The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มิลินทปัญหา-พระมหาณัฐพันธ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

มิลินทปัญหา-พระมหาณัฐพันธ์

มิลินทปัญหา-พระมหาณัฐพันธ์

๑๕๑

น้าอ้อย ให้มีรสกลมกล่อมแล้วด่ืมเองบ้าง ให้คนอ่ืนดื่มบ้าง เขาก็จะพึงเสวยสุขด้วยตัวเอง
แม้บคุ คลอน่ื ก็เสวยสุขเหมอื นกัน

๒๓) วิญญาณลักขณปัญหา๒๕๖
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ลักษณะของวญิ ญาณ
อธิบายว่า วญิ ญาณมีลักษณะรูแ้ จง้ บุคคลผู้เห็นรูปดว้ ยตา ฟังเสียงด้วยหู สูดดม
กล่ินด้วยจมูก ลิ้มรสด้วยลิ้น ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย รู้ธรรมารมณ์ด้วยใจ ย่อมรู้แจ้ง
อารมณ์เหล่านั้นได้ด้วยวิญญาณ เปรียบเหมือนคนผู้นั่งอยู่ที่ถนนสี่แพร่ง สามารถที่จะเห็น
คนท่มี าจากทศิ ตะวนั ออก ทิศใตท้ ศิ ตะวนั ตก และทศิ เหนือได้
๒๔) จกั ขุวิญญาณมโนวญิ ญาณปัญหา๒๕๗
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ความเกิดขึน้ แห่งจกั ขุวญิ ญาณกับมโนวญิ ญาณ
อธิบายว่าจักขุวิญญาณเกิดข้ึนในที่ใด มโนวิญญาณก็เกิดข้ึนในท่ีนั้น จักขุ
วิญญาณ จะเกิดข้ึนก่อน มโนวิญญาณเกิดขึ้นในภายหลัง เหตุที่เป็นเช่นนั้นไม่ได้เกิดจาก
การเจรจา ตกลงกันแห่งวิญญาณทั้งหลาย คือ จักขุวิญญาณไม่ได้ส่ังมโนวิญญาณว่า เรา
เกิดข้ึนในที่ใด ท่านก็จงเกิดข้ึนในท่ีน้ัน และมโนวิญญาณก็ไม่ได้สั่งจักขุวิญญาณว่า ท่าน
เกิดข้ึนในท่ีใด เราก็จักเกิดข้ึนในที่น้ันเหมือนกัน แต่เพราะมโนวิญญาณเป็นดุจท่ีลุ่ม ดุจ
ประตูเป็นท่เี คยชิน และเปน็ ที่ชานาญ เหมือนฝนเมอ่ื ตกลงมา น้าก็จะไหลไปสู่ที่ลมุ่ เม่ือฝน
ตกลงมาอีกก็จะไหลไปสู่ท่ีเดิมเพราะน้าคราวก่อนไหลไปทางใด น้าคราวหลังก็จะไหลไป
ทางนน้ั โดยมไิ ดม้ ีการเจรจาหรือสั่งบังคับกัน
๒๕) วติ กั กลกั ขณปญั หา๒๕๘
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื ง ลกั ษณะของวติ ก
อธิบายว่า วิตกมีลักษณะแนบติดกับจิต เหมือนช่างไม้เข้าหน้าไม้ที่ขัดเกลาเป็น
อย่างดีทาให้หน้าไม้เข้ากนั ได้แนบสนทิ

๒๕๖มิลนิ ทฺ . ๑๒/๖๗.
๒๕๗มลิ นิ ฺท. ๗/๖๑. เปน็ จักขุวิญญาณาทิปัญหา.
๒๕๘มลิ นิ ทฺ . ๑๓/๖๗.

๑๕๒

๒๖) วจิ ารลักขณปญั หา๒๕๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื ง ลกั ษณะของวิจาร
อธิบายว่าวิจารมีลักษณะตามคลุกเคล้าอารมณ์เหมือนกังสดาลที่ถกู เคาะแล้ว ก็
ยัง ครวญครางอย่วู ติ กเหมอื นการเคาะ สว่ นวจิ ารเหมือนการครวญคราง
๒๗) เอกภาวคตปญั หา๒๖๐
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ธรรมท่ีอยู่รวมกัน อาจแยก ออกแล้วบัญญัติให้
ต่างกันไดห้ รอื ไม่
อธิบายว่า ธรรมทอ่ี ยู่รวมกัน ไม่อาจแยกออกแล้วบัญญัตใิ ห้ต่างกันว่า นผ้ี ัสสะนี้
เวทนา นี้สัญญา นี้เจตนา น้ีวิญญาณ น้ีวติ ก นี้เป็นวิจารแต่ธรรมเหล่าน้ันก็ปรากฏชัดตาม
ลกั ษณะของตวั เอง เปรยี บเหมือนพ่อครัวปรุงอาหารใส่เคร่อื งปรงุ มเี กลือ ขงิ ผกั ชีพริกและ
เคร่ืองปรุงอื่น ๆ เม่ือปรุงเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ไม่อาจแยกรสที่ปรุงเข้าด้วยกันออกมาได้
เช่น รสเปรีย้ วรสเค็ม รสขม รสเผด็ รสหวาน และรสอืน่ ๆ แตร่ สของเคร่อื งปรงุ ก็ยังปรากฏ
ชัดตามลักษณะของตวั เองเหมอื นเดมิ
๒๘) นาคเสนปัญหา๒๖๑
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง เกลือเป็นสิ่งทพี่ งึ รู้ได้ดว้ ยจักขุวิญญาณหรอื ไม่
อธิบายว่าเกลอื ไม่อาจรู้ได้ด้วยจกั ขุวิญญาณ แต่ร้ไู ด้ด้วยลนิ้ เพียงอย่างเดียว การ
ท่ีโคต้องบรรทุกน้าหนักเกลือมาด้วยเกวียน โดยที่ไม่นาเอาแต่เกลือเพียงอย่างเดียวมา
เพราะเกลือกับนา้ หนกั รวมเป็นอันเดียวกัน ต่างกันโดยความเป็นอารมณ์และคนก็ไม่อาจช่ัง
เกลือด้วยตาช่งั ไดช้ ่ังได้แตน่ า้ หนักเท่านั้นเอง
จะเห็นได้ว่าในมิลินทปัญหาน้ัน มีหลักธรรมท่ีสาคัญปรากฏอยู่เป็นจานวนมาก
จึง รวบรวมหลักธรรมท่ีเป็นพ้ืนฐานของการปฏิบัติมารวมไว้เป็นกลุ่มเดียวกัน ธรรมท่ีเป็
พ้ืนฐานของการปฏิบัติ ได้แก่ศีล คือความสารวมกายวาจาให้เรียบร้อย เพราะศีลจะเป็น
บันไดให้ก้าวขึ้นไปสู่คุณธรรมขั้นสูง ๆ ขึ้นไปตามลาดับ ถ้าปราศจากศีลก็ยากท่ียกตนข้ึนสู่
คุณธรรมเบ้ืองสูงได้หรือถ้าก้าวขึ้นได้ก็จะกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิเปรียบเหมือนโจรที่ ทาการ

๒๕๙มิลนิ ทฺ . ๑๔/๖๘.
๒๖๐มิลินฺท. ๒/๗๐. เปน็ ผสั สาทวิ ินพิ ภชุ นปญั หา.
๒๖๑มลิ นิ ฺท. ๒/๗๐.

๑๕๓

ปล้นฆ่าชาวบ้าน แสดงถึงความเป็นผู้ไม่มีศีล แต่โจรมีสมาธิมีใจจดจ่อในการปล้นและมี
ปัญญาคิดหาวิธีการในการปล้นให้สาเร็จ ซึ่งล้วนแต่เป็นมิจฉาทิฏฐิทั้งนั้นพระนาคเสนได้
อธิบายหมวดธรรมในมิลินทปัญหา คือ พละ ๕๒๖๒ หรืออินทรีย์๕ซ่ึงประกอบด้วย ศรัทธา
ศีล สติสมาธิปัญญา เป็นธรรมท่ีมีความเกี่ยวเน่ืองซ่ึงกันและกันการปฏิบัติธรรมเป็นเหตุ
นามาซง่ึ ความสขุ แก่ผู้ปฏิบัตโิ ดยตรง แตถ่ า้ ปฏบิ ัตโิ ดยขาดการพิจารณาให้รอบคอบ จะเป็น
การปฏิบัติธรรมที่ไม่สมควรแก่ธรรม แทนท่ีจะเป็นคุณก็กลายเป็นโทษได้ เพราะฉะนั้น
ศรัทธากับปัญญาต้องปรับให้เสมอกัน ผู้มีศรัทธามากแต่มีปัญญาน้อยก็จะมีความเล่ือมใส
อย่างงมงาย ไม่เลื่อมใสอย่างแน่วแน่ และเล่ือมใสในสิ่งที่ไม่ใช่เรื่องสว่ นผมู้ ีปญั ญามากแต่มี
ศรัทธาน้อย ก็จะโน้มไปทางฝ่ายถือตัวโอ้อวด ไม่สามารถจะแก้ไขได้เหมือน โรคที่เกิดข้ึน
จากยายากที่จะรกั ษาใหห้ ายแตเ่ พราะศรัทธากบั ปัญญาสม่าเสมอกันจึงทาให้เลื่อมใสในสิ่ง
ท่ีถูกต้องเสมอ สมาธิกับวิริยะก็ต้องปรับให้เสมอกัน ผู้มีสมาธิมากแต่มีวิริยะน้อยจะถูก
ความเกียจคร้านครอบงาเพราะสมาธเิ ปน็ ฝักฝ่ายของความเกียจครา้ น ส่วนผู้มีวริ ยิ ะมากแต่
มสี มาธินอ้ ยจะถูกความฟ้งุ ซา่ นครอบงา เพราะวิริยะเปน็ ฝกั ฝ่ายของอทุ ธจั จะ แต่ถา้ สมาธิท่ี
ประกอบเข้ากับวิริยะแล้วจะไม่ตกไปในความเกียจคร้าน วิริยะท่ีประกอบเข้ากับเข้ากับ
สมาธแิ ลว้ ก็จะไม่ตกไปในอุทธัจจะ ส่วนสติฝึกให้มกี าลังมาก ยิง่ มากยิง่ เป็นการดี เพราะสติ
รักษากุศลจิตไม่ให้ตกไปในนิวรณ์๒๖๓ จึงเป็นส่ิงจาเป็นต่อความปรารถนาในกิจทุกอย่าง
เหมือนเกลือป่นจาต้องปรารถนาในกับข้าวทุกชนิด จิตมีสติเป็นเครื่องเตือนให้ระลึก และ
สติมีการอารักขาเป็นอาการปรากฏ การยกจิตและการข่มจิตถ้าเว้นจากสติแล้วย่อมทา
ไม่ได้

๒.๕ หลักปฏบิ ตั ิเพ่อื ความเปน็ พระอรยิ บคุ คล
๑) ปัพพัชชาปัญหา๒๖๔
พระนาคเสน ตอบคาถามเรอ่ื ง ประโยชนข์ องการบวช
อธิบายว่า การบวชมีประโยชน์อย่างย่ิง เพราะเป็นวิธีการดับความทุกข์ที่มีอยู่
และ ความทุกข์อย่างอ่ืนก็จะไม่เกิดข้ึน คุณของการบวชท่ีพึงประสงค์คือ การบรรลุอนุ

๒๖๒องฺ.ปญจฺ ก. (ไทย) ๒๒/๑๓/๑๗, องฺ.ปญฺจก. (บาลี) ๒๒/๑๓/๙.
๒๖๓วิสทุ ฺธิ. ๑/๑๔๐-๑๔๑.
๒๖๔มลิ นิ ทฺ . ๕/๓๑.

๑๕๔

ปาทาน นิพพาน (การดับหมดเชื้อ) ลักษณะของคนบวชก็มีหลายประเภท บางพวกบวช
เพ่ือจะหนีพระเจ้าแผ่นดิน หรือหนีโจร บางพวกบวชตามพระราชานุมัติบางพวกบวชเพื่อ
หลบหน้ีสนิ บางพวกบวชเพื่อจะอาศัยเลยี้ งชีพ บางพวกบวชเพราะกลัวภยั แต่บางพวกบวช
เพื่อปฏบิ ตั ิดี ปฏบิ ัตชิ อบดว้ ยม่งุ หวังประโยชน์ดงั กล่าว

๒) ปฏิกจั เจววายามกรณปญั หา๒๖๕
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง สาเหตุท่ีคนพยายามทาความทุกข์ให้หมดสิ้นไป
และไม่ใหท้ กุ ขอ์ ื่นเกิดข้นึ โดยไมย่ อมใหค้ วามทุกข์ เกิดข้ึนกอ่ นจึงจะพยายามทีหลงั
อธิบายว่า เม่ือความทุกข์เกิดข้ึนแล้ว บุคคลพยายามหาหนทางดับทุกข์ แม้จะ
พยายามก็ไม่สามารถทากิจของตนให้สาเร็จได้ส่วนผู้ท่ีพยายามไว้ล่วงหน้าก่อนความทุกข์
จะเกิดข้ึน จะสามารถทากิจของตนให้สาเร็จได้ตามความปรารถนา เปรียบเหมือน
พระราชาทรงกระหายน้าจึงตรัสส่ังให้ขุดบ่อน้าในเวลาน้ัน จะไม่ทาให้สามารถเสวยน้าได้
ตามพระราชประสงค์พระองคค์ วรตรสั สั่งใหข้ ุดบ่อน้าไว้ล่วงหนา้ ก่อนที่จะทรงหิวกระหาย
จึงจะทาใหไ้ ดเ้ สวยน้าตามพระราชประสงค์
๓) ธัมมทฏิ ฐปัญหา๒๖๖
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง การได้เหน็ ธรรม
อธิบายว่า พุทธสาวกต้องประพฤติตามแบบแผน และพระบัญญัติของ
พระพุทธเจ้า จนกว่าจะส้ินชวี ติ
๔) กายอปั ปยิ ปัญหา๒๖๗
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง รา่ งกายเป็นท่รี กั ของบรรพชติ หรือไม่
อธิบายว่าร่างกายย่อมไม่เป็นท่ีรักของบรรพชิต แต่เหตุท่ีบรรพชิตต้อง
บารุงรกั ษา ร่างกายกเ็ พอื่ สะดวกต่อการประพฤตพิ รหมจรรยเ์ พื่อกระทากจิ ที่เปน็ ประโยชน์
สุขต่อ ส่วนรวม เปรียบเหมือนทหารถูกอาวธุ ของข้าศกึ ในสงคราม จาเปน็ ต้องใสย่ าทาแผล
หรือพันแผลไว้การท่ีต้องรักษาแผลให้หาย มิใช่เพราะแผลเป็นที่รักของทหาร แต่เพื่อให้
เน้ืองอกขึ้นมาดังเดิม แผลจะได้หายจากอาการบาดเจ็บ จะได้ปฏิบัติหน้าท่ีของตนต่อไป

๒๖๕มลิ นิ ฺท. ๕/๗๑. เป็นวายามกรณปัญหา.
๒๖๖มลิ ินฺท. ๔/๗๘.
๒๖๗มลิ นิ ฺท. ๑/๘๑. เปน็ กายปยิ ายนปัญหา.

๑๕๕

พระพุทธเจา้ จึงตรัสไว้ว่า “กายน้ีมีทวารเก้า มแี ผลใหญ่ มีหนังสดปกปิดไว้ไม่สะอาดมีกลิ่น
เหม็น คายของโสโครกออกมาโดยรอบ”๒๖๘

๕) รสปฏิสังเวทีปัญหา๒๖๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง คนท่ียังมรี าคะกบั คนท่ีไมม่ ีราคะ ตา่ งกนั อย่างไร
อธิบายว่า คนที่มีราคะอยู่ยังมีความต้องการ ส่วนคนท่ีไม่มีราคะจะไม่มีความ
ต้องการ บุคคลท้ังสองชอบบริโภคอาหารท่ีดีมีรสอร่อยเหมือนกัน แต่กย็ ังมีข้อแตกต่างกัน
คอื คนทีม่ ีราคะย่อมรูส้ ึกในรส และรู้สกึ ติดใจในรส ส่วนคนท่ีไม่มรี าคะจะรสู้ ึกในรสเท่าน้ัน
แตไ่ ม่รู้สกึ ติดใจในรส
๖) อคั คานคั คสมณปัญหา๒๗๐
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลชื่อว่าเป็นสมณะเพราะความที่อาสวะ
ท้ังหลายส้ินไป๒๗๑ เพราะเหตุไร บัณฑิตจึงกล่าวว่า บุคคลผู้ประกอบด้วยธรรม ๔
ประการ๒๗๒เป็นสมณะแท้ในโลก
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า บัณฑิตกล่าวคนผู้พร้อมเพรียงด้วยธรรม ๔
ประการ ว่าเป็นสมณะแท้ในโลก เป็นการตรัสด้วยอานาจแห่งคุณของบุคคลเหล่านั้น ส่วน
คาท่ีว่า บุคคลช่ือว่าเป็นสมณะเพราะความท่ีอาสวะท้ังหลายส้ินไป เป็นคากล่าวโดยไม่มี
ส่วนเหลือ คือ กล่าวโดยส่วนสุด พระองค์ทรงคัดสรรบุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อความเข้าไประงับ
กิเลส และตรัสเรียกสมณะผู้สิ้นอาสวะแลว้ ว่าเป็นยอดแห่งสมณะ เหมือนบรรดาดอกไม้ที่
เกดิ ในนา้ และเกดิ บนบก มหาชนย่อมกล่าวดอกมะลิวา่ เป็นยอดแห่งดอกไม้

๒๖๘วสิ ุทฺธิ. ๑/๒๕๑.
๒๖๙มิลินฺท. ๗/๘๕. เป็นสราควีตราคนานากรณปัญหา.
๒๗๐มลิ ินฺท. ๙/๑๙๔. เป็นอคั คคั คสมณปัญหา.
๒๗๑ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๓๙/๔๖๙, ม.มู. (บาลี) ๑๒/๔๓๙/๓๘๗.
๒๗๒ธรรม๔ประการคือ (๑) ขนฺติความอดทน (๒) อปฺปาหารตาความเป็นผู้มีอาหารน้อย
(๓) รติวปิ ฺปหานการละความยินดีเสีย (๔) อากญิ ฺจญฺญความเป็นผู้ไม่มีความกังวล. (ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/
๓๒/๓๒๖, ข.ุ ชา.(บาลี) ๒๗/๓๒/๒๑๕)

๑๕๖

๗) สนั ถวปญั หา๒๗๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ภัยเกิดจากความเชยชิดธุลีคือ ราคะโทสะโมหะ
เกดิ จากอารมณ์อันเป็นที่ตงั้ แหง่ กิเลส ความไม่มีกิเลส ไม่มคี วามเชยชิดนั้นแล เป็นลกั ษณะ
ของมุนี๒๗๔เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า ผู้ฉลาดเม่ือเห็นประโยชน์ของตน พึงสร้าง
วิหารอนั รน่ื รมย์ถวายภิกษผุ ูพ้ หูสตู ใหอ้ ยู่ในทนี่ เ้ี ถิด๒๗๕
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงภัยท่ีเกิดจากความเชยชิด และความเศร้า
หมองใจ ที่เกิดจากธุลีคือ ราคะ โทสะ โมหะ พระพุทธพจน์นี้เหมาะสมแก่สมณะโดย
ปริยาย เป็นคากล่าวโดยไม่มีส่วนเหลือเป็นปฏิปทาของสมณะโดยแท้ แต่ที่พระองค์ทรง
อนุญาตให้สร้างวิหารอันรื่นรมยถ์ วายภิกษุได้เพราะทรงพิจารณาเหน็ ประโยชน์๒ ประการ
คือ (๑) พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญวิหารทาน ทายกถวายวิหารแล้วย่อมพ้นจากความเกิด
ความแก่และความตาย (๒) ภกิ ษุณจี ักอยู่ในทก่ี าหนดไวใ้ ห้ทาให้งา่ ยสาหรบั บคุ คลผมู้ าพบ
๘) อนเิ กตานาลยกรณปญั หา๒๗๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ความไม่ติดที่อยู่ และ ความไม่มีอาลัย เป็น
ลักษณะของมุนี เพราะเหตุไร พระองค์จึงตรัสว่า ผู้ฉลาดเมื่อเห็นประโยชน์ของตน พึงสรา้ ง
วิหารอันรื่นรมย์ถวายภิกษผุ ู้พหสู ูตใหอ้ ยู่ในทน่ี เี้ ถดิ
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงความไม่ติดในท่ีอยู่ และความไม่มีอาลัยเป็น
ลักษณะของมุนีซ่ึงเป็นคาแสดงโดยสภาวะของภิกษุ เป็นคากล่าวเหตุโดยไม่มีส่วนเหลือ
เปน็ คาสมควรแก่สมณะ เหมือนเน้ือที่อยู่ในป่าไมม่ คี วามอาลัยท่ีอยู่ ไม่ติดทอี่ ยู่ ย่อมเทย่ี วไป
ได้ตามความปรารถนาแต่ท่ีพระองค์ทรงอนุญาตให้สร้างวิหารอันร่ืนรมย์ถวายภิกษุได้
เพราะทรงพิจารณาเห็นประโยชน์๒ ประการ คอื
(๑) พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญวิหารทาน ทายกถวายวิหารแล้วย่อมพ้นจาก
ความ เกิด ความแกแ่ ละความตาย
(๒) ภิกษจุ กั เปน็ ผู้ปรากฏอยู่ เมือ่ คนต้องการมาพบก็จะพบไดง้ ่าย

๒๗๓มิลินทฺ . ๑/๒๒๒.
๒๗๔ข.ุ ส.ุ (ไทย) ๒๕/๒๐๙/๕๔๘, ขุ.สุ. (บาลี) ๒๕/๒๐๙/๓๗๓.
๒๗๕วิ.จ.ู (ไทย) ๗/๓๑๕/๑๓๑, วิ.จ.ู (บาลี) ๗/๓๑๕/๘๖.
๒๗๖มิลินทฺ . ๑/๓๑๒.

๑๕๗

๙) ขีณาสวอภายนปญั หา๒๗๗
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระอรหันต์เป็นผู้ปราศจากความกลัวและความ
สะดุ้งหวาดหวน่ั เพราะเหตุไร พระขณี าสพ ๕๐๐ องค์เมื่อเห็นช้างธนปาลกะวิ่งเข้ามาใกล้
พระพุทธเจ้าจึงละทง้ิ พระองคเ์ วน้ ไวแ้ ต่พระอานนทอ์ งคเ์ ดยี วเท่านัน้ ๒๗๘
อธิบายว่า การที่พระอรหนั ต์๕๐๐ องค์หลีกไปจากพระพุทธเจ้า ไมไ่ ด้เปน็ เพราะ
ความกลัว หรือเพราะต้องการที่จะให้พระพุทธเจ้าทรงลม้ ลงแต่พระอรหันต์มีความปริวิตก
ว่าเม่ือพระพุทธเจ้าผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐเสด็จเข้าไปสู่เมือง ช้างช่ือธนปาลกะจัก
ประทุษร้ายพระองค์ท่ีถนน พระอานนท์เถระผู้เป็นพุทธุปัฏฐากจักไม่ละทิ้งพระองค์อย่าง
แน่นอนถ้าพระอรหันต์ไม่หลีกไปจากพระองค์ คุณของพระอานนท์ก็จักไม่ปรากฏ อีกทั้ง
ชา้ งกจ็ ักไม่วิ่งเข้าไปใกล้พระองค์แน่นอน พระอรหนั ต์เปน็ ผู้เลิกถอนเหตแุ ห่งความกลวั หรือ
ความสะดุ้งหวาดหวั่นได้เด็ดขาด จึงไม่มีความหวาดกลัวอะไร ๆ เหมือนแผ่นดินใหญ่ เม่ือ
ถกู ขุดทาลายอย่กู ็ไมม่ คี วามกลวั หรือความสะดุง้ หวาดหวั่น
๑๐) ปฏิปทาโทสปัญหา๒๗๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระโพธสิ ัตว์ทรงบาเพ็ญทุกกรกิรยิ าอยา่ งมาก แต่
กลับไม่ได้ความยินดีแม้เพียงเล็กน้อย ทาให้ทรงเบ่ือหน่าย ต่อมาพระองค์ทรงบรรลุพระ
สัพพัญญุต ญาณด้วยมรรคอย่างอื่น เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงพร่าสอนพระสาวกด้วย
ปฏปิ ทานนั้ อกี ว่า ท่านทง้ั หลายจงพากเพียร บากบั่น ขวนขวายในคาสอนของพระพทุ ธเจ้า
กาจดั เสนาของพญามจั จรุ าชเสียเหมือนกญุ ชรทาลายเรือนไมอ้ ้อ๒๘๐
อธิบายว่า พระโพธิสัตว์ทรงดาเนินตามปฏิปทา ที่มีอยู่ในอดีตและปัจจุบันจน
บรรลุ พระสัพพัญญุตญาณ ในคราวแรกพระองค์ทรงบาเพ็ญเพียรมากเกินไปไม่เสวยพระ
กระยาหาร ทาให้จิตมีกาลังอ่อนกระสับกระส่ายไม่เป็นเอกัคตารมณ์จึงไม่ทรงบรรลุพระ
สพั พัญญุตญาณ การไม่บรรลสุ ัพพัญญุตญาณในคราวนน้ั ไม่ใชโ่ ทษของความเพียรเปน็ เหตุ
รเิ ริ่ม หรือความเพียรเป็นเหตุกา้ วหน้า อีกท้ังไม่ใช่โทษของการผจญกิเลส แต่เป็นโทษของ

๒๗๗มิลินทฺ . ๙/๒๑๘. เป็นอรหันตอภายนปญั หา.
๒๗๘ข.ุ ธ.อ. ๑/๑๓๑.
๒๗๙มลิ นิ ฺท. ๕/๒๕๖.
๒๘๐ส .ส. (ไทย) ๑๕/๑๘๕/๒๕๘, ส .ส. (บาลี) ๑๕/๑๘๕/๑๘๘. ขุ.เถร. (ไทย) ๒๖/๒๕๖/
๓๘๐, ขุ.เถร. (บาลี) ๒๖/๒๕๖/๓๑๑.

๑๕๘

การอดพระกระยาหารเท่านั้น เมื่อพระองค์เสวยพระกระยาหารแต่พอประมาณ จึงทรง
บรรลุพระสัพพัญญุตญาณด้วยปฏิปทานั้น เปรียบเหมือนบุรุษเดินทางไกลด้วยความเร็ว
เกินไป จึงทาให้เข่าชาไปครึ่งตัว หรือกลายเป็นคนปลกเปล้ีย เดินทางต่อไปไม่ได้เหตุท่ีเข่า
ต้องเปน็ อยา่ งนั้น ไมใ่ ช่โทษของมหาปฐวีแตเ่ ป็นโทษของความพยายามทมี่ ากจนเกนิ ไป

๑๑) นปิ ปปัญจปญั หา๒๘๑
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง พระพุทธเจา้ ตรัสสอนภิกษุให้เป็นผ้มู ีความยนิ ดใี น
นิปปปัญจธรรม๒๘๒เพราะเหตุไร ภิกษุจึงแสดงและไต่ถามนวังคสัตถศุ าสน์๒๘๓ และกงั วลอยู่
ดว้ ยนวกรรมมกี ารใหแ้ ละการบชู า เปน็ ตน้
อธิบายว่า ภิกษุผูแ้ สดงและไตถ่ ามนวังคสตั ถุศาสนแ์ ละผทู้ ี่กังวลอยู่ด้วยนวกรรม
คือ การให้และการบูชา ช่ือว่าเป็นผู้กระทาความเพียรเพ่ือถึงนิปปปัญจธรรมท่านเหล่านั้น
เป็นผู้ บริสุทธิ์แล้วโดยสภาพ มวี าสนาอบรมมาแล้ว สามารถทาให้นปิ ปปัญจธรรมเกิดขนึ้ ได้
โดยขณะแห่งจิตดวงเดียว ส่วนภิกษุผู้มีธุลีคือกิเลสในนัยน์ตาย่อมเป็นผู้มีนิปปปัญจธรรม
ด้วยความเพียรพยายาม เพราะเหตุน้ัน อุทเทส ปริปุจฉาและนวกรรม เป็นส่ิงมีอุปการะ
มากในกิจท่ีตนควรกระทาเปรียบเหมือนบุรษุ ผู้จะเข้ารับราชการปฏิบัติราชกิจอยู่กับพวก
ราชบุรุษ คือ อามาตย์ราชภัฏ เม่อื กิจท่ีตนควรกระทายังไม่เกดิ ขึ้นราชบุรุษย่อมช่อื ว่าเป็นผู้
มีอปุ การะมากแกเ่ ขา
๑๒) คหิ ีอรหตั ตปัญหา๒๘๔
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง คฤหัสถ์เมื่อบรรลุพระอรหันต์แล้ว เพราะเหตุไร
ทา่ นจึงต้องบวชในวนั นั้น
อธิบายวา่ คฤหัสถผ์ ู้บรรลพุ ระอรหนั ตม์ ีคติ๒ อยา่ ง คือ

๒๘๑มิลินทฺ . ๑/๒๗๓.
๒๘๒นิปปปัญจธรรมหมายถึงธรรมไม่มีเครอื่ งเน่นิ ช้ามอี ยู่ ๔ประการคอื (๑) โสดาปัตติผล
(๒) สกทาคามผิ ล (๓) อนาคามผิ ล (๔) อรหัตตผล. (ส .สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๘๘/๔๖๑,
ส .สฬา. (บาลี) ๑๘/๓๘๘/๓๒๖)
๒๘๓นวังคสัตถุศาสน์หมายถึงคาส่ังสอนของพระศาสดามีองค์๙ประการคือ (๑) สุตตะ
(๒) เคยยะ (๓) เวยยากรณะ (๔) คาถา (๕) อุทาน (๖) อิติวุตตกะ (๗) ชาตกะ (๘) อัพภูตธรรม(๙)
เวทัลละ. (วิ.มหา. (ไทย) ๑/๑๙/๑๑, ว.ิ มหา. (บาลี) ๑/๑๙/๑๐)
๒๘๔มิลินทฺ . ๒/๒๗๕. เป็นขณี าสวภาวปญั หา.

๑๕๙

(๑) จะตอ้ งบวชในวนั นนั้
(๒) ถา้ ไม่สามารถบวชได้กจ็ ะตอ้ งปรนิ ิพพานในวันนนั้
คฤหัสถ์ผู้บรรลุพระอรหันต์จาเป็นจะต้องบวชในวันนั้น เพราะเพศแห่งคฤหัสถ์
ไม่เสมอกับคุณธรรม คือ บรรลุพระอรหันต์ในเพศท่ีไม่เสมอกับคุณธรรมท่ีตนบรรลุการท่ี
คฤหัสถ์ผู้บรรลุพระอรหันต์จะต้องปรินิพพาน ไม่ใช่โทษของความเป็นพระอรหันต์แต่เป็น
โทษท่มี ีเพศเป็นคฤหสั ถ์เพราะเพศคฤหัสถม์ ีสภาพทุรพล ไม่สามารถจะทรงคุณธรรมช้ันสูง
ไว้ได้จึงต้องปรินิพพานในวันน้ัน เหมือนโภชนะท่ีเป็นสิ่งหล่อเล้ียงอายุและรักษาชีวิตของ
สตั ว์ย่อมเผาผลาญชีวิตของบุคคลผู้มีกระเพาะอาหารไมป่ กติมีกาลังน้อยและอ่อนกาลังซึ่ง
ไม่สามารถยอ่ ยอาหารได้
๑๓) คหิ ิปพั พชติ ปฏปิ ันนวณั ณปัญหา๒๘๕
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญสัมมาปฏิบัติของ
คฤหัสถ์และบรรพชิตว่า สามารถบรรลุมรรค ผลไดเ้ หมอื นกัน๒๘๖ เพราะเหตุไร บุคคลจึงไม่
อยู่ครองเรอื นปฏบิ ัติธรรม แทนการออกบวชเป็นบรรพชิตแล้วปฏิบัตธิ รรม
อธิบายว่า คฤหัสถ์บริโภคกามอยู่ มีบุตรและภริยา ทัดทรงของหอมและเครื่อง
ลูบไล้ ประดับเครอ่ื งอาภรณ์ด้วยแก้วมณีและทองคา มคี วามยินดเี งนิ และทอง หากปฏิบัติ
ชอบก็ ยังญายกุศลธรรม๒๘๗ให้บริบูรณ์ได้ส่วนบรรพชติ ปลงผมและหนวด นุ่งผ้าท่ีย้อมด้วย
น้าฝาดอาศยั บิณฑบาตเล้ียงชพี สมาทานประพฤตอิ ยใู่ นสิกขาบท ประพฤติอยูใ่ นธุดงค์คุณ
ปฏิบัติชอบแล้วย่อมยังญายกุศลธรรมให้บริบูรณ์ได้บรรพชิตมีคุณสมบัติพิเศษ คือ
ความ เปน็ อิสระความเป็นใหญ่กวา่ ธรรมดาสามัญ บรรพชาก็มคี ณุ มากหาประมาณมิไดเ้ ม่ือ
บรรพชติ ต้องการกระทากิจก็สาเร็จโดยฉับพลนั เพราะท่านมคี วามปรารถนาน้อย สนั โดษ
ไม่คลุกคลีกับหมู่คณะ ปรารภความเพียร ไม่มีความอาลัย ไม่มีเรือนเป็นที่กาหนด มีศีล
บริบูรณ์มีอาจาระเป็นไปเพื่อสัลเลขธรรม เป็นผู้ฉลาดในการปฏิบัติกาจัดกิเลส ดุจลูกศรที่
ไม่มปี ม เรยี บตรงขดั ดแี ลว้ ปราศจากมลทิน ที่บุคคลยงิ อย่างถนัด ย่อมพุง่ ไปไดไ้ กล

๒๘๕มิลนิ ฺท. ๔/๒๕๔. เป็นคหิ ปิ พั พชติ สัมมาปฏปิ ตั ติปัญหา.
๒๘๖องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๔๑/๘๗, องฺ.ทุก. (บาลี) ๒๐/๔๑/๖๗.
๒๘๗ญายกุศลธรรมหมายถึงกุศลธรรมพร้อมท้ังวิปัสสนาและมรรค (องฺ.ทุก.อ. ๒/๔๑/
๕๑)

๑๖๐

๑๔) อรหโตกายิกเจตสกิ เวทนาปญั หา๒๘๘
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระอรหันต์เสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่
เสวยเวทนาทางใจ หรือว่าพระอรหันต์ไม่เป็นใหญ่ไม่เป็นเจ้าของจิตท่ีอาศัยอยู่ในกายและ
ไมส่ ามารถยังอานาจใหเ้ ปน็ ไปในกาย
อธิบายว่า ข้อที่พระอรหันตไ์ ม่เป็นใหญ่ไม่เป็นเจ้าของ และไม่เป็นผู้ยังอานาจให้
เป็นไปในกายซ่ึงคล้อยตามจิต ย่อมไม่ถูกต้อง แม้นกที่อาศัยอยู่ในรังย่อมเป็นใหญ่ เป็น
เจ้าของ และเปน็ ผู้ยังอานาจใหเ้ ป็นไปในรังนัน้ ก็ธรรม ๑๐ ประการ๒๘๙ย่อมครอบงากายไป
ทุกภพทุกชาติพระอรหันต์ไม่สามารถเป็นใหญ่เหนือธรรม ๑๐ ประการเหล่านี้แม้จิตของ
พระอรหันต์จะอาศัยกาย แต่อานาจหรือความเป็นใหญ่ก็ไม่ได้เป็นไปในกายเหมือนสัตว์ท่ี
อาศัยอยู่บนแผ่นดิน แต่อานาจหรือความเป็นใหญ่ของสัตว์ก็ไม่ได้แผ่ไปในแผ่นดินพระ
อรหันต์จึงเสวยเวทนาทางกายอย่างเดียว ไม่เสวยเวทนาทางใจ เพราะท่านได้อบรมจิตมา
เป็นอย่างดีเม่ือถูกทุกขเวทนาถูกต้อง ก็พิจารณาว่าเป็นสิ่งไม่เท่ียง นาจิตไปผูกไว้ท่ีเสาคือ
สมาธิทาให้จิตไม่หวน่ั ไหว ไมก่ ระสับกระส่าย เป็นจิตตั้งมั่นไมฟ่ ุ้งซ่าน แตก่ ายของท่านย่อม
คูเ้ ขา้ เหยยี ดออก เพราะความแผซ่ า่ นแหง่ เวทนาวกิ าร
๑๕) ขณี าสวกายิกเวทนานานากรณปัญหา๒๙๐
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง เมื่อ กายของบุคคลเคล่ือนไหวแต่จิตกลับไม่
หวั่นไหวตาม เปน็ ส่งิ อัศจรรยใ์ นโลก
อธิบายว่า พระอรหันต์ถูกทุกขเวทนาถูกต้องย่อมกาหนดว่า เป็นส่ิงไม่แน่นอน
นาจติ ไปผูกไวท้ เ่ี สาคอื สมาธิทาใหจ้ ิตไม่หวั่นไหว เป็นจติ ต้ังม่ัน ไม่ซดั ส่ายไปในที่อืน่ แม้กาย
ของพระอรหันต์จะคู้เข้าเหยียดออกหรือเกลือกกลิ้งไปมา เพราะความแผ่ซ่านแห่งเวทนา
แต่จิตก็มั่นคงไม่กระสับกระสา่ ย เหมือนต้นไม้ใหญ่ท่ีมีลาต้น ก่ิง และใบ เม่ือถูกลม พัดกิ่ง
และใบยอ่ มปลวิ ไหวไปตามลม แต่ลาตน้ กลบั ไมเ่ อนไหวไปตามลม
๑๖) ธตุ ังคปัญหา๒๙๑

๒๘๘มิลินทฺ . ๗/๒๖๔. เปน็ อรหันตเวทนาเวทิยนปญั หา.
๒๘๙ธรรม๑๐ประการคือ(๑) ความเย็น (๒) ความร้อน (๓) ความหิว (๔) ความกระหาย
(๕) อจุ จาระ (๖) ปสั สาวะ (๗) ความงว่ งเหงาหาวนอน (๘) ความแก่(๙) ความเจ็บ (๑๐) ความตาย.
๒๙๐มิลนิ ฺท. ๘/๒๖๕.
๒๙๑มิลินทฺ . ๒/๓๕๕.

๑๖๑

พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ประโยชน์ของการถือธดุ งค์
อธิบายว่า ถ้าคฤหัสถ์สามารถตรสั รู้ธรรมไดเ้ หมือนกัน ธดุ งค์คณุ กจ็ ะไมม่ ผี ลใหญ่
ไพศาล หรือไม่ทาประโยชน์ให้สาเร็จเพราะธุดงค์เหล่านี้ไม่ได้กระทาหน้าท่ีของตน ธุดงค
คุณเหล่าน้ีมีคุณปรากฏตามความเป็นจริง ประกอบด้วยคุณหลายประการ พระพุทธเจ้า
ทง้ั หลายจงึ ทรงรกั ใคร่และปรารถนาบุคคลผู้สอ้ งเสพธุดงค์คุณโดยชอบ ย่อมเปน็ ผู้บริบูรณ์
ด้วยคณุ หลายอยา่ ง ธุดงค์คุณจึงเปน็ ส่ิงเสมอด้วยแผน่ ดิน เพราะเป็นที่ตั้งอาศยั แห่งบคุ คลผู้
ปรารถนาความหมดจดพิเศษ เสมอเหมือนบิดามารดา เพราะเป็นผู้ให้สรรพสามัญคุณ
ท้งั หลายเกิดและเปน็ ผู้อนเุ คราะห์แห่งบุคคลผู้มคี วามทกุ ข์ คือ กิเลสเบียดเบียน บุคคลผทู้ า
ตนให้บริสทุ ธิ์ด้วยธดุ งค์๑๓ ประการเขา้ ไปสมู่ หาสมทุ ร คือ พระนพิ พานแล้วย่อมเล่นธรรม
มีอย่างมาก ย่อมใช้สมาบัติท้ัง ๘ ประการ คือ รูปสมาบัติ๔ อรูปสมาบัติ ๔ ประกอบด้วย
ฤทธ์ิมีอย่างต่างๆ มีทิพยโสตธาตุ ปรจิตตวิชชา บุพเพนิวาสานุสสติญาณ ทิพยจักษุความ
สิ้นไปแห่งอาสวะนวังคสัตถุศาสน์โลกุตรกิริยา และสมาบัติอันไพบูลย์ประเสริฐท่ีได้บรรลุ
คุณเหลา่ น้นั ท้ังหมด ประชุมรวมลงในธดุ งค์คณุ ๑๓ ประการ๒๙๒
ในหมวดของการปฏิบัตเิ พ่ือความเป็นพระอรยิ บุคคลน้ีในคมั ภีรม์ ิลนิ ทปัญหาน้ัน
ให้แสดงวิธกี ารท่ีจะเข้าถึงเป้าหมายสงู สุดในพระพุทธศาสนา เป็นการพัฒนาตัวเองให้หลุด
พ้นจากกิเลส บรรพชิต และคฤหัสถ์เม่ือปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้วล้วนสามารถเป็นพระ
อรยิ บุคคล บรรลุมรรคผลได้ เหมือนกันพระอรยิ บุคคลผ้คู วรแก่ทักษิณาน้ันในโลกน้ี มอี ยู่๒
ประเภท๒๙๓ คือ
(๑) พระเสขบคุ คลพระผยู้ งั ตอ้ งศกึ ษาเพอ่ื บรรลคุ ณุ ธรรมชนั้ สงู ขึน้ ไป

๒๙๒ธุดงค๑์ ๓ประการคือ(๑) ปํสุกลู กิ งฺค องค์ของภิกษผุ ู้ถือผ้าบังสุกลุ (๒) เตจวี รกิ งฺค องค์
ของภิกษุผถู้ ือทรงผา้ ๓ ผืน (๓) ปิณฺฑปาตกิ งฺค องค์ของภิกษุผ้ถู ือเท่ียวบิณฑบาต (๔) สปทานจาริกงฺค
องค์ของภิกษุผถู้ อื เท่ียวตามแถว (๕) เอกาสนกิ งคฺ องค์ของภิกษุผู้ถอื น่ังฉนั ณอาสนะเดียว (๖) ปตตฺ ปิณฺ
ฑิกงฺค องค์ของภิกษุผู้ถือฉันเฉพาะในบาตร (๗) ขลุปจฺฉาภตฺติกงฺค องค์ของภิกษุผู้ถือการห้ามภัตรท่ี
เขานามาถวายเม่อื ภายหลัง (๘) อารญฺญกิงฺค องคข์ องภกิ ษุผ้ถู ืออยปู่ ่า (๙) รุกฺขมูลิกงฺค องค์ของภิกษุผู้
ถืออยู่โคนไม้ (๑๐) อพฺโภกาสิกงฺค องค์ของภิกษุผู้ถืออยู่ในที่กลางแจ้ง (๑๑) โสสานิกงฺค องค์ของ
ภิกษุผู้ถอื อยู่ป่าช้า (๑๒) ยถาสนฺถติกงฺค องค์ของภิกษุผู้ถืออยู่ในอาสนะตามที่จัดไว้ (๑๓) เนสชชฺ ิกงฺค
องคข์ องภกิ ษุผ้ถู ือการน่งั . (วิ.ป. (ไทย) ๘/๔๔๓/๖๒๘, วิ.ป. (บาลี) ๘/๔๔๓/๑๙๖)

๒๙๓องฺ.ทุก. (ไทย) ๒๐/๓๖/๗๙, องฺ.ทุก. (บาลี) ๒๐/๓๖/๖๒.

๑๖๒

(๒) พระอเสขบคุ คล พระผูไ้ มต่ อ้ งศึกษาเพราะเสรจ็ กิจเรียบร้อยแลว้
การบวชเปน็ วิธีการอย่างหนึง่ ท่ีจะพัฒนาตนใหเ้ ป็นพระอรยิ บคุ คลได้รวดเร็วและ
มั่นคง เพราะต้องอาศัยจิตใจท่ีแน่วแน่จึงจะสามารถนาตนให้พ้นความทุกข์และบาเพ็ญ
ประโยชน์ แก่คนหมู่มากไดอ้ ย่างดีบรรพชิตเป็นผู้ไม่มีความกังวลด้วยปัจจัยเคร่ืองอาศัยใน
การดารงชีพ จึงสามารถทากิจของตนให้สาเร็จได้รวดเร็ว ส่วนคฤหัสถ์ต้องกังวลกับการ
แสวงหาปัจจัยเครื่องเล้ียงชีพ ซง่ึ เป็นข้อจากดั ในการบรรลคุ ุณธรรมชั้นสูง ๆ ข้นึ ไป แม้เมื่อ
บรรลุเป็นพระอรหันต์ก็ต้องบวชในวันนั้น เพราะเพศคฤหัสถ์ไม่สามารถท่ีจะรองรับ
คุณธรรมข้ันสูงสุดได้ซ่ึงต่างจากเพศบรรพชิตท่ีเป็นอุดมเพศอย่างไรก็ตาม แม้บุคคลจะ
บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว แต่ก็ไม่สามารถดับทุกขเวทนาทางกายได้ ดับได้เฉพาะ
ทุกขเวทนาทางใจเท่าน้ัน เพราะพระอรหันต์ไม่มีอานาจบังคับบัญชาร่างกายให้อยู่ใน
อานาจของตน แม้กรรมที่เคยกระทาไวใ้ นอดตี กย็ งั ตดิ ตามใหผ้ ลอยู่ตลอดเวลา

๒.๖ วสิ ชั นาข้อสงสยั ในพระธรรมวนิ ัย
๑) สพั พญั ญูภาวปญั หา๒๙๔
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูคือ ผู้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง
เพราะเหตุไร พระองค์จงึ ไม่ทรงบัญญตั สิ กิ ขาบทใหเ้ สรจ็ พรอ้ มกันทีเดียว
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นสัพพัญญูผู้รู้แจ้งเห็นจริงในทุกสิ่งทุกอย่าง
พระองค์ ทรงบัญญัติสิกขาบทแก่สาวกไปตามลาดับขั้นตอน ต่อเม่ือมีผู้กระทาความผิด
เกิดข้ึน และจะไม่ทรงบัญญัติสิกขาบทเม่ือยังไม่ถึงเวลา เปรียบเหมือนแพทย์ย่อมรู้
สรรพคุณของยาทุกชนิดจะประกอบยาให้คนไข้รับประทานเมอื่ ถึงเวลาเทา่ น้ัน แต่ถ้ายังไม่
ถงึ เวลาก็จะไม่ให้คนไขร้ บั ประทาน เพราะอาจทาใหเ้ กิดอันตรายต่อรา่ งกาย
๒) สิกขาปทอปัญญาปนปัญหา๒๙๕
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง แม้อาจารยใ์ นปางกอ่ นจะไมไ่ ด้เป็นสัพพัญญแู ตก่ ็รู้
การเกิดข้ึน และการรักษาโรคเพียงครั้งเดียวเท่านั้น เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าซึ่งเป็น
สพั พัญญจู ึงไมท่ รงบัญญตั สิ กิ ขาบทไวใ้ หเ้ สรจ็ พร้อมกันทเี ดยี ว

๒๙๔มิลนิ ฺท. ๒/๘๒. เปน็ สพั พัญญูภาวปญั หา.
๒๙๕มลิ นิ ทฺ . ๘/๒๘๓. เปน็ อนวเสสสิกขาปทปัญหา.

๑๖๓

อธิบายว่า อาจารย์ในปางก่อน ๗ ท่าน คือ (๑) นารทะ(๒) ธัมมันตรี(๓) อังคีรส
(๔) กปิละ(๕) กัณฑรัคคิกามะ(๖) อตุละ(๗) ปุพพกัจจายนะ บุคคลเหล่าน้ีเป็นหมอรักษา
โรค รู้สาเหตุแห่งโรคและการรักษาว่า โรคน้ีจักหายหรือไม่หาย จึงรักษาพร้อมกันเสีย
ทเี ดียว ดว้ ยคดิ วา่ โรคมีประมาณเท่าน้ีจกั เกดิ ข้นึ ในกาย ท้ังท่ีอาจารยเ์ หลา่ นน้ั ไม่ใชส่ ัพพญั ญู
ส่วนพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูทรงทราบกิริยาในอนาคตด้วยพุทธญาณว่า สิกขาบทมี
ประมาณ เท่านี้พระองค์จักทรงบัญญัติเพราะเร่ืองชื่อน้ีพระองค์ทรงกาหนดเหตุการณ์แล้ว
จึงไม่ทรง บัญญัติสิกขาบทพร้อมกันทีเดียว เพราะทรงมีความปริวิตกอย่างน้ีว่า ถ้าจัก
บัญญัติท้ัง๑๕๐ สิกขาบทพร้อมกันในคราวเดียว มหาชนจักสะดุ้งกลัวว่า ในศาสนาน้ีมี
สิกขาบทท่ีต้องรักษามาก การบวชย่อมกระทาได้ยาก เมื่อชนผู้ต้องการจะบวชก็ไม่บวช
และจักไม่เชื่อคาสอนของพระพุทธเจ้า อันจะเป็นเหตุนาไปสู่อบายภูมิ เพราะฉะนั้น เม่ือ
เกิดเร่ืองขึ้นทีละเร่ือง พระองค์จึงขอโอกาสเพื่อแสดงธรรม เม่ือโทษปรากฏชัดจึงทรง
บัญญัติสิกขาบท

๓) ขุททานขุ ุททกปญั หา๒๙๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง พระพทุ ธเจ้าทรงรู้ยง่ิ แลว้ จึงแสดงธรรมไม่ทรงรู้ย่ิง
แล้วจะไม่ทรงแสดงธรรม๒๙๗เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงอนุญาตให้ยกเลิกสิกขาบท
เล็กนอ้ ยได้
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงรู้ย่ิงแล้วจึงแสดงธรรม ไม่ทรงรู้ยิ่งแล้วจะไม่ทรง
แสดงธรรม ภายหลังพระองค์ตรัสกะพระอานนท์ว่า เม่ือพระองค์ทรงล่วงลับไป สงฆ์หวัง
อยู่ก็จงถอนสิกขาบทเล็กน้อยได้๒๙๘ การตรัสอย่างน้ัน ไม่ใช่เพราะสิกขาบทเล็กน้อยทรง
บัญญัติไว้ไม่ดีหรือเพราะเม่ือยังไม่มีเรื่องเกิดขึ้นทรงบัญญัติไว้เพราะไม่ทรงรู้แต่เพราะ
พระองค์ ทรงประสงค์จะทดสอบภิกษุว่า เมื่อพระองค์ทรงล่วงลับไป พระสาวกจักเลิกล้ม
สิกขาบทเล็กน้อย หรือจักเอ้ือเฟื้อกันอยู่ แม้เมื่อเป็นอย่างน้ัน พุทธบุตรมีแต่จะคุ้มครอง
สกิ ขาบท ๑๕๐ให้ย่ิงขึ้นไป เพราะมีความตอ้ งการในธรรมเพ่ือความพ้นทุกข์เปรยี บเหมือน
พระเจ้าจักรพรรดิตรัสกะพระราชโอรสว่า มหาชนบทซึ่งเป็นอาณาจักร มีแม่น้าเป็นท่ีสุด

๒๙๖มลิ นิ ทฺ . ๑/๑๕๔.
๒๙๗องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๑๒๖/๓๗๓, องฺ.ติก. (บาลี) ๒๐/๑๒๖/๒๖๙.
๒๙๘ว.ิ จ.ู (ไทย) ๗/๔๔๑/๓๘๒, วิ.จู. (บาลี) ๗/๔๔๑/๒๗๘.

๑๖๔

รอบท้ัง ๔ ทิศถ้าพระราชโอรสต้องลาบากที่จะต้องคุ้มครองดูแลทั้งหมดด้วยกาลังเพียง
เท่านี้ เมื่อพระองค์สวรรคตแล้ว ก็ยอมให้สละดินแดนที่ต้ังอยู่ในท่ีสุดเขตแดน เม่ือเป็น
อย่างน้ันนอกจากพระราชโอรสจะไม่ยอมสละดินแดนที่ปกครองอยู่ยังจะรวบรวมดินแดน
ให้มากขึ้นเปน็ สองเทา่ หรอื สามเท่าเพราะความตอ้ งการในราชสมบตั ิ

๔) ธมั มวนิ ยปฏจิ ฉันนปัญหา๒๙๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระธรรมวินัยท่ีตถาคตประกาศแล้ว เปิดเผยไม่
ปิดบังจึงรุ่งเรือง๓๐๐ เพราะเหตุไร ปาฏิโมกขุทเทส และ พระวินัยปิฎกทั้งส้ิน พระพุทธเจ้า
จึงทรงปิดบังไว้
อธิบายว่า ปาฏิโมกขุทเทส และพระวินัยปิฎกที่พระพุทธเจ้าทรงปิดบังไว้๓๐๑ก็
ไม่ได้ปิดบังแก่คนทัง้ หมด แต่พระองค์ทรงกระทาใหเ้ ป็นเขตแดนแล้วปิดบังไว้เหตุแห่งการ
ปิดบัง มอี ยู่๓ ประการ คือ

(๑) ด้วยอานาจแหง่ วงศข์ องพระพุทธเจ้าในปางก่อน
(๒) เพราะความทธ่ี รรมเป็นสิง่ ท่ีมีความสาคญั มาก
(๓) เพราะความท่ภี มู ขิ องภกิ ษเุ ป็นสงิ่ ท่ีควรเคารพ
๕) สติสัมโมสปัญหา๓๐๒
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระอรหันต์ไม่มีความหลงลืมสติแต่มีโอกาสต้อง
อาบัตไิ ด้
อธิบายว่า พระอรหันต์ไม่มีความหลงลืมสติแต่อาจต้องอาบัติในเรื่องการสร้าง
กุฎีบ้าง ใน เร่ืองการสื่อข่าวบ้าง ในเรื่องสาคัญเวลาวิกาลว่าเป็นกาลบ้าง ในเรื่องสาคัญ
ภกิ ษผุ ู้ปวารณา แล้ววา่ ยังมิได้ปวารณาในเรื่องสาคัญภตั รที่ไม่ได้เป็นเดนภิกษไุ ข้ว่าเป็นเดน
ภกิ ษไุ ข้ กภ็ กิ ษุย่อมตอ้ งอาบตั ิด้วยเหตุ๒ ประการ คอื
(๑) เพราะไมม่ คี วามเอ้ือเฟอื้
(๒) เพราะความไม่รู้

๒๙๙มลิ ินฺท. ๒/๒๐๑.
๓๐๐วิ.ป. (ไทย) ๘/๓๒๓/๔๔๐, วิ.ป. (บาลี) ๘/๒๓๒/๒๖๖. องฺ.ติก. (ไทย) ๒๐/๑๓๒/
๓๘๑, องฺ.ตกิ .(บาลี) ๒๐/๑๓๒/๒๗๖.
๓๐๑วิ.ม. (ไทย) ๔/๑๕๔/๒๓๔-๒๓๖, ว.ิ ม. (บาลี) ๔/๑๕๔/๑๖๒-๑๖๓.
๓๐๒มลิ ินทฺ . ๓/๒๗๗. เปน็ ขีณาสวสติสัมโมสปัญหา.

๑๖๕

ส่วนการกระทาทเ่ี ศร้าหมองมอี ยู่๒ อยา่ ง คอื
(๑) โลกวัชชะโทษทางโลก
(๒) ปัณณัตติวชั ชะโทษทางพระวินยั

อกุศลกรรมบถ ๑๐ ประการ๓๐๓ หรือประชุมแห่งกรรมบถท่ีเป็นอกุศล จัดเป็น
โลกวัชชะ สว่ นกรรมทไ่ี ม่เหมาะไม่ควรแก่สมณะ แตไ่ ม่มีโทษสาหรับคฤหัสถ์จัดเป็นปัณณัต
ติวัชชะ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัตสิ ิกขาบทแก่พระสาวก กระทาให้เป็นเขตแดนท่ีพระสาวก
ไม่พึงประพฤติล่วงตราบจนสิ้นชีวิต พระขีณาสพไม่อาจประพฤติก้าวล่วงอาบัติที่เป็นโลก
วัชชะได้ แต่ท่านอาจล่วงอาบัติท่ีเป็นปัณณัตติวัชชะเพราะความไม่รู้ด้วยว่าการรู้กิเลสท้ัง
ปวงมิใช่วิสัยของพระอรหันต์เพราะท่านไม่มีกาลังพอที่จะรู้กิเลสทั้งหมด แม้แต่ชื่อและ
โคตรของบุคคล แม้ทางเดินบนแผ่นดิน ท่านก็ไม่อาจรู้ทั้งหมด พระอรหันต์บางองค์จึงรู้
เฉพาะวิมุตติ เพียงอย่างเดียว บางองค์ที่ได้อภิญญา ๖ ก็รู้เฉพาะวิสัยของตน ส่วน
พระพทุ ธเจ้าผเู้ ปน็ สพั พญั ญูทรงร้กู ิเลสไดท้ งั้ หมด

๖) หีนายาวตั ตนปญั หา๓๐๔
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธศาสนามีคุณมากมีสาระน่าเลือกสรร
ประเสริฐสุด บริสุทธ์ิปราศจากมลทิน เป็นของขาวไม่มีโทษ เพราะเหตุไรคฤหัสถ์ผู้บวชใน
พระพุทธศาสนาแล้ว ยังเวียนกลับมาสู่ความเป็นคฤหัสถ์อีก ซ่ึงจะทาให้คนอ่นื เข้าใจผิดว่า
พระพุทธศาสนาจักเปน็ ของเปล่าประโยชน์
อธิบายว่า บุคคลผู้บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว กลับเวยี นมาสู่ความเป็นคฤหัสถ์
อีก มหาชนพึงติเตียนเขาผู้ไม่ปฏิบัติตนให้ดารงอยู่ในพระศาสนาได้เพราะพระพุทธเจ้าไม่
อาจทาให้บุคคลที่บวชเข้ามาแล้วบริสุทธ์ิหมดจดได้ พระพุทธศาสนาจึงไม่มีโทษ เหมือน
สระเต็มเปี่ยมด้วยน้าปราศจากมลทิน เย็นสบาย ถ้าบุคคลมีตัวเปื้อนด้วยมลทินและเปือก

๓๐๓อกุศลกรรมบถ๑๐ประการคือ (๑) ปาณาติบาตการฆ่าสัตว์ (๒) อทินนาทานการลัก
ทรัพย์(๓) กาเมสุมิจฉาจารการประพฤติผิดในกาม (๔) มุสาวาทการพูดเท็จ (๕) ปิสุณาวาจาการพูด
สอ่ เสียด (๖) ผรุสวาจา การพูดคาหยาบ (๗) สัมผัปปลาปะการพูดเพ้อเจ้อ (๘) อภิชฌาความเพ่งเล็ง
อยากได้วตั ถุของคนอ่นื (๙) พยาบาท ความคิดร้าย (๑๐) มิจฉาทฏิ ฐคิ วามเห็นผิด. (ที.ปา. (ไทย) ๑๑/
๓๖๐/๔๓๑, ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๓๖๐/๒๗๘. อง.ทสก.(ไทย) ๒๔/๑๗๑/๓๐๗, อง.ทสก. (บาลี) ๒๔/
๑๗๑/๒๐๘)

๓๐๔มลิ ินฺท. ๖/๒๕๗.

๑๖๖

ตม ไปสระน้าแลว้ ไม่อาบ กลับมาทั้งที่ยังมีตวั เศร้าหมองอยู่ มหาชนพึงติเตยี นบคุ คลผมู้ ีตน
เศร้าหมองเพราะไปถึงสระน้าแล้วไม่ยอมอาบ จึงเป็นผู้มีตนเศร้าหมองกลับมาเหมือนเดิม
ไม่ใช่เพราะสระไม่ให้เขาผู้ต้องการอาบ น้าลงอาบ เพราะฉะน้ัน สระจึงไม่มีโทษ
พระพุทธเจ้าทรงสร้างสระ คือพระสัทธรรมอันประเสริฐเต็มเป่ียม ด้วยน้าคือวิมุติอัน
ประเสริฐ เพ่ือให้ผู้มีตนเศร้าหมอง ด้วยมลทินคือกิเลสได้ชาระล้างในสระอีกอย่างหนึ่ง
บุคคลที่บวชในพระพุทธศาสนาแล้ว กลับเวียนมาสู่ความเป็นคฤหัสถ์อีก ย่อมชื่อว่าแสดง
คณุ ท่ีไม่อาจชง่ั ได้ของศาสนาพระชนิ พทุ ธเจา้ ๕ อย่าง คอื

(๑) พระศาสนาเปน็ ภมู ิอนั ย่ิงใหญ่
(๒) พระศาสนาเปน็ ของบริสุทธิ์ปราศจากมลทิน
(๓) พระศาสนาอนั บาปชนไม่อาจอยู่ร่วมได้
(๔) พระศาสนาเปน็ ของรู้แจ้งไดย้ าก
(๕) พระศาสนาเป็นของทีพ่ งึ รกั ษาไว้ดว้ ยความสารวมเปน็ อันมาก
๗) อภิสมยนั ตรายกรปญั หา๓๐๕
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง คฤหัสถ์ผเู้ คยต้องอาบัติปาราชิกแล้ว กลับไปบวช
ใหม่อีก แม้เขาจะไม่รู้ว่าตนเองเคยต้องอาบัติปาราชิก อีกทั้งบุคคลอ่ืนก็ไม่รู้วา่ เขาเคยต้อง
ปาราชิกมาแลว้ ถงึ จะปฏบิ ัตเิ พื่อบรรลมุ รรคผลก็ไม่สามารถบรรลุได้
อธิบายว่า ส่ิงที่เป็นเหตุแห่งการบรรลุธรรม ของบุคคลผู้เคยต้องอาบัติปาราชิก
ถกู เลกิ ถอนแล้ว เพราะเหตุน้ัน จงึ ไม่มกี ารบรรลุธรรมจริงอยู่ เม่ือบุคคลทาความผิดท้งั ๆที่
รู้อยู่ จะทาให้เกิดความราคาญในใจ ซึ่งทาให้ไม่สามารถบรรลุธรรมได้ส่วนผู้ไม่รู้อยู่ใน
ความผิดของตน คิดว่าตนเองมีความบริสุทธิ์อยู่ ทาให้จิตสงบระงับ ก็ไม่เป็นเหตุให้บรรลุ
ธรรมได้เพราะเหตุปัจจัยแห่งการบรรลุธรรมถูกเลิกถอนแล้ว เหมือนพืชท่ีมีผลเป็น
ประโยชน์ได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดีย่อมงอกข้ึนในนาท่ีโล่งเตียน มีการไถพรวนดีมี
พื้นที่เหมาะสม แต่จะไม่งอกขึ้นที่พื้นศิลาบนภูเขาซึ่งเป็นหินแท่งทึบ เพราะไม่มีเหตุปัจจัย
แห่งการงอกขึ้น
ในทัศนะเก่ียวกับวิสัชนาข้อสงสัยในพระธรรมวินัยในคัมภีร์มิลินทปัญหานี้ จะ
เห็นได้ว่า พระพุทธเจ้าได้ทรงแสดงพระธรรมวินัยไว้เป็นอย่างดี บุคคลผู้ไม่เข้าใจใน

๓๐๕มิลนิ ทฺ . ๙/๒๖๖.

๑๖๗

พระพุทธศาสนาอย่างท่ัวถึง อาจจะเกิดความสงสัยว่า เพราะเหตุไร พระองค์จึงทรงมี
ปฏิปทาท่ีตรงขา้ มกับความเป็นสพั พัญญูอย่างไรก็ตามพระองค์ทรงมีพระประสงค์ท่ีชัดเจน
ที่ทาให้ต้องทรงกระทาอย่างนั้น เช่น การไม่บัญญัติสิกขาบทไว้ล่วงหนา้ เพราะไมป่ ระสงค์
จะให้ผู้ที่เข้ามาบวชในพระพุทธศาสนา เกิดความรู้สึกอึดอัดจนไม่สามารถปฏิบัติธรรมได้
เพราะต้องคอยระวังสิกขาบท เกรงว่าจะมีการล่วงละเมิด การไม่บัญญัติสิกขาบทไว้
ล่วงหน้า จึงเป็นวิธีการชักนาคนให้เข้ามาสู่พระพุทธศาสนา ทาให้เผยแผ่พระพุทธศาสนา
ได้รวดเรว็ และแผ่ขยายออกไปอย่างกว้างขวางแต่ถ้าพระพุทธเจ้าจะทรงบัญญัติสิกขาบท
ไวล้ ่วงหน้า เพื่อหวังจะปอ้ งกนั ไม่ให้เกดิ การล่วงละเมดิ ก็อาจถูกมองว่าเป็นการกีดกนั คนให้
ออกห่างจากพระพุทธศาสนา การบัญญัตพระวินัยให้เสร็จพร้อมกันทีเดียว แม้จะเป็น
วิธีการป้องกันการกระทาความผิดซ่ึงจะเกิดข้ึนในอนาคต แต่ก็เป็นการป้องกันตัวบุคคลผู้
จะกระทาความผิดดว้ ย เพราะการกระทาเกิดขนึ้ จากตัวบคุ คล เม่ือยังไม่มีความผิด ก็ช่ือว่า
ไม่มีคนผู้กระทาผิดเหมือนกัน เพราะฉะน้ัน การที่พระองค์ไม่ทรงบัญญัติพระวินัยให้เสร็จ
พรอ้ มกันทีเดยี วจงึ เปน็ การสมควรอย่างยง่ิ

๒.๗ แนวทางปฏบิ ตั ิเพ่ือบรรลุพระนิพพาน
๑) นิพพานลภนปัญหา๓๐๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง บุคคลย่อมบรรลุนพิ พานดว้ ยกนั ทุกคนหรือไม่
อธิบายว่า บุคคลไม่บรรลุนิพพานทั้งหมด ผู้ปฏิบัติชอบรู้เฉพาะธรรมที่ควรรู้ย่ิง
คือ กาหนดรู้ธรรมที่ควรกาหนดรู้ละธรรมที่ควรละเจริญธรรมท่ีควรเจริญ ทาให้แจ้งซึ่ง
ธรรม ท่คี วรทาใหแ้ จง้ ยอ่ มบรรลพุ ระนพิ พาน
๒) นิพพานอตั ถิภาวปญั หา๓๐๗
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง สัตวท์ ่ีเกิดแตก่ รรม เกิดแต่เหตุและเกิดแต่ฤดูยอ่ ม
มีปรากฏอยู่ในโลก ส่วนส่ิงท่ีไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ และไม่เกิดแต่ฤดูก็มีปรากฏอยู่
ในโลกเหมอื นกนั
อธิบายว่า ส่ิงที่ไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ และไม่เกิดแต่ฤดูในโลกนี้มีอยู่ ๒
อย่าง คือ (๑) อากาศ และ (๒) พระนิพพาน

๓๐๖มิลนิ ฺท. ๙/๗๕.
๓๐๗มลิ ินทฺ . ๕/๒๗๙. เป็นนิพพานปญั หา.

๑๖๘

พระพุทธเจ้าทรงแสดงมรรค คือ หนทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์แก่พระสาวก
เพื่อ กระทาให้แจ้งซึ่งพระนิพพานด้วยเหตุต้ังหลายร้อยอยา่ งก็จริง แต่ถึงอยา่ งน้ันพระองค์
ก็ไม่ได้ทรงแสดงเหตุเพื่อความยึดมั่นถือมั่นพระนิพพานไว้ เพราะพระนิพพานเป็นอสังขต
ธรรม อันปัจจัยปรุงแต่งไม่ได้แล้ว เป็นธรรมชาติท่ีไม่พึงกล่าวว่า พระนิพพานเกิดข้ึนแล้ว
ไม่เกิดข้ึนแล้วเป็นของควรให้เกิดข้ึน หรือพระนิพพานเป็นอดีต อนาคต ปัจจุบันหรือพระ
นิพพานอันบุคคลพึงรู้แจ้งด้วยจักษุ โสตะ ฆานะ ชิวหา และกาย แม้เม่ือเป็นอย่างน้ันพระ
นิพพานก็ยังคงมีอยู่บัณฑิตพึงรู้แจ้งได้ด้วยใจเท่าน้ัน พระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบย่อมเห็น
พระนิพพานอันหมดจดวิเศษ ประณีต ไม่มีกิเลสเป็นเครื่องกั้น ไม่มีอามิส ด้วยใจของตน
เพราะฉะนั้นพระนิพพานจึงมีอยู่ เหมือนลมมีอยู่แต่ไม่สามารถแสดงได้โดยวรรณะหรือ
สัณฐาน ว่าเป็นของละเอยี ดหรือหยาบ เปน็ สง่ิ ทย่ี าวหรือส้นั

๓) กัมมชากมั มชปัญหา๓๐๘
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง สัตว์ท่ีเกดิ แต่กรรมเกิด แต่เหตเุ กิดแตฤ่ ดแู ละสัตว์
ที่ไม่เกดิ แตก่ รรม ไม่เกิดแต่เหตุไม่เกดิ แต่ฤดู
อธิบายว่า สัตว์ท่ีมีเจตนาเกิดแต่กรรม ไฟและพืชท้ังหมดเกิดแต่เหตุ แผ่นดิน
ภูเขา น้าและลม เกิดแต่ฤดูส่วนอากาศและพระนิพพานไม่เกิดแต่กรรม ไม่เกิดแต่เหตุ ไม่
เกิดแต่ฤดูพระอริยสาวกผู้ปฏิบัติชอบย่อมเห็นพระนิพพานด้วยญาณอันหมดจดพิเศษ
บัณฑติ พงึ รูแ้ จ้งพระนิพพานไดด้ ้วยใจเพยี งอย่างเดียว
๔) นพิ พานสจั ฉกิ รณปญั หา๓๐๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลผู้ปฏิบัติชอบย่อมกระทาให้แจ้งซ่ึงพระ
นิพพานทเี่ กิดข้ึน หรือยงั พระนิพพานใหเ้ กดิ ขน้ึ แล้วกระทาใหแ้ จ้งภายหลงั
อธิบายว่า บุคคลผู้ปฏิบัติชอบไม่ได้กระทาให้แจ้งซึ่งพระนิพพานที่เกิดข้ึนหรือ
ไม่ได้ทาพระนิพพานให้เกิดข้ึนแล้วกระทาให้แจ้งภายหลัง แต่พระนิพพานธาตุท่ีบุคคลผู้
ปฏิบัติชอบกระทาให้แจ้งน้ันมีอยู่ พระนิพพานธาตุเป็นธรรมชาติระงับ เป็นสุข ประณีต ผู้
ปฏิบัติชอบพิจารณาความเป็นไปแห่งสังขาร ย่อมเห็นความเกิด ความแก่ ความเจ็บและ
ความตายและจะไม่เห็นความสุขสาราญแม้เพียงเล็กน้อยในสังขาร เมื่อไม่เห็นสิ่งที่ควรจะ

๓๐๘มิลินฺท. ๖/๒๘๒.
๓๐๙มลิ นิ ฺท. ๑๑/๓๓๒.

๑๖๙

ถือเอาเป็นสาระในสังขาร ทั้งเบ้ืองต้น ท่ามกลาง หรือที่สุด ย่อมกระทาให้แจ้งซึ่งพระ
นิพพานด้วยปัญญา เพราะฉะน้ัน บุคคลกระทาให้มากซ่ึงหนทางเพ่ือความไม่เป็นไปแห่ง
สังขาร สติวิริยะและปีติของเขาย่อมตั้งม่ัน เมื่อเขามนสิการจิตน้ันเนืองนิตย์จิตก็ก้าวล่วง
ความเป็นไปแห่งสังขารหยั่งลงสคู่ วามไม่เป็นไป บุคคลผปู้ ฏิบตั ิได้อยา่ งนีเ้ รียกวา่ กระทาให้
แจ้งซง่ึ พระนิพพาน

๕) นิพพานปฏั ฐานปัญหา๓๑๐
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง สถานทีเ่ ป็นทต่ี ั้งของ พระนิพพาน
อธิบายว่า พระนิพพานไม่ไดท้ ี่ตั้งอยู่ในทิศบูรพา ทิศทักษิณ ทิศประจิม ทิศอุดร
หรอื ทศิ ด้านบน ด้านลา่ ง ดา้ นขวา หรือด้านซา้ ย แม้โอกาสเป็นทต่ี ้ังของพระนพิ พานก็ไม่มี
เหมือนกันแต่พระนิพพานมีอยู่แน่นอน บุคคลผู้ปฏิบัติชอบย่อมกระทาให้แจ้งซึ่งพระ
นิพพานโดยโยนิโสมนสิการเหมือนไฟย่อมมีอยู่ เพียงแต่โอกาสท่ีต้ังของไฟไม่มี เม่ือบุคคล
นาไม้สองอันมาสี เข้าด้วยกันไฟจึงจะเกิด ฐานะท่ีบุคคลดารงอยู่ ปฏิบัติชอบแล้วย่อม
กระทาให้แจ้งซึ่งพระนิพพานก็มีอยู่ ฐานะน้ัน คือ ศีล บุคคลดารงมั่นอยู่ในศลี เมื่อกระทา
ไว้ในใจโดยอุบายท่ีชอบ แม้จะอยู่ในสกนครและยวนนครก็ดีในจีนนครและวิลาตนครก็ดี
ในอลสนั ทนครก็ดี ในนิกุมพนครกด็ ใี นกาสนี ครและโกสลนครก็ดี ในกสั มีรนครกด็ ีในคันธาร
นครก็ดีบนยอดภูเขากด็ ีบนพรหมโลกก็ดีปฏบิ ัตชิ อบแล้วก็กระทาใหแ้ จง้ ซึง่ พระนพิ พานได้
ในคมั ภีร์มิลินทปัญหาน้ีได้อธิบายจุดมุ่งหมายสูงสุดในพระพุทธศาสนา คือ พระ
นพิ พานซงึ่ เปน็ การดบั กิเลสอยา่ งสน้ิ เชิง ไม่ต้องกลับมาเวียนวา่ ยตายเกิดอยใู่ นวัฏสงสารอีก
บุคคลผู้สนใจในพระนิพพานจึงควรท่ีศึกษาในธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงประกาศไว้ดีแล้ว
เพ่ือเป็นแนวทางใน การปฏิบัติโดยเฉพาะการดาเนินตามอริยมรรค อันเป็นหนทางนาไปสู่
การดบั ทุกขค์ ือ พระนิพพาน ซึ่งมีอยู่๒ อย่าง๓๑๑ คอื
(๑) สอุปาทเิ สสนิพพาน เป็นสภาวะท่ีมีใหเ้ ห็นในอัตภาพน้ี และเป็นทีส่ ้ินไปแห่ง
ตณั หาที่นาไปสภู่ พ

๓๑๐มิลนิ ทฺ . ๑๒/๓๓๕. เปน็ นพิ พานสันนหิ ติ ปัญหา.
๓๑๑ขุ.อิต.ิ (ไทย) ๒๕/๔๔/๓๙๒, ข.ุ อิต.ิ (บาลี) ๒๕/๔๔/๒๖๕.

๑๗๐

(๒) อนุปาทิเสสนิพพาน เป็นสภาวะที่มีในภายภาคหน้าและเป็นท่ีดับสนิทแห่ง
ภพ ทงั้ หลายได้สิ้นเชิงบุคคลผู้บรรลพุ ระนิพพานแล้วแต่อนิ ทรีย์๕ ยงั คงเป็นไปอยู่ ไมไ่ ด้ดับ
ไป ตามย่อมทาให้ประสบกับอิฏฐารมณ์และอนฏิ ฐารมณเ์ สวยเวทนาอยูต่ ลอดเวลา

ส่วนผู้บรรลุพระนิพพานแล้วแต่เวทนาของท่านไม่ถูกกิเลสมีตัณหาเป็นต้น
ครอบงา กจ็ กั ดบั สนทิ อย่างสิน้ เชิง

๒.๘ สภาวะของพระนพิ พาน
๑) ปรนิ ิพพานปัญหา๓๑๒
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บคุ คลผูท้ ่ีไมป่ ฏิสนธิอีกจะเสวยทกุ ขเวทนาหรอื ไม่
อธิบายว่า บุคคลผู้ที่ไม่ปฏิสนธิอีก บางคนก็เสวย บางคนก็ไม่เสวย คนท่ีเสวย
ย่อม เสวยเวทนาทางกายไม่เสวยเวทนาทางใจ เพราะส่ิงที่เป็ นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิด
ทุกขเวทนาทางกายยังไม่ส้ินไป ทาให้ต้องเสวยทุกขเวทนาทางกาย ส่วนส่ิงท่ีเป็นเหตุเป็น
ปัจจัยให้เกิด ทุกขเวทนาทางใจส้ินไปแล้ว ทาให้ไม่ต้องเสวยทุกขเวทนาทางใจน้ัน
พระพุทธเจ้าตรัสว่า “พระอรหันต์ย่อมเสวยเวทนาทางกายประการเดียว ไม่เสวยเวทนา
ทางใจ”๓๑๓ อย่างไรก็ตาม แม้พระอรหันต์จะเสวยทุกขเวทนาทางกาย แต่ท่านก็ไม่รีบ
ปรินิพพาน เพราะไม่มีความยินดีหรือความยินร้าย อน่ึงท่านไม่ทาขันธ์ที่ยังไม่ถึงเวลาให้ตก
ล่วงไป แต่รอคอยให้กาลเวลามาถึงพระสารีบุตรเถระจึงกล่าวคานี้ไว้ว่า “เราไม่อยากตาย
ไมอ่ ยากเป็นอย่แู ตเ่ รา มีสตสิ ัมปชญั ญะอยเู่ ฉพาะหน้า จักละกายน้ีเราไม่อยากตายไมอ่ ยาก
เป็นอยู่ แตเ่ ราคอยเวลาอนั ควรเหมอื นลกู จ้างทาการงานคอยคา่ จา้ ง”๓๑๔
๒) นโิ รธนิพพานปญั หา๓๑๕
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื ง พระนิพพาน คือ นิโรธ
อธิบายว่า พระนิพพาน คือ การดับกิเลสอย่างสิ้นเชิง ปุถุชนคนพาลยินดี
เพลิดเพลินหมกมุ่นอยู่ในอายตนะภายในและภายนอก ถูกกระแสตัณหาพัดพาให้ลอยไป
ย่อมไม่พ้นจากชาติชรา มรณะโสกะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อุปายาส ช่ือว่าไม่พ้นจากทุกข์

๓๑๒มิลนิ ฺท. ๔/๔๖. เปน็ ปฏสิ ันทหนปุคคลเวทยิ นปญั หา.
๓๑๓ส .สฬา. (ไทย) ๑๘/๒๕๔/๒๗๕, ส .สฬา. (บาลี) ๑๘/๒๕๔/๑๙๒.
๓๑๔ข.ุ เถร. (ไทย) ๒๖/๑๐๐๑-๑๐๐๒/๕๐๔, ข.ุ เถร. (บาล)ี ๒๖/๑๐๐๑-๑๐๐๒/๓๙๗.
๓๑๕มิลนิ ทฺ . ๘/๗๕.

๑๗๑

ส่วนอริยสาวกผู้สดับแล้วย่อมไม่ยินดีเพลิดเพลิน ไม่หมกมุ่นอยู่ในอายตนะภายในและ
ภายนอก เมื่อไม่ยนิ ดเี พลดิ เพลิน ตัณหาก็ดับไป เพราะตัณหาดับไป อปุ าทานจึงดบั เพราะ
อปุ าทานดบั ไป ภพจึงดับ เพราะภพดับไป ชาติจึงดับ เพราะชาตดิ ับไป ชราและมรณะ โส
กะ ปริเทวะ ทุกข์โทมนัส อปุ ายาสจงึ ดับไปดว้ ย ความดับแห่งกองทุกข์ท้ังส้นิ ย่อมมีได้ด้วย
อุบายอยา่ งน้เี พราะฉะน้ัน นพิ พาน คอื นโิ รธ

๓) นพิ พานสุขภาวชานนปญั หา๓๑๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลท่ียังไม่ได้บรรลุพระนิพพาน จะรู้ว่าพระ
นิพพานเปน็ สุขหรอื ไม่
อธิบายว่า บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุพระนิพพาน ย่อมรู้ว่าพระนิพพานเป็นสุข
เปรียบ เหมอื นคนมีร่างกายสมบูรณ์ไม่ได้พกิ ลพกิ าร ย่อมรวู้ ่าการถกู ตดั มือตัดเทา้ เป็นความ
ทุกข์ ทรมานอย่างแสนสาหัส เหตุที่รเู้ พราะฟังเสียงครวญคราง หรือเห็นอาการด้ินรนของ
คนท่ีถูกตัดมือตัดเท้า เพราะฉะน้ัน แม้บุคคลผู้ที่ยังไม่ได้บรรลุพระนิพพาน แต่ก็รู้ว่าพระ
นิพพานเป็นสุข เพราะฟงั เสยี งของคนทบ่ี รรลุพระนพิ พาน
๔) ปรินพิ พตุ านงั เจติเยปาฏิหาริยปญั หา๓๑๗
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ปาฏิหาริย์มีท่ีจิตกาธานของพระอรหันต์ผู้
ปรนิ พิ พานทุกจาพวก หรอื มเี ฉพาะบางจาพวกเท่านั้น
อธิบายว่า ปาฏิหาริย์ท่ีจิตกาธานของพระอรหันต์ผู้ปรินิพพาน ย่อมมีเป็นบาง
พวกเท่านั้น และปาฏิหารยิ ย์ อ่ มเกิดขึ้นเพราะการอธิษฐานของบุคคล ๓ จาพวก คือ
(๑) พระอรหันต์อธษิ ฐานเอง เพ่อื ความเอ็นดเู ทวดาและมนุษยว์ ่า ขอปาฏิหาริย์
ท่ีจติ กาธาน จงเกดิ มอี ย่างน้ี
(๒) เทวดาแสดงปาฏิหาริย์ที่จิตกาธานของพระอรหันต์ เพื่อความเอ็นดูแก่
มนุษย์ วา่ พระสทั ธรรมจักเปน็ ธรรมอันสตั ว์ประคบั ประคองไวเ้ ป็นนิตยด์ ้วยปาฏหิ ารยิ น์ ี้
(๓) สตรหี รอื บุรษุ ผมู้ ีศรัทธาเลื่อมใส มีปัญญา คิดโดยแยบคายแล้วบูชาด้วยของ
หอม ดอกไม้ผ้า หรือวัตถุอย่างใดอย่างหนึ่ง อธิษฐานว่า ขอปาฏิหาริย์จงมีเถิดถ้าคนไม่ได้

๓๑๖มลิ ินทฺ . ๑๐/๗๖. เปน็ นิพพานสขุ ชานนปญั หา.
๓๑๗มิลินฺท. ๗/๓๑๘.

๑๗๒

ต้ังจิตอธิษฐาน ปาฏิหาริย์ท่ีจิตกาธานของพระขีณาสพผู้ได้อภิญญา ๖ประการ๓๑๘ บรรลุ
ความชานาญแห่งจิต ก็จะไม่เกิดข้ึน อย่างไรก็ตามแม้ปาฏิหาริย์จะไม่ปรากฏข้ึน เทวดา
และมนุษย์เมื่อเพ่งพิจารณาถึงความประพฤติท่ีบริสุทธิ์ดีแล้วย่อมเช่ือว่าพระพุทธบุตร
ปรินิพพานดีแล้ว

๕) นิพพานสั สอทุกขมสิ สภาวปญั หา๓๑๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระนิพพานเป็นสุขสว่ นเดยี ว หรอื ยงั เจอื ปนด้วย
ทุกข์
อธิบายว่า พระนิพพานเป็นสุขโดยส่วนเดียว ไม่ได้เจือปนด้วยทุกข์บุคคลผู้
แสวงหา พระนิพพานทากายและจิตให้ได้รับความลาบาก ด้วยการสารวมรักษาอิริยาบถท้ัง
๔ คือ ยืน เดิน น่ัง นอน และสารวมในอาหารขจัดความง่วงเหงาหาวนอน ทาอายตนะให้
ลาบากสละทรัพย์สินและญาติมิตรผู้เป็นที่รัก เม่ือเขากาจัดปิดก้ันความเจริญแห่ง
อายตนะ เหล่านั้นทาให้กายและจิตเกิดความเร่าร้อน ซ่ึงเป็นเหตุให้เสวยทุกขเวทนาทางกาย
และทางใจส่วนบุคคลผู้มีความสุข ทาอายตนะให้เพลิดเพลินยินดีด้วยกามคุณ ๕ คือ รูป
เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะและยังใจให้เจริญยินดีด้วยการตรึกและการกระทาไว้ในใจถึง
อารมณ์ที่ดีและไม่ดี ท่ีงามและไม่งาม อันน่าชอบใจ บุคคลพึงทราบว่าความทุกข์ทางกาย
และทางใจของผู้บาเพ็ญเพียรเป็นเบ้ืองต้นแห่งการกระทาให้แจ้งซึ่งพระนิพพานเท่าน้ัน
ไม่ใช่ความทุกข์ที่มีอยู่ในพระนิพพาน เหมือนความสุขในราชสมบัติซ่ึงมีแต่สุขโดยส่วนเดียว
ไม่ได้เจือปนด้วยทุกข์ถึงแม้พระราชาจะยกทัพไปปราบข้าศึกตามชายแดน ต้องเสด็จไป
ประทับแรมตามป่าเขาถูกสัตว์ร้ายเบียดเบียน ทาให้ได้รับความลาบากพระวรกายเป็นอย่าง
มาก เมอ่ื กระทาการรบกับขา้ ศกึ ก็ยังไม่แน่พระทัยว่าจะมีพระชนม์ชีพรอดหรือไมก่ ารรบกับ
ข้าศึกเปน็ เบอื้ งตน้ แห่งการแสวงหาความสขุ ในราชสมบัติเท่านน้ั ไมใ่ ชค่ วามสขุ ในราชสมบตั ิ
๖) นิพพานปัญหา๓๒๐

๓๑๘อภิญญา๖ประการคือ (๑) อิทธิวิธิความรู้ท่ีทาให้แสดงฤทธิ์ต่างๆได้ (๒) ทิพพโสต
ญาณท่ีทาให้มีหูทิพย์(๓) เจโตปรยิ ญาณญาณท่ีทาให้กาหนดใจคนอนื่ ได้ (๔) ปุพเพนวิ าสานสุ สตญิ าณ
ท่ที าให้ระลึกชาติ (๕) ทิพพจกั ขุญาณทท่ี าให้มีตาทิพย์ (๖) อาสวักขยญาณญาณที่ทาใหอ้ าสวะสนิ้ ไป.
(ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๕๖/๓๙๔-๓๙๖, ที.ปา. (บาลี) ๑๑/๓๕๖/๒๕๖-๒๕๗ )

๓๑๙มิลนิ ทฺ . ๙/๓๒๒. เปน็ เอกนั ตสุขนิพพานปัญหา.
๓๒๐มลิ นิ ฺท. ๑๐/๓๒๕. เป็นนพิ พานรูปสัณฐานปญั หา.

๑๗๓

พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลสามารถท่ีจะแสดงรูป สัณฐาน วัย หรือ
ประมาณ แหง่ พระนพิ พาน โดยอุปมา โดยเหตุโดยปจั จยั โดยนัย ได้หรือไม่

อธิบายว่า พระนพิ พานเป็นธรรมชาติไม่มีสว่ นเปรียบ บคุ คลไม่สามารถท่จี ะแสดง
รูป สัณฐาน วัย หรือประมาณของพระนิพพานโดยอุปมา โดยเหตุ โดยปัจจัย โดยนัยได้
ปญั หาอย่างนี้ถอื วา่ เปน็ ปญั หาไม่สมควรยกขึน้ มาถาม เพราะเปน็ ข้อยกเวน้ เหมือนมหาสมทุ ร
ซึ่งเป็นส่ิงท่ีมีปรากฏอยู่ ถ้าจะมีคนถามว่าน้าในมหาสมุทรมีเท่าไร และสัตว์ที่อาศัยอยู่
มหาสมทุ รมีเท่าไร ปัญหาอย่างนี้ไม่ใช่วิสัยท่ีจะพงึ ตอบ แม้บุคคลผู้มฤี ทธ์ิบรรลุความชานาญ
แห่งจิต จะพึงคานวณนับน้าในมหาสมุทร และสัตว์ท่ีอาศัยอยู่ในนั้นได้แต่ก็ไม่อาจแสดงรูป
เป็นต้นแห่งพระนิพพานโดยอุปมาเป็นต้นได้พระนิพพานเป็นสภาวะที่มีอยู่จริง ไม่ได้มีอยู่
เพียงในอุดมคติของคนท่ัวไปเท่าน้ันบุคคลผู้ปฏิบัติชอบย่อมรู้ว่าพระนิพพานมีอยู่จริงแม้
บคุ คลธรรมดาท่ยี ังไม่บรรลุพระนิพพานก็เช่ือว่าพระนิพพานมีอยู่จริง เหมอื นไฟที่ดับไปแล้ว
ย่อมไม่รู้ว่าไฟอยู่ท่ีไหน เมื่อบุคคลนาไมส้ องอันมาสีกนั เขา้ ไฟก็ปรากฏข้นึ มาและพระนิพพาน
ไม่สามารถที่จะกาหนดได้ด้วยรูปพรรณ สัณฐาน อีกท้ังไม่สามารถที่จะอธิบายให้คนอ่ืนรู้ได้
นอกจากจะปฏิบัติเพื่อให้บรรลุจึงจะรู้ได้ด้วยตัวเอง พระนิพพานเป็นอสังขตธรรม คือ เป็น
สภาวะท่ีไม่ถกู ปจั จยั ปรงุ แต่งให้เกิดขึ้นและเป็น สภาวะท่ีอยเู่ หนือสังขตธรรม บคุ คลสามารถ
บรรลุไดด้ ้วยการปฏิบตั ิตามอรยิ มรรคซง่ึ เปน็ หนทางอนั ประเสรฐิ ทจ่ี ะนาไปส่พู ระนิพพาน

๒.๙ หลักธรรมหมวดปกิณณกธรรม
๑) นามปัญหา๓๒๑
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ชื่อของแต่ละบุคคล ถูกบัญญัติขึ้น เพื่อใช้เรียก
กันเท่านั้น ไม่มีตัวตนบุคคลท่ีจะค้นหาได้ในช่ือ
อธิบายว่า ช่อื ของแต่ละบุคคลที่มารดาบิดาต้ังให้ หรอื ท่ีใช้เรียกกัน เช่น นาคเสน
บา้ ง สรู เสนบา้ ง วีรเสนบ้าง สีหเสนบ้าง เป็นเพียงชอ่ื ที่บญั ญัตขิ ้ึนมาเพ่ือใช้เรยี กกัน จะค้นหา
ตวั บุคคลในชื่อน้ันไม่ได้บุคคลบางพวกอาจเขา้ ใจว่า ถ้าไม่มีตัวบุคคลท่ีจะค้นหาได้ ใครเป็นผู้
ถวายจตุปัจจัย ใครเป็นผู้บริโภคจตุปัจจยั ใครรักษาศีลเจริญภาวนาและกระทามรรคผลพระ
นิพพานให้แจ้ง ใครเป็นผู้ล่วงละเมิดเบญจศีล ใครทาอนันตริยกรรม ถ้าอย่างนั้น กุศลก็ไม่มี
อกุศลก็ไม่มีไม่มีผู้ทาเอง ไม่มีผู้ใช้ให้ทากรรมที่เป็นกุศลและอกุศล ไม่มีผลวิบากของกรรมท่ี

๓๒๑มลิ นิ ฺท. ๑/๒๕. เป็นปญั ญัตตปิ ัญหา.

๑๗๔

ทาดีและทาชั่ว บรรดาอาการ ๓๒ ประการ๓๒๒ชื่อของบุคคลที่ใช้เรียกกันไม่ใช่ส่ิงใดส่ิงหน่ึง
ไม่ใช่ขันธ์๕และไม่ใช่ส่ิงที่มีอยู่นอกเหนือขันธ์๕ แต่เป็นการอาศัยอาการ ๓๒ประการ อาศัย
ขนั ธ๕์ ประกอบกันเข้า จึงทาใหม้ ีช่อื ของบุคคลไว้ใช้เรียกกัน วา่ โดยปรมัตถแลว้ ไม่มตี ัวบุคคล
ที่จะค้นได้ในช่ือ เหมือนรถที่มีส่วนประกอบหลาย อย่าง แต่ละอย่างก็ไม่ใช่ตัวรถทั้งน้ัน แต่
เพราะอาศัยการประกอบกันเข้าของเพลา ล้อ เรือน คัน แอก สายขับ แส้เป็นต้น จึงทาให้
เรียกช่ือว่ารถสมดังคาที่วชิราภิกษุณีกลา่ วไว้ว่า “เม่ือขันธ์ทั้งหลายมีอยู่การสมมติวา่ สัตว์ก็มี
ได้เหมอื นคาวา่ รถมไี ด้เพราะประกอบสว่ นต่างเข้าด้วยกนั ”

๒) วัสสปญั หา๓๒๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พรรษาเกีย่ วเนื่องมาจากตวั บุคคล
อธิบายว่าคาว่า พรรษา เป็นการนับที่เน่ืองด้วยตัวบุคคล ไม่ได้นับแยกต่างหาก
จากตัวบุคคล เปรียบเหมือนเงาที่ปรากฏบนพ้นื ดินและในหม้อน้า อย่างไรกต็ าม แม้เงาไม่ใช่
ตัวบคุ คลแตเ่ งากอ็ าศยั ตัวบคุ คลจงึ ปรากฏข้ึนมาได้เพราะเป็นสิง่ ทเี่ นือ่ งมาจากตวั บคุ คล
๓) เถรัสสติกขปฏิภาณปัญหา๓๒๔
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง การเจรจากนั อย่างบัณฑิตและการเจรจากันอย่าง
พระราชา
อธิบายว่า เมื่อบัณฑิตเจรจากัน เขาย่อมผูกปัญหาข้ึนและแก้ปัญหากัน พูดข่ม
กัน พูดสรรเสริญกัน โต้ตอบปัญหากัน บัณฑิตจะไม่โกรธเพราะการเจรจากันอย่างน้ีส่วน
พระราชาเมื่อตรัสเร่ืองหนึ่งอยู่ ถ้ามีคนคัดค้านข้ึนมาก็จะถูกลงอาชญา พระราชาตรัสกัน
อยา่ งนี้

๓๒๒อาการ ๓๒ ประการคือ (๑) เกสา ผม (๒) โลมา ขน (๓) นขา เล็บ (๔) ทนฺตา ฟัน
(๕) ตโจ หนัง (๖) มส เนื้อ (๗) นหารู เอ็น (๘) อฏฺฐี กระดูก (๙) อฏฺฐิมิญฺช เย่ือในกระดูก (๑๐) วกฺก
ไต (๑๑) หทย หัวใจ (๑๒) ยกน ตับ (๑๓) กิโลมก พังผืด (๑๔) ปิหก ม้าม (๑๕) ปปฺผาส ปอด
(๑๖) อนฺตไส้ใหญ่ (๑๗) อนฺตคณุ ไส้น้อย (๑๘) อทุ ริย อาหารใหม่ (๑๙) กรีส อาหารเกา่ (๒๐) ปติ ฺต ดี
(๒๑) เสมฺห เสลด (๒๒) ปุพฺโพ หนอง (๒๓) โลหิต เลือด (๒๔) เสโท เหง่ือ (๒๕) เมโท มันข้น
(๒๖) อสฺสุ น้าตา(๒๗) วสา เปลวมัน (๒๘) เขโฬ น้าลาย (๒๙) สิงฺฆาณิกา น้ามูก (๓๐) ลสิกา ไขข้อ
(๓๑) มตุ ฺต มตู ร(๓๒) มตถฺ ลงุ ฺค มนั สมอง. (ขุ.ขุ. (ไทย) ๒๕/๓/๔, ขุ.ข.ุ (บาล)ี ๒๕/๓/๒)

๓๒๓มลิ นิ ทฺ . ๑/๔๑.
๓๒๔มลิ นิ ทฺ . ๑/๔๒.

๑๗๕

พระนาคเสนทูลว่า ถ้าพระองค์จกั ตรัสอย่างบัณฑติ จึงจะเจรจาด้วย ถ้าพระองค์
จกั ตรัสอยา่ งพระราชาก็จะไมเ่ จรจาดว้ ย

พระเจ้ามิลินท์ทรงมีพระประสงค์จะทดสอบปฏิภาณ จึงตรัสว่า ข้าพเจ้าจะถาม
ปัญหาได้หรอื ไม่

พระนาคเสนทลู ว่า พระองค์ตรัสถามเถดิ
เมื่อพระองค์ตรัสว่าข้าพเจ้าถามแล้ว ท่านก็ทูลตอบกลับทันทีว่า อาตมภาพก็
วสิ ัชนาเรียบรอ้ ยแล้ว
พระองค์จึงย้อนถามวา่ ท่านวสิ ชั นาวา่ อยา่ งไร
พระนาคเสนทูลว่า ก็พระองค์ตรัสถาม ว่าอย่างไร การตอบปัญหาอยา่ งน้ีแสดง
ให้เห็นถงึ ปฏภิ าณเฉียบแหลมของพระนาคเสน
๔) อนั ตกายปัญหา๓๒๕
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื ง ลมหายใจทเ่ี ข้าออกเป็นเพยี ง กายสังขารไมใ่ ชช่ ีวิต
อธิบายว่า ลมหายใจท่เี ข้าออกเป็นเพยี งกายสังขาร คือ เป็นสภาพบารงุ รา่ งกาย
ให้ ดารงอยูแ่ ต่ไม่ใชช่ ีวิต เพราะบุคคลท่ีมีลมออกมาแล้วไม่กลับเขา้ ไปอกี หรือเข้าไปแลว้ ไม่
กลับออกมาอีก ก็ยังสามารถดารงชีวิตอยู่ได้ เปรียบเหมือนคนเป่าสังข์เป่าขลุ่ย เป่าลม
ออกไปแลว้ แม้ไมก่ ลับเข้ามาอกี กไ็ ม่ทาให้เขาเสียชวี ิต
๕) อัสสุปัญหา๓๒๖
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง คนท่ีร้องไห้เพราะมารดาเสียชีวิตกับคนที่ ร้องไห้
เพราะซาบซง้ึ ในธรรม นา้ ตาของใครเป็นเภสชั
อธิบายว่า คนท่ีร้องไห้เพราะราคะ โทสะ โมหะ น้าตาอย่างนี้จัดเป็นน้าตาร้อน
ขนุ่ มัว ส่วนคนที่รอ้ งไหเ้ พราะเกิดปตี ิโสมนัส น้าตาอยา่ งนี้จดั เป็นน้าตาเย็น ไม่ขุ่นมัว น้าตา
ของคนท่ีร้องไห้เพราะเกดิ ปีติโสมนัสในธรรม จดั เปน็ เภสชั คอื เปน็ ยารกั ษาโรค
๖) อนาคตปญั หา๓๒๗

๓๒๕มลิ นิ ทฺ . ๑/๕๔.
๓๒๖มิลนิ ทฺ . ๑/๑๓๙.
๓๒๗มลิ ินฺท. ๑/๑๕๐.

๑๗๖

พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง บุคคลพยายามเพื่อละทุกข์ท่ีล่วงไปแล้ว ท่ียังมา
ไมถ่ ึง หรือท่เี กิดขน้ึ เฉพาะหนา้

อธิบายว่า บุคคลเพียรพยายามเพื่อละทุกข์ ซึ่งไม่ใช่ทุกข์ในอดีต อนาคต หรือ
ปัจจบุ ัน แตเ่ พียรพยายามละทกุ ข์เพื่อประโยชน์ว่า อยา่ งไรหนอ ทุกข์นีพ้ ึงดับไป และทุกข์
ใหม่จะไม่พึงเกิดข้ึน อยา่ งไรก็ตาม แม้ทุกข์ท่ียังมาไม่ถึงจะไม่มีเพ่ือให้ได้ละ แต่ก็ต้องเพียร
พยายามเพ่ือจะละทุกข์น้ันให้ได้เป็นการเตรียมตัวไว้ล่วงหน้า เมื่อความทุกข์เกิดขึ้นก็
สามารถดับทุกข์ได้ทันทีเปรียบเหมือนพระราชาทรงรับสั่งให้ขุดคูก่อกาแพง สร้างป้อม
ปราการ และพระองค์ก็ทรงฝึกหัดการทรงม้า ทรงช้าง ทรงธนู เพ่ือตระเตรยี มความพร้อม
ไวล้ ว่ งหนา้ เม่ือเกิดมขี า้ ศึกก็สามารถทาสงครามปราบพวกขา้ ศกึ ไดท้ นั ทเี ป็น

๗) มหาภมู จิ าลนปาตภุ าวปัญหา๓๒๘
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง เหตุที่ ทาให้แผน่ ดินไหวมี ๘ ประการ เพราะเหตุ
ไร เมือ่ พระเวสสันดรทรงกระทามหาทานแผ่นดนิ ใหญจ่ งึ ไหว
อธบิ ายว่า เหตุปัจจยั ที่ทาให้แผ่นดนิ ไหวมอี ยู่ แมเ้ ม่ือพระเวสสันดรทรงบรจิ มหา
ทานอยู่แผน่ ดินกไ็ หวถงึ ๗ คร้ัง การท่แี ผน่ ดินใหญ่ไหวไม่ได้เปน็ ไปในตลอดกาล เกิดในกาล
บางคราวเท่าน้ัน ซึ่งพ้นจากเหตุ๘ ประการ ดังกล่าวมาแล้ว จึงไม่นับเข้าในเหตุ๘ประการ
เหมือนเมฆท่ีทาให้ฝนตกลงมา มี๓ อย่าง คือ (๑) เมฆวัสสิกะ (๒) เมฆเหมันติกะ(๓) เมฆ
ปาวุสกะ ถ้ามีเมฆอื่นที่พ้นจากเมฆ ๓ อย่างน้ีทาให้ฝนตกลงมา ก็ไม่นับเข้ากับเมฆที่รู้กัน
โดยท่ัวไป จดั เปน็ อกาลเมฆ คือ เมฆนอกฤดกู าล
๗) อมราเทวปี ัญหา๓๒๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ถา้ หญงิ พงึ ไดโ้ อกาสหรือที่ลบั หรือว่าพึงได้สถานที่
ปิดบัง พึงกระทาความช่ัวแน่นอน แมไ้ ม่ได้ชายอ่ืนที่สมบูรณ์ ก็พึงกระทากับชายงอ่ ยเปลี้ย
เพราะเหตุไร นางอมราเทวภี รรยาของมโหสถบณั ฑิต อยู่บ้านคนเดียวปราศจากสามี นั่งอยู่
ในทีล่ ับ นับถอื สามเี สมอกับพระราชา ถูกชายอืน่ ประโลมดว้ ยทรัพย์๑,๐๐๐ กหาปณะ ก็ไม่
ยอมกระทาความชั่ว๓๓๐

๓๒๘มลิ ินทฺ . ๒/๒๐๕.
๓๒๙มลิ นิ ทฺ . ๒/๓๓๓.
๓๓๐ขุ.ชา.อ. ๙/๒๗๐.

๑๗๗

อธิบายว่า พระมโหสถบัณฑติ ๓๓๑นานางอมราเทวีไปฝากไวใ้ นบ้านคนอน่ื แม้นาง
จะอยู่ปราศจากสามีนั่งอยู่ในท่ีลับกับชายอืน่ กย็ ังปฏิบัติต่อสามใี ห้เสมอด้วยพระราชา ถูก
บุรุษอื่นประเล้าประโลมด้วยทรัพย์๑ ,๐๐๐ กหาปณะ กไ็ ม่ยอมกระทากรรมอันลามก นาง
อมราเทวีมองไม่เห็นโอกาสท่ีจะกระทาความช่ัวเพราะกลัวการติเตยี นในโลกนี้ เพราะกลัว
นรกในโลกหน้า เพราะคิดว่ากรรมชว่ั มีผลเผ็ดร้อน เพราะไม่ตอ้ งการละท้ิงมโหสถบัณฑิตผู้
เป็นที่รักและเพราะมีความเคารพต่อมโหสถบัณฑิตผู้เป็นสามีนางเป็นผปู้ ระพฤตินอบน้อม
ต่อพระธรรม เป็นผู้ติเตยี นความประพฤติเลวทราม ไมต่ อ้ งการทาลายกรรมทค่ี วรทาจึงมอง
ไม่เห็นโอกาสที่จะกระทาความช่ัว นางอมราเทวีใคร่ครวญแล้ว มองไม่เห็นแม้ท่ีลับในโลก
จึงไม่ยอมกระทาความช่ัว เพราะแม้นางจะได้ที่ลับจากมนุษย์ ก็ไม่ทาให้ได้ ท่ีลับจาก
อมนุษย์แม้ได้ท่ีลับจากอมนุษย์ก็ไม่ทาให้ได้ท่ีลับจากนักบวชผู้รู้จิตของคนอื่น แม้ได้ท่ีลับ
จากนักบวชผู้รู้จิตของคนอื่นก็ไม่ทาให้ได้ที่ลับจากเทวดาผู้รู้จิตของคนอื่น แม้ได้ที่ลับจาก
เทวดาผู้รู้จติ ของคนอ่นื ก็ไม่ทาให้ได้ทล่ี บั พอทีต่ นจะทาบาป แม้ได้ท่ีลับพอทต่ี นจะทาบาปก็
ไม่ทาให้ได้ที่ลับพอท่ีจะเสพอสัทธรรม อีกท้ังนางใคร่ครวญถึงชายท่ีมาเก้ียว ไม่มีชายใดท่ี
เสมอเหมือนกับสามีตน จึงไม่ยอมกระทาความชั่ว เพราะมโหสถบัณฑิตมีคุณธรรมหลาย
อยา่ งทีช่ ายอน่ื ไมม่ ี

๓๓๑มโหสถบัณฑิต คือ พระโพธิสัตวท์ ่ีเสวยพระชาตเิ ป็นมโหสถบัณฑิตเมื่อพระองค์ไดน้ าง
อมราเป็นภริยาแล้วก็กลบั มายงั พระนครเพ่ือไปเรือนของตนแต่พอถึงพระนครกก็ ลับนานางไปพานัก
อยู่ที่เรือ นขอ งคนเฝ้ าประตูก่อ นส่วน พระอ งค์ ก็กลับไปสู่เรือน ทรงมีพ ระประสงค์ จ ะทดสอบความ
จงรักภักดีของนางจึงจ้างวานชายอื่นให้ถือเงิน ๑,๐๐๐ กหาปณะเพ่ือไปประเล้าประโลมให้นางเกิด
ความยนิ ดี คนเหลา่ น้นั พยายามอยูถ่ งึ ๓คร้งั ก็ไม่สาเรจ็ พระโพธสิ ัตว์จงึ ให้คนนานางมายงั เรอื นนางอมรา
เหน็ พระโพธิสัตวผ์ ู้ปลอมตวั เปน็ ชายอ่ืนประดบั ตกแต่งด้วยเครื่องประดับมีค่ายนื อยู่บนกองสมบัติก็จา
ไม่ได้นางก็ไม่ได้มีใจหว่ันไหวในความสง่างามและทรพั ย์สมบตั ิแต่กลบั ตาหนิพระโพธิสตั ว์ผู้ปลอมตวั ว่า
ชาติก่อนท่านก็รู้จักทากุศลชาตินี้จึงทาให้ร่ารวยม่ังค่ังมีทรัพย์มากแต่ชาติน้ีกลับคิดจะทาอกุศล
ประพฤติผิดในภริยาของคนอื่นซ่ึงจะเป็นเหตุให้ไปเกิดในนรกเม่ือพระโพธิสัตวเ์ ห็นประจักษ์ในความ
เป็นหญงิ ม่นั คงไมโ่ ลเลจึงเลิกทดสอบและยอมรับนางอมราโดยดี. (ขุ.ชา. (ไทย) ๒๘/๕๙๐-๗๘๓/๒๗๔-
๓๐๔, ข.ุ ชา. (บาลี) ๒๘/๕๙๐-๗๘๓/๑๘๗-๒๐๖)

๑๗๘

๘) รุกขเจตนาเจตนปญั หา๓๓๒
พระนาคเสนตอบ คาถามเร่ือง ต้นไม้ไม่มีจิตใจ พูดไม่ได้เพราะเหตุไร
พระพุทธเจ้าจงึ ให้ภารทวาชพราหมณ์เจรจากับไม้สะคร้อ
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าตรัสวา่ พราหมณ์ทา่ นรู้อยู่ว่าไม้ใบต้นนี้ไม่มจี ิตใจ ไมไ่ ด้ยิน
เสียงและไม่มีความรู้สึก เพราะเหตุไร ท่านจึงไม่ลืม เพียรพยายามถามอยู่เป็นนิตย์ถึงการ
นอนเป็นสุข๓๓๓ และพระองค์ก็ตรัสอีกว่า ทันใดนั้น รุกขเทวดาผู้สิงสถิตอยู่ท่ีต้นสะคร้อ ได้
กล่าวอย่างน้ีว่า ถึงข้าพเจ้าก็มีคาท่ีจะพูด ภารทวาชะโปรดฟังคาของข้าพเจ้า๓๓๔คาว่า ต้น
สะคร้อเจรจากับภารทวาชพราหมณ์ท่านกล่าวโดยสมมติของโลก คือ กล่าวโดยโวหารของ
ชาวโลก เพราะต้นไมซ้ ึ่งไม่มีจิตใจย่อมเจรจากันไม่ไดแ้ ละคาว่า ต้นไม้ก็เปน็ ช่อื ของเทวดาผู้สิง
สถิตอยูใ่ นต้นไมส้ ่วนคาว่า ตน้ ไมเ้ จรจา เปน็ โลกบัญญัตเิ หมือนเกวียนบรรทุก ข้าวเปลือก คน
ย่อมเรียกว่าเกวียนข้าวเปลือก ซ่ึงเกวียนไม่ได้ทามาจากข้าวเปลือก แต่เขากล่าวโดยสมมติ
ของโลก แมพ้ ระพทุ ธเจ้ากท็ รงแสดงธรรมแกส่ ัตวต์ ามสมมตขิ องโลกเหมือนกัน
๘) สมณทุสสีลคหิ ทิ สุ สีลปัญหา๓๓๕
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง คฤหัสถ์ทุศีล และสมณะทุศีล ใครมีคุณวิเศษอยู่
อะไรเป็นเครื่องกระทาให้ตา่ งกัน คติและวิบากของบุคคลท้ังสองมีผลเสมอกัน หรอื มีอะไร
เป็นเคร่ืองกระทาให้ตา่ งกัน
อธิบายว่า สมณทุศีลยอ่ มมคี ุณวิเศษกวา่ คฤหสั ถท์ ศุ ลี ๑๐ ประการ คอื
(๑) มีความเคารพในพระพุทธเจา้
(๒) มคี วามเคารพในพระธรรม
(๓) มีความเคารพในพระสงฆ์
(๔) มคี วามเคารพในเพ่อื นพรหมจารี
(๕) มคี วามพยายามในอุทเทส และปรปิ จุ ฉา
(๖) มกี ารฟังมาก

๓๓๒มิลินฺท. ๕/๑๘๕. เปน็ รุกขอเจตนาภาวปญั หา.
๓๓๓ขุ.ชา. (ไทย) ๒๗/๒๕/๑๖๑, ขุ.ชา. (บาลี) ๒๗/๒๕/๙๙.
๓๓๔ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๒๐/๓๙๙, ขุ.ชา. (บาลี) ๒๗/๒๐/๒๗๓.
๓๓๕มลิ ินทฺ . ๑๐/๒๖๗.

๑๗๙

(๗) แมม้ ีศลี ขาด เป็นผ้ทู ุศลี เมอ่ื เขา้ ไปในบรษิ ัท ก็ย่อมรักษาอากัปกริ ยิ าไว้ได้
(๘) ยอ่ มรกั ษากายกรรมและวจีกรรม เพราะกลัวแตก่ ารตเิ ตยี น
(๙) มีจิตมุ่งตรงต่อความเพียรเป็น ทุสีลปัญหาย่อมเข้าถึงสมัญญาว่าเป็นภิกษุ
สมณะทุศีลเมื่อจะกระทาความชั่วย่อมประพฤติอย่างปดิ บัง เปรยี บเหมอื นสตรีทม่ี ีสามยี อ่ ม
ประพฤติชั่วช้าเฉพาะแต่ในที่ลับเท่าน้ัน สมณะทุศีลย่อมยังทักษิณาให้หมดจดได้ด้วยเหตุ
๑๐ ประการ คอื
(๑) เพราะความเปน็ ผทู้ รงไว้ซงึ่ เกราะอนั หาโทษมิได้
(๒) เพราะการทรงเพศคนศีรษะโลน้ ผมู้ สี มญั ญาว่าฤาษี(ภิกษุ)
(๓) เพราะความทีเ่ ข้าถึงความเป็นตัวแทนสงฆ์ที่เขานมิ นต์
(๔) เพราะความเปน็ ผถู้ ึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆว์ า่ เป็นสรณะ
(๕) เพราะความเป็นผ้อู าศยั อยู่ในบ้านพกั อาศัย คือ ความเพยี ร
(๖) เพราะความเปน็ ผู้แสวงหาทรัพย์ในพระชินศาสนา
(๗) เพราะการแสดงธรรมอนั ประเสรฐิ
(๘) เพราะความเปน็ ผู้มธี รรม คือประทีป ส่องคติเปน็ ท่ไี ปในเบอื้ งหนา้
(๙) เพราะความเปน็ ผู้มีทฏิ ฐิตรงโดยส่วนเดยี ววา่ พระพุทธเจ้าทรงเป็นผเู้ ลิศ
(๑๐) เพราะการสมาทานอุโบสถ
อย่างไรก็ตามแม้สมณะทุศีลจะเป็นผู้มีศีลวิบัติแต่ก็ทาทักษิณาของทายกให้หมด
จดวิเศษได้ผู้มีศีลได้ของมาโดยธรรม มีจิตเล่ือมใสดีเช่ือกรรมและผลแห่งกรรมอันโอฬาร ให้
ทาน ในชนผู้ทุศีล ทักษิณาของผู้น้ันชื่อว่า บริสุทธิ์ฝ่ายทายก๓๓๖เหมือนน้าแม้จะขุ่นก็ชาระ
ลา้ ง โคลนตม ละอองและเหงอ่ื ไคลไดแ้ มจ้ ะร้อนจนเดือดก็ดับไฟกองใหญ่ที่กาลังลกุ โพลงได้
๙) เอกจั จาเนกัจจานงั ธมั มาภิสมยปญั หา๓๓๗
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง บุคคลผู้ปฏิบัติชอบย่อมตรัสรู้ธรรมทุกคน หรือ
บางคนกต็ รัสรบู้ างคนก็ตรสั รู้ไม่ได้
อธิบายว่า บุคคลผู้ปฏิบัติชอบ บางคนก็ตรัสรู้ธรรมได้แต่บางคนก็ตรัสรู้ธรรม
ไมไ่ ด้ บคุ คลผู้ตรัสรธู้ รรมไม่ไดม้ อี ยู่๑๖ จาพวก คอื

๓๓๖ม.อ.ุ (ไทย) ๑๔/๓๘๒/๔๓๑, ม.อ.ุ (บาลี) ๑๔/๓๘๒/๓๒๖.
๓๓๗มลิ นิ ฺท. ๘/๓๑๙. เปน็ ธมั มาภสิ มยปัญหา.

๑๘๐

(๑) สัตว์เดรจั ฉาน
(๒) บุคคลผ้เู ขา้ ถึงเปรตวิสยั
(๓) พวกมจิ ฉาทิฏฐิ
(๔) คนหลอกลวง
(๕) คนฆ่ามารดา
(๖) คนฆ่าบดิ า
(๗) คนฆา่ พระอรหนั ต์
(๘) คนผทู้ าสงฆ์ให้แตกกัน
(๙) คนทาโลหิตพระพทุ ธเจ้าให้ห้อ
(๑๐) คนผู้เป็นไถยสงั วาส (ปลอมบวช)
(๑๑) คนผู้เขา้ รีตเดียรถยี ์
(๑๒) คนผปู้ ระทุษร้ายภิกษณุ ี
(๑๓) ภิกษผุ ูต้ อ้ งครกุ าบัติ๓๓๘ ๑๓ อยา่ ง อยา่ งใดอย่างหนง่ึ ยังไมอ่ อกจากอาบัติ
(๑๔) บัณเฑาะก์
(๑๕) อภุ โตพยัญชนก (คนสองเพศ)
(๑๖) เดก็ อ่อนอายตุ ่ากวา่ ๗ ขวบ
เหตุท่ีเด็กอ่อนอายุต่า กว่า ๗ ขวบ แม้เป็นผู้ปฏิบัติชอบ อีกทั้งไม่มีราคะ โทสะ
โมหะ มานะ มจิ ฉาทิฏฐิความยินรา้ ย กามวิตกและไม่คลุกคลีดว้ ยกเิ ลสเขาควรบรรลสุ ัจจะ
๔โดยการบรรลุคราวเดียว แต่ที่ไม่สามารถบรรลุธรรมได้เพราะจิตของเด็กไม่มีกาลัง มี
กาลังไม่ เพียงพอ อ่อนแอ เบาบางจงึ ไม่สามารถบรรลุอสังขตนิพพานธาตุซ่ึงเป็นของหนัก
ยงิ่ ใหญ่ ไพบูลยไ์ ดเ้ สมอื นพญาเขาสเิ นรซุ ึ่งเป็นของหนัก ย่ิงใหญ่ไพบลู ยบ์ ุรุษคนเดยี วไม่อาจ
ใช้ เร่ยี วแรงกาลงั และความเพียรท่ีมตี ามปกตขิ องตน ยกพญาเขาสิเนรุน้ันไดเ้ พราะบรุ ุษไม่
มกี าลังเพียงพอ และพญาเขาสเิ นรุก็มขี นาดใหญ่
๑๐) ปฐวสี ันธารกปัญหา๓๓๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ส่งิ ท่ีรองรบั แผน่ ดนิ ไว้

๓๓๘ครกุ าบัติหมายถึงอาบตั ิสังฆาทเิ สส.
๓๓๙มิลนิ ฺท. ๗/๗๔.

๑๘๑

อธบิ ายว่าแผ่นดินใหญต่ ้ังอยู่บนน้าน้าตั้งอยบู่ นลม ลมก็ตง้ั อยู่บนอากาศ เหมือน
บุคคลนาธัมกรกจุ่มลงในน้าแล้วยกขึ้น น้าน้ีถูกลมรองรับไว้ฉันใด แม้น้าทร่ี องรับแผ่นดินก็
เปน็ นา้ ทีล่ มรองรบั ไว้ฉันนน้ั

๑๑) ทีฆอฏั ฐิกปัญหา๓๔๐
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง โครงกระดูกท่ียาวถงึ ๑๐๐ โยชนม์ อี ยู่หรือไม่
อธิบายว่า สัตว์ที่กระดูกยาว ๑๐๐ โยชน์มีอยู่ เพราะในมหาสมุทรมีปลาท่ียาว
ถงึ ๕๐๐ โยชน์
๑๒) อทุ กสั ส สัตตชีวปญั หา๓๔๑
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง นา้ เย็นจะมีชีวิตกระมัง เมื่อจง้ั ขนึ้ บนไฟต้องเพลิง
ร้อนจงึ มเี สียงร้อง
อธิบายว่าเสียงดังมากมายหลายอย่าง เพราะกาลังแห่งความร้อนของไฟมีมาก
แม้พวกเดียรถีย์บางพวกคิดว่า น้ามีชีวิตจึงปฏิเสธน้าเย็น ต้มน้าให้ร้อนแล้วบริโภค น้าท่ี
กระทาให้วิปริตผิดแปลกไป แม้พวกเขาจะติเตียนพุทธสาวกว่า พวกสมณศากยบุตร
เบียดเบียนอนิ ทรีย์ชวี ะอยู่อย่างหนึ่ง น้าไม่มีชีวิต ชีวะก็ดีสัตว์ก็ดีไม่มีอยู่ในน้า เหมือนน้าที่
ขังอยู่ในสระ ลาธาร ทะเล บ่อน้า สระโบกขรณีถูกขจัดให้หมดสิ้นไปเพราะกาลังแห่งลม
และแดดท่รี ุนแรงแต่นา้ กไ็ ม่ไดส้ ง่ เสยี งดัง
๑๓) โลกนตั ถภิ าวปญั หา๓๔๒
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลและสิ่งของหลาย อย่างล้วนมีปรากฏอยใู่ น
โลก สิ่งท่ีไมม่ อี ยู่ในโลกมีหรือไม่
อธิบายวา่ สิง่ ท่ไี มม่ ใี นโลก มีอยู่๓ ประการ คือ

(๑) สง่ิ ท่ีมเี จตนากด็ ไี มม่ เี จตนาก็ดีซง่ึ ไม่แก่และไมต่ าย
(๒) ความที่สงั ขารเป็นของเท่ยี ง
(๓) สิ่งท่ีบคุ คลเขา้ ไปถือเอาวา่ เปน็ สตั ว์โดยปรมตั ถ์

๓๔๐มลิ ินฺท. ๑๐/๙๖.
๓๔๑มลิ ินฺท. ๑๑/๒๖๙.
๓๔๒มิลินฺท. ๔/๒๗๘.

๑๘๒

๑๔) ยกั ขมรณภาวปญั หา๓๔๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรอ่ื งยกั ษม์ ีอยใู่ นโลกหรอื ไม่
อธิบายว่า ยักษ์๓๔๔มีอยู่ในโลก เม่ือยักษ์ตายแล้ว ซากของยักษ์ก็ปรากฏอยู่ แม้
กลิ่นศพกฟ็ ุ้งขจรไป ซากของยกั ษ์ยอ่ มปรากฏเป็นซากแมลงบ้าง หนอนบา้ ง มดแดงบ้าง บุ้ง
บ้างงูบ้างแมงป่องบ้าง ตะขาบบ้าง นกบ้าง เน้ือบา้ ง
๑๕) สุริยตัปปภาวปัญหา๓๔๕
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระอาทิตย์ส่องแสง ร้อนแรงตลอดเวลา หรือ
บางเวลากส็ อ่ งแสงอ่อน ไมร่ ้อนแรง
อธิบายว่า พระอาทิตย์ส่องแสงร้อนแรงตลอดเวลา ไม่มีเวลาไหนที่พระอาทิตย์
จะส่องแสงอ่อน ไม่ร้อนแรง เหตุท่ีเป็นเช่นนั้น เพราะพระอาทิตย์มีโรค ๔ อย่าง คือ (๑)
หมอก (๒) น้าค้าง (๓) เมฆ (๔) ราหูถ้าพระอาทิตย์ถูกโรคอย่างใดอย่างหน่ึงเข้าครอบงา
จะทาให้ พระอาทิตย์สอ่ งแสงออ่ น ไมร่ ้อนแรง
๑๖) สุริยโรคภาวปัญหา๓๔๖
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ในเหมนั ตฤดูพระอาทิตย์ ส่องแสงแรงกล้าเพราะ
เหตไุ รในคมิ หันตฤดพู ระอาทิตยจ์ งึ ส่องแสงไมแ่ รงกลา้ อย่างน้นั
อธิบายว่าในคิมหันตฤดูธุลีขี้ฝุ่นไม่เข้าไปกระทบ ละอองถูกลมตีให้ฟุ้งขึ้นไปอยู่
บนท้องฟ้า อีกทั้งก้อนเมฆก็ปกคลุมหนาแน่นในอากาศ ลมก็พัดแรงเหลือประมาณ ทาให้
สงิ่ ปฏิกูล รวมกันเข้าก็ปิดบังรัศมีพระอาทิตย์ไว้จึงทาให้พระอาทิตย์ส่องแสงไม่แรงกล้าใน
คิมหันตฤดูส่วนในเหมันตฤดูแผ่นดินเบ้ืองล่างเย็น มหาเมฆตั้งขึ้นในเบ้ืองบน ธุลีขี้ฝุ่นน่ิง
สงบอยู่ อีกทั้งละอองที่ละเอียดก็เคล่ือนไปบนท้องฟ้า อากาศก็ปราศจากเมฆฝน ลมก็พัด
ไปอ่อน ๆ รัศมีพระอาทติ ย์ก็หมดจด เพราะสงิ่ เหล่าน้ีสงบระงับ เมื่อพระอาทิตย์พน้ จากสิ่ง
ขดั ข้อง แสงแดดยอ่ มแผดกลา้ ยงิ่ นัก จงึ ทาให้พระอาทิตยส์ อ่ งแสงแรงกล้าในเหมันตฤดู

๓๔๓มลิ ินทฺ . ๗/๒๘๒.
๓๔๔คาว่า ยักษ์ หมายถึง พวกภุมเทวดาซ่ึงนับเน่ืองในเทวดาช้ันจาตุมหาราชิกาเป็น
บริวารของท้าวจตุโลกบาล. (ไชยวัฒนก์ ปิลกาญจน์ (ผู้แปล), มิลนิ ทปัญหา เลม่ ๓, (กรงุ เทพมหานคร :
โรงพิมพ์ชวนพิมพ์, ๒๕๔๕), หน้า๑๐๓.
๓๔๕มลิ นิ ฺท. ๑๐/๒๘๕. เป็นสรู ิยตปนปญั หา.
๓๔๖มลิ นิ ฺท. ๙/๒๘๔. เปน็ กฐินตปนปญั หา.

๑๘๓

๑๗) สุปินปัญหา๓๔๗
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง ส่ิงท่ีเรยี กวา่ ความฝนั และบุคคล เช่นไรจึงจะฝันได้
อธบิ ายว่า นิมิตท่ีเข้าถึงคลองแห่งจิต ช่ือว่าความฝัน บุคคลที่สามารถจะนิมิตท่ี
เปน็ ความฝัน มอี ยู่๖ จาพวก คอื

(๑) คนทม่ี ธี าตุลมกาเริบ
(๒) คนทีม่ ดี กี าเรบิ
(๓) คนท่ีมีเสมหะกาเรบิ
(๔) คนผ้ทู ี่เทวดาเขา้ ไปสงั หรณ์
(๕) คนผู้เคยประพฤติสงิ่ น้นั มาก่อน
(๖) คนผ้มู บี รุ พนมิ ิตมาปรากฏ
บุคคลผู้ท่ีจะฝันต้องไม่หลับอยู่และไม่ตื่นอยู่ เพราะจติ ของคนท่ีต่ืนอยู่ย่อมโลเล
แจ้งชดั ไมเ่ ป็นจิตประจา นิมิตย่อมเข้าไม่ถึงคลองแห่งจิต แต่ความฝันจะอยู่ในช่วงระหวา่ ง
ที่ความโงกงว่ งยังไม่ตกถึงภวังคเ์ พราะเม่อื บุคคลมีความโงกง่วงเพมิ่ ขนึ้ จิตกย็ ่อมตกภวังค์จิต
ที่ตกภวังค์ย่อมไม่เป็นไปแม้ในร่างกายท่ีดารงอยู่จิตท่ีไม่เป็นไปก็ย่อมไม่รู้สุขและทุกข์เม่ือ
บุคคลไม่รู้สุขและทุกข์ก็จะไม่ฝันต่อเมื่อจิตเป็นไปเท่าน้ันจึงจะฝันได้เหมือนในที่มืดมิดไม่
สว่าง เงาย่อมไม่ปรากฏในกระจกเงาท่ีใสสะอาด ร่างกายเป็นดุจกระจกเงา ความโงกง่วง
เป็นดจุ ความมืด จิตเป็นดุจความสวา่ ง บุคคลท่ีมีจิตไม่เปน็ ไปในขณะที่ร่างกายยังเป็นอยู่ มี
อยู่ ๒ จาพวก คือ
(๑) คนที่มคี วามโงกงว่ งเพิ่มพนู จนจติ ตกถึงภวงั ค์
(๒) คนผเู้ ข้านโิ รธสมาบัติ
ความท่ีกายสยบซบเซา มีกาลังอ่อนแอ ไม่ควรแก่การงาน จัดเป็นเบื้องต้นแห่ง
ความโงกง่วง ภาวะท่ีหลับ ๆ ต่ืน ๆ ปะปนกัน เหมือนการนอนหลับของลิง จัดเป็น
ท่ามกลางแห่งความโงกงว่ ง การท่ีจติ ตกถึงภวังค์จัดเป็นท่ีสุดแห่งความโงกง่วง บุคคลผู้ตื่น
อยู่แต่ยังมีความโงกง่วงและอยู่ในท่ามกลางแห่งความโงกง่วง เหมือนลิงนอนหลับเท่าน้ัน
จึงจะฝันได้

๓๔๗มลิ นิ ทฺ . ๕/๓๐๘.

๑๘๔

๑๘) สมุททปญั หา๓๔๘
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ทะเล
อธิบายว่าน้ามีประมาณเทา่ ใด รสเค็มก็มปี ระมาณเทา่ นั้น หรือรสเค็มมีประมาณ
เทา่ ใด น้าก็มีประมาณเทา่ นนั้ เพราะเหตนุ ี้ จึงเรียกวา่ ทะเล ถ้ามีแต่น้าไมม่ ีรสเค็มดว้ ย หรือ
มีแต่รสเคม็ ไมม่ ีนา้ ด้วย กไ็ มเ่ รียกว่า ทะเล
๑๙) สมุททเอกรสปัญหา๓๔๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ทะเลมรี สเดยี ว
อธิบายว่า ทะเลมีรสเดียวคือ รสเค็ม เพราะมีน้าขังอยู่นาน จึงกลายสภาพเป็น
น้าเคม็
๒๐) สีวิราชจักขทุ านปญั หา๓๕๐
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง ธรรมดาบุคคลผู้เสียจักษุประสาทแล้วย่อมไม่ได้
ทพิ ยจักษุเพราะเหตไุ ร เมื่อพระเจ้าสีวิราชพระราชทานจักษุแก่ยาจกแลว้ ทิพยจักษุจึงเกิด
ขน้ึ มาใหม่ได้
อธิบายว่า ธรรมดาคนตาบอดมีจักษุประสาทพิการ ย่อมไม่มโี อกาสท่ีจะกลบั มา
มองเห็นได้เหมือนเดิม เหมือนคาท่ีกล่าวว่า เมื่อได้ถอนเหตุแล้ว เม่ือไม่มีเหตุ คือเมื่อไม่มี
วัตถุทิพยจักษุก็จะไม่เกิดขึ้น๓๕๑เพราะทิพยจักษุจะไม่มีในส่ิงท่ีไม่ใช่เหตุ คือในส่ิงที่ไม่ใช่
วัตถุส่วนพระเจ้าสีวิราช๓๕๒ทรงควักพระเนตรทั้ง ๒ ให้เป็นทานแก่ยาจก ทาให้จักษุ
ประสาทพิการต่อมาพระองค์ทรงได้ทิพยจักษุด้วยการทาสัจกิริยา สัจจะนั่นเองเป็นวัตถุ
เพื่อความเกิดข้ึนแห่งทิพยจักษุก็บุคคลผู้ทาสัจกิริยาสามารถที่จะบันดาลให้ฝนตกได้ ให้
ไฟดับไป กาจัดยาพิษ หรือย่อมกระทากิจต่าง ๆ แม้อย่างอ่ืนได้เหมือนนางคณิกาช่ือว่า

๓๔๘มลิ นิ ทฺ . ๑๒/๙๗.
๓๔๙มิลินทฺ . ๑๓/๙๗.
๓๕๐มิลินทฺ . ๕/๑๓๑.
๓๕๑ขุ.อิติ. (ไทย) ๒๕/๖๑/๔๑๗, ขุ.อิติ. (บาลี) ๒๕/๖๑/๒๗๘. อภิ.ก. (ไทย) ๓๗/๓๗๔/
๓๗๖, อภ.ิ ก.(บาลี) ๓๗/๓๗๔/๒๑๔.
๓๕๒พระเจ้าสีวิราช คือ พระโพธิสัตว์เสวยพระชาติเป็นพระเจ้าสีวีทรงบริจาคพระเนตร
เป็นทานต่อมากลับได้พระเนตรทิพยด์ ้วยอานาจสัจจะและทรงแนะนาใหป้ ระชาชนยนิ ดีในการบริจาค
ทาน. (ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๕๒-๘๒/๔๗๘-๔๘๓, ข.ุ ชา. (บาลี) ๒๗/๕๒-๘๒/๓๓๓-๓๓๖)

๑๘๕

พนิ ทุมดีกระทาสัจกริ ิยาเพ่ือให้แม่น้าคงคาไหลกลบั ทวนกระแส แม้นางจะเป็นหญิงคณิกา
ผู้เป็นนางโจรเป็นหญิงนักเลงไม่มีสติมีศีลขาด ไม่มียางอาย เที่ยวประเล้าประโลมคนมืด
บอด แตก่ ก็ ระทาสัจกิริยาว่าจะบารุงบาเรอบุรุษทุกคนผู้เป็นเจ้าของแห่งทรัพย์ให้เท่าเทยี ม
กนั เป็นอยา่ งดีไมว่ า่ จะเปน็ กษัตริย์พราหมณ์แพศยศ์ ทู รโดยไม่เลือกชนช้นั วรรณะ

๒๑) คัพภาวกั กันติปญั หา๓๕๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง พระสุวรรณสาม กับมัณฑยมาณพ ถือปฏิสนธิใน
พระครรภ์ได้อยา่ งไร
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า การตั้งครรภ์ย่อมมีได้เพราะการประชุมกันแห่ง
เหตุ ๓ อย่าง๓๕๔ คอื

(๑) มารดาบิดาอยรู่ ว่ มกัน
(๒) มารดามีระดู
(๓) มคี ันธพั พะมาปรากฏ
พระสุวรรณสามถือปฏิสนธิเพราะทุกุลดาบสใช้น้ิวหัวแม่มือข้างขวาลูบสะดือ
ของ นางปาริกาตาปสินีซึ่งกาลังมีระดู ส่วนมัณฑยมาณพถือปฏิสนธิ เพราะมาตังคฤาษีใช้
นิ้วหัวแม่มือข้างขวาลูบสะดือนางกัญญาพราหมณีในคราวมีระดูเหมือนกัน พระสุวรรณ
สามถือปฏิสนธิโดยท่ีบิดามารดาไม่ได้อยู่ร่วมกัน เพราะท่านทั้งสองเป็นผู้น้อมไปในวิเวก
แสวงหาประโยชน์สูงสุด ไม่ปรารถนาที่จะล่วงสัทธรรมท่ีได้บาเพ็ญมา ท้าวสักกะจึงวิงวอน
ให้ดาบสลูบสะดือของตาปสนิ ีในเวลาที่นางมีระดูการลูบสะดือจัดเปน็ ปัจจัยอย่างหน่ึงของ
การหย่ังลงสู่ครรภ์ คือ มารดาบิดาอยู่ร่วมกัน การอยู่ร่วมกันของมารดาและบิดา ไม่ใช่
เฉพาะแตก่ ารประพฤติละเมิดเท่านั้น แม้การหวั เราะ การพูดกัน การเพ่งจ้องกนั ก็ย่อมทา
ให้เกิดการรว่ มกันดว้ ยอาศยั ราคะเป็นเบื้องต้นแล้วลูบไล้เนื้อตัว เพราะการอยู่ร่วมกัน จึงมี
การก้าวลงสู่ครรภ์เหมือนไฟที่ลุกโพลงย่อมกาจัดความเย็นแห่งวัตถุที่เพียงแต่เข้าใกล้ท้ังท่ี
ยังไม่เขา้ ถึงตวั กส็ ตั วย์ ่อมกา้ วลงสู่ครรภด์ ้วยอานาจแหง่ เหตุ๔ อยา่ ง คอื
(๑) ด้วยอานาจแหง่ กรรม
(๒) ดว้ ยอานาจแหง่ กาเนดิ

๓๕๓มิลนิ ฺท. ๖/๑๓๕.
๓๕๔ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๐๘/๔๔๔, ม.มู. (บาลี) ๑๒/๔๐๘/๓๖๔.

๑๘๖

(๓) ด้วยอานาจแห่งตระกลู
(๔) ดว้ ยอานาจแห่งการร้องขอ
๒๒) ทูเรพรหมโลกปัญหา๓๕๕
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พรหมโลกอยู่ไกลจาก มนุษยโลกประมาณเทา่ ไร
อธิบายว่า พรหมโลกอยู่ไกลจากท่ีน้ีประมาณก้อนหินขนาดเท่าเรือนยอด ตก
จาก พรหมโลก ลอยเคว้งคว้างตลอดทั้งวันท้ังคืน สิ้นระยะทางประมาณ ๔๘,๐๐๐ โยชน์
จึงตกถึงพ้ืนดิน โดยใช้เวลาประมาณ ๔ เดือน ส่วนผู้มีฤทธิ์ที่บรรลุความชานาญทางจิต
อนั ตรธานจากที่น่กี ป็ รากฏตัวทพี่ รหมโลกทันทีชว่ั ระยะเวลาดุจบุรุษผู้มีกาลัง เหยียดแขนที่
คู้อยู่ออกไป หรือคู้แขนที่เหยียดออกอยู่เข้ามา เปรียบเหมือนบุคคลท่ีเกิดอยู่ไกลจากท่ีนี้
ประมาณ ๒๐๐ โยชน์แต่พอนึกถึงกิจบางอย่างที่ตนเองกระทาไว้ ณ ท่ีน้ัน ก็นึกได้ทันที
เหมอื นเดนิ ทางไปตลอดระยะทาง ๒๐๐ โยชน์อย่างรวดเร็ว
๒๓) พรหมโลกกัสมิรปญั หา๓๕๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลทตี่ ายในเมืองนี้แล้วไปเกดิ ในพรหมโลก กับ
บคุ คลที่ตายในเมืองนี้แล้วไปเกิดในแควน้ กสั มีระ ใครจะใช้เวลาไปเกิดนานกว่ากนั หรือเร็ว
กวา่ กนั
อธิบายวา่ บุคคลทัง้ สองย่อมไปเกิดพร้อมกัน ใช้เวลาเท่ากนั ไมช่ ้าไม่เร็ว ก่อนที่
จิตจะดับ จากโลกน้ีย่อมเก่ียวเกาะอารมณ์ที่ใดที่หนึ่ง เม่ือดับจากท่ีหนึ่งก็มุ่งตรงไปยังที่
หมายทันที เหมือนนกสองตวั บินไปในอากาศ ตัวหนึ่งบินมาจับที่ตน้ ไม้สูง ตัวหนึ่งบินมาจับ
ทต่ี ้นไมต้ า่ เงาของนกทง้ั สองตัวยอ่ มปรากฏท่ีพื้นดินพรอ้ มกนั สนิ้ เวลาเทา่ กัน
๒๔) อุตตรกุรปุ ัญหา๓๕๗
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลสามารถท่ีจะไปอุตตรกุรุทวีป พรหมโลก
หรอื ทวปี อ่ืน ดว้ ยรา่ งกายนไี้ ดห้ รอื ไม่
อธิบายว่า บุคคลสามารถท่ีจะไปสู่อุตตรกุรุทวีป พรหมโลก หรือทวีปอื่น ด้วย
กายอันประกอบด้วยมหาภูตรูป ๔ นี้เปรียบเหมือนบุคคลกระโดดจากพ้ืนดินสูงขึ้นไป

๓๕๕มิลินฺท. ๔/๙๒.
๓๕๖มิลนิ ฺท. ๕/๙๓. เป็นทวินนงั โลกปุ ปันนานังสมกภาวปัญหา.
๓๕๗มิลนิ ฺท. ๙/๙๖. เป็นอุตตรกุรกุ าทิคมนปัญหา.

๑๘๗

ประมาณ ๑ คืบ หรอื ๑ ศอก ด้วยตั้งใจว่า เราจักกระโดด ณ ที่น้ีร่างกายก็จะเบาไปทันที
พรอ้ มกับ ความคิดที่เกิดข้นึ ภิกษผุ ูม้ ีฤทธ์ิบรรลคุ วามชานาญในสมาธจิ ิต ยอ่ มยกกายเขา้ ไป
ไว้ในจติ แล้วไปสู่เวหาสดว้ ยอานาจแหง่ จติ

๒๕) อสั สาสปัสสาสปัญหา๓๕๘
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง บุคคลสามารถดับลมอัสสาสะและปัสสาสะได้
หรือไม่
อธิบายว่า บุคคลสามารถดับอัสสาสะและปัสสาสะได้เปรียบเหมือนคนที่นอน
กรน เม่อื ถกู จับพลิกร่างกาย เสยี งกรนกร็ ะงบั ไป คนที่ยงั มไิ ด้อบรมกาย มิไดอ้ บรมศีล มิได้
อบรมจิต มิได้อบรมปัญญา เพียงแต่พลิกร่างกาย เสียงกรนก็ยังระงับได้เม่ือเป็นอย่างนั้น
คนผู้ได้อบรมกาย ศีล จิต ปัญญา เข้าจตุตถฌานแล้ว ลมอัสสาสะและปัสสาสะย่อมดับได้
อย่างแนน่ อน
๒๖) สัทธมั มอันตรธานปัญหา๓๕๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง พระสทั ธรรมจัก ต้งั อย่นู านเพยี งไร
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าตรัสกะพระอานนท์ว่า พระสัทธรรมจะตั้งอยู่ได้เพียง
๕๐๐ปี เท่านั้น๓๖๐แต่พระองค์ตรัสกับสุภัททปริพาชกในคราวจะปรินิพพานว่า ก็ภิกษุพึง
เป็นอยู่โดยชอบ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์๓๖๑พุทธพจน์ท้ังสองมีอรรถและพยัญชนะ
ต่างกันพุทธพจน์หนึ่งเป็นการกาหนดอายุพระศาสนา อันหน่ึงเป็นการแสดงยกย่องการ

๓๕๘มิลินฺท. ๑๑/๙๗. เปน็ อสั สาสปสั สาสนิโรธปญั หา.
๓๕๙มิลินทฺ . ๗/๑๔๒.
๓๖๐วิ.จู. (ไทย) ๗/๔๐๓/๓๑๙, วิ.จู. (บาลี) ๗/๔๐๓/๒๓๖. องฺ.อฏฺฐก. (ไทย) ๒๓/๕๑/
๓๓๖, องฺ.อฏฐฺ ก. (บาลี) ๒๓/๕๑/๒๓๑. สัทธรรมจะตั้งอยู่ได้เพียง ๕๐๐๐ปี หมายความว่า ถ้าใหส้ ตรี
บวชโดยไม่ได้บัญญัติครุธรรมไว้ก่อนเวลาผ่านไป ๕๐๐ ปี ก็จะไม่มีพระอรหันต์ผู้บรรลุปฏิสัมภิทาแต่
เม่ือบัญญตั ิครุธรรมไว้ก่อนที่สตรีจะบวชในเวลาระยะ๑,๐๐๐ปีกย็ งั มีพระอรหนั ต์ผบู้ รรลุปฏิสัมภิทาอยู่
ผา่ นไปอีก๑,๐๐๐ปีก็ยังมีพระอรหันต์สุกขวิปัสสกอยู่ผา่ นไปอีก๑,๐๐๐ปีกย็ ังมีพระอนาคามีอย่ผู า่ นไป
อีก๑,๐๐๐ปีก็ยังมีพระสกทาคามีอยู่ผ่านไปอีก๑,๐๐๐ปีก็ยังมีพระโสดาบันอยู่สรุปว่าปฏิเวธสทั ธรรม
จะดารงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ปีแม้ปริยัติก็ดารงอยู่ได้ ๕,๐๐๐ปีเพราะปริยัติกับปฏิเวธเก้ือกูลกัน. (วิ.อ. ๓/
๔๐๓/๔๐๖-๔๐๗. องฺ.อฏฐฺ ก.อ. ๓/๕๑/๒๖๕)
๓๖๑ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๑๔/๑๖๒, ท.ี ม. (บาลี) ๑๐/๒๑๔/๑๓๓.

๑๘๘

ปฏิบัติคาทั้งสองแยกห่างกันและกัน เหมือนฟ้าแยกห่างจากแผ่นดิน นรกแยกห่างจาก
สวรรคก์ ุศลแยกหา่ งจากอกุศล สขุ แยกหา่ งจากทุกข์พระดารัสท่วี ่า พระสัทธรรมจะตง้ั อยู่ได้
เพียง ๕๐๐ ปีเท่าน้นั เปน็ คาที่พระองคเ์ ม่ือจะทรงแสดงความส้ินไปแห่งอายพุ ระศาสนา ก็
ทรงกาหนดถึงส่วนที่เหลืออยู่อย่างนี้ว่า ถ้าผู้หญิงไม่บวชเป็นภกิ ษุณี พระสัทธรรมจะตงั้ อยู่
ได้ถึง ๑,๐๐๐ ปีแต่บัดน้ีพระสัทธรรมจะต้ังอยู่ได้เพียง ๕๐๐ ปีเท่านั้น การที่พระองค์ตรัส
อย่างน้ีไม่ได้แสดงถึงการอันตรธานแห่งพระสัทธรรม หรือคัดค้านการตรัสรู้ธรรม แต่ทรง
ประกาศอายุพระศาสนาส่วนท่ีเสื่อมหายไปและทรงกาหนดอายุพระศาสนาส่วนท่ียัง
เหลืออยู่ เปรียบเหมือนบุรุษทาสิ่งของหายจึงถือเอาสิ่งของท่ียังเหลืออยไู่ ปแสดงแก่คนอ่ืน
วา่ ส่งิ ของของขา้ พเจ้าหายไปเท่าน้นี ี้คอื สว่ นทีเ่ หลืออยู่

ส่วนพระดารัสท่ีว่า ภิกษุพึงเป็นอยู่ โดยชอบ โลกก็จะไม่ว่างจากพระอรหันต์
เป็นคาแสดงถงึ ความประเสรฐิ ของพระพุทธศาสนาท่ีร่งุ เรอื งด้วยอาจารคณุ ศีลคุณ ข้อวัตร
ปฏิบัติทั้งหลาย ส่องสว่างไปในหมื่นโลกธาตุถ้าภิกษุผู้เป็นพุทธบุตรพึงประกอบด้วยองค์
แห่งภกิ ษุผ้มู ีความเพียร ๕ ประการ๓๖๒ไมป่ ระมาท พากเพียรเปน็ ประจาเกิดฉนั ทะศกึ ษาใน
ไตรสิกขา ทาจาริตตศีล ให้เต็มเป่ียมเสมอ ก็จะเป็นเหตุให้พระพุทธศาสนาพึงตั้งอยู่ได้
ตลอดกาลนาน และโลกก็จะไม่วา่ งจากพระอรหันต์

๓๖๒องคแ์ ห่งภิกษุผู้มคี วามเพียร๕ประการคือ (๑) เป็นผู้มีศรทั ธา (๒) เป็นผู้มอี าพาธน้อย
มีโรคเบาบาง (๓) เป็นผู้ไมโ่ อ้อวดไม่มมี ารยา (๔) เป็นผู้ปรารภความเพียร (๕) เป็นผู้มปี ัญญา. (องฺ.ปญฺ
จก. (ไทย) ๒๒/๕๓/ ๙๒, องฺ.ปญฺจก. (บาลี) ๒๒/๕๓/๖๐)

๑๘๙

๓. สรปุ

ในคัมภีร์มิลินทปัญหามีการจัดหลักธรรม ท่ีเป็นการถามและการตอบกันโดยใช้
ปฏิภาณไหวพริบ ซ่ึงพระนาคเสนอธิบายไว้อย่างเหมาะสม โดยอาศัยหลักธรรมในทาง
พระพุทธศาสนามาเป็นแนวทางในการตอบ เช่น เร่ืองชื่อ๓๖๓ของบุคคลเป็นส่ิงท่ีสมมติกัน
ข้ึนมาเพ่ือใช้สื่อสารกันให้เข้าใจตรงกัน หรือเร่ืองพรรษาก็เป็นส่ิงที่เน่ืองด้วยตัวบุคคล ไม่
สามารถแยกออกจากกันไดพ้ ระพุทธเจ้าทรงแสดงเรอ่ื งที่เกี่ยวกับธรรมชาติย่อมชี้ให้เห็นว่า
พระองค์ทรงเป็นสัพพัญญูผรู้ ู้แจ้งในสิ่งท้ังปวงอย่างแท้จริง หรือผู้รู้แจง้ โลก ซึ่งเกิดจากการ
ทีพ่ ระองค์ได้ทรงศึกษาในศิลปศาสตร์๑๘ แขนงพระองค์ตรสั รู้และเข้าใจ ในสรรพสิ่งตลอด
ทั้งสรรพสัตว์ในโลก พร้อมท้ังเทวโลก ก็เกิดจากบาเพ็ญพระบารมี ตลอดเวลา ๔ อสงไขย
ยงิ่ ด้วยแสนกัลป์พระนาคเสนโต้ตอบปัญหากับพระเจ้ามิลนิ ท์ทาให้พระองค์เกดิ ความเขา้ ใจ
ในทุกปัญหาท่ีพระองคต์ รัสถาม ท้งั ที่เก่ียวกับหลักธรรมและไม่เก่ียวกับหลกั ธรรม ซึ่งแสดง
ให้เห็นถึงอัจฉริยภาพของพระนาคเสน และประกาศความเป็นพุทธสาวกผู้ปราดเปร่ืองใน
ด้านการใช้ปฏิภาณไหวพริบตอบปัญหาโต้วาทะ เพ่ือปราบปรัปวาทลัทธิภายนอก
พระพุทธศาสนานับวา่ เป็นแบบอยา่ งทด่ี ีในการเผยแผ่พระพุทธศาสนาใหม้ ั่นคงสืบมาจนถึง
ปจั จุบัน

๓๖๓นาม ๔ ชนิด คือ (๑) อาวัตถิกนาม ช่ือที่ต้ังขึ้นเพื่อเป็นการแยกประเภทกันหรือท่ี
เรียกตามรุ่นคราวสมัย (๒) ลิงคิกนาม ช่ือท่ีต้ังตามเพศของบุคคลหรือตามเคร่ืองหมาย (๓) เนมิตติ
กนามช่ือที่ตงั้ ข้ึนเพื่อให้เป็นเคร่ืองหมายแห่งคุณทีต่ นได้บรรลุเช่นผไู้ ด้วิชชา๓ผู้ได้อภิญญา๖เป็นต้นซึ่ง
บิดามารดาไม่ได้เป็นคนตั้งให้มาแต่กาเนิด (๔) อธิจจสมุปปันนนาม ชื่อที่ตั้งข้ึนโดยมิได้มุ่งถึง
ความหมายแห่งคาแต่ตั้งขนึ้ ลอยๆตามโวหารชาวโลกเช่นผู้เจรญิ ผเู้ จรญิ ด้วยทรพั ย์หรือชื่ออนื่ ๆทีต่ ้งั ตาม
โวหารชาวโลกทัว่ ไป. (วสิ ุทฺธิ. ๑/๒๖๘)

๑๙๐

บรรณานกุ รม

๑. ภาษาไทย

ก. ข้อมลู ปฐมภูมิ
มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย .พระไตรปฎิ กภาษาไทยฉบบั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย

กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๓๙.

ข. ขอ้ มลู ทุติยภูมิ
(๑) หนงั สอื :
วัสสสตปัญหา. อ้างใน กรมศิลปากร. มิลินทปัญหา ไทยบาลี-. พิมพ์ครั้งท่ี ๙. ในงาน
พ ระราชท าน เพ ลิงศ พ พ ระพุ ท ธิวงศ มุนี บุ ญ ม า ที ป ธมฺ โม สุดสุข .
กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ัทประยูรวงศ์ พรน้ิ ตง้ิ จากดั . ๒๕๕๐.
ไชยวัฒนก์ ปิลกาญจน์ ผ้แู ปล. มิลินทปญั หา เล่ม ๓.กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์ชวนพมิ พ์.
๒๕๔๕.

๑๙๑

บทท่ี ๖
สารัตถะเชิงปรัชญาในคมั ภีรม์ ลิ นิ ทปญั หา

๑. ความนา

ปรัชญาเป็นศาสตร์ท่ีแสวงหาความจริง ปรัชญาจึงเป็นเสมือนเครื่องยึดเหน่ียว
ของมนุษย์ทั้งในแง่ของวธิ ีการในการสืบค้นความจริงและหลักสาหรับดาเนินชีวิต ปรัชญา
จึงมีอิทธิพลและมีบทบาทต่อมนุษย์แทบทุกด้าน อาทิ การเมือง การปกครอง การศึกษา
เศรษฐกจิ ขนบธรรมเนียม ประเพณแี ละวถิ ีชีวิต รวมทัง้ การสร้างสรรค์งานวรรณกรรมด้วย
ปรัชญาถือได้ว่ามีบทบาทในแง่การสร้างแนวคิดอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง แนวคิดเชิง
พุทธปรัชญาเพราะมักจะสื่อนัยยะถึงความหมายในเชิงปรัชญาเกี่ยวกับชีวิตความสัมพันธ์
กบั โลกและจกั รวาล ความคดิ เชงิ พุทธและการแสวงหาคณุ ค่าของชีวิตในแงม่ มุ ต่าง ๆ

ในคัมภีร์มิลนิ ทปัญหาน้ันถือได้วา่ มเี นอื้ หาทีส่ อดแทรกแนวความคิดเชิงปรัชญา
ไว้มากพอสมควร โดยเฉพาะอย่างย่ิงแนวความคิดเชิงพุทธปรัชญาเถรวาท ซ่ึงเป็นแนวคิด
ปรัชญาตะวันออก ที่มุ่งเน้นในการพัฒนาคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ เพื่อให้เข้าถึง
จดุ มงุ่ หมายสูงสุด

ในการศึกษาเชิงปรชั ญาน้นั มีกรอบแหง่ การศกึ ษาอยู่ แบ่งออกเปน็ ๓ สาขา คือ
๑ ) อ ภิ ป รั ช ญ า (Metaphysics) เป็ น ก ารศึ ก ษ าเกี่ ย วกั บ ค ว าม จ ริ ง
แบ่งเป็น ๒ แขนงย่อย คือ ๑) ภววิทยา (Ontology) ซ่ึงเป็นการค้นหาสิ่งท้ังหลายท่ี
เกย่ี วข้องกับธรรมชาติ หรือสิ่งที่มีอยู่ หรือเป็นอยู่ ในทัศนะทางพุทธปรชั ญามักจะศึกษาถึง
เรื่ อ ง ข อ ง ส ภ า พ ข อ ง จิ ต เจ ต สิ ก รู ป แ ล ะ นิ พ พ า น แ ล ะ ๒ ) จั ก ร ว า ล
วิทยา (Cosmology) เป็นปรัชญาที่เก่ียวข้องกับธรรมชาติและจุดเริ่มต้นของจักรวาล ใน
ทัศนะทางพทุ ธปรัชญานั้น จะเปน็ การศกึ ษาเกย่ี วกับเร่ือง ทศั นะเกยี่ วกบั โลกหน้า
๒) ญาณวทิ ยา (Epistemology) เป็นการศึกษาเกีย่ วกับธรรมชาติของความรู้
หรือการรับรู้สิ่งต่าง ๆ ของบุคคล พัฒนาความรู้เกี่ยวกับความจริงด้วยการคิด จากการ
สังเกตและจากตรรกวิทยา ด้วยการหาเหตุผลแบบนิรนัย (deductive) (อันเป็นการหา
ความจริงโดยอ้างว่าส่ิงหนึ่งเป็นความจริง เพราะสอดคล้องกบั ส่ิงทีเ่ ราทราบวา่ เปน็ จรงิ และ
ถือเป็นหลักอยู่แลว้ และแบบอุปนัย (inductive) (อันเป็นการหาความจรงิ โดยนาเอาความ

๑๙๒

จริงหรือประสบการณ์ย่อยหลาย ๆ ประสบการณ์ มาสรุปเป็นความจริงหลัก) นอกจากนี้
คนเรายงั พัฒนาความรู้โดยกระบวนการหยั่งรู้ (intuition) และการสมั ผัส (senses) อีกด้วย

๓) คุณวิทยา (Axiology) เป็นปรัชญาท่ีมุ่งค้นหาหรือวิเคราะห์คุณค่า หรือ
คา่ นิยมเกี่ยวกับความดี ความงาม มุ่งศกึ ษาแนวความคิดและความเช่ือของมนษุ ย์เกี่ยวกับ
สิ่งที่ดีงามและมีคุณค่าใน ๒ ด้าน คือ ด้านจริยศาสตร์ (Ethics) ซึ่งเป็นการค้นหา หรือ
วิเคราะห์เกี่ยวกับคุณธรรมและความประพฤติ ขณะท่ีสุนทรยี ศาสตร์ (Aesthetics) เป็นส่ิง
ทเ่ี กย่ี วขอ้ งกบั ความงาม

ในคัมภรี ์มลิ ินทปัญหานั้น มีเน้ือหาสาระเชงิ ปรัชญาในที่น้จี ะอธบิ ายตามแนวคิด
พุทธปรัชญาเถรวาทเป็นหลัก ประเด็นที่น่าสนใจเก่ียวกับความสัมพันธ์กับมุมมองทาง
ปรัชญา ดังจะได้ยกมาเป็นตัวอย่างแก่การศึกษา ใน ๓ ประเด็น คือ (๑) อภิปรัชญาใน
คัมภีร์มิลินทปัญหา (๒) ญาณวิทยาในคัมภีร์มิลินทปัญหา ๓) สุนทรียศาสตร์ในคัมภีร์มิลิ
นทปัญหาและ (๔) แนวคิดเชิงตรรกศาสตร์ในคัมภีรม์ ิลนิ ทปัญหา ดังจะได้กลา่ วตอ่ ไป

๒. สารตั ถะเชิงปรชั ญาในคมั ภรี ม์ ลิ ินทปญั หา

๒.๑ อภปิ รชั ญาในคมั ภรี ์มิลนิ ทปญั หา
อ ภิ ป รั ช ญ า (Metaphysics)ห รื อ ภ ว วิ ท ย า (Ontology) อ ภิ ป รั ช ญ า
(Metaphysics) เป็นวิชาท่ีว่าด้วยความแท้จริงของสรรพส่ิงเรียกอีกอย่างหน่ึงว่าภววิทยา
(Ontology) ซึ่งเป็นศาสตร์ที่ว่าด้วยความมีอยู่ความเป็นอยู่ของสรรพสิ่งโดยทั่วไปแล้วถือ
วา่ สิ่งท่ีมีอยู่ย่อมเป็นสิ่งแท้จริงและสิ่งแท้จริงย่อมมีอยู่ความมีอยู่กับความแท้จริงจึงเป็นอัน
เดียวกั น ดังนั้ น ทั้ง๒ คาจึงเป็ น อัน เดียวกัน ต่างกัน แต่ว่า Ontology ใช้มาก่อ น
Metaphysics ใชท้ หี ลงั
๒.๑.๑ ความหมายของอภิปรัชญา
อภิปรัชญา คือ สาขาปรัชญาที่ศึกษาหาความเป็นจริงของส่ิงทั้งหลายโดยใช้
เหตผุ ลเปน็ เครอื่ งมือหรือเรียกสน้ั ๆ วา่ เปน็ วิชาทีว่ ่าด้วยการคาดคะเนความจริงดว้ ยเหตผุ ล
ไม่ยอมเช่ืออะไรง่าย ๆ มีจุดมุ่งหมายโดยการใช้เหตุผลหาสิ่งเป็นจริง (reality) ในทาง
อภปิ รชั ญาได้แก่“สิ่งท่มี ีอยู่จริงเป็นอยู่จรงิ ซ่ึงอาจรู้ได้หรอื ไม่อาจรู้ไดท้ างประสาทสมั ผสั ”สิ่ง
ที่เป็นจริงน้ันมีลกั ษณะ ๒ อย่าง คือ มีอยู่จริงและเป็นอยู่จริง ฉะน้ันการจะถือว่าสิง่ ใดเป็น
สิ่งเป็นจริง ก็ต้องดูว่าสิ่งนั้นมีอยู่จริงและเป็นอยู่จริง หรือไม่การจะรู้ว่าสิ่งใด มีอยู่จริง

๑๙๓

หรือไม่มีอยู่จริงใหศ้ ึกษาจากความมีอยู่ (existence) ของสิ่งนั้น เช่น การศกึ ษาว่าพระเป็น
เจ้า (God) มีอยู่จริงหรือไม่ ถ้ามีอยู่จริง มีอยู่ท่ีไหน อยู่อย่างไรพวกเทวนิยม (theists) จะ
ตอบคาถามนีว้ ่า พระเป็นเจา้ มีอย่เู อง เป็นอย่เู อง คือ เกิดเอง ไม่มเี หตุปัจจยั ภายนอก จึงไม่
ถูกจากัดด้วยกาละ = นิรันดร ไม่ถูกจากัดด้วยเทศะ = แพร่อยู่ท่ัวไป ทั้งในโลกนี้ที่เรียก
ตามศัพท์ทาง วิชาการว่า อัพภันตรภาพ (immanent) และแพร่เลยโลกนี้ออกไปด้วยท่ี
เรยี กว่า อุตตรภาพ (transcendent) การจะรู้ว่าส่ิงใดเป็นอยู่จริงหรือไม่ให้ศึกษาจากความ
เป็นอยู่หรือความเป็น (essence) ของสิ่งน้ัน เช่น ศึกษาว่าพระเป็นเจ้าคือใคร มี
คณุ ลกั ษณะอย่างไร พวกเทวนิยมจะตอบคาถามนีว้ า่ พระเป็นเจ้า คือ ผู้สร้างโลกและสรรพ
สิง่ บางพวกพรรณนาว่ามีรูปร่างลักษณะเป็นบุคคล (personal) บางพวกพรรณนาว่าไม่มี
รูปร่างลักษณะเป็นบุคคล (impersonal) และพรรณนา คุณลักษณะว่าเป็นสัพพัญญู
(Omniscient) สรรพวิภู (Omnipresent) สรรพพลานุภาพ (omnipotent) เป็นต้น๓๖๔

กล่าวโดยสรุป อภิปรัชญา (Metaphysics) คือ ปรัชญาบริสุทธ์ิสาขาหน่ึงซ่ึง
กล่าวถึงปัญหาความเป็นจริงคืออะไร เป็นสาขาท่ีว่าด้วยความพยายามของมนุษย์ในอันที่
จะเข้าใจพ้ืนฐานความเป็นจริงดั้งเดิม (Fundamental nature of reality)๓๖๕ หรือความ
จริงสูงสุด (Ultimate reality) ของสรรพส่ิงทั้งที่เป็นรูปธรรม และนามธรรม ท้ังสิ่งที่
สามารถสัมผัสได้ และไมส่ ามารถสัมผสั ได้ เป็นการถามถงึ ความมจี รงิ ๆ ของสิง่ เหล่าน้ัน

๒.๑.๒ ขอบเขตและเน้อื หาของอภิปรัชญา
จากหลักฐานตาราวิชาการท่ีมีอยู่โดยทั่วไป มีความพยายามจะกาหนดขอบเขต
และเนื้อหาของอภิปรัชญา (Metaphysics) ทาให้เนื้อหาและขอบเขตของอภิปรัชญา มี
รายละเอียดแตกต่างกันไปบ้าง ตามทัศนะของนักวิชาการท่ีพยายามประมวลจากพ้ืน
ฐานความรขู้ องตน

๓๖๔อดิศักด์ิ ทองบุญ, วิเคราะห์อภิปรัชญาในพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร:
มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๘), หน้า ๑-๒.

๓๖๕“ Philip A. Pecorino," An Introduction to Philosophy: An Online
Textbook”,online:http://www.qcc.cuny.edu/socialsciences/ppecorino/intro_text/Chap
ter%204%20taphysics/OVERVIE W.htm (1 November, 2020).

๑๙๔

ในเนื้อหาตามงานเขียนของราม นาธ ชาร์มา (Ram Nath Sharma) ซึ่งจาแนก
ขอบเขต และเนอ้ื หาของอภปิ รชั ญาไว้ ๕ ประการ ดงั ต่อไปนี้๓๖๖

๑) อันตวิทยา (Cosmogony) เป็นสาขาอภิปรัชญาที่ศึกษาเก่ียวกับที่มาของ
โลก หรือจุดเริ่มต้นของโลกว่า โลกเกิดข้ึนมาได้อย่างไร โลกมีผู้สร้างหรือไม่ ถ้ามีโลกถูก
สร้างมาอย่างไร โลกถูกสรา้ งมาเพื่อจดุ ประสงคอ์ ะไร โลกมีท่ีส้ินสุดหรอื ไม่

๒) จักรวาลวิทยา (Cosmology) เป็นสาขาอภิปรัชญาที่ศึกษาเร่ืองจักรวาลโดย
ภาพรวม ความจริงเก่ียวกับจักรวาลในแง่มุมต่าง ๆ เช่น จักรวาลมีหน่ึง หรื อว่ามี
หลากหลาย

๓) ภววิทยา (Ontology) เป็นสาขาอภิปรัชญาท่ีศึกษาเรื่องความจริงสูงสุดใน
แงม่ ุมตา่ งๆ เช่น ความจริงเป็นอยา่ งไร มีหน่ึง หรือว่ามีหลากหลาย ถ้ามีหลากหลาย ความ
หลากหลาย เหล่าน้ันสมั พันธก์ นั หรอื ไมอ่ ยา่ งไร

๔) ปรัชญาแห่งตัวตน (Philosophy of Set) เป็นสาขาอภิปรัชญาท่ีศึกษาเรื่อง
ตัวตน อันได้แก่วิญญาณ หรืออัตตาของคนว่าตัวตนคืออะไร วิญญาณคืออะไร มี
ความสัมพันธ์อย่างไรกับร่างกาย เป็นอันเดียวกันหรือเป็นคนละส่ิงกับร่างกาย เป็นอิสระ
หรือต้องข้ึนอย่กู ับรา่ งกาย มีหน่งึ หรือวา่ มีหลากหลาย

๕) ปรภพวิทยา (Eschatology) เป็นสาขาอภิปรัชญาว่าด้วยเรื่องชีวิตหลังจาก
ความตายว่าตายแล้วเป็นอย่างไร เกิดอีกหรือว่าตายแล้วสูญ โลกหน้ามีจริงหรือไม่ ถ้ามีมี
อย่างไร ถา้ ไมม่ ี ไม่มอี ย่างไร

๒.๑.๓ ทฤษฎที างอภิปรชั ญา

ทฤษฎีพยายามท่ีจะค้นหาความจรงิ ทางอภิปรัชญาหรือเกี่ยวกับเอกภพเก่ยี วกับ
โลกเกี่ยวกับจิต วญิ ญาณหรือพระผ้เู ป็นเจา้ โดยสรปุ อภิปรชั ญาแบ่งเปน็ ๓ ทฤษฎี ดงั นี้

๑) ทฤษฎสี สารนิยม (Materialism)

๓๖๖ Ram Nath Sharma, Problems of Philosophy, (Meerut: Kehar Nath
Ram Nath & Co.,n.d.) p.17.

๑๙๕

คาว่า “Materialism” ที่ใช้ในทางอภิปรัชญาหมายถึง ทัศนะท่ีว่า สสาร หรือ
พลังงานเป็นเครื่องกาหนดลักษณะพ้ืนฐานของสิ่งหรือเหตุการณ์ท้ังหลายแต่สสารเท่าน้ัน
เป็นภาวะท่ีมีอยู่จริง นอกนั้นไม่เช่ือว่ามีอยู่จริงเป็นเพียงภาวะอนุพันธ์คือเกิดจากสสาร
นั่นเองหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นผลผลิตของสสารท่านจึงบัญญัติศัพท์ว่า “สสารนิยม” นัก
ปรัชญากลุม่ สสารนิยมหรือชาววัตถุนิยมถือว่าสสารเป็นสิ่งแท้จริงจิตเป็นเพียงปรากฏการณ์
ของสมองปรัชญาตะวันตกสมัยโบราณเป็นต้นตารับแห่งสสารนิยมโดยแท้เร่ิมต้นจากธาเลส
(Thales) ซ่ึงพยายามที่จะค้นหาแก่นแท้ของสรรพส่ิงอันเป็นบ่อเกิดของสรรพส่ิงเขาเช่ือว่า
น้าเป็นบ่อเกิดของสรรพส่ิงหรือเป็นปฐมธาตุของโลกและนักปรัชญาคนต่อ ๆมาก็พยายาม
คิดค้นหาเก่ียวกับปฐมธาตุของสรรพสิ่งเช่นเดียวกันทฤษฎีสสารนิยมหรือทฤษฎีวัตถุนิยมได้
ให้ เหตุ ผ ล ว่ าสส ารแ ล ะ ป ราก ฏ ก ารณ์ ข อ งส ส ารเท่ าน้ั น เป็ น ความ แ ท้ จ ริ งจิ ต เป็ น เพี ย ง
ปรากฏการณ์ของสสารสรรพส่ิงในโลกล้วนแต่เป็นสสารทฤษฎีสสารนิยมยุคแรก ๆ ได้พูดถึง
แนวความคิดทางธรรมชาติเรียกว่า ธรรมชาตินิยมเพราะสสารเป็นสิ่งแท้จริง ชี วิต คือ
พลังงานทางฟสิ กิ ส์ และเคมีทซ่ี ับซ้อนสว่ นจิต คอื ปรากฏการณท์ างสมอง๓๖๗

๒) ทฤษฎจี ิตนิยม (Idealism)
ทฤษฎีจิตนิยม (Idealism)เป็นกลุ่มที่ถือว่า จิตเท่านั้นเป็นความแท้จริง สสาร
เป็นเพียงปรากฏการณ์ของจิต ชาวจิตนิยมเชื่อว่าจิตเป็นอมตะ ไม่สูญสลาย ร่างกายของ
มนุษย์เป็นเพียงปรากฏการณ์ชั่วขณะหน่ึงของจิต เป็นทอ่ี าศยั ช่ัวคราวของจิต เมื่อรา่ งกาย
ดับลง จิตก็ยังคงอยู่ ไม่แตกดับไปตามร่างกาย พวกจิตนิยมพยายามที่จะหาคาตอบให้กับ
ตวั เองว่า จิต คืออะไร มีบ่อเกดิ มาจากอะไร มแี หลง่ ท่ีมาอยา่ งไร มธี รรมชาติเปน็ อยา่ งไร มี
จดุ มงุ่ หมายอยา่ งไร เป็นการศึกษาโลกในลักษณะทเี่ ป็นนามธรรม เพราะพวกเขาเชื่อว่า จิต
เทา่ น้ันที่เป็นความแท้จรงิ สสารเป็นแต่เพียงส่งิ ทป่ี รากฏ หรอื เป็นปรากฏการณ์ของจติ ไม่
สามารถดารงอยู่ชั่วกาลนาน หรอื สสารจะตอ้ งมีการแตกสลาย แต่จติ หรอื วิญญาณไมม่ ีการ
แตกสลายเป็นอมตะ ดังนั้น ลักษณะของจิตหรือวิญญาณ จึงมีลักษณะต่าง ๆ ตามทัศนะ
หรือแนวความคิดของนักปรัชญาแต่ละท่าน ชาวจิตนิยมบางท่านเช่ือว่า เม่ือร่างกาย

๓๖๗อดิศักดิ์ ทองบุญ , คู่มื ออภิ ป รัชญ า, พิ มพ์ คร้ังท่ี ๔ , กรุงเทพ มหาน คร :
ราชบณั ฑิตยสถาน, ๒๕๔๖),หนา้ ๑๒๐.

๑๙๖

แตกดับ จิตจะกลับไปสู่แหล่งด้ังเดิม กล่าวคอื จิตจะกลับเข้าไปสู่จิตสัมบรู ณ์ ซ่ึงเปน็ บ่อเกิด
ของสรรพส่ิง ในภาษาไทยจึงเรียกบุคคลเช่นนี้ว่า “นักจติ นิยม”๓๖๘

๓) ทฤษฎีธรรมชาตนิ ยิ ม (Naturalism)
ทฤษฎีธรรมชาตินิยม (Naturalism) เป็นระบบแนวความคิดที่อยู่ระหว่างจิต
นิยมและสสารนิยม ทฤษฎีน้ีบางทีเรียกว่า ปรัชญาธรรมชาตินิยม หรอื ปรัชญาสัจนิยม แต่
โดยเน้ือหาแล้วธรรมชาตินิยมใกล้เคียงกับสสารนิยมมาก จนนักปรัชญาบางท่านไม่แยก
ธรรมชาตินิยมออกจากสสารนิยมเนื่องจากว่าสสารนิยมเป็นกระบวนการที่เกิดมีเองตาม
ธรรมชาตินอกเหนือจากจิต เช่น ก้อนหิน ก้อนเมฆ หรือส่ิงมีชีวิตทั้งหลายล้วนเป็น
ตวั อย่างหรอื อาศัยธรรมชาติเกิดขึ้น แล้วดารงอยู่ในระบบ อวกาศ เวลา และกระบวนการ
ทกุ อยา่ งท่เี ป็นไปตามเหตุและผลของมันเอง
จากแนวคิดทฤษฎีทางอภิปรัชญาน้ี จะเห็นได้ชัดเจนว่า แนวความคิดทาง
พระพทุ ธศาสนาท่ีกล่าวถึงความจริงของสรรพส่ิงต่างๆ น้ันมีความสอดคลอดกนั กับแนวคิด
ธรรมชาตินยิ ม เพราะแนวคิดทางพระพทุ ธศาสนาน้นั ถอื ไดว้ ่าตัง้ อยู่บนหลกั การของปรัชญา
ธรรมชาตินยิ ม หรอื ปรชั ญาสัจนยิ ม
๔) แนวคิดทางอภิปรัชญาทีป่ รากฏในคมั ภรี ์มลิ ินทปัญหา
แนวคิดทางอภิปรัชญาในคัมภีร์มิลินทปัญหาน้ัน จากการถามตอบระหว่าง
พระยามิลินท์และพระนาคเสน มีกรอบประเด็นปัญหาว่าด้วยจิต เจตสิก รูป นิพพาน
จักรวาลวิทยา เพื่อเป็นการแสวงหาความจริงและเป็นกระบวนการนาเสนอความจริง โดย
พระเจ้ามิลินท์ได้นาหลักสัจธรรมขึ้นมาตั้งเป็นประเด็นถกเถียงเพ่ือแสวงหาความรู้มี
เป้าหมายเพื่อแสวงหาความจริงทางพระพุทธศาสนาจากฝ่ายพระนาคเสน เช่น แนวคิด
เรื่องเจตสิกเป็นหนึ่งในปรมัตถธรรม ๔ คือ เจตสิกธรรมซึ่งมีลักษณะเป็นปรมัตถธรรม มี
คณุ สมบัติเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง สัณฐานให้เห็นหรือสัมผัสได้ รู้ได้เฉพาะทางใจเท่าน้ัน
และเจตสกิ มีลักษณะเป็นสังขตธรรม คอื ธรรมทถี่ กู ปรงุ แต่งด้วยปัจจัยเจตสิกไปตามกฎของ
ไตรลักษณ์ ๓ ประการ คือ (๑) อนิจจลักษณะ คือสภาพไม่เที่ยงมีการเกิดดับ (๒) ทุก
ขลักษณะ คือทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้มีความผันแปรเปล่ียนไป และ (๓) อนัตตลักษณะ คือ
สภาพไม่ตามเหตุปัจจัยไม่สามารถบังคับบัญชาจิตได้และเจตสิกเป็นนามธรรมด้วยกันจึง

๓๖๘อดศิ ักดิ์ ทองบญุ , คู่มืออภปิ รัชญา, หนา้ ๑๑๗.

๑๙๗

ประกอบ เข้ากันได้สนิทโดยที่จิตเป็นธรรมชาติที่อารมณ์การประกอบเข้าด้วยกันของจิต

และเจตสกิ นีเ้ รียกวา่ “สัมปยุตตธรรม” คอื มกี ารผสมกลมกลืนกันจนยากที่จะแยกออกจาก

กนั ได้ไหนเปน็ จิตไหนเปน็ เจตสกิ

จะเห็นไดว้ ่าในมิลินทปัญหาจุดใหญห่ รือจดุ ประสงค์ของมิลินทปัญหา คือการพูด

ถึงความจริงอันได้แก่ จิต เจตสิก รูป และนิพพาน ในทางปรชั ญาความจรงิ เหล่าน้ีเรียกว่า

อภิปรชั ญา ดงั จะไดก้ ลา่ วถงึ ต่อไป

ตารางสารัตถะในคมั ภีร์มลิ ินทปญั หา

จิต เจตสกิ รูป นิพพาน

-ปฏิสนธคิ หณ -ปฏสิ นธคิ หณ -ปฏิสนธคิ หณ -ปฏสิ นธคิ หณ

ปญั หา ปญั หา ปญั หา ปญั หา

-นามรปู ปฏสิ นธิ -นามรูปปฏิสนธิ -นามรปู ปฏสิ นธิ -นามรูปปฏิสนธิ

คหณปัญหา คหณปญั หา คหณปญั หา คหณปัญหา

-ปนุ ปฏสิ นธคิ หณ -ปุนปฏสิ นธิคหณ -ปุนปฏสิ นธิคหณ -ปุนปฏสิ นธคิ หณ

ปัญหา ปญั หา ปญั หา ปญั หา

-โกฏยิ าปุรมิ ปัญหา -โกฏยิ าปรุ มิ ปัญหา -โกฏิยาปุริมปญั หา -โกฏยิ าปุริมปัญหา

-มัจจภุ ายนปัญหา -มัจจุภายนปัญหา -มจั จภุ ายนปัญหา -มัจจุภายนปัญหา

-อรหโตกายกิ -อรหโตกายิก -อรหโตกายกิ -อรหโตกายกิ

เจตสิก เจตสิก เจตสิก เจตสิก

-เวทนาปัญหา -เวทนาปัญหา -เวทนาปญั หา -เวทนาปญั หา

-โลกนัตถภิ าว -โลกนตั ถิภาว -โลกนตั ถิภาว -โลกนัตถิภาว

ปัญหา ปญั หา ปัญหา ปญั หา

-ฆฎกี ารปญั หา -ฆฎีการปัญหา -ฆฎกี ารปญั หา -ฆฎีการปญั หา

-กัมมชากัมมช -กัมมชากัมมช -กมั มชากัมมช -กัมมชากัมมช

ปัญหา ปญั หา ปญั หา ปัญหา

-อนุมานปัญหา -อนมุ านปัญหา -อนมุ านปัญหา -อนมุ านปัญหา

-ปัญญาวเิ สสปัญหา -ปัญญาวเิ สสปัญหา -ปัญญาวิเสสปญั หา -ปรนิ พิ พานปัญหา

-นามปญั หา -นามปญั หา -นามปัญหา -นพิ พานสขุ ภาว

-นามรูปปัญหา -นามรปู ปัญหา -นามรปู ปญั หา -ชานนปญั หา

๑๙๘

-เถรติกขปฏิภาณ -เถรติกขปฏภิ าณ -เถรติกขปฏภิ าณ -นพิ พานลภนปญั หา

-ธัมมสันตติปญั หา -ธัมมสันตตปิ ัญหา -ธัมมสันตติปญั หา -นพิ พานสัจฉิกรณ

ปัญหา

-ทีฆมัทธาปญั หา -ทีฆมัทธาปัญหา -ทฆี มัทธาปญั หา -นิพพานอทกุ ขมสิ ส

ภาวปัญหา

-ปุริมโกฏิปัญหา -ปุรมิ โกฏิปัญหา -ปุริมโกฏปิ ญั หา -นพิ พานปฏั ฐาน

ปัญหา

-สังขารชายนปญั หา -สงั ขารชายนปัญหา -สังขารชายนปัญหา -ปัจจายตนกัมม

นิพพตั ตปัญหา

-ปกตอิ คั คนิ ิรยคั คี -ปกตอิ ัคคินิรยคั คี -ปกติอคั คนิ ริ ยัคคี -ปรนิ พิ พุตเจตยิ

ปาฏหิ าริยปญั หา

-อุณหาการปญั หา -อุณหาการปญั หา -อณุ หาการปญั หา -นพิ พานปัญหา

-อัทธานปัญหา -อัทธานปัญหา -อัทธานปญั หา -นิโรธนพิ พานปญั หา

-อปุ ริมโกฎิปญั หา -อุปรมิ โกฎปิ ัญหา -อุปริมโกฎปิ ญั หา -พทุ ธานุตตรภาว

ปัญหา

-กมั มนานากรณ -กัมมนานากรณ -กัมมนานากรณ -พุทธานตุ ตรภาว

ปญั หา ปัญหา ปญั หา ชานนปญั หา

-อมิ ัมหากายาอัญญ -อิมมั หากายาอญั ญ -อมิ มั หากายาอญั ญ -นปั ปฏสิ นั ธคิ หณ

กายสังกมนปัญหา กายสงั กมนปัญหา กายสังกมนปัญหา ปญั หา

-กัมมผลอตั ถิภาว -กมั มผลอตั ถิภาว -กมั มผลอัตถภิ าว -ภวันตสังขารชายน

ปัญหา ปัญหา ปญั หา ปัญหา

-นจสงั คมตปิ ฏิสันธ -นจสังคมตปิ ฏิสนั ธ -นจสังคมติปฏิสันธ -พุทธอตั ถนิ ตั ถภิ าว

หนปญั หา หนปัญหา หนปญั หา ปัญหา

-สังสารปญั หา -สงั สารปญั หา -สงั สารปญั หา -พุทธนทิ ัสสนปญั หา

-อปุ ัชชนชานน -อปุ ชั ชนชานน -อุปชั ชนชานน -สพั พญั ญภู าว

ปญั หา ปญั หา ปัญหา ปญั หา

-ปรโลกคตนีลปีตาท -ปรโลกคตนลี ปีตาท -ปรโลกคตนีลปีตาท -สทั ธมั มอนั ตรธาน

วัณณคตปัญหา วณั ณคตปัญหา วัณณคตปัญหา ปญั หา

๑๙๙

-มาตุกุจฉปิ ฏสิ ันธิ -มาตกุ จุ ฉิปฏิสนั ธิ -มาตุกุจฉิปฏสิ ันธิ -ภควโตลาภันตราย
ปญั หา ปัญหา
ปญั หา ปญั หา
-ปาปปญุ ญพหตุ ร -ปาปปญุ ญพหตุ ร
ปญั หา ปญั หา -ปาปปุญญพหตุ ร -ตถาคตอเภสชั ช

-เทวทัตตปัพพาชิต -เทวทัตตปพั พาชติ ปัญหา ปรสิ ปญั หา
ปัญหา ปญั หา
-เทวทตั ตปพั พาชติ -ทวิปิณฑบาตมหัป
-คัพภาวัคกนั ติ -คัพภาวคั กนั ติ
ปญั หา ปัญหา ปัญหา ผลภาวปญั หา

-เสฏฐธมั มปญั หา -เสฏฐธมั มปญั หา -คัพภาวัคกันติ -ภควโตปาท

-ฐปนียาพยากรณ -ฐปนียาพยากรณ ปญั หา ปปี ปฏิกปตติ ปัญหา
ปัญหา ปัญหา
-เสฏฐธมั มปญั หา -ภควโตธัมมเทสนาย
-มัจจปุ าสามตุ ติก -มัจจุปาสามุตตกิ
ปญั หา ปญั หา อัปโปสุกตภาว

-โพธสิ ัตตธมั มตา -โพธสิ ัตตธมั มตา ปัญหา
ปัญหา ปัญหา
-ฐปนียาพยากรณ -พุทธอาจรยิ นาจริย
-ยกั ขมรณภาว -ยักขมรณภาว
ปญั หา ปญั หา ปัญหา ปญั หา

-เปตอทุ ทิสสผล -เปตอุททสิ สผล -มจั จปุ าสามตุ ตกิ -อัคคานัคสมณ
ปัญหา ปัญหา
ปัญหา ปัญหา
-กสุ ลากุสลพลวา -กุสลากุสลพลวา
พลวปญั หา พลวปญั หา -โพธสิ ัตตธัมมตา -สติสมั โมสปญั หา

-กสุ ลากสุ ลมหนั ตา -กสุ ลากุสลมหนั ตา ปัญหา
มหนั ตภาวปญั หา มหนั ตภาวปัญหา
-กาลากาลมรณ -กาลากาลมรณ -ยกั ขมรณภาว -ขีณาสวอภายน

ปัญหา ปญั หา ปัญหา ปัญหา
-ปฏิกัจเจววายาม -ปฏกิ จั เจววายาม
-เปตอทุ ทิสสผล -อทิ ธยิ ากัมมวิปาก

ปญั หา ปญั หา

-กสุ ลากุสลพลวา -ภควโตอปั ปาพาธ

พลวปญั หา ปัญหา

-กุสลากุสลมหนั ตา -อนุปปันนมคั คอุป

มหนั ตภาวปญั หา ปาทปัญหา

-กาลากาลมรณ -ทวินนงั

ปัญหา พุทธานงั โลเก

นุปปชั ชนปญั หา

๒๐๐

กรณปัญหา กรณปัญหา -ปฏิกัจเจววายาม -นพิ พานอตั ถิภาว

-สีลปตฏิ ฐานลักขณ -สีลปตฏิ ฐานลกั ขณ กรณปญั หา ปญั หา

ปัญหา ปญั หา -สลี ปตฏิ ฐานลักขณ -นิพพานสัจฉิกรณ

-รสปฏิสงั เวทีปญั หา -รสปฏสิ งั เวทปี ัญหา ปญั หา ปัญหา

-รสปฏสิ ังเวทีปญั หา -ปรนิ ิพพุตเจตยิ

-ชานอชานปัญหา -ชานอชานปญั หา ปาฏหิ ารยิ ปัญหา

-ธมั มทิฏฐปญั หา -ธมั มทฏิ ฐปัญหา -ชานอชานปญั หา -สมั ปตั ตกาลปัญหา

ทูรพรหมโลกปญั หา ทรู พรหมโลกปญั หา -ธมั มทฏิ ฐปญั หา -ปรินพิ พานปัญหา

ทรู พรหมโลกปัญหา นิพพานอตั ถิภาว

-สุปนิ ปญั หา -สุปนิ ปญั หา ปัญหา

-อรูปววตั ถภาวทกุ -อรูปววัตถภาวทุก -สปุ ินปัญหา

กรปัญหา กรปญั หา -ทฆี อัฏฐกิ ปัญหา

-สุขเวทนาปัญหา -สขุ เวทนาปัญหา

-เวทคปู ัญหา -เวทคูปัญหา -ปฐวีสันธารกปญั หา

-มัจจุปาสามตุ ตกิ -มัจจุปาสามุตติก -สมทุ ทปญั หา

ปญั หา ปญั หา -ปฐวีสันธารก

-ปญั ญายปติฏฐาน -ปญั ญายปตฏิ ฐาน ปัญหา

ปัญหา ปัญหา -สุริยตัปปาภาว

-วญิ ญาณาทนิ านตั ถ -วญิ ญาณาทนิ านตั ถ ปัญหา

ภาวปญั หา ภาวปัญหา -อทุ กสัตตชวี ปญั หา

-มนสิการปัญหา -มนสิการปญั หา

-เอกภาวคตปญั หา -เอกภาวคตปญั หา -สรุ ิยโรคภาวปัญหา

-วญิ าณาทนิ านตั ถ -วญิ าณาทนิ านัตถ -กายอปั ปยิ ปญั หา

ภาวปญั หา ภาวปญั หา -อนันตกายปญั หา

-สมาธิลักขณปญั หา -สมาธิลักขณปญั หา

-มหาภมู ิจาลนปาตุ

-สติลักขณปญั หา -สติลกั ขณปัญหา ภาวปญั หา

-ทวัตติงสมหาปรุ ิส


Click to View FlipBook Version