บทท่ี ๑
ประวตั แิ ละความเป็นมาของคัมภีร์มิลนิ ทปัญหา
๑. บทนา
ภายหลังพุทธปรินิพพานได้มีความเห็นต่างและการตีความหลักธรรมของ
พระพทุ ธเจ้าไป เป็นต่าง ๆ พระอรหันตสาวก จึงได้ประชุมและทาสังคายนาพระธรรมวนิ ัย
ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ พระสงฆ์ ที่ศึกษาจนแตกฉานในอรรถในธรรมก็ได้แต่งคัมภีร์ทาง
พระพุทธศาสนาอธบิ ายหลักธรรม เพื่อเผยแผ่ และจรรโลงอายุพระพุทธศาสนาโดยลาดับ
ต่อมาในพุทธศตวรรษที่ ๓ สมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ
ประธานฝ่ายสงฆ์ ทาตติยสังคายนา ได้รวบรวมพระธรรมวินัยและจัดให้เป็น หมวดหมู่มี
ชื่อเรียกวา่ พระไตรปิฎก เมื่อร้อยกรองพระธรรมวินยั เสร็จแลว้ จึงได้สง่ พระธรรมทูตออกไป
เผยแผ่พระพุทธศาสนาในดินแดนต่างๆ แล้ว รวมถึงสุวรรณภูมิอันเป็นดินแดนในภูมิภาค
เอเชียตะวนั ออก เฉียงใตใ้ นปจั จุบนั
แม้ว่าคัมภีร์มิลินทปัญหาจะมีความแตกต่างกันในด้านเน้ือหาหรือสานวนการ
แปลในแต่ละฉบับของแต่ละประเทศก็ตาม แต่เน้ือหาสาระสาคัญตรงกัน ดังนั้น เพื่อเป็น
การเผยแผ่องค์ความรู้และ สร้างความเข้าใจเกี่ยวกับคัมภีร์มิลินทปัญหา จึงได้ศึกษา
ประเด็นเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาและ ความสาคัญของคัมภีร์มิลินทปัญหา การให้
ทัศนะของนักปราชญ์เก่ียวกับคัมภีร์มิลินทปัญหา การตอบ คาถามเก่ียวกับประวัติความ
เป็นมาของพระเจ้ามิลินท์และพระนาคเสนคือใคร มีตัวตนจริงหรือไม่ ใน การประลองเชิง
และตั้งกติกาการโต้วาทะระหว่างบุคคลท้ังสองได้ก่อให้เกิดการเปล่ียนแปลงและส่งผล
กระทบต่อพระพุทธศาสนาอยา่ งไรตอ่ ไป
๒. ประวตั คิ วามเปน็ มาของคัมภรี ม์ ลิ ินทปัญหา
มิลินทปัญหา (The Milinda Panha Or The Questions of King Milinda)
แปลว่า “ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์” ได้เป็นชื่อคัมภีร์อันสาคัญของพระพุทธศาสนาซึ่งมี
ความโดดเด่นยิ่ง นอกเหนือจากพระไตรปิฎกแล้วไม่มีวรรณคดีพระพุทธศาสนาเล่มอื่นใด
เสมอเหมือน และเปน็ คมั ภรี ์ที่ เกิดจากการสปั ระยุทธ์ทางปัญญาและความคดิ ระหว่างพระ
เจ้ามิลินท์หรือพระเจ้าเมนันเดอร์ (Menandros ในภาษากรีก) ซ่ึงเป็นกษัติย์เช้ือสายกรีก
๒
กับพระนาคเสนเถระ ข้อข้อสงสัยต่าง ๆ หรือ ความไม่รู้จริงของพระเจ้ามิลินท์ที่มีต่อ
พระพุทธศาสนา พระนาคเสนเถระก็ได้ทาให้แจ่มแจ้งเป็นที่ พอใจพระเจ้ามิลินท์ จึงทาให้
วรรณคดีปุจฉาวิสัชนาเกิดข้ึนในโลกนี้และมีความสาคัญไว้เป็นแนวในการ วิสัชนาปัญหา
ต่างๆ สาหรับผู้ยงั มคี วามสงสยั ในพระรัตนตรยั และพระพุทธเจา้ ได้ทุกยคุ สมยั
คมั ภรี ์มิลนิ ทปญั หาน่ันถอื กาเนิดเมื่อพุทธศตวรรษท่ี ๓ พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ม
หาราชกรีฑาทัพจากประเทศกรีกเข้ารุกรานอินเดียจนได้ชัยชนะและเลิกทัพกลับไปนั้น
แคว้นท่ีทรงตีได้แล้วก็โปรดให้แม่ทัพนายกองของพระองค์ปกครองดูแล ท้ิงกองทหารกรีก
ไว้บางส่วน ฝรั่งชาติกรีกเหล่านี้ได้ตั้งเป็นอาณาจักรอิสระข้ึนเม่ือพระเจ้าอเล็กซานเดอร์
สวรรคตแลว้ อาณาจักรที่มีกาลังมาก คืออาณาจกั รซีเรียและอาณาจักรบากเตรีย ปัจจุบัน
คือเตอร์กีสถานและอัฟกานิสถาน ซีเรียในอดีตเป็นอาณาจักรมหาอานาจ เป็นส่ือเช่ือม
อารยธรรมกรีกกับอินเดียเป็นเวลานานถงึ ๒๔๗ ปี จึงถูกโรมนั ตีแตก สว่ นบากเตรียเดมิ ทีก็
อยู่ในอานาจของซีเรีย พระราชาเชื้อสายกรีกพระองค์หน่ึง พระนามว่า เมนันเดอร์ หรือท่ี
เรยี กในคมั ภรี บ์ าลีว่า พระเจ้ามิลินท์ ได้ยกกองทัพตเี มอื งตา่ ง ๆ แผ่พระราชอานาจลงมาถึง
ตอนเหนือของลุ่มแม่น้าคงคาเดิมทีกษัตริย์องค์นี้มิได้ทรงเล่ือมใสในพระพุทธศาสนา ทรง
เป็นปรปักษ์ขัดขวางการขยายตัวของพระพุทธศาสนาด้วยซ้าไป แต่ทรงแตกฉานวิชาไตร
เพทและศาสนาปรัชญาต่าง ๆ รวมทั้งพุทธปรัชญาด้วย จึงประกาศโต้วาทีกับนักบวชใน
ลัทธิศาสนาตา่ ง ๆ ในเรอื่ งศาสนาและปรัชญา ปรากฏวา่ ไม่มีใครสพู้ ระองค์ได้ เวลาน้นั พระ
เจ้ามิลินท์ทรงประทับอยู่ที่นครสาคละพระภิกษุสามเณรในพระพุทธศาสนาต่างครั่นคร้าม
ในวาทะของพระเจ้ามิลินท์ อยู่ไม่เป็นสุขในเมืองสาคละพากันอพยพไปอยู่ท่ีอื่นหมดส้ิน
เมือ่ สาคละว่างพระสงฆส์ ามเณรอยถู่ ึง ๑๒ ปจี นกระทง่ั คณะสงฆส์ มัยน้ันได้เลอื กนิมนต์พระ
เถระผู้สามารถรูปหนึ่งมายังเมืองสาคละเพ่ือโต้วาทะเรือ่ งศาสนาและปรัชญากับพระเจ้ามิ
ลนิ ท์ ท่านผู้น้ัน คือพระนาคเสน พระเจ้ามิลินท์ทรงทราบข่าวน้ัน เสด็จไปสนทนาเป็นเชิง
ปจุ ฉาวิสชั นา อภิปรายปญั หาทั้งทางโลกและทางธรรมกันขนึ้ เปน็ เวลาหลายวนั ผลปรากฏ
ว่า พระเจ้ามิลินท์ยอมแพ้พระนาคเสน ข้อสนทนาระหว่างนักปรัชญาท้ัง ๒ ท่านนี้ได้
รวบรวมไวเ้ ปน็ คัมภีรส์ าคัญคัมภรี ์หนึ่ง เรียกวา่ “มลิ นิ ทปัญหา”
มลิ ินทปัญหาจึงเป็นปกรณ์มีมาเก่าแก่และสาคัญปกรณ์หน่ึงในพระพุทธศาสนา
ไม่ปรากฏว่าท่านผู้ใดเป็นผู้รจนา เช่ือกันว่ารจนาขึ้นในราวพุทธศักราช ๕๐๐ ปรากฏตาม
มธุรัตถปกาสินี ฎีกาแห่ง มิลินทปัญหาซึ่งรจนาโดยพระมหาติปิฎกจุฬาภัย ว่าพระพุทธ
๓
โฆษาจารย์เปน็ ผูแ้ ต่งนทิ านกถาและนิคมกถาประกอบเข้าเมอ่ื พุทธศตวรรษที่ ๑๐๑ คัมภรี ์มิ
ลินทปัญหาตามประวัติเป็นคัมภีร์ท่ีแต่งขึ้นก่อนคัมภีร์วิสุทธิมรรคซึ่งเป็นผลงานของพระ
พุทธโฆษาจารย์จัดเป็นคัมภีร์ปกรณ์วเิ สส คือคัมภีร์ท่ีอธิบายข้อธรรมบางข้อซึ่งเป็นผลงาน
อิสระของพระเถระผู้แตกฉานในพระธรรมวินัยท่ีได้เรียบเรียงขึ้นตามโครงเรื่องท่ีท่านจัด
วางเองหรือเกดิ จากเหตุการณ์พิเศษเช่นการตอบคาถามชี้แจงขอ้ สงสยั ของผูอ้ ืน่ เป็นตน้ ๒
คมั ภีร์มิลินทปัญหาเม่ือแบ่งตามยคุ สมัยแล้วจัดเป็นคัมภีร์ปกรณพิเศษกอ่ นสมัย
อรรถกถาซึ่งอยู่ในสมัยเดียวกันกับเป ฏโกปเทสคัมภีร์และเนตติ คัมภีร์เป็นคัมภีร์อธิบาย
ขยายความธรรมะตามแนวการเขียนของผู้แตง่ เอง แต่มิลินทปัญหามีลักษณะพิเศษ คือได้
ชี้ให้เห็นและสาธยายหลักปรัชญาพุทธเถรวาทอย่างละเอียดลออย่ิงกว่างานชิ้นใดทาง
พระพุทธศาสนาในยุโรปจึงมีนักศึกษาพระพุทธศาสนาเช่น Rhys Davids ถือว่าคัมภีร์มิลิ
นทปัญหาเป็นบทความร้อยแก้วช้ันเยี่ยมของโลกมีในประเทศฝ่าย เถรวาท เช่น ลังกา,
พม่า, ไทย แต่ไทยเรามีสมบูรณ์ที่สุด เคยคิดกันว่าจีนซ่ึงเป็นฝ่ายมหายานนั้นไม่มี มิลินท
ปัญหาแต่ภายหลงั ก็ปรากฏวา่ มเี หมอื นกัน
คัมภีร์มิลินทปัญหาเป็นคัมภีร์ที่รวบรวมการถามและตอบปัญหา สาคัญใน
พระพุทธศาสนาเอาไว้เป็นจานวนมาก แต่ประเด็นท่ีมาของ คัมภีร์มิลินทปัญหายังคงเป็น
ประเด็นถกเถียงกันว่า เกิดขึ้นในยุคไหนและผู้แต่งเป็นใคร นักวิชาการจานวนมากต่างให้
ความเห็นท่ีหลากหลายเกี่ยว กับท่ีมาของคัมภีร์น้ี แนวคิดส่วนหนึ่งเสนอว่ามิลินทปัญหา
ได้รับอิทธิพล จากงานเขียนในยุคกรีกโบราณสมัยเฮลเลนิสต์ (Hellenistic Period)
นักวิชาการในกลุ่มน้ีที่เป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี ได้แก่ ทาร์น (Tarn W.W.) ซ่ึงได้เสนอ
แนวคิดอันโด่งดังท่ีเรียกว่า สมมติฐานของทาร์น (Tarn’s Hypothesis) ข้ึนโดยได้ต้ังข้อ
สมมตฐิ านวา่ รปู แบบการเขียนของคัมภรี ์ มิลินทปญั หาน่าจะได้ รับอทิ ธพิ ลมาจากงานกรีก
(Greek Work) ชื่อปัญหาของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ (the Alexander Questions) โดย
พบ ว่า ใน ระยะเวลาต่อมาได้ป รากฏคัมภีร์ท่ีมีรูป แบ บ การเขียนเชิง สน ท น า
๑ สมเด็จพระสังฆราช (อุฏฺฐายีมหาเถร), มิลินทปัญหาฉบับโรงพิมพ์ไท, ๒๔๗๐, หน้า
พระนิพนธค์ านา.
๒ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโฺ ต), รจู้ ักพระไตรปิฎกเพื่อเป็นชาวพุทธที่แท้, พิมพ์คร้ังท่ี ๒,
(กรุงเทพมหานคร: มลู นิธพิ ทุ ธธรรม, ๒๕๔๓), หนา้ ๙๖.
๔
(Dialogue)คล้ายกับคัมภีร์ดังกล่าว อันได้แก่ คัมภีร์ปัญหาของ พระเจ้าปโตเลมีที่ ๒ (the
Questions of Ptolemy II) และคัมภีร์กาเนิด ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์ (the Original
Questions of Milinda) โดยทาร์นเชื่อว่างานเขียนฉบับดังกล่าว คือ ฉบับเดียวกับคัมภีร์
มิลินทปัญหา ดังน้ี ทาร์นได้พยายามชี้ให้เห็นว่า คัมภีร์พระพุทธศาสนา อันโด่งดังที่ชื่อมิลิ
นทปัญหา สันนิษฐานว่าเป็นฉบับเดียวกันกับคัมภีร์กรีก (the Original Questions of
Milinda)๓
๓. ความสาคัญของคัมภีรม์ ลิ นิ ทปัญหา
มิลนิ ทปัญหาเป็นคัมภีรป์ ฐมเหตุแห่งการแต่งวรรณคดีพระพุทธศาสนาเล่มแรก
ในยุคหลังพุทธปรินิพพานที่มีหลักฐานปรากฏจนตราบเท่าทุกวันนี้ซ่ึงกล่าวถึงหลักธรรม
คาส่ังสอนของพระพุทธเจ้าท่ีมีคุณค่าท้ังในด้านเนื้อหาสาระที่สอดคล้องต้องตามบาลี
พระไตรปิฎกและในด้านอรรถรสแห่งวรรณคดีบาลีเป็นคัมภีร์อธิบายพุทธปรัชญาท่ีมีลีลา
การดาเนินเรื่องที่ชวนติดตามเช่นเดียวกับบทสนทนาของ พลาโต้ (Dialogues of Plato)
วธิ ีการที่พระนาคเสนใช้ตอบโต้ปรัปวาทนั้น ให้นึกถึงวิธีการท่ีโสเครตีสใช้หักล้างวาทะของ
นักปรปักษ์ในขณะทีค่ ู่สนทนาของโสเครตีสเป็นนักปราชญ์กรกี คู่สนทนาของพระนาคเสน
ก็เป็นกษัตริย์กรีก มีนามว่า พระเจ้ามิลินท์๔ กล่าวโดยสรุปแล้ว คัมภีร์มิลินทปัญหามี
ความสาคญั ตอ่ พระพุทธศาสนาดังนี้
๑) มิลินทปัญหาเป็นคัมภีร์สืบทอดอายพุ ระพุทธศาสนาที่มั่นคงยาวนานออกไป
จากห้าร้อยพระวัสสาเป็นห้าพันพระวัสสาตามคาขอของพระนาคเสนเพราะนาคเสน
สามารถแก้ไขปริศนาธรรมของสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ได้จึงทาให้ชาวชมพูทวปี มีความสนใจ
ในหลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้ามากขึ้นมีความต้องการที่จะศึกษาไตรปิฎกและมีการ
ทาสังคายนาพระไตรปฎิ กใหป้ รากฏขน้ึ อยา่ งมั่นคง
๒) มิลินทปัญหาเป็นคัมภีร์ที่ทาให้หลักธรรมคาสั่งสอนของพระพุทธเจ้าเป็นท่ี
เคารพยาเกรงด้วยพระนาคเสนเป็นผูเ้ รียนจบพระไตรปฎิ กและสามารถพิจารณาจนกระท่ัง
๓ Gonda, J. 1949 “Tarn’s hypothesis on the origin of the Original of
Milindapanha.” Mnemosyne, Fourth Series Vol. 2: pp. 44-62.
๔ พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจิตฺโต ), บรรณาธิการ, มิลินฺทปัญฺหาอฏฺฐกถาฎีกา
,(กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพว์ ญิ ญาณ, ๒๕๓๐), หน้า บทนา.
๕
สาเร็จเป็นพระอรหันต์ท้ังการเรียนและการปฏิบัติตามหลักสัทธรรม ๓๕ สามารถแก้ไข
ปัญหาของสมเด็จพระเจ้ามิลินท์ผู้เป็นที่เคารพยาเกรงแก่ชาวประชาทั่วชมพูทวีปพระสงฆ์
จึงได้ศึกษาให้เข้าใจนาไปปฏิบัติให้ถูกต้องมีผลตามมาจึงนาไปเผยแผ่รกั ษาหลกั ธรรมคาสั่ง
สอนของพระพทุ ธเจ้าใหม้ ั่งคงแลว้ พระภิกษุสงฆจ์ ึงเป็นบุคคลท่ีควรแก่การกราบไว้และการ
อปุ ถมั ภ์ปจั จัยเพอื่ ตอ่ อายุพระพทุ ธศาสนาใหย้ นื ยาว
๓) มิลินทปัญหาเป็นยอดแห่งคัมภีร์ท้ังปวงรองลงมาจากพระไตรปิฎกซ่ึงคัมภีร์
รนุ่ หลังอาจเทยี บได้ก็เห็นมีแต่คมั ภีร์วิสทุ ธิมรรค แตค่ ัมภีร์มิลินทปญั หาเป็นคัมภีรท์ ี่เก่ากว่า
หนงั สอื วิสทุ ธิมรรคประมาณ ๕๐๐ปี พระพุทธโฆษาจารยผ์ ูร้ จนาวิสุทธิมรรค ได้อ้างคัมภีร์มิ
ลินทปัญหาเป็นหลักในการวินิจฉัยข้อธรรมวินัยซึ่งนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้ถือ
เป็นหลักฐานวินจิ ฉัยตดั สินพระธรรมวนิ ยั มาแต่หลังพุทธปรนิ ิพพานแลว้
๔) มิลินทปัญหาใช้วาทะวิทยาท่ียอดเยี่ยมระหว่างพระเจ้ามิลินท์และพระนาค
เสนเถระซ่ึงมีความรู้ลุ่มลึกในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่งเป็นผู้แตกฉานในพระธรรมวินัย
เชี่ยวชาญเป็นพิเศษในพระไตรปิฎกโดยเฉพาะอย่างยิ่งความสาคัญพิเศษท่ีเป็นวิธีการ
(Methodology) ในความพยายามท่ีแสดงความคิดเหตุผลอารมณ์ความรสู้ ึกให้ผู้อ่ืนเข้าใจ
ได้ดีสมเจตนารมณ์มคี วามฉลาดเฉยี บแหลมในทางวนิ ิจฉัยและในกระบวนวิสชั นาพระธรรม
วินัยให้เข้าใจได้ง่ายยกอุปมามาเปรียบเทียบได้อย่างแยบยลซึ่งเป็นเสน่ห์แรงจูงใจให้ผู้
ศึกษาพระพุทธศาสนามากยง่ิ ข้ึน
๕) มิลนิ ทปญั หาไดร้ ับการแปลถ่ายทอดส่ภู าษาอืน่ เป็นอันมากคอื ได้รับการแปล
จากภาษาสันสกฤตเป็นภาษาบาลีและภาษาจีนเป็นเบื้องต้นแล้วนั้น ภาษาบาลีเองก็ได้รับ
๕สทั ธรรม ๓ประการ ไดแ้ ก่
๑)ปริยัตติสัทธรรม คือ คาส่ังสอนจะต้องเล่าเรียน ได้แก่ พุทธพจน์ พระธรรม และพระ
วินัย รวมถึงเอกสารต่างๆท่ีเก่ียวข้อง อาทิ พุทธประวัติ ประวัติพุทธสาวกต่างๆ หลักวิปัสสนา
กรรมฐาน และสมถกรรมฐาน เปน็ ตน้
๒)ปฏิปัตติสัทธรรม คือ ปฏิปทาอันจะต้องปฏิบัติ หรือที่เรียกว่า อัฏฐังคิกมรรค หรือ
ไตรสกิ ขา อนั ประกอบดว้ ย ศลี สมาธิ ปัญญา
๓) ปฏิเวธสัทธรรม คือ ผลอันเกิดข้ึนด้วยการปฏิบัติ คือ การเข้าถึง หรือ การบรรลุ
ประกอบด้วย มรรค ผล และนิพพาน
๖
การถ่ายทอดแปลไปสู่ภาษาอื่น ๆ อีกทั้งในเอเชียและในทางยุโรปเฉพาะประเทศไทยได้มี
การแปลคัมภีร์มิลินทปัญหาจากภาษาบาลีออกสู่พากย์ไทยตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราช
ธานมี าตามลาดับจึงมีทัง้ ฉบับหลวง ฉบบั ราษฎร์ ฉบบั พสิ ดารและฉบบั ยอ่
๖) มิลินทปัญหามีเนือ้ หาการรจนาตรงกันอยา่ งชัดเจนในการโต้วาทะของบุคคล
ทง้ั สองมาผูกเป็นเร่ืองตามเคา้ มูลในประวตั ิศาสตร์ชาวโยนกแลว้ อธบิ ายธรรมวนิ ัยตามแนว
พระไตรปิฎกหรือพระพุทธศาสนาด้ังเดิมแล้วต่อมาแปลเป็นภาษาสิงหลและภาษาจีน
ตามลาดับซ่ึงได้สืบทอดมาจนตราบเท่าทุกวันนี้นักปราชญ์ทั้งตะวันออกและตะวันตก
ยอมรบั ว่าเปน็ คมั ภีรเ์ กา่ แก่และดเี ด่นเป็นยอดเนือ้ หาครอบคลุมพระไตรปิฎกอย่างลึกซงึ้ ๖
๗) มิลินทปัญหาเป็นหนังสืออ้างอิงของคัมภีร์รุ่นหลังพระนาคเสนได้อธิบาย
หลกั ธรรมไว้ในมลิ ินทปญั หาเป็นจานวนมาก ซง่ึ เป็นแบบอย่างในการอธบิ ายธรรมของพระ
อรรถกถาจารยใ์ นยุคหลังผลงานของพระนาคเสน มีทง้ั ทปี่ รากฏชอ่ื ไวเ้ ป็นหลกั ฐานและมไิ ด้
ปรากฏชื่อไว้เป็นหลักฐานเม่ือพิจารณาจากลักษณะเน้ือหาการอธิบายธรรมท่ีมีรูปแบบ
คล้ายคลึงกันจึงทาให้สันนิษฐานได้ว่าเป็นรูปแบบของพระนาคเสนการอธิบายธรรมแ ละ
การโตต้ อบปัญหาของพระนาคเสนมิลินทปัญหาไดน้ าไปใช้อา้ งองิ คัมภรี ์รนุ่ หลังดังท่ปี รากฏ
ในคมั ภีรช์ ัน้ อรรถกถา
๔. วัตถปุ ระสงคข์ องการแต่ง
วัตถุประสงค์ของการแต่งคัมภีร์มิลินทปัญหานี้ของผู้แต่งปรากฏในเน้ือหาของ
คัมภีร์ อยู่ ๓ ประการ คอื
๔.๑ เพ่ืออธบิ ายคมั ภรี ม์ ลิ ินทปัญหา
วัตถุประสงค์ของการแต่งคัมภีร์ข้อน้ี ปรากฏในอารัมภกถาหรือคาเร่ิมต้นของ
คมั ภรี ท์ ีผ่ แู้ ตง่ ได้รจนาไวว้ า่
มิลนิ ฺทปญฺหาววิ ร มธุรตุถปกาสนึ
รจยิสฺส สมาเสน ติ สนุ าถ สมานติ า.
แปล: ข้าพเจา้ จกั รจนาคมั ภีรม์ ธุรัตถุปกาสนิ ไี ขความในคมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หา
๖แสง จันทร์งาม, วารสารภาษาไทยและวัฒนธรรมไทยฉบับที่๔ปีท่ี๒ธนั วาคม๒๕๕๑ –
พฤษภาคม๒๕๕๒, หนา้ ๗๐-๗๔.
๗
โดยย่อ ขอท่านทง้ั หลายจงตงั้ ใจฟงั มธุรตั ถุปกาสินนี ้นั เถิด๗
ขอ้ ความดังกล่าวได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการแต่งคัมภีร์ไว้ชัดเจนว่า เพ่ือไข
หรอื อธิบายความในคัมภีรม์ ิลินทปัญหาให้กระจา่ งชัด อีกคาหน่งึ ท่ีแสดงถึงวัตถุประสงคข์ ้อ
น้ีคือคาว่า “มิลินฺททีปก แปลว่า คัมภีร์ (มธุรัตถปกาสินี มิลินทปัญหาฎีกา) ที่แสดงหรือ
อธิบายความในคมั ภีร์มิลนิ ทปัญหา”๘ ท่ีปรากฏในนิคมนกถา แตเ่ ป็นอธิบายโดยย่อเทา่ น้ัน
เรื่องนี้ตรงกับวิธีการแต่งคัมภีร์ประเภทฎีกาท่ีผู้แต่งจะนาศัพท์หรือขอ้ ความที่สาคัญหรือท่ี
ยากมาอธิบายเพ่ือใหเ้ ข้าใจงา่ ยขึ้นและกระจ่างชัด ไม่ได้นามาอธบิ ายทั้งหมด ย่งิ ไปกวา่ นั้น
การอธิบายเนื้อหาก็ไม่ได้อธิบายทุกเร่ืองท่ีกล่าวไว้ในคัมภีร์มิลินทปัญหา แต่จะอธิบาย
เฉพาะบางเรือ่ งท่ผี แู้ ตง่ เห็นวา่ ควรอธบิ ายเท่าน้ัน
๔.๒ เพือ่ ธารงพระพทุ ธศาสนา
วตั ถปุ ระสงค์ของการแตง่ คัมภีร์ขอ้ น้ี วิเคราะห์จากข้อความที่ปรากฏในนิคมนก
ถาตอนทา้ ย ของคมั ภีรน์ ี้ที่ผู้แตง่ กลา่ วไวว้ า่
ตาว ตฏิ ฐฺ ตุ โลกสมฺ ึ โลกนิตถฺ รเณสนิ
ทสฺเสนฺโต กุลปุตฺตาน นย ปญฺญาวสิ ทุ ธฺ ิยา.
ยาว พทุ ฺโธติ นามมปฺ ิ สทุ ธฺ จติ ฺตสสฺ ตาทโิ น
โลกมหฺ ิ โลกเชฏฺฐสฺส ปวตฺตติ มเหสโิ น.
แปล: แม้พระนามว่า พุทโธ ของพระพุทธเจ้าผู้มีพระทัยหมดจดผู้คงท่ี ผู้
เจริญที่สุดในโลก ผู้แสวงหาคุณอันย่ิงใหญ่ ย่อมเป็นไปในโลกตราบใด ขอให้คัมภีร์มิลินท
ปญั หาฎกี า เมอ่ื จะแสดงนยั แก่กลุ บตุ รท้ังหลายผู้แสวงหาธรรมเปน็ เครื่องสลัดออกจากโลก
เพอื่ ความหมดจดแห่ง ปัญญา จงดารงอยู่ในโลกตราบนนั้ เถดิ ๙
จากบทประพันธ์ดังกล่าวนนั้ ได้ช้ใี หเ้ ห็นถงึ ความปรารถนาของผูแ้ ต่งทต่ี อ้ งการให้
คัมภีร์ที่ท่าน รจนาไว้เป็นส่ือการเรียนรู้ที่ให้ประโยชน์แก่ผู้ศึกษาท้ังในด้านปริยัติ คือ
เพ่ือให้เกิดปัญญาความเข้าใจใน หลักธรรมคาสอนของพระพุทธเจ้าและด้านปฏิบัติ คือ
เพื่อใหเ้ กดิ ความบรสิ ุทธ์ิแหง่ จิตและปญั ญาที่ หย่ังรูส้ ัจธรรม ความปรารถนาดังกล่าวเท่ากับ
๗มลิ นิ ฺท.ฎกี า (บาลี) ๑๖๘. มลิ ินท.ฎกี า. (ไทย) ๔๑๓.
๘มลิ นิ ท.ฎีกา (ไทย) ๖๓๙.
๙มลิ ินท.ฎีกา (ไทย) ๖๓๙.
๘
ผู้แต่งมีวัตถุประสงค์ท่ีจะให้คัมภีร์นี้ธารงรักษาไว้ซ่ึงพระ พุทธพจน์อันเป็นแนวทางปฏิบัติ
เพ่อื ความหลดุ พน้ ทุกขห์ รือถ้าวา่ กันโดยรวมก็คือเพือ่ ให้พระพทุ ธศาสนา ดารงอยูไ่ ด้น่ันเอง
๔.๓ เพอ่ื สรา้ งบญุ บารมสี าหรบั ตน
วตั ถุประสงค์ของการแตง่ คัมภรี ์ข้อน้ี เมื่อวเิ คราะห์จากบทประพันธต์ อนหนง่ึ ใน
นคิ มนกถาท่ผี ู้แตง่ ไดร้ จนาไวว้ ่า
อโิ ต จุโตห สจุ ิเตน กมมฺ ุนา
ภวามิ เทเว ตสุ ติ วหฺ เย ปเุ ร
จิร จรนฺโต กุสล ปุนปฺปุน
ตตเฺ ถว เมตเฺ ตยยฺ วเร นิรนตฺ ร.
ตโต ตรนโฺ ตว ชินงฺกุโร วโร
ยทา วิรพทุ โฺ ธติ ภเวกนายโก
ตโต ตรนโฺ ต วรปญุ ฺญการโก
ภวามิ นรานรปชู โิ ต สทา.
สุสุโร ปวโร สุมโน วรโท
ปิฎกาน วเส สชเน กถิเต
ปวรตถฺ ปกาสกญาณวโร
วรธมมฺ สเุ ขสนโก สลี วา.
สเจ ตทิ ิเว ตสุ ิเต มโนรมเฺ ม
ภวาม ชาโต น มโนรถปฺปติ
วรปฺปเทเส ปตริ ปู เก สทา
ธริ า ปชายนฺติ สปุ ญุ ฺญกมมฺ โิ น.
อหมฺปิ ตตฺเถว ปเทสมุตตฺ เม
ภวาม นเรหิ นเรหิ ปูชิโต
ธเนน ญาเณน ยเสน ทีปโิ ต
วโิ สธยนโฺ ต ปนุ สตฺถสุ าสน.
อเนน ปุญฺเญน ภวาวสานเก
สพพฺ ญฺญต ยาว จ ปาปุเณ วร
๙
นิรนฺตร โลกหิตสฺส การโก
ภเว ภเวยฺย สจุ ติ ญฺจ ปารม.ี
ปุญฺเญน เตน วิปเุ ลน ภวาภเวสุ
ปญญฺ าภวิ ฑฺฒปริสทุ ฺธคุณาธิวาโส
หตุ ฺวา นราธกิ นโร สพพฺ เสฏโฺ ฐ
พทุ ฺโธ ภเวยยฺ มหมตุ ฺตมนาถนาโถ
ปญุ เฺ ญน จณิ เฺ ณน ปิเยนปยฺ าทร.
แปล: ด้วยกรรมที่สั่งสมไว้ดีแล้วน้ี ขอให้ข้าพเจ้าจุติจากภพน้ีแล้วจงไป
บังเกิดในสวรรค์ช้ันดุสิต เมื่อประพฤติกุศลกรรมบ่อย ๆ ตลอดกาลยาวนาน ขอจงเกิดใน
ยคุ ของพระพุทธเจา้ ทรงพระนามวา่ เมตไตรยผ้ปู ระเสริฐนนั้ แลตลอดกาล
ตอ่ จากน้ัน เมื่อข้าพเจ้าท่องเท่ียวไปในสังสารวฏั ขอให้เกิดในกาลแห่งบุตรของ
พระชิน เจ้าผู้ประเสริฐ ทรงพระนามว่าวีรพุทธเจ้าผู้นาสัตว์ออกจากภพ ต่อจากน้ัน เมื่อ
ข้าพเจ้าท่องเท่ียวไป ขอจงเกิดเป็นบุคคลผู้สร้างบุญอันประเสริฐ ผู้อันมนุษย์และอมนุษย์
บูชาแล้ว. ขอให้ข้าพเจา้ จงเป็นผู้ กล้าหาญดี ประเสริฐ มีใจดี ให้ส่ิงท่ีประเสริฐ มีญาณเป็น
เครื่องประกาศประโยชน์อันประเสริฐใน อานาจแห่งปิฎกพร้อมท้ังอรรถกถาที่ ท่านกล่าว
ไว้แล้วแสวงหาความสุขที่เกิดจากธรรมอันประเสริฐ มีศีล. ถ้าหากความปรารถนา (ของ
ข้าพเจ้า) ยังไม่สาเร็จ ขอให้ข้าพเจ้าได้เกิดในสวรรค์ช้ันดุสิตอันเป็นที่ ร่ืนรมย์แห่งใจขอให้
นกั ปราชญ์ท้ังหลายผู้มีกุศลกรรมจงเกิดในประเทศทป่ี ระเสริฐอันเป็นประเทศที่ เหมาะสม
ในกาลทุกเม่ือ แม้ข้าพเจ้าก็ขอให้เกิดในประเทศอันสูงสุดนั้นเหมือนกันเป็นผู้อันชนน้อย
ใหญ่ ทั้งหลายบูชาแล้ว รุ่งเรืองด้วยธรรม ญาณยศ ชาระพระศาสนาของพระศาสดาให้
บรสิ ทุ ธอ์ิ ีก. ดว้ ยบญุ นี้ ในทีส่ ุดแห่งภพ ขอใหข้ ้าพเจ้าสร้างประโยชนต์ อ่ สัตว์โลก เป็นผสู้ ่งั สม
บารมีไว้ดีแล้วในภพตลอดกาล จนกระทั่งบรรลุสัพพัญญตญาณอันประเสริฐ. ด้วยบุญอัน
ไพบูลย์น้ัน ขอให้ข้าพเจ้าเกิดเป็นพระพุทธเจ้า ผู้ทรงเจริญด้วยปัญญาและบรรลุคุณอัน
บริสุทธ์ิ ผู้เป็นนระยิ่งกว่านระ ผู้ประเสริฐกว่าสัตว์โลกท้ังหมด ผู้เป็นท่ีพ่ึงแห่งท่ีพึ่งอัน
ยง่ิ ใหญ่และสงู สุดในภพน้อยภพใหญ.่ ๑๐
๑๐มลิ นิ ท.ฎกี า (ไทย) ๖๔๐-๖๔๑.
๑๐
ข้อความดังกล่าวไดแ้ สดงนัยว่า การแตง่ คัมภรี ์เปน็ การสง่ั สมบญุ หรือความดี (สุจิ
เตน กมฺเมน) อันเป็นเหตุให้ได้สวรรค์สมบัติ และเป็นปัจจัยแห่งการบาเพ็ญบารมีในชาติ
ต่อๆ ไปโดยมีเป้าหมาย เพ่ือการบรรลุสัพพัญญตญาณท่ีจะสร้างประโยชน์ให้แก่ชาวโลก
หรือการได้เป็นพระพุทธเจ้าซึ่งเป็น ความปรารถนาท่ีเปน็ อุดมคตสิ งู สุดในการสร้างบุญหรือ
ความดีโดยเฉพาะการแต่ง การสร้าง หรือการจารคมั ภีร์ทางพระพทุ ธศาสนา เร่อื งนี้ตรงกับ
ความเช่ือของโบราณาจารย์ท่ีว่าการแต่งคัมภีร์หรือการจารอักษรในพระไตรปิฎกหรือ
คมั ภรี ท์ างพระพุทธศาสนาเป็นการสรา้ งบญุ ที่ย่ิงใหญ่
จากบทวิเคราะห์วัตถปุ ระสงค์ของการแต่งคัมภีร์ข้างต้นจะพบไดว้ ่า แรงบันดาล
ใจสาคญั ท่ีมีอิทธิพลต่อการแตง่ คัมภีร์กค็ ือ ความศรัทธาในพระพทุ ธศาสนาและคตเิ รื่องบุญ
บารมที ่ีเป็นการสั่งสมความดี เพื่อการบรรลุผลสงู สุดในทางพระพุทธศาสนาคือ ความหลุด
พ้นจากทุกข์เป็นสาคัญสอดคล้องกับทัศนะของ ลมูล จันทร์หอม ท่ีกล่าวถึงนักปราชญ์
ล้านนาท้ังบรรพชิตและคฤหัสถ์ เช่นพระโพธิรังสี พระสิริมังคลาจารย์ เป็นต้นที่ได้แต่ง
วรรณ ก รรม ล้าน น าว่ามีแรงบั น ดาลใจมาจาก ความศรัท ธาใน พระพุ ท ธศาสน าทั้งส้ิ น ๑๑
วัตถุประสงค์ของการแต่งคัมภีร์ทั้งหมดทกี่ ล่าวมาได้แสดงถึงความปรารถนาโดยรวมของผู้
แต่ง คือ ต้องการจะรักษาพระพุทธพจน์หรือพระพุทธศาสนาให้ดารงอยู่และอานวย
ประโยชน์ต่อสัตว์โลกซ่ึง มีความหลุดพ้นจากความทุกข์เป็นเป้าหมายสูงสุด โดยอาศัย
คัมภีร์ที่แต่งขึ้นเป็นเคร่ืองมือในการรักษา และเพ่ือให้เป็นบุญบารมีท่ีจะส่งผลให้ ตนได้
บรรลมุ รรคผลในชาติต่อ ๆ ไป
๕. ความสัมพันธค์ มั ภีรม์ ิลนิ ทปัญหากบั คมั ภีร์อรรถกถาพระไตรปฎิ ก
๕.๑ ในอรรถกถาพระวินัย
พระอรรถกถาจารย์ได้อธิบายเกี่ยวกับวินัย ๔ อย่าง คือ สูตรสุตตานุโลมอาจริ
ยวาทและอัตตโนมติตามท่ีพระนาคเสนกล่าวหมายเอาเน้ือความอันกุลบุตรพึงถือรับร อง
ด้วยบทด้ังเดิมด้วยรสด้วยความ เป็นวงศ์ซึ่งพระนาคเสนเถระหมายเอากล่าวไว้ในมิลินท
ปัญหาวา่
๑๑ลมูล จนั ทรห์ อม, วรรณกรรมทอ้ งถิน่ ลา้ นนา, หน้า ๘-๙.
๑๑
“มหาบพิตรเนื้อความอันกุลบุตรพึงรับรองด้วยบทด้ังเดิมแลด้วยรสด้วยความ
เป็นวงศแ์ ห่งอาจารย์ด้วยความอธิบาย”๑๒
ในอรรถกถามหาวิภังค์สังฆาทเิ สสสิกขาบทที่ ๑ คัมภีร์ปฐมสมันตปาสาทิกาอรรถ
กถาพระวินัยได้กล่าวเร่ืองเหตุให้เกิดความฝัน อ้างข้อความในคัมภีร์มิลินทปัญหา ว่าถามว่า
กบ็ ุคคลเม่ือฝันนั้นหลับฝันหรือตื่นฝันหรือว่าไม่หลับไมต่ ื่นฝันฯ แก้ว่าในเรือ่ งความฝันน้ีท่าน
ควรกล่าวเพ่ิมอีกสักเล็กน้อยฯ ช้ันแรกถ้าคนหลับฝันก็จะต้องขัดแย้งกับพระอภิธรรมฯ
เพราะว่าคนหลับด้วยภวังคจิตฯภวังคจิตนั้น หามีรูปนิมิตเป็นต้นเป็นอารมณ์หรือสัมปยุต
ด้วยราคะเป็นต้นไม่ฯ ก็เม่ือบุคคลฝันจิตท้ังหลายเช่นน้ี ย่อมเกิดข้ึนได้ถ้าบุคคลต่ืนฝันก็
จะต้องขัดแย้งกับพระวินัยเพราะว่าคนต่ืนฝันเห็นสิ่งใดเขาเห็นสิ่งนั้นด้วยสัพโพหาริกจิต
(ด้วยจิตตามปกติ) ก็ช่ือว่าอนาบัติย่อมไม่มีในเพราะความล่วงละเมิดที่ภิกษุทาด้วยสัพโพหา
รกิ จติ แต่เมือ่ ผู้กาลงั ฝันทาการล่วงละเมิดเป็นอนาบัติโดยส่วนเดียวแท้ถ้าบุคคลไม่หลับไม่ต่ืน
ฝนั ชื่อว่าใคร ๆจะฝนั ไม่ไดแ้ ละเมื่อเปน็ อย่างนน้ั ความฝนั กจ็ ะต้องไม่มีแนจ่ ะไม่มีได้เพราะเหตุ
ไรเพราะคนผู้ถูกความหลับดุจลิงครอบงาจึงฝันสมจริง ดังคาท่ีพระนาคเสนเถระกล่าวไว้ว่า
มหาบพติ รคนถูกความหลบั ดุจลิงหลับครอบงาจึงฝนั แล๑๓
๕.๒ ในอรรถกถาพระสูตร
อัมพัฏฐสูตร กล่าวถึงอัมพัฏฐมาณพเห็นมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการของ
พระพุทธเจ้าแล้วแต่มีความสงสัยใน ๒ ประการ คือคุยหะเร้นอยู่ในฝักกับพระชิวหาใหญ่จึง
ไม่เชื่อและไม่เล่ือมใสพระพุทธองค์จึงทรงบันดาลอิทธาภิสัขารให้อัมพัฏฐมาณพได้เห็นพระ
คุยหะอันเร้นอยู่ในฝักและทรงแลบพระชิวหาสอดเข้าช่องพระกรรณทั้ง ๒ กลับไปกลับมา
สอดเข้าพระนาสิกทั้ง ๒ กลับไปกลับมาแผ่ปิดจนมิดมณฑลพระนลาต ส่วนอรรถกถา
อัมพัฏฐสูตรได้กล่าวอ้างคัมภีร์มิลินทปัญหาดังข้อความว่า “ข้อนี้พระนาคเสนเถระถูกพระ
เจ้ามิลินท์ตรัสถามว่าข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงกระทาสิ่งที่ทาได้
ยากหรือดังนี้ได้กล่าวไว้แล้วฯ พระนาคเสนเถระกราบทูลว่า ข้าแต่มหาบพิตรทรงทาอะไร
๑๒ มหามกุฏราชวิทยาลัย, พระวินัยและอรรถกถาแปล มหาวภิ ังค์ เล่ม๑ ภาค๑, พิมพ์
ครัง้ ท่ี๔,(กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๗๕๑.
๑๓มหามกุฎราชวทิ ยาลัย, พระวินัยและอรรถกถาแปล มหาวิภังค์ เล่ม๑ ภาค ๓, พิมพ์
ครง้ั ที่๔,(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกฏุ ราชวิทยาลัย, ๒๕๔๓), หนา้ ๑๐๔.
๑๒
หรือฯ พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า ข้าแต่ท่านผู้เจริญพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโอกาสท่ี
มหาชนเขาถือวา่ เป็นความอายแก่อันเตวาสิกของพรหมายุพราหมณ์แก่พราหมณ์ ๑๖ คน ผู้
เป็นอันเตวาสิกของพราหมณ์อุตตระและของพราหมณ์พาวรีและแก่มาณพ ๓๐๐ คน ผู้เป็น
อนั เตวาสิกของเสลพราหมณ์ฯ
พระนาคเสนกราบทูลว่าข้าแต่มหาบพิตร พระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงแสดงพระ
คุยหะ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระฉายาทรงบันดาลด้วยพระฤทธ์ิแสดงเพียงพระรูป
เป็นเงา ๆ ยังทรงนุ่งผ้าสบงอยู่ยังทรงคาดรัดประคดอยู่และยังทรงห่มผ้าจีวรอยู่มหาบพิตฯ
พระเจ้ามิลินท์เมื่อเห็นพระฉายาแล้วก็เป็นอันเห็นพระคุยหะด้วยใช่ไหมขอรับฯ พระนาค
เสน ข้อน้ันยกไว้เถิดสัตว์ผู้เห็นหทัยรูปแล้วรู้ได้พึงมีพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็พึงนาพระหทัย
มงั สะออกมาแสดงพระเจ้ามลิ ินท์ท่านนาคเสนขอรบั ท่านพูดถกู ต้องแล้วฯ๑๔
อรรถกถาพรหมายุสูตรได้กล่าวอ้างการบันดาลอิทธาภิสังขารเห็นปานน้ันแก่พวก
พราหมณ์ศิษย์ของพาวรีแก่มาณพและศิษย์ของเสลพราหมณ์ได้กล่าวอ้างคัมภีร์มิลินท
ปัญหาดังข้อความว่า
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลมีรูปเป็นอย่างไรฯ ในเร่ืองน้ีมีถ้อยคาที่บุคคลอ่ืน
พงึ กลา่ วได้อย่างไรฯ คานั้นพระนาคเสนเถระอนั พระเจ้ามลิ ินท์ถามแลว้ วสิ ัชนาไว้แล้วฯ
ราชา. พระนาคเสนผู้เจริญพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทาขนาดถึงสิ่งที่ทาได้
ยากฯ
พระนาคเสน. ทรงทาอะไรมหาบพติ รฯ
ราชา. พระคุณเจ้าพระองค์ทรงแสดงโอกาสท่ีทาให้คนส่วนใหญ่อับอายแก่นาย
อุตตระ ศิษย์พรหมายุพราหมณ์แก่พวกพราหมณ์ ๑๖ คน ศิษย์ของพาวรีและแก่มาณพ
๓๐๐ คน ศษิ ย์ของเสลพราหมณ์อีกเล่าฯ
พระนาคเสน. มหาบพิตรพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงแสดงพระองคชาตหรอก
แค่ทรงแสดงเพียงแต่เงา คือพระองค์ทรงสร้างข้ึนด้วยพระฤทธ์ิแล้วทรงแสดงเพียงรูปเป็น
เงาทอ่ี ยูใ่ นผ้านุง่ รัดสายประคตไว้แล้วห่มจีวรทบั ฯ
๑๔มหามกุฎราชวิทยาลัย,พระสูตรและอรรถกถาแปล ทีฆนิกาย สีลขันธวรรค เล่ม ๑
ภาค ๑, พมิ พ์ครงั้ ที่๔, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓), หน้า ๕๘๒.
๑๓
ราชา. เม่อื เห็นเงา กช็ อื่ ว่าเหน็ พระองคชาตมิใช่หรือฯ
พระนาคเสน. ข้อนั้นยกไว้ก่อนเถิดมหาบพิตรคนเราต้องดูหัวใจให้เห็นแล้วจึงจะ
ตรัสรไู้ ด้แลว้ พระสัมมาสัมพทุ ธเจ้าก็จะต้องทรงเอาเนอื้ หัวใจออกมาแสดงด้วยกระน้ันหรือฯ
ราชา. พระนาคเสนท่านเกง่ ฯ๑๕
อรรถกถาเสลสูตร ได้กล่าวว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลอิทธาภิสังขารให้
เสลพราหมณ์เห็นพระองคชาตของพระผู้มีพระภาคเจ้าเร้นอยู่ในฝักเหมือนของช้าง ดัง
ข้อความกล่าวอ้างคมั ภีร์ มิลนิ ทปญั หาว่า
จริงอยู่พระองคชาตของพระผู้มีพระภาคเจ้าเร้นอยู่ในฝักเหมือนของช้างมีสี
เหมือนทองคาเหมือนเม็ดในปทุมฯ เสลพราหมณ์ไม่เห็นองคชาตนั้นเพราะปกปิดอยู่ในผ้า
และไม่สังเกตเห็นว่าพระชิวหาใหญ่เพราะอยู่ภายในพระโอษฐ์จึงสงสัยเคลือบแคลงในพระ
ลักษณะทั้งสองเหล่านนั้ ฯ
ท่านอธิบายว่าพระนาคเสนเถระถูกพระเจ้ามิลินท์ ตรัสถามว่า ทุกฺกรภนฺเตนาค
เสน ภควตากต ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทาท่ีทาได้ยากฯ พระนาค
เสนถามว่าทายากอย่างไรมหาบพิตรฯ พระเจ้ามิลินท์ตรัสว่า ท่านพระนาคเสนผู้เจริญ พระ
ผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงโอกาสท่ีจะทาความละอายด้วยมหาชนแก่พรหมายุพราหมณ์แก่
อนั เตวาสิกอุตตรฯ พราหมณ์แก่พราหมณ์ ๑๖ คน ผู้เป็นอันเตวาสิกของพาวรพี ราหมณ์และ
แก่มาณพ ๓๐๐ คน ผเู้ ป็นอันเตวาสกิ ของเสลพราหมณ์ฯ
พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาบพิตรพระผู้มีพระภาคเจ้ามิได้ทรงแสดงพระ
คุยหะพระองค์ทรงแสดงพระฉายา มหาบพิตรพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงบันดาลด้วยพระฤทธิ์
ทรงแสดงผ้านุ่งผ้ารัดกายผ้าห่มเพียงรูปเงาฯ พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามว่าเม่ือเห็นพระฉายาก็
เป็นอันเห็นแล้วมิใช่หรือท่านผู้เจริญฯ พระนาคเสนถวายพระพรว่า มหาบพิตรข้อนั้นยกไว้
สัตว์ผู้จะตรัสรู้เพราะเห็นหทัยรูปพึงดารงอยู่ได้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็จะทรงนาเนื้อพระ
หทัยออกแสดงฯ พระเจ้ามลิ ินทต์ รัสว่า ข้าแต่พระนาคเสนผู้เจริญพระคณุ เจ้าฉลาดมากฯ๑๖
๑๕มหามกุฎราชวิทยาลัย, พระสูตรและอรรถกถาแปล มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์
เลม่ ๒ ภาค ๒,พมิ พค์ ร้ังท่ี๔, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓), หน้า ๒๕๖.
๑๖มหามกุฎราชวิทยาลัย, พระสูตรและอรรถกถาแปล ขุททกนิกาย สุตตนิบาต เล่ม ๑
ภาค ๖, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๕๔๖.
๑๔
มหาเวทัลลสูตรกล่าวถึงพระมหาโกฏฐิกะได้เข้าไปหาพระสารีบุตรได้สนทนกัน
เร่ืองธรรม คือปัญญาความรู้ชัดและวิญญาณความรู้แจ้งเหล่าน้ีมันคละกันหรือมันแยกกัน
และก็เราจะแยกธรรมเหล่านี้แล้วบัญญัติให้แตกต่างกันได้ไหมอรรถกถามหาเวทัลลสูตรได้
กล่าวเรื่องส่ิงท่ีทาได้ยากอะไรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงกระทาแล้วดังข้อความกล่าวอ้าง
คมั ภรี ์มลิ ินทปัญหาวา่
“เพราะเหตุนั้นท่านพระนาคเสนจึงกล่าวว่ามหาบพิตรพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรง
ทาส่ิงที่ทาได้ยากแล้ว พระเจ้ามิลินท์ท่านนาคเสนผู้เจริญสิ่งที่ทาได้ยากอะไรที่พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าได้ทรงกระทาแล้วพระนาคเสนมหาบพิตรสง่ิ ทที่ าได้ยากที่พระผู้มีพระภาคเจ้าไดท้ รง
กระทาแล้ว คือข้อทีท่ รงบอกการกาหนดส่ิงท่ีเป็นจิตและส่งิ ท่ีเกิดกับจิตซึ่งไม่มีรูปร่างเป็นไป
ในอารมณ์อย่างเดียวกันว่า “น้ี คือส่ิงที่ทาหน้าที่กระทบน้ี คือส่ิงท่ีทาหน้าท่ีรู้สึกนี้ คือส่ิงที่
ทาหน้าท่ีรู้จานี้ คือสิ่งที่ทาหน้าที่จงใจนี้ คือส่ิงที่ทาหน้าที่คิด” ฯ ขนาดคนท่ีเอาน้ามัน ๕
ชนิดน้ี คือ น้ามันงา น้ามันผักกาด น้ามันมะซาง น้ามันละหุ่ง น้ามันเหลว มาใส่รวมใน
ภาชนะเดียวกันแล้วเอาไม้คนคู่มาคนท้ังวันแล้วก็ตักแยกจากกันแต่ละอย่าง ๆว่านี้ น้ามันงา
น้ี น้ามันผักกาดนี้ ก็นับว่าทาได้ยากอยู่แล้วน้ี ย่ิงทาให้ยากย่ิงกว่านั้นเสียอีกเพราะพระผู้มี
พระภาคเจ้าทรงเป็นพระธรรมราชาพระธรรเมศวร เพราะความที่ทรงแทงทะลุซ่ึงพระ
สัพพัญญุตญาณอย่างดีแล้วตรัสบอกการกาหนดส่ิงหารูปร่างไม่ได้ท่ีกาลังเป็นไปในอารมณ์
อย่างเดียวกันเหล่าน้ีฯ พึงทราบความข้อน้ีว่าเหมือนกับการตักน้ามาแยกเป็นส่วนๆ อย่างนี้
ว่าน้ีเป็นน้าของแม่น้าคงคาน้ี ของแม่น้ายมุนา ในที่ท่ีแม่น้าใหญ่ท้ัง ๕ สายไหลเข้าสู่ทะเล
แลว้ ฉะนนั้ ฯ๑๗
อสั สุตวตาสูตร ได้กลา่ วถึงตอนพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรสั เรียกภิกษุท้ังหลายมา
ตรัสเรื่องกายเป็นท่ีประชมุ ภูตท้ัง ๔ นี้ว่า จติ บ้างมโนบ้างวิญญาณบ้างจิตเป็นต้นน้ันดวงหนึ่ง
เกิดข้ึนดวงหนึ่งดับไปในเวลากลางคืนและกลางวัน ส่วนในอรรถกถาอัสสุตวตาสูตรว่า ก็จิต
ดวงเดียวเท่าน้ันชือ่ ว่าสามารถเพ่ือต้ังอยู่สน้ิ คืนหน่ึงหรือวันหน่ึงยอ่ มไม่มีฯ จริงอยู่ในขณะดีด
นิ้วครั้งเดียวจิตเกิดข้ึนหลายโกฏิแสนดวงดังข้อความกล่าวอ้างคัมภีร์มิลินทปัญหาว่า
“สมจริงดังคาท่ีทา่ นกลา่ วไว้ในคมั ภีร์มลิ ินทปญั หาว่ามหาบพิตรขา้ วเปลือก ๑๐๐ เลม่ เกวียน
๑๗มหามกุฎราชวิทยาลัย, พระสูตรและอรรถกถาแปลมัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์ เล่ม๑
ภาค ๓, พิมพ์ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลัย, ๒๕๔๓), หน้า ๓๐๖.
๑๕
๑ บ้ัน ๗ สัดกับ ๒ทะนานไม่ถึงการนับ คือไม่ถึงเส้ียวไม่ถึงส่วนของเส้ียวแห่งจิตที่เป็นไป
ในขณะดดี น้วิ ครงั้ เดยี ว”๑๘
ในปณิหิตอัจฉวรรคที่ ๕ ว่าด้วยผลแห่งจิตท่ีตั้งไว้ผิดเป็นต้นการวินิจฉัยเรื่องจิต
ในอรรถกถาสูตรท่ี ๘ ได้กล่าวอา้ งเร่ืองจิตสังขาร ดังข้อความกลา่ วอ้างคัมภีร์มิลินทปัญหา
วา่ จิตดวงใดดวงหนึ่งโดยที่สุดแม้จักขุวญิ ญาณแต่ท่านปฏิเสธคานั้นแล้วกล่าวว่าจิตดวงใด
ดวงหน่ึงโดยที่สุดแม้จักขุวิญญาณก็ประสงคเ์ อาว่าจิตในที่นี้ฯ แต่ในท่ีน้ีพระเจ้ามิลินท์ตรัส
ถามพระนาคเสนเถระผู้เป็นพระธรรมกถึกวา่ ท่านพระนาคเสน จิตตสงั ขารท่ีเป็นไปชั่วขณะ
ลัดนิ้วมือเดียว ถ้าเป็นรูปร่างจะเป็นกองใหญ่เท่าไร ? พระนาคเสนตอบว่า มหาบพิตร
ข้าวเปลือกร้อยวาหะหย่อนครึ่งวาหะ ๗ อัมพนะและ ๒ ตมุ พะ ย่อมไม่ถึงแม้การนับ ย่อม
ไม่ถึงแม้การคานวณย่อมไม่ถึงแม้ส่วนของการคานวณแห่งจิตท่ีเป็นไปช่ัวขณะลัดนิ้วมือ
เดยี วฯ ถามวา่ เมือ่ เปน็ เช่นน้ันเพราะเหตไุ รพระสัมมาสัมพทุ ธเจา้ จงึ ตรสั ว่าแมข้ ้ออุปมาก็ทา
ไดม้ ิใช่งา่ ยฯ แก้วา่ ก็แมท้ ่านปฏเิ สธอปุ มาด้วยขา้ วเปลือกก็ไดก้ ระทาอุปมาความยาวของกัป
โดยเปรยี บเทียบกบั ภูเขาโยชน์หน่ึงกับพระนครเตม็ ไปด้วยเมล็ดพันธ์ผักกาดยาวโยชนห์ นึ่ง
เปรยี บทกุ ข์ของสัตว์นรกโดยเปรยี บด้วยการถูกแทงดว้ ยหอก ๑๐๐ เล่ม เปรยี บความสขุ ใน
สวรรค์โดยเปรียบเทียบกับสมบัติพระเจา้ จกั รพรรดิฉันใด แม้ในที่นกี้ ็พงึ กระทาอปุ มาฉันน้ัฯ
ในคัมภรี ม์ ลิ นิ ทปัญหานั้นทา่ นกระทาอปุ มาดว้ ยอานาจคาถามอย่างนวี้ ่าทา่ นเจา้ ข้าทาอปุ มา
ได้ไหม ? ในสูตรนี้ท่านไม่กระทาอุปมาไว้เพราะไม่มกี ารถามฯ จรงิ อยู่พระสูตรน้ีทา่ นกล่าว
ไว้ในตอนจบพระธรรมเทศนาฯในพระสูตรน้ีท่านเรียกชื่อว่าจิตตราสี (กองจิต) ด้วย
ประการฉะนฯี้ ๑๙
ในอัฏฐานบาลีวรรคที่ ๑ ว่าด้วยฐานะและอฐานะ เร่ืองข้อท่ีพระอรหันตสัมมาสัม
พทุ ธเจ้าสองพระองค์จะพึงเสด็จอุบัติข้ึนพรอ้ มกนั ในโลกธาตุเดียวกันนั้นมใิ ช่โอกาสที่จะมีได้
สว่ นอรรถกถาอัฏฐานบาลีอรรถกถาวรรคท่ี ๑ ได้กล่าวถึงข้อท่ีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
จะพงึ อุบตั ไิ ม่ก่อนไม่หลงั ดงั ข้อความกล่าวอ้างคัมภรี ม์ ลิ ินทปัญหาว่า
๑๘มหามกุฎราชวทิ ยาลัย, พระสูตรและอรรถกถาแปลสังยุตตนกิ าย นิทานวรรค เล่ม๒,
พิมพ์ครัง้ ท่ี ๔,(กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓), หนา้ ๒๙๘.
๑๙มหามกุฎราชวิทยาลัย, พระสูตรและอรรถกถาแปลอังคุตรนิกาย เอกนิบาต เล่ม ๑
ภาค ๑, หน้า๑๐๓.
๑๖
เหตุขอ้ นี้พระนาคเสนถูกพระเจา้ มลิ ินท์ถามก็ได้กล่าวไว้พิสดารแล้วฯจริงอยู่ในมิลิ
นทปัญหาน้ันท่านกล่าวไว้ว่าพระเจ้ามิลินทต์ รัสถามว่า ท่านพระนาคเสนเจา้ ข้า พระผู้มีพระ
ภาคเจ้าได้ภาษิตข้อนี้ไว้ว่า ดกู ่อนภิกษุทั้งหลายข้อท่ีพระอรหันตสัมมาสมั พุทธเจ้าจะพึงอุบัติ
ไม่ก่อนไม่หลังพร้อมกัน ๒ พระองค์ในโลกธาตุเดียวกันนั้นมิใช่ฐานะ มิใช่โอกาส ข้อท่ีว่านั้น
มิใช่ฐานะท่ีจะมีได้ฯ ท่านพระนาคเสนเจ้าข้าก็พระตถาคตแม้ทุกพระองค์เม่ือจะทรงแสดงก็
ทรงแสดงโพธิปักขิยธรรม ๓๗ ประการ เม่ือจะตรัสอริยสัจ ๔ เม่ือจะทรงให้ศึกษาก็ทรงให้
ศึกษาสิกขา ๓ และเมื่อจะทรงพร่าสอนก็ทรงพร่าสอนข้อปฏิบตั ิ คือความไม่ประมาทฯ ท่าน
พระนาคเสนเจ้าข้า ถ้าว่าพระตถาคตแม้ทุกพระองค์มีอเุ ทศเดียวกันมีกถาเดียวกันมีการพร่า
สอนอย่างเดียวกันไซร้ เพราะเหตุไรพระตถาคตสองพระองค์จึงไม่อุบัติในสมัยเดียวกันฯ
ด้วยการอุบัติข้ึนของพระพุทธเจ้าพระองค์เดียวโลกนี้ยังเกิดแสงสว่างถึงเพียงนั้นแล้วถ้าจะ
พึงมีพระพุทธเจ้าแม้องค์ท่ี ๒ โลกนี้ก็จะพึงเกิดแสงสว่างมีประมาณอย่างย่ิงด้วยพระรัศมี
ของพระพุทธเจ้าสองพระองค์ฯ อนึ่งพระพุทธเจ้าสองพระองค์เมื่อจะทรงส่ังสอนก็ทรงสั่ง
สอนสะดวกและเมื่อจะทรงพร่าสอนก็ทรงพร่าสอนสะดวกฯ ในเรื่องที่พระพุทธเจ้า ๒
พระองค์ไมอ่ บุ ัติพรอ้ มกันนัน้ ท่านโปรดแสดงเหตใุ หข้ ้าพเจ้าหมดสงสัยทีเถิดฯ
พระนาคเสนตอบว่า มหาบพิตรหม่ืนโลกธาตุนี้ทรงพระพุทธเจ้าไว้ได้เพียง
พระองค์เดียว ทรงพระคุณของพระตถาคตได้เพียงพระองค์เดียว ถ้าพระพุทธเจ้าจะพึง
เสด็จอุบัติเป็นองค์ท่ี ๒หมื่นโลกธาตุน้ีก็จะทรงไว้ไม่ได้พึงสั่นสะเทือนทรุดเซซวนเร่ียราย
กระจัดกระจายทาลายไปถึงการตั้งอยู่ไม่ได้ฯ มหาบพิตรเรือรับคนได้คนเดียว เม่ือคน ๆ
เดยี วข้ึนเรอื จะเพียบเสมอนา้ ครนั้ คนที่สองซ่ึงเป็นคนมีอายุ ผวิ พรรณ วยั กต็ ามเรือน้ันยอ่ ม
ตา่ กวา่ นา้ ๒๐
๕.๓ ในอรรถกถาพระอภธิ รรม
ในอรรถกถาทสกนิเทศได้กล่าว อ้างถึงการไม่บังเกิดข้ึนแห่งพระพุทธเจ้า ๒
พระองค์ (ทฺวินฺนพุทฺธานโลเกนุปฺปชฺชนปญฺหา) ดังข้อความกล่าวอ้างคัมภีร์มิลินทปัญหาว่า
พระยามิลินท์ตรัสถามว่า ข้าแต่พระนาคเสนแม้พระพุทธพจน์น้ีพระผู้มีพระภาคเจ้าทราบ
๒๐ มหามกุฎราชวิทยาลยั , พระสูตรและอรรถกถาแปลเอกนบิ าต-ทกุ นบิ าต เล่ม ๑ ภาค
๒, พมิ พค์ รง้ั ที่ ๔, (กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓), หน้า ๑๕๙.
๑๗
ภาษิตแล้วว่าดูก่อนภิกษุท้ังหลายพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าท้ังสองพระองค์พึงบังเกิดขึ้น
ไม่ก่อนไม่หลงั พร้อมกนั ในโลกธาตอุ ันเดียวด้วยเหตใุ ดเหตุน้นั ไม่ใชฐ่ านะท่มี ีไดเ้ พราะเหตุไร
พระนาคเสนเถระทูลว่า ขอถวายพระมหาบพิตรพระตถาคตแม้ท้ังปวงเม่ือทรง
แสดงย่อมทรงแสดงธรรมทั้งหลายอันเป็นฝักฝ่ายแห่งปัญญาเครื่องตรัสรู้ ๓๗ ประการ
เท่านั้น (โพธิปักขิยธรรม ๓๗) ก็เม่ือจะตรัสย่อมตรัสอริยสัจท้ัง ๔ ก็เมื่อจะให้ศึกษาย่อมให้
ศึกษาในสิกขาทั้ง ๓ กเ็ มอ่ื พรา่ สอนสอนยอ่ มพร่าสอนในการปฏบิ ตั เิ พ่ือความไม่ประมาทฯ
พระราชาตรัสถามว่า ข้าแต่ท่านนาคเสน ถ้าว่าเทศนาของพระตถาคตแม้ทั้งปวง
เป็นอย่างเดียวกันกถาก็อย่างเดียวกันสิกขาก็อย่างเดียวกันการพร่าสอนก็อย่างเดียวกัน
เพราะเหตุไรพระตถาคต๒ พระองค์จึงไม่บังเกิดข้ึนในคราวเดียวกันเล่า อน่ึงโลกนี้มีแสง
สว่างเกิดข้ึนด้วยความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าแม้องค์เดียวก่อนถ้าว่าพระพุทธเจ้าองค์ที่
๒ พึงบังเกิดข้ึนไซร้โลกนี้พึงมีแสงสวา่ งเกิดแล้วเกินประมาณด้วยแสงสว่างแห่งพระพุทธเจ้า
ท้ัง ๒ พระองค์มิใช่หรือก็พระตถาคตท้ังสองเมื่อจะกล่าวสอนก็พึงกล่าวสอนง่าย (สะดวก)
เม่ือจะพร่าสอนพึงพร่าสอนง่ายมิใช่หรือขอพระผู้เป็นเจ้าจงแสดงเหตุในข้อน้ันแก่ข้าพเจ้ า
ข้าพเจา้ จะพึงส้ินความสงสัยอย่างไรฯ
พระนาคเสนทูลว่า ขอถวายพระพรมหาบพิตร หม่ืนโลกธาตนุ ้ีทรงพระพทุ ธเจ้าได้
เพียงพระองค์เดียวย่อมทรงคุณของพระตถาคตได้พระองค์เดียวเท่านั้นถ้าว่าพระพุทธเจ้า
องค์ท่ี ๒ พึงบังเกิดข้ึนไซร้หม่ืนโลกธาตุน้ีจะพึงทรงไว้ไม่ได้พึงเขยื้อนพึงหว่ันไหวพึงน้อมไป
พึงทรุดลงพึงกวัดแกว่งพึงเรี่ยรายพึงกระจัดกระจายพงึ เข้าถึงความต้ังอยู่ไม่ไดฯ้ ขอถวายพระ
พรมหาบพิตรเปรียบเหมือนเรือที่พาข้ามฝ่ังไปได้คนเดียวคร้ันเมื่อบุรุษคนเดียวข้ึนแล้วเรือ
นั้นก็พึงให้ถึงฝั่งถ้าว่าบุรุษคนที่ ๒ พึงมาไซร้และเขาก็เป็นผู้เช่นเดียวกันโดยอายุโดยวรรณะ
โดยวัยเป็นประมาณและโดยอวัยวะใหญ่น้อยผอมหรืออ้วน (ขนาดเดียวกัน) บุรุษคนท่ีสอง
น้ันพึงขนึ้ สเู่ รอื นัน้ ดูกอ่ นมหาบพิตรเรือน้ันพึงทรงแมบ้ รุ ุษทั้งสองไว้ได้หรอื
พระราชาตรัสว่า หามิได้พระคุณเจ้าผู้เจริญ เรือนั้นพึงขยับเขย้ือนพึงหวน่ั ไหวพึง
เอียงไปพึงเพียบลงพึงกวัดแกว่งพึงส่ายไปพึงกระจัดกระจายพึงเข้าถึงความทรงอยู่ไม่ได้พึง
จมลงในน้า
พระนาคเสนทูลว่า ขอถวายพระพรเรือนั้นพึงทรงบุรุษสองคนไม่ได้ย่อมจมลงใน
น้าฉันใด หม่ืนโลกธาตุน้ีทรงไว้ซึ่งพระพุทธเจ้าได้เพียงพระองค์เดียวทรงคุณของพระตถาคต
ได้เพียงพระองค์เดียว ถ้าว่าพระพุทธเจ้าองค์ท่ีสองพึงบังเกิดขึ้นหมื่นโลกธาตุพึงทรงไว้ไม่ได้
๑๘
พึงขยับเขยื้อนพึงหว่ันไหวพึงเอนลงทรุดลงกวัดแกว่งเรี่ยรายกระจัดกระจายพึงเข้าถึงความ
ตั้งอยู่ไม่ได้ฉันนั้นฯ ดูก่อนมหาบพิตรอีกอย่างหน่ึงเปรียบเหมือนบุรุษพึงบริโภคอาหารตาม
ต้องการเขายังอาหารท่ีชอบใจให้เตม็ ถึงคออิ่มแล้วบริบูรณ์แล้วไม่มีช่องว่างถึงซึ่งความเป็นผู้
เฉื่อยชาเป็นดังท่อนไม้โน้มไม่ลงแล้วพึงบริโภคอาหารอีกเท่านั้นน่ันแหละ ข้าแต่มหาบพิตร
บรุ ษุ นั้นพงึ มคี วามสุขบ้างหรอื ฯ
พระราชาตรัสว่า ข้าแต่พระคุณเจ้าหามิได้บุรุษน้ันพึงบริโภคคราวเดียวน่ันแหละ
แล้วก็จะตายฯ
พระนาคเสน. ขอถวายพระพรข้อน้ีฉันใดหม่ืนโลกธาตุนี้ก็ฉันน้ันน่ันแหละทรง
พระพุทธเจ้าได้แต่เพียงพระองค์เดียวทรงคุณของพระตถาคตไว้ได้เพียงพระองค์เดียวถ้าว่า
พระพุทธเจา้ องค์ทสี่ องพึงบังเกิดข้ึนไซร้หมน่ื โลกธาตุนีพ้ ึงทรงไวไ้ ม่ได้พึงขยับเขย้ือนหว่ันไหว
เอนลงทรุดลงกวัดแกว่งเรี่ยรายกระจัดกระจายและพึงเข้าถึงความต้ังอย่ไู ม่ได้ฯ
พระราชา. พระผู้เป็นเจ้านาคเสนแผ่นดินย่อมเขยื้อนหว่ันไหวด้วยหนักธรรม
เกินไปด้วยหรือฯ
พระนาคเสน. ขอถวายพระพรในข้อน้ีเกวียนสองเล่มเต็มด้วยรัตนะจนเสมอขอบ
บุคคลพึงขนเอารตั นะแต่เกวียนเล่มหนึ่งใส่ในเกวียนอีกเล่มหนึ่งดูก่อนมหาบพิตรเกวยี นเล่ม
นัน้ พึงทรงรัตนะแห่งเกวียนแม้ทั้งสองได้หรอื ฯ
พระราชา. หามิได้พระคุณเจ้าแม้ดุมของเกวียนนั้นพึงแยกออกไป แม้กงกาของ
เกวียนน้ันก็พึงแตกออกไป แม้กงของเกวียนน้ันก็พึงฉีกออกไป แม้เพลาของเกวียนนั้นก็พึง
ทาลายไปฯ
พระนาคเสน. ขอถวายพระพร เกวียนย่อมถูกทาลายไปด้วยหนักรัตนะเกินไป
หรือฯ
พระราชา. อย่างนัน้ แหละพระคณุ เจ้าฯ
พระนาคเสน. ขอถวายพระพร เกวียนถูกทาลายไปด้วยการหนักรัตนะเกินฉันใด
แผ่นดินก็ฉันนั้นน่ันแหละ ย่อมเขยื้อนหวั่นไหวด้วยการหนักธรรมเกินไปอีกอย่างหน่ึง
มหาบพิตรอาตมาจะช้ีแจงซึ่งเหตุแม้อื่นอันเป็นการเหมาะสมในข้อนั้นอีกขอถวายพระพร
พระสัมมาสัมพุทธะท้ังสองพระองค์ย่อมไม่เกิดข้ึนในขณะเดียวกันด้วยเหตุใด ขอมหาบพิตร
จงสดบั เหตุน้ันดงั น้ีฯ ดูก่อนมหาบพติ ร ถ้าว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสองพระองค์พงึ บังเกดิ ข้ึน
ในขณะเดียวกันไซร้ความวิวาทพึงเกิดแก่บริษัทและพึงแตกแยกออกเป็นสองฝ่ายเพราะคา
๑๙
ว่าพระพุทธเจ้าของพวกท่านพระพุทธเจ้าของพวกเราดังน้ีดูก่อนมหาบพิตรเปรียบเหมือน
ความวิวาทย่อมเกิดแก่บริษัทของอามาตย์ผู้มีกาลังทั้งสองคนย่อมเกิดการแตกแยกว่าน้ี
อามาตย์ของพวกท่านน้ีอามาตย์ของพวกเราฉันใด ขอถวายพระพร พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
สองพระองค์ ถ้าว่าพึงบังเกิดข้ึนในขณะเดียวกันก็ฉันนั้นนั่นแหละ ความวิวาททั้งหลายพึง
เกิดขึ้นแก่บริษัทของพระพุทธเจ้าทั้งสองพระองค์ว่าพระพุทธเจ้าของพวกท่านพระพุทธเจ้า
ของพวกเราดังนี้บริษัทพึงเกิดแตกแยกออกเป็นสองฝ่ายน้ีเป็นเหตุที่หนึ่งฯ พระสัมมาสัม
พทุ ธเจ้าสองพระองค์ย่อมไม่ทรงอบุ ัติข้นึ ในขณะเดียวกันด้วยเหตุใด ขอบรมบพิตรจงสดับซ่ึง
เหตุนั้นแม้อ่ืนอีกให้ย่ิงข้ึนไปฯ ดูก่อนมหาบพิตร ถ้าว่าพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสองพระองค์พึง
บังเกิดขึ้นในขณะเดียวกันไซร้ คาท่ีว่าพระพุทธเจ้าผู้เลิศดังน้ีน้ันก็พึงเป็นคาผิด คาที่ว่า
พระพุทธเจ้าประเสริฐสุดดังนี้น้ันก็พึงเป็นคาผิด คาท่ีว่าพระพุทธเจ้าผู้วเิ ศษดงั นี้นั้นก็พึงเป็น
คาผิด คาท่ีว่าพระพุทธเจ้าสูงสุดดังนี้นั้นก็พึงเป็นคาผิด คาที่ว่าพระพุทธเจ้าผู้บวรดังน้ีนั้นก็
พึงเป็นคาผิด คาท่ีว่าพระพุทธเจ้าไม่มีใครเสมอดงั น้ีนั้นก็พึงเปน็ คาผิด คาท่ีว่าพระพุทธเจ้าผู้
เสมอด้วยบุคคลผู้ไม่มีใครเสมอดังนี้นั้นก็ผิด คาท่ีว่าพระพุทธเจ้าไม่มีใครเปรียบดังน้ีนั้นก็พึง
เป็นคาผิด คาที่ว่าพระพุทธเจ้าไม่มีส่วนเปรียบดังนี้นั้นก็พึงเป็นคาผิด ดูก่อนมหาบพิตร
พระองค์จงรับเหตุแมน้ ้ีแลโดยความเปน็ จริงฯ
อีกอย่างหนึ่งมหาบพิตรพระพุทธเจ้าสองพระองค์ไม่เกิดข้ึนในขณะเดียวกันด้วย
เหตุใดขอมหาบพิตรจงทราบเหตุอย่างน้ีว่า ความบังเกิดขึ้นแห่งพระพุทธเจ้าย่อมบังเกิดขึ้น
ในโลกเฉพาะพระองค์เดียวนี้เป็นปกติโดยสภาพของพระพุทธเจ้าทั้งหลายเพราะเหตุไร
เพราะความท่ีคุณของพระพุทธเจา้ ผู้ตรัสรู้แล้วผู้เป็นสัพพัญญูเป็นของใหญ่, ขอถวายพระพร
แม้ส่ิงอื่นใดท่ีเป็นของใหญ่ส่ิงนั้นก็เป็นของอันเดียวเท่านั้นดูก่อนหาบพิตรแผ่นดินเป็นของ
ใหญ่แผ่นดินนั้นก็เป็นแผ่นเดียวเท่าน้ันสาครเป็นของใหญ่สาครน้ันก็เป็นอันเดียวเท่านั้น
ขุนเขาสิเนรุเป็นของใหญ่สิเนรุน้ันก็เป็นลูกเดียวเท่านั้นอากาศเป็นของใหญ่อากาศนั้นก็เป็น
อากาศเดียวเท่านั้น ท้าวสักกะผู้เป็นใหญ่ท้าวสักกะน้ันก็เป็นผู้เดียวเท่าน้ันมารผู้เป็นใหญ่
มารน้ันก็ผู้เดียวเท่าน้ัน พรหมผู้เป็นใหญ่มหาพรหมนั้นก็ผู้เดียวเท่านั้น พระตถาคตอรหันต
สัมมาสัมพุทธเจ้าก็เป็นใหญ่เพียงพระองค์เดียวเท่าน้ัน แผ่นดินเป็นต้น ย่อมไม่เกิดข้ึนในท่ีใด
การปรากฏของแผ่นดินเป็นต้นย่อมไม่มีในท่ีน้ันเพราะฉะน้ันพระตถาคตอรหันตสัมมาสัม
๒๐
พุทธเจ้าพระองคเ์ ดยี วเท่านัน้ จึงบังเกิดขึ้นในโลกฯ พระราชาข้าแตท่ ่านนาคเสนปัญหาพระผู้
เปน็ เจา้ แกด้ แี ลว้ ดว้ ยเหตุทั้งหลายอันเปน็ เครอ่ื งอปุ มา๒๑
๖. ทรรศนะของนักปราชญท์ ี่มีต่อคมั ภีรม์ ลิ นิ ทปัญหา
คัมภีร์มิลินทปัญหา เป็นคัมภีร์ปกรณ์ท่ีเก่าแก่และสาคัญ จึงมีผู้รจนาแต่งเสริม
บางตอนและใช้ภาษาหลายภาษาในการแต่ง โดยเฉพาะอย่างย่ิงลีลาการแต่งและ
อรรถาธิบายพุทธธรรมด้วยความพิสดาร หลักแหลมและแยบยล สอดคล้องกับพระไตรปิฎก
ใช้การอุปมาอุปมัยเป็นหัวใจของการอรรถาธิบายอย่างแจ่มแจ้งนั้น ดังนั้นจึงทาให้มีผู้สนใจ
ศึกษาคน้ คว้าในมิลินทปญั หาจึงมีความเหน็ แตกต่างกันไปดังน้ี
๑) วี.แทรงก์เนอร์ (V. Trenckner)ผู้ถ่ายทอดมิลินทปัญหาออกเป็นอักษร
โรมันเป็นคนแรก เมอื่ พ.ศ. ๒๔๒๓ กล่าววา่ มิลนิ ทปัญหานี้ รจนาขึ้นราวคริสต์ศตวรรษที่ ๑
และลงความเห็นว่าต้นฉบับเดิมเป็นภาษาสันสกฤต เพราะใชค้ าเริ่มตน้ ว่า “ตมฺ ยถา นุสูยต”
แทนท่ีจะใช้คาเร่ิมต้นที่นิยมใช้กันในคัมภีร์ท่ัว ๆ ไปว่า “เอวมฺเม สุต ” และว่าเป็นปกรณ์ที่
รจนาข้ึนทางอินเดียเหนือ อันเป็นดินแดนท่ีอยู่ในความปกครองของพระเจ้าเมนันเดอร์ (มิ
ลินท์) ซ่ึงดูก็ไม่นา่ จะมอี ะไรเกี่ยวข้องกบั ลังกาทวีป๒๒
๒) ริส เดวิดส์ (Prof. Rhys Davids)ผู้แปลมิลินทปัญหาเป็นภาษาอังกฤษเป็น
คนแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ ไม่ได้ระบุผู้รจนา กล่าวแต่เพียงว่า มิลินทปัญหาเป็นหนังสือท่ีแต่ง
ขน้ึ ทางอินเดียภาคเหนือ ราวแรกต้ังคริสต์ศักราช (คริสต์ศกั ราชเริม่ เมือ่ พ.ศ. ๕๔๓) ในเวลา
ท่พี ระพุทธศาสนายังไม่เกิดแตกแยกกันเป็นนิกายมหายาน ข้างฝ่ายเหนือ และนกิ ายเถรวาท
ข้างฝ่ายใต้ และว่ามิลินทปัญหานี้ เดิมคงแต่งข้ึนในภาษาสันสกฤตหรือภาษาปรากฤต
๒๑ มหามกฎุ ราชวิทยาลัย, พระอภธิ รรมและอรรถกถาแปล วภิ ังค์ เลม่ ๒ ภาค ๒, พิมพ์
ครั้งที่ ๔, (กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พ์มหามกุฏราชวิทยาลยั , ๒๕๔๓), หน้า ๖๙๖-๗๐๐.
๒๒ สมเด็จกรมพระยาดารงราชานภุ าพ, มลิ นิ ทปัญหาฉบบั สมุดแหง่ ชาติ, ๒๕๐๐. หนา้
คานา.
๒๑
เช่นเดียวกับคัมภีร์อื่น ๆ ท่ีรจนาขึ้นในทางอินเดียภาคเหนือ แต่ฉบับเดิมสาบสูญไปเสียแล้ว
ฉบบั ท่ปี รากฏสบื มาจนบดั น้ีนัน้ เป็นฉบบั ที่ชาวลังกาได้แปลเปน็ ภาษาบาลไี ว้๒๓
๓) พระอานันท์ เกาศัลยายนเถระ (Anand Kausalyayana)ชาวอินเดีย
กล่าวเมื่องานฉลองพระพุทธศาสนามีอายุ ๒๕๐๐ ปีว่า มิลินทปัญหานั้น รวบรวมขึ้นโดย
พระนาคเสนมหาเถระ และเป็นคัมภีร์ท่ีมีหลักฐานดีเล่มหน่ึง มิลินทปัญหาคงรจนาข้ึนใน
สมัยพระเจ้าเมนันเดอร์ (มิลินท์) หรือหลังจากนั้น แต่จะต้องรจนาขึ้นก่อนสมัยพระพุทธ
โฆษาจารย์ เพราะพระพุทธโฆษาจารย์มักจะอา้ งถึงมลิ ินทปัญหาเสมอ เม่ือประมาณดูแล้ว
มิลินทปัญหาคงจะรจนาขึ้น ๑๕๐ ปีก่อนคริสตศ์ ักราช ถึงคริสต์ศักราช ๔๐๐ ปี เม่ือถือว่า
มิลินทปัญหามหี ลักฐานทางประวัติศาสตร์ ส่ิงท่ีควรพิจารณาต่อไปก็คือใครเป็นผู้รวบรวม
ข้ึน รวบรวมขึ้นเมื่อไร มีการเพิ่มเติมลงไปบ้างหรือไม่ และถ้ามีการเพิ่ม เพ่ิมเติมไปเมื่อไร
มีผู้เสนอความคิดว่ามิลินทปัญหาไม่ใช่เป็นคัมภีร์ที่รจนาข้ึนโดยบุคคลคนเดียว เพราะแต่
ละตอนมีลีลาการแต่งแตกต่างกัน บางทีจะมีการเพิ่มเข้าไปในภายหลังเป็นบางตอนก็ได้
ข้อพิสูจน์คาที่กล่าวนี้มีอยู่ว่า ฉบับที่แปลเป็นภาษาจีนระหว่างคริสต์ศักราช ๓๑๗-๔๒๐
(พุทธศักราช ๘๖๐-๙๖๓) ซึ่งเรียกว่านาคเสนสูตรนั้น มีเพียง ๓ ตอนแรก เมื่อพิจารณา
ตามหลักน้ี จะเห็นได้ว่า ๔ ตอนท่ีเหลือเพิ่มเข้ามาในภายหลัง ข้อเท็จจริงอีกประการหน่ึง
ที่สนับสนุนคากล่าวข้าวต้น คือ เมื่อจบตอนที่ ๓ แล้ว ก็แสดงว่าพระเจ้ามิลินท์ทรงถาม
ปัญหาจบลง แต่ถึงตอนที่ ๔ กลับเหมือนทรงเริ่มต้นถามใหม่อีก จึงมีทางสันนิษฐานได้
เป็น ๓ ทาง คือ
(๑) อาจจะมีการเพมิ่ เติมเข้ามาภายหลงั อกี หลายตอน
(๒) อาจจะแตง่ ขึน้ ครบบรบิ ูรณอ์ ยา่ งที่ปรากฏอยูใ่ นปจั จุบนั น้มี าเดิมแลว้
(๓) ชาวจนี อาจจะเลือกแปลไวเ้ พยี ง ๓ ตอนแรกก็ได้
๔) เอ.แอล.บาชัม (A.L. Basham)เห็นว่า มิลินทปัญหาน่าจะรจนาข้ึน ใน
คริสต์ศตวรรษที่ ๑ หรือมิฉะน้ันก็ราวแรกตั้งครสิ ต์ศักราช แต่อย่างน้อยก็ต้องก่อนพระพุทธ
โฆษาจารย์ไปลังกา แม้จะไม่ทั้งหมดก็ต้องบางส่วน หรือไม่ก็ภายหลังท่ีพระไตรปิฎกได้
จัดเป็นชาดก เป็นทีฆนิกาย มัชฌิม-สังยุตต-อังคุตตร-ขุททกนิกายแล้ว ส่วนภาณกาจารย์ผู้
๒๓ Prof. Nalinaksha Dutt, Milindapanha and Nagasenbhikshussutra, by Dr.
thichMinh Chau Bhikkhu, (Calcutta, 1964).
๒๒
ทาหน้าท่ีในการรวบรวมนั้น ก็คงจะรวมอยู่ในจานวนผู้ที่พระนาคเสน กล่าวว่าเป็นผู้ท่ีอยู่ใน
ธรรมนครของพระพุทธเจ้า
๕) ไอ.บี ฮอนเนอร์ (I. B. Horner)กล่าวว่า มิลินทปัญหาอาจจะไม่ได้แต่งขึ้นใน
สมัยของพระเจ้ามิลินท์ นาย เอส. ดุตต์(S.Dutt) ประมาณว่า อาจจะร้อยกรองข้ึนในยุคต่อ
ๆมาอีกช้านานและนาย เอ. แอล. บาชัม (A. L. Basham) ก็ว่า บางทีก็อาจจะรจนาขึ้นใน
คริสตศตวรรษที่ ๑ หรือมิฉะน้ันก็ราวแรกตั้งครสิ ตศักราช แต่อย่างน้อยก็ต้องก่อนพระพุทธ
โฆษาจารย์ไปลังกา แม้จะไม่ท้ังหมดก็ต้องบางส่วน หรือไม่ก็ภายหลังท่ีพระไตรปิฎกได้
จัดเป็นชาดก เป็นทีฆนิกาย มัชฌิม-สังยุตต-อังคุตตร-ขุททกนิกายแล้ว ส่วนภาณกาจารย์
ผู้ทาหน้าท่ีในการรวบรวมน้ัน ก็คงจะรวมอยู่ในจานวนผู้ที่พระนาคเสน กล่าวว่าเป็นผู้ที่อยู่
ในธรรมนครของพระพุทธเจ้า นาย เอ. ดี. แอดิการัม (A.D.Adikaram) ได้ให้ข้อสังเกตไว้ว่า
มิลินทปัญหานา่ จะเกิดขึ้นในอินเดียเหนือ มิใชเ่ กิดขน้ึ ทีล่ งั กา๒๔
๖) ท่านภรัต ซิงห์ นักปราชญ์ชาวอินเดีย กล่าวอย่างมั่นใจว่า คัมภีร์มิลินท
ปญั หานี้ได้เขียนขน้ึ ในสมัยพระเจ้าเมนันเดอร์หรือไม่ก็แต่งขึ้นในสมัยที่พระองค์สิ้นพระชนม์
แล้ว และต้องแต่งขึ้นก่อนสมัยพระพุทธโฆษาจารย์ เพราะพระพุทธโฆษาจารย์มักอ้างถึงบท
สนทนาในคัมภีร์มิลินทปัญหาของพระนาคเสนอยู่เสมอ คัมภีร์มิลินทปัญหาน่าจะเขียนขึ้น
ในคริสตศักราช ๑๕๐ ถึง ๔๐๐ และมีข้อสันนิษฐานว่า การแต่งนิทานคาถา และนิคมคาถา
เพิ่มเข้ามาน้ันไม่ใช่พระติปิฏกจุฬาภยเถระแต่งเพิ่มแน่นอน เพราะมิลินทปัญหาเกิดขึ้น
ประมาณพุทธศักราช ๕๕๐ ปี พระพุทธโฆษาจารย์ต้องเป็นผู้แต่งนิทานคาถาและนิคมคาถา
ประกอบเข้าให้โดยสมบูรณ์ใน ลักษณะเป็นปกรณ์วิเสสในระหว่างพุทธศักราช ๙๕๖ ถึง
๑,๐๐๐ ปี คัมภีร์มิลินทปัญหา ยังมีข้อถกเถียงกันว่า เขียนข้ึนในสมัยของ พระเจ้ามิลินท์
หรือหลังจากท่ีพระองค์ส้ินพระชนม์แล้วคัมภีร์มิลินทปัญหา ยังมีข้อสันนิษฐานว่า น่าจะ
รจนาขึ้นภายหลังคัมภีร์กถาวตั ถุ ซึ่งเป็นคัมภีร์ในอภิธรรมปิฎก พระโมคคัลลีบุตรติสสะเถระ
เป็นผู้แต่งในการทาสังคายนาครั้งท่ี ๓ หลังพุทธปรินิพพาน ๒๓๕ ปี เพราะเม่ือเปรียบเทียบ
คัมภีร์ท้ังสองแล้วจะเห็นว่า ข้อความในคัมภีร์มิลินทปัญหาหลายตอนมาจากคัมภีร์กถาวัตถุ
เช่น ปัญหาเร่ืองทิพย์จักขุเป็นได้จริงหรือไม่ เรื่องคฤหัสถ์ท่ีบรรลุพระอรหันต์แล้วจะบวช
๒๔ F. Max Muller, Sacred Book of the East, Vol.xxxv, p. xliv.
๒๓
ด้วยวิธอี ย่างไร เป็นต้น ซงึ่ มเี นื้อหาตรงกับคัมภีร์กถาวตั ถุทกุ อย่าง แลเน้ือความในคัมภีรก์ ถา
วัตถยุ ังมีความละเอยี ดพิสดารมากกว่า๒๕
๗. สรุป
คัมภีร์มิลินทปัญหามีความสาคัญเป็นยอดแห่งคัมภีร์ท้ังปวงรองลงมาจาก
พระไตรปฎิ กคัมภีร์มลิ ินทปัญหาเป็นคัมภีร์ท่ีเก่ากว่าหนงั สอื วสิ ุทธิมรรค ประมาณ ๕๐๐ ปี
พระพุทธโฆษาจารย์ผู้รจนา วิสุทธิมรรคได้อ้างคัมภีร์มิลินทปัญหาเป็นหลักในการวินิจฉัย
ข้อธรรมวินัย ซ่ึงนักปราชญ์ทางพระพุทธศาสนาได้ยกย่องว่า คัมภีร์มิลินทปัญหานี้เป็น
วรรณกรรมเพชรน้าเอกในทางพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ดังจะเห็นได้ถึงความเก่าแก่
ของคัมภีร์จากทรรศนะต่างๆ ของนักวิชาการด้านพระพุทธศาสนาที่ชี้ชัดว่า คัมภีร์มิลินท
ปญั หาเปน็ คัมภรี ์ที่มีมาก่อนอภินวอรรถกถา นอกจากน้ีในคัมภีร์อรรถกถาพระไตรปิฎกยัง
ได้นาแนวคิดในคัมภีร์มลิ นิ ทปัญหามาอธิบายความอกี ดว้ ย
๒๕ นยิ ดาเหล่าสนุ ทร, ไตรภมู ิพระรว่ ง: การศกึ ษาที่มา, (กรงุ เทพมหานคร: แม่คาผาง,
๒๕๒๘), หนา้ ๑๓๙.
๒๔
บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย
ก. ข้อมูลขนั้ ปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบับมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลยั . กรงุ เทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.
ข. ขอ้ มลู ข้ันทุตยิ ภูมิ
(๑) หนังสือ:
มหามกฏุ ราชวิทยาลยั . พระวนิ ัยและอรรถกถาแปล มหาวภิ ังค์ เล่ม ๑ ภาค๑. พมิ พ์คร้ังที่
๔. กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓.
________. พระสตู รและอรรถกถาแปล. พิมพ์ครงั้ ที่ ๔. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาม
กุฏราชวิทยาลัย.๒๕๔๓.
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), รู้จักพระไตรปิฎกเพื่อเป็นชาวพุทธท่ีแท้, พิมพ์ครั้งที่ ๒.
กรงุ เทพมหานคร: มลู นิธพิ ุทธธรรม.๒๕๔๓.
พระเมธีธรรมาภรณ์ (ประยูร ธมฺมจติ ฺโต ). มิลนิ ฺทปัญฺหาอฏฺฐกถาฎีกา. กรุงเทพมหานคร:
โรงพิมพ์วิญญาณ, ๒๕๓๐.
ลมูล จันทร์หอม. วรรณกรรมท้องถ่ินล้านนา. กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส. พร้ินต้ิงเฮ้าส์,
๒๕๓๘.
สมเด็จกรมพระยาดารงราชานุภาพ. มิลินทปัญหาฉบับสมุดแห่งชาติ. กรุงเทพมหานคร :
กรมศลิ ปากร, ๒๔๙๖.
นิยดาเหล่าสุนทร. ไตรภูมิพระรว่ ง: การศึกษาท่ีมา. กรุงเทพมหานคร: แมค่ าผาง, ๒๕๒๘.
๒. ภาษาองั กฤษ
(๑) Books:
Gonda. J. ๑ ๙ ๔ ๙ “Tarn’s hypothesis on the origin of the Original of
Milindapanha.” Mnemosyne. Fourth Series Vol. ๒
Prof. NalinakshaDutt.Milindapanha and Nagasenbhikshussutra.by Dr. thich
Minh ChauBhikkhu. Calcutta. ๑๙๖๔.
๒๕
บทที่ ๒
ประวตั ิพระเจา้ มลิ ินท์ พระนาคเสนและประวัติผู้แตง่
๑. ประวตั ิพระเจ้ามิลินท์
ในพาหิรกถาของคัมภีร์มิลินทปัญหากล่าวถึงพระเจ้ามิลินท์ว่าพระองค์พระราช
สมภพเมื่อพุทธศักราช๕๐๐ปีและจากข้อความบริบทท่ีอ่านพบในพาหิรกถาของคัมภีร์มิลิ
นทปัญหานี้ดว้ ยทาให้เชื่อว่าพระนาคเสนเกิดหลังพระเจา้ มิลินทแ์ น่นอนและเปน็ ไปได้ว่าคง
จะเกิดทีหลังหลาย๑๐ปีในพระราชประวัติกล่าวไว้วา่ พระเจา้ มลิ ินท์หรอื พระเจ้าเมนันเดอร์
(Menander) เป็นพระกษัตริย์แห่งพวกโยนกแต่ครองราชย์ในปีใดไม่ปรากฏเฉพาะในมิ
ลินทป์ ัญหาเองกล่าวว่า“ปรนิ ิพพานโตปญฺจวสสฺ สเตอติกฺกนฺเต”ซึ่งแปลความว่า“พระเจ้า
มิลินท์มีพระชนม์อยู่หลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานล่วงแล้ว๕๐๐ปี”พระองค์เป็นกษัตริย์ที่มี
ตัวตนจริงในประวัติศาสตร์โดยมีพระนามว่าเมนันเดอร์(Menander) ทรงประสูติท่ีกาลาซี
(Kalasi) ใกล้เมืองอลสันทะ (Alasanda) กล่าวคือเมืองอเล็กซานเดรีย (Alexandria) ใน
ปัจจุบนั
ในหนังสืออวทานกัลปลดาของท่านเกษเมนทรเรียกกษัตริย์พระองคน์ ี้ว่ามิลินท์
(Milindra) และในคาศิลาจารกึ ในหีบศพภาษาชินโกตซ่ึงเรียกพระนามกษตั ริยพ์ ระองค์นวี้ ่า
เมนันทร์ (Menandra) หลกั ฐานเหล่านเี้ ป็นเครอ่ื งยืนยันพิสูจน์ไดอ้ ยา่ งดวี ่าพระเจ้ามลิ ินท์นี้
มีอยู่จริงไม่ใช่เรื่องสมมติท่ีแต่งขึ้นโดยมีหลักฐานอ้างอิงถึงเรื่องราวของกษัตริย์พระองค์นี้
ดังนี้
๑) หนังสอื มิลินทป์ ญั หา
๒) เรือ่ งราวของนักประวัตศิ าสตรข์ องกรกี เชน่ สตราโบพลตู ารช์ และจัสติน
๓)เหรียญของพระยามิลินท์ซึ่งได้จารึกเป็นตัวอักษรซึ่งมีข้อความว่า “Basileus
SoterosMenandros”
๒๖
สตราโบ เหรยี ญของพระยามลิ นิ ท์
นักประวตั ิศาสตร์ของ
กรีก
ต่อมาพระองค์ได้เป็นกษัตริย์ปกครองอาณาเขตบัคเตรีย (Bactria) ของกรีก
ภายหลังไดข้ ยายพระราชอานาจทางทหารเข้ามาปกครองอนิ เดยี แถบแคว้นคนั ธาระและยัง
ทรงมพี ระราชอานาจปกครองเขา้ ไปในแคว้นปญั จาบด้วย๒๖
พระเจ้ามิลินท์ทรงเป็นกษัตริย์นักปราชญ์พระองค์หนึ่งพระองค์มีความสน
พระทัยในวิชาศาสนาและปรัชญาพระองค์เป็นนักโต้วาทีท่ี ชาญฉลาดและสามารถมาก
โปรดการสนทนาและถามปญั หาเก่ียวกับศาสนาต่างๆตามประวตั ิกล่าวว่าพระองค์มคี วาม
สงสัยเกี่ยวกับศาสนาแตก่ ็ไม่มีสมณะหรือนักบวชรูปใดสามารถแก้ขอ้ สงสัยของพระองค์ได้
พระองค์รู้สึกผิดหวังเบ่ือหน่ายจนถึงกับตรัสว่า“ชมพูทวีปนี้ว่างเปล่าชมพูทวีปมีแต่ความ
เพอ้ เจอ้ ไมม่ ีสมณะรูปใดสามารถสนทนาและแกข้ อ้ สงสัยของเราได้เลย”๒๗
พระเจ้ามิลินท์ในวัยเยาว์พระองค์ได้รับการศึกษาศิลปวิทยาจนสาเร็จการศึกษา
อย่างสมบูรณ์ทรงมีความรู้ในแขนงวิชาทางโลกต่างๆถึง๑๙สาขาวิชาทรงเชี่ยวชาญใน
วิชาก ารต่ างๆแ ต่ ส่ิงท่ี พ ระอ งค์ มี ค วาม สน พ ระทั ย ม ากท่ี สุด เ ห็ น จะ เป็ น วิช าสาส น ค ดี ท่ี
๒๖พ ระ อุ ดรค ณ าธิก าร (ชวิน ท ร์สระ คา), ป ระวั ติ ศา ส ต ร์พ ระพุ ท ธ ศาส น า ,
(กรุงเทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๔), หน้า๓๗๖.
๒๗เอ้ือนเล่งเจริญ,โลกทรรศน์ในพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์,
๒๕๓๗), หนา้ ๒๗.
๒๗
เกี่ยวกับศาสนาคือวิชาที่เก่ียวกับลัทธิศาสนาต่างๆทรงโปรดปรานซักถามปัญหาหรือ
สนทนาถึงทรรศนะตา่ งๆตามลาดบั ๒๘
พระเจ้ามิลินท์เป็นกษัตริย์ท่ีทาให้พระพุทธศาสนาแผ่ไพศาลในอินเดียเหนือไป
ถึงเอเชียกลางตามประวัติพระองค์มีความเกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสน ามากกล่าวคือ
พระองค์ทาลายล้างราชววงศ์ยูเครติเดสลงแล้วยกกองทัพเข้ามาทางอินเดียตีได้เมืองปัญ
จาปคันธาระสถาปนาเมืองสาคละข้ึนเป็นราชธานีและได้ขยายอิทธิพลลงมาถึงตอนเหนือ
ของลมุ่ แม่น้าคงคาหลกั ฐานท่ีปรากฏในตานานฝ่ายบาลแี ละฝ่ายจีนวา่ พระองค์มไิ ดเ้ ลอื่ มใส
ในพระพุทธศาสนาได้ขัดขวางพระพุทธศาสนาด้วยพระราชาชนโยบายต่างๆเน่ืองจาก
พระองค์เปน็ ผแู้ ตกฉานในวชิ าไตรเพทและศาสนาปรัชญาต่างๆรวมทง้ั พระพุทธศาสนาด้วย
จึงได้ประกาศโต้วาทีกับเหล่าสมณพราหมณ์รวมไปถึงพระภิกษุทางพระพุทธศาสนาขนาด
พระภิกษุสงฆ์พากันอพยพหนีจากเมืองสาคละจนหมดส้ินเหตุการณ์นั้ นทาให้เมืองสาคละ
วา่ งจากพระสงฆ์เป็นเวลา๑๒ปใี นช่วงนน้ั พระพุทธศาสนาไดเ้ สื่อมรศั มีลงโดยลาดบั ๒๙
การท่ีพระเจ้ามิลินทเ์ ป็นผู้รอบรู้ในทางพระพุทธศาสนานั้นพระองค์ย่อมต้องการ
แสดงความรู้น้ันโดยช่วงที่พระองค์ยังมิได้นับถือพระพุทธศาสนาน้ันพระองค์มีความ
ปรารถนาในการไต่ถามประเด็นทางพระพุทธศาสนาโดยประสงค์ในความคิดว่าถ้าทาลาย
พระพุทธศาสนาสาเร็จลงเม่ือใดเม่ือนั้นพระองค์ได้ชนะจิตใจของปวงประชากรของ
พระองค์เป็นที่สุดจนในท่ีสุดคณะสงฆ์ได้มอบหมายภาระการโต้ตอบปัญหากับพระเจ้ามิ
ลินท์ให้กับพระภิกษุรูปหน่ึงคือพระนาคเสนพุทธสาวกผู้เป็นปราชญ์ แตกฉานใน
พระไตรปิฎกจนปรากฏช่ือเลื่องลือไปในที่ต่างๆเม่ือพระเจ้ามิลินท์ทรงทราบข่าวนั้นจึงได้
เสด็จไปพบท่านที่วัดอสังเขยยะในเมืองสาคละซ่ึงพระเถระได้มาพานักอยู่พระเจ้ามิลินท์
นิมนต์พระนาคเสนเข้าไปในวังเม่ือจะทรงถามปัญหาพระนาคเสนก็รับนิมนต์และได้เสนอ
วิธีโต้ต่อพระองค์ไว้ว่าถ้าโต้แบบราชาวาทะเห็นจะไม่เหมาะควรโต้แบบปัณฑิติวาทจึงจะ
๒๘เสถยี รนุตยางกรู ,พระเจา้ มิลนิ ทเ์ ลม่ ๑, (กรุงเทพมหานคร: คณะช่าง, ๒๔๙๕), หน้า๒๓-
๒๔.
๒๙เสถียรโพธนิ ันทะ,ประวัติศาสตร์พระพทุ ธศาสนา,(กรุงเทพมหานคร: มหามงกฏุ ราช
วทิ ยาลยั ,๒๕๔๓), หนา้ ๑๙๙.
๒๘
เหมาะ (การโต้แบบราชาวาทใครมีอานาจมักชนะโตแ้ บบปัณฑติ วาทใครฉลาดก็ชนะ) พระ
เจา้ มิลินทพ์ อพระทยั ในขอ้ เสนอจงึ ตอบตกลง๓๐
ผลสรุปพระนาคเสนมีชัยสามารถทาให้พระเจ้ามิลินท์ยอมจานนต่อคาวิสัชนา
ของพระน าคเสน จึงเกิดความศรัทธาในพระพุท ธศาสน าถึงกับยอมรับนั บถือ
พระพุทธศาสนาเป็นสรณะพระองค์นั้นได้เปล่งวาจาเป็นพุทธมามกะตลอดพระชนม์ชีพ
พระองค์ได้เป็นศาสนูปถัมภกบูรณปฏิสังขรณ์พระสถูปวิหารและคณะสงฆ์จนทา ให้พุทธ
ศาสนาเจรญิ ร่งุ เรอื งขึน้ อกี คร้งั น้ี๓๑
๒. ประวตั ิพระนาคเสน
ในพาหิรกถาแห่งวรรณกรรมมิลินทปัญหากล่าวไวว้ ่าพระนาคเสนเป็นเทวดาใน
สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ช่ือมหาเสนเทพบุตรจุติลงมาเกิดเป็นมนุษย์ตามคา เชิญของท้าวสักกะ
(พระอินทร์) และพระอรหนั ต์ทั้งหลายซึ่งมพี ระอสั สคตุ ตเถระเปน็ ประธาน
ท่านเป็นชาวอินเดียตอนเหนือเกิดในวรรณะพราหมณ์ณหมู่บ้านพราหมณ์ ช่ือ
ว่ากชังคละ (Kajangala) อยู่แถบภูเขาหิมาลัยติดพรมแดนด้านตะวันออกของมัธยม
ประเทศ (Middle Country) บิดาของท่านเป็นพราหมณ์ชื่อว่าโสณุตตระมารดาของท่าน
ชอ่ื อะไรไม่ปรากฏทราบแตว่ า่ เป็นคนในวรรณะพราหมณ์เชน่ เดยี วกนั
สว่ นตวั พระนาคเสนเองมีชอื่ เดิมว่านาคเสนกุมารแตบ่ างครั้งบิดามารดาและคน
อนื่ ๆเรยี กชื่อทา่ นวา่ “นาคเสน”บ้าง“สรุ เสน”บา้ ง“วีรเสน”บ้าง“สหี เสน”บา้ ง
คัมภีร์มิลินท์ปัญหากล่าวไว้ว่าตอนที่นาคเสนกุมารมาปฏิสนธิในครรภ์มารดา
ปรากฏมีอศั จรรย์๓อยา่ งเกิดขน้ึ คอื
๑) ศาสตราวธุ ทอแสงโพลงขนึ้
๒) ข้าวกลา้ ในนาท่ยี ังไม่ออกรวงก็ออกรวงสุกพร้อมเกยี่ ว
๓) เกิดมีฝนตกลงมาหา่ ใหญ่
๓๐มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย,(กรงุ เทพมหานคร: มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙), หนา้ ๗๑.
๓๑คณะศิษยานุศิษย์วันล้ออายุ, อินเดียน้อยคู่มือการจาริกแสวงบุญในอินเดีย,
(กรุงเทพมหานคร: ท.ี พี. พรินท์, ๒๕๓๙), หน้า๖๕๙.
๒๙
เม่อื นาคเสนกุมารอายุได้๗ปบี ดิ ามารดากจ็ ดั การใหเ้ ขาได้รบั การศึกษาตามธรรม
เนียมพราหมณ์และปรากฏวา่ นาคเสนกุมารน้ีเป็นเด็กฉลาดเรียนอะไรรู้และเข้าใจได้ไวจน
เรียนจบคัมภีร์พระเวททั้ง๓คือฤคเวทยชุรเวทและสามเวทซึ่งรวมท้ังคมั ภีร์อถรรพเวทด้วย
อันเป็นวิทยาประจาตระกูลพราหมณ์มีความแม่นยาชานาญตลอดจนเรียนรู้เชี่ยวชาญใน
คัมภีร์นิคัณฑศาสตร์คัมภีร์เกฎภศาสตร์คัมภีร์อิติหาลศาสตร์อักษรศาสตร์มหาปุริ
ลักษณพยากรศาสตร์และยังมีความรู้ดีในศาสตร์ทางโลกด้วยเช่นวิชาประวัติศาสตร์และ
ศิลปะศาสตร์ อีกหลายสาขาต่อมาหนุ่มน้อยนาคเสนกุมารเกิดความเล่ือมใสในพระโรหณ
เถระซงึ่ พยายามมาบิณฑบาตท่ีบ้านของโสณตุ ตรพราหมณ์อยู่ถึง๗ปี๗เดือนเพ่ือจะชักนาให้
นาคเสนกุมารเข้ามาบวชในพระพุทธศาสนานาคเสนกุมารได้ขออนุญาตมารดาบวช เป็น
สามเณรถวายตัวเป็นศิษย์ของท่านพระโรหณเถระ (พระอุปัชฌาย์) ท่ีถ้ารักขิตคูหาแถบ
เทือกเขาหิมาลัยเพ่ือศึกษาวิชาพุทธศาสตร์กับ ท่านหลังเรียนจบ วิทยาป ระจา ตระกูล
พราหมณ์ของบิดาท่านและศิลปศาสตร์ทางโลกแล้วพระโรหณเถระได้พร่า สอนสามเณร
นาคเสนใหเ้ รียนรพู้ ระอภิธรรมปฎิ กจนมีความรทู้ รงจาพระอภิธรรมปิฎกท้ัง๗คัมภีร์ได้หมด
ในระยะเวลาเพยี ง๗เดอื น
เมื่ออายุครบ๒๐ปีสามเณรนาคเสนก็ได้รับการอุปสมบทเป็นภิกษุโดยมีพระ
โรหณเถระเป็นพระอุปัชฌาย์หลังจากท่ีท่านบวชเป็นพระภิกษุแล้วก็มีเร่ืองเล่าว่าเช้าวัน
หนึ่งพระนาคเสนนึกดูหม่ินพระอุปัชฌาย์ในเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาว่าพระโรหณเถระพระ
อุปัชฌาย์ของท่านไม่มีความรู้อื่นเช่นพระวินัยปิฎกและพระสุตตันตปิฎกนอกจากพระ
อภิธรรมอย่างเดียวจึงพร่าาสอนท่านแต่พระอภิธรรมปิฎกแต่ภายหลงั สานึกผิดว่าตนไม่ควร
นึกดูหมน่ิ สงสัยพระอปุ ัชฌาย์ของตนอย่างนี้จึงขอให้พระเถระยกโทษใหพ้ ระเถระไม่ยอมรับ
การขอขมาทันทแี ต่มีข้อแมว้ ่าจะยกโทษให้ถ้าพระนาคเสนสามารถจะตอบปัญหาของพระ
เจา้ มิลนิ ท์และทาพระองค์ใหเ้ ลื่อมใสไดพ้ ระนาคเสนจึงรับคาพระอุปัชฌาย์ตามลาดบั
ดงั น้ันพระนาคเสนจงึ ถกู ส่งไปเป็นศิษย์ศึกษาพระพุทธพจนเ์ พม่ิ เติมกับพระอัสส
คุตตเถระ (อาจารย์รูปที่สองของท่าน) ท่ีวัดวัตตนิยเสนาสนวิหารพระอัสสคุตตเถระพร่า
สอนและทดสอบท่านโดยให้ท่านสอนพระอภิธรรมแก่คนอ่ืนๆต่อมาพระนาคเสนก็ได้ถูก
พระอัสสคตุ ตเถระสง่ ตัวไปศึกษาต่ออีกที่เมอื งปาฏลีบตุ รกบั พระธมั มรักขิตะ (อาจารย์รปู ท่ี
สามของท่าน) ท่ีวัดอโศการามศึกษาร่วมกับพระติสสทัตตเถระชาวลังกาพระธัมมรักขิตะ
สอนพระนาคเสนให้มคี วามรู้บริบรู ณใ์ นพระไตรปฎิ กพระนาคเสนศึกษาอยกู่ ับพระธัมมรกั ขิ
๓๐
ตะที่วดั อโศการามเป็นเวลา๓เดอื นก็เรียนจบและทรงจาพระไตรปิฎกคอื พระวินยั ปิฎกพระ
สุตตันตปิฎกและพระอภิธรรมปิฎกได้หมดรู้ความหมายทั้งโดยอรรถ (ใจความ) และโดย
พยัญชนะ (ตามตัวอักษร) และอยู่ทบทวนซกั ซ้อมที่นน่ั อีกเป็นเวลา๓เดือนรวมความวา่ พระ
นาคเสนเรยี นพระไตรปฎิ กอยทู่ ่ีวัดอโศการามเมืองปาฏลีบุตรกับพระธมั มรกั ขิตะเถระเป็น
เวลา๖เดอื น
เม่ือเรียนจบภาคปริยัติแลว้ กไ็ ดร้ บั แรงกระตุน้ จากพระอาจารยธ์ มั มรักขิตะให้เข้า
สู่ภาคปฏิบัติด้วยพระนาคเสนเช่ือฟังและได้พยายามเจริญสมณธรรมท้ังกลางวันและ
กลางคืนในภาคปฏิบัติไม่ช้าไม่นานนักท่านก็ได้บรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์ได้ปฏิสัมภิทา
๔๓๒คือแตกฉานในการอธิบายความหมายในหัวข้อธรรมในการใช้ภาษาและในการมีไหว
พรบิ ปฏิภาณดี๓๓
๓๒ปฏิสัมภทิ า ๔ (ปญั ญาแตกฉาน - analytic insight; discrimination)
๑)อัตถปฏิสัมภิทา (ปญั ญาแตกฉานในอรรถ, ปรีชาแจง้ ในความหมาย, เห็นข้อธรรมหรือ
ความยอ่ ก็สามารถแยกแยะอธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึง่ ก็สามารถแยกแยะ
อธิบายขยายออกไปได้โดยพิสดาร เห็นเหตุอย่างหนึ่ง ก็สามารถคิดแยกแยะกระจายเชื่อมโยงต่อ
ออกไปได้จนล่วงรูถ้ งึ ผล - discrimination of meanings; analytic insight of consequence)
๒) ธัมมปฏิสัมภิทา (ปญั ญาแตกฉานในธรรม, ปรชี าแจง้ ใจหลัก, เห็นอรรถาธิบายพสิ ดาร
ก็สามารถจบั ใจความมาตง้ั เป็นกระทหู้ รือหัวขอ้ ได้ เห็นผลอย่างหนงึ่ กส็ ามารถสบื สาวกลบั ไปหาเหตไุ ด้
- discrimination of ideas; analytic insight of origin)
๓) นิรุตติปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉานในนิรุกติ, ปรีชาแจ้งในภาษา, รู้ศัพท์ ถ้อยคา
บัญญัติ และภาษาต่างๆ เข้าใจใช้คาพูดชี้แจ้งให้ผู้อื่นเข้าใจและเห็นตามได้ - discrimination of
language; analytic insight of philology)
๔) ปัญญาแตกฉานในปฏิภาณ, ปรีชาแจ้งในความคิดทันการ, มีไหวพริบ ซึมซาบใน
ความรู้ที่มีอยู่ เอามาเช่ือมโยงเข้าสร้างความคิดและเหตุผลขึ้นใหม่ ใช้ประโยชน์ได้สบเหมาะ เข้ากับ
กรณีเขา้ กบั เหตกุ ารณ์
๓๓ม หาม กุ ฏ ราชวิทย าลัย ,มิ ลิ น ท์ ปั ญ ห าฉบั บ แ ป ล ใน มห าม กุ ฏ ราช วิท ย าลั ย ,
(กรุงเทพมหานคร: มหามกุฏราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๗), หนา้ ๗-๑๒.
๓๑
๓. ประวัติผแู้ ต่ง
ประเด็นเรื่องผู้แต่งคัมภีร์นี้พบว่ามีปัญหาที่ยังไม่กระจ่างชัดใน ๒ เรื่อง คือ ๑)
ชื่อผู้แต่ง ได้แก่ พระมหาติปิฏกจุฬาภัยเถระกับพระติปาติเถระและ๒) ประวัติของผู้แต่ง
แต่จะได้ยกมาไว้เปน็ เป็นแนวทางแก่การศกึ ษา ดงั ตอ่ ไปนี้
๓.๑ ช่ือผู้แต่ง
๑) พระมหาติปิฏกจูฬาภัยเถระคัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกาต้นฉบับตัวเขียนและ
ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ระบุชื่อของผแู้ ต่งคมั ภีร์น้ีไว้ในนิคมนกถาว่า พระมหา
ติปิฏกจุฬาภัยเถระ ซึ่งเป็นชื่อเต็มของผู้แต่ง ดังข้อความว่า“มหาติปิฏกจุฬาภยตุเถโรติ
ครูทิ คหิตนามเธยุเยน เถเรน กโต มิลินทฎีกา-คนโถ สมตโต. แปล: คัมภีร์มิลินทปัญหา
ฎีกาทีพ่ ระเถระผมู้ ชี ือ่ ทค่ี รทู ัง้ หลาย เรยี กวา่ มหาตปิ ิฎก-จูฬาภยั เถระรจนาไว้จบแล้ว ๓๔
คัมภีร์มิลิน ท ปัญ หาฎีก าทั้งต้น ฉ บับ ตัวเขีย น แ ละฉบับ มห าจุฬ าลงก รณ ร าช
วิทยาลัยระบุไว้ แต่เพียงชื่อผู้แต่งเท่านั้น แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับประวัติความ
เป็นมาของพระมหาเถระรูปน้ไี ว้
๒) พระติปาติบัตรบันทึกรายการของคมั ภีร์มลิ ินทปัญหาฎีกา ต้นฉบบั ตัวเขียน
คัมภีร์ใบลานที่หอสมุดแห่งชาติทั้ง ๑๑ ฉบับ ระบุชื่อผู้แต่งคัมภีร์น้ีว่า พระติปาติ ซ่ึงคาน้ี
เป็นชอื่ ยอ่ ของผแู้ ตง่ ที่ปรากฏในนิคมนกถา ตอนท้ายของคัมภีร์วา่
ตปิ าตินาเมน มิลินททป่ี ก
วรตฺถคนฺถปฺปกเรน สมฺภว
สคุ นฺถกาเรน ชนิ งกฺ ุเรน เม
กตญฺจยย วรปุญญฺ สมฺปท.
แปล: ความถึงพรอ้ มแหง่ บุญอนั ประเสริฐใด ๆ ทเี่ กดิ จาก
การแตง่ คมั ภรี ท์ ม่ี เี นื้อความอนั ประเสรฐิ แสดง (อธบิ าย)
ความในมิลนิ ทปัญหาปกรณ์ อันขา้ พเจา้ ผูม้ นี ามว่า ติปาติ
ผเู้ ป็นบตุ รของพระชนิ เจ้า ผู้รจนาคัมภรี ์ท่ีงดงาม ไดก้ ระทา๓๕
๓๔มลิ นิ ท.ฎกี า (บาล)ี ๔๐๙. มิลนิ ท.ฎีกา (ไทย) ๒๓๘-๖๓๔.
๓๕มลิ ินท.ฎกี า (บาล)ี ๔๑๑., มิลนิ ท.ฎกี า. (ไทย) ๖๓๙-๖๔๐.
๓๒
คาวา่ “ติปาติ” ทป่ี รากฏในคาว่า “ติปาตินาเมน” ในนคิ มนกถาของผแู้ ต่งท้าย
คมั ภีร์นี้ เม่ือวิเคราะห์แล้วพบว่าเป็นนามย่อของผู้แต่ง โดยมีท่ีมาและความหมายดังต่อไป
ดงั นี้
คาวา่ “ติ” มาจากคาว่า “ติ” ที่เปน็ ปกตสิ ังขยา แปลว่า ๓
คาว่า “ปาติ” เป็นคานาม แปลว่า ภาชนะ ซ่ึงผู้แต่งใช้แทนคาว่า “ปิฎก” ท่ี
แปลว่า ตะกร้าหรือภาชนะสาหรับใส่สิ่งของ เหมือนกับคาว่า “ปาติ” ดังนั้น คาว่า “ติปา
ติ” โดยรวมแล้วจึงมี ความหมายเท่ากับ ติปิฎก หรือ เตปิฏก หมายถึง พระไตรปิฎก ซึ่ง
เป็นคาขยายชื่อของผู้แต่ง คือ จุฬาภัยเถระเพื่อแสดงนัยให้รู้ว่า ผู้แต่งเป็นผู้รอบรู้หรือ
แตกฉานในพระไตรปิฎกอย่างมาก เห็นได้จาก คุณสมบัติของผู้แต่งท่ีระบุไว้นิคมนกถาว่า
“...สกสมยสมยนฺตรคหนชฺโฌคาฬหฺสมตฺเถน ปญฺญาเวยฺยตฺติยสมนฺนาคเตน ผู้
ประกอบด้วยปัญญาและความเฉลียวฉลาดสามารถท่ีจะถือเอาและหยั่งรู้ ภาษาทั้งของตน
และคนอ่ืน ติปิฎกปริยตฺติปฺปเภเท สาฎฺฐกเถ สตฺถุสาสเน อปฺปฏิหตญาณปฺปภาเวน ผู้มี
ญาณอนั ไมต่ ิดขดั ในคาสอนของพระบรมศาสดาอนั ต่างด้วยปรยิ ัติคือพระไตรปิฏกพรอ้ มท้ัง
อรรถ กถา” คณุ สมบัตดิ งั กล่าวเปน็ เครอ่ื งยนื ยันถึงการไดน้ ามวา่ “ติปาติ” หรอื “พระมหา
ตปิ ฎิ กจุฬาภัย เถระ” ของผ้แู ตง่ ไดเ้ ปน็ อยา่ งดี
ดังนั้นในประเด็นนี้จึงเห็นว่า ชื่อของผู้แต่งที่ปรากฏในนิคมนกถาตอนท้ายของ
คมั ภรี น์ ท้ี ้ัง ๒ ชอื่ เปน็ ชือ่ ของผู้แต่งคนเดยี วกันตามคาวินจิ ฉัยดงั ท่ีกล่าวไวข้ ้างตน้
๓.๒ ประวัตขิ องผ้แู ต่ง
คมั ภรี ์มลิ ินทปัญหาฎีกา ต้นฉบบั ตัวเขยี นใบลานท่ีหอสมดุ แห่งชาติทั้ง ๑๑ ฉบับ
และคมั ภรี ์มิลินทปัญหาฎีกาฉบับของมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัยระบุไว้เพยี งแต่ช่ือผู้แต่ง
เท่านั้น แต่ไม่ได้กล่าวรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติของผู้แต่งไว้เลย ประกอบกับช่ือของผู้
แตง่ คมั ภรี ์น้ไี ปเหมือนกับช่ือของพระ มหาตปิ ิฏกจฬู าภัยเถระ พระเถระชาวศรลี ังกา ทาให้
เกิดข้อสงสัยว่า ผู้แต่งคัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกาเป็น รูปเดียวกันกับพระมหาติปิฎกจูฬาภัย
เถระชาวลังกาหรือไม่อีกปัญหาหนง่ึ เก่ียวกับผู้แต่งคัมภีร์นี้คอื พระมหาติปิฎกจุฬาภัยเถระ
เป็นพระเถระชาวศรีลังกาท่ีเดินทางมาประกาศศาสนาท่ีเชียงใหม่หรือเป็น พระเถระชาว
ไทยท่เี ดินทางไปศึกษาพระพุทธศาสนาท่ีศรลี ังกาแลว้ เดนิ ทางกลับมาเชยี งใหม่ เพราะ บาง
๓๓
แห่งมีผู้กล่าวว่า ผู้แต่งคัมภีร์นี้เป็นพระภิกษุชาวศรีลังกาท่ีเดิน ท างมาเผยแผ่
พระพุทธศาสนาที่ เชียงใหม่ในพุทธศตวรรษที่ ๑๙
ในคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ท่ีพระรัตนปัญญาเถระชาวเชียงใหม่แต่งขึ้นใน พ.ศ.
๒๐๖๐ ได้ ระบุวา่ มีพระสงฆม์ าจากลังกามาท่ีเชียงใหม่ และได้อธิบายว่าในปี พ.ศ. ๑๙๖๖
พระมหาเถระทอี่ ยู่ใน เมอื งเชียงใหม่จานวน ๒๕ รูป มีพระมหาธรรมคัมภรี ์ เป็นต้นได้ชวน
พระชาวกัมโภช (ลพบุรี) อีก ๘รูป และพระชาวรามัญอีก ๖ รูป รวม ๓๙ รูปเดินทางไป
ศึกษาพระพุทธศาสนาที่ลังกาและได้บวชใหม่ท่ีแม่น้ากัลยาณี๓๖ พระภิกษุเหล่านั้นอยู่ที่
ประเทศศรีลังกาได้เพียง ๔ เดือนก็ต้องเดินทางกลับ เนื่องจาก ประสบปัญหาทุพภิกขภัย
และเม่ือจะเดินทางกลับมาก็ได้อาราธนาพระเถระชาวลังกา ๒ รูป คือ พระวิกมพาหุและ
พระมหาอุตตมปัญญามาด้วย และเดินทางมาถึงเชียงใหม่ในปี ๑๙๗๔ พานักอยู่วัดป่า
แดง๓๗ แต่ไม่ปรากฏช่ือพระมหาติปิฎกจุฬาภัยเลยขณะที่นักวิชาการหลายท่าน เช่น แสง
จนั ทรง์ ามที่กล่าววา่ พระทั้ง ๒๕ รปู ที่เดินทางไปศกึ ษาพระพุทธศาสนาท่ีประเทศศรลี ังกา
ในสมัยพระเจ้าสามฝ่ัง แกนน้ันเป็นพระภิกษุชาวเชียงใหม่ ต่อมาพระเถระกลุ่มนี้ก็ได้พระ
กลุ่มคณะสิงหลหรือลังกาวงศ์ใหม่ ซ่ึง นพคุณ ตันติกุล ได้กล่าวว่า พระเถระกลุ่มนี้ได้
กลับมาปฏิรูปพระพุทธศาสนาในล้านนา ส่งผลให้ การศกึ ษาภาษาลีของพระสงฆ์ในลา้ นนา
เจรญิ รงุ่ เรืองมากและทาให้เกดิ พระท่ีเป็นปราชญ์ทางภาษา บาลหี ลายรปู เช่น พระโพธริ งั สี
พระรัตนปัญญา และพระสริ มิ งั คลาจารย์ เป็นต้น๓๘ แตก่ ็ไม่มหี ลักฐานใด ทร่ี ะบุชอ่ื ของพระ
มหาติปฎิ กจุฬาภยั ไวเ้ ลย
๓๖ไดก้ ลา่ วถึงสาเหตุที่พระสงฆ์ชาวไทยและประเทศอน่ื ๆ ท่ไี ปศกึ ษาพระพุทธศาสนาทศี่ รี
ลังกาต้องบวช ใหม่ เน่ืองจากพระสงฆ์ชาวศรีลังการังเกียจสมณวงศ์ในต่างประเทศจึงให้พระสงฆ์
เหล่านั้นบวชในลัทธิลังกาให้เป็นนิกาย เดียวกันก่อน...ดูรายละเอียดใน จานงค์ ทองประเสริฐ, วิชา
ศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๓, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๖), หน้า
๑๒๗.
๓๗กรมศลิ ปากร, ชนิ กาลมาลีปกรณ์, แปลโดยแสง มนวทิ ูร, พิมพ์ในงานฌาปนกจิ ศพนาง
ทองคา สวุ รรณชกุล ณ สุสานพระบาท อาเภอเมอื ง จงั หวัดลาปาง, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สาม
มติ ร, ๒๕๐๐), หนา้ ๑๒๐-๑๒๓.
๓๘แสง จนั ทรง์ าม, “ศาสนาในล้านนาไทย” ใน ลา้ นนาไทย, อนุสรณ์ พระราชพธิ เี ปิด
พระบรมราชานสุ าวรยี ์สามกษตั ริย์, (เชยี งใหม:่ ทิพย์เนตรการพิมพ,์ ๒๕๒๖-๒๕๒๙๗), หน้า ๗๔.
๓๔
ในหนังสือตานานเมืองเหนือได้กล่าวถึงท้าวผายูเจ้าผู้ครองเมืองเชียงใหม่โปรด
เกล้าให้ข้าราช บรพิ ารไปนิมนตพ์ ระมหาอภัยจุฬาเถรเจ้า เมอื งหรภิ ุญไชยมาเป็นเจ้าอาวาส
วดั ลีเชียง เม่ือปี พ.ศ. ๑๘๘๘ และพระราชทานนามวัดน้ีใหม่ว่า “วดั ลีเชียงพระ”๓๙ต่อมา
ได้เปล่ียนช่ือใหม่เป็นวัดพระสิงห์ เป็นที่น่า สังเกตว่า พระเถระรูปนี้มีชื่อใกล้เคียงกับพระ
มหาติปฎิ กจุฬาภัยเถระ นอกจากน้ียังมีชือ่ พระชาวเหนืออีก ๒ รูปท่มี ีช่อื คล้ายกับชื่อผูแ้ ต่ง
คือพระเทพจุฬาเถระและพระอภัยสารทะแสดงให้เห็นว่า คาว่า “อภัย” และ “จุฬาหรือ
จฬู า” เป็นคาทา่ นิยมนามาใช้ตั้งชื่อพระเถระในยุคนัน้
นายธีรโชติ เกดิ แก้ว ได้สรปุ ตามหลักฐานและข้อมูลท่ีปรากฏในทั้ง ๒ ประเด็น
ดังต่อไปน้ี๔๐
๑) พระมหาตปิ ิฏกจูฬาภัยเถระ ผู้แต่งคมั ภีรม์ ลิ ินทปัญหาฎีกา ไมใ่ ช่พระเถระรูป
เดียวกันกับ พระมหาติปิฏกจุฬาภัยเถระชาวลังกาท่ีพระพุทธโฆสาจารย์กล่าวถึงในอรรถ
กถาวิภังคแ์ ละปกรณว์ ิเสสวิสุทธมิ รรค เพราะคัมภรี ม์ ิลินทปัญหาฎีกานแ้ี ต่งหลังคมั ภีรว์ ิสุทธิ
มรรคหลายปี หลักฐานที่ยืนยันเร่ืองนี้ก็ คือ ฎีกาท่ีผู้แต่งคัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกาใช้อ้างอิง
คือ วินยั วินิจฉัยฎีกา อภิธัมมาวตารฎีกา ขุททกสกิ ขาภิกา และชินาลงั การฎกี า เป็นคัมภรี ์ท่ี
แต่งที่ลังกาช่วงพุทธศตวรรษที่ ๑๖-๑๗๔๑แต่คัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกาแต่งขึ้นใน พ.ศ.
๒๐๑๖๔๒ ซึ่งเม่ือเทียบกับเวลาที่แต่งคัมภีร์ฎีกาทั้งหลายที่อ้างในคัมภีร์นี้ก็ห่างกัน
ค่อนข้างมาก จึงเป็นไปไม่ได้ที่พระเถระทั้ง ๒ รูปจะเป็นคนเดียวกัน และในหนังสือติปิฎก
ปาลิเมียนมา อภิธาน เล่ม ๙ ก็ได้กล่าวช่ือพระมหาตปิ ิฏกจฬู าภัยไว้ ๒ รูป คอื รูปหนง่ึ เป็น
๓๙สงวน โชติสุขรัตน์, ตานานเมืองเหนือ, พิมพ์คร้ังท่ี ๔, (นนทบุรี: โรงพิมพ์ศรีปัญญา,
๒๕๕๒), หน้า ๓๙๐.
๔๐นายธีรโชติ เกดิ แก้ว, “มลิ ินทปญั หาฎีกา : การตรวจชาระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”
วิทยานิพนธ์ พทุ ธศาสตรดุษฎีบัณฑิต, (บัณฑิตวทิ ยาลัย: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย,
๒๕๕๖), หนา้ ๒๔.
๔๑มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, มธรุ ตฺถปฺปกาสินี นาม มลิ ินฺทปญฺหฎีกา, หนา้ ๔.
๔๒ดูรายละเอยี ดใน ฉัตรยุพา สวัสดพิ งษ์, อ้างในลมลู จันทรห์ อม, วรรณกรรมท้องถ่ินล้านนา
, (กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส. พรนิ้ ต้งิ เฮา้ ส์, ๒๕๓๘), หนา้ ๙-๗๐.
๓๕
พระเถระชาว สิงหล (ลังกา) และอีกรูปหนึ่งเป็นพระเถระชาวเชียงใหม่ ผู้แต่งมธุรัตถุปกา
สินีมิลนิ ทปญั หาฎกี า๔๓
ดังนั้น จากหลักฐานดังท่ีกล่าวมาอาจทาให้เช่ือได้ว่า พระมหาติปิฏกจูฬิยภัยที่
แตง่ คมั ภีรม์ ลิ นิ ทปัญหาฎีกา ไมใ่ ชพ่ ระเถระ ชาวลงั กา แตเ่ ป็นพระเถระชาวเชยี งใหม่
๒) พระมหาติปิฏกจูฬาภัยเถระผู้แต่งคัมภีร์น้ีเป็นพระเถระชาวเชียงใหม่ดัง
เหตุผลและ หลกั ฐานต่อไปนี้
(๑) คัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย ได้ระบุวา่ พระ
มหาติปิฎกจุฬาภัยเถระ พระเถระชาวเชียงใหม่เป็นผู้แต่งคัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกาไว้ที่
หน้าปกคัมภีร์ว่า “พิงฺครฏฺฐ วาสินา ติปิฎกจุฬาภยตฺเถเรน กตา มธุรตฺถปกาสินี นาม มิ
ลินฺทปญหาฎีกา”๔๔แปล : คมั ภีร์มธุรัตถปกาสินี มิลนิ ทปัญหาฎีกา แตง่ โดยพระติปิฎกจฬุ า
ภัยเถระชาวพิงครฐั ”๔๕
คาว่า “พิงฺครฏฺฐวาสินา” เป็น คาท่ีบอกให้รู้ว่า ผู้แต่งเป็นชาวพิงครัฐท่ีเป็นช่ือ
ของเมอื งเชยี งใหม่ในยคุ น้ันถ้าพจิ ารณาจากคาดงั กล่าวก็ ได้ข้อสรุปวา่ พระมหาติปิฏกจูฬา
ภัยเถระเป็นพระภิกษุชาวเชียงใหม่ท้ังนี้ ดังจะเห็นได้จากการการวิเคราะห์ศัพท์ว่า “วาสิ
๔๓วัดมหาวิสุตาราม, ติปิฎกปาลิเมยี นมา อภธิ าน เล่ม ๔, (เมียนมา: โรงพิมพ์การศาสนา,
๑๙๗๐), หน้า ๔๙๘. ได้กล่าวถึงพระเถระชาวลังการูปน้ีวา่ มีช่ือปรากฏในคัมภีร์อรรถกถาหลายแห่ง
เช่น อง.เอกก. อ.(บาล)ี ๑/๔
๔๔ข้อความที่ปรากฏในคัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกา ฉบับมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย คาว่า
“พิงฺครฎฺฐวาสินา” ซึ่งคณะกรรมการปริวรรตและตรวจชาระของมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัยได้ใส่
เข้าไปเน่ืองจากลงความเห็น กันว่า ผู้แต่งคัมภีร์นี้เป็นพระชาวเชียงใหม่ แต่ต้นฉบับอักษรโรมันและ
ตน้ ฉบับตวั เขยี นที่หอสมุดแห่งชาตทิ ้ัง ๑๑ ฉบับ ไม่ปรากฏคาน้ี
๔๕คาวา่ “พงิ ครัฐ” เป็นชื่อของเมืองเชียงใหม่ เมอื งหลวงของอาณาจกั รล้านนา เดมิ ช่ือว่า
นพบุรีศรีนคร พิงค์เชียงใหมห่ รือ (บางตาราเขยี นเป็น นวบรุ ีศรนี ครพิงค์เชียงใหม่) สร้างขึน้ ในปี พ.ศ.
๑๘๔๐ โดยพญามังราย กษัตริย์ พระองค์แรกท่ีปกครองเชียงใหม่ ต่อมาในสมัยของพระเจ้าบรม
ราชาธิบดีกาวิละ (พระเจ้ากาวลิ ะ)ได้เปล่ียนชื่อเมือง เชียงใหม่เป็นรัตนติงสาอภินวปุรีสรีคุรุรัฏฐพระ
นครเชียงใหม่หรือนครเชียงใหม่ และในสมัยรัชกาลที่ ๗ พ.ศ. ๒๔๗๖ ได้มีการปรับปรุงการปกครอง
และยกเชียงใหม่ข้ึนเป็นจังหวัดหน่ึงของภาคเหนือหรือมณฑลพายัพตั้งแต่น้ันเป็นต้นมา จึงได้พบช่ือ
เมืองเชียงใหม่ท่ีเป็นภาษาบาลีในคัมภีร์และวรรณกรรมไทยหลายชื่อ เช่น นวปุร ในมังคลัตถทีปน้ี
พิงฺครฏฺฐ ในมิลินทปัญหาฎกี า และ นพฺพิสีนคร นพฺพสิ ปี ร พิงฺครฏฺฐ ในชินกาลมาลนิ ีปกรณ์ เป็นตน้
๓๖
นา” ทม่ี าจากคาว่า “วาสี”ทีเ่ ป็นกตั ตุรูป ตัสสีลสาธนะคาบาลีน้ีแปลว่า มีปกติอยู่ หรืออยู่
ประจา เทียบกับคาว่า “สาวตุถีวาสี” หมายถึง ชาวเมืองสาวัตถีซ่ึงสอดคล้องกับรายช่ือ
วรรณกรรมบาลี และช่ือผู้แต่งวรรณกรรมบาลีล้านนาท่ีอุดม รุ่งเรืองศรีได้รวบรวมไว้ว่า
พระติปฏิ กจฬู าภัยเถระเปน็ ผู้ แต่งคัมภรี ์มธรุ ตั ถปกาสนิ ี มลิ ินทปญั หาฎกี า๔๖
จากหลักฐานและเหตุผลท่ีกล่าวมานั้น ทาให้มีความน่าเชื่อถือไดว้ ่า ผู้แตง่ คัมภีร์
มิลินทปญั หาปกรณน์ น้ั ยังไมเ่ ปน็ ที่ทราบได้แน่นอน ส่วนคัมภีร์มิลินทปัญหาฎีกานน้ั เชื่อได้
ว่า พระมหาติจุฬาภัยเถระหรือพระติปาลิ ผู้แต่งคัมภีร์มลิ ินทปัญหาฎีกาเป็นพระเถระชาว
เชยี งใหม่ ไม่ใช่พระเถระชาวลังกาท่ีเดินทางมาเผยแผพ่ ระพทุ ธศาสนาที่เมอื งเชยี งใหม่
๔๖อดุ ม รุง่ เรืองศรี, วรรณกรรมล้านนา, พมิ พ์คร้งั ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร: สานักงานกองทุน
สนบั สนุน งานวิจยั , ๒๕๔๖), หน้า ๑๘๔.
๓๗
บรรณานกุ รม
๑. ภาษาไทย
ก. ข้อมูลข้นั ปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปฎิ กภาษาไทย ฉบับมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั .
กรงุ เทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๓๙.
ข. ขอ้ มูลขน้ั ทุติยภูมิ
(๑) หนงั สือ:
พระอุดรคณาธิการ (ชวินทร์สระคา). ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร:
มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๔.
เอือ้ นเลง่ เจรญิ . โลกทรรศน์ในพระพุทธศาสนา. กรงุ เทพมหานคร: โอเดยี นสโตร์, ๒๕๓๗.
เสถยี รนตุ ยางกรู . พระเจา้ มิลินท์ เล่ม ๑. กรงุ เทพมหานคร: คณะชา่ ง, ๒๔๙๕.
เสถียรโพธินันทะ.ประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร: มหามงกุฏราช
วิทยาลัย, ๒๕๔๓.
คณ ะศิษยานุ ศิษย์วันล้ออายุ .อินเดียน้อยคู่มือการจาริกแสวงบุญ ในอินเดีย .
กรงุ เทพมหานคร: ท.ี พี. พรินท์, ๒๕๓๙.
จานงค์ ทองประเสริฐ.วิชาศาสนา .พิมพ์คร้ังที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลง
กรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๖.
กรมศิลปากร.ชินกาลมาลีปกรณ์, แปลโดยแสง มนวิทูร, พิมพ์ในงานฌาปนกิจศพนาง
ทองคาสุวรรณ ชกุล ณ สุสานพระบ าท อาเภอเมือง จังหวัดลาป าง.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์สามมติ ร, ๒๕๐๐.
แสง จันทร์งาม.“ศาสนาในล้านนาไทย” ใน ลา้ นนาไทย.อนุสรณ์ พระราชพธิ ีเปิดพระบรม
ราชานสุ าวรยี ส์ ามกษัตรยิ ์. เชยี งใหม่: ทพิ ยเ์ นตรการพมิ พ์, ๒๕๒๖-๒๕๒๙๗.
สงวน โชติสุขรัตน์. ตานานเมอื งเหนอื . พมิ พ์ครง้ั ท่ี ๔. นนทบรุ ี: โรงพิมพ์ศรีปัญญา, ๒๕๕๒.
ลมูล จันทร์หอม.วรรณกรรมท้องถิ่นล้านนา.กรุงเทพมหานคร: โอ.เอส. พริ้นต้ิงเฮ้าส์,
๒๕๓๘.
๓๘
วัดมหาวิสุตาราม.ติปิฎกปาลิเมียนมา อภิธาน เล่ม ๔. เมียนมา: โรงพิมพ์การศาสนา,
๑๙๗๐.
อุดม รุ่งเรืองศรี.วรรณกรรมล้านนา. พิมพ์คร้ังที่ ๒. กรุงเทพมหานคร: สานักงานกองทุน
สนับสนนุ งานวจิ ยั , ๒๕๔๖.
(๒) วิทยานิพนธ์
นายธีรโชติ เกิดแก้ว.“มิลินทปัญหาฎีกา : การตรวจชาระและการศึกษาเชิงวิเคราะห์”,
วิทยานิพนธ์ พุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย : มหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๖.
๓๙
บทท่ี ๓
ความหมายและโครงสร้างของคมั ภรี ์มิลินทปัญหา
๑. ความหมายของคัมภีรม์ ิลนิ ทปญั หา
คาว่า “มิลินทปัญหา” มาจาก ๒ คา ประกอบดว้ ยคาว่า มลิ ินหรอื มิลินท์มาจาก
คาภาษากรีกว่าเมนันครอส (Menandros) เป็นชื่อของกษัตริย์พระนามวา่ มิลินท์ เป็นองค์
เดียวกับพระเจ้าเมนันเดอร์กษัตริย์ชาติอินโดกรีก ซ่ึงเป็นผู้ทรงอุปถัมภ์และสนับสนุน
พระพุทธศาสนาท่ีสาคัญพระองค์หนึ่งระหวา่ งศตวรรษท่ี ๒๒๙ และคาว่า ปัญหา หมายถึง
คาถาม ข้อสงสัย ข้อตดิ ขัดอัดอ้ัน ขอ้ ท่ีต้องคิดต้องแก้ไข เม่ือรวมคาท้ังสองเข้าดว้ ยกนั แล้ว
จงึ เป็นคาว่า “มิลนิ ทปัญหา” แปลวา่ ปัญหาของพระเจ้ามิลินท์ เปน็ การต้งั ชือ่ บุคคลสาคัญ
ในที่น้ี คือ พระเจ้ามิลินท์ ได้ถามปัญหาข้อต่าง ๆ มากมายกับพระนาคเสน จึงได้กาหนด
ชอ่ื คมั ภีรน์ ี้ว่า “ปญั หาของพระเจ้ามลิ ินทห์ รอื มิลนิ ทปญั หา”๔๗
มิลินทปัญหา (The MilindaPañhã or The Questions of King Milinda) ได้
เป็นคัมภีรอ์ ันสาคัญของพระพุทธศาสนาซึ่งมีความโดดเด่นยิ่งนอกเหนือจากพระไตรปิฎก
แล้วไม่มีวรรณคดีพระพุทธศาสนาเล่มอื่นใดเสมอเหมือนและเป็นคัมภีร์ที่เกิดจากการสัม
ประยุตทางปัญ ญ าและความคิดระหว่างพระเจ้ามิลินท์หรือพระเจ้าเมนันเดอร์
(Menandrosในภาษากรีก) ซึ่งเป็นกษัติย์เชื้อสายกรีกกับพระนาคเสนเถระข้อข้อสงสัย
ต่างๆ หรือความไม่รู้จริงของพระเจ้ามิลินท์ทมี่ ีต่อพระพุทธศาสนาพระนาคเสนเถระก็ไดท้ า
ให้แจ่มแจ้งเป็นที่พอใจพระเจ้ามิลินท์จึงทาให้วรรณคดีปุจฉาวิสัชนาเกิดขน้ึ ในโลกน้ีและมี
ความสาคัญไว้เป็นแนวในการวสิ ัชนาปญั หาต่าง ๆ สาหรับผู้ยังมีความสงสยั ในพระรัตนตรัย
และพระพุทธเจ้าได้ทุกยุคสมัยคัมภีร์มิลินทปัญหาถือว่าเป็นคัมภีร์อรรถกถาสายพระ
สุตตันตปฎิ กท่แี ตง่ ขน้ึ เพื่ออธบิ ายความในพระสตุ ตันตปฎิ กให้มเี น้อื ความชัดเจนยิ่งขนึ้ ๔๘
มิลินทปัญหา เป็นคัมภีร์เก่าแก่และมีความสาคัญคัมภีร์หนึ่งในพระพุทธศาสนา
แต่งข้ึนประมาณพุทธศักราช ๕๐๐ แต่ไม่ปรากฏผู้แต่งปรากฏ ตามมธุรัตถปกาสินีซ่ึงเป็น
ฎีกาแห่งมิลินทปัญหา ท่ีแต่งโดยพระมหาติปิฎกจุฬาภัย (๑) ว่าพระพุทธโฆษาจารย์เป็นผู้
๔๗อา้ งแล้ว.
๔๘อา้ งแล้ว.
๔๐
แต่งนิทานกถาและนิคมกถาส่วนตัวปัญหาไม่ปรากฏผู้แต่ง (๒) โดยมีข้อความที่เก่ียวข้อง
กับการจัดหมวดหมู่ตามลกั ษณะของปัญหาดังข้อความตอนหน่งึ ในมลิ ินทปัญหา ดงั นี้
“ในมิลินทปัญหานี้มี ๖ สถาน คือ แก้ด้วยปุพพปโยคสถาน ๑ มิลินทปัญหา
สถาน ๑ เมณฑกปญั หาสถาน ๑ อนุมานปัญหาสถาน ๑ ลักขณปัญหาสถาน ๑ อุปมากถา
ปัญหาสถาน ๑ เป็น ๖ สถานด้วยกัน แลมิลินทปัญหาน้ันแจกออกไปเปน็ ๒ คือ วิมติเฉท
ปัญหา ๑ ลักขณปัญหา ๑ เป็น ๒ ประการ แลในเมณฑกปัญหานั้นก็มี ๒ ประการ คือ
มหาวัตตกถา ๑ โยคีกถาปัญหา ๑ แลปัญหา ๕ ประการ ตั้งแต่มิลินทปัญหาไปจนอุปมา
กถาปัญหาน้ีจะวิสัชนาเป็นเอกเทศแปลตามวาระพระบาลีในมลิ ินทปัญหานัน้ คือ พระยามิ
ลินท์ถามปัญหานี้เรียกว่ามิลินทปัญหาและมิลินทปัญหามีลักษณะ ๒ คือ ลักขณปัญหา
ถามด้วยลักขณะเหมอื นถามว่าผัสสะเจตสิกน้ีมลี ักขณะอย่างไร ถามอย่างนีเ้ รียกว่าลักขณ
ปญั หา อย่างนี้กจ็ ัดได้ชื่อวา่ มิลนิ ทปญั หาและถามเพ่ือจะตัดเสียมใิ ห้สงสัย เรียกว่า วิมติเฉท
ปัญหา ก็นับเข้าเรียกว่ามิลินทปัญหา แลเมณฑกปัญหาน้ันมีลักขณะ ๒ คือมหาวัตตกถา
กล่าวข้อวัตรปรนนิบัติ ก็เรียกว่าเมณฑกปัญหา และโยคีกถา กล่าวด้วยพระโยคาวจร
ปรนนบิ ัตดิ เู ยี่ยงลาเปน็ ต้นกเ็ รยี กว่าเมณฑกปัญหาแลอนุมานปัญหานั้นเหมอื นพระนาคเสน
สาแดงเปน็ ธรรมนครธรรมบรรพตปรากฏอยู่จงึ รู้ว่าสมเด็จพระสัพพัญญูไดต้ รสั ด้วยอนุมาน
ปัญญาหยั่งเห็นธรรมนครที่พระองค์สร้างไว้และปัญหาดังน้ี เรียกว่าอนุมานปัญหา แล
อปุ มากถาปัญหานั้น คืออุปมาแก้ไขไต่ถามกนั เรียกว่าอุปมากถาปัญหา แก้มาด้วยลักขณ
ปัญหา ๕ สถานเป็นเอกเทศ กส็ มมตวิ า่ ไวเ้ ป็นใจความเท่าน้ี”๔๙
๒. โครงสร้างเนือ้ คัมภีร์มลิ ินทปญั หา
ในคมั ภีรม์ ลิ นิ ทปัญหานน้ั มีโครงสร้างและเนื้อหาแบง่ ออกเป็น ๖ สว่ น ดังน้ี
(๑) ปุพพโยค ว่าดว้ ยบุพพกรรมและประวตั ิของพระนาคเสนและพระเจ้ามิลนิ ท์
(๒) มิลินทปญั หาวา่ ดว้ ยปญั หาเงื่อนเดียว
(๓) เมณฑกปญั หา ว่าด้วยปญั หาสองเงอ่ื น
(๔) อนุมานปัญหา ว่าดว้ ยเรือ่ งที่รูโ้ ดยอนุมาน
(๕) ลักขณปัญหา ว่าด้วยลักษณะแหง่ ธรรมต่าง ๆ
๔๙กรม ศิ ลปาก ร, มิ ลิ น ท ปั ญ ห าฉบั บ พิ ส ดาร (เล่ มเดี ยวจบ ), พิ ม พ์ คร้ังท่ี ๗ ,
(กรงุ เทพมหานคร: ม.ป.พ.,๒๕๑๖), หน้า๑ – ๖.
๔๑
(๖) อปุ มากถาปัญหา วา่ ดว้ ยเรอ่ื งท่ีจะพึงทราบดว้ ยอุปมา
โครงสร้างของปัญหาในมิลินทปัญหาในแต่ละฉบับ มีรายละเอียด การจัดวาง
แตกต่างกนั ไป แต่โดยภาพรวมเน้อื หาในคัมภีร์ เช่น โครงสร้างของคัมภีร์มธุรัตถปกาสินี มิ
ลินทปัญหาฎีกาน้ี มีความสมบูรณ์ของหลักการแต่งวรรณคดีบาลีตามแนวทางการแต่ง
คมั ภีร์บาลีของลงั กาท่มี ีโครงสร้างหลกั ๓ ประการ คือ บทปณามคาถา เนือ้ เร่ือง และนิคม
คาถา๕๐ต่างกันตรงท่ีคัมภีร์น้ี ผู้แต่งได้ใช้คาว่า “อารัมภกถา” แทน “ปณามคาถา” ซึ่งผู้
แต่งได้เริ่มคัมภีร์ของท่านจากช่ือเรื่อง ตามด้วยบทนมัสการพระพุทธเจ้า (นโมตสฺสภควโต
อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส) ๑ จบ อันเป็นคติหรือธรรมเนียมปฏิบัติของการแต่งคัมภีร์บาลี
และได้วางโครงสร้างของคัมภีรม์ ิลินทปัญหาฎีกาออกเป็น ๖ คือ (๑) คันถารมั มภกถา (๒)
ปกิณณกวจนวัณณนา (๓) ชาตกุทธรณะ (๔) คาถาสรุป (๕) สงั ขยาสรุป และ (๖) นิคมนก
ถา ซ่งึ เกอื บทุกฉบับประกอบไปด้วย สามภาค โดยภาคแรกประกอบไปด้วย ส่วนที่เป็นพา
หิรกถามิลินทปัญหา ในภาคท่ีสองคือ ส่วนที่เป็นเมณฑกปัญหา และอนุมานปัญหา และ
ภาคสุดท้ายคือ อุปมากถาปัญหา ซึ่งรายละเอียด แต่ละกัณฑ์จะอธิบายในเน้ือหาส่วนที่
เป็นโครงสร้างคัมภรี ์มิลนิ ทปัญหา ในลาดบั ต่อไป
โครงสร้างคัมภีร์มิลินทปัญหา ฉบับแปลภาษาบาลีของสมาคมบาลีปกรณ์
เน่ืองจากโครงสรา้ งและการจัดวรรคของคัมภีร์มิลินทปัญหาในแต่ละฉบับมีความแตกต่าง
กัน เมื่อนักวชิ าการส่วนใหญ่ศึกษาเปรียบเทียบเน้ือหา คัมภีร์ในฉบับแปลภาษาบาลีมักจะ
อา้ งอิงเนอ้ื หาจากฉบบั แปลบาลีอักษร โรมัน โดยสมาคมบาลปี กรณ์ ดังนน้ั เม่ือมกี ารอ้างอิง
ถึงเน้ือหาในฉบับภาษาบาลีกัณฑ์ท่ี ๑-๗ จึงหมายถึงเนื้อหาท่ีบรรจุอยู่ในฉบับดังกล่าว๕๑
ดงั ตอ่ ไปนี้
กัณฑท์ ี่ ๑ พาหริ กถา
ตอนว่าด้วย บุพกรรมและประวัตขิ องพระเจ้า มิลินท์และพระนาคเสน เป็นบท
นาหรืออาจเรียกว่า เป็นนิทานก่อนเข้าสู่เน้อื หาของเรื่อง ในคัมภีร์มิลินทปัญหาได้กล่าวถึง
๕๐สุภาพรรณ ณ บางช้าง, วิวฒั นาการวรรณคดีบาลสี ายพระสุตตนั ตปฎิ กท่ีแตง่ ใน
ประเทศไทย, หน้า ๒๔๑.
๕๑เนาวรตั น์ พันธว์ ไิ ล, ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพทุ ธศาสนา,ปีที่ ๕ ฉบบั ที่ ๒
(ฉบบั รวมเลม่ ท่ี ๙) ปี ๒๕๖๒ หนา้ ๑๗๘ – ๒๑๗.
๔๒
เรื่องราวพระเจ้ามิลินทก์ ับพระนาคเสน ในอดีตชาติ และผู้รจนายังไดก้ ลา่ วถงึ ปัจจุบันชาติ
ของทั้งสองว่า พระเจ้ามิลินท์เป็นผู้มีบุญบารมีและมีปัญญามาก เป็นผู้ที่ชอบสนทนา
โต้ตอบ ปัญหากับนักบวชและพราหมณ์ทั้งหลายจนกระทั่งเป็นที่เกรงขาม ทาให้เหล่า
นักบวชต้องหนีออกไปอยู่ในป่าหิมวันต์ และได้มีพระนาคเสนเถระ ซึ่งมีปัญญามากมี
ความสามารถในการแก้ปัญหาพระเจ้ามิลินท์ จึงทาให้ พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองและ
ตั้งอยู่ได้ถึง ๕,๐๐๐ ปี
กัณฑท์ ี่ ๒ ลกั ขณปัญหา
ตอนว่าด้วย ปัญหาลักษณะแห่งธรรมต่างๆ ลักษณะของคาถามจะสั้น กระชับ
และตอบแบบตรงไปตรงมา เชน่ ถามเรือ่ ง ชือ่ พรรษา การบรรพชา สอบถามเรอื่ งเกี่ยวกับ
ลักษณะของ ธรรมต่างๆ เช่น มนสิการ สีลปติปัฏฐาน สัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา มี
ลกั ษณะอย่างไร
กณั ฑท์ ี่ ๓ วมิ ุตติเขทานปญั หา
ตอนว่าด้วย ปัญหาเงื่อนเดียว พระเจ้ามิลินท์ถามเร่ืองอายตนะทั้งห้า ความ
แตกต่างระหว่าง อายมุ นุษย์ประกอบด้วยกรรมแตกตา่ งกนั อย่างไร เร่ืองการเข้าถึงนิพพาน
ของมนษุ ย์ การปฏิสนธิของสัตว์ ความเป็นสัพพัญญูของพระพุทธเจา้ อานุภาพของปัญญา
รวมถึงการถวายทานของพระนางปชาบดีโคตมี เป็นต้น ลกั ษณะคาถามและคาตอบมีความ
กระทัดรัด ตรงไป ตรงมา ไมไ่ ด้ อาศัยคาอุปมาเพ่ือสนับสนนุ การอธบิ ายมากนกั
กัณฑท์ ่ี ๔ เมณฑกปัญหา
ตอนว่าด้วยปัญหาสองเงื่อน เมณฑกปัญหาเป็นการตั้งปุจฉาแบบที่เรียกว่า
“ปัญหาอุภโตโกฏิ” หรือปัญหาสองเง่ือน หมายถึงการถามตอบปัญหาที่ดูประหน่ึงว่ามี
ความ ขัดแย้งกัน เช่น ความขัดแย้งของพุทธพจน์และคาสอนเป็นต้น ในคัมภีร์ มิลินท
ปญั หาได้เปรียบเทียบปัญหาสองเงื่อนว่า เปน็ ปริศนาสองเง่ือน ดุจเขาแกะ เมณฑกปัญหา
ได้เน้นการวิเคราะห์ความหมายและเหตุการณ์ ท่ีดูเหมือนขัดแย้งกันเองในพระไตรปิฎก
เช่น ปัญหาเร่ืองพระพุทธเจ้า ตรัสสอนให้มีสัมมาวาจา ไม่พูดปด ไม่พูดหยาบ แต่เหตุไร
พระองค์จึงเรียก คนบางคนว่า โฆษบุรุษ (เจ้าคนโง่) ซ่ึงเป็นคาไม่สุภาพ เป็นต้น ลักษณะ
ของคาถามและคาตอบค่อนข้างซับซ้อนและเต็มไปด้วยอุปมาเพื่อประกอบ การอธิบาย
โดยเฉพาะการใหค้ วามหมายเชิงนามธรรม
๔๓
กณั ฑท์ ่ี ๕ อนมุ านปัญหา
ตอนว่าด้วยปญั หาทพี่ ึงทราบโดยอนุมาน เป็นปัญหาทพี่ ระเจ้ามิลนิ ทน์ ิมนตพ์ ระ
นาคเสนให้อธิบายองค์แห่ง ภิกษุท่ีมีพร้อมในตนแล้วจะทาให้แจ้งพระนิพพานได้ เพื่อ
ปฏิบัติ เพื่อความ เป็นพระอริยบุคคล เป็นวิธีการที่จะเข้าถึงเป้าหมายสูงสุดใน
พระพุทธศาสนา การพัฒนาตัวเองให้หลุดพ้นจากกิเลส บรรพชติ และคฤหัสถ์ เม่ือปฏิบัติดี
ปฏิบัติชอบ สามารถเป็นพระอริยบุคคล บรรลุมรรคผลได้ เหมือนกับพระอริยบุคคล การ
บวชจึงเป็นวิธีการอย่างหน่ึงที่จะพัฒนาตน ให้เป็นพระอริยบุคคลได้รวดเร็วและมั่นคง
เพราะต้องอาศัยจิตใจท่แี น่วแน่ จึงจะสามารถนาตนใหพ้ ้นความทุกข์และบาเพญ็ ประโยชน์
แก่คนหมู่มากได้
กัณฑ์ที่ ๖ ธุตงั คปญั หา
พระเจ้ามิลินท์ถามเก่ียวกับความสามารถของคฤหัสถ์ในการ บรรลุธรรม
ประโยชน์ของการอยูธ่ ุดงคข์ องพระภิกษุ ธุดงคคุณ ๒๘ ประการ อานสิ งสข์ องการอยธู่ ุดงค์
บุคคลท่ีจะรกั ษาธดุ งค์ และชอื่ ธุดงค์ ๑๓ ประการ ว่าเป็นอย่างไร
กณั ฑ์ท่ี ๗ โอปัมมปัญหากัณฑ์
ตอนว่าด้วยปัญหาที่พึงทราบด้วยอุปมา ถามเกี่ยวกับภิกษุท่ีสาเร็จพระอรหัต
ประกอบด้วยคุณก่ีอย่าง วิสัชชนาตั้งเป็นบทมาติกาว่า ให้ปฏิปทาเปรียบด้วยองค์ต่างๆ มี
องค์ แหง่ ลา มีเสยี งพลิ กึ องค์แห่งไก่ องค์แห่งกระแต เป็นตน้
๓. สาระแหง่ คัมภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หา
ในคัมภีร์มลิ ินทปญั หานัน้ ได้แบง่ สาระสาคญั ตามเนื้อหาโครงสร้างของคัมภีร์มิ
ลนิ ทป์ ัญหา๕๒ ดงั นี้
ประณามคาถา
อารมั ภกถา
ปรารภคมั ภีร์มิลินทปญั หาของพระตปิ ิฎกจุฬาภยั ผ้แู ตง่ คมั ภรี ์
วา่ ด้วยพระพุทธเจ้าเมอ่ื เสด็จนิพพาน
พระพุทธเจ้าทรงพยากรณพ์ ระนาคเสนเถระกับพระยามิลนิ ท์
๕๒กรมศิลปากร, มลิ ินทปญั หา, พิมพค์ ร้ังท่ี ๙, (กรงุ เทพมหานคร : บริษทั ประยูรวงศ์พ
รนิ้ ต้งิ , ๒๕๕๐), หนา้ (๔๕)-(๖๓).
๔๔
พระสังคีติกาจารย์สรรเสริญเกยี รตคิ ณุ พระนาคเสนกับพระยามลิ ินท์
ว่าดว้ ยคมั ภรี ์มิลนิ ทปัญหามี ๖ สถาน
ปุพพปโยคกถา
พรรณาเรือ่ งเบ้อื งต้นท่ีจะไดป้ จุ ฉาวสิ ัชนาปัญหากนั
วา่ ด้วยพระนาคเสนกบั พระยามิลินทส์ รา้ งกศุ ลในชาตกิ อ่ น
วา่ ดว้ ยประวัติพระยามลิ ินท์
พระยามิลนิ ทเ์ สดจ็ ไปถามปัญหาครูท้ัง ๖
พระยามลิ ินท์ทรงคดิ ค้นหาคนแกป้ ญั หาไมไ่ ด้
พระอัสสคุตเถระประชมุ พระอรหนั ตเ์ ลอื กหาตวั ผทู้ ่จี ะไปแก้ปัญหา
พระอรหนั ต์ ๑๐๐ โกฏิไปเฝ้าพระอินทร์
พระอินทรพ์ าพระอรหันต์ไปเชญิ มหาเสนเทวบุตร
พระอรหนั ตบ์ ังคับพระโรหณเถระใหไ้ ปคอยทรมานนาคเสนกุมาร
มหาเสนเทวบุตรจตุ ิลงมาเกิดในตระกูลโสณุตตรพราหมณ์
พระโรหณเถระไปทรมานโสณุตตรพราหมณ์
นาคเสนกมุ ารเรียนไตรเพท
พระโรหณเถระสนทนากับนาคเสนกุมาร
นาคเสนกุมารลาบิดามารดาออกบรรพชาเป็นสามเณร
นาคเสนสามเณรเรยี นพระอภิธรรมปฎิ ก
นาคเสนสามเณรไปหาพระอรหันต์ ๑๐๐ โกฏิ
นาคเสนสามเณรอปุ สมบท
พระโรหณเถระบงั คับใหพ้ ระนาคเสนภิกษไุ ปทรมานพระยามิลนิ ท์
พระนาคเสนภิกษุไปหาพระอัสสคตุ เถระ
พระนาคเสนภกิ ษุไปฉันทบ่ี า้ นหญงิ อปุ ฐากพระอัสสคุตเถระ
พระอสั สคตุ เถระใหพ้ ระนาคเสนภิกษุไปเรียนพระไตรปิฎกกับพระธรรม
รกั ขติ ท่เี มืองปาตลบี ตุ ร
พระนาคเสนภกิ ษแุ สดงพระอภิธรรมแก่เศรษฐคี นหนงึ่ ท่กี ลางทาง
พระนาคเสนภิกษเุ รียนพระไตรปฎิ กกบั พระธรรมรกั ขิต
พระนาคเสนภกิ ษไุ ดส้ าเรจ็ พระอรหัต
๔๕
พระอรหันต์มาเตอื นพระนาคเสนเถระให้ไปทรมานพระยามิลินท์
พระยามลิ ินทเ์ สดจ็ ไปถามปัญหาพระอายปุ าลเถระที่อสงไขยบริเวณ
พระนาคเสนมาอาศยั อย่กู บั พระอายปุ าลเถระ
พระยามิลนิ ท์เสด็จไปหาพระนาคเสนเถระ
พระยามิลนิ ทท์ อดพระเนตรเหน็ พระนาคเสนเถระตกพระทัยกลวั
วัญจนปัญหา
ถามเป็นสานวนใหพ้ ศิ วง เพ่อื จะทดลองชวนะของพระนาคเสน (ถามเป็น
ครงั้ แรก)
ปฐมวรรค
๑) นามปญั หา ถามว่าท่านชื่ออะไร ช่อื นาคเสนด้วยอรรถวา่ กระไร
๒) วสั สปญั หา ถามพรรษา และถามว่าพรรษาน้ันนับพระผู้เปน็ เจ้าเขา้
ดว้ ยหรอื หรือนับแต่ปีอย่างเดียว
๓) เถรัสสติกขปฏภิ าณปญั หา ถามว่าบรรพชามปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร
ถามเปน็ สานวนลมปาก หวังจะลองปญั ญาพระนาคเสนว่าจะเขลา หรอื จะ
คมคายอยา่ งไร
พระยามิลินท์ทรงดาริว่า ภกิ ษุรูปนม้ี ปี ัญญาสามารถ แล้วเสดจ็ กลับ
พระยามลิ นิ ทร์ ับส่ังให้อามาตย์ไปนิมนตพ์ ระนาคเสน
๔) อนั ตกายปัญหา อันตกายอามาตย์ถามว่า ช่อื นาคเสนนัน้ มิไดจ้ ัดเป็น
สตั ว์เป็นบุคคลหรือ
๕) ปพั พชาปัญหา ถามซา้ วา่ บรรพชาของพระผูเ้ ปน็ เจ้ามปี ระโยชนอ์ ยา่ งไร
๖) ปฏสิ นั ธคิ หณปัญหา ถามว่าคนท่ตี ายแลว้ จะไม่ถอื เอาซึ่งปฏิสนธิ คือ ไม่
ตอ้ งเกิดอีกมีบ้างหรือไม่
๗) มนสกิ ารปญั หา ถามว่าบุคคลทีไ่ มป่ ฏสิ นธิ คอื ไมเ่ กดิ อกี นน้ั ดว้ ยโยนโิ ส
มนสิการอะไร
๘) มนสกิ ารลักขณปญั หา ถามว่าโยนิโสมนสิการน้นั มลี ักษณะอยา่ งไร
๙) สีลปตฏิ ฐานลักขณปัญหา ถามวา่ ลกั ษณะทจ่ี ะไดน้ ิพพาน มีอะไรเปน็
ท่ีต้งั
๑๐) สัทธาลกั ขณปัญหา ถามว่าศรทั ธามีลกั ษณะอยา่ งไร
๔๖
๑๑) วิรยิ ลกั ขณปัญหา ถามว่าความเพยี รมีลักษณะอยา่ งไร
๑๒) สตลิ ักขณปัญหา ถามวา่ สตมิ ลี ักษณะอย่างไร
๑๓) สมาธิลักขณปญั หา ถามว่าสมาชมิ ลี กั ษณะอย่างไร
๑๔) ปญั ญาลกั ขณปญั หา ถามว่าปญั ญามลี ักษณะอย่างไร
๑๕) นานาเอกกจิ จกรณปัญหา ถามว่ากศุ ลธรรมมสี นั ดานตา่ งกนั ให้สาเรจ็
ประโยชนอ์ ันเดียวหรอื
ทตุ ิยวรรค
๑) ธมั มสันตตปิ ัญหา ถามว่ามนุษยแ์ ละสตั ว์ เมื่อเดมิ เกิดเปน็ อย่างหน่ึงครน้ั
เจริญวัยกลายเป็นอยา่ งอนื่ ไปหรอื ไม่
๒) นปั ปฏิสนั ธคิ หณปญั หา ถามว่าคนท่ีไม่เกิดอกี รตู้ ัวหรือไมว่ า่ เราจะไมเ่ กดิ
อกี ตอ่ ไป
๓) ปัญญานิรุชฌนปัญหา ถามว่าญาณบงั เกิดในสันดานผใู้ ด ผนู้ ัน้ เรยี กว่ามี
ปญั ญาหรือ
๔) ปรนิ ิพพานปัญหา ถามว่าผทู้ ีจ่ ะไมต่ ้องเกิดอีกนนั้ จะไดเ้ สวยทกุ ข์บ้าง
หรอื ว่าหามิได้
๕) สุขเวทนาปญั หา ถามว่าสุขเวทนาจะเปน็ กุศลหรอื อกศุ ล หรือวา่ จะเป็น
อพั ยากฤต
๖) นามรูปปฏิสนั ธิคหณปญั หา ถามว่าธรรมสงิ่ ไรให้สัตว์โลกถอื เอาซ่ึง
ปฏิสนธิ
๗) ปุนปฏิสนั ธิคหณปญั หา ถามว่าพระผ้เู ปน็ เจา้ จะถอื เอาซ่ึงปฏสิ นธิคือจะ
เกดิ ต่อไปอีกหรอื ไม่
๘) นามรปู ปัญหา ถามวา่ นามธรรมคืออะไร รปู ธรรมคืออะไร
๙) ทฆี มัทธานปญั หา ถามวา่ กาลชา้ นานยืดยาวน้นั คืออะไร
ตติยวรรค
๑) อัทธานปัญหา ถามว่าธรรมสิ่งไรเป็นมลู แหง่ กาลอันเป็นอดตี และ
ปจั จุบันและอนาคต
๒) ปุรมิ โกฏปิ ัญหา ถามว่าทก่ี ล่าววา่ ท่ีสดุ เบ้ืองต้นไมป่ รากฏนัน้ นับต้งั นาม
ต้ังรปู ถอยหลังไปได้แกอ่ ดตี กาลหรือ
๔๗
๓) โกฏยิ าปรุ ิมปัญหา ถามว่าท่ีสุดเบือ้ งต้นแห่งกาลปรากฏนนั้ อยา่ งไร
๔) สงั ขารชายนปัญหา ถามว่าสังขารธรรมส่ิงไรที่มอี ยู่แล้วและบังเกดิ ขึ้นอกี
๕) ภวนั ตานงั สังขารานังชานนปญั หา ถามว่าสังขารบางเหล่าทม่ี ไิ ด้มนี ั้น
บังเกิดมีขึน้ บ้างหรือวา่ หามิได้
๖) เวทคปู ญั หา ถามวา่ สภาวะอยา่ งไรเรยี กว่าเวทคู
๗) จกั ขุวญิ ญาณมโนวิญญาณปญั หา ถามว่าจักษุวญิ ญาณเกดิ ในท่ใี ด มโน
วิญญาณกต็ ามไปเกดิ ทน่ี ้นั หรอื
๘) ผัสสลกั ขณปัญหา ถามว่าจักขุวิญญาณเกดิ ในท่ีใด เวทนากเ็ กิดทนี่ ้ัน
หรอื และผัสสะมลี กั ษณะอยา่ งไร
๙) เวทนาลักขณปัญหา ถามว่าเวทนาเมอ่ื บงั เกดิ มลี กั ษณะอย่างไร
๑๐) สัญญาลกั ขณปัญหา ถามว่าสญั ญาเมื่อบงั เกิดมลี ักษณะอย่างไร
๑๑) เจตนาลักขณปัญหา ถามว่าเจตนามีลักษณะอยา่ งไร
๑๒) วิญญาณลกั ขณปญั หา ถามว่าลกั ษณะแหง่ วิญญาณเปน็ ประการใด
๑๓) วติ กกลักขณปญั หา ถามว่าวิตกเมอื่ บงั เกดิ ข้ึนมลี ักษณะอยา่ งไร
๑๔) วจิ ารลักขณปัญหา ถามวา่ วจิ ารเม่อื บังเกิดขนึ้ มีลักษณะอย่างไร
จตุตถวรรค
๑) มนสกิ ารลกั ขณปัญหา ถามว่ามนสกิ ารเจตสกิ เม่อื เกดิ นน้ั มีลักษณะ
อย่างไร
๒) เอกโตภาวคตปัญหา ถามว่าจะเอาธรรมทั้งหลายมผี ัสสะเปน็ ต้น ปนเขา้
ดว้ ยกันแลว้ แจกออกไปวา่ ส่ิงนเี้ ปน็ ผัสสะเปน็ ต้น จะไดห้ รือไม่
๓) ปัญจายตนกมั มนพิ พตั ตปญั หา ถามว่าอายตนะทงั้ ห้าเกดิ ดว้ ยกรรม
ตา่ งๆ หรอื เกดิ ดว้ ยกรรมส่ิงเดียว
๔) กมั มนานากรณปัญหา ถามวา่ มนุษย์เกดิ มาไมเ่ หมือนกันบางคนมีอายุ
นอ้ ย บางคนมอี ายุยนื เปน็ ตน้ เพราะเหตุไร
๕) ปฏิกัจเจววายามกรณปญั หา ถามว่าทาความเพยี รเพ่อื ดบั ความทกุ ขไ์ ว้
กอ่ นนัน้ ภายหลงั ถึงคราวไม่ต้องเพยี รอีกหรือ
๖) ปกตอิ ัคคิโด นริ ยคั คนี ัง อณุ หาการปญั หา ถามวา่ ทวี่ ่าไฟนรกรอ้ นกวา่ ไฟ
ปรกตนิ ัน้ จะให้เชือ่ ไดด้ ้วยอยา่ งไร
๔๘
๗) ปฐวสี ันธารกปัญหา ถามว่าท่ีว่าลมรองน้า น้ารองแผ่นดนิ นน้ั จะให้เหน็
จริงไดด้ ว้ ยอยา่ งไร
๘) นิโรธนพิ พานปญั หา ถามว่านิโรธ ความดับสนิทหรอื ท่เี รยี กวา่ นพิ พาน
๙) นพิ พานลภนปญั หา ถามวา่ คนทงั้ หลายไดน้ ิพพานด้วยกนั สิ้นทกุ คนหรือ
๑๐) นพิ พานสขุ ภาวชานนปญั หา ถามว่าคนทย่ี งั ไมไ่ ด้นิพพานรูห้ รือไมว่ า่
พระนิพพานเปน็ สขุ
ปัญจมวรรค
๑) พุทธอตั ถนุ ตั ถภิ าวปญั หา ถามวา่ พระพุทธเจา้ มหี รือไมม่ ี ท่านได้เห็น
หรือไม่
๒) พุทธานตุ ตรภาวปญั หา ถามวา่ พระพุทธเจา้ ประเสรฐิ ยิง่ ไมม่ ีสงิ่ จะเสมอ
จรงิ กระนนั้ หรือ
๓) พุทโธอนตุ ตรภาวชานนปัญหา ถามวา่ ทา่ นร้แู น่ในใจแลว้ หรือ วา่
พระพุทธเจ้าประเสรฐิ ยิ่ง
๔) ธมั มทิฏฐปญั หา ถามว่าธรรมของพระพทุ ธเจา้ นน้ั ทา่ นเหน็ ประจักษ์แจ้ง
แลว้ หรอื
๕) นจสงั กมติปฏสิ ันธหนปัญหา ถามว่าสัตว์ท่จี ะปฏสิ นธินนั้ ไม่ตอ้ งกา้ วไปก็
ปฏสิ นธิไดห้ รอื
๖) เวทคูปัญหา ถามวา่ สภาวะทีจ่ ะกาหนดเวทคมอี ยู่หรอื วา่ หามิได้
๗) อมิ มั หา กายา อญั ญัง กายงั สังกมนปญั หา ถามว่าเม่อื ชีวิตออกจากกาย
นแี้ ล้วยา่ งไปส่กู ายอน่ื หรอื
๘) กมั มผลอัตถภิ าวปัญหา ถามว่าเมอ่ื บุคคลทากศุ ลและอกศุ ลแลว้ ผล
กรรมน้ันไปอยทู่ ่ไี หน
๙) อปุ ปชั ชชานนปญั หา ถามวา่ ผูท้ ่ีจะไปเถิดนน้ั รูห้ รอื ไม่วา่ ตวั จะไปเกิดอีก
๑๐) พุทธทัสสนปญั หา ถามวา่ ถ้าพระพทุ ธเจา้ มจี รงิ ท่านอาจชไี้ ด้หรอื ว่า
เสดจ็ อย่ทู ีไ่ หน
ฉฏั ฐวรรค
๑) กายอปั ปยิ ปญั หา ถามวา่ กายเปน็ ท่รี กั ของบรรพชิตหรอื ไม่
๒) สัมปัตตกาลปัญหา ถามวา่ พระพุทธเจ้าเปน็ สัพพัญญูรเู้ ห็นสารพัดหรือ
๔๙
๓) ทวตั ติงสมหาปุรสิ ลกั ขณปญั หา ถามว่าพระพทุ ธเจ้างามทั้งประกอบดว้ ย
มหา ปุรสิ ลกั ขณะ ๓๒ จริงหรอื
๔) พรหมจารีปญั หา ถามว่าพระพทุ ธเจ้าเป็นพรหมจารหี รือ ถ้าเปน็
พรหมจารี มิเป็นศษิ ยพ์ รหมหรอื
๕) อปุ สมั ปนั นปญั หา ถามว่าพระพุทธเจา้ เป็นอุปสมั บนั หรือไม่ ใครเปน็
ผูใ้ ห้อุปสมบท
๖) อสั สุปัญหา ถามว่าคนท่ีรอ้ งใหร้ ักบิดามารดา กับผ้ทู ฟ่ี ังธรรมมนี า้ ตาไหล
หลั่ง แปลกกนั อย่างไร
๗) รสปฏิสังเวทีปัญหา ถามวา่ บคุ คลทปี่ ราศจากราคะกับบุคคลทย่ี ังมีราคะ
มเี หตตุ ่างกนั อย่างไร
๘) ปัญญายปตฏิ ฐานปญั หา ถามว่าท่ีตัง้ ของปญั ญาอยู่ท่ไี หน
๙) สังสารปัญหา ถามว่าอะไรท่ีเรียกว่าสงสาร สงสารน้ันมีอาการ
เหมือนกับอะไร
๑๐) จิรกตสรณปญั หา ถามว่าบคุ คลระลกึ กิจการงานท่ลี ่วงไปแล้วช้านาน
ได้ ดว้ ยอะไร
๑๑) สติอภิชานนั ตปิ ัญหา ถามว่าสติความระลึก จะมแี ก่ พวกเดียวหรอื
สตั ตมวรรค
๑) สติอาการปญั หา ถามวา่ ลกั ษณะสติจะบงั เกดิ นน้ั ด้วยอาการกอยา่ ง คอื
อะไรบา้ ง
๒) วสั สสตปัญหา ถามว่าถ้าทาบาปตง้ั ร้อยปี คร้นั ใกลต้ ายระลึกถงึ พทุ ธคณุ
ตายแลว้ ไปเกิดในสวรรคไ์ ด้ จริงหรอื
๓) อนาคตปญั หา ถามวา่ ทา่ นทาความเพยี รเพอื่ จะดับทกุ ข์ท่ีเปน็ อดีตหรือ
อนาคตหรือปัจจุบัน
๔) ทรู พรหมโลกปญั หา ถามวา่ พรหมโลกกับมนษุ ย์โลกไกลเท่าไร
๕) พรหมโลกกัสมริ ปญั หา ถามว่าตายพร้อมกนั คนหนึ่งไปเกดิ ในพรหมโลก
คนหนึง่ ไปเกิดในเมอื งกสั มิระขา้ งไหนจะเกดิ กอ่ น
๖) ปรโลกคตนีลปตี าทิวณั ณคตปัญหา ถามว่าสัตวท์ ต่ี ายไปปรโลกน้ัน ไป
ด้วยวรรณสัณฐานอย่างไร
๕๐
๗) มาตกุ จุ ฉิปฏสิ นั ธปิ ญั หา ถามว่าสัตวท์ ่ไี ปปฏิสนธิในครรภม์ ารดาเข้าไป
ทางไหน
๘) สตั ตโพชฌงคปัญหา ถามว่าโพชฌงค์ ๗ ประการ โพชฌงค์เป็นองค์ที่จะ
ใหต้ รสั รมู้ ีกอ่ี ย่าง
๙) ปาปปญุ ญพหุตรปญั หา ถามว่าบญุ กับบาปขา้ งไหนมกี าลังมากกวา่ กนั
๑๐) ชานอชานปญั หา ถามว่าคนทรี่ ู้วา่ บาปกระทาบาป กับคนทไ่ี มร่ ู้วา่ บาป
กระทาบาป ขา้ งไหนจะได้บาปมาก
๑๑) อตุ ตรกุรุปัญหา ถามว่าบุคคลไปสู่พรหมโลกและอุตตรกุรุทวีปและ
ทวปี อน่ื ท้ังเปน็ มบี ้างหรือไม่
๑๒) ทฆี อัฏฐกปัญหา ถามว่ากระดูกยาวถึงร้อยโยชน์มจี ริงหรือ มอี ยูท่ ่ไี หน
๑๓) อัสสาสปสั สาสปญั หา ถามว่าพระผูเ้ ปน็ เจา้ จะยังอสั สาสะปัสสาสะให้
ดบั ไดห้ รอื ไม่
๑๔) สมุททปัญหา ถามว่าคาทก่ี ล่าวว่ามหาสมทุ ร อุทกังหรอื ช่ือว่า
มหาสมุทร
๑๕) สุขุมจั เฉทปญั หา ถามว่าอะไรอาจตดั ส่ิงท่ีสุขมุ ได้
๑๖) ปัญญาวิเสสปญั หา ถามวา่ ปญั ญาอยู่ท่ีไหน
๑๗) วิญญาณาทีนังนานัตถภาวปญั หา ถามว่าปัญญากับวญิ ญาณต่างกัน
หรือวา่ อย่างเดยี วกนั
๑๘) อรูปววตั ถภาวทุกกรปัญหา ถามว่าจะกาหนดอรปู ธรรม ให้เปน็ อนั
เดียวทายากหรือง่าย
๑๙) ทุกกรปญั หา ถามว่าการปุจฉาวิสัชนาเป็นการยาก สมควรแกเ่ วลา
แลว้ มิใช่หรอื
๒๐) โคตมวี ัตถทานปัญหา ถามว่าพระปชาบดโี คตมถี วายผ้าสาฎกแก่พระ
พทุ ธองค์ พระพุทธองค์ตรัสว่าใหถ้ วายแกพ่ ระสงฆ์มผี ลเลศิ สงั ฆรตั นะมปิ ระเสริฐกว่าพทุ ธ
รตั นะหรือ
ปรารภเมณฑกปัญหาเรมิ่ ต้นทจี่ ะถามปัญหาเปน็ ๒ แง่
พระยามลิ นิ ทท์ รงราพึงถึงเมณฑกปญั หา
พระยามิลนิ ท์ทรงสมาทานคณุ ธรรม ๘ ประการ