The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

1543307 ศิลปะการนำเสนอ

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search
Published by cola.khamphong, 2021-06-10 01:22:40

1543307 ศิลปะการนำเสนอ

1543307 ศิลปะการนำเสนอ

๑๙๐

ชื่น ความอุดมสมบูรณ์ การเกิด หรือมิฉะนั้นก็เป็นภาพการต่อสู้ เช่น เรือกาลังโต้คล่ืน ว่าวปักเปากับ

วา่ วจฬุ า เปน็ ตน้

นอกจากนั้นการใช้สัญลักษณ์ท่ีเข้าใจกันได้ง่ายเป็นสากล คือ ของดี

ของสวย ของสูง หมายถึง ส่ิงที่ดี ของต่าต้อยด้อยราคาก็หมายถึงสิ่งท่ีเลวกว่า อย่างเช่นที่ขุนแผน

ประณามนางพมิ ว่า

"แรกเชอื่ ว่าเนือ้ ทับทมิ แท้ มาแปรเปน็ พลอยหงุ ไปเสยี ได้

กาลวงวา่ หงสใ์ ห้ปลงใจ ด้วยมไิ ด้ดหู งอนแต่กอ่ นมา"

สัญลักษณ์ที่นามาใช้เช่นน้ีสามารถสื่อความหมายได้ชัดเจน แต่ก็มีกวี

หรือนักเขียนสมัยใหม่ที่นามโนทัศน์ในเร่ืองการใช้ของสูงคือสิ่งดี ของต่าคือส่ิงเลวน้ี มาสร้างระบบ

สัญลักษณ์เฉพาะตัว เช่น ผลงานของอังคาร กัลยาณพงศ์ มักใช้สัญลักษณ์ว่า เช้ือมะเร็ง จุสินทรีย์

อะมีบา แทนสิง่ เลวหรอื คนเลวในสงั คม

อีกตัวอย่างหนึ่งท่ีเห็นได้ชัดเจนในการใช้สัญลักษณ์แปลกใหม่ใน

วรรณกรรมเพ่ือชีวิต จนเป็นท่ีรับรู้แล้วเข้าใจของคนปัจจุบันคือ การใช้สัญลักษณ์ เจ้าขุนทอง นกสี

เหลือง นกขมิ้น นกพิราบ แทนวีรชนคนหนุ่มสาวท่ีสละชีพเพื่อประชาธิปไตย หรือเพ่ือแสวงหา

เสรีภาพ หากใครจะเขียนถึงตานานการต่อสู้เพ่ือประชาธิปไตยโดยไมเ่ อ่ยถึงสัญลักษณ์เหล่านี้ก็เห็นจะ

ไมส่ มบูรณ์ ดงั ตวั อย่างในบท "นิยายแผน่ ดนิ " ใน แสงดาวแห่งศรทั ธา ของคมทวน คนั ธนู ว่า

ตาพิราบเถลือกถลน ถูกถลก แขวนโอย

หยดุ เลือดหยดุ ไหลยอ้ ย หยาดยอ้ ยยงั สนาม

ความเจ็บแคน้ เคียดข้ึง ขน่ื ขม

ทกุ แหง่ ห้องใจถม ท่วมหอ้ ง

พิราบระทม ถึงเพ่ือน

พิลาปไหร้ ้อง รา่ หารนหา

(แสงดาวแห่งศรัทธา, ๒๕๒๑, น. ๑๒๘-๑๒๙)

บทกวีข้างต้น กวีส่ือทัศนะถึงเหตุการณ์การต่อสู้ทางการเมือง ๖

ตุลาคม ๒๕๑๙ โดยใช้สัญลักษณ์ "นกพิราบ" แทนนิสิต นักศึกษาและประชาชนหรือเหล่าวีรชนท่ี

เสียสละตนเองเพื่อเรียกร้องสิทธิเสรีภาพและต่อต้านกับอานาจเผด็จการของรัฐบาลจนได้รับบาดเจ็บ

ล้มตายเป็นจานวนมาก ดังการพรรณนา ภาพ "หยาดเลือดหยดไหลย้อย หยาดย้อยลงสนาม" ภาพ

เหตุการณ์ความสูญเสียนี้กวีได้สื่อความเข้มข้นรุนแรงของภาวะอารมณ์ท่ีมีทั้งการพลัดพราก สูญเสีย

ระคน "เจ็บแค้น" ผ่านการคร่าครวญว่ารู้สึก "ข่ืนขม" หรือ รู้สึกซ้าใจแต่ต้องฝืนไว้ ไม่สามารถแสดง

ออกมาได้ และเล่นเสียงเล่นคาระหว่าง "พิราบ" ที่แทนเหล่าวีรชนกับ "พิลาป" หมายถึงคร่าครวญ

๑๙๑

ราพัน และร้องไห้ เพ่ือสื่อแสดงความทุกข์โศกโหยหาอาลัยหนุ่มสาวผู้บริสุทธิ์ท่ีเสียชีวิตจากเหตุการณ์

วันมหาวิปโยคใหผ้ ู้อ่านประจักษ์มากยิง่ ขึ้น

๔. การใช้ความเปรียบ ความเปรียบที่ใช้กันท่ัวไปในงานเขียน มี ๕

ประเภท คือ บุคลาธิษฐาน (personfication) ความเปรียบประชด (irony) ความเปรียบแสดงแนว

เทียบ (simile) ความเปรียบอิงแนวเทียบ (metaphor) และความเปรียบเกินจริง (hyperbole)

บุคลาธิษฐาน หมายถึง การสมมติให้สิ่งท่ีไม่ใช่คนมีปฏิกิริยาแบบคน

ดังตัวอย่างที่กวีนาส่ิงไม่มีชีวิตอย่างตุ๊กตามาแสดงการร่าไห้คร่าครวญจากการสูญเสียผู้ใช้แรงงาน

ในเหตุการณ์ไฟไหม้โรงงานผลิตตุ๊กตา ปรากฎในบท "ตุ๊กตากาสรวล" ใน ม้าก้านกล้วย ของไพวรินทร์

ขาวงาม ความว่า

เปลวแดดไม่ทันดบั โลกยิง่ กลบั ร้อนระอุ

เปลวเพลงิ เรงิ ปะทุ ใหเ้ ดอื ดดุกวา่ แดดใด

ต๊กุ ตาชบหน้าน่งิ ไมไ่ หวติงแตร่ า่ ไห้

หวดี รอ้ งในกองไฟ ทีโ่ หมไหมท้ ัง้ โรงงาน

โรงงาน เหมือนโรงงก เหมือนนรก เหมือนสุสาน

กลบฝังร่างคนงาน ให้ร้าวรานทุกวิญญาณ์

(มากา้ นถลว้ ย, ๒๕๓๘, น. ๖๘)

ความเปรียบประชด คือ ความเปรียบท่ีมุ่งเน้นการส่ือความหมายที่

ตรงกันข้ามกับความหมายของคาท่ีใช้ เช่น การกล่าวถึงภาพลบหรือสิ่งท่ีเลวร้าย น่าตาหนิ แต่ใช้

ถ้อยคา และท่วงทานองของการสรรเสริญ เยินยอ ชมเชย หรือในทางกลับกันกล่าวในลักษณะช่ืนชม

พอใจ ยินดี แต่เลือกใช้ถ้อยคาท่ีไม่ดีหรือแสดงภาพในด้านลบ ดังตัวอย่างในบท "อารมณ์อันร้าวฉาน"

ใน เห่ลูกทุ่ง ของสุจติ ต์ วงษเ์ ทศ ว่า

เจ้าแก้มตอบนมตา่ นัยน์ตาเข เสน่ห์เจา้ อมตะเปน็ ท่ตี ้ัง

โอ๋คอเอย๋ คอหา่ นทวารวัง กนู อนนอนนัง่ นัง่ คะนงึ นวล

รูปของเจา้ จรงิ ราวเทพนมิ ิต สุจริตใจกจู งึ โหยหวน

ผวิ ม่ันหมายแล้วไมก่ ระบดิ กระบวน เปน็ อุตพติ ก็หอมหวนถา้ กจู ะดม

(เห่ลกู ทงุ่ , ๒๕๐๙, น. ๘)

บทกวีข้างต้น กวเี จตนาสื่อความหมายที่ตรงกันข้ามกบั คากล่าว คือกวี

กล่าวในลักษณะชื่นชมนางว่า "เสน่ห์เจ้าอมตะเป็นที่ตั้ง" และรูปของนางราวกับเทพสร้างขึ้นมา แต่

กลับเลือกใช้ถ้อยคาว่า "เจ้าแก้มตอบ" "นมต่า" "นัยน์ตาเข" "คอห่าน" และมีกลิ่นกายเหมือนดอก

"อตุ พิด" คอื กลิ่นเหม็นเหมือนอุจจาระ ซ่ึงเป็นรูปร่างหน้าตาและกล่ินกายท่ีไม่น่าจะมีใคร "คะนึงนวล"

"โหยหวน" หรอื ดอมดมอย่าง "ไม่กระบดิ กระบวน"

๑๙๒

ความเปรียบแนวเทียบ คือ ความเปรียบท่ีต้องการอธิบายลักษณะของ

ส่ิงใดสิ่งหน่ึงโดยนาไปเทียบกับอีกสิ่งหนึ่งซ่ึงมักเป็นรูปธรรมที่คนท่ัวไปรู้จักกันดีอยู่แล้ว เช่น สีขาว

เหมอื นกอ้ นเมฆ สีดาสนิทดจุ เดียวกับความมืดในคืนแรม ฯลฯ การเขียนความเปรยี บแสดงแนวเทียบน้ี

สิ่งที่ถูกยกมาเทียบควรจะมีลักษณะโดดเด่นในเร่ืองที่ต้องการเปรียบด้วย เช่น การใช้ความเปรียบว่า

"นัยน์ตาของเธอเหมือนดวงดาว" เป็นการส่ือความหมายถึงแววตาท่ีมีประกายระยิบระยับและสุกใส"

และสังเกตได้ว่าการแสดงความเปรยี บเชน่ นี้ มักมคี าเช่ือมท่แี สดงการเปรียบเทยี บ คอื เหมอื น เฉก ดุจ

ดัง ราวกับ ประหน่ึง ดังตัวอยา่ ง ดงั ความในบท "ชะรอยเรานมี้ เี วรกรรม" ใน ลานาภูกระดงึ ขององั คาร

กัลยาณพงศ์ ว่า

ไอช้ ะรอยเราน้ีมเี วรกรรม ทาไวม้ ากมายในปางหลงั

ฟา้ จึง่ บีบคน้ั เจ็บใจดัง เขา้ ขอ่ื คาคร้ังดกึ ดาบรรพ์ ฯ

สรวงส่ังสาวรักมาแยม้ ยม้ิ พร้ิมพรายชมา้ ยให้ใฝ่ฝัน

แต่เจ้ากแ็ ปรเปลี่ยนฉบั พลนั มทิ ันสัปดาห์ลาลบั ไป ฯ

(ลานาภกู ระดึง, ๒๕๑๒ , น. ๑๐๔)

บทกวีขา้ งต้น กวีสื่อความเจบ็ ทุกขใ์ จเมอ่ื ตอ้ งสิ้นหวงั ในรัก เพราะนางที่
รักได้ "แปรเปล่ียนฉับพลัน" โดยใช้วิธีการเปรียบเทียบความเจ็บซ้าใจว่าเสมือน "เข้าข่ือคาคร้ัง
ดึกดาบรรพ์" ซ่ึงข่ือเป็นเครื่องจองจานักโทษท่ีทาด้วยไม้มีช่องสาหรับสอดมือ หรือเข้าแล้วมีล่ิมตอก
ส่วนคาก็เป็นเครื่องจาคอนักโทษท่ีทาด้วยไม้ ลักษณะการให้ภาพเปรียบเทียบท้ังขื่อ และคาท่ีเป็น
เครื่องจองจาสมัยโบราณน้ีจงึ ช่วยให้ผู้อา่ นเกิดจินตภาพและเขา้ ถึงความรู้สกึ เจ็บปวดใจของกวไี ด้อยา่ ง
ลึกซึง้ ย่งิ ขึ้น

**ในการเขียนสร้างสรรค์โดยการใช้ความเปรียบน้ัน ควรพยายามหลีก
หนีจากการเปรียบที่เป็นท่ีนิยมใช้กันอยแู่ ล้ว เช่น การชมดวงหนา้ ของนางว่านวลงามเหมอื นดวงจันทร์
ในคืนเพ็ญ หรือถามว่า "รักมากแค่ไหน" แล้วตอบวา่ "รักเท่าฟ้า" หรือ "ไม่รักก็คงไม่มา" หรือ ไม่รักจะ
มาด้วยทาไม" ก็คงเปน็ คาตอบทไี่ ม่สรา้ งสรรค์เทา่ กับตอบว่า "นับเม็ดทรายทงั้ ทะเลกร๊ ู้" เปน็ ต้น

ความเปรียบอิงแนวเทียบ คือ ความเปรียบแสดงลักษณะของสิ่งใด
สิ่งหน่ึง โดยกล่าวถึงอีกส่ิงหนึ่งแทน เพ่ืออิงความหมายจากสิ่งน้ันไปยังสิ่งที่ประสงค์จะกล่าวถึง
ดังตวั อยา่ งตอนหนง่ึ ใน "โอละเห่ โอละวา" ของ วนั ณ จนั ทรธ์ าร จากมติชนสุดสัปดาห์ ความว่า

กมลมาลย์เพิง่ รวู้ ่ตัวเองอยใู่ นถงั ข้าวสาร ก็เม่ือฝูงผีเสื้อกลับกลายเป็น
แมลงเม่าบินเข้ากองไฟ เด็ดปีกร่วงหล่นไปปีละคนสองคน ไม่อาจมาบินโฉบอวดโฉมให้หล่อนอิจฉา
อีก ต่างคนต่างหายตัวเงียบ ปิดปากสนิท ก้มหน้าก้มตาหาเงินส่งค่างานผ่อนบ้าน หรือผ่อนรถตัวเป็น
เกลยี ว ขณะการ์ดเชิญแต่งงานของหลอ่ นร่อนสะพดั

๑๙๓

ความข้างต้นจะเห็นได้ว่า ผู้เขียนต้องการสื่อความว่า หลังจากการ

เกิดข้ึนของวิกฤตเศรษฐกิจ กมลมาลย์จึงได้รวู้ ่า การรับราชการด้วยเงินเดอื นอันน้อยนิดน้ัน เป็นความ

ร่ารวยเหมือนกับหนูท่ีตกถังข้าวสาร อันเป็นหลักประการว่าจะไม่อดตายในขณะท่ีเปรียบชีวิตของนัก

ธรุ กจิ หรือพนกั งานบริษัทเอกชน ภายหลังวิกฤตเิ ศรษฐกิจว่าเหมอื นกบั แมลงเมา่ ท่ีบนิ เขา้ กองไฟ

ความเปรียบเกินจริง คือ การใช้ภาษาหรือสานวนที่เกินความจริง

ดังตวั อยา่ งในบท "ใจข้าน้อยคอื นา้ เพชรใส" ใน ลานาภูกระดงึ ของอังคาร กัลยาณพงศ์ ความว่า

วารหน่งึ ใจเถลไถลไปล่วิ ปลิววนวัฏฏะอสรพิษอิสถี

หวิ ระหายรสเสน่หานารี พลอี ทุ ศิ จติ รแกว้ กามกเิ ลสครอง ฯ

กิเลสมารน้ันสวยแต่รูปร่าง อา้ งวา้ งไรแ้ ก่นสารเศรา้ หมอง

ใหท้ ุกขใ์ จภัยระยาลาพอง ชลเนตรนองคอื เลือดไหลรนิ ฯ

(ลานาภกู ระดึง, ๒๕๑๒, น. ๑๘๑)

บทกวีข้างต้น กวีใช้ความเปรียบที่เกินจริง คือ การสื่อภาพการร่าไห้
เป็นสายเลือดเพื่อส่ือความทุกข์ใจของตนที่ครั้งหน่ึงถูกกิเลสครอบครองจิตใจให้หลงใหลในรูป ร่าง
หน้าตา หรือเสน่ห์ของนารี กวีจึงช้ีนาให้ผู้อ่าน หรือเพ่ือนมนุษย์เห็นว่า "กิเลส" น้ันเปรียบเหมือน
"มาร" ที่สวยแต่รูปร่างทั้งที่เป็นส่ิงไร้แก่นสาร หรือไม่มีความสาคัญอันใดให้มนุษย์หลงใหล หรือยึดม่ัน
ถอื มัน่ เอาไว้

๖.๑๐ สรปุ

กลวิธีการสร้างสรรค์เขียนสร้างสรรค์ แบ่งได้ ๒ แนวคือ ๑) กลวิธีการสร้างสรรค์เชิง
แนวคิด อาจใช้วิธีการต่าง ๆ ได้แก่ การสะท้อนภาพด้วยแง่มุมท่ีแตกต่างจากภาพท่ัวไปที่มีการเสนอ
กันในขณะนัน้ การเสนอแก่นเรื่องยอ่ ยทน่ี ่าสนใจ และการทาเร่อื งทีไ่ มเ่ ป็นเร่ืองให้เปน็ เรือ่ ง เปน็ ตน้ ๒)
กลวิธีการสร้างสรรค์เชิงรูปแบบมีหลายวิธี ได้แก่ การแปรเปล่ียนความซับซ้อนของฉนั ทลักษณ์ให้เป็น
ความเรียบง่าย การใช้เชิงอรรถเพ่ือขยายความในการเล่าเร่ือง การหักมุมในตอนจบ การเลือกเฟ้ น
ถ้อยคา การเรียบเรียงถ้อยคา การใช้ศิลป์การปลุกเร้าความรู้สึกท้ังการใช้คา หรือข้อความท่ีมีความ
ขัดแยง้ กันการใชส้ ัญลักษณ์ และการใช้ความเปรยี บ แต่ไม่ว่าผู้เขียนจะใช้กลวิธีแบบใด คงต้องเลือกให้
เหมาะกับงานเขียนแต่ละประเภท และจุดมงุ่ หมายในการส่อื สารเพ่อื ใหเ้ กิดการเขียนทส่ี ร้างสรรค์

๑๙๔

๖.๑๑ คาถามทบทวน

๑. การเขียนเชงิ สร้างสรรคก์ บั ความคิดสรา้ งสรรค์สัมพันธก์ ันอย่างไร
๒. งานเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ที่นักศกึ ษารู้จกั มีอะไรบ้าง
๓. ประเภทของวรรณกรรมออนไลน์ คอื
๔. การเขยี นสร้างสรรค์แบบอนุทนิ คอื
๕. การเขียนบทความสรา้ งสรรค์จากเร่ืองทสี่ นใจคนละ ๑ เรอ่ื ง

๖.๑๒ เอกสารอ้างองิ

กรรณิการ์ พวงเกษม. (๒๕๓๓). การสอนเขียนเรื่องโดยใช้จิตนาการการสร้างสรรค์ในระดับ
ประถมศกึ ษา. กรุงเทพฯ : ไทยวัฒนาพานชิ .

เกศนี จฑุ าวิจติ ร. (๒๕๕๒). การเขียนสรา้ งสรรคท์ างสือ่ ส่ิงพมิ พ์. นครปฐม. พิมพล์ ักษณ์.
เกศิน่ี จุฑาวิจิตร. (๒๕๕๗). การเขียนเชิงสร้างสรรค์ทางสือสิ่งพิมพ์ : idea ดี ๆ ไม่มีวันหมด.

นครปฐม : มหาวทิ ยาลัยราชภฏั นครปฐม.
คมทวน คนั ธนู, (๒๕๒๑). แสงดาวแห่งศรัทรา. กรุงเทพฯ : พี.พี.
ถวลั ย์ มาศจรัส. (๒๕๔๕). สารคดแี ละการเขยี นสารคดี. กรุงเทพฯ : ธารอกั ษร.
นพดล จันทร์เพญ็ . (๒๕๔๒). การใช้ภาษาไทย. กรงุ เทพฯ : แสงศิลป์การพิมพ์.
ประภาศรี สหี อาไพ. (๒๕๓๑). การเขยี นแบบสรา้ งสรรค์. พมิ พค์ ร้ังที่ ๑. กรงุ เทพฯ : โอเดยี นสโตร์.
ปรารี สรุ สทิ ธ์.ิ (๒๕๔๑). การเขยี นสรา้ งสรรคเ์ ชิงวารสารศาสตร์. กรงุ เทพฯ : แสงดาว.
ไพวรนิ ทร์ ขาวงาม. (๒๕๔๑). เจ้านกกวี. กรงุ เทพฯ : แพรวสานักพิมพ.์
รื่นฤทยั สัจจพันธ์.ุ (๒๕๔๔), "จาก "ขนบ สุ นวลักษณ์ " ใน ศาสตรแ์ ละศิลป์แห่งวรรณคดี. กรงุ เทพฯ

: ประพันธส์ าสน์ .
ศิวการท์ ปทุมสูติ. (๒๕๔๘). การเขียนสร้างสรรค์ไม่ยากอะไรเลย. กรุงเทพมหานคร : นวสาสน์การ

พิมพ์.
สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์. (๒๕๒๓). การพัฒ นาการสอนภาษาไทย.

กรงุ เทพมหานคร : จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั .
สจุ ติ ต์ วงษเ์ ทศ และขรรค์ชยั บุญปาน, (๒๕๐๙). เหล่ ูกทงุ่ . พระนคร. : ม.ป.ท.
อังคาร กัลยาณพงศ์. (๒๕๑๖). ลานาภูกระดึง. (พิมพ์คร้ังท่ี ๒ ฉบับแก้ไขปรับปรุงใหม่). พระนคร :

ศึกษติ สยาม.
อัจฉรา ชีวพันธ์. (๒๕๔๘). กิจกรรมการเขียนเชิงสร้างสรรค์ในชั้นประถมศึกษา. พิมพ์คร้ังท่ี ๒.

กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ไทยวฒั นาพานชิ .

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี ๗
การเขยี นสรา้ งสรรค์ในชวี ติ ประจาวนั

หัวขอ้ เน้อื หาประจาบท

๑. การเขยี นวรรณกรรมออนไลน์
๒. ประเภทวรรณกรรมออนไลน์
๓. กลวิธกี ารเขียนวรรณกรรมออนไลน์
๔. เรอื่ งสนั้
๕. นวนิยาย

วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤตกิ รรม

๑. นักศกึ ษาสามารถอธิบายแนวคิด และหลักการในการเขยี นนวนิยายออนไลน์
๒. นกั ศึกษาสามารออกแบบ และสร้างสรรค์รปู แบบท่ที นั สมยั
๓. นักศึกษาสามารถอธบิ ายวรรณกรรมประเภทต่าง ๆ ได้

วิธีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอน

๑. วิธีสอน
๑.๑ การประเมินความร้เู ดมิ
๑.๒ การใหค้ ้นคว้าหาความรดู้ ้วยตนเอง
๑.๓ การให้ทางานร่วมกนั เปน็ กลุ่ม
๑.๔ การฟงั การอภิปรายและบรรยาย
๑.๕ การใหน้ าเสนอผลการทางานกลุ่ม

๒. กิจกรรมการเรียนการสอน
๒.๑ การประเมนิ ความรเู้ ดมิ ของนักศกึ ษา
ให้นกั ศึกษาทาแบบทดสอบเพ่ือประเมินความรู้เดิมของนักศึกษา
๒.๒ การคน้ คว้าหาความรู้
ให้นกั ศึกษาค้นคว้าหาความรู้ตามประเด็นท่ีได้รับมอบหมายโดยใช้กรณีศึกษา แล้ว

นาผลการศึกษามาร่วมกนั แสดงความคดิ เหน็ ในชนั้ เรียน

๑๙๖

๒.๓ การใหท้ างานร่วมกนั เป็นกลุม่
ให้นักศึกษาทางานกลุ่มร่วมกันศึกษาเอกสาร แล้วร่วมกันวิเคราะห์เพ่ือทาความ

เขา้ ใจเกี่ยวกับกลวิธกี ารเขียนวรรณกรรมออนไลน์
๒.๔ การฟังการอภปิ รายและบรรยายรว่ มกนั ระหวา่ งอาจารย์และนักศึกษา
อาจารย์และนักศึกษาร่วมกันอภิปรายเกี่ยวกับการสร้างสรรค์งานเขียนใน

ชีวติ ประจาวนั ในประเด็นท่ีเก่ยี วข้องกับการเขียนเชงิ สรา้ งสรรคใ์ นรูปแบบวรรณกรรม
๒.๕ การนาเสนองานกลมุ่ จากการวิเคราะหเ์ อกสาร
ให้นักศึกษาทางานกลุ่มร่วมกันศึกษาเอกสาร หนังสือ ตารา เกี่ยวกับการเขียนเชิง

สรา้ งสรรคใ์ นงานวรรณกรรมจากออนไลน์

สอ่ื การเรยี นการสอน

๑. Power Point Presentation
๒. ตวั อย่างงานเขยี นวรรณกรรม
๓. ตัวอย่างคลิปหนังสือออนไลนต์ ่าง ๆ

การวัดผลและประเมินผล

๑. สงั เกตจากการมสี ว่ นร่วม ถาม-ตอบ
๒. ประเมนิ ความรูจ้ ากแบบทดสอบ
๓. ประเมินการมีส่วนร่วมในการอภปิ ราย

บทที่ ๗
การเขยี นสร้างสรรค์ในชีวิตประจาวนั

การดาเนินชีวิตปะจาวันในสังคมพหุสื่อสาร (Multimedia) น้ัน เป็นที่ทราบกัน ดีว่า
แหล่งข้อมูลทางอินเทอร์เน็ต หรือเว็บไซต์ต่าง ๆ ล้วนแต่เกี่ยวพัน และมีผลกระทบ ต่อชีวิตของคนใน
สังคมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ท้ังนี้การสื่อสารด้วยการเขียน ผ่านอินเทอร์เน็ตนั้น นับเป็นการส่ือสาร
รูปแบบหนึ่งที่ใช้ในการถ่ายทอดข้อมูล ความรู้ ความคิด อารมณ์ ตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ ของ
ผู้เขียนไปยังผู้อ่านได้อย่างรวดเร็ว และมีประสิทธิภาพ ดังนั้น ในส่วนน้ีจะกล่าวถึงการเขียนเชิง
สร้างสรรค์ในชีวติ ประจาวนั ๓ ประเภท ดงั น้ี

๑. การเขยี นวรรณกรรมออนไลน์
๒. การเขียนอนุทนิ ออนไลน์
๓. การเขยี นบทความ

๗.๑ การเขียนวรรณกรรมออนไลน์

วรรณกรรมออนไลน์นั้นนบั เป็นการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ประเภทหนึ่งท่ีมีความใกล้ชิดกับ
ชีวติ ประจาวันของคนในสังคมปัจจุบันโดยวรรณกรรมออนไลน์น้นั เกดิ จากการพัฒนาการเปลีย่ นแปลง
ท้ังด้านกลวิธี รูปแบบ เน้ือหา ตลอดจนวิธีคิดผนวก กับบริบททางสังคมของผู้เขียนวรรณกรรม และ
ผู้เสพวรรณกรรม หรือผู้อ่านนั่นเอง วรรณกรรมออนไลน์จึงเปรียบเสมือนกระจกสะท้อนความคิด
ความเช่ือ ค่านิยม ตลอดจนการแสดงออกของคนในสังคมได้เป็นอย่างดี โดยวรรณกรรมออนไลน์
ในปัจจบุ ันท่ีไดร้ บั ความนยิ มอย่างมากนนั้ มีอย่างหลากหลายประเภท อาทิ นิยายออนไลน์ วรรณกรรม
เด็ก และเยาวชนการ์ตูนออนไลน์ เป็นต้น ดังน้ัน ท่ามกลางความเปล่ียนแปลงและความหลากหลาย
ตามที่ได้กล่าวมา ผู้เขียนเชิงสร้างสรรค์ ควรเรียนรู้การเขียนวรรณกรรมออนไลน์ และลักษณะ
วรรณกรรมออนไลน์เหล่าน้ี เพื่อเป็นแนวทางในการพัฒนาการเขียนวรรณกรรมออนไลน์ได้อย่าง
สร้างสรรค์ดังท่ี รื่นฤทัย สัจจพันธ์ุ (๒๕๖๐ : ๕๘) ได้กล่าวไว้ว่า วรรณกรรมออนไลน์ซ่ึงมีที่มา จาก
เวบ็ ไซต์ต่าง ๆ น้ัน ไดเ้ ปิดโอกาสให้คนนาเสนองานเขียนของตนลักษณะใดก็ได้ผา่ นอินเทอร์เน็ต ซึ่งถือ
ว่าเปน็ การเปดิ พน้ื ท่ที างความคดิ และการสรา้ งสังคมออนไลน์ ของวยั รุน่ ทแ่ี ข็งแกรง่ และสรา้ งสรรค์

๑๙๘

๗.๒ ประเภทของวรรณกรรมออนไลน์

วรรณกรรมออนไลน์ที่จะกล่าวถึงนั้น เป็นงานประเภทบันเทิงคดีท่ีแต่งขึ้น เพ่ือให้ความ
เพลิดเพลนิ แก่ผู้อ่านเป็นหลัก ในท่ีนี้จะขอกล่าวถึงวรรณกรรมออนไลน์ ที่มีลักษณะเป็นนวนิยาย และ
เรือ่ งสน้ั

นวนิยาย หมายถึง เร่ืองเล่า หรือ เร่ืองราวท่ีมีพฤติการณ์ต่อเน่ือง เป็นเรื่อง ท่ีแต่งขึ้น
อาจจะมีมลู ความจริงแฝงอยู่ก็ได้ โดยมีความมงุ่ หมายให้ความเพลดิ เพลิน แก่ผอู้ ่านเป็นหลัก แต่อาจมี
จุดมงุ่ หมายอ่นื ๆ กไ็ ด้ เชน่ สัง่ สอน เยย้ หยัน ประชด เสยี ดสี จรรโลงใจ เป็นตน้

๑. ประเภทของนวนิยายออนไลน์
โดยท่ัวไปแล้วการจัดประเภทนวนิยายออนไลน์นั้น จะจัดแบ่งประเภท หรือแนว

เรื่อง (Genre) ตามขนบของนวนิยายท่ัวไป เช่น แนวรักโรแมนติก (Romance) แนวแฟนตาซี
(Fantasy) วิทยาศาสตร์ (Science Fiction) แนวลึกลับ (Mystery) หรือแนวระทึกขวัญ (Thriller)
เป็นต้น ดังท่ี เปลือ้ ง ณ นคร (๒๕๔๐ : ๑๙๑-๑๙๒) ได้กลา่ วถงึ การจดั ประเภทของนวนิยายทว่ั ไปตาม
แฟรงก์ เอช วิเชตเตลลี และ เปอร์ซี มารก์ ได้แบง่ ไว้ ดังน้ี

๑.๑ นวนิยายเกี่ยวกบั พฤติการณ์ ไดแ้ ก่
นวนิยายเรื่องการณุ ยบาตร
นวนยิ ายพฤติการณร์ กั
นวนยิ ายเก่ียวกับเร่ืองหนงึ่ ด้าวฟ้าเดยี ว

๑.๒ นวนิยายทางประดิษฐเ์ รอื่ ง ได้แก่
นวนยิ ายปรศิ นาคดีฆาตกรรมลวงตา
นวนยิ ายเรอื่ งล้ลี บั มหศั จรรย์ : เล่า เรอื่ ง หลอน
นวนยิ ายเกี่ยวกบั ความคดิ ฝัน : คดิ ฝนั My Dreams

๑.๓ นวนิยายเกี่ยวกับเรอื่ งชีวิต ความเปน็ ไปของมนุษย์ ไดแ้ ก่
นวนิยายที่มีจุดหมาย (แสดงหลักธรรม หรอื แนวความคดิ )
นวนยิ ายรีอาลสิ ติก (Realistic)

๑.๔ นวนิยายซึ่งมุ่งจะแสดงผลอย่างใดอย่างหน่ึง ได้แก่ นวนิยายเชิงปัญหา
(นาเอาปัญหาความเป็นอยู่ของมนุษย์มาแสดง และช้ีให้เห็นว่าผลของความเป็นอยู่น้ันจะประสบผล
สดุ ท้ายอยา่ งไร)

นวนิยายวิเคราะห์นิสัยสันดานมนุษย์ (แสดงนิสัยอย่างหนึ่งอย่างใด ของ
มนุษย์ และเหตกุ ารณ์ต่าง ๆ อันเกดิ จากนสิ ยั นน้ั ๆ)

นอกจากน้ี เปอร์ซี มารก์ ไดแ้ บง่ นวนิยายโดยถือแนวเขียนเปน็ หลักเป็น ๓ ประเภท
ได้แก่

๑๙๙

๑. นวนยิ ายชนดิ ผูกเร่อื ง (Plot Novel) : ผูกปมรัก (๒๑+)

๒. นวนิยายรีอาลิสตกิ (Realistic Novel) : โซ่ – บาป – ๑ -

๓. นวนิยายแนวจิตวิทยา (Psychological Novel) จิตวิทยาใจ (Psychology

of love)

ทั้งนี้ ในปัจจุบันได้มีการแบ่งวรรณกรรมออนไลน์ในรูปแบบนวนิยาย ออนไลน์

ออกเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ โดยสรปุ แล้วสามารถแบง่ ออกเปน็ ๓ ประเภท ไดแ้ ก่

นิยายรกั แบ่งย่อยเปน็ (แนวหวานแหวว / ซ้ึงกินใจ / รักเศร้า)

นยิ ายตื่นเตน้ เรา้ ใจ แบ่งยอ่ ยเป็น (แฟนตาซี / ผจญภัย / สบื สวน / ระทกึ

ขวัญ / สงคราม / อดตี ปัจจุบนั อนาคต / หักมมุ / กาลัง

ภายใน / วทิ ยาศาสตร)์

นิยายสบาย ๆ แบ่งย่อยเปน็ (นทิ าน / กลอน / สงั คม / จิตวิทยา /

แฟนฟกิ / ตลกขบขัน / สบายๆ / คลายเครยี ด /

วรรณกรรม เยาวชน / ฯลฯ)

โดยสรุปแล้ว นวนิยายออนไลน์จะใช้แนวเร่ืองตามขนบของนวนิยายทั่วไป แต่แยก

ประเภทย่อยมากกวา่ และนวนิยายออนไลน์แทบท้ังหมดมีที่มาจากวรรณกรรม แปลจากต่างประเทศ

อาทิ นิยายแนวสยองขวญั ของญีป่ นุ่ นยิ ายหวานแหววของเกาหลี นิยายแฟนตาซจี ากตะวนั ตก

๗.๓ ลกั ษณะของนวนิยายออนไลน์
รื่นฤทัย สัจจพันธุ์ (๒๕๖๐ : ๗๖-๘๗) ได้กล่าวถึงลักษณะการเขียนนวนิยายออนไลน์ไว้

สามารถสรุปได้ ดงั นี้
๒.๑ นิยายออนไลน์เป็นนิยายที่เขียนเป็นตอน ๆ เช่นเดียวกับนวนิยายท่ีลงพิมพ์ใน

นติ ยสาร ทั้งนี้ เพ่อื เรยี กร้องความสนใจจากผูอ้ า่ น
๒.๒ นิยายออนไลน์ส่วนใหญ่จะเป็นงานเขียนที่ไม่สมบูรณ์ กล่าวคือ นักเขียนบางคนยัง

เขียนไปแก้ไขไป นักเขียนนิยมแก้ไข (Rewrite) ตอนท่ีเขียนไปแล้วใหม่อีกครั้ง เช่น แก้คาผิดซง่ึ จะพบ
มากในนยิ ายออนไลน์

๒.๓ การใช้ภาษาในนิยายออนไลน์เป็นภาษาของเด็กไทยยุคที่สื่อสารกันในโลกไซเบอร์
ที่ฝรั่งเรียกว่าเป็น Online Era นักเขียนนิยายออนไลน์ซ่ึงมักเป็นรุ่นเยาว์ (๘ ปี - ไม่เกิน ๓๐ ปี) มัก
เขียนหนังสือโดยสะกดคาตามใจชอบ จะเพราะเข้าใจสะกด เช่นน้ันถูกต้องแล้ว หรือสะกดไม่ถูกแต่
ขี้เกียจเปิดพจนานุกรม นอกจากน้ี ยังนิยมใช้ภาษาต่างประเทศ เช่น ชื่อเร่ืองต้องมีชื่อภาษาอังกฤษ
นามปากกาของผู้แต่งเป็นภาษาอังกฤษบ้าง ญี่ปุ่นบ้าง เกาหลีบ้าง ตัวละครเป็นชาวต่างชาติมากกว่า
ไทยบทสนทนาของตัวละครนิยมใช้ภาษาแซ็ต (เช่น อ่ะดิ, เนี่ย, ยัย, โคตร, ๕๕๕, หุห, ปัย, ได้แร้ว)

๒๐๐

และภาษาอีโมติคอน ซึ่งภาษาอิโมติคอน (Emoticon) มาจากคาว่า Emotion + Icon เป็นภาษา
สญั ลักษณ์ ใช้สอื่ ความหมายเชิงอารมณ์ อาจจะเปน็ ตัวอักษร และเครอ่ื งหมายท่นี ามารวมกนั เชน่

^_^ ย้ิม
^O^ หัวเราะอยา่ งมีความสขุ
^+^ ทาปากจู๋อยา่ งมีความสขุ
TT_TT ร้องไห้
>_< หลบั ตาปี่ ขมวดคว้ิ
>o< มคี วามสขุ จนไม่รจู้ ะทาอะไรดี
>///< เขินอาย หนา้ แดง
-_- หนา้ ไรอ้ ารมณ์ แสร้งทาเป็นไมใ่ สใ่ จ
-_-^ โกรธนิดๆ
๒.๔ นิยายออนไลน์มีลักษณะเป็นพหุส่ือสาร (Mutimedia) ซึ่งวรรณกรรม ทั่วไปทา
ไม่ได้ นัน่ คือ ได้อา่ น เหน็ ภาพ และได้ยินเสียง ไปพรอ้ มกนั
๒.๕ นักเขียนนิยายออนไลน์มีปฏิสัมพันธ์กับนักอ่านที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของตนด้วยการ
พูดคุยด้วยตลอดเวลา โดยในนิยายออนไลน์บางเรื่องมีการรับสมัครออดิช่ันผู้อ่านให้เป็นตัวละครใน
เรื่อง จุดประสงค์ คือ เพ่ือให้ตัวละครในเร่ืองได้พูดคุยกับผู้อ่านผ่าน MSM หรือคุยกันในหน้านิยาย
ออนไลน์ โดยมีกฎว่าผู้ที่เป็นตัวละครจะต้องสามารถป็นตัวละครนั้น ๆ ตลอดเวลา และมีการทดสอบ
ตอบคาถามแบบอตั นัยเพอื่ คดั เลือกผ้เู หมาะสม อยา่ งเชน่ ผู้แตง่ เร่อื ง My King รกั หมดใจราชาจอมโหด
ให้ดาวน์โหลดใบสมคั รยาว ๔ หนา้ เพื่อคัดเลือกนักอา่ นสวมบทบาทเป็นตวั ละครสาคญั ในเรอื่ ง
๒.๖ ตอนท้ายของนิยายออนไลน์แต่ละตอนจะมี Comment ซ่ึงเปิดโอกาสให้ผู้อ่าน
แสดงความคิดตอ่ นิยายที่อ่าน และเพื่อให้ผ้เู ขียนไดท้ ราบผลตอบรับจากนิยายของตนไดท้ ันที

๗.๔ เร่ืองสนั้

เร่ืองส้ัน (Short story) หมายถึง งานเขียนในรูปบันเทิงคดีที่บรรจุคาประมาณ
๑๐,๐๐๐-๑๑,๐๐๐ คา มีจุดมุ่งหมายเพ่ือให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้อ่านเป็นหลัก โดยเสนอความคิด
หลกั เพยี งความคิดเดยี ว และมเี หตุการณ์ในเรอ่ื งอยา่ งจากัด

เปล้ือง ณ นคร (๒๕๔๐) ไดก้ ล่าวถึงลักษณะของเร่ืองส้ันตามหลักของ เจ. แบร์ก เอเซน
เวน (J. Berg Esenwein) ไว้ดังนี้

๒๐๑

๑. ตอ้ งมีพฤตกิ ารณ์สาคญั อนั เป็นตน้ เรอ่ื งแต่เพียงอย่างเดยี ว กล่าวคือ ในการเปิดเร่ือง
ของเรื่องสั้น จะให้มีเหตุการณ์หลายอย่างไม่ได้ ต้องมีพฤติการณ์สาคัญที่จะทาให้เร่ืองดาเนินต่อไป
เพียงอย่างเดียวเท่าน้ัน ต่างกับนวนิยาย เพราะในนวนิยายน้ันมักจะมีพฤติการณ์ต่าง ๆ มารวมกัน
หลายอย่าง ซึ่งถ้าอ่านนวนยิ ายแล้ว จะเห็นไดว้ ่านกั เขียนจะต้องเปดิ ตัวละครออกมาหลายตัวกวา่ จะได้
ดาเนนิ เรอื่ งกนั อยา่ งจรงิ จงั

๒. ต้องมีตัวละครที่มีบทบาทสาคัญท่ีสุดในท้องเรื่องแต่เพียงตัวเดียวเท่าน้ันตัวละคร
ประกอบอ่ืน ๆ จะต้องเกี่ยวข้องกับตวั สาคัญ และตามปกติไม่ควรใหม้ เี กนิ ๕ ตัวละคร

๓. ต้องมีจินตนาการหรอื มโนคติ ซึ่งได้แก่ความสามารถที่จะสร้างภาพขึ้นในใจทั้งของ
นักประพันธ์และของผู้อ่าน ก่อนที่จะประพันธ์เรือ่ ง นกั ประพันธจ์ ะต้องนกึ เห็นภาพของเรื่องแล้วเขียน
พรรณนา ให้ผู้อ่าน อ่านแลว้ นกึ เห็นภาพได้อยา่ งทนี่ ักประพันธ์เห็น

๔. ต้องมีพล็อตหรือการผูกเค้าเร่ือง ซ่ึงมักจะประกอบด้วย ปม หรือข้อความท่ีทาให้
ผู้อ่านฉงน และอยากรู้ว่าจะเกิดมีอะไรต่อไป แล้วดาเนินเรื่องพาผู้อ่านให้ทึ่ง หรือสมใจย่ิงขึ้นทุกที
จนถงึ ยอดของเรื่อง ซ่งึ เรียกกันว่าไคลแมกซ์ (Clirnax)

๕. ต้องมีความแน่น เรื่องส้ันมีเน้ือท่ีน้อย สิ่งท่ีจะเขียนลงไปต้องมีประโยชน์ต่อเร่ือง
ต้องเขยี นอยา่ งรดั กุมเท่าท่ีจาเป็น ฉาก (Setting) การให้บทตวั ละคร (Characterization) คาพดู หรือ
กิรยิ าอาการต่าง ๆ ตอ้ งกระชบั

๖. ต้องมีการจัดรูป คือ ต้องวางรูปเรื่อง โดยถือตัวละครเป็นใหญ่ให้พฤติการณ์เกิดมา
จากตวั ละคร จะตอ้ งลาดับพฤติการณใ์ หม้ ีชนั้ เชิงชวนอา่ น

๗. เร่ืองจะต้องให้ความรู้สึกโดยเฉพาะอย่างหน่ึงอย่างใด กล่าวคือ เมื่อผู้อ่านอ่านจบ
แล้ว ควรจะไดร้ ับอรรถรส หรอื เกิดอารมณ์อยา่ งใดอย่างหนง่ึ

ทั้งนี้ การเขียนเรื่องสั้นให้ประสบผลสาเร็จ ผู้เขียนควรจะคานึงถึงเทคนิคต่าง ๆ เพื่อ
เขียนเร่ืองส้ันเชิงสร้างสรรค์ได้อย่างมีประสิทธิภาผ ดังที่ บงกช สิงหกล (๒๕๔๗ : ๕๗) ได้นาเสนอ
เทคนคิ การเขียนเรื่องสั้น สรุปได้ ดังน้ี

๑. ใช้สูตรตามขนบเรื่องสั้น กล่าวคือ ผู้เขียนต้องใช้ฉาก และตัวละครจากัดการเขียน
บทสนทนาไม่เยื่นเย้อ ใช้คาน้อยแต่กินความหมายมาก และควรหลีกเล่ียงการสร้างโครงเร่ืองย่อย
เพราะจะทาใหเ้ รอื่ งยาวเกนิ ไป

๒. การเปิด-ปิด เรื่องควรกระชับไม่พรรณนาเกินความจาเป็น และควรเร่ิมเรื่องอย่าง
ตน่ื เต้นเร้าใจ และปดิ เรื่องอย่างประทบั ใจผอู้ า่ น

๓. สร้างเรื่องสน้ั ทเี่ ปน็ การแบ่งปันประสบการณร์ ่วมกบั ผอู้ ่าน เพื่อทาใหผ้ ู้อ่านเข้าใจได้
อย่างลกึ ซ้ึง

๒๐๒

๔. มีมุมมองในการเล่าเร่ืองเพียงประเด็นเดียว เพ่ือทาให้เกิดความมีเอกภาพในเร่ือง
นัน้ ๆ

๕. รายละเอยี ดของเรอ่ื งตอ้ งสมั พนั ธ์กบั โครงเรื่องทีผ่ ู้เขียนได้วางไว้

๗.๕ กลวิธกี ารเขียนวรรณกรรมออนไลน์

วรรณกรรมออนไลน์ ทั้งนวนิยาย เร่ืองส้ัน ตลอดจนการ์ตูนน้ันมีความหลากหลายของ
แนวเรอื่ ง ร่ืนฤทยั สัจจพนั ธ์ุ (๒๕๖๐ : ๒๙-๓๒) แบ่งแนวเรื่อง ของวรรณกรรมออนไลน์ไวเ้ ป็น ๔ แนว
ได้แก่

๑. แนวหวานแหวว ได้แรงบันดาลใจจากนิยายเกาหลี และการ์ตูนญี่ปุ่น เปน็ ส่วนใหญ่
พระเอกต้องหล่อ เจ้าชู้ หรู รวย เน้นความไฮโซ ทาอะไรดูดีไปหมดแต่ส่วนใหญ่จะเลว และโง่เรื่อง
ความรัก มักเข้าใจนางเอกผิดตลอด ปากจัด หูเบา ส่วนนางเอกต้องใสซ่ือ ซุ่มซ่าม ยากจน หรือ
ครอบครัวธรรมดา แต่มีข้อดีคือน่ารกั ไร้เดยี งสา สว่ นมากนางเอกเปน็ ฝ่ายจบี พระเอก นยิ ายเหลา่ นเ้ี น้น
ฉากอีโรติก ฉากของนิยายรักมักเป็นสถานท่ีต่างประเทศ เช่น อเมริกา อังกฤษ ฝรั่งเศส ซึง่ นิยายหลาย
เร่ืองไม่มีบทบรรยาย หรือพรรณนาแม้แต่การบรรยายรูปรา่ งหนา้ ตาของตัวละคร หรอื สถานท่ี เน้นแต่
บทสนทนา

๒. แนวแฟนตาซี ได้รับอิทธิพลจากเรื่อง แฮร์ร่ี พอตเตอร์ ในเร่ืองโรงเรียน เวทมนต์
ถ้าเป็นเรื่องเจ้าหญิงจ้าชายก็ได้อิทธิพลจาก หัวขโมยแห่งบารามอส ตัวละครมักจะดีพร้อม หรือเป็น
ยอดมนุษย์ มีความสามารถพิเศษกว่ามนุษย์ท่ัวไป นิยายแฟนตาชีออกไปอีกหลายแนว เช่น โรงเรียน
เวทมนต์ แฟนตาซีรักข้ามภพ รักข้ามมิติ ล่าทะลุโลก หรือเร่ืองอาณาจักรในตานาน มีการหลงทาง มี
กุญแจนาทาง ความรักของปศี าจกบั มนษุ ย์ แนวแฟนตาซมี กั เน้นการตอ่ สู้ การฆ่ากนั เปน็ สาคัญ

๓. แนว Y คือ นิยายรักร่วมเพศ มี ๒ แบบ คือ Yaoi นิยายชายรักชาย และ Yuri
นิยายหญิงรักหญิง

๔. แนวแหวก คือ แหวกแนว คือการนาแนวเรื่องตา่ ง ๆ มาผสมกันเพื่อให้เกิดงานแนว
ใหม่ที่แตกต่าง และแหวกแนวจากท่ีมีอยู่ บางเร่ืองได้รับความนิยมมาก เช่น เรื่องศาสตราคู่กู้แผ่นดิน
เปน็ แนวแฟนตาชผี สมกาลงั ภายใน

วรรณกรรมออนไลน์ส่วนใหญ่ท่ีพบน้ันจะเป็นวรรณกรรมสาหรับเด็กและเยาวชน โดย
ปราณี สุรสิทธ์ิ (๒๕๔๙ : ๓๗๐-๓๗๒) ได้แบ่งลักษณะวรรณกรรมเชิงสร้างสรรค์สาหรับเด็ก และ
เยาวชนไว้ ดังนี้

๑. เนื้อเร่ืองมีความสนุกสนานเพลิดเพลิน รูปแบบของเรื่องต้องไม่เป็นไปในทาง
วชิ าการ ทั้งด้านสานวนโวหาร และการดาเนินเรื่องราว แม้วา่ จุดมุ่งหมายของเร่อื งจะมงุ่ ประเด็นไปใน
เรื่องของวิชาการก็ตาม ขอมเมอร์เซทมอห์ม กล่าวว่า นวนิยายเป็นศิลปะอย่างหนึ่ง จุดมุ่งหมายที่

๒๐๓

แท้จริงไม่ใช่คาสั่งสอน แต่เป็นความบันเทิงอารมณ์ นวนิยายที่ดีเพียงเร่ืองเดียวมีค่าเท่ากับบทความ
ทางวิชาการหนึ่งร้อยบทความนี่เป็นเพราะเรื่องท่ีดีนั้นไม่ไช่ประเทืองปัญญาเพียงอย่างเดียว ความดี
จากเรื่องจะซมึ ซบั เขา้ ไปในโลกสีรงุ้ ของเดก็ ตราตรงึ อยใู่ นความทรงจา เป็นจินตนาการอันบรรเจิดเป็น
ความรักแสนหวาน และความเข้าใจอันสุนทร สงิ่ เหล่านี้เป็นของขวัญท่ีผู้เขียนมอบให้แก่ผู้อ่าน วิธกี าร
ทีจ่ ะทาให้เรอื่ งสนุกตอ้ งมีการวางโครงเรือ่ งผูกปมให้ตื่นเต้นเรา้ ใจมีตัวละครดาเนินเรื่องตามโครงเร่ืองที่
วางไว้ ตัวละครต้องมีพฤติกรรมขัดแย้ง ด้ินรนต่อสู้อุปสรรค จนถึงจุดสุดยอดของเรื่องให้ผู้อ่านรู้สึก
สะเทอื นใจ

๒. เรื่องท่ีเขียนต้องมีความคิดหลักอันเป็นแก่นเร่ือง ผู้เขียนต้องคิดก่อนว่าจะเสนอ
อะไรให้เด็ก ความคิดนั้นน่าสนใจเพียงใด ความคิดอันใดเป็นแกนกลางท่ีจะสอดแทรกไว้ตลอดการ
ดาเนนิ เร่ือง ความคิดน้ีอาจไดม้ าจากการสงั เกตพฤติกรรมของเดก็ ทั้งท่ีบา้ น และโรงเรยี น หรอื ได้จาก
การอ่านหนังสือดี ๆ หรือไดจ้ ากประสบการณ์แลว้ เสนอผ่านตัวละคร หรือการบรรยาย เพ่ือให้เด็กจับ
ความคดิ นัน้ ใหไ้ ด้

๓. ยอ้ นระลึกถึงวัยเด็ก การเขียนเรื่องให้เด็กอ่าน นอกจากจะต้องเขา้ ใจความต้องการ
ของเด็กแล้ว ผูเ้ ขียนจะตอ้ งมองย้อนถึงวัยเด็กของผ้เู ขียนว่าได้ทาเรื่องอะไรไว้บ้าง คิดอย่างไรกับเรื่องท่ี
ทาให้สนุกสนาน หรือเศร้าใจ เสียใจ เสยี ดาย ฯลฯ บวกความสามารถในการเขียนของวัยผู้ใหญ่จะทา
ให้เขยี นเรอื่ งได้น่าอา่ น

๔. การสร้างตัวละคร ตัวละคร คือ บุคคลสมมติที่ผู้เขียนสร้างขึ้นให้แสดงบทบาทไป
ตามท้องเรื่อง ตัวละครทส่ี ร้างขน้ึ ต้องมีความสมจริง แม้ตัวละครตัวน้ันจะไม่ใช่คน อาจเป็นสัตว์ ตน้ ไม้
หรืออ่ืน ๆ แต่จะต้องคิด หรือทาอะไรได้เหมือนคนจริง ๆ ตัวละครที่เป็นเด็กควรพูด หรือทาเหมือน
เด็กทั่วไป อย่าเอาคาพูดของผู้ใหญ่ไปป้อนให้ตัวละครเด็ก การบรรยายลักษณะท่าทางของตัวละคร
ต้องให้เห็นภาพท่ีชัดเจนโดยสิ่งสาคัญในการสร้างตัวละคร คือ ต้องให้ตัวละครมีชื่อ การตั้งชื่อให้ตัว
ละครควรคานึงถงึ สง่ิ ต่อไปนี้

๔.๑ ฉากที่สร้างข้ึน หมายถึง สถานที่ตามท้องเร่ือง เช่น ถ้ากาหนดให้เป็นภูมิ
ประเทศของภาคใต้ ตัวละครชื่อไข่นุ้ย กถ็ ือวา่ สอดคลอ้ งกบั ฉาก

๔.๒ วัยของตวั ละคร เช่น ตัวละครทเ่ี ป็นคุณยายก็ไมค่ วรตงั้ ชื่อสมัยใหม่
๔.๓ บคุ ลิกของตัวละคร เช่น ถ้าสร้างตัวละครให้เปน็ เด็กตัวขาวอ้วนกลมอาจตั้ง
ชื่อว่าลกู หมู อั่น ตนั่ เปน็ ต้น
๔.๔ อย่าตั้งช่ือตัวละครให้คล้ายกัน เช่น ตัวดีชื่อ นพ ตัวร้ายช่ือ ภพ เป็นต้น
การตง้ั ชอื่ คล้ายกนั จะทาให้ผอู้ ่านสับสน หรือบางครั้งผเู้ ขยี นเองกส็ ับสนดว้ ย
๕. อย่าดูถูกภูมิปัญญาเด็ก การสร้างเร่ืองให้เด็กอ่านต้องเป็นเรื่องท่ีมีสาระแต่อย่า
พยายามยัดเยียด "สาร" น้ันด้วยการบรรยาย เพราะเด็กจะรู้สึกเบ่ือ การผูกเรื่องเป็นนิทาน นิยาย

๒๐๔

หรือนวนิยาย ช่วยได้มากโดยให้ตัวละครมีการเจรจากัน เป็นที่สมจริง สมวัย และสมสภาพแวดล้อม
เม่ือจะแทรก "สาระ" ก็ควรแทรกไว้ในบทสนทนา และพฤติกรรมของตัวละคร และเมื่อเร่ืองดาเนิน
มาถึงช่วงท้ายซงึ่ เป็นการจบเร่ือง อย่าสรุปในทานองว่า "เรื่องนส้ี อนให้รู้วา่ ..." เพราะเด็กจะไม่ชอบเป็น
การดูถกู ภมู ิปญั ญาของเด็ก ควรปล่อยให้เป็นหนา้ ที่ของเด็กในการทีจ่ ะค้นหาแก่นของเรอื่ งด้วยตัวเอง

๖. ภาษาท่ีใช้คานึงถึงความเหมาะสม ผู้เขียนมีอิสระในการสร้างสรรค์สานวนโวหาร
โดยคานึงถึงความเหมาะสมกับเรื่องกับวัยของเด็กโดยท่ัวไป ถ้าเป็นบทบรรยายก็ต้องเป็นคาที่เข้าใจ
ง่าย เห็นภาพชัดเจน ถ้าเป็นบทสนทนาจะเป็นภาษาพูดท่ีเป็นไปตามธรรมชาติ ใช้คาท่ีคุ้นเคย ง่าย
และส้ัน มีความสมจริง มีเหตุผล อาจมีการเปรียบเทียบ แต่อย่าใช้พร่าเพรือ อย่าใช้คาซ้า ๆ ความคิด
ชา้ ๆ เพราะจะทาให้น่าเบ่ือบทสนทนาทดี่ ีจะทาให้ผู้อ่านรจู้ ักบุคลกิ ลกั ษณะนสิ ัยของตวั ละครแต่ละตัว
ได้ดี ท่ีกล่าวมานี้ เป็นการใช้ภาษาในบันเทิงคดีประเภทร้อยแก้ว ส่วนงานเขียนร้อยกรองนั้นมีวิธีการ
เขียน ๕ วธิ ี คอื ใชค้ าง่าย ความหมายเด่น เล่นเสียงหลาก ฝากข้อคิดและจูงใจ

๗. ตัวเอกของเร่ืองต้องเป็นเด็ก เด็กท้ังหลายชอบอ่านเร่ืองที่ตัวเอกเป็นเด็กและอายุ
รนุ่ ราวคราวเดียวกนั กบั ตน หรือแกก่ ว่าเลก็ น้อย เหตุการณ์ในเรอ่ื งอาจเกิดขึ้นไดก้ บั เดก็ โดยทัว่ ไปจึงจะ
ดูสมจริง เวลาเด็กอ่าน เด็กจะจินตนาการตามไป และมักสมมติใหต้ ัวเองป็นตัวละครในเร่อื ง ตัวละคร
ท่อี ยากเป็นก็คือ ตัวเอกของเร่ืองนนั่ เอง

๘. ควรมีภาพประกอบ งานบันเทิงคดีสาหรับเด็ก ภาพประกอบเป็นเร่ืองสาคัญไม่ยิ่ง
หย่อนไปกว่าเน้ือเร่ือง กล่าวกันว่า ภาพประกอบที่ดีสามารถช่วยให้เป้าหมายของเรื่องดาเนินไปได้
ดกี ว่าตัวเรื่องเสียอีก ภาพประกอบเรื่องไม่ใช่ภาพทเ่ี ขียนข้ึนจากเร่ือง แต่เป็นภาพที่ขยายเรื่องราวของ
เร่ืองให้เข้าใจง่าย และงดงามมากขึ้น ปกติแล้วคนเขียนเร่ืองกับคนเขียนภาพจะเป็นคนละคนกัน มี
นอ้ ยมากท่ีเป็นคน ๆ เดียวกัน คือ เป็นท้ังจิตรกร และนักเขียน ถ้านักเขียนไม่มีความสามารถจะเขียน
ภาพเอง ก็ตอ้ งสง่ ให้นักเขียนภาพเป็นผู้เขียน โดยสว่ นใหญแ่ ล้วทางบรรณาธกิ ารจะเป็นผ้มู อบหมายให้
ชา่ งเขียนภาพเปน็ ผู้รบั ผิดชอบ ภาพประกอบเร่อื งประเภทบนั เทงิ คดีควรมลี ักษณะ ดังนี้

๘.๑ สรุปประเด็นของเร่ืองได้ชัดเจน ว่าเร่ืองในแต่ละหน้าแต่ละตอนต้องการ
บอกเลา่ อะไร

๘.๒ มีตัวละครท่ีแสดงบุคลิกตรงตามท่บี อกไว้
๘.๓ พฤติกรรมของตัวละครทกุ ตวั ไม่ขัดแยง้ กับเนอ้ื เร่ือง
๘.๔ มีสสี ันสดใส สวยงาม น่าดู น่าสนใจ
๘.๕ มีรูปแบบท่ีเหมาะสมกับเร่ืองราวท่ีเขียนขึ้น เช่น เรื่องเป็นแนวทางจาลอง
ชีวติ จรงิ ภาพก็ควรแสดงออกมาในแบบเหมือนจรงิ เรือ่ งเปน็ ก่ึงจนิ ตนาการ ภาพก็ควรแสดงออกมาใน
แบบการต์ ูน หรอื ภาพฝัน

๒๐๕

ท้ังน้ี การเขียนวรรณกรรมเชิงสร้างสรรค์ให้เพลิดเพลิน ชวนอ่าน และน่าติดตามน้ัน
ผู้เขียนควรเรียนรู้เทคนิคการเขียนเพ่ือฝึกฝน และพัฒนางานเขียนให้ดียิ่งข้ึน ดังที่ เพชรยุพา บูรณ์สิริ
จรุงรัฐ (๒๕๕๗ : ๒๐๒-๒๐๕ ) ได้สรุปเทคนิคการเขียนวรรณกรรมเชิงสร้างสรรค์สาหรับผู้เขียน โดย
อาศยั ทฤษฎี "บนั ได ๑๒ ขนั้ " ดงั น้ี

บนั ไดขั้นที่ ๑ ชอบเขียนแนวไหน
อย่างแรก คุณควรถามตัวเองก่อนอนื่ ว่าอยาก หรือชอบเขียนนิยายแนวไหนนิยายแต่ละ
แนวย่อมมีเสน่ห์ และรูปแบบการเขียนท่ีแตกต่างกันออกไป ดังน้ัน จงเริ่มต้นเขียนจากแนวที่เราชอบ
อา่ นเสยี ก่อน ท้ังน้ี ไม่ใช่การก๊อบบ้ี แต่ให้ยึดตามแนว เคล็ดลบั อยทู่ ี่วา่ การเขียนจากส่ิงท่ีรู้ และชอบจะ
เปน็ แรงขับเคลื่อนให้สามารถเขียนต่อจนจบเปน็ เลม่
บนั ไดขั้นท่ี ๒ แก่นของเร่อื ง
วางโครงสร้างอย่างคร่าว ๆ ออกมาก่อนว่าแก่นของเร่ืองท่ีจะนาเสนอน้ันคืออะไรอาทิ
เพื่ออุดมการณ์อันปวดร้าวจากความตั้งใจในการท่ีจะทาอะไรสักอย่าง รักสามเส้าท่ีซ่อนเง่ือน และ
เจ็บปวด
บันไดขน้ั ที่ ๓ โครงเร่ือง
ให้นาแก่นของเร่ืองมาขยายความต่อว่าจะมีอะไรเกิดข้ึน การดาเนินเรื่องราวต่อไปจะ
เป็นอย่างไร จากน้ันก็สร้างตัวละคร ต้ังชื่อ สร้างฉาก สถานที่ อาจหาข้อมูลจากการอ่าน หรือที่ได้พบ
เห็นจากประสบการณ์ตรงแลว้ เกิดภาพประทบั ใจ
บนั ไดขนั้ ที่ ๔ ค้นข้อมูล
ข้อน้ีเป็นหัวใจหลักท่ีนักเขียนไม่ควรละเลย โดยเฉพาะเรื่องท่ีมีเนื้อหาเก่ียวกับส่ิงที่เรา
อยากนามาเปน็ ตวั เดนิ เรือ่ ง เชน่ เรอื่ งราวล้ลี บั ทางไสยศาสตร์ เร่ืองราวทางศิลปะวัฒนธรรม ฯลฯ
บันไดข้นั ที่ ๕ ให้เวลาตกผลึก
เมื่อจัดการกับส่ีหัวข้อท่ีกล่าวมา จงให้เวลากับตัวเอง คิด กรอง ตรอง และร่างภาพต่าง
ๆ ไว้อยา่ งละเอียด แล้วจึงเรม่ิ ตน้ ในบนั ไดข้นั ต่อไป
บันไดขน้ั ที่ ๖ การสรปุ
พยายามสังเคราะห์เน้ือเรื่องแล้วสรปุ เร่ืองราวเปน็ เร่ือง ๆ ว่าจะมอี ะไรเกิดขนึ้ ในเนื้อเรือ่ ง
ท่ีกาหนดไว้ การเขียนสรุปสามารถช่วยให้เวลาท่ีลงมือเขียนจริง เราจะได้รู้ตัวว่าตอนนี้กาลังเขียนถึง
ตอนไหนแล้ว เรื่องราวจะดาเนินไปอย่างไร ไม่เขียนเพ้อเจ้อเผลอไผลออกนอกเนื้อหาจะทาให้การ
ตรวจครัง้ สุดทา้ ยง่ายขน้ึ

๒๐๖

บันไดข้นั ที่ ๗ แบง่ สันเน้ือเร่ือง
แบ่งเน้ือหาที่จะเขยี น ไล่ออกไปเป็นบทจนจบเรื่อง จากนั้นให้ใส่รายละเอยี ดเพิ่มลงไปใน
แต่ละตอนว่าใคร ทาอะไร ที่ไหน อย่างไร เม่ือไร และเร่ืองราวเป็นอย่างไรเรียกว่าเป็นการแต่งแต้ม
สสี นั เตมิ ขา้ วตอกดอกไม้ให้เกดิ ความสวยงาม
บนั ไดขั้นท่ี ๘ ลงมือเขียน
เมื่อจัดเต็มทุกอย่างเป็นท่เี รยี บร้อยแล้วลุย!!
บนั ไดขนั้ ที่ ๙ การดาเนินเรื่อง
ลงมือเขียน และคิดตอนต่อไปถึงเรื่องท่ีจะเกิดขน้ึ การฟงั เพลง การดูรูป การสันทนาการ
จะเป็นตัวชว่ ยในบนั ไดขัน้ นไี้ ด้เปน็ อยา่ งดี ส่งเสรมิ ใหจ้ นิ ตนาการรดุ หน้าเกิดกาลงั ใจ
บนั ไดข้นั ที่ ๑๐ การต้งั ชอ่ื เร่ือง
ชอื่ เรอ่ื งตอ้ งสอดคลอ้ งกับเนื้อหาในเร่ือง ใหด้ ึงดดู และนา่ สนใจ
บนั ไดข้นั ท่ี ๑๑ การเล่นความรู้สกึ กบั งานเขยี น
เป็นการถา่ ยทอดความรูส้ ึกผา่ นตวั ละครของเรา หรืออีกนยั หน่งึ คือ การนาความคิดของ
เราไปใส่ในตัวละครเพ่ือใหก้ ารสีสนั และการนาเสนอทีน่ ่าติตตาม
บนั ไดขนั้ ท่ี ๑๒ แกไ้ ข
เขียนจบจนพอใจ ให้ไปหาท่ีพักผ่อนสักสามส่ีวัน จากนั้นก็กลับมาอ่านใหม่เติมแต่งได้
ตามวันเวลาท่ีชีวิตตกผลึก และแนน่ อน ลองสง่ ไปยังบรรณาธกิ ารเพอื่ ให้ท่านอ่านต่อ

ตัวอย่าง นิยายออนไลน์เรื่อง My Best (Boy) Friend เพื่อนสนิท คิดไกล...หัวใจมีรัก
โดย เจ้าหญิงผู้เลอโฉม ของสานักพิมพ์แจ่มใส ซ่ึงเป็นสานักพิมพ์ท่ีรวบรวมวรรณกรรมออนไลน์จาก
เว็บบอร์ดต่าง ๆ อาทิ Dek-D.com Pantip.com มารวมเล่มพิมพ์จาหน่ายและได้รับความนิยมอย่าง
มากในกลุม่ วยั ร่นุ

เรากลบั ไปเปน็ เหมอื นเดิม...ได้ไหม
"ไหวไหมเนย่ี "
"...ไหว ออกไปได้แล้ว ฉนั จะนอน"
"โห เสยี งฟังดไู มไ่ ดเ้ ลยอะ่ -๐-:; ทิง้ ไวบ้ ้านคนเดียวจะตายไหมเนี่ย"
"โทระน่ลี ่ะก็ ตายเตยอะไรกนั ตีปากตัวเองเดยี่ วนีน้ ะ!"
"หนวกห!ู ! ถ้าจะเขา้ มาเอะอะโวยวายก็รีบๆ ไปเรยี นกนั ไดแ้ ล้ว!" ฉนั เลิกผ้าห่มขน้ึ มา
แหกปากใส่ไอ้หมี และไอ้เสียเสียงดังลั่นดว้ ยเสียงทแี่ หบพร่าและแตกซ่าน เหมอื นเอาแปรงทองเหลือง
ขุดพื้นสังคะสี จากนั้นจึงกลับไปไอโขลก ๆ อยู่ใต้ผ้าห่มด้วยความทรมานต่อ ไอ้พี่น้องคู่นี้ทีมันจริงๆ
เลย T_T สรปุ เป็นหว่ งคนป่วยจรงิ หรอื เปลา่ เนย่ี !?

๒๐๗

"โอ๋ ๆ นะ T_T พวกเราก็แค่เป็นห่วงเฉย ๆ เอง" พ่ีคุมะย่ืนมือมาลูบหัวฉันพลาง
วางมาดที่ชายคนโตที่นาน ๆ ทจี ะเป็น "ใหพ้ าไปหาหมอมย้ั ดูท่าจะไขส้ ูงนะ ตวั ร้อนเชยี ว"

"ไม่ต้องหรอก แค่นอนพกั เดย๋ี วก็หาย"
"น่ีเป็นมนุษย์หินนีแอนเดอร์ราลหรอ แข็งแกร่งไปหรือเปล่า" ไอ้เสืออวดภูมิตัวเอง
แบบไม่ค่อยเมกเซ้นส์ จากน้ันจึงตีดน้ิวดังเปาะ "รู้ละ แบบน้ีต้องโทรตามพี่เขยใช่ป่ะ แบบในการ์ตูนท่ี
พวกผ้หู ญิงในห้องชอบอา่ นกันอะ่ >O<"
"ไมต่ ้องเลย" ฉันพูดพร้อมกับถีบนอ้ งชายตัวเองตกเตียง "รีบ ๆ ไปเรยี นได้แล้วนี่มัน
จะสายแล้วไม่ใช่เรอะ"
"กส็ ายแหละ กะโดดอยแู่ ล้ว ข้เี กยี จอะ่ "
"ฉนั จะฟ้องแม - ="
"ลอ้ เล่นนา่ จะโดดเพราะหว่ งพ่ีสาวต่างหาก >0<"
"ไอส้ ตอเบอแหล =_="
"แต่พค่ี งตอ้ งไปแลว้ จรงิ ๆ แหละ เดย๋ี วมีพรีเ่ ซนตอ์ ่ะ T_T ขอโทษนะ"
"อือ ไปเหอะ ฉนั อยู่ได้จรงิ ๆ"
"ถ้าอยากไปหาหมอเมื่อไหร่ก็โทรมานะ" พ่ีคุมะพูดย้ิมๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วลาก
คอโทระให้ลกุ ตาม "งั้นพวกเราไปล่ะ นอนพกั เยอะ ๆ หายไว ๆ ละ่ !"
"ออ้ื !"
ฉันตอบเสียงดังฟังชัดก่อนจะถอนหายใจออกมาแผ่วเบาเมื่อทั้งสองคนออกไปแล้ว
เหมอื นพายไุ ซโคลนพดั ผ่านไป และในห้องฉันก็กลายเปน็ เงยี บสงัดไปในทันใด...
เมื่อวานเพราะฉันทาเป็นเท่เดินกลับบ้านท้ัง ๆ ที่ฝนตก ทาให้ฉันป่วยทันทีใน
วนั รุง่ ขึ้น เป็นกรรมท่ตี ามทนั ไวมากราวกับส่ง EMS ดว่ นพเิ ศษ =_= และตอนนีฉ้ ันก็ต้องนอนซมอยบู่ น
เตยี งไปเรยี นไมไ่ ด้
บางทีก็เหมือนพระเจ้าจะรู้ใจ...ถึงให้ เวลานอก' กับฉันแบบนี้ เพราะถึงจะไม่ได้
ป่วยจริง ฉันก็กะจะบ่วยการเมอื งเบย้ี วไมไ่ ปเรียนอย่แู ลว้ ...
ฉันหยิบไอโฟนมาตอบไลน์ยัยห่านท่ีส่งมาเป็นร้อยข้อความหลังจากไปหาฉันท่ี
ห้องเรียนแล้วไม่เจอ แถมพอถามเจเจก็ไม่ได้คาตอบ จากน้ันจึงปิดเสียงไอโฟนแล้วก็โยนมันไปบนโต๊ะ
ก่อนจะฟุบหน้าลงกับหมอนตามเดิม แล้วภาพเหตุการณ์เมื่อวานก็ฉายย้อนในหัวราวกับเพิ่งเกิดข้ึน
สด ๆ รอ้ น ๆ

ต้งั แต่เมือ่ ไหรก่ นั นะ....เจเจมองฉนั ไม่เหมือนเดิมตั้งแต่เม่ือไหร่กนั นะ...
แล้วทาไมตวั ฉนั ถึงเปลย่ี นไปในสายตาของเขา...

๒๐๘

และคาพดู ท่เี ขาอยากจะพดู ...
"...ฉนั พูดมันออกไปไดม้ ้ยั ...เร่อื งทฉ่ี นั อยากพดู แตไ่ ม่เคยกลา้ พดู "
"มันแค่คาคาเดียวเทา่ น้ันแหละ...แค่คาเดยี ว..."
ฉันหลับตาลงเมื่อมีคาหน่ึงดังขึ้นในใจ คาส้ัน ๆ แค่คาเดียวเท่านั้นแหละ ฉันเอง
ไมไ่ ด้โง่ ทาไมจะไม่รวู้ ่าเขาอยากจะพดู อะไร...
เพราะเราอยดู่ ว้ ยกันอย่างนี้มาตง้ั นานแล้ว..

(ทม่ี า เจ้าหญงิ ผ้เู ลอโฉม. My Best (Boy) Friend เพือ่ นสนทิ คดิ ไกล...หัวใจมรี กั , ๒๕๕๘ หน้า ๑๕๘-๑๖๐)

จากตัวอย่างนิยายออนไลน์ข้างต้น จะเห็นได้ว่า นิยายออนไลน์เร่ืองดังกล่าวนี้ เป็นไป
ตามลักษณะของนวนิยายออนไลน์ตามคานิยาม กล่าวคอื เป็นนิยายที่มแี นวเร่ืองรักโรแมนติก มีความ
หวานแหววของเร่ืองความรักในวัยหนุ่มสาว ผสานกับความเพ้อฝันจินตนาการตามแบบฉบับของซีรีส์
เกาหลี โดยผู้เขียนจะแบ่งออกเป็นตอน ๆ ลงในเว็บไซต์ และเปิดโอกาสให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็น
(Comment) ในด้านล่าง ของนิยายเร่ืองน้ันได้ รวมท้ังเปิดโอกาสให้ผู้อ่านแสดงความคิดเห็นร่วมกับ
ผู้เขียนในช่องทางอื่น ๆ ด้วย เช่น เจ้าหญิงผู้เลอโฉม ซึ่งเป็นผู้เขียนนวนิยายเร่ืองนี้ได้เปิดช่องทาง
เฟซบุ๊กแฟนเพจ ww.facebook.com/prettyprincessjamsai ให้ผู้อ่านได้เข้าไปติดตามผลงาน และ
แสดงความคิดเห็นได้ จุดเด่นอีกประการหนึ่งของนิยายออนไลน์ตัวอย่างท่ียกมาน้ัน คือ ผู้เขียนใช้
ภาษาแซ็ตซึ่งเป็นภาษาสนทนาในกลุ่มวัยรุ่นตลอดจนใช้ภาษาอีโมติคอน (Emoticon) หรือภาษา
สัญลกั ษณ์ตา่ ง ๆ ดังขอ้ ความทท่ี าตัวหนาเพอื่ สื่อความหมายในเชิงอารมณร์ ่วมกับผู้อ่าน

๗.๖ การเขยี นอนุทินออนไลน์

การเขียนบันทกึ ประจาวัน หรือท่ีเรียกกันว่า อนุทิน (Diary) เป็นการเขียนเล่าเหตุการณ์
ทีเ่ กดิ ขึน้ กบั ตนเองในแตล่ ะวนั โดยเหตกุ ารณ์ดังกล่าวอาจเปน็ เร่อื งที่เกีย่ วกับตนเองโดยตรง ครอบครัว
ตลอดจนเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดข้ึนในสังคมรอบด้านตัวเอง นอกจากน้ีการเขียนบันทึกประจาวันยัง
เป็นการถ่ายทอดความคิด ความรู้ อารมณ์ หรือประสบการณ์ของตนเองไปยังผู้อ่านอีกด้วย ท้ังนี้ ใน
การเขียนบันทึกนั้น ผู้เขียนท่ีรู้จักใช้ศิลปะในการเขียน จะทาให้เกิดความสนใจ และเกิดลักษณะ
เฉพาะตวั ได้

ในปัจจุบัน การเขยี นอนุทินออนไลน์ ไดอาร่อี อนไลน์ หรอื เว็บบล็อก อาจเรียกสั้น ๆ ว่า
"บล็อก" นั้น ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องด้วยวิถีชีวิตประจาวันของคนรุ่นใหม่นั้นเกี่ยวพันกับ
ส่ืออิเล็กทรอนิกส์ ดังนั้น ในสังคมพหุสื่อสาร การเขียนอนุทินออนไลน์จึงปรากฎให้เห็นได้อย่าง
แพร่หลาย ท้ังน้ี การเขียนอนุทินออนไลน์ทางเว็บไชต์นั้นมีลักษณะเป็นการเขียนไดอาร่ี หรือบันทึก
ส่วนตัว โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อบันทึกเหตุการณ์ประจาวัน ตลอดจนถ่ายทอดสาร ท้ังท่ีเป็นความรู้

๒๐๙

ความคิดประสบการณ์จากผู้เขียนไปยังผู้อา่ น โดยผทู้ ่ีเขียนเว็บบลอ็ กเปน็ อาชพี นั้นจะถูกเรียกวา่ บล็อก
เกอร์ (Blogger) นั่นเอง

๗.๗ ประโยชน์ของการเขียนอนุทนิ ออนไลน์

๑. เป็นแหล่งข้อมูลส่วนตัวในการเผยแพร่ข้อมูล ข่าวสาร ถ่ายทอดความคิดและ
ประสบการณ์ไปยังผอู้ ่ืน เน่อื งจากการเขยี นบล็อกเปรยี บเสมอื นการเปดิ พ้ืนที่ส่วนตวั ให้ผ้อู ่ืนได้รบั รู้การ
ดาเนนิ ชวี ิต วถิ ีชีวติ (Lifestyle) วิถีคดิ ของผูเ้ ขยี นเอง

๒. เป็นแหล่งความรู้ ผู้เขียนสามารถนาเสนอข้อมูล สารประโยชน์ ในเร่ืองต่าง ๆอาทิ
ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ การแพทย์ เทคโนโลยี ศิลปวัฒนธรรม ฯลฯ ผ่านพื้นที่
ออนไลนข์ องตนเอง

๓. เป็นแหล่งแลกเปล่ียนเรียนรู้ระหว่างผู้เขียน และผู้อ่าน เนื่องจากการเขียนบล็อก
หรอื ไดอารี่ออนไลน์ นอกจากผู้อ่านจะได้รับความรู้ และสารประโยชน์เหล่าน้ันแล้ว ผู้อ่านยังสามารถ
แลกเปลี่ยน หรือท่ีเรียกกันว่า "แชร์ข้อมูล" เหล่านั้นผ่านการแสดงความคิดเห็นในช่องแสดงความ
คิดเห็น (Comment) ได้

๔. เป็นเครื่องมือในการเตือนความทรงจาของผู้เขียน โดยบันทึกน้นั จะถูกเก็บเอาไว้ใน
ระบบของเว็บไซต์ ซ่งึ สามารถคน้ หา หรือเปิดดไู ดต้ ามความตอ้ งการของผู้เขียน

๕. ช่วยให้ผู้เขียนใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ และช่วยฝึกทักษะการใช้ภาษาของ
ผเู้ ขยี น

๖. ให้ประโยคในเชิงธุรกิจ กล่าวคือ การเขียนบล็อกสามารถใช้ในการประชาสัมพันธ์
สนิ ค้า และบรกิ ารไปยังสาธารณชนได้

๗.๘ หลักในการเขียนอนุทนิ ออนไลน์

ในการเขียนอนทุ ินออนไลน์ หรือบันทึกประจาวนั ออนไลนน์ ้ัน ควรยึดหลักดงั นี้
๑. ใช้ภาษาของตัวเองในการเขยี นบันทกึ เพื่อง่ายต่อความเขา้ ใจของตัวผเู้ ขยี นเอง
๒. ใช้ภาษาที่กระชับ ไม่ฟุ่มเฟือย และไม่กากวม ไม่ควรใช้ภาษาเป็นแบบแผน หรือ
ทางการ เน่ืองจากการเขียนบันทึกประจาวันออนไลน์นั้น โดยมากจะเป็นผู้อ่านทั่ว ๆ ไป ซ่ึงมีทุกเพศ
ทุกวัย หรือเป็นเพ่ือนบุคคลที่คุ้นเคยเข้ามาอ่าน ท้ังนี้ การใช้ภาษาที่ง่ายหรือไม่ซับซ้อนจะทาให้ผู้อ่าน
เขา้ ใจเรอ่ื งราว หรือความหมายของบันทึกทเ่ี ราเขยี นได้อย่างรวดเรว็
๓. เขียนเฉพาะประเด็นหรือเหตุการณ์ท่ีมีความสาคัญ น่าสนใจ หรือเป็นประโยชน์
เนื่องจากเรื่องราวในชีวิตประจาวันนัน้ มีจานวนมากหลายเหตกุ ารณ์ ผู้เขียนจึงควรหยิบยกเอาเรือ่ งที่มี
ความโดดเด่น และมีคุณค่าต่อผู้อ่าน เป็นต้นว่า การบันทึกข้อคิดหรือแง่มุมการใช้ชีวิต การบันทึก

๒๑๐

เหตุการณ์ที่สามารถแทรกสาระความรู้ในเร่ืองต่าง ๆ อย่างเช่น เรื่องสุขภาพ โรคภัย เหตุการณ์
บ้านเมือง ฯลฯ

๔. เขียนบันทึกตามเหตุการณ์ที่เกิดข้ึน หรือพบเจอด้วยข้อเท็จจริง ไม่ควรเพิ่มเติม
เสริมแต่งจนเกินจรงิ หรอื กลายเป็นเรื่องสมมติที่เหมือนนทิ านนิยายไบในท่ีสุด เพราะนอกจากจะทาให้
การเขียนบันทกึ ขาดความสมจริงแล้ว ยงั อาจทาให้ผู้อ่านไม่เชื่อถือในขอ้ มูล หรือเหตุการณต์ ่าง ๆ ของ
ผู้เขยี นน่นั เอง

นอกจากนี้ สมพร มันตะสูตร (๒๕๒๕ : ๒๑๑) ยังได้กล่าวถึงลักษณะของการเขียน
อนุทิน หรือบันทึกประจาวันท่ีดี ไว้ว่า อนุทิน หรือบันทึกประจาวันควรวางรูปแบบคล้ายกับการเขียน
จดหมาย กล่าวคือ ควรมีคาขึ้นต้น และลงชื่อผู้เขียนไว้ในตอนท้าย อีกทั้งผู้เขียนควรลงวันท่ีท่ีบันทึก
โดยเรียงตามลาดับวัน และเหตกุ ารณท์ ี่เกิดขนึ้ เพอื่ ความสะดวกและงา่ ยต่อการคน้ หา

ตัวอย่าง แก้วไดอาร่ี อนุทินออนไลน์ของ หมูแก้ว นามแฝงผู้ติดเชื้อ HIV สร้างขึ้นเพ่ือ
แลกเปล่ียนประสบการณ์ และความรู้เกี่ยวกับผู้ป่วยที่ติดเช้ือ HIV รวมถึงการให้กาลังใจกันและกัน
ระหวา่ งผเู้ ขียนและผอู้ า่ น ซงึ่ สว่ นหนง่ึ เป็นผูต้ ิดเชื้อ HIV เชน่ เดียวกัน

++ MooKaew ++
ในปี ๒๕๔๔ เรากาลังเรียนจบปริญญาโท แฟนก็จบปริญญาตรี เงินท่ีส่งไปสร้างบ้านที่น่าน บ้านก็
กาลังจะเสร็จ กว็ างแผนกนั ว่า รบั ปริญญาแล้ว จะแตง่ งาน
แต่ฝนั ก็ไม่เป็นจรงิ เรียนจบปรญิ ญาโท เราก็ได้งานในบริษัทใหญ่โต ก่อนเขา้ งาน เขาส่ังให้
ตรวจสขุ ภาพกอ่ น มใี หต้ รวจ HIV ก็ตรวจไป ไม่เคยคดิ ว่าจะเปน็
แต่มนั กเ็ ปน็ ตอนหมอบอกวา่ ผลเลอื ดเป็นบวกนะ คุณมีเชื้อ HIV....... รู้สึกเหมอื นโลกถล่ม
ความหวัง ความฝนั ทุกส่ิงอย่างในชีวติ มันพังอย่ตู รงน้นั
งานท่ไี ด้กต็ ้องสละสิทธิ์ เคว้งคว้างไปหมด ไม่มงี านทา เป็นเอดส์ แถมไปตรวจภูมิคุม้ กันครั้งแรก
ก็มีแค่ ๖๙ เขาวงตวั แดงมาว่า เอดสร์ ะยะสุดท้ายแล้วนะน้อง

๒๑๑

ไปหาหมอคร้ังแรก หมอกร็ ังเกยี จ บอกวา่ ค่ายาเดือนละ ๔ หมนื่ มีจ่ายรึเปลา่
ก็ทาใจ คิดวา่ คงตายในปนี น้ั เพราะไม่มีเงนิ ซื้อยากิน ส่วนแฟนเรา รู้ผลเลอื ดพร้อม ๆ กนั อกี ๓
เดือนต่อมาก็ตายเลย...............
หลังจากรู้ว่าตวั เองตดิ เชื้อได้ ๒ เดือน กเ็ ร่มิ หาขอ้ มลู หาหมอคนใหม่ เริม่ กินยาป้องกนั โรคแทรก
ซอ้ น แล้วใช้ชวี ิตแบบคนเตรยี มตวั ตาย คือ ไมไ่ ดห้ างานทา ตระเวณทาบุญอยา่ งเดียว กใ็ ครจะ
คิดว่าจะรอดหละ่ ภูมคิ ุ้มกันก็แทบไม่มี งานไมมี เงินไม่มี
เร่อื งการติดเช้ือ ไมก่ ล้าบอกเพอ่ื น บอกแต่คุณอา เราจงึ มีชีวิตอยใู่ นโลกอินเตอรเ์ นท ท้ังห้อง
สวนลมุ pantip.com ในชว่ งแรก จนมีคนทาเว็บ kaewdiary ให้
มเี พื่อนในเนทเยอะ เรม่ิ ทากิจกรรมเยอะขึ้น เพราะไปเจอบ้านแกร์ค้า ซ่ึงเปน็ บ้านพกั เด็กกาพรา้
ทต่ี ดิ เชือ่ เอดส์ กเ็ ลยริมเปน็ อาสาสมัครชว่ ยงานเขามาตั้งแต่ตน้ จนปจั จบุ ัน
ก็ใชช้ วี ิตแบบนี้มาเร่อื ย ๆ คดิ วา่ คงอยู่ไมน่ าน แต่ต้นอยู่มา ๘ ปกี ว่าแล้ว ไมเ่ จบ็ ไมป่ ว่ ย
แรกทีร่ วู้ ่าติดเชอ่ื กไ็ มก่ ินยาต้าน มาเร่มิ กนิ ยาตอน CD4 เหลือ ๙ เมอ่ื ๒ ปกี อ่ น
อยูต่ วั คนเตี้ยว อยู่กับคณุ อา (คณุ ย่า ตายแล้ว) หมา และเพื่อน กเ็ หงา โดดเดยี ว แตก่ ย็ อมรบั ใน
ชตากรรม พยายามไม่ฟ้งุ ซน้ ไม่โหยหา พยายามทาตวั ให้มคี ุณค่า และมบี ระโยชน์ แต่บ่อย
ครงั้ ก็ร้องให้คนเดียว เศรา้ และเหน่ือยกบั ชีวิต
บางช่วงก็จติ ตก ซึมเศร้า ร้องหม่ รอ้ งไห้ มนั เหนอื่ ยกับชวี ิต มันทอ้ แท้ มันเหงา น้อยใจในชีวติ
ทาไมเราตอ้ งเปน็ เอดส์ ท้ัง ๆ ท่ีเรามีแฟนคนเดยี วในชีวติ ไม่เคยแรด ไมเคยมว่ั ทาไมเราต้องเป็น
อยา่ งนี้
อยากมคี รอบครัวอบอุ่น เพ่ือชดเชยชีวิตในวัยเด็กที่ไมเคยมีพอ่ แม่ ก็ไมส่ ามารถมีได้ อยากมีลกู
หลาย ๆ คน กไ็ ม่มโี อกาส

๒๑๒

บางทีเพื่อนเกา่ ๆ โทรมาคุย วางสายปบุ๊ รอ้ งไหน้ ้าเลย น้อยใจในชวี ติ

ทุกวันก็อยูแ่ บมน้ีอะ่ อยู่ไปวัน ๆ อยู่แบบโดดเดียว แต่ก็มั่นใจในตัวเอง พยายามทาประโยชน์
เพืน่ คนอื่น มคี ุณอา มเี พ่ือน ๆ ในเวบ็ เป็นกาลังใจ มเี ด็ก ๆ บา้ นแกร์ดา้ เปน็ เครื่องปลอมใจวา่ "ยังมี
คนทซ่ี วยกว่ากู"

งานในปัจจุบัน ก็เปน็ งานอาสาทางานใหบ้ ้านแกรด์ ้า ก็ได้เบ้ียเล้ยี งนิดหนอ่ ย กับบัตรประกนั
สงั คม ทเี่ หลือกม็ เี ขยี นหนงั สอื เอดส์ไดอาร่ี ดูแลเว็บแกว้ ไดอารี่ รบั โทรศพั ทใ์ ห้คาปรึกษาเร่ือง
เอดส์ เป็นวิทยากรตามโรงเรยี นบา้ ง

ยุง่ วุ่นวายทกุ วนั ท้ัง ๆ ทไ่ี มม่ งี านบระจากบั เขา

ชีวิตตอ้ งเปล่ียนไปเยอะ ไมม่ งี านก็ไม่มเี งนิ เบยี้ เลยี้ งน้อยนดิ ทาให้ต้องประหยดั พออยู่พอกิน
ปรบั ชวี ิตใหเ้ รยี บงา่ ย พยายามไม่คบเพือนเก่า เพราะอาย ไม่กลา้ บอกว่าทางานอะไร กลัวเพอื่ นรู้
ว่าเปน็ เอดส์ และน้อยใจด้วยวา่ ทาไมชวี ิตเราเปน็ อย่างน้ี

เรื่องความรัก ก็ไมค่ ่อยเปิดโอกาส ยง่ิ ถา้ เขาไม่ตติ เชอ้ื น่ีไมค่ บ ไม่อยากดงึ ใครมาตกนรก
ด้วย เคยมีคนไมต่ ดิ เชอ้ื มาจบี แตร่ าจะป็นคนตรง ๆ ถ้ามีแววว่าเจ็บ เราบอกหมดว่าเราเป็นเอดส์
นะ เขาก็ไบหมดเหมอื นกนั

ก็ไม่เป็นไร มันป็นสิทธ์ิของเขา และเราภมู ใิ จทเี่ ราไม่เห็นแกตวั เรากลา้ บอกความจริงถึงแม้
บอกแล้วจะโดนทิง้

เคยมีคนทเี่ ราแอบชอบเขา ก็บอกไปว่าเราเปน็ อะไร เสียใจ แตก่ ็ดกี ว่าปดิ ๆ บัง หลอกกันไปวนั ๆ

ชวี ติ ทกุ วนั น้กี ็ลุม่ ๆ ดอน ๆ สุข ๆ ทุกข์ ๆ แต่ก็ต้องทนอยู่ไป พยายามดูแลสุขภาพตัวเองให้ดีทสี่ ดุ
เพราะไม่อยากเป็นภาระคุณอา พยายามทาประโยชน์เพ่ือคนอนื่ เพราะถือวา่ เปน็ การทาบุญ และ
อยากให้คุณอาภูมใิ จวา่ หลานคนน้ี ถึงมนั จะเปน็ เอดส์ งานการไม่มีทา ไม่มโี อกาสหาเล้ยี งคุณอา
แต่ชวี ติ นี้กย็ ังเปน็ ประโยชนก์ ับตนอนื่ ๆได้บา้ ง

พยายามปฏิบตั ธิ รรม แอบ ๆ หวังวา่ จะใชห้ นี้กรรมทท่ี าไวแ้ ต่ชาตไิ หนไมร่ ู้ไดบ้ า้ ง กบั ไดส้ ร้างบญุ
บ้าง ซาติหน้าได้ไมล่ าบากแบบนถ้ี ูก

พยายามดูแลแกว้ ใหด้ ี จะได้เปน็ ท่ีพกั พิงแกค่ นอื่น ๆ พยายามสร้างภาพพจนผ์ ู้ติดเชื้อให้ดี
อยากใหส้ ังคมรู้ว่า คนติดเช้ือ ไม่ไดแ้ ปลว่า เขาชั่ว มั่ว หรอื เลว กนั ทกุ คนนะ คนดี ๆ ก็มี และ
อยากใหร้ ูว้ ่า ผตู้ ิดเช้ือก็คดิ อะไรไดม้ ากกวา่ เรื่องบนเตียงนะ

๒๑๓

เราคิดว่า ถ้าผตู้ ิดเช้อื ไม่พยายานทาตัวให้สงั คมยอมรับ ไม่พยายามทาตัวเปน็ คนดี สังคมเขาก็
เขา่ ใจผตู้ ดิ เชอ้ื ผิด ๆ ต่อไป ไม่นท้ี างทเี่ ขาจะให้การยอมรับ
เราไม่ค่อยอยากอย่นู าน มันเหน่อื ยมากนะ ในการรกั ษาสภาพตัวเองใหด้ ูเหมือนคนปกติ เหนือย
ท่ีมีชีวิตไมเ่ หมือนคนอืน่ นอ้ ยใจในโชคชะตา อยู่นาน ๆ มนั เหนอื ย มันเหงานะ

แต่ในเม่ือไม่ตายสกั ที ก็ต้องอยกู่ นั ต่อไป และ อยู่อย่างมคี ุณค่า มปี ระโยชน์
กห็ วงั ว่า ซีวติ เราจะเปน็ บทเรีนยให้คนอีกหลายคน หวังว่าชีวิตเราจะมปี ระโยชน์กับคนอื่น ๆ บา้ ง

(ทม่ี า หมูแกว้ , แก้วไดอาร่ี (ออนไลน์), ๒๕ กนั ยายน ๒๕๕๒.
แหลง่ ทีม่ า http://uww.bloggang.com/ viewblog .php?id=kaewdiary&group=5)

๗.๙ การเขยี นบทความ

บทความ (Artice) คือ งานเขียนประเภทหน่ึงที่มีลักษณะเป็นความเรียงโดยอาศัย
ขอ้ เท็จจริง และสอดแทรกข้อเสนอแนะเชิงวิจารณ์สร้างสรรค์ของผู้เขียนเอาไว้ด้วย ท้ังน้ี บทความจะ
เน้นการเสนอความคิดเห็นในเรื่องใดเร่ืองหนึ่งของผู้เขียนเป็นหลัก และมีหลักฐานข้อเท็จจริงเข้ามา
ประกอบทรรศนะดังกล่าว

บทความมีหลายชนิด ได้แก่ บทความบรรยายเชิงประวัติศาสตร์ โบราณคดี วัฒนธรรม
การเมือง ฯลฯ บทความรายงานว่าด้วยเหตุการณ์การศึกษาค้นคว้าการปฏิบัติหน้าท่ี ฯลฯ บทความ
เชิงโต้แย้งอภิปรายความคิดเห็นด้วยเหตุผลโต้ตอบเร่ืองต่าง ๆ บทความแสดงความคิดเห็นเชิงวิจารณ์
ถึงสิ่งที่นาสนใจ บทความสัมภาษณ์บุคคล บทความอธิบายวิธีการทาส่ิงต่าง ๆ บทความในโอกาสวัน
สาคญั และบทความทว่ั ไป

วัตถุประสงค์ของการเขยี นบทความ
๑. เพื่อให้ความรู้ ข้อมูล โดยความรู้นั้นอาจจะเปน็ ความรู้เฉพาะเรอ่ื งใดเรือ่ งหน่ึง หรือ
ความรู้ทัว่ ไป ตลอดจนข้อเท็จจริงตา่ ง ๆ กไ็ ด้
๒. เพอ่ื บรรยายให้ผู้อ่านเห็นภาพของเหตุการณ์ สถานท่ี หรอื สภาพต่าง ๆ
๓. เพื่อโน้มนา้ ว จูงใจ ให้ผ้อู ่านคล้อยตามความคดิ ของตน
๔. เพื่อให้ความเพลิดเพลิน เกิดความสนุกในการอา่ น เช่น การท่องเที่ยวประวัตบิ ุคคล
สาคัญ
๕. เพือ่ วิจารณเ์ หตกุ ารณ์หรอื เรื่องต่าง ๆ ที่เกิดขน้ึ ในสงั คม หรอื ประเด็นทีม่ ผี ลกระทบ
ตอ่ สงั คม

๒๑๔

๗.๑๐ ประเภทของบทความ

ประภาศรี สีหอาไพ (๒๕๓๑ : ๘๖-๘๗) ได้จาแนกลักษณะของบทความออกเป็น
๕ ประเภท ดงั น้ี

๑. บทความแสดงความคิดเห็น ประมวลแนวความคิดท่ีผู้เขียนรวบรวมจาก
เอกสารอ้างอิงประกอบกับความเห็นของผู้เขียนเอง หรือเป็นแนวคิดของผู้เขียนท้ังหมดในเรอื่ งต่าง ๆ
เช่น ความคิดของเด็กในวันเด็ก สาเหตุเพลิงไหมใ้ นเทศกาลตรุษจนี เศรษฐกจิ ของไทยใครกาหนด ฯลฯ

๒. บทความสัมภาษณ์ เป็นบทความท่ีแสดงความคิดของบุคคลเก่ียวกับเร่ืองใดเรื่อง
หน่ึงโดยเฉพาะ ผู้ให้สัมภาษณ์เป็นผู้เช่ียวขาญหรือเข้าใจในเรื่องน้ันเป็นอย่างดี ผู้เขียนจะต้องเลือก
สัมภาษณ์บคุ คลให้เหมาะสมกับเร่อื ง

๓. บทความก่ึงชีวประวัติ ใช้วิธีสัมภาษณ์เร่ืองราวเก่ียวกับบุคคลผู้เป็นเจ้าของ
ชวี ประวัตินั้น หรือผู้ใกล้ชิด ควรเลือกบคุ คลทมี่ ีชือ่ เสียง มีคณุ ลกั ษณะที่เป็นตัวอย่าง หรือเย่ียงอย่าง มี
เอกสาร หรือผลงานประกอบมากพอที่จะเป็นหลักฐานข้อมูลได้ เช่น ชีวประวัตินักบินอวกาศคนแรก
ของโลก ชวี ิตรกั นกั ประพนั ธ์ ฯลฯ บางทีอ่ าจเป็นข้อเขียนของเจ้าของชีวประวัตินนั่ เอง

๔. บทความทางวิชาการ ให้เน้ือหาสาระเป็นความรู้เฉพาะด้าน รวมอยู่ใน
วารสารวิชาการ เช่น วารสารครุศาสตร์ วารสารราชบัณฑิตยสถาน วารสารการศึกษาวารสาร
วัฒนธรรมไทย เป็นตน้

๕. บทความรายงานเหตกุ ารณ์ หรือการท่องเที่ยว เล่าถ่ายทอดใหผ้ ู้ฟังทราบเหตุการณ์
ความสนุกสนานประทับใจในเหตุการณ์ หรือการเดินทาง เช่น ไปนมัสการพุทธสังเวชนียสถาน
ประเทศอนิ เดยี ภหู ลวงสวรรคบ์ นดิน ฯลฯ

นอกจากนี้ ปราณี สุรสิทธิ์ (๒๕๔๙ : ๓๑๑-๑๑๒) ได้สรุปประเภทของบทความจาก
นกั วชิ าการหลายทา่ น อาทิ เปลอ้ื ง ณ นคร เจอื สตะเวทนิ วิรัช ลภริ ัตนกุล ไวด้ งั น้ี

เปลอ้ื ง ณ นคร แบ่งบทความออกเป็น ๒ ประเภท คือ
๑. บกความทางการเมือง
๒. บทความเชงิ ความรู้

เจอื สตะเวทนิ ไดแ้ บ่งบทความออกเปน็ ๑๐ ประการ ดังนี้
๑. บทความบรรยาย (Narrative Article)
๒. บทความรายงาน (Report Article)
๓. บทความเชิงโต้ขอ้ ขดั แยง้ (Controversial Article)
๔. บทความทมี่ ีคนสนใจ (Human Interest Article)

๒๑๕

๕. บทความสมั ภาษณ์ (interview Article)
๖. บทความประเภทอธิบายวธิ ีทาอะไรอย่างหนง่ึ (The How To Do lt Article)
๗. บทความแสดงความคดิ ใหม่ (New Idea Article)
๘. บทความเรื่องบคุ ลิกลักษณะบุคคล (Personality Article)
๙. บทความในวันครบรอบปี (Anniversary Article)
๑๐. บทความทว่ั ไป (General Article)

วริ ัช ลภิรัตนกุล แบ่งประเภทของบทความที่ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ และนิตยสารเป็น
๗ ประเภท คือ

๑. บทความทางวชิ าการ หรือกง่ึ วิชาการ
๒. บทความประเภทท่เี ปน็ เร่อื งปญั หาโต้แย้ง หรอื ถกเถยี งกันในสงั คม
๓. บทความประเภทสาระเบา ๆ
๔. บทความประเภทเชิงสัมภาษณ์
๕. บทความประเภทธรรมะสอนใจ
๖. บทความประเภทเก่ียวกับการทอ่ งเท่ยี ว
๗. ประเภทอน่ื ๆ

พิมาน แจ่มจรัส (๒๕๕๐ : ๓๔๘) ได้แบ่งประเภทของบทความอย่างกว้าง ๆ ได้ ๔
ประเภท ดังน้ี

๑. บทความเสนอความคิดเหน็ มักเปน็ ข้อเขียนของนักเขียน มักเปน็ การตอบสนองต่อ
ขา่ ว โดยนาเสนอขอ้ เท็จจริงตา่ ง ๆ ประกอบประเด็นข่าว อาจมีการสัมภาษณบ์ คุ คลท่ีเกีย่ วกับประเด็น
ดังกลา่ วมานาเสนอด้วย

๒. บทความวิชาการ เป็นการให้ความรู้เฉพาะด้าน และมักจะเจาะลึกกว่าบทความ
ทวั่ ไป ใหข้ อ้ มลู ละเอียด อาจใช้สถิตมิ าประกอบ

๓. บทความแนะนา เป็นการอธิบาย และให้ความรู้อย่างละเอียดในเร่ืองใดเร่ืองหนึ่ง
เชน่ การเดนิ ทางทอ่ งเทีย่ ว การกนิ อาหาร สุขภาพ เรอ่ื งเพศ เร่ืองการเกษตร เรอ่ื งกฎหมาย ฯลฯ

๔. บทความวิจารณ์ เป็นการแนะนาเร่ืองท่ีน่าสนใจประกอบความคิดเห็นของผู้เขียน
ในดา้ นต่าง ๆ เช่น หนงั สือ ภาพยนตร์ โทรทัศน์ หรอื กีฬา

๒๑๖

๗.๑๑ ลักษณะเฉพาะของบทความ

๑. เน้นใหค้ วามรแู้ ละข้อมลู แกผ่ ูอ้ ่านเปน็ หลกั
๒. เน้ือหามีขนาดส้ัน จบเป็นตอน ๆ เน้ือความควรนาเสนอไว้ตอนต้นแล้วตามด้วย
ขอ้ ความขยาย เชน่ เดียวกบั ขา่ ว ท้งั นี้ ควรเขียนยอ่ หนา้ ทีม่ ีขนาดสนั้
๓. เน้ือหาควรเป็นเหตุการณ์ที่อยู่ในความสนใจของผู้อ่านขณะนั้น เช่น ข้อมูลทาง
การแพทย์ ทางวิทยศาสตร์ เทคโนโลยี หรือความเคลอ่ื นไหวทางสงั คมในปัจจุบัน
๔. เนื้อหาต้องประกอบด้วยข้อเท็จจริงเป็นหลัก และสอดแทรกด้วยข้อคิดเห็น
ทรรศนะ หรือการวิจารณข์ องผูเ้ ขยี นผสมอยดู่ ้วย
๕. ใช้กลวิธีการเขยี น สานวนโวหารที่น่าดงึ ดูดให้ผอู้ ่านคล้อยตามหรือเพลิดเพลนิ

๗.๑๒ ขน้ั ตอนการเขียนบทความ

ปราณี สุรสิทธ์ิ (๒๕๔๙ : ๑๓๖-๑๓๗) ได้นาเสนอข้ันตอนการเขียนบทความอย่างมี
ประสทิ ธิภาพ ไว้ ๖ ขัน้ ตอน ได้แก่

๑. เลอื กประเดน็ เรือ่ ง โดยผ้เู ขียนควรเลอื กประเด็นเรื่องจากลักษณะดังต่อไปน้ี
๑.๑ ควรเลือกเรือ่ งท่ีผเู้ ขียนมคี วามรเู้ รือ่ งนัน้ เปน็ อย่างดี
๑.๒ ควรเลอื กเรอ่ื งท่ผี เู้ ขยี นมีประสบการณม์ าก
๑.๓ ควรเลอื กเรือ่ งท่ีผู้เขยี นมีความสนใจเปน็ พิเศษ
๑.๔ ควรเลือกเร่อื งทเ่ี ปน็ นามธรรม
๑.๕ ควรเลอื กเรื่องท่ีมขี อบขา่ ยแดนทีส่ ุด

๒. ตีความและกาหนดขอบเขตของเรื่อง หลังจากได้ประเด็นเรื่องที่จะเขียนบทความ
แล้ว จากนัน้ นามาตีความกาหนดขอบเขตของเรื่อง ซงึ่ ผ้เู ขียนใช้วธิ ีการเดียวกันกบั การตีความ กาหนด
ขอบเขตของเรื่องในการเขียนเรยี งความตามท่ีเสนอไว้ขา้ งตน้

๓. ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติม การหาข้อมูลเพ่ิมเติมในการเขียนบทความ สามารถ
ดาเนินการตามวธิ เี ดียวกันกบั การคน้ หาข้อมูลเพิม่ เติมในการเขียนเรยี งความ ดังนี้

๓.๑ อ่านและศึกษาเอกสารต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง รวมท้ังศึกษาจากเว็บไซต์ หรือ
อินเทอรเ์ นต็

๓.๒ สัมภาษณผ์ ูร้ ู้
๓.๓ สงั เกตหรือตดิ ตามข้อมลู ขา่ วสารที่เกดิ ขนึ้ ในสังคม
๔. วางโครงเรื่อง โดยวิธีการวางโครงเร่ืองนน้ั ใช้วิธีเดียวกันกับการวางโครงเรอื่ งในการ
เขียนเรียงความ โดยเขยี นหัวข้อท่ีจะเขยี นไว้เปน็ ขอ้ ๆ ตามลาดบั

๒๑๗

๕. ลงมือเขียน ในการลงมือเขียนบทความโดยเขียนตามโครงเรื่องท่ีกาหนดไว้ในชั้นนี้
ผเู้ ขยี นควรมีแนวการเขียน และคานงึ ข้อควรระวังในการเขยี นบทความ ดังนี้

๕.๑ แนวการเขียนเฉพาะบทความ มี ๒ ขอ้ ดังีนี้
๕๑.๑ ต้องมสี าระ ไดเ้ ร่ืองได้ราว ข้อความตลอดทัง้ เรอ่ื งต้องสอดคลอ้ งกนั
๕.๑.๒ แต่ละยอ่ หน้ามีสาระสาคญั พอที่จะสรปุ ออกมาได้อย่างแน่นอน
๕.๑.๓ ข้อมูล เหตุการณ์ต่าง ๆ ต้องมีพืน้ ฐานมาจากความเป็นจริงเท่านนั้
๕.๑.๔ แยกแยะระหวา่ งความคดิ สว่ นตวั กับขอ้ เท็จจริงอยา่ งเด่นชัด
๕๑.๕ แสดงจุดมงุ่ หมายให้ชัดแจ้ง มิฉะน้นั ผอู้ ่านจะจบั ประเดน็ มไิ ด้
๕.๑.๖ ตัวอย่าง การเปรียบเทียบ สถิติ หรืออื่น ๆ ล้วนเป็นส่ิงช่วยให้

เนือ้ หาสมบรู ณ์ และเดน่ ชดั
๕.๒ ข้อควรระวังเฉพาะในการเขียนบทความ มี ๗ ข้อ ดังนี้
๕๒.๑ ระวงั การเขียนซ้าซาก วกวน สบั สน
๕.๒.๒ ขยายความไม่ชัดเจน แสดงว่าผู้เขียนมีความรู้น้อย ความคิด

คบั แคบ
๕.๒.๓ หากใช้คาฟมุ่ เพือ่ ยเกนิ ความจาเป็น ให้ตดั ออก
๕.๒.๓ เขียนประโยคสัน้ ๆ กะทัดรัด เลือกใชค้ าง่าย ๆ ความหมาย ชัดเจน
๕.๒.๕ เลือกใชค้ าใหเ้ หมาะกบั ความ และใช้คาทช่ี ่วยใหค้ วามกระจ่างชัด
๕.๒.๖ โวหารตอ้ งเหมาะสมกับเรือ่ ง และต้องเปน็ โวหารทตี่ นถนัดเขียน
๕.๒.๗ รู้จักความหมายของคาทุกคาก่อนที่จะลงมือเขียน ไม่ใช้คาไร้

นา้ หนกั
๖. ตรวจทานและแก้ไข ข้ันตอนสุดท้ายของการเขียนบทความ คือ การตรวจทาน

และหากพบจดุ ใดผิด หรอื บกพร่องก็ใหด้ าเนินการแก้ไขโดยทันีทซี ึ่งสาระแนวทางการปฏิบัติการเขียน
ช้ันนี้ ใหใ้ ชแ้ นวทางเดยี วกันนีใ้ นการเขยี นเรียงความ ดังกล่าวข้างต้น

จากข้างต้นสามารถสรุปได้ว่า การเขียนบทความน้ันมืองค์ประกอบหลัก ได้แก่ ช่ือเรื่อง
เน้ือเร่ือง และสรุป โดยก่อนเริ่มการเขียนบทความน้ัน ผู้เขียนควรคานึงถึงการเลือกเร่ือง และต้ังชื่อ
เรื่องที่จะนามาขีซียนก่อนเป็นลาดับแรก ทั้งน้ี ควรพิจารณาเร่ืองที่ตนเองถนัด มีความสนใจ และมี
ความรอบรู้ เพ่ือจะไดน้ าไปกาหนดขอบเขตของประเดน็ หัวข้อได้อยา่ งเหมาะสม และสามารถนาเสนอ
เน้ือหาได้อย่างครบถ้วนลาดับถดั มา ผู้เขียนควรทาการวิเคราะหผ์ ู้อา่ นประกอบ และต้ังวตั ถุประสงคใ์ น
การนาเสนอบทดวามไว้อย่างชัดเจน แล้วจึงเริ่มวางโครงเรื่องซ่ึงควรลาดับประเด็นหัวข้อต่าง ๆ ไว้
อย่างสัมพันธก์ นั และเป็นเหตุเปน็ ผลกัน

๒๑๘

จากนั้นจะเข้าสู่การเขียนเน้ือเร่ือง โดยผู้เขียนจะเริ่มเรียบเรียงข้อความนาถ่ายทอด
เนื้อหาของเรื่องที่เขียน ซึ่งในขั้นน้ี ผู้เขียนควรแสดงความคิดสาคัญหรือใจความสาคัญของแต่ละ
ประเด็นอย่างครบถ้วน และใช้ประโยคขยายความในแต่ละประเด็นน้ันเพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจได้แจ่มชัด
ย่ิงข้ึน โดยคานึงถึงหลักของการเขียนย่อหน้าที่ต้องประกอบด้วยหลักเอกภาพ หลักสัมพันธภาพ และ
หลักสารัตถภาพนอกจากนี้ ผู้เขียนควรใชภ้ าษาที่ง่าย กระชบั และไม่กากวม เพือ่ การสอ่ื ความหมายท่ี
ถูกต้องชัดเจนไปยงั ผู้อ่าน เมอื่ เขียนเสร็จแลว้ ผเู้ ขียนควรทบทวนบทความของตนเองเพ่ือแก้ไข หรือขัด
เกลาขอ้ ความให้สมบรู ณ์

ตัวอย่าง บทความเชิงสร้างสรรค์ เรอ่ื ง วทิ ยาศาสตร์ กบั แฮร์รี่ พอตเตอร์

ชอ่ื เร่ือง วิทยาศาสตร์ กับ แฮรรี่ พอตเตอ์ร์
ส่วนนาเร่ือง
ขณะที่คุณกาลังอ่านบทความเร่ืองน้ีอยู่ ภาพยนตร์เรื่อง แฮร์ร่ี พอต
ตอร์กบั ศิลาอาถรรพ์ คงได้ลงโรง (ภาพยนตร์) แล้วและน่าจะกาลังกวาดเงิน
จากกระเป๋าคนไทยกันอยู่อย่างเพลิดเพลินโดยไม่ต้องสงสัย ซ่ึงก็เป็น
ปรากฎการณ์ที่ไม่น่าจะต่างไปจากอีก ๖๒ ประเทศท่ัวโลกที่มีกาหนดฉาย
ภาพยนตรด์ งั กลา่ ว

ดังที่หลายท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าภาพยนตร์แฮร์ร่ี พอตเตอร์นส้ี ร้าง
มาจากหนังสือเล่มแรกในซีรีย์ของหนังสือ เบสเซลเลอร์ที่วางตลาดไปแล้ว
จานวน ๔ เล่มของ เจ, เค. โรวส์ ่ิง โดยมแี ฟน ๆ ของหนนู อ้ ยผมู้ ีรอยแผลเป็น
รูปสายฟ้าฟาดที่หน้าผาก จานวนมากท่ีรอคอยจะอ่านเล่มห้าอยู่อย่างใจจด
ใจจ่อ หนังสือชุด แฮร์รี่ พอตตอร์น้ันขายได้ทั่วโลกมากกว่า ๑๐๐ ล้านเล่ม
แล้ว โดยฉบับแปลภาษาไทยก็พิมพ์มากถึง ๑๖ ครั้งในเวลาเพียงปีกว่า
เล็กน้อย เรียกว่าท้ังเด็ก และผู้ใหญ่ต่างก็ซ้ือไปอ่านกันโดยไม่ต้องบังคับให้
อา่ นเปน็ หนงั สอื อ่านนอกเวลา

ผมลองเข้าไปสืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับแฮร์ร่ี พอตเตอร์ในอินเทอร์เน็ตดู ก็
พบว่ามีโฮมเพจที่เก่ียวกับเด็กชายคนน้ีอยู่นับหมื่น ๆ แห่ง (รวมท้ังจานวน
หนง่ึ ทเี่ ป็นของคนไทย) และทาทา่ จะมเี พม่ิ ขนึ้ ทุกวัน

เช่ือว่ากว่าท่ีจะหมดชุดจานวน ๗ เล่ม หนังสือแฮร์รี่พอตเตอร์ ก็คงจะ
ทาลายสถติ ติ ่าง ๆ ไปอกี มากมายเป็นแน่แท้

๒๑๙

ส่วนนาเร่ือง คุณ ๆ ก็คงจะพอทราบกันดีอยู่แล้วว่าแฮร์ร่ี พอตเตอร์เป็นเรื่องราวการ
ผจญภัยของพ่อมดน้อย โดยท่ีในตอนแรกนี้ก็กล่าวถึงช่วงเวลาท่ีแฮร์รี่ พอต
เตอร์ เข้าสู่โรงเรียนคาถาพ่อมดแม่มด และเวทมนตร์ศาสตร์ฮอกวอตส์ เพ่ือ
เรียนเวทมนตร์ และศาสตร์อ่ืน ๆ ท่ีจาเป็นต่อการเป็นพ่อมด เวลาเอ่ยถึง
เรื่องของพ่อมด และเวทมนตร์ ผู้คนจานวนไม่น้อยในยุคนี้อันเป็นยุคท่ี
วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีเพ่ืองฟู ก็มักจะนึกไปเองโดยอัตโนมัติว่าเป็น
เรื่องของไสยศาสตร์ท่ีพิสูจน์ไม่ได้ และงมงาย ในขณะท่ีอีกหลายคนก็
อยากจะจัดให้แฮร์ร่ี พอตเตอร์อยู่ในหมวดของนิยายวิทยาศาสตร์แฟนตาซี
ด้วยซ้าไป จึงเป็นเร่ืองที่น่าสนใจท่ีหากเราจะลองใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์
ท่ีมีอยู่ในปัจจุบันมาอธิบายเร่ืองราวต่าง ๆ ในหนังสือ และภาพยนตร์เร่ือง
ดงั กลา่ ว

ครับ...ผมกาลงั จะขอเชิญชวนทุกท่านมาร้จู ักกบั อีกแง่มุมหนง่ึ ของแฮรร์ ี่
พอตเตอร์ แง่มมุ ท่ีคนพูดถงึ กันน้อยมาก นั่นก็คือเราจะมาวิเคราะห์เกี่ยวกบั
แฮรร์ ี่ พอตเตอร์ ในแง่มมุ ทาง "วิทยาศาสตร์" กนั

ส่วนเน้อื เร่อื ง วทิ ยาศาสตรก์ ับเวทมนตร์
เรอื่ งของเวทมนต์คาถาน้ันมปี ระวัตอิ ยา่ งยาวนานและแม้ว่าวทิ ยาศาสตร์

จะกลายเป็นแนวโนม้ หลกั ในโลกปัจจบุ นั แตเ่ รอ่ื งาวของเวทมนตร์คาถากย็ งั
แอบแฝงอยู่อย่างผสมกลมกลืน

อันที่จริง หากจะมองย้อนกลับไปในประวตั ิศาสตร์การเลน่ แร่แปรธาตุ
(Alchemy) อันเป็นศาสตรท์ เ่ี พอื่ งฟูในยุคกลางและเป็นความพยายามท่จี ะ
สร้างสารทีม่ ีราคาแพงอยา่ งทองคา หรือสารท่มี ีประโยชน์อ่ืนดว้ ยวธิ ีการ
ทดลองทางเคมี กอ็ าจจะนบั ไดว้ า่ เป็นจดุ เชื่อมต่อสาคัญระหว่างภูมิปญั ญา
โบราณทเี่ นน้ การท่องบ่นเวทมนต์คาถากบั วทิ ยาศาสตร์สมยั ใหม่ทเ่ี นน้
การทดลองทดสอบเปน็ สาคญั

มาดปู ระเดน็ ต่าง ๆ จากเรอ่ื งแฮรร์ ่ี พอตเตอร์กันเลยดีกว่านะครบั วา่
ความรูท้ างวิทยาศาสตรท์ ม่ี ีอยู่ในปัจจุบนั จะสามารถนามาประยกุ ต์ใช้
เทยี บเคียง หรืออธบิ ายเหตุการณ์ต่าง ๆ ในเรื่องน้ีได้อย่างไร

๒๒๐

ส่วนเนื้อเร่อื ง ชานชาลาหมายเลขเก้าเศษสามสว่ นสี่
เดก็ นกั เรียนทกุ คนทจี่ ะเดินทางมาทโ่ี รงเรียนสอนพ่อมดและแม่มดฮอก

วอตสจ์ ะตอ้ งมาจับรถไฟขบวนพิเศษทช่ี ่ือ รถดว่ นฮอกวอตส์ ทีส่ ถานีคิงสค์
รอส ซ่งึ ก็ไม่น่าจะประหลาดอะไรแต่ปัญหาท่เี ด็ก ๆ แตล่ ะคนต้องไขให้ไดก้ ็
คอื ชานชาลาท่ีรถดว่ นขบวนดังกลา่ วจะจอด ซึ่งมหี มายเลข "เกา้ เศษสาม
สว่ นส่ี" น้ันอยู่ทใี่ ดกันแน!่

ในโลกแหง่ ความเป็นจริง มีชานชาลาลบั ทเี่ ปิดแบบผลุบ ๆ โผล่ ๆ ดว้ ย
วิธีการเฉพาะแบบชานชาลาท่ีเกา้ เศษสามส่วนสิ่บา้ งหรอื ไม่?

คาตอบคือ มีครบั แถมบางอันยงั ใช้งานอยดู่ ้วยซ้าไป
ข่าวลือเกีย่ วกบั ชานชาลาลบั พวกน้มี มี านานแลว้ สาเหตุกค็ ือ ระหวา่ ง
ชว่ งสงครามโลกครง้ั ที่สอง มกี ารปูพรมท้ิงระเบิดประเทศอังกฤษอย่างหนัก
จนตอ้ งมีการสรา้ งฐานบญั ชาการลบั สาหรับเหลา่ ผ้นู า อย่างเชน่
นายกรฐั มนตรวี ินสตนั เชอรซ์ ิล กับทมี เสนาธกิ ารทหารของเขาก็ไดใ้ ช้เวลา
ไม่นอ้ ยอย่ทู ่ีห้องบญั ชาการใต้ตนิ ท่สี ถานพี ิคคาตลิ ล่ี และสถานใี ต้ถนนดาวน์
ซ่ึงอันหลังนี่ก็เลิกใช้งานไปแล้ว นอกจากนี้ ยังมสี ถานีพเิ ศษท่ีใตถ้ นนกูดจ์ซงึ่
สรา้ งขนึ้ เป็นพิเศษสาหรับ นายพลไอเซนฮาวร์ ทีเ่ ข้าไปรว่ มบัญชาการรบใน
ลอนดอนตอนปลายปี พ.ศ. ๒๔๘๕ อีกด้วย
ห นั งสื อ ซ่ื อ London's Disused Underground Station ข อ ง
เจ. อี. คอนเนอร์ ระบุว่า ครั้งหน่ึงเคยมีชานชาลาท่ีเคลื่อนที่ได้อยู่ที่สถานี
บุตรเล่นวู้ดเลนท่ีขณะนี้เลิกใช้งานไปแล้วชานชาลาพิเศษที่ว่านี้มีขนาดยาว
๑๒ เมตร และกว้าง ๒ เมตร สามารถเปิดปิดได้บ่อยถึง ๑๒๐ คร้ังในแต่ละ
วัน ชานชาลาท่ีว่านี้ทาขึ้นเป็นพิเศษเพื่อรองรับขบวนรถไฟที่ยาวเจ็ดตู้ที่จะ
เข้าจอดท่ีชานชาลาหมายเลข ๑ และเมื่อรถไฟออกไปแล้ว ชานชาลา
ดังกล่าวก็จะหมุนเก็บหายไปได้ผ่านการบังคับด้วยอุปกรณ์ในกล่องบังคับ
พเิ ศษ
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ชานชาลาที่ว่าก็อาจจะนับได้ว่าเป็นชานชาลาที่หน่ึง
เศษสามสว่ นสีก่ ็ได้กระมังครบั !

๒๒๑

สว่ นเนือ้ เรอ่ื ง เสกของให้ปินได้
วิชาหนึ่งที่แฮร์รี่ พอตเตอร์ ต้องเรียนในปีแรกท่ีฮอกวอตส์ก็คือ วิชาเสก

ของให้บินได้ แน่นอนว่าเด็ก ๆ ตื่นเต้น และอยากเรียนวิชาท่ีน่าสนใจนี้กัน
มาก โดยเฉพาะภายหลังจากท่ีเห็นศาสตราจารย์ฟลิตวิก เสกให้คงคกของเน
วิลล์ (เพื่อนคนหนึ่งของแฮร์ร่ี พอตเตอร์) ฉวัดเฉวี่ยนเหมือนจรวดไปรอบ
ห้อง

ในโลกแห่งความเป็นจริง คนที่ได้มีโอกาสอยู่ที่ห้องทดลองท่ี
มหาวิทยาลัยนิจเมเจนในฮอลแลนด์ เมื่อส่ีปีก่อนก็คงจะตื่นเต้นไม่แพ้กันสัก
เท่าไหร่ เพราะนักวทิ ยาศาสตร์ทน่ี ่ันไดท้ าการทดลอง"เสกกบให้ลอยได"้ ด้วย
สนามแม่เหล็กเป็นคร้ังแรกของโลก แน่นอนว่าวิธีการของพวกเขาซับ
ช้อนมากกว่าการทอ่ งคาถา "วิงการ์เดยี มเลวโี อซา่ " ที่พวกเดก็ ๆ ทากนั

หลักการที่นักฟิสิกส์ใช้ก็คือ ความจริงท่ีว่าไม่เพียงแต่โลหะเท่านั้นที่
ตอบสนองต่อสนามแม่เหล็ก สสารแทบจะทุกอย่างก็ตอบสนองต่อ
สนามแม่เหล็กเช่นกัน ไม่เว้นแม้แต่น้า (แม้ว่าจะตอบสนองน้อยมาก
เหลือเกิน) อย่างเช่น การจะยกกบสักตัวให้ลอยตัวได้ก็ต้องใช้สนามแม่เหล็ก
ท่ีมีขนาดแรงกว่าแม่เหล็กของตู้เย็นราว ๒๐๐ เท่าเป็นอย่างน้อย เพ่ือสร้าง
ภาวะท่ีเรียกว่า ไดอะแมกเนติซึม (Diamagnetism) อันเป็นสภาวะ
คลา้ ยคลึงกบั สภาวะไร้นา้ หนกั ที่เกดิ กับนักบินอวกาศนนั่ เอง

สนามแม่เหล็กท่ีเกิดขึ้นจะไปเปล่ียนระดับพลังงานของอิเล็กตรอนท่ี
หมุนรอบนิวเคลียส เกิดเป็นแรงในระดับโมเลกุลเคล็ดลับสาคัญของวิธีการ
ดังกล่าวอยู่ท่ีการสร้างสมดุลระหว่างแรงจากสนามแม่เหล็ และแรงจาก
ความโน้มถว่ งของโลก

วธิ กี ารดังกล่วจะสามารถยก "มนษุ ย"์ ใหล้ อยขนึ้ ไปในอากาศได้หรอื ไม่?
คาตอบคือ ตามหลกั การแล้วน่าจะได้ครับ แต่วา่ ... แมเ่ หล็กท่ีใช้จะตอ้ งมี
ขนาดทีใ่ หญม่ าก และนา่ จะมีราคาหลายรอ้ ยลา้ นบาทเปน็ อยา่ งน้อย
ดงั น้ัน พูดถึงความกา้ วหน้าในด้านนี้แล้ว นักวิทยาศาสตร์ชั้นนาของโลก
ก็ยงั ทาได้ในระดบั ทไ่ี มด่ ไี ปกวา่ ฝีมือของนักเรยี นโรงเรียนฮอกวอตส์เทา่ ไหร!่

๒๒๒

ส่วนเนื้อเร่อื ง แผนทีต่ วั กวน
แผนที่ตัวกวนนอกจากจะช่วยให้แฮร์รี่ พอตเตอร์ รู้รายละเอียดของ

ตาแหน่งแห่งหนในโรงเรียนฮอกวอตส์แล้วยังช่วยให้เขาสามารถระบุ
ตาแหน่งของใครก็ตามที่อยู่ภายในบริเวณปราสาทและรอบ ๆ โดยดูจาก
ตาแหน่งของหยดหมึกเล็ก ๆ ท่ีเคลื่อนไหวไปมา และมีช่ือเป็นตัวอักษร
เลก็ ๆ เขียนกากบั ไวเ้ รามีระบบบอกตาแหนง่ ท่ีเยี่ยมยอดขนาดนี้หรอื ไม่?

เทคโนโลยีการติดตาม และระบุตาแหน่งด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ใน
ปจั จุบันได้กา้ วหน้าไปมาก หลายคนคงเร่มิ พอจะคุ้นหูกับคาวา่ GPS มากข้ึน
แล้ว เพราะโทรศพั ท์มือถือหลายรายก็กาลังพยายามนาระบบดังกล่าวเข้ามา
ให้บรกิ ารภายในประเทศไทยในระยะเวลาอันใกล้ (น่าจะเป็นภายในปีหนา้ )

ระบบดังกล่าวได้เร่ิมให้บริการไปแล้วในสหรัฐและกาลังอยู่ในระหว่าง
การทดสอบในอังกฤษ

ระบบล่าสดุ ท่กี าลังศกึ ษาอยแู่ ละจะมปี ระสิทธภิ าพใกลเ้ คียงกับแผนท่ีตัว
กวนมากยิ่งข้ึนไปอีกก็คือ ระบบของบริษัทอังกฤษแห่งหน่ึงท่ีมีช่ือว่า
Cambridge Positioning Systems หรือ CPS เน่ืองจากหน่วยวัดตาแหน่ง
(Location Measuring Unit ที่ใช้ในระบบนี้ได้รับการออกแบบให้ติดตั้งอยู่
ตามสถานีฐานท่ีมีอยู่แล้ว ซึ่งใช้สาหรับทาหน้าท่ีรับส่งสัญญาณของ
โทรศัพท์เคล่ือนท่ี ดังน้ัน ในระบบแบบ CPS จะสามารถให้รายละเอียดของ
ตาแหน่งได้แม่นยา และใกล้เคียงความจริงมากคือ สามารถให้รายละเอียด
ข้อมูลท่ีต้องการสาหรับลูกค้า โดยกินอาณาบริเวณแคบลงได้มากถึงเพียง
๕๐ เมตรรอบตวั ของลกู คา้ ได้

ข้อดีอีกประการหนึ่งก็คือ ระบดังกล่าวใช้ได้ในเมืองและภายในตึก ซึ่ง
ต่างจากระบบแบบ GPS ท่ีอาจจะมปี ญั หาเรอ่ื งสญั ญาณได้

บริษัทผู้ผลิต CPS ยังจะให้บริการท่ีเรียกว่า บัดดี้ไฟน์เดอร์ (Buddy
Finder) หรือค้นหาคู่หู ซ่ึงจะเป็นการใช้ข้อมูลร่วมกันระหว่างสมาชิก
สาหรับบริการประเภทน้ี ลูกค้าเพียงแค่กดปุ่มเพียงปุ่มเดียวก็สามารถจะ
ตรวจสอบตาแหน่งของบุคคลท่ีมีช่ือระบุให้ใช้บริการนี้ร่วมกันได้ ซ่ึงก็
แน่นอนวา่ จะช่วยใหง้ านหลาย ๆ อยา่ งทาไดอ้ ย่างมีประสทิ ธิภาพมากยิ่งขนึ้

๒๒๓

ท้ังหมดทีย่ กมากเ็ ป็นเพยี งสว่ นหนงึ่ ของความพยายามใน
การเชื่อมโยงความรู้ความเข้าใจทีม่ อี ยู่ในโลกปัจจุบนั เข้ากับ
ความสนกุ สนานต่นื เต้น และจิตนาการอันบรรเจดิ ท่ไี ดจ้ าก
เรื่องราวของแฮร์ร่ี พอตเตอร์ พ่อมดนอ้ ยทผี่ ู้คนทัว่ โลกหลงไหลและ
สว่ นสรุป คล่ังไคล้

กล่าวจนถึงท่ีสุดแล้ว ผมกอ็ ดไมไ่ ด้ที่จะรู้สกึ เห็นด้วยกบั ที่
อาเทอร์ ซี. คลาร์ก ราชานิยายวิทยาศาสตร์รว่ มสมยั ได้เคยกล่าวไว้
ในหนังสอื Profiles of the Future ของเขาว่า "เทคโนโลยอี ะไรก็
ตามท่กี ้าวหน้าเพียงพอ กไ็ ม่ต่างอะไรไปจากเวทมนตร์" นั่นเอง
(ทม่ี า นาชยั ชวี วิวรรธน. วิทยาศาสตร์กบั แฮรร์ ี่ พอตเตอร์, ๒๕๔๔ หนา้ ๕๐-๕๔)

จากตัวอยา่ งบทความเรือ่ ง "วทิ ยาศาสตร์ กับ แฮรร์ ี่ พอตตอร์" ขา้ งต้น จะเหน็ ไดว้ ่าตรง
ตามลักษณะของบทความตามคานยิ าม ดังน้ี

๑) มลี กั ษณะเป็นความเรียงที่ผเู้ ขียนได้ถา่ ยทอดความรู้ ข้อเท็จจรงิ และเชื่อมโยงข้อมูล
ในเชิงวิทยาศาสตร์ตอ่ ส่ิงต่าง ๆ ที่ปรากฎในเร่ืองแฮร์รี่ พอตเตอร์ ประกอบการแทรกความคิดเห็นของ
ผู้เขียน เป็นต้นว่า ไม้กวาดเหาะได้ในโลกเวทมนตร์กับเคร่ืองบินไอพ่นแฮริเออร์ในโลกวิทยาศาสตร์
หรอื แผนท่ีตวั กวนกับแผนที่ GPS

๒) มีองค์ประกอบหลักของบทความอย่างครบถ้วน ได้แก่ ชื่อเรื่อง ส่วนนาเร่ือง ส่วน
เนื้อเรื่อง และสว่ นสรุป โดยช่ือเร่ืองของบทความนั้นไดน้ าเรือ่ งแฮร์รี่ พอตเตอร์ ซง่ึ เป็นภาพยนตร์ และ
วรรณกรรมยอดนยิ มมาใชเ้ พื่อดึงดูดความสนใจของผู้อา่ น โดยเฉพาะเด็ก และเยาวชน ในส่วนนาเรื่อง
น้ันผู้เขียนเกร่ินถึงความเป็นมาของแฮร์ร่ี พอตเตอร์ แล้วเร่ิมเช่ือมโยงเข้าสู่โลกวิทยาศาสตร์
ส่วนเน้ือเร่ืองน้ันได้ถูกแบ่งไว้เป็นย่อหน้าหรือตอนอย่างชัดเจน ได้แก่ ตอนวิทยาศาสตร์กับเวทมนตร์
ตอนชานชาลาหมายเลขเก้าเศษสามสว่ นสี่ ตอนเสกของให้บินได้ ตอนไม้กวาดเหาะได้และตอนแผนที่
ตวั กวน และสว่ นสรปุ ทท่ี ิ้งท้ายไวด้ ว้ ยแงม่ มุ ของผเู้ ขียน

๓) ย่อหน้าในบทความน้ันมีเอกภาพ กล่าวคือ ในย่อหน้าแต่ละตอนนั้นได้เสนอ
สาระสาคัญของเร่ืองไว้อย่างชัดเจน เปน็ ต้นว่า ย่อหน้าตอน "เสกของให้บินได้" ได้เสนอสาระสาคญั ว่า
"นกั วทิ ยาศาสตรค์ นั พบวา่ สนามแม่เหล็กทาใหส้ สารลอยได้"

๔) มกี ารใช้ภาษาทเี่ รยี บง่าย กระชับ ชัดเจน น่าติตตาม เพ่ือให้ผู้อ่านเข้าใจ และสนใจ
เนื้อหาของเรือ่ ง

๒๒๔

๗.๑๓ สรปุ

การเขียนเชิงสร้างสรรค์นัน้ มคี วามเกี่ยวพนั กับการดาเนินชีวิตประจาวนั ของมนุษย์ในยุค
ปัจจุบันบัน หรือยุคเทคโนโลยีสารสนเทศที่เต็มไปด้วยข่าวสารและความหลากหลายของส่ืออย่าง
หลีกเล่ียงไม่ได้ กล่าวคือ ในการถ่ายทอดข่าวสารข้อมูล ความรู้ ทรรศนะ จินตนาการ ตลอดจน
ประสบการณ์จากผู้เขียนไปยังผู้อ่านนั้นจาเป็นจะต้องอาศัยโซเชียลมีเดียในการทาหน้าท่ีเป็นสื่อกลาง
นาสารเหล่าน้ันไปสู่เป้าหมายหรือกลมุ่ ผูอ้ ่านไดอ้ ย่างรวดเรว็ ดังนั้น ไม่ว่าจะเขยี นสรา้ งสรรค์ในรปู แบบ
ใดก็ตาม ทง้ั วรรณกรรม อนุทิน หรอื บนั ทกึ ประจาวนั ตลอดจนบทความ ผเู้ ขียนควรจะเรยี นรู้หลักการ
และองค์ประกอบของงานเขียนเหล่านั้น เพื่อนาไปประยุกต์ใช้ในการเขียนในชีวิตประจาวันได้อย่าง
ถกู ต้อง เหมาะแกก่ าลเทศะ และสร้างสรรค์

๗.๑๔ คาถามทบทวน

๑. การเขยี นวรรณกรรมออนไลน์ คือ
๒. การเขยี นอนุทนิ แตกต่างจากงานเขียนท่ัวไปอย่างไร
๓. บทความเชิงสร้างสรรคม์ ีลักษณะอย่างไร (ยกตวั อย่าง ๑ บทความ)
๔. การตั้งช่อื เร่ืองใน การเขียนเชิงสร้างสรรคม์ คี วามสาคญั อย่างไรตอ่ ผูอ้ า่ น
๕. ฝกึ การเขยี นความสรา้ งสรรค์คนละ ๑ เร่ือง

๗.๑๕ เอกสารอ้างองิ

เจือ สตะเวทนิ . (๒๕๑๐). ศิลปะการประพนั ธ์. กรุงเทพฯ : อกั ษรเจรญิ ทศั น.์
ปราณี สรุ สิทธิ.์ (๒๕๔๙). การเขียนสรา้ งสรรค์เชิงวารสารศาสตร์. กรงุ เทพฯ : แสงดาว.
เปลอื้ ง ณ นคร. (๒๕๔๐). พจนะภาษา. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานชิ .
พศิ าน แจ่มจรัส. (๒๕๕๐). การเขยี นการแตง่ นวนยิ ายเร่ืองสัน้ . กรงุ เทพฯ : แสงดาว.
เพชรยพุ า บรู ณ์สริ ิจรุงรฎั . (๒๕๕๗). พสิ มยั ในเขยี น. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
ร่นื ฤทัย สัจจพธั .์ (๒๕๖๐). อา่ น “ได้” อ่าน “เป็น”. กรงุ เทพฯ : สถาพรบุค๊
สมพร มันตะสูตร. (๒๕๕๒). การเขียนสร้างสรรค์. กรงุ เทพฯ : บารมีการพมิ พ์.

แผนบริหารการสอนประจาบทท่ี ๘
การพดู

หัวขอ้ เนอ้ื หาประจาบท

๑. ความหมายของการพูด
๒. องค์ประกอบของการพดู
๓. จุดมุง่ หมายของการพูดและข้ันตอนการพูด
๔. องคป์ ระกอบและบคุ ลกิ ภาพของการพดู
๕. วิธีการพดู
๖. ชนดิ และวธิ กี ารพดู
๗. หลกั และศลิ ปะการพดู
๘. การเตรยี มตัวเพอ่ื การพูด
๙. บคุ ลิกและทา่ ทาง
๑๐. การวเิ คราะห์ผฟู้ งั

วตั ถปุ ระสงคเ์ ชิงพฤตกิ รรม

๑. นักศึกษาสามารถอธิบายความหมายของการพูด ความสาคัญจุดมุ่งหมาย และ
องคป์ ระกอบของการพดู ได้

๒. นกั ศกึ ษาสามารจาแนกประเภทของการพูดได้
๓. นักศึกษาสามารถร่วมอภิปรายคณุ สมบตั ิ บคุ ลกิ ภาค ทดี่ ขี องของนักพดู ได้
๔. นกั ศกึ ษาสามารถวิเคราะห์ผู้ฟงั ได้

วธิ ีสอนและกิจกรรมการเรยี นการสอน

๑. วธิ สี อน
๑.๑ การประเมนิ ความรู้เดิม
๑.๒ ค้นควา้ หาความร้ดู ว้ ยตนเอง
๑.๓ อภิปรายเน้อื หาท่ีเรยี นมาทงั้ หมด
๑.๔ การทางานรว่ มกนั เปน็ กลุ่ม
๑.๕ การฟงั การอภปิ ราย และการบรรยาย
๑.๖ การวเิ คราะห์เอกสาร
๑.๗ การวิเคราะห์เอกสาร

๒๒๖

๒. กจิ กรรมการเรียนการสอน
๒.๑ การประเมินความรูเ้ ดิมของนกั ศึกษา
ใหน้ ักศกึ ษาทาแบบทดสอบเพ่อื ประเมินความรเู้ ดมิ ของนักศึกษา
๒.๒ การอภิปรายร่วมกนั ระหวา่ งอาจารยแ์ ละนกั ศกึ ษา
อาจารย์นานักศึกษาใหร้ ว่ มกันอภิปรายในชั้นเรยี นเกี่ยวกบั เรอ่ื งการพดู
๒.๓ การสนทนากับผู้สอนเกีย่ วกบั ศลิ ปะการพดู
๒.๔ การแบ่งกลุ่มศกึ ษาค้นคว้า
ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มทางานสืบค้นความรุ้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมท้ังฐานข้อมูล

ในระบบอนิ เตอรเ์ น็ต และนาขอ้ มูลทีค่ น้ ควา้ ไดม้ าเรียบเรยี งเป็นเอกสารและนาเสนอในช้นั เรยี น
๒.๕ การบรรยาย และถามตอบปญั หา
ให้นักศึกษาอ่านเอกสารประกอบการสอนล่วงหน้าก่อนฟังบรรยายจากอาจารย์ใน

ช้ันเรียน ซ่ึงจะเน้นประเด้นที่นักศึกษาอ่านไม่เข้าใจ หรือส่ิงที่จาเป็นยฃต้องยึดถือเป็นหลักในการฝึก
ปฏิบตั ิการพูด

๒.๖ การวเิ คราะห์เอกสารประกอบการบรรยาย
ให้นักศึกษาทางานร่วมกัน ศึกษาวิเคราะห์รูปแบบของผลงานตามที่ได้รับ

มอบหมายจากผู้สอน พร้อมยกตวั อยา่ ง

ส่ือการเรยี นการสอน

๑. เอกสารคาสอนประกอบการสอนศลิ ปะการนาเสนอ
๒. Power Point
๓. แบบฝกึ ปฏิบตั ทิ ักาะการพดู

การวดั ผลและประเมนิ ผล

๑. ประเมินความรหู้ ลังการเรียนเทยี บกับความร้เู ดมิ ของนักศึกษา
๒. ประเมินการมสี ว่ นรว่ มในการอภิปราย และสาระในการอภิปรายของนักศกึ ษา
๓. ประเมนิ ผลงานจากการศกึ ษาคน้ ควา้ ของนักศึกษา
๔. ประเมินความสนใจจากบทเรียน ด้วยการสังเกต การซักถาม การมีส่วนร่วมในการจัด
กจิ กรรมการเรียนการสอน
๕. ประเมนิ การทางานกล่มุ ของนกั ศึกษา และผลท่ไี ด้จากการทางานร่วมกัน

บทท่ี ๘
การพูด

การสื่อสารจากผู้พูดไปสู่ผู้ฟังด้วยวาจา นับว่าเป็นวิธีส่ือความหมายท่ีสาคัญ และจาเป็น
ในชวี ิตประจาวัน ซ่ึงนักธรุ กิจต้องรู้จักพูด คือพดู เปน็ ได้สาระ เหมาะกับกาลเทศะเหมาะกับผฟู้ ัง และ
มมี ารยาทในการพุดจงึ จะประสบผลสาเร็จในชวี ติ และหน้าที่การงาน

๘.๑ ความหมายของการพูด

เป็นที่ยอมรบั กันโดยท่ัวไปในปัจจุบันวา่ คามสามารถในการพูดเปน็ ส่งิ จาเป็นและมีคุณค่า
เปน็ อย่างย่ิงสาหรับทุกอาชพี มนษุ ย์จะตอ้ งอาศัยการพดู เป็นเคร่อื งมือส่ือสารเพื่อเสรมิ สรา้ งความเขา้ ใจ
ท่ดี ตี ่อกันและกนั "การพูด" มีผใู้ หค้ วามหมายของคานี้ไวห้ ลายทัศนะดังนี้

สมปราชญ์ อัมยะพันธ์ุ (๒๕๒๙, หน้า ๗) กล่าวว่า "การพูด" หมายถึงพฤติกรรมตาม
ธรรมชาตอิ ย่างหนึง่ ของมนุษย์ที่ใช้เป็นเคร่อื งช่วยในการสื่อความหมายใหเ้ ข้าใจกันและกัน โดยใช้เสียง
รหัส สัญลกั ษณ์ต่าง ๆ เพ่ือถ่ายทอดความรู้ ความรู้สึก ความคิดเห็น และความตอ้ งการจากผู้พูดไปสู่รู้
ฟงั ให้ได้ผลตรงตามความม่งุ หมายของผู้พูด

ฉัตรวรุณ ตันนะรัตน์ (๒๕๓๐, หน้า ๖) การพูด คือพฤติกรรม (Behavior) ในการสื่อ
ความหมายของมนุษย์ด้วยการพูด (oral communication) โดยการใช้สัญลักษณ์ต่าง ๆ เช่น เสียง
ภาษาอากับกิรยิ าทา่ ทาง เพื่อถา่ ยทอดความรู้ ความคิดเหน็ และความรูส้ ึกจากผูพ้ ูดไปสู่ผ้ฟู งั

จนิ ดา งามสุทธิ (๒๕๓๑, หน้า ๑) กล่าวว่า "การพูด" คือการเปลง่ เสียงออกมาเป็นคาพูด
เพือ่ ติดตอ่ ส่อื สารใหเ้ ขา้ ใจกันระหว่างผู้พดู และผู้ฟงั

สุปราณี ดาราฉาย (๒๕๓๕ : หน้า ๕) กล่าวว่า การดาเนินชีวิตประจาวันของมนุษย์
มนษุ ยใ์ ช้เวลาในการพูดรอ้ ยละ ๓๐ ของเวลาท้ังหมด และจากผลการสารวจการเรียนภาษาของกเรียน
ในโรงเรยี นมัธยมศึกษาตอนปลายแห่งหน่ึงในตา่ งประเทศพบว่าวันหน่งึ ๆ นกั เรยี นใช้เวลาสาหรบั การ
พดู ร้อยละ ๒๓ จะเหน็ ไดว้ า่ เวลา ๑ ใน ๔ ของเวลาทง้ั หมดมนษุ ยใ์ ชไ้ ปกับการพดู

ลักษณาสตะเวหิน (๒๕๔๐, หน้า ๑๓) อธิบายความหมายของการพูดว่า "การพูด เป็น
การสื่อสารระหว่างมนุษย์ เพ่ือถ่ายทอด ความคิด ความรู้สึก และอารมณ์โดยใช้ภาษาน้าเสียง และ
การแสดงออกเปน็ ส่ือ"

ออม ประนอม (๒๕๔๐ : ๑๓๒) "การพูดเป็นการสื่อสารระหว่างมนุษย์ เพ่ือถ่ายทอด
ความคิดความรู้สึก และอารมณ์ โดยใชภ้ าษา นา้ เสียงและการแสดงออกเปน็ สอ่ื "

๒๒๘

กองเทพ เคลือบพณิซกุล (๒๕๔๒ : ๔๓) ได้เขียนความหมายของการพูดไว้ว่า "การพูด
คือ การที่มนุษย์เปล่งเสียงเป็นถ้อยคาภาษาออกมา เพื่อแสดงความรู้ ความคิด ความรู้สึกหรือความ
ตอ้ งการของผู้พูดไปให้ผู้ฟงั ได้ยินและเข้าใจ โดยอาศัยภาษา น้าเสียงและอากัปริยาท่าทางเป็นส่ือและ
มคี วามตอบสนองจากผู้ฟัง"

นิพนธ์ ทิพย์ศรีนิมิต (๒๕๔๔ : ๒๗) ให้ความหมายของการพูดดังน้ี "การพูด คือ
กระบวนการถ่ายทอดความคิด ความรู้สึก และประสบการณ์ของผู้พูดไปสู่ผู้ฟัง โดยอาศัยถ้อยคา
น้าเสียง และอากปั กริ ิยาในการสือ่ ความหมาย"

พจบาบกุ รมบบั ราชบณั ทิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ อธบิ ายความหมายของคาว่า "พูด" ไว้ว่า
เป็นคากริยา หมายถึง เปล่งเสียงออกเป็นถ้อยคา, พูดจา ก็ว่า การพูดจึงหมายถึงการพูดจา การเปล่ง
เสียงการบรรยาย พฤติกรรมการแสดงออกเป็นหน่ึงในหลาย ๆ "วิธีของการส่ือสาร โดยอาศัยถ้อยคา
น้าเสียงและท่าทางถา่ ยทอดความรู้ ความคดิ ความรสู้ กึ และความตอ้ งการ

จากนิยามดังกล่าวจึงสรุปความหมายของการพูดไว้ว่า การพูด คือการใช้เสียง น้าเสียง
ภาษากิริยาท่าทาง เพ่ือถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความต้องการไปยังผู้ถือ ทั้งน้ีมุ่งหวังให้เกิดการรับรู้
และเขา้ ใจตรงกนั

๘.๒ ความสาคัญของการพดู

การพูดมีความสาคัญย่ิงต่อมนุษย์ เพราะมนุษย์ใช้การพูดเป็นแกนกลางในการทาความ
เขา้ ใจเพื่ออธิบาย โน้มน้วมจงู ใจ หรอื เพ่ือทาความเข้าใจกบั บุคคลอื่น ๆ การพูดเป็นเร่ืองของการใช้ท้ัง
ศาสตร์ และศิลป์ในการสือ่ ความหมาย ที่กล่าววา่ "เป็นศาสตร์" ก็เพราะเป็นวิชาท่ีหลักเกณฑ์ มที ฤษฎี
ให้เรียนรู้และถ่ายทอดกันได้ ส่วนที่กล่าวว่า "เป็นศิลป์" ก็เพราะการพูดต้องนาศาสตร์หรือทฤษฎีไป
ปฏิบัติให้เกิดความไพเราะสวยงามเป็นที่ประทับใจผู้ฟังทั้งนี้เพ่ือให้กิดความเช่ือถือเกิดศรัทธา และ
ปฏิบัติตาม เน่ืองจากการพูดเป็นท้ังศาสตร์และศิลป์ผู้ท่ีรู้จักใช้ศิลปะในการพูดจึงมักจะมีโอกาสสร้าง
ความสาเร็จและความก้าวหน้าให้กับตนเองได้อย่างมากตรงกันข้ามกับคนที่พูดไม่เป็น หรือพูดไม่ดี
นอกจากคาพูดน้ันจะเป็นอุปสรรคต่อการดาเนินงานแล้วยังอาจเป็นการสร้างศัตรูให้กับผู้พูด
เองด้วยด้วยเหตุน้ีจึงมีผู้กล่าวถึงความสาคัญของการพูดเอาไว้เพื่อเป็นสติเตือนใจให้ระลึกอยู่เสมอ
ว่าการพูดน้ัน ไม่ใช่ ดีแต่พูด พูดเก่งหรือพูดได้ แต่ควรจะ พูดดี พูดเป็น และพูดให้เกิดประโยซน์
(นิพนธ์ ทิพยศ์ รีนมิ ติ ,๒๕๔๔, หนา้ ๒๙)

๒๒๙

อิทธิพลของคาพูดสามารถทาให้ผู้พูดประสบความสาเร็จในด้านต่าง ๆ มาแล้วจานวน

มากโดยเฉพาะอาชีพด้านการพูด เช่น ครูอาจารย์ พระสงฆ์ นักการเมือง นักประชาสัมพันธ์ ๆลฯ

การพูดดีย่อมถือว่าเป็นคุณสมบัติเด่นที่จะสร้างศรัทธา ความเสื่อมใสให้เกิดแก่ผู้ฟังในทาง

พระพุทธศาสนายกย่องการพูดดีว่า วจีสุจริต หรือ มธุรสวาจา เพราะเป็นการพูดในทางสร้างสรรค์

เป็นการพูดของคนฉลาด สามารถให้เกิดประโยชน์แก่ผู้พูดและผู้ฟัง ดังสุนทรภูจินตกวีเอกของไทยได้

ประพนั ธก์ ลา่ วถงึ ความสาคัญของการพดู ไวใ้ นนริ าศภูเขาทองว่า

"ถงึ บางพดู พดู ดีเปน็ ศรศี ักดิ์ มคี นรักรสถ้อยอรอ่ ยจติ

แมพ้ ูดชั่วตวั ตายทาลายมิตร จะชอบผดิ ในมนุษย์เพราะพดู จา"

ในสภุ าษติ สอนหญงิ ของ ทา่ นสุนทรภกู่ ็ไดป้ ระพันธเ์ นน้ ความสาคญั ของการพดู เอาไวต้ อนหนงึ่ วา่

"พูดจาปราศรยั กับใครน้นั อยา่ ตะคัน้ ตะลอกใหเ้ คืองหู

ไมค่ วรพูดออ้ื องึ ข้ึนมงึ กู คนจะหลู่สวนลามไม่ขามใจ"

การพูดแสดงให้เห็นชัดเจนว่าการพูดมีความสาคัญในชีวิตประจาวันเป็นอย่างย่ิงในการดารงและ

ดาเนินชีวิตอย่างมีคุณค่า ผู้มีความสามารถในการพูดดีย่อมมีความสาเร็จในชีวิตเป็นอย่างดีการพูด

จึงมีความสาคัญนานับปการ การพูดเป็นเคร่ืองมือในการเข้าสมาคมท่ีสาคัญของมนุษย์มนุษย์ใช้

การพูดเป็นเครอ่ื งมือติดต่อสื่อความหมายซึ่งกันและกนั ทาให้มนุษย์สามารถดารงเปน็ ชุมชนน้อยใหญ่

ตลอดจนเป็นประเทศอยู่ได้ เพราะคนในสังคมน้ันใช้การพูดสาหรับแลกเปล่ียนความรู้ความรู้สึก

ความคิดเห็น และความต้องการระหว่างคนกับคนโดยใช้คาพูดซึ่งต้องใช้ประกอบกับกิริยาท่าทาง

สีหน้า ดวงตา และการเคล่ือนไหวของร่างกาย นอกจากน้ีการพูดยังเป็นกระบวนการต่อเน่ืองคือมี

ผู้ส่งสาร มีผู้รับสาร แล้วต้องมีการพูดเป็นเครื่องมือในการสื่อสารถ้าขาดส่วนใดส่วนหน่ึงการสื่อสารก็

ไมเ่ กิดขนึ้

นิมิต ทิพย์ศรีนิมิต (๒๕๔๔ : ๓๒-๓๔) กล่าวถึง ความสาคัญของการพูดท้ังที่เกิดข้ึน

โดยตรงต่อตัวผู้พูด ต่อผู้ฟัง และผู้เก่ียวข้อง ต่อการประกอบอาชีพ ต่อสังคม และต่อประเทศชาติไว้

ดังนี้

๑) การพูดมีความสาคัญต่อตนเอง เพราะมนุษย์จาเป็นต้องมีการคบหาสมาคมซ่ึงกัน

และกันต้องมีการเรียนรู้ในสิ่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของศาสนา การเมืองประเพณีวัฒนธรรม หรือ

แม้แต่วิถีแห่งการดาเนินชีวิตการเรียนรู้ดังกล่าวต้องใช้ภาษาพูดในการติดต่อเพ่ือส่ือความหมายให้

เข้าใจซ่ึงกัน และกนั อนั จะส่งผลให้บุคคลเกิดการเรียนร้เู กดิ การพัฒนารวมท้งั สามารถนาประสบการณ์

ต่าง ๆ ไปใช้ให้เกิดประโยชน์ในการดาเนินชีวิต ดังตัวอย่างบุคคลที่ประสบผลสาเร็จในหน้าท่ีการงาน

หรือรัฐบุรุษคนสาคัญของโลก เช่น อับราฮัมลินคอร์นจอร์นเอฟ เคนเนดี้ หรือ ม.ร.ม.คึกฤทธิ์

ปราโมช เป็นต้น บุคคลเหล่าน้ีประสบความสาเร็จได้ก็เพราะโด่งดังมาจาก การพูด ดังคากล่าวของ

๒๓๐

สุขมุ นวลสกลุ ท่ีว่า "การพดู ดีหรือพดู เก่งน้นั เป็นสมบตั ิอย่างหนึง่ ทีท่ าให้คนประสบความสาเรจ็ ในชวี ิต
การงาน"

๒) การพูดมีความสาคัญต่อผู้ฟังหรือผู้เก่ียวขอ้ งการได้รับรู้หรือได้รับฟังข้อมูลท่ีดี และ
มีประโยชน์ นอกจากจะทาให้ผู้ฟังหรือผู้เกี่ยวข้องมีความรู้เกิดความคิดและเกิดความสบายใจแล้ว
ยังอาจนาความรู้ความคิดดังกล่าวไปใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อตนเองและส่วนรวมได้ด้วยในทางกลับกัน
ถ้าได้รับรู้รับฟังข้อมูลท่ีผิดพลาด อาจทาให้เกิดความเข้าใจผิดหรือนาไปปฏิบัติในทางท่ีผิดซึ่งเท่ากับ
เป็นการให้โทษแก่ผู้ฟังและผู้เกี่ยวข้องโดยตรง ดังนั้น ก่อนจะพูดส่ิงใดควรตรึกตรองให้รอบคอบ
เสียก่อน ดังคาของเดล คาร์เนกี "อย่าพูดจนกว่าท่านจะม่ันใจว่าท่านมีบางอย่างท่ีจะพูด และรู้ว่าเป็น
เรอื่ งอะไร"

๓) การพูดมีความสาคัญต่อการประกอบอาชีพ เพราะการพูดเป็นเคร่ืองมือสื่อสาหรับ
ประกอบอาชีพต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น แพทย์ พยาบาล นักธุรกิจ นักบริหาร วิศวกร หรือนักการเมือง
โดยเฉพาะอาชีพครูซ่ึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพูดโดยตรง ท้ังน้ีเพราะอาชีพครูต้องใช้กาษาพูดเพื่อ
ถ่ายทอดความรู้ความคิดให้แก่ผู้เรียน เพ่ืออบรมบ่มนิสัยให้เป็นคนดี เพื่อสามารถให้ติดต่อสัมพันธ์กับ
บุคคลอื่นหรือกับสังคมภายนอก การได้เรียนรู้ได้ฝึกฝนเกี่ยวกับการพูดอยู่เสมอจะทาให้เกิดความรู้
ความเข้าใจในหลักเกณฑข์ องการพดู มากข้ึน โอกาสทจี่ ะสรา้ งความสาเรจ็ ในการประกอบอาชีพก็จะมี
มากข้ึน ดังคากล่าวของ วิจิตร อาวกุล ท่ีว่า "การพูดมิใช่แต่เพียงพูดได้หรือพูดเป็น แต่ต้องพูดให้ได้ดี
ถงึ ระดับ จงึ จะใชป้ ระกอบอาชพี ได้"

๔) การพูดมีความสาคัญต่อสังคม สังคมจะอยู่ได้ก็เพราะสมาชิกของสังคมมีความ
เข้าใจซ่ึงกันและกัน ความเข้าใจดังกล่าวส่วนใหญ่เกิดจากการใช้ภาษาในการติดต่อสื่อสาร เพ่ือการ
ดาเนินชีวิต ประกอบอาชีพอบรมส่ังสองปลูกฝั่งประเพณีวัฒนธรรม รวมท้ังแสดงความเห็นอกเห็นใจ
ต่อกันหากสมาชิกพูดกันไม่เขา้ ใจจะส่งผลให้เกดิ ความขัดแย้ง และทาให้สังคมนั้น ๆ เกิดปัญหาตามมา
การอยู่ในสังคมที่มีความหลากหลาย จึงต้องระมัดระวังโดยเฉพาะเรื่องของการพูด ดังคากล่าวของ
เปล้อื ง ณ นคร ทีว่ า่ "บางพดู ดี แต่ไมน่ ่าฟงั บางคนพูดนา่ ฟัง แต่ไมด่ ี บางคนพดู ดีดว้ ยแล้วน่าฟงั ดว้ ย"

๕) การพูดมีความสาคัญตอ่ ประเทศชาติ ในการบริหารประเทศ การแถลงนโยบายของ
รัฐบาลก็ดีการอภิปรายในรัฐสภา หรือการให้คาม่ันสัญญาของรัฐมนตรีก็ดี คาเหล่านี้ล้วนแต่ท้าทาย
เพ่ือการพิสูจน์ให้เห็นจริงว่าผู้พูดมีความสามารถจริงหรือไม่ และคาพูดน้ัน ๆ มีความเป็นไปได้มาก
น้อยเพียงใดเป็นเรื่องที่ทุกคนต้องการพิสูจน์แสะรอคอยคาตอบ ดังน้ันการพูดในระดับประเทศ ซึ่งมี
ผลกระทบต่อผู้คนในภาพรวมผู้พูดจึงระมัดระวังและต้องมีจุดประสงค์ท่ีแน่นอนอย่างเช่นคาพูดของ
ประธานาธบิ ดีจอห์น เอฟเคเนด้ี ที่วา่ "อย่าถามว่ารัฐให้อะไร กับท่านบ้าง แต่จงถามว่าท่านได้ให้อะไร
แก่รฐั บ้าง" เป็นการพูดที่มุ่งหมายให้ประชาชนรู้จักเสียสละ เพ่ือประเทศชาติ หรือการพูดที่ต้องการให้
เห็นความสาคัญของชาวนา ซ่ึง ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้กล่าวว่า "ทุกข์ของชาวนาคือทุกข์ของ

๒๓๑

แผ่นดิน" เป็นต้น นอกจากชนในชาติจะมีความเข้าใจกันและอยู่ร่วมกันอย่างสงบเรียบร้อยแล้ว
เรายังต้องติดต่อกับต่างประเทศเพื่อผลประโยชน์ในด้านต่าง ๆ หรือเพ่ือความร่วมมือต่อกันอีกด้วย
การเจรจาที่ก่อให้เกิดความเข้าอกเข้าใจต่อกันยอ่ มกอ่ ให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในสิ่งที่มุ่งหวงั แตถ่ ้าการเจรจา
ไม่เป็นที่ตกลงก็จะก่อให้เกิดความขัดแย้ง เกิดการเอารัดเอาเปรียบ หรือมีการแทรกแซง เพ่ือบ่อน
ทาลายประเทศชาติก็จะตกอยู่ในภาวะอนั ตราย หรือกลายเปน็ สงครามในท่ีสดุ

จะเห็นได้ว่า การพูดมีความสาคัญต้ังแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีบทบาทต่อการเมือง
ศาสนา การค้าตลอดจนถึงชีวิตประจาวันของคนเราถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดจากผู้พูดไปยังผู้ฟังให้
เป็นที่เข้าใจกันการพูดมีความสาคัญต่อทุก ๆ คนและเป็นเคร่ืองมือที่จาเป็น และสาคัญในการ
ประกอบอาชพี ในแต่ละสังคม และในวงการทุกวงการคนในสังคมยอมรับว่า ไมว่ า่ จะทาอะไร ประกอบ
อาชีพอะไร เป็นต้นว่า นายแพทย์ นักธุรกิจ นักการเมือง นักบริหาร ตารวจ ผู้พิพากษา ครูอาจารย์
จะต้องอาศยั การพูด เป็นส่วนสาคัญ ในขณะปฎิบัติงานการพูดที่ดียังเป็นเสมือนอากรณ์ท่ีช่วยส่งเสริม
บุคลิกภาพผู้พูดให้เป็นท่ีชื่นชม และนิยมชมชอบในการคบหาสมาคมกับผู้อ่ืนและยังเป็นการสร้าง
มนุษยสัมพันธ์ที่ดีในสังคมการพูดยังเปรียบเสมือนกระจกที่ส่องให้เห็นความเฉ ลียวฉลาด
ความสามารถ ความชัดเจน ตลอดจนอุปนสิ ัยใจคอของผูพ้ ูดได้เป็นอยา่ งดี

องค์ประกอบของการพดู (ผ้พู ูด + สาร + เสียงสือ่ อ่ืนๆ + ผฟู้ ัง + ผลของการสอ่ื สาร)
๑. ผู้พูด คือ ผู้ที่เร่ิมต้นส่งสารผ่านสื่อ(เสียง) ควรเป็นผู้ที่มีความรู้ มีวาทศิลป์ดี
มีจดุ มุ่งหมายในการพูด
๒. ผู้ฟัง คือ ผู้ที่รับสารผ่านสื่อ(เสียง) ควรเป็นผู้ที่มีทักษะภาษาดีตั้งใจฟังสาร และมี
การปฏกิ ิริยาตอบสนอง
๓. เนอื้ หาสาระที่พูด
๔. สอ่ื /ครอื่ งมือท่ใี ช้ในการส่อื สาร

- สอ่ื ธรรมชาติ
- สอ่ื บคุ คล
- สอ่ื ส่ิงพมิ พ์
- สื่ออเิ ลก็ ทรอนกิ ส์
- ส่ือระคน
๕. จดุ มงุ่ หมายหรอื ผลที่เกิดจากการพูด

๒๓๒

บุคลิกภาพของผพู้ ดู ทดี่ ี
๑. การแตง่ กาย

- การแต่งกายสุภาพเรยี บรอ้ ยเหมาะสมกบั โอกาส สถานที่ และตวั ผู้พดู ฯ
- ทรงผมไมร่ ุงรังจนกลายเป็นอปุ สรรคการพดู
๒. การเดนิ -การยืน-การนัง่
- การเดิน ให้เดินตัวตรงไม่เอียงไปเอียงมา เดินให้เต็มเท้า และก้าวเท้าให้ได้
จงั หวะพอดี
- การนั่ง ให้น่ังตัวตรง เอนหลังได้เล็กน้อย อย่านั่งไขว่ห้าง อย่านั่งเท้าคางหรือ
กอดอกหรอื เขย่าขาฯ
- การยืน ยืนทงิ้ น้าหนกั ไปทเี่ ทา้ ทัง้ สองข้างให้พอดียนื ตัวตรง ไมย่ นื เอียงไปเอยี งมา
๓. การแสดงสหี น้า- การใช้เสียง
- การแสดงสีหน้าและน้าเสยี ง ผ้พู ดู ไมค่ วรทาหน้าปง้ิ หนา้ นวิ่ ค้ิวขมวดแสดงความ
ไม่พอใจ ควรแสดงสีหน้าใหเ้ หมาะสมกบั เน้ือเรอ่ื ง
- การใช้น้าเสียงตอ้ งดี ไมพ่ ดู เสยี งหว้ นกระดา้ ง ไม่ดัดเสยี งฯ
๔. การแสดงทา่ ทาง
- การแสดงท่าทางประกอบการพูด ต้องพอเหมาะพอดี ไม่มากหรือน้อย
จนเกินไป ไม่ควรใช้มือสูงกว่าศีรษะหรือต่ากว่าช่วงเอว ไม่ควรเอามือล้วงกระเป๋าหรือเกาหน้าเกาขา
หากนกึ ไมอ่ อก ๆ
๕. การใช้สายตา
- การใช้สายตามองสบตาผู้ฟังให้ท่ัว ไม่จ้องเขม็งไปที่จุดใดจุดหน่งึ หรือท่ีคนใดคน
หนึง่ และไมใ่ ชส้ ายตาแสดงความไมพ่ อใจจอ้ งไปยงั ผู้ฟัง
๖. การใช้ใมโครโฟน
- การใช้ไมโครไฟน ไม่ควรเป้าหรือเดาะไมโครโฟนก่อนพูด ไม่ควรตะเบ็งเสียงใส่
ไมโครโฟน
๗. การใช้ภาษา-การออกเสยี ง
- การใช้ภาษาต้องเหมาะสมไพเราะสุภาพออกเสียงควบกล้า และอักขระถูกต้อง
ชัดเจนไมต่ ะกุกตะกกั ไมค่ วรใช้ศพั ท์วิชาการคาย่อ หรอื ภาษาต่างประเทศมากเกินไป

๒๓๓

มารยาทท่ดี ขี องการพดู ในท่ีประชมุ ชน
- การแต่งกายเรียบร้อยเหมาะสมกับกาลเทศะ
- ใช้คาพดู สภุ าพเรยี บร้อยนุ่มนวล ไมใ่ ชอ้ ารมณ์ในการพดู
- ไม่กลา่ ววาจาเสยี ดแทง/ไม่พูดอวดตนข่มผู้อนื่ / ไมพ่ ดู เรือ่ งสว่ นตวั
ข้ันตอนการพูดในท่ีประชมุ ชน
เม่ือออกไปพดู ในทปี่ ระชุมชนควรปฏบิ ัติ ดังน้ี
๑. ทักทายผู้ฟัง
๒. แนะนาตนเอง ผู้พูดต้องแนะนาตนเองให้ผู้ฟังรู้จักว่าตนเองเป็นใคร ทาอะไร ชื่อ
อะไร ทางานอยทู่ ไ่ี หนฯ
๓. กลา่ วนาก่อนเข้าเรอื่ งที่ตอ้ งการพดู
๔. พูดเนื้อหาท่ีเตรียมมาให้ตามโครงเรื่องท่ีวางไว้ เนื้อเรื่องจะไม่วกวน และพูด
ตอ่ เน่อื งเป็นลาดบั คนฟงั จะไม่สบั สน
๕. ระหวา่ งทพี่ ดู ควรใชส้ ายตา นา้ เสียง และท่าทางประกอบการพดู ทเี่ หมาะสม
๖. เม่ือพูดจบแล้วควรกล่าวสรุปจบ กล่าวทิ้งท้าย และกลา่ วสวัสดี/ขอบคณุ ผู้ฟังก่อนท่ี
จะยุติการพูด ไมค่ วรจบการพดู ดว้ ยคาพูดเหล่านี้

- เวลาหมดพอดี พอแคน่ ้ี
- ท่ีเตรียมมาเน้อื หาหมดพอดี ไม่รู้วา่ จะพดู อะไรต่อดี พอแคน่ ี้
- ขอบคุณทอี่ ดทนฟงั หวังว่าคงจะได้อะไรกลบั ไปบ้าง
- ท้ายท่ีสดุ คงตอ้ งขออภัยหากพดู อะไรผิดพลาดไป หวังว่าผู้ฟงั จะใหอ้ ภัย
- ในท้ายทีส่ ดุ น้ตี อ้ งขอขอบคณุ ทุกทา่ นท่ีอุตส่าห์ต้งั ใจฟงั ตั้งแตต่ น้ จนจบ ฯลฯ
เมื่อพูดจบแล้วผู้พูดจะต้องประเมินผลการพูดของตนเองด้วยว่าประสบผลสาเร็จมากน้อยเพียงใด โดย
สังเกตจากปฏิกิริยา สีหน้าของผู้เข้าฟัง หรืออาจจะให้ผู้ฟังตอบแบบสอบถาม เพ่ือท่ีผู้พูดจะได้นาไป
ประเมนิ ผลการพดู ของตนเอง และนาผลทีไ่ ดไ้ ปปรับปรงุ วิธกี ารพดู ของตนให้ดียิง่ ข้ึน

๘.๓ วิธีการพูด

นักพูดทุกคนสามารถเลือกใช้วิธีการพูดแบบใดก็ได้ ใน ๔ แบบ คือ อ่านจากข้อความที่
เตรียม พูดจากความจาพูดโดยไม่เตรยี มตัว และพูดโดยมกี ารเตรียมการมาก่อน การพูดท้งั ๔ วิธนี ี้ จะ
ทาให้ผู้พดู มอี สิ ระในการทจี่ ะเลอื กใหเ้ หมาะสมกับผู้ฟัง โอกาส เรอ่ื ง และความสามารถของผพู้ ูด

๑. พดู โดยอ่านจากข้อความท่ีเตรียมไว้ เป็นวิธกี ารที่ใช้พูดเร่ืองท่ีเป็นทางการป้องกันมิ
ใหเ้ สนอข้อมลู ผดิ พลาด

๒๓๔

- ข้อดี ใชพ้ ูดเรือ่ งสาคัญ ๆ เรื่องท่เี ข้าใจยาก รกั ษาเวลาไดต้ ามกาหนด
- ขอ้ เสีย ไมอ่ อ่ นตวั ขาดความเปน็ กนั เอง
- โอกาสทีจ่ ะใช้การปราศรัย การพดู ทางวทิ ยุ - โทรทัศน์ พธิ กี ารตา่ ง ๆ
๒. พูดจากความจา เป็นวิธีการท่ีผู้พูดมีการเตรียมการเขียนไว้ก่อนว่าจะพูดว่าอย่างไร
แลว้ ทอ่ งจาเอาไว้เพือ่ นามาพูดเม่ือถึงเวลา
- ขอ้ ดี เหมาะสาหรบั ผูท้ ่ีไมส่ ามารถคดิ คาพูดขณะอยู่ต่อหนา้ ผู้ฟังได้
- ข้อเสยี ไม่อ่อนตวั เคร่งเครยี ด เสยี เวลาเตรียมการมาก ถ้าลมื จะพูดไมจ่ บ
- โอกาสที่จะใช้ เม่ือไมส่ ามารถเลอื กใช้วธิ ีพูดโดยอ่านจากข้อความที่เตรยี มไว้
๓. พูดโดยกระทันหัน เป็นการท่ีผู้พูดไม่ได้เตรียมตัวมาก่อน หรืออาจมีเวลาเตรียมตัว
เพยี งเล็กน้อยก่อนถงึ เวลาพูด ผู้พูดจึงต้องใชท้ ้งั ความรู้ และประสบการณ์ที่มีอย่มู าประกอบการพูด
- ขอ้ ดี แสดงความสามารถไดเ้ ตม็ ท่ี แสดงถงึ ปฏภิ าณไหวพริบของผู้พูด
- ข้อเสีย หาผู้ปฏบิ ตั ยิ าก ผู้ไมช่ านาญขาดประสบการณ์ จะพดู ไมไ่ ด้
- โอกาสทีจ่ ะใช้ การสัมภาษณ์ งานมงคลต่าง ๆ
๔. พูดโดยเตรียมการมาก่อน เป็นวิธีการที่ใช้พูดกันอยู่ท่ัวไปสาหรับนักพูดที่ดี การพูด
แบบน้ีต้องมีการเตรียมการ และมีการฝึกฝนอย่างพอเพียง ในการเตรียมการนั้น จะต้องมีการวางแผน
และกาหนดหวั ข้อเรื่องอยา่ งละเอียด ผู้พูดเพยี งแตด่ าเนินการพูดไปตามเร่อื งท่ีกาหนดไว้
- ข้อดี อ่อนตัว ผู้พูดสามารถปรับคาพูดให้เหมาะสมกับเหตุการณ์ ผู้ฟังและ
โอกาส เกิดความมั่นใจ
- ข้อเสีย ต้องใช้เวลาเตรียมการพอควร
- โอกาสทจี่ ะใช้ ใช้ได้ทุกโอกาส

๘.๔ การวางแผนและการเตรียมการพดู

วิธีพูดโดยการเตรียมการมาก่อน มิใช่กฎตายตัวท่ีประกันว่าจะทาให้ผู้พูดประสบ
ความสาเร็จในการพูด เพียงแต่ทาให้ผู้พูดเกิดความม่ันใจตนเองมากข้ึนในการทาให้ผู้ฟังเข้าใจเรื่องท่ี
พูด ขจัดปัญหาของผู้ฟังไดอ้ ย่างแจ่มแจ้ง การเตรียมการต้องทาด้วยความละเอียดรอบคอบทุกข้ันตอน
โดยมีความมุ่งหมายท่ีจะทาให้ ผู้ฟังเกิดปฏิกริยาตอบสนองในทันที ต้ังแต่เรมิ่ ต้นจนจบ ขน้ั ตอนสาหรับ
การเตรียมการพดู ประกอบดว้ ย ๔ ขนั้ ตอนคือ

๑. กาหนดความมุง่ หมาย
๒. รวบรวมขอ้ มลู
๓. เลือกกระสวนการพดู
๔. เตรียมหวั ขอ้ การพดู

๒๓๕

๘.๕ การกาหนดความมุง่ หมาย

เพ่ือให้ผู้ฟังเข้าใจ เกิดความเชื่อ ลงมือกระทา หรืองดการกระทาบางอย่าง ผู้พูดจะต้อง

กาหนดความมุ่งหมายที่ตนจะพูด และการตอบสนองจากผู้ฟังเสียก่อน เพ่ือผู้พูดจะได้เลือกแบบของ

การพูดให้เหมาะกับความมุ่งหมายและ การตอบสนองตามที่กาหนดไว้ การกาหนดความมุ่งหมายแบ่ง

ออกเปน็ ๓ ประการ คือ

ความมุ่งหมายในการพูด การตอบสนองจากผ้ฟู ัง แบบของการพูด

ให้ความเพลดิ เพลนิ ความบนั เทงิ ความพอใจ บอกเลา่

แถลงข่าวสาร ความเขา้ ใจ เกิดความรู้ บอกเล่า บรรยาย

สร้างอิทธิพลเหนือผู้ฟงั คล้อยตาม การกระทา ชักชวน

๘.๖ การวิเคราะห์ผ้ฟู งั และโอกาส

ตัวประกอบสาคัญท่ีมีอิทธิพลต่อการกาหนความมุ่งหมายในการพูด และเร่ืองที่จะพูดก็
ได้แก่ผู้ฟัง และโอกาส ดังน้ัน ผู้พูดจะต้องวิเคราะห์ตัวประกอบท้ังสองให้รอบคอบ เพื่อท่านจะได้รับ
การตอบสนองจากผู้ฟังตามท่ีท่านกาหนดไว้ในการวิเคราะห์ผู้ฟัง ผู้พูดควรจะทราบเร่ืองเกี่ยวกับผู้ฟัง
อยา่ งน้อยตามหัวข้อต่อไปนี้

๑. ฐานะส่วนตัว และในสังคม การทราบความเป็นอยู่ ฐานะ อาชีพ จะทาให้ผู้พูด
กาหนดขอบเขต ของเร่ืองท่จี ะพดู ได้เหมาะกับความรู้และประสบการณ์ของผูฟ้ งั ได้

๒. อายุ เพศ การศกึ ษา จานวน ขนาด เลอื กเรื่องท่จี ะพูดไดเ้ หมาะสมกบั ผ้ฟู ังยิ่งขึ้น
๓. ทัศนคติของผู้ฟังที่มีต่อผู้พูด และเร่ืองที่จะพูดเป็นอย่างไร ? เป็นฝ่ายเดียวกัน เป็น
กลาง หรือเป็นฝ่ายตรงกันข้าม ผู้ฟังเคยรู้จักคุ้นเคยกับผู้พูดมาก่อนหรือไม่ ฯลฯ ส่ิงเหล่านี้จะเป็นแรง
กดดันให้ผู้พูดต้องเลือกวิธีการ และเครื่องมือท่ีจะใช้ประกอบการพูดอย่างละเอียดรอบคอบ โอกาสที่
ผู้พูดไปพูดก็เป็นตัวประกอบหน่ึงที่จะกาหนดเรื่อง และวิธีที่จะพูด เช่น จะไปพูดท่ีไหน ? มีคนฟัง
เท่าไร ? สถานท่ีที่จะไปพูดเป็นอย่างไร ? มีผู้พูดอ่ืนร่วมด้วยหรือไม ? ใช้วิธียืนหรือนั่งพูด ? ฯลฯ ตัว
ประกอบเหล่าน้ีมีผลกระทบกระเทือนต่อผู้พูดและผู้ฟัง ฉะนั้นการทราบโอกาสที่ไปพูดทาให้ผู้พูด
เตรียมการและปรับการพูดให้เข้ากบั สถานการณ์ได้งา่ ยข้ึน การวิเคราะห์ โอกาสท่ีจะพูดควรพิจารณา
ตามหวั ขอ้ ต่อไปนี้

๓.๑ ความเหมาะสมเกี่ยวกับ กาลสมัย ทัศนคติ ความเชอ่ื ถอื ความนยิ ม บุคคล
๓.๒ เวลาที่กาหนดให้ มากหรือนอ้ ย อยู่ในช่วงไหนของวัน
๓.๓ เร่ืองท่ีจะพูด ยึดถือหลัก "คนฟังจะเช่ือเพราะในเรื่องที่ตนเชื่ออยู่แล้วหรือ
อยากจะเช่ือเทา่ นนั้ "

๒๓๖

๘.๗ การรวบรวมขอ้ มูล (DTECS)

การรวบรวมข้อมูล เพื่อนามาใช้ประกอบเน้ือหาการพูดนั้นสามารถหาได้หลายทาง เช่น
จากความรู้ ความชานาญของผู้พูดเอง ถามจากผู้มีความรู้ความชานาญในด้านน้ัน ๆ หรือจาก
การศึกษา ค้นคว้าดว้ ยตนเอง ผู้พูดควรจะใช้ข้อมูลจากความรู้ความชานาญของตนเองมาใชใ้ นการพูด
ก่อนหากติดขัดในเร่ืองใดจึงจะไปสอบถามผู้รู้ ผู้ชานาญในสาขาน้ัน ๆ หรืออาจหาได้จากการศึกษา
ค้นควา้ การสังเกตของตนเองในเรื่องน้ัน ๆ ก็ได้ เม่ือทราบขอ้ มลู และเกดิ แนวความคดิ โดยไมต่ ้องพะวง
เร่ืองข้นั ตอน ภาษา หรอื ความสละสลวยแล้ว ใหเ้ ขยี นไดท้ นั ที

เลอื กกระสวนการพูด
เม่ือผู้พูดได้ข้อมูลเก่ียวข้องกับเร่ืองที่จะพูดเพียงพอแล้ว ก็จะนาข้อมูลเหล่าน้ันมาจัด
ระเบียบ ขั้นตอน ให้เหมาะสมท่ีจะเสนอต่อผู้ฟัง ซึ่งเรียกกันว่ากระสวนการพูด เพ่ือให้ง่ายต่อการ
ติดตามและต่อความเขา้ ใจของผ้ฟู งั ซง่ึ มีอยู่ ๕ กระสวนด้วยกนั คอื

กระสวนการพดู เรอื่ งที่พูด

๑. ลาดับเวลา (Time Pattern) - การเปล่ยี นแปลงตา่ ง ๆ รายงาน

๒. ลาดบั เรอ่ื ง (Topical Pattern) - ด้านวิชาการ, ทฤษฎี

๓. ลาดับสถานที่ (Space Pattern) - บอกเล่า, บรรยายเรือ่ ง

๔. เหตแุ ละผล (Cause - and - Effect Pattern) - การช้แี จงหรืออธบิ ายสถานการณ์ท่เี กดิ ขนึ้

เรอื่ งราวที่มเี บื้องหลัง

๕. แก้ปัญหา (Problem - Solution Pattern) - เรอ่ื งทตี่ อ้ งใช้ต้องการตัดสินใจ

เตรียมหัวข้อการพดู
เพอื่ ให้การพดู เป็นไปตามความมุ่งหมาย ง่ายต่อการติตตามและความเข้าใจ ผู้พูดจะต้อง
นาข้อมูลต่าง ๆ ที่รวบรวมไว้แล้ว มาเสนอต่อผู้ฟังตามโครงเร่ืองการพูดต่อไปน้ี คือ คานา เน้ือเร่ือง
และสรุป โดยทคี่ านา ประกอบด้วย
- การก่อให้เกิดความสนใจ ด้วยเร่ืองราวท่ีแปลกใหม่ ตลกขบขัน น่าสงสัย เป็น
ปญั หา ฯลฯ
- การกระตุน้ ให้อยากฟัง ผฟู้ งั จะไดป้ ระโยชนอ์ ะไรจากการฟงั
- การบอกหวั ขอ้ เร่ืองสาคัญ ผ้พู ดู จะพูดหัวข้อยอ่ ยอะไรบา้ ง

๒๓๗

ตวั เรอื่ ง ประกอบดว้ ย
- หัวข้อสาคัญข้อท่ี ๑ (มีเหตุผล ข้อเท็จจริง ตัวอย่าง สถิติ การเปรียบเทียบ
การอปุ มาอุปไมย ฯลฯ มากลา่ วอ้างสนับสนุน)
- หัวข้อสาคัญขอ้ ท่ี ๒ (เหมือนหวั ข้อสาคญั ท่ี ๑)
- หวั ข้อสาคญั ข้อที่ ๓ (เหมือนหัวข้อสาคัญท่ี ๑)

สรุป ประกอบดว้ ย ๓ สว่ นคือ
- สรุปเรอ่ื ง กลา่ วเฉพาะหัวขอ้ สาคญั หรอื มีสรปุ เน้ือเร่ืองในแตล่ ะหัวข้อสาคัญกไ็ ด้
- กระตนุ้ ซ้า กลา่ วถงึ ประโยชน์ท่ีผู้ฟังจะไดจ้ ากการฟังเพิ่มเติม
- ปิดเรอ่ื ง ดว้ ยคาพูดท่ีท้าทาย ชวนคดิ ลึกซ้ึงกินใจ ฯลฯ

ซ้อมพูด อาจถือได้ว่าจาเป็นท่ีสุดสาหรับผู้ที่ต้องการความสาเร็จในการพูด โดยนาโครง
เร่ืองที่เรียบเรียงไว้แล้ววางไว้ข้างหน้า พูดเสียงดัง ๆ โดยไม่จาเป็นต้องเหมือนข้อความท่ีเรียบเรียงไว้
ทุกตัวอักษร ให้พูดแต่ข้อความสาคัญ การซ้อมพูดทุกคร้ังควรช้อมท้ังลักษณะท่าทาง น้าเสียง การใช้
อุปกรณ์ประกอบการพูด ฯลฯ เพ่ือให้เข้ากับเรื่องที่พูด การซ้อมพูดควรมีผู้ช่วยเหลือ ติชม วิจารณ์
อย่างละเอยี ด หรือการซ้อมพูดคนเดยี วจะไม่เกดิ ผลดเี ท่าท่คี วร ในการซ้อมพูดนนั้ ประกอบด้วย

๑. ค้นคว้าศกึ ษาใหแ้ จม่ แจ้ง
๒. พดู เสียงดัง, เนน้ , เวน้ วรรค, คาตอบ, คากลา้
๓. ใช้อุปกรณ์ประกอบการพูดขณะซ้อม
๔. อย่าสนใจตัวเองวา่ พดู ไม่ดี ยืนไม่สง่า ฯลฯ
๕. ฝกึ สายตา
๖. ออกท่าทางประกอบคาพูด
๗. ฝึกยืน, เคลอ่ื นที่
หลักการพูดท่ัวไปนั้น ไม่ว่าผู้พูดจะใช้วิธีการพูดแบบบรรยายหรือพรรณนาก็ตามผู้พูด
ควรจะต้องวางแผนในการดารงเร่ืองให้เป็นลาดับขั้นตอน วางโครงเร่ืองอย่างมีระบบ ระเบียบ รู้จักวิธี
ลาดับความคดิ และการเชื่อมโยงความคดิ ให้สอดคล้องกลมกลืนกนั ท่ผี พู้ ูดคิดว่าจะทาให้ผู้ฟงั เกิดความ
เขา้ ใจไดร้ ับความรู้ และได้ประโยชนจ์ ากการฟงั ให้มากท่สี ุด

๒๓๘

หลักการพดู ท่ัวไป
การพูดมีความสาคญั ตอ่ ชีวิตมนุษย์เป็นอันมากไม่วา่ จะอยู่ ณ ทใ่ี ดประกอบกิจการงานใด
หรือคบหาสมาคมกับผู้ใดก็ต้องสื่อสารด้วยการพดู เสมอจึงมักพบว่าผู้ทป่ี ระสบความสาเร็จในกิจธุรการ
งานการคบหาสมาคมกับผู้อ่ืนตลอดจนการทาประโยชน์แก่สังคมส่วนรวมล้วนแต่เป็นคนที่มี
ประสิทธิภาพในการพูดทั้งสิ้นส่วนหน่ึงของการพูดสามารถสอน และฝึกได้อาจกล่าวได้ว่า การพูดเป็น
"ศาสตร" มีหลักการและกฎเกณฑ์เพื่อให้ผู้เรียนมีทักษะถึงขั้นเป็นที่พอใจอีกส่วนหนึ่งเป็นความสารถ
พิเศษหรือศิลปะเฉพาะตัวของผู้พดู แต่ละบุคคลบางคนมีความสามารถทจ่ี ะตรึงผู้ฟังให้น่ิงอยู่กับทจี่ ิตใจ
จดจ่ออยกู่ ับการฟังเร่อื งท่ีพูด ผู้พูดบางคนสามารถพูดให้คนฟังหัวเราะไดต้ ลอดเวลา ศิลปะเฉพาะตัวน้ี
เป็นสิง่ ท่ีลอกเลียนกันได้ยากแต่อาจพฒั นาขึ้นได้ในแต่ละบุคคลซ่ึงการพูดที่มปี ระสิทธภิ าพเกิดจากการ
สังเกตวิธกี ารท่ีดีและมโี อกาสฝึกฝน
หลักการพูดเป็นการส่ือสารเป็นปัจจัยหนึ่งที่จาเป็นสาหรับการดารงชีวิตของมนุษย์ใน
สั งค ม เพ ราะน อ กเห นื อจ ากคว าม ต้ องการปั จ จั ย พื้ น ฐ าน ใน ทุ กด้ าน แ ล้ ว ม นุ ษ ย์ ยั งต้ องการส ร้า ง
ความสัมพันธ์กับบุคคลซ่ึงมีส่วนเกี่ยวข้องและต้องพ่ึงพาอาศัยกันอยู่ตลอดเวลาการพูด ถือได้ว่าเป็น
พฤติกรรมหน่ึงของการสื่อสารที่มีความสาคัญย่ิงในสังคมมนุษย์ความสามารถในการพูดเป็นสิ่งจาเป็น
และมีคุณค่าเป็นอย่างยิ่งสาหรับบุคคลทุกอาชีพการมีความรู้ความสามารถในการพูด เป็นคุณสมบัติ
ของผู้นาและนกั บริหารสังคมปัจจุบันมีการแข่งขนั ในการเปน็ ผู้นา และการประกอบอาชีพ ก็ยิ่งต้องใช้
การพูดอย่างชานาญรหู้ ลัก และวิธีการท่ีถูกต้อง สามารถถ่ายทอดความรูส้ ึกนึกคิด สร้างความสมั พันธ์
อนั ดี มีทัศนคตทิ ่ีดี มกี ารโน้มน้าวจูงใจ ให้ผูอ้ ่ืนคล้อยตาม
ปัจจุบันเรื่องของการพูดในประเทศไทยได้รับความสนใจอย่างแพร่หลาย คนไทย
มีการตื่นตัวในเร่ืองน้ีมากจนกลายเป็นสิ่งแวดล้อมหน่ึงในชีวิต โดยเฉพาะบุคคลระดับบริหาร หัวหน้า
หรือผู้นา และผู้มีความกระตือรือร้นในการพัฒนาตนเอง ได้ฝึกฝนการพูดตามชมรมสมาคมศูนย์ และ
สถาบันการฝึกพูดเป็นจานวนมาก การพูดจึงถือว่าเป็นสิ่งสาคัญย่ิง ดังมีผู้กล่าวไว้ว่าการพูดเป็น
การสื่อสารเพ่ือให้เกิดความเข้าใจกันระหว่างผู้พูด และผู้ฟังโดยใช้ภาษาและเสียงเป็นสื่อในการติดต่อ
กบั บคุ คลอื่น ๆ ในการดาเนินชีวิตประจาวัน การสื่อสารโดยใช้คาพดู เป็นเร่อื งท่ีตอ้ งระมัดระวัง เพราะ
การพูดที่มีหลักเกณฑ์เท่านั้น ที่จะทาาให้ผู้พูดสามารถดาเนินชีวิตในการทางานอย่างมีประสิทธิภาพ
การที่จะพูดให้ใด้ดี พูดให้เป็น หรือพูดให้เกิดประโยชน์ ผู้พูดจะต้องคานึงถึงเน้ือหา วัตถุประสงค์ของ
การพูด และการบรรลุผลของการพูดเป็นสาคัญ ดังน้ันการพูดท่ีดีผู้พูดจึงควรคิดและไตร่ตรองอย่าง
รอบคอบกอ่ นที่จะตัดสนิ ใจพดู ส่งิ ใด ๆ ออกไป (นพิ นธ์ ทิพย์ศรนี มิ ิต, ๒๕๔๒, หน้า ๒๕)
ดังนั้น จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นว่าการพูดคือกระบวนการส่ือสารความคิดจากคนหนึ่ง
ไปยังอีกคนหนึ่งหรือกลุ่มหน่ึงโดยมีภาษาน้าเสียง และอากัปกิริยาเป็นสื่อ การพูดคือการแสดงออก
ถึงอารมณ์และความรู้สึกโดยใช้ภาษา และเสียงส่ือความหมายการพูด เป็นเคร่ืองมือส่ือสารท่ีมี

๒๓๙

อานุภาพมากท่ีสุดในโลกการพูดเป็นสัญลักษณ์แห่งความเข้าใจระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ให้ประสบ
ความสาเรจ็ ตามจุดมุ่งหมายมผี ูใ้ หห้ ลักเกณฑส์ าหรับผู้ฝึกพูดไวห้ ลายแบบ ดังน้ี

๑. หลักสิบประการของสมาคมฝึกการพูดแห่งประเทศไทย
๑.๑ จงเตรียมพร้อม
๑.๒ จงเช่ือมั่นในตนเอง
๑.๓ จงปรากฏตัวอย่างสง่าผา่ เผย
๑.๔ จงพูดโดยใช้เสยี งอนั เป็นธรรมชาติ
๑.๕ จงใช้สายตาให้เปน็ ผลดีตอ่ การพดู
๑.๖ จงใชภ้ าษาทง่ี ่ายและสภุ าพ
๑.๗ จงใช้อารมณข์ นั
๑.๘ จงจริงใจ
๑.๙ จงหมน่ั ฝึกหดั

๒. บันได ๗ ขั้นของการพูด นิพนธ์ ศศิธร ได้กล่าวถึงบันได ๗ ขั้นท่ีจะนาไปสู่
ความสาเรจ็ แห่งการเปน็ นักพดู ท่ีสัมฤทธิภาพ ดังนี้

๒.๑ การรวบรวมเนอ้ื หาทจี่ ะพดู
๒.๒ การจัดระเบียบเรอื่ ง ดว้ ยการเขยี นโครงเรอ่ื ง จัดลาดบั หัวขอ้ ก่อนหลัง
๒.๓ การหาขอ้ ความอืน่ ๆ มาประกอบในการพูด
๒.๔ การเตรยี มบทนา เพ่ือเรียกร้องความสนใจแก่ผู้ฟัง

หลักและศลิ ปะการพดู
บรรดาทักษะพื้นฐานการเรียนรูภ้ าษา ๔ ดา้ นอันประกอบดว้ ยการฟงั พดู อา่ น เขียนน้ัน
การพูดนับเป็นทักษะด้านการแสดงออก (Productive SkiLl) การฟังนับเป็นทักษะด้านการรับ
(Receptive SKill) การพูด และการฟังเป็นทักษะที่มนุษย์ใช้เพ่ือการส่ือสารควบคู่กันไปมากที่สุด
เน่ืองจากต้องใช้ทักษะทั้งสองเพ่ือสื่อความหมาย ถ่ายทอดความในใจ สร้างความเข้าใจ ผู้พูดสามารถ
ปล่งเสียงออกมาเป็นถ้อยคาภาษาอย่างท่ีเรียกว่า การสื่อสารเชิงวัจนะ (Verbal Communication)
พร้อมท้ังใชอ้ ากัปกริ ิยาท่าทางต่าง ๆ ประกอบการพูด ที่เรียกว่า การส่ือสารเชิงอวัจนะ (Non-Verbal
Communication) เพือ่ สื่อความหมายใหผ้ ฟู้ งั รับรไู้ ดอ้ ย่างแจ่มชัดมากย่ิงขึ้น
การพูดจึงเป็นท้ังศาสตร์และศิลป์ซ่ึงต้องมีการศึกษาเรียนรู้และฝึกฝน เพ่ือให้ผู้พูด
สามารถนาไปใช้ในการติดต่อส่ือสาร ถ่ายทอดความรู้ ความคิด บอกเล่าความในใจ หรือส่ือ
ความหมายตามท่ีตนต้องการผู้รับสารซึ่งได้แก่ผู้ฟังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ศาสตร์การพูดจึงเป็นวิชา
ความรู้ที่มีหลักการปฏิบัติที่สามารถเรียนรู้ได้อย่างเป็นระบบ และเม่ือผู้พูดนาหลักการที่ตนได้เรียนรู้


Click to View FlipBook Version