The words you are searching are inside this book. To get more targeted content, please make full-text search by clicking here.

มิลินทปัญหา-พระมหาณัฐพันธ์

Discover the best professional documents and content resources in AnyFlip Document Base.
Search

มิลินทปัญหา-พระมหาณัฐพันธ์

มิลินทปัญหา-พระมหาณัฐพันธ์

๕๑

พระยามลิ นิ ทต์ รัสเรอื่ งจะถามเมณฑกปัญหา
พระยามลิ นิ ทท์ รงแสดงที่ ๘ แห่งว่าไมค่ วรพูดความลึกลับ
พระยามิลินท์แสดงคน ๘ จาพวกท่ีว่าคดิ ความลึกลบั ไม่ได้
พระยามลิ นิ ทแ์ สดงคน ๙ จาพวกว่ามิอาจจาทรงอรรถลกึ ลับได้
พระยามิลนิ ทแ์ สดงเหตทุ ใ่ี หเ้ กิดปัญญา ๘ ประการ
พระยามิลนิ ทแ์ สดงคุณคนท่ีควรเปน็ อาจารย์ ๒๕ ประการ
พระนาคเสนแสดงคณุ แหง่ อุบาสก ๑๐ ประการ
ปฐมวรรค
๑) วัชฌาวัชฌปัญหา ถามวา่ คาเดยี รถีย์ว่าบูชาพระพุทธเจา้ ซ่งึ นพิ พานแล้ว
ทา่ นไม่ยินดี มโี ทษหาผลมไิ ด้จรงิ หรือ
๒) สัพพัญญูภาวปัญหา ถามว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูสารพัดรู้นั้นจริง
หรือ
๓) เทวทัตตปัพพชิตปัญหา ถามว่าพระพุทธเจ้ากอบด้วยพระกรุณาและ
เป็นสัพพญั ญู เหตุไรจึงบวชพระเทวทัตให้ทาสังฆเภท
๔) มหาภูมิจลนปาตุภาวปัญหา ถามว่าที่ตรัสไว้ว่าแผ่นดินไหวด้วยเหตุ ๘
ประการเทา่ นน้ั เม่อื พระเวสสันดรใหท้ าน เหตไุ รแผ่นดนิ จึงไหวอีกเล่า
๕) สวิรัญโญจักขุทานปัญหา ถามว่าท่ีตรัสไว้ว่าคนตามืดหาจักขุประสาท
มไิ ด้ ไม่ได้ทิพจักษุ เหตุไรเมื่อพระยาสีวิราชควักพระเนตรทั้ง ๒ ให้ทานแล้ว จึงกลับได้ทิพ
จักษเุ ลา่
๖) คัพภาวักกันติปัญหา ถามว่าท่ีตรัสไว้ว่าสัตว์ลงสู่ครรภ์ด้วยสันนิบาต ๓
ประการ เหตไุ รพระสามลงสูค่ รรภ์ ด้วยสันนบิ าต ๒ ประการเลา่
๗) สัทธัมมอันตรธานปัญหา ถามว่าท่ีตรัสว่าสัทธรรมจะต้ังอยู่ ๕,๐๐๐ ปี
เหตไุ รภายหลังตรสั ว่าผปู้ ฏบิ ตั มิ ีอยู่ตราบใด โลกไม่สญู จากพระอรหันตต์ ราบนั้น
๘) สัพพัญญุยังปัตตปัญหา ถามว่าพระโคดมเผาอกุศลเสร็จสิ้นแล้วหรือ
หรือวา่ ยังเหลืออยู่บ้างจึงได้สาเรจ็ พระโพธิญาณ
๙) ตถาคตัสสอตุ ตริกรณียาภาวปญั หา ถามวา่ คากอ่ นว่าพระพทุ ธเจ้าได้ ทา
กิจทั้งปวงเสร็จส้ินแล้วท่ีควงไม้โพธิ เหตุไรคาหลังว่าเมื่อตรัสรู้แล้วได้ เข้าฌานส้ินไตรมาส
๓ เดือนอกี เล่า

๕๒

๑๐) อิทธิปาทพลทัสสนปัญหา ถามว่าทรงแสดงกาลังอิทธิบาทว่าอาจให้
อายุยืนกวา่ กลั ปไ์ ด้ ทาไมจึงด่วนนิพพานเล่า

ทตุ ยิ วรรค
๑) ขุททานุขทุ ทกปัญหา ถามวา่ ทรงบัญญตั ิสกิ ขาบทไว้แล้ว เหตุไรอนุญาต

ใหเ้ ลกิ ถอนสิกขาบทเลก็ น้อยเสียเลา่
๒) ฐปนียพยากรณปญั หา ถามว่าท่ีทรงตรสั ว่า พระองค์สอนธรรมไม่ปดิ บัง

เหตไุ ร มาลงั ฆาพราหมณถี ามปญั หา จงึ ไม่วิสัชนาเล่า
๓) สตั ตานัง มัจจโุ นภายนปัญหา ถามว่าเดมิ ตรัสว่า สตั ว์ทั้งหลายย่อมกลัว

ตายท้ังสิ้น เหตไุ รภายหลังตรสั วา่ พระอรหนั ต์ไมก่ ลวั ตายเลา่
๔) มัจจุปาสามตุ ติกปัญหา ถามวา่ เดมิ ตรัสว่าสัตวท์ ั้งหลายจะหนซี ่อนทไี่ หน

กไ็ ม่พนั มจั จุราช เหตุไรภายหลังตรัสวา่ พนั ไดด้ ้วยอานาจ พระปรติ รเลา่
๕) ภควโต ลาภันตรายปัญหา ถามว่าคากล่าวว่า พระพุทธเจ้าควรได้ลาภ

ทั้งสิ้น เหตุไรเมือ่ ไปบิณฑบาตในบา้ นพราหมณ์จึงไม่ได้จงั ทันเลา่
๖) สัพเพสัตตานัง หิตจรณปัญหา ถามว่าพระตถาคตประพฤติแต่ส่ิงท่ีเป็น

ประโยชน์แกส่ ัตว์ท้ังปวง เหตไุ รจึงเทศนาอคั คขี นั โธปมสตู รให้ภิกษุ ๖๐ รูปรากโลหติ เลา่
๗) เสฏฐธัมมปัญหา ถามว่าตรัสว่าโลกุตรธรรมประเสริฐ เหตุไรให้คฤหัสถ์

โสดาบนั ไหวน้ บภกิ ษุสามเณรผู้เป็นปุถุชนเลา่
๘) ตถาคตัสสอเภชชปริสปัญหา ถามว่าท่านกล่าวว่าพระตถาคตมีบริษัท

ไม่แตก เหตุไรพระเทวทตั ทาลายภกิ ษุ ๕๐๐ ให้แตกไดเ้ ล่า
๙) อชานันตัสส ปาปกรณอปุญญปัญหา ถามวา่ เดิมกล่าวว่าคนไม่รู้ว่าบาป

ทาบาปได้บาปมาก เหตไุ รวนิ ัยจงึ วา่ ภิกษุทาโดยไมร่ ไู้ มต่ อ้ งอาบตั ิเลา่
๑๐) ภิกขุคณอเปกขภาวปัญหา ถามว่าเดิมตรัสว่าจะไม่ปกครองคณะสงฆ์

ภายหลังตรสั ว่าพระศรีอารยิ ์จะปกครองคณะเหมือน ตถาคต เพราะอะไร
ตติยวรรค
๑) วัตถุคุยหทัสสนปัญหา ถามว่าตรัสสอนให้สารวมกายวาจาใจ เหตุไรจึง

แสดงคุยหวัตถุใหเ้ สลพราหมณด์ ใู นที่ประชมุ เล่า
๒) ตถาคตัสสผรุสวาจานัตถีตปิ ัญหา ถามวา่ พระพุทธเจ้าเปน็ กายสุจรติ วจี

สุจริตไมก่ ล่าวคาหยาบ เหตุไรรุกรานพระสทุ นิ ด้วยคาว่า โมฆบุรุษเล่า

๕๓

๓) รุกขานัง เจตนาเจตนปัญหา ถามว่าพระองค์ตรัสว่า ต้นไม้ไม่มีเจตนา
เจรจาไม่ได้ เหตุไรจงึ ตรสั ใหภ้ ารทวาชพราหมณไ์ ปพูดกบั ไม้สะคร้อเลา่

๔) ทวินนังปิณฑบาตานังมหัปผลภาวปัญหา ถามว่า บิณฑบาตของนาย
จุนทก์ ับบณิ ฑบาตของนางสชุ าดา มผี ลมากเทา่ กนั เพราะเหตุอะไร

๕) พทุ ธปูชานุญญาตานญุ ญาตปัญหา ถามว่าหา้ มไม่ใหบ้ ูชาพระองค์ เหตุไร
ภายหลังจึงสอนให้อุตสาหะบชู าพระธาตุแทนพระองค์เลา่

๖) ภควโต ปาทปัปปฏิกปติตปัญหา ถามว่าเมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จไป ณ ท่ี
ใด แผ่นดินสูงก็ราบ ท่ลี ุ่มก็เต็มขึ้น เหตไุ รสะเก็ดศิลาจึงกระเด็นมากระทบพระบาท สะเก็ด
ศลิ ากเ็ ปน็ ชาติแผ่นดินเหมอื นกนั มิใชห่ รอื

๗) คาถาภิคีตโภชนาทานกถายกถนปัญหา ถามว่าพระพุทธเจ้าไม่บริโภค
อาหารที่เกิดแตก่ ล่าวคาถา เหตุไรจึงแสดงทานกถาให้เขาบริจาคทาน แก่สาวกเลา่

๘) ภควโต ธัมมเทสนายอัปโปสุกตภาวปัญหา ถามว่า เหตุไรพระผู้มีพระ
ภาคเมอื่ ไดต้ รสั ร้แู ล้วจึงมคี วามขวนขวายน้อยในท่จี ะเทศนาส่งั สอนสัตว์

๙) พุทธัสสะ อาจริยานาจริยปัญหา ถามว่าเดิมตถาคตไม่มีใครเป็นครู
อาจารย์สั่งสอน เหตุไรภายหลังตรัสว่าพระองค์ได้เล่าเรยี นในสานักอาฬารดาบสและอุทก
ดาบสเลา่

๑๐) อัคคาอัคคสมณปัญหา ถามว่าเดิมตรัสเรียกพระอริยะที่ส้ินอาสวะว่า
สมณะ ภายหลังเรียกนรชาติท่ีพร้อมเพรียงด้วยธรรม ๔ ประการว่า สมณะ เพราะเหตุ
อะไร

จตตุ ถวรรค
๑) วณั ณภณนปญั หา ถามว่าห้ามไม่ให้ยินดคี าสรรเสริญ เหตุไรจึงสรรเสริญ

ยกยอ่ งตัวเองเล่า
๒) อหิงสานิคคหปัญหา ถามว่าห้ามไมใ่ ห้เบียดเบียนสัตว์ให้เอ็นดสู ัตว์ เหตุ

ไรจงึ ขม่ ข่ีทรมานสัตวเ์ ล่า
๓) ภิกขุปณามนปัญหา ถามว่าพระพุทธเจ้าไม่มีโกรธ เหตุไรจึงขับไล่พระ

อคั รสาวกทัง้ สองเลา่
๔) พุทธสัพพัญูสยปฌามปัญหา ถามว่าพระสัพพัญญูเมื่อขับไลภ่ ิกษสุ งฆ์ทั้ง

อัครสาวกเสยี แล้ว เหตุไรศากยราชและทา้ วมหาพรหมจงึ ต้องอุปมาถวาย

๕๔

๕) คีหิปัพพชิตปฏิปันนวัณณนปัญหา ถามว่าคฤหัสถ์หรือบรรพชิตก็ดีถ้า
ปฏิบตั ิดี จะไดธ้ รรมวเิ ศษเหมือนกันหรอื ไม่

๖) อนิเกตานาลยกรณปญั หา ถามวา่ ห้ามไมใ่ ห้ภิกษยุ ึดถืออาลัยที่อยู่ เหตไุ ร
จงึ พรรณนาอานสิ งส์การสรา้ งวิหารถวายภิกษเุ ล่า

๗) อุติฏฐอุทรปัญหา ถามว่าตรัสสอนให้ภิกษุสารวมท้อง เหตุไรพระองค์
เองฉันจงั หนั เสมอขอบบาตรและยง่ิ กว่าเล่า

๘) ธัมมวินยปฏจิ ฉนปญั หา ถามว่าตรัสใหเ้ ปิดธรรมวนิ ัยออกสั่งสอน เหตไุ ร
จงึ ใหแ้ สดงปาติโมกขใ์ นอุโบสถอันเรน้ ลับเล่า

๙) มุสาวาทครลุ หุภาวปญั หา ถามว่าภิกษุตอ้ งสัมปชานมุสาวาทน้ัน ตรัสว่า
เป็นปาราชิก เหตุไรกลบั ว่าเปน็ แตล่ พุกาบตั ิเลา่

๑๐) ยาจโยคปัญหา ถามว่าพระองค์ตรัสว่าพระองค์ประเสริฐและยิ่ง เหตุ
ไรจงึ ยกพระพากลุ วา่ ประเสริฐยิง่ ฝ่ายอาพาธนอ้ ย พระองค์กอ็ าพาธนอ้ ย

ปัญจมวรรค
๑) อิทธิยา กัมมวิปากปัญหา ถามว่ายกพระโมคคัลลานะว่าเลิศฝ่ายมีฤทธ์ิ

เหตุไรไมส่ รู้ บโจร ยอมใหโ้ จรตจี นกระดูกแหลก
๒) โพธสิ ัตตสั สธมั มตาปัญหา ถามวา่ เหตุไรพระโพธสิ ัตวจ์ ึงไม่รอใหบ้ ารมีแก่

แลว้ จตุ ิลงมาตรัสเป็นพระพุทธเจา้ ทเี่ ดียว
๓) อัตตนปิ าตนปัญหา ถามวา่ หา้ มไมใ่ ห้ทาตนใหต้ กไปโดยธรรมแลว้ เหตุไร

แนะนาใหต้ ดั ความเกิดแก่เจ็บตาย
๔) เมตตานิสังสปัญหา ถามว่าอานิสงส์ที่เจริญเมตตา ห้ามอันตรายต่างๆ

เหตไุ รสุวรรณสามผู้เจรญิ เมตตาจึงถูกยิงเล่า
๕) กสุ ลากสุ ลการสิ ส สมาสมปัญหา ถามว่าผลแห่งกุศลและอกุศลเสมอกัน

หรอื ไม่
๖) อมราเทวีปัญหา ถามว่าท่ีตรัสว่าสตรีได้ขณะดีหรือกาบังดี คงทาเมถุน

จงได้ เหตไุ รนางอมราเทวอี ยูใ่ นทลี่ บั กับชาย จึงไมท่ าเมถุน
๗) ขีณาสวานังอภายนปัญหา ถามว่าพระขีณาสพไม่กลัวสะดุ้ง เหตุไรเม่ือ

พระเทวทตั ปล่อยชา้ งจึงพากนั หนีไปส้นิ

๕๕

๘) สันถวปัญหา ถามว่าห้ามสันถวะและไม่ให้ยินดีในท่ีอยู่ เหตุไรอนุญาต
ให้ทายกสร้างวหิ ารถวายภกิ ษุเปน็ พหสู ตู อย่เู ล่า

๙) ภควโต อัปปาพาธปัญหา ถามว่าที่ตรัสว่าพระองค์เลิศย่ิงไม่มีผู้เสมอ
เหตไุ รยกพระพากุลวา่ เลิศยิง่ ฝ่ายอาพาธน้อย พระองค์ก็อาพาธเหมอื นกนั

๑๐) อนปุ ปนั นมัคคัสส อุปปาทปัญหา ถามว่าคาก่อนตรสั วา่ ยังมรรคที่ยงั
ไมเ่ กดิ ใหเ้ กดิ ข้ึน เหตุไรคาหลังว่ามรรคนนั้ เป็นของเก่า

ฉัฏฐวรรค
๑) ปฏิปทาโทสปัญหา ถามว่าที่ตรัสว่าทุกรกิริยาเผ็ดร้อน หาได้ธรรมวิเศษ

ไม่ เหตุไรจงึ สอนให้ภิกษปุ ฏิบัตทิ างปฏิปทานัน้ อีกเล่า
๒) นปิ ปปัญจปญั หา ถามว่าสอนให้ยนิ ดีในนิปปปัญจธรรม นิปปปัญจธรรม

นัน้ คืออะไร
๓) คีหอรหัตตปัญหา ถามว่าคฤหัสถ์สาเร็จพระอรหัตนั้น ถ้าหาอุปัชฌาย์

อาจารย์ไม่ทัน บวชเองก็ดี ช้าไปกด็ ี จะนิพพานหรอื ไม่
๔) โลมกัสสปปัญหา ถามว่าท่ีตรัสว่าพระองค์สร้างบารมีไม่เบียดเบียนสัตว์

เหตไุ รเม่อื ชาตเิ ปน็ โลมกัสสปดาบส จึงให้ฆ่าสัตวเ์ ปน็ อนั มาก
๕) ฉัททันตโชติปาลอารัพภปัญหา ถามว่าเมื่อชาติที่พระพุทธองค์เป็น พระ

ยาฉัททันต์ เคารพผ้ากาสาวพัสตร์ คร้ันชาติเป็นโชติปาลมาณพ เหตุไรปริภาษพระ
พุทธกสั สปเลา่

๖) ฆฏิการปัญหา ถามว่าท่ีตรัสว่าเรือนช่างหม้อฝนตกไม่ร่ัว ฝ่ายกุฏิพระ
พุทธกสั สปะนัน้ ฝนตกรั่ว ถา้ เชน่ นนั้ วาสนาชา่ งหมอ้ มิดกี ว่าหรือ

๗) ภควโต ราชปัญหา ถามว่าเดิมตรัสว่าพระองค์เป็นพราหมณ์ ภายหลัง
ตรสั วา่ เป็นพระยาธรรมราช เพราะเหตุไร

๘) ทวนิ นังพุทธานังโลเกอุปปัชชนปัญหา ถามว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะ
ตรสั ในโลกพร้อมกนั ๒ องค์ที่เดียวไม่ได้ เพราะเหตไุ ร

๙) คีหิปัพพชิตสัมมาปฏิปัตติปัญหา ถามเร่ืองปฏิบัติชอบของคฤหัสถ์ที่ได้
มรรคผล

๑๐) หีนายาวัตตนปัญหา ถามว่าคนท่ีบวชแล้วสึกไม่รู้อะไร ไม่ควรให้บวช
ในศาสนามิใช่หรือ

๕๖

สตั ตมวรรค
๑) อรหโต กายิกเจตสิกเวทนาปัญหา ถามว่าเวทนาของพระอรหันต์ และ

ปุถุชน แปลกกนั อยา่ งไร
๒) กายิกเจตสิกเวทนาย นานากรณปัญหา ถามถงึ เวทนาทเ่ี กิดในกายและ

จติ ของพระอรหนั ต์
๓) อภิสมยันตรายกราปัญหา ถามว่าผูท้ ี่เป็นปาราชิกแล้วไม่รู้ตัว กลับบวช

อกี ตง้ั ใจปฏบิ ัติเพอ่ื มรรคผล จะสาเร็จหรอื ไม่
๔) สมณทุสสีลคีพิทุสสีลปัญหา ถามว่าสมณะทุศีลกับคฤหัสถ์ทุศีล ใครจะ

ดกี ว่ากนั
๕) อุทกัสสสัตตชีวปัญหา ถามว่าน้าเย็นจะมีชีวิตกระมัง เม่ือตั้งขึ้นบนไฟ

ตอ้ งเพลงิ รอ้ นจงึ มเี สียงรอ้ ง
๖) คีหิปัพพชิตานังขีณาสวปัญหา ถามว่าคฤหัสถ์ท่ีได้พระอรหัตต้องบวช

ถ้าไมบ่ วชตอ้ งนิพพาน ถา้ ฉะนั้นพระอรหัตมิรอ้ นหรอื
๗) โลเกนัตถิภาวปญั หา ถามว่าบรรดาสิ่งท้ังปวงย่อมมีในโลกสิ้น ก็สิง่ ไรเล่า

ท่ไี มม่ ีในโลก มีหรอื ไม่
๘) อรหันตสโมหปัญหา ถามวา่ พระอรหันต์มโี มหะหรอื ไม่ ถ้าไม่มี ท่านตอ้ ง

อาบตั บิ า้ งหรอื ไม่
๙) นิพพานสั สอัตถิภาวปญั หา ถามวา่ สิ่งไรในโลกน้ีท่ไี มเ่ กิดแต่กรรมแตฤ่ ดู

น้นั คอื อะไรบ้าง
๑๐) กัมมชั ชากัมมัชชปัญหา ถามว่าสง่ิ ไรท่ีเกิดแต่กรรมและเหตุและฤดู สิ่ง

ไรไม่เกดิ แต่กรรมและเหตแุ ละฤดู
อัฏฐมวรรค
๑) ยักขานังมรณภาวปัญหา ถามว่ายักษ์ในโลกนี้มีหรือไม่ ถ้ามี ทาไมจึงไม่

พบเหน็ ซากศพยกั ษ์ทีต่ ายบา้ งเลย
๒) สิกขาปทอปัญญาปนปัญหา ถามว่าพระพุทธเจ้าเป็นสัพพัญญูเหตุไรไม่

บัญญัติสกิ ขาบทให้หมดคราวเดียว
๓) สุริยโรคภาวปัญหา ถามว่าพระอาทิตย์แผดแสงกล้าทุกเมื่อหรือท่ีแผด

แสงกลา้ อ่อนบ้าง เพราะอะไร

๕๗

๔) สุริยตัปปภาวปัญหา ถามว่าในเหมันตฤดู เหตไุ รพระอาทิตย์จึงแผดแสง
กลา้ นัก

๕) เวสสันตรปัญหา ถามว่าพระเวสสันดรบริจาคบุตรและภรรยาเป็นทาน
นน้ั บตุ รและภรรยายนิ ดแี ละอนโุ มทนาดว้ ยหรือไม่

๖) ทุกกรการกิ ปญั หา ถามวา่ พระโพธิสตั ว์ทุกพระองค์ทาทุกรกิริยาเหมือน
พระโคดมโพธิสัตว์หรือ พระโคดมโพธิสัตว์ทาทุกรกิริยาเพื่ออะไร ถามว่าด่วนออกสู่
มหาภิเนษกรมณ์ต้องทาทุกรกิริยา ทาไมรอให้บารมีแก่แล้วออกตรัสเป็นพระที่เดียวไม่ได้
หรอื

๗) กุสลากุสลานัง พลวาพลวปัญหา ถามว่ากุศลกับอกุศลข้างไหนจะมี
กาลังมากกว่ากนั

๔) เปตานังอุททสิ สผลปัญหา ถามว่าทาทานแล้วอุทิศผลให้เปตชน เปตชน
นนั้ จะไดร้ ับผลหรือไม่

๙) กุสลากุสลานังมหนั ตามหันตภาวปัญหา ถามว่าทากุศลอุทศิ ให้ถึงได้ ถ้า
ทาอกุศลจะอุทิศผลให้จะถงึ หรือไม่

๑๐) สปุ ินปัญหา ถามเรอื่ งนอนฝันตา่ ง ๆ เพราะเหตุไร
นวมวรรค

๑) กาลากาลมรณปญั หา ถามวา่ ความตายท่เี ป็นกาลมรณะอย่างไร ทเี่ ปน็
อกาลมรณะนนั้ อย่างไร

๒) ปรินิพพุตานัง เจติเย ปาฏิหารปัญหา ถามว่าพระอรหันต์นิพพาน มี
ปาฏหิ ารยิ ท์ ่ีเชงิ ตะกอนทกุ ๆ องคห์ รือ

๓) เอกัจจาเนกัจจานังธัมมาภิสมยปัญหา ถามว่าสัตว์ท่ีปฏิบัติชอบตาม
ธรรม ไดส้ าเร็จธรรมาภิสมยั ทกุ พวกทุกเหล่าหรอื

๔) นิพพานัสสอทุกขมิสสภาวปัญหา ถามว่าพระนิพพานมีสุขอย่างเดียว
หรอื หรือเจือไปด้วยทุกข์บา้ ง

๕) นิพพานปัญหา ถามว่าจะแสดงพระนิพพานให้โลกทั้งปวงเห็น โดยรูป
และสณั ฐานเปน็ ตน้ ไดห้ รือไม่

๖) นิพพานสัจฉกิ รณปัญหา ถามว่าผู้ที่ปฏิบัติทานิพพานให้แจ้งแล้ว จะชื่อ
วา่ อย่างไร

๕๘

๗) นิพพานัสส ปัฏฐานปัญหา ถามว่าพระนิพพานนั้นตั้งอยู่ในท่ีใด จะเป็น
ทศิ ไหน ฐานะทจี่ ะไดน้ พิ พานมหี รอื ไม่

๘) อนุมานปัญหา ถามว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรอื ใครเป็นผู้ได้เห็นพระองค์
วิสัชนาโดยชักอุปมาอุปไมยเรื่องโลกิยนครกับธรรมนคร พิสดารมากมาย โดยอนุมาน
ปัญญาจัดธรรมเปรยี บด้วยร้านตลาด ต่าง ๆ ในธรรมนคร จัดธรรมเปรียบดว้ ยชาวเมืองใน
ธรรมนคร

จดั ธรรมเปรียบด้วยขา้ ราชการในธรรมนคร
จัดธรรมเปรียบด้วยชาวร้านตลาดขายของในธรรมนคร
เปรียบมหาสมุทรกบั ธรรมสมทุ ร
เปรยี บหิมวนั ตบรรพต กบั ธรรมบรรพต
เปรยี บจตุทปี่ กมหาเมฆ กับธรรมเมฆ
เปรยี บดว้ ยรอยเท้าคชสาร กับรอยพระพุทธบาท
เปรียบพระยาสีหราช กบั พระพุทธองค์
เปรียบมหาเมฆทีต่ กบนยอดเขา กับธรรมนที
๙) ธตุ งั คปญั หา พระยามิลินทป์ รารภจะถามเรื่องธดุ งคก์ ะพระนาคเสน
ถามวา่ คฤหัสถท์ ีป่ ฏิบตั ชิ อบทานพิ พานใหแ้ จง้ ไดห้ รอื ไม่
ถามว่าคฤหัสถ์ปฏิบัติดีก็ได้นิพพาน ถ้าฉะนั้น ธุดงค์ ๑๓ จะมี
ประโยชน์ อะไรแก่ภกิ ษเุ ลา่
ว่าด้วยธดุ งคคณุ ๒๘ ประการ
ว่าดว้ ยผู้สมาทานธุดงคแ์ ลว้ ย่อมไดค้ ุณานิสงส์ ๑๘ ประการ
วา่ ด้วยบคุ คลผู้จะรกั ษาธดุ งค์ ต้องประกอบดว้ ยคณุ ๑๐ ประการ
วา่ ด้วยช่ือธดุ งค์ ๑๓ ประการ
อปุ มากถาปัญหาบทมาติกาถามวา่ ภิกษุทีส่ าเร็จพระอรหัตกอบด้วยองคก์ ี่อย่าง
วสิ ชั นา ต้งั เปน็ บทมาติกาวา่ ให้ถอื ปฏิปทาเปรียบด้วยองค์ต่าง ๆ มีองค์แห่งลา มีเสียงพิลึก
เปน็ ต้น
โฆรสรวรรค ท่ี ๑
องค์แห่งลามเี สยี งพลิ กึ ประการ ๑
องค์แห่งไก่ ๕ ประการ

๕๙

องค์แห่งกระแต ประการ ๑
องค์แห่งแม่เสอื เหลือง ประการ ๑
องค์แหง่ พ่อเสือเหลือง ๒ ประการ
องคแ์ ห่งเต่า ๕ ประการ
องค์แหง่ ปี ประการ ๑
องค์แหง่ แหล่งปืน ประการ ๑
องค์แห่งกา ๒ ประการ
องคแ์ หง่ วานร ๒ ประการ
ลาวลตาวรรค ท่ี ๒
องคแ์ ห่งน้าเต้าประการ ๑
องคแ์ ห่งประทมุ ชาติ ๓ ประการ
องค์แห่งพชื ๒ ประการ
องคแ์ ห่งไมข้ านาง ประการ ๑
องคแ์ หง่ นาวา ๓ ประการ
องค์แหง่ นาวาอันตดิ โสโครก ๒ ประการ
องค์แหง่ เสากระโดง ประการ ๑
องค์แห่งลา้ ต้าตน้ หน ๓ ประการ
องค์แห่งคนทาการงาน ประการ ๑
องค์แหง่ มหาสมทุ ร ๕ ประการ
จกั กวตั ติวรรคท่ี ๓
องคแ์ ห่งปฐพี ๕ ประการ
องคแ์ หง่ น้า ๕ ประการ
องค์แห่งเพลิง ๕ ประการ
องค์แห่งวาโย ๕ ประการ
องคแ์ หง่ บรรพต ๕ ประการ
องคแ์ หง่ อากาศ ๕ ประการ
องคแ์ ห่งพระจันทร์ ๕ ประการ
องคแ์ หง่ พระอาทติ ย์ ๗ ประการ

๖๐

องค์แหง่ ท้าวสักกะ ๓ ประการ
องค์แหง่ พระเจ้าจกั รพรรดริ าช ๔ ประการ
กญุ ชรวรรค ท่ี ๔
องค์แหง่ ปลวก ประการ ๑
องค์แหง่ แมว ๒ ประการ
องค์แหง่ หนู ประการ ๑
องค์แห่งแมงปอ่ ง ประการ ๑
องค์แหง่ พังพอน ประการ ๑
องคแ์ หง่ สนุ ัขจิง้ จอก ๒ ประการ
องคแ์ ห่งมฤค ๓ ประการ
องคแ์ ห่งโค ๔ ประการ
องคแ์ หง่ สุกร ๒ ประการ
องค์แห่งช้าง ๕ ประการ
สหี วรรค ที่ ๕
องค์แห่งราชสีห์ ๗ ประการ
องค์แหง่ นกจากพราก ๓ ประการ
องคแ์ ห่งนกเงือก ๒ ประการ
องคแ์ หง่ นกกระจอก ประการ ๑
องคแ์ หง่ นกเคา้ ๒ ประการ
องค์แห่งตะขาบ ประการ ๑
องคแ์ ห่งคา้ งคาว ๒ ประการ
องคแ์ ห่งปลิง ประการ ๑
องคแ์ หง่ งู ๓ ประการ
องค์แหง่ งเู หลอื ม ประการ ๑
มักกฏกวรรค ท่ี ๖
องคแ์ หง่ แมงมุมทารงั ใกลท้ าง ประการ ๑
องคแ์ ห่งทารกอนั ดูดนมมารดา ประการ ๑
องค์แห่งเตา่ เหลอื ง ประการ ๑

๖๑

องคแ์ ห่งปา่ ชัฏ ๕ ประการ
องค์แหง่ รุกขชาติ ๒ ประการ
องค์แหง่ เมฆ ๕ ประการ
องค์แห่งมณีรัตนะ ๓ ประการ
องค์แห่งพรานเน้ือ ๔ ประการ
องคแ์ ห่งพรานเบด็ ๒ ประการ
องคแ์ ห่งชา่ งถากไม้ ๒ ประการ
กุมภวรรค ที่ ๗
องค์แห่งหมอ้ ประการ ๑
องคแ์ หง่ กาลกั น้า ๒ ประการ
องค์แห่งฉัตร ๓ ประการ
องค์แห่งนา ๓ ประการ
องคแ์ ห่งยาดับพษิ งู ๒ ประการ
องค์แหง่ โภชนะ ๓ ประการ
องคแ์ หง่ นายขมังธนู ๔ ประการ
อปรภาคกถา
เกิดอัศจรรย์ เมือ่ จบปุจฉาวิสชั นา
พระยามิลินท์ทรงเลือ่ มใส ทรงสรา้ งวิหารถวายพระนาคเสน แล้วมอบราช
สมบัตใิ ห้แก่พระราชโอรส
พระยามลิ นิ ท์เสดจ็ ออกทรงบรรพชา แลว้ สาเรจ็ พระอรหัต

๔. การใช้โวหารในคัมภรี ์มลิ ินทปญั หา

การใช้โวหารเป็นศิลปะของการใช้ภาษาอย่างหนึ่ง กล่าวคือเป็นวิธีการพูดหรือ
เขียนที่ผู้พูดหรือผู้เขียนพูดที่เขียนอย่างหนึ่ง แต่มีความหมายเป็นอย่างอ่ืนบ้าง ให้มี
ความหมายกากวมคลุมเครือหรือเข้มงวด หรือเข้มข้นต่างไปบ้าง เพ่ือจะขยายความให้
ชัดเจนขึ้นบ้าง หรือเพ่ือถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึก ความคิด ความฝัน หรือความรู้ให้

๖๒

กว้างขวางลึกซ้ึงมากขึ้น หรือน้อยลงตามภูมิปัญ ญ าของผู้อ่านหรือผู้ฟังบ้าง ๕๓
จงึ ได้จาแนกการใช้โวหารในคัมภีร์มิลินทปัญหาออกเปน็ ประเภทตา่ ง ๆ ดงั นี้

๑) บรรยายโวหาร

บรรยายโวหาร คือ โวหารที่ใช้เล่าเร่ือง บอกเล่า หรืออธิบายเรื่องราวต่างๆ
ตามลาดับเหตุการณ์ การเขียนบรรยายโวหารจะมุ่งความชัดเจน เขียนตรงไปตรงมา ไม่
เยิ่นเย้อกล่าวถึงแต่สาระสาคัญ ไม่จาเป็นต้องมีพลความหรือปลีกย่อยเสริม และสานวนท่ี
แต่งเป็นบรรยายโวหารน้ัน เช่น การเล่าเร่ืองราวต่าง ๆ ประวัติต่าง ๆ รายงานหรือ
จดหมายเหตุ อน่ึงบรรยายโวหารน้ี นอกจากจะแต่งเป็นคาร้อยแก้ว แล้วยังใช้แต่งเป็นคา
ประพนั ธ์ดว้ ยเหมือนกัน เน้ือเรือ่ งทจ่ี ะแตง่ ก็เป็นตามน้ี ๕๔

คมั ภรี ม์ ลิ นิ ทปญั หา มกี ารใช้บรรยายโวหารอยู่๒ลกั ษณะ ดังน้ี
(๑) บรรยายโวหารแนววตั ถุนทิ าน
วัตถุนิทานเป็นเร่ืองราวประเภทต่างๆผู้แต่งยกข้ึนมาประกอบเร่ืองที่กาลัง
กล่าวถึงเพ่อื จะไดอ้ ธบิ ายเร่ืองนน้ั ๆให้มีความแจ่มแจ้งมากยิ่งขน้ึ หรือเปน็ เรื่องท่ีกล่าวข้ึนมา
โดยตรงเพอื่ เป็นอทุ าหรณ์และเปน็ คตเิ ตอื นใจแก่ผ้อู ่านในการนาไปใชด้ าเนนิ ชวี ติ ประจาวัน
(๒) บรรยายโวหารแนวธรรมะ เป็นรูปแบบการสอื่ ภาษาบรรยายคุณลกั ษณะ
วิญญาณซ่ึงเก่ียวขอ้ งกบั อายตนะภายภายในและภายนอกในการเหน็ การฟัง การรู้ การดม
กลิ่น ลิ้มรสสัมผสั ว่าวิญาณมีลักษณะรู้การใช้บรรยายโวหารได้เลอื กสรรคาและเน้ือหาจาก
พระไตรปิฎกและอรรถกถาประกอบการอธิบายปัญหาเพื่อความชัดเจนและสัมพันธ์กับ
เน้อื หา จึงทาใหผ้ ู้อา่ นเขา้ ใจได้อย่างชัดเจนมากย่ิงขนึ้

๒) พรรณนาโวหาร

พรรณนาโวหาร หมายถึง การเขียนท่ีสอดแทรกอารมณ์ความรู้สึกของผู้แต่ง
เพื่อให้ผู้อ่านเกิดความซาบซ้ึง ประทับใจ มีความรู้สึกคล้อยตามผู้เขียน เช่น การแต่ง
พรรณนาอารมณ์ความรู้สึก รัก หลง โกรธ เกลียด เศร้า เป็นต้น โดยเลือกใช้ถ้อยคาท่ี

๕๓ ศ.ดร.วภิ า กงกะนันทน์, วรรณคดีศึกษา, หนา้ ๓๔.
๕๔ พระยาอุปกิตศิลปสาร, หลักภาษาไทย (กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,
๒๕๓๘), หน้า ๓๓๘.

๖๓

ไพเราะเห็นภาพพจน์ได้ง่าย เพื่อโน้มน้าวอารมณ์ผู้อ่านให้คล้อยตามและเกิ ดความ
ประทับใจ ๕๕

คมั ภีรม์ ลิ ินทปัญหามกี ารใชพ้ รรณนาโวหารอยู่๒ลกั ษณะ ดงั นี้
(๑) การพรรณนาโวหารสภาพบุคคล ได้พรรณนาพระรูปของพระพุทธเจ้าซึ่ง
ประกอบด้วยมหาปุริสลักขณะ ๓๒ ประการ พระฉวีวรรณดังทองผ่องใสงามไปด้วยอนุ
พยัญชนะน้อยใหญ่ ๘๐ ประการ มีพระรัศมีชัชวาลเปล่งออกข้างละวา พระพุทธองค์ทรง
โสภาคยง์ ามเป็นที่ยงิ่
(๒)การพรรณนาโวหารสภาพธรรมชาติ ได้พรรณนาถึงแม่น้าที่ไม่มีคนกล้า
ข้าม เพราะไม่รู้ความต้ืนลกึ แต่เมอ่ื มีคนหนึ่งข้ามไดค้ นต่อมาก็กล้าข้ามตามไดเ้ หมอื นกบั จิต
ของคนทเ่ี ห็นจิตของคนอื่นพน้ จากอาสวะแลว้ ก็อาจทาใหจ้ ิตของตนพน้ จากอาสวะ

๓) เทศนาโวหาร

เทศนาโวหาร หมายถงึ การแต่งอธบิ าย ชี้แจงให้ผู้อ่านเข้าใจ ช้ีให้เห็นประโยชน์
หรือโทษของเร่ืองที่กล่าวถึง เป็นการชักจูงให้ผู้อา่ นคลอ้ ยตาม เห็นดว้ ยหรอื เพื่อแนะนาส่ัง
สอน ปลุกใจหรือเพ่ือให้รู้ถึงข้อเท็จจริง การแต่งแบบเทศนาโวหารต้องอาศัยวิธีการชักจูง
โดยจะตอ้ งใช้โวหารอน่ื ๆ ประกอบ เชน่ บรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร สาธกโวหาร หรือ
อปุ มาโวหาร ๕๖

คัมภีรม์ ลิ นิ ทปัญหามีการใชเ้ ทศนาโวหารอยู่ ๓ ลักษณะ คือ
(๑)การจากัดความและการอธิบาย เช่น การจากัดความและอธิบาย
ความหมายของสังขารท้ัง ๓ คือ ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร และอเนญชาภิสังขาร
หรือผลที่ได้รับจากการประพฤติปฏิบัติตามสังขารทั้ง ๓ ที่แตกต่างกัน ช้ีให้เห็นความเป็น
จรงิ ของสงั ขารทง้ั ๓

๕๕ดวงใจ ไทยอุบญุ , ทักษะการเขยี นภาษาไทย, (กรงุ เทพฯ : สานักพิมพ์แหง่ จุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓), หน้า ๒๑๓.

๕๖ดวงใจ ไทยอบุ ุญ, ทกั ษะการเขยี นภาษาไทย, หน้า ๒๑๕.

๖๔

(๒) การอธิบายคุณและโทษ คัมภีร์มิลินทปัญหาได้ชี้แจงคุณและโทษของการ
ประพฤตติ ามหลกั ธรรมนี้ และให้คาจากัดความของหลักธรรมข้อนัน้ ๆ พรอ้ มทง้ั แนะนาสั่ง
สอนใหป้ ระพฤตธิ รรมอนั ไหนควรประพฤตแิ ละไมค่ วรประพฤติตาม

(๓) การแนะนาสั่งสอนคัมภีร์มิลินทปัญหาได้กล่าวถึงการสร้างถาวรวัตถุใน
พระพทุ ธศาสนาและผลการสรา้ งวิหารจะไดร้ ับผลานสิ งส์ทั้งแก่ตนเองและผู้อื่น

เทศนาโวหารได้ชี้ให้เห็นคุณและโทษอย่างมีเหตุผล มีการยก อุทาหรณ์
ประกอบการอธิบายในลักษณะอุปมาโวหารและสาธกโวหารเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจมากย่ิงขึ้น
ด้วยเหตผุ ลและสามารถนาไปใช้ในชวี ติ ประจาวนั ได้อย่างถกู ต้อง

๔) อุปมาโวหาร
อุปมาโวหารเป็นการเปรียบเทียบอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นคน สัตว์ สิ่งของ
รวมทั้งสิ่งที่เป็นนามธรรม จับต้องไม่ได้ การกล่าวเปรียบเทียบน้ีจะต้องเปรียบเทียบ
ระหว่างสิ่งท่ีตา่ งจาพวกกัน และมีคาเชื่อมหรือคากริยาบ่งบอกให้เห็นการเปรยี บเทียบนั้น
การเปรียบเทียบแบบน้ี จึงมักมีคาว่า ดุจ ประดุจ ฟ่าง เพียง เฟ้ียง ดัง ด่ัง เหมือน ปาน
เปรียบ กล เงือ่ น ฯลฯ ๕๗ ส่วนคาท่ียกมากล่าวเปรียบเทยี บ เรียกว่า “อปุ มา” เพราะคาว่า
อปุ มานี้ ถอื ว่าเป็นถ้อยคาทเ่ี กยี่ วกับการเปรียบเทียบหรือถ้อยคาที่ใช้ในการเปรยี บเทยี บให้
ผูฟ้ ังผู้อ่านเกิดความเข้าใจอย่างลกึ ซึ้งสาหรบั สงิ่ ทย่ี กมาเปรียบเทยี บเรยี กว่า “อปุ ไมย”
คัมภีรม์ ิลินทปัญหามกี ารใช้อุปมาโวหารอยู่ ๒ ลกั ษณะ ดงั น้ี
(๑) อุปมาโวหารที่มีตัวตั้งคืออุปไมยตัวเดียวแต่มีตัวเปรียบเทียบคืออุปมา
หลายอย่าง ปรากฏมีการใช้สังขารเป็นตัวตั้งคือเป็นส่ิงที่ยกข้ึนสาหรับเปรียบเทียบเรียกว่า
อปุ ไมยโดยมพี ืชคามและภูตคามและภาชนะเปน็ ตัวเทียบคอื สิ่งทน่ี ามาเปรียบเทียบเรียกว่า
อปุ มา
(๒) อุปมาโวหารเปรียบเทียบหลักธรรมกับรูปธรรม เช่น การเปรียบเทียบ
หลักธรรมคือคุณแห่งความกระทาซึ่งความเป็นผู้สะอาดกับภาระหนักเป็นนามธรรมสิ่งท่ี

๕๗ยุวพ าส์ ชัยศิลป์วัฒ น า, ความรู้เบื้ อ งต้น เกี่ ยวกับ วรรณ คดี, (กรุงเทพ ฯ :
มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๔๒), หน้า ๒๒.

๖๕

นามาเปรียบนั้นมุ่งชี้ให้เห็นความดีงามท่ีเมื่อบคุ คลกระทาแล้วโลกย่อมส่ันสะเทือนเหมือน
เป็นการยินดีสรรเสรญิ ในส่ิงทีบ่ ุคคลนน้ั กระทา

๕) สาธกโวหาร

สาธกโวหาร คือโวหารท่ีมุ่งให้ความชัดเจน โดยการยกตัวอย่างเพื่ออธิบายให้
แจ่มแจ้งหรือสนับสนุนความคิดเห็นที่เสนอให้หนักแน่น น่าเชื่อถือ สาธกโวหารจึงเป็น
โวหารเสริมบรรยายโวหาร พรรณนาโวหาร และเทศนาโวหาร อีกท้งั ทาให้เร่ืองที่กล่าวนั้น
มีความเด่นชัดขึ้นและข้อความท่ียกมากล่าวอ้างประกอบนั้นจะต้องมีความสอดคล้องกับ
เรอ่ื งทีก่ ลา่ วมีความผสมผสานกลมกลนื กนั

คมั ภรี ์มิลินทปัญหา มกี ารใช้สาธกโวหารอยู่ ๒ ลักษณะ ดงั นี้
๑) การยกวัตถุนิทานประกอบเร่ือง เช่น ตอนที่กล่าวถึงบุคคลที่งขู บนั้น หมอ
เป่ามนตพ์ ่นน้ากาจดั พิษใหห้ ายเปน็ คาแต่กอ่ น เล่ากันมาในโลกตราบเท่าทุกวนั นี้
๒) การแนะนาตักเตือน ผู้ทที่ าบาปย่อมได้รบั ความเดอื ดเนอ้ื รอ้ นใจวา่ ตนเองได้
ทาบาปลงไปย่อมมีจิตใจเศร้าหมองจิตใจเป็นทุกข์จิตไม่เป็นสมาธิยากต่อการบรรลุธรรม
สว่ นผู้ท่ีทาบุญย่อมไม่มีความเดือนเนื้อร้อนใจจิตใจเป็นสุขอ่ิมใจใจสงบเยือกเย็นเป็นสมาธิ
ยอ่ มนาไปสกู่ ารบรรลุธรรมได้เหมอื นชายคนหน่ึงทีถ่ ูกตดั มือและเทา้ ได้ทาบุญเพยี งแค่ถวาย
ดอกบัวใหก้ ับพระพทุ ธเจ้ากามือเดียวก็ไดร้ ับความสขุ เสวยผลบุญน้ไี ปนาน ๙๑ กปั

๕. สรุป

คัมภีร์มิลินทปัญหาฉบับแปลเป็นภาษาไทยเป็นสานวนธรรมวัตร รูปแบบการ
ประพันธ์ด้วยภาษาบาลีสลับกับภาษาไทยมีการใช้คาข้ึนต้นด้วยสานวนการแปลยกศัพท์
ด้วยภาษาบาลีและการสลับคาบาลี-ไทยระหว่างเนื้อหาเพื่อต้องการเน้นความหมายของ
ศัพท์ที่ยกขึ้นมาให้มีน้าหนักและย้าความหมายของคาให้มีความชัดเจนยิ่งขนึ้ การใชค้ าที่มี
ความหมายแนน่ อน กระชบั และชดั เจน

การใช้สานวนโวหารทั้งหลายมีความกลมกลืนกับเน้ือหาที่ประพันธ์ ส่วนอุปมา
โวหารมีความโดดเดน่ และชัดเจนมากมีท้งั อุปมาที่มตี ัวตงั้ ตัวเดยี วแต่มตี วั เปรียบเทียบหลาย

๖๖

ตัว และอุปมาโวหารท่ีมีการกล่าวเปรียบเทียบหลักธรรมกับรูปธรรม พร้อมยกเป็นสาธก
โวหารมีการยกนิทานประกอบเรื่องดว้ ย ซ่ึงถือว่าเป็นจุดเด่นทีน่ า่ สนใจในเนอ้ื หาคือได้ทาให้
ผู้อ่านเข้าใจเน้ือหาด้วยวิธีการนาเสนอท่ีเรียกว่าอุปไมยซึ่งทาให้ผู้อ่านได้อรรถรสและมี
จินตนาการคล้อยตาม มคี วามรู้สึกนกึ คิดไปตามผู้ประพนั ธ์

คมั ภีร์มลิ ินทปัญหาจึงเป็นผลงานสร้างสรรค์ท่ีสมบูรณ์แบบ ได้สะท้อนความนึก
คิดและจินตนาการผสมผสานกลมกลืนการถ่ายทอดแนวคิดที่มีพลังต่อชีวิตมนุษย์และมี
คุณค่าต่อการสร้างสรรค์สังคม และสามารถสังเคราะห์การใช้สานวนภาษาสื่อหลักธรรม
ในทางพระพุทธศาสนาให้เกิดความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้ชวนให้ครุ่นคิด ติดตาม และ
ปฏบิ ตั ติ น

๖๗

บรรณานกุ รม

๑. ภาษาไทย

ก. ข้อมลู ขัน้ ปฐมภมู ิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทย ฉบบั มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั .

กรุงเทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.

ข. ขอ้ มลู ขน้ั ทุตยิ ภูมิ
(๑) หนงั สือ:
กรมศิลปากร. มิลินทปัญหาฉบับพิสดาร (เล่มเดียวจบ). พิมพ์คร้ังท่ี๗. กรุงเทพมหานคร:
ม.ป.พ., ๒๕๑๖.
_________. มิลินทปัญหา. พิมพ์ครั้งท่ี ๙. กรุงเทพมหานคร : บริษัทประยูรวงศ์พร้ินติ้ง,
๒๕๕๐
สุภาพรรณ ณ บางช้าง. วิวัฒนาการวรรณคดีบาลีสายพระสุตตันตปิฎกท่ีแต่งในประเทศ
ไทย. กรงุ เทพฯ : โรงพิมพ์จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๓๓
วภิ า กงกะนนั ทน์. วรรณคดศี ึกษา. กรงุ เทพมหานคร : ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๓๓
พระยาอุปกิต ศิลปะสาร. หลักภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,
๒๕๓๘
ดวงใจ ไทยอุบุญ. ทักษะการเขียนภาษาไทย. กรุงเทพฯ : สานักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์
มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๔๓
ยุวพาส์ ชัยศิลป์วัฒ นา. ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับวรรณ คดี . กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ ๒๕๔๒
เนาวรัตน์ พันธ์วิไล. ธรรมธารา วารสารวิชาการทางพระพุทธศาสนา. ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๒
(ฉบบั รวมเลม่ ท่ี ๙) (กรกฎาคม – ธนั วาคม ๒๕๖๒) : ๑๗๘ – ๒๑๗.

๖๘

บทที่ ๔
การใหเ้ หตุผลในคมั ภีร์มิลินทปัญหา

๑. ความนา

มนุษย์เป็นสัตว์คิดเป็นและสามารถพัฒนาความคิดให้มีเหตุผล เหตุผลคือ
หลักฐานท่ีทาให้ เราเชื่อส่ิงใดสงิ่ หนึง่ ๕๘ การรู้จักให้เหตผุ ลหรือการใช้เหตุผลเป็นคุณสมบัติ
พิเศษของมนษุ ย์ที่ทาให้ มนุษย์มีความแตกตา่ งไปจากสัตว์อื่น การพัฒนาการใหเ้ หตุผลให้มี
กฎเกณฑ์ มีความเชอื่ มโยง ความคิดให้เข้ากบั ปรากฏการณ์ได้ดีกว่าการอ้างเหตผุ ลทว่ั ๆ ไป
เรียกว่า ตรรกะ ดังน้ัน ตรรกะจึง ได้รับการนิยามว่าเป็นวิธีการให้เหตุผลรวมไปถึง
กฏเกณฑก์ ารให้เหตุผลของมนษุ ย์

คมั ภีรม์ ิลนิ ทปัญหาถือได้วา่ เป็นศาสตร์แห่งการใหเ้ หตผุ ล ด้วยลกั ษณะรูปแบบท่ี
สาคัญ ไม่ว่าจะเป็นการ ถามตอบ อธิบาย อุปมาอุปไมย โดยมีวัตถุประสงค์ท่ีจะอธิบาย
ช้ีแจงพระพุทธศาสนาคือพระธรรมวินัยให้แจ่มแจ้งด้วยการยกเรื่องการโต้วาทะของ
นักปราชญท์ างศาสนา คอื พระเจา้ มิลนิ ทแ์ ละพระนาคเสนเถระขึ้น ซ่ึงบุคคลท้ังสองมีตัวตน
จริงทปี่ ระวัตศิ าสตร์รับรอง ณ อินเดียภาคเหนือ เป็นการบันทึกการปจุ ฉาและวิสัชนาของ
นักปราชญ์ทั้งสอง และมีการแต่งเพิ่มเติมในภายหลงั ซ่ึงเช่ือวา่ มีพระคันถรจนาจารย์ที่แต่ง
เพมิ่ เติมภายหลังคอื พระปิฎกจุฬาภัยและพระพุทธโฆษาจารยใ์ นพุทธศตวรรษที่ ๙ – ๑๐ มี
ลักษณะพิเศษหลายอย่างที่ทาให้ วรรณกรรมทางพระพุทธศาสนาเล่มน้ี มีความโดดเด่น
และเป็นทแี่ พรห่ ลายมาทุกยุคทกุ สมัย

๒. ความร้เู กยี่ วกับการใหเ้ หตผุ ล

ความหมายคาว่า ตรรกวิทยา เป็นการรวมกนั ๒ ศัพท์ คือ ตรรกะ+วิทยา มรี าก
ศัพท์มาจากศัพท์ภาษาสันสกฤตว่า “ตรฺก” ตรงกับภาษาบาลีว่า “ตกฺก” ทั้งสองศัพท์นี้มี
ความหมายว่า ตรึกตรอง คาว่า วิทยา เป็นภาษาสันสกฤตตรงกับภาษาบาลีว่า “วิชชา”

๕๘ชเอิ ญ ศ รี อิ ศ รางกู ล ณ อ ยุ ธย า และ วิ โรจน์ น าค ชาตรี , ก ารใซ้ เห ตุ ผ ล ,
(กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลยั รามคาแหง, ๒๕๔๒), หนา้ ๖.

๖๙

หมายถึงศาสตรห์ รือความรู้ คาว่า “Logic” เป็นภาษาอังกฤษมาจากรากศพั ท์ภาษากรีกว่า
“Logos” ซ่ึงแปลว่า คาพูด๕๙ ในทาง พระพุทธศาสนาใช้คาศัพท์เก่ียวกับแนวความคิดอยู่
หลายศัพท์ ได้แก่ ตกฺกเหตุ (ตรึกตรอง) ตกฺก (ความตรึก) วติ กฺก (นึกคิด) ความรู้ท่ีเกิดจาก
ความคิดหาเหตุผล คอื ตรรกะ อนมุ าน การตริตรอง ตามเหตผุ ล”๖๐

ในอีกแง่มุมหนึ่งคือ Logic ได้ถูกใช้ในความหมายว่า ตรรกศาสตร์ ซึ่งคาว่า
“ศาสตร์” คือสาขาแห่งความรู้ ในความหมายด่ังเดิม ศาสตร์ คือความรู้ที่ต้องมีการศึกษา
เลา่ เรียนจากครูอาจารย์ หรอื ตารา แต่เม่ือเรากล่าวถึงศาสตร์แล้ว มักจะถูกนาไปเทียบกับ
คาที่ว่า“Science” ใน ภาษาอังกฤษ ศาสตร์หรือวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการศึกษาโดยใช้
หลักการ การสังเกตจากการสัมผัส พิจารณา เพื่อให้เกิดการปักใจเชื่อจากความสัมพันธ์
ของเหตแุ ละผล ทาใหเ้ ช่อื ได้วา่ ส่ิงนนั้ มีแนวโนม้ เปน็ ความจริง (Truth)๖๑

ในด้านความหมายของตรรกวิทยามีนกั ปราชญ์หลายท่านได้ใหค้ านยิ ามไว้ มดี งั นี้
พระยาไพศาลศิลปศาสตร์ ได้ให้ความหมายว่า ตรรกวิทยาเป็น “วทิ ยาวา่ ด้วย
การคดิ ”๖๒
จานงค์ ทองประเสริฐ ได้นิยามความหมายว่า “ตรรกศาสตร์คือศาสตร์ว่าด้วย
กฎแห่งความคิด” (Science of Laws of Thought)”๖๓
ชเอิญศรี อิศรางกูล ณ อยุธยาและวิโรจน์ นาคชาตรี ให้ความหมายว่า
“ตรรกวทิ ยาคอื ศาสตร์เกี่ยวกับกฎของความคิด”๖๔

๕๙พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต), พุทธธรรม, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหา
จุฬาลงกรณราช วิทยาลยั , ๒๕๒๙), หนา้ ๗๔๔.

๖๐เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ ๕๔.
๖๑สมประสงค์ น่วมบุญลือ, หลักแห่งเหตุผล, (นครปฐม: โรงพมิ พ์มหาวิทยาลัยศิลปากร,
๒๕๔๖), หนา้ ๖
๖๒พระยาไพศาลศิลปะศาสตร์, ตรรกวิทยา, (กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลัยจฬุ าลงกรณ
ราชวทิ ยาลยั ๒๕๔๓), หนา้ ๑.
๖๓จานงค์ ทองประเสริฐ, ตรรกศาสตร์ : ศิลปะแห่งการนิยามความหมายและการใช้
เหตุผล (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๔๔), หนา้ ๔.
๖๔ชเอญิ ศรี อศิ รางกลู ณ อยธุ ยา และวิโรจน์ นาคชาตรี, การใช้เหตผุ ล, หน้า ๖.

๗๐

กีรติ บุญเจือ ให้ความหมายว่า “ตรรกวิทยา คือวิชาว่าด้วยกฏเกณฑ์การใช้
เหตุผล”๖๕

สมประสงค์ น่วมบุญลือ จึงได้ให้ข้อสรุปของความหมาย ของคาวา่ ตรรกวิทยา
ไว้ว่า ตรรกวิทยาคือ ความรู้เกี่ยวกับการพิจารณาไตร่ตรองหรือความรู้เกี่ยวกับ การอ้าง
เหตุผล๖๖

สรุป ตรรกศาสตร์ คือ ศาสตร์ท่ีว่าด้วยความคิดบนฐานของเหตุและผล โดย
หลักการเพ่ือนาไปสู่การพิจารณาไตร่ตรองส่ิงต่างๆอย่างมีเหตุมีผลด้วยวิธีการทางตรรกะ
น้นั เป็นการสรา้ งความเชอ่ื จากความสมเหตุสมผล (Valid) โดยการ สร้างมโนทัศน์จากการ
อ้างหลักฐาน เพื่อให้เกิดความรู้และความเข้าใจตามท่ีอ้างหรือให้แก่อีกฝ่าย ซึ่งการให้
เหตุผลโดยทว่ั ไปน้นั มีอยู่ ๒ แบบ คอื

๑) การให้เหตุผลแบบนิรนยั (Deductive) คือวิธกี ารอนมุ านหรือการให้เหตุผล
ที่ความ จริงของบทสรุปอยู่ในความจริงของข้อเสนอ โดยใช้ความจริงท่ีแน่นอนมีความ
สมเหตสุ มผล ซง่ึ สว่ นที่อ้างมาทั้งหมดเป็นจริงแล้ว บทสรุปก็เป็นจริงดว้ ย๖๗ เช่น มนุษย์ทุก
คนเป็นสง่ิ ต้องตาย นายแดงเป็น มนุษย์ เพราะฉะนัน้ นายแดงตอ้ งตาย

๒) การให้เหตุผลแบบอุปนัย (Inductive) คือ การอ้างเหตุผลจากความจริง
บางส่วนท่ี เป็นส่วนย่อยไปหาความจรงิ ในส่วนท่ีเป็นสากลกวา่ ซ่ึงผลท่ีได้รับมักจะออกมา
ในรูปความน่าจะเป็น๖๘ เช่น จากการสารวจพบว่า นายแดง นายขาว นายดา นายเขียว
พบว่าทุกคนมีนิ้วมืออยู่ ๑๐ นิ้วและทุกคนต่างก็เป็นมนุษย์ทุกคน จึงสรุปได้ว่า มนุษย์ทุก
คนมีนิว้ มือ ๑๐ น้ิว

การใช้ตรรกวิทยาท่ัวไปน้ัน เป็นศาสตร์ท่ีหาเหตุผล (Reasoning) โดยการ
อนุมานจากสิ่งท่ีรู้แล้วไปหาส่ิงที่ยังไม่รู้ ผลที่ได้อาจจะสมเหตุสมผลก็ได้ ไม่สมเหตุสมผลก็
ได้ สิ่งที่ได้จากตรรกะท่ี สมเหตุสมผลนั้นอาจจริงหรือเท็จก็ได้ และส่ิงที่ได้จากตรรกะที่ไม่

๖๕กีรติ บุญเจือ, ปรัชญา ๑๐๒ ตรรกวิทยาทั่วไป, พิมพ์ครั้งท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: ไทย
วฒั นาพานิช , ๒๕๓๗), หนา้ ๑.

๖๖สมประสงค์ น่วมบุญลือ, หลักแห่งเหตผุ ล, หนา้ ๖.
๖๗คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ตรรกศาสตร์เบ้ืองตน้ , พิมพ์คร้ัง
ท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๕), หนา้ ๑๐.
๖๘เรอื่ งเดยี วกนั , หนา้ ๑๑.

๗๑

สมเหตุสมผลน้ันอาจจริงก็ได้เท็จก็ได้ ดังนั้นความสมเหตุสมผลหรือความสอดคล้อง
(Consistency) มิใชเ่ คร่อื งหมายของความจริง๖๙

ส่วน พระพุทธศาสนาน้ันเป็นปฏิบัตินิยม เน้นจริยธรรมเพ่ือสังคมและ
โลกุตรธรรมเพ่ือพ้นจากทุกข์ การท่ีจะเข้าถึงความจริงนั้นอยู่ที่การมีประสบการณ์โดยตรง
(Direct experience) ของผู้ปฏิบัติในฐานะปัจเจกบุคคล๗๐ จนสามารถเข้าถึงเหตุผล
ภาคปฏิบัติ (Practical reason) ท่ีจะเข้าถึงโดยการที่ได้ ปฏิบัติมาแล้ว เข้าใจ ประทับใจ
เห็นความดีงามของสิ่งน้ันแล้วด้วยใจด้วยความรู้สึกของตนเองจริงๆ มากกว่าเหตุผลโดย
การอนมุ าน (Logical reason or inference) ที่เปน็ การคาดคะเนโดยอาศัยส่ิงที่ ประจักษ์
แต่ก็มีบ้างเหมือนกันท่ีพระพุทธเจ้าได้ใช้หลักตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยในการอธิบาย
บางอย่าง ให้ผู้ฟังเข้าโดยฉับพลัน รวดเร็ว เพ่ือให้เหมาะแก่เร่ืองราวและบุคคลผู้เก่ียวข้อง
หรือทรงโต้ตอบผู้ ก้าวร้าว รุกราน ให้ยอมจานนด้วยเหตุผลที่เขาพอพิจารณาเห็นเองได้
ทรงใช้เป็นเครื่องมือในการสั่ง สอน การโต้ตอบปัญหา แต่ไม่ทรงใช่เป็นเคร่ืองมือในการ
แสวงหาความจริงสูงสุด๗๑หรือท่เี รียกว่าอันติมสจั จะ (Ultimate Truth) เชน่ เร่ืองนิพพาน
ปฏิจจสมุปบาท เป็นต้น สงิ่ เหล่านี้จะรู้และ เข้าถึงได้ด้วยการปฏิบัติเท่านั้น ซ่ึงไม่ใช่วิสัยท่ี
จะรู้ไดด้ ว้ ยตรรกศาสตร์

การให้เหตุผลเป็นส่วนหนึ่งของตรรกวิทยา จะศึกษากฎของความคิดและวิธีการ
ให้เหตุผล ของมนุษย์ โดยใช้การอนุมานจากการสังเกต การสัมผัส พิจารณา เพ่ือให้เกิด
การปักใจเช่ือจาก ความสัมพันธ์ของเหตุและผล ทาให้เช่ือได้ว่าสิ่งนั้นมีแนวโน้มเป็นความ
จริง มีวิธีการให้เหตุผลอยู่๒ แบบ คือ การให้เหตุผลแบบนิรนัย และ การให้เหตุผลแบบ
อุปนัย ผลท่ีได้รับเป็นได้แค่ความ สมเหตสุ มผลและไม่สมเหตุสมผล ซึ่งความสมเหตุสมผล
และไม่สมเหตุสมผลนั้นอาจเป็นได้ท้ังจริง หรือเท็จ ส่วนพระพุทธศาสนาเป็นปฏิบัตินิยม
การท่ีจะเข้าถงึ ความจริงน้ันอยู่ท่ีการมีประสบการณ์ โดยตรงของผู้ปฎิบัติ แตก่ ็อาจมีบ้างท่ี

๖๙วิทย์วศิ ทเวย์, “ความรู้ในทัศนะของพระพุทธศาสนา”, พุทธศาสน์ศึกษา, ปีที่ ๒ ฉบับที่ ๓
(กันยายน - ธนั วาคม ๒๕๓๘): ๔๓.

๗๐เร่อื งเดยี วกนั : ๔๔-๔๕.
๗๑วศิน อินทสระ, ตรรกศาสตรพ์ ุทธศาสนา, พิมพ์ครั้งท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์
ธรรมดา,๒๕๔๔), หนา้ ๒๓-๒๕.

๗๒

ต้องใช้หลักตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยในการอธิบายบางสิ่งบางอย่าง เพราะต้องการให้ผู้ฟัง
เข้าใจฉบั พลนั รวดเร็ว ดว้ ยเหตุผลที่เขาพอจะเข้าใจพจิ ารณาได้ด้วยตนเอง

๓. หลักการให้เหตุผลของพระพุทธศาสนา

ลักษณะทั่วไปของพระพุทธศาสนา ถือได้ว่าเป็นหลักการที่สาคัญต่อการให้
เหตุผล มีบทบาทในการกาหนดทิศทางการให้เหตุผลของพระพุทธศาสนา ให้เป็นไปตาม
หลักของความจริงและทรงไว้ซึ่งประโยชน์ที่สมควรจะได้รับ จากการแสวงหาความจริง
ด้วยเหตุผลตามหลักพระพุทธศาสนา ซึ่งลักษณะที่สาคัญที่มีผลต่อทิศทางของการให้
เหตุผล มีดังน้ี

๓.๑ กรรมวาที
พระพุทธศาสนามีช่ือเรียกอย่างหน่ึงว่า เป็นกัมมวาท๗๒หรือ กรรมวาที เช่ือว่า
การกระทามีผลจริง ผลน้ันเกิดจากการกระทา มีผลทาให้ถูกเรียกว่าเป็นกริ ิยวาทะดว้ ยอีก
ชื่อหน่ึง ซึ่งให้ ความสาคัญแก่ความเพียรพยายามเป็นศาสนาที่เน้นการกระทาและความ
เพียรพยายาม ไม่ใช่ศาสนาท่ีสอนให้หยุดน่ิงหรือเฉ่ือยชา เกียจคร้าน ผิดกับลัทธทิ ั่วไปท่ีมี
การสอนเรื่องกรรมไว้เช่นกัน แต่หากมีการสอนที่แต่ต่างผิดกันไป ซึ่งพระพุทธเจ้าได้ตรัส
บอกว่าลัทธิเหล่านี้พูดถึงเรื่องของกรรมผิดหลักของกรรม๗๓มีอยู่ ๓ ลัทธิ คือ ๑) ลัทธิปุพ
เพกตวาท ลทั ธิกรรมเก่า ถือว่าทุกสิ่งทุกอย่างเกดิ แต่ กรรมเกา่ บันดาล ๒) ลทั ธอิ ิศวรนิรมิต
วาท ลัทธิทถ่ี ือวา่ พระผู้เป็นเจ้าเนรมิต หรือเทพเจา้ ผู้ยิ่งใหญ่บันดาล และ ๓) ลัทธิอเหตวุ าท

๗๒กรรมวาท คือ ผู้ประกาศหลักกรรม หรือผู้ถือหลักกรรม เช่น ยืนยันว่ากรรมคือ การ
กระทามีและมีผลจริง ว่าแต่ละคนมีกรรมเป็นของตนและเป็นไปตามกรรมนั้น ว่าการกระทาเป็น
เคร่อื งตัดสินความดีเลวสูงทราม (มิใชช่ าติกาเนิดตัดสนิ ) ว่าการกระทาเป็นเหตุเปน็ ปัจจัยให้สาเร็จผล
(มิใช่สาเร็จด้วยการอ้อนวอนดลบันดาลหรือ แล้วแต่โชค) เป็นต้น, ทรงตรัสเรียกพระองค์เองว่าทรง
เป็น กรรมวาท (ถือหลักหรอื กฎแหง่ การกระทา), อง.ตกิ , ๒๐/ ๕๗๗/๓๖๙ ; ว่าเป็นกริ ิยวาท (ถือหลัก
ความเพยี ร), ที.ส. ๔/๑๘๒/๑๔๗.พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต) พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับ
ประมวลศพั ท์, หนา้ ๕.

๗๓พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), ลักษณะแห่งพระพุทธศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๒๒,
(นครปฐม : จ. เจริญ อินเตอร์พริน้ (ประเทศไทย) จากัด, ๒๕๕๔), หน้า ๒๖.

๗๓

ลัทธทิ ี่ถอื ว่าความเป็นไปต่างๆ ไม่มเี หตุปจั จัย แล้วแต่โชคชะตา๗๔ ลทั ธทิ ้งั ๓ น้ีเรยี กว่า“อกิ
ริยทิฐิ” คือมที ศั นะทถี่ ือวา่ การกระทาของมนุษยไ์ ม่มี

เหตุที่พระพทุ ธองคท์ รงปฏิเสธลัทธิท้ังสามนก้ี ็คือ หากกรรมเก่าเป็นตัวการเดียว
และตวั การทั้งหมดท่ีทาให้บุคคลกระทาการอย่างใดอยา่ งหน่ึงแล้ว ความสานึกทว่ี ่า “กิจน้ี
ควรทาหรือว่า กิจนี้ไม่ควรทา”๗๕ก็ไม่มีได้เพราะสิ่งที่จะกระทา กรรมเก่ากาหนดแล้ว การ
เลือกกระทาของมนษุ ยก์ ็ไม่มี เป็นได้แคท่ างผ่านในการปรากฏตัวของกรรมเก่าเทา่ น้ัน๗๖ ใน
ทานองเดียวกัน ถ้าหากเช่ือว่าเป็น เพราะเทพเจ้าผู้ย่ิงใหญ่บันดาล (God) ก็จะเอาแต่อ้อน
วอน ไม่ต้องทาอะไร แมแ้ ต่ถ้าถือว่าไม่มีเหตุ ปัจจัย มันบังเอญิ เป็นไปเองแล้วแต่โชคชะตา
เราก็ทาอะไรไม่มผี ลเหมือนกนั เพราะตอ้ งแล้วแต่ โชคชะตา หรือความบังเอิญท่ีจะพบเขา้

ถึงแม้ว่าพระพุทธศาสนาจะสอนเรื่องกรรมเหมือนกัน แต่มีทั้งกรรมเก่า กรรม
ปจั จุบัน และกรรมท่ีจะทาตอ่ ไปในอนาคต กับท้ังถือวา่ กรรมน้ันเป็นเพียงกระบวนการแห่ง
เหตุผลที่เกี่ยวกับ การกระทา ในด้านภววทิ ยาของพระพุทธศาสนาสอนไว้ว่า “ไม่มีสิ่งโดย
ตัวมันเองในโลกนี้ หากมีส่ิงท่ี เกี่ยวพันกันอยู่ทั้งหมด”๗๗ซึ่งทุกสิ่งอย่างล้วนเป็นส่วนหน่ึง
ของกฏเกณฑแ์ หง่ ความเปน็ ไปตามเหตุปัจจัย กระบวนการแหง่ ปจั จยั นน้ั จะสบื เน่ืองดาเนิน
อยู่เสมอตลอดเวลา โดยเป็นไปตามปัจจัยท่ี เกี่ยวข้องหลายอย่าง ไม่ใช่ว่าเป็นแต่เฉพาะ
กรรมเก่าอยา่ งเดียว เพราะฉะนนั้ คาสอนเกี่ยวกับเรอื่ ง กรรมในทางพระพทุ ธศาสนาจึงสอน
ให้เช่ือด้วยเหตุผลที่ประกอบไปด้วยหลัก ๓ ประการ ได้แก่ ประการท่ีหน่ึง กัมมสัทธา คือ
เช่ือกฎแห่งกรรมว่ามีอยู่จริง โดยเช่ือวา่ เม่ือทาอะไรโดยมีเจตนา คือการ จงใจทาทั้งรู้ ย่อม
เป็นกรรม จะเป็นความชั่วความดีมีขึ้นในตน เป็นเหตุปัจจัยก่อให้เกิดผลดี-ร้าย สืบเน่ือง
ต่อไป เป็นการเลือกกระทาโดยเสรีของมนุษย์เอง (เจตจานงเสรี)๗๘ประการที่สอง วิปาก
สัทธา เช่ือว่าผลของกรรมมีจริง คือ เช่ือว่ากรรมที่ทาแล้วต้องมีผล และผลต้องมีเหตุผลที่

๗๔อง.ติก. (ไทย) ๒๐/๖๒/๒๓๘
๗๕อง,ติก (ไทย) ๒๐/๑๒/๒๓๙.
๗๖วทิ ย์วศิ ทเวทย์, ปรชั ญาทรรศน:์ พุทธปรชั ญา, พิมพ์ครั้งที่ ๑ , (กรุงเทพมหานคร: โรง
พิมพแ์ หง่ จฬุ าลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๕๓), หนา้ ๓๐.
๗๗สมคั ร บรุ าวาศ, พทุ ธปรัชญา: มองพุทธศาสนาด้วยทรรศนะทางวิทยาศาสตร์, หน้า
๑๘๕
๗๘ดูลายละเอียดเพมิ่ เตมิ ใน วิทย์วศิ ทเวทย์, ปรชั ญาทรรศน์: พทุ ธปรัชญา, หน้า ๒๘-๓๒.

๗๔

เกิดจาก กรรมดี ผลชั่วเกดิ จากกรรมช่ัว ประการท่ีสาม กัมมัสสกตาสัทธา เช่อื ความที่สัตว์
มีกรรมเป็นของตน เช่ือว่าแต่ละคนเป็นเจ้าของ จะต้องรับผิดชอบเสวยวิบากเป็นไปตาม
กรรมของตน๗๙

ฉะน้ันการจะต้องพูดถึงเรื่องของกรรมต้องให้ความระมัดระวัง ต้องแยกหลัก
กรรมของ พระพุทธศาสนาออกจากลัทธิกรรมเก่าให้ได้ นอกจากลัทธิกรรมเก่าแล้ว ก็ต้อง
ระวังไม่ให้ไปตกไปติด ในอิศวรนิรมิตวาท และอเหตุอปัจจัยวาทด้วย อันจะทาให้รูปแบบ
การให้เหตผุ ลเชงิ พทุ ธตกไป

๓.๒ สจั จวาที
สจั วาที ถือว่าเป็นลักษณะทส่ี าคัญต่อการให้เหตผุ ลในทางพระพุทธศาสนา ดว้ ย
ความเป็น สากลทัง้ ความคิด และการปฏิบัติ เหมอื นอย่างทเี่ ปน็ สายกลางท้ังความคดิ และ
การปฏิบัติในแง่ ความคิด ในที่น้ี หมายถึงเร่ืองสัจธรรม หรือคาสอนเกี่ยวกับสัจธรรม
พระพุทธศาสนาสอนความจริง เป็นกลางๆ ไม่ผูกขาดความจรงิ ต่อบุคคล กล่มุ เหล่า พรรค
พวก แมแ้ ต่ตัวพระพุทธศาสนาเอง เพราะ หลักสัจธรรมที่ทางพระพุทธศาสนาพูดถึงน้นั คือ
ความเป็นธรรมดาสามัญอันเป็นหลกั ธรรมชาติซึ่ง พระพุทธเจา้ ได้ตรัสไว้ใน อุปปาทสูตร มี
ใจความโดยย่อว่า “แม้พระองค์จะทรงอุบัติขึ้นก็ตาม ไม่อุบัติข้ึนก็ตาม ธรรมคือความจริง
น้นั คงมอี ยู่แล้ว นั้นคือความจริงที่ว่า สังขารท้ังหลายท้งั ปวงนั้นไม่เที่ยง สังขารท้ังหลายทั้ง
ปวงเป็นทกุ ข์ และธรรมท้ังหลายเป็นอนัตตาหาตัวตนมิได้ พระองค์ได้มาตรสั รู้สจั ธรรมน้ัน
แลว้ ทรงบอก ทรงแสดง ทรงบญั ญตั ิ ทรงกาหนด ทรงเปดิ เผย ทรงกระทาให้งา่ ยดงั นี้”๘๐
หลักธรรมชาติเหล่านี้จะเรียกอีกอย่างหน่ึงว่า ธรรมนิยาม (General Laws) เป็น
สว่ นหนึ่ง ของนิยาม ๕๘๑ ที่เป็นกฎแน่นอน มีความเป็นไปท่ีมีระเบียบแน่นอนของธรรมชาติ
หรือท่ีรู้จักกันใน คาว่า กฎธรรมชาติ ประกอบไปด้วย (๑) อุตุนิยาม (Physical Laws) เป็น

๗๙พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม,
หน้า ๑๔๐.

๘๐อง, ติก. (ไทย) ๒๐/๑๓๗/๓๘๕
๘๑พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม,
พิมพ์ครง้ั ท่ี ๑๗, (กรุงเทพมหานคร: มหาวทิ ยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๑๖๖.

๗๕

กฎธรรมชาติท่ีครอบคลุม ความเป็นไปของปรากฏการณ์ในธรรมชาติที่เนื่องด้วย อุณหภูมิ
ภูมิอากาศหรือฤดูกาลท่ีเป็นไปทั้งใน สภาพแวดล้อมทางกายภาพของมนุษย์และภายในตัว
ของมนุษย์เอง เช่น การเปลี่ยนแปลงของฤดูกาล ที่ที่หมุนเวียนสลับกันไปทุกปี (๒) พีชนิ
ยาม (Biological Laws) กฎแห่งพืชพันธ์หรือพันธุกรรม ครอบคลุมความเป็นไปของ
สิ่งมีชีวิตท้ังพืชและสัตว์ ในในทางวิทยาศาสตร์สาขาชีววิทยาเรียกว่า พันธุกรรม (๓) จิต
นิ ยาม (Psychic Laws) กฎธรรมชาติที่เกี่ ยวกั บกลไกการท างานของจิต คนเรา
ประกอบด้วยส่วนท่ีสาคัญ ๒ ส่วน คือ ร่างกายและจิตใจ ซ่ึงเป็นผลมาจากจิตนิยาม กฎ
ธรรมชาติ เก่ียวกับการทางานของจิต กระบวนการของความคิด พระพุทธศาสนาเชื่อว่า
คนเรา (รวมทั้งส่ิงมีชีวิต อื่น) ประกอบด้วยองค์ประกอบที่สาคัญส่วนหนึ่งของชีวิต คือ จิต
จิตในทศั นะของพุทธศาสนาเป็นสิ่ง ตา่ งหากจากกาย ในฐานะท่ีเป็นส่งิ หน่ึงต่างหากจากกาย
จิตก็มีกฎเกณฑ์ในการทางาน เปล่ียนแปลง และแสดงพฤติกรรม เป็นแบบฉบับเฉพาะตัว
(๔) กรรมนิยาม (Karmic Laws) คือกฎแห่งเหตุผล กฎแห่งการให้ผลของการกระทา เป็น
กฎธรรมชาติอย่างหนึ่งแต่เป็นกฎทางศีลธรรมที่ครอบคลุมเฉพาะส่ิง ที่มีชีวิตที่มีจิต
โดยเฉพาะอย่างย่ิงสิ่งมีชีวิตช้ันสูงเช่นมนุษย์และสัตว์ชั้นสูงที่รู้จักใช้เหตุผลในการ ดารงชีวิต
กฎธรรมชาติน้ีมีหลักอยู่ง่ายๆ คือ “เรามีกรรมเป็นของตน เป็นทายาทแห่งกรรม มีกรรม
เป็นกาเนิด มีกรรมเป็นเผ่าพันธุ์ มีกรรมเป็นที่พ่ึง จักทากรรมใด ดีก็ตาม ชั่วก็ตาม เราจะ
เป็นผู้รับผล ของกรรมนั้น”๘๒(๕) ธรรมนิยาม (General Laws) คือ กฎธรรมชาติเก่ียวกับ
ความเป็นเหตุเป็นผล ของส่ิงท้ังหลาย เป็นกฎสากลที่ครอบคลุมความเป็นไปท้ังฝ่ายจิตและ
ฝ่ายวัตถุ ในทางพระพุทธศาสนา มองว่าทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปตามเหตุและปัจจัย ทุกสิ่งทุก
อย่างท่ีเกิดขึ้นย่อมตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลงไป และเสื่อมสลายแตกดับไปตามกฎที่เรียกว่าธรรม
นิยาม กฎข้อนี้มีขอบเขตครอบคลุมกว้างขวางที่สุด กฎ ๔ ข้อข้างต้นสรุปรวมลงในข้อ
สุดทา้ ยนี้๘๓ ความเป็นสากลเหล่าน้ีได้ครอบคลุมไปทั้งหมดโดยไม่ แบ่งแยกใดๆ ทัง้ ส้นิ

ถ้าหากมองให้กว้างๆ ก็คือ พระพุทธศาสนาสอนหลักความจริงที่เป็นสากล
พระพุทธศาสนาสอนว่าความจรงิ เป็นส่ิงที่มีอยู่ตามธรรมดา คือธรรมดาของส่ิงทั้งหลายเป็น

๘๒องฺ. ปญจก. (ไทย) ๒๒/๕๗/๑๐๐.
๘๓ดรู ายละเอียดเพม่ิ เติมใน สนุ ทร ณ รังษี, พุทธปรชั ญาจากพระไตรปฎิ ก, พมิ พ์ครัง้ ท่ี ๔,
(กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๑๗.

๗๖

อย่าง น้ันเอง เรียกง่ายๆ ว่าเป็นกฎธรรมชาติธรรมดาของสิ่งทั้งหลายนั้น ก็เช่นความเป็นไป
ตามเหตุปัจจัยเม่ือใครทาเหตุปัจจัยอย่างไร ผลก็เกิดข้ึนตามเหตุปัจจัยน้ัน ไม่มีการแบ่งแยก
ว่าต้องเป็นคนพวกน้ีทาอย่างน้ีต้องได้ผลอย่างนี้ คนพวกนั้นถึงทาอย่างทาเช่นกันแต่กลับได้
เปน็ อย่างอน่ื ไป๘๔นี้คอื กฎเกณฑ์ กติกาทีเ่ ปน็ สจั ธรรมสากลที่ทางพระพทุ ธศาสนากล่าวถึง

๓.๓ วิภัชชวาที

วิภัชช เป็นรูปแบบการจาแนกแยกแยะความจริงให้เห็นทุกแง่ออกให้เห็นทุกๆ
ด้าน ไม่นาส่ิงเดียวที่สามารถมั่นใจได้มาตีคลุมไปอย่างอ่ืนว่าเป็นเช่นเดียวกัน มีนักคิดหรือ
เข้าลัทธิจานวนมากที่มี ลักษณะตีขลุมและก็คลุมเอาอย่างเดียว ทาให้เกิดการผูกขาดความ
จริง ซ่ึงความจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะการเกิดขึ้นของแต่ละอย่างน้ันไม่ได้เกิดข้ึนจาก
องค์ประกอบเดียวกัน ต่างกันด้วยองค์ประกอบ เฉพาะที่ทาให้เกิดข้ึน ความเป็นไปจึง
ตา่ งกัน

พระพุทธเจ้ามองเห็นความสาคญั ของข้อน้ี การให้เหตุผลในการตอบคาถามของ
พระองค์ จึงมีลักษณะของการตอบแบบจาแนกแยกแยะ ไมต่ ีขลุมไปอยา่ งเดยี ว ยกตวั อยา่ ง
เช่น มีผู้มาทูลถาม พระพุทธเจ้าว่า คฤหัสถ์คือชาวบ้านน้ัน เป็นผู้ที่จะยังข้อปฏิบัติที่เป็น
กุศลให้สาเร็จ แต่บรรพชิตไม่ สามารถทาอย่างน้ันได้ใช่หรือไม่ นี่ถ้าตอบแบบตีความข้าง
เดียว ท่ีเรียกว่า เอกังสวาท ก็ต้องตอบท้ิงไป ข้างหน่ึง โดยต้องปฏิเสธ หรือว่ารับ ถ้า
ยอมรับก็บอกว่าใช่แล้ว คฤหัสถ์เท่านั้นทาสาเร็จ บรรพชิตไม่ สาเร็จ ถ้าปฏิเสธก็บอกว่า
ไม่ใช่ คฤหสั ถ์ไม่สาเร็จ บรรพชติ จงึ จะสาเรจ็ ๘๕

แต่พระพุทธเจ้าไม่ตรัสอย่างน้ัน พระพุทธเจ้าตรัสแบบวิภัชชวาท ทรงชี้แจงว่า
พระองค์ไม่ ตรัสเอียงไปข้างเดียวอย่างนั้น พระองค์ตรัสว่า คฤหัสถ์ก็ตาม บรรพชิตก็ตาม
ถ้ามีสัมมาปฏิบัติแล้ว ก็ทากุศลธรรมให้สาเร็จท้ังส้ิน แต่ไม่ว่าจะเป็นบรรพชิตก็ตาม เป็น
คฤหัสถ์ก็ตาม ถ้าเป็นมิจฉาปฏิบัติ ปฏิบัติผิดแล้วก็ทากุศลธรรมให้สาเร็จไม่ได้ด้วยกันทั้ง
สองฝ่าย ลักษณะอย่างน้ีเรียกว่า วิภัชชวาท ดังตัวอย่างหน่ึงที่มีคนมากราบทูลถาม
พระพุทธเจา้ วา่ วาจาทไี่ ม่เป็นท่ชี อบใจของคนอ่ืน พระองค์ตรัส ไหม ถ้าเปน็ เรา เราจะตอบ
วา่ อย่างไร ถา้ เขามาถามว่า คาพดู ท่ีคนอ่ืนไม่ชอบใจ ไม่เปน็ ท่ีรักของเขา ท่านพูดไหม ท่าน

๘๔พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), ลักษณะแหง่ พระพุทธศาสนา, หนา้ ๑๔.
๘๕เร่ืองเดยี วกนั , หน้า ๓๐.

๗๗

จะตอบว่าอย่างไร จะตอบว่าพูดหรือจะตอบว่าไม่พูด ถ้าอย่างนั้นเรียกว่าดิ่งไปข้างเดียว
พระพุทธเจ้าไม่ตรัสอย่างน้ัน พระองค์ตรัสว่า ในข้อน้ีเราไม่มีการตอบด่ิงไปข้างเดียว แล้ว
พระองคก์ ต็ รัสแยกแยะให้ฟงั ว่า

“วาจาใดไมจ่ รงิ ไม่เป็นประโยชน์ ไมถ่ ูกใจผฟู้ ัง พระองคไ์ ม่ตรัส
วาจาใดจรงิ ไม่เปน็ ประโยชน์ ไมถ่ กู ใจผู้ฟงั พระองค์กไ็ มต่ รสั
วาจาใดจริง เป็นประโยชน์ ไมถ่ ูกใจผู้ฟงั พระองคเ์ ลือกกาลที่จะตรัส
วาจาใดไม่จรงิ ไม่เปน็ ประโยชน์ ถูกใจผ้ฟู ัง พระองคก์ ไ็ มต่ รัส
วาจาใดจริง ไมเ่ ปน็ ประโยชน์ ถูกใจผฟู้ งั พระองค์ก็ไมต่ รัส
วาจาใดจรงิ เปน็ ประโยชน์ ถกู ใจผูฟ้ ัง พระองคเ์ ลอื กกาลท่จี ะตรสั ”๘๖
การท่ีตอบแยกอย่างน้ีเรียกว่า วิภัชชวาท จัดเป็นลักษณะท่าทีของการ
สนองตอบ หรือ ปฏิกิริยาต่อสิ่งท้ังหลายแบบชาวพุทธ ซึ่งมีการมองอย่างวิเคราะห์และ
แยกแยะ จาแนกแจกแจง เพื่อให้เหน็ ความจรงิ เหตผุ ลได้ครบทุกแง่ทุกมุม

๓.๔ กัลปย์ าณวาที

พระพุทธศาสนาได้แสดงท่าที่ที่เป็นมิตรต่อทุกๆคน เป็นศาสนาที่จุดมุ่งหมาย
เพ่ือประโยชน์สุขของปวงชน พระพุทธเจ้าตรัสหลักนี้เป็นปฐมเหตุแรกเร่ิมในการประกาศ
พระศาสนา พระองค์ทรงส่งพระสาวกออกประกาศพระศาสนาด้วยคาว่า “จรถภิกฺขเว จา
รกิ พหุชนหิตาย พหชุ น สุขาย โลกานุกมฺปาย” แปลว่า ภกิ ษุทั้งหลาย เธอท้ังหลายจงจาริก
ไป เพ่อื ประโยชน์เกอื้ กลู แกพ่ หชู น เพ่ือความสุขแก่พหูชน เพอื่ อนเุ คราะห์ชาวโลก๘๗ ต่อมา
หลังจากนั้นก็ตรัสหลักธรรมมากมายโดยเน้นหลักการข้อน้ี แม้แต่ในการแนะนาให้ทา
สังคายนาก็ย้าว่า เพื่อจะให้พรหมจรรย์ คือพระศาสนานี้ ดารงอยู่ม่ันคงยั่งยืน เพื่อ
ประโยชน์เกื้อกูล และความสุขแก่พหูชน คือชนจานวนมาก ท่ีเราเรียกกันว่า มวลชน
นั่นเอง๘๘ การออกไปเผยแผ่พระพุทธศาสนากับบุคคลท่ีมีความแตกต่างทั้งทางความเชื่อ
อาชีพและหนา้ ท่ีที่ตอ้ งกระทา หรอื แม้กระทั้งบุคคลที่ยอมรับนับถอื ในพระพุทธศาสนาอยู่
แล้วก็ตาม จนทาให้คนเหล่านั้นเกิดความพอใจไม่ต่อต้าน นาไปสู่ความเป็นมิตรต่อและ

๘๖ม. ม. (ไทย) ๑๓/๘๖/๘๘.
๘๗วิ. ม.(ไทย) ๔/๓๒/๔๐.
๘๘พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต), ลกั ษณะแหง่ พระพุทธศาสนา, หน้า ๖๗.

๗๘

ยอมรับนาไปปฏิบัติน้ัน ท่าที่หรือการแสดงออกของผู้เผยแพร่มีความสาคัญเป็นอย่างมาก
โดยเฉพาะการส่ือสารกันทางด้านคาพูดท่ีแสดงออกถึงหลักการและเหตุผล จนทาให้
สามารถทาให้บรรลุเป้าหมายอันสูงสุดทางพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสบอก
รปู แบบและวิธีการพูดทีไ่ ดผ้ ลดี ทาใหเ้ กิดประโยชน์สงู สดุ ดงั ทท่ี รงแสดงไว้ในวาจาสูตร ว่า

“ภกิ ษุท้ังหลาย วาจาประกอบดว้ ยองค์ ๕ ประการ เป็นวาจาสภุ าษิต ไม่เปน็ ทุพ
ภาษิต และเปน็ วาจาไมม่ ีโทษ วิญญชู นไม่ติเตียน องค์ ๕ ประการอะไรบา้ ง คอื (๑) พูดถูก
กาล (๒) พูดคาจรงิ (๓) พูดคาอ่อนหวาน (๔) พดู คาประกอบด้วยประโยชน์ (๕) พูดด้วยจิต
เมตตา ภกิ ษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ ๕ประการน้ีแล เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพ
ภาษิต และเป็นวาจาไม่มโี ทษ ทา่ นผูร้ ้ไู ม่ติเตยี น”๘๙

การพูดหรือการกล่าวด้วยถ้อยคาเหล่าน้ีใครๆ ก็ชอบ ส่วนวาจาท่ีพระพุทธองค์
หา้ มคือ มุสาวาทได้แก่ การพูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อและพูดหยาบคาย ซึ่งองค์แห่ง
การพูดมุสามีอยู่ ๔ คือ (๑) เรื่องไม่จริง (๒) มีจิตคิดจะกล่าวให้คลาดเคล่ือน (๓) มีความ
พยายามเกิดจากจิตท่คี ิดจะกล่าวให้คลาดเคลอ่ื น (๔) ผ้อู ื่นเข้าใจความที่พูด ในการแสดงให้
เหน็ ลกั ษณะแห่งกลั ยาณวาทีนั้น พระพุทธเจ้าได้แสดงโทษของมจิ ฉาวาจาไว้ว่า

“อริยสาวกพิจารณาว่า ถ้าใครจะทาลายประโยชน์ของเราด้วยการกล่าวเท็จก็
จะไมเ่ ป็นท่ีช่ืนชอบที่พอใจแก่เรา ก็ถ้าเราจักทาลายประโยชน์ของอื่นด้วยการกลา่ วเท็จ ก็
จะไม่เป็นท่ีชื่นชอบแก่คนอื่นเหมือนกันอริยสาวกพจิ ารณาเห็นว่า ถ้าใครจะยุยงให้เราแตก
จากมิตรด้วยคาส่อเสียด (คากล่าวให้เสียหาย) ก็จะไม่เป็นข้อที่พอใจแก่เรา ถ้าเราจะยุยง
คนอื่นให้แตกจากมิตรด้วยคาส่อเสียดก็จะไม่เป็นข้อที่ชื่นชอบแก่คนอื่นเช่นกันอริยสาวก
พจิ ารณาเหน็ ว่า ถ้าใครจะพูดจากะเราดว้ ยคาหยาบ กจ็ ะไมเ่ ป็นข้อท่ี พอใจแก่เรา ถ้าเราจะ
พดู จากะคนอ่นื ดว้ ยคาหยาบ กจ็ ะไมเ่ ปน็ ข้อที่ชน่ื ชอบแก่คนอ่ืน เหมอื นกนั ”๙๐

เมื่อพระพทุ ธเจ้าแสดงโทษของมุสาวาทวา่ ไม่เปน็ ที่พอใจแก่คนอืน่ แลว้ พระพุทธ
องค์ยังได้ แสดงต่อไปว่าวาจาท่ีควรพูดเรียกว่าวจีสุจริตและเป็นกลั ยาณวาทะได้แก่ การพูด
จริง (สัจจวาจา) พูด คาสมานสามัคคี (สมัคคกรณีวาจา) หรือพูดไม่สอ่ เสียด (อปิสณุ วาจา)

๘๙อง.ปญจก.(ไทย) ๒๒/๑๙๘/๓๓๘.
๙๐ส, ม.(ไทย) ๑๙/๑๔๕/๔๔๒.

๗๙

พูดคาอ่อนหวานสุภาพ (สัณหวาจา) พูดคามีประโยชน์ (อัตถสัณหิตวาจา) หรือพูดด้วย
ความคิด (มันตาภาส)๙๑

ถ้าหากมองตามแบบกัลยาณวาทจริงๆ แล้ว พบว่าพระพุทธศาสนาจะเน้นลงที่
ประโยชน์ ทีจ่ ะได้จากการเจรจา หรือประโยชนท์ ี่ผู้ฟงั จะได้รับจาการพูดคุยหรือการถกข้อ
ปัญหานั้นๆ ไม่ใช่การ พูดหรือแสดงธรรมเพ่ือที่จะปกป้องและเผยแพรห่ ลักธรรมแต่อย่าง
การพูดในแต่ละครั้งท่ีถูกหลักของ พระพุทธศาสนาจะต้องประกอบไปด้วย ความจริง
คาพูดน้ันต้องมีประโยชน์ เป็นธรรม พูดรู้จัก กาลเวลาไม่พูดพร่าเพร่ือ และการท่ีคน
ทง้ั หลายมองว่าเป็นการเผยแผ่ศาสนานั้นก็เพราะ การท่ีสามารถนาใจความสาคัญที่ไดจ้ าก
การพูดคุยหรือการเข้าไปเสพกับพระพุทธเจา้ ไปปฏบิ ตั ิแลว้ ไดผ้ ลจริง จงึ เกิดการยอมรับนับ
ถือเป็นสรณะ ถ้าหากจะพูดถึงเน้ือแท้ของพระพุทธเจ้าหรือพระพุทธศาสนา แล้วแต่เพียง
การชี้แนะดว้ ยหลกั เหตุและผลให้เห็นสิ่งต่างตามความเป็นจริง แล้วนาไปสู่การปฏิบัติ เพื่อ
พ้นจากทุกข์ ไม่ได้มีไว้เพ่ือการต้ังเป็นทฤษฎี แต่ไม่อาจช่วยผู้ที่รู้ให้พ้นจากทุกข์ได้ลักษณะ
ทว่ั ไปทางพระพุทธศาสนาถือได้วา่ มบี ทบาทท่ีสาคัญในการกาหนดทิศทางของหลักการให้
เหตผุ ลของพระพุทธศาสนา โดยลักษณะท่ัวไปนจี้ ะเน้นในเร่ืองการกระทาและผลที่ได้จาก
การกระทา แสดงให้เห็นถึงสัจจะท่ีเป็นความจริงจนเข้าใจชัดในความจริงจนครบทุกด้าน
และยังทรงไว้ซึ่งประโยชน์ที่สมควรจะได้รับจากการให้เหตุผลหรือการสนทนา ท่ีสามารถ
นาไปส่กู ารปฏิบัติเพ่อื พน้ จากทกุ ขไ์ ด้

๔. รปู แบบการใหเ้ หตผุ ลในการตอบปัญหาของพระพุทธศาสนา

พุทธวิธีการตอบปัญหาเป็นรูปแบบการให้เหตุผล ท่ีนาเสนอแนวความคิดของ
พระพุทธเจ้าออกมาให้เห็น มีรูปแบบที่สามารถปรับเปล่ียนไปได้ตามแต่ กาลเทศะและ
บุคคลที่เข้ามาเก่ียวข้อง การถามและตอบปัญหาเป็นพุทธวิธีการสอนแบบหน่ึงท่ี
พระพุทธเจ้าทรงใช้บ่อยที่สุด และได้ผลดีท่ีสุด วิธีตอบปัญหาของพระพุทธเจ้าตามที่พระ
พุทธองค์ได้แสดงไว้มี ๔ แบบ ด้วยกัน คือ (๑) เอกังสพยากรณียปัญหา ปัญหาท่ีตอบ
โดยนัยเดียว (๒) วิภัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาท่ีควรตอบแยก (๓) ปฏิปุจฉาพยากรณีย

๙๑อง.จตุกก.(ไทย) ๒๑/๑๔๘-๑๔๙/๑๘๙.

๘๐

ปัญหา ปัญหาที่ควรตอบโดยย้อนถาม (๔) ฐปนียปัญหา ปัญหาที่ควรงดตอบ”๙๒ซึ่งมี
รูปแบบและลกั ษณะการถาม-ตอบปญั หาดงั น้ี

๑) เอกงั สพยากรณยี ปญั หา ปญั หาทตี่ อบโดยนัยเดยี ว

การตรัสตอบปัญหาแบบตอบโดยนัยเดียว จะมีความสั้น กระชับ สามารถชี้ลง
ตรงจุด ประเด็นได้เลยไม่ซบั ซ้อน พระพุทธเจ้าทรงใช้กับบุคคลผู้มีทูลถามปัญหาไม่ซับซอ้ น
เปน็ ปญั หาง่ายๆ ท่ผี ู้ถามต้ังปัญหาข้นึ ด้วยความบรสิ ุทธิใ์ จ อยากรู้จริง ฟังแล้วก็ได้ประโยชน์
พระพุทธเจ้าจึงทรงตอบในทันที๙๓ เช่นตัวอย่างใน มัตวาสูตรท่ีว่าเทวดาทูลถาม
พระพุทธเจ้าวา่ “บุคคลฆ่าอะไรได้จึงอยู่เป็นสุข ฆา่ อะไรไดจ้ ึงไม่เศร้า โศก ขา้ แต่พระโคดม
พระองค์ทรงพอพระทัยการฆ่าธรรมอย่างหน่ึง คืออะไร” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า
“บุคคลฆ่าความโกรธได้จึงอยู่เป็นสุข ฆ่าความโกรธได้จึงไม่เศร้าโศก เทวดา พระอริยะ
ทั้งหลายสรรเสริญการฆ่าความโกรธซึ่งมีรากเป็นพิษ มียอดหวาน เพราะบุคคลฆ่า ความ
โกรธน้นั ไดแ้ ลว้ จึงไม่เศร้าโศก”๙๔

คาตอบที่พระพุทธองค์ตรัสตอบแก่เทวดาเป็นรูปแบบส้ันเข้าใจง่าย อธิบายว่า
บุคคล ต้องการความสุขจะต้องฆ่าความโกรธ พระอริยเจ้าทั้งหลายสรรเสริญการฆ่าความ
โกรธบุคคลผฆู้ ่า ความโกรธแล้วยอ่ มอยูเ่ ปน็ สขุ ไม่เศรา้ โศก

๒) วภิ ัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาท่คี วรตอบแยก

ปัญหาท่ตี อบแบบแยกนเี้ ปน็ การแยกแยะประเดน็ ต่างๆออก เพ่อื ใหเ้ หน็ ชัดในแต่
ละแง่มุม เพราะการถามปัญหาประเภทน้ี มีรายละเอียดปลีกย่อยรวมอยู่ในคาถามเร่ือง
เดียวกันน้ัน มีส่วนย่อยๆ รวมอยู่หลายเร่ืองและมีเรื่องให้ผู้ตอบน้ันมองได้หลายแง่หลาย
มุมมอง ถ้าตอบอย่าง ตรงไปตรงมา อาจผิดได้จึงต้องตอบอย่างมีเง่ือนไขหรือแยกแยะ
ประเด็น บางทีคนถามเองก็มีเจตนาไม่บริสุทธิ์ ประสงค์จะเล่นเล่ห์เหล่ียมกับผู้ตอบ จึงมี
ความจาเป็นท่ีต้องตอบแบบแยกแยะ๙๕ ดังตัวอย่างเช่นปัญจสิขสูตร ที่พระพุทธองค์ตรัส

๙๒อง.จตกก.(ไทย) ๒๑/๔๒/๗๐, ที.ปา.(ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๔๑.
๙๓แสง จันทร์งาม, วิธีสอนของพระพุทธเจ้า, (กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราช
วทิ ยาลัย ๒๕๔๐), หนา้ ๙๓.
๙๔ส.ส.(ไทย) ๑/๗๑/๗๔
๙๕แสง จนั ทร์งาม, วธิ สี อนของพระพทุ ธเจ้า, หนา้ ๙๕-๙๖.

๘๑

ตอบปัญหาแก่คันธัพพเทพบุตรนามว่าปัญจสิขะ ได้ทูลถามถึงเหตุปัจจัยที่ทาให้บุคคลไม่
บรรลุนิพพานในปจั จุบัน และได้บรรลุนิพพานในปัจจุบนั พระพุทธองค์ตรัสตอบจาแนกให้
เทพบุตรตนนนั้ ได้เห็นกระบวนการเกดิ เหตปุ จั จยั ทงั้ ๒ นัน้ ดังนี้

ปญั จสขิ เทพบุตร ทูลถามว่า “เหตุปัจจยั อะไร ท่ีเปน็ เครื่องให้สัตว์บางจาพวกใน
โลก น้ีไม่ปรินิพพานในปัจจุบัน และเหตุปัจจัยอะไร ที่เป็นเครื่องให้สัตว์บางพวกในโลกน้ี
ปรนิ พิ พานในปัจจุบัน”

พระพุทธเจา้ ตรสั ว่า“ปัญจสขิ ะ รูปที่รู้แจ้งทางตา ฯลฯ ธรรมารมณ์ที่รู้แจ้งทางใจ
ท่ีน่าปรารถนา น่าใคร่ น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่ พาใจให้กาหนัดมีอยู่ ถ้าภิกษุยัง
เพลิดเพลินเชยชม ยึดตดิ ธรรมารมณ์น้ันอยู่ เม่ือเธอเพลิดเพลิน เชยชม ยึดตดิ ธรรมารมณ์
น้ัน วิญญาณท่ีอาศัยตัณหานั้นความยึดม่ันตัณหาน้ันก็มีอยู่ ภิกษุผู้ยังมีอุปาทานย่อมไม่
ปรินิพพาน ปัญจสิขะ นี้แลเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้สัตว์บางพวกในโลกน้ีไม่ปรินิพพานใน
ปัจจุบันธรรมารมณ์ที่พึงรู้แจ้งทางใจที่น่าปรารถนา น่าใคร่น่าพอใจ ชวนให้รัก ชักให้ใคร่
พาใจให้กาหนัดมีอยู่ ถ้าภิกษุไม่เพลิดเพลิน ไม่เชยชม ไม่ยึดติดธรรมารมณ์น้ันอยู่ เม่ือเธอ
ไม่ เพลิดเพลิน ไม่เชยชมไม่ยึดตดิ ธรรมารมณ์น้นั วิญญาณทอี่ าศัยตัณหาน้ันก็ไม่มี ความยึด
ม่นั ตัณหาน้ันก็ไมม่ ี ภกิ ษุผ้ไู มม่ ีอปุ าทานย่อมปรินิพพาน ปัญจสิขะ นีแ้ ลเป็นเหตุเป็นปัจจัย
ให้สตั ว์ บางพวกในโลกน้ปี รินพิ พานในปัจจุบัน”๙๖

ลักษณะการตอบปัญหาดังกล่าว พระองค์ตรัสตอบโดยจาแนกแยกแยะเหตุ
ปัจจัยฝ่ายที่ทาให้ตัณหาเกดิ เม่ือมีรปู มากระทบตา ขาดสติมีความยินดีชอบใจ ตณั หาและ
อุปาทานก็เกิดขึ้น เมื่อตัณหาและอุปาทานเกิดขึ้นแล้ว ทาให้บุคคลผู้น้ันลุ่มหลงพัวพัน
เพลิดเพลนิ อยู่ ก็ไม่สามารถบรรลุ นพิ พานได้ ส่วนบุคคล เม่ือมีรูปมากระทบตา มีสติร้เู ท่า
ทัน ไม่หลง ไม่ยินดี ไม่เพลิดเพลิน มีปัญญา พิจารณา รู้เห็นตามความเห็นจริง ไม่ลุ่มหลง
พวั พัน ตัณหากไ็ ม่มี อุปาทานก็ไม่มี ย่อมบรรลนุ พิ พานได้ ในปัจจุบัน

จากพระสตู รทก่ี ลา่ วมานั้นนบั เป็นพุทธวิธีท่พี ระองค์ตรัสตอบปญั หาใหเ้ หมาะสม
กับบุคคลที่ทูล ถาม ทรงใช้รูปแบบการตรัสตอบแยกแยะให้ผ้ทู ูลถามนั้นมองปญั หาอย่างได้
อย่างละเอียดครอบคลุม ทุกแง่ทุกมุม การตอบปัญหาแบบแยกแยะของพระพุทธองค์น้ัน

๙๖ส.สฬา. (ไทย) ๑๘/๑๑๙/๑๔๐-๑๔๑.

๘๒

ทรงมองปัญหาต่างๆ แบบองค์รวม แล้วก็แยกแยะย่อยตอบท่ีละประเด็นๆไปจนครบ
ประเด็นของปญั หานนั้

๓) ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาท่คี วรตอบโดยย้อนถาม

เป็นรูปแบบทีพ่ ระพุทธเจา้ จะไมท่ รงตอบทนั ที แตท่ รงใช้วิธีตรัสถามยอ้ นกลับไป
ยงั ผู้ถาม เพ่ือยกประเด็นอุปมาอุปไมยให้ผูถ้ ามได้มองเห็นปญั หาเป็นรูปธรรมบ้าง เพื่อให้ผู้
ถามนนั้ ได้มองเห็น มูลเหตขุ องปัญหาและส่วนที่เก่ียวข้องแล้วโยงเข้าไปหาผลของตวั ปญั หา
ท่ถี ามน้ันบ้าง หรอื ทรงยอ้ น ถามเพ่ือเปิดประเดน็ ซักใช้ให้ผถู้ ามน้ันไดเ้ ข้าใจข้อเท็จจริงของ
เหตุปัจจัยที่ก่อให้เกิดปัญหาที่ทูลถามนั้น ซ่ึงบางปัญหาผู้ถามมักจะเข้าใจผิดเก่ียวกับเรื่อง
นั้นๆ อยแู่ ล้วเปน็ เบ้ืองตน้ จงึ ต้องทรงยอ้ นถามก่อน๙๗ ดังตวั อย่างใน วาลสตู ร ท่วี ่า

พระพทุ ธองค์ตรัสย้อนถามพระอานนท์ เพื่อเปรียบเทยี บความชานาญในศิลปะ
การยิงธนู เข้าช่องดาลที่เล็กที่สดุ ได้แม่นยา และการแทงขนทรายด้วยปลายขนทรายท่ีเล็ก
ที่สุดว่าเป็นสิ่งที่ทาได้โดยยากนั้น แต่เมื่อเทียบกับการปฏิบัติเพื่อความรู้แจ้งในอริยสัจ ๔
แล้วยากย่งิ กว่าส่งิ เหล่านนั้ หลาย เทา่ ตามทพี่ ระพุทธองค์ตรัสกบั พระอานนท์ ต่อไปน้ี

พระอานนท์ เข้าไปบิณฑบาตในเมอื งเวสาลี ได้เหน็ ลจิ ฉวีกมุ ารมากดว้ ยกนั กาลัง
ทาการยิงศรอยู่ ณ ศาลาฝึกเรียนศลิ ปะ กุมารนั้นยิงลูกศรให้เขา้ ช่องตรงดาลเลก็ ๆ ได้อย่าง
แมน่ ยาไม่ผดิ พลาด เพราะเปน็ ผไู้ ด้รับการฝึกฝนดีแลว้ เมือ่ พระอานนท์ กลับจากบิณฑบาต
ได้กราบทูลเรอ่ื งน้ันกับพระพทุ ธเจา้

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อานนท์ การท่ียิงลูกศรให้เข้าไปติดๆกนั ท่ีช่องดาลอนั เล็ก
แต่ ไกลไดแ้ มน่ ยาไมผ่ ิดพลาด กับการแทงขนทราย ดว้ ยปลายขนทรายทแ่ี บ่งออกแล้ว เป็น
๗ ส่วนนั้น อย่างไหนกระทาไดย้ ากกวา่ กัน”

พระอานนทท์ ลู ตอบวา่ “การแทงขนทรายด้วยปลายขนทรายกระทาไดย้ าก กว่า
พระพทุ ธเจ้าข้า”

พระพุทธเจา้ ตรัสวา่ “อานนท์ ชนเหลา่ ใดย่อมแทงตลอดตามความเป็นจริงวา่ นี้
ทุกข์ น้ีทุกขสมุทัย นี้ทุกขนิโรธ นี้ทุกขนิโรธคามินีปฏิปทา ชนเหล่านั้นย่อมแทงตลอ ดได้

๙๗คณาจารยม์ หาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , พุทธวิธกี ารสอน, หน้า ๑๒.

๘๓

ยากกว่า โดยแท้ เพราะฉะนน้ั อานนท์ เธอพึงกระทาความเพียรเพื่อร้ตู ามความเป็นจริงว่า
นที้ กุ ข์ น้ี ทุกขสมทุ ัย น้ที กุ ขนิโรธ น้ีทกุ ขนิโรธคามนิ ีปฏปิ ทา”๙๘

ในพระสูตรนเ้ี ป็นการแสดงพระธรรมเทศนาแบบตรสั ย้อนถามกลับ เพอ่ื เป็นการ
กระตนุ้ เตอื นใหพ้ ทุ ธสาวกกระทาความเพยี รในการประพฤตธิ รรม

ในการตอบปญั หาของพระพุทธเจ้าในรปู แบบยอ้ นถามกลับผู้ถาม เปน็ พุทธวิธีใช้
เพื่อทวน ปัญหาของผู้ถาม และถามย้อนเพ่ือจะยกอุปมาอุปไมยเทียบเคียง แล้ววก
ยอ้ นกลบั มาถามผู้ถาม เพ่ือที่จะโน้มน้าวใจผู้ถามน้ัน ได้ย้อนนึกถึงประสบการณ์ท่ีเขามีอยู่
หรือท่ีเขาพบเห็นอยู่ในชีวิตประจาวัน แล้วย้อนถามเพื่อนาเข้าสู่ประเด็นปัญหาท่ีเขาถาม
น้ัน จนในที่สุดผู้ถามปัญหานั้นจะ ทาหน้าท่ีตอบปัญหาของตนด้วยตนเองแล้ว พระพุทธ
องค์จึงตรัสสรุปเนื้อหาสาระหลักธรรมนั้นอีกครั้ง หน่ึง เพ่ือให้เกิดความรู้ในเร่ืองที่ถามนั้น
สมบรู ณย์ ่ิงขึน้

๔) ฐปนยี ปัญหา ปัญหาทีค่ วรงดตอบ

รูปแบบการงดไม่ตอบ นิ่งเสีย เหตุท่ีทาให้พระพุทธองค์จึงไม่ตรัสตอบปัญหา
เหล่านี้ เพราะส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาถามทางอภิปรัชญาหรือปรมัตถสัจจะอนั ลึกซ้ึง ซงึ่ ไม่
เก่ียวข้องกับปัญหาเฉพาะหน้า คือการแก้ทุกข์ และผู้ถามก็มุ่งจะมาชวนทะเลาะทุกเถียง
อวดภูมิปัญญาของตนมากกว่า ที่จะแสวงหาความรู้ความเข้าใจอย่างจริงใจ”๙๙เมื่อมีผู้ทูล
ถามปัญหาในลักษณะนี้พระพุทธองค์จะน่ิง ไม่ตรัสตอบ หรือทรงห้ามผู้ถามให้พักไว้ และ
ตรัสสอนให้ผู้ทูลถามนั้นได้รู้เรื่องอ่ืนท่ีเป็นประโยชน์แก่ตัว ผู้ถามเอง ดังตัวอย่างที่ปรากฏ
ในวัจฉโคตตสูตร ปัญหาท่ีพระพุทธเจ้าไม่ตรัสตอบแก่วัจฉโคตรปริพาชกเกี่ยวกับเร่อื งโลก
และชีวติ ซงึ่ เปน็ เรือ่ งของอนาคต และเหตผุ ลท่พี ระพุทธเจ้าไม่ตรสั ตอบ ดังนี้

วจั ฉโคตรปริพาชก ได้ทูลถามว่า“พระโคดมผเู้ จริญ โลกเทย่ี งหรือ สตั วเ์ บ้ืองหน้า
แต่ตายแลว้ ยอ่ มเกดิ อกี ก็หามิได้หรอื ”

พระพทุ ธเจา้ ตรสั ว่า “วัจฉะ ปญั หาวา่ โลกเทีย่ งนี้ เราไม่พยากรณ์”
วัจฉโคตรปริพาชก ทูลถามว่า “พระโคดมผู้เจริญ อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัย ให้
พวก ปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เมื่อถูกถามอย่างน้ันแล้ว จึงพยากรณ์ว่า โลกเท่ียงบ้าง ฯลฯ

๙๘ส.ม. (ไทย) ๑๙/๑๑๑๕/๖๒๘.
๙๙แสง จนั ทรง์ าม, วิธีสอนของพระพุทธเจ้า, หนา้ ๑๐๐.

๘๔

สัตว์เบอ้ื ง หน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกกห็ ามิได้ ย่อมไม่เกดิ อีกก็หามิได้บ้าง และ อะไรเป็น
เหตุเป็น ปัจจัยใหพ้ ระโคดม ไมท่ รงพยากรณ์”

พระพุทธเจ้าตรัสว่า “พวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอื่น เห็นรูปเป็นตน เห็นตนว่ามีรูป
เห็น รูปในตน หรือเห็นตนในรูป ฯลฯ เห็นวิญญาณเป็นตน เห็นตนว่ามีวิญญาณเห็น
วิญญาณใน ตนหรือเห็นตนในวิญญาณ เพราะพวกปริพาชกผู้ถือลัทธิอ่ืนเมื่อทูลถามแล้ว
จึงพยากรณ์ว่า โลกเทีย่ งบ้าง ฯลฯ สัตวเ์ บ้ืองหนา้ แต่ตายแล้ว ยอ่ มเกิดอีกกห็ ามิได้ ย่อมไม่
เกดิ อีกก็หามไิ ด้ บ้าง วัจฉะ ส่วนพระตถาคต ไมเ่ หน็ รูปเป็นตน ไม่เห็นตนว่ามรี ูป ไม่เห็นรูป
ในตน ไม่เห็นรูปใน ตน หรือไม่เห็นตนในรูปฯลฯ ไม่เห็นวิญญาณเป็นตน ไม่เห็นตนว่ามี
วญิ ญาณ ไม่เห็นวญิ ญาณ ในตน หรือไม่เหน็ ตนในวญิ ญาณ เพราะเมื่อตถาคตถูกถามอย่าง
นนั้ จงึ ไมต่ รัสตอบปัญหานี้”๑๐๐

จากการตอบปัญหาในเรื่องนี้จะพบวา่ พระพุทธเจ้าได้ปฏิเสธการตอบปญั หา ซึ่ง
มีผลท่ี เน่ืองมาจากคาถามที่ผู้ถามเป็นไปในทางท่ีจะก่อให้เกิดการเปรียบเทียบทางลัทธิ
และจะนาไปสู่ปัญหา ข้อถกเถียงอย่างไม่มีท่ีสิ้นสุด ถึงแม้ว่าจะตอบปัญหาจนเกิดความ
กระจ่างกต็ ามแต่กไ็ ม่ช่วยใหผ้ ถู้ ามพน้ ทกุ ข์ได้

พุทธวิธีการตอบปัญหาเป็นรูปแบบการให้เหตุผลตามแนวพระพุทธศาสนา ท่ี
สามารถนาเสนอแนวความคดิ ออกมาให้เห็นอกี ท้ังยังมีรูปแบบที่สามารถปรับเปลี่ยนไปได้
ตาม กาลเทศะและบุคคลท่เี ข้ามาเก่ียวข้องโดยมรี ูปแบบวิธกี ารตอบอยู่ ๔ แบบ มีการตอบ
ปญั หาอย่างตรงไปตรงมา การตอบปัญหาท่ีต้องแยกแยะแจกแจงออกให้เห็นความจริงจน
ครบทุกดา้ น การตอบปญั หาที่ย้อน ถามกลับกันไปมาเพื่อกอ่ ให้เกิดการเขา้ ใจในเรอ่ื งทีถ่ าม
และการเลี้ยงทไี่ มต่ อบปัญหานั้นเลย

๕. รปู แบบการใช้เหตุผลในการตอบปญั หาในคัมภรี ์มิลนิ ทปัญหา

ในเน้ือหาของคัมภีรม์ ิลนิ ทปัญหานั้น พบการถามของพระเจ้ามิลินท์ที่ถามอย่าง
ไม่จากดั เรื่อง ประกอบกับมีการยั่วยุใหโ้ กรธ เพื่อทาลายสมาธปิ ัญญาของอีกฝ่าย หรือเพื่อ
การโต้ตอบให้รู้ว่ามิได้มีความเกรงกลัวหรอื ยอมจานนด้วยเหตุผล จึงทาให้พระนาคเสนใช้

๑๐๐ส. สฬา. (ไทย) ๑๘/๔๑๗/๔๘๘-๔๘๙.

๘๕

การให้เหตุผลด้วยการตอบปัญหาเชิงย้อนถามกลับพระเจ้ามิลินท์๑๐๑ จนทาให้พระเจ้ามิ
ลนิ ทย์ อมจานนด้วยเหตุผลท่ีได้รบั จากพระนาคเสน ด้วยการแสดงแจกแจงและนาเสนอใน
ลกั ษณะน้ี จึงทาให้ “มิลินทปญั หา” มลี กั ษณะพิเศษโดดเดน่ จากตาราทางพระพทุ ธศาสนา
เล่มอ่ืน คือกลวิธีในการแจกแจงแสดงธรรมท่ีใช้เป็นแนวทางหลักเป็นการใช้ปฏิปุจฉา
ลักษณะ โดยการย้อนถามตอบกลับกันไปมา และการใช้อุปมาลักษณะเข้ามาช่วยในการ
อธบิ ายเปรียบเทียบสง่ิ ตา่ งๆจนเกิดความชดั เจน๑๐๒

การใช้อุปมาลักษณะของพระนาคเสน เม่ือเทียบกับหลักตรรกะแล้วจัดอยู่ใน
การอ้างเหตผุ ลแบบอุปนยั (Induction) ประเภทการอ้างเหตผุ ลเปรียบเทยี บ (Arguments
from analogy) แต่สิ่งท่ีต้องทาความเข้าใจในเรื่องน้ีเป็นลาดับแรก คือความแตกต่าง
ระหว่างการเปรียบเทียบกับการ เปรียบเทียบแบบอ้างเหตุผล การเปรียบเทียบเรามักใช้ใน
กรณที ่ีต้องการอธบิ ายสิ่งที่เป็นนามธรรมแต่ เราไม่มีภาษาที่ใชอ้ ธิบายไดต้ รงๆ จึงต้องนาคา
ที่เป็นเรอื่ งของรปู ธรรมมาใช้ เชน่ กินอย่างหมู อยอู่ ยา่ ง หมา (คาวา่ กิน และ หมูหรือหมา
เป็นคาท่ใี ช้กับวัตถ)ุ แตเ่ มื่อนามาใช้ในการนีแ้ ลว้ ความหมายเดิม ของคาที่เป็นรปู ธรรมน้ันๆ
กเ็ ปลีย่ นไปกลายเป็นความหมายเปรยี บเทยี บแทนการอธบิ ายแบบนเี้ ปน็ เพียงวิธที าให้ผู้ฟงั
เข้าใจสิ่งท่ีผู้พูดต้องการให้เช่ือแจ่มแจ้งขึ้น แต่ไม่สามารถทาให้ได้ความรู้ใหม่ ส่วนการ
เปรียบเทยี บแบบอ้างเหตผุ ลเป็นการอ้างเหตุผลจาก “บางสว่ น” ไปสู่ “บางสว่ น” โดยอ้าง
ว่า ส่ิงสองสิ่งที่นามาเปรียบเทียบกันมีลักษณะบางประการท่ีเหมือนกัน และสรุปว่า
ลักษณะบางประการท่ี เหลือย่อมเหมือนกัน๑๐๓ โดยมีโครงสร้างของการอ้างเหตุ
ผลเปรยี บเทยี บดงั น้ี

ของ X มสี มบตั ิ A, B, C, .. และยงั มคี ุณสมบตั ิ Z
ของ Y มสี มบัติ A, B, C, ... ...

๑๐๑พระญาณวโรดม, มิลินทปัญหา ฉบับสรปุ ความ, (กรุงเทพมหานคร: ม.ป.ท., ๒๕๔๒),
หนา้ ๑๓.

๑๐๒วศิน อินทสระ, อธิบายมิลินทปัญหา, พิมพ์คร้ังท่ี ๓, (กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์
ธรรมดา, ๒๕๕๖), หนา้ ๕.

๑๐๓คณะผู้สอนวิชาการใช้เหตุผล ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, การใช้เหตุผล: ตรรกวิทยาเชิงปฏิบัติ, พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๑๐, (กรุงเทพมหานคร: บริษทั ด่าน
สทุ ธาการพมิ พ์, ๒๕๕๒), หนา้ ๑๐๙-๑๑๐.

๘๖

∴ของ Y มีคุณสมบตั ิ Z ด้วย๑๐๔
ตัวอย่างเช่น เรารู้ว่าบิดาของ ก. เป็นกรรมกรชอบด่ืมเหล้า และไม่รับประทาน
อาหารมื้อเย็น บดิ าของ ก. ตายดว้ ยโรคตับแขง็ และ ก. ก็เป็นกรรมกรชอบดื่มเหลา้ และไม่
รับประทานอาหารมื้อเย็นเหมือนบิดา เราจึงสรุปว่า ก. จะต้องตายเพราะโรคตับแข็ง
เชน่ กนั
ตามตัวอย่างสามารถแยกข้อความซึ่งทาหน้าท่ีเป็นหลักฐานหรือข้ออ้าง กับ
ขอ้ ความท่ีเปน็ การลงความเห็นหรอื ขอ้ สรปุ ไดด้ ังน้ี
บิดาของ ก. เป็นกรรมกรชอบดื่มเหล้า และไม่รับประทานอาหารม้ือเย็น ตาย
ดว้ ยโรคตับแขง็
ก. ก็เปน็ กรรมกรชอบดื่มเหลา้ และไมร่ บั ประทานอาหาร
∴ฉะนน้ั ก. จะตอ้ งตายเพราะโรคตบั แขง็
นอกจากโครงสร้างแล้ว ยังมีส่วนอื่นที่ทาให้การการอ้างเปรียบเทียบมีน้าหนัก
มากขึ้น ท่ีทาให้การอ้างเปรียบเทียบท่ีเป็นการอ้างเหตุผลท่ีดี (Strong Arguments) ซึ่งมี
เกณฑ์ดงั น้ี
๑) ปริมาณของลักษณะร่วมท่ีสาคัญ (number of relevant similarities) ที่
น้าหนักของ หลักฐานที่ได้จากข้อสนับสนุนข้อสรุปมาก (น้าหนักในที่น้ี คือ “ปริมาณของ
ลกั ษณะร่วมทีส่ าคัญ”)ซ่งึ ถ้ามปี รมิ าณมาก น้าหนกั ของการสนบั สนุนก็จะมากข้ึนด้วย
๒) ปริมาณของลักษณะต่างท่ีสาคัญ (number of relevant dissimilarities)
กล่าวคือ น้าหนักของการสนับสนุน (ของข้ออ้างต่อข้อสรุป) จะน้อยเม่ือปริมาณของ
ลักษณะที่สาคัญมีมาก และในทางกลับกัน น้าหนักของการสนับสนุนจะมากเม่ือปริมาณ
ของลักษณะต่างทีส่ าคัญมีน้อย

๑๐๔ชัชชั ย คุ้ ม ทวี, ตรรกวิ ท ย า, พิ ม พ์ คร้ังท่ี ๑ , (กรุงเท พ ม หาน คร: โรงพิ ม พ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๓๔), หนา้ ๙๒.

๘๗

๓) ความหลากหลายของตัวอย่างในข้ออ้าง (variety of instances) ถ้าหากมี
การหา หลักฐานมาสนับสนุนข้ออ้างที่หลากหลาย การอ้างเหตุผลก็จะมีน้าหนักเพิ่ม
ยง่ิ ข้นึ ๑๐๕

จากหลักการอ้างเหตุผลเปรียบเทียบในข้างต้น เม่ือนาโครงสร้างและเกณฑ์การ
อ้างเหตุผลท่ีดี มาเทียบกับการถามตอบปัญหาเชิงย้อนถามของพระนาคเสนในมิลินท
ปัญหาแล้วจาทาให้เราพอมองเห็นว่า การถามตอบในมิลินทปัญหานั้นมีโครงสร้าง และ
เง่ือนไขของการอ้างเหตุผลท่ีเป็นไปตามการอ้างเหตุผลเปรียบเทียบ (Arguments from
analogy) ของการอ้างเหตุผลแบบอุปนัย (Induction) ซึ่งจะเห็น ได้จากตัวอย่าง
ดงั ตอ่ ไปนี้

๖. ตัวอยา่ งการใช้เหตุผลในการตอบปญั หาในคัมภรี ม์ ิลนิ ทปัญหา

ตัวอยา่ งท่ี ๑. ปัญญวิเสสปัญหา๑๐๖
พระเจ้ามิลนิ ท์ตรัสถามวา่ “ พระผู้เปน็ เจ้า ปัญญา อยู่ที่ไหน ?”
พระนาคเสนตอบว่า “ ปัญญาหาไดอ้ ยทู่ ไ่ี หน ๆ ไม่”
พระเจ้ามลิ นิ ทจ์ งึ พดู แยง้ วา่ “ถา้ อยา่ งนัน้ ปัญญาก็ไม่มีนะซิ”
พระนาคเสนมิได้ตอบ แต่กลับถามวา่ “ขอถวายพระพร มหาบพิตรจะทรง

หมายเนื้อความข้อนน้ั เป็นไฉน :ลมอยูท่ ่ีไหน ?”
พระเจา้ มิลินท์จึงตรัสตอบวา่ “ลมหาไดอ้ ยู่ท่ีไหนๆ ไม่”
พระนาคเสนจงึ แยง้ ว่า “ถ้าอย่างนัน้ ลมก็ไม่มีนะซิ”
พระเจ้ามิลนิ ทจ์ ึงชมพระนาคเสนว่า“พระผเู้ ป็นเจ้าชา่ งฉลาดจริงๆ”

เมือ่ นาเข้าโครงสรา้ งของการอ้างเหตุผลเปรยี บเทียบจะได้
ลม มคี ณุ สมบัติ ไม่ปรากฏที่อยู่ รบั รู้ได้ว่ามอี ยู่ (ยืนยันโดยพระเจา้ มิลินท์)
ปญั ญา มคี ุณสมบตั ิ ไม่ปรากฏที่อยู่ :
∴ฉะนน้ั ปัญญา จะตอ้ งมคี ณุ สมบัติ รบั รู้ได้ว่ามีอยู่ดว้ ย

๑๐๕เรื่องเดียวกนั หนา้ ๙๕-๙๖.
๑๐๖มลิ นิ ทปัญหา, ฉบับแปลในมหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , หน้า ๑๑๔.

๘๘

ตวั อยา่ งท่ี ๒. พรหมโลกกสั มรี ปัญหา๑๐๗
พระเจ้ามิลินท์ตรัสถามกับพระนาคเสนวา่ “พระผู้เป็นเจา้ คนตาย ณ ทนี่ ้ี ผู้

หนึง่ ไปเกิดในพรหมโลก ผู้หนง่ึ ไปเกิดในประเทศกัสมีระ (แคชเมียร์) ใครจะเกดิ ช้ากวา่ ใคร
จะเกิดเรว็ กว่า”

พระนาคเสนตอบวา่ “เทา่ กัน”
พระเจา้ มิลินทจ์ งึ ทรงขอให้ พระนาคเสนอุปมาใหฟ้ ัง
พระนาคเสนจึงยกอุปมาใหฟ้ งั สองเรื่อง คือ
อุปมาเรื่องแรก เร่ืองความเรว็ ของการคิดถึงสถานที่ๆ ต่างกัน เป็นส่วนต่อ
จากการถามถึงการเกดิ ของคนในพรหมโลกกับประเทศกัสมรี ะ ซึ่งพระนาคเสนไดต้ ้งั คาถาม
ดว้ ยข้ออุปมาถามกับพระเจ้ามลิ ินท์วา่ “พระนครทพี่ ระองคป์ ระสูตอิ ยู่ท่ีไหน”
พระเจ้ามิลินท์ตรสั ว่า “ ขา้ พเจ้าเกิดที่ กลสิคาม”
พระนาคเสนถามตอ่ ไปอกี วา่ “กลสคิ าม แต่ทนี่ ้ีไปไกลเทา่ ไร ?”
พระเจ้ามลิ นิ ทต์ รัสว่า “ประมาณ ๒๐๐ โยชน์”
พระนาคเสนถามตอ่ ไปอกี วา่ “ประเทศกัสมีระ แต่ที่นไี้ ปไกลเท่าไร ?”
พระเจา้ มิลนิ ท์ตรัสวา่ “๑๒ โยชน์”
พระนาคเสนถามต่อไปอกี วา่ “ขอเชญิ พระองค์ทรงนึกถึง กลสิและประเทศ
กสั มรี ะ” พระเจ้ามิลนิ ทต์ รัสว่า “นกึ แล้ว”
พระนาคเสนถามต่อไปอีกว่า “ท่ีตาบลไหนทรงระลึกได้ช้า ท่ีตาบล ไหน
ทรงระลกึ ไดเ้ รว็ ?”
พระเจ้ามิลนิ ท์ตรสั วา่ “เทา่ กนั ”
พระนาคเสนจึงสรุปว่า “พระองค์ทรงระลึก ที่สองตาบลนั้น ได้เท่ากัน ฉัน
ใด, คนตายแล้ว ณ ท่ีน้ี ผู้หน่ึงไปเกิดในพรหมโลก ผู้หน่ึงไปเกิดในประเทศกัสมีระ คนท้ัง
สองนน้ั เกดิ พร้อมกนั ฉนั นั้น”
อุปมาเรอ่ื งทส่ี อง เร่ืองความเรว็ เงาของนกทจ่ี ับกิ่งไม้ตา่ งระดับท่ที อดลงสพู่ ้ืน
ซึ่งพระนาค เสนได้ตั้งคาถามด้วยข้ออุปมาถามกับพระเจ้ามิลินท์ว่า
“พระองค์จะทรงสาคัญเห็นความนั้นเป็นไฉน นกสองตัวบินไปใน อากาศ, ตัวหนึ่งจับท่ี

๑๐๗เรอ่ื งเดียวกัน, หนา้ ๑๐๔-๑๐๕.

๘๙

ตน้ ไม้สูง ตวั หนึง่ จับทต่ี น้ ไม้ตา่ นกสองตวั นั้นจบั พร้อมกนั เงา ของตวั ไหนจะปรากฏ ณ พ้ืน
ก่อน เงาของตวั ไหนจะปรากฏที่หลงั ?”

พระเจา้ มิลนิ ทต์ รัสวา่ “พรอ้ ม กัน”
พระนาคเสนจึงสรุปว่า “เงาของนกสองตัวปรากฏ ณ พื้นพร้อมกนั ฉันใด,
คนตายแล้ว ณ ที่น้ี ผู้หนึ่งไปเกิดในพรหมโลก ผู้หนึ่งไปเกิดในประเทศกัสมีระ คนท้ังสอง
นั้นเกิดพร้อมกนั ฉนั นั้น”
จากเน้ือความถามตอบปัญหาใน พรหมโลกกัสมีรปัญหา เม่ือนามาเขียนในรูป
โครงสรา้ ง แลว้ จะเห็นถงึ ความสมเหตุสมผลของคาตอบไดด้ งั น้ี
กลสิคามกับประเทศกัสมีระ สถานท่ีต่างกัน คิดถึงเร็วเท่ากัน (ยืนยันโดย
พระเจา้ มิลินท์)
นกที่จับในท่ีสูงต่าต่างกัน สถานที่ต่างกัน เงาตกทอดถึงดินเร็วเท่ากัน
(ยืนยันโดยพระเจ้ามลิ นิ ท)์
พรหมโลกกับประเทศกัสมีระ สถานท่หี า่ งกนั
∴ฉะน้นั พรหมโลกกบั ประเทศกัสมรี ะ สถานที่ต่างกัน ก็สามารถเกิดพรอ้ ม
กนั ไดด้ ้วย
จากท้ังสองตัวอย่างปัญหาการถามตอบของพระนาคเสน นั้นมีความสอดคล้อง
กับ โครงสร้างการอ้างเหตุผลเปรียบเทียบและเกณฑ์การอ้างเหตุผลที่ดี มีการคานึงถึง
ลกั ษณะร่วมกนั ลักษณะตา่ งกนั ระหว่างปัญหาท่ีถกู ถามและคาถามที่ยอ้ นถาม ที่เปน็ สว่ นที่
ถูกสร้างด้วยข้ออุปมาที่ทาหน้าที่เป็นข้ออ้างในการสนับสนุนเหตุผล และยังมีข้ออ้างที่
หลากหลายแต่มีทิศทางที่สอดคลองกนั จึงทาใหเ้ กิดการยอมรับในเหตุผลกันขนึ้ อกี ท้ังยงั มี
จุดพิเศษอยู่ที่การพลิกจากผู้ตอบกลับมาเป็นผู้ถาม แล้วถามไล่เรียงเอาคาตอบจากผู้ท่ีตั้ง
ปัญหาถาม คาตอบท่ีผู้ต้ังปัญหาตอบน้ันจะเป็นคาตอบที่มา ยืนยันในส่วนท่ีเขาเป็นผู้ถาม
เองการตอบแบบนเี้ รียกว่า ตอบแบบวิภาษวิธี คอื ถามหรอื ตอบแบบ ย้อนถามไล่เรียงผูถ้ าม
ด้วยเหตุผลจนผถู้ ามอับจนด้วยเหตผุ ลทีจ่ ะแยง้ ได้
รปู แบบการให้เหตุผลของพระนาคเสน ในการตอบปัญหาเชิงย้อนถามเป็นการ
ให้เหตุผลแบบอุปนัย ประเภทการอ้างเหตุผลเปรียบเทียบ ที่ต้องอาศัยอุปมาลักษณะเข้า
มาช่วยในการพิสูจน์ และอธิบายในส่วนทีเ่ ปน็ นามธรรม ทไ่ี มม่ ภี าษาทีใ่ ชอ้ ธิบายได้ตรงๆ จึง

๙๐

ตอ้ งนาคาที่เป็นเรอ่ื งของ รูปธรรมมาใชเ้ ปรียบเทียบให้สามารถรบั รู้ได้ด้วยเร่ืองท่ีพอสมั ผัส
และครนุ่ คิดได้ด้วยเหตุผล โดยอาศัย เกณฑ์การอ้างเหตุผลท่ีดี ท่ีต้องคานงึ ถึงลกั ษณะร่วม
ที่สาคัญ ลักษณะต่างท่ีสาคัญและความ หลากหลายของตัวอย่างในข้ออ้าง เข้ามาเป็น
องค์ประกอบช่วยให้เหตุผลที่อ้างมีความสมเหตุสมผล และการสร้างรูปแบบการให้เหตุผล
แบบอุปนัย ประเภทการอ้างเหตุผลเปรียบเทียบให้เกิดความ สมเหตุสมผลมนี ้าหนักจนไม่
สามารถโต้แย้งได้ของพระนาคเสน จะอยทู่ ี่การพลกิ จากผ้ตู อบกลบั มา เปน็ ผู้ถาม

๗. สรุป

การใหเ้ หตุผล เป็นส่วนหนงึ่ ของตรรกวิทยา ท่ีศึกษากฎของความคิดและวิธีการ
ให้เหตุผลของมนุษย์ โดยใชก้ ารอนุมานจากการสังเกต การสัมผสั พิจารณา เพอื่ ใหเ้ กิดการ
ปักใจเชื่อจากความสัมพนั ธ์ของเหตุและผล ทาให้เชอ่ื ได้ว่าสิ่งน้ันมีแนวโน้มเป็นความจริง มี
วิธีการให้เหตุผลอยู่๒ แบบ คือ การให้เหตุผลแบบนิรนัย และ การให้เหตุผลแบบอุปนัย
ผลท่ีได้รับเป็นได้แค่ความสมเหตุสมผลและไม่ สมเหตุสมผล ซ่ึงความสมเหตุสมผลและไม่
สมเหตสุ มผลนั้นอาจเป็นไดท้ ้ังจริงและเท็จ ส่วนพระพุทธศาสนาเป็นปฏิบัตินยิ ม การท่ีจะ
เข้าถึงความจริงนั้นอยู่ท่ีการมีประสบการณ์โดยตรงของผู้ ปฏิบัติ แต่ก็มีบ้างที่ใช้หลัก
ตรรกศาสตร์เข้ามาช่วยในการอธิบายบางสิ่งบางอย่าง เพราะต้องการให้ ผู้ฟังเข้าใจด้วย
เหตผุ ลที่เขาพอพิจารณาเห็นเองได้ ในทางพระพทุ ธศาสนานนั้ มุ่งเน้นการพิจารณาดว้ ยการ
ใช้ปัญญาน้ันพระพุทธศาสนาได้นาเสนอหลัก โยนิโสมนสิการ อันเป็นกระบวนการสร้าง
ความคิดที่พระพุทธศาสนายอมรบั และเช่ือวา่ สามารถทาใหเ้ ข้าใจถึงหลกั เหตผุ ลที่มีความ
ถูกต้องตามหลักเหตุปัจจัย เป็นกระบวนการใช้ปัญญาพิจารณาให้ลึกซ้ึงลงไป ตามลาดับ
จนสามารถเข้าใจถึงความจริง ที่มีความสอดสอดคล้องเข้ากับแนวสัจจะ ทาให้หย่ังรู้
สภาวะลักษณะ ด้วยความคิด สามารถคิดสืบค้นจนเห็นความสัมพันธ์สืบทอดกันแห่งเหตุ
ปัจจัยจน พิจารณาสืบสาวหาเหตุผลให้เข้าใจถึงต้นกาเนิด หรือแหล่งท่ีมาของส่ิงน้ันๆ ท่ี
ส่งผลต่อเนื่องมา ตามลาดับ อันทาให้ทราบชัดถึงความเป็นไปส่ิงต่าง และนาไปสู่การให้
เหตุผลทถี่ กู ต้องตามความเปน็ จรงิ

ส่วนรูปแบบการนาเสนอความจริงผ่านการให้เหตุผลนั้น ส่วนมากจะใช้พุทธ
วิธีการตอบปัญหาอันเป็นรูปแบบการให้เหตุผลตามแนวพระพุทธศาสนา ที่สามารถ
นาเสนอแนวความคิดออกมา ให้เหน็ อย่างเด่นชัด อีกทัง้ ยังมรี ูปแบบท่ีสามารถปรับเปล่ียน

๙๑

ไปได้ตาม กาลเทศะและบุคคลท่ีเข้ามา เก่ียวข้อง โดยมีรูปแบบวิธีการตอบอยู่ ๔ แบบ มี
การตอบปัญหาอย่างตรงไปตรงมา การตอบปัญหา ที่ต้องแยกแยะแจกแจงออกให้เห็น
ความจริงจนครบทกุ ด้าน การตอบปัญหาที่ย้อนถามกลบั กันไปมา เพอ่ื ก่อให้เกิดการเข้าใจ
ในเรือ่ งที่ถาม และการเลี่ยงไม่ตอบปญั หานัน้ เลย

จากเร่ืองราวทั้งหมดที่ปรากฏในคัมภรี ์มิลนิ ทปัญหา จะเห็นวา่ ปัญหาที่ถามมีส่วน
สาคัญในการกาหนดปัจจัยที่มีผลต่อสถานการณ์ที่สามารถส่งผลกระทบต่อการตอบปัญหา
ได้ ไม่ว่าเป็นการ กาหนดกภิกาในการถามตอบปัญหา ท่ีถูกกาหนดข้ึนในการถามปัญหาที่มี
ช่ือว่า เถรติกขปฏิภาณ ปัญหา ที่ทาให้การโต้ตอบปัญหามีความเป็นไปในทิศทางท่ีถูกหลัก
ของการโต้วาที อีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อมีการถามปัญหามากๆ ปัญหาท่ีพระเจ้ามิลินท์ก็ยิ่งมี
ความละเอียดสุขุมและเปราะบางมากยิ่งข้ึน เท่า ก็ยิ่งมีส่วนในการกาหนดปัจจัยท่ีเป็นตัว
บุคคลที่จะเข้าไปรับรู้หรือจะเข้าไปมีส่วนที่จะทาให้ ประเด็นเสียไปยิ่งน้อยลง และกาหนด
ปัจจัยในด้านสถานท่ีในการใช้ตอบปัญหาให้มีความรัดกุมมาก ยิ่งขึ้นเท่าน้ัน ท้ังน้ีก็เพ่ือให้
ปัญหาท่ถี ามมคี วามชัดเจนและไร้ส่ิงท่ีจะมาทาให้ปัญหาและคาตอบเสยี ไป

รูปแบบการให้เหตุผลของพระนาคเสน ในการตอบปัญหาเชิงย้อนถามเป็นการ
ให้เหตุผลแบบอุปนัย ประเภทการอ้างเหตุผลเปรียบเทียบ ท่ีต้องอาศัยอุปมาลักษณะเข้า
มาช่วยในการพิสจู น์และอธิบายในส่วนทเี่ ป็นนามธรรม ทีไ่ ม่มีภาษาทใี่ ช้อธิบายไดต้ รงๆ จึง
ต้องนาคาที่เป็นเร่อื งของ รูปธรรมมาใช้เปรียบเทียบให้สามารถรับรู้ได้ดว้ ยเรื่องท่ีพอสัมผัส
และครุ่นคิดได้ด้วยเหตุผล โดยอาศัยเกณฑ์การอ้างเหตุผลท่ีดี ที่ตอ้ งคานึงถึงลักษณะร่วมที่
สาคัญ ลักษณะต่างท่ีสาคัญและความ หลากหลายของตัวอย่างในข้ออ้าง เข้ามาเป็น
องค์ประกอบช่วยให้เหตุผลที่อ้างมีความสมเหตุสมผล และการสรา้ งรูปแบบการให้เหตุผล
แบบอปุ นัย ประเภทการอ้างเหตุผลเปรียบเทียบให้เกิดความ สมเหตุสมผลมนี ้าหนักจนไม่
สามารถโต้แย้งได้

๙๒

บรรณานุกรม

๑. ภาษาไทย
ก. ข้อมลู ปฐมภมู ิ

มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย.กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.

ข. ข้อมลู ทุตยิ ภูมิ
(๑) หนังสอื :
ชเอิญศรี อิศรางกูล ณ อยุธยา และวิโรจน์ นาคชาตรี.การใซ้เหตุผล. กรุงเทพมหานคร :
มหาวิทยาลยั รามคาแหง, ๒๕๔๒.
พระราชวรมุนี (ประยุทธ์ ปยุตโต). พุทธธรรม.กรุงเทพมหานคร: มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลง
กรณราช วทิ ยาลัย, ๒๕๒๙.
สมประสงค์ น่วมบุญลือ.หลักแห่งเหตุผล. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร,
๒๕๔๖.
พระยาไพศาลศิลปะศาสตร์. ตรรกวิทยา. กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลัยจุฬาลงกรณราช
วิทยาลัย, ๒๕๔๓.
จานงค์ ทองประเสริฐ.ตรรกศาสตร์ : ศลิ ปะแห่งการนิยามความหมายและการใช้เหตุผล
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๔.
กีรติ บุญเจือ.ปรัชญา ๑๐๒ ตรรกวิทยาทั่วไป.พิมพ์คร้ังท่ี ๓. กรุงเทพมหานคร: ไทย
วัฒนาพานชิ , ๒๕๓๗.
คณาจารย์มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. ตรรกศาสตร์เบ้ืองต้น.พิมพ์คร้ังที่ ๓.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพิมพ์มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๕.
วศิน อินทสระ.ตรรกศาสตร์พุทธศาสนา.พิมพ์ครั้งท่ี ๒. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์
ธรรมดา,๒๕๔๔.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต).ลักษณะแห่งพระพุทธศาสนา.พิมพ์ครั้งท่ี ๒๒.
นครปฐม : จ. เจรญิ อินเตอรพ์ ริ้น (ประเทศไทย) จากัด, ๒๕๕๔.

๙๓

วิทย์ วิศทเวทย์.ปรัชญาทรรศน์: พุทธปรัชญา.พิมพ์คร้ังที่ ๑. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์
มหาจฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๓.

พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตโต).พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม.พิมพค์ ร้ัง
ท่ี ๑๗. กรงุ เทพมหานคร: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๑.

สุนทร ณ รังษี, พุทธปรัชญาจากพระไตรปิฎก. พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพมหานคร:
สานักพมิ พแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๕๒.

แสง จันทร์งาม.วิธีสอนของพระพุทธเจ้า. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์มหามกุฏราชวิทยาลัย
๒๕๔๐.

พระญาณวโรดม.มลิ นิ ทปัญหา ฉบับสรุปความ. กรงุ เทพมหานคร: ม.ป.ท., ๒๕๔๒.
วศิน อินทสระ.อธิบายมิลินทปัญหา. พิมพ์คร้ังที่ ๓. กรุงเทพมหานคร: สานักพิมพ์ธรรมดา

,๒๕๕๖
คณะผสู้ อนวิชาการใช้เหตุผล ภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.

การใช้เหตุผล: ตรรกวิทยาเชิงปฏิบัติ.พิมพ์ครั้งที่ ๑๐. กรุงเทพมหานคร: บริษัท
ด่านสุทธาการพิมพ,์ ๒๕๕๒.
ชั ช ชั ย คุ้ ม ท วี . ต ร ร ก วิ ท ย า . พิ ม พ์ ค รั้ งท่ี ๑ . ก รุงเท พ ม ห า น ค ร : โรงพิ ม พ์
มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร,์ ๒๕๓๔.

๙๔

บทท่ี ๕
หลักธรรมในมลิ ินทปัญหา

๑. ความนา

การอธิบายธรรมและการโต้ตอบปัญหาของพระนาคเสนในมิลินทปัญหา เป็น
การวิสัชนาไปตามลาดับขั้นตอนของปัญหาที่พระเจ้ามิลินท์ตรัสถาม หลักธรรมท่ีมีเนื้อหา
สาระเป็นอันเดียวกันจึงไม่ได้ปรากฏอยู่ตามลาดับขั้นตอนในวรรคเดียวกัน แต่กระจัด
กระจายอยู่ในวรรคต่าง ๆ ดังน้ัน การจัดหมวดธรรมในมิลินทปัญหาให้เป็นไปตามลาดับ
การศกึ ษาและปฏิบตั ิ จากข้อปฏิบตั ิเบ้ืองต้นไปจนถึงข้อปฏบิ ัติขนั้ สูงสดุ ในพระพุทธศาสนา
กเ็ พ่ือน้อมนาจิตใจของผใู้ คร่ต่อการศึกษา ให้เกิดความอุตสาหะพยายามท่ีจะศึกษาค้นคว้า
ให้ย่ิง ๆ ขึ้นไป การได้ศึกษาหมวดธรรมที่มีเน้ือหาสาระแตกต่างกัน ซ่ึงกระจัดกระจายอยู่
ในแต่ละวรรคจัดรวมไว้เป็นหมวดเดียวกัน รวบรวมเอาหลักธรรมท่ีมีเน้ือหาสอดคล้องกัน
มาให้เข้ามาอยู่ในกลุ่มเดียวกัน ซ่ึงจะทาให้งา่ ยต่อการศึกษาค้นคว้า และเป็นประโยชน์แก่
การปฏบิ ัติ

๒.หลกั ธรรมในมิลนิ ทปญั หา

๒.๑ หลกั ธรรมเกี่ยวกับบญุ และบาป
๑) วสั สสตปัญหา๑๐๘
พระนาคเสนตอบคาถามเรือ่ ง บุคคลผู้ทาอกุศลกรรมถงึ ๑๐๐ ปี เมือ่ ใกล้จะตาย
กลับไดส้ ตริ ะลกึ ถึงพระพทุ ธคณุ จกั เกดิ ในสวรรคไ์ ด้หรือไม่
อธิบายว่า บุคคลกระทาอกุศลกรรมจนถึงอายุ๑๐๐ ปีเมื่อใกล้จะตาย ระลึกถึง
พระพุทธคุณเพียงคร้ังเดียว หลังจากตายก็ไปเกิดในสวรรค์ได้และผู้ท่ีทาปาณาติบาตแม้
เพียงคร้ังเดียว ก็ย่อมไปเกิดในนรกได้เหมือนกัน ดุจก้อนหินก้อนเล็ก ๆ ที่เขาวางไว้บนน้า
ย่อมจมลงไปเป็นพุทธคุณสติปฎิลาภปัญหาในน้าทันที แต่ถ้านามาวางไว้บนเรือลาใหญ่แม้

๑๐๘วัสสสตปัญหา, อ้างใน กรมศิลปากร, มลิ นิ ทปญั หา ไทย-บาลี, พมิ พค์ รั้งท่ี ๙, ในงาน
พระราชทานเพลิงศพ พระพุทธิวงศมุนี (บุญมา ทีปธมฺโม สุดสุข), (กรุงเทพมหานคร : บริษัทประยูร
วงศ์ พร้นิ ติ้ง จากัด, ๒๕๕๐), หน้า, ๑๔๙.

๙๕

ก้อนหินจะมีหลายก้อนก็ไม่จม ก้อนหินเปรียบเหมือนอกุศลกรรม ส่วนเรือเปรียบเหมือน
กุศลกรรม

๒) ปาปปุญญพหุตรปัญหา๑๐๙
พระนาคเสนตอบคาถามเรอื่ ง บุญกับบาป อะไรมีกาลงั มากกวา่ กนั
อธิบายว่า บุญมีกาลังมากกว่าบาป เพราะคนทาบาปย่อมได้รับความเดือดร้อน
ใจและบาปก็ไม่เป็นที่เจริญใจ มีแต่จะทาให้เกิดความหดหู่ใจ ส่วนคนทาบุญย่อมไม่ได้รับ
ความเดอื ดร้อนใจ มแี ต่ความเบกิ บานใจ และเกดิ ปีตซิ ึ่งเป็นเหตุทาให้จติ ใจสงบ เมื่อจติ สงบ
ก็จะพบความสุข จิตท่ีเป็นสุขก็จะต้ังมั่นเป็นสมาธิ เมื่อจิตต้ังม่ันเป็นสมาธิก็ย่อมรู้ชัด ตาม
ความเปน็ จรงิ บุญจึงมีแตค่ วามเจรญิ โดยส่วนเดยี ว
๓) ชานอชานปญั หา๑๑๐
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง บุคคลรู้อยู่แล้วจึงกระทาบาปกรรมกับบุคคลไม่
รอู้ ยูแ่ ลว้ จึงกระทาบาปกรรม ใครจะมบี าปมากกว่ากนั
อธิบายว่า บุคคลที่รู้อยู่ว่าบาปแล้วจึงทาลงไปย่อมเป็นบาปน้อยกว่า ส่วนผู้ไม่
รู้อยู่ว่าบาปแล้วจึงทาลงไปย่อมเป็นบาปมากกว่า เปรียบเหมือนบุคคลรู้ว่าก้อนเหล็กท่ีถูก
ไฟเผาเป็นของร้อน เมื่อจะเอามือจับก้อนเหล็ก ก็หาวิธีจับท่ีจะทาให้ความร้อนเผาฝ่ามือ
น้อยที่สุดส่วนผู้ท่ีไม่รู้ว่าก้อนเหล็กนั้นร้อนแล้วจับเต็มฝ่ามือ ก็จะทาให้ความร้อนแผดเผา
ฝ่ามือ อย่างเต็มท่ี
๔) อชานนั ตสั ส ปาปกรณอปุญญปญั หา๑๑๑
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลผู้ไม่รู้อยู่แล้วจึงกระทาปาณาติบาต ย่อม
ยังอกุศลที่มีกาลังกล้าให้เกิดขึ้น เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า อาบัติย่อมไม่มีแก่
ภิกษุผู้ไม่รู้
อธิบายว่าพระพทุ ธเจ้าตรสั พุทธพจนน์ ีว้ ่า บคุ คลผไู้ มร่ ู้แล้วจึงกระทาปาณาติบาต
ย่อ ม ยั งอกุ ศ ล มี ก าลั งแ ก่ ก ล้าให้ เกิ ด ก็ เพื่ อ ให้ พุ ท ธบ ริษั ท ได้ ส ารว ม ต น ไม่ ห ล งก ระ ท า
อกุศลกรรมมีปาณาติบาตเป็นต้น ส่วนในพระวินัยบัญญัติพระองค์ตรัสว่า อาบัติย่อมไม่มี

๑๐๙ปาปปญุ ญพหตุ รปัญหา, เรอื่ งเดียวกนั , หน้า ๑๖๓.
๑๑๐ชานอชานปญั หา, เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ ๑๖๔.
๑๑๑อชานนั ตสั ส ปาปกรณอปุญญปญั หา, เรอื่ งเดียวกนั , หน้า ๒๖๗ – ๒๖๘.

๙๖

แก่ภิกษุผู้ไม่รู้ก็เพราะในพระพุทธพจน์น้ีมีเน้ือความพิเศษอยู่ คือ อาบัติมีท้ังที่เป็นสัญญา
วิโมกข์(พ้นด้วยสัญญา) ทั้งที่เป็นโนสัญญาวิโมกข์(ไม่พ้นด้วยสัญญา) พระองค์ทรงปรารภ
อาบัตทิ ่ีเปน็ สัญญาวโิ มกข(์ พน้ ด้วยสญั ญา) จงึ ตรสั ไวอ้ ย่างนน้ั

๕) มสุ าวาทครุลหภุ าวปัญหา๑๑๒
พระนาคเสนตอบคาถามเร่อื ง ภิกษุต้องอาบัติปาราชิกเพราะสัมปชานมุสาวาท
คอื การกล่าวเท็จในขณะที่รู้ตัว เพราะเหตุไร พระพุทธเจ้าจึงตรัสภายหลังอีกว่า ภิกษุต้อง
อาบัติเบาเพราะสัมปชานมุสาวาท อาจแสดงอาบัติต่อหน้าภิกษุรูปเดียวได้เพื่อให้พ้นจาก
อาบัตินนั้
อธิบายว่า พระพุทธพจน์ท้ังสอง เป็นคาแสดงโทษหนักและเบาตามอานาจของ
วัตถุ เพราะภิกษกุ ล่าวเท็จ หลอกลวงทาให้ผู้อ่ืนเสียทรพั ย์ หรือถึงแก่ความตาย ต้องอาบัติ
ปาราชิกแต่ถา้ ภิกษุกลา่ วเทจ็ แลว้ ไม่ทาให้ผ้อู ื่นเสียหายเป็นอาบตั ิเบา สามารถกระทาคนื ได้
ด้วยการแสดงอาบัติต่อหน้าภิกษุอีกรูปหน่ึง เปรียบเหมือนบุรุษทาร้ายผู้อ่ืนด้วยฝ่ามือ พึง
ได้รับโทษโดยการถูกปรับกหาปณะหน่ึง เพราะมิได้ขอขมาคืน ส่วนบุรุษผู้ลอบ ทาร้าย
พระมหากษัตริย์ด้วยฝ่ามือ พึงได้รับโทษโดยการถูกตัดมือ ตัดเท้า ตัดศีรษะ หรือถูก
ประหารถงึ ๗ ชัว่ ตระกลู
๖) อตั ตนปิ าตนปัญหา๑๑๓
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง ภิกษุไม่พึงกระทาการปลงชีวิตตัวเอง เพราะเหตุ
ไรพระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรม เพ่ือความขาดสิ้นไปแห่งชาติชรา พยาธิ มรณะ โดย
ปรยิ ายเปน็ อันมาก และทรงสรรเสริญภกิ ษผุ กู้ า้ วล่วง ชาติชรา พยาธิ มรณะ
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมเพ่ือความขาดส้ินไปแห่งชาติ ชรา พยาธิ
มรณะ โดยปริยายเป็นอันมาก ในการแสดงธรรมนั้น พระองค์ทั้งทรงห้ามท้ังทรงชักชวน
เพราะเหตุในการแสดงธรรมของพระองค์มีอยู่และเพราะภิกษุผู้มีศีลบริบูรณ์มีคุณเป็นอัน
มากสามารถทาลายกิเลสของตนไดแ้ ละสามารถสั่งสอนคนอน่ื ให้เกิดความเข้าใจในธรรมได้
พระองค์จงึ ทรงห้ามไม่ให้ภิกษุปลงชีวิตตนเอง สัตว์ท้ังหลายย่อมเสวยทุกข์อยู่ในวฏั สงสาร
เพราะอาศัยขันธ์ ๕ ถ้าบุคคลปราศจากขันธ์ ๕ ก็ย่อมเปน็ สุข เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าเมื่อ

๑๑๒มุสาวาทครุลหุภาวปญั หา, เร่ืองเดยี วกัน, หนา้ ๓๑๘.
๑๑๓อตั ตนปิ าตนปญั หา, เรอื่ งเดยี วกนั , หนา้ ๓๒๕.

๙๗

ทรงแสดงคุณแห่งความไม่มีขันธ์ ๕ และภัยในขันธ์ ๕ จึงทรงชักชวนสาวกเพ่ือกระทาให้
แจง้ ซึ่งพระนิพพาน เพือ่ ความก้าวลว่ งชาติชรา พยาธมิ รณะ ด้วยประการทง้ั ปวง

๗) ทวินนังปณิ ฑปาตานังมหัปผลภาวปญั หา๑๑๔
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บิณฑบาตท้ังสองคราว มีอานิสงส์มากเสมอกัน
เพราะเหตไุ ร พระพทุ ธเจา้ เมอ่ื เสวยพระยาหารท่นี ายจุนทกมั มารบตุ รถวายจงึ ประชวรหนัก
จวนเจียนจะเสดจ็ ดบั ขันธปรินพิ พาน
อธิบายวา่ บณิ ฑบาตท่ีมีผลเสมอกัน วิบากเสมอกัน มผี ลมากกวา่ และมีอานิสงส์
มากกวา่ บณิ ฑบาตอืน่ อย่างมาก มอี ยู่๒ ครัง้ คือ
(๑) บิณฑบาตของนางสชุ าดาที่พระองคเ์ สวยแลว้ ตรัสรอู้ นุตรสัมมาสมั โพธิญาณ
(๒) บิณฑบาตของนายจุนทกัมมารบุตรท่ีพระองค์เสวยแล้ว เสด็จดับขันธปริ
นิพพาน ด้วยอนุปาทิเสสนิพพานธาตุบิณฑบาตคร้ังสุดท้ายนอกจากจะมีอานิสงส์มากแล้ว
เทวดายังช่ืนชม ต่างมีจิตเล่ือมใสว่า เป็นบิณฑบาตครั้งสุดท้ายของพระองค์ จึงแทรกโอชา
ทิพย์ลงในสุกรมัททวะโอชาทิพย์เป็นของแปรโดยชอบ แปรเร็ว เปน็ ที่ยังใจให้ยินดี มีรสมาก
เก้ือกูลแก่เตโชธาตุในพระอุทร โรคอะไร ๆ ท่ียังไม่เกิดแก่พระองค์ย่อมไม่เกิดขึ้น เพราะ
โอชาทิพยน์ ั้น แต่เพราะพระสรีระของพระองค์ทุพพลภาพอยูแ่ ล้ว พระชนมายุสังขารก็เส่ือม
เม่ือโรคเกิดขึ้นก็ยิ่งทาให้กาเริบหนักข้ึนอีก เพราะฉะนั้น การเสด็จดับขันธปรินิพพานของ
พระพุทธเจ้า จึงไม่ได้เกิดข้ึนเพราะบิณฑบาตครั้งสุดท้าย อน่ึง บิณฑบาตท้ังสองมีผลเสมอ
กัน มีอานิสงส์มากกว่าบิณฑบาตอ่ืน ก็ด้วยอานาจความถึงพร้อมแห่งธรรม คือ ด้วยอานาจ
แหง่ การเขา้ อนบุ พุ พวิหาร สมาบัติ ๙ ประการ ๑๒ ทง้ั โดยอนุโลมและปฏิโลม
๘) พทุ ธปูชานญุ ญาตานุญญาตปญั หา๑๑๕
พระนาคเสนตอบคาถามเรื่อง พระพุทธเจ้าตรัสสอน ให้เป็นผู้ไม่มีความ
ขวนขวาย เพ่ือจะบูชาพระสรีระของพระองค์เพราะเหตุไร พระองค์จึงตรัสสอนให้พุทธ
บริษัทบชู าธาตขุ องบุคคลผู้ควรแก่การบชู าซ่ึงเปน็ เหตุใหไ้ ปสสู่ วรรค์
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าตรัสว่า การบูชาธาตุของบุคคลผู้ควรแก่การบูชา ไม่ได้
ตรัส ไว้สาหรับคนทั่วไป พระองค์ทรงปรารภเฉพาะภิกษุจึงตรัสสอนให้เป็นผู้ไม่มีความ

๑๑๔ทวินนงั ปณิ ฑปาตานงั มหปั ผลภาวปัญหา, เร่อื งเดียวกัน, หน้า ๒๗๙ -๒๘๒.
๑๑๕พทุ ธปูชานญุ ญาตานญุ ญาตปัญหา, เร่ืองเดยี วกนั , หน้า ๒๘๓.

๙๘

ขวนขวายเพ่ือจะบูชาพระสรีระของพระองค์ เพราะการบูชาเช่นน้ันไม่ใช่หน้าท่ีของภิกษุ
การพิจารณาสังขารท้ังหลาย การกระทาไว้ในใจโดยแยบคาย โดยอุบายที่ชอบ การ
พิจารณาสติปัฏฐานเนือง ๆ เพ่ือให้บรรลุธรรมขั้นสูงสุดเป็นหน้าท่ีของภิกษุส่วนการบูชา
ธาตุของบุคคลผู้ควรแก่การบูชาน้ัน เป็นหน้าท่ีของเทวดาและมนุษย์ถ้าพระองค์ไม่
ตรัส พระพุทธพจน์น้ีไว้ ภิกษุก็จะพึงรวบรวมแม้บาตรและจีวรของตนกระทาพุทธบูชา
อยา่ ง เดยี วเทา่ น้ัน

๙) โคตมิวัตถทานปญั หา๑๑๖
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระพุทธเจ้ารับสัง่ ให้ พระนางมหาปชาบดีโคตรมี
ถวายผ้าอาบนา้ ฝนแก่สงฆแ์ ทนการถวายใหแ้ ด่พระองค์
อธบิ ายว่าพระพุทธเจ้าตรัสบอกให้พระนางมหาปชาบดีโคตรมี ถวายผ้าแก่สงฆ์
เม่ือถวายสงฆ์แล้วจักเป็นอันบูชาพระองค์และพระสงฆ์การท่ีพระองค์ตรัสอย่างน้ัน ไม่ใช่
เพราะความที่ทานของผู้นอ้ มถวายเฉพาะพระองคเ์ ป็นของมีอานิสงส์นอ้ ย หรือเพราะความ
ทพี่ ระองค์มิใช่ทักขิไณยบุคคลยิ่งกว่าพระสังฆรัตนะ แต่พระองค์ทรงดารวิ ่า ในอนาคตเม่ือ
พระองค์ทรงล่วงลับไป สงฆ์จักเป็นผู้ที่บริษัทควรกระทาความยาเกรง จึงทรงมีพระ
ประสงค์จะยกย่องคุณของสงฆ์ที่มีอยู่ตามความเป็นจริง เพื่อประโยชน์เก้ือกูลและเพื่อ
ความอนุเคราะห์เปรียบเหมือนพระราชากล่าวยกย่องคุณของพระราชโอรสที่มีอยู่จริง ใน
ราชสานักท่ามกลางอามาตย์ข้าราชบริพารด้วยทรงดาริว่า เมื่อพระราชโอรสได้รับการ
แตง่ ตั้งในท่นี แ้ี ล้วจกั เปน็ ผ้ทู คี่ นท้ังหลายบูชาในอนาคตต่อไป
๑๐) อหงิ สานิคคหปญั หา๑๑๗
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง บุคคลผู้นับถือพระรัตนตรัยว่าเป็นของเรา เท่ียว
ไปในโลกโดยไม่เบยี ดเบียนจักเป็นท่ีรกั ของชาวโลก เพราะเหตุไรพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า พึง
ขม่ คนที่ควรข่ม ยกยอ่ งคนท่คี วรยกย่อง
อธิบายว่า พระพุทธเจ้าตรสั ว่า บคุ คลผู้นับถือพระรัตนตรยั ว่าเป็นของเรา เท่ียว
ไปในโลกโดยไม่เบยี ดเบยี น จักเป็นท่ีรักของชาวโลก เป็นการอนุมัติของพระพุทธเจา้ ทั้งปวง
พระวาจานั้นเป็นเครื่องพร่าสอน เป็นเครื่องแสดงธรรมของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์

๑๑๖โคตรมวี ตั ถทานปัญหา, เรือ่ งเดียวกัน, หนา้ ๑๗๖ – ๑๗๙.
๑๑๗อหงิ สานิคคหปญั หา, เร่อื งเดยี วกนั , หน้า ๓๐๔ – ๓๐๖.

๙๙

เพราะว่าธรรมมีความไม่เบียดเบียนเป็นลักษณะแต่พระองค์ตรัสว่า พึงขม่ คนท่ีควรข่ม ยก
ย่องคนที่ควรยกย่อง เป็นเคร่ืองกล่าวตามสภาพความเป็นเองของบุคคลหรือสิ่งที่พึงข่ม
และยกย่อง เช่นจิตท่ีฟุ้งซ่านควรข่ม จิตท่ีหดหู่ควรประคอง บุคคลผู้ปฏิบัติผิดควรข่ม ผู้
ปฏิบัติชอบควรยกย่องบุคคลผู้ไม่ใช่อริยะควรข่ม ผู้ที่เป็นอริยะควรยกย่อง เปรียบเหมือน
โจรเมอ่ื ถกู จบั ไดพ้ ึงถูกลงโทษหลายสถาน มีการปรับสินไหม การเนรเทศ หรือการประหาร
ชีวิต เป็นต้น ก็การประหารชีวิต ไม่ได้เป็นการอนุมัติของพระพุทธเจ้า แต่เป็นโทษของ
ความผดิ ท่ตี นกระทาไว้

๑๑) อทิ ธยิ ากมั มวิปากปัญหา๑๑๘
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง พระมหาโมคคัลลานเถระได้รบั ยกย่องว่า เป็นผู้มี
เลิศกวา่ ภกิ ษุท้ังหลายในดา้ นมฤี ทธ์ิมาก เพราะเหตุไร ท่านจึงถูกพวกโจรทุบตจี นทาให้ทา่ น
ตอ้ งปรนิ ิพพาน
อธบิ ายวา่ การปรนิ ิพพานของพระมหาโมคคัลลานเถระ ด้วยการถูกพวกโจรทุบ
ตีด้วยตะบอง เพราะถูกกรรมเก่าเข้าครอบงาและให้ผล อน่ึง วิสัยแห่งฤทธ์ิของบุคคลผู้มี
ฤทธ์ิและวบิ ากแห่งกรรมย่อมเป็นอจินไตย คอื เป็นสิ่งท่ีไม่ควรคิด แม้ทั้งสองอย่างนั้นเป็น
อจินไตยเหมือนกัน แต่ก็ไม่สามารถลบล้างกันได้เพราะวิบากแห่งกรรมมีมาตราย่ิงกว่า มี
กาลังมากกว่าเหมือนพระราชาในแผ่นดินมีชาติเสมอกนั บรรดาพระราชาทีม่ ีชาติเสมอกัน
เหลา่ น้ันพระราชาองค์หน่งึ สามารถแผ่ขยายพระราชอานาจออกไปข่มพระราชาทั้งหลายไว้
ได้บรรดาอจินไตยท้ัง ๔ ประการกรรมวิบากอย่างเดียวเท่าน้ัน มีมาตรายิ่งกว่า มีกาลัง
มากกว่า เพราะสามารถยังอาชญาให้เป็นไปข่มอจินไตยทั้งหลายไว้ได้ทาให้อจินไตย
นอกนัน้ ไมไ่ ดโ้ อกาสท่ีจะใหผ้ ลแก่บคุ คลผ้ทู ่ีถกู กรรมครอบงาแลว้
๑๒) เมตตานสิ งั สปญั หา๑๑๙
พระนาคเสนตอบคาถามเร่ือง เมตตาท่ีเป็นเจโตวิมุติท่ีบุคคลให้เจรญิ กระทาให้
มาก ย่อมมีอานิสงส์๑๑ ประการ เพราะเหตุไร พระสุวรรณสาม ผู้เจริญเมตตาอยู่เป็น
ประจาจึงถกู พระยาปลิ ยกั ษ์ยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ

๑๑๘อิทธิยา กัมมวปิ ากปัญหา, เรือ่ งเดยี วกนั , หนา้ ๓๒๒.
๑๑๙เมตตานิสังสปัญหา, เรอื่ งเดียวกนั , หน้า ๓๒๘ – ๓๓๐.

๑๐๐

อธิบายว่า อานิสงส์ทั้งหลายเป็นคุณของเมตตาภาวนา คือ การทาให้เมตตา
เจริญข้ึนในตนเอง พระสุวรรณสาม๑๒๐แบกหมอ้ น้าไปในขณะนน้ั เป็นผปู้ ระมาทในเมตตา
ภาวนาไมไ่ ด้เจรญิ เมตตาให้เกิดขึ้น จึงถูกพระยาปิลยักษ์ยิงด้วยลูกศรอาบยาพิษ กบ็ ุคคลผู้
เจริญเมตตา ในขณะใด เพลิง ยาพิษ หรือศัสตราวุธ ย่อมไม่สามารถที่จะตกลงไปในกาย
ของเขาได้ในขณะนั้น บุคคลผู้ประสงค์จะทาลาย หรือก่อความเสียหายแก่บุคคลผู้เจริญ
เมตตาภาวนา เม่ือเข้าไปใกล้แล้วย่อมมองไม่เห็น หรือไม่ได้โอกาส เพราะฉะน้ัน อานิสงส์
ท้ังหลายจึงมิใช่เป็นคุณของบุคคล แต่เป็นคุณของเมตตาภาวนา๑๒๑ ก็เมตตาภาวนาน้ีเป็น
เคร่ืองห้ามบาปทั้งปวงสามารถนากุศลและคุณท้ังปวงมาให้แก่บุคคลผู้เกื้อกูลบ้าง ผู้ไม่
เกือ้ กลู บ้าง เมตตาภาวนามอี านสิ งส์มากแก่สัตว์ทัง้ หลายจงึ ควรส้องเสพไว้ในใจเนืองนติ ย์

๑๒๐พระสุวรรณสาม คือพระโพธิสัตว์ผู้ทรงบาเพ็ญเมตตาบารมีเลี้ยงดูบิดามารดาผู้เป็น
ดาบตาบอดอยใู่ นป่า ถูกพระเจ้าปิลยักษย์ งิ ด้วยลูกศรกอ่ นจะสลบล้มลงไปได้ทูลขอรอ้ งให้พระองคช์ ว่ ย
เลี้ยงดูบิดามารดาแทนตน พระเจ้าปิลยักษ์เข้าพระทัยว่าสุวรรณสามตาย แล้วจึงเสด็จไปนาบิดา
มารดาของสุวรรณสามมาดูศพ เม่ือท่านท้ัง ๒ จาได้ว่าเป็นบุตรของตนจริง จึงร้องไห้คร่าครวญ
จากนั้นก็ได้ทาสัจกิริยาขอให้พิษร้ายออกจากร่างกายของ สุวรรณสาม เม่ือสุวรรณสามฟ้ืนจากสลบ
แล้วจาความต่าง ๆ ได้จึงแสดงธรรมแก่พระเจ้าปิลยักษ์และให้ตั้งอยู่ในศีล ๕ ส่วนพระโพธิสัตว์
ปรนนบิ ัตบิ ดิ ามารดาจนท่านท้งั ๒ สิน้ ชีวติ จงึ ไดด้ บั ขันธไ์ ปส่พู รหมโลก.

๑๒๑อานสิ งส์ของเมตตา ๑๑ ประการ คือ
(๑) หลบั เป็นสขุ
(๒) ตืน่ เปน็ สขุ
(๓) ไม่ฝันรา้ ย
(๔) เปน็ ทีร่ กั ของมนษุ ย์ทั้งหลาย
(๕) เป็นท่รี ักของอมนษุ ย์ท้ังหลาย
(๖) เทวดาทั้งหลายรกั ษา
(๗) ไฟ ยาพษิ หรือศสั ตรากล้ากรายไมไ่ ด้
(๘) จติ ต้ังมน่ั ได้เรว็
(๙) สหี นา้ สดใส
(๑๐) ไม่หลงลมื สตติ าย
(๑๑) เมื่อยงั ไมแ่ ทงตลอดคณุ วเิ ศษอันยอดยิ่งยอ่ มเข้าถึงพรหมโลก


Click to View FlipBook Version