๒๕๑
ธรรมชาติไม่มีใครตกแต่งหรือปรุงแต่งข้ึน ฉะน้ันลักษณะของน้าทะเลที่มีรสเค็มรสเดียวก็
เพราะว่าอุทกังท่ีขังอยู่นานจึงมีรสเค็มเป็นรสเดียวกันและลกั ษณะของพระอาทิตยท์ ท่ี อแสง
ออ่ น ที่พระอาทิตย์ทอแสงแตกต่างกันอย่างนี้ พระนาคเสนได้วิสัชนาแก่พระเจ้ามิลินท์ใน
คัมภีร์มิลินทปัญหาไว้ว่า ในคิมหฤดูทั้งหลายมีละอองน้าตกน้อย จะตั้งอยู่เสียในเบื้องบน
ไมค่ ่อยจะตกลงมา อน่งึ เรณลู ะอองท้ังหลายก็ย่อมฟุ้งไปตามท้องฟ้า แม้ในอากาศก็มหี มอก
มาก ทั้งลมใหญ่ก็พัดจัด ส่ิงท้ังปวงมีละอองน้าเป็นต้นนั้น จึงอากูลเร่ียรายไปในท่ีต่าง ๆ
รวมกาลังช่วยกันบงั แสงพระอาทิตยเ์ สยี เหตฉุ ะนน้ั ในคมิ หฤดู พระอาทติ ย์จึงแผดแสงอ่อน
๓.๓ คณุ คา่ ด้านประวัติศาสตร์
พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธี ได้มองมิลินทปัญหาเป็น ๒ มุม คือหน่ึงมองในมุม
ประวัติศาสตร์ คือการพยามปรับตัวเพ่ือรับมือกับปรัชญากรีก หรือการปรับตัวของ
ตะวันออกเพ่ือจะสนองตอบต่อตะวันตกอย่างมีพลัง เพื่อท่ีจะรักษาฐานท่ีมั่นทางปัญญา
ของตนเองไว้ให้ได้ ซ่ึงในเวลานั้นพูดได้เลยว่าไม่ใช่เฉพาะพุทธศาสนาเท่านั้นท่ีได้รับ
ผลกระทบทกุ ศาสนาเลยต้องปรับตัวเหมอื นกันหมด เพราะในประวตั ิของมิลินทปัญหา เขา
พูดไว้หมดว่าพระเจ้ามิลินท์ไปท้าโต้วาทีมาหมดแล้ว เพราะฉะนั้นทุกศาสนาจะต้อง
ปรับตัว รวมทั้งพุทธศาสนาดว้ ย และถ้าเราเชอ่ื ประวตั ิสาสตร์ก็ต้องยอมรับว่าพระนาคเสน
สามารถประสบชัยชนะในการสัประยุทธทางปัญญาครั้งน้ีอย่างงดงาม พูดได้ว่าหลังจาก
การโต้วาทีหรือการสนทนาเชิงวิชาการคร้ังน้ันแล้ว ก็เกิดคัมภีร์ไว้เป็นหลักฐานหนึ่งเล่ม
เพราะฉะนั้นงานช้ินน้ีเราถือว่าเป็นวิทยานิพนธ์ของพระนาคเสนได้ หรือเป็นผลงานทาง
วชิ าการของพระนาคเสนหน่ึงเลม่ พระเจ้ามิลินท์ทาหนา้ ทีเ่ หมือนผสู้ อนวิทยานิพนธ์ อีกมุม
หน่ึง ถ้ามองในมุมของเน้ือหาสาระหรือมองในมุมของพุทธธรรมว่าปัญหาของพระเจ้ามิ
ลินท์ทาหนา้ ที่อย่างไร ปัญหาของพระเจ้ามลิ ินท์ทาหน้าที่อธบิ ายพุทธศาสนาให้สอดคล้อง
กับยุคสมัย ถ้าใช้คาง่าย ๆ ก็คือธรรมประยุกต์เหมือนที่พระอาจารย์กาลังทาอยู่ทุกวันน้ี
โดยใช้วิธีปุจฉาวิสัชนาเข้ามาช่วย จุดเด่นก็คือด้วยวิธีการที่แสนง่ายแต่กลับโอบอุ้มเอา
เน้อื หาที่ลึกซ้งึ ไวค้ รบถ้วนท้ังหมด ๔๔๓
๔๔๓ ธนิดา ปัทมพรพงศ์, “วาทวเิ คราะห์เรื่องมลิ ินทปัญหา”, วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรม
หาบณั ฑิต, (บณั ฑติ วิทยาลัย: มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๒), หน้า ๑๓๕.
๒๕๒
๓.๔ คณุ ค่าวิธกี ารสอนแบบถามตอบ
วิธีสอนแบบถามตอบ (Questioning and Answering Method) มีมาต้ังแต่
สมัยพุทธกาล ยกตัวอยา่ งสมัยที่พระพุทธเจ้าทรงตรสั ร้ใู หม่ ๆ และได้ทรงแสดงธรรมช่ือว่า
อนัตตลักขณสูตรแก่ปัญจวัคคยี ์ ในเบื้องตน้ พระพุทธองค์ทรงสอนโดยการแสดงธรรมแบบ
บรรยายหรืออธิบายหัวข้อธรรม ต่อมาทรงแสดงโดยการยกตัวอย่างให้ปัญจวัคคีย์ได้เห็น
ชัดเจนย่งิ ข้นึ และในทีส่ ดุ ทรงแสดงธรรมโดยพระองค์ทรงตรสั ถามปญั จวคั คยี ์ ใหเ้ หล่าปัญจ
วัคคีย์ได้ตอบคาถามเป็นข้อ ๆ ไป จนในที่สุดเหล่าปัญจวัคคีย์ก็ได้เข้าธรรมข้ันสูงสุด
สาเรจ็ ประโยชน์แหง่ การสอนธรรมของพระพุทธองค์
การสอนแบบวิธีถามตอบ เป็นหน่ึงในวิธีการจัดการเรียนการสอนท่ีได้ผลเป็น
อย่างย่ิง สอดคล้องกับนโยบายสอนโดยใช้ผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ยิ่งถ้ามีการบรรยายนา
กอ่ นแล้ว การถามตอบเป็นการตรวจความเข้าใจของผู้เรียน และถ้าจะให้ดีทส่ี ุด ก็ควรเปิด
โอกาสให้ผเู้ รียนได้ถามกลับด้วย เพื่อเป็นการเปิดโอกาสใหผ้ ู้เรยี นไดม้ ีส่วนร่วมในการแสดง
ความคิดเห็น และผเู้ รยี นไดโ้ อกาสในการฝกึ ทักษะตา่ ง ๆ เช่น การแก้ปัญหา การต้งั คาถาม
การตั้งข้อสังเกต การแสดงความคิดเห็นและการสรุปเนื้อหา ซ่ึงเป็นการสร้างปฏิสัมพันธ์
ระหว่างผู้เรียนและผู้สอนท่ีช่วยสร้างบรรยากาศให้เป็นแบบกันเอง และผู้สอนต้อง
เตรียมการสอนไว้ให้พร้อมและเตรียมการตอบคาถามที่หลากหลายแนวคิด การสอนด้วย
วธิ ีน้ีจึงมีการส่ือความหมายสองทาง คือจากผู้สอนสู่ผู้เรียนและจากผู้เรยี นสู่ผู้สอน หรือใน
บางครั้งกจ็ ากผเู้ รยี นสผู่ ้เู รียนด้วยกนั เอง
จากผลการศึกษาวิธีสอนของพระพุทธเจ้าท้ัง ๗ วิธี มาจัดเป็นแบบสอบถาม
แล้วนาไปสอบถามความเห็นจากผู้เช่ียวชาญ จานวน ๑๒ คน คนละ ๒ รอบ ผลการวิจัย
สรุปได้จากวิธีการสอนของพระพุทธเจ้า กลุ่มผู้เช่ียวชาญมีความเห็นด้วยกับวิธีสอนของ
พระพุทธเจ้าโดยการซักถามและสนทนาโต้ตอบมากท่ีสุด ส่วนอันดับสองมี ๔ วิธี คือ วิธี
สอนโดยการบรรยาย วิธีสอนแบบแก้ปญหา หรือวิธีสอนตามข้ันของอริยสัจ ๔ วิธีสอน
๒๕๓
แบบสืบสวนสอบสวน และวิธีสอนแบบอุปนัย อันดับสาม คือวิธสี อนโดยการสาธิต อันดับ
สุดท้าย คือวธิ ีสอนแบบอปุ นัย ๔๔๔
๓.๕ คณุ ค่าดา้ นการเจริญปัญญา
การศกึ ษาในทางพุทธศาสนามีจุดประสงค์เพ่ือให้เกิดปัญญาและปัญญา ยังเป็น
อธิสิกขาท่ีจะต้องศึกษาเพ่ือให้บรรลุถึงเป้าหมายสูงสุดคือการดับทุกข์ คาว่า ปัญญา เป็น
หลักธรรมสาคัญท่ีปรากฏในฐานะเป็นหัวข้อหรือท้ายของหลักธรรมเสมอ ๆ เช่น
หลกั สัมปรายิกัตถประโยชน์ หลกั อรยิ ทรัพยค์ อื ปัญญา จงึ ได้แกก่ ารรบั ร้อู ารมณต์ ่าง ๆ แล้ว
พิจารณาอย่างรอบคอบประกอบด้วยเหตุผล เป็นความรู้ที่เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์
เพื่อความเจริญสรา้ งสรรค์อย่างเดียว พระนาคเสนเถระ ได้กล่าวแก้คาถามของพระเจ้ามิ
ลิ น ท์ เก่ี ย ว กั บ ลั ก ษ ฉ ะ เฉ พ าะ ข อ งปั ญ ญ าไว้ ใน คั ม ภี ร์ มิ ลิ น ท ปั ญ ห าท่ี แ ส ด งให้ เห็ น ถึ ง
ลกั ษณะเฉพาะของปัญญาในความหมายทางพระพทุ ธศาสนาเป็น ๒ ลกั ษณะ คอื
๑) ปญั ญามีลกั ษณะโอภาส พระนาคเสนเถระอธิบายขอ้ น้ีวา่ ปัญญาโอภาส (แสง
สว่างแห่งปัญญา) นั้น เมื่อเกิดขึ้น ย่อมกาจัดความมืดมนคืออวิชชาเสียได้ และให้วิชชา
โอภาส (แสงสว่างแห่งความรู้แจ้ง) เกิดขน้ึ คือ มีความรู้ในธรรม สามารถพิจารณาเห็นองค์
แห่งอรยิ สจั อย่างชัดเจน และพิจารณาเห็นสังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ เป็นอนิจจัง เป็นอนตั ตา
เปรียบเสมอื นบุรษุ ผู้หน่ึงจุดประทปี แล้วเข้าไปในเรือนท่ีมืดมิด ยอ่ มทาให้เรือนน้ันสวา่ งขึ้น
และสามารถมองเห็นสง่ิ ต่าง ๆ ท่ีอยใู่ นเรือนน้ันได้
๒) ปัญญามีลักษณะตัดให้ขาด ถือเป็นการทาหน้าท่ี คือการตัดอวิชชา เหตุแห่ง
ความมืดมนท้ังปวงใหส้ ้ินไป เปรยี บเหมือนการเกี่ยวรวงขา้ วให้ขาด ลักษณะของปัญญาใน
ข้อน้ี จึงเป็นเสมือนเป็นเหตุของลักษณะปัญญาในข้อที่หนึ่ง เพราะเม่ือสามารถตัดอวิชชา
ได้เด็ดขาดแล้ว โอภาสคือแสงสว่าง หรือความสว่างไสวก็เกิดขึ้นในกระบวนการเดียวกัน
จงึ ทาให้เห็นอริยสัจและไตรลักษณ์ได้อย่างชดั เจน ฝ่ายพระเจ้ามิลินทไ์ ด้ตรัสถงึ เหตทุ ี่จะทา
ให้เกิดปัญญาไว้ ๘ ประการ คือ ๑) บุคคลมีวัยเจริญแล้ว ๒) บุคคลมียศเจริญแล้ว ๓) มี
๔๔๔ นพดล เจนอักษร, “การศึกษาวิธีสอนของพระพุทธเจ้า”, วิทยานิพนธ์ปริญญา
การศึกษามหาบณั ฑิต, (บัณฑติ วิทยาลยั : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม, ๒๕๒๖), หน้า
๘๒-๘๖.
๒๕๔
อุตสาหะหมั่นไต่ถาม ๔) ไม่คบหากับเดียรถีย์ ๕) มีโยนิโสมนสิการ ๖) มีการสนทนา
ธรรม (ธรรมสากจั ฉา) ๗) มคี วามเปน็ ผใู้ สใ่ จใฝ่ร้ใู นธรรม ๘) อย่ใู นประเทศท่สี มควร ๔๔๕
จะเห็นได้ว่า พระเจ้ามลิ ินท์ได้เพิ่มเตมิ สาเหตุท่ีจะทาให้เกิดปัญญาจาก ๓ แหล่ง
ดังกล่าวข้างต้นเป็น ๘ ประการ โดยให้ความสาคัญทั้งองค์ประกอบภายนอกและ
องค์ประกอบภายใน ซ่ึงจาแนกออกอย่างละเอียดเป็น ๘ ประการดังกล่าว การท่จี ะพฒั นา
ปัญญาให้เจริญข้ึน พระเจ้ามิลินท์ได้ให้ความสาคัญแก่วัยเป็นประการแรก หมายความว่า
การเรียนรู้ต้องให้เหมาะสมกับวัย วัยไหนควรเรียนรู้ระดับไหน เป็นต้น ถ้าหากว่ายังไม่ถึง
วัยที่จะเรียนรู้ได้ ปัญญาก็ไม่อาจเกิดแก่บุคคลนั้น ในแง่ของการมียศก็เช่นกัน กล่าวได้ว่า
ความมีอุตสาหะรักใคร่ในการศึกษาเล่าเรยี นตลอดการสนทนาธรรม แลกเปล่ียนทรรศนะ
ความรู้กบั นักปราชญ์น้ันถ้าหากขาดยศท่ีเหมาะควรแล้ว ไมอ่ าจทาใหส้ าเร็จได้ เพราะทาให้
ขาดความอาจหาญแกล้วกล้าได้ ตลอดทั้งการอยู่ในดินแดนท่ีเหมาะสม เหล่านี้ถือว่าเป็น
องค์ประกอบภายนอกท่จี ะเออื้ ให้เกดิ ปญั ญาได้
ผเู้ รียนจะรูแ้ ละเข้าใจหลกั ธรรมทเี่ ป็นแก่นสารของพุทธศาสนา วิธกี ารแก้ปญั หา
เฉพาะหน้าซึ่งเกิดจากการศึกษาค้นคว้าคัมภีร์มิลินทปัญหา โดยได้นาไปประยุกต์ในการ
พัฒนาการเรียนรู้ของตัวเองให้พัฒนาดีขึ้น ผู้สอนจะได้รบั ประโยชน์จากการศึกษาค้นคว้า
คัมภีร์มิลินทปัญหา และนาไปประยุกต์ในการพัฒนาการสอนให้เกิดประสิทธิภาพแก่
นักเรียนในด้านต่าง ๆ คือการสอนวิธีการโต้ตอบคาถามอย่างมีเหตุมีผล และการสอน
วธิ ีการถา่ ยทอดความรใู้ ห้แกผ่ อู้ ื่นใหเ้ ข้าใจไดโ้ ดยง่ายด้วยวธิ ีอปุ มา
๔. บทสรุป
คัมภีร์มิลินทปัญหาเป็นผลงานรจนาท่ีมีความโดดเด่นทางด้านวรรณศิลป์และ
คุณค่าทางด้านวรรณคดีเพราะสามารถสรรคามาบรรยายภาพให้มีความสมจริง ใช้อุปมา
อปุ มยั ให้เกิดมโนภาพ มีเทคนิคการประพันธ์ที่หลากหลาย มกี ารผสมผสานความร้มู าจาก
แหล่งข้อมูลต่าง ๆ ด้วยวิธีการเขียนที่สร้างสรรค์ และลาดับความคิดอย่างมีช้ันเชิง สร้าง
คุณค่าด้านเนื้อหา สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการแสวงหาความรู้ท้ังในเชิงปรัชญ าและ
ศาสนาได้เปน็ อย่างดี
๔๔๕ กรมศิลปากร, มลิ ินทปัญหา, หน้า ๘๔.
๒๕๕
คุณค่าด้านเน้ือหาและวรรณคดีในคัมภีร์มิลินทปัญหา ได้สะท้อนแสดงให้เห็น
หลักธรรมและหลักการปฏิบัติหลัก ๆ เช่น พระธรรมวินัยซึ่งมีความสาคัญ ต่อ
พระพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก การเจริญปัญญาและความคิด ความเชื่อเรื่องตายแล้วเกิด
การอุทิศผลบุญ การทาบุญและบาป การดารงวิถีชีวิตความเป็นอยู่เพื่อความสงบสุขของ
สังคมไดเ้ ป็นมรดกทางวฒั นธรรมพระพุทธศาสนาท่สี าคญั ของคนไทยตอ้ งศึกษา ตอ้ งปฏิบัติ
และสืบทอดกันต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแบบอย่างแห่งการปฏิบัติตอนจากพระพุทธ
จริยาวัตรท่ีพระองค์ทรงบาเพ็ญบารมีไว้เป็นแบบอย่างในหลาย ๆ ด้าน มาใช้เป็นหลักใน
การดารงชีวติ เช่น เร่ืองการทาบุญจะใหท้ าเสร็จสมประสงค์ต้องอธิษฐานจิต ต้ังเป้าหมาย
ชีวิตที่ตนปรารถนาไว้แบบข้ามภพข้ามชาติ ซ่ึงความปรารถนาน้ันจะสาเร็จได้ดังต้ังใจ
หรือไม่ ก็ต้องมีศีล สมาธิ ปัญญาให้บริบูรณ์ ต้องทาความดี ต้องรักษาความดี และหม่ัน
เพ่ิมพูนความดี ทาแต่กรรมดีต้องอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ยกตัวอย่างพระชาติที่ย่ิงใหญ่
ของพระพุทธเจา้ ทีท่ รงบาเพญ็ บารมอี ันยากย่ิงท่มี นษุ ยธ์ รรมดาจะทาได้ ซ่ึงได้ถ่ายทอดและ
แสดงให้เห็นถึงความเช่ือและความศรัทธาในพระพุทธศาสนาท่ีอยู่คู่กับสังคมไทย
นอกจากน้ัน ยังสะท้อนให้เห็นถึงประเพณีทางพระพุทธศาสนาทส่ี าคัญเกี่ยวกับการทาบุญ
การฟังเทศน์ของพุทธศาสนิกชน การตอ่ อายุให้ยงั่ ยืน เป็นต้น
ผู้อ่านคัมภีร์มิลินทปัญหาแล้วสามารถนาแนวคิดและประสบการณ์จากคาสอน
ต่าง ๆ ไปประยุกต์ใช้หรือแก้ปัญหาในชีวติ ประจาวันได้ เพราะมีเน้ือหาคาสอนครอบคลุม
ถึงการปฏิบัติตนและการอยู่ร่วมกันกับผู้อ่ืนที่มีลักษณะเด่นในด้านการสร้างเรื่องเพ่ือสอน
โดยเฉพาะการแสดงหลักธรรมที่เป็นเรื่องเปรียบเทียบหรือเป็นอุทาหรณ์ เป็นนิทานสาธก
ในวรรณคดีคาสอนเร่ืองอ่ืน คัมภีร์มิลินทปัญหาจึงเป็นแหล่งรวมคาสอนท่ีเน้นให้ประพฤติ
ตนเป็นคนดีและให้รู้จกั บทบาทหน้าท่ขี องตนในสังคม อันสอดคล้องกับหลักกรรมของพทุ ธ
ศาสนาซึง่ ไดก้ ลอ่ มเกลาจรยิ ธรรมแกค่ นทกุ ระดบั ในสังคมไทยดว้ ยกลวิธกี ารสอนแบบนิทาน
มีคุณค่าในด้านท่ีเป็นต้นแบบของวรรณคดีเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเร่ือง ที่อธิบายความเช่ือ
เร่ืองกฎแห่งกรรมอย่างเป็นเหตุและผล ซ่ึงมีอทิ ธิพลอย่างสูงต่อความคดิ และความเชื่อของ
คนในสงั คมไทยมาตลอดจนถึงปัจจบุ ัน
๒๕๖
บรรณานกุ รม
๑. ภาษาไทย
ก. ข้อมลู ปฐมภมู ิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย. พระไตรปิฎกภาษาไทยฉบับมหาจุฬาลงกรณราช
วทิ ยาลัย.กรุงเทพมหานคร: โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙.
ข. ข้อมูลทตุ ิยภูมิ
(๑) หนงั สอื :
สมคั ร บรุ าวาส.ปรีชาญาณของสิทธตั ถะ. กรุงเทพมหานคร: สานักพมิ พ์สยาม, ๒๕๓๗.
ปุ้ย แสงฉาย อนงคาราม. มลิ ินทปญั หาฉบับพรอ้ มด้วยอรรถกถา ฎีกา. กรงุ เทพมหานคร:
ลูก ส.ธรรมภักดี, ๒๕๒๘.
กรมศลิ ปากร. มิลินทปัญหา. พิมพ์คร้ังท่ี ๙. กรงุ เทพมหานคร : บริษัทประยูรวงศ์ พริ้นติ้ง
จากัด, ๒๕๕๐.
มหามกุฏราชวทิ ยาลยั .พุทธศาสนประวัติระหว่าง ๒๕๐๐ ปที ีล่ ว่ งแลว้ . กรุงเทพมหานคร:
โรงพมิ พ์สรุ วฒั น์, ๒๕๓๗.
ทันตแพทย์สม สุจรี า.ไอนส์ ไตน์พบ พระพุทธเหน็ . กรงุ เทพมหานคร: สานักพมิ พ์ อมรนิ ทร์
ธรรมะ, ๒๕๕๘.
(๒) วทิ ยานิพนธ์:
ประพนั ธ์ ศุภษร. “การศกึ ษาวิเคราะห์พฒั นาการแห่งการตอบปัญหาเร่ืองกรรมกบั อนัตตา
ในพระพุทธศาสนาเถรวาท”, วิทยานิพนธ์ปริญญาพุทธศาสตรดุษฎีบัณฑิต.
บณั ฑิตวิทยาลัย :มหาวทิ ยาลัยมหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐.
ธนิดา ปัทมพรพงศ์. “วาทวิเคราะห์เร่ืองมิลินทปัญหา”,วิทยานิพนธ์นิเทศศาสตรมหา
บัณฑติ . บณั ฑติ วิทยาลัย:มหาวิทยาลยั มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลัย, ๒๕๕๒.
นพดล เจนอกั ษร. “การศึกษาวิธีสอนของพระพุทธเจ้า”, วทิ ยานิพนธ์ปริญญาการศึกษา
มหาบัณฑิต. บัณฑิตวิทยาลัย: มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ มหาสารคาม,
๒๕๒๖.