๑๐๑
๑๓) ฆฏกิ ารปัญหา๑๒๒
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง เรือนของชา่ งหม้อชื่อฆฏิการมีอากาศเป็นหลังคา
ตลอด ๓ เดอื น แต่ฝนกไ็ มร่ ั่ว เพราะเหตไุ ร กุฎีของพระกัสสปพทุ ธเจา้ ฝนจึงรว่ั
อธิบายว่า นายช่างหม้อช่ือฆฏิการเป็นคนมีศีลมีธรรมอนั งาม เล้ียงดูมารดาและ
บดิ าผู้แก่เฒ่าและตาบอด คนท้ังหลายนาหญ้าในเรือนของนายช่างไปมุงกุฎีของพระกัสสป
พทุ ธเจ้าโดยมไิ ด้บอกกล่าวเขาก่อน แทนทเี่ ขาจะโกรธหรอื เสียใจ กลับได้ปีติอันไมห่ วัน่ ไหว
ตัง้ มั่นด้วยดีแลว้ สรรเสริญคุณของพระพุทธเจา้ มากมายหลายประการ จึงทาใหฝ้ นไม่รวั่ รด
หลังคาของเขาเพราะวิบากอันเป็นไปในทิฏฐธรรมน่ันเอง ส่วนกุฎีของพระกัสสปพุทธเจ้า
ฝนร่ัวได้ก็ด้วยความอนุเคราะห์ชนหมู่มาก ธรรมดาพระพุทธเจ้าเม่ือพิจารณาเห็นอานาจ
ประโยชน์ ๒ ประการ คอื
(๑) พระศาสดาทรงเปน็ ทักขิไณยบุคคลอนั เลิศ เทวดาและมนุษย์ถวายปัจจัยแด่
พระองคจ์ ะพน้ จากทุคติทงั้ ปวง
(๒) บุคคลอย่าพึงติเตียนว่า พระพุทธเจ้าแสดงปาฏิหาริย์เพื่อแสวงหาเครื่องเล้ียง
ชพี เพราะฉะนั้น พระองคจ์ ึงไม่ทรงส้องเสพปจั จัยท่ที รงนิรมติ ด้วยพระองคเ์ องหากท้าวสักกะ
หรือพรหม หรือแม้แต่พระองค์เอง พึงใช้ปาฏิหาริย์เพ่ือกระทากุฎีไม่ให้ฝนรั่วการกระทา
เช่นนั้นก็จะเป็นสาวัชชะ มีโทษอันบุคคลพึงข่มข่ีว่า พระพุทธเจ้ากระทากรรมอันหยาบ ยัง
ชาวโลกให้หลงใหล กระทากรรมที่บุคคลท่ัวไปกระทากันอยู่แลว้ เพราะเหตุน้ัน กรรมน้ันจึง
ควรเว้น พระพุทธเจา้ ยอ่ มไมข่ อส่ิงของ จึงไมค่ วรถูกบรภิ าษในเพราะการไมข่ อสิ่งของ
๑๔) กุสลากุสลานงั พลวาพลวปญั หา๑๒๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง วิบากของกุศลกรรมตา่ งจากอกศุ ลกรรม คอื กุศล
กรรมมวี ิบากเปน็ สุข ส่วนอกุศลกรรมมีวิบากเป็นทกุ ข์เพราะเหตุไร พระเทวทัตผู้กระทาแต่
อกุศลกรรมโดยส่วนเดียว กลับเป็นผู้เสมอกันกับพระโพธิสัตว์และในบางภพกลับเป็นผู้ยิ่ง
กว่าพระโพธสิ ตั วเ์ สียอีก
อธิบายว่า อกุศลกรรมบางอย่างย่อมให้ผลในปัจจุบัน สว่ นบุคคลผู้ทากุศลกรรม
บางคนก็ได้รับผลในปัจจุบัน บางคนกไ็ ด้รับผลในภพต่อ ๆ ไป คือ ยังไมไ่ ดร้ ับผลทันตาเห็น
๑๒๒ฆฏกิ ารปญั หา, เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ ๓๕๖ – ๓๕๗.
๑๒๓กสุ ลากสุ ลานัง พลวาพลวปัญหา, เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๔๒๑ – ๔๒๕.
๑๐๒
ความดีให้ผลช้าเพราะมีสภาพใหญ่ส่วนความช่ัวให้ผลเร็วเพราะมีสภาพเล็กน้อย เปรียบ
เหมือนการปลูกข้าวเบาหว่านลงในนา ใช้เวลาประมาณ ๒ - ๓ เดือน ก็ได้รับผล ส่วนการ
ปลูกขา้ วชน้ั ดจี ะตอ้ งใชเ้ วลาถงึ ๑๐ เดือน หรอื ๑ ปจี ึงจะได้รับผล
๑๕) เปตานัง อทุ ทิสสผลปัญหา๑๒๔
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ทายกทาทานอุทิศให้แก่ ญาติผู้วายชนม์ญาติจะ
ไดร้ บั ผลของทานอทุ ศิ หรอื ไม่
อธิบายว่าเม่ือทายกทาทานอุทิศให้แก่ญาติผู้วายชนม์บางพวกก็ได้รับ แต่บาง
พวกก็ไมไ่ ดร้ ับ สัตว์ผู้เกิดในนรก ผู้ไปสู่สวรรค์ ผู้ไปในกาเนิดสตั วเ์ ดรจั ฉาน ย่อมไม่ได้รบั ผล
ทาน บรรดาเปรตทั้ง ๔ จาพวก เปรต ๓ จาพวก คือ วันตาสิกเปรต ขุปปิปาสิกเปรต
นิชฌามตัณหิกเปรต ก็ไม่ได้รับผลทานเหมือนกัน ส่วนปรทัตตูปชีวีเปรตจาพวกเดียว
เท่านน้ั เมอื่ ระลกึ ถึงอยู่ย่อมได้รบั ผลทาน อนึ่ง ทานที่ทายกอุทิศไปใหแ้ ก่ญาติผู้วายชนม์แม้
พวกเขาจะไม่ได้รับ แต่ทานนั้นก็จะไม่ถือว่าเป็นของไม่มีผลไม่มีวิบาก เพราะ ทายกย่อม
เป็นผู้เสวยผลทานโดยแท้เปรียบเหมือนบุคคลจัดสารับข้าวปลาอาหารและของควรเค้ียว
นาไปสู่ตระกูลญาติแม้ญาติจะไม่รับของฝากท่ีนาไปให้ ของฝากก็ไม่ไร้ผลและไม่เสียหาย
ยังคงเปน็ ของเจา้ ของนนั่ เอง
๑๖) กุสลากุสลานังมหันตามหนั ตภาวปัญหา๑๒๕
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ทายกให้ทานและอุทิศผลทานไปให้ญาติผู้วาย
ชนม์พวกญาติย่อมไดเ้ สวยผลทานที่อทุ ิศไปให้ถ้าบคุ คลผู้กระทาปาณาติบาต มีความโลภ มี
ใจโหดร้าย มีความดาริในใจอันโทษประทุษร้ายแล้ว ฆ่ามนุษย์กระทากรรมช่ัวร้ายแล้ว
อทุ ิศผลกรรมท่ีตนทาไปใหญ้ าตผิ ู้วาย ชนมพ์ วกญาติจะได้รบั ผลกรรมชั่วหรอื ไม่
อธิบายว่า ญาติผู้วายชนม์ย่อมไม่ได้รับผลกรรมช่ัวร้ายท่ีบุคคลกระทาแล้วอุทิศ
ไปให้ก็บาปกรรมไม่อาจแบ่งปันให้แก่คนผู้ไม่ได้กระทาด้วยตัวเอง ส่วนบุคคลผู้ไม่มี
บาปกรรม มอี ณูเป็นประมาณ เปรียบเหมือนบุคคลนาน้าไปด้วยอุปกรณ์เคร่ืองนาน้า ก็ทา
ใหน้ ้าสามารถไปสทู่ ่ีไกล สว่ นภูเขาศิลาแทง่ ทึบใคร ๆ ไม่สามารถจะนาไปตามความตอ้ งการ
ด้วยอุปกรณ์เคร่ืองนาไป เพราะฉะน้ัน กุศลจึงอาจแบ่งปันให้แก่กันได้ส่วนอกุศลไม่อาจ
๑๒๔เปตานัง อุททสิ สผลปญั หา, เร่อื งเดยี วกนั , หนา้ ๔๒๖ – ๔๒๗.
๑๒๕กุสลากุสลานัง มหนั ตามหนั ตภาวปัญหา, เรอ่ื งเดยี วกนั , หน้า ๔๒๘ – ๔๓๑.
๑๐๓
แบง่ ปันได้อีกอยา่ งหนงึ่ อกุศลเป็นของเล็กนอ้ ย ส่วนกุศลเป็นของมาก เพราะความท่ีอกศุ ล
เป็นของน้อยจึงครอบงาแต่ผู้กระทาเพียงผู้เดียว และเพราะความท่ีกุศลเป็นของมากจึง
ครอบคลมุ โลกพรอ้ มทัง้ เทวโลกไว้ได้
จะเหน็ ได้วา่ ในทรรศนะเร่ืองนี้ พระนาคเสนตอบปัญหาเร่ือง บญุ และบาปในมิลิ
นทปัญหา เพื่อต้องการแสดงให้เห็นว่า ชีวิตของแต่ละบุคคลที่เกิดมาดารงอยู่ได้เพราะ
อานาจแห่งบุญกุศลและบาปกรรมที่ตนส่ังสมไว้ซ่ึงทาให้ชีวิต จิตใจ ร่างกายของแต่ละ
บุคคลแตกต่างกันเพราะฉะนั้น บุคคลจะเกิดความเชื่อม่ันในคาสอนขององค์สมเด็จพระ
สัมมาสัมพุทธเจ้า จึงต้องมีความเข้าใจในเรื่องของกรรม กฎแห่งกรรม และกรรมวิบาก
เป็นเบ้ืองต้น ถ้ามีความเข้าใจในเรื่องของความดีและความช่ัวอย่างถูกต้อง ก็จะสามารถ
จาแนกถึงส่ิงที่ควรทาและไม่ควรทา เพราะบุญกับบาปที่ตนกระทาลงไปย่อมให้ผลตา่ งกัน
แม้กาลังของบุญและบาปก็ยังมีกาลังต่างกัน คือบุญยอ่ มมีกาลังมากกว่าบาป เพราะทาให้
บุคคลมีความเอิบอาบในจิตใจแม้พระพุทธเจ้าจะทรงสรรเสริญการปฏิบัติบูชามากกว่า
อามิสบูชา แต่การบูชาทั้งสองอย่าง หาเป็นสิ่งไร้ค่าแก่ผู้ปฏิบัติไม่ ปฏิบัติบูชาย่อมควรแก่
บรรพชิตผู้ปรารถนาความหลุดพ้นเพ่ือบรรลุพระอรหันต์ ส่วนอามิสบูชาย่อมควรแก่
คฤหัสถ์ผู้หวังความสุขกายสบายใจในดารงชีวิตอยู่ และการบาเพ็ญบุญกุศลของคฤหัสถ์ก็
เพ่อื เป็นการอนเุ คราะหบ์ รรพชติ ดว้ ยมลี ักษณะแหง่ ความเกอื้ กูลกันอยู่น่ันเอง
๒.๒ หลกั ธรรมเกี่ยวกับสังสารวัฏ
๑) ปฏสิ นธิคหณปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง คนท่ตี ายไปแล้วไมเ่ กิดอกี มีอยูห่ รอื ไม่
อธิบายว่า สัตว์โลกเกิดข้ึนมาเพราะนามรูปให้ปฏิสนธินามรูปท่ีว่านั้นไม่ใช่นาม
รูปทป่ี รากฏอยใู่ นปจั จุบนั น้แี ตเ่ ปน็ นามรูปอกี อันหน่ึงตา่ งหาก ซง่ึ เกิดขึ้นเพราะบญุ และบาป
เป็นนามรูปเอกัตตนานัตตปัญหา ที่ได้กระทาไว้ก่อนแล้ว ถ้าบุคคลไม่เกิดอีกต่อไปก็แสดง
ว่าหนีพ้นจากบาปกรรม แต่ถ้ายังต้องมาเกดิ อีกก็แสดงว่าหนีไม่พ้น ก็บคุ คลไมส่ ามารถท่ีจะ
เอานามรูปอน่ื ข้างหน้ามาเป็นเหตุอ้างวา่ เป็นคนละนามรปู กนั เพ่ือใหพ้ น้ จากบาปกรรมที่ได้
กระทาไว้ในชาตินี้ เปรียบเหมือนคนขโมยมะม่วงถกู เจา้ ของจับได้ เมื่อคดีถงึ ศาลจาเลยจะ
แก้ตวั ว่า มะม่วงน้นั โจทก์มิได้ปลูกไว้ แต่เป็นคนอนื่ ปลูก เพราะฉะนน้ั มะม่วงท่ีจาเลยขโมย
ไปจึงเป็นของคนอื่นไม่ใช่เป็นของโจทก์ เม่ือแก้ตัวอย่างนี้ จาเลยก็ยังมีความผิดฐานลัก
๑๐๔
ขโมยอยู่ดี แม้จะปฏิเสธขอ้ กล่าวหาของ โจทกแ์ ต่ก็ยังช่ือว่ารับสารภาพในความผิดท่ีตนได้
กระทาไว้ฐานขโมยอยนู่ น่ั เอง
๒) นามรูปปฏิสนธคิ หณปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง การเกิดของนามรูป อนั เน่ืองมาจากผลกรรม
อธิบายว่า นามธรรมคือ จติ และเจตสิกเป็นตวั ส่งให้บคุ คลมาเกิด โดยนามธรรม
และรูปธรรมอาศัยซ่ึงกันและกันเกิดข้ึน ไม่ใช่นามธรรมอย่างเดียวเท่านั้นที่ส่งให้มาเกิด
เปรียบเหมือนไก่ก่อนจะเกิดเป็นตัว ก็ต้องอาศัยเช้ือตัวผู้ผสมแล้วเกิดมาเป็นฟองไข่อาศัย
ความอบอุ่นทแี่ ม่ไกฟ่ ัก จงึ จะทาใหเ้ กิดมาเป็นตัวไก่
๓) ปุนปฏิสนธคิ หณปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ถ้าบุคคลยังมีอุปาทานอยู่ก็จักปฏิสนธิแต่ถ้าไม่มี
อปุ าทานก็จักไม่ปฏิสนธิ
อธิบายว่า คนที่ยังมกี ิเลสอยู่ก็จะกลบั มาเกิดอีก ส่วนคนที่หมดกิเลสก็ไม่กลบั มา
เกิดอีก เพราะบุคคลย่อมรู้ตัวเองว่า เหตุปัจจัยแห่งการเกิดยังมีอยู่ หรือว่าหมดไปแล้ว
เปรียบเหมือนบุรุษคนหนึ่งทาความดีความชอบถวายพระเจ้าแผ่นดิน พระองค์ทรงยินดี
และพระราชทานบาเหน็จแก่บุรุษนั้น เขาบาเรอตนให้เอิบอ่ิมบริบูรณ์ด้วยกามคุณท้ัง
๕ ประการ เพราะบาเหนจ็ ทไ่ี ด้รบั พระราชทาน หากเขานั้นจะบอกแก่คนทว่ั ไปวา่ พระเจ้า
แผ่นดินไม่ทรงตอบแทนเขาแม้สักนิดเดยี ว การกระทาของเขากจ็ ะช่ือว่าเปน็ การกระทาไม่
ถกู ต้องจะมีประโยชน์อะไรกับคาถามทถี่ ามแล้ว ซ่ึงบุคคลก็กล่าวเจาะจงทีเดียว แล้ววา่ ถ้า
เขายงั มอี ุปาทานกจ็ กั ปฏิสนธอิ กี แตถ่ ้าไมม่ อี ุปาทานก็จกั ไมป่ ฏิสนธอิ กี
๔) นามรปู ปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง อะไรเปน็ นาม อะไรเป็นรปู เป็นนามรูป
อธิบายว่า สิ่งที่ไม่ปรากฏแก่ตา หูจมูก ล้ิน กาย เพราะเป็นของละเอียด หรือ
เป็นของไม่มีตัวไม่มีตน เช่น จิตและเจตสิก จัดเป็นนาม ส่วนสิ่งท่ีสามารถรู้ได้ด้วยตาเป็น
ต้น เพราะเป็นของหยาบ จัดเป็นรูป นามอย่างเดียวหรือรูปอย่างเดียวไม่สามารถท่ีจะ
เกิดข้ึนได้เพราะทั้งสองอย่างต้องอิงอาศยั ซ่งึ กันและกันจงึ จะเกิดขนึ้ ได้ถ้าขาดอย่างใดอยา่ ง
หน่ึงก็เกิดขึ้นไม่ได้ เปรียบเหมือนไก่ก่อนจะเกิดเป็นตัวไก่ก็ต้องเป็นฟองไข่มาก่อน และ
อาศัยความอบอนุ่ ที่แมไ่ ก่ฟกั จงึ เกดิ เปน็ ตัวไก่ได้
๑๐๕
๕) ธัมมสันตตปิ ญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ความสืบต่อแห่งธรรม คือ มนุษย์และสัตว์แรก
เกิดมีลักษณะเปน็ อยา่ งหนง่ึ เมื่อเจรญิ เตบิ โตข้ึนจะมลี ักษณะเปน็ อย่าง อ่ืนหรอื ไม่
อธิบายว่า บคุ คลผู้ท่ีตายไปแลว้ และกลับไปเกดิ อีก จะวา่ เป็นบคุ คลเดมิ กไ็ มใ่ ช่จะ
ว่าเป็นบุคคลใหม่ก็ไม่เชิง เปรียบเหมือนบุคคลเมื่อครั้งเป็นเด็กเยาว์วัยนอนอยู่ในอู่และ
เจริญเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ในบัดนี้คือ บุคคลคนเดียวกันนั่นเอง คนเดิมน้ีเองที่เป็นท้ังเด็ก
และผู้ใหญ่ เพราะอาศยั ร่างกายเดียวกันจึงนับว่าเป็นคน ๆ เดียวกัน เปรยี บเหมือนการจุด
โคมไฟไว้ตลอดคืนยันรุ่ง จะกล่าวว่าเปลวไฟในยามท่ี๑ กับในยามที่๒ เป็นเปลวไฟอัน
เดยี วกันก็ไมไ่ ดห้ รอื เปลวไฟในยามที่๒ กบั ในยามท่ี๓ เปน็ เปลวไฟอันเดยี วกนั ก็ไม่ไดแ้ ต่เม่ือ
จะบอก ว่าเป็นเปลวไฟคนละอย่างต่างชนิดกัน ก็ไม่ได้อีกเหมือนกัน ความสืบเนื่องแห่ง
นามรูปเป็น ฉนั น้นั
๖) นัปปฏสิ นธคิ หณปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลผู้จักไม่มาเกิดอีกจะรู้ตัวหรือไม่ว่าจักไม่มา
เกดิ อกี
อธิบายว่า บุคคลผู้ไมก่ ลบั มาเกิดอีกย่อมรู้ตัวเอง เพราะเหตุปัจจัยท่ีจะทาให้เกิด
ตอ่ ไปดับไปหมดแล้ว เขาจึงรตู้ วั เองว่าจะไม่เกิดอกี เหมือนชาวนาทานาได้ผลอยา่ งเต็มที่ใน
ปีแรก และในปีตอ่ ไปก็เรม่ิ ทานาหว่านขา้ วเหมอื นเดิม ถ้านา้ ดขี า้ วกล้าไมเ่ สียหาย เขาย่อมรู้
ว่าจะต้องไดผ้ ลอย่างเตม็ ท่แี นน่ อน
๗) กมั มนานากรณปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง เหตทุ ี่ทาใหค้ นเกิดมาไม่ เหมือนกนั
อธิบายว่า บุคคลผู้เกิดมาย่อมแตกต่างกัน คือ รูปร่างหน้าตา สติปัญญาไม่
เหมือนกัน บางคนมีอายุยืน บางคนมีอายสุ ้ัน บางคนมีผิวพรรณงดงาม บางคนมีผิวพรรณ
หยาบ บางคนมีปัญญาน้อย บางคนมีปัญญามาก เป็นต้น เพราะกรรมดีและกรรมชั่วท่ีแต่
ละบุคคลได้กระทาไว้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า สัตว์ท้ังหลายมีกรรมเป็นของตน มีกรรมเป็น
ทายาทมีกรรมเป็นกาเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พ่ึงอาศัย กรรมย่อมจาแนก
สัตว์ท้ังหลายให้เลวและดีต่างกัน เปรียบเหมือนต้นไม้ยังมีรสไม่เสมอกัน คือ บางพวกมีรส
เปรี้ยว บางพวกมีรสเค็ม บางพวกมีรสเผ็ด บางพวกมีรสขม บางพวกมีรสฝาด และบาง
พวกมรี สหวาน
๑๐๖
๘) ปกติอคั คิโตนิรยคั คนี งั อุณหาการปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ไฟในนรกรอ้ นกวา่ ไฟตามปกตธิ รรมดา
อธิบายว่า ไฟในนรกรอ้ นแรงกว่าไฟธรรมดาในมนุษย์ เพราะไฟปกติธรรมดาใน
โลกมนุษย์แม้บุคคลจะทิ้งก้อนหินขนาดย่อม ๆ ลงไป ถูกไฟเผาอยู่ก็ไม่ละลาย ส่วนไฟใน
นรก แม้บุคคลจะท้ิงก้อนหินขนาดใหญ่เท่าปราสาทเรือนยอดใส่ลงไป ก็ย่อมย่อยยับไป
เพียงครู่เดียวเท่านั้น การที่สัตว์นรกไม่ย่อยยับไปกับไฟในนรก เพราะมีกรรมเป็นเครื่อง
รักษาไว้สัตว์นรกจะยังไม่ตายตราบเท่าที่บาปกรรมนั้นยังไม่ส้ินไป เปรียบเหมือนอาหาร
ก้อน กรวด ก้อนหิน ท่ีสัตว์ท้ังหลายมีเป็ด ไก่เป็นต้น กลืนกินเข้าไปก็ย่อยสลายหมดไป
ส่วนไข่ไก่เป็นต้นซึ่งอยู่ในท้องไก่เหมือนกนั กลบั ไม่ย่อยสลายไปเหมือนกับส่ิงที่กลืนกนิ เข้า
ไปในทอ้ ง
๙) นจสังกมติปฏิสันธหนปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง สัตว์จะไปเกิดใหม่โดยที่ไม่ได้ย่างก้าวเดินไป ได้
หรอื ไม่
อธิบายวา่ เมื่อวิญญาณจะไปเกิดใหม่ไม่ต้องกา้ วย่าง ไม่ตอ้ งเดินไป สามารถท่ีจะ
ไปเกิดได้ทันทีเหมือนการจุดไฟโดยต่อมาจากไฟอีกดวงหนึ่ง จะกล่าวว่าไฟดวงท่ีถูกตอ่ ก้าว
มายังไฟดวงที่ต่อใหม่ก็ไม่ได้หรือเหมือนศิษย์เรียนวิชาจากอาจารย์วิชาก็ไม่ได้หายหมดไป
จากตัวอาจารย์แล้วเข้ามาอยู่ในตัวศิษย์แทนมีเพียงแต่วิชาท่ีศิษย์เรียนมาจากตัวอาจารย์
น่ันเอง
๑๐) อิมัมหากายาอัญญงั กายังสงั กมนปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง สตั วผ์ ู้ทเี่ คลื่อนออกจากกายน้ีแล้วไปสู่กายอ่ืนมอี ยู่
หรอื ไม่
อธบิ ายวา่ ไม่มีสัตว์ผูเ้ คลือ่ นจากกายน้ีแลว้ ไปสกู่ ายอ่ืน ส่วนการจะพน้ หรือไม่พ้น
จากบาปกรรมตอ้ งพิจารณาวา่ ถ้าสตั วไ์ ม่ถอื ปฏสิ นธอิ ีกก็จกั พ้นจากบาปกรรม แตถ่ ้าสตั ว์ยัง
ถือปฏิสนธอิ ีกกจ็ ักไมพ่ ้น บุคคลทากรรมดีบ้าง ช่ัวบ้าง ด้วยนามรูปนี้ นามรูปอ่ืนจึงปฏสิ นธิ
ข้นึ เพราะกรรมที่ไดก้ ระทาไวเ้ ปรยี บเหมอื นบุรุษคนหนึ่งขโมยผลมะม่วงของบุรษุ อีกคนหน่ึง
เขาต้องถูกลงโทษอย่างแน่นอน แม้จะอ้างว่าไม่ได้ขโมยมะม่วงที่บุรุษคนนั้นเพาะปลูก
เพราะเหตุไรจึงต้องถูกลงโทษด้วย แต่การอ้างก็ไม่เป็นเหตุให้พ้นโทษ เพราะมะม่วงท่ีเขา
๑๐๗
ขโมยไปอาศยั มะม่วงที่บุรษุ คนนั้นเพาะปลูก จึงทาให้เกิดผลข้นึ มาได้ เพราะเหตุนั้น เขาจึง
ตอ้ งถกู ลงโทษ
๑๑) กัมมผลอตั ถิภาวปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง กุศลกรรมและอกุศลกรรมท่ีบุคคลกระทาไว้จะ
ปรากฏอยทู่ ่ีไหน
อธิบายวา่ กรรมดีและกรรมชัว่ ที่บุคคลกระทาไว้จะตดิ ตามตัวเขาไปทุกท่เี หมือน
เงาที่ติดตามตัวไปอยู่ตลอดเวลา และไม่สามารถชี้ได้ว่ากรรมปรากฏอยู่ที่ไหน เหมือน
ตน้ ไมท้ ยี่ งั ไมผ่ ลดิ อกออกผล ก็ไม่สามารถชี้ไดว้ า่ ผลของตน้ ไม้อยทู่ ี่ตรงนีห้ รืออยทู่ ี่ตรงนัน้
๑๒) อุปปชั ชนชานนปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง บคุ คลผทู้ จ่ี ะไปเกดิ รู้ตวั หรือไม่
อธิบายว่า บุคคลที่จะไปเกิดอีกย่อมรู้ตัวเอง เปรียบเหมือนชาวนาหว่านข้าวลง
ไปในนาแลว้ ถา้ ฝนตกสม่าเสมอ และมีนา้ พอดเี ขาย่อมรไู้ ด้วา่ ธัญชาตทิ ่ีหว่านลงไปจกั ออก
รวงอย่างแน่นอน
๑๓) ปรโลกคตนลี ปตี าทวิ ณั ณคตปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บคุ คลผ้จู ะไปเกิดในโลกอื่น ไปด้วยสีและเพศอะไร
อธิบายว่า พระพุทธเจ้ามิได้ทรงแสดงไว้ว่า สัตว์ผู้ที่จะไปเกิดยังโลกหน้า ไปเกิด
ด้วย สีสันวรรณะอย่างไรแต่ไม่ได้ทรงประสงค์จะให้เขา้ ใจวา่ โลกหน้าไม่มีปรากฏ สัตว์ผู้ไป
เกิดในโลกหน้ามีอยู่อย่างแน่นอน เพียงแต่ไม่ปรากฏสีสนั วรรณะเท่าน้ัน เหมือนกับเสียงที่
เปล่งออกไปก็ไม่มีสีสันวรรณะปรากฏ แต่สามารถเข้าไปยงั โสตประสาทของผู้ฟังได้คติของ
สัตว์ก็เหมือนกัน เม่ือจะไปเกิดในโลกหน้าก็มิได้ปรากฏว่ามีสีเขียว เหลือง ขาว หรือมี
รูปทรงสัณฐานเหมือนช้าง ม้า เป็นต้น รา่ งกายทีม่ ีปรากฏอย่ใู นโลกน้ีไมม่ สี ่วนใดตามไปเกิด
ในโลกหน้าและไม่มีร่างกายที่เกิดข้ึนเองอีกร่างหน่ึงต่างหาก เปรียบเหมือนรวงข้าวในนา
จะเกิดขึ้นมาเองโดยลาพังไม่ได้ ต้องอาศัยพืชพันธ์ุที่ชาวนาหว่านลงไป จึงจะเกิดรวงใหม่
ขน้ึ มา
๑๔) มาตุกุจฉิปฏสิ นธปิ ัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง สัตว์เมื่อจะปฏิสนธิในครรภ์ของมารดา ปฏิสนธิ
โดยทวารไหน
๑๐๘
อธิบายว่า สัตว์ผู้จะไปถอื ปฏิสนธิในครรภ์มารดา ไม่ปรากฏว่าเข้าไปถอื ปฏิสนธิ
ทางทวารใดทวารหน่ึง เหมือนจิตที่เข้าไปในหีบแก้ว ไม่ปรากฏว่าจิตดวงน้ันเข้าไปทางใด
เพราะไม่มีช่องทางสาหรับส่งจิตเข้าไป การที่จิตเข้าไปรู้เห็นส่ิงท่ีอยู่ในหีบแก้วก็เน่ืองด้วย
จิตหมายรตู้ ามที่ได้ร้แู จง้ ประจกั ษม์ าก่อน
๑๕) สัตตานงั มัจจโุ นภายนปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง สัตว์ทุกประเภท ย่อมสะดุ้งกลัวโทษทัณฑ์ย่อม
หวาดกลัวความตาย เพราะเหตุไร พระอรหันต์จึงกา้ วลว่ งภัยทงั้ ปวง
อธิบายวา่ สัตว์ทกุ ประเภทยงั มกี ิเลส มีทฏิ ฐิไปตามตนเอง คือ เห็นว่าเป็นตัวเป็น
ตนมีประมาณยิ่ง และย่อมฟูขึ้นและยุบลงเพราะสุขและทุกข์จึงสะดุ้งกลัวโทษทัณฑ์
หวาดกลัวความตาย ส่วนพระอรหันต์เลิกถอนกิเลสได้หมดส้ิน จึงไม่หวาดกลัวความตาย
แม้สตั ว์นรกผูเ้ สวยทุกขเวทนาอย่างแสนสาหัส จะเบอ่ื หน่ายตอ่ การถูกทรมานก็จริงแต่ก็ยัง
กลัวตายอย่นู ั่นเอง เพราะเหตุปจั จยั แห่งความกลัวยงั คงมีอยู่
๑๖) มจั จปุ าสมตุ ตปิ ญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง บุคคลจะดารงอยู่ในท่ีใด ๆก็ไม่พ้นจากบ่วงแห่ง
มัจจรุ าช เพราะเหตไุ ร พระปริตร๑๒๖จึงเปน็ เคร่ืองป้องกันบ่วงแหง่ มจั จรุ าช
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงพระปริตรเป็นเครื่องป้องกัน สาหรับคนผู้มี
อายุยัง เหลืออยู่เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยวัย มีกรรมเคร่ืองห้ามก้ันไปปราศจากแล้ว สาหรับคน
สิ้นอายุแล้วกิจท่ีต้องทาหรือความพยายามเพื่อความดารงอยู่แห่งชีวิตย่อมไม่มีเพราะถ้า
บคุ คลหมดอายุขัยแล้วก็ไม่สามารถท่ีจะป้องกันได้เหมือนตน้ ไมท้ ่ีตายแล้ว บุคคลจะเอาน้า
ไปรดตงั้ ร้อยหม้อหรือ พันหม้อ ก็ไม่สามารถท่ีจะชุ่มช้ืนกลับคืนมามีใบผลิตดอกออกผลได้
พระปรติ รไมอ่ าจ คุ้มครองรักษาได้เพราะเหตุ ๓ ประการ คือ
(๑) กัมมาวรณะเคร่ืองขวางกน้ั คอื กรรม
(๒) กเิ ลสาวรณะเครื่องขวางกนั้ คอื กิเลส
(๓) อสัททหนตา ความไม่เช่อื ถือในพระปรติ ร
๑๒๖พระปริตร คือพระพุทธมนตส์ าหรบั เป็นเคร่อื งปอ้ งกนั อปุ ัทวันตรายท้งั ปวง.
๑๐๙
เพราะฉะน้ัน การท่ีพระพุทธเจ้าทรงแสดงพระปริตร ไม่ได้ทรงมุ่งหมายว่าเป็น
อบุ ายใหห้ นพี ้นจากความตาย บุคคลผูถ้ งึ คราวตายยอ่ มไม่มอี ะไรเป็นเคร่ืองปอ้ งกันได้แมจ้ ะ
เหาะไปใน อากาศ ดาลงไปสู่ใจกลางทะเล หรอื เขา้ ไปหลบตัวในซอกเขา ก็ไม่พ้นจากความ
ตาย เพราะไม่มแี ผ่นดนิ สักผืนหน่ึงทบี่ ุคคลดารงอยู่แลว้ จะไมถ่ ูกความตายครอบงาได้
๑๗) กาลากาลมรณปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง สตั ว์ผู้ท่จี ะตอ้ งตายย่อมตายในเวลาท่ีสมควร หรือ
ตายในเวลาที่ไมส่ มควร
อธิบายว่า สัตว์บางพวกย่อมตายในเวลาท่ีสมควร ส่วนบางพวกยอ่ มตายในเวลา
ทีไ่ ม่ สมควร สัตว์ท่ีถกู กาลังความชรากาจดั แล้วตายช่ือวา่ ย่อมตายในเวลาที่สมควร และที่
ตายด้วยกรรมชักนา คตชิ กั นา หรือกิรยิ าชักนาช่ือวา่ ย่อมตายในเวลาทสี่ มควรเหมือนกนั ก็
อันมใี นบคุ คล ๗ จาพวก คอื
(๑) บคุ คลผู้หวิ จัด ไม่ได้อาหาร
(๒) บุคคลผู้กระหายจดั ไมไ่ ด้นา้ ดมื่
(๓) บุคคลผถู้ กู งกู ดั ไมไ่ ดร้ ับการบาบดั รกั ษา
(๔) บคุ คลผดู้ ืม่ ยาพิษ ไม่ไดก้ ินยาแก้พษิ
(๕) บุคคลผู้ถูกไฟเผาอย่ไู มไ่ ด้นา้ ดับไฟ
(๖) บุคคลผู้ตกน้าไมไ่ ด้ทยี่ ึดเกาะ
(๗) บคุ คลผู้ถกู ประหารด้วยหอก ไมไ่ ด้หมอผ่าตดั รักษา
บุคคลเหล่านี้แม้มีอายุยืน ก็ช่ือว่าตายในเวลาท่ีไม่สมควร ถ้าสัตว์บางพวกตาย
ด้วยวิบาก แห่งอกศุ ลกรรมท่ีเคยกระทาไวใ้ นกาลก่อน เชน่ ในชาตกิ อ่ นเคยให้เขาอดอาหาร
อดน้า จนถึงแก่ความตายเมอ่ื เกดิ มาในชาติน้ีหิวอาหาร กระหายน้าไม่ได้ในสง่ิ ทีต่ นต้องการ
จนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ก็นับว่าเป็นการตายในเวลาที่สมควร อีกอย่างหนึ่ง สัตว์
ทั้งหลายย่อมตายด้วยเหตุ๘ ประการ คือ
(๑) โรคมลี มเปน็ สมุฏฐาน
(๒) โรคมีดเี ปน็ สมฏุ ฐาน
(๓) โรคมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน
(๔) โรคมสี ันนิบาตเปน็ สมุฏฐาน
(๕) ความแปรปรวนแหง่ ฤดู
๑๑๐
(๖) การบรหิ ารอิรยิ าบถทไี่ มส่ มา่ เสมอ
(๗) ความเพยี รพยายามของบคุ คลอนื่
(๘) วบิ ากกรรม
ในการตายทั้ง ๘ อย่างน้ี การตายดว้ ยวิบากกรรมเท่าน้ัน เป็นการตายในเวลาที่
สมควร สว่ นการตายที่เหลือนอกน้ัน เป็นการตายในเวลาท่ไี ม่สมควรเหมือนผลไม้ท่ีสุกงอม
หลุดร่วงหล่นลงมาจากต้นเป็นการหล่นในเวลาท่ีสมควร ส่วนผลไม้ที่เหลือ บางผลก็ถูก
หนอนไชรว่ งหล่นไป บางผลถกู พวกนกกาตตี กหลน่ ไป บางผลก็ถกู ลมพัดหล่นลงไป บางผล
กเ็ น่าในเป็นเหตุใหห้ ลน่ ไปนับวา่ เปน็ การหลน่ ในเวลาที่ไมส่ มควร
๑๘) ทฆี มทั ธานปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง กาลไกลอันยืดยาว
อธิบายว่า กาลไกลท้ังหมดมีทั้งที่เป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน บรรดากาลไกล
เหล่าน้ันบางอย่างก็มี แต่บางอยา่ งกไ็ มม่ ี สังขารทัง้ หลายท่ีเปน็ อดีต ลว่ งลับ ดบั ไป แปรปรวน
ไป กาลไกลอย่างน้ีไม่มี ธรรมทเ่ี ป็นวิบาก ธรรมท่ีมวี ิบากเป็นธรรมดา และ ธรรมที่ให้ปฏิสนธิ
ในภพอ่นื กาลไกลอย่างน้ีจึงมีอยู่ สัตว์ที่ตายไปเกิดในภพอื่น เป็นเหตทุ าใหก้ าลไกลยังคงมีอยู่
แต่สตั ว์ท่ีปรินิพพานแล้ว กเ็ ปน็ เหตุทาให้กาลไกลไมม่ เี พราะกาลไกล นนั้ ดบั ไปแล้ว
๑๙) อทั ธานปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง อะไรเป็นมูลเหตุของกาลไกลท่ีเป็นอดีต อนาคต
และปัจจบุ ัน
อธิบายว่า อวิชชาเป็นมูลเหตุของกาลไกลท่ีเป็นอดีต อนาคต และปัจจุบัน
สังขาร เกิดมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจยั วิญญาณเกดิ มีเพราะสังขารเป็นปัจจัย นามรูปเกิดมี
เพราะ วิญญาณเป็นปัจจัย สฬายตนะเกิดมีเพราะนามรูปเป็นปัจจัย ผัสสะเกิดมี
เพราะสฬายตนะ เป็นปัจจัย เวทนาเกิดมีเพราะผัสสะเปน็ ปจั จยั ตัณหาเกดิ มเี พราะเวทนา
เป็นปัจจัย อุปาทานเกิดมีเพราะตัณหาเป็นปัจจัย ภพเกิดมีอุปาทานเป็นปัจจัยชาติเกิดมี
เพราะภพเป็นปัจจัยชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาสะเกิดมีเพราะชาติเป็น
ปจั จยั สว่ นปลายสุดข้างต้นแห่งกาลไกลแห่งกองทุกข์ท้ังมวลน้ีย่อมไม่ปรากฏ ด้วยอาการ
อย่างน้ี
๒๐) ปุรมิ โกฏิปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง เหตุท่ีปลายสุดข้างต้นไมป่ รากฏ
๑๑๑
อธิบายว่า ปลายสุดข้างต้นของกาลไกลไม่ปรากฏ เปรียบเหมือนบุรุษคนหนึ่ง
เพาะปลูกพืชลงในแผ่นดิน หน่อก็จะแตกออกจากพืชแล้วเจริญงอกงามไพบูลย์โดยลาดับ
จนเผล็ดผล เขานาเอาเมล็ดพืชจากต้นนั้นไปเพาะปลูกอีก หน่อก็แทงขึ้นมาถึงความเจริญ
งอกงามไพบูลย์จนเผล็ดผล ที่สุดของความสบื ต่อย่อมไม่มีด้วยอาการอยา่ งน้ีเหมือนฟองไข่
เกิดจากแม่ไก่แม่ไก่ก็เกิดจากฟองไข่และฟองไข่ก็เกิดจากแม่ไก่อีกเหมือนเดิม เมื่อเป็น
อย่างน้ัน ทีส่ ุดของความสืบต่อย่อมไม่มีหรือเหมือนจักรซึ่งมีรูปเป็นวงกลม ที่สุดของจักรก็
ไม่มีปรากฏจักรที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ก็เหมือนกัน คือ จักขุวิญญาณเกิดขึ้นเพราะ
อาศัยตากับรูปโสตวิญญาณเกิดขน้ึ เพราะอาศัยหูกับเสียง ฆานวิญญาณเกดิ ขึ้นเพราะอาศัย
จมูกกับกลิ่นชิวหาวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัยลิ้นกับรส กายวิญญาณเกิดขึ้นเพราะอาศัย
กายกับโผฏฐัพพะมโนวิญญาณเกิดข้ึนเพราะอาศัยใจกับธรรม ความพร้อมเพรียงกันแห่ง
ธรรม ๓ ประการ เปน็ ผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัยเวทนาจึงเกิด เพราะเวทนาเปน็ ปัจจัย
ตณั หาจึงเกิด ตัณหาเป็นปัจจัยให้เกิดอุปาทาน และอุปาทานเป็นปัจจัยให้เกิดกรรม ตา หู
จมูก ลิ้น กายใจย่อมเกิดข้ึนแต่กรรมนั้นอีก เม่ือเป็นเช่นนั้น ที่สุดของความสืบ ต่อจึงไม่
ปรากฏ ด้วยอาการอยา่ งนีป้ ลายสดุ ขา้ งต้นแหง่ กาลไกลก็ไมป่ รากฏเหมอื นกนั
๒๑) โกฏปิ ญั ญายนปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง อะไร คือ ปลายสุดข้างต้น ท่ีไม่ปรากฏความ
พร้อมเพรียงกันแห่งธรรม ๓ ประการ คือ (๑) จักขุคือ ประสาทตา(๒) รูป คือ ภาพที่จะ
เหน็ (๓) จกั ขวุ ิญญาณ คอื การเห็นภาพ
อธิบายว่า ปลายสุดข้างต้นท่ีไม่ปรากฏ คือ กาลไกลที่เป็นอดีต ก็ปลายสุด
ข้างต้นนั้นบางอย่างปรากฏ แต่บางอย่างก็ไมป่ รากฏ ก่อนหน้าน้ี อวิชชาไม่ไดม้ ีโดยส้ินเชิง
โดยประการทั้งปวง ชื่อว่า ปลายสุดเบื้องต้นไม่ปรากฏ ส่วนส่ิงใดที่ยังไม่มีย่อมเกิดมี ท่ีมี
แล้วกลับไปปราศช่ือว่า ปลายสุดข้างต้นย่อมปรากฏ แม้สิ่งใดท่ียังไม่มีย่อมเกิดมี ที่มีแล้ว
กลับไปไม่มี ส่ิงนั้นถอื ว่าขาดท้ังสองข้าง คือ ข้างเกิด และข้างดับ ถงึ ความตง้ั อยู่ไม่ไดแ้ ต่สิ่ง
ที่ขาดแล้วท้ังสองขา้ งก็ยังสามารถเช่ือมต่อไดเ้ พราะปลายสุดสามารถเชอ่ื มต่อได้ด้วยปลาย
สุดเหมือนกัน เหมือนต้นไม้แรกปลูกยังไม่มีใบไม่มีดอก เม่ือเกิดมีลาต้นก็ทาให้มีใบมีดอก
ด้วยอานาจของลาต้น ใบและดอกจึงเกิดติดต่อกันข้ึนมา และในท่ีสุดก็ร่วงหล่นไปตาม
กาลเวลาจะเหลืออยู่ก็เพียงลาต้นเท่านั้น เม่ือถึงฤดูกาลใหม่ใบและดอกก็จะเกิดข้ึนมาอีก
ครั้งเพราะฉะนน้ั ขนั ธท์ ้งั หลายจงึ เป็นพชื แหง่ กองทกุ ขท์ ้งั ส้ิน
๑๑๒
๒๒) สงั สารปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง สังสารวัฏ
อธิบายว่า สังสารวัฏ คอื การเวียนว่ายตายเกดิ บุคคลเกิดมาในท่ีนี้และก็ตายใน
ท่นี ้ี เมื่อตายจากทนี่ ก้ี ็ไปเกิดในที่อ่นื เม่อื เกิดในท่ีน้นั ก็ตายในท่นี ้ันน่ันเอง เมอ่ื ตายจากทน่ี ้ัน
ก็ไปเกิดข้ึนในที่อื่นต่อไป การเกิดเวียนว่ายตายเกิดอย่างน้ีแหละ ชื่อว่า สังสารวัฏ เปรียบ
เหมือนบุคคลบริโภคมะม่วงสุกแล้ว นาเอาเมล็ดไปเพาะพันธ์ุจนกลายเป็นมะม่วงต้น
ใหญ่ เจริญเติบโตผลิดอกออกผล เขาเก็บมาบริโภคอีก และนาไปเพาะพันธุ์ใหม่ จนถึง
เผลด็ ผล เป็นลาดับมาปลายสดุ ของตน้ มะม่วงมไิ ด้ปรากฏ ดว้ ยอาการทส่ี ืบเน่อื งต่อกนั ม
๒๓) สังขารชายนปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง สังขารบางอย่างท่เี กิดอยูม่ ี หรือไม่
อธิบายวา่ สังขารบางอย่างท่ีเกิดอยู่กย็ ่อมมีอยู่ คือ เม่อื ตาและรูปมจี กั ขุวญิ ญาณ
ก็ย่อมเกิดมีเมื่อจักขุวิญญาณมีจักขุสัมผัสก็ย่อมเกิดมี เมื่อจักขุสัมผัสมีเวทนาก็ย่อมเกิดมี
เม่ือเวทนามีตัณหาก็ย่อมเกิดมีเมื่อตัณหามีอุปาทานก็ย่อมเกิดมี เม่ืออุปาทานมีภพก็ย่อม
เกิดมีเม่ือภพมีชาติก็ย่อมเกิดมีเม่ือชาติมีชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาสะก็
ย่อมเกิดมีกองทุกข์ท้ังสิ้นนี้ย่อมเกิดมีด้วยอาการอย่างน้ี เมอ่ื ตาและรูปไม่มีจักขุวิญญาณก็
ไม่มีเม่ือจักขุวิญญาณไม่มีจักขุสัมผัสก็ไม่มีเม่ือจักขุสัมผัสไม่มีเวทนาก็ไม่มีเมื่อเวทนาไม่มี
ตณั หาก็ไม่มีเม่ือตัณหาไม่มีอุปาทานก็ไมม่ ี เมื่ออุปาทานไม่มีภพก็ไม่มีเมอ่ื ภพไม่มีชาติก็ไม่มี
เมือ่ ชาตไิ ม่มีชรามรณะโสกะปริเทวะทุกข์โทมนัสอุปายาสะกไ็ ม่มี กองทุกขท์ ั้งสิน้ น้ี ยอ่ มดับ
ไปดว้ ยอาการอยา่ งน้ี
๒๔) ภวนั ตสงั ขารปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื ง สงั ขารบางอยา่ งที่ไม่เคยเกดิ มีมาก่อน จะเกิดมีข้ึน
หรอื ไม่
อธิบายว่า สังขารบางอย่างที่ไม่เคยเกิดย่อมไม่เกิดข้ึน สังขารที่เคยเกิดข้ึนแล้ว
เท่าน้ันจึงจะเกิดขึ้นได้เหมือนพืชคามและภูตคามบางอย่างทปี่ ลูกบนผืนดิน ถึงความเจริญ
งอกงามไพบูลย์โดยลาดับ เผล็ดดอกออกผล ต้นไม้เหล่าน้ันไม่ใชจ่ ะไม่เคยเกิดมาก่อนแล้ว
ถงึ มาเกดิ ทีหลังแต่ล้วนเคยเกดิ มากอ่ นแล้วทง้ั สน้ิ จงึ ทาให้เกดิ ขน้ึ มา
๒๕) เวทคูปญั หา
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง เวทคู
๑๑๓
อธิบายว่า สภาวะท่ีเรียกว่าเวทคูคือ อาศัยตาเห็นรูปเกิดจักขุวิญญาณ อาศัยหู
กับ เสียงเกิดโสตวิญญาณ อาศัยจมูกกับกลิ่นเกิดฆานวิญญาณ อาศัยล้ินกับรสเกิดชิวหา
วิญญาณอาศัยกายกบั โผฏฐัพพะเกิดกายวญิ ญาณ อาศัยใจกบั ธรรมเกิดมโนวิญญาณ ธรรม
เหล่าน้ี คือผสั สะ เวทนา สัญญา เจตนา เอกัคตา ชีวติ ินทรียแ์ ละมนสิการ ซึง่ เกิดพร้อมกับ
วิญญาณย่อมเกดิ ข้ึนเพราะปจั จัยอย่างนอี้ นึ่ง เจตภูต (เวทคู) ไม่มอี ย่ใู นธรรม เหลา่ นี้
๒๖) เวทคูปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง เจตภตู มีอยูห่ รือไม่
อธิบายว่าเจตภูตไมม่ อี ยู่โดยปรมตั ถ์
๒๗) ปญั จายตนกมั มนพิ พัตตปัญหา
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง อายตนะท้ัง ๕ อย่าง เกิดขึ้นจากกรรมต่างกัน
หรือกรรมอย่างเดียวกนั
อธิบายว่า อายตนะท้ัง ๕ อย่าง เกิดข้ึนจากกรรมที่ต่างกัน ไม่ได้เกิดขึ้นจาก
กรรมอย่างเดียวกัน เปรยี บเหมือนบุคคลหวา่ นพชื ต่างชนิดกันลงในไรเ่ ดยี วกนั ผลของพชื ท่ี
ตา่ งกันก็จะยงั คงเกิดขึ้นตา่ งกันอยู่นัน่ เอง
เม่ือเราศึกษาถึงความเชื่อมโยงต่อกันจึงจาเป็นต้องนาสังสารวัฏมาขยายความ
คือ การเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารถ้าบุคคลยังมีกิเลสเป็นเหตุให้ต้องทากรรม ก็ต้อง
เสวยวิบากกรรมอย่างไม่ส้ินสุด แม้บุคคลผู้ตามไปอยู่ก็ไม่สามารถที่จะเห็น ที่สุดและ
เบือ้ งต้นสงั สารวฏั ได้ เพราะเป็นสภาพที่ยาวนานจนไมส่ ามารถกาหนดได้ว่า เร่ิมต้นมาจาก
ไหน และจะไปสิ้นสุดลงที่ไหน กรรมที่แต่ละบุคคลกระทาไว้จะติดตามตัวไป ในทุกภพทุก
ชาติเหมือนเงาท่ีคอยติดตามตัวอยู่ตลอดเวลา ทุกคนที่เกิดขึ้นมาล้วนมีกรรม เป็นของ
ตัวเองทั้งนั้น ต่างกันก็แต่เพียงว่ามากหรือน้อย เลวหรือดีเพราะกรรมย่อมจาแนก สัตว์
ท้ังหลายให้เลวและดีบุคคลผู้ทากรรมดีย่อมได้รับผลดีผู้ทากรรมช่ัวย่อมได้รับผลช่ัว อนึ่ง
สัตว์โลกท้ังหลายย่อมเป็นไปตามกรรม หมู่สัตว์เป็นไปตามกรรมเพราะสัตว์ ท้ังหลายมี
กรรมเป็นเครื่องผูกพัน เปรียบเหมือนรถมีหมุดเป็นเคร่ืองตรึงไว้แล่นไปอยู่เพราะฉะนั้น
กรรมจึงเป็นเรื่องสาคัญในพระพุทธศาสนา บุคคลควรศึกษาให้เข้าใจอย่างชัดเจน เพ่ือ
ประโยชน์แก่การปฏิบัติอย่างถูกต้องความหมายของคาว่า กรรม โดยนัย หมายถึง
กระบวนการสืบเนื่องแห่งพฤติกรรมของบุคคล ซึ่งเป็นพลังทาให้โลกส่วนตนและโลก
ส่วนรวมสามารถดาเนนิ ไปได้ดงั พระพุทธพจน์ทวี่ ่า สัตวโ์ ลกยอ่ มเป็นไปตามกรรมกรรมเป็น
๑๑๔
พฤติกรรมสากลที่เป็นตัวหมุนโลก ไม่ใช่เพียงแค่การกระทาทางกาย วาจา หรือใจ ของ
บุคคลใดบุคคลหนงึ่ โลกจาเป็นตอ้ งอาศยั สตั วท์ ส่ี ามารถแสดงพฤตกิ รรมเพ่ือเปน็ ตัวหมนุ โลก
เหมือนรถยนต์ว่ิงได้เพราะอาศัยเคร่ืองยนต์ซึ่งมีอะไหล่แต่ละตัวคอย ทาหน้าที่ของตน
นอกจากน้ันกรรมยังหมายถึง แหล่งรวมพฤติกรรมของสัตว์โลกท่ีเคย กระทาไว้ในอดีต
กรรมที่สั่งสมไว้ในอดีตจะกลายมาเป็นตัวกาหนดชีวิตตั้งแต่เร่ิมต้นไปจนจบ แก้ไขก็ไม่ได้
หรือทากลบั คืนก็ไมไ่ ด้เพราะชวี ติ ถูกลิขติ ดว้ ยกรรม
กรรมนิยามในพทุ ธศาสนาแบง่ เปน็ ๒ ระดบั คือ
(๑) กฎศีลธรรม คือ กฎแห่งกรรม หมายถึง บุคคลหว่านพืชเช่นใด ย่อมได้ผล
เช่นน้นั คนทาดยี อ่ มได้ดีทาชว่ั ยอ่ มได้ช่วั ๑๒๗แสดงถึงการกระทากรรมและผลของกรรม ว่ามี
สภาพเหมือนกัน ไม่แตกต่างไปจากกัน บุคคลกระทากรรมเช่นไรก็ย่อมได้รับผล เช่นนั้น
เป็นการตอบแทน กรรมดีใหผ้ ลเปน็ สขุ กรรมชั่วใหผ้ ลเปน็ ทุกขซ์ ึ่งเป็นการอธิบาย ตามหลัก
ศลี ธรรมในพระพทุ ธศาสนา
(๒) กฎธรรมชาติ คือ กฎแห่งเหตุผล หมายถึง เม่ือสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมีเพราะสิ่งน้ี
เกดิ ขึ้น ส่งิ นี้จึงเกดิ ขน้ึ เมือ่ สิง่ น้ไี ม่มีสิ่งน้ีจงึ ไม่มีเพราะส่ิงนีด้ ับไป ส่ิงน้ีจงึ ดับไป ๑๒๘ แสดงถึง
กฎท่ัวไปของธรรมชาติ ทุกส่ิงทุกอย่างล้วนเกดิ ข้ึนจากเหตุปจั จัยทั้งส้ิน ไม่มีผู้กระทา กรรม
ไม่มีผู้รับผลของกรรม และไม่มีผู้ท่ีจะมาดลบันดาลให้คนเราดีหรือชั่ว เพราะขึ้นอยู่ กับกฎ
แห่งเหตุผล ซึ่งเป็นการอธิบายกระบวนการแห่งเหตุและผลตามหลักสากลกรรมใน
พระพุทธศาสนาจึงเป็นเร่ืองในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต เป็นพฤติกรรมทางกาย วาจา
และใจ พระพุทธศาสนามีทัศนะเกี่ยวกับเร่ืองกรรมว่า กรรมท่ีกระทาไว้ในอดีตทงั้ หมด ไม่
สามารถจะกาหนดวิถีชีวิตของคนเราได้หมด แต่กาหนดได้เพียงบางส่วนแม้บุคคลจะ
ไม่ สามารถแก้ไขกรรมที่เคยกระทาไว้ในอดีต แต่สามารถกระทากรรมดีให้เพิ่มมากข้ึน
เพอื่ ให้กรรมดีปรากฏผลออกมามาก ก็ทาใหก้ รรมในอดตี ทไ่ี มด่ ีรอคอยเวลาที่จะให้ผล เมื่อ
เวลาล่วงเลยไป ผลของกรรมที่ไมด่ กี จ็ ะเจอื จางเบาบางลงกลายเป็นอโหสกิ รรม
๒.๓ หลักธรรมเกย่ี วกับพทุ ธจรยิ าและพทุ ธคณุ
๑๒๗ส .ส. (ไทย) ๑๕/๒๕๖/๓๗๔, ส .ส. (บาลี) ๑๕/๒๕๖/๒๗๓.
๑๒๘ส .น.ิ (ไทย) ๑๖/๒๑/๓๘, ส .นิ. (บาลี) ๑๖/๒๑/๒๘.
๑๑๕
๑) พุทธอัตถนิ ัตถภิ าวปญั หา๑๒๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง พระพทุ ธเจ้ามอี ยู่ จรงิ หรอื ไม่
อธิบายว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่จริง แม้ตัวเราและบคุ คลอ่ืนจะไม่เคยเห็น แต่มีเหตุ
ที่ สามารถเป็นเคร่อื งพสิ ูจน์คือ โลกุตรธรรม ๙ ประการ๑๓๐ซึ่งเปน็ ธรรมข้ันสงู สุดพ้นวสิ ัยที่
คนธรรมดาสามัญจะพึงคิดเห็นได้เอง บุคคลผู้ท่ีมีบารมีอันเต็มเป่ียม และมีสติปัญญาแก่
กล้าเท่าน้ัน จึงจะสามารถตรัสรู้ธรรมเหล่านั้นได้ เม่ือพระองค์ตรัสรู้แล้ว นาเอาธรรม
เหล่าน้ันมาประกาศเผยแผ่ให้พุทธบริษัทได้รู้แจ้งเห็นจริงตาม จึงเป็นเคร่ืองยืนยันว่า
พระพุทธเจ้ามอี ยูจ่ รงิ เปรียบเหมือนแม่น้าอหู านที๑๓๑ท่ีปา่ หิมพานต์แม้ตวั บุคคลและบรรพ
บุรษุ ของเขาจะไม่ เคยเห็นแต่แม่นา้ ก็มีอยู่จริง
๒) พุทธานตุ ตรภาวปัญหา๑๓๒
พระนาคเสนตอบปญั หาเรอื่ ง พระพทุ ธเจ้าไมม่ ใี ครจะ ฃยง่ิ เกินกว่าพระองค์
อธิบายว่าแม้บุคคลผู้ไม่เคยพบเห็นพระพุทธเจ้า แต่เมื่อฟังคาส่ังสอนของ
พระองค์ หรือพบเห็นพระพุทธสาวกผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบและที่ปรินิพพานแล้ว ก็ทาให้
ไดร้ ับความสขุ กายสขุ ใจจงึ สามารถรไู้ ด้ว่า พระพุทธเจ้าเปน็ ผู้ประเสริฐอย่างแท้จรงิ เหมอื น
คนท่ี ยังไม่เคยเห็นทะเล เมื่อมีคนพูดถึงทะเลก็จะรู้สึกตรงกันว่า ทะเลมีความกว้างใหญ่
ไพศาล สุดท่ีจะพรรณนายากท่ีจะหยั่งถึง เพราะแม่น้าใหญ่ทั้ง ๕ สาย คือ (๑) คงคา (๒)
ยมุนา (๓) อจิรวดี(๔) สรภู(๕) มหิย่อมไหลไปสู่มหาสมุทรอย่างไม่ขาดสาย ทาให้
มหาสมุทรไม่พรอ่ ง หรือเต็มข้นึ กวา่ เก่า
๓) พทุ ธานตุ ตรภาวชานนปัญหา๑๓๓
๑๒๙มลิ ินทฺ . ๑/๗๖.
๑๓๐อภ.ิ สงฺ.(ไทย) ๓๔/๑๑๐๐/๓๗๙, อภ.ิ สงฺ. (บาลี) ๓๔/๑๑๐๐/๒๕๖
โลกุตรธรรม ๙ ประการคือ (๑) โสดาปัตติมรรค (๒) โสดาปัตติผล (๓) สกทาคามิมรรค
(๔) สกทาคามิผล (๕) อนาคามิมรรค (๖) อนาคามิผล (๗) อรหันตมรรค (๘) อรหันตผล (๙)พระ
นิพพาน.
๑๓๑แม่น้าอูหานที คือแม่น้าท่ีไหลแยกออกจากสระอโนดาต บนภูเขาหมิ พานต์ซง่ึ เปน็ ต้น
กาเนดิ แมน่ ้าคงคา
๑๓๒มลิ นิ ฺท. ๒/๗๗.
๑๓๓มลิ ินทฺ . ๓/๗๗.
๑๑๖
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง บุคคลอ่ืนจะรู้หรือไม่ว่าไม่มีใครยิ่งเกินกว่า
พระพุทธเจา้
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงเปิดเผยธรรม ท่ีกระทาให้พระองค์เป็นผู้เลิศเป็นผู้
ประเสริฐที่สุด ให้เป็นแนวทางสาหรับผู้ปฏิบัติตาม และผู้ท่ีได้พบเห็นพระพุทธองค์ผู้ทรง
พุทธคุณ ส่ิงเหล่านี้เป็นเครื่องยืนยันว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นผู้ยอดเยี่ยมจริง เร่ืองเคยมี
มาแล้วว่าพระติสสเถระเป็นอาจารย์สอนหนังสอื ทา่ นเป็นท่ีร้จู ักของคนทั่วไปในครั้งนัน้ แม้
ท่านมรณภาพไปนานแลว้ แต่กิตติศัพทข์ องท่านยังคงปรากฏอยู่ เพราะลายมือที่ปรากฏอยู่
ในหนังสือน่ันเอง ผูใ้ ดเหน็ ธรรมผนู้ น้ั ชื่อวา่ เหน็ พระผู้มีพระภาคเจ้า เพราะว่า พระธรรมเป็น
ส่ิงทีพ่ ระองค์ทรงแสดงไวด้ ีแลว้
๔) พุทธนทสั สนปัญหา๑๓๔
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง เมอ่ื พระพทุ ธเจ้ามอี ยูจ่ ริง พระองคป์ ระทับอย่ทู ไ่ี หน
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าเสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว ไม่สามารถที่จะชี้ได้ว่า
พระองค์ประทับอยู่ท่ีนี้หรือท่ีนั้น เหมือนเปลวแห่งกองไฟใหญ่ซ่ึงลุกโพลงอยู่แล้วดับไปไม่
สามารถช้ีได้ว่าเปลวไฟน้ันอยู่ท่ีนี้หรือท่ีน้ัน เพราะเปลวไฟดับไปแล้ว ถึงความไม่มีบัญญัติ
พระพุทธองค์ทรงมีอยู่จริง แต่เพราะพระองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุปาทิเสสนิ
พพานธาตุ จึงไม่สามารถช้ีได้ว่าประทับอยู่ที่ไหน ถึงอย่างน้ัน ก็สามารถชี้ได้ด้วย
ธรรมกาย๑๓๕ ซง่ึ เป็นธรรมที่พระผ้มู พี ระภาคเจ้าทรงแสดงไวแ้ ลว้
๕) ทวัตตงิ สมหาปรุ ิสลักขณปัญหา๑๓๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระพุทธเจ้า ทรงประกอบด้วยมหาบรุ ุษลักษณะ
๓๒ ประการ และรงุ่ เรืองดว้ ยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการจริงหรือไม่
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงประกอบด้วยมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ
รุ่งเรืองดว้ ยอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีพระฉวีวรรณผุดผ่องดุจทองคา มีพระรัศมีแผ่ออก
จากพระ วรกายประมาณวาหนึ่ง พระองค์ทรงมีพระลักษณะไม่เหมือนพระพระราชบิดา
และพระราช มารดา เพราะเกดิ จากบุญบารมีทพ่ี ระองค์ทรงอบรมสัง่ สมมาต้งั แต่ในอดตี แม้
๑๓๔มลิ ินทฺ . ๑๐/๘๑.
๑๓๕มลิ ินฺท.อฏ.ฺ ๑๐/๑๗๑
๑๓๖มิลินทฺ . ๓/๘๓. เปน็ มหาปุริสลักขณปัญหา
๑๑๗
ธรรมดาบตุ รจะต้องมรี ูปรา่ งหน้าตาคล้ายบิดามารดาคนใดคนหน่งึ หรอื คล้ายทั้งสองคนแต่
พระพุทธเจ้าเป็นมหาบุรษุ เป็นบุคคลประเสริฐที่สุดในโลก จึงไม่จาเป็นต้องมีพระลักษณะ
คล้ายพระราชบิดาหรือพระราชมารดา เหมือนบัวท่ีเกิดจากเปือกตมแช่อยู่ในน้า ก็ไม่
จาเป็นตอ้ งมสี มี กี ลนิ่ และมรี ส เหมือนกบั เปอื กตมและน้าที่บวั ได้อาศยั เกิดข้นึ มา
๖) พรหมจารปี ัญหา๑๓๗
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระพุทธเจ้าทรงเปน็ พรหมจารแี สดง ว่าพระองค์
ทรงเปน็ ศิษย์ของพระพรหมหรือไม่
อธิบายว่า การที่พระพุทธเจ้าทรงประพฤติอย่างพรหม ไม่ได้แสดงว่าพระองค์ทรง
เป็นศิษย์ของพรหม แต่ทรงมีฌานหรือประกอบด้วยพรหมวิหารธรรมเหมือนอย่างพรหม
เท่าน้ัน เหมือนช้างที่บางคราวร้องเหมือนนกกระเรียน ก็ไม่ได้แสดงว่าช้างเป็นศิษย์ของนก
กระเรียน เพราะอาศัยเหตทุ ี่มีเสียงรอ้ งคลา้ ยคลงึ กนั อีกอย่างหน่ึงการทีพ่ รหมเป็นผู้มคี วามรู้
ก็แสดงว่าพรหมเป็นศิษยข์ องพระพทุ ธเจ้าเพราะพระพทุ ธเจ้า หมายถึง ผ้รู ู้ผ้ตู ่ืน ผ้เู บิกบาน
๗) อปุ สมั ปนั นปัญหา๑๓๘
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื ง อปุ สมั ปทาของพระพุทธเจา้ มี หรือไม่
อธบิ ายวา่ การอุปสมบทเปน็ เร่ืองท่ีดเี พราะยังประโยชนใ์ ห้เกิดข้ึนแก่ผู้อปุ สมบท
แม้ พระพุทธเจ้าก็ทรงผนวชเหมือนกัน แต่พระองค์ทรงผนวชท่ีโคนแห่งต้นโพธิ์พร้อมกับ
เวลาท่ีตรสั รู้พระสัพพญั ญุตญาณ การผนวชของพระองคไ์ ม่มีใครเป็นพระอปุ ัชฌายอ์ าจารย์
เหมอื นพระองคท์ รงบญั ญตั สิ กิ ขาบท ให้เปน็ พระบัญญัตทิ ส่ี าวกไม่ควรล่วงละเมดิ ตลอดชี
๘) อรปู ววัตถภาวทุกกรปญั หา๑๓๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระพุทธเจ้าทรง กระทากิจท่บี ุคคลอืน่ กระทาได้
ยากย่งิ นัก
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงกระทากิจท่ีบุคคลอื่นกระทาได้โดยยากอย่างย่ิง
เพราะ พระองค์ตรัสจาแนกอรูปธรรม คือ จิตและเจตสิกทั้งหลายท่ีเป็นไปในอารมณ์อัน
เดียวกัน ว่า นี้ผัสสะ นี้เวทนา นี้สัญญา น้ีเจตนา น้ีจิต เปรียบเหมือนบุรุษตักน้ามาจาก
๑๓๗มิลนิ ทฺ . ๔/๘๔. เปน็ ภควโตพรัหมจาริปัญหา.
๑๓๘มลิ ินฺท. ๕/๘๔. เปน็ ภควโตอุปสมั ปทาปญั หา.
๑๓๙มลิ นิ ทฺ . ๑๖/๙๙. เป็นอรูปธมั มววัตถานทกุ กรปญั หา
๑๑๘
มหาสมุทร แล้วชิมรสดูย่อมเป็นการยากที่จะรู้ว่า น้าน้ีมาจากแม่น้าคงคา น้าน้ีมาจาก
แม่น้ายมุนา น้านีม้ าจากแม่น้าอจริ วดนี า้ นมี้ าจากแม่นา้ สรภนู า้ นี้มาจากแม่น้ามหี
๙) พุทธสั สะ อาจริยานาจริยปญั หา๑๔๐
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระพุทธเจ้าไม่มีครูอาจารย์ท่ีสั่งสอน และไม่มีผู้
เสมอเหมือน ไม่มีผู้ทัดเทียมในโลกกับท้ังเทวโลก๑๔๑ เพราะเหตุไร พระองค์ จึงตรัสว่า
อาฬารดาบสกาลามโคตรเปน็ อาจารยข์ องพระองค์ตัง้ พระองค์ผู้เป็นอันเตวาสิก ให้เสมอกับ
ตน และบชู าพระองค์ด้วยการบูชาอย่างดี๑๔๒
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงหมายเอาความที่อาฬารดาบสกาลามโคตร เป็น
อาจารย์ของพระองคเ์ มื่อคร้ังยังเป็นพระโพธสิ ัตว์ ยังไม่ได้ตรัสรู้เปน็ พระอนุตรสัมมาสมั โพธิ
ญาณในกาลก่อนแต่การตรัสรู้อาจารยข์ องพระพทุ ธเจ้าในสมัยที่ยงั เป็นพระโพธิสัตวย์ ังมไิ ด้
ตรัสรูม้ ีอยู่ ๕ คน คือ
(๑) พราหมณ์๘ คน๑๔๓ท่ีทานายพระลกั ษณะ
(๒) สรรพมิตรพราหมณ์
(๓) เทวดาที่ยังพระโพธิสตั วใ์ ห้เกิดความสงั เวช
(๔) อาฬารดาบสกาลามโคตร
(๕) อุททกดาบสรามบุตร
อาจารย์เหล่าน้ีเป็นธรรมาจารย์ชั้นโลกิยะ ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้พระ
อนุตรสัมมาสัมโพธิญาณโดยชอบด้วยพระองค์เอง ไม่มีอาจารย์ผู้สั่งสอนเพ่ือให้แทงตลอด
ใน โลกุตรธรรม และไมม่ ใี ครยิ่งเกินกว่าพระองค์
๑๐) สัพพญั ญุตปตั ตปัญหา๑๔๔
๑๔๐มลิ นิ ทฺ . ๑/๒๔๕. เป็นอาจริยานาจรยิ ปญั หา.
๑๔๑วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๑/๑๗, วิ.ม. (บาลี) ๔/๑๑/๑. ม.มู. (ไทย) ๑๒/๒๘๕/๓๑๐,ม.มู.
(บาลี) ๑๒/๒๘๕/๒๔๖.
๑๔๒ม.มู. (ไทย) ๑๒/๓๗๑/๔๐๗, ม.มู. (บาลี) ๑๒/๓๗๑/๓๓๓. ม.ม. (ไทย) ๑๓/๔๗๕/
๖๐๒
๑๔๓พราหมณ์ ๘คนคือ (๑) รามพราหมณ์ (๒) ธชพราหมณ์ (๓) ลักษณพราหมณ์
(๔) มันตีพราหมณ์(๕) ยญั ญพราหมณ์(๖) สุยามพราหมณ์(๗) สโภชพราหมณ์ (๘) สทุ ตั ตพราหมณ์.
๑๔๔มิลนิ ฺท. ๘/๑๔๖. เปน็ อกสุ ลจั เฉทปญั หา.
๑๑๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้าทรงละอกุศลธรรมได้ทั้งหมด หรือ
ทรงละอกุศลธรรมได้เพียงบางส่วนเท่าน้ัน โดยท่ียังมีบางส่วนเหลืออยู่แล้วจึงบรรลุความ
เปน็ พระสัพพัญญู
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงละอกุศลธรรมได้ทั้งหมด ไม่ใช่ละได้เพียงบางส่วน
เท่านั้น พระองค์ทรงเคยเสวยทุกขเวทนาที่ถูกสะเก็ดศิลากระเด็นจากก้อนศิลาไปกระทบ
พระบาทจนทาใหพ้ ระโลหติ ห้อในเมอื งราชคฤห์๑๔๕การเสวยทกุ ขเวทนาย่อมเกิดจากกรรม
มีกรรมเป็นมูลที่ต้ัง บุคคลเสวยเวทนาเพราะกรรม อน่ึง บุคคลย่อมเสวยเวทนาด้วยเหตุ๘
ประการ๑๔๖ คอื
(๑) มลี มเปน็ สมฏุ ฐาน
(๒) มดี เี ปน็ สมฏุ ฐาน
(๓) มีเสมหะเปน็ สมฏุ ฐาน
(๔) ลม ดเี สมหะ ประชุมกนั เข้า
(๕) ความแปรเปลย่ี นฤดู
(๖) การบรหิ ารอิริยาบถไมส่ มา่ เสมอเกดิ ข้นึ
(๗) ความเพยี รพยายามของผอู้ นื่ เปน็ สมฏุ ฐาน
(๘) กรรมวิบาก
เวทนาที่เกิดจากกรรมวิบาก และการบริหารอิริยาบถไม่สม่าเสมอ ย่อมไม่มีแด่
พระพุทธเจ้าเวทนาท่ีเกิดจากเหตุอย่างอื่นมีลมเป็นต้นเป็นสมุฏฐานย่อมเกิดข้ึนได้แต่ไม่
อาจท่ีจะปลงพระชนม์ชีพได้ เหมือนแผ่นดินใหญ่ท่ีถูกขุด ก็ไม่ได้เกิดจากกรรมท่ีแผ่นดิน
กระทาไวใ้ นกาลก่อน
๑๑) ตถาคตอุตตรกิ รณยี าภาวปัญหา๑๔๗
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง กิจท่ีพระพุทธเจ้าจะพึงกระทาท้ังหมด พระองค์
ทรงกระทาให้เสรจ็ สิ้นเรยี บรอ้ ยหรือไม่
๑๔๕วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๓๔๑/๑๙๑, วิ.จู. (บาลี) ๗/๓๔๑/๑๓๑.
๑๔๖ส .สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๖๙/๓๐๑, ส .สฬา. (บาลี) ๑๘/๒๖๙/๒๑๑.
๑๔๗มลิ นิ ฺท. ๙/๑๕๐. เปน็ อุตตรกิ รณียปญั หา.
๑๒๐
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงกระทากิจทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย ต้ังแต่คราวที่
พระองค์ตรสั รู้ทคี่ วงแหง่ ต้นโพธิ์จึงไม่มีกิจท่ีจะต้องกระทาใหย้ ่ิงข้ึนไปอีก แต่การทพี่ ระองค์
เสด็จออกหลีกเรน้ อยู่ลาพังเพียงพระองค์เดียวตลอด ๓ เดือน๑๔๘ เพราะการหลีกออกเร้น
อยู่แต่ผู้เดียวเป็นกิจท่ีมีคุณมาก แม้พระพุทธเจ้าทั้งปวงก็ทรงปฏิบัติเช่นน้ี จึงบรรลุความ
เป็นพระสัพพัญญูและทรงหวนระลึกถึงการหลีกออกเร้นอยู่แต่ผเู้ ดียวว่า เป็นเหตุให้บรรลุ
คุณความดีหลายอย่าง เพราะฉะน้นั การท่ีพระพุทธเจ้าเสด็จหลีกออกเร้นอยู่แต่ผู้เดียว จึง
ไมใ่ ช่กจิ ท่ีจะต้องกระทา หรอื ไม่ใช่การสร้างเพ่ิมเติมกิจทพ่ี ระองค์ทรงเคยกระทา แต่เพราะ
พระองค์ทรงพิจารณาเห็นคุณพิเศษโดยส่วนเดียว เปรียบเหมือนบุรุษได้รับพรจาก
พระมหากษัตริย์แล้วร่ารวยโภคทรัพย์ก็หวนระลึกถึงพระคุณของพระองค์ว่าเป็นผู้ได้
กระทาคุณแกต่ น จงึ หม่นั ไปสทู่ ี่บารงุ ของพระองค์เนืองนติ ย์
๑๒) ภควโตปาทปัปปฏิกปตติ ปัญหา๑๔๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้าเสด็จไปท่ีใด ๆ ก็ตาม จะมี
แผ่นดินใหญ่ซึ่งไม่มีเจตนาปรบั พื้นที่ให้ราบเรียบเสมอกนั คือ พ้ืนที่ล่มุ ย่อมฟูข้ึน พนื้ ท่ดี อน
ย่อมยุบลง เพราะเหตุไร สะเก็ดศิลาท่ีตกลงมาจึงกระทบพระบาทของพระองค์แทนท่ีจะ
หลบหลกี ออกจากพระบาท
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าเม่ือเสด็จไปทใี่ ด ๆ ก็ตาม จะมีแผ่นดนิ ใหญ่ปรับพื้นท่ีให้
ราบเรียบเสมอกัน ส่วนสะเก็ดศิลาท่ีตกลงมากระทบพระบาทของพระองค์ไม่ได้ตกลงมา
ตามธรรมดาของตน แต่ตกลงมาด้วยความเพียรพยายามของพระเทวทัตผู้ผูกอาฆาตใน
พระองค์พระเทวทัตคดิ จะกลิ้งศิลาใหญ่มีขนาดเท่าเรือนยอดให้ตกลงเบ้ืองบนพระองค์ จึง
กลิ้งศิลาลงไป แต่มีภูเขาสองลูกผุดข้ึนจากแผ่นดินรองรับไว้ ทาให้กะเทาะกับก้อนศิลา
สง่ ผลให้ศิลานั้นแตก เพราะถูกภูเขาท้ังสองลกู กระทบกันเข้า เม่ือสะเก็ดศิลาจะตกลงไปก็
ไมม่ ีการกาหนด สถานที่ทส่ี ะเก็ดศลิ าจะตก จึงตกลงท่พี ระบาทขององค์ เหมือนน้าทีบ่ ุคคล
เอาฝ่ามอื รองไว้ ย่อมร่ัวไหลออกตามระหว่างน้ิวมือ อนึ่งการท่ีสะเก็ดศิลาตกลงที่พระบาท
ก็เพราะความที่พระเทวทัตเป็นผู้อกตัญญู เป็นคนกระด้างจะต้องได้รับผลของการกระทา
คือ การเสวยทุกข์ ต่อไป
๑๔๘ว.ิ มหา. (ไทย) ๒/๕๖๕/๘๙, วิ.มหา. (บาลี) ๒/๕๖๕/๕๐.
๑๔๙มลิ ินฺท. ๘/๑๙๑. เปน็ ปาทสกลิกาหตปญั หา.
๑๒๑
๑๓) คาถาภคิ ีตโิ ภชนทานกถากถนปญั หา๑๕๐
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้าไม่บริโภคโภชนะที่ได้มาด้วยการกล่าว
คาถา เพราะเหตุไร เม่ือพระองค์จะทรงแสดงอนุบุพพีกถาแก่บริษัท จึงทรงแสดงทานกถาก่อน
แล้วแสดงสลี กถาภายหลัง ซง่ึ จะทาใหผ้ ้ฟู งั เกิดความเล่อื มใสตกแต่งทานถวายแดพ่ ระองค์
อธบิ ายว่า พระพุทธเจา้ ทรงประกอบดว้ ยอาชีวปาริสทุ ธิธรรม หรอื สุจรติ ธรรมจึง
ไม่ ทรงแสวงหาโภชนะท่ีได้มาด้วยการกล่าวคาถา นามาเป็นเครื่องเล้ียงพระชนม์ชีพการ
เสวย โภชนะท่ีเกิดจากการขับพระคาถาย่อมไม่เป็นธรรม คือ ไม่เป็นจารีตประเพณีของ
พระพุทธเจ้าท้งั หลายผู้พิจารณาเห็นรอบคอบอยู่ พระพุทธเจา้ ย่อมบรรเทา คอื หา้ มเสียไม่
เสวยโภชนะท่ีพระองค์ขบั แล้วด้วยพระคาถา๑๕๑ส่วนการดารงพระชนม์ชีพอยูด่ ้วยอาชีวปา
รสิ ุทธธิ รรม เป็นจารตี ประเพณีของพระพทุ ธเจ้า
อน่ึง การแสดงทานกถาก่อน นับเป็นกิริยาของพระพุทธเจ้าท่ีจะยังจิตของทายก
ให้ยินดีย่ิงในทาน และตั้งตนอยู่ในศีลเป็นลาดับต่อไป เม่ือจิตของทายกอ่อนสนิท ก็จักตาม
ถึงฝั่งแห่งสาคร คือ สังสารวัฏด้วยสะพานคือ ทานด้วยเรือคือทาน เปรียบเหมือนบุคคลเมื่อ
ให้ส่ิงของแก่เด็กทารก ย่อมให้ส่ิงของเล็ก ๆ น้อย ๆเสียก่อน เช่น กังหันน้อย ๆ รถน้อย ๆ
ธนูน้อย ๆ เป็นต้น พวกเด็กทารกก็จะประกอบการงานของตน ๆ ในภายหลัง พระพุทธเจ้า
ทรงสงั่ สอนภูมิแห่งกรรมแก่ทายกด้วยอาการอย่างนี้ ทาให้พระองค์ไม่ทรงต้องวิญญัติเพราะ
เป็นการส่ังสอนธรรม เพราะฉะนั้น การสั่งสอนธรรมด้วยทานกถา จึงไม่เป็นการกระทา
วญิ ญัติคอื การออกปากขอวตั ถุสิ่งของกบั บุคคลผู้มิใช่ญาติและบุคคลผ้มู ไิ ด้ปวารณาไว้
๑๔) ภควโตธัมมเทสนาอัปโปสกุ ตภาวปญั หา๑๕๒
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้าทรงบาเพ็ญบารมีมาตั้ง ๔ อสงไขย
กับอีกแสนกัลป์เพ่ือจะช่วยสตั ว์โลกให้พ้น จากทุกข์ในสังสารวัฏ เพราะเหตุไรเมื่อพระองค์
๑๕๐มิลินทฺ . ๙/๒๓๘. เป็นคาถาภคิ ีตโิ ภชนกถาปญั หา.
๑๕๑ส .ส. (ไทย) ๑๕/๑๙๔/๒๗๔, ส .ส. (บาลี) ๑๕/๑๙๔/๒๐๐. ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/
๘๑,๔๘๕/๕๑๙,๖๐๙,ข.ุ ส.ุ (บาลี) ๒๕/๘๑,๔๘๕/๓๕๑,๔๒๕.
๑๕๒มลิ นิ ทฺ . ๑๐/๒๔๒. เป็นธมั มเทสนาอัปโปสสกุ กปญั หา.
๑๒๒
ทรงบรรลุเปน็ พระสพั พญั ญแู ล้วจงึ ทรงนอ้ มพระทยั ไปเพื่อความเป็นผ้มู ีความขวนขวายน้อย
ไม่นอ้ มไปเพ่ือท่จี ะทรงแสดงธรรม๑๕๓
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาเห็นว่า ธรรมเป็นสภาวะลึกซ้ึง ละเอียด
สุขุมและเป็นการยากที่บุคคลจะสามารถเห็นตามได้ตรัสรู้ตามได้จึงทรงมีพระทัยน้อมไป
เพ่ือความเป็นผมู้ ีความขวนขวายน้อย ไม่นอ้ มไปเพื่อจะทรงแสดงธรรม อนึ่ง สัตว์ท้ังหลาย
ยังยินดีอยู่ในความอาลัย มีสักกายทิฏฐิตง้ั มั่น แม้พระองคจ์ ะทรงมีพระทัยน้อมไปเพ่ือความ
เป็นผู้มีความขวนขวายน้อย ไม่น้อมไปเพ่ือจะทรงแสดงธรรม แต่ก็ทรงคิดถึงการบรรลุ
ธรรมของสัตว์อยู่ตลอดเวลา เม่ือท้าวสหัมบดีพรหมกราบทูลวงิ วอน พระองค์จึงทรงแสดง
ธรรม เพราะพรหมเป็นท่ีนับถือของเทวดาและมนุษย์ในสมัยน้ัน ซ่ึงเป็นประโยชน์ในการ
แสดงธรรมอยา่ งมาก เพราะเทวดาและมนษุ ย์จักนอบน้อม เชื่อถอื และน้อมใจไปตามพระ
ธรรมเทศนา
๑๕) ภควโตอปั ปาพาธปญั หา๑๕๔
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระพุทธเจ้าเป็นผู้ประเสริฐท่ีสุดกว่าสัตว์ทั้งปวง
เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงยกย่องพระพากุละว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายในด้านมี
อาพาธนอ้ ย๑๕๕
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าเป็นผู้ควรท่ียาจกจะพึงขอ มีฝ่าพระหัตถ์อันทรงชาระ
แลว้ ทรงไว้ซง่ึ พระสรีระอนั มีในทีส่ ุด ไม่มีใครยง่ิ กว่า เป็นหมอผู้รกั ษาและเป็นแพทย์ผู้เชอื ด
ลูกศร๑๕๖
๑๕๓วิ.ม. (ไทย) ๔/๗/๗, วิ.ม. (บาลี) ๔/๗/๑๒. ที.ม. (ไทย) ๑๐/๖๕-๖๗/๓๖-๓๘, ที.ม.
(บาลี) ๑๐/๖๕-๖๗/๓๒-๓๓.
๑๕๔มลิ ินทฺ . ๓/๒๒๕. เป็นพุทธอปั ปาพาธปญั หา.
๑๕๕องฺ.เอกก. (ไทย) ๒๐/๒๒๖/๒๙, องฺ.เอกก. (บาลี) ๒๐/๒๒๖/๒๕.
๑๕๖ขุ.อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๑๐๐/๔๗๗, ขุ.อิต.ิ (บาลี) ๒๕/๑๐๐/๓๑๙.
๑๒๓
พระองค์เป็นผู้ไม่มีใครยงิ่ เกินกว่าโดยศีล สมาธิปัญญาวิมุตติวมิ ุตติญาณทัสสนะ
ทศพลญาณจตุเวสารัชญาณ๑๕๗ อัฏฐารสพุทธธรรม๑๕๘และฉฬาสาธารณญาณ๑๕๙พระองค์
ทรงอาศยั พระญาณเหล่านน้ั ซึง่ มีอยใู่ นพทุ ธวสิ ัยโดยส้นิ เชงิ จึงตรัสอย่างน้นั
สว่ นพระพากุละเปน็ ผู้มีอาพาธน้อยด้วยอานาจแห่งอภินิหาร ในคราวที่ท่านเป็น
ดาบสบาบัดรักษาพระอโนมทัสสีพุทธเจ้าและพระวิปัสสีพุทธเจ้า พร้อมทั้งภิกษุอีก
ประมาณ๖,๘๐๐,๐๐๐ รูป ๑๖๐ จึงทาให้ท่านเป็นผู้มีอาพาธน้อย และได้รับการยกย่องว่า
เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุท้ังหลายในด้านมีอาพาธน้อย พระพุทธเจ้าแม้จะทรงประชวร หรือไม่
๑๕๗ความรู้เป็นเหตใุ ห้บุคคลกล้าหาญ ในที่น้ีหมายถึง คณุ สมบัตพิ ิเศษของพระพุทธเจ้าที่
ทาให้พระองคก์ ล้าหาญทาปฏญิ ญาท่ามกลางหมชู่ น มี ๔เหตุ คือ
๑) สมั มาสัมพทุ ธปฏิญญา ทรงตรัสรดู้ ้วยพระองค์เอง กลา้ ปฏิญญาว่าปน็ สัมมาสมั พุทธะ
ตรัสรูด้ ้วยตนเอง
๒) ขีณาสวปฏิญญา เหตุบรรลุอาสวักขยญาณทาให้ตนเองบริสุทธ์ิจากอาสวะกิเลสท้ัง
ปวง จึงกลา้ ปฏิญญา
๓) อันตรายิกธัมมวาทะ ทรงแนะนาให้งดเว้นอกุศลกรรมทั้งปวงรวมถึงข้อบัญญัติท่ี
บัญญตั ไิ วว้ า่ ทาแล้วจะมโี ทษ จึงกลา้ ปฏญิ ญา
๔) นิยานิกธัมมเทสนา ทรงแนะนาให้ปฏิบัติกุศลกรรมเพราะผู้กระทาย่อมได้รับผลจาก
การกระทาดนี ัน้ จนบรรลุมรรคผลนิพพานในทสี่ ดุ จึงกลา้ ปฏญิ ญา
๑๕๘อัฏฐารสพุทธธรรม ได้แก่ ๑) ตถาคตไม่มีกายทุจริต ๒) ตถาคตไม่มีวจีทุจริต ๓)
ตถาคตไมม่ ีมโนทุจริต ๔) พระพทุ ธญาณไม่มีอะไรติดขัดในอดีต ๕) พระพุทธญาณไม่มอี ะไรติดขัดใน
อนาคต ๖) พระพุทธญาณไม่มีอะไรติดขัดในปัจจุบัน ๗) กายกรรมท้ังปวงของพระผู้มีพระภาคเจ้า
คล้อยตามพระญาณ ๘) วจีกรรมคล้อยตามพระญาณ๙) มโนกรรมคล้อยตามพระญาณ ๑๐) ไม่มี
ความเส่ือมฉันทะ ๑๑) ไม่มีความเสื่อมวิริยะ ๑๒) ไม่มีความเสือ่ มสติ ๑๓) ไม่มีการเล่น ๑๔) ไม่มีการ
ว่งิ ๑๕) ไมม่ ีการพลาดพลง้ั ๑๖) ไมม่ คี วามผูกพัน ๑๗) ไมม่ พี ระทัยทีไ่ มข่ วนขวาย ๑๘) ไมม่ ีอกุศลจิต
๑๕๙ญาณที่มเี ฉพาะพระพุทธเจ้า ไดแ้ ก่ ๑) ญาณรอู้ ินทรยี ข์ องสตั ว์ ๒) ปัญญาที่รอู้ ัธยาศัย
ของสัตว์ ๓) มหากรุณาสมาบัติ แผ่ข่ายพระญาณโปรดสัตวโ์ ลก ๔) ยมกปาฏิหาริย์ญาณ ญาณในการ
แสดงยมกปาฏิหาริย์ ๕) สัพพัญญุตญาณ ญาณรู้แบบไม่มีอะไรเหลือ ๖) อนาวรณญาณ ความรู้ท่ีไม่มี
อะไรจะขวางกั้นได้ รู้อยา่ งไมม่ อี ะไรตดิ ขดั .
๑๖๐ขุ.อป. (ไทย) ๓๒/๓๘๖-๔๑๘/๖๓๕-๖๓๙, ขุ.อป. (บาลี) ๓๒/๓๘๖-๔๑๘/๔๖๑-
๔๖๔.
๑๒๔
ทรงประชวรแม้จะทรงถือธุดงค์หรือไม่ทรงถือธุดงค์ ก็ไม่มีใครที่จะเสมอเหมือนพระองค์
สมดังท่ีพระองค์ทรงภาษิตไว้ในสังยุตตนิกายซึ่งเป็นดุจพระราชลัญจกรอันประเสริฐว่า
“ภกิ ษุทั้งหลาย สัตว์ทั้งหลายไม่มีเท้า มีสองเท้า มีสี่เท้า หรือมีเท้ามากก็ตาม มีรปู หรือไม่มี
รูปก็ตาม มีสัญญา ไม่มีสัญญา หรือมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ก็ตามมีประมาณ
เท่าใด พระตถาคตอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าบัณฑิตกล่าวว่า เลิศกว่าสัตว์มีประมาณ
เทา่ นน้ั ”๑๖๑
๑๖) อนปุ ปันนมัคคอปุ ปาทปัญหา๑๖๒
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้าทรงยังมรรคที่ยังไม่อุบัติให้อุบัติ๑๖๓
เพราะเหตุไรพระองค์จึงตรัสว่าพระตถาคตพบมรรคเก่า ทางเก่าที่พระพุทธเจ้าท้ังหลาย
องคก์ อ่ นๆ เคยเสด็จพระราชดาเนนิ แล้วเนอื งๆ๑๖๔
อธิบายว่า พระพุทธพจน์แม้ท้ังสอง เป็นการตรัสโดยสภาพทีเดียว คือ
พระพุทธเจ้า องค์ก่อน ๆ พออันตรธานไป ก็ไม่มีใครจะสั่งสอนสืบต่อมา มรรคจึงชื่อว่า
อันตรธานแล้ว เมื่อพระพุทธเจ้าทรงพิจารณาด้วยพระปัญญาจักษุทรงเห็นมรรคท่ีชารุด
ทรุดโทรม ถกู ความมืดปิดบังไวไ้ ม่เปน็ ที่สัญจร ทีพ่ ระพุทธเจา้ องค์กอ่ น ๆ เคยเสด็จพระราช
ดาเนินเนอื งนิตยเ์ พราะเหตุนัน้ พระองค์จงึ ตรัสว่า พระตถาคตพุทธเจ้าทรงยังมรรคท่ียังไม่
อุบัติให้อุบัติเหมือนมณีรัตนะที่ซ่อนอยู่ในระหว่างยอดเขา พอพระเจ้าจักรพรรดิองค์เก่า
เสด็จ สวรรคตก็เปน็ อันสูญหายไป เมือ่ พระเจา้ จักรพรรดิองค์ใหม่ปฏิบัติดีปฏบิ ัติชอบ มณี
รัตนะ ดวงนั้นก็ตกเปน็ ของพระองค์ มณีรตั นะทีพ่ ระเจา้ จกั รพรรดิองคใ์ หม่ทรงครอบครอง
ไม่ใช่ ดวงใหม่ท่ีสร้างข้ึนมาแต่เป็นดวงเดิมที่ตั้งอยู่โดยปกติพอพระเจ้าจักรพรรดิองค์ใหม่
เปน็ ผู้ถือครอบครองก็ชอ่ื วา่ เปน็ ผูย้ ังมณีรัตนะดวงนัน้ ให้เกิดขน้ึ
๑๗) วชั ฌาวัชฌปัญหา๑๖๕
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง การบชู าท่ที ายกกระทาแด่ พระพุทธเจ้ายอ่ มเป็น
หมัน คอื ไมม่ ีผลจรงิ หรือไม่
๑๖๑ส .ม. (ไทย) ๑๙/๑๓๙/๗๒, ส .ม. (บาลี) ๑๙/๑๓๙/๓๙.
๑๖๒มิลินทฺ . ๔/๒๒๗. เปน็ มคั คุปปาทนปัญหา.
๑๖๓ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๗๙/๘๕, ม.อุ. (บาลี) ๑๔/๗๙/๕๙.
๑๖๔ส .น.ิ (ไทย) ๑๖/๖๕/๑๒๘, ส .น.ิ (บาลี) ๑๖/๖๕/๑๐๓.
๑๖๕มิลนิ ทฺ . ๑/๑๐๙. เปน็ กตาธกิ ารสผลปญั หา.
๑๒๕
อธิบายว่า พวกเดียรถยี ์พูดกันวา่ ถ้าพระพุทธเจ้ายังทรงยนิ ดีการบูชาอยู่ ก็ช่อื ว่า
ยงั ไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน ยังเก่ียวข้องอยู่ในโลกและยังเป็นผู้เวียนว่ายอยู่ในสังสารวัฏ
การบูชาพระพุทธเจ้าเช่นนั้นย่อมเป็นหมัน คือ ไม่มีผล แต่ถ้าพระองค์เสด็จดับขันธปริ
นิพพาน แล้วไมเ่ กย่ี วขอ้ งดว้ ยโลก ออกไปจากภพทั้งปวงแล้ว การบูชาอย่างนั้น ก็ไม่สมควร
ยอ่ มเป็นหมัน คอื ไม่มีผลเหมือนกัน เพราะพระองค์ไมท่ รงยินดีจริงอยพู่ ระพุทธเจา้ ทรงดับ
กิเลสแล้วไม่ทรงยินดีการบูชา ทรงละความยินดีและความยินร้าย ต้ังแต่คราวที่พระองค์
ประทับ อยู่ที่ควงต้นโพธิ์ไม่จาเป็นต้องกล่าวถึงพระองค์ผู้เสด็จดับขันธปรินิพพานด้วยอนุ
ปาทิเสสนิพพานธาตุเทวดาและมนุษย์ผู้ทาสักการะดว้ ยอามสิ บูชาและปฏบิ ัติบูชาโดยมุง่ ถึง
พุทธคุณ ย่อมได้สมบัติ ๓ ประการ๑๖๖การบูชาจึงช่ือว่าไม่เป็นหมัน ผลของการบูชามีอยู่
เปรยี บเหมือนกองไฟใหญ่แม้กาลังลุกโพลงอยู่ กไ็ ม่ยินดีเชื้อเพลงิ ที่ใส่เข้าไป เม่อื กองไฟดับ
สงบลงก็ย่ิงไม่มีความยินดีแม้กองไฟดับลงสงบแล้ว แต่ไฟยังไม่สูญไปจากโลกน้ี บุคคลผู้
ต้องการไฟนาเอาไม้มาสีกนั เพอื่ ใหเ้ กดิ ไฟ ย่อมทากิจของตนได้ด้วยไฟนั้น
๑๘) พุทธสพั พัญญุภาวปัญหา๑๖๗
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระพุทธเจ้าทรงเปน็ พระสัพพญั ญูจรงิ หรอื
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แม้พระองค์จะทรง
เปน็ พระสัพพญั ญแู ตพ่ ระญาณท่ีเป็นเหตุให้รู้เห็น ย่อมไม่ปรากฏแก่พระองค์อย่างฉับพลัน
ทันที เพราะพระสัพพัญญุตญาณเนื่องด้วยการนึก เม่ือทรงนึกแล้วย่อมรู้ได้ตามพุทธ
ประสงค์ เหมือนต้นไม้แม้มีพวงผลห้อยย้อยอยู่เต็มต้น แต่ก็ไม่มีผลร่วงหล่นแม้เพียงผล
เดียวในที่น้นั เมอ่ื เป็นอยา่ งน้ัน บุคคลไม่อาจกลา่ วว่าต้นไม้ไม่มผี ล ดว้ ยความบกพรอ่ งท่ีผล
ยังไมร่ ว่ ง หล่นเมอ่ื ผลร่วงหลน่ แลว้ บุคคลก็ย่อมไดต้ ามความปรารถนา
๑๙) เทวทตั ตปพั พาชิตปัญหา๑๖๘
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระเทวทัตใครเป็นผู้ให้บวชและเม่ือบวชเข้า
มาแล้วจะทาลายสงฆ์พระพทุ ธเจ้าทรงรู้หรือไม่
๑๖๖สมบัติ ๓ประการคือ(๑) มนุษย์สมบัติสมบัติในมนษุ ย์ (๒) เทวสมบัตสิ มบตั ิในเทวโลก
(๓) นิพพานสมบตั สิ มบัติคือพระนพิ พาน. (ขุ.ข.ุ (ไทย) ๒๕/๑๓/๑๙, ขุ.ขุ. (บาลี) ๒๕/๑๓/๑๓)
๑๖๗มิลินทฺ . ๒/๑๑๕.
๑๖๘มิลนิ ฺท. ๓/๑๒๑.
๑๒๖
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงมีพระมหากรุณาคุณต่อสรรพสัตว์ และทรงเป็นพระ
สัพพัญญูพระองค์ทรงโปรดให้พระเทวทัตบวช โดยท่ีทรงทราบว่าพระเทวทัตบวชเข้า
มาแล้วจะทาลายสงฆ์พระองค์ทรงพิจารณาดูคติของพระเทวทัตด้วยพระสัพพัญญุตญาณ
ทอดพระเนตรเห็นพระเทวทัต ผู้จะส่ังสมกรรมซ่ึงจะให้ผลในภพต่อ ๆ ไปอย่างไม่มีส้ินสุด
หลุดจากนรกไปสู่นรก หลุดจากวินิบาตไปสู่วินิบาต สิ้นแสนโกฏิแห่งกัลป์เป็นอันมาก จึง
ทรงดาริว่า กรรมของพระเทวทัตจักไม่มีท่ีสิ้นสุด ถ้าเธอบวชแล้วก็จักทากรรมนั้นให้มีที่
ส้ินสุดได้เม่ือเทียบกับกรรมก่อน ทุกข์ยังจักมีท่ีส้ินสุดลง ทาให้เธอตกนรกส้ินกัลป์หน่ึง
เท่าน้ัน พระองค์จึงโปรดให้พระเทวทัตบวชด้วยพระมหากรุณาคุณ พระองค์จึงทรงช่ือว่า
ทรงตีแล้วทรงทาให้ด้วยน้ามัน ทรงทาให้ตกเหวแล้วยื่นพระหัตถ์ประทาน ทรงฆ่าให้ตาย
แล้วแสวงหาชีวิตใหม่ใหเ้ พราะทรงก่อทุกข์ให้ก่อนแล้วจึงจัดสขุ ให้ในภายหลัง
๒๐) ภิกขปุ ณามปญั หา๑๖๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง พระพทุ ธเจ้าไมท่ รงมีความ โกรธ เป็นผู้ปราศจาก
กิเลสดุจตะปูตรึงใจ ๑๑๗ เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงประณามพระ สารีบุตรเถระและ
พระมหาโมคคลั ลานเถระกบั ท้งั บรษิ ัท๑๗๐
อธบิ ายว่า แม้พระพุทธเจ้าจะทรงประณามพระสารีบุตรเถระและพระมหาโมค
คัลลานเถระกับท้ังบริษัท แต่ไม่ได้ทรงประณามด้วยความโกรธ เพราะพระพุทธเจ้า
ท้งั หลายไมท่ รงมคี วามโกรธหรือความเล่ือมใส พน้ จากความเอ็นดูและความโกรธเคืองพระ
เถระ เหล่าน้ันถูกพระองค์ทรงประณามขับไล่เพราะความผิดของตนท่ีกระทาแล้วทีเดียว
เปรียบเหมือนบุรุษบางคนก้าวพลาดสะดุดล้มลงท่ีรากไม้หรือกอ้ นหิน จะตาหนิวา่ แผ่นดิน
โกรธ ตัวเองจึงทาให้ตนล้มลงไป ย่อมไม่สมควรที่จะกล่าวอย่างน้ัน เพราะแผ่นดินไม่มี
ความ โกรธหรือความเล่อื มใส พ้นจากความเอน็ ดูและความโกรธเคืองก็บุรษุ น้ันพลาดลม้ ลง
เอง ไม่มีใครทาให้ล้ม เพราะฉะน้ัน พระพุทธเจ้าจึงทรงประณามขับไล่เพื่อให้พระเถระ
ไดร้ ับประโยชน์เกือ้ กูล ความสุข และความหมดจด ด้วยทรงประสงค์ว่า ภิกษุเหล่าน้ีจักพ้น
จาก ความเกิด ความแก่ ความเจบ็ และความตาย ดว้ ยอุบายอยา่ งนี้
๑๖๙มิลนิ ทฺ . ๑๒/๑๙๘. ภกิ ขปุ ณามิตปญั หา.
๑๗๐ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕๗/๑๗๗-๑๗๘, ม.ม. (บาลี) ๑๓/๑๕๗/๑๓๐.
๑๒๗
๒๑) สัพพญั ญูสยปณามปัญหา๑๗๑
พระนาคเสนตอบคา ถามเร่ือง ภิกษุสงฆ์มีพระสารีบุตรเถระและพระมหาโมค
คัลลานเถระเป็นประธาน ถูกพระพุทธเจ้าทรงประณามเม่ือเจ้าศากยะชาวบ้านจาตุมากับ
ทา้ วสหมั บดีพรหม แสดงพชี ูปมาคือ เปรียบด้วยพืชอ่อน และวัจฉตรณูปมาคอื เปรียบดว้ ย
ลูกโครุ่น ทาใหพ้ ระองค์ทรงเล่ือมใสยกโทษให้๑๗๒พระองค์ทรงทราบอุปมาเหล่าน้ันหรือไม่
หรือพระองคท์ รงขม่ เหง ทรงประณามเพราะไม่ทรงมีความกรณุ า
อธิบายว่า พระตถาคตพุทธเจ้าทรงเป็นพระสัพพัญญู พระองค์ทรงเลื่อมใส
อนโุ มทนาสาธุการแก่เจา้ ศากยะชาวบ้านจาตมุ าและท้าวสหมั บดีพรหม ทรงยกโทษให้พระ
เถระด้วยอุปมาเหล่าน้ี เพราะพระองคท์ รงเป็นธรรมสามีคอื เจ้าของแหง่ ธรรม ไม่ใช่ เพราะ
ทรงรไู้ ม่เท่าทันถึงคติของคนเหล่านั้น เทวดาและมนุษย์ต่างก็น้อมนาเอาธรรมที่พระองค์ท่ี
ทรงแสดงไว้ มาเปรียบถวายให้ทรงยินดี เหมือนสตรีนาทรัพย์ของสามีมาต้ัง เรียงรายไว้
เพอื่ ใหส้ ามีเกิดยนิ ดเี ลอ่ื มใสในทรพั ยอ์ นั เปน็ ของตน
๒๒) อุทรสงั ยมปัญหา๑๗๓
พระนาคเสนตอบคา ถามเรื่อง ภิกษุไม่พึงประมาทในบิณฑบาตท่ีตนลุกข้ึนยืน
รับอยู่ท่ีประตูเรือน๑๗๔พึงเป็นผู้สารวมท้อง เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า บางครั้ง
พระองค์เสวยพระกระยาหารเสมอขอบปากบาตรนีบ้ า้ งย่งิ กว่านีบ้ ้าง๑๗๕
อธบิ ายว่า พระพุทธพจนท์ ่ีว่าภกิ ษพุ ึงสารวมทอ้ ง เปน็ เครื่องกล่าวโดยสภาวะคือ
กล่าวเหตุไม่มีส่วนเหลือ กล่าวโดยนิปริยาย กล่าวเหตุตามความเป็นจริง ไม่ผิดแปลกเป็น
คาของฤาษีและมุนีท้ังหลาย เป็นพระพุทธพจน์ของพระพุทธเจ้า พระอรหันต์พระปัจเจก
พุทธเจ้า บุคคลผู้ไม่สารวมท้องย่อมเป็นเหตุให้กระทากรรมต่าง ๆ มีฆ่าสัตว์ ลัก
๑๗๑มิลินฺท. ๑๐/๒๒๐. เปน็ พุทธสัพพญั ญภุ าวปญั หา.
๑๗๒ม.ม. (ไทย) ๑๓/๑๕๗-๑๖๐/๑๗๗-๑๘๒, ม.ม. (บาลี) ๑๓/๑๕๗-๑๖๐/๑๓๑-๑๓๓.
๑๗๓มลิ นิ ฺท. ๒/๒๒๓.
๑๗๔ข.ุ ธ. (ไทย) ๒๕/๑๖๘/๘๕, ข.ุ ธ. (บาลี) ๒๕/๑๖๘/๔๗.
๑๗๕ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๔๒/๒๘๖, ม.ม. (บาลี) ๑๓/๒๔๒/๒๑๗.
๑๒๘
ทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม กล่าวเท็จ ดื่มน้าเมา หรือกระทาอนันตริยกรรม๑๗๖แต่บุคคลผู้
สารวมท้องย่อมบรรลุเหตุแห่งคุณธรรม มีการตรัสรู้จตุราริยสัจ ชานาญในจตุปฏิสัมภิทา
อัฏฐสมาบัติและฉฬภิญญาบาเพ็ญสมณธรรมอย่างสิ้นเชิง การที่พระพุทธเจ้าเสวยพระ
กระยาหารเสมอขอบบาตรบ้าง หรือย่ิงกวา่ นั้นบา้ ง เพราะพระองค์มกี ิจท่ีทรงกระทาแลว้ มี
กิริยาสาเร็จแล้วมีประโยชน์สาเร็จแล้ว มีกาลเป็นท่ีสุดแล้ว ห้ามกิเลสได้แล้ว เป็นพระ
สพั พญั ญูผเู้ ปน็ เองเปน็ การตรสั หมายเอาเฉพาะพระองคเ์ พยี งผู้เดียวเท่าน้ัน
๒๓) อทิ ธปิ าทพลทัสสนปญั หา๑๗๗
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง อทิ ธิบาท ๔ ประการสามารถทาใหบ้ ุคคลผู้เจริญ
กระทาให้มาก มอี ายุดารงอยู่ตลอดกัลป์หน่ึงบ้าง เกนิ กัลป์หน่ึงบา้ ง เพราะเหตุไร พระองค์
จงึ ตรสั วา่ จากนี้ไปอีก ๓ เดอื น ตถาคตจักปรินิพพาน๑๗๘
อธบิ ายวา่ พระพุทธเจา้ ตรัสว่า อทิ ธบิ าท ๔ ประการ อนั ตถาคตเจริญ กระทาให้
มากกระทาให้เป็นดุจยาน กระทาให้เป็นท่ีต้ัง ให้ตั้งมั่น สั่งสมไว้แล้ว ปรารภดีแล้ว หาก
ตถาคตยังทรงมุ่งหวัง พึงดารงพระชนม์อยู่ได้กัลป์หนึ่งบ้าง เกินกว่ากัลป์หน่ึงบ้าง๑๗๙
พระองค์ตรัสอย่างนั้น เพราะจะทรงสรรเสริญกาลังแห่งอิทธิบาท ไม่ใช่จะทรงสรรเสริญ
กาลังของพระองค์ ซ่ึงเปรียบเหมอื นพระราชามีม้าอาชาไนยท่มี ฝี ีเท้าเร็ว เชาว์ไวดุจลม เมื่อ
พระองค์ จะทรงอวดกาลังของม้าอาชาไนย จึงตรัสในท่ามกลางมหาชนว่า ม้าประเสริฐตัว
น้ีเมื่อต้องการจะเท่ียวไป พึงเท่ียวไปตลอดแผ่นดินที่มีน้าในสาครเป็นที่สุด กลับมาในท่ีนี้
เพียง ช่ัวพริบตาเดียวเท่าน้ัน เพ่ือแสดงความว่องไวของม้าที่มีปรากฏอยู่ ไม่ใช่แสดงถึง
ความว่องไวของพระองค์ในท่ามกลางมหาชน อนง่ึ พระพุทธเจ้าไม่มีความต้องการด้วยภพ
ท้ังปวง เพราะทรงพิจารณาเห็นภพ คติและกาเนิดทั้งปวงเสมอด้วยคูถ จึงไม่ทรงอาศัย
กาลงั แห่งฤทธเ์ิ พอ่ื ทรงกระทาความยินดหี รือความพอใจในภพทง้ั หลายตอ่ ไป
๑๗๖อนันตริยกรรมคืออกศุ ลกรรมที่หนักท่ีสุดซ่ึงให้ผลทันทีมี ๕ประการคือ (๑) มาตุฆาต
ฆ่ามารดา (๒) ปิตุฆาตฆ่าบิดา (๓) อรหันตฆาตฆ่าพระอรหันต์ (๔) โลหิตุปบาททาโลหิตของ
พระพทุ ธเจ้าใหห้ ้อขึน้ (๕) สงั ฆเภททาลายสงฆ์ใหแ้ ตกกนั .
๑๗๗มิลนิ ทฺ . ๑๐/๑๕๒. เป็นอทิ ธิพลทสั สนปญั หา.
๑๗๘ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๘/๑๑๖, ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๑๖๘/๙๕.
๑๗๙ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๗/๑๑๒, ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๑๖๗/๙๒.
๑๒๙
๒๔) ฐปนียพยากรณปญั หา๑๘๐
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้าไม่ทรงมีอาจริยมุฏฐิ๑๘๑ ในธรรม
ท้ังหลาย๑๘๒เพราะเหตุไร พระองค์จงึ ไมท่ รงพยากรณ์ปัญหาที่ พระมาลงุ กยบตุ รทลู ถาม
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าไม่มีความลับและไม่ปิดบังความรู้เหตุท่ีพระองค์ไม่ทรง
พยากรณป์ ัญหาของพระมาลงุ กยบตุ ร ไม่ใชจ่ ะทรงกระทาด้วยความไมร่ ู้ หรือโดยการปดิ บัง
ซ่อนเร้นไว้แต่เพราะปัญหานั้นไม่มีประโยชน์ไม่เป็นไปเพ่ือความหลุดพ้น และเป็นไปเพื่อ
การถกเถียงกันอยา่ งไมม่ ที ี่สิ้นสดุ การพยากรณป์ ัญหาเหลา่ น้มี อี ยู่๔ ประการ๑๘๓ คือ
(๑) เอกังสพยากรณยี ปญั หา ปญั หาควรตอบโดยนัยเดียว
(๒) วิภชั ชพยากรณยี ปญั หา ปญั หาทค่ี วรแยกตอบ
(๓) ปฏปิ จุ ฉาพยากรณียปัญหา ปญั หาที่ควรตอบโดยย้อนถาม
(๔) ฐปนียปัญหา ปญั หาทีค่ วรงดตอบ
พระพทุ ธเจ้าไม่ทรงพยากรณ์ปญั หาท่คี วรงดนัน้ (ฐปนียปัญหา) แกพ่ ระมาลุงกย
บุตร และปัญหาน้ันควรงดเพราะเหตุหรือการณ์เพ่ือจะแสดงปัญหาไม่มีเพราะฉะน้ัน
ปัญหานจี้ งึ ควรงดไวอ้ น่ึง พระพทุ ธเจ้าทง้ั หลายจะไม่เปล่งวาจาทไี่ ม่มเี หตไุ มม่ ีการณ์
๒๕) ภควโตลาภนั ตรายปัญหา๑๘๔
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พุทธเจ้าทรงได้จีวร บิณฑบาต เสนาสนะและ
คลิ านเภสัช๑๘๕ เพราะเหตุไร พระองค์เม่ือเสด็จไปบณิ ฑบาตที่บ้านพราหมณ์ช่ือปญั จสาละ
จึงไมไ่ ดว้ ัตถอุ ะไร ๆ
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าเสด็จเข้าไปบิณฑบาตที่บ้านพราหมณ์ปัญจสาละ แต่
ไม่ได้วัตถุอะไร ๆ ทรงแต่บาตรเปล่าเสด็จออกจากบ้านน้ัน๑๘๖เพราะเหตุแห่งมารผู้มีบาป
๑๘๐มิลินทฺ . ๒/๑๕๖. เป็นอพั ยากรณยี ปัญหา.
๑๘๑ท.ี ม.อ. ๑๖๔/๑๕๐, ส.ม.อ. ๓/๓๗๕/๒๗๖
๑๘๒ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๕/๑๑๐, ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๑๖๕/๙๐.
๑๘๓ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑, ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๓๑๒/๒๐๔. องฺ.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/
๔๒/๗๐,องฺ.จตกุ ฺก. (บาลี) ๒๑/๔๒/๕๑.
๑๘๔มิลนิ ทฺ . ๕/๑๖๖. เป็นพทุ ธลาภนั ตรายปัญหา.
๑๘๕ข.ุ อุ. (ไทย) ๒๕/๑๔/๑๙๓, ข.ุ อุ. (บาลี) ๒๕/๑๔/๑๐๗.
๑๘๖ส .ส. (ไทย) ๑๕/๑๕๔/๑๙๓-๑๙๔, ส .ส. (บาลี) ๑๕/๑๕๔/๑๓๘.
๑๓๐
เข้าสิงพราหมณ์และคฤหบดจี ึงทาให้พระองค์ไม่ได้อาหารบิณฑบาต อย่างไรกต็ าม แมม้ าร
จะมีฤทธ์ิดลใจชาวบ้านไม่ให้ถวายบิณฑบาตแด่พระพุทธเจ้า แต่ก็ยังมีกาลังวิเศษน้อยกว่า
กาลังของพระองค์เพราะอกุศลจะมีกาลังมากกว่ากุศลด้วยเหตุเพียงเท่านั้นก็หาไม่เปรียบ
เหมือนบุรุษจะนาเครื่องบรรณาการไปถวายพระเจ้าจักรพรรดิแต่ถูกทหารผู้รักษาประตู
ห้ามไม่ให้เข้าไปโดยการบังคับและขู่เข็ญ ทาให้เขาเกิดความกลัวต่ออาชญา จึงนาเครื่อง
บรรณาการกลบั ไปพระเจ้าจกั รพรรดิจะชือ่ วา่ เป็นผมู้ ีกาลังน้อยกวา่ ทหารผู้รกั ษาประตกู ็หา
ไม่ ก็อันตรายมีอยู่ ๔ประการ คอื
(๑) อทฏิ ฐนั ตราย อนั ตรายดว้ ยความไม่เห็น
(๒) อทุ ทสิ สกตันตราย อนั ตรายกับโภชนะท่ีบุคคลกระทาไวแ้ ลว้ เฉพาะ
(๓) อปุ กั ขตันตราย อันตรายกบั วตั ถทุ ่ีบุคคลเตรียมไวแ้ ลว้
(๔) ปรโิ ภคันตราย อันตรายในวัตถุเคร่อื งใชส้ อย
มารกระทาอันตรายด้วยความไม่เห็น และไม่ได้กระทาเฉพาะพระพุทธเจ้า
พระองค์เดียวเท่าน้ัน แม้ชนท่ีมาในวันนั้นก็ไม่ได้โภชนะเหมือนกัน เพราะถ้าบุคคลจะพึง
กระทาอันตราย กับเคร่ืองบริโภคที่บุคคลเตรียมไว้ถวายพระพุทธเจ้าด้วยความริษยา
ศรี ษะของเขาพงึ แตกออกเปน็ ร้อยส่วน หรอื พนั สว่ น
๒๖) สัพพสัตตานังหติ จรณปัญหา๑๘๗
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้านาส่ิงท่ีไม่เป็นประโยชน์เกื้อกูลออก
เข้าไปตั้งส่ิงท่ีเป็นประโยชน์เกื้อกูลแก่สรรพสัตว์เพราะเหตุไรพระองค์จึงทรงแสดงอัคคิ
ขันโธปมสูตร๑๘๘ ซึ่งเป็นเหตุทาให้โลหิตอุ่นพุ่งออกจากปากของภิกษุประมาณ ๖๐ รูป ผู้
กาลงั ฟงั พระสูตรอยู่
อธิบายว่า ความเรา่ ร้อนที่เกิดขนึ้ ในกาย จนทาให้โลหติ อุ่นพุ่งออกจากปากของ
ภกิ ษุเหล่านั้น ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการกระทาของพระพุทธเจ้า แต่เกิดขึ้นเพราะการกระทา
ของภิกษุน่ันเอง ความผิดท่ีภิกษุกระทา คือ การปฏิบัติผิดพระธรรมวินัย เม่ือพระองค์จะ
ทรงแสดงธรรมไม่ทรงกระทาความเอ็นดูและความโกรธเคอื ง เพราะทรงพน้ จากความเอน็ ดู
และความโกรธเคือง บคุ คลผู้ปฏิบัตชิ อบในธรรมย่อมตรัสรู้ได้ส่วนผ้ปู ฏบิ ตั ิผดิ ย่อมตกไป ไม่
๑๘๗มิลนิ ทฺ . ๒/๑๗๗.
๑๘๘อง.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๗๒/๑๕๘, อง.สตฺตก. (บาล)ี ๒๓/๗๒/๑๐๕.
๑๓๑
สามารถที่จะบรรลุมรรคผล เปรียบเหมือนบุรุษสั่นต้นมะม่วง หรือต้นชมพู่ผลไม้ท่ีมีข้ัว
มน่ั คงยอ่ มไม่หลุดจากต้น ส่วนผลไม้ท่ีมโี คนกา้ นเน่า มีข้วั เปราะบางกจ็ ะร่วงหลน่ จากตน้ ไป
หากพระองค์ทรงคานึงถึงความสูญเสียบริษัท ย่อมไม่อาจท่ีจะยังสั ตว์ให้ตรัสรู้ได้
เพราะฉะน้ัน บุคคลผู้สมควรจะตรัสรู้ย่อมตรัสรู้ด้วยอมตธรรม ส่วนบุคคลผู้ไม่สมควรก็
ย่อมตกไปจากอมตธรรม
๒๗) เสฏฐธมั มปญั หา๑๘๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ธรรมเป็นสง่ิ ที่ประเสริฐสุด เพราะเหตุไร คฤหัสถ์
ท่ีเปน็ พระโสดาบนั จงึ กราบไหว้ภิกษุสามเณรทย่ี งั เปน็ ปุถชุ น
อธิบายว่าโลกุตรธรรมเป็นสิ่งประเสริฐสุดในหมู่ชนท้ังในโลกนี้และโลกหน้า๑๙๐
คฤหัสถ์แม้เป็นพระโสดาบันก็ต้องกราบไหว้ลุกข้ึนยืนรับภิกษุสามเณรผู้เป็นปุถุชนเพราะ
ภิกษุสามเณรประกอบด้วยสมณ กรณธรรม ๒๐ ประการ๑๙๑และเพศอันอุดม ๒
ประการ๑๙๒ อีกอย่างหน่ึง ภูมิของภิกษุเป็นภูมิใหญ่ไพบูลย์ไม่มีภูมิอื่นเสมอโดยปริยาย
คฤหัสถ์ผู้เป็นโสดาบันเม่อื บรรลุพระอรหัตย่อมมีคติ๒ อยา่ ง คอื (๑) จะต้องปรินิพพาน (๒)
จะต้องบวชเป็นภิกษใุ นวนั นน้ั
๒๘) ตถาคตัสสอเภชชปริสปัญหา๑๙๓
๑๘๙มลิ นิ ทฺ . ๑/๑๗๔.
๑๙๐ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๑๖/๘๗, ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๑๑๖/๗๑.
๑๙๑สมณกรณธรรม๒๐ประการคือ (๑) เสฏฺโฐธมฺมาราโมมีธรรมเป็นท่ียินดีประเสริฐที่สุด
(๒)อคฺโคนิยโมมีความนิยมในกิจอันเลิศ (๓) จาโรมีความประพฤติดงี าม (๔) วิหาโรมีธรรมเป็นเครื่อง
อยู่ (๕) สญญฺ โมมีความสารวมอินทรีย์ (๖) สวโรมคี วามระวังในศีล (๗) ขนฺติมีความอดทน (๘) โสรจฺจ
มีความสงบเสง่ียม (๙) เอกนฺตาภิรติมีความยินดีย่ิงในธรรม (๑๐) เอกนฺตจริยามีการประพฤติธรรม
(๑๑) ปฏิสลฺลมี ีการอยู่ในทหี่ ลีกเรน้ (๑๒) หริ ิมคี วามละอายตอ่ บาป (๑๓) โอตฺตปฺปํมคี วามเกรงกลัวต่อ
บาป (๑๔) วิริยมีความเพียร (๑๕ )อปฺปมาโทมีความไม่ประมาท (๑๖) สิกฺขาปทานอุทฺเทโสมี
การศึกษาเลา่ เรียนสิกขาบท (๑๗) ปริปุจฺฉามีการสอบถามข้อสงสยั (๑๘) สีลาทิอภิรติมีความยินดียิ่ง
ในศลี เป็นต้น (๑๙) นริ าลยตาไม่มีความอาลยั (๒๐) สิกขฺ าปทปารปิ รู ีมีสกิ ขาบทบริบูรณ์.
๑๙๒เพศอันอุดม๒ประการคือ (๑) ภณฺฑกภาโวนุ่งห้มผ้ากาสาวพัตร์ (๒) มุณฺฑกภาโว
ความเป็นผู้มีศีรษะโลน้ .
๑๙๓มลิ ินทฺ . ๘/๑๗๓. เป็นอเภชชปรสิ ปญั หา.
๑๓๒
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้ามี บริษัทท่ีไม่แตกแยกกัน๑๙๔เพราะ
เหตุไร ภิกษุ๕๐๐ รปู จึงถูกพระเทวทตั ทาลายคราวเดียวกัน
อธิบายว่า พระพทุ ธเจ้ามีบริษัททพี่ รอ้ มเพรยี งกัน ใคร ๆ ไมส่ ามารถที่จะทาลาย
ได้ กภ็ กิ ษุ๕๐๐ รปู ถกู พระเทวทตั ทาลาย๑๙๕โดยการแยกหมู่แยกคณะออกไปตา่ งหาก เหตุ
นั้นเกิดข้ึนดว้ ยกาลงั แห่งเหตุเป็นเคร่ืองทาลาย เพราะเมอ่ื เหตุเป็นเคร่ืองทาลายมีอยู่ใคร ๆ
ก็อาจท่ีจะถูกทาลายได้ทั้งน้ัน แม้มารดาบิดาย่อมแตกกันกับบุตรธิดา หรือบุตรธิดาย่อม
แตกกันกับมารดาบิดาได้ แม้พ่ีชายน้องชายย่อมแตกกันกับพี่สาวน้องสาว หรือพี่สาว
น้องสาวย่อมแตกกันกับพี่ชายน้องชายได้แม้แต่เรือที่ต่อขึ้นด้วยไม้ต่าง ๆ ก็ย่อมแตกกัน
ด้วยกาลังแห่งคล่นื ทะเลท่ซี ัดเขา้ ใส่เพราะฉะนั้น การจะใหบ้ ริษัทของพระพุทธเจา้ ถูกบคุ คล
อื่นทาลายนั้น ไม่ใช่ความประสงค์ของวิญ ญูชน ไม่ใช่การนึกน้อมพระทัยของ
พระพทุ ธเจา้ และไม่ใช่ความพอใจของบัณฑิตทีต่ ้องการจะใหเ้ ป็นเชน่ น้ัน
๒๙) ภิกขคุ ณอเปกขปัญหา๑๙๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง พระพทุ ธเจ้าไมท่ รงมีพระประสงค์จะเป็นผู้บริหาร
ภิกษุสงฆ์ต่อไป หรือให้ภิกษุสงฆ์ยึดพระองค์เท่านั้นเป็นหลัก๑๙๗ เพราะเหตุไร พระองค์จึง
ตรัสว่า พระศรีอาริยเมตไตรยจักตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตและจะทรงบริหารสงฆ์
หลายพนั รปู เหมอื นตถาคตทรงบริหารสงฆห์ ลายร้อยรปู ในบดั น้ี๑๙๘
อธบิ ายวา่ พระพทุ ธเจ้ามไิ ดท้ รงดาเนินแบบอย่างตามบริษัท มแี ตบ่ ริษทั ที่ดาเนิน
รอยตามพระองค์ แม้พระวาจาของพระองค์ที่ตรัสว่าเรา ว่าของเรา ก็เป็นแต่เพียงการ
สมมตเิ ทา่ น้ัน เพราะวาจานี้มใิ ช่เป็นพระวาจาโดยปรมัตถ์พระพุทธองคท์ รงปราศจากความ
รัก ความเย่อื ใยโดยส้ินเชิง อยา่ งไรก็ตาม แม้พระองค์จะไม่ทรงมีความยึดถือว่าเรา วา่ ของ
เรา แต่ก็ยังทรงมคี วามยึดเหนี่ยวในสรรพสัตว์ เหมือนแผ่นดินเป็นท่ีอาศัยอยขู่ องสตั ว์แต่ก็
ไม่ได้เพ่งพิจารณาว่าสัตว์เหล่านี้เป็นของเราเพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าทรงเป็นท่ีพึ่งของ
สัตวท์ งั้ ปวงโดยแทแ้ ต่พระองค์กไ็ มไ่ ด้ทรงคานงึ ว่าสตั ว์เหล่านี้ว่าเป็นของเรา
๑๙๔ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๓๔/๑๙๑, ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๒๓๔/๑๔๙.
๑๙๕วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๓๔๔/๒๐๖, วิ.จ.ู (บาลี) ๗/๓๔๔/๑๔๐.
๑๙๖มลิ นิ ทฺ . ๗/๑๗๑. เปน็ ภิกขุสงั ฆปรหิ รณปัญหา.
๑๙๗ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๑๖๕/๑๑๐, ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๑๖๕/๙๑.
๑๙๘ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๑๐๗/๗๙, ท.ี ปา. (บาลี) ๑๑/๑๐๗/๖๕.
๑๓๓
๓๐) วัตถคุ ยุ หนทิ ัสสนปัญหา๑๙๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง การสารวมกาย วาจาและใจเป็นการดีการสารวม
ในที่ท้ังปวงกเ็ ปน็ การดี๒๐๐เพราะเหตุไร พระพทุ ธเจ้า จึงทรงแสดงพระคุยหฐาน คือ อวยั วะ
อนั เร้นอยู่ในฝักแกเ่ สลพราหมณ์๒๐๑ในทา่ มกลางบรษิ ทั ๔
อธิบายว่า บุคคลผู้เกิดความสงสัยในพระพุทธเจ้า พระองค์ก็จะทรงแสดงพระ
วรกายท่ีมีส่วนเปรียบด้วยอวัยวะนั้นด้วยฤทธิ์เพื่อจะให้เขาได้รับรู้และหายสงสัย บุคคลท่ี
อยู่ในที่น้ัน จะไม่มีใครเห็นอวัยวะอันเร้นอยู่ในฝักของพระองค์เสลพราหมณ์เท่าน้ันที่
สามารถมองเห็นได้ด้วยพุทธปาฏิหาริย์ท่ีทรงแสดงพระฉายาด้วยฤทธิ์เปรียบเหมือนบุรุษผู้
เจ็บป่วยบางคนมีญาติมิตรมาแวดล้อมเฝ้าดูอาการ แม้เขาจะได้รับทุกขเวทนาสักเพียงใด
แต่ญ าติมิตรก็มองไม่เห็นเวทนาของเขา เขาเสวยทุกขเวทนาอยู่แต่เพียงผู้เดียว
พระพทุ ธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงอวัยวะท่ีจะพึงซอ่ นเร้นดว้ ยอวัยวะจริง แต่ทรงแสดงพระฉายา
ด้วยฤทธิเ์ พือ่ เป็นการโปรดเสลพราหมณใ์ ห้ได้บรรลุธรรม เพราะสตั ว์ทีค่ วรตรสั รูจ้ ะตรัสรู้ได้
ด้วยอบุ ายทพี่ ระองค์ทรงประกอบข้นึ
๓๑) ตถาคตผรุสวาจานตั ถตี ิปญั หา๒๐๒
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจา้ เปน็ ผู้มีวจีสมาจารบริสุทธ์ิไมท่ รงมีวจี
ทุจรติ ที่พระองค์จะต้องรักษาโดยต้ังพระทัยว่า คนอ่ืนอย่ารู้วจีทุจริตของเรา๒๐๓ เพราะเหตุ
ไรเม่อื พระองค์ทรงบัญญตั ิปาราชกิ เพราะความผดิ ของพระสุทนิ จงึ ทรงรอ้ งเรียกด้วยวาทะ
ว่าโมฆบุรุษ ซงึ่ เปน็ วาจาหยาบ๒๐๔
๑๙๙มลิ นิ ทฺ . ๓/๑๘๐.
๒๐๐ส .ส. (ไทย) ๑๕/๑๑๖/๑๓๕, ส .ส. (บาลี) ๑๕/๑๑๖/๘๘. ขุ.ธ. (ไทย) ๒๕/๓๖๑/
๑๔๖, ขุ.ธ. (บาลี) ๒๕/๓๖๑/๘๐.
๒๐๑ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๙๘/๔๙๔, ม.ม. (บาลี) ๑๓/๓๙๘/๓๘๓. ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๕๕๓/
๖๓๔, ข.ุ ส.ุ (บาลี) ๒๕/๕๕๓/๔๔๖.
๒๐๒มลิ นิ ทฺ . ๔/๑๘๓. เปน็ ผรุสวาจาภาวปญั หา.
๒๐๓ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๓๐๕/๒๖๗, ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๓๐๕/๑๙๕.
องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๕๘/ ๑๑๒,องฺ.สตตฺ ก. (บาลี) ๒๓/๕๘/๖๘.
๒๐๔ว.ิ มหา. (ไทย) ๑/๓๙/๒๗, วิ.มหา. (บาลี) ๑/๓๙/๒๕.
๑๓๔
อธิบายว่า การท่ีพระพุทธเจ้าทรงร้องเรียกพระสุทินด้วยวาทะโมฆบุรุษ พระองค์
ไม่ได้ทรงร้องเรียกด้วยจิตอันโทษประทุษร้ายและไม่ได้ทรงร้องเรียกด้วยเหตุคิดจะข่มหรือ
กระทาการอวดอา้ งอานาจแต่ทรงรอ้ งเรียกด้วยลักษณะตามท่ีปรากฏเป็นจริง คือ บุคคลผ้ไู ม่
อาจตรัสรู้อริยสัจ ๔ ในอัตภาพน้ีความเป็นบุรษุ ของเขาก็ชื่อว่าเป็นสภาพว่างเปล่า หรือ เขา
สนใจที่จะกระทาแต่กิจอย่างอื่นให้สาเร็จ โดยไม่สนใจท่ีจะนาตนเองให้พ้นจากความทุกข์
เพราะฉะน้ัน กริ ยิ าท่ีพระพทุ ธเจา้ ทรงกระทาย่อมไมเ่ ป็นกริ ยิ าเสยี หาย และเมื่อจะทรงกระทา
ก็ทรงกระทาด้วยอาการท่ีเหมาะสม มนุษย์และเทวดาย่อมละอายต่อพระองค์อย่างยิ่ง ด้วย
การฟังด้วยการเห็น ดว้ ยการเข้าไปหา และด้วยการนั่งใกล้ทีย่ ่ิงข้นึ ไปกวา่ การได้เห็นวาจาของ
พระองค์แม้จะหยาบ แต่ก็มีประโยชน์ประกอบด้วยพระกรุณา และยังเป็นเคร่ืองละกิเลส
เหมือนยาทีม่ รี สเฝื่อนขมบคุ คลรบั ประทานแล้ว ย่อมกาจัดความเจ็บปว่ ย ของสตั วไ์ ด้
๓๒) วณั ณภณนปญั หา๒๐๕
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง เมื่อบุคคลพวกอ่ืนกล่าวยกย่องพระพุทธ พระ
ธรรม และพระสงฆ์ สาวกไมค่ วรปลาบปลมื้ ใจ หรือกระหย่ิมใจ๒๐๖เพราะเหตุไร พระองคจ์ ึง
ตรสั ว่า เมื่อเสลพราหมณ์สรรเสริญพระองค์ตามความเป็นจริง พระองค์ทรงดีพระทัยและ
ยงั ตรสั ระบุพระคุณของพระองค์ย่ิงข้นึ ไปอกี
อธิบายว่า เม่ือพระพุทธเจ้าจะทรงแสดงสภาวะท่ีมีลักษณะพร้อมท้ังรสตาม
ความเปน็ จริงที่ไมค่ ลาดเคลื่อน ท่ีมีความเป็นของจรงิ แท้แห่งพระธรรม จงึ ตรัสก่อนวา่ เมื่อ
บุคคลอ่ืนกล่าวยกย่องพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ภิกษุไม่ควรปลาบปลื้มใจ หรือ
กระหยิ่มใจและตรัสอีกว่า เมื่อเสลพราหมณ์กล่าวสรรเสริญพระคุณตามความเป็นจริง
พระองค์ยังตรัสย้าระบุพุทธคุณแก่เสลพราหมณ์ยิ่งข้ึนไปอีกว่า พระองค์เป็นพระราชาอยู่
แล้ว คือ เป็นพระธรรมราชาผู้ยอดเยี่ยม ยังจักรท่ีไม่มีใคร ๆ หมุนไปได้ให้หมุนไปได้๒๐๗
การที่พระองค์ตรัสอย่างนี้ไม่ได้ตรัสเพราะเหตุแห่งลาภ เพราะเหตุแห่งยศ เพราะเหตุแห่ง
ฝักฝ่าย หรือเพราะความเป็นผู้ต้องการอนั เตวาสิก แต่ตรัสด้วยความอนุเคราะห์ด้วยความ
๒๐๕มลิ นิ ทฺ . ๑๐/๑๙๕.
๒๐๖ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๖/๓, ท.ี ส.ี (บาลี) ๙/๖/๓.
๒๐๗ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๙๙/๔๙๖, ม.ม. (บาลี) ๑๓/๓๙๙/๓๘๔. ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๕๖๐/
๖๓๖, ขุ.สุ.(บาลี) ๑๓/๕๖๐/๔๔๗.
๑๓๕
กรณุ าและด้วยอานาจแห่งประโยชนเ์ ก้ือกลู วา่ เสลพราหมณ์และมาณพ ๓๐๐ คน จักตรสั รู้
ธรรมโดยอุบายอยา่ งน้ี
๓๓) โพธิสตั ตสั สธัมมตาปญั หา๒๐๘
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระราชมารดา พระราชบิดาของพระโพธิสัตว์
แน่นอนแล้ว การตรัสรู้ก็แน่นอน อัครสาวกก็แน่นอน พระราชโอรสก็แน่นอนอุปัฏฐากก็
แนน่ อนเพราะเหตุไรพระโพธสิ ตั วจ์ ึงทรงเลอื กมหาวโิ ลกนะ๘ ประการ๒๐๙ ก่อนทจ่ี ะประสตู ิ
อธิบายว่า การท่ีพระโพธิสัตว์ทรงเลือกมหาวิโลกนะ ๘ ประการ ถือว่าเป็น
ธรรมดาของพระโพธสิ ัตว์เปรียบเหมอื นเม่ือบุคคลจะไปยังสถานที่ ๆ ไม่เคยไปไม่เคยมา ก็
ต้องตรวจดูก่อนแล้วจึงไป หรือบุคคลจะกระทาการอย่างใดอย่างหนึ่งซ่ึงไม่เคยกระทามา
ก่อน ก็ต้องพิจารณาก่อนแล้วจึงทา เม่ือพระโพธิสัตว์จะหย่ังลงสู่ตระกูล ก็ต้องพิจารณา
ดกู อ่ นวา่ ตระกลู นีเ้ ปน็ ตระกูลกษัตริย์หรือเป็นตระกูลพราหมณ์
๓๔) โลมกัสสปปญั หา๒๑๐
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง เมอื่ ครัง้ พระพุทธเจ้าเสวยพระชาตเิ ป็นมนุษย์เป็น
ผู้ไม่เบียดเบียนสัตว์ทั้งหลาย๒๑๑เพราะเหตุไร เมื่อคราวท่ีพระองค์เสวยพระชาติเป็น
โลมกสั สปฤาษี๒๑๒เหน็ นางจนั ทวดีกญั ญา จงึ ฆา่ สตั วเ์ ปน็ จานวนมากเพอื่ บูชามหายญั
อธิบายว่า โลมกัสสปฤาษีเป็นผู้มีสัญญาวิปลาส ฆ่าสัตว์เพ่ือบูชามหายัญด้วย
อานาจแห่งราคะ ไม่ได้มีเจตนาฆ่าสัตว์บูชายัญเป็นปกติก็คนท่ีฆ่าสัตว์เป็นปกติมีอยู่ ๘
จาพวก คือ
(๑) คนกาหนัดยอ่ มฆา่ สัตว์ด้วยอานาจแห่งราคะ
(๒) คนโกรธเคอื งยอ่ มฆา่ สัตว์ด้วยอานาจแหง่ โทสะ
(๓) คนหลงยอ่ มฆา่ สัตวด์ ว้ ยอานาจแหง่ โมหะ
๒๐๘มลิ นิ ฺท. ๔/๒๐๕.
๒๐๙มหาวิโลกนะ๘ประการคือ (๑) กาลัวิโลเกติเลือกกาล (๒) ทีปํวิโลเกติเลือกทวีป(๓)
เทสวิโลเกติเลือกประเทศ (๔) กุลวิโลเกติเลือกตระกูล (๕) ชเนตฺตึวิโลเกติเลือกพระชนนี (๖)
อายวุ โิ ลเกตเิ ลือกอายุ (๗) มาสวิโลเกติเลือกเดอื น (๘) เนกขฺ มมฺ วิโลเกตเิ ลือกมหาภเิ นษกรมณ์.
๒๑๐มิลนิ ทฺ . ๕/๒๒๙. เปน็ พุทธอวิเหฐกปญั หา.
๒๑๑ท.ี ปา. (ไทย) ๑๑/๒๒๖/๑๘๔, ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๒๒๖/๑๔๓.
๒๑๒ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๖๐-๖๘/๓๑๐-๓๑๑, ขุ.ชา. (บาลี) ๒๗/๖๐-๖๘/๒๐๒-๒๐๓.
๑๓๖
(๔) คนถือตัวยอ่ มฆา่ สตั ว์ดว้ ยอานาจแห่งมานะ
(๕) คนโลภย่อมฆา่ สัตว์ดว้ ยอานาจแหง่ ความโลภะ
(๖) คนขาดแคลนทรพั ยย์ อ่ มฆ่าสตั วเ์ พอื่ เล้ียงชพี
(๗) คนพาลยอ่ มฆ่าสตั ว์ด้วยอานาจแห่งความไมร่ ู้
(๘) พระราชายอ่ มฆา่ สัตว์ด้วยอานาจแห่งกฎหมาย
บาปที่บุคคลผู้มีจิตฟุ้งซ่านกระทาแล้ว ย่อมไม่มีโทษมากทั้งในปัจจุบันและใน
สัมปรายภพ คนบา้ ทีก่ ระทาความผดิ จะต้องโทษประหารชีวิต โทษน้นั ก็จะเหลอื เพียงแค่ถูก
โบยและถูกเนรเทศเท่านนั้ การถกู โบยและถูกเนรเทศ ถือวา่ เปน็ โทษของคนบ้า เพราะเหตุ
น้ันคนบ้าท่ีกระทาความผิดจึงไม่มีโทษ เป็นผู้ที่ยังพอแก้ไขได้ต่อไป โลมกัสสปฤาษีมี
ความสาคัญผิด มีจิตฟุ้งซา่ นกาหนัดแล้ว พรอ้ มท้ังได้เห็นนางราชกญั ญาชื่อจนั ทวดีจึงทาให้
สามารถฆ่าสัตว์ บูชามหายัญด้วยจิตฟุง้ ซ่านและมัวเมา ตอ่ มาภายหลังโลมกัสสปฤาษีกลับ
ได้สตมิ จี ติ เปน็ ปกติตามเดมิ จงึ ออกบวชยังอภิญญาให้เกดิ เป็นผ้เู ข้าสู่พรหมโลกในกาลนนั้
๓๕) ฉัททนั ตโชติปาลอารัพภปัญหา๒๑๓
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระโพธิสัตว์ เสวยพระชาติเป็นพญาช้างชื่อ
ฉัททันต์จบั นายพรานช้างดว้ ยหมายใจวา่ เราจกั ฆ่ามัน พอเหน็ ผา้ กาสาวพัสตรอ์ นั เป็นธงชัย
แห่งฤาษีท้ังหลาย ทั้ง ๆ ที่ไดร้ ับทุกขเวทนา แต่ก็ยังเกิดสัญญาขึ้นว่าบุคคลผู้ทรงธงชัยแห่ง
พระอรหันต์ สัตบุรุษไม่ควรฆ่า๒๑๔ เพราะเหตุไร พระโพธิสัตว์เม่ือเสวยพระชาติเป็นโชติ
ปาลมาณพ จึงดา่ บริภาษพระกัสสปสมั มาสมั พทุ ธเจ้าด้วยวาจาหยาบคาย๒๑๕
อธิบายว่า การด่าและการบริภาษของโชติปาลมาณพ เกิดขึ้นด้วยอานาจ
แห่งชาติและตระกูล เพราะเขาเกิดในตระกูลที่ไม่มีศรัทธา ไม่มีความเล่ือมใสใน
พระพุทธศาสนา มารดาบิดาญาติพ่ีน้องเป็นผู้นับถือพระพรหม พราหมณ์เท่านั้นเป็นผู้
ประเสริฐสูงสุด จึงเกลียดชังบรรพชิต ต่อมาโชติปาลมาณพเข้าไปนับถือพระพุทธเจ้า รู้
๒๑๓มิลินฺท. ๖/๒๓๑.
๒๑๔ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๑๒๑/๕๕๘, ขุ.ชา. (บาลี) ๒๗/๑๒๑/๓๙๘.
๒๑๕ม.ม. (ไทย) ๑๓/๒๘๓/๓๓๘, ม.ม. (บาลี) ๑๓/๒๘๓/๒๕๙. ขุ.อป. (ไทย) ๓๒/๙๒/
๕๗๗, ขุ.อป.(บาลี) ๓๒/๙๒/๔๒๐.
๑๓๗
ทวั่ ถึงคุณของพระองค์ เป็นราวกะเด็กผู้บวชในพระศาสนาของพระชินพุทธเจ้า ยงั อภิญญา
และสมาบัติใหเ้ กดิ ขึน้ แลว้ เขา้ สู่พรหมโลก
๓๖) ภควโตราชปัญหา๒๑๖
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้าเป็นพราหมณ์ ผู้ควรแก่การขอ๒๑๗
เพราะเหตุไร พระองค์จึงตรสั กะเสลพราหมณ์ว่า พระองค์เปน็ พระราชา๒๑๘
อธิบายว่า ธรรมท่ีเป็นบาปเป็นอกุศลทั้งปวงพระพุทธเจ้าทรงลอย ทรงละ ทรง
เลิก ถอนแล้ว ธรรมเหล่าน้ันถึงความฉิบหาย ส้ินไป ดับไป เพราะเหตุน้ัน พระพุทธเจ้าจึง
ได้รบั การขนานพระนามว่าพราหมณ์ก็พราหมณ์ออกจากภพและคติท้ังปวง พ้นจากมลทิน
และละออง เป็นผู้เลิศประเสริฐสุด แม้พระพุทธเจ้าก็ออกจากภพและคติทั้งปวง พ้นจาก
มลทิน คือกิเลส เป็นผู้ประเสริฐสูงสุด คาว่า พราหมณ์ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่พระนามที่
พระราชบิดา พระราชมารดา หรือบุคคลอื่นตั้งให้แต่เป็นพระนามที่มีในที่สุดแห่งวิโมกข์
เพราะพระนามน้ันปรากฏเกิดขึ้นพร้อมกับการขจัดมารและเสนาแห่งมาร การบรรลุ
สัพพัญญุตญาณที่โคนแห่งไม้โพธ์ิ ส่วนบุคคลผู้ให้กระทาความเป็นพระราชาสั่งสอนคนทั้ง
โลกชื่อว่า พระราชา พระพุทธเจ้าทรงให้กระทาความเป็นพระราชาโดยธรรมในหมื่น
โลกธาตุสั่งสอน โลกกับทั้งเทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เพราะ
เหตนุ ้ัน บณั ฑติ จงึ ขนานพระพระพทุ ธจ้าวา่ พระราชา
๓๗) ทวินนังพุทธานังโลเกอปุ ปชั ชนปัญหา๒๑๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง เป็นไปไม่ได้ท่ีพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ๒
พระองคพ์ งึ เสดจ็ อบุ ัติพร้อมกันในโลกธาตุเดยี วกัน๒๒๐
อธิบายว่า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรม ก็ทรงแสดงธรรมมีในฝักฝ่ายแห่ง
ปัญญาเครื่องตรัสรู้๓๗ ประการเมื่อตรัสก็ตรัสอริยสัจ ๔ เม่ือให้ศึกษาก็ให้ศึกษาใน
ไตรสิกขาเมื่อพร่าสอนก็พร่าสอนเพ่ือการปฏิบัติในความไม่ประมาท หมื่นโลกธาตุน้ีย่อม
๒๑๖มลิ ินทฺ . ๘/๒๓๔. เปน็ พราหมณราชวาทปัญหา.
๒๑๗ข.ุ อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๑๐๐/๔๗๗, ขุ.อิต.ิ (บาลี) ๒๕/๑๐๐/๓๑๙.
๒๑๘ม.ม. (ไทย) ๑๓/๓๙๙/๔๙๖, ม.ม. (บาลี) ๑๓/๓๙๙/๓๘๔. ขุ.สุ. (ไทย) ๒๕/๕๖๐/
๖๓๖,ข.ุ ส.ุ (บาลี) ๑๓/๕๖๐/๔๔๗.
๒๑๙มลิ นิ ฺท. ๒/๒๔๘. เปน็ ทวนิ นังพทุ ธานังอนุปปัชชมานปัญหา.
๒๒๐ท.ี ปา. ๑๑/๑๖๑/๑๒๓, ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๑๖๑/๙๙. ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๑๒๙/๑๖๗
๑๓๘
ทรงพระคณุ ของพระพทุ ธเจ้าไว้ได้เพยี งพระองค์เดียวเท่าน้ัน ถ้าพระพุทธเจา้ พระองคท์ ี่สอง
จะพงึ เสด็จอุบัติหมน่ื โลกธาตนุ ี้กไ็ ม่อาจจะทรงไวไ้ ด้ พงึ ขยับเขย้อื น หว่นั ไหว เอนไป ทรดุ ลง
จนไม่สามารถจะทรงอยไู่ ด้ อนึ่ง ถ้าพระพุทธเจา้ ๒ พระองค์ พงึ เสด็จอุบัตใิ นขณะเดียวกัน
ความวิวาทจะพึงเกิดขึ้นแก่บริษัทว่า พระพุทธเจ้าของพวกท่าน พระพุทธเจา้ ของพวกเรา
จะทาให้บริษัทแตกออกเป็น ๒ ฝ่าย และถ้าพระพุทธเจ้า ๒ พระองค์พึงเสด็จอุบัติในคราว
เดยี วกนั กจ็ ะเป็นการขดั แย้งกนั กับคาท่วี า่ พระพุทธเจา้ เป็นผู้เลิศ เจริญที่สดุ ประเสรฐิ ที่สุด
วิเศษท่ีสุดสูงสุด ไม่มีผู้เสมอเหมือน ไม่มีผู้เปรียบได้ ไม่มีผู้ทัดเทียม เพราะฉะน้ัน การที่
พระพุทธเจ้าเสด็จอุบัติในโลกพระองค์เดียว จึงเป็นปกติของพระผู้มีพระ ภาคเจ้าผู้ตรัสรู้
แล้ว เพราะความท่พี ระคุณของพระพุทธเจ้าผ้เู ปน็ สพั พัญญเู ปน็ คณุ อนั ยง่ิ ใหญ่
๓๘) เวสสนั ตรปญั หา๒๒๑
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระโพธิสตั ว์ทุกพระองค์ พระราชทานพระโอรส
และพระเทวเี หมือนกันหมด หรือว่าพระเวสสันดรพระองค์เดยี วเท่านั้นทพ่ี ระราชทาน และ
เมือ่ จะพระราชทาน ไดพ้ ระราชทานโดยความเหน็ ชอบของพระโอรสและพระเทวีหรอื ไม่
อธิบายว่า พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์พระราชทานพระโอรสและพระเทวี
เหมือนกัน หมดทุกพระองค์ไม่ใช่แต่พระเวสสันดรเท่านั้น แ ละเม่ือพระเวสสันดร
พระราชทาน พระเทวีก็ทรงยินยอมตามพระเวสสันดร ส่วนพระโอรสและพระธิดาท้ังสอง
คร่าครวญอยู่ เพราะความท่ียังเล็กไม่รู้เดยี งสา ถ้าท้งั สองพระองค์จะพึงรูว้ า่ เป็นประโยชน์ก็
จะอนโุ มทนา และจะไมท่ รงครา่ ครวญ พระโพธิสตั ว์ทรงกระทากิจท่ีทาไดย้ ากอยา่ งยง่ิ อยา่ ง
น้ี จึงทาให้กิตติศัพท์ของพระองค์ฟุ้งขจรไปในหมื่นโลกธาตุ เหล่าเทวดาและมนุษย์ ครุฑ
นาค ยกั ษ์ ต่างสรรเสริญในภพของตนโดยสบื ทอดกนั มา แต่เมอ่ื กิตติศัพท์ของพระโพธิสตั ว์
สืบทอด มาถึงในยุคสมัยของพวกเราในปัจจุบัน พวกเราก็สรรเสริญพระองค์เชิงค่อนขอด
ว่า การบริจาคพระโอรสและพระเทวีเป็นส่ิงที่พระโพธิสัตว์ได้พระราชทานโดยชอบ หรือ
พระราชทานโดยมิชอบพระโพธิสัตว์เป็นผู้มีปัญญาละเอียด สามารถรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง
แสดงใหเ้ หน็ ถึงคุณธรรม ๑๐ ประการ คอื
(๑) ความเปน็ ผ้ไู มโ่ ลภ
(๒) ความเปน็ ผไู้ มม่ ีอาลัย
๒๒๑มลิ นิ ฺท. ๒/๔๐๓. เปน็ เวสสันตรปญั หา.
๑๓๙
(๓) การบรจิ าค
(๔) การละกิเลส
(๕) ความเปน็ ผไู้ มเ่ วยี นมาอกี
(๖) ความเปน็ ผ้สู ุขมุ
(๗) ความเป็นผู้ใหญ่
(๘) ความเปน็ ผู้อนั บคุ คลรู้ตามไดโ้ ดยยาก
(๙) ความเป็นผู้อนั บคุ คลไดโ้ ดยยาก
(๑๐) ความเป็นผูม้ ธี รรมรแู้ ล้วหาบคุ คลอนื่ ผเู้ ช่นกับด้วยพระองค์ไมไ่ ด้
บณั ฑิตยกย่อง สรรเสริญพระเวสสันดร ท่ีทรงบริจาคทานอันย่ิงในหมื่นโลกธาตุ
ซ่ึงทาให้พระองค์ตรัสรู้ และเป็นผู้เลิศในโลกพร้อมทง้ั เทวโลกในกาลบัดนี้ก็เมื่อบุคคลจะให้
ทานควรพิจารณากอ่ น แล้วจึงคอ่ ยให้แก่พระทักขิไณยบุคคล แต่ยังมีทานบางอย่างทจ่ี ัดว่า
ไม่เป็นทานในโลกนี้๒๒๒บุคคลผู้ให้ทานเหลา่ นจ้ี ักไปสู่อบายภมู ิ
อีกอย่างหน่ึงพระเวสสันดรทรงสละพระโอรสและพระธิดาท้ังสองแก่พราหมณ์
ด้วยอาศัยอานาจประโยชน์๒ ประการ คอื
(๑) หนทางแห่งทานของเราจักไม่เส่ือมสูญ เม่ือลูกน้อยท้ังสองถึงความลาบาก
ดว้ ยรากไมผ้ ลไม้ในปา่ พระอัยกาจกั ทรงเปลื้องเหตุแหง่ ความลาบากนี้
(๒) พระองค์ทรงทราบดีว่า ไม่มีใครที่จะใช้งานทารกท้ังสองเย่ียงทาสได้และ
พระอัยกาจักทรงไถ่ทารกทั้งสองน้ีไว้ เม่ือเป็นอย่างนั้น พระเวสสันดรก็จักกลับเข้าสู่เมือง
ตามเดมิ
๓๙) ทุกกรการกิ ปัญหา๒๒๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง พระโพธสิ ัตว์ทุกพระองค์ ทรงกระทากิจทท่ี าได้ยาก
เหมอื นกนั หมด หรือว่าพระโคดมโพธสิ ตั วพ์ ระองค์เดียวเทา่ นน้ั ทท่ี รงกระทากิจท่ีทาได้ยาก
๒๒๒อทานสมฺมตานิ (ทานท่ีไม่จัดว่าเป็นทาน) มี๑๐ประการคือ (๑) มัชชทานการให้
น้าเมา(๒) สมัชชทานการให้มหรสพ (๓) อิตถิทานการให้สตรี (๔) อุสภทานการให้โค (๕) จิตตกัมม
ทานการให้จิตรกรรม (๖) สัตถทานการให้ศัสตรา (๗) วิสทานการให้ยาพิษ (๘) สังขลิกทานการให้
เครื่องจองจา (๙) กุกกุฏสูกรทาน การให้ไก่และสกุ ร (๑๐) ตุลากฏู มานกูฏทานการให้โกงด้วยการชั่ง
และโกงด้วยการนับ
๒๒๓มิลินทฺ . ๒/๒๙๕.
๑๔๐
อธิบายว่า พระโพธิสัตว์ทุกพระองค์ไม่มีกิจที่ทรงกระทาได้ยาก พระโคดม
โพธิสัตว์ พระองค์เดียวเท่าน้ันที่ทรงกระทากิจที่ทาได้ยาก เพราะความมีประมาณต่างกัน
ระหว่างพระโพธิสตั ว์กบั พระโพธิสัตวย์ อ่ มมีโดยเหตุ๔ ประการ คอื
(๑) กลุ เวมตตฺ ตา ความมปี ระมาณตา่ งกนั แหง่ ตระกลู
(๒) ปธานเวมตฺตตา ความมปี ระมาณตา่ งกนั แหง่ การบาเพ็ญเพียร
(๓) อายเุ วมตตฺ ตา ความมีประมาณต่างกันแห่งอายุ
(๔) ปมาณเวมตตฺ ตา ความมีประมาณตา่ งกันแห่งความประมาณ
พระพุทธเจ้าทกุ พระองคไ์ มม่ คี วามมีประมาณต่างกันในเพราะรูป ศลี สมาธปิ ญั ญา
วิมตุ ติวมิ ุตติญาณทัสสนะ จตุเวสารชั ชญาณ ทศพลญาณ อสาธารณญาณ ๖ พุทธญาณ ๑๔
และพุทธคุณทั้งสิ้น เพราะทุกพระองค์เป็นผู้เสมอเหมือนกัน โดยพุทธธรรมเหตุที่พระโคดม
โพธิสัตว์ต้องบาเพ็ญทุกกรกิริยา ต้ังแต่การเสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์จนถึงการอบรมพระ
ญาณให้มีความแก่กล้า โดยที่ไม่ต้องรอให้พระญาณ แก่กล้าก่อนแล้วจึงเสด็จออก
มหาภิเนษกรมณ์ เพราะทรงพิจารณาเห็นเรือน คือ สตรีเป็นของวิปริตจึงทาให้เกิดความ
เดือดร้อนพระทัย อีกท้ังเทวดาผู้นับเน่ืองในหมู่มารคิดจะมาบรรเทาความไม่สบายพระทัย
ของพระองค์วา่ ท่านอยา่ กระสันข้ึนเลย ในวนั ที่เจ็ดแต่วนั นี้ จักรรตั นะอนั เป็นทิพย์จักปรากฏ
แก่ท่าน คาของเทวดาแทนทีจ่ ะบรรเทาความกระสันวุ่นวายพระทัย กลับทาใหพ้ ระองค์สลด
พระทัยยิ่งขึ้น เปรียบเหมือนกองไฟใหญ่ที่กาลังลุกโชนอยู่ ถูกเติมเข้าไปด้วยเช้ือเพลิง คือไม้
แห้งย่ิงลุกโพลงมากขนึ้ เพราะเหตุน้ัน พระโคดมโพธสิ ัตวจ์ งึ ทรงกระทากจิ ที่ทาไดย้ าก
๔๐) อนมุ านปญั หา๒๒๔
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง พระพทุ ธเจา้ มอี ยูจ่ รงิ หรอื
อธิบายว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่จริง แม้คนในปัจจุบันจะไม่เคยเห็นพระองค์หรือ
อาจารย์ของคนเหลา่ นั้นจะไม่เคยเห็น แต่ก็ไม่เป็นเหตุทาให้เชื่อวา่ พระพุทธเจ้าไม่มีอยู่จริง
เหตุท่ีทาใหบ้ ุคคลเชื่อแน่ว่าพระองค์มอี ยู่จริง เพราะเครื่องพุทธบริโภคทัง้ หลายที่พระองค์ผู้
เป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเคยใช้สอยมีอยู่ คือ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔
อทิ ธิบาท ๔ อนิ ทรีย์๕ พละ ๕ โพชฌงค์๗ อริยมรรค ๘ เพราะฉะน้ัน โลกพร้อมทั้งเทวโลก
จึงเช่ือแน่ว่าพระองค์มีอยู่จริง บุคคลพึงทราบโดยเหตุโดยปัจจัย โดยนัยโดยอนุมานน้ี
๒๒๔มลิ ินทฺ . ๑/๓๓๘.
๑๔๑
เปรียบเหมอื นปฐมบรมมหากษัตริย์ของราชวงศ์มีอยูจ่ ริงแม้พระมหากษัตรยิ ์ในปัจจุบันจะ
ไม่เคยทอดพระเนตร หรอื ปุโรหติ เสนาบดีอามาตยผ์ ู้วินิจฉยั จะไมเ่ คยเห็น แตก่ ็ไม่ทาใหเ้ ชื่อ
วา่ ปฐมบรมมหากษัตริย์นั้นไม่มีอยจู่ ริง เพราะเครื่องราชูปโภคของปฐมบรมกษัตริย์ ที่ทรง
เคยใช้สอยยังปรากฏอยู่ คือ เศวตฉัตร มงกุฎ ฉลองพระบาท วาลวีชนีพระขรรค์แก้ว จึง
เชื่อแนว่ ่าปฐมบรมกษตั รยิ ์นนั้ มีอย่จู ริง โดยการอนุมานอยา่ งนี้
จะเห็นได้ว่า พระพุทธเจ้ามีอยู่จริงซ่ึงปรากฏตามหลักฐานเป็นเครื่องพิสูจน์
หลายอย่าง ตามเหตุการณ์ สถานท่ีและบุคคล พระองค์ทรงเป็นบุคคลที่มีลักษณะพิเศษ
เหนือกว่าบุคคลธรรมดา อันเกิดจากการบาเพ็ญพระบารมีเป็นเวลาต้ัง ๔ อสงไขยยิ่งด้วย
แสนกัลป์จึงทาให้พระองค์มี พระลักษณะไม่เหมือนทั้งพระราชบิดาและพระราชมารดา
พระพุทธเจ้าทรงประกาศเผยแผ่ พระพุทธศาสนา เพื่อต้องการยังประโยชน์เกื้อกูลให้
เกิดขึ้นแก่ชาวโลก พร้อมท้ังเทวดา มาร พรหม และหมู่สัตว์แม้จะถูกบุคคลภายนอก
พระพุทธศาสนามุ่งทาลายและทาร้าย ก็ไม่ทรงท้อพระทัยในการเผยแผ่พระพุทธศาสนา
กลับทาใหพ้ ระคณุ ของพระองคป์ รากฏเป็นที่ประจกั ษ์แกม่ หาชนและเป็นการเพิ่มศรัทธาป
สาทะในพระพุทธศาสนามากย่ิงขึ้น เมื่อมหาชนหมดความสงสัยในพุทธจริยา ย่อมเช่ือมั่น
ในพระวสิ ุทธิคณุ พระปญั ญาคุณ และพระมหากรณุ าคุณ ปถุ ุชนคนมปี ัญญาเบาบางอาจคิด
ว่าพุทธจริยาบางอย่างไม่สอดคล้องกับส่ิง ที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้ แต่เมื่อพิจารณา
ใคร่ครวญด้วยเหตุผลอย่างดีแลว้ ยอ่ มรู้วา่ เปน็ การยงั ประโยชนส์ ุขให้เกิดขน้ึ กับมหาชนโดย
แ ท้ ห ลั ก ธ ร ร ม ค า สั่ งส อ น ที่ พ ร ะ อ งค์ ท ร งแ ส ด งไว้ เป็ น เค ร่ื อ งยื น ยั น ไ ด้ อ ย่ า งชั ด เจ น ว่ า
พระพุทธเจา้ มอี ยู่จริง ไม่ใช่เป็นเพียงการสมมติเพื่อให้ คนเชื่อเท่าน้ัน พระพทุ ธศาสนาเป็น
ศาสนาท่ีทนต่อการพิสูจน์มาเป็นระยะเวลาท่ียาวนาน ปัจจุบันก็ยังมีการพิสูจน์กันอยู่
ตลอดเวลา เป็นการพิสูจน์ด้วยการศึกษาเล่าเรียนและการปฏิบัติธรรม ผลของการศึกษา
เล่าเรียนและปฏิบัติเป็นอย่างไร บุคคลผู้ที่ผ่านวิธีการดังกล่าว ก็คงจะได้รับรู้ถึงผลเป็น
อย่างดีพระธรรมวินัยท่ีพระองค์ทรงแสดงและบัญ ญัติไว้ ถือว่าเป็นศาสด าของ
พระพุทธศาสนาแทนพระองค์ ดังที่พระองค์ตรัสกะพระอานนท์ว่า พวกเธออย่าพึงเห็น
อย่างน้ีวา่ ปาพจน์๒๒๕ มีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระ ศาสดา ธรรมและวนิ ัย
๒๒๕ปาพจน์หมายถงึ พระธรรมและพระวินัย.
๑๔๒
ที่เราแสดงแล้วบัญญัติแล้วแก่เธอทั้งหลาย หลังจากเราล่วงลับไปแล้วก็จะเป็นศาสดาของ
เธอท้งั หลาย๒๒๖นเ้ี ป็นเครื่องแสดงใหเ้ ห็นวา่ พระศาสดายงั คงปรากฏอยู่จนถงึ ทกุ วันนี้
๒.๔ หลักธรรมทีเ่ ปน็ พ้ืนฐานในการปฏบิ ตั ิ
๑) สลี ปติฏฐานลกั ขณปญั หา๒๒๗
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ลกั ษณะของศีลอันเปน็ พื้นฐานพระนิพพาน
อธิบายว่า ศีลมีลักษณะเป็นที่ต้ังอาศัยแห่งกุศลธรรมท้ังปวง เป็นท่ีอาศัยแห่ง
อินทรีย์ พละ โพชฌงค์ มรรค สติปัฏฐาน สัมมัปปธาน อิทธิบาท ฌาน วิโมกข์ สมาธิ
สมาบัติพระโยคาวจรดารงอยู่ในศีลแล้ว เจริญอินทรีย์๕ ประการ คือ ศรัทธา วิริยะ สติ
สมาธิปัญญาให้เกิดข้ึน จะทาให้กุศลธรรมท้ังปวงไม่เสื่อมสูญ เหมือนพีชคามและภูตคาม
ต้องอาศยั แผ่นดินเป็นท่เี พาะปลกู จึงจะเจรญิ งอกงามไพบลู ยข์ ึ้นมาได้เพราะฉะนั้น บุคคลผู้
ทีจ่ ะเจรญิ คุณความดีอยา่ งอ่ืนให้เกิดขน้ึ กต็ อ้ งรักษาศลี ให้เปน็ พ้ืนฐานกอ่ น แม้พระพุทธเจ้า
ก็ตรัสว่า นรชนผู้มีปัญญาเห็นภัยในสังสารวัฏ ดารงอยู่ในศีลแล้วเจริญจิตและปัญญา มี
ความเพยี ร มีปัญญาเครอ่ื งบรหิ ารนนั้ พงึ แกค้ วามยงุ่ นไ้ี ด้๒๒๘
๒) สัทธาลกั ขณปัญหา๒๒๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง ลกั ษณะของศรทั ธา
อธบิ ายวา่ ศรทั ธามีลักษณะ ๒ ประการคือ
(๑) มีลักษณะทาจติ ใจให้ผอ่ งใส
(๒) มลี ักษณะจงู ใจ
ศรัทธาท่ีมีลักษณะทาจิตใจให้ผ่องใส คือ เม่ือเกิดข้ึนย่อมขับไล่นิวรณ์ให้ออกไป
ทาใหจ้ ิตทีป่ ราศจากนิวรณ์มีความผ่องใส เหมอื นพระเจ้าจักรพรรดิเสดจ็ ข้ามลานา้ ทาให้ลา
น้าขุ่นมัวมีโคลนตม เมื่อพระองค์ต้องการจะเสวยน้าจึงรับสั่งให้ราชบุรุษนาดวงแก้วมณี
สาหรับแช่น้าให้ใสแช่ลงในน้า เมื่อแช่ลงไปสาหร่ายจอกแหน ก็หลีกลอยไป โคลนตมก็จม
๒๒๖ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๖/๑๖๔, ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๒๑๖/๑๓๔.
๒๒๗มิลินทฺ . ๙/๓๔. เปน็ สีลลกั ขณปัญหา.
๒๒๘ส .ส. (ไทย) ๑๕/๒๓,๑๙๒/๒๗,๒๗๑, ส .ส. (บาล)ี ๑๕/๒๓,๑๙๒/๑๖,๑๙๘.
๒๒๙มลิ ินทฺ . ๑๐-๑๑/๓๕-๓๖. เปน็ สัมปสาทนลักขณสัทธาปัญหาและสมั ปักขันทนลกั ขณ
สัทธาปญั หา.
๑๔๓
ลงไปใต้นา้ ทาให้น้าผอ่ งใสไมข่ ุ่นมัว บุคคลผู้มีปัญญาควรเห็นว่าจติ เหมอื นน้า พระโยคาวจร
เหมือนราชบุรษุ กเิ ลสเหมอื นสาหร่ายจอกแหนและโคลนตม ศรัทธาเหมือนดวงแก้วมณี
ส่วนศรัทธาที่มีลักษณะจูงใจ เหมือนพระโยคาวจรเห็นจิตของผู้อื่นที่พ้นจาก
กิเลส ย่อมชักจูงไปในโสดาปัตติผลบ้าง สกทาคามิผลบ้าง อนาคามิผลบ้าง อรหัตผลบ้าง
กระทาความเพียรเพ่ือบรรลุธรรมทต่ี นยังไมบ่ รรลเุ หมือนมหาเมฆยังฝนใหต้ กลงมาบนยอด
เขา น้าย่อมไหลลงมารวมกันทาให้แม่น้าเต็มเป่ียม เมื่อคนมาถึงแม่น้าสายนั้นแล้ว ไม่อาจ
ทราบว่าแม่น้าตื้นหรือลึกจึงไม่กล้าท่ีจะข้าม เม่ือเป็นอย่างน้ัน บุรุษคนหนึ่งมาถึงท่ีน้ัน
กาหนดเรี่ยวแรงและกาลังของตนว่าสามารถจะข้ามได้ จึงเดินข้ามแม่น้าไป เม่ือคน
เหล่าน้ันเห็นเขาข้ามไปได้ก็เดินข้ามแม่น้าตามไปด้วย พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในสังยุตตนิกาย
ว่า “บุคคลข้ามโอฆะได้ด้วยปัญญา ข้ามอรรณพได้ด้วยความไม่ประมาท ล่วงทุกข์ได้ด้วย
ความเพยี ร บริสุทธิ์ไดด้ ้วยปญั ญา”๒๓๐
๓) วริ ยิ ลกั ขณปัญหา๒๓๑
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ลักษณะของวริ ยิ ะ
อธิบายว่า วิริยะมีลักษณะค้าจุนไว้คือ กุศลธรรมที่วิริยะค้าจุนไว้ย่อมไม่เส่ือม
หายไป เหมือนเรือนที่จวนจะล้ม บุรุษก็เอาไม้ไปค้าไวท้ าให้เรือนไม่ลม้ หรือเปรียบเหมือน
กองทัพใหญ่ยกทัพเข้าตีกองทัพน้อยให้แตกพ่ายไป ต่อมาพระราชาทรงจัดกองทัพอื่น ๆ
สง่ ไปเป็นกองหนุนเพิ่มเติม เม่ือกองทพั น้อยสมทบเข้ากับกองทัพทย่ี กหนุนไป อาจกาชัยตี
กองทพั ใหญ่ให้แตกพ่ายได้พระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้ว่า อริยสาวกผู้มีความเพียรย่อมละอกุศล
เจริญกุศล ละธรรมทม่ี ีโทษเจรญิ ธรรมท่ีไมม่ ีโทษ บรหิ ารตนใหบ้ ริสทุ ธิ์๒๓๒
๔) สตลิ กั ขณปญั หา๒๓๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง ลักษณะของสติ
อธิบายวา่ สติมีลกั ษณะให้นกึ ได้และมลี ักษณะถือไว้
๒๓๐ส .ส. (ไทย) ๑๕/๒๔๖/๓๕๓, ส .ส. (บาลี) ๑๕/๒๔๖/๒๕๘.
๒๓๑มลิ นิ ทฺ . ๑๒/๓๗.
๒๓๒องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๖๗/๑๔๐, องฺ.สตฺตก. (บาล)ี ๒๓/๖๗/๙๐.
๒๓๓มิลนิ ทฺ . ๑๓/๓๘.
๑๔๔
สติที่มีลักษณะให้นึกได้คือ เมื่อสติเกิดข้ึนทาให้นึกถึงธรรมที่เป็นกุศลและอกุศล
มีโทษและไมม่ ีโทษ เลวทรามและประณีต มสี ่วนเปรียบด้วยของดาและของขาว และทาให้
นกึ ได้ว่าน้ีสติปัฏฐาน ๔น้ีสัมมปั ปธาน ๔ นอี้ ทิ ธิบาท ๔ นีอ้ ินทรยี ์๕นี้พละ ๕ น้ีโพชฌงค์๗ น้ี
อรยิ มรรคมีองค์๘ น้ีสมถะ น้ีวิปัสสนา น้ีวิชชา น้ีวิมุตติพระโยคาวจรก็จะเลือกเสพธรรมที่
ควรเสพ ไม่เสพธรรมทไ่ี ม่ควรเสพ เลอื กคบแต่ธรรมที่ควรคบ ไม่คบธรรมที่ไมค่ วรคบ
ส่วนสติท่ีมีลักษณะถือไว้คือ สติเมื่อเกิดข้ึนก็จะค้นหาที่ไปแห่งธรรมท่ีเป็น
ประโยชนแ์ ละไม่เป็นประโยชน์ ทาให้รู้ว่าธรรมเหล่านี้เป็นประโยชน์ไม่เป็นประโยชน์ หรือ
เป็นอุปการะ ไม่เป็นอปุ การะ พระโยคาวจรจะกีดกนั ธรรมที่ไม่เป็นประโยชนถ์ อื ไวแ้ ต่ธรรม
ที่เป็นประโยชน์กีดกันธรรมท่ีไมเ่ ป็นอุปการะ ถือไวแ้ ต่ธรรมที่เป็นอุปการะ พระพทุ ธเจ้าจึง
ตรัสว่า เรากลา่ วสติว่าจาต้องประสงคใ์ นทที่ กุ สถาน๒๓๔
๕) จริ กตสรณปัญหา๒๓๕
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง บุคคลระลึกถึงสิ่งที่ล่วงไปแล้วและส่ิงที่ทาไว้
นานๆ ดว้ ยอะไร
อธิบายว่า บุคคลระลึกถึงกิจท่ีทา หรือคาที่พูดไว้นาน ๆ ได้และนึกถึงเหตุการณ์
ท่ีล่วงแลว้ มาปรากฏขึน้ ได้ดว้ ยสติไม่ใช่ดว้ ยจิต เพราะสตเิ ป็นตวั ระลึกนึกถึง ส่วนจติ เป็นแต่
เพียงตัวคิดเท่านั้น เปรียบเหมือนบุคคลพยายามนึกถึงส่ิงที่เคยกระทาไว้ซึ่งผ่านมานาน
แล้วแต่ไม่อาจระลกึ ได้เพราะในขณะทีก่ ระทาเขาไม่มสี ติแตว่ ่าจิตของเขายังคงมีอยู่พรอ้ ม
๖) สติอภชิ านนปัญหา๒๓๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง สติเกิดขึ้นแตค่ วามรู้เอง หรือมีบคุ คลอ่ืนเตือนสติ
จึงจะเกิดข้นึ
อธิบายว่า สติเกิดข้ึนจากความรู้เองบ้าง เกิดข้ึนเม่ือมีผู้อื่นเตือนบ้าง เพราะถ้า
สติ เกิดขึ้นจากความรู้เองเพียงอย่างเดียว ก็จะไม่มีกิจที่ควรกระทาด้วยการงานหรือ
ศิลปวิทยา และอาจารย์ก็จะไม่มีประโยชน์แต่เพราะสติเกิดข้ึนเม่ือมีผู้อ่ืนเตือน จึงทาให้มี
๒๓๔ส .ม. (ไทย) ๑๙/๒๓๔/๑๗๔, ส .ม. (บาลี) ๑๙/๒๓๔/๑๐๒.
๒๓๕มลิ นิ ฺท. ๑๐/๘๗.
๒๓๖มลิ นิ ฺท. ๑๑/๘๗. เป็นอภชิ านันตสติปัญหา.
๑๔๕
กิจที่ควรกระทาด้วยการงานหรือศิลปวิทยาและทาให้คนยังต้องมีอาจารย์คอยส่ังสอน
ศลิ ปวทิ ยา
๗) สติอาการปญั หา๒๓๗
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื ง สตเิ กิดขึน้ ด้วยอาการเทา่ ไร
อธิบายว่า สตเิ กิดขึน้ ดว้ ยอาการ ๑๗ อย่าง คอื
(๑) เพราะความร้ยู ิง่
(๒) เพราะมผี ้อู ื่นกระตุ้นเตือนใหร้ ้สู ิง่ ท่ีทาไปแลว้
(๓) เพราะวญิ ญาณหยาบ
(๔) เพราะวญิ ญาณท่ีเกื้อกลู
(๕) เพราะวิญญาณท่ไี มเ่ กื้อกลู
(๖) เพราะนิมติ ทมี่ ีสว่ นเหมือนกัน
(๗) เพราะนิมติ ท่ีมสี ว่ นผิดกัน
(๘) เพราะการเขา้ ใจคาพดู
(๙) เพราะลักษณะ
(๑๐) เพราะการถูกผ้อู ืน่ บอกใหร้ ะลึก
(๑๑) เพราะมีวธิ บี ันทกึ
(๑๒) เพราะมีวธิ นี บั
(๑๓) เพราะมวี ธิ ีทรงจา
(๑๔) เพราะภาวนา
(๑๕) เพราะคานิพนธใ์ นคัมภรี ์
(๑๖) เพราะการเกบ็ ไว้
(๑๗) เพราะเปน็ อารมณ์ทเ่ี คยเสวย
๘) สมาธลิ ักขณปัญหา๒๓๘
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง ลักษณะของสมาธิ
๒๓๗มิลนิ ฺท. ๑/๘๘. เป็นสตอิ ุปปชั ชนปัญหา.
๒๓๘มิลนิ ฺท. ๑๔/๔๐.
๑๔๖
อธิบายว่า สมาธิมีลักษณะเป็นประธาน กุศลธรรมท้ังหลายล้วนมีสมาธิเป็น
ประธาน นอ้ มไปในสมาธิเหมอื นกลอนของเรือนที่มยี อด กลอนเหลา่ นน้ั ก็จะน้อมไปหายอด
มยี อดเป็นที่ชุมนุม คนทัง้ หลายจึงกล่าววา่ ยอดเป็นประธานของกลอน หรือเปรียบเหมือน
พระราชาเสด็จเข้าสู่สงครามพร้อมด้วยจตุรงคเสนา คือ พลช้าง พลม้า พลรถและพลราบ
เห ล่ าก อ งทั พ ท้ั งห ม ด ย่ อ ม ต าม เส ด็ จ ห้ อ ม ล้ อ ม พ ระ ราช า มี พ ระ ราช าเป็ น
ประธาน พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ภิกษุท้ังหลาย จงทาสมาธิให้เกิด เพราะว่าภิกษุผู้มีจิต
เป็นสมาธิ ย่อมร้แู จง้ ตามความเป็นจริง”๒๓๙
๙) ปัญญาลกั ขณปญั หา๒๔๐
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ลกั ษณะของปญั ญา
อธบิ ายวา่ ปญั ญามลี ักษณะตดั ให้ขาด และมีลกั ษณะสอ่ งใหส้ ว่าง
ปัญญาท่ีมีลักษณะส่องให้สว่าง คือ เมื่อปัญญาเกิดขึ้นย่อมกาจัดความมืด คือ
อวิชชา ส่วนปัญญามีลักษณะทาความสว่างคือ วิชชาให้เกดิ ส่องแสง คอื ญาณ ทาอรยิ สัจ
ให้ปรากฏ พระโยคาวจรก็จะเห็นด้วย ปัญญาอันชอบว่า สิ่งน้ีไม่เท่ียง ส่ิงน้ีเป็นทุกข์สิ่งน้ี
ไม่ใช่ตัวตน เปรียบเหมือนบุรุษถือโคมไฟเข้าไปในเรือนมืด ไฟก็จะกาจัดความมืด และทา
ใหเ้ กิดความสวา่ ง สอ่ งแสงเขา้ ไปทาใหร้ ูปปรากฏ
๑๐) ปัญญานริ ุชฌนปัญหา๒๔๑
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง ความเหมือนกัน ระหว่างญาณกบั ปญั ญาและการ
ดับของปัญญา
อธิบายว่า ญาณเกิดข้ึนแก่ผู้ใด ปัญญาก็เกิดข้ึนแก่ผู้นั้น เพราะญาณกับปัญญา
เป็นอันเดียวกัน บุคคลผู้มีญาณหรือปัญญายอ่ มหลงในที่บางแห่ง เชน่ ในศิลปะท่ีตนยังไม่
เคย เรียนในทิศท่ีตนยังไม่เคยไป ในภาษาท่ีตนยังไม่เคยฟัง แต่จะไม่หลงในส่ิงที่ปัญญาได้
กระทาไวเ้ ช่น ส่ิงนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา เพราะเม่ือญาณเกิดขึ้นแล้วโมหะก็จะดับ
ไปทันทีเปรียบเหมือนบุรุษส่องไฟเข้าไปในท่ีมืด ทาให้ความมืดหายไปแสงสว่างปรากฏ
๒๓๙ส .ข. (ไทย) ๑๗/๕/๑๗, ส .ข. (บาลี) ๑๗/๕/๑๒. ส .สฬา. (ไทย) ๑๘/๙๙/๑๑๐, ส .
สฬา.(บาลี) ๑๙/๙๙/๗๖. ส .ม. (ไทย) ๑๙/๑๐๗๑/๕๘๓, ส .ม. (บาลี) ๑๙/๑๐๗๑/๓๖๑.
๒๔๐มลิ นิ ฺท. ๑๕/๔๐.
๒๔๑มิลินฺท. ๓/๔๔. เปน็ ญาณปัญญาปญั หา.
๑๔๗
ข้ึนมาแทนท่ีส่วนปัญญาเม่ือทากิจของตนเสรจ็ แล้ว ก็จะดับไปในที่น้ันนั่นเอง จะเหลืออยู่
แต่ส่ิงที่ปัญญาได้กระทาไว้ซึ่งมิได้ดับไปด้วย เปรียบเหมือนบุรุษต้องการจะส่งจดหมายใน
เวลากลางคืน จึงจุดไฟแลว้ เขียนจดหมาย เม่ือเขียนเสร็จเรียบร้อยก็ดับไฟ แม้ไฟจะดับไป
แต่ ข้อความในจดหมายก็มไิ ด้หายไปด้วย
๑๑) ปญั ญายปติฏฐานปัญหา๒๔๒
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง ปญั ญาอย่ทู ไ่ี หน
อธิบายว่า ปัญญาไม่ปรากฏว่าอยู่ที่ไหน หรือมีรูปร่างอย่างไร แม้ปัญญาจะไม่
ปรากฏท่ีอยู่ใหเ้ หน็ แตก่ ็ยงั คงมอี ยเู่ หมือนเดิมไม่ใชว่ ่าไม่มี เปรียบเหมอื นลมซึ่งไม่ปรากฏทอี่ ยู่
๑๒) สขุ มุ จั เฉทนปญั หา๒๔๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง บคุ คลอาจตัดสิง่ ของท่ีละเอียดทั้งหมดได้หรอื ไม่
อธิบายว่า แม้สิ่งของที่ละเอียดจะมีอยู่มากมาย แต่ธรรมช่ือว่ามีความละเอียด
กว่า ส่ิงของทั้งปวง ธรรมมสี ภาวะละเอียดและหยาบแตกต่างกันไป บุคคลอาจตัดส่ิงของที่
จะพึงตัดได้ดว้ ยปญั ญา เพราะไมม่ เี ครื่องตัดทีร่ องลงมาจากปญั ญาแลว้
๑๓) มนสกิ ารปญั หา๒๔๔
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื ง บุคคลจักไม่เกิดอีกเพราะโยนิโสมนสิการใช่หรือไม่
อธิบายว่า บุคคลจักไม่กลับมาเกิดอีกเพราะโยนิโสมนสิการ ปัญญา และกุศล
กรรม เหล่าอื่น โยนิโสมนสิการกับปัญญาเป็นคนละอย่างกันไม่ใช่เป็นอย่างเดียวกัน สัตว์
ทั้งหลายเชน่ แพะแกะโค กระบือ อฐู ลาเป็นต้น ยอ่ มมมี นสิการแตไ่ มม่ ปี ญั ญา
๑๔) มนสกิ ารลักขณปัญหา๒๔๕
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ลักษณะของมนสิการ และลักษณะของ
ปัญ ญา (ในมนสิการลักขณ ปัญหานี้พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ลักษณ ะของ
มนสกิ าร อธิบายวา่ มนสกิ ารมีลกั ษณะนึก)
๒๔๒มลิ ินทฺ . ๘/๘๖.
๒๔๓มลิ นิ ฺท. ๑๔/๙๘. เปน็ สุขมุ ปญั หา
๒๔๔มิลนิ ฺท. ๗/๓๓. เปน็ โยนิโสมนสกิ ารปัญหา.
๒๔๕มิลนิ ฺท. ๘/๓๓.
๑๔๘
อธิบายว่า มนสิการมีลักษณะยกขึ้น ปัญญามีลักษณะตัด พระโยคาวจรคุมใจไว้
ด้วย มนสิการแล้วตัดกิเลสด้วยปัญญา เปรียบเหมือนชาวนาเม่ือจะเกี่ยวข้าว ก็เอามือขวา
จบั เคยี วไว้เอามือซา้ ยจับกาข้าวแลว้ ก็ตดั กาขา้ วด้วยเคยี ว
๑๕) วญิ ญาณาทนิ านัตถภาวปัญหา๒๔๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง ธรรม ทง้ั หลายเหล่านีค้ ือ วญิ ญาณ ปัญญาเจตภูต
มีอรรถและพยญั ชนะตา่ งกนั หรือเหมือนกัน
อธิบายว่า วิญญาณมีอันรู้แจ้งเป็นลักษณะ ปัญญามีอันรู้ท่ัวถึงเป็นลักษณะส่วน
เจตภูตบัณฑิตค้นหาไม่ได้โดยปรมัตถ์ เพราะฉะนั้น เจตภูตจึงไม่ใช่ส่ิงท่ีเห็นรูปด้วยตาฟัง
เสียงด้วยหูสูดกลิ่นด้วยจมูก ล้ิมรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐพั พะด้วยกาย รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วย
ใจ ถ้าเจตภูตเห็นรูปด้วยตา ฯลฯ รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจ เม่ือทวารท้ังหลายถูกเพิกถอน
หมด ก็จะพึงหันหน้าออกภายนอกอากาศอันกว้างใหญ่เห็นรูป ฟังเสียง ดมกล่ิน ล้ิมรส
ถูกต้องโผฏฐพั พะ ชดั เจนดีข้นึ แต่เจตภูตไม่ได้เปน็ อย่างน้ัน จงึ เขา้ ไปค้นหาไม่ได้โดยปรมัตถ์
๑๖) สัตตโพชฌงคปัญหา๒๔๗
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ งโพชฌงค์๗ ประการ๒๔๘
อธิบายว่าโพชฌงค์ท่ีเป็นองค์ตรัสรู้อริยมรรคอริยผล มีอยู่ ๗ ประการ
พระพุทธเจ้า ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ด้วยธัมมวจิ ยสัมโพชฌงค์อย่างเดียว ส่วน
เหตุที่เรียกว่า โพชฌงค์๗ ประการ ก็เพราะเว้นจากธัมมวิจยสมั โพชฌงค์พระองค์จะตรัสรู้
ไม่ได้โดยลาพัง โพชฌงค์๖ ประการ เปรียบเหมือนดาบที่สอดอยู่ในฝัก ถ้าไม่เอามือจับไว้ก็
จักไม่อาจตัดส่ิงของให้ขาด ด้วยเหตุนี้ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์จึงเป็นเหมือนตัวดาบ ส่วน
โพชฌงค์๖ ประการ นอกนนั้ ก็เปน็ เหมอื นฝักดาบ
๑๗) นานาเอกกิจจกรณปัญหา๒๔๙
๒๔๖มลิ นิ ฺท. ๑๕/๙๘.
๒๔๗มิลินทฺ . ๖/๙๔.
๒๔๘โพชฌงค์ ๗ประการคือ (๑) สติความระลึกได้ (๒) ธัมมวิจยะความเฟ้นธรรม(๓)
วิริยะความเพียร (๔) ปีติความอิ่มใจ (๕) ปัสสัทธิความสงบกายสงบใจ (๖) สมาธิความตั้งจิตม่ัน(๗)
อุเบกขาความวางใจเป็นกลาง. (องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๒๓/๒๖/๔๐, อง.ฺ สตตฺ ก. (บาล)ี ๒๓/๒๖/๒๑)
๒๔๙มลิ ินทฺ . ๑๖/๔๑. เป็นนานาธมั มานังเอกกิจจอภินปิ ผาทนปัญหา.
๑๔๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ธรรมที่มีลักษณะ ต่างกัน จะยังผลให้สาเร็จเป็น
อยา่ งเดียวกันหรือไม่
อธิบายว่าแม้ธรรมจะมีลักษณะต่างกัน แต่ก็ทาประโยชน์ให้สาเร็จเป็นอัน
เดียวกัน คือ กาจดั กเิ ลส เปรียบเหมือนกองทัพแมจ้ ะประกอบด้วยพลรบทต่ี ่างกนั มพี ลช้าง
พลม้า พลรถ พลราบ ซึ่งมีลักษณะแตกต่างกัน แต่ก็ทาประโยชน์ให้สาเร็จเป็นอย่าง
เดยี วกัน คือ เอาชนะกองทัพข้าศึกในสงคราม
๑๘) สุขเวทนาปัญหา๒๕๐
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง สุขเวทนา เป็นกศุ ล อกศุ ล หรืออัพยากฤต
อธิบายว่า สุขเวทนา คือ ความสุขทางกายและความสุขทางใจเป็นได้ทั้ง ๓
อย่างคือ (๑) เป็นกุศล (๒) เป็นอกุศล (๓) เป็นอัพยากฤต แม้ตามธรรมดากุศลจะเป็นสุข
อกุศลจะ เป็นทุกข์แต่การที่สุขเวทนาเป็นได้ท้ัง ๓ อย่าง ก็เปรียบเหมือนบุคคลเอาก้อน
เหล็กที่ร้อนวางลงในมือข้างขวาแล้วเอาก้อนน้าแข็งที่เย็นวางลงในมือข้างซ้าย จะทาให้
บคุ คลน้นั รูส้ ึก ทั้งร้อนทั้งเยน็ อยา่ งไรกต็ าม แม้บุคคลจะมคี วามรู้สกึ ทัง้ รอ้ นทั้งเย็น แต่ก็ไม่
ทาให้ร้อนท้ังสองมือหรือเย็นทั้งสองมือพร้อมกัน คือ มือข้างขวาร้อน ส่วนมือข้างซ้ายเย็น
สุขเวทนาก็มีลักษณะอย่างนั้น คือ จะมีความรู้สึกเป็นกุศลอย่างเดียวก็ไม่ใช่ย่อมมีท้ังกุศล
อกศุ ล และอพั ยากฤต
๑๙) ผัสสลักขณปัญหา๒๕๑
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง ลกั ษณะของผสั สะ
อธิบายว่า มโนวิญญาณเกิดข้ึนในท่ีใด ธรรมเหล่านี้คือ ผัสสะเวทนา สัญญา
เจตนา วิตก วจิ าร กเ็ กดิ ขน้ึ ในทนี่ ั้น อนึ่ง ธรรมท้ังหมดที่มผี ัสสะเป็นประธาน กเ็ กิดขนึ้ ในท่ี
น้ัน เหมือนกัน ผัสสะมีลกั ษณะถูกต้องสมั ผสั เหมือนแกะ ๒ ตัว จะชนกัน แกะตัวหน่ึงเป็น
เหมอื นตา อีกตวั หน่งึ เป็นเหมือนรูป การถกู ต้องกันของแกะทัง้ ๒ ตวั นั่นคอื ผัสสะ
๒๐) เวทนาลกั ขณปญั หา๒๕๒
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื ง ลกั ษณะของเวทนา
๒๕๐มลิ นิ ฺท. ๕/๔๗. เปน็ เวทนาปัญหา.
๒๕๑มลิ นิ ทฺ . ๘/๖๔.
๒๕๒มลิ ินทฺ . ๙/๖๕.
๑๕๐
อธิบายว่า เวทนามีลักษณะรู้สึก และมีลักษณะเสวยอารมณ์เปรียบเหมือนบุรุษ
กระทาความดีความชอบถวายพระราชา ทาให้พระองค์ทรงพอพระทัยย่ิงนัก จึงได้รับ
พระราชทานบาเหน็จเขาบาเรอตนให้เอิบอิ่มบริบูรณ์ด้วยกามคุณทั้ง ๕ เพราะบาเหนจ็ นั้น
จึงมาใคร่ครวญรู้ว่า เรากระทาความดีความชอบถวายพระราชาในกาลก่อน จนทาให้
พระองค์ทรงยินดีแล้ว พระราชทานบาเหน็จแก่เรา ทาให้เราได้เสวยสุขถึงเพียงน้ี ซ่ึงเกิด
จากการทาความดคี วามชอบเปน็ เหตุ
๒๑) สญั ญาลกั ขณปัญหา๒๕๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ลักษณะของสัญญา
อธิบายว่า สัญญามีลกั ษณะกาหนดร้คู ือ กาหนดรู้สีเขียว สเี หลอื ง สีแดง เป็นต้น
วา่ มีลักษณะสีเป็นอย่างน้ัน ๆ เปรียบเหมือนเจ้าพนักงานพระคลังหลวงเข้าไปในพระคลัง
หลวง เหน็ เครื่องราชูปโภคทงั้ หลายที่มีสีเขียว สเี หลอื ง สแี ดง เปน็ ตน้ ก็กาหนดร้ไู ด้
๒๒) เจตนาลกั ขณปัญหา๒๕๔
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง ลกั ษณะของเจตนา
อธิบายว่าเจตนามีลักษณะดาริและมีลักษณะปรุงแต่ง ความจงใจเป็นลักษณะ
ของ เจตนา ท่ีเป็นเครื่องส่อแสดงว่ามีเจตนาเกิดข้ึน ก็เจตนาเรียกว่า กรรม ดังที่
พระพทุ ธเจา้ ตรสั ไว้วา่ “เรากล่าวเจตนาว่าเปน็ ตัวกรรม บุคคลคดิ แล้ว จึงกระทากรรมดว้ ย
กาย วาจา ใจ”๒๕๕ บุคคลบางคนดาริอกุศลกรรมด้วยเจตนา เม่ือส้ินชีพแลว้ จงึ เกิดในอบาย
ทุคติวินิบาต นรก แม้บุคคลผู้ศึกษาตามเขา เม่ือสิ้นชีพแล้วก็เกิดในอบายภูมิเหมือนกัน
เปรียบเหมือนบุรุษคนหน่ึงปรุงยาพษิ แล้วดื่มเองบา้ ง ใหค้ นอนื่ ด่ืมบ้าง เขากจ็ ะพึงเสวยทุกข์
ด้วยตัวเองแม้บุคคลอ่ืนก็เสวยทุกข์เหมือนกัน ส่วนบุคคลบางคนดารกิ ุศลกรรมด้วยเจตนา
เมื่อส้ินชีพแล้วจึงเกิดในสุคติโลกสวรรค์ แม้บุคคลผู้ศึกษาตามเขา เม่ือส้ินชีพแล้วก็เกิดใน
สุคติโลก สวรรค์เหมือนกันเปรียบเหมือนบุรุษคนหนึ่งปรุงเนยใส เนยข้น น้ามัน น้าผึ้ง
๒๕๓มิลินทฺ . ๑๐/๖๖.
๒๕๔มิลินทฺ . ๑๑/๖๖.
๒๕๕องฺ.ฉกกฺ . (ไทย) ๒๒/๖๓/๕๗๗, องฺ.ฉกฺก. (บาลี) ๒๒/๖๓/๓๙๕. “เจตนาหภิกฺขเวกมฺม
วทามิ, เจตยติ วฺ ากมฺมกโรติกาเยนวาจายเจตสา”.