๘๘
๑.๔ การให้ทางานร่วมกนั เป็นกล่มุ
๑.๕ การให้นาเสนอผลการทางานกลุม่
๒. กจิ กรรมการเรยี นการสอน
๒.๑ การประเมนิ ความรู้เดมิ ของนกั ศกึ ษา
ให้นักศึกษาทาแบบทดสอบเพื่อประเมินความรู้เดิมของนักศึกษาให้อาจารย์ทราบ
ปัญหาของนกั ศึกษา ซ่ึงจะช่วยใหจ้ ัดการศึกษาไดอ้ ยา่ งมปี ระสทิ ธิภาพ
๒.๒ การอภิปรายรว่ มกันระหวา่ งอาจารยแ์ ละนกั ศกึ ษา
อาจารยน์ านักศกึ ษาให้รว่ มกันอภปิ รายในช้ันเรียน เก่ียวกับเร่อื งศิลปะการเขยี น
๒.๓ การบรรยายและภาพตอบปญั หา
ให้นักศึกษาอ่านเอกสารคาสอนล่วงหน้าก่อนฟังบรรยายจากอาจารย์ซึ่งจะเน้น
ประเดน็ ท่ีนักศกึ ษาไม่เข้าใจ หรอื สิ่งท่จี าเป็นต้องยึดถอื เปน็ หลกั ในการเขียน
๒.๔ การแบง่ กลมุ่ ศกึ ษาคน้ ควา้
ให้นักศึกษาทาแบ่งกลุ่มทางานสืบค้นความรู้จากแหล่งข้อมูลต่าง ๆ รวมท้ัง
ฐานข้อมูลในระบบอินเตอร์เน็ต และนาข้อมูลท่ีค้นคว้าได้มาเรียบเรียงเป็นเอกสารและนาเสนอในชั้น
เรยี น
๒.๕ การวเิ คราะห์เอกสาร
ให้นักศึกษาทางานกลุ่มร่วมกันศึกษาเอกสาร เพ่ือวิเคราะห์ สังเคราห์ข้อมูลแหล่ง
ต่าง ๆ ระดมสมองเป็นกลุม่ เพื่อแสดงความคดิ เห็นแลกเปล่ยี นความคิดเห็นและข้อเสนอแนะใหแ้ ก่กัน
ในเรือ่ งหัวขอ้ “ศิลปะการเขียน”
สือ่ การเรยี นการสอน
๑. เอกสารคาสอนประกอบการสอนความรู้ทว่ั ไปเกยี่ วกบั การเขยี น
๒. Power Point สรุปเน้อื หา
๓. ตวั อยา่ งงานเขียนสรา้ งสรรค์
๔. ใบงานฝกึ ปฏบิ ัติการเขยี น
การวดั ผลและประเมนิ ผล
๑. ประเมนิ จากการทาแบบฝึกปฏิบตั กิ ารเขียน
๒. ประเมนิ การทางานกลุ่มของนักศกึ ษา
๓. ประเมินการมสี ว่ นรว่ มในการอภิปรายของนักศึกษา
๔. ประเมินความสนใจในบทเรียนด้วยการสังเกต การซักถาม การมีส่วนร่วมในการเรียน
การสอน
บทท่ี ๔
ความรู้ทว่ั ไปเกีย่ วกบั การเขยี น
ก า ร เขี ย น นั บ เป็ น ทั ก ษ ะ ก า ร สื่ อ ส า ร ท่ี มี ค ว า ม ส า คั ญ ต่ อ ชี วิ ต ป ร ะ จ า วั น ข อ ง ม นุ ษ ย์
ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าทักษะการฟัง การพูด หรือการอ่าน เป็นท่ีทราบกันดีว่าการเขียนนั้นเป็น
กระบวนการถ่ายทอดสารหรอื เร่ืองราวต่าง ๆ อาทิ ข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ สาระ ความรู้สึกนึกคิด
ตลอดจนประสบการณ์ของผู้เขียนหรือผู้ส่งสารไปยังผู้อ่านหรือผู้รับสาร การเขียนจึงเปรียบเสมือน
"สะพาน" ในการนาพาผู้อ่านไปพบเห็นเรื่องราวต่าง ๆ ตลอดจนเปิดประสบกาณ์ในเร่ืองท่ีผู้อ่าน
อาจจะไม่เคยรู้หรือพบเจอมาก่อน นอกจากนี้ การเขียนยังเปรียบเสมือน "เวที" ท่ีเปิดโอกาสให้
นักเขียนได้แสดงฝีมือ หรือสร้างสรรค์ ผลงานของตนให้ผู้อ่านและสังคมได้รู้จัก ทั้งยังได้ประโยชน์
นานัปการจากงานเขียนเหลา่ น้นั อกี ด้วย
จากข้างต้นจะเห็นได้ว่า การเขียนนั้นนับเป็นทักษะการส่ือสารท่ีมีความสาคัญต่อผ้เู ขียน
และมีความสัมพันธ์กบั ผู้อ่านอย่างหลีกเลย่ี งไมไ่ ด้ โดยเฉพาะผ้เู ขียนน้ันจะต้องมคี วามร้พู ืน้ ฐานเกี่ยวกับ
ทักษะการเขียนและวิธีเขียน เพื่อการสร้างสรรค์งานเขียนที่ทรงคุณค่า ดังน้ันในส่วนน้ีจะกล่าวถึง
ความรู้ท่ัวไปเก่ียวกับการเขียนวัตถุประสงค์ของการเขียน ประโยชน์ของการเขียน องค์ประกอบของ
การเขียน ประเภทของการเขียน การพัฒนาทักษะการเขียน ตลอดจนข้อแนะนาในการเขียนซ่ึงเป็น
ความร้แู ละความเขา้ ใจพืน้ ฐานที่จะสามารถนาไปใชใ้ นการเขยี นเชิงสร้างสรรค์ต่อไป
๔.๑ ความหมายของการเขยี น
พจนานุกรมฉบบั ราชบัณฑติ ยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ (๒๕๕๖ : ๒๑๒) ไดน้ ิยาม คาว่า เขียน
ไวว้ ่า ก. ขีดให้เปน็ ตวั หนงั สือหรอื ตัวเลข, ขีดใหเ้ ปน็ เส้นหรอื รูปตา่ ง ๆ, วาด, แต่งหนังสือ
สุจริต เพียรชอบ และสายใจ อินทรัมพรรย์ (๒๕๓๓ : ๑๓๔-๑๓๕) กล่าวว่า การเขียน
คือ การเรียบเรยี งความรู้ ความคดิ และประสบการณ์ต่าง ๆ ตลอดจนความรสู้ ึกนึกคิด และจนิ ตนาการ
ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษรบุคคล และประการที่สามคือ ผู้เขียนมีจุดประสงค์หรือความมุ่งหมายท่ี
ตอ้ งการถ่ายทอดสารนัน้ ออกไปและผูร้ บั สารหรอื ผู้อ่านไดเ้ ข้าใจถึงจุดประสงคน์ ้ัน
ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า การเขียน คือ การถ่ายทอดเรื่องราว ความรู้ ความคิด ความรู้สึก
ความต้องการตลอดจนประสบการณ์ต่าง ๆ ของผู้เขียน ออกมาเป็นลายลักษณ์อักษร หรือสัญลักษณ์
ไปยังผูอ้ า่ นให้เข้าใจตามจุดประสงคท์ ต่ี ้องการ
๙๐
๔.๒ ความสาคญั ของการเขยี น
ปัจจุบันในสังคมมีวิธีการสื่อสารที่หลากหลายต่างกันไปเนื่องด้วยเทคโนโลยีที่
เจริญก้าวหน้า หากแต่การสื่อสารด้วยการเขียนยังคงมีบทบาทความสาคัญ ซึ่งมีผู้แสดงความสาคัญ
ของการเขียนไว้อาทิ
เปรมจิต ศรสี งคราม (๒๕๓๔ : ๓) กล่าวถงึ ความสาคัญของการเขยี นไว้ ๓ ประการดังนี้
๑. ใช้เป็นส่ือในการเขียนภาษาไทยมีแบบแผนและถ้อยสานวนสาหรับใช้โดยเฉพาะ
ผู้เขียนจะต้องเขียนให้ชัดเจน เพื่อให้ผู้อ่าน อ่านด้วยความเข้าใจ และเพ่ือสนองความต้องการของ
ผเู้ ขียนที่ต้องการ ให้ผูอ้ า่ นรอู้ ะไรบ้าง
๒. เป็นการใหค้ วามรู้ การเขียนให้ผ้อู ่ืนอ่านน้ัน ผู้เขียนจะตอ้ งมีจุดม่งุ หมายอย่างหนึ่งคือ
การให้ความรู้แกผ่ ูอ้ ่าน เพ่ือเป็นการพฒั นาสติปัญญาให้ก้าวไกลย่งิ ขึ้น กล่าวคือเมื่อผู้อ่าน อ่านข้อเขยี น
นนั้ แลว้ สามารถนาไปปรบั ปรงุ เปลย่ี นแปลงตัวเองได้
๓. เป็นการพัฒนาความคิด ผู้อ่านได้อ่านข้อเขียนท่ีผู้เขียน เขียนไว้ ข้อเขียนเหล่าน้ันได้
พัฒนาความคิด ความเข้าใจ ความต้องการของผู้อา่ นไดม้ ากน้อยเพียงไร
สนิท ตั้งทวี (๒๕๓๘ : ๑๑๘) ได้แสดงความสาคัญของเขยี นไว้ดังน้ี
๑. เปน็ เครื่องแสดงออกถึงความรู้ ความคิด และความรสู้ กึ ของมนษุ ย์
๒. เปน็ เครื่องมอื สาคญั ท่แี สดงถึงอารยธรรมของมนุษยใ์ นแตล่ ะยุคสมยั
๓. เป็นเคร่ืองมอื สาหรบั ส่อื สารของมนษุ ยท์ ีม่ ีประสิทธภิ าพ
๔. เป็นเครื่องถ่ายทอดวัฒนธรรมท่ีสาคัญอันเป็นมรดกทางด้านสติปัญญาของมุนษย์
เชน่ วรรณกรรม วรรณคดี ตานาน ฯลฯ
๕. เป็นเครื่องมือที่ช่วยสนองต่อความต้องการของมนุษย์ เช่น ความรัก ความเข้าใจ
ความเหน็ อกเหน็ ใจ ฯลฯ
๖. เป็นบันทึกที่มคี ุณคา่ ทางประวัติศาสตร์ สามารถสืบค้นเพ่ือการเรียนรู้ของคนรุ่นหลัง
ได้
๗. เปน็ เคร่ืองมือในการประกอบอาชีพของคนบางอาชีพ เช่น นกั เขียนขา่ ว นกั ประพันธ์
นกั วิชาการ ฯลฯ
สนิท สัตโยภาส (๒๕๔๕ : ๑๔๒) กล่าวถึงความสาคัญของการเขียน ซึ่งสอดคล้องกับ
สนิท ตง้ั ทวี ไวด้ งั น้ี
๑. การเขียนมีความสาคัญในแง่ที่เป็นเครื่องมือส่ือสารของมนุษย์ ใช้ในการถ่ายทอด
ความรสู้ กึ นึกคดิ และสตปิ ัญญาต่อกนั และกนั
๙๑
๒. การเขียนเป็นเคร่อื งมอื สาคัญในการถ่ายทอดวัฒนธรรม อันเป็นมรดกด้านภูมิปญั ญา
ของมนุษย์
๓. การเขียนช่วยเผยแพร่และกระจายความรู้ความคิดและข่าวสารได้อย่างกว้างไกล
และรวดเรว็
๔. การเขียนเป็นการบันทึกทางสังคมที่ให้คุณค่าอานวยประโยชน์อย่างมหาศาลแก่
ชนรุ่นหลังทัง้ ปัจจบุ นั และอนาคต
๕. การเขียนสามารถสรา้ งความรักสามคั คีในมนุษยชาติได้เมอื่ งานเขียนนนั้ มีความหมาย
เพอื่ สร้างความเข้าใจ สร้างความรกั เพอ่ื นมนุษยเ์ ปน็ งานเขียนทีส่ ร้างสนั ติสุขแก่สงั คมโลก
๖. การเขยี นสามารถยึดเปน็ งานอาชพี ที่สาคัญอยา่ งหนงึ่ ไดใ้ นปัจจบุ ัน
๗. การเขียนสามารถทาให้บุคคลประสบความสาเร็จในชวี ิตได้ โดยเฉพาะด้านการศกึ ษา
เลา่ เรยี น
สนุ ตี ์ิ ภจู่ ริ ฐาพนั ธ์ุ (๒๕๕๔ : ๑๕๐) ได้อธิบายความสาคัญของการเขยี นไว้ดงั น้ี
๑. เป็นเครื่องมือในการส่ือสารของมนุษย์ ในชีวิตประจาวันและในงานอาชีพ มนุษย์
ใช้การเขียนเป็นเคร่ืองมอื ในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก ความต้องการและประสบการณ์
หรอื จินตนาการในเร่อื งต่าง ๆ ตอ่ กันและกนั
๒. เป็นเครื่องมือบันทึกและถ่ายทอดวัฒนธรรมและมรดกทางปัญญาของคนรุ่นหน่ึงไป
ยังคนอกี ร่นุ หนงึ่
๓. เป็นเครื่องมือในการโน้มน้าวจิตใจ มนุษย์ใช้การเขียนในการชักจูงเชิญชวนหรือ
โน้มน้าวจิตใจให้ผู้รับสารยอมรับหรือปฏิบัติในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง เช่น การเขียนบทความให้รักชาติ
การเขียนคาขวญั ให้รักษาสง่ิ แวดลอ้ ม
๔. เป็นเครื่องมือในการให้ความบันเทิง ความเพลิดเพลิน ในปัจจุบันเราสามารถ
หาความเพลดิ เพลนิ จากงานเขียนต่าง ๆ เชน่ นวนิยาย เรอื่ งสนั้ เร่อื งขาขนั
๕. เป็นเครื่องมอื ท่ีช่วยแพร่กระจายความรู้ ความคิด ฯลฯ ไปสู่ผู้รับสารไดก้ ว้างไกลและ
รวดเรว็ และที่สาคญั ยงั คงหลักฐานไว้ใหอ้ า้ งองิ ได้
๖. เป็นเคร่ืองมือในการประกอบอาชีพท่ีมีเกียรติและมีชื่อเสียง เช่น นักเขียนบทละคร
บทภาพยนตร์ นักเขยี นเพลง นกั เขียนนวนยิ าย นักเขยี นบทความ นกั เขียนขา่ ว ฯ
๗. เป็นเคร่ืองมือพัฒนาสติปัญญา การเขียนต้องอาศัยทักษะทางด้านการฟัง การอ่าน
การคิดวิเคราะห์ ซี่งทาให้ผู้เขียนได้ใช้สติปัญญาในการประมวลความรู้ พินิจพิจารณา ไตร่ตรอง
ประมวล ความคิด การเลือกใช้ภาษาเพื่อนามาถ่ายทอดในรูปแบบของงานเขียนชนิดต่าง ๆ เป็นการ
๙๒
แสดงออกถึงภูมิปัญญาความสามารถของผู้เขียน ดังน้ันการเขียนจึงเป็นเครื่องมือในการพัฒนา
สตปิ ัญญา
สมบัติ ศริ ิจันดา (๒๕๕๔ : ๘๘) แสดงความสาคญั ของการเขยี นซึง่ แสดงโดยสังเขปดังน้ี
๑. การเขยี นเป็นเครอ่ื งมือในการสื่อสารทส่ี าคัญ
๒. การเขียนช่วยในการถ่ายทอดความรู้ ความคิด และประสบการณ์ จากผู้มีปัญญา
สผู่ ูส้ นใจใคร่ศกึ ษา
๓. การเขียนเป็นเครอื่ งมอื ในการปลอบประโลมทางใจ
๔. การเขียนเป็นส่ิงที่สะท้อนตัวผู้เขียน ทาให้ทราบได้ว่าผู้เขียนมีความรู้ความคิด
ความเช่ือ รวมถงึ มรี สนยิ มความช่นื ชอบอยา่ งไร
๕. เป็นเคร่ืองมือในการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรม สรรพวิชาความรู้ และภูมิปัญญา
ตา่ ง ๆ ที่ถกู สั่งสมมาจากบรรพบรุ ษุ
จากแนวคิดดังกล่าวสรุปได้ว่า การเขียนมีความสาคัญคือเป็นเครื่องมือสื่อสาร ท่ีมี
บทบาท สาคัญในชีวิตประจาวันของมนุษย์อย่างมากมาย ท่ีสาคัญนั่นคือเป็นการสื่อสารท่ีสามารถ
แสดงเป็นหลักฐานบันทึกลายลักษณ์อักษรได้ ซ่ึงทาให้เร่ืองราว ความรู้ ความคิด ความรู้สึก ความ
ตอ้ งการตลอดจน ประสบการณ์ยงั คงอยู่
๔.๓ ลักษณะสาคญั ของการเขยี นท่ีดี
ลักษณะสาคัญของการเขียนทด่ี ีนั้นเปน็ เชน่ ไร ได้มีผูแ้ สดงความคดิ เห็นไว้ดงั น้ี อาทิ
สมบัติ ศิริจันดา (๒๕๕๔ : ๙๕-๙๖) กล่าวว่า งานเขียนท่ีดีควรพิจารณาจากลักษณะ
สาคัญ ๓ ประการ ซ่ึงสรุปได้ดังนี้
๑. ทว่ งทานองการเขียน หมายถึง ลักษณะลีลาเฉพาะตัวในการสร้างสรรค์งานเขียนของ
ผู้เขียนให้มีความแปลกใหม่ และน่าสนใจ ซ่ึงท่วงทานองการเขียนที่ดีนั้นต้องประกอบด้วยความคิดดี
มีความแปลกใหม่และเนื้อหาเหมาะสมกับรูปแบบของการเขยี น
๒. องค์ประกอบของเน้ือหา กล่าวคือ เนื้อหาของงานเขียนมักประกอบไปด้วยย่อหน้า
หลาย ๆ ยอ่ หนา้ ซง่ึ ย่อหน้าทด่ี ีควรมี ๓ ลกั ษณะไดแ้ ก่ มเี อกภาพ มีสมั พนั ธภาพ และมสี ารตั ถภาพ
๓. การใช้ภาษา ภาษาคือเครื่องมือท่ีผู้เขียนใช้ถ่ายทอดเน้ือหา อันได้แก่ ถ้อยคา
สานวนโวหาร เครื่องหมายวรรคตอนต่าง ๆ ซึ่งผู้เขียนต้องใช้ภาษาให้เหมาะสมกับเพศ วัย การศึกษา
ตลอดจน ความสนใจของผู้อ่าน ซ่ึงองค์ประกอบของการใช้ภาษาได้แก่ สุภาพ-เหมาะสม กระชับ-
รดั กุม ถกู ต้อง-ชดั เจน และสละสลวย-เรา้ อารมณ์
๙๓
โสภณ สาทรสัมฤทธิ์ผล (๒๕๕๕ : ๗๙-๘๐) กล่าวว่า งานเขียนที่ดีน้ันนอกจากศิลปะ
การใช้ภาษาแล้วยงั ต้องคานงึ ถงึ องค์ประกอบอืน่ ๆ ดงั นี้
๑. มีความคิดสร้างสรรค์ งานเขียนท่ีดีควรสะท้อนความคิดสร้างสรรค์ท่ีดีและ
มีประโยชน์ไม่จาเป็นต้องเป็นเร่ืองหรือรูปแบบท่ีแปลกใหม่เสมอไป แต่จะต้องส่ือสารที่เป็นไปใน
ทางบวกมากกว่ามุ่งยยุ ง สง่ เสริมในทางท่ไี ม่ดแี ก่ผู้อา่ น
๒. มคี วามชัดเจน งานเขียนที่จะสื่อสารได้ตรงกันระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน ควรจะต้องมี
ความชัดเจนทั้งเร่ืองการใช้คาให้ถูกต้องตรงความหมาย และการใช้ภาษาท่ีไม่กากวมหรือชวนให้
ตีความไดห้ ลายประเดน็
๓. มีเอกภาพ การเขียนท่ีดีต้องคานึงถึงเอกภาพ หมายถึง ความเป็นหนึ่งเดียว
ของเนอื้ หาภายในเร่ืองไม่วา่ จะเปน็ เอกภาพในยอ่ หน้าหรือเอกภาพของภาพรวมของเนื้อเร่อื ง ผเู้ ขียนที่
ดีตอ้ งไมห่ ยบิ เรือ่ งทีไ่ ม่เกย่ี วข้องโดยตรงกับเนอ้ื หามาปะปนในงานเขยี นจนทาใหผ้ ู้อา่ นสบั สน
๔. มีสัมพันธภาพ หากเน้ือเรื่องที่เราเขียนมีความยาวหลายย่อหน้า จาเป็นต้องเช่ือม
ความ แต่ละย่อหน้าให้สัมพันธ์ต่อเน่ืองกัน ระมัดระวังอย่าให้เน้ือหาสลับไปมาอันจะทาให้เข้าใจยาก
หากจะให้งานเขียนประณีตกค็ วรรูห้ ลักการโครงเร่อื งให้ดดี ้วย
๕. มีสารัตถภาพ การเขียนท่ีมีการเน้นส่วนสาคัญของเนื้อหาหรือเรียกว่ามีสารัตถภาพ
น้ัน สามารถกระทาได้โดยการหาข้อความที่เหมาะสมมาสนับสนุนความคิดสาคัญเป็นการช่วยเพิ่ม
น้าหนักให้อ่านคล้อยตามมากยิ่งขึ้น หรืออาจใช้วิธีเน้นย้าประเด็นหลักในตอนท้ายเร่ืองเป็นการสรุป
ก็ได้
สนุ ีติ์ ภู่จิรฐาพันธ์ุ (๒๕๕๕ : ๑๕๒-๑๕๓) กล่าวว่า การเขียนที่ดีคือการเขยี นท่ีมีคุณภาพ
มีประโยชน์และคุณค่าในด้านใดด้านหนึ่ง เหมาะแก่การอ่าน และอธิบายลักษณะสาคัญของการเขียน
ที่ดไี ว้ ดงั นี้
๑. มีความเป็นเอกภาพ คือ เขียนให้มีความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกันของเน้ือหาตั้งแต่ต้น
จนจบการเขียนเร่ืองใดเร่ืองหน่ึงจะต้องมใี จความสาคัญและจุดมุ่งหมายสาคัญเพียงอย่างเดยี ว ผู้เขียน
จะต้องเขียนให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายท่ีวางไว้ หากจะอธิบายขยายความใด ๆ ก็ต้องเป็นไปเพ่ือขยาย
ใจความสาคัญ นนั้ ให้กระจ่างขึน้
๒. มีสารัตถภาพ คือ เขียนให้เนื้อหาสาระท่ีมีคุณค่ามีประโยชน์ในแง่มุมใดแง่มุมหน่ึง
การเขียนใด ๆ ต้องมีจุดมุ่งหมายที่สาคัญอย่างใดอย่างหน่ึงและเขียนให้บรรลุจุดมุ่งหมายน้ันให้ได้
เนือ้ หาสาระมีความหนกั แน่นมคี วามสมเหตุสมผล
๓. มีสัมพันธภาพ คือ เขียนให้มีความสัมพันธ์เก่ียวเนื่องเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ว่าการ
เขียนน้ันจะเขียนก่ีย่อหน้า แต่ละย่อหน้าต้องมีความเก่ียวโยงส่งทอดถึงกัน ข้อความและเน้ือเร่ืองแต่
ละตอนตอ้ งสอดคล้องกนั ไปตามลาดับเน้ือหาท่ีตอ้ งการนาเสนอ
๙๔
๔. มีความกระจ่างแจ้ง คือ เขียนให้ความกระจ่างแจ้งชัดเจนไม่คลุมเครืออ่านเข้าใจง่าย
ความกระจา่ งแจง้ เกิดจากเนื้อหาทมี่ ีเอกภาพ การเรยี งลาดบั เนื้อหาดี และการใชภ้ าษาท่ีชดั เจนกระชับ
รัดกมุ และมคี วามหมายตรงประเดน็
๕. มีความคงท่ี คือ การเขียนท่ีแสดงแนวคิดท่ีคงที่ไม่หลากหลายแนวคิด ผู้เขียนจะ
เสนอ แนวคดิ สาคญั ในแงม่ มุ ใดแง่มุมหนึ่งเพยี งแนวคดิ เดยี วและรักษาแนวคิดให้คงทีไ่ ม่เปลยี่ นจนจบ
๖. มคี วามน่าสนใจชวนติดตาม คอื เขยี นใหน้ ่าสนใจทาให้มีผู้อ่านตดิ ตามต้ังแต่ต้นจนจบ
อ่านแล้วคิดวิพากษ์วิจารณ์และอยากจะได้อ่านงานเขียนในเร่ืองอ่ืน ๆ ของผู้เขียนอีก ความน่าสนใจ
และชวนติดตามน้ันอยู่ที่การนาเสนอเนื้อหาท่ีแปลกใหม่ รวมท้ังมีกลวิธีการนาเสนอท่ีน่าสนใจ
ตลอดจนการใช้ ถ้อยคาภาษาทด่ี ีและเหมาะสมกับเนื้อหานั้น
๗. มคี วามถูกต้อง คอื ถูกต้องท้ังในด้านข้อมูลและการใช้ภาษา การเขยี นเร่อื งใด ๆ ดว้ ย
จุดประสงค์อะไรก็ตาม ส่ิงท่ีสาคัญคือความถูกต้องและข้อมูลเนื้อหาจะต้องไม่บิดเบือนข้อมูลเนื้อหา
ท้ังตอ้ ง ใช้ภาษาใหถ้ ูกต้องเหมาะสมตามลักษณะของเน้ือหา
๘. มีประโยชน์ คือ เขียนด้วยจุดมุ่งหมายที่ดีเพื่อให้เกิดประโยชน์ในเรื่องใดเร่ืองหน่ึง
โดย ปราศจากอคติ เนื้อหา และภาษาท่ีใช้ต้องเป็นไปในทางสร้างสรรค์ สรุปได้ว่า ลักษณะสาคัญของ
งานเขียนท่ีดีน้ันประกอบด้วยเอกภาพ สารัตถภาพ และสัมพันธภาพ แต่สิ่งสาคัญที่ต้องคานึงถึงคือ
การใช้ภาษา การแสดงความคิด และรวมทัง้ ประโยชนจ์ ากงาน เขยี น
๔.๔ จดุ ประสงค์ของการเขยี น
แนวคดิ เกี่ยวกบั จุดประสงค์ของการเขียนนัน้ ได้มผี ู้ให้คาอธบิ ายไว้อาทิ
ดวงใจ ไทยอุบล (๒๕๔๓ : ๑๔) กล่าวว่า จุดประสงค์ของการเขียนท่ีเกี่ยวข้องกับ
ประเภท ของงานเขยี นมี ดังนี้
๑. เพอ่ื การเล่าเร่ือง เช่น การเลา่ ประวตั ิเล่าประสบการณห์ รอื เลา่ เหตกุ ารณ์ตา่ ง ๆ
๒. เพื่ออธิบายคา หรอื ความ เชน่ อธบิ ายการทาอาหาร
๓. เพื่อโฆษณาจูงใจ เชน่ การโฆษณาสินค้า โฆษณาภาพยนตร์
๔. เพื่อปลกุ ใจ เชน่ เพลงปลกุ ใจ บทความปลกุ ใจใหร้ ักชาติ
๕. เพื่อแสดงความคิดเหน็ หรือแนะนา เช่น บทความเสนอแนะ
๖. เพอ่ื สรา้ งจนิ ตนาการ เชน่ การเขียนเรือ่ งสั้น นวนยิ าย บทรอ้ ยกรอง
๗. เพอ่ื ล้อเลยี นเสียดสเี ช่น บทความล้อเลยี นเสยี ดสีเกย่ี วกบั การเมือง เศรษฐกจิ
๘. เพอ่ื ประกาศ เชน่ ประกาศแจง้ ความ ประกาศเชิญชวน
๙. เพอ่ื วเิ คราะห์ เช่น วิเคราะหข์ ่าว วเิ คราะหเ์ หตุการณ์
๑๐. เพอื่ วจิ ารณ์เชน่ วจิ ารณ์หนังสอื วิจารณ์บทความ วิจารณ์สารคดวี ิจารณต์ ารา
๙๕
๑๑. เพ่ือทาข่าว เช่น การเสนอข่าวประเภทตา่ ง ๆ เช่น ขา่ วการเมอื ง ขา่ วธรุ กจิ
๑๒. เพ่ือเขียนเฉพาะกจิ เช่น เขียนจดหมาย เขยี นการ์ตนู เขยี นธนาณตั ิ
สาหรับสุนีติ์ ภู่จริ ฐาพันธุ์ (๑๕๕๕ : ๑๕๑-๑๕๒) อธบิ ายจดุ มงุ่ หมายของการเขยี นไว้ดังน้ี
๑. เพื่อเล่าเรื่อง เป็นการเขียนเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้ผู้อ่านทราบ เช่น เล่าเหตุการณ์
เล่าประสบการณ์หรือเล่าประวัติ ผู้เขียนต้องใช้วิธีการเล่าให้ชวนอ่านและเห็นภาพจึงจะทาให้ผู้อ่าน
สนใจมาก ขึ้น
๒. เพ่ืออธิบาย เป็นการเขียนอธิบายแจกแจงข้อเท็จจริง ความรู้ หรืออธิบายวิธีการ
หลักเกณฑ์และทฤษฎีต่าง ๆ มักปรากฏในงานเขียนประเภทวิชาการหรือตารา การเขียนประเภทนี้
ต้องใชภ้ าษากระชับรดั กมุ ลาดบั ความอย่างมขี ัน้ ตอนจะชว่ ยให้ผู้อ่านเขา้ ใจได้ง่ายขึน้
๓. เพื่อโน้มน้าวใจ เป็นการเขียนเพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสนใจหรือคล้อยตาม เช่น
การเขียน บทโฆษณาสินค้า บทความโนม้ น้าวใจ การเขียนเพ่ือโน้มน้าวใจจะต้องใชภ้ าษาให้น่าสนใจมี
ความสละสลวย คลอ้ งจอง ส้นั กะทัดรัดและจดจางา่ ย
๔. เพอ่ื ปลุกใจ เป็นการเขยี นในรปู แบบของการปลูกจติ สานึกในเรื่องใดเร่ืองหน่งึ เพือ่ ให้
ผู้อ่านเกิดความรู้สึกเข้มแข็ง พร้อมเพรียง เกิดความเป็นอันหน่ึงอันเดียวกัน การเขียนเพ่ือปลุกใจจะ
ออกมาในรูปของบทความ บทเพลง บทละคร บทร้อยกรอง การเขียนลักษณะนี้จะต้องใช้คาท่ีมี
น้าหนัก ใช้ประโยค สั้น ๆ อาจมกี ารเนน้ ย้าและยกตวั อย่างประกอบ
๕. เพื่อแสดงความคิดเห็น วิเคราะห์ วิพากษ์ วิจารณ์หรือแนะนา เป็นการเขียนเพ่ือ
แยกแยะให้เข้าใจรายละเอียดหรือแก่นแท้ของเรื่อง การแสดงทรรศนะหรือนาเสนอความคิดใหม่ใน
เร่ืองใด เรื่องหน่ึงมักเขียนออกมาในรูปของบทความ การเขียนประเภทน้ีผู้เขียนต้องคานึงถึง
ขอ้ เทจ็ จรงิ รวมทัง้ ใช้วิจารณญาณทถ่ี กู ต้องยตุ ธิ รรมและการใช้ภาษาที่เรียบง่ายกะทดั รดั
๖. เพ่ือแสดงจินตนาการ เป็นการเขียนสร้างสรรค์ที่ผู้เขียนต้องการให้ผู้อ่านเกิด
จินตนาการ คล้อยตาม ดังน้ันผู้เขียนจึงควรใช้ภาษาท่ีสร้างภาพพจน์เพ่ือจูงใจ การเขียนเพื่อแสดง
จนิ ตนาการมักปรากฏ ในรูปของบทรอ้ ยกรอง เร่ืองส้ัน นวนิยายหรือบทละคร
๗. เพ่ือกิจธุระ เป็นการเขียนท่ีผู้เขียนมีวัตถุประสงค์ท่ีจะกระทากิจใดกิจหน่ึง เช่น
การเขียนประกาศ การเขียนจดหมายร้องเรียน การเขียนบัตรเชิญ รูปแบบการเขียนและการใช้ภาษา
จะแตกต่างกันไปตามโอกาสและประเภทของกิจน้ัน ๆ เช่น การเขียนจดหมายราชการต้องใช้รปู แบบ
ท่ีแน่นอนและใช้ ภาษาแบบแผน หรือการเขียนประกาศทั่วไปไม่เน้นรูปแบบ แต่ถ้าเป็นการประกาศ
อยา่ งเป็นทางการกต็ ้อง เขียนใหถ้ ูกตอ้ งตามรปู แบบ เปน็ ต้น
๙๖
๘. เพื่อล้อเลียนหรือเสียดสี เป็นการเขียนที่ต้องการหยิบยกเอาส่ิงใดสิ่งหน่ึงท่ีอาจเป็น
ส่วน บกพร่องในสังคมมากล่าวตาหนิอย่างนุ่มนวล โดยการแทรกอารมณ์ขันด้วยถ้อยคาภาษาทีเล่น
ทีจริงไม่ รุนแรง ซึ่งแสดงออกได้หลายวิธี เช่น การเขียนล้อเลียนด้วยภาพและข้อความประกอบ
หรอื อาจจะเขยี นเปน็ ขอ้ เขยี นส้นั ๆ หรือเรอื่ งราวสั้นๆ
สอดคล้องกบั โสภณ สาทรสัมฤทธ์ิผล (๒๕๕๕ : ๗๘-๗๙) ไดอ้ ธบิ ายไว้ ดังนี้
๑. เขียนเพื่อเล่าเรื่อง เป็นการเขียนท่ีมุ่งให้ข้อมูลต่าง ๆ แก่ผู้อ่านเพ่ือให้เห็นเหตุการณ์
และภาพรวมทัง้ ไดร้ ับอรรถรสในสิง่ ท่ีผูเ้ ขียนไดป้ ระสบมา เชน่ เล่าเหตุการณ์ เลา่ ประสบการณ์ ฯลฯ
๒. เขียนเพื่ออธิบายหรือให้ความรู้ เป็นการเขียนท่ีมุ่งให้สาระความรู้แก่ผู้อ่าน โดยการ
แจกแจงข้อเท็จจริง อธิบายวิธีการลาดับขั้นตอนต่าง ๆ การเขียนลักษณะนี้มักเป็นงานเขียน
เชิงวิชาการ เช่น อธิบายขั้นตอนการตอนกิ่งต้นยางพารา อธิบายการทาขนมช่อม่วง อธิบายเทคนิค
การถ่ายภาพด้วยกลอ้ ง ดิจติ อล ฯลฯ
๓. เขียนเพื่อโฆษณาจูงใจ การเขียนแบบน้ีมีจุดมุ่งหมายเพ่ือโน้มน้าวใจ หรือโฆษณา
เพื่อให้ ผู้อ่านคล้อยตาม เห็นด้วยหรือเปล่ียนความคิด ความรู้สึก และทัศนคติ แล้วปฏิบัติตาม
คาแนะนาของผู้เขียน เชน่ การเขียนคาขวัญเชิญชวนให้ไปเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร การเขยี น
ขอ้ ความโฆษณาชวนเช่อื ให้ ซือ้ สนิ คา้ หรอื ใชบ้ ริการตา่ ง ๆ ฯลฯ
๔. เขียนเพ่ือปลุกใจ การเขียนประเภทน้ี ผู้เขียนมีเจตนาจะให้ผู้อ่านมีความคิดเห็น
เหมือนกับตนเอง หรือปลุกเร้าความรู้สึกที่เป็นอนั หน่ึงอันเดียวกัน เช่น บทความปลุกใจใหค้ นไทยรู้รัก
สามัคคี บทความปลุกใจใหร้ ว่ มกนั ธารงประชาธปิ ไตย เปน็ ตน้
๕. เขียนเพ่ือแสดงความคิดเห็น การเขียนลกั ษณะนี้มักเสนอในรูปของบทความทัว่ ไปใน
เชิง วิพากษ์ วิจารณ์ แนะนา หรือแสดงความคิดเห็นต่อเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง เช่น การแนะนาหนังสือ
แนะนา สถานที่ การวิจารณ์การทางานของรัฐบาล การวิเคราะห์สถานการณ์ความไมส่ งบในสังคมไทย
ฯลฯ
๖. เขียนเพื่อสร้างจินตนาการ เป็นการเขียนที่มุ่งให้ผู้อ่านเกิดจินตนาการคล้อยตาม
ผเู้ ขียน โดยท่ีผู้เขียนนาเสนอภาพความคิดที่สร้างสรรค์ผ่านการใช้ภาษาซง่ึ เลือกสรรแล้วอย่างประณีต
เช่น นวนิยาย เร่อื งสั้น บทรอ้ ยกรอง บทละคร ฯลฯ
๗. เขียนเพื่อล้อเลียนเสียดสี เป็นการเขียนที่มุ่งให้ความรู้สึกในลักษณะล้อเลียน เสียดสี
ประชดประชัน ท้วงติง เหน็บแนม หรือหยอกล้อด้วยความปรารถนาดี อาจแทรกอารมณ์ขันในการ
เขียน หรอื มีรูปภาพประกอบบา้ ง เช่น การเขยี นอธิบายภาพการ์ตูนล้อเลียนการเมือง บทละครเสียดสี
สังคม การแสดงตลกของนกั แสดง ฯลฯ
๙๗
จากแนวคิดจุดประสงค์ของการเขียนที่มีผู้ กล่าวไว้ข้างต้นว่ามีความสอดคล้องกัน และ
เห็นได้ว่าจุดประสงค์ของการเขียนน้ัน สัมพันธ์กับการใช้ภาษา และรูปแบบงานเขียน ดังน้ันผู้เขียนมี
จุดประสงค์ในการเขียนอย่างไร ก็เขียนให้สอดคล้องตามจุดประสงค์ที่ ตั้งไว้ จึงจะทาให้งานเขียน
ประสบความสาเร็จ
๔.๕ ประโยชน์ของการเขียน
เปรมจิต ศรสี งคราม (๒๕๔๓ : ๑๒) ไดก้ ลา่ วถึงประโยชน์ของการเขียนไว้ดงั นี้
๑. ทาให้มีการพัฒนาความคิด ประสบการณ์ที่ผู้เขียนพบมาและเขียนให้ผู้อื่นอ่าน เม่ือ
อ่านแล้วจะได้ความรู้ทางปัญญา สามารถนาความรู้ที่ได้มาน้ันไปพัฒนาความคิดให้ก้าวไกลไม่สับสน
ในขณะเดียวกันก็นาความรู้น้นั ไปใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อสงั คมและสว่ นรวมต่อไป
๒. ทาให้เขียนได้ถูกต้อง ข้อความใด ๆ ก็ตามไม่ว่าจะเป็นการเขียนจดหมาย เขียน
เรียงความ เขียนย่อความ เขียนบันทึกข้อความ เขียนคาโฆษณา ท่ีได้อ่านน้ันจะช่วยทาให้เขียนได้
ถูกต้องในเรอื่ ง ตัวสะกดการนั ตแ์ ละในแต่ละคร้งั ทีอ่ า่ นจะช่วยให้จดจาคาต่าง ๆ ไดแ้ มน่ ยาขึ้น
๓. เกิดข้อคิดเห็นและความรู้ต่าง ๆ ท่ีได้จากการอ่านข้อเขียนแบบต่าง ๆ ในบางคร้ัง
ผ้อู า่ น สามารถนาความรูเ้ หลา่ น้นั ไปเป็นขอ้ คิดในการดาเนินชวี ติ
๔. ทาให้มีความรู้ใหม่ ๆ เพิ่มขึ้น ในการอ่านข้อความท่ีเขียนในบทความ สารคดี
หนังสือพิมพ์ ฯลฯ น้ันผู้อ่านจะได้ความรู้ใหม่ ๆ คาศัพท์ใหม่ ๆ สานวนใหม่ ๆ ท่ีผู้อ่านไม่เคยพบมา
ก่อน และสามารถนามาใช้ได้ต่อเมื่อได้พิจารณาแล้วว่า สิ่งท่ีอ่านน้ันให้ประโยชน์ในขณะเดียวกัน
คาศัพทใ์ หม่ ๆ นัน้ จะตอ้ งเป็นคาสุภาพและไพเราะด้วย
สมปัต ตญั ตรยั รตั น์ และคนอ่นื ๆ (๒๕๔๕ : ๙) กล่าวถึงประโยชนข์ องการเขียนไว้ ดังนี้
๑. การเขยี นช่วยสรา้ งเสรมิ ปัญญา บคุ คลใช้สติปัญญาในการกระทาข้อมูลท่ีได้รับพร้อม
กับจัดระบบเพื่อสง่ ออกด้วยการเขยี น
๒. ช่วยสร้างจนิ ตนาการ และความคดิ สรา้ งสรรค์
๓. ช่วยถ่ายทอดความเข้าใจ และประสบการณข์ องบคุ คลไปสูส่ งั คม
๔. ชว่ ยผ่อนคลายและระบายความรสู้ ึก
๕. ชว่ ยบนั ทกึ ผลการคน้ คว้า
๖. ชว่ ยในการเรียนรู้และพัฒนาคน
๙๘
ศ.นพ.ประเวศ วะสี (อ้างใน สมบัติ ศิริจันดา. ภาษาไทยเพื่อการส่ือสาร. ๒๕๕๔ : ๙๔-
๙๕) กล่าวถงึ ประโยชนท์ ผ่ี ้เู ขียนจะได้รบั จากการเขียนโดยสรปุ ได้ ดังน้ี
๑. เปน็ การเรยี นรู้ตนเอง ถ้ามีการเขียนจาเป็นต้องมีหลักฐานข้อมูลอ้างอิง ทาใหเ้ ราต้อง
พิถพี ิถันตรวจสอบ เพราะฉะน้ันการเขียนจึงเป็นเรอื่ งสาคญั ท่ีจะพัฒนาตนเองพัฒนาปัญญาของตนเอง
และในทางวิชาการที่จาเป็นต้องเขียนยิ่งต้องตรวจสอบข้อเท็จจริงต่าง ๆ ว่าถูกต้องตามความเป็นจริง
หรือไมม่ ีอะไรเปน็ หลักฐานอา้ งองิ เป็นตน้
๒. การเขียนได้เป็นความสุข คือ เม่ือทุกคนเขียนออกมาได้แล้วจะมีความสุขเหมือนกับ
เราได้ประสบความสาเร็จบางอย่างจากความสามารถ สติปัญญาของเราเองท้ังหมด ซ่ึงเป็นความสุข
จากการเขียนเกิดขึ้นได้ด้วยกรณีดังนี้ ความสุขเกิดจากความแจ่มแจ้ง ความสุขเกิดจากความสาเร็จ
และความสขุ เกิดจากการชว่ ยใหผ้ ู้อ่นื เขารคู้ วามจริง
๓. นาไปสู่การพัฒนาจิตวิญญาณ การเขียนสามารถจรรโลงใจของคนอ่านให้สูงขึ้น
ระลึก ถึงแต่ส่ิงท่ีดีงาม มุ่งทาแต่ความดี ไม่คิดต่า ดังนั้นการเขียนท่ีดีจะเป็นพลังที่ช่วยพัฒนาคน เม่ือ
คนทุกคนเป็น คนดี สังคมก็ดี ประเทศชาติก็จะเจริญรุ่งเรือง จากแนวคิดดังกล่าวเห็นได้ว่า การเขียน
ทาให้ผู้เขียน ได้พัฒนาความรู้คือเสริมสร้าง สติปัญญาความคิด พัฒนาด้านจิตใจคือผ่อนคลาย
ถา่ ยทอดอารมณค์ วามรสู้ กึ รวมถึงไดร้ บั ความสขุ ทเี่ กดิ จากการเขียน
เปล้ือง ณ นคร (๒๕๔๑ : ๑) กล่าวว่า การเขียนคือการแสดงความคิดความรู้สึก และ
ความรู้ ซึง่ อยใู่ นใจออกให้ผูอ้ ่นื รู้
สิริวรรณ นันทจันทูล (๒๕๔๓ : ๑๑) กล่าวว่า การเขียน คือ การถ่ายทอดความรู้
ความคิด ความต้องการ อารมณ์ ความร้สู ึก และประสบการณข์ องผู้เขียนไปยังผู้อา่ น ใหเ้ ข้าใจตรงตาม
จดุ ประสงค์ของผเู้ ขยี น โดยใชต้ ัวอกั ษรในภาษาเป็นเคร่ืองมือ
จิรวัฒน์ เพชรรัตน์ และอัมพร ทองใบ (๒๕๕๕ : ๒๘๗) กล่าวว่า การเขียน คือ การส่ือ
ความหมายโดยการนาความรู้ ความคิด ความรู้สึก ประสบการณ์ และจินตนาการของผู้เขียนออกมา
เรียบเรยี งเปน็ ลายลกั ษณ์อกั ษร เพื่อจดุ มงุ่ หมายในการสอ่ื สารระหว่างผู้เขียนกับผู้อ่าน
วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๗ : ๒๔) กล่าวว่า การเขียน หมายถึง การแต่งหนังสือโดยใช้
ตัวอักษร และสัญลักษณ์ถ่ายทอดความรู้ ความคิด ความรู้สึก จินตนาการและข่าวสารจากผู้เขียนไป
ยังผอู้ า่ น
จากข้างต้น สามารถสรุปได้ว่า การเขียน คือ การถ่ายทอดความคิด ความรู้ จินตนาการ
อารมณ์ความรู้สึก และประสบการณ์ออกมาเปน็ เรื่องราว โดยอาศัยตวั อกั ษร หรือสัญลกั ษณ์ต่าง ๆ ใน
การส่ือความหมายจากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน เพ่ือให้เกิดความรู้ความเข้าใจ ตลอดจนได้รับอรรถรสใน
เร่อื งราวเหล่าน้ัน
๙๙
๔.๖ องค์ประกอบของการเขียน
กองเทพ เคลือบพณิชกลุ (๒๕๔๒) ไดแ้ บง่ องค์ประกอบของการเขยี นไว้ ๔ ส่วน ไดแ้ ก่
๑. เนื้อหา คือ สาร หรือเรื่องราวที่ผู้เขียนต้องการถ่ายทอดให้ผู้อ่านได้รับทราบ และ
เขา้ ใจ ทง้ั นเ้ี น้อื หานน้ั อาจจะเป็นเหตุการณ์ สาระ ขอ้ คิดเห็น จนิ ตนาการ ตลอดจนอารมณ์ความรูส้ กึ
๒. ภาษา คือ ระบบสัญลักษณ์ที่ใช้ในการส่ือสาร ทั้งนี้ หมายความถึงถ้อยคา ประโยค
ตลอดจนสานวนโวหารท่ีผู้ขียนใช้เป็นเครื่องมือสาคัญสาหรับการถ่ายทอด เนื้อหาหรือเร่ืองราวต่าง ๆ
ดังนั้น ผู้เขียนจะต้องมีความรอบรู้ในการใช้ภาษาการเลือกใช้ถ้อยคา ระดับภาษา มาใช้ให้เหมาะแก่
กาลเทศะและรปู แบบงานเขียนเพอ่ื การสื่อความหมายอยา่ งมปี ระสิทธภิ าพ
๓. เครื่องหมายวรรคตอน คือ ครื่องหมายต่าง ๆ ที่ใช้ในการเขียนเพ่ือช่วยให้อานได้
สะดวก และเป็นการป้องกันความเข้าใจผิดของผู้อ่าน นอกจากน้ีการใช้เคร่ืองหมายวรรคตอนยัง
สามารถแสดงอารมณ์ความรู้สึกได้ชัดเจนย่ิงข้ึน เช่น การใช้เครื่อหมายปรัศนี และอัศเจรีย์ เป็นต้น
ทงั้ นผ้ี เู้ ขียนควรเลอื กใช้เครอ่ื งหมายวรรคใหเ้ หมาะสมกบั เนื้อหาและรปู แบบของงานเขียน
๔. รูปแบบของการเขียนสามารถแบ่งได้เป็น ๒ รูปแบบ ได้แก่ รูปแบบร้อยแก้ว และ
รูปแบบร้อยกรอง ผู้เขียนจะต้องมีศิลปะในการเขียน และเขียนให้ถูกต้องตามกฎเกณฑ์ของรูปแบบ
นนั้ ๆ
นอกจากองค์ประกอบข้างต้นนี้ สิริวรรณ นันทจันทูล (๒๕๔๓ : ๑๑-๑๒) ได้แบ่ง
องค์ประกอบสาคัญของการเขียนไว้ ดงั นี้
๑. ผูเ้ ขยี น คือ ผทู้ ่ีต้องการถา่ ยทอดเร่อื งราว เหตุการณ์ ความรู้ ความต้องการ ความคิด
ความรู้สึก ประสบการณ์ของตนไปยังผู้อ่าน โดยผู้เขียนจะต้องรวบรวมจัดระบบ และเรียบเรียง
เน้ือหาสาระเรื่องที่จะเขียนอย่างเหมาะสม ก่อนที่จะถ่ายทอดด้วยลายลักษณ์อักษรไปยังผู้อ่าน ท้ังนี้
ผู้เขียนจะต้องวิเคราะห์ผู้อ่านก่อนเสมอเพ่ือการส่ือความหมายที่เหมาะสมกับผู้อ่าน และถูกกาลเทศะ
อีกท้ังผู้เขียนจะต้องศึกษาวิธีการเขียน ลักษณะงานเขียน ตลอดจนต้องฝึกฝนการเขียนจนชานาญ
จงึ จะใชท้ ักษะการเขียนได้อย่างมีประสทิ ธภิ าพ
๒. ผู้อ่าน คือ ผู้รับสารจากผู้เขียนซ่ึงถือเป็นองค์ประกอบสาคัญอย่างย่ิงในการเขียน
เน่ืองจากต้องเป็นผู้ท่ีทาความเข้าใจในเร่ืองราวต่าง ๆ ท่ีผู้เขียนต้องการสื่อความหมาย ท้ังนี้ ผู้อ่านจะ
เป็นคนกลุ่มใหญ่ซึ่งมีหลากหลายสถานภาพ หลากหลายความสนใจ หลากหลายฐานะ ซ่ึงผู้เขียน
จะต้องคานึงถึงผู้อ่านเป็นสาคัญ ไม่ว่าจะเป็นข้ันตอนเลือกเร่ืองที่จะเขียน การใช้ภาษาถ่ายทอด
เร่อื งราวนนั้ จะตอ้ งพจิ ารณาถงึ ความเหมาะสมกบั ผู้อ่าน
๑๐๐
๓. เนื้อหาที่เขียน คือ เรื่องราวต่าง ๆ ซ่ึงประกอบไปด้วยความรู้ ความคิด ความรู้สึก
จินตนาการ ตลอดจนประสบการณ์ของผู้เขียนท่ีถ่ายทอดด้วยการใช้ถ้อยคาภาษาไปยังผู้อ่าน โดย
เรอ่ื งราวท่ีเขียนนั้นควรเรยี บเรียงข้ึนอย่างมรี ะเบยี บ เข้าใจไดง้ ่ายน่าสนใจ ให้สารประโยชน์ และเสนอ
แนวความคิดเซิงสรา้ งสรรค์แก่ผูอ้ า่ น
๔. สื่อ คือ ช่องทางหรือตัวกลางในการนาสารจากผู้เขียนไปยังผู้อ่าน เช่น หนังสือพิมพ์
นติ ยสาร วารสาร จดหมาย โทรเลข ป้ายประกาศ เป็นตัน ท้ังน้ี ผเู้ ขยี น ควรใช้ส่ือให้เหมาะสมกับงาน
เขยี นเพอ่ื การสอื่ ความหมายได้อยา่ งมีประสิทธิภาพ
จากทีไ่ ด้กลา่ วมา สามารถสรปุ องค์ประกอบหลกั ของการเขยี นได้ ๔ ประการ ดังนี้
๑. ผูเ้ ขียน ซึ่งปน็ ผู้ที่สร้างและถ่ายทอดเรอ่ื งราวต่าง ๆ ผ่านงานเขียนจะต้องปน็ ผู้ท่มี ีคุณ
สตสิ าคญั หลายประการทเ่ี อื้อตอ่ การเขยี นงานได้อย่างสร้งสรรค์ ไดแ้ ก่
๑.๑. เปน็ ผทู้ ม่ี ีจุดมงุ่ หมายทชี่ ดั เจนในการเขียน
๑.๒ เปน็ ผูท้ ม่ี ีความคดิ รเิ ร่ิมสร้างสรรค์
๑.๓ เปบ็ ผู้ท่ีมคี วามร้คู วามเขา้ ใจในเร่อื งทจี่ ะเขียน
๑.๔ เปน็ ผ้ทู ม่ี ีความสามารถในการใชภ้ าษาในการเขียน
๒. เร่ืองที่เขียนหรืองานเขียน ซ่ึงเป็นเน้ือหาต่าง ๆ เช่น ความรู้ สาระ ความรู้สึก
ความคดิ ประสบการณ์ท่ีผู้เขียนถ่ายทอดไปยังผู้อ่าน ควรเรียงลาดบั เน้ือหาอย่างสัมพันธแ์ ละมีเหตุผล
เพื่อสร้างความเข้าใจให้ผู้อ่าน นอกจากนี้ งานเขียนที่ดีจะต้องมีความถูกต้องของเนื้อหาสาระ มีความ
สวยงามของภาษา และมีคุณค่าตอ่ จิตใจให้ประโยชน์แกผ่ อู้ ่าน
๓. กลวิธีการเขียน ซึ่งเป็นการใช้กลวิธีการเรียบเรียงเนื้อหาให้สัมพันธ์กันและกลวิธี
การใช้ทางภาษาอย่างสร้างสรรค์ ตลอดจนการนาเสนอรูปแบนที่ถูกต้องเหมาะสม ท้ังนี้ สามารถสรุป
กลวิธีการเขยี นได้ ๒ ประการ ตามท่ี วรวรรธน์ ศรียาภัย (๒๕๕๗ : ๒๙) สรุปไว้ ดังน้ี
๓.๑ ถูกขนบ คือ เป็นกลวิธีท่ีถูกต้องตามระเบียบแบบแผนท่ีกาหนด ทั้งเนื้อหา
การใช้ภาษา และรูปแบบ งานเขียนบางอย่างมีขนบซึ่งไม่สามารถแหวกได้ เช่น การเขียนหนังสือ
ราชการ รายงานการประชุม เปน็ ตน้
๓.๒ สร้างสรรค์ คือ มีความแปลกใหม่อย่างมีคณุ ค่า การคิดสร้างสรรค์น้ัน ขั้นแรก
ต้องพิจารณาว่างานเขียนชน้ิ น้ัน ๆ สร้างสรรค์ได้ หรือไม่ เฉพาะงานที่สามารถคดิ สรา้ งสรรค์ได้จึงค่อย
ดาเนินการเขียนอย่างสร้งสรรค์ โดยอาจสร้างสรรค์ได้ที่เนื้อหาการใช้ภาษา และรปู แบบ เช่น เร่ืองสั้น
นวนยิ าย สารคดี นทิ าน บทกวี บทเพลง เป็นต้น
๔. ผู้อ่าน ซ่ึงเป็นผู้ท่ีแปลความหมาย ตีความหมาย ตลอดจนทาความเข้าใจเรื่องราวที่
ผู้เขยี นตอ้ งการถา่ ยทอด
๑๐๑
กล่าวโดยสรุป การเขียนจะมีประสิทธิภาพได้นั้น ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายส่วนรวม
กัน เช่น ผู้เขียนเองก็ต้องมีความสามารถด้านการเขียน และสามารถสื่อสารให้ตรงตามความประสงค์
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ มีความรู้ในเรื่องไวยากรณ์ สานวน ภาษา คาศัพท์ โครงสร้างของประโยค
ตลอดจนมคี วามรู้เก่ียวกับเนอ้ื หาของเรือ่ งทีจ่ ะเขียน รปู แบการเขยี น กลวธิ ีในการเลอื กใช้ถอ้ ยคา และ
การเรียบเรียงเนื้อหาได้อย่างสมเหตุสมผล กะทัดรัด ได้ใจความ เพ่ือสร้างเร่ืองที่เขียนหรืองานเขียน
ทีม่ ีคุณภาพไปยังผอู้ ่าน ซ่ึงเปน็ จดุ หมายปลายทางได้อย่างสมั ฤทธิผ์ ลตามเจตนาของผู้เขยี นน่นั เอง
๔.๗ ประเภทของการเขียน
การจัดแบ่งประเภทของการเขยี น สามารถแบ่งไดโ้ ดยใช้เกณฑ์ ๒ เกณฑ์ ได้แก่
๑. แบ่งตามลกั ษณะลีลาการเขยี น แบง่ ได้ ๒ ประเภท ดังนี้
๑.๑ งานเขยี นประเภทรอ้ ยแก้ว คือ การเขียนที่เรียบเรยี งถอ้ ยคา โดยไมม่ ีข้อบงั คับ
ทางฉันทลักษณ์ โดยผู้เขียนเรียบเรียงคาเป็นประโยคท่ีสื่อความได้ชัดเจนและเรียบเรียงตามหลัก
ไวยากรณ์ภาษา งานเขยี นประเภทนี้ เช่น สารคดี บทความ เรือ่ งสั้น นวนิยาย จดหมาย ตารา หนงั สือ
เป็นต้น
ตัวอย่าง งานเขียนประเภทร้อยแก้ว ดังข้อความตอนหนึ่งในหนังสือเรื่องวัฒนาการ
ของแบบเรียนภาษาไทย ซ่ึงใช้ถ้อยคาภาษาที่เรียบเรียงเป็นประโยคโดยไม่มีข้อบังคับทางฉันทลักษณ์
ในการบรรยายความเปน็ มาของรปู แบบการศกึ ษาของไทยในสมยั โบราณ
จินดามณี เป็นแบบเรียนที่ใช้กันอยู่ในช่วงท่ีการศึกษาของไทยยังไม่พัฒนาเข้าสู่ระบบ
การเรียนการสอน คงกระทาอยู่ในกลุ่มหรือเคหสถานของตนก่อนท่ีจะไปศึกษากับพระภิกษุสงฆ์
หลักฐานท่ีว่าด้วยโบราณศึกษาของคนไทยตั้งแต่สมัยสุโขทัย สมัยอยุธยา สมัยธนบุรี ไม่มีหรืออาจจะ
สญู หายไปก็น่าจะเป็นไดท้ ่ีพอจะใช้เป็นหลกั ฐานอ้างอิงได้ก็คือ บันทึกของชาวต่างชาติที่เดินทางเข้ามา
ในราชอาณาจักรสยาม และกล่าวพรรณนาไว้ใน จดหมายเหตุของลาลูแบร์ เป็นหลักฐานหนึ่ง
ที่สามารถจะใช้อ้างอิงได้ ลาลูแบร์เป็นอัครราชทูตฝรั่งเศสของพระเจ้าหลุยส์ท่ี ๑๔ แห่งฝร่ังเศส
ท่ีเดินทางมาเจรญิ สัมพันธไมตรีกบั สมเด็จพระนารายณ์ใน พ.ศ.๒๒๒๙ ลาลแู บรไ์ ด้อย่ใู นกรุงศรอี ยุธยา
๓ เดือนในช่วงเวลาดังกล่ว เขาได้บันทึกเร่ืองราวที่เขาได้พบเห็นในกรุงศรีอยุธยาและได้กลายมาเป็น
หลักฐานสาคัญในการศึกษาเร่ืองราวของชาวสยาม ผ่านสายตาของชาวต่างประเทศ (ท่ีมา นิยะดา
เหลา่ สนุ ทร. วตั นากรของแบบเรียนภาษาไทย, ๒๕๕๒ หน้า ๓๔)
๑.๒ งานเขียนประเภทร้อยกรอง คือ งานเขียนท่ีเรียบเรียงถ้อยคาให้ถูกต้องตามฉันท
ลกั ษณ์ ซ่ึงแตล่ ะชนิดมลี ักษณะทางฉันทลักษณ์แตกต่างกนั ออกไป อาทิ โคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน ร่าย
ลิลติ
๑๐๒
ตัวอย่าง งานเขียนประเภทร้อยกรองของแรคา ประโดยคา ที่มีการใช้ถ้อยคาได้
อย่างสละสลวยตามฉนั ทลกั ษณ์เพ่ือถ่ายทอดอารมณ์ความร้สู ึกผา่ นกวีนิพนธ์
อารมณ์กวี ประหลาดมปี ระหลาดลับเกิดกับจิต
อ่อนไหวซาบทวีพลฤี ทธิ์ ยวั่ ย้อมชีวิตได้พสิ ดาร
ได้มาอย่างมหศั จรรย์ สาคัญปานวา่ เป็นปาฏหิ าริย์
แนบเนียนเนาสถิตจติ วิญญาณ เร้าจินตนาการอยู่ร่าไป
ให้สายตาพิเศษ ละเอียดสังเกตเหตรุ ่วมสมัย
ลุ่มลึกตรึกตรองมองกว้างไกล แม้มองแปลกกว่าใครไม่อนาทร
ความรสู้ กึ นกึ คดิ ส่งพลังนฤมติ ผดิ จากก่อน
เปน็ พลงั ทรงคา่ สถาพร รอ้ ยสลักอักษรสาหรบั ใจ
ไม่มมี าตรวดั จากดั ได้
ภาษากวี ซ่อนศกั ดซ์ิ อ่ นนยั ให้เนอื้ ความ
งดงามยิง่ กว่าภาษาใด ปฏิภาณบนกระดาษไมอ่ าจห้าม
หลง่ั ถอ้ ยรอ้ ยสาร ฝากนามฝากงานสืบวงการกวี
ประกาศศักดาพยายาม
แรคา ประโดยคา
คากลา่ วสุนทรพจน์ ในวนั รับพระราชทานรางวลั วรรณกรรม
สร้างสรรคย์ อดเยยี่ มแหง่ อาเซียน
(ทมี่ า สมบตั ิ จาปาเงนิ . (รวบรวม เรียบเรยี ง). รางวัลวรรณกรรมสร้างสรรค์
ยอดเย่ียมแห่งอาเซยี น (รางวัลซไี รต)์ พ.ศ. ๒๕๒๒-๒๕๔๘, ๒๕๔๘ หน้า ๒๔๕)
๒. แบง่ ตามลักษณะเนื้อหา มี ๒ ประเภท ไดแ้ ก่
๒.๑ งานเขยี นแนวสารคดี คือ งานเขียนที่มีเน้ือหาเน้นการถา่ ยทอดสารในลกั ษณะ
ข้อมูล ข้อเท็จจริง สาระความรู้ในเร่ืองใดเรื่องหนึ่ง โดยใช้ภาษาระดับทางการท่ีกระชับ ชัดเจน
เรียบง่าย เพอื่ สรา้ งความเข้าใจใหแ้ ก่ผอู้ ่าน เชน่ หนงั สือ ตารา บทความ ข่าว เปน็ ตน้
ตัวอย่าง งานเขียนแนวสารคดี ดังตัวอย่างบทความวิชาการ เร่ือง
การเปลี่ยนแปลงลักษณะการตกของฝนบริเวณลุ่มนา้ หว้ ยคอกม้า จังหวัดเชียงใหม่ กล่าวถงึ ข้อเท็จจริง
เก่ียวกับปริมาณฝนในบริเวณลุ่มน้าห้วยคอกม้า โดยใช้ภาษาระดับทางการท่ีกระชับชัดเจนในการ
เขียน รวมทั้งมีการอ้างอิงข้อเท็จจริงของปรากฎการณ์ต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับฝนปริมาณน้าฝน สภาวะฝน
ตลอดจนการวิเคราะห์ข้อมลู การตกของฝนประกอบการบรรยาย
๑๐๓
ฝนเป็นแหล่งทรัพยากรน้าท่ีมีความสาคัญต่อมนุษย์เป็นอย่างมาก ต้ังแต่อดีต
จนถึงปัจจุบัน มนุษย์ใช้ประโชนจากทรัพยากรน้าในด้านต่าง ๆ ทั้งเกษตรกรรม อุตสาหกรรม และ
ชุมชน อย่างไรก็ตาม หากมีมากเกินไป หรือน้อยไปก็อาจเป็นภัยต่อมนุษย์ เช่น การเกิดน้าท่วม
ฉับพลัน น้าป่าไหลหลาก หรือความแห้งแล้ง รวมไปถึงการชะล้างพังทลายของดิน ซึ่งสามารถสร้าง
ความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินเป็นอย่างมาก และภัยพิบัติเหล่านี้เร่ิมมีแนวโน้มเกิดบ่อยครั้งและ
รุนแรงมากข้ึน ซึ่งอาจเป็นผลจากการเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอกาศของโลกและความแปรปรวนของ
สภาพภูมิอากาศ
การเปล่ียนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกเป็นการเปลี่ยนแปลงในช่วง
เวลานานหรืออย่างถาวร ส่วนความแปรปรวนของสภาพภูมิอากาศของโลกเป็นการเปล่ียนแปลงของ
สภาพภูมิอากาศจากสภาพเดิมในระยะเวลาอันสั้น (Intergovernmental Panel on Climate
Change [IPCC], ๒oo๗) เช่น ปรากฏการณ์เอลนีโญ ลานีญา หรือปรากฏการณ์ Indian Ocean
Dipole (OD) ซ่ึงลักษณะการตกของฝนเป็นดัชนีหนึ่งท่ีสะท้อนถึงผลจากการเปล่ียนแปลงทั้งสอง ใน
อดีต ส่วนใหญ่นักวิทยาศาสตร์ให้ความสนใจเพียงการเปล่ียนแปลงปริมาณน้าฝนสะสม เช่น ปริมาณ
น้าฝนรายเดอื นรายฤดกู าล และรายปีเท่านนั้ สว่ นการศกึ ษาความหนกั เบา ความยาวนาน และจานวน
คร้ังทฝี่ นตกมีการศกึ ษาไม่มากนัก รวมถึงการศึกษาสภาวะฝนรนุ แรง (Extreme Event) ด้วย ซึง่ หาก
ทาการศึกษาข้อมูลเหล่านี้อย่างละเอียดจะทาให้เข้าใจถึงการเปล่ียนแปลงลักษณะการต กของฝนมาก
ข้ึน จากการศึกษาในอดีตพบว่า การเปล่ียนแปลงของลักษณะการตกของฝนมีความแตกต่างกันไปใน
แต่ละพื้นท่ี ซ่ึงมีความแตกต่างท้ังในด้านสภาพภูมิประเทศและตาแหน่งที่ตั้ง แต่จากปัญหาสถานีวัด
น้าฝนส่วนใหญ่ของประเทศไทยต้ังอยู่บริเวณพ้ืนที่ราบ จึงทาให้การศึกษาด้านนี้ไม่ครอบคลุมบริเวณ
พื้นท่ีภูเขาสูง ทาให้การวิเคราะห์อาจมีความแตกต่างกับพ้ืนที่ราบท้ังน้ี พ้ืนที่สูงยังเป็นแหล่งต้นน้า
และเป็นพ้ืนทีท่ ่อี อ่ นไหวตอ่ การพังทลายของดิน ดังนั้น พ้นื ท่ีสูงจงึ เป็นพื้นทีท่ มี่ ีความสาคัญเป็นอย่างย่ิง
โดยเฉพาะพน้ื ท่ีลุ่มนา้ ห้วยคอกม้าถูกนามาใช้เป็นตัวแทนในการวิเคราะห์ข้อมูลด้านนอี้ ยู่เสมอเพราะมี
การตรวจวัดข้อมูลการตกของฝนแบบอัตโนมัติต่อเน่ืองมาเป็นระยะเวลายาวนาน และเพียงพอท่ีจะ
นามาวเิ คราะหห์ าแนวโน้มการเปล่ียนแปลงการตกของฝนได้ ดังน้ัน การศึกษาคร้ังน้ีจึงมีวัตถุประสงค์
เพื่อศึกษาการเปล่ียนแปลงลักษณะการตกของฝนในพ้ืนที่สูงซึ่งจะทาให้เขา้ ใจลักษณะและการเปลี่ยน
การตกของฝนบนพ้ืนที่สูง จะได้เป็นประโยชน์ในการจัดการลุ่มน้าในอนาคต ทั้งในด้านการวางแผน
จดั การนา้ การใชป้ ระโยชนท์ ด่ี ินการปอ้ งกนั การชะลา้ งพงั ทลายของดินและอน่ื ๆ ที่เกี่ยวข้อง
(ท่ีมา สทิ ธโิ ชค กล่อมวิญญา และคณะ, การเปล่ียนแปลงลักษณะการตกของฝน
บรเิ วณลมุ่ น้าห้วยคอกมา้ จังหวดั เชยี งใหม,่ ๒๕๕๙ หน้า ๖๗-๖๘)
๑๐๔
๒.๒ งานเขียนแนวบันเทิงคดี คือ งานเขียนที่มีเนื้อหาเน้นการถ่ายทอดสารที่ตอบสนอง
อารมณ์ผู้อ่าน สร้างความสนุกสนานเพลิดเพลิน ให้แก่ผู้อ่าน ใช้ภาษาสละสลวย มีความงามทาง
วรรณศิลป์ ทาให้ผู้อ่านเกิดภาพหรือจินตนาการ เช่น เรื่องส้ันนวนิยาย นิทาน บทละคร บทกวี
บทเพลง เป็นต้น
ตัวอย่าง งานเขียนแนวบันเทิง ดังตัวอย่างงานเขียนของนิ้วกลม เรื่อง ความ
รกั เท่าทร่ี ู้ซึง่ มีการใช้ภาษาเชงิ วรรณศลิ ปส์ ร้างความงามดว้ ยการซา้ คา อาทิ คาวา่ "ก่อนท่ี" หรือ การใช้
สัญลักษณ์ คือ คาว่า "สีขาว" "สีดา" "สีเทา" "สีชมพู" และ "สีน้าเงิน" เพื่อให้ผู้อ่านจินตนาการ และ
ตคี วามถงึ ความหมายของสีเหลา่ นั้น
ฉนั คดิ ถึงสขี าว
กอ่ นทจ่ี ะมเี รอ่ื งราวใดใด
ฉันคดิ ย้อนกลับไปไกล
ก่อนทใ่ี ครจะไดพ้ บเจอกนั
ก่อนทีเ่ ราจะค้นพบ
กอ่ นการสบตาระหวา่ งเธอกับฉนั
กอ่ นทเ่ี ท้าของเราจะเดนิ มาเพื่อสวนกัน
ทางเสน้ น้ันเปน็ สีขาว
ฉนั คดิ ถงึ วันกอ่ นนัน้
วันท่ชี ีวติ ของฉันไรเ้ รือ่ งราว
ผ่านวันคนื อยา่ งวา่ งเปล่า
ไร้ความทรงจา
ไรส้ ่งิ สวยงาม
ทว่า_ก็ไรค้ วามโศกเศรา้ ดว้ ยเช่นกัน
ฉนั คดิ ถึงสขี าว
ก่อนทีเ่ ราจะร้องไห้
ก่อนทเ่ี ราจะเก็บไปฝัน
กอ่ นที่เราจะได้กุมมอื กัน
ก่อนทีค่ าทกั ทายแรกคานัน้ ถกู เอย่ ออกมา
๑๐๕
เธอยงั จาได้ไหม
ตอนนั้นทกุ อย่างเป็นสขี าว
รอเรื่องราวมาเติมลงไป
พน้ื ทว่ี ่างเปล่าไร้ความหมายใด
รอให้ใครมาให้ความหมายมัน
ตอนนัน้ ทุกสิ่งเป็นสีขาว
ไรเ้ รื่องราวดาหรอื เทา
ชมพูหวานหรอื นา้ เงนิ เศรา้
สขี าว_เฝ้ารอการเรม่ิ ต้น
เมอื่ ทุกสิง่ ส้ินสดุ ลงในวนั น้ี
ความวา่ งเปลา่ ปรากฏข้นึ ตรงหนา้ อีกหน
ความว่างเปลา่ ปรากฏขึ้นในใจฉนั อีกคร้ัง
แตค่ ราวน้มี นั ไม่เปน็ สีขาวอีกตอ่ ไปแล้ว
ความวา่ งเปล่าหลงั ผ่านเรอื่ งราว
ไมไ่ ด้เป็นสีขาวอีกต่อไป
ฉนั คิดถงึ สขี าว
เธอละ่ —ทร่ี กั
กาลังคิดถึงสง่ิ ใด.
(ที่มา นว้ิ กลม. ความรักเท่ที่รู้, ๒๕๕๕ หน้า ๒o-๒d)
๔.๘ การพัฒนาทกั ษะการเขียน
การเขียนน้ันป็นทักษะท่ีต้องอาศัยท้ังความรู้และการฝึกฝน จึงจะสามารถถ่ายทอด
เรอ่ื งราวหรือสารต่าง ๆ ไปยังผู้อ่านได้อย่างสมบูรณ์ ดังนั้น ผู้เขียนจะต้องฝกึ เขียนอยา่ งถูกหลัก ถกู วิธี
และฝกึ จนชานาญจนกลายเป็นผู้ทม่ี คี วามสามารถในการเขียน ดังท่ี วาเล็ท (Valette) ฮตี ัน (Heaton)
และ ไวท์ (White) นักการศึกษาตา่ งประเทศ (อ้างถงึ ใน จิตต์นิภา ศรไี สย์, ๒๕๔๙ : ๑๔๘) ไดป้ ระมวล
ความสามารถในการเขยี น สรุปได้ดงั น้ี
วาเล็ท (Valette) กล่าวว่า ความสามารถในการเขียนเป็นความสามารถที่ผู้เขียนต้อง
แสดงออกอย่างชัดเจนและเต็มท่ีในการอธิบายสิ่งหน่ึงส่ิงใดให้ผู้อ่านเข้าใจได้ตรงกับผู้เขยี นต้องการสื่อ
๑๐๖
เน่ืองจากผู้เขียนไม่มีโอกาสให้คาอธิบายข้อสงสัยแก่ผู้อ่านได้ในทันทีทันใดเหมือนกับการฟังหรือการ
อ่าน แมแ้ ตก่ ารพดู กม็ ีโอกาสให้คาอธิบายแทรกในบทสนทนาได้
ฮีตัน (Heaton) กล่าวว่า ผู้มีความสามารถในการเขียนต้องมีพื้นฐานในด้านการฟัง
การพูด และการอ่านมาก่อน นอกจากน้ี ผู้เขียนยังต้องมีความรคู้ วามสามารถทางด้านการใช้ภาษาได้
ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ อีกท้ังใช้ภาษาได้เหมาะสมกับบุคคล สถานการณ์ มีความรู้ความสามารถ
ดา้ นลลี าการเขียนสามารถเลอื กใชส้ านวนโวหารให้เกดิ ลักษณะเฉพาะตัวสาหรบั ผูเ้ ขยี น
ไวท์ (White) กล่าวว่า ความสามารถในการเขียนไม่ได้หมายความถึงการสร้างประโยค
ได้ถูกต้องเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงความสามารถในการเขียนประโยคออกมาได้ชัดเจน ตรงกับ
วตั ถปุ ระสงค์ทีจ่ ะเขยี น คานึงถงึ ลีลาเฉพาะตวั ของผู้เขยี นและเอกภาพของเรอ่ื งด้วยเชน่ กนั
ดังน้ัน ความสามารถในการเขียน คือ ความสามารถเฉพาะตัวของนักเขียนที่เกิดจาก
ความเข้าใและความรู้ ทั้งด้านเน้ือหา ภาษาในการเขียน ตลอดจนกลวิธีการเขียนเพื่อถ่ายทอดงาน
เขยี นไดอ้ ยา่ งมีประสทิ ธภิ าพ ควบคูก่ ับการแสดงเอกลกั ษณเ์ ฉพาะตัวของผ้เู ขียนเอาไว้ดว้ ย
ในการสร้างความสามารถในการเขียนนั้น ผู้เขียนควรรู้หลักการพัฒนาทักษะการเขียน
เพ่ือสร้างสรรค์งานได้อย่างมีคุณภาพ ดังท่ี ดวงใจ ไทยอุบุญ (๒๕๕o : ๑๗-๑๘) ได้สรุปหลักการ
พฒั นาทักษะการเขยี นไวส้ าหรับการเขียนอย่างมีประสิทธิภาพ ๖ ประการ ดงั น้ี
๑. ทักษะการเขียนเกิดจากการฝกึ ฝนและจะต้องทาอยา่ งมรี ะบบ คือ
๑.๑ ต้องฝกึ ฝนอยา่ งสม่าเสมอ
๑.๒ ตอ้ งใช้เวลาฝึกนานพอควรจึงจะเกดิ ความชานาญ
๑.๓ ต้องฝึกให้ถูกวธิ ีและถูกหลักเกณฑ์
- ตอ้ งสะกดคาให้ถูก เรยี บเรยี งถอ้ ยคาให้สื่อความหมายได้ชัดเจนและรูจ้ กั
การแบ่งวรรคตอนใหถ้ กู ตอ้ ง
- ต้องรู้จักเทคนคิ เฉพาะในการเขยี นเรื่องประเภทต่าง ๆ เช่น การเขยี น
เรยี งความ บทความ ท้ังในแง่วตั ถุประสงคแ์ ละเทคนคิ การเขยี น
๒. รู้จักแสดงออกโดยเขียนเรียบเรียงความรู้และความรู้สึกนึกคิดออกมาอย่างเป็น
ระเบียบ เพอ่ื ใหผ้ ูอ้ ่านเขา้ ใจตรงตามทีต่ ้องการ
๓. การเขียนเป็นการใช้ภาษา ซ่ึงต้องอาศัยการส่ังสมความรู้ความคิดจากการอ่านและ
การฟัง ถ้าฟังมาก อ่านมาก จะทาให้ผู้เขียนมีความรู้ เกิดความคิดกว้างไกล สามารถนาไปใช้ในการ
เขยี นใหม้ ีคุณภาพมากยงิ่ ขึน้
๔. การเขียนเป็นหลักฐานท่ีผู้อื่นสามารถอ่านและนาไปอ้างอิงได้ ดังน้ัน จึงควรเขียน
ด้วยความระมดั ระวัง และต้องรู้จักการสรรหาถอ้ ยคามาใชใ้ หถ้ ูกต้องเหมาะสม
๑๐๗
๕. งานเขียนจะมีคุณค่าได้ก็ต่อเมื่อทาให้ผู้อ่านพัฒนาความรู้ ความคิด และอารมณ์
งานเขียนท่มี คี ุณคา่ ประกอบด้วย
๕.๑ ให้ความรูแ้ ก่ผู้อ่าน
๕.๒ ให้ความคิดสร้างสรรค์ที่ดงี ามแก่ผอู้ า่ นอยา่ งมีเหตมุ ีผล
๕.๓ ใหผ้ ู้อา่ นมพี ฒั นาการทางอารมณแ์ ละความรูส้ ึกไปในทางท่ีดี
๖. งานเขียนจะต้องคานึงถึงระดับความรู้ ความคิด และสติปัญญาของผู้อ่านจึงควร
ระมัดระวังเร่ืองการใช้ถ้อยคาภาษา การเสนอความรูแ้ ละความคดิ ทผ่ี ู้อ่านอาจไมม่ ีพ้ืนฐานในเร่ืองนน้ั ๆ
ในการเขียนงานเขียนประเภทต่าง ๆ นั้น ผู้เขียนควรคานึงถึงหลักในการเขียนเพื่อ
ความถูกต้อง เหมาะสมตามกาลเทศะ เกิดความสละสลวย และเกิดความสร้างสรรค์ในงานเขียน
ดังขอ้ แนะนาในการเขียน ได้แก่
๑. ผ้เู ขียนต้องมคี วามรทู้ างภาษา
๑.๑ ผู้เขียนควรเขียนสะกดคาให้ถูกต้อง เพ่ือการส่ือความหมายที่ถูกต้องในงาน
เขียน และเพ่ือสร้างความนา่ เชอื่ ถอื ให้แก่ผ้เู ขียน
๑.๒ ผู้เขียนควรศึกษาการใช้คาให้ถูกต้องตามความหมาย เพราะคาในภาษาไทยมี
หลายประเภท อาทิ คาทมี่ ีความหมายโดยตรง คาที่มีความหมายโดยนยั คาทมี่ ีความหมายตามประวัติ
หรือคาที่มีความหมายตามบริบท หากผู้เขียนเข้าใจความหมายของคาอย่างถูกต้อง รวมทั้งเข้าใจ
สถานการณ์ในการนาถ้อยคาเหล่าน้ันไปใช้ก็จะสามารถเลือกใช้คาได้อย่างเหมาะสม และเกิดการ
สื่อความในงานเขยี นได้อยา่ งถูกต้อง
๒. ผู้เขียนควรใช้ระดับภาษาให้เหมาะสม ซ่ึงจะต้องพิจารณาวา่ ในงานเขียนนั้นเป็นการ
เขียนประเภทใด เหมาะแก่การใชภ้ าษาระดับใด เช่น ภาษาทางการ กึ่งทางการ ภาษาสนทนา ภาษา
กันเอง เป็นต้น นอกจากน้ี ผู้เขียนจะต้องใช้ภาษาให้เหมาะแก่ระดับของบุคคลระดับต่าง ๆ อาทิ
พระมหากษตั รยิ ์ สามัญชน พระภิกษุเปน็ ตน้
๓. ผ้เู ขียนควรใช้ภาษาให้กระชับ โดยงดใช้คาหรอื ประโยคกากวม คาฟุ่มเฟือยตลอดจน
การใช้คาและสานวนต่างประเทศ เพราะอาจป็นสาเหตุให้งานเขียนเกิดความฟุ่มเฟือย ยาวเย่ินเย้อ
และกากวม จนทาใหผ้ อู้ ่านเข้าใจยากและตีความหมายผดิ ในที่สุด
๔. ผู้เขียนควรใช้สานวนภาษาให้เหมาะสม ดังท่ี สิริวรรณ นันทจันทูล (๒๕๔๓ : ๑๙-
๒๓) ได้กลา่ วถึงการใชส้ านวนภาษาในการเขียน สามารถสรุปได้ ดงั นี้
๔.๑ สานวนภาษาการประพันธ์ เป็นสานวนภาษาที่ใชใ้ นการประพันธ์ท้ังตามแบบ
ร้อยกรองและร้อยแก้ว ทั้งนี้ เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความสะเทือนอารมณ์เกิดความรู้สึกอย่างใดอย่างหน่ึง
เกิดจินตนาการตามที่ผู้ประพันธ์ต้องการ ท้ังน้ีผู้ประพันธ์จะต้องเลือกสรรถ้อยคาด้วยความประณีต
สละสลวย อ่อนโยน หรือรุนแรงเลน่ สาบดั สานวน คารมคมคาย ตามความตอ้ งการทจี่ ะเสนอแก่ผู้อ่าน
๑๐๘
๔.๒ สานวนภาษาสื่อมวลชน เป็นสานวนภาษาที่ใช้สื่อสารผ่านสื่อมวลชน เช่น
หนังสือพิมพ์ นิตยสาร วารสาร วิทยุ โทรทัศน์ เป็นต้น ซึ่งการส่ือสารในลักษณะน้ีมีข้อจากัดหลาย
ประการ เช่น ข้อจากัดในเรื่องเวลาจัดทา ข้อจากัดในเร่ืองเวลาท่ีจะเผยแพร่ การแข่งขันกันทางธุรกิจ
การดึงดูดความสนใจของผู้อ่านเป็นต้น ซ่ึงเหล่านี้ ล้วนมีผลทาให้ภาษาสื่อมวลชนมีลักษณะเฉพาะ
จนบางครั้งเกิดความบกพร่องข้ึน เช่น ภาษาหนังสือพิมพ์ เป็นภาษาท่ีไม่สละสลวย ไม่ถูกต้องตาม
แบบแผน เขียนสะกดคาผิด การใช้ภาษาสื่อความเกินจริงเพื่อเรียกร้องความสนใจ การใช้ภาษาทาให้
เกิดความเข้าใจคลาดเคลอ่ื น การใชถ้ ้อยคายน่ ย่อจนไมช่ ัดเจน เป็นตน้
๔.๓ สานวนภาษาโฆษณา เป็นสานวนภาษาท่ีผู้ดาเนินธุรกิจใช้นาเสนอเกี่ยวกับ
สินค้าและบริการให้ป็นที่รู้จัก และเร้าให้ตัดสินใจซื้อสินค้าและบริการน้ันอย่างรวดเร็ว โดยภาษา
โฆษณาในส่วนท่เี ป็นคาขวัญ มักจะใชค้ าสัน้ ๆ จานวนคาน้อยแต่กินความหมายมาก ประโยคกะทัดรัด
หรือเป็นเพียงกลุ่มคา นอกจากน้ี ยังมีการใช้คาให้สะดุดหูสะดุดตา เกิดความรู้สึกแปลกใหม่ รวมถึง
การใชก้ ล่มุ คาทส่ี ละสลวยกินความหมายกว้าง
๔.๔ สานวนภาษาเฉพาะอาชีพ เป็นสานวนภาษาที่ใช้ในกลุ่มสาขาอาชีพต่าง ๆ
เช่น นักธุรกิจ นักกฎหมาย นักวิทยาศาสตร์ นักการศึกษา แพทย์ ช่างก่อสร้าง เป็นต้น ซ่ึงมีบางส่วน
แตกต่างจากภาษาท่ีใช้ส่ือสารกันทั่วไป ที่เห็นได้ชัด คือ มีคาศัพท์เฉพาะสาขาอาชีพ ซึ่งจะเข้าใจกัน
ภายในวงการอาชีพเดียวกนั ส่วนคนนอกวงการหรอื กลุ่มอาชีพอน่ื อาจไม่เขา้ ใจความหมาย
๔.๕ สานวนภาษาท่ัวไป เป็นสานวนภาษาที่ใชใ้ นการส่ือสารในชีวิตประจาวัน เช่น
การทักทาย พูดคุย สนทนาเรื่องทั่วไป ไต่ถามทุกข์สุข เล่าเหตุการณ์ เร่ืองราวที่เกิดขึ้น อธิบาย
ขอ้ ความรรู้ ะหว่างบุคคล ภายในกลมุ่ บุคคล เป็นต้น
๕. ผู้เขียนควรใช้โวหารในการเขียนอยา่ งถูกตอ้ ง ซ่ึงโวหารในการเขียนนัน้ แบ่งออกเป็น
๒ ประเภท คือ โวหารหลัก ซึ่งเป็นโวหารท่ีใช้เป็นหลักในการเขียน ประกอบไปด้วยบรรยายโวหาร
และพรรณนาโวหาร ส่วนโวหารเสริม คือ โวหารทใี่ ช้ประกอบโวหารหลักเพื่อทาให้เกิดความชัดเจนใน
งานเขียนมากย่ิงขึ้น ประกอบไปดว้ ยเทศนาโวหาร อุปมาโวหาร และสาธกโวหาร
๕.๑ บรรยายโวหาร คือ โวหารท่ีใช้ภาษาในการบอกเล่าเรื่องราว อธิบายเร่ืองราว
เหตุการณ์ ตลอดจนเสนอข้อเท็จจรงิ โดยการใช้ถ้อยคาภาษาท่ีกระชบั กะทัดรัด มีความชดั เจน มักใช้
ในงานเขียนประเภทสารคดี (Fiction) เช่น ตารา หนังสือ บทความทางวิชาการ หนังสือราชการ ข่าว
เป็นต้น
๕.๒ พรรณนาโวหาร คือ โวหารที่ใช้ในพรรณนาเร่ืองราวต่าง ๆ เพ่ือทาให้ ผู้อ่าน
เกิดจินตนาการ เกิดความรู้สึกหรืออารมณ์คล้อยตาม โดยการใช้ถ้อยคาภาษาที่สละสลวย มีการใช้
ภาพพจน์ การสรรคา การเล่นเสียงเล่นคา มักใช้ในงานเขียนประเภทบันเทิงคดี (Non-fiction) เช่น
บทกวี บทเพลง นวนิยาย เรอื่ งสั้น นทิ าน บทเพลง เป็นตน้
๑๐๙
๕.๓ เทศนาโวหาร คือ โวหารท่ีใช้ภาษาโดยให้เห็นคุณและโทษของส่ิงต่าง ๆ
รวมท้ังข้อแนะนาหรือการสั่งสอนอย่างมีเหตุผล เพื่อให้เกิดการคล้อยตาม และปฏิบัติตามท่ีผู้เขียน
เสนอแนะ เชน่ พระบรมราโชวาท โอวาท พระธรรมเทศนา คาส่งั สอน บทความจรรโลงใจ เปน็ ตน้
๕.๔ อุปมาโวหาร คือ โวหารที่ใช้ภาษาแสดงการเปรียบเทียบสิ่งต่าง ๆ เพ่ือให้เกิด
ความชัดเจนข้ึน มักมีการใช้ถ้อยคาท่ีแสดงการเปรียบเทียบ เช่น เสมือน ประดุจ ดุจ ด่ัง ราวกับ
เหมอื นกบั เหมอื นดั่ง เปน็ ตน้
๕.๕ สาธกโวหาร คือ โวหารท่ีใช้ภาษาให้เกิดความเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งด้วยการ
ยกตัวอยา่ ง เช่น การยกนิทาน สภุ าษิต คาพังเพย ตานาน ตลอดจนเหตุการณ์เข้ามาประกอบ เปน็ ต้น
๖. ผู้เขียนควรใช้ภาพพจน์ในการเขียนอย่างถูกต้อง เนื่องจากภาพพจน์สามารถทาให้
งานเขียนนั้นเกิดความสวยงาม และเกิดความสร้างสรรค์ได้ โดยภาพพจน์ น้ันมีหลายประเภท
(คณาจารยร์ ายวชิ าภาษาไทยเพ่อื การสื่อสาร, ๒๕๕๖ : ๒๔-๒๖) ดังนี้
๖.๑ อุปมา (Simile) เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเหมือนกับอีกสิ่งหนึ่ง เพื่อให้เห็น
ภาพของส่ิงน้นั ได้อย่างชัดเจน โดยการใช้คาเปรยี บเทียบความเหมือนของสิ่งหนึ่งกับสงิ่ หนึ่ง เช่น บ้าน
เงียบราวกับป่าช้า สวยเหมือนนางฟ้า ค้ิวโก่งด่ังคันศร เป็นต้น ในการอุปมามักจะมีคาแสดงการ
เปรียบมาเป็นคาเช่ือมโยง เช่น เหมือน เสมือน ดุจ ประดุจ ประหน่ึง ราว ราวกับ ดัง ด่ัง เฉก คล้าย
เปน็ ตน้
๖.๒ อุปลักษณ์ (Metaphor) เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหน่ึง เป็นการ
เปรียบเทียบโดยตรง ในการเปรียบแบบอุปลักษณ์มักจะมีคาว่า เป็น คือเช่น ชาวนาเป็นกระดูกสัน
หลังของชาติ กฬี าเปน็ ยาวิเศษ ครูคือแมพ่ ิมพข์ องชาติเธอคอื โลกท้ังใบของฉนั เปน็ ตน้
๖.๓ ปฏิภาคพจน์ (Paradox) เป็นการนาคาท่ีตรงข้ามหรือขัดแย้งกันมาใช้ในการ
แสดงความหมายร่วมกันได้อย่างไพเราะกลมกลืน เช่น น้าร้อนปลาเป็น น้าเย็นปลาตาย ไฟหนาว
รักดหี ามจ่ัวรักชว่ั หามเสา เป็นตน้
๖.๔ บุคลาธิษฐาน (Personification) เป็นการสร้างให้สิ่งไม่มีชีวิต แสดง
อากปั กิริยาต่าง ๆ มีความรสู้ ึกนกึ คิดเหมอื นกับคน เช่น ตุก๊ ตาเริงระบา ทะเลครวญ เป็นตน้
๖.๕ อติพจน์ (Hyperbole) เป็นการกล่าวเกินความจริง เพ่ือเน้นการสร้าง
มโนภาพ อารมณ์ ความรู้สึก หรือการกระทาให้ผู้อ่านเกิดความเพลินเพลิน ซาบซ้ึง หรือสะเทือนใจ
เช่น รักคุณเท่าฟ้า นา้ ตาแทบกลายเปน็ สายเลือด เป็นต้น
๖.๖ สักพจน์ (Onomatopoeia) การใช้คาเลียนเสียงท่ีเกิดจากธรรมชาติเพื่อให้
เกิดความไพเราะและความสมจริงในงานประพันธ์ เป็นต้นว่า การใช้เสียงสัตว์ เสียงคลื่น เสียงฟ้าร้อง
เสยี งฝนตก เสยี งระเบิด เสยี งดนตรี ในการเขยี น เชน่
๑๑๐
กอ๊ ก ก๊อก ก๊อก เธอมาทาไม มาซอื้ ดอกไม้ ดอกอะไร
ฉนั น่งั ฟงั คล่ืนกระทบฝ่ังดังครนื ครืน ฉันไดแ้ ต่ฝนื หวั ใจไมใ่ หค้ ดิ ถงึ เธอ
๖.๗ ปฏิปุจฉา (Rhetorical Question) เป็นการใช้ประโยคคาถามท่ีไม่ต้องการ
คาตอบ แต่ผูเ้ ขียนต้องการแสดงความรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งต่อผู้อ่านหรือต้องการกระตุ้นให้ผู้อ่านคิด
หรือสนใจต่อส่ิงน้ัน เชน่
ประชาไทยตายฟรแี ลว้ ก่ีครง้ั
เลือดไทยหลง่ั ปฐพีแล้วก่หี น
ประชาไทยตายฟรีแลว้ ก่ีคน
จะเวียนวนอย่างน้ีอกี ก่ีวัน
๖.๘ สัญลักษณ์ (symbol) การใช้ส่ิงมีชีวิตหรือไม่มีชีวิตเป็นตัวแทนของส่ิงใดส่ิง
หนง่ึ ซงึ่ เปน็ รูปธรรมหรอื นามธรรม
๖.๙ นามนัย (Metonymy) เป็นการใชค้ าหรอื วลีซ่ึงบ่งลกั ษณะของสิ่งใดส่ิงหนึง่ มา
แสดงความหมายแทนส่ิงนั้นท้ังหมด เพื่อหลีกเส่ียงการใช้คาธรรมดาและเป็นการนาจุดสาคัญหรือ
ลกั ษณะเด่นของสิ่งนน้ั มากล่าว
๔.๙ วิธแี บง่ ระดบั ภาษาในการเขียน
๑. ระดับภาษาปาก คือ ถ้อยคาท่ีใช้ในการสนทนาไม่มุ่งให้เป็นหลักฐานเหมือนลาย
ลักษณ์อักษรในการเขียนนามาใช้เป็นคาพูดของตัวละครหรือใช้เป็นสานวนการเขียนที่ไม่เป็นทางการ
เหมือนกับเป็นการเล่าสู่กันฟังอย่างเป็นกันเอง ใช้คาง่าย ๆ ตามกาลเทสะและฐานะของบุคคล ถ้ามี
อาวุโสอยู่ในระดับเดียวกัน การใช้คาจะจาแนกไปตามฐานะของบุคคล ถ้าอยู่ในส่ิงแวดล้อมที่เป็น
กันเองหรอื ทใี่ ช้คาต่าคาหยาบ คาคะนองก็จะมีแทรกอยู่ ในภาษาปากนี้เอง มที ง้ั สว่ นทเี่ ปน็ ภาษาสุภาพ
และไม่สุภาพตามฐานะของบุคคลดังกล่าวแล้วถ้ามีอาวุโสมากน้อยต่างกันสิ่งแวดล้อมท่ีใช้ภาษาที่เป็น
คาละเมียดหรือถึงระดับคาละเอียด ภาษาปากเช่นน้ีเป็นภาษากึ่งแบบแผนหรือภาษาแบบแผนก็ได้
ระดับภาษาปากนี้มักใช้ในการสนทนาโต้ตอบในกลุ่มบุคคลจานวนไม่มากนัก เป็นการดาเนิน
ชีวิตประจาวัน มีวงจากัดเป็นส่วนตัวเป็นภาษาระดับกันเองได้แก่การสนทนาในครอบครัว
การปรึกษาหารือในกลุ่มญาติสนิทมิตรสหาย ไม่มีหลักเกณฑ์การใช้ภาษามาเป็นกรอบกาหนด
การเรียงลาดับถ้อยคาหรือประโยค เพียงแต่ให้สามารถเสนอสารให้ผู้ฟังเข้าใจแจ่มแจ้งเท่าน้ัน ในการ
เขยี นจดหมายส่วนตัวหรอื บทสนทนาในนวนิยายมักจะใช้ภาษาปากอยู่มาก ตัวอยา่ งเชน่
๑๑๑
เตอ๋ ท่ีรกั
ได้รูปแล้วว่ะ เป็นอันว่านกยังมีเงินอยู่ท่ีฉัน 300 บาท เห็นแกว่าจะให้ฉันเก็บ
ไว้จะเอาเม่ือไรก็บอกมาก็แล้วกัน ฉันจะไปพบแกมันก็ลาบากนัก เวลานี้ไม่ค่อยมีเวลาว่างแลยดังท่ีแก
รู้ ๆ อยู.่ ..
วนั อาทิตย์น้ีจะมีการกินเหล้ากันท่ีบ้าน ถ้าแกไมไ่ ปโคราชกับปุ๊กไปซี ไปต้ังแต่
บ่ายวันเสาร์ก็ได้ มีพวกรุ่งทิพย์ ซีด ทานองนี้แหละ มีอ้ายเป๊ียกฟูด้วย ฉันได้แจ้งรายการแขกให้แก
ทราบตามนี้ ถ้าพอใจจะมาก็เชิญนะ และฉันคิดถึงแกจริง ๆ ว่ะ ดูเหมือนว่าในโลกน้ีจะไม่มีใครเข้าใจ
ฉนั ได้เทา่ แกหรอก แมแ้ ตผ่ ัวใหม่ของฉันเอง...สวุ รรณี ๒๙ ก.ย. ๑๔
๒. ระดับภาพกึ่งแบนแผน ใช้ในการพูดหรือเขียนเผยแพร่ต่อกลุ่มชน กลุ่มใหญ่กว่าการ
สนทนาภาษาปากแตก็ไม่ถึงกับเป็นการพูดหรือการเขียนแบบทางการหรือพิธีการ ถือเป็นการใช้
ภาษาระดับกลาง โดยท่ัวไปการแบ่งระดับภาษาจะเห็นชัดเจนคอื ระดับไม่เปน็ ทางการหรือไม่เป็นแบบ
แผนระดับหน่ึง และระดับทางการหรือแบบแผนอีกระดับหน่ึง กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ
กาหนดระดับภาษาแบ่งละเอียดไว้ในหนังสือเรียภาษาไทยชุดภาษาพิจารณ์เล่ม ๑ ท.๖๐๕ ชั้นมัยยม
ศึกษาปีท่ี ๖ (ม.๖) ว่ามี ๕ ระดับ คือ ระดับพิธีการ ระดับทางการ ระดับกึ่งทางการ ระดับสนทนา
และระดับกันเอง พิจารณาจากการ แบ่ง ๕ ระดับ เช่นนี้ ภาษาก่ึงแบบแผนจะอยู่ในระดับกึ่งทางการ
ซึ่งคลายความเคร่งครัดในวิธีการแสดงออกลดน้อยลงกว่าระดับทางการ แต่มีวิธีการใช้เป็นแบบแผน
มากกวา่ ระดบั สนทนาและระดบั กันเอง ตวั อย่างเชน่
"สุวรรณี สุคนธา เป็นใคร? หล่อนป็นนักขียนของผู้อ่าน! หล่อนเป็นเพื่อนของเพื่อน!
(ผมเคยเขียนต่อมา..) หล่อนไม่สวยแต่มีเสนห์ล้าลึกในความเป็นผู้หญิง จริงใจและไม่ดัดจริต! แววตา
ร่ืนเริงซ่อนความระทมจากความลัมเหลวในการเป็นเมียของใครบางคน แต่หล่อนมีความสุขกับภาระ
ของการเป็นแม่! นิสัยเปิดเผย ความรู้สึกงดงามกับชีวิตและไม่คร่ันคร้ามชีวิตที่โหดร้าย... (สุวรรณี
สุดมธเ์ ทยี่ ง. (กรุงเทพมหานคร. หนา้ ๓๔)
ในความยากลาบากกับการกล้ากลืนความรันทด ผมตอบคาถามของเพ่ือนคน
หนังสือพิมพ์หลายฉบับด้วยความรู้สึกของดอกไม้ร้องไห้ และเพียงประโยคเดียวแต่ไม่ใช่ประโยค
สดุ ท้ายวา่ หลอ่ นเป็นศิลปนิ และเปน็ ความด!ี ..." (เร่อื งเดียวกัน, หน้า ๗๘)
๓. คาระดับภาษาแบบแผนหรือทางการ ใช้ในการอภิปรายในที่ประชุมหรือคาปราศรัย
ในพิธีการ หรือเป็นการติดต่อสัมพันธ์กันทางธุรกิจการงานหรือเป็นการขียนที่ใช้ภาษามาตรฐาน ผู้ส่ง
สาร และผู้รับสารอาจจะไม่รู้จักกันเลยหรือความเป็นกันเองด้วย เนื้อหาสาระและผู้รับสารอาจจะ
ไม่รู้จักกันเลยหรือมีความเป็นกันเองน้อย เน้ือหาสาระจึงเรียบเรียงอย่างมีระเบียบแบบแผน มีการ
เตรียมตัว การวิเคราะห์ผู้ฟังหรือผู้อ่าน มีการร่วมสารขึ้นมาเป็นลายลักษณ์อักษร สานวนภาษาจึง
๑๑๒
สละสลวย มีแบบแผนของหลักเกณฑ์การใช้ภาษาอย่างถูกต้องมากกว่าระดับภาษาปากและภ าษา
กึ่งแบบแผน ตวั อยา่ งเชน่
"สวุ รรณี...
เราทุกคนอาลยั และเสียดายเธอสุดหัวใจ เสียดายแทนนักอ่านทั้งหลายท่ตี ่อไปน้ีพวกเขา
จะไม่มีโอกาสได้อภิรมย์กับสานวนท่ีมีคนเปรียบไว้ เหมือนกับสะบัดปลายพู่กันให้เกิดแต้มสีอันแจ่ม
เจิดไปดว้ ยศลิ ปะนนั้ อกี แล้ว...
คาที่ทาในภาษาแบบแผนจะมีการเรียบเรียงขัดเกลาให้ไพเราะไม่สับสนวกวน มีความ
ชัดเจนเกี่ยวเน่ืองในแนวคิดเชิงสร้างสรรค์ ตรงตามประเด็นเรื่อง กลวิธีการเสนอสาระจะกล่าวเป็น
กลาง ๆ สาหรับเผยแพร่ โดยท่ัวไปไม่จาเพาะเจาะจงกับผู้หนึ่งผู้ใด ยกเว้นการกล่าวคาไว้อาลัยดัง
ตัวอย่างที่ยกมาแล้วนี้ ถ้อยคาท่ีใช้จะเป็นคาสุภาพถึงระดับคาราชาศัพท์ขึ้นกับปัจจัยที่กาหนดระดับ
ของภาษา คือ กาลเทศะ ฐานะของบุคคลและลักษณะของเน้ือหาตลอดจนวิธีการในการเสนอเนื้อหา
นนั้ ถ้าเปน็ คากล่าว อาจใชร้ ะดบั ภาษา เชน่
พีน่ อ้ งทหารสหายผู้เป็นเพือ่ นร่วมน้าสาบานของข้าพเจ้า
กราบเรียน ทา่ นอธิการบดแี ละทา่ นผ้มู เี กยี รตทิ ุกท่าน
สวสั ดี ทา่ นผู้ฟงั ผู้สนใจศิลปวฒั นธรรมของชาติ
ท่านประธานและทา่ นผู้เข้าร่วมสัมมนาท่ีรกั ท้งั หลาย
นมัสการพระคณุ เจา้ ทเ่ี คารพอย่างสงู
ขอประทานกราบทลู สมเด็จพระสังฆราชเจา้
ขอพระราชทานกราบบงั คมทูล...(ออกพระนาม)...ทราบฝ่าละอองพระบาท
ขอเดชะฝ่าละอองธุลีพระบาทปกเกล้าปกกระหม่อม ข้าพระพุทธเจ้า...(ออกชื่อ)...ขอ
พระราชทานพระบรมราชาวโรกาสกราบบงั คมทลู พระกรุณาทราบฝา่ ละอองธลุ พี ระบาท
การจาแนกระดับภาษาในการเขียน ๓ ระดับ คือ ระดับภาษาปาก ภาษากึ่งแบบแผน
และภาษาแบบแผนจะเห็นได้ว่าภาษาที่เป็นภาษามาตรฐานในการเขียนก็คือภาษาแบบแผน ส่วน
ภาษาปากใช้เป็นบทสนทนาในการเขียนบางประเภท ภาษากึ่งแบบแผนอาจนามาใช้ในข้อเขียนท่ีมี
ลักษณะเนือ้ หาท่ไี มเ่ ป็นพธิ ีการเกนิ ไป
๑๑๓
๔.๑๐ การเขียนหนังสือสร้างสรรค์
การเขียนหนังสือ เป็นการถ่ายทอดโลกภายในสู่โลกภายนอกเพ่ือให้เกิดการรับรู้ โดยใช้
สือ่ ตัวอักษร ก่อนจะทางานเขียน ผู้เขียนควรทาความเข้าใจในเร่ืองกระบวนการรับรู้และถ่ายทอดเป็น
อยา่ งดีเสียก่อน ท้ังนี้เพ่ือการบรรลุผลสาเร็จในงานเขียนหนงั สือดงั ตอ้ งการ
ก่อนท่ีจะเกิดการถ่ายทอดไม่ว่าจะเป็นด้านใด จาเป็นอย่างย่ิงที่จะต้องเกิดกระบวนการ
รับรู้เสียก่อน ปกติมนุษย์จะเกิดการรับรู้ส่ิงต่าง ๆ ผ่านการมองเห็น การได้ยินและการสัมผัสตาม
ธรรมชาติ แต่ทุกคนก็สามารถเพ่ิมปริมาณการรับได้ด้วยการเพิ่มประสบการณ์ด้านต่าง ๆ ให้มากข้ึน
ไม่ว่าจะเป็นการอ่าน การพบปะพูดคุย การอยู่ร่วมในเหตุการณ์ รวมไปถึงการได้ฟังและชมเรื่องราว
จากทัศนูปกรณ์ต่าง ๆ การเพ่ิมประสบการณ์ในการรับรู้ได้มากเป็นประโยชน์อย่างย่ิงต่อการเขียน
หนังสือ เพราะมเี รื่องราวที่จะถ่ายทอดมาก หากผู้เขยี นหนงั สือมปี ระสบการณ์ในการรับรู้นอ้ ย ก็จะทา
ให้ทรรศนะแคบ มีเนื้อหาในการนาเสนอน้อย ข้อปฏิบัติสาคัญประการแรกของผู้สร้างสรรค์งานเขียน
จงึ อยู่ท่กี ารเพมิ่ พูนประสบการณใ์ นการรับรู้ให้มากทีส่ ดุ เท่าท่ีจะมากได้
การรับรู้ คือ กระบวนการนาเข้าของมนุษย์ท่ีมีต่อส่ิงแวดล้อมและเหตุการณ์ต่าง ๆ
รอบตัว เพื่อเกิดความรู้ ความเข้าใจ ความคิดวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณในส่ิงที่เข้ามากระทบ โดยผ่าน
กระบวนการเหน็ กระบวนการฟงั การสมั ผสั และการอ่าน
การรับรู้ผ่านกระบวนการเห็นเกิดขึ้นโดยใช้สายตาเป็นส่ือ การรับรู้ทเ่ี กดิ ขึ้นจากการเห็น
จะเป็นเร่ืองของรูปร่าง รูปทรง สีสัน จานวนและสัดส่วน เช่น รูปทรงส่ีเหลี่ยมสีแดงหน่ึงอันกว้างหนึ่ง
เมตร ยาวสองเมตร การรับรู้ทางสายตาจะเป็นเร่ืองของความจริงที่เป็นอยู่ และสายตาได้นาเข้าไปใน
โลกภายในของมนุษย์ โดยไมส่ ามารถแกไ้ ขเปลยี่ นแปลงได้
การรับรู้น้ีมีการฟังเป็นสื่อของการรับรู้ สิ่งที่นาเข้าไปไม่แตกต่างจากการรับรู้ทางสายตา
แตกตา่ งกันทต่ี ้องฟงั ขอ้ มูลความจรงิ จากการบอกเล่าของผอู้ ืน่ หรอื จากเสียงทเ่ี กดิ ขึน้
เป็นการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัสโดยตรงอื่น ๆ ของร่างกาย เช่น การจับต้อง
การกระทบกระเทือน การเสียดสีและอื่น ๆ ทาให้เกิดความรสู้ ึกอย่างเดียวกันในทุก ๆ คน เช่น ความ
เยน็ ความร้อน ความเจบ็ ปวด ซึ่งแม้จะเปน็ ความรู้สึกแต่กเ็ ป็นความรูส้ ึกทเ่ี กิดจากความจริง
เป็นการรับทางอ้อมที่ผ่านการรับและบอกเล่าด้วยตัวอักษรของผู้อื่นอีกทอดหน่ึง การ
รับรู้จากการอ่านนี้เป็นการนาเข้าท้ังด้านข้อเท็จจริงและความคิด ความรู้สึกช่วยให้การรับรู้ง่าย
รวดเร็วและลึกซึ้งมากขนึ้
การถ่ายทอด คือ กระบวนการในการนาออกทางการรับรู้ของมนุษย์ เพื่อให้เกิดความ
รบั รแู้ ละเข้าใจของผ้อู ่ืน ซึ่งมวี ธิ ีการถ่ายทอดอยู่หลายอยา่ ง เชน่ พดู เขยี น วาด แกะสลกั ฟ้อนรา และ
เล่นดนตรี
๑๑๔
การถ่ายทอดโลกภายในสู่โลกภายนอก เพื่อให้ผูอ้ ่ืนไดร้ ับรู้และเข้าใจมหี ลายประเภท คือ
ถ่ายทอดตามความเปน็ จริงหรือเหมือนจริงถ่ายทอดตามความคิดสร้างสรรค์ถ่ายทอดตามความรู้สึกนึก
คดิ และจินตนาการ
เป็นการถ่ายทอดสิ่งท่ีรับออกมาด้วยวิธีการต่าง ๆ อย่างตรงไปตรงมาตามที่ได้รับรู้ด้วย
การเห็นการฟัง การสัมผัส และการอ่าน ได้รับรู้มาอย่างไรก็ถ่ายทอดออกมาอย่างนั้นไม่มีการปรุงแต่ง
ด้วยความคิดและความรู้สึกส่วนตัวใดของผู้ถ่ายทอด กล่าวง่าย ๆ ก็คือ ไม่มีสมองหรือความคิดเข้าไป
เก่ียวข้องเห็นอย่างไรก็วา่ ไปอยา่ งน้ัน
โครงสรา้ งการถา่ ยทอดตามความจรงิ หรอื เหมือนจรงิ
สิ่งแวดล้อม การรับรู้ การถ่ายทอด ผลของการถา่ ยทอดเหมอื นสิง่ แวดลอ้ ม
ตวั อย่างการถา่ ยทอดตามความจรงิ
การรับรู้ การถ่ายทอด ดอกไม้
ถา่ ยทอดตามความคดิ สร้างสรรค์
เปน็ การถ่ายทอดโดยมสี ่ิงท่รี บั รู้เป็นทีม่ าของความคิด ไม่ใช่การถ่ายทอดตามการรบั รู้ตรง
แต่นาเอาส่ิงท่ีได้รับรู้น้ันมาคิดต่อเพิ่มเติมเข้าไป กล่าวง่าย ๆ ก็คือนาความจริงมาบวกด้วยความคิด
แลว้ นามาถ่ายทอดเปน็ ผลงานที่เกิดจากความคดิ แต่อยู่บนรากฐานของความจรงิ ท่ีได้รบั รู้
โครงสร้างการถ่ายทอดตามความคดิ สรา้ งสรรค์
สิง่ แวดล้อม การรับรู้+ความคิด การถ่ายทอด ทางความคดิ บนรากฐานของความจริง
ตัวอยา่ งการถ่ายทอดตามความคดิ สรา้ งสรรค์
การรับรู้+ความคิด การถ่ายทอด ความรกั
๑๑๕
การถ่ายทอดตามความร้สู กึ นึกคดิ และจนิ ตนาการ
เป็นการถ่ายทอด โดยใช้สิ่งท่ีรับรู้เป็นแรงบันดาลใจให้คิดต่อเติมให้เกิดความเกินจริง
โดยอาศัยจะมีส่ิงท่ีรับรู้ร่วมอยู่ในการถ่ายทอดหรือไม่มีเลยก็ได้ กล่าวง่าย ๆ ก็คือ จากส่ิงที่รับรู้ เติม
ความคดิ และความคนงึ ฝันก่อนถ่ายทอดออกมาให้ผู้อ่ืนรบั รู้
สิง่ แวดล้อม โครงสร้างการถา่ ยทอดตามความร้สู ึกนกึ คิดและจินตนาการ
การรบั รู้+ความคิด+คนึงฝัน การถา่ ยทอด ส่ิงแวดล้อม+เกนิ จริง
ตวั อย่างการถ่ายทอดตามความรูส้ ึกนึกคิดและจินตนาการ
การรับรู้+ความคิด+คนงึ ฝัน การถ่ายทอด ดอกไมย้ กั ษ์
๑. การถ่ายทอดแบบเหมือนจริง
ดอกไมส้ ขี าวมีกลีบจานวน 5 กลีบ
ก้าน1 ก้าน ใบ 2 ใบ
๒. การถา่ ยทอดแบบสรา้ งสรรค์
ดอกไม้เหมือนสตรี สวย น่ารัก และน่าทะนถุ นอม
๓. การถา่ ยทอดแบบจินตนาการ
ดอกไม้นนั้ ค่อย ๆ โตขึ้นจนเต็มทอ้ งฟ้า
๑๑๖
๔.๑๑ สรปุ
การเขียนได้อย่างมีประสิทธิภาพนั้น จะต้องอาศัยองค์ประกอบหลายประการด้วยกัน
ทงั้ ผู้เขียน งานเขียน กลวิธีการเขียน และผอู้ ่าน โดยเฉพาะอยา่ งยง่ิ ผู้เขยี นซึง่ จะต้องมีความรูใ้ นเรอื่ งท่ี
จะเขียน มีความคิดที่เปน็ ระบบชัดเจน ตลอดจนอาศัยการใช้ภาษาเขยี นได้อยา่ งเหมาะสมถูกต้องตาม
กาลเทศะและรู้จักศิลปะการเขียนท้ังการเลือกสรรถ้อยคา การเลือกใช้โวหารภาพพจน์ เพ่ือเป็น
พื้นฐานในการสร้างงานเขียนที่มีความสวยงาม ตลอดจนมีคุณค่าทางปัญญาและอารมณ์แก่ผู้อ่าน
อย่างไรก็ตามประสิทธิภาพของการเขียนจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเม่ือผู้เขียนฝึกฝนและมีความมุ่งมั่นใน
การพัฒนทกั ษะการเขียนจนเกดิ ประสบการณ์และความชานาญ
การเขียนไม่ว่ารูปแบบใดก็ตาม ต้องอาศัยภาษาเป็นเครื่องมือในการนาพาสารไปสู่
ผู้รับสาร แต่อย่างไรก็ตาม การมีความรู้ ความเช่ียวชาญเกี่ยวกับการใช้ถ้อยคา สานวน โวหาร
อย่างเดียวน้ันไม่เพียงพอจะต้องมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับหลกั เกณฑ์ หรือแนวทางการเขียนแต่ละ
รูปแบบ เช่น งานเขยี นประเภทรอ้ ยแก้ว รอ้ ยกรอง สารคดี บันเทงิ คดี
๔.๑๒ คาถามทบทวน
๑. การเขยี น คือ
๒. การพัฒนาทักษะการเขียนสัมพันธ์กบั ผูเ้ ขยี นอยา่ งไร
๓. ยกตัวอยา่ งงานเขยี นสรา้ งสรรคใ์ นรปู แบบร้อยกรอง
๔. กลวิธีการเขยี นมคี วามสาคัญต่อการเขียนอย่างไร
๕. พื้นฐานในการฝกึ เขียนมีส่วนสาคญั อย่างไร
๔.๑๓ เอกสารอ้างอิง
พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. ๒๕๕๔ : เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เนื่องในโอกาสพระราชพิธีมหามงคล เฉลิมพระชนมพรรษา ๗ รอบ ๔ ธันวาคม
๒๕๕๔. กรุงเทพฯ : นามมีบคุ๊ สพ์ นั ลเิ คชนั ส์, ๒๕๕๖.
สุจริต เพียงชอบและสายใจ อินทรัมพรรย์. (๒๕๓๓). วิธีสอนภาษาไทยระดับมัธยมศึกษา.
กรงุ เทพมหานคร : ไทยวฒั นาพานิช.
เปรมจิต ศรสี งคราม. (๒๕๓๔). การเขยี นทั่วไป. กรงุ เทพฯ : วทิ ยาลัยครูจันทรเกษม.
สนิท ต้ังทวี. (๒๕๔๕). การใช้ภาษาเชงิ ปฏิบัต.ิ กรุงเทพฯ : โอเดียนสโตร์.
สมบตั ิ ศิริจนั ดา. (๒๕๕๔). ภาษาไทยเพอื่ การส่อื สาร. กรุงเทพฯ : ห้างหนุ้ ส่วนจากดั ทีพีเอ็นเพรส.
สนุ ตี ิ์ ภจู่ ริ ฐาพนั ธุ.์ (๒๕๕๔). การใช้ภาษาไทยเพอื่ การสอ่ื สาร. กรงุ เทพฯ : ทริปเพิล้ เอน็ ดูเคชน่ั .
๑๑๗
โสภณ สาทรสัมฤทธ์ิผล. (๒๕๕๓). ภาษาไทยเพื่อการส่ือสารและสืบค้น. สถาบันราชภัฏเชียงใหม่ :
เชียงใหม.่
ดวงใจ ไทยอบุ ุญ. (๒๕๔๓). ทักษะการเขียน. กรุงเทพฯ : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
สมบัต ตัญตรัยรัตน์. (๒๕๔๕). สอนให้คิด คิดแล้วเขียน เขียนจากความคิด. ของแก่น :
มหาวิทยาลยั ขอนแก่น.
กรรณิการ์ พวงเกษม. (๒๕๓๓). การสอนเขียนเร่ืองโดยใช้จิตนาการทางสร้างสรรค์ในระดบ
ประถมศึกษา. กรงุ เทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
ประเวศ วะลี. (๒๕๕๔). กระบวนการนโยบายสาธารณะ. กรุงเทพฯ : มลู นธิ ิสาธารณสขุ แหง่ ชาติ.
เปลื่อง ณ นคร. (๒๕๔๔). พจนะภาษา. กรุงเทพฯ : ไทยวฒั นาพานิช.
วรวรรธน์ ศรียาภัย. (๒๕๕๗). การเขียนเพื่อการสื่อสาร. พิมพ์ครั้งท่ี ๒. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย.
กองเทพ เคลือบพณชิ กุล. (๒๕๔๒). การใชภ้ าษาไทย. กรุงเทพฯ : โอเดยี นสโตร.์
สริ วิ รร นันทจนั กลู . (๒๕๕๔). การเขยี นเพอื่ การสื่อสาร ๒. กรงุ เทพฯ : มหาวทิ ยาลยั เกษตรศาสตร์.
แผนบริหารการสอนประจาบทที่ ๕
ศิลปะและกลวิธีในการเขยี นเชงิ สร้างสรรค์
หัวขอ้ เนือ้ หาประจาบท
๑. การเขียนเชิงสรา้ งสรรค์
๒. หลักในการเช่ือมโยงความคดิ สรา้ งสรรคก์ ับการเขยี น
๓. แนวคิดเกย่ี วกบั กระบวนการคิดสร้างสรรค์
๔. ทฤษฏเี ชาวป์ ัญญาสามองคป์ ระกอบ
๕. รูปแบบการจัดการเรยี นรู้เชิงสรา้ งสรรค์
๖. กลวธิ กี ารเขยี นเชงิ สร้างสรรค์
๗. การใช้ประโยคในการเขียน
๘. การลาดบั ประโยคในการเขยี น
วัตถปุ ระสงค์เชิงพฤติกรรม
๑. นักศึกษาสามารถอธบิ ายกลวิธี และศิลปะการเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์
๒. นกั ศึกษาสามารอธิบายหลกั การเขยี นเชงิ สรา้ งสรรค์
๓. นักศึกษาสามารถอธิบายกลวิธีการใช้ “คา” ในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ประโยค
หลกั การเขียนยอ่ หน้า และการใชส้ านวนในการเขยี นเชงิ สรา้ งสรรคป์ ระโยค
๔. นักศึกษาสามารถยกตัวอย่าง งานเขียนที่อาศัยกลวิธีและศิลปะในการเขียนอย่าง
สรา้ งสรรค์
๕. นักศึกษาอธิบายเหตุผลในการเขียน การพัฒนาทักษะการเขียนจากงานเขียนประเภท
ตา่ ง ๆ ได้อยา่ งถูกต้อง
วิธีสอนและกจิ กรรมการเรียนการสอน
๑. วธิ ีสอน
๑.๑ การประเมินความรเู้ ดมิ
๑.๒ การบรรยาย อภปิ ราย ซักถาม
๑.๓ การให้ค้นคว้า หาความรดู้ ้วยตนเอง
๑.๔ การให้ทางานรว่ มกนั เปน็ กล่มุ
๑.๕ การให้นาเสนอผลการทางานกลมุ่
๑๒๐
๒. กจิ กรรมการเรียนการสอน
๒.๑ การประเมนิ ความรเู้ ดมิ ของนกั ศึกษา
ให้นักศึกษาทาแบบทดสอบเพ่ือประเมินความรู้เดิมของนักศึกษาให้อาจารย์ทราบ
ปัญหาของนักศึกษา ซง่ึ จะช่วยใหจ้ ัดการศึกษาไดอ้ ย่างมีประสิทธิภาพ
๒.๒ การบรรยายและภาพตอบปญั หา
ให้นักศึกษาอ่านเอกสารคาสอนล่วงหน้าก่อนฟังบรรยายจากอาจารย์ซ่ึงจะเน้น
ประเด้นที่นกั ศึกษาไมเ่ ขา้ ใจ หรือส่งิ ทจ่ี าเปน็ ตอ้ งยึดถือเปน็ หลกั ในการเขียน
๒.๓ การแบง่ กลุม่ ศึกษาคน้ ควา้
ให้นักศึกษาค้นคว้าหาความรู้ เพ่ือทาความเข้าใจเกี่ยวกับการเขียนอย่างมี
ประสทิ ธภิ าพ
๒.๔ การแบ่งกล่มุ ศกึ ษาคน้ คว้า
ให้นักศึกษาแบ่งกลุ่มทางาน ศึกษาข้อมูลต่าง ๆ ท่ีก่อให้เกิดการริเริ่ม งานเขียนเชิง
สร้างสรรค์ และนาเสนอในชัน้ เรยี น
๒.๕ การวิเคราะหเ์ อกสารประกอบการบรรยาย
ใหน้ กั ศึกษาทางานกลุ่มร่วมกนั ศึกษากลวธิ ีการเขียนได้อย่างถกู ต้อง
ส่ือการเรยี นการสอน
๑. เอกสารคาสอนประกอบการสอนศลิ ปะและกลวิธใี นการเขยี นเชงิ สร้างสรรค์
๒. Power Point สรปุ เน้อื หา
๓. ตวั อย่างการสอนศิลปะและกลวิธใี นการเขยี นเชิงสร้างสรรค์
การวัดผลและประเมินผล
๑. ประเมินความรหู้ ลงั การเรยี น
๒. ประเมินจากการมสี ว่ นร่วมกจิ กรรมในชนั้ เรยี น
๓. ประเมนิ จากการทางานท่ีไดร้ บั มอบหมาย
๔. สังเกตพฤติกรรมการเรียน
๕. ประเมนิ จากผลการศกึ ษาคน้ ควา้ เกีย่ วกับการเขยี นเชงิ สร้างสรรค์
บทที่ ๕
ศิลปะและกลวิธีในการเขียนเชิงสร้างสรรค์
การเขียนเป็นทักษะทางภาษาท่ีมีความสาคัญย่ิงในชีวิตประจาวัน ผู้ท่ีมีทักษะทางการ
เขียนจะประสบความสาเร็จในการสื่อสาร และสามารถยึดเป็นอาชีพได้ เนื่องจากการเขยี นเป็นทักษะ
ท่ีต้องใช้ทั้งศาสตร์ และศิลป์ในการสื่อสาร จาเป็นต้องอาศัยหลักวิชาการทางด้านการใช้ภาษาท่ีดี
ถูกต้องตามแบบแผน และในขณะเดียวกันก็ต้องอาศัยความสามารถด้านการใช้หลักสุนทรียศาสตร์
ปรุงแต่งให้เกิดความงดงามทางวรรณศิลป์ หรือศิลปะการใช้ถ้อยคาที่สละสลวย อีกท้ังผู้เขียน
จาเป็นต้องมีความคิดท่ีแปลกใหม่ สามารถดัดแปลงประเด็นหรือมุมมองเดิมท่ีเคยมีอยู่แล้ว ให้ต่างไป
จากของเดิม และมีคุณค่า ท้ังด้านกลวิธี การนาเสนอ รูปแบบ ตลอดจนการเลือกใช้ถ้อยคาในการ
ส่ือสาร โดยผ่านกระบวนการคิด สร้างสรรค์ในการถ่ายทอดผลงานเขียนทั้งด้านการคิด และการใช้
ภาษาให้มีประสิทธิภาพ ดังที่ ชีวพันธ์ (๒๕๔๘ : ๔) กล่าวว่า การเขียนเป็นการใช้ทักษะท่ีต้องอาศัย
การนาถ้อยคาความรู้จากประสบการณ์ต่าง ๆ มาเรียบเรียงลาดับความคิด ให้ต่อเนื่องกัน ด้วยเหตุน้ี
การเขยี นจงึ เปน็ สว่ นหน่งึ ทจี่ ะแสดงถึงพฤติกรรมการสรา้ งสรรค์ของผ้เู ขียนด้วย
๕.๑ การเขียนเชงิ สร้างสรรค์
การเขยี นเชิงสร้างสรรค์ เป็นกิจกรรม อย่างหนึ่งท่ีจะต้องแสดงปญั ญา และจะต้องแสดง
ออกมาอย่างฉลาด ซ่ึงผู้เขียนจะแสดงปัญญาได้ น้ันต้องทาตัวเป็นพหูสูตอยู่ตลอดเวลา ทั้งนี้ ผู้เขียน
จะต้องแสดงความฉลาดได้โดยการใช้ ศลิ ปะในการถ่ายทอดปัญญาออกมาให้ตรงกับสิ่ง ท่ีตนเองคิดให้
ได้มากที่สุด และชัดเจน จนคนอ่านสามารถเข้าใจได้ถูกต้อง และเกิดความรู้สึก นิยมยกย่อง นับถือ
(เวชกุล, ๒๕๒๔ : ๑) ดังนั้น การเขียนเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นการการถ่ายทอด ความคิด และเร่ืองราว
โดยอาศัยความรูป้ ระสบการณ์จินตนาการของผู้เขียน ด้วยสานวนภาษาท่ีสละสลวย มีเอกลักษณ์เป็น
ของตนเอง ก่อให้เกิดประโยชน์และมีคุณค่า แก่ผู้อ่าน ทั้งนี้การเขียนเชิงสร้างสรรค์มีลักษณะต่าง ๆ
ดงั น้ี
๑. ความคิดในการนาเสนอเนื้อหาที่แปลกใหม่ หรือ เกิดจากการนาเสนอต่อยอด
เนื้อหาเดิม หรือท่ีมีอยู่เขียนต่อกันไปแบบ ความเรียง แต่นามาผสมผสานกับความคิดใหม่ ด้วย
จินตนาการผ่านความคดิ ความรู้สกึ และประสบการณ์ของผเู้ ขยี น
๒. การใชภ้ าษา ผู้เขียนตอ้ งรู้จักเลือกใชถ้ ้อยคาที่เหมาะสม สอดคล้องกับรูปแบบ หรือ
ประเภทของงานเขียนน้ัน ๆ สื่อความหมายได้ชัดเจน และทาให้ผู้อ่านเกิดจินตภาพ หรือความรู้สึก
รว่ มกับผ้เู ขียนไดโ้ ดยผา่ นทว่ งทานองการเขียนท่ีเปน็ ลกั ษณะเฉพาะตวั ของผเู้ ขยี น
๑๒๒
๓. เกิดคุณค่า และคุณประโยชน์ต่อผู้อ่าน งานเขียนที่สร้างสรรค์ ควรสรรสร้างคุณค่า
ทางอารมณ์ หรือความคดิ ใหก้ ับผูอ้ า่ น
การพัฒนาทักษะการเขียนเชิงสร้างสรรค์ จึงเป็นความจาเป็นแก่ชีวิต และเป็นส่วนหนึ่ง
ของกลไกในการพัฒนาการศึกษาในปัจจุบัน เน่ืองจากการเขียนเชิงสร้างสรรค์ต้องอาศัยทั้งทักษะใน
การเรียนรู้ และความกล้าท่ีจะทาให้เกิดความแตกต่างในการแสดงออกในการถ่ายทอดความคิดนั้น
ออกมาได้อย่างมีคุณค่า และเกิดประโยชน์ต่อสังคมในภาพรวมได้ ซ่ึงสอดคล้องกับความเห็นของ
สินลารัตน์ (๒๕๕๗ : ๔๐-๔๑) ที่กล่าวไว้ว่าการศึกษาไทยในยุคปัจจุบันควรเน้นให้ผู้เรียนมี
ความสามารถในการเรียนรู้ตระหนักในความสาคัญของการเข้าใจในส่ิงต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง เพื่อสร้าง
ประกายความคิดสร้างสรรค์ให้เกิดเป็นนวัตกรรมใหม่ โดยมีความเป็นตัวของตัวเองไม่ต้องตามทุก
อย่างจากประเทศที่เจริญแล้ว ซึ่งส่ิงเหล่าน้ีจะเกิดได้ต้องอาศัยคนในสังคมท่ีมคี วามกล้าท่ีจะคิดส่ิงใหม่
อย่างสรา้ งสรรค์ การคิดสิ่งใหม่อย่างสรา้ งสรรค์ ได้น้ันต้องอาศัยความเข้าใจอย่างถ่องแทใ้ นศาสตร์นั้น
ๆ ดังนนั้ บทบาทของครูผู้สอนจงึ จาเป็นจะตอ้ งฝึกฝนให้ผเู้ รียนได้เกดิ ความคิดสรา้ งสรรค์ และพฒั นาไป
ในระดับท่ีสูงขึ้น โดยจาเป็นจะต้องสอดแทรกกับการสอนใน ทุกเน้ือหารายวิชาที่ปรากฏอยู่ใน
หลักสูตร การเรียน การสอน ซ่ึงในการเรียนรู้ในรายวิชาภาษาไทยนน้ั ความคิดสรา้ งสรรค์ของคนเรา
จะสามารถฝึกฝน และพัฒนาให้เกิดข้ึนได้โดยผ่านการเรียนรู้ในหัวข้อการเขียนเชิงสร้างสรรค์
ซึ่งปรากฏอยู่ในเนื้อหาบทเรยี นที่เกยี่ วกับการฝึกทักษะการเขยี นของผเู้ รียนในทุกระดบั ช้นั
หากแต่การเขียนเชิงสร้างสรรค์จัดเป็นทักษะที่มีความยาก และง่ายอยู่ในตัว เพราะต้อง
เชื่อมโยงความคิด และถ่ายทอดความคิดน้ันให้ชัดเจนด้วยสานวนการใช้ภาษาของตนเอง ดังนั้นการ
เชอ่ื มโยงระหว่างการคดิ และการเขียน จึงอยู่ ที่ใจกลางของการรู้ภาษา แนวคิดดังกลา่ ว สอดคล้องกับ
นาคนวล (๒๕๕๒ : ๒๐๘) ที่กล่าวว่า การคิดเป็นจุดเร่ิมต้นของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ การพัฒนา
ทักษะการคิดจาเป็นสาหรับการพัฒนา ทักษะการเขียน เมื่อผู้เขียนมีข้อมูลอยู่ในคลังมาก เพียงพอ
ก็จะนาข้อมูลเหล่านั้นมาคิดต่อยอด และสามารถจัดลาดับเชื่อมโยงความสัมพันธ์ให้ เป็นระบบ
ระเบียบได้ เช่นเดียวกับที่ Sharples (๑๙๙๙ : ๓) ได้กล่าวว่า การเขียนเชิงสร้างสรรค์ คือ การ
ถ่ายทอดความคิดออกมาเป็นคาได้อย่างรวดเร็วลงบนกระดาษโดยการเขียนเชิงสร้างสรรค์น้ีผู้เขียน
จะต้องก้าวขา้ มผ่านโลกชีวิตประจาวันเพ่ือให้งานเขยี นมีความแตกตา่ งไปจากเดิมดว้ ยการผลิตผลงาน
ที่มีคุณค่า และมีพลัง ดังน้ันการเขียนเชิงสร้างสรรค์จึงมิได้เป็น เร่ืองของการใช้ความคิดเพียงอย่าง
เดียว แต่ต้องอาศัยวิธีการต่าง ๆ ในการถ่ายทอดความคิดจนนาไปสู่การเขียนเชิงสร้างสรรค์ได้ใน
ระยะเวลาทเ่ี หมาะสม
๑๒๓
๕.๒ หลักในการเชอ่ื มโยงความคดิ สร้างสรรคก์ บั การเขียน
การเขียนเชิงสร้างสรรค์เป็นทักษะท่ีเชื่อมโยงการเขียน และความคิดสร้างสรรค์
เข้าด้วยกัน สิ่งสาคัญของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ได้แก่ การฝึกฝน และการเช่ือมโยงความคิด
สร้างสรรค์ กับการเขียนได้อย่างกลมกลืน โดย Boostrom (๑๙๙๓ : ๗๕–๘๓) ได้อธิบาย
กระบวนการ การเชื่อมโยงความคิดสร้างสรรค์ กับการเขียนว่าควรเริ่มต้นจากการหาความคิดใน
การเขียนด้วยวิธีการเขยี นความคิดทีม่ ีอยู่ในสมองออกมาให้ไดม้ ากที่สุด จากนั้นผู้เขียนควรพจิ ารณาว่า
ความคิดใดไม่เก่ียวข้องกับเร่ืองท่ีจะเขียนแล้วค่อย ๆ ขีดฆ่า หรือลบแนวคิดน้ันท้ิงไป นาแนวคิดที่
เหลืออยู่มาเชื่อมโยงความสัมพันธ์ ด้วยการเช่ือมโยงความคิดน้ัน โดยผู้เขียนจะต้อง ตระหนักถึง
ความสัมพันธ์ของส่ิงต่าง ๆ ซ่ึงบางครั้งต้องใช้ความพยายามในการเชื่อมโยงมาก เพราะความสัมพันธ์
นั้นต้องอาศัยจินตนาการใน การเช่ือมโยงความคิด ดังน้ี ความคล้ายคลึง (Analogies) คือ การ
เปรียบเทียบด้วยการหาความสัมพันธ์ หรือจุดร่วมของแต่ละอย่าง เช่น อาชีพกับเครื่องมือ หากแต่
ความคล้ายก็ไม่สามารถสรุปความสัมพันธ์ ได้เสมอไป เช่น ถ้าชอล์กอยู่ในมือศิลปิน ก็จะกลายเป็น
อปุ กรณว์ าดรปู แตถ่ า้ ชอลก์ อยูใ่ นมือครู ก็จะเป็นเครอื่ งมอื ในการถ่ายทอด
การพาดพิง และการอุปมา (Allusions and Metaphors) สังเกตว่า ทุกวันนี้เราสร้าง
ความสัมพันธข์ องส่ิงต่าง ๆ โดยกลวธิ ีการใช้ภาษาดว้ ยการใช้สัญลักษณ์ในการเปรียบเทยี บใหเ้ ห็นภาพ
ตา่ ง ๆ การพาดพงิ หรือการอุปมาทาให้เกิดภาพอารมณ์ หรือความรู้สึกทาให้ผู้เขียนสามารถเชื่อมโยง
ได้ง่ายการใช้ภาษาในแง่มุมนี้ ทาให้เกิดการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ในการพาดพิง หรืออุปมาข้ึนมาได้
ทัง้ นี้ผ้เู ขียนอาจใชก้ ารอุปมา เพ่อื ใหผ้ ู้อ่านเห็นภาพ หรือเกิดอารมณ์ความร้สู กึ รว่ มไปกบั ผเู้ ขยี นได้
การเลือกใช้ถ้อยคา (Ordinary Language) จะเห็นว่าภาษาเป็นเคร่ืองมือในการ
ถ่ายทอดความคิด และความรู้สึก หากผู้เขียน เลือกใช้คาท่ีถูกต้อง และตรงกับความหมายก็จะทาให้
ผอู้ ่านเข้าใจสิง่ ท่ีผู้เขียนต้องการจะถ่ายทอด หรือสื่อได้ง่าย ดังเช่น การอุปมา กับการพาดพิง เป็นสอง
วิธีท่ีให้ผู้อ่านเกิดการจินตภาพชัดเจน ทาให้การเขียนมีความสัมพันธ์ท่ีไม่ได้คิดไว้ และช่วยให้เกิด
ความรุ่มรวยทางภาษา
ทุกสิ่งรอบตัวสัมพันธ์กับตัวเรา (You and The World) ความสัมพันธ์น้ีอาจเริ่มจากคน
รอบข้าง เช่น ขณะท่ีเราเกิดมาเราก็มิได้อยู่คนเดียวในโลก เราต้องมีความสัมพันธ์กับ ครอบครัว
ขณะเดียวกันถ้าอ่านหนังสือเราก็จะมีความสัมพันธ์กับหนังสือเล่มนั้น หากรับประทาน อาหารแล้ว
รู้สึกว่ารสชาติอร่อย ก็จะคิดว่าคนอื่นก็ต้องคิดเช่นเดียวกับเรา ฉะนั้นการเห็นความสัมพันธ์ของทุกสิ่ง
คือ ความสาคัญข้ันพื้นฐานขององค์ประกอบในการเขียน เพ่ือให้ เกิดความคิดสร้างสรรค์ และ
จนิ ตนาการ
๑๒๔
การเขียนเชิงสร้างสรรค์จึงเป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีอิสระในการเขียน และแสดง
ความคิดเห็นซ่ึงเป็นสิ่งที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ การจัดระบบความคิด และการใช้ภาษาเพ่ือสื่อ
ความหมาย (จุฑาวิจิตร, ๒๕๕๗ : ๔) ซึ่งจัดเป็นผลิตผลของความคิดริเริ่มอย่างหน่ึงใน การช่วยให้
ผู้เรียนตระหนัก และเห็นคุณค่าของความคิดสร้างสรรค์น้ัน อีกทั้งยังช่วยให้ผู้เรียนไม่เกิดความ
เบ่ือหน่ายในการเรียนรู้ เนื่องจากเป็นการเขียนที่ต้องใช้จินตนาการ การเร้าอารมณ์ ความรู้สึกร่วมไป
ด้วย (มันตะสูตร, ๒๕๒๕ : ๑๐) ท้ังนี้ Appletgated (๑๙๔๙ : ๓–๖) ได้เสนอแนะว่า การเขียนเชิง
สร้างสรรค์ควรบรรจุไว้ในหลักสูตรการเรียนการสอนของสถาบันการศึกษาต่าง ๆ เน่ืองจากการเขียน
เชิงสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือทางสังคมท่ีจาเป็น และช่วยให้ผู้สอนเข้าใจผู้เรียนอีกทั้งเปิดโอกาสให้
ผู้เรียนได้แสดงความคิดอย่างอิสระทาให้ผู้เรียน เกิดความภาคภูมิใจในผลงานของตนเอง รวมถึงเป็น
เคร่อื งมือในการช่วยใหผ้ ู้สอนสามารถค้นพบความสามารถ และกระต้นุ พรสวรรคท์ ่ีมีอยู่ในตัวผเู้ รียนได้
แม้ว่าหลักสูตรในรายวิชาภาษาไทยท่ีเปิดสอนในระดับช้ันมัธยมศึกษา และ
ระดับอุดมศึกษาจะบรรจุรายวิชาการเขียนเชิงสร้างสรรค์มาเป็นระยะเวลายาวนาน แต่พบว่าการ
จัดการเรียนการสอนในรายวิชาดังกล่าวยังไม่ประสบผลสาเร็จเท่าที่ควรจากการศึกษาเอกสาร และ
งานวจิ ัยท่ีเกี่ยวข้อง ผู้เขียนพบว่าปัญหาในรายวิชาการเขียนเชิงสร้างสรรคเ์ กดิ จากปัญหาท่เี กิดจากตัว
ผู้เรียน ได้แก่ ผเู้ รียนมคี วามเหน็ วา่ เป็นวชิ าทย่ี าก (Sternberg, ๒๐๐๙ : XV) ผเู้ รียนขาดการเชอื่ มโยง
ทางความคิด และการลาดับความคิดที่ดีไม่รู้ว่าจะเขียนอะไร เขียนอย่างไรเขียนแล้วไม่ประสบ
ความสาเร็จทาให้เกิดความท้อแท้เบ่ือหน่าย และถูกบังคับให้อยู่ใน กรอบของรูปแบบคาประพันธ์ท่ี
ตนเองไม่ถนัด (Bedell, ๒๐๑๕) อีกท้ังการจัดกจิ กรรมการเรียน การสอนเขยี นในลักษณะต่าง ๆ ท่ีจะ
นาไปสู่การเขียนท่ีเสรมิ สร้างจินตนาการ และความคิดสร้างสรรค์นน้ั ยังขาดเคร่ืองชี้นา และกิจกรรมท่ี
เหมาะสมกบั วัย และระดับช้นั ของผู้เรยี น นอกจากนยี้ ังพบว่าผู้สอนขาดวิธกี ารอธบิ าย และวิธีการท่จี ะ
ชว่ ยพัฒนาผเู้ รียนให้เกิดความสามารถในการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ได้อย่างชดั เจน (Sharples, ๑๙๙๙ :
๔-๕) ตลอดจน ผู้สอนส่วนมากยังคงเลือกใช้วิธีสอนท่ีเน้น การบรรยาย และการท่องจาเป็นส่วนใหญ่
ทาให้ผู้เรียนขาดการแสดงออกทางความคิด และขาดความสามารถในการคิดสร้างสรรค์ ไม่สามารถ
หาแนวทางในการแก้ไขปัญหา หรือนาองค์ความรู้ตลอดจนวิทยาการต่าง ๆ ไปใช้ได้อย่างเหมาะสมจึง
เป็นเหตใุ ห้สังคมไทยนิยมการเลยี นแบบหรือการคล้อยตามเปน็ สว่ นมาก (พรร่งุ โรจน์, ๒๕๔๖ : ๑๘๓)
จากข้อมูลดังกล่าว จะเห็นได้ว่าปัญหาในการจัดการเรียนการสอนในรายวิชาการเขียน
เชิงสร้างสรรค์เกิดจากผู้สอนส่วนใหญ่ยังคงเน้น และยึดตนเองเป็นศูนย์กลางของการจัดกิจกรรม
การเรียนการสอน และยังใช้วิธีการสอนแบบเน้นผลงานที่ยึดความถูกต้องของรูปแบบการเขียน และ
กฎเกณฑ์ทางภาษาซ่ึงส่ิงเหล่าน้ีไม่ค่อยเสริมให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ซึ่งเป็นปัจจัยสา คัญใน
การเขียนเชิงสร้างสรรค์ตลอดจนผู้สอนไม่ได้ฝึกฝนให้ผู้เรียนเกิดความคิดท่ีเป็นหลากหลาย และขาด
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ที่เหมาะสม และเร้าความสนใจผู้เรียนจนนาไปสู่การเขียน เสริมสรา้ งจนิ ตนาการ และ
๑๒๕
ความคิดสร้างสรรค์ซ่ึงปัญหาต่าง ๆ เหล่าน้ีทาให้ผู้เรียนเกิดทัศนคติที่ไม่ดีต่อวิชาการเขียนเชิง
สร้างสรรค์ เน่ืองจากเห็นว่าเป็นวชิ าที่ยาก และน่าเบ่ือเพราะต้องมีการฝึกปฏบิ ัตทิ ุกชั่วโมง และผเู้ รยี น
ไม่แน่ใจว่าตนเองควรเขียน หรือถ่ายทอดความคิดน้ันอย่างไรจึงจะ เรียกว่าเป็นงานเขียนเชิง
สร้างสรรค์
ฉะน้ันผู้เขียนจึงพยายามหาแนวทางการจัดการเรียนการสอนเพื่อส่งเสริมความสามารถ
ทางการเขียนเชิงสร้างสรรค์ให้กับผู้เรยี นด้วยการสัมภาษณ์ผู้เช่ียวชาญทั้งด้านการสอน และการเขียน
เชิงสรา้ งสรรคส์ ามารถสรปุ ได้วา่
แนวทางการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์ ผู้สอนจาเป็นต้องจัด
กิจกรรมท่ีเร้าความสนใจ และเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ให้มากท่ีสุดและ
ควรเน้นการปฏิบัติมากกว่าภาควิชาการ เนื่องจากการเขยี นเชิงสร้างสรรค์ เป็นวิชาทจ่ี าเป็นจะต้องฝึก
ให้เขาคิดให้แตกต่าง หรือสร้างสรรค์ไปจากของเดิม และถ่ายทอดความคิดนั้นให้เป็นรูปธรรม ดังนั้น
เมื่อผู้เรียนสามารถเขียนอย่างสร้างสรรค์ได้ก็จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ทักษะและเจตคติที่ดี
ตลอดจนนาไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจาวันได้ เราต้องระลึกไว้เสมอไว้การเขียนเป็นวิชาที่เน้น ทักษะ
ต้องได้รบั การฝกึ ฝน เน้นการปฏิบัติ มากกวา่ วชิ าการ และหากเราฝึกอย่างตอ่ เนื่องก็ จะทาให้เราเขียน
ได้คล่อง และคิดได้คล่องข้ึน นอกจากน้ีการเขียนเชิงสร้างสรรค์ควรมี การจัดกิจกรรมให้หลากหลาย
เพื่อผเู้ รียนสามารถถ่ายทอดส่ิงทเ่ี ป็นนามธรรมใหเ้ ป็นรูปธรรมได้โดยต้องเร่ิมต้นจากการคิดงา่ ย ๆ เช่น
ใช้วิธีการนาเสนอแบบแผนของข้อมูลลูกโซ่ (Chain of Source) คือ เม่ือผู้เรียนเห็นสีแดงแล้วผู้เรียน
จะนึกถึงอะไรผู้เรียนก็จะถ่ายทอดความคิดน้ัน ออกมาในลักษณะท่ีต่างกัน เช่น เห็นสีแดงแล้ว คิดถึง
ไฟไหม้ คดิ ถึงรถดับเพลงิ คิดถงึ ความรัก จากนั้นจงึ ให้ผู้เรียนขยายความคดิ น้ัน จะเห็นได้ ว่าในการฝึก
เบ้ืองต้นผู้สอนยังไม่ควรให้ผู้เรียนฝึก เขียนในส่ิงท่ียาก หรือเขียนในสิ่งท่ีเป็นรูปแบบ มากเกินไป
เพราะผู้เรียนยังไม่มคี วามชานาญพอ แต่ควรใหผ้ ู้เรียนฝึกเขียนแสดงความคิดจากนั้น จงึ ค่อย ๆ ขยาย
ความคิดนั้นให้เป็นคา จากคาก็เป็นประโยค จากประโยคก็จะกลายเป็นย่อหน้า เมื่อผู้เรียนเขียนได้
หนึง่ ยอ่ หนา้ กถ็ อื วา่ เปน็ การเขียนเชิงสร้างสรรค์แล้ว
การเขียนเชิงสร้างสรรค์จึงต้องเร่ิมจาก การจัดกิจกรรมท่ีใกล้เคียงกับประสบการณ์ของ
ผู้เรียน ผู้เขียนจะต้องเตรียมข้อมูลให้พร้อมก่อนลงมือเขียน เสมือนแม่ครัวจะทาอาหารก็ต้องมี
การเตรียมวัตถุดิบให้พร้อมเสียก่อน ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องสารวจว่าตนมีข้อมูลอะไรบ้างเกี่ยวกับ
สิ่งท่ีจะเขียน และเม่ือมีข้อมูลเพียงพอแล้วต่อการเขียน ข้ันตอนต่อไปผู้เขียนควรคานึงว่าจะเขียน
อย่างไร ซ่ึงเปรียบเสมือนแม่ครัวจะทาอาหารอย่างไรให้มีรสชาติท่ีอร่อย จะต้องใส่วัตถุดิบอะไรก่อน
อะไรหลัง และขอให้พึงระลึกไว้เสมอว่าการทาอาหารเพียงครั้งเดียวน้ันคงไม่ได้อร่อยเสมอไป งาน
เขียนของเราก็เช่นกัน คงไม่มีใครได้ รางวัลจากงานเขียนช้ินแรกทุกครั้งไป จะเห็นได้ว่าการปรุง
ตัวอักษรกับการปรุงอาหารมีลักษณะ คล้ายคลึงกัน คือ ต้องปรุงจนชานาญจึงจะอร่อย และต้องมี
๑๒๖
ลูกเลน่ ในการปรุง หรือมเี ทคนิคในการปรุง ถ้าหากผู้ปรุงรักสบายใส่ผงชูรสไปในงานเขียนใหอ้ ร่อย นั่น
ก็หมายความว่า ผู้ปรุงได้ไปยืมแนวคิด หรืองานเขียนของอ่ืนมาใส่ก็จะทาให้งานเขียนน้ันขาดรสชาติ
ความเป็นเอกลักษณ์ ของตนอง ดังนั้นผู้เขียนจึงต้องหาเทคนิค หรือ ลักษณะเฉพาะของตนเองให้เจอ
กจ็ ะทาให้อาหารจานน้ันอร่อยด้วยรสมือของผู้เขียนเอง งานเขียนจึงเป็นงานท่ีตอ้ งฝึกฝนอยูส่ มาเสมอ
เน่ืองจากการฝึกจะช่วยให้ผู้เขียนสามารถปรุงรส สร้างเสน่ห์งานเขียนของตนเองให้มีแบบฉบับ
เฉพาะตัวได้ ดังนั้นเวลาเราอ่านหนังสือจะมีคลัง คาของตนเอง และเราสามารถที่จะดึงคลังคานั้น
ออกมาใช้ได้อยา่ งหลากหลายวิธี
ดงั น้ันการฝึกใหผ้ เู้ รยี นมีความสามารถ ในการเขยี นเชิงสรา้ งสรรคไ์ ม่จาเป็นต้องให้ผู้เรียน
เรม่ิ จากงานเขียนทยี่ าก หรอื งานเขียนท่ีเตม็ รปู แบบอยา่ งนวนยิ าย และเร่ืองสัน้ หากแต่ผู้สอน ควรฝึก
ใหผ้ เู้ รยี นเรม่ิ จาก การเขยี นงา่ ย ๆ ก่อน สาหรบั ผ้เู รียนท่ฝี กึ ฝนใหม่ ผู้สอนอาจใหผ้ ูเ้ รยี นเริ่มต้นดว้ ยการ
ฝึกเขียนย่อหน้าโดยให้ผู้เรียนเล่าเร่ือง หรือเล่าประสบการณ์ที่อยู่ใกล้ ตัวของผู้เรียน เพื่อให้ผู้เรียน
สามารถถ่ายทอด ความคิดข้อมูล หรือประสบการณ์ของผู้เรียน ผ่านมุมมองความคิดทัศนะต่าง ๆ ได้
ดังนั้น ผู้สอนต้องหาวิธีท่ีสามารถไปกระตุ้นผู้เรียนซ่ึง ตัวกระตุ้นน้ีเปรียบเสมือนกุญแจที่ไขหัวใจของ
ผู้เรียนออกมา จากนั้นผู้เรียนก็จะเกิดความคิด หล่ังไหลออกมาเป็นตัวหนังสือ แต่ผู้เรียนจะสามารถ
เขียนภาษาได้ดีหรือไม่น้ันขึ้นอยู่กับ การฝึกส่ิงเหล่าน้ีผู้สอนสามารถขัดเกลา หรือให้คาแนะนาได้สิ่ง
สาคญั ท่ีสุด คือ ผูส้ อนจะต้องคิด วา่ จะสอนอย่างไรให้เขาสนุก และเขา้ ใจง่าย เพราะวชิ าภาษาไทยเป็น
วชิ าท่ีเด็กมักจะเบ่ืออยู่ แล้ว ฉะนั้นผู้สอนต้องเข้าถึงตัวผู้เรียน ต้องคอย เอาใจใส่ เพื่อให้เขาเกิดความ
อยากท่ีจะเรียนรู้ การให้กาลังใจก็เป็นสิ่งสาคัญถ้าเขาทาได้เราก็ต้องรู้จักชมเขาก็จะเกิดกาลังใจและ
อยากท่ีจะพัฒนางานเขียนน้ันต่อ แต่ในขณะเดียวกัน ผู้สอนก็ต้องช้ีให้เห็นถึงข้อบกพร่องในงานเขียน
ของเขาดว้ ย จงึ จะทาใหเ้ ขาประสบความสาเรจ็ ในรายวชิ าการเขียนเชิงสรา้ งสรรค์ได้
นอกจากนี้ผู้เขียนยังได้ศึกษาแนวคิด ทฤษฎี หลักการจากเอกสาร ตลอดจนงานวิจัย
ต่าง ๆ ท่ีเกี่ยวข้องกับการเขียนเชิงสร้างสรรค์ และการจัดการเรียนรู้ด้านการเขียนเชิงสร้างสรรค์
พบว่าการจัดการเรียนรู้การเขียนเชิงสร้างสรรค์น้ันจาเป็นจะต้องมีรูปแบบกระบวนการขั้นตอนการ
เรียนรู้ที่เป็นระบบ และชัดเจน เน่ืองจากจุดเริ่มต้นของการเขียนเชิงสร้างสรรค์ คือ ความทรงจา
(Memory) ความคิด (Single Idea) หรือ จินตภาพ (Mental Picture) ดังนั้นเมื่อผู้เรียนเกิด
กระบวนการคิด ที่ตกตะกอนแลว้ กระบวนการเขยี นก็จะเริม่ ต้น ข้ึน เมื่อผเู้ รียนได้แนวคิด (Concept)
สาหรับ การเขียน พร้อมทั้งข้อมูลในการใส่รายละเอียด ของเรื่องให้มีความสมบูรณ์ในการเขียนเรื่อง
มาก ขึ้น ผูเ้ รียนก็จะเกิดแรงจูงในในการเชอ่ื มโยง ความคิด และเหตุผลจากความคิด ความทรงจา ของ
ผู้เรียนจนสาเร็จเป็นเรือ่ งได้ (Sharples, ๑๙๙๖:๑๒๗-๑๔๘)
๑๒๗
ดังน้ันผู้เรียนจะเขียนเร่ืองได้นั้นผู้สอน จาเป็นจะต้องให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์
เสียก่อน เนื่องจากความคิดสร้างสรรค์นับเป็น หัวใจสาคัญของการพัฒนาทักษะการคิดการจัด
การศึกษาให้ผู้เรียนเกิดความคิดสร้างสรรค์ จึงเป็นแนวทางหนึ่งในการดึงเอาศักยภาพในความคิด
สร้างสรรค์ของผู้เรียนออกมา ซึ่งถือเป็นเรื่องท้าทายของผู้สอนใน การจัดกระบวนการเรียนการสอน
ทั้งน้ีได้มีนักจิตวิทยาหลายท่านท่ีสนใจศึกษาในเรื่อง ความคิดสร้างสรรค์จนได้พัฒนาเป็นทฤษฎีที่
นา่ สนใจ และหนึ่งในบรรดานกั จิตวิทยาเหล่านั้น กม็ ีนักจติ วิทยาท่ีสนใจเรอื่ งความคิดสร้างสรรค์วา่ จะ
สามารถพัฒนาความคิดท่ีเปน็ นามธรรมใหเ้ กดิ เป็นรูปธรรมได้ คือ แนวคดิ ของ Paul E. Plsek
๕.๓ แนวคิดเกยี่ วกบั กระบวนการคิดสร้างสรรค์ของ Paul E. Plsek (๑๙๙๗)
Paul E. Plsek เป็นผู้อานวยการสถาบัน ความคิดสร้างสรรค์ท่ีมีช่ือว่า AT&T Bell
Laboratories (telecommunications R&D) และเป็นนักพัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ตลอดจน
การวางแผนการจัดการอยา่ งเป็นระบบในนานาประเทศ โดย Plsek ได้นาเสนอรูปแบบ กระบวนการ
คิดสร้างสรรค์ (Model for The Processes of Creative Thinking) ในปี ค.ศ. ๑๙๙๗ อันเกิดจาก
การสังเคราะห์รูปแบบ กระบวนการคิดสร้างสรรค์จากนักวิชาการต่าง ๆ จนกลายเป็นรูปแบบ หรือ
วงจรกระบวนการความคิดสรา้ งสรรค์ของ Plsek ขึน้ ซ่ึงรูปแบบ หรือวงจรกระบวนการคดิ สร้างสรรค์
น้ีมีลักษณะคล้ายกับนาฬิกาโดยเร่ิมต้นกระบวนการคิดที่ ตาแหน่ง ๙:๐๐ นาฬิกา เน่ืองจาก Plsek
(๑๙๙๗) ต้องการช้ีให้เหน็ ว่า ความคิดสร้างสรรค์เป็นสิ่งทีม่ นุษยท์ ุกคนมี และแฝงอยู่ในชีวติ ประจาวัน
ของทุกคนตลอดจนสามารถกระตุ้น และเพ่ิมประสิทธิภาพความคิดนั้นให้เกิดเป็นรูปธรรม หรือ
นวตั กรรมใหม่ ๆ
แนวคิดเก่ียวกับความคิดสร้างสรรค์ของ Plsek (๑๙๙๗) จึงเป็นแนวความคิดท่ีเกิดจาก
ความเช่ือท่ีว่าทุกคนมีความคิดสร้างสรรค์อยู่ในตัวเอง และสามารถทาความคิดสร้างสรรค์น้ันให้ เป็น
รปู ธรรม จนสามารถนาไปสู่การปฏิบตั ิ หรือพัฒนาเปน็ นวัตกรรมได้โดยอาศยั กระบวนการ ทางจิตของ
มนุษย์ ซ่ึงเริ่มจากกระบวนการรับรู้ และเข้าใจความหมายภายใต้โครงสร้างความรู้ หรือประสบการณ์
เดิม จากน้ันสมองก็จะเกิดกระบวนการแปรผล เพ่ือนาไปสู่การจดจาโดยนาความรู้ หรือประสบการณ์
เดิมมาเชื่อมโยงเข้ากับ ความรู้ หรือประสบการณ์ใหม่ และจัดเก็บข้อมูล ใหม่ท่ีได้น้ันไว้ใช้ในการ
ตัดสินใจ โดยกระบวนการ ดังกล่าวจะก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ได้นั้น ต้องอาศัยหลักพื้นฐาน
๓ ประการด้วยกัน ได้แก่ ความสนใจ (Attention) กล่าวคือ ความคิดสร้างสรรค์จะเกิดข้ึนได้เมื่อ
คนเราให้ความสนใจ หรือม่งุ เนน้ บางส่ิงบางอย่างโดยทวั่ ไปมกั เป็นสิ่งที่เรามองข้าม หรือไม่เคยคานึงถึง
หากเรามาทบทวนเราอาจจะมองเห็นประเด็นสาคัญหรือจุดท่ีเรามองข้ามไปเมื่อเรานามาพินิจ
พิจารณาอกี คร้ัง ดงั นนั้ เม่ือเราสนใจในประเด็นหนึ่ง ๆ ภาพ ในจิตก็จะก่อเกิดขึ้นในหัวของเรา จากน้ัน
เราจึงพยายามขยาย และจัดองค์ประกอบต่าง ๆ ของประเด็นที่เราสนใจให้ชัดเจนมากย่ิงข้ึน
๑๒๘
ส่วนหลักประการท่ีสองก็คือ การหลบหลีก (Escape) กล่าวคือเราจะต้อง หลบหลีกจากรูปแบบ
ความคิดเดิมท่ีเรามีอยู่ในขณะน้ัน หรือหลีกหนี จากกฎเกณฑ์ของกรอบที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน หากแต่
ความสนใจ (Attention) หรือการหลบ หลีก (Escape) นั้นก็ยังไม่เพียงพอต่อความคิดสร้างสรรค์
เนื่องจากตามธรรมชาติของกระบวนการทางจิตคนเรามักจะปฏิเสธความคิดใหม่ท่ีไม่ก่อให้เกิด
ประโยชน์ จึงจาเป็นจะต้องมีการหลักประการที่สาม นั่นก็คือ การเคลื่อนไหว (Movement) ซึ่งจะ
เป็นกระบวนการขับเคล่ือน ความคิดด้วยการค้นหา และเชื่อมโยงความคิด ของเราจากความรู้ หรือ
ประสบการณ์เดิม ให้เข้ากับความรู้ หรือประสบการณ์ใหม่ เพ่ือจัดการ หรือดาเนินการให้ความคิดน้ัน
ผลิตผลงานออกมา ให้เป็นนวัตกรรม หรือเกิดผลผลิตจากการคิดสร้างสรรค์ในคร้ังนั้น ๆ ได้ในท่ีสุด
นอกจากนี้ Plsek (๑๙๙๗ : ๗๑-๗๒) ยัง ได้นาเสนอวงจรของกระบวนการที่ทาให้เกิดความคิด
สร้างสรรค์ท่ีเปรียบเสมือนนาฬิกา โดยเริ่มจากตาแหน่ง ๙.๐๐ น. ซ่ึงคล้ายกับชีวิตประจาวันของเรา
ทั่ว ๆ ไป โดยกระบวนการเริ่มต้นของการคิดสร้างสรรค์จะต้องเริ่มต้นจากการสังเกต (Observation)
พร้อมกับการวิเคราะห์ส่ิงต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นว่าส่ิงใดท่ีทาให้ ประสบความสาเร็จ หรือส่ิงใดที่ทาให้เกิด
ความล้มเหลว ซึ่งกระบวนการทางจิตจะสร้างแหล่งเก็บมโนทัศน์ต่าง ๆ ไว้ในความจาของคนเรา
จากนั้นเราจะสร้างความคิดใหม่ให้ตรงกับความต้องการของเรา ด้วยการค้นหาความสัมพันธ์ระหว่าง
มโนทัศน์ต่าง ๆ ที่เก็บในแหล่งเก็บข้างต้น เช่น ความคล้ายคลึงกัน การขยายจากมโนทัศน์ที่กาหนด
การใช้คาสุ่ม การระดมความคิดหรือการระดมสมอง เป็นต้น จากนั้นก็จะเกิดจากรวบรวมความคิด
เพ่ือเพ่ิมประสิทธิภาพของความคิดน้ันให้ชัดเจนมากข้ึน ก่อนที่จะตัดสินใจประเมินความคิดที่ดีที่สุด
ที่สามารถนามาใช้งานได้ แต่ก็มิใช่ทุกความคิดท่ีจะนาไปสู่การปฏิบัติ หรือนาไปใช้ได้ทั้งหมด แต่จะ
เป็นความคิดทม่ี ีคณุ คา่ หรือกอ่ ให้เกดิ ประโยชนเ์ ทา่ น้ันจงึ จะจดั ได้ว่าเปน็ ความคดิ สร้างสรรค์
ท้ังนี้กระบวนการคิดสร้างสรรค์ของ Plsek ประกอบด้วยกระบวนการสาคัญ ๔ ข้ันตอน
ดว้ ยกัน ได้แก่
๑ ) ขั้นเตรียม (Preparation) ซึ่งกระบวนความคิดสร้างสรรค์ต้องเริ่มต้นจากการ
สังเกต (Observation) อย่างรอบด้าน โดยใช้กระบวนการคิดวิเคราะห์ (Analysis) แยกแยะข้อมูล
ต่าง ๆ อยา่ งเป็นเหตุเปน็ ผล
๒) ขั้นจินตนาการ (Imagination) เมื่อสมองผ่านกระบวนการสังเกตและการคิด
วิเคราะห์เรียบร้อยดีแล้ว ก็จะนาความรทู้ ่ีได้กักเก็บไว้ในหน่วยความจาไปใช้ในการสร้างความคิดใหม่
(Generation) โดยเช่ือมโยงกับความคิดเดิมที่มีอยู่ทั้งนี้อาจใช้วิธีการเปรียบเทียบ (Analogies) การ
ข ย า ย ค ว า ม คิ ด (Branching out from a given concept) ห รื อ วิ ธี ก า ร ก า ร ร ะ ด ม ส ม อ ง
(Brainstorming) เพ่ือรวบรวมความคดิ (Harvesting) ทีส่ ามารถนาไปพฒั นาได้
๑๒๙
๓) ขั้นการพัฒนา (Development) จะเป็นกระบวนการพัฒนาและเพ่ิมประสิทธิภาพ
ในความคิดนั้น (Enhancement) หลังจากนั้นประเมิน (Evaluation) เพื่อค้นหาความคิดท่ีดีที่สุด
หรอื ความคิดทใี่ ชง้ านได้แลว้
๔) ขั้นลงมือกระทา (Action) จะเป็นการนาความคิดท่ีผ่านการคัดเลือก หรือการ
ประเมินแล้วไปทดลองปฏิบัติ (Implementation) เน่ืองจากความคิดสร้างสรรค์จะมีคุณค่าก็ต่อเม่ือ
ไดน้ าไปปฏบิ ัติให้เกดิ ประโยชนใ์ นทางใดทางหนึ่ง
จะเห็นได้ว่ากระบวนการคิดสร้างสรรค์ ของ Plsek ก่อให้เกิดความสมดุลระหว่าง
จินตนาการ และการวิเคราะห์ อีกท้ังยังเปิดกว้างทางความคิดสร้างสรรค์ที่เกิดจากแหล่งการเรียนรู้
ตา่ ง ๆ จนสามารถนาความคิด หรือจนิ ตนาการน้ันไปพัฒนาตอ่ ยอดเป็นนวตั กรรมได้ ท้ังนี้ผเู้ ขียนจึงนา
กระบวนการคิดสร้างสรรค์ของ Plsek มาใช้เป็นแนวทางในการพัฒนา กระบวนการเขียนเชิง
สร้างสรรค์ของผู้เรียนเพื่อสร้างข้ันตอนในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้เพื่อทาให้ผู้เรียนเกิดความคิด
สร้างสรรค์ได้ หากแต่กระบวนการคิดสรา้ งสรรค์ของ Plsek เพียง แนวคิดเดยี วน้ันยงั ไม่สามารถนาไป
พัฒนารูปแบบการเรียนรู้ เพ่ือพัฒนาความสามารถใน การเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักศึกษาระดับ
ปริญญาบัณฑิตได้ ผู้เขียนเห็นว่าทฤษฎีเชาวน์ปัญญาสามองค์ประกอบของ Sternberg เป็นทฤษฎีท่ี
กล่าวถึงความสามารถในการคดิ ของคนเราเพื่อกอ่ ให้เกิดผลผลิต หรือนวัตกรรมที่แปลกใหม่ออกมาได้
ในท่ีสุด ดังนั้นผู้เขียนจึงใชท้ ฤษฎเี ชาวน์ปญั ญาสามองค์ประกอบของ Sternberg เป็นแนวทางร่วมกับ
กระบวนการคิดสร้างสรรคข์ อง Plsek ในการพัฒนารปู แบบการเรียนรู้เพื่อเสรมิ สรา้ งความสามารถใน
การเขียนเชิงสร้างสรรคข์ องผู้เรยี นดว้ ยอกี แนวคิดหนึง่
๕.๔ ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาสามองคป์ ระกอบของ Sternberg (๑๙๘๕)
Robert Sternberg นักจิตวิทยาผู้มีชื่อเสียงด้านสติปัญญาของมนุษย์ ได้กล่าวว่า การ
พัฒนาวิธีหาความสามารถของมนุษย์เป็น เร่ืองซับซ้อนที่ยังหาข้อยุติไม่ได้ และยังไม่มีเครื่องมือ
ประเภทใด ๆ ที่สามารถวัดความสามารถของมนุษย์ได้อย่างครอบคลุม และแม่นยา เพราะ
ความสามารถของมนุษย์เป็นปรากฏการณ์ทางปัญญาไม่ใช่สภาพทางกายภาพ Sternberg เป็นผู้ทา
ให้วงการ การศึกษาเกี่ยวกับสติปัญญาของมนุษย์ได้พบข้อเท็จจริงหลายประการที่เป็นคุณประโยชน์
ในทางปฏิบัติในการเสาะหาคัดเลือก และพัฒนาคนให้เหมาะสมกับศักยภาพของคนแต่ละคนมาก
กว่าเดมิ หลายส่ิงอันเป็นคณุ ประโยชน์ต่อการพัฒนาศักยภาพมนษุ ย์ เช่น การยอมรบั ใน ความซับซ้อน
ของปัญญามนุษย์ การบูรณาการของการวิเคราะห์พฤติกรรมทางปัญญาท่ีมีข้ันตอนหลายมิติขึ้น
ความเขา้ ใจพฤติกรรมทางปญั ญากว้างขึน้ อยา่ งมาก และด้านศกั ยภาพอันหลากหลายทสี่ ามารถวดั โดย
วิธีทดสอบเดี่ยว ๆ อย่างไรก็ตามทฤษฎีทั้งหลายยังมีข้อจากัดในการวิจัยหรือสร้างเครื่องมือเนื่องจาก
ความซับซ้อน และความหลากหลายของคุณลักษณะทางปัญญา (อนุรุทธ์วงศ์, ๒๕๕๔ : ๔๖-๔๗7)
๑๓๐
ดังน้ัน ในปี ค.ศ. ๑๙๘๕ Sternberg ได้ เสนอทฤษฎีเชาวน์ปัญญาสามองค์ประกอบ หรือ ในชื่อ
ภาษาไทยวา่ ทฤษฎีแห่งเชาวน์ปัญญาของมนุษย์ (The Triarchic Theory of Human Intelligence)
หรือบางท่านอาจจะเรียกว่าทฤษฎีสามเกลียวแห่งเชาวน์ปัญญา หรือบางครั้ง ก็จะมีผู้ให้ชื่อว่าทฤษฎี
สามศร ซึง่ โพธิเยน็ (๒๕๔๗:๕๒) ได้อธบิ ายความหมายของช่อื ทฤษฎไี ว้ดงั นี้
คาว่า “Tri” มาจากคาว่า “Three” หมายถึง “สาม” และคาว่า “-archic” มาจาก คา
ว่า“governed” หมายถึง “การควบคุม” ทฤษฎีเชาวน์ปัญญาสามองค์ประกอบจึงเป็น ทฤษฎีท่ี
อธิบายเชาวน์ปัญญา หรือสมรรถภาพสมอง ดังน้ันทฤษฎีเชาวน์ปัญญาสามองค์ประกอบของ
Sternberg (๑๙๙๗) จึงประกอบด้วยทฤษฎีย่อย ๓ ส่วน คือ ทฤษฎีย่อยด้านองค์ประกอบทางความ
สามารถ (Componential Subtheory) ซ่ึงเป็นความสามารถทางเชาวน์ปัญญาที่เก่ียวข้องกับ
กระบวนการคิด ทฤษฎีย่อยด้านประสบการณ์ (Experiential Subtheroy) ซ่ึงอธิบายถึงผลของ
ประสบการณ์ที่มีต่อความสามารถทางปัญญา และทฤษฎีย่อยด้านบริบทสังคม (Contextual
Subtheory) ซึ่งอธิบายถึงความสามารถในทางเชาวน์ปัญญาที่เก่ียวข้องกับบริบททางสังคม และ
วัฒนธรรมของบุคคล โดยทฤษฎีดังกล่าวนี้ เป็นทฤษฎีท่ีอธิบายเกี่ยวกับสมรรถภาพทาง สมองของ
มนุษย์ได้อย่างครอบคลุมซ่ึงนับว่าเป็นก้าวใหม่ท่ีสาคัญในการเข้าใจลักษณะการปฏิบัติ ทางสมอง
(Intelligent Function) ข อ งม นุ ษ ย์ ใน ก า ร ป ร ะ ม ว ล ผ ล ข้ อ มู ล (Information Processing
Perspective) ทั้งน้ี Sternberg (๑๙๙๗) ได้ให้ความสาคัญการปฏิบัติการทางสมอง โดยเชื่อมโยงกับ
ประสบการณ์ท่ีได้จากการฝึกคิดในการดาเนินชีวิตเพื่อเสริมสร้างความสามารถด้านการคิดวิเคราะห์
การคิดสร้างสรรค์ และการคิดประยุกต์ใช้ได้ จึงเป็นเหตุให้ผู้เขียนนาแนวคิดดังกล่าวน้ีมาเป็นพื้นฐาน
ทฤษฎีเพ่ือพัฒนาเป็นแนวทางในการสร้าง รูปแบบการจัดการเรียนรู้เพื่อเสริมสร้างความสามารถใน
การเขียนเชิงสร้างสรรค์ของนักศกึ ษาระดับปรญิ ญาบัณฑิตให้เปน็ ระบบ และมีข้ันตอนท่ชี ดั เจนมากข้ึน
แผนผังความคิดของ Buzan (๑๙๙๗) เทคนิคแผนผังความคิด (Mind map) เป็นรูปแบบของการจัด
กลุ่มระบบเพื่อเชื่อมโยง ความคิดแบบแผ่ขยายออก มาช่วยในขั้นตอน ของการคิดสร้างสรรค์ ด้วย
วิธีการระดมสมอง โดยใช้จินตนาการเชื่อมโยงกับความคิด เพื่อให้ผู้เรียนถ่ายทอดความคิดจาก
นามธรรมเป็น รูปธรรม และสามารถตรวจสอบความคิดในการสร้างสรรค์ส่ิงที่เป็นไปได้ และแตกต่าง
จากเดิม จากส่ิงที่เป็นอยู่ภายในระยะเวลาอันส้ัน ดงั ที่ Buzan (๒๐๐๘ : ๑๓๔–๑๓๕, ๑๔๓) กล่าวว่า
การสร้างแผนผังความคดิ มิได้เพียงช่วยในเรื่องของการจดจา และวิเคราะห์ข้อมูลได้เท่านั้น แต่ยงั ช่วย
ให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ด้วยการผสมผสานข้อมูลที่ได้รับจากสภาพภายนอก เช่น การบรรยาย
หนังสือ วารสาร และส่ือต่าง ๆ กับข้อมูลที่สรา้ งข้ึนจากสภาพภายใน เช่น การตัดสินใจ การวเิ คราะห์
เข้าด้วยกัน ด้วยวิธีการ ระดมความคิด หรอื ระดมสมอง เพ่ือให้ไดแ้ นวคิดหรือ ทางเลอื กท่ีหลากหลาย
จนนาไปสู่การตดั สินใจ
๑๓๑
๕.๕ รูปแบบการจดั การการเรยี นร้กู ารเขียนเชงิ สรา้ งสรรค์
จากการสังเคราะห์ตามแนวคิด และทฤษฎีได้กล่าวมาแล้วข้างต้น ผู้เขียนจึงนาเสนอ
รูปแบบการจัดการเรียนรู้การเขียนเชงิ สร้างสรรค์เพอ่ื พฒั นาผูเ้ รยี นไดด้ ังนี้
ขัน้ ท่ี ๑ ขั้นเริ่มก่อความคิดเป็นขั้นตอนในการศึกษาหาข้อมูลในเรื่องท่ีจะเขียน โดยมี
รายละเอียด ดงั น้ี
๑.๑ ผู้สอนกาหนดหัวข้อ หรือประเด็นในการเขียนอย่างกว้าง ๆ ให้แก่
ผู้เรียน
๑.๒ ผู้เรียนศกึ ษาหาความรตู้ ลอดจนข้อมูล เกีย่ วกับหวั ขอ้ หรือประเดน็ น้ัน ๆ
ให้ได้มากที่สุด ท้ังจากใบความรู้ที่ผู้สอนแจกให้ และการสืบค้นด้วยตนเองทางอินเทอร์เน็ตผู้เรียน
วางแผนความคดิ เกยี่ วกับประเดน็ หัวขอ้ ใน การเขยี นของตนเอง
ข้นั ท่ี ๒ ข้ันเตรียมผลิตผลงาน เป็นข้ันตอนของการระดมสมอง โดยใช้แผนผัง
ความคิดเพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถมองเห็น แนวทางตลอดจนการขยายความคิดท่ีจะนาเสนอ นั้นให้
เกิดความชดั เจนยิ่งขน้ึ โดยมรี ายละเอียด ดังน้ี
๒.๑ ผู้เรียนระดมความคิดของตนเองเก่ียวกับประเด็น หรือหัวข้อเรื่องท่ีจะ
เขยี นด้วยความคดิ ทแ่ี ปลกใหมไ่ ม่ซ้าความคดิ ท่ีมอี ยูเ่ ดิมจาก ท่ีได้มีขอ้ มูลอยู่แล้ว
๒.๒ ผู้เรียนตรวจสอบความคิดท่ีได้จากการระดมสมอง พร้อมกับเลือก
ความคิดท่ีดที ่ีสุดเพอื่ เชื่อมโยงความคดิ น้ันกับหัวข้อ หรือประเดน็ ทีจ่ ะเขยี น
ขน้ั ท่ี ๓ ขน้ั บูรณาการสัมพันธ์ เป็นขั้นตอนที่ผูเ้ รยี นสร้างความคิดใหม่ โดยนาความคิด
ความรู้ หรือประสบการณ์เดิม เกี่ยวกับประเด็นหัวข้อท่ีจะเขียนที่มีอยู่เดิมแล้ว มาเชื่อมโยงกับ
ความคิดใหม่ท่ีเกิดจากการดัดแปลง ปรับแต่งความคิด หรือประสบการณ์ เดิมให้มีความแปลกใหม่
ออกไป แต่ยังคงเปน็ ความคิดท่ีมีคุณคา่ และเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมโดยนาความคิดที่แปลกใหม่น้ัน
มาจัดทาเป็นโครงร่างในการเขียนอยา่ งชดั เจน โดยมรี ายละเอยี ด ดงั น้ี
๓.๑ ผู้เรียนวางโครงร่างเรื่องท่ีจะเขียนจากความคิด หรือจินตนาการท่ีผ่าน
การคัดเลือกดว้ ยกระบวนการระดมสมอง และการเชือ่ มโยงความคิดใหม่ เข้ากบั ความคดิ ความรู้ หรือ
ประสบการณเ์ ดิม
๓.๒ ผู้เรียน ตรวจสอบ ทบทวน โครงร่างที่จะเขียนขยายความอีกครั้งหนึ่ง
โดยมผี ูส้ อนเปน็ ผใู้ หค้ าแนะนา
ข้นั ที่ ๔ ขั้นสร้างสรรค์งานเขียนเป็นขั้นตอนท่ีผู้เรียนลงมือเขียนงานอย่างอิสระตาม
โครงร่างความคิดทไี่ ด้จัดทาไวแ้ ลว้ เปน็ อย่างดี โดยมรี ายละเอยี ด ดังน้ี
๔.๑ ผู้เรียนลงมือเขียน เร่ืองจากโครงร่างที่วางไว้ ด้วยการขยายความคิด
และเลือกใชภ้ าษาในการเขียนใหเ้ หมาะสมกับ หวั ขอ้ หรือประเด็นทต่ี ้งั ไว้
๑๓๒
๔.๒ ผ้เู รียนตรวจสอบ ความถกู ต้องครบสมบูรณ์ของงานเขียนด้วย ตนเองว่า
มีความเหมาะสมชดั เจน หรอื ไม่อย่างไร
ขน้ั ที่ ๕ ข้ันพากเพียรสร้างสรรค์ เป็นข้ันตอนที่ผู้เรียนตรวจสอบ พิจารณางานของ
ตนเองว่ามีความสร้างสรรค์ แปลกใหม่ในด้านใดบ้าง โดยพิจารณาการตรวจสอบด้านเนื้อหา ด้าน
ภาษา ด้านความคิด และด้านการนาเสนอ โดยผู้สอนจะช่วยเสนอแนะแนวทางในการ ปรับแต่งงาน
เขียนใหเ้ กิดความแปลกใหม่ และมีคุณค่ามากขึ้น โดยมรี ายละเอียด ดงั นี้
๔.๑ ผเู้ รียน พิจารณาตรวจสอบงานเขยี นของตนเองอีกคร้งั หนึ่ง โดยพยายาม
หาทางดัดแปลง ปรับเปลยี่ นเนอ้ื หา ภาษา ความคิด และการนาเสนอให้มีความสร้างสรรค์ แปลกใหม่
๔.๒ ผู้สอนตรวจแก้งานเขียนของผู้เรียน พร้อมทั้งให้ข้อเสนอแนะในการ
ปรบั แต่งงานเขียนให้เกดิ ความแปลกใหม่ และมคี ุณค่ามากข้ึน
สรุป ในการจดั การเรียนรู้ในด้านต่าง ๆ ผสู้ อนมักมบี ทบาทสาคัญในการจัดกระบวนการ
เรียนรู้เพ่ือให้ผู้เรียนบรรลุวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายท่ีตั้งไว้ย่ิงโดยเฉพาะในเร่ืองการเขียนเชิง
สร้างสรรค์ด้วยแล้ว ผู้สอนจาเป็นจะต้องหากลวิธีต่าง ๆ ในการกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความคิดที่
สร้างสรรค์ หรือจินตนาการท่ีแปลกใหม่ และถ่ายทอดความคิดนั้นด้วยถ้อยคาสานวนภาษาที่
สละสลวยเพื่อเข้าถึงผู้อ่านได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากแนวคิด และทฤษฎีที่ได้กล่าว ไปแล้วข้างต้น
ผูเ้ ขียนเช่ือว่า แนวคดิ และทฤษฎี ดังกลา่ วจะสามารถใช้เป็นหลักการในการพัฒนา รูปแบบการเรียนรู้
ในการเขียนเชิงสร้างสรรค์ได้ และนาไปสู่การพัฒนาความความสามารถด้าน การเขียนเชิงสร้างสรรค์
ของผูเ้ รียนในแต่ละระดับช้นั ไดอ้ ยา่ งมีประสิทธิภาพ
๕.๖ กลวธิ กี ารเขียนเชิงสรา้ งสรรค์
แม้ว่างานเขียนแต่ละประเภทจะมีองค์ประกอบท่ีไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่องค์ประกอบ
ทีง่ านเขียนทุกประเภท มรี ว่ มกัน คือ แนวคดิ หลักหรอื ความคิดสาคัญทีผ่ เู้ ขยี นตอ้ งการสื่อสาร รูปแบบ
หรือกฎเกณฑท์ ่ีกาหนดการเขียน
กลวิธีการเขยี นเชิงสร้างสรรคใ์ นทีน่ ี้แบ่งออกกว้าง ๆ ๒ แนวคิด
๑. กลวิธกี ารเขียนสร้างสรรค์เชงิ แนวคดิ
๒. กลวธิ ีการเขียนสร้างสรรค์เชิงรูปแบบ
๑๓๓
คาว่า "แนวคิด" หรือ "ความคิดสาคัญ" หรือ "แก่นเรื่อง" (theme) หมายถึง ความคิดที่
เป็นศูนย์กลางของเรอื่ งราวทัง้ หมดหรอื ความหมาย
บางเร่ืองอาจมีแนวคิดมากกว่าหน่ึง ซึ่งจะให้บทรียน ข้อคิดประสบการณ์เทียบกับชีวิต
ตัวเอง และเกดิ ปัญญาทีจ่ ะมองเหน็ ชีวิตในแงม่ มุ ทกี่ ว้างขวางและเขา้ ใจชวี ิตมากขึน้
"แนวคิด" หรือ "แก่นเรื่อง" อาจจะถูกกล่าวไว้ในเร่ืองอย่างตรงไปตรงมาหรืออาจถูก
แสดงให้เหน็ โดยออ้ ม ๆ กไ็ ด้ ขึน้ อยกู่ ับประเภทของงานเขยี น เชน่
ประเภทบทความ ผูเ้ ขียนจะแสดงความคิดสาคัญอย่างตรงไปตรงมา
ประเภทนวนิยายหรอื เรื่องสน้ั มักแอบแฝงแนวคดิ สาคญั อยใู่ นตอนใดตอนหนึ่ง
แนวดิคหลักของเรื่องสะท้อนส่ิงที่รียกว่า "โลกทัศน์" ของนักขียน เช่น "ถ้านักขียนไม่มี
มุมมองในเร่ืองสตรีศึกษา เขาก็จะไม่เห็นความสาคัญและความหลอื่ มลา้ หรือการกระทาต่อสตรเี พศใน
สังคมที่ชายเป็นใหญ่"
การสร้างสรรค์เชงิ แนวคิด จงึ ต้องเริม่ จากการมีความคิดท่ีชัดเจนวา่
- ตอ้ งการเสนออะไร
- ต้องการสะท้อนภาพอะไร อย่างไร และแงม่ มุ ใด
- ต้องการเสนออะไร
- ตอ้ งการสะทอ้ นภาพอะไร
- อย่างไรและแง่มุมใด
- ภาพความอดทนของผหู้ ญงิ ผเู้ ปน็ ภรรยา
- ภาพวิถีชวี ติ ของคนชายขอบ
- ภาพความรุนแรงของสังคมบริโภคนิยม
- ภาพความเหลือ่ มลา้ ระหว่างเมอื งกับชนบท
- ภาพความหวิ โหยของคนยากไร้
- ภาพการเข้าสูอ่ าชีพหญงิ ขายบริการทางเพศด้วยความจาเปน็
> ตวั อย่างแนวคิดเกยี่ วกับ ปัญหาความเหลือ่ มล้าทางสงั คม
ทคี่ นทาตราตรากอย่ดู ักดาน ไม่อาจต้งั มาตรฐานการขายได้
เปน็ ผซู้ อื้ กาหนดทุกบทไป ชาวนาไรไ่ รห้ ลกั จักประกัน
คนการวงแต่มไิ ด้กาไรด้วย กนิ ข้าวสวยแตไ่ ม่ช่วยใหส้ วยสาว
ขา้ วเปลือกป้อนปากขกั ษต์ กั ตวงตนั ยักษ์มารมนั กาชะตาผนู้ าชน
(พ่อสอนลกู ของเนาวรตั น์ พงษ์ไท)
๑๓๔
กลวธิ กี ารเขียนสร้างสรรค์ในเรอื่ งแนวคิดและเน้อื หา
๑.๑ การสะท้อนภาพด้วยแง่มุมที่แตกต่าง
๑.๒ การสรา้ งสรรค์ "แกน่ เร่ืองยอ่ ย" ให้โดดเด่นและน่าสนใจ
๑.๓ การเลา่ เรอื่ งไม่เป็นเร่ืองใหเ้ ป็นเรือ่ ง
ตวั อยา่ ง แนวคิดเก่ียวกับ ปญั หาโสเภณหี รอื หญงิ ขายบริการทางเพศ
เพชรบรุ ตี ัดใหมใ่ หเ้ ลย้ี วขวา ถนนสายตัณหาอนั บ่าเชยี่ ว
ท้งั ไนต์คลับอาบนวดอวดอันเดยี ว เขาเล่นเสยี วขายสาวค้าคาวกาม
สงสารสาวเขาขังนั่งในคอก เหมอื นววั ควายห้ามออกนอกร้ัว
สู้ท้ิงไร่ทงิ้ นาพยายาม ยงั มอิ าจฝ่าข้ามความลาเค็ญ
(กรงุ เทพทวารวดี จารึกไว้ในปีท่ี ๒๐)
กรงุ รตั นโกสนิ ทร์ ของเนาวรตั น์ พงษ์ไพบรู ณ์
การสะท้อนแนวคิดข้างต้น โดยเนื้อหาแล้วนับว่าเป็นเน้ือหาท่ีสร้างสรรค์ เพราะ
แสดงออกซ่ึงจิตสานึกของความเป็นพลเมือง ด้วยเอาใจใส่สังคมและเพื่อนร่วมโลก ทาให้ผู้อ่าน
มองเห็นปญั หาและความเปน็ จรงิ อีกคนหนง่ึ ที่อาจจะไม่เคยเหน็
๑. การสะท้อนภาพด้วยแงม่ ุมท่ีแตกต่าง หมายถึง การนาเสนอแนวคิดใหมด่ ว้ ยมุมมองท่ี
แตกตา่ งจากมุมมทวั่ ไป ทาให้งานเขยี นมีความโดดเดน่ กวา่ งานเขยี นช้นิ อื่น ๆ
ตัวอยา่ ง กวีนิพนธ์ "มะเร็ง" ของทิวฟ้า ทัดตะวัน
คาเพื่อนทิวบอกข้า ผูเ้ ช่ียวชาญนานช้า
เรอ่ื งรูโ้ รคมะเร็งฯ
เห็นดจี ึงคัดไว้ เผอ่ื พีน่ ้องจกั ได้
ปรับใช้หลกี มะเร็ง บ้างนาๆ
สูบบุหร่ีนี่น้า จงเลิกสบู เถิดวา้
ไม่งั้นเดีย๋ วเป็น มะเรง็ ฯ
จงเลกิ กนิ เถิดว้า
ถว่ั ลสิ งนี่นา้ มะเรง็ ฯ
ไมง่ นั้ เดยี๋ วเป็น จงรบี หลบเถิดว้า
มะเรง็ ฯ
แดดแรงนนี่ า้ จงเลกิ กินเถิดวา้
ไมง่ ้นั เดี๋ยวเปน็
ไก่ย่างเกรยี มนนี่ า้
๑๓๕
ไมง่ ้นั เดย๋ี วเป็น มะเร็งฯ
๒. การสร้างสรรค์ "แก่นเร่ืองย่อย" ให้โดดเด่นและน่าสนใจ แก่นเร่ืองย่อย (sub hem)
หมายถงึ แนวคิดรองท่ีผู้เขียนเจตนาสื่อ ความหมายกับผู้อา่ น นวนิยายหรือเรื่องส้ันที่มีขนาดยาวมักมี
แนวคิดหลัก และแนวคิดครบ เช่น มีในบ้านร้าง ของ พิสิฐ ภูศรี เร่ืองนี้โดดเด่นกว่าเรื่องอ่ืนตรงแก่น
เรื่องย่อย คือ ในตอนท้ายของแนวคิดผู้เขียนได้แสดงนัยสาคัญว่า ผีหลอกคนได้เฉพาะเวลากลางคืน
วกิ ฤตเิ ศรษฐกิตา่ งหากท่ีหลอกหลอนคนอยูต่ ลอดเวลาทงั้ ในยามหลบั และยามตน่ื
๓. การเล่าเรื่องไม่เป็นเร่ืองให้เป็นเรื่อง เสื้อนอนสีแดงที่ตัวละครซ้ือมาเพราะความ
ประทับใจกับอุดมการของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนั้น เม่ือกระดุมมันหลุดไป เขาก็คิดว่ามันไม่น่าหลุดได้
เพราะ "เสื้อนอนที่เปยี่ มไปดว้ ยอุดมการณ์เช่นน้ี ไหนเลยจะสลัดกระดุมท้งิ โดยงา่ ย"
สุดท้ายเร่ืองน้ีจบลงด้วยตัวละครซุกหน้าลงกับหมอน แล้วนอนหลับต่อไป โดยหมด
ความกงั วลเรอื่ งกระดมุ เส้ือ เม่ือนกึ ไดว้ า่ นเี่ ปน็ เชา้ ตรวู่ นั เสาร์
รฐั บาลนี่นา้ จงอยา่ มองเลยวา้
ไม่งั้นเดยี๋ วเป็น มะเร็งฯ
พวกฝา่ ยค้านนี่นา้ จงอย่ามองเลยว้า
ไมง่ ั้นเดี๋ยวเป็น มะเรง็ ฯ
พวก ส.ส. น่ีนา้ จงอย่าฟงั เลยวา้
ไม่งั้นเดยี๋ วเปน็ มะเร็งฯ
พวก ส.ว. นี่น้า จงอย่ามเิ ลยว้า
ไมง่ นั้ เดีย๋ วเป็น มะเร็งฯ
บทกวนี น่ี า้ จงเลกิ อา่ นเถดิ ว้า
ไมง่ ้ันเดย๋ี วเปน็ มะเรง็ ฯ
๔. การเล่าเรื่องไม่เป็นเร่ืองให้เป็นเร่ือง เร่ืองเล่าบางเร่ืองอาจ "ดูเหมือน" ไม่เป็นเร่ือง
แต่แท้จริงอาจซอ่ น "นัยยะ" บางอย่างท่ีต้องอาศัยการตีความ เช่น เรื่องส้ัน คนนอนคม ของ ปราบดา
หยุ่น เป็นเรื่องของชายคนหน่ึงที่ทากระดุมเสื้อนอนบาดติดต่อกันมา ๓ ตัว โดยไม่ทราบสาหตุ
ตวั ละครพยายามวิเคราะหส์ าเหตุท่ีควรจะเปน็ และเล่าท่ีมาของเสื้อนอนแต่ละตัว เชน่ เสอื้ นอนแดงท่ี
ตวั ละครซ้อื มาเพราะความประทับใจกับอุดมการณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์จีนนัน้ เมอื่ กระดุมมนั หลุดไป
เขาก็คิดว่ามันไม่น่าจะหลุดได้ เพราะ "เส้ือนอนท่ีเป่ียมไปด้วยอุดมการณ์ เช่นน้ี ไหนเลยจะสลัด
กระดมุ ทง้ิ โดยงา่ ย"
สุดท้ายเร่ืองน้ีจบลงด้วยตัวละครชุกหน้าลงกับหมอน แล้วนอนหลับต่อไป โดยหมด
ความกงั วลเรือ่ งกระดมุ เสอื้ เม่ือนึกไดว้ ่าน่เี ปน็ เชา้ ตรูว่ นั เสาร์
๑๓๖
เรื่องส้ันจบไปแล้วแต่เรื่องกระดุมเส้ือคงค้างคาใจคนอ่านขี้สงสัยไม่รู้แล้ว เพราะ
ผู้เขยี นไมไ่ ดค้ ลี่คลายให้คาตอบไว้
ดังน้ันจึงดูเหมือนปราบดาจะพยายามบอกเราว่านักเขียนไม่จาเป็นต้องหาคาตอบ
ให้กับทุกส่ิงทุกอย่างที่เขานามาเล่าในชีวิตจริงก็มีคาถามท่ีไม่มีคาตอบหรือไม่จาเป็นต้องตอบอยู่อีก
มากมาย
การเล่าเร่ืองท่ีดูเหมือนว่าจะไม่เป็นเร่ืองนี้ แท้ที่จริงแล้วก็ซ่อนความหมายบาง
ประการทส่ี ่ือถงึ การสร้างสรรค์ดา้ นแนวคดิ ด้วยเหมือนกัน เชน่
- การสอ่ื ถงึ ความเปน็ ไปได้ในเรอื่ งทด่ี ูจะเปน็ ไปไม่ได้
- การส่ือถึงความเก่ียวขอ้ งกนั ของส่ิงที่ไม่น่าจะเกี่ยวกนั
- การส่อื ถงึ ความย่งุ เหยิง วุ่นวาย และสบั สน
รูปแบบ ในที่นี้ หมายรวมถึง กลวธิ ีการนาเสนอ กลวิธีทางวรรณศลิ ป์ และแบบแผนหรือ
ฉันทลักษณ์ที่กาหนดงานเขียนประเภทหนึ่ง ๆ เช่น การเขียนบทความ และสารคดี จะต้อง
ประกอบดว้ ยส่วนความนา ส่วนเน้อื เร่ือง และสว่ นสรุป
๕.๗ การใช้คาในการเขียน
การเขียนร้อยกรองหรอื กวีนพิ นธ์ จะมีรปู แบบการเขยี นท่แี ตกต่างกนั ตามฉนั ทลักษณ์
๑. การแปรเปลยี่ นความซบั ซ้อนในฉนั ทลกั ษณ์ให้เปน็ ความเรยี บง่าย
๒. การใชเ้ ชิงอรรถเพ่อื ขยายความในการเลา่ เร่อื ง
๓. การหกั มุมในตอนจบ
๔. การเลอื กเฟน้ ถ้อยคา
๕. การใช้ศลิ ปะการเรยี บเรียงถ้อยคา
๖. การใช้ศิลปะการปลุกเร้าความรสู้ ึก
๑. การแปรเปล่ียนความซับซ้อนในฉันทลกั ษณ์ให้เป็นความเรยี บงา่ ย
เม่ือกล่าวถึง กวีนิพนธ์หรือบทร้อยกรอง คนทั่วไปมักคิดว่าเป็นเรื่องที่ มีความ
ซับซ้อน มีแบบแผนอย่างตายตัว เช่น สัมผัสนอกและสัมผัสใน สัมผัส พยัญชนะและสระ การบังคับ
ด้วยวรรณยุกต์ คาครุและลหุ แต่การสร้างสรรค์เชิงรูปแบบอาจทาได้โดยการเปลี่ยนมาใช้คาง่าย ๆ
ท่ีสื่อความอย่างตรงไปตรงมา เพราะการดาเนิน "ตามกรอบ" ของฉันทลักษณ์ไม่ใช่ประเด็นสาคัญ
เทา่ กับการใช้ภาษาสือ่ ความไปยังผอู้ ่าน
๑๓๗
ตัวอยา่ งการแปรเปลยี่ นความซบั ซ้อนในฉันทลกั ษณใ์ ห้เป็นความเรยี บงา่ ย
วันหยดุ นอนอยูบ่ ้าน เบาสบาย
ใจเตลดิ ตลอดโลกภาย นอกนน้ั
ทางานหนักเจียนตาย หนอมนุษย์
เพียงเพื่อสขุ แสนส้นั เท่านน้ั ฤๅไฉน
วันหยดุ ใจฟ้งุ ซ่าน ฤาหยุด
หรือนแี่ หละใจมนษุ ย์ อนาถเศรา้
นอนเหยยี ดกรนุ่ คิดยทุ ธ ศาสตรศ์ กึ งานเอย
เตรยี มพร่งุ ตะวันสาดเชา้ ต่นื สูศ้ ึกเงิน ๆ
๒. การใชเ้ ชงิ อรรถเพอ่ื ขยายความในการเลา่ เรอ่ื ง
การเขียนเชิงอรรถแบบขยายความ เป็นแบบแผนของการเขียนบทความวิชาการแต่ก็
มีนิยายหรือเร่ืองส้ันบางเรื่องได้นาเชิงอรรถมาใช้ เช่น เร่ืองสั้น ดอกไม้สีฟ้า ของทินกร หุตางกูร
ผเู้ ขียนตอ้ งการสอ่ื ความหมายบางอย่างวา่ เร่ืองเลา่ เร่ืองนั้นเปน็ "เรอ่ื งแต่งแฝงเรื่องจริง"
ดังข้อความในหมายเหตุของเร่ืองสั้น ดอกไม้สีฟ้า หลังจากท่ีกล่าว พาดพิงถึง
นายจอรจ์ โซรอส ในเนอื้ เร่อื ง
นายจอร์จ โซรอส เคยถูกนายกรฐั มนตรมี หาธีร์ โมฮมั หมัดของมาเลเซยี ประณามว่า
เป็น ผีร้ายทาลายค่าเงินของประเทศแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทว่าภายหลังมหาธีร์ต้องขอโทษ
ระหว่างให้สมั ภาษณ์นิตยสาร ฟาร์อิสตเ์ ทิรน์ อีโคโนมกิ รวั วิว เพราะสอู้ านาจเงินของนายโซรอส ไม่ได้
๓. การหกั มุมในตอนจบ
เป็นการจบแบบท่ีผู้อ่านคาดไม่ถึงหรือต้องเกิดอาการ "สะดุด" ในความคิดบางอย่าง
กลวิธนี ี้เป็นการเล่นกับการเล่าเรื่องด้วยการ "ลวง" ให้ผอู้ ่าน "หลงทาง" ด้วยเงอื่ นปมบางอย่าง จนเกิด
การคลอ้ ยตามอย่างสนทิ ใจ เกิดความสงสยั ใคร่รู้หรอื กร่นุ คิดตามวา่ เรอื่ งราวจะ จบลงอย่างไร
๔. การเลอื กเฟ้นถอ้ ยคา
“ถ้อยคา” เป็นองค์ประกอบสาคัญที่ช่วยปรุงให้งานเขียนมีคุณค่าในเชิงวรรถศิลป์
ผู้เขียนต้องมี "คลังศัพท์" มากพอ มีความรู้ที่จัดเจน ลึกซึ้งถึง "ความหมาย" และ "นัยสาคัญ" ของคา
แต่ละคา สามารถลือกคามาใช้ได้อย่างเหมาะสมกับเนื้อหาและบริบท ศิลปะในการเลือกฟ้ืนถ้อยคา
ประกอบดว้ ย
๑๓๘
- การใช้คาแสดงอารมณ์
- การใชค้ าแสดงฐานะบุคคล
- การใช้คาเลยี นเสียง
- การใช้คาท่ีแสดงนา้ เสียงของผูใ้ ช้ภาษา
การใช้คาท่ีแสดงอารมณ์ ความรัก โลภ โกรธ หลง เป็นอารมณ์พื้นฐานของปุถุชน
เป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าใจ และตระหนักรู้อยู่แล้ว ผู้เขียนจึงต้องเลือกใช้คาที่ "โดนใจ" ผู้อ่าน หรือให้เกิด
"อารมณ์ร่วม" ด้วยเขาไม่เคยอ่อนโยนกับฉันสักคร้ัง ทาไมฉันจะต้องรู้สึกน้อยใจเขาด้วยเขาทาไม่ดีกับ
ฉันคนเดียว แต่กับผู้หญิงคนอ่ืน เขาอ่อนโยนจนฉันรู้สึกด้อยค่าและไม่มีความหมายอะไรกับเขาเลย
"ฉันทาได้เพียงนั่งน่ิง และปล่อยน้าตาแห่งความเจ็บปวดออกมา มันไหลออกมาเพราะความเจ็บใจที่
ต้องมาเสียท่าให้กับผู้ชายสารเลวพวกน้ี มือของฉันยกข้ึนปาดน้าตาออกไป พยายามปกป้องร่างกาย
ตัวเองให้พน้ จากพวกเขาให้ มากทสี่ ุด" "น้าตาฉนั ไหลออกมาพร้อมกบั ความกลวั ทเ่ี ขา้ มากัดกล่อนจิตใจ
เขาจะฆา่ ฉนั ได้ลงคอจรงิ ๆ เหรอ"
ทารุณเราเจ็บชา้ ซ้าซาก ลาบากเจ็บแสบเสยี สาสม
มชี ีวติ เพื่อพิษทกุ ข์ระทม นึกถึงยมโลกใครล่ าไป ฯ
เกดิ บาปกรรมตา่ ใตข้ ุมนรก หมกไหมท้ นทกุ ข์อยู่ทกุ สมัย
เสาะหาเศษสุขในเปลวไฟ สิน้ เยอ่ื ใยแลว้ ในปฐพี ๆ
(ชะรอยเรานี้มีเวรกรรม ของอังคาร กัลยาณ พงศ์)
การใชค้ าแสดงฐานะของบุคคล
การเลือกใช้คาในความหมายนค้ี ล้ายกับสานวนไทยท่วี า่ "สาเนยี งส่อภายา กริ ิยาส่อสกลุ "
ผ้เู ขียนจงึ ต้องเลือกใชค้ าใหเ้ หมาะกับบุบุคคล เช่น
- ตวั ละคร แม่คา้ กต็ ้องพดู และแสดงอากปั กริ ิยาแบบแม่คา้
- ตัวละครชาวบา้ นชนบทกจ็ ะใชส้ รรพนาม "กู" "มึง"
- ตัวละครท่ีมีการศึกษาหรืออยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวก็จะใช้คาแทนตัวว่า "คุณ" "ผม"
เพ่อื ให้เกดิ ความ "สมจริง"
ตัวอย่างการใช้คาแสดงฐานะของบุคคลในเร่ืองสั้น "เพลงใบไม้" ในซอยเดียวกันท่ี
ตัวละครยายเป็นชาวบ้าน จึงใช้สรรพนามแทนตัวว่า "กู" เมื่อพูดกับหลานสาว ยายถูเรือนทุกวัน
ทั้งเช้าและเย็น น่ังถัดถูไปประเด๋ียวเดียวก็ท่ัวส้มเช้ามันห้ามยาย จนเบ่ือและเลิกห้ามไปในที่สุด มันว่า
ยายนะ่ ดอื้ เหมอื นเด็ก ๆ เพราะยายไมย่ อมฟังมัน "กถู ูของกูได้ เรอื นเท่าแมวด้นิ ตายแคน่ "ี้ ยายบอก