออก" และ "เขียนได้" แล้ว
ไม่ได้พฒั นาตวั เองตอ่ ไปให้ "อ่านเปน็ " และ "เขยี นเป็น"

การเขียนสร้างสรรค์ เป็นการเขียนท่ีผู้เขียนต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และจินตนาการ
นอกเหนือจากการใช้ความสามารถในการลาดับความคิด เรียบเรียง การเลือกใช้คา และภาษาที่
เหมาะสมกับจุดมุ่งหมายและรูปแบบของงานเขียนแต่ละประเภท ตลอดจนการคานึงถึงกลุ่มผู้รับสาร
เป้าหมาย องค์ประกอบสาคัญของการเขียนสร้างสรรค์ ได้แก่ ความใหม่ แปลก และแตกต่าง
สนุ ทรียภาพท่ีลงตัว การผสมผสานอย่างเหมาะสมระหว่างเนื้อหากับรปู แบบ การแสดงอัตลักษณ์ของ
นักเขียน การเปิดโอกาสให้ตีความอย่างหลากหลาย การสร้างความสั่นคลอน หรือร้ือถอนอคติ
การสร้างจิตสานึกต่อสังคม และการยกระดับทางปัญญา งานเขียนที่ปรากฏในสื่อส่ิงพิมพ์ต่าง ๆ
มีหลายรูปแบบ และหลายประเภท กล่าวคือ มีทั้งงานประเภทร้อยแก้วและร้อยกรอง และมีท้ังเรื่อง
สมมติและเรอื่ งท่ีไม่ใช่เร่ืองสมมติ โดยทั่วไปการเขียนเร่ืองสมมติ เชน่ นวนิยาย เรื่องส้ัน บทละครและ
บทกวี เป็นการเขยี นท่ีผ้เู ขียนตอ้ งใชค้ วามคดิ สร้างสรรค์ และจินตนาการในสัดส่วนที่มากกวา่ การเขยี น
เร่ืองที่ไม่ใช่เร่ืองสมมติ เช่น งานเขียนเชิงวิชาการ บทความ และสารคดี การฝึกการเขียนที่ดีท่ีสุด คือ
การเขียนอย่างสม่าเสมอลาการไม่เมนิ เฉยเยน็ ชากับจนิ ตนาการและแรงบันดาลใจทเ่ี กิดข้นึ

๖.๗ การกอ่ กาเนดิ ความคดิ สร้างสรรค์

ผลการศึกษาวิจัยหลายชิ้นระบุอย่างสอดคล้องกันว่า คนที่มีความคิดสร้างสรรค์มักจะมี
บุคลิกภาพ (personality) บางอย่างร่วมกันและแตกต่างจากคนที่ไม่มีความคิดสร้างสรรค์ กล่าวคือ
คนที่มีความคิดสร้างสรรค์มักจะมีความรู้และความสนใจในขอบข่ายที่กว้างขวางกว่าคนท่ีไม่มีความคิด
สร้างสรรค์ มีการเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา และยินดีที่จะทดลองทาในส่ิงท่ีแตกต่าง
หรือไม่คุ้นเคย มีความกล้าเสี่ยง มีความอดทน กระตือรือร้น เปิดกว้างต่อความกากวม หรือส่ิงท่ี
เคลือบแคลง พยายามท่จี ะเป็นอิสระจากคุณคา่ หรือ ค่านิยมทั้งปวง มีความซับซ้อนทางความคิด มอง
โลกอย่างมีอารมณ์ขัน ไม่กลัวท่ีจะเผชิญหน้ากับปัญหา มีความรู้สึกท้าทายกับการแก้ปัญหา แต่

๑๗๕

นอกเหนือจากบุคลิกภาพที่เป็นแนวทางในการผลักดันให้เกิดความคิดสร้างสรรค์แล้วนั้น บุคคลท่ี
ตอ้ งการเปน็ นักเขยี น หรือมผี ลงานทีส่ รา้ งสรรค์จาเปน็ จะมสี ่ิงตา่ ง ๆ ดังนี้

๑. การมีจนิ ตนาการทีท่ าใหเ้ กดิ ความคดิ สรา้ งสรรค์
ความคิดสร้างสรรค์ เกิดจากการทางานของสมองซีกขวา ซ่ึงมีความสามารถในการ

จินตนาการ และการคิดที่แหวกวงล้อมออกไปอย่างไม่จากัด "จินตนาการ" จึงเป็นส่วนประกอบที่
สาคญั ยิง่ ในการคิดสรา้ งสรรคเ์ พราะจะชว่ ยใหเ้ กิดการสร้างสรรคค์ วามคิดใหม่ ซึง่ เมื่อนามาใชป้ ระกอบ
กับการคิดเชิงวิเคราะห์และการคิดแบบอ่ืน ๆ แล้ว ก็จะช่วยให้เกิดการกล่ันกรองถึงความเป็นไปได้
จนิ ตนาการหลายอย่างของมนษุ ยจ์ ึงถูกนาไปใช้อยา่ งเหมาะสมในโลกของความเปน็ จริง

จนิ ตนาการของนักเขยี นเปน็ สิ่งท่ยี ิ่งใหญ่ และมีอิทธพิ ลต่อผู้อ่าน เพราะหากผู้เขียน
ใช้จินตนาการสร้างผลงานให้ผู้อ่านรู้สกึ สัมผัส และเข้าใจโลก หรือได้รับรโู้ ลกจากมุมมองที่แตกตา่ งได้
จะทาให้ผู้อ่านได้เห็นความสาคัญของปัญหาท่ีตนมองข้ามไป และสาหรับบางคนก็อาจถูกกระตุ้นให้
เกิดการปฏบิ ัติได้

โดยท่วั ไปมักเป็นทเ่ี ข้าใจกนั วา่ "จนิ ตนาการ" เปน็ องคป์ ระกอบสาคัญของงานเขียน
ประเภทเรอื่ งสมมติ เชน่ นวนิยาย หรือเร่อื งสัน้ เท่านน้ั แตแ่ ทท้ จ่ี ริงแล้วในการสรา้ งสรรคง์ านเขยี นทุก
ประเภทลว้ นตอ้ งอาศัยจินตนาการท้ังส้ิน ในงานเขยี นประเภท "เรื่องที่ไม่ใชเ่ รือ่ งสมมติ" จินตนาการก็
เปน็ องค์ประกอบสาคัญไม่น้อยไปกว่าสงิ่ ท่ีเป็นข้อมูล ข้อเท็จจริง หรือทฤษฎี เพราะจนิ ตนาการจะเป็น
ส่วนที่เช่ือมต่อและเรียงร้อยข้อมูลข้อเท็จจริง หรือทฤษฎีเหล่านั้นให้เป็น "โครงเร่ือง" (outine) ของ
งานเขยี น รวมทัง้ เติมเต็มช่องวา่ งต่าง ๆ ใหม้ ีความสมบูรณ์

นอกจากการนามาใช้กับโครงเรื่องแล้ว นักเขียนสามารถนาจินตนาการมาใช้กับ
งานเขียนในด้านอื่น ๆ ได้อีกด้วย เช่น การยกตัวอย่างประกอบเร่ือราว การอธิบาย การแสดงความ
คิดเห็น การให้ข้อเสนอแนะ และการคาดการณ์ล่วงหน้า ซึ่งหากสอดแทรกเข้าในจุดท่ีเหมาะสมกับ
เน้ือหา ก็จะช่วยทาให้งานเขียนน้ัน ๆ มีความน่าอ่าน ความหมายของเนื้อหามีความคมชัด และแจ่ม
แจ้งมากขึ้น แต่ถ้ามีการสอดแทรกจินตนาการมากเกินไปหรือจินตนาการท่ีขาดความรู้ความคิด ไม่มี
ความจรงิ เป็นฐานรองรบั ก็อาจทาให้งานเขยี นขาดน้าหนกั และความนา่ เชอื่ ถือ

๒. การตอ่ ยอดสสู่ ่งิ ใหมจ่ ากฐานความร้ทู ่มี ีอยู่เดิม
ความคิดสร้างสรรค์ในลักษณะนี้เกิดจากการนาข้อมูล หรือความรู้ท่ีมีอยู่เดิมมาคิด

ต่อยอด หรือคิดเรื่องใหม่ ๆ ได้เพิ่มขึ้นจากเดิม ท้ังนี้ในโลกแห่งความเป็นจรงิ ความคิดใหม่ ๆ ที่ได้นั้น
มกั จะไม่ใช่ความคิด "ต้นแบบ" ล้วน ๆ แต่มักไดม้ าจากการรวบรวม หรือปรบั ปรุงแนวคิดของผู้อน่ื ทไี่ ด้
นาเสนอกอ่ นหนา้ น้ี

๑๗๖

ตัวอย่างที่น่าสนใจตัวอย่างหน่ึง ได้แก่ ประสบการณ์ของเอติสัน นักประดิษฐ์
ผู้ย่ิงใหญ่ที่ได้จดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์ไว้มากกว่า ๑,๐๐๐ รายการ เขากล่าวว่า มีเพียงรายการเดียว
เท่าน้ันที่มาจากความคิดของเขาจริง ๆ น่ันคือ หีบเสียง ส่วนท่ีเหลือนอกจากนั้นเป็นการนาเอา
ความคิดของคนอ่ืนมาดัดแปลง และปรับปรุงเป็นสิ่งประดิษรู้ใหม่ทั้งส้ิน เขากล่าวว่า "ผมคิดวา่ ผมเป็น
นักดูดซึมตัวยงมากกว่า ผมได้ดูดซึมความคิดจากทุกแหล่งเท่าที่จะทาได้ แล้วเอามาทดลองใช้ เอามา
ปรับปรุงจนกลายเป็นส่ิงท่ีมีคณุ ค่า ความคิดท่ผี มเอามาใชส้ ่วนใหญ่ เป็นความคิดของคนอื่นท่ีไม่เคยถูก
พัฒนาข้ึนมาทง้ั นนั้ "

๓. อารมณแ์ ละแรงบนั ดาลใจกระตุ้นให้เกิดความคดิ สรา้ งสรรค
อารมณ์ (emotion) และแรงบันดาลใจ (motivation) เป็นสิ่งที่ไม่อาจแยกออก

จากกันได้ ในทางจิตวิทยา ความสะเทือนใจอันเกิดจากอารมณ์ต่าง ๆ เช่น ความรัก ความเกลียดชัง
ความอยาก ความริษยา อามาต ความเสียสละ ฯลฯ เป็นปัจจัยสาคัญท่ีผลักดันให้บุคคลมีบทบาท
และพฤติกรรมไปต่าง ๆ นานา และเป็นแรงบันดาลใจท่ีมีอิทธิพลต่อการกระตุ้น และเร่งเร้า
จินตนาการ และการก่อกาเนิดความคิดสร้างสรรค์ ดังนั้น ในยามท่ีสัมผัสกับส่ิงต่าง ๆ เราอาจ
จาเป็นต้องปล่อยอารมณ์ใหเ้ กิดความซาบซึ้ง และพร้อม ๆ กันนน้ั ก็อาจจะตัง้ คาถามประเภท "อะไรจะ
เกิดข้ึน ถา้ ..." (what if) หรอื "ถา้ เพยี งแต่... (If only) กับตนเอง เพือ่ นาไปสูก่ ารจนิ ตนาการตอ่ ไป

๖.๘ การคิดและการจดั ระเบยี บความคิด

กรคิดเป็นสิ่งท่ีดีเพราะก่อให้เกิดความงอกงามทางปัญญา แต่การ "คิดมาก" อาจจะเป็น
ส่ิงที่ไม่ดีเพราะการคิดมาก ไม่ได้หมายถึงการคิดให้มาก ๆ ดังน้ัน ผู้ที่ "คิดมาก" จึงไม่ใช่ผู้ท่ี "คิดเป็น"
บุคคลที่คิดเป็น หรือรู้จักคิด จะต้องมีคุณลักษณะท่ีสาคัญบางประการของการเป็นนักคิด และมี
ความสามารถในการจัดระเบยี บความคดิ

๑. คณุ ลักษณะสาคญั ของการเปน็ นกั คดิ
๑.๑ มคี วามช่างสงสัย และต้ังคาถามตอ่ สิ่งที่เกิดข้นึ โดยไม่ยอมคล้อยตามหรอื เช่ือ

ในส่ิงที่เชื่อกันมาอย่างง่าย ๆ คุณสมบัติข้อนี้ น่าจะเป็นคุณสมบัติที่สาคัญท่ีสุด เพราะเป็นต้นกาเนิด
ของการคิด ซ่ึงถ้าบุคคลเชื่อ หรือพร้อมที่จะเชื่อในส่ิงท่ีได้ยินได้ฟังมา เช่ือเพราะเป็นคาส่ังสอน หรือ
เชื่อเพราะทุกคนเชอื่ ก็คงไมจ่ าเป็นต้องมสี ง่ิ ใดใหค้ ดิ และค้นควา้

๑.๒ มคี วามสนใจสิ่งรอบตัว และเปน็ นักสังเกต นักคิดท่ียงิ่ ใหญ่แทบทุกคนล้วนมี
คุณลักษณะข้อน้ีด้วยกันท้ังส้ิน ถ้าไอแซก นิวตัน ไม่สนใจการหล่นของผลแอปเป้ิล เขาก็คงไม่คิดถึง
เร่อื งแรงโน้มถว่ งของโลก

๑๗๗

๑.๓ มีความรักในความรู้ และรักท่จี ะแสวงหาความรู้ โดยทั่วไปแลว้ ท่ีมาหรอื แรง
บันดาลใจของการแสดงหาความรู้ของบุคคลนั้นแตกต่างกัน คนจานวนหนึ่งแสวงหาความรู้เพ่ือ
นาไปใช้ในการเรียน หรือการสอน ซึ่งบางคนกระทาด้วยใจรัก บางคนทาเพราะความจายอม หากก็มี
บุคคลอีกประเภทหน่ึงที่รักในการแสวงหาความรู้เพ่ือตอบข้อสงสัยของตนเอง แต่ไม่ว่าจะเป็นการ
แสวงหาความรู้ด้วยเหตุใดก็ตาม ถ้ากระทาด้วยความรักก็นับว่าเป็นนิมิตหมายที่ดีต่อการเป็นนักคิด
ด้วย เพราะความรู้ที่อยู่ในหนังสือจะกลายเป็นความรู้ที่แท้จริงของบุคคลได้น้ันจะต้องผ่านการ
กลนั่ กรองและการคดิ

๑.๔ มีความพากเพียรต่อการค้นคว้า การรวบรวม และการจัดระบบข้อมูลหรือ
ขอ้ เท็จจริง ในโลกยุคข้อมลู ข่าวสารน้ี การสืบค้นข้อมูลต่าง ๆ เป็นไปได้อย่างรวดเร็ว และง่ายดาย แต่
ในอีกด้านหน่ึงก็ทาให้บคุ คลทางานยากขึน้ เพราะต้องเผชิญกบั ข้อมลู มากมาย บ้างซา้ ช้อน บ้างขดั แยัง
และบ้างก็เสริมกัน และกนั ซึ่งถ้าบุคคลไม่มีความพากเพียรในการกล่ันกรอง และแยกแยะอย่างแท้จริง
ขอ้ มลู และขัอเทจ็ จริงที่รวบรวมมาเพื่อใช้เปน็ ฐานของการคิดอาจเป็นเพยี ง "ขยะ" เทา่ น้ัน ซึง่ นอกจาก
จะไมม่ ีประโยชนแ์ ล้วก็ยังอาจเปน็ โทษด้วย

๑.๕ ไม่กลัวความล้มเหลว และมีความคิดเชิงบวก ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การ
คิดค้น และประดิษฐ์หลอดไฟของเอดิสัน (Thomas Ava Edison) เขามีความมุ่งมั่นอย่างมากในการ
จะทดลองใช้วัสดุอุปกรณ์หลายประเภทเท่าท่ีจะคดิ ออกไม่เว้นแม้แต่หนวดของเพื่อนของเขา รวมแล้ว
ใช้วสั ดุต่าง ๆ ถึง ๑,๘๐๐ ชนิด และหลังจากทท่ี ดลองไปแลว้ ๑,๐๐๐ ครงั้ มคี นถามเขาว่ารสู้ ึกอย่างไร
กับความลม้ เหลว เอดิสัน ตอบว่า เขาไดร้ ับความรู้มากมายจากความล้มเหลว

๑.๖ มีความกล้า และความใจกว้างท่ีจะยอมรับข้อค้นพบท่ีแตกต่าง พร้อม
พิจารณาทางเลือกท่ีหลากหลาย ในบางคร้ังของการศกึ ษาหาความรู้ บคุ คลอาจได้ข้อค้นพบที่แตกต่าง
ไปจากขอ้ ค้นพบทีม่ ีผู้อนื่ ได้ศึกษาไว้ก่อน ส่งิ สาคัญคือ การทจี่ ะตอ้ งคิด และหาคาอธิบายใหไ้ ด้วา่ เหตุใด
จึงเป็นเช่นนั้น โดยไม่ปิดกั้นความเป็นไปได้ในทุกรูปแบบ ส่วนการเสนอทางออก หรือทางเลือกก็
เชน่ กนั จะต้องเปดิ ใจให้กบั ทางเลอื กทีห่ ลากหลาย

๑.๗ คิดให้ครบจนจบกระบวนความ ในที่นี่หมายถึง การคิดให้เห็นภาพทั้ง
กระบวนการต้ังแต่ต้นจนจบ กล่าวคือ ควรท่ีจะต้องคิด และพิจารณาไปข้างหน้าในสิ่งท่ียังไม่เกิดข้ึน
โดยคดิ ว่าเรอื่ งน้นั ๆ จะจบลงอยา่ งไรแล้วจงึ มองย้อนกลับมาจนถงึ ปจั จุบัน

๒. การจัดระเบียบความคิด
การมีคุณลักษณะท่ีสาคัญของการเป็นนักคิด นับเป็นจุดเร่ิมต้นของการ "คิดเป็น"

ส่วนการจัดระเบียบความคิด จะช่วยให้ธรรมชาติของการคิดมีลักษณะเป็นการกระบวนการ และเป็น
ระบบอันเป็นผลให้ความคิดท่ีหลั่งไหลออกมาเป็นสายธารนั้นมีความเป็นระเบียบ ง่ายต่อการ

๑๗๘

เรยี บเรียง และลาดับเพ่ือการส่ือสารท้งั การพูด และการเขยี น และที่สาคัญคอื การจดั ระเบยี บความคิด
เป็นปัจจยั สาคัญปัจจัยหนงึ่ ที่เอ้ืออานวยตอ่ การก่อเกิด ความคดิ สร้างสรรค์

แนวทางการจัดระเบียบความคิดอันนาไปสู่การคิด และการเขียนสร้างสรรค์ มี
หลายวิธี ดังนี้

๒.๑ การจัดจาแนกหมวดหมขู่ องสรรพสิ่ง หมายถงึ การพิจารณาจาแนกแยกแยะ
สรรพสิ่งออกเป็นหมวด เป็นหมู่ หรือเป็นกลุ่มอย่างมีเหตุผล และสามารถให้คาอธิบายได้ว่า
ความหมายของการจาแนกหรือเจตนาในการจาแนกนั้นคืออะไร เพื่ออะไร และอย่างไร เช่น ในการ
จาแนกพรรณไม้ดอกต่าง ๆ อันประกอบด้วย กุหลาบ กาหลง ราตรี ลั่นทม นมแมว แก้ว พิกุล
สายหยุด พุทธรักษา ดาวเรือง ชมนาด บานช่ืน ฯลฯ น้ัน อาจจาแนกได้หลายประเภท เช่น
การจาแนกตามจานวนพยางค์ การจาแนกตามลกั ษณะของใบ สขี องดอก กลิน่ ผลหรือเมล็ด เปน็ ตน้

การจัดระเบียบความคิดโดยการจาแนกหมวดหมู่นี้ จะช่วยฝกึ ทักษะการคิด
เชิงวิเคราะห์ให้สามารถสร้างานเขียนเชิงวิเคราะห์ เชิงเหตุผล ประมวลเรื่องราว จัดกลุ่มแนวคิด
วางโครงเรอื่ ง กาหนดประเด็นสาคัญของเนื้อหา และเหตุการณ์ต่าง ๆ อีกทัง้ ยังช่วยพัฒนาวิธีคิด หรือ
มุมมองให้กว้างขวางมากข้ึน ไม่ยึดติดกับทัศนะ ความเช่ือหรือกฎเกณฑ์อย่างใดอย่างหน่ึง และทาให้
มองเหน็ ความจริงที่หลากหลายมติ มิ ากขึน้

๒.๒ การจาแนก "ความหมาย" (meaning) กับ "นัยสาคัญ" (significance) ของ
คาออกจากกัน ก่อนอื่นต้องเข้าใจก่อนว่าภาษาไม่ได้บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา และเป็นตัวแทนของสิ่งที่ถูก
กล่าวถึง แต่ภาษาถูกเจือปน และแอบแฝงไปด้วยระบบคุณค่า อคติ อุดมการณ์ มากมาย จึงทาให้คา
แต่ละคามีท้ัง "ความหมาย" และ "นัยสาคัญ" ดังน้ันแนวทางหน่ึงที่สามารถนามาใช้ในการจัดระเบียบ
ความคิด คือ การจาแนก "ความหมาย" กับ "นัยสาคัญ" ของคาออกจากกัน" ซ่ึงการเลือกใช้คาของ
ผู้เขยี นจาเป็นตอ้ งคานงึ ถึงบรบิ ท และเน้ือหาด้วย ยกตวั อย่าง คาว่า "หน้าด้าน" ในบริบทของพมิ พ์พูด
กบั ใจเริงในเชงิ เสียดสี หรอื ดา่ ทางอ้อมความว่า "รองพนื้ อันนี้ดีเนอะ นอกจากทาใหห้ น้าเนียน ยงั ทาให้
หน้าด้าน อีกตา่ งหาก" เมื่อพจิ ารณาคาว่า "หน้าด้าน" ในที่นี้ ไม่ได้มีความหมายตรงตัวว่า ไม่มัน ไม่เงา
แต่มีนัยสาคัญของการต่อว่า และเสียดสีว่า ใจเริงมีสีหน้าไม่สลดทั้งท่ีควรจะอายแต่ก็ไม่อาย ไม่มี
ความรสู้ ึอายในสิ่งทีไ่ ด้กระทาลงไปน่ัน คอื แยง่ สามขี องพมิ พ์

๑๗๙

๒.๓ การคิดนอกกรอบ หมายถึง การคิดให้หลุดพ้นออกจากกรอบของสังคม
ประเพณวี าทกรมหลัก และอานาจ หรือการพยายามมองโลกในอกี มมุ หนึ่งท่ีแตกต่งจากคนทวั่ ไป ทง้ั น้ี
อาจทาได้โดยการพยายามตั้งคาถามกับปรากฎการณ์ทางสังคมหน่ึง ๆ ตลอดจนธรรมเนียมปฏิบัติ
หรือสิ่งท่ียอมรับกันทั่วไปว่าเป็นความรู้ และความจริง ด้วยการหยัดยืนและคงไว้ซ่ึงอุดมการณ์ ท้ังนี้
เพื่อท่ีจะทาให้มองเหน็ อีกดา้ นหน่งึ ของความรู้ และความจริงที่ถกู ปดิ ทบั ไว้

๒.๔ การคิดบนพื้นฐานของคู่ขัดแย้ง หมายถึง การนาสิ่งที่เป็นคู่ขัดแย้งมาใช้เป็น
ฐานความคิด และการจัดระบบความคิด เช่น ขาว-ดา หญิง-ชาย ขมิ้น-ปูน ความเจ็บไข้ได้ป่วยกับ
ความสขุ กายสบายใจ เป็นตน้ โดยคานงึ ถงึ ธรรมชาติของความขดั แยง้ ของสรรพสิ่งเหล่านั้น

๒.๕ การคิดพาดพิงหรืออ้างอิงถึงสิ่งท่ีคุ้นเคย สิ่งท่ีคุ้นเคยในที่นี้ ได้แก่ สานวน
ไทย คาพังเผย ประวัติศาสตร์ นิยายปรัมปรา หรือเร่ืองราวที่คนส่วนใหญ่รู้จักดี การคิดพาดพิง หรือ
อา้ งอิงถงึ สิง่ ท่คี ุ้นเคย หมายถึง การนาความคิดไปเชอ่ื มโยงกับสงิ่ ทีค่ ุ้นเคยทั้งในด้านที่เป็นความเหมือน
ความสอดคล้อง และความแตกต่าง เช่น ถ้าคิดเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึง่ อาจเริ่มจากการตั้งคาถาม
กับตนเองก่อนว่า เหตุการณ์ดังกล่าวมีความใกล้เคียงหรือสามารถเชื่อมโยงเข้ากับสุภาษิต คาพังเพย
หรือสานวนไทยใด ๆ ได้บา้ งหรือไม่ เป็นตน้

การจัดระเบียบความคิดโดยการอ้างอิงคาพังเพย หรือสานวนไทยตลอดจนสิ่งที่คุ้นเคย
ต่าง ๆ จะช่วยฝึกทักษะการคิดเชิงประยุกต์ให้สามารถเช่ือมโยง และเรียงร้อยเรื่องราวให้เป็นภาพ
สะท้อนท่ีคมชดั น่าอา่ นและนา่ ตดิ ตาม

โดยสรุปอาจกล่าวได้ว่า คุณลักษณะที่สาคัญของการเป็นนักคิด และการจัดระเบียบ
ความคิด เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถฝึกฝน และพัฒนาได้ ในช่วงแรกเริ่มของการฝึกการคิดตามวธิ ีต่าง ๆ
ข้างต้นนั้น อาจรู้สึกติดขัดอยู่บ้างเน่ืองจากความไม่คุ้นเคย แต่ถ้าได้กระทาอยู่เสมอ ก็จะกลายเป็น
ธรรมชาติทล่ี นื่ ไหลไดเ้ อง

๑๘๐

๖.๙ กลวธิ ีการเขียนสร้างสรรค์

ในการเขียนสร้างสรรค์คาใด ๆ น้ัน คาถามท่ีนาคิดประการหน่ึง คือจะสร้างสรรค์ใน
องค์ประกอบใดบ้างแม้ว่างานเขียนแต่ละประเภทมีองค์ประกอบท่ีไม่เหมือนกันเสียท้ังหมด แต่
องค์ประกอบท่ีงานเขียนทุกประเภทมีร่วมกัน คือ แนวคิดหลักหรือความคิดสาคัญที่ผู้เขียนต้องการ
ส่ือสาร และรปู แบบ หรือกฎเกณฑท์ ีก่ าหนดการเขยี น

กลวิธีการเขียนสร้างสรรค์ในท่ีน้ี แบ่งออกกว้าง ๆ ได้ ๒ แนว คือ การสร้างสรรค์เชิง
แนวคดิ และการสร้างสรรค์เชิงรปู แบบ

๑. กลวิธกี ารเขยี นสรา้ งสรรคเ์ ชิงแนวคดิ
คาวา่ "แนวคิด" หรือ "ความคดิ สาคัญ" หรอื "แก่นเรื่อง" (theme) หมายถึง เนือ้ หา

ของความคิดที่เปน็ เอกภาพ และเป็นศูนย์กลางของเร่ืองราวทงั้ หมด ซง่ึ มที ่มี าที่ไป หรอื สืบเน่อื งมาจาก
ส่วนประกอบตา่ ง ๆ ในเนอื้ เร่อื ง

แนวคิดหรือแก่นเรื่องอาจจะถูกกล่าวไว้ในเรื่องอย่างตรงไปตรงมา หรืออาจถูก
แสดงให้เห็นโดยอ้อม ๆ ก็ได้ ท้ังนี้ส่วนใหญ่ข้ึนอยู่กับประเภทของงาน เช่น ในการเขียนบทความ
ผู้เขียนมักกล่าวถึงความคิดสาคัญที่ต้องการสื่อกับผู้อ่านอย่างตรงไปตรงมา ในขณะที่งานเขียน
ประเภทนวนิยาย หรือเร่ืองส้ัน อาจแอบแฝงอยู่ในตอนใดตอนหน่ึง ท้ังนี้จาเป็นต้องกล่าวด้วยว่า
แนวคิดหลักของเร่ืองนั้นสะท้อนสิ่งท่ีเรียกว่า "โลกทัศน์" ของนักเขียน เช่น ถ้านักเขียนไม่มีมุมมอง
เร่ืองสตรีศึกษา เขาก็จะไม่เห็นความสาคัญ และไม่เห็นว่าความเหล่ือมล้าหรือการกระทาต่อสตรีเพศ
ในสังคมทีช่ ายเป็นใหญ่ เป็นประเดน็ ท่ตี ้องหยบิ ยกมานาเสนอ เป็นต้น

การสร้างสรรค์เชิงแนวคิด ต้องเริ่มจากการมีความคิดที่ชัดเจนว่า ต้องการเสนอ
อะไร อย่างไร และแง่มุมใด เช่น ต้องการสะท้อนภาพอะไร ภาพวิถีชีวิตของคนชายขอบ ภาพความ
อดทนของผู้หญิงผู้เป็นภรรยาภาพการเข้าสู่อาชีพหญงิ ขายบริการทางเพศด้วยความจาเปน็ ภาพความ
หิวโหยของคนยากไร้ ภาพความเหลื่อมล้าระหว่างเมืองกับชนบท ภาพการล่มสลายของวัฒนธรรม
ด้ังเดมิ ภาพความรนุ แรงของสงั คมบรโิ ภคนยิ ม เป็นต้น

การสะท้อนภาพเหล่านี้ โดยเน้ือหาแล้วนับว่าเป็นเน้ือหาท่ีสร้างสรรค์เพราะ
แสดงออกซึง่ จิตสานึกของความเป็นพลเมืองด้วยการเอาใจใส่สังคม และเพื่อนร่วมโลก อันทาให้ผู้อ่าน
มองเห็นปัญหา และความเป็นจริงอีกด้านหนึ่งที่อาจจะไม่เคยเห็น แต่ถ้าจะให้มีแง่มุมของการ
สร้างสรรคม์ ากขนึ้ อกี ระดับหนงึ่ ก็สามารถทาได้หลายวิธี

๑๘๑

กลวิธกี ารสร้างสรรค์ในเรือ่ งแนวคิดหรือเน้ือหา มดี ังน้ี

๑.๑ การสะทอ้ นภาพด้วยแงม่ มุ ที่แตกต่าง

การสะท้อนภาพด้วยแงม่ ุมท่ีแตกต่าง หมายถึง การนาเสนอแนวคิดใหม่ด้วย

มมุ มองที่แตกต่างจากมมุ มองทัว่ ไป อันทาให้งานเขียนมีความโดดเด่นกวา่ งานเขยี นชิ้นอน่ื ๆ ท่ีสะท้อน

ภาพเดียวกัน เช่น กวีนิพนธ์ "มะเร็ง" ของทิวฟ้า ทัดตะวัน ซ่ึงได้บอกเล่าถึงสาเหตุของการเป็นมะเร็ง

เพื่อเตือนใจมิให้ข้องแวะกับปัจจัยเส่ียงต่าง ๆ อันได้แก่ บุหร่ี ถ่ัวลิสง แสงแดด ไก่ย่าง ยาฆ่าแมลง

เป็นต้น ทว่าในตอนท้ายได้แวะเข้าหาประเด็นสังคมการเมืองในเชิงเสียดสี อันเป็นการฉายภาพของ

"มะเร็งทางสังคม" ที่ชัดเจนและ "ชวนหัว" แต่ส่ิงที่หักมุมในบทสุดท้ายก็คือ การวกกลับเข้ามาที่ตัว

ผู้อ่าน และกวีนพิ นธน์ เี้ องดังความว่า

คาเพอื่ นทิวบอกขา้ ผ้เู ช่ยี วชาญนานช้า

เรอ่ื งรู้โรคมะเร็งฯ

เห็นดีจึงคดั ไว้ เผ่ือพ่นี อ้ งจักได้

ปรบั ใช้หลกี มะเรง็ บา้ งนาฯ

สบู บุหรนี่ ่ีน้า จงเลิกสูบเถิดวา้

ไมง่ น้ั เด๋ียวเปน็ มะเร็งฯ

ถัว่ ลสิ งน่ีน้า จงเลิกกนิ เถดิ ว้า

ไม่งั้นเดี๋ยวเปน็ มะเร็งฯ

แดดแรงนี่นา้ จงรบี หลบเถิดวา้

ไม่งนั้ เดีย๋ วเปน็ มะเรง็ ฯ

ไก่ย่างเกรียมนี่น้า จงเลกิ กินเถดิ วา้

ไม่งน้ั เดย๋ี วเป็น มะเรง็ ฯ

รฐั บาลน่ีนา้ จงอย่ามองเลยวา้

ไม่งน้ั เดี๋ยวเปน็ มะเรง็ ฯ

พวกฝา่ ยค้านน่นี า้ จงอยา่ ฟังเลยว้า

ไมง่ ั้นเด๋ยี วเปน็ มะเรง็ ฯ

พวก ส.ส. น่นี า้ จงหลกี ไกลเถิดวา้

ไม่งนั้ เดี๋ยวเปน็ มะเร็งฯ

พวก ส.ว. นีน่ า้ จงอย่ามีเลยวา้

ไมง่ ั้นเด๋ียวเปน็ มะเร็งฯ

๑๘๒

พวกโจรใต้นน่ี า้ เลกิ กอ่ กวนเถดิ ว้า
ไมง่ น้ั เดยี๋ วเปน็ มะเร็งฯ
จงเลกิ อา่ นเถิดวา้
บทกวีน่ีน้า มะเรง็ ฯ
ไม่ง้นั เด๋ียวเป็น

๑.๒ การสรา้ งสรรค์ "แกน่ เรอ่ื งยอ่ ย" ให้โดดเดน่ และน่าสนใจ
แก่นเรื่องย่อย (sub theme) หมายถึง แนวคิดรองท่ีผู้เขียนเจตนาส่ือ

ความหมายกับผู้อ่านนวนิยายหรือเรื่องส้ันท่ีมีขนาดยาวมักมีแนวคิดหลัก และแนวคิดรอง เช่น เร่ือง
สั้น ผีในบ้านร้าง ของ พิสิฐ ภูศรี เร่ืองนี้ดูโดดเด่นกว่าเรื่องอื่น ๆ ในแนวเดียวกันตรงแก่นเรื่องย่อย
เพราะจากการตีความ พบว่า ในตอนท้ายของ เร่ือง ผู้เขียนได้แสดงนัยสาคัญว่าผีหลอกคนได้เฉพาะ
เวลากลางคืน วกิ ฤตเิ ศรษฐกิจน่ันต่างหากที่หลอกหลอนคนอยู่ตลอดเวลาท้ังในยามหลับและยามตนื่

๑.๓ การเลา่ เรื่องไม่เปน็ เรื่องให้เปน็ เรือ่ ง
เรื่องเล่าบางเรื่องอาจ "ดูเหมือน" ไม่เป็นเร่ือง แต่แท้จริงอาจซ่อน "นัยยะ"

บางอยา่ งท่ีต้องอาศยั การตีความ เชน่ เร่ืองสั้น คนนอนคม ของปราบดา หยนุ่ ซ่ึงเป็นเรื่องของชายคน
หนึ่งที่ทากระดุมเสื้อนอนขาดติดต่อกันมา ๓ ตัวแล้วโดยไม่ทราบสาเหตุ ตัวละครพยายามวิเคราะห์
สาเหตุท่ีควรจะเป็นและเล่าท่ีมาของเสื้อนอนแตล่ ะตัว ซ่ึงการสันนิษฐานถึงความเกี่ยวข้องกันระหว่าง
ท่ีมาของเส้ือนอนแต่ละตัวกับการหลุดของกระดุม เป็นการนาเรื่องที่ไม่ข้องเก่ียวกนั ให้มาเกี่ยวข้องกัน
อย่างจงใจโดยไม่มีความสมเหตุสมผลแต่อย่างใดเช่น เสื้อนอนสีแดงตัวละครซื้อมาเพราะความ
ประทับใจกับอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนน้ัน เมื่อ กระดุมมันหลุดไป เขาก็คิดว่ามันไม่น่าจะ
หลุดได้ เพราะ "เสื้อนอนท่ีเปียมไปด้วยอุดมการณ์เช่นน้ี ไหนเลยจะสลัดกระดุมทิ้งโดยง่าย" เป็นต้น
สดุ ท้ายเรื่องนี้ก็จบลงด้วยการที่ตัวละครซุกหน้าลงกับหมอน แล้วนอนหลับต่อไป โดยหมดความกงั วล
เรือ่ งกระดุมเสื้อเม่อื นึกข้นึ ได้ว่านเ่ี ปน็ เชา้ ตรู่วันเสาร์

การเล่าเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเร่ืองนี้ แท้ที่จริงแล้วก็ซ่อนความหมาย
บางประการท่ีส่ือถึงการสร้างสรรคด์ ้านแนวคิดด้วยเหมือนกัน เช่น การสอื่ ถึงความเป็นไปได้ในเรื่องที่
ดูจะเป็นไปไม่ได้ การสื่อถึงความเก่ียวข้องกันของสิ่งที่ไม่น่าจะเกี่ยวกัน หรือการส่ือถึงความยุ่งเหยิง
วุ่นวาย และสับสน เป็นตน้

๑๘๓

๒. กลวธิ ีการเขยี นสรา้ งสรรค์เชิงรปู แบบ
รูปแบบ ในที่น้ี หมายรวมถึง กลวิธีการนาเสนอ กลวิธีทางวรรณศิลป์ และแบบ

แผนหรือฉันทลักษณ์ท่ีกาหนดงานเขียนประเภทหน่ึง ๆ เช่น การเขียนความเรียงประเภทบทความ
และสารคดี จะต้องประกอบด้วยส่วนความนา ส่วนเน้ือเรื่อง และส่วนสรุป การเขียนร้อยกรอง หรือ
กวนี ิพนธก์ จ็ ะมีรปู แบบการเขียนทแ่ี ตกตา่ งกันตามฉนั ทลักษณ์แบบใดแบบหน่ึง เป็นต้น

การสรา้ งสรรคเ์ ชงิ รปู แบบสามารถทาได้หลายวธิ ี ดังน้ี

๒.๑ การแปรเปล่ยี นความซบั ซ้อนในฉนั ทลกั ษณ์ใหเ้ ป็นความเรยี บง่าย

เมื่อกล่าวถึง กวีนิพนธ์ หรือบทร้อยกรอง คนท่ัวไปที่ไม่ใช่กวี มักคิดว่าเป็น

เร่ืองท่ีมีความซับซ้อนอันเนื่องมาจากแบบแผน หรือฉันทลักษณ์ที่ถูกกาหนดไว้อย่างตายตัวบ้างเป็น

เรื่องของการใช้สัมผัสนอก และสัมผัสใน สัมผัสพยัญชนะและสระ การบังคับด้วยวรรณยุกต์ คาครุ

และลหุ เป็นต้น การสร้างสรรค์เชิงรูปแบบอาจทาได้โดยการเปล่ียนมาใช้คาง่าย ๆ ท่ีส่ือความอย่าง

ตรงไปตรงมา เพราะการดาเนิน "ตามกรอบ" ของฉันทลักษณ์คงไม่ใช่ประเด็นสาคัญเท่ากับการใช้

ภาษาส่ือความไปยังผู้อ่านให้เขา้ ใจ และเกิดความสะเทือนอารมณ์ ดังตัวอย่างการใช้โคลงเพ่ือส่ือความ

ถึงวิถชี วี ติ ของคนในสงั คมในบท "วันหยดุ " ใน เจา้ นกกวี ของ ไพววินทร์ ขาวงาม ว่า

วนั หยุด นอนอยูบ่ า้ น เบาสบาย

ใจเตลิด ตลอดโลกภาย นอกน้นั

ทางานหนกั เจยี นตาย หนอมนษุ ย์

เพยี งเพ่อื สขุ แสนสั้น เทา่ นนั้ ฤๅไฉน

วันหยุด ใจฟงุ้ ซา่ น ฤาหยุด

หรือนีแ่ หละใจมนษุ ย์ อนาถเศร้า

นอนเหยียดครนุ่ คิดยุทธ ศาสตร์ศกึ งานเอย

เตรียมพรุง่ ตะวนั สาดเช้า ต่นื สู้ศกึ เงิน ฯ

(เจ้านกกวี, ๒๕๔๑, น. ๖๖)

บทกวีข้างต้น กวีได้ใช้โคลงสี่สุภาพอันเป็นฉันทลักษณ์ที่นิยมแต่งในบทไหว้

ครู สรรเสริญพระมหากษัตริย์ หรือกล่าวชมความงามของบ้านเมืองมาสื่อความถึงวิถีชีวิตของมนุษย์

ดว้ ยถ้อยคาธรรมดา ๆ แต่กลับกระตุ้นเรา้ ความคิดของผู้อ่านได้เป็นอย่างดีวา่ มนุษย์ท่ีพยายามทางาน

หนัก "เจียนตาย" เพ่ือให้ได้เงินมาซื้อหาความสุขนั้น เป็นเพียงความ "สุขแสนส้ัน" หรือ เป็นความ

หลงใหลในการแสวงหาความมั่งคั่งและความพร่ังพร้อมของชีวิตด้วยวัตถุเงินทองท่ีไม่อาจสร้าง

ความสขุ อยา่ งยง่ั ยืนได้ มนษุ ย์จึงตกอยูใ่ นภาวะเครียด มีจิตใจฟงุ้ ซาน และตอ้ งทุกข์โศกเศรา้ วนเวียนไป

๑๘๔

ไม่รู้จบเพราะยงั ยดึ ติดกับการมีชีวิตอยู่เพ่ือเงนิ หรอื เตรียมพร้อม "ตื่นสูศ้ ึกเงิน" ในวันต่อไปแม้ในวันนั้น
จะเปน็ วนั หยดุ พักผอ่ นก็ตาม

๒.๒ การใชเ้ ชงิ อรรถเพอ่ื ขยายความในการเล่าเรื่อง
ปกติแล้วการเขียนชิงอรรถแบบขยายความ เป็นแบบแผนของการเขียน

บทความวิชาการเนื่องจากงานเขียนทางวิชาการส่วนใหญ่ เป็นส่ิงที่มีความซับซ้อน และเป็นสัมพันธ์
บทกบั งานเขียนทางวิชาการชิ้นอน่ื ๆ แต่ก็มีนิยาย หรือเรอ่ื งสั้นบางเร่อื งได้นาเชิงอรรถมาใช้ เชน่ เรอ่ื ง
สน้ั ดอกไม้สีฟ้า ของทินกร หุตางกูร ท่ีผเู้ ขียนต้องการสอื่ ความหมายบางอย่างว่าเรื่องเล่าเรื่องนั้นเป็น
"เรอ่ื งแต่งแฝงเรอื่ งจริง" หรือเปน็ "เรอ่ื งจริงอิงเร่ืองแต่ง" ในวลาเดียวกันก็อาจสื่อนัยว่าเรอื่ งท่ีกาลังเล่า
เป็นเร่ืองความเป็นมาอันซับซ้อน และตอ้ งการคาอธิบายเพ่ิมเติม ดังข้อความในหมายเหตุของเรอ่ื งส้ัน
ดอกไม้สีฟา้ หลงั จากทกี่ ลา่ วพาดพิงถึง นายจอร์จ โซรอสในเนอ้ื เรอื่ ง

นายจอร์จ โชรอส เคยถูกนายกรัฐมนตรีมหาธีร์ โมฮัมหมัดของมาเลเซีย
ประณามว่าเป็นผีร้ายทาลายค่าเงินของประเทศแถบอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ทว่าภายหลังมหาธีร์
ตอ้ งขอโทษระหว่างให้สัมภาษณ์นิตยสาร ฟารอ์ ิสต์เทิร์นอีโคโนมิกรัววิว เพราะสู้อานาจเงินของนายโซ
รอสไม่ได้

๒.๓ การหกั มุมในตอนจบ
เป็นการจบแบบที่ผู้อ่านคาดไม่ถึงหรือต้องเกิดอาการ "สะดุด" บางอย่างใน

ความคิด กลวิธีนี้เป็นการเล่นกับการเล่าเร่ืองด้วยการ "ลวง" ให้ผู้อ่าน "หลงทาง" ด้วยเง่ือนปม
บางอย่าง จนเกดิ การคล้อยตามอย่างสนทิ ใจ เกดิ ความสงสัยใครรู้หรอื ครุน่ คดิ ตามว่าเรือ่ งราวจะจบลง
อย่างไร ทั้งนี้สามารถนามาใช้ได้กับการเขียนหลากหลายประเภท มิได้จาเพาะว่าจะต้องนามาใช้กับ
เรอ่ื งเลา่ ประเภทสบื สวนสอบสวนเท่าน้ัน

๒.๔ การเลือกเฟน้ ถ้อยคา
"รสคา" และ "รสความ" เป็นองค์ประกอบสาคัญท่ีช่วยปรุงให้งานเขียนมี

คุณค่าในเชิงวรรณศิลป์ แม้ว่าคาแต่ละคาจะมีข้อจากัดอยู่บ้างในแง่ที่มีไม่อาจทดแทนความคิด
อารมณ์ ความรู้สึกได้ท้ังหมด แต่ถ้าผู้เขียนมี "คลังศัพท์" ท่ีมากพอ มีความรู้ที่จัดเจน ลึกซึ้งถึง
"ความหมาย" และ "นัยสาคัญ" ของคาแต่ละคา มีความสามารถในการสรรหาและเลือกเฟ้นมาใช้ได้
อย่างเหมาะสมกบั เนอ้ื หาและบริบทก็จะทาให้งานเขยี นชิน้ น้ันสอื่ ความหมายได้อย่างจับใจ

๑๘๕

ศิลปะในการเลือกเฟ้นถ้อยคา ประกอบด้วย การใช้คาแสดงอารมณ์ การใช้

คาแสดงฐานะบุคคล และการใชค้ าเลยี นเสียง

การใช้คาท่ีแสดงอารมณ์ ความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นอารมณ์พื้นฐานของ

ปุถุชน เป็นส่ิงที่ทุกคนเข้าใจ และตระหนักรู้อยู่แล้ว ดังน้ันถ้าผู้เขียนเลือกใช้คาที่ "โดนใจ" ผู้อ่านก็

พร้อมจะ "เข้าถึง" และเกิด"อารมณ์ร่วม" ได้โดยเกือบจะทันที ดังตัวอย่างในบท "ชะรอยเราน้ีมีเวร

กรรม" ใน ลานาภกู ระดึง ขององั คาร กัลยาณพงศ์ ว่า

ทารณุ เราเจ็บซา้ ซ้าซาก ลาบากเจ็บแสบเสียสาสม

มีชวี ิตเพือ่ พิษทุกขร์ ะทม นกึ ถงึ ยมโลกใครล่ าไป ฯ

เกิดบาปกรรมตา่ ใตข้ มุ นรก หมกไหมท้ นทกุ ข์อยทู่ ุกสมยั

เสาะหาเศษสุขในเปลวไฟ สิน้ เย่อื ใยแล้วในปฐพี ฯ

(ลานาภกู ระดงึ , ๒๕๑๖ , น. ๑๐๕)

บทกวีข้างต้น กวีใช้คาท่ีแสดงอารมณ์ว่ "เจ็บซ้า" "เจ็บแสบ" เพ่ือส่ือถึงความรู้สึก
เจ็บปวดทั้งกายและใจ และเลือกใช้คาว่า "ทุกข์ระทม" "ทนทุกข์" มาเพ่ือแสดงอารมณ์ความรู้สึกไม่
สบายกายไม่สบายใจหรือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้ เพราะกวีขาดไร้นางท่ีปรารถนา ซ่ึงนางได้ตัด
ความสัมพันธ์ไปจากกวีอย่าง "ส้ินเยื่อใย" กวีเลือกใช้คาน้ีเพื่อจะสื่อให้เห็นว่าความรักความผูกพันของ
กวีกับนางนั้นได้ขาดจากกันโดยไม่มีความห่วงหาอาลัยเหลืออยู่ การเลือกสรรคานี้จึงช่วยให้ผู้อ่านเข้า
ใจความทกุ ข์ของกวไี ดช้ ัดเจนยงิ่ ขน้ึ

การใช้คาแสดงฐานะของบุคคล การลือกใช้คาในความหมายน้ีคล้ายกับสานวนไทย
ท่ีว่า "สาเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล" นั่นคือ ผู้เขียนเลือกใช้คาให้เหมาะกับบุคคล เช่น ตัวละคร
แม่ค้า ก็ต้องพูดและแสดงอากัปกิรยาแบบแม่ค้า หรือตัวละครชาวบ้านชนบทก็จะใช้สรรพนาม "กู"
"มึง" หรือตวั ละครท่ีมกี ารศึกษา หรืออย่ใู นช่วงวัยหนมุ่ สาวก็จะใชค้ าแทนตัวว่า "คณุ " "ผม" เพ่ือให้เกิด
ความ "สมจริง"

ตวั อย่าง ในเรอ่ื งสั้น "เพลงใบไม้" ในชอยเดียวกัน ของวาณิช จรุงกิจอนันต์
ทต่ี ัวละครยายเปน็ ชาวบ้านกใ็ ชส้ รรพนามแทนตวั วา่ "กู" เมอื่ พูดกับหลานสาว ความวา่

ยายถูเรือนทุกวัน ท้ังเช้าและเย็น น่ังถัดถูไปประเด๋ียวเดียวก็ทั่ว ส้มเช้ามัน
ห้ามยายจนเบื่อและเลิกห้ามไปในทสี่ ุด มันวา่ ยายน่ะดอ้ื เหมอื นเด็ก ๆ เพราะยายไมย่ อมฟังมัน

"กูถูของกไู ด้ เรือนเทา่ แมวดิ้นตายแค่น้ี" ยายบอก

๑๘๖

ตัวอย่าง ในเร่ืองส้ัน "โนรี" ในชอยเดียวกัน ของวาณิช จรุงกิจอนันต์ ท่ีตัว
ละครหนุ่มสาวในชว่ งที่เปน็ นักศึกษาสนทนา หรอื แสดงความคิดเห็นต่อเร่ืองการแต่งหน้า

"ทาไมคุณถงึ ตอ้ งแตง่ หน้าทาปาก" ผมเคยถามโนรี
"เป็นคาถามที่รุนแรงมากนะ คุณรหู้ รอื เปล่า" โนรีถาม ผมกลบั พยักหน้า
"เป็นความสบายใจของหญิงท่ีจะรู้สึกว่าตัวเองสวยข้ึน วันไหนฉันรู้สึกอยาก
ให้ตวั เองสวยขนึ้ ฉนั ก็แต่งหนา้ ทาปาก ฉันไม่อยากสวยทุกวนั หรอกนะ่ "
"ผมว่าคณุ ไมแ่ ต่งหน้าเลยสวยกวา่ คุณไม่ทาปากเลยสวยกว่า"
"เป็นอันว่าฉนั จะต้องทาสวยเพ่ือคณุ อยา่ งน้ันหรือ"
"ก็ไม่ไช่อย่างนั้น คุณไม่เคยคิดบ้างเลยหรือว่าคุณค่าของผู้หญิงไม่ได้อยู่ที่
ความสวย" ผมถามยมิ้ ๆ
"อยู่ทอี่ ะไรล่ะ"
"อยทู่ ี่ความฉลาด"
"ฉนั ไม่ใช่คนโง" โนรีตอบทนั ควนั
"อยทู่ ี่การเห็นอกเหน็ ใจเพือ่ นมนษุ ย"์
"ฉนั ไม่เคยโหดร้ายใจดากับมนษุ ย์ท่ีไหน"

การใช้คาเลียนเสียง การลือกใช้คาที่ "เลยี นแบบ" เสียงที่เกิดขึ้นได้ จะทาให้
ผอู้ า่ นไดเ้ หน็ ท้งั "ภาพ" และไดย้ นิ ทั้ง "เสียง" ดังตวั อย่างบทกวี ในสระน้าใส ความว่า

กวิ๊ กา๊ ว ก๊ิบกา๊ บ เปน็ ทาบปกี
ตนี พ้ยุ สดั หลีก-ปกี รุ่มรา่ ม
เหล่าลูกเปด็ นอ้ ยแล่นลอยตาม
ไซแ้ หนแผ่งามตามแมม่ า

๒.๕ การใช้ศิลปะการเรียบเรียงถ้อยคา
การเรียบเรียงถ้อยคาเปรียบได้กับการร้อยมาลัยท่ีจะต้องรู้จักทั้งวิธีการ

"เลือก" ดอกไม้และวิธีการ "ร้อย" งานเขียนที่มีลักษณะสร้างสรรค์ไม่ว่าจะอยู่ในรูปแบบใด หรือ
ฉันทลักษณ์ใด ก็ควรมีลักษณะท่ีเรียกได้ว่า "ง่าย" และ "งาม" คือเข้าใจ และจับใจความได้ในทันทีท่ี
อา่ นหรอื ไดย้ ิน

ศิลปะการเรียงรอ้ ยถ้อยคาให้เกิดความจับใจ ประกอบด้วย การลาดับความ
การสรุปความหลักความสมดุล การซา้ คา การช้อนคา การแยกคา การเล่นคา

๑๘๗

การลาดับความ หมายถึง การกลา่ วตามลาดบั ก่อนหลงั หรอื กล่าวในทิศทาง

เป็นแบบแผนเดียวกัน เช่น จากส่วนย่อยไปสู่ส่วนใหญ่ หรือจากส่วนใหญ่ไปสู่ส่วนย่อย จากภายในสู่

ภายนอก หรือจากภายนอกสู่ภายใน เป็นตน้ เพื่อให้เกิดความแจ่มแจ้ง เข้าใจงา่ ย

การสรุปความ หมายถึง การกล่าวใหเ้ หน็ ภาพรวมของแตล่ ะประเด็นที่กล่าว

มาแล้วก่อนหน้านั้นทั้งหมด ดังตัวอย่างตอนหน่ึงจากเรื่องส้ัน “แม่ครับ” ในอัญมณีแห่งชีวิต ของ

อญั ชนั ความวา่

เรากอดกันกลมดิก เหมือนกับว่า ขอกอดกันแน่นเช่นน้ไี ว้สกั ครู่เถิด

แล้วอะไรหากจะต้องเกิดข้ึนอีกก็เกิดไปแม้แต่ความตาย เด๋ียว ๆ แม่ก็ร้องไห้ เดี๋ยว ๆ แม่ก็ยิ้ม ก่อนจะ

บอกความลับสุดท้ายในชีวิตให้กับหนุ่ยว่าถ้าหนุ่ยอยากเจอแม่ แม่ไม่ได้ไปไหน แม่อยู่ในจังหวะ และ

เพลงที่หนุ่ยร้อง อยู่ใน ก ไก่ ข ไข่ท่ีหนุ่ยเขียน แม่อยู่ในภาพตัวการ์ตูนท่ีหนุ่ยวาดอยู่ในก้อนดินเหนียว

ดินน้ามันที่หนุ่ยรักจะปั้น แม่อยู่ในน้ี ในหัวใจดวงเล็ก ๆ แต่สร้างสรรค์ จินตนาการได้ไม่สิ้นสุด

ขอบเขตของหนยุ่ ดวงน้ี

หลักความสมดุล หมายถึง การท่ีบทความหรือบทกวีมีลักษณะสอดรับกัน

ทั้งหมดหรือทั้งเรื่อง เช่น นก..นก ปลา...ปลา ฉันใด...ฉันนั้น เป็นต้น ดังตัวอย่างตอนหนึ่ง ในเพียง

ความเคลือ่ นไหว ความว่า

นกอยู่ฟ้านกหากไมเ่ ห็นฟ้า ปลาอย่นู ้ายอ่ มปลาเหน็ นา้ ไม่

ไส้เดือนไมเ่ หน็ ดนิ ว่าฉนั ใด หนอนยอ่ มไร้ดวงตารู้อาจม

ฉันน้นั ความเปอื่ ยเน่าเป็นของแน่ ยอ่ มเกิดแกค่ วามนง่ิ ทุกสิ่งสม

แตว่ ันหนึ่งความเนา่ ในเปือกตม กผ็ ุดพรายให้ชมซึ่งดอกบวั

การซ้าคา โดยทั่วไปการใช้คาซ้าในการเขียน เป็นการระบุถึงสรรพสิ่งในเชิง

ปริมาณ เช่น "ราคาทองในช่วงน้ันสูงมาก ๆ" หรือในเชิงคุณภาพ เช่น "เนื้อกระดาษมีสีขาวตุนๆ" เป็น

ต้น แตบ่ างครั้งนกั เขียนอาจจะใชว้ ิธีการซ้าคา ซ้าความ เพ่ืออธิบาย ขยายความ หรือสื่อความหมายถึง

การตอกย้าซ้าเติมในอารมณ์ความรู้สึกว่าส่ิงท่ีซ้า ๆ น้ันมันมากมายมหาศาลเพียงใด ดังตัวอย่างในบท

"หัวใจลกุ ไหม้" ใน “เจา้ นกกวี” ของไพวรินทร์ ขาวงาม ความว่า

หวั ใจฉันลุกไหม้ เป็นไฟ

ไฟแหง่ ปรารถนาไฉน โชคฉะน้ี

ฉนากาล เนน่ิ นานใน อนันตทุกข์

เปลวโรจนเ์ ร่ืองไรระรี้ ระรกิ ล้อเปลวตะวัน

๑๘๘

หวั ใจฉันลุกไหม้ เปน็ ไฟ

ลกุ ท่วมทรวงอกไสว สว่างจ้า

ไฟเธอ ใช่ไฟใคร ไฟรกั น่นั แล

ร้อนยิง่ รอ้ นเนนิ่ ชา้ ยิง่ ให้พลังงาน ๆ

(เจ้านกกวี, ๒๕๔๑, น. ๗๐)

บทกวีข้างต้น กวีช้าข้อความในบาทแรกของโคลงสี่สุภาพท้ังสองบทว่า

"หวั ใจฉันลกุ ไหม้ เป็นไฟ" เพื่อเปิดเผยความในใจให้รู้ซง่ึ ถึงความทกุ ขข์ องกววี ่า เมอื่ กวีหลงรกั หญิงสาว

ก็เปรียบเหมือนมี "ไฟแห่งปรารถนา" หรอื "ไฟรัก" ที่คอยเผาไหมจ้ ิตใจของกวใี ห้ "ลุกไหมเ้ ป็นไฟ" และ

เกิดเปลวไฟ "ลุกท่วมทรวงอก" ส่งผลให้กวีรู้สึกร้อนรุ่มในจิตใจย่ิงขึ้น การซ้าความดังกล่าวจึงเป็นการ

ตอกย้าว่าความทกุ ข์ทรมานใจของกวยี ิ่งข้ึน

การซ้อนคา การใช้คาซ้อนหรือการซ้อนคา หมายถึง การนาคาท่ีมี

ความหมายใกล้เคียงกัน หรือเป็นไปในแนวเดียวกันมาซ้อนกัน ทาให้เกิดความหมายใหม่ท่ีทาให้

ความหมายของคาเดิมมีความชัดเจนขึน้ เช่น เศรา้ ซมึ เบาหววิ หนักหน่วง ดงั ตวั อยา่ งของนักเขียนคน

หนึ่งที่มีความโดดเด่นในเรื่องการใช้คาซ้อน เพื่อสร้างภาพพจน์แก่ผู้อ่าน คือ อัศศิริ ธรรมโชติ ที่ใช้

คาช้อนเพื่อแสดงสภาพเหตุการณ์ อารมณ์ความรู้สึก และอาการ อันทาให้ผู้อ่านเห็นรายละเอียดของ

ภาพทแี่ จม่ ชดั มากขึน้ ดงั นี้

คาซ้อนแสดงสภาพของเหตุการณ์ เช่น ตอนหน่ึง จากเรื่อง ถึงคราท่ีจะหนี

ไกลไปจากลาคลองสายนั้น ความว่า "เสียงพายกระทบน้าที่ดังวังเวง อ้อยสร้อย เบาหวิว เคว้งคว้าง

และเล่ือนลอยอยกู่ ับสายน้าของกลางคืนนนั้ หลอ่ นนอนฟังติดต่อกันนบั ต้งั แตด่ กึ ด่ืน"

คาซ้อนแสดงอารมณ์ความรู้สึก เช่น ตอนหนึ่ง จากเร่ือง จันทรคราส ความ

ว่า "พวกเรารู้สึกใจหาย หว่ันไหว ระทึก ระทม เม่อื ทอ้ งฟ้าเรมิ่ มืดสนิทจนเกือบจะมองไม่เหน็ หนา้ กนั "

คาซ้อนแสดอาการ เช่น ตอนหนึ่ง จากเร่ือง “งานแสงเดือน” ความว่า

"ผู้หนุ่มและสาวเจ้าทั้งหลายในหมู่บ้าน บัดน้ีต่างพากันเยื้องไหว โยกย้าย กรีดกรายไปรอบ ๆ วงรา

แเล้ว"

การเล่นคา การเล่นคาในที่นี้มีทั้งการเล่นคาพ้องรูปพ้องเสียง และการเล่น

คาหลาย ความหมาย ซึ่งเป็นการเล่นในลกั ษณะพลิกแผลงใหเ้ กิดจงั หวะพริ้งพราย มีเสียงกระทบ และ

ความไพเราะร่ืนหอู นั ถอื เปน็ การแสดงฝีมือของผูเ้ ขียน

ตวั อย่าง การเลน่ คาพอ้ งรูปพ้องเสียง

สะทอ้ นเหมือนสะทอ้ นอกสะทึก แตน่ ึกๆ แลว้ นง่ิ คานึงหมาย

ตะแบกเหมอื นแบกทกุ ข์มาเดนิ ทาง ไมย้ างเหมือนยา่ งบาทระยา

มะไฟเหมอื นไฟมาเผาสุม มะรมุ เหมอื นหนง่ึ รุมอรุ ะรา่

ตะบากเหมอื นแสนวิบากกรรม มะกลา่ กลา้ กลนื แตค่ วามทกุ ข์

๑๘๙

ตัวอย่างการเล่นคาหลายความหมาย ในบท จอแก้ว ของโชคชัย บัณฑิต

ตอนหนึ่งว่า

พุง่ ตาเพยี งไตไ่ ลซ้ อกผา นา้ พลัดขดั ซ่าทว่ มผาหนิ
เพรยี วพุ่งระลอกกระฉอกริน ชมุ่ ดนิ ชุ่มป่าชมุ่ ตานก
ชุม่ เหนอื ตานา้ ชมุ่ ฉา่ ไหล ชุ่มตาชุ่มใจในกระจก
เพยี งครปู่ นี เขาเขา้ ป่ารก กอ่ นยกสายตาเพ่งป่าลกึ

๒.๖ การใช้ศลิ ปะการปลกุ เรา้ ความรู้สกึ
ศิลปะการปลุกเร้าควมรู้สึก ประกอบด้วย การใช้ถ้อยคาหรือข้อความท่ีมี

ความหมายขัดแย้งกนั เอง การใช้สญั ลักษณ์และการใช้ความเปรยี บ
๑. การใช้ถ้อยคาหรือข้อความท่ีมีความหมายขัดแย้งในตัวเอง การใช้

ถ้อยคาที่มีความหมายขัดแย้งกัน ได้แก่ องุ่นเปรี้ยว มะนาวหวาน น้าผ้ึงขม ฯลฯ ส่วน การใช้ขอ้ ความ
ทส่ี ื่อความหมายทขี่ ัดแยง้ กนั ไดแ้ ก่ขอ้ ความท่วี ่า "ศัตรูคอื ยากาลงั " "ความตายคอื การเร่มิ ต้น"

๒. การใชถ้ ้อยคาหรือข้อความทมี่ ีความหมายขดั แย้งกัน อาจฟังดคู ล้ายกับ
เรื่องเหลวไหล แต่แท้จริงกลับสื่อถึงจินตนาการท่ีซับข้อน และความหมายท่ีลึกซึ้ง ท้ังยังมีคุณค่า
มากกว่างานเขียนที่จากัดความคิดตามแบบแผน เพราะทาให้ผู้อ่านสามารถจินตนาการต่อไปได้อีก
กว้างไกล ไม่สะดุดอยู่กับการตีความท่ีหยุดน่ิง และตายตัว ท้ังยังกระตุ้น และยั่วยุให้ผู้อ่านคิด และ
ค้นหาคาตอบใหม้ ากข้ึน

๓. การใช้สัญลักษณ์ เป็นกลวิธีทางวรรณศิลป์ประเภทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับ
ลักษณะเฉพาะทางจิตใจและวัฒนธรรมในแต่ละสังคม ซึ่งผู้อ่านต้องอ่านอย่างถอดความหมายและ
ตคี วาม เช่น คากล่าวทว่ี า่ "การอยอู่ ย่างสนุ ัขทมี่ ีชวี ิตย่อมดีกว่าการอยู่อย่างสิงโตทตี่ ายแลว้ " ในข้ันแรก
นผ้ี ู้อ่านจะต้องถอดความหมายของ "สงิ โต" และ "สุนัข" ก่อน ซึ่งโดยผิวเผิน สัตว์ทั้งสองประเภทนีต้ ่าง
ก็เป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้านมเหมือนกัน แต่โดยความหมายที่ลึกลงไป สิงโตเป็นสัตว์ชั้นสูงที่มีชาติ
ตระกูล แข็งแรงและกล้าหาญ ส่วนสุนัขเป็นสัตว์ธรรมดา ๆ ท่ีอ่อนแอ และขี้ขลาด ความหมายจาก
การตีความคากล่าวนี้ จึงแสดงให้เห็นว่า ผู้พูดให้คุณค่า และความสาคัญกับการต่อสู้และการยืนหยัด
อย่างด้ินรนมากกวา่ การให้คุณคา่ กบั ชาตกิ าเนดิ ของบุคคล

สัญลักษณ์ที่เป็นกลวิธีการแสดงออกทางวรรณศิลป์ที่มีมาในวรรณคดี
ไทยโบราณ และค่อนข้างจะเป็นสัญลักษณ์ที่ตายตัว นั่นคือการใช้สัญลักษณ์ในบทอัศจรรย์ อาจเป็น
เพราะสังคมวัฒนธรรมแต่โบราณไมน่ ิยมเปดิ เผยเรือ่ งเพศและความสัมพันธ์มากนัก กวีหรอื นกั เขยี นจึง
ส่ือความด้วยสัญลักษณ์แทนจนกลายมาเป็นแบบแผน เช่น การใช้ปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ฝนตก
ฟ้าร้อง ดอกไม้บาน ปลาแหวกว่ายในน้าหรือกอบัว แมลงซอกชอนในพุ่มดอกไม้อันบง่ บอกถงึ ความสด


Click to View FlipBook Version