๒๓๑
236
นอกจากนี้ ในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ผู้เรียนจะต้องอาศัยกระบวนการ
เรียนรู้ที่หลากหลาย เป็นเครื่องมือที่จะนำพาตนเองไปสู่เป้าหมายของหลักสูตร โดยมีกระบวนการ
เรียบรู้ที่จำเป็นสำหรับผู้เรียน อาทิ กระบวนการเรียนรู้แบบบูรณาการ กระบวนการสร้างความรู้
กระบวนการคิด กระบวนการทางสังคม กระบวนการเผชิญสถานการณ์และแก้ปัญหา กระบวบการ
เรียนรู้จากประสบการณ์จริง กระบวนการปฏิบัติ ลงมือทำจริง กระบวนการจัดการ กระบวนการวิจยั
กระบวนการเรียนรู้ด้วยตบเอง กระบวบการพัฒนาลักษณะนิสัย ซึ่งกระบวนการเหล่านี้เป็นแนวทาง
ในการจัดการเรยี นรู้ที่ผ้เู รยี นควรไดร้ ับการฝึกฝนพฒั นา เพราะจะสามารถชว่ ยให้ผเู้ รียนเกิดการเรียนรู้
ไดด้ ี บรรลุตามเปา้ หมายของหลกั สตู รอย่างมีประสิทธภิ าพ๔
เกณฑก์ ารประเมนิ ตามมาตรฐานการศึกษาแหง่ ชาติ
จากพระราชบัญญัติการศึกษา พ.ศ. ๒๕๔๒ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
ได้พัฒนาแนวทางการประเมินตามมาตรฐานการศึกษาแห่งชาติไว้ ซึ่งการจัดกิจกรรมการเรียนการ
สอนโดยเน้นผู้เรียนเป็นสำคญั เป็นมาตรฐานท่ี ๖ เกี่ยวกับการจัดกิจกรรมการเรียนการสอน โดยเนน้
ผู้เรียนเป็นสำคัญที่ว่า “การจัดการเรียนการสอนโดยเน้นให้ผู้เรียนมีโอกาสในการแสวงหาความรู้ ได้
ด้วยตนเอง โดยครูเปลี่ยนบทบาทจากผู้ให้มาเป็นผู้ช้ีนำความรู้และจัดประสบการณ์การเรียนรู้ให้
ผเู้ รยี นอยา่ งเหมาะสม”๕
คณุ ลักษณะผู้เรียนตามความคาดหวังของสังคม
ผู้ทรงคุณวุฒิด้านการเรียนการสอน นักการศึกษา นักคิด ครูอาจารย์ ผู้บริหาร ผู้เรียน
และทุกฝ่ายที่เกย่ี วข้องกบั การจดั การศึกษาได้ให้ความคิดเหน็ เกี่ยวกบั ลักษณะผูเ้ รียนท่ีพงึ ประสงค์และ
กระบวนการเรียนการสอนที่สนองต่อแนวการจัดการศึกษาของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
พ.ศ. ๒๕๔๒ โดยสรุปลักษณะผู้เรียนที่พึงประสงค์ว่า ผู้เรียนควรเป็นคนดี คนเก่ง และคนมีความสุข
ดังน้ี๖
๑) คนดี คือ คนที่ดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีจิตใจที่ดีงาม มีคุณธรรม จริยธรรม
มีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ทัง้ ดา้ นจิตใจและพฤติกรรมทีแ่ สดงออก เช่น มีวินัย มีความเอื้อเพื่อเก้อื กลู
มเี หตุผล รหู้ นา้ ท่ี ซอ่ื สตั ย์ พากเพียร ขยัน ประหยดั มีจติ ใจเป็นประชาธปิ ไตย เคารพความคิดเห็นและ
สทิ ธขิ องผู้อื่น มคี วามเสียสละ รกั ษาสงิ่ แวดลอ้ ม สามารถอยรู่ ว่ มกบั ผอู้ ื่นอยา่ งสนั ติสขุ
๔ กรมวิชาการ กระทรวงศกึ ษาธิการ, หลักสตู รแกนกลางการศกึ ษาข้ันพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑,
(กรงุ เทพมหานคร : ชมุ นมุ สหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๑), หนา้ ๖-๒๗.
๕ สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาต,ิ พระราชบัญญัตกิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และ
ทแี่ กไ้ ขเพิ่มเตมิ , (กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พ์เดอะบคุ ส์, ๒๕๕๖), หนา้ ๑๒-๑๔.
๖ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, ยุทธศาสตร์การเรียนตลอดชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑,
(กรุงเทพมหานคร : องค์การคา้ ของครุ ุสภา, ๒๕๔๓), หนา้ ๑๑-๑๔.
๒๓๒
237
๒) คนเก่ง คือ คนทม่ี ีสมรรถภาพสูงในการดำเนนิ ชวี ิต โดยมีความสามารถดา้ นใด ด้าน
หนึง่ หรอื รอบด้าน หรือมีความสามารถพิเศษเฉพาะทาง เช่น ทกั ษะและกระบวนการทางวิทยาศาสตร์
ความสามารถทางคณิตศาสตร์ มีความคิดสร้างสรรค์ มีความสามารถดา้ นภาษา ศิลปะ ดนตรี กีฬา มี
ภาวะผู้นำ รู้จักตนเอง ควบคุมตนเองได้ เป็นคนทันสมัย ทันเหตุการณ์ ทันโลก ทันเทคโนโลยี มีความ
เป็นไทย สามารถพัฒนาตนเองได้อย่างเต็มศักยภาพ และทำประโยชน์ให้เกิดแก่ตน สังคม และ
ประเทศชาติได้
๓) คนมีความสุข คือ คนที่มีสุขภาพดีทั้งกายและจิต เป็นคนร่าเริงแจ่มใส ร่างกาย
แข็งแรง จิตใจเข็มแข็ง มีมนุษยสัมพันธ์ มีความรักต่อทุกสรรพสิ่ง มีอิสรภาพจากการตกเป็นทาสของ
อบายมขุ และสามารถดำรงชีวติ ได้อยา่ งพอเพียงแก่อัตภาพ
จากลักษณะผู้เรียนที่พึงประสงค์ข้างต้น กระบวนการจัดการเรียนการสอนที่พึง
ประสงค์ จึงควรเป็นกระบวนการเรียนการสอนโดยใช้กระบวนการทางปัญญาที่พัฒนาบุคคลอย่าง
ต่อเนื่องตลอดชีวิต สามารถเรียนรู้ได้ทุกเวลา ทุกสถานที่โดยเป็นกระบวนการ เรียนรู้ที่มีความสุข
บูรณาการเนื้อหาสาระตามความเหมาะสมของระดับการศึกษาเพื่อให้ผู้เรียนได้ มีความรู้เกี่ยวกับ
ตนเองและความสัมพันธ์ของตนเองกับสังคม สาระการเรียนรู้สอดคล้องกับความสนใจของผู้เรียน
ทันสมัย เน้นกระบวนการคิด และการปฏิบัติจริง ได้เรียนรู้ตามสภาพจริง สามารถนำไปใช้ประโยชน์
ได้อย่างกว้างไกล เป็นกระบวนการที่มีทางเลือกและมีแหล่งเรียนรู้ ที่หลากหลายน่าสนใจ เป็น
กระบวนการเรียนรู้ร่วมกนั โดยมผี เู้ รียน ครู และผมู้ ีสว่ นเก่ยี วขอ้ ง ทกุ ฝ่ายร่วมจดั บรรยากาศให้เอื้อต่อ
การเรยี นรู้และมุ่งประโยชนข์ องผูเ้ รยี นเป็นสำคัญ๗
๒. กลมุ่ สาระการเรยี นรู้สงั คมศกึ ษา ศาสนา และวัฒนธรรม
สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม เป็นกลุ่มสาระการเรียนรู้ในหลักสูตรแกนกลาง
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑ ที่ผู้เรียนระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษาทุกคน
ตอ้ งเรยี นเปน็ วชิ าที่ช่วยใหผ้ ู้เรียนมีความรู้ ความเข้าใจว่ามนษุ ย์ดำรงชวี ติ อยา่ งไรในฐานะปัจเจกบุคคล
และการอยู่ร่วมกันในสังคม การปรับตัวทางสภาพแวดล้อม การจัดการทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัด
นอกจากนยี้ งั ช่วยให้ผเู้ รียนเขา้ ใจถึงการพฒั นาการเปลยี่ นแปลงตามยุกต์สมยั กาลเวลา ตามเหตุปัจจัย
ต่าง ๆ ทำให้เกิดความเข้าใจในตนเองและผู้อื่นมีความอดทนอดกลั้นยอมรับในความแตกต่างและมี
๗ ชัยวฒั น์ สุทธิรตั น,์ ๘๐ นวตั กรรมการจัดการเรยี นรู้ทเ่ี นน้ ผู้เรยี นเปน็ สำคญั , พิมพค์ รัง้ ที่ ๗,
(นนทบรุ ี : พี บาลานซ์ดไี ซด์แอนปรนิ้ ตงิ้ , ๒๕๕๙), หน้า ๑๔-๑๕.
๒๓๓
238
คณุ ธรรมปรับใช้ในการดำรงชวี ติ เปน็ พลเมืองที่ดีของประเทศชาตแิ ละสังคมโลก๘ ช้ใี หเ้ หน็ ว่า สังคม
ศึกษาเป็นวิชาที่สามารถพัฒนาพลเมืองเพื่อการอยู่ร่วมกันในสังคมมีความเชื่อมสัมพันธ์กัน และให้
มนุษย์เข้าใจความแตกต่างกันอย่างหลากหลาย และช่วยให้สามารถปรับตนเองกับบริบท
สภาพแวดล้อมเป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบ มีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่เหมาะสม
โดยได้กำหนดสาระต่าง ๆ ไว้ ๕ สาระดงั น้ี
๑) ศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนาศีลธรรมจริยธรรม
หลักธรรมของพระพุทธศาสนา หรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการ
พัฒนาตนเอง และการอยู่ร่วมกันอย่างสนั ตสิ ุขเป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงาม พัฒนาตนเองอยู่
เสมอรวมทงั้ เป็นประโยชนต์ อ่ สงั คมและสว่ นรวม
๒) หนา้ ทพี่ ลเมือง วฒั นธรรมและการดำเนินชวี ิตในสังคม ระบบการเมอื งการปกครอง
ในสังคมปัจจุบัน การปกครองระบอบประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ท์ รงเปน็ ประมุข ลักษณะและ
ความสำคัญการเป็นพลเมืองดีความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ค่านิยม ความเช่ือ
ปลูกฝงั คา่ นิยมด้านประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตรยิ เ์ ป็นประมุข สทิ ธิ หนา้ ที่เสรภี าพการดำเนินชีวิต
อยา่ งสันตสิ ุขในสังคมไทยและสงั คมโลก
๓) เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจา่ ย และการบรโิ ภคสนิ ค้าและบริการ การบริหาร
จดั การทรพั ยากรท่มี ีอยู่อย่างจำกัดอย่างมปี ระสิทธิภาพ การดำรงชวี ิตอย่างมีดุลภาพ และการนำหลัก
เศรษฐกจิ พอเพยี งไปใชใ้ นชีวิตประจำวัน
๔) ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์
พฒั นาการของมนุษยชาติจากอดีตถึงปัจจุบัน ความสัมพนั ธ์และการเปล่ียนแปลงของเหตุการณ์ต่าง ๆ
ผลกระทบที่เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ใน
อดตี ความเป็นมาของชาตไิ ทย วฒั นธรรมและภูมิปญั ญาไทย แหลง่ อารยธรรมท่สี ำคัญของโลก
๕) ภูมิศาสตร์ ลักษณะของโลกทางกายภาพ ลักษณะทางกายภาพ แหล่งทรัพยากร
และภูมิอากาศของประเทศไทย และภูมิปัญญาไทย แหล่งอารยธรรมที่สำคัญของโลก การใช้แผนที่
และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่าง ๆ ในระบบธรรมขาติ ความสัมพันธ์ของ
มนษุ ย์กับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และส่งิ ที่มนษุ ยส์ ร้างข้นึ การนำเสนอขอ้ มูลภมู สิ ารสนเทศ การ
อนรุ กั ษ์สิ่งแวดล้อมเพือ่ การพฒั นาท่ยี ัง่ ยืน๙
๘กระทรวงศึกษาธิการ, หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพช์ มุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย, ๒๕๕๑), หนา้ ๑๓๒.
๙ กระทรวงศึกษาธิการ, ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางกลุ่มสาระเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์
การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๑), หน้า ๑๓๒-๑๓๕.
๒๓๔
239
สาระและมาตรฐานการเรียนรู้
สาระท่ี ๑ ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม
มาตรฐาน ส ๑.๑ รู้ และเข้าใจประวัติ ความสำคัญ ศาสดา หลักธรรมของ
พระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือและศาสนาอื่น มีศรัทธาที่ถูกต้อง ยึดมั่น และปฏิบัติตาม
หลกั ธรรม เพือ่ อยู่รว่ มกันอยา่ งสนั ตสิ ุข
มาตรฐาน ส ๑.๒ เข้าใจ ตระหนักและปฏบิ ตั ิตนเป็นศาสนกิ ชนที่ดี และธำรงรกั ษา
พระพุทธศาสนาหรอื ศาสนาทตี่ นนบั ถือ
สาระท่ี ๒ หนา้ ท่พี ลเมอื ง วฒั นธรรม และการดำเนินชวี ติ ในสังคม
มาตรฐาน ส ๒.๑ เข้าใจและปฏิบัตติ นตามหนา้ ที่ของการเป็นพลเมืองดี มีค่านิยมที่ดี
งาม และธำรงรักษาประเพณีและวัฒนธรรมไทย ดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันในสังคมไทย และ สังคมโลก
อย่างสนั ติสุข
มาตรฐาน ส ๒.๒ เขา้ ใจระบบการเมืองการปกครองในสังคมปัจจุบนั ยึดมัน่ ศรัทธา
และธำรงรักษาไว้ซึ่งการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มีพระมหากษตั รยิ ์ทรงเปน็ ประมุข
สาระท่ี ๓ เศรษฐศาสตร์
มาตรฐาน ส.๓.๑ เข้าใจและสามารถบริหารจัดการทรัพยากรในการผลิตและการ
บริโภคการใช้ทรัพยากรที่มีอยู่จำกัดได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่า รวมทั้งเข้าใจ หลักการของ
เศรษฐกจิ พอเพียง เพอื่ การดำรงชวี ติ อยา่ งมดี ุลยภาพ
มาตรฐาน ส.๓.๒ เข้าใจระบบ และสถาบันทางเศรษฐกิจต่าง ๆ ความสัมพันธ์ทาง
เศรษฐกจิ และความจำเปน็ ของการรว่ มมือกนั ทางเศรษฐกิจในสงั คมโลก
สาระท่ี ๔ ประวตั ศิ าสตร์
มาตรฐาน ส ๔.๑ เข้าใจความหมาย ความสำคัญของเวลาและยุคสมัยทาง
ประวตั ศิ าสตร์ สามารถใช้วธิ ีการทางประวตั ิศาสตร์มาวิเคราะหเ์ หตุการณต์ ่างๆ อยา่ งเปน็ ระบบ
มาตรฐาน ส ๔.๒ เข้าใจพัฒนาการของมนุษยชาติจากอดีตจนถึงปัจจุบัน ในด้าน
ความสัมพันธ์และการเปลี่ยนแปลงของเหตุการณ์อย่างต่อเนื่อง ตระหนักถึงความสำคัญและสามารถ
วเิ คราะหผ์ ลกระทบทเ่ี กดิ ขึน้
มาตรฐาน ส ๔.๓ เข้าใจความเป็นมาของชาติไทย วัฒนธรรม ภูมิปัญญาไทย มีความ
รกั ความภูมิใจและธำรงความเป็นไทย
๒๓๕
240
สาระที่ ๕ ภูมิศาสตร์
มาตรฐาน ส ๕.๑ เขา้ ใจลกั ษณะของโลกทางกายภาพ และความสมั พันธ์ของสรรพสิ่ง
ซึ่งมีผล ต่อกันและกันในระบบของธรรมชาติ ใช้แผนที่และเครื่องมือทางภูมิศาสตร์ ในการค้นหา
วเิ คราะห์ สรปุ และใชข้ อ้ มลู ภูมิสารสนเทศอยา่ งมปี ระสิทธิภาพ
มาตรฐาน ส ๕.๒ เข้าใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสภาพแวดล้อมทางกายภาพท่ี
ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์วัฒนธรรม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ทรัพยากรและ
สง่ิ แวดล้อม เพื่อการพฒั นาที่ย่ังยืน
คณุ ภาพผเู้ รียน
จบชัน้ มัธยมศึกษาปีท่ี ๓
-ได้เรียนรู้และศึกษาเกี่ยวกับความเป็นไปของโลก โดยการศึกษาประเทศไทย
เปรยี บเทยี บกบั ประเทศในภมู ิภาคตา่ งๆในโลก เพอ่ื พฒั นาแนวคดิ เรือ่ งการอยรู่ ่วมกันอยา่ งสันตสิ ขุ
-ได้เรียนรู้และพัฒนาให้มีทักษะที่จำเป็นต่อการเป็นนักคิดอย่างมีวิจารณญาณได้รับ
การพัฒนาแนวคิด และขยายประสบการณ์ เปรียบเทียบระหว่างประเทศไทยกับประเทศในภูมิภาค
ต่าง ๆ ในโลก ได้แก่ เอเชีย โอเชียเนีย แอฟริกา ยุโรป อเมริกาเหนือ อเมริกาใต้ ในด้านศาสนา
คุณธรรม จริยธรรม ค่านิยม ความเชื่อ ขนบธรรมเนียม ประเพณี วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง
ประวตั ศิ าสตรแ์ ละภูมิศาสตร์ ดว้ ยวิธกี ารทางประวัติศาสตร์ และสังคมศาสตร์
- ได้รับการพัฒนาแนวคิดและวิเคราะห์เหตุการณ์ในอนาคต สามารถนำมาใช้เป็น
ประโยชน์ในการดำเนนิ ชวี ติ และวางแผนการดำเนินงานไดอ้ ยา่ งเหมาะสม
จบช้นั มธั ยมศกึ ษาปที ่ี ๖
- ไดเ้ รียนร้แู ละศกึ ษาความเป็นไปของโลกอย่างกว้างขวางและลกึ ซึ้งยิ่งขนึ้
- ได้รับการส่งเสริมสนับสนุนให้พัฒนาตนเองเป็นพลเมืองที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม
ปฏิบัติตามหลักธรรมของศาสนาที่ตนนับถือ รวมทั้งมีค่านิยมอันพึงประสงค์ สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่น
และอยใู่ นสงั คมไดอ้ ยา่ งมคี วามสขุ รวมท้ังมศี กั ยภาพเพอื่ การศกึ ษาต่อในชน้ั สงู ตามความประสงค์ได้
- ได้เรียนรู้เรอื่ งภมู ปิ ญั ญาไทย ความภูมใิ จในความเป็นไทย ประวัตศิ าสตรข์ องชาติไทย
ยดึ ม่ันในวถิ ชี ีวติ และการปกครองระบอบประชาธิปไตยอนั มพี ระมหากษัตริย์ทรงเปน็ ประมุข
- ได้รับการส่งเสริมให้มีนิสัยที่ดีในการบริโภค เลือกและตัดสินใจบริโภคได้อย่าง
เหมาะสม มีจิตสำนึก และมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ ประเพณีวัฒนธรรมไทย และสิ่งแวดล้อม มีความ
รักท้องถิ่นและประเทศชาติ มุ่งทำประโยชน์ และสร้างสิ่งที่ดีงามให้กับสังคม เป็นผู้มีความรู้
๒๓๖
241
ความสามารถในการจัดการเรียนรู้ของตนเอง ชี้นำตนเองได้ และสามารถแสวงหาความรู้จากแหล่ง
การเรยี นรตู้ ่างๆในสงั คมไดต้ ลอดชวี ติ ๑๐
สรุปได้ว่า กลุ่มสาระสังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ในหลักสูตรแกนกลางการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน พ.ศ. ๒๕๕๑ ประกอบไปด้วย ๕ สาระได้แก่ ๑) ศาสนา ศีลธรรม และจริยธรรม ๒) หนา้ ท่ี
พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนินชีวิตในสังคม ๓) เศรษฐศาสตร์ ๔) ประวัติศาสตร์ และ ๕)
ภูมิศาสตร์ ซึ่งเป็นกระบวนการขัดเกลาและพัฒนาเด็กและเยาชนให้เป็นคนดี คนเก่ง และมีความสุข
กล่าวคือ คนดี ได้แก่ การพัฒนาบุคคลให้สามารถดำเนินชีวิตอย่างมีคุณภาพ มีจิตใจดีงาม มีศีลธรรม
คุณธรรมและจริยธรรม มีคุณลักษะอันพึงประสงค์ทั้งทางด้านจิตใจและทางพฤติกรรมทัง้ ที่แสดงออก
ต่อตนเองผู้อื่น เช่น การควบคุมอารมณ์และความต้องการของตนเอง การมีวินัยและความรับผิดชอบ
เอื้อเฟอ้ื เผ่ือแผ่ รู้หนา้ ท่เี ข้าใจยอมรับผอู้ น่ื ซื่อสัตย์ มีจิตสาธารณะ คนเกง่ ๑๑ไดแ้ ก่ การพัฒนาบุคคลให้มี
สมรรถภาพในการดำเนนิ ชีวิตมีความสามารถด้านใดด้านหนึ่งหรือรอบดา้ น เช่น มีภาวะความเป็นผู้นำ
และผู้ตามที่ดี มีความใฝ่รู้ใฝ่เรียนกล้าแสดงออกอย่างเหมาะสม รู้จักใช้เหตุผล คิดเป็น ทำเป็น
แก้ปัญหาได้ ก้าวทนั โลก ร้จู กั บรู ณาการความรู้และประยกุ ต์ใช้ในชีวิตจรงิ ได้ และสดุ ทา้ ยคนมีความสุข
ได้แก่ การมสี ขุ ภาพท่ดี ที ัง้ ร่างกายและจิตใจ การอยู่ร่วมกันในสงั คมธรรมชาติ และเทคโนโลยี เช่น รจู้ ัก
ภูมิใจในตนเองเห็นคุณค่าในตนเอง เชื่อมั่นในตนเอง มองโลกในแง่ดี พอใจในสิ่งที่ตนมอี ยู่มีความสงบ
ทางจติ ใจ
๓. หลกั การและแนวทางจดั การเรยี นรูส้ งั คมศกึ ษา
หลักและแนวทางในการจัดการเรียนรู้เป็นส่ิงทมี่ ีความสำคัญ ซงึ่ ในการจดั การเรียนรู้สังคม
ศึกษา ครูผู้สอนนับว่าเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการในการส่งเสริม สนับสนุนและพัฒนาการเรียนรู้
ของผู้เรียน การจัดการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพต้องได้รับความร่วมมือทั้งจากผู้สอนและผู้เรียน ดังท่ี
อทิ ธเิ ดช นอ้ ยไม้๑๒ ไดเ้ สนอแนะว่า การจัดการเรยี นการสอนตอ้ งเป็นความร่วมมือกนั ระหว่างครูผู้สอน
๑๐ กระทรวงศึกษาธิการ, ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางกลุ่มสาระเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม ตามหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์
การเกษตรแหง่ ประเทศไทย, ๒๕๕๒), หน้า ๑๓๔-๑๓๕.
๑๑ วิภาพรรณ พินลา และวิภาดา พินลา, การจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาในยุคศตวรรษที่ ๒๑,
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๖๑), หน้า ๒๑.
๑๒ อิทธิเดช น้อยไม้, หลักสูตรและการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : บริษัท โอ.
เอส.พร้ินต้งิ เฮ้าส์, ๒๕๖๐), หนา้ ๗๘.
๒๓๗
242
และผู้เรียน ความสนใจและความอยากรู้อยากเห็นของผู้เรียน การจัดการเรียนการสอนจะสามารถ
ตอบความต้องการ ทำใหผ้ เู้ รยี นไดข้ ้อมลู ขอ้ เท็จจรงิ แนวคดิ และหลกั การต่าง ๆเพ่ิมขึ้น
หลักการสำคัญเพื่อการจัดการเรียนรู้ที่สังคมศึกษาที่มีประสิทธิภาพมีหลักการที่สำคัญ
หลายประการ ซึ่งวลัย อิศรางกูร ณ อยุธยา๑๓ ได้เสนอแนวคิดเกี่ยวกับหลักการสำคัญของการจัดการ
เรยี นรวู้ ชิ าสังคมศกึ ษา วา่ ควรมีลักษณะดังน้ี
(๑) เนน้ ผเู้ รียนเป็นศนู ย์กลาง ให้ผู้เรยี นมีส่วนร่วมและลงมือปฏบิ ตั ิให้มากท่ีสดุ
(๒) เนน้ กจิ กรรมทเี่ ปน็ ประสบการณ์ตรง
(๓) เน้นผลลพั ธก์ ารเรียนรู้ทผ่ี ู้เรียนสามารถนำไปใช้ในชีวติ จริงได้ เพื่อให้เกดิ การเรียนรู้ที่มี
ความหมาย
(๔) วางแผนการจัดเน้ือหาและกิจกรรมให้เป็นขั้นตอน จะทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ไดด้ ี
ข้นึ
(๕) เปิดโอกาสให้ผู้เรยี นไดเ้ รียนรู้รว่ มกับผอู้ ื่น
(๖) ใช้สอื่ การเรยี นร้เู พ่อื พฒั นาสิง่ ทเี่ ป็นนามธรรมหรอื มีความซับซอ้ นใหเ้ ข้าใจง่ายยง่ิ ข้นึ
นอกจากนี้ ดวงกมล สินเพ็ง๑๔ ได้เสนอแนะหลักการจัดการเรียนรู้ในวิชาสังคมศึกษาให้มี
ประสทิ ธิภาพไว้ดังนี้
(๑) จัดการเรียนรู้ที่มีความหมาย โดยเน้นแนวคิดที่สำคัญ ๆ ที่ผู้เรียนสามารถนำไปใช้ทั้ง
ในและนอกโรงเรียนได้ เป็นแนวคิด ความรู้ที่คงทน ยั่งยืน มากกว่าที่จะศึกษาในสิ่งทีเ่ ปน็ เนือ้ หา หรือ
ข้อเท็จจริงที่มากมายกระจัดกระจายแต่ไม่เป็นแก่นสาร ด้วยการจัดกิจกรรมที่มีความหมายต่อผู้เรยี น
และด้วยการประเมินผลที่ทำให้ผู้เรียนต้องใส่ใจสิ่งที่เรียน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาได้เรียนรู้ และ
สามารถทำอะไรได้บา้ ง
(๒) จัดการเรียนรู้ที่บูรณาการ การบูรณาการตั้งแต่หลักสูตร หัวข้อที่เรียนโดยเชื่อมโยง
เหตกุ ารณ์ พฒั นาการตา่ งๆ ท้งั ในอดตี และปจั จบุ ันทีเ่ กิดขนึ้ ในโลกเขา้ ดว้ ยกัน บูรณาการความรู้ ทักษะ
๑๓ วลยั อิศรางกูร ณ อยธุ ยา, หน่วยท่ี ๒ การจัดการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษา, ประมวลชดุ สาระชดุ วิชาการ
จัดประสบการณ์การเรียนรู้สังคมศึกษา หน่วยที่ ๑-๕, (นนทบุรี : สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช,
๒๕๕๔), หน้า ๑๘-๑๙.
๑๔ ดวงกมล สินเพ็ง, การพัฒนาผู้เรียนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ,
(กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์แหง่ จุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๕๑), หนา้ ๕๓-๕๔.
๒๓๘
243
ค่านิยม และจริยธรรมลงสู่การปฏิบัติจริงด้วยการใช้แหล่งความรู้ สื่อ และเทคโนโลยีต่าง ๆ และ
สมั พันธก์ บั วชิ าต่าง ๆ
(๓) จัดการเรียนรู้ที่เน้นการพัฒนาคำนิยม จริยธรรม จัดหัวข้อหน่วยการเรียนที่สะท้อน
ค่านิยม จริยธรรม บรรทัดฐานในสังคม การนำไปใช้ในการดำรงชีวิต ช่วยผู้เรียนให้ได้คิดอย่างมี
วิจารณญาณ ตัดสินใจแก้ปัญหาต่าง ๆ ยอมรับและเข้าใจในความคิดเห็นที่แตกต่างไปจากตน และ
รบั ผิดชอบต่อสงั คมสว่ นรวม
(๔) จัดการเรียนที่ท้าทาย คาดหวังให้ผู้เรียนได้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ทั้งในส่วนความรู้
ด้วยตนเอง จัดการตัวเองได้ มีวินัยในตนเองทัง้ ด้านการเรยี น และการดำเนินชีวิตเนน้ การจดั กิจกรรม
ท่ีเปน็ จริง เพื่อให้ผ้เู รียนนำความรู้ ความสามารถไปใช้ในชวี ิตจรงิ
(๕) จัดการเรียนการสอนที่เน้นการปฏิบัติ ให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิด การตัดสินใจ
สร้างสรรค์ความรู้ดว้ ยตนเอง จัดการตวั เองได้ มวี นิ ัยในตนเองท้งั ดา้ นการเรยี นและการดำเนินชีวิตเน้น
การจดั กจิ กรรมทเ่ี ปน็ จริง เพ่อื ใหผ้ ้เู รยี นนำความรู้ ความสามารถไปใชใ้ นชีวติ จริง
จากที่กล่าวมาข้างต้นสรุปได้ว่า หลักการสำคัญของการจัดการเรียนรู้วิชาสังคมศึกษา
ได้แก่ จัดการเรียนรู้ที่มีความหมาย โดยเน้นแนวคิดที่สำคัญ ๆ เน้นการพัฒนาค่านิยม จริยธรรม มี
การบูรณาการเน้นการปฏิบัติให้ผู้เรียนได้พัฒนาการคิด ให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมและลงมือปฏิบัติให้มาก
ที่สุด จัดการเรียนที่ท้าทายผู้เรียน เน้นกิจกรรมที่เป็นประสบการณ์ตรง และใช้สื่อการเรียนรู้เพื่อให้
ผู้เรียนเขา้ ใจง่ายย่งิ ขึน้
แนวทางการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาเป็นเสมือนแนวทางให้ผู้สอนได้ปฏิบัติตามเพ่ือ
พัฒนาผู้เรียนให้มีความรู้ความเข้าใจในเนื้อหานั้น ๆ สิริวรรณ ศรีหพล ๑๕ ได้เสนอแนะแนวทางการ
จัดการเรยี นรู้ในวชิ าสังคมศึกษาไว้ ดังนี้
(๑) การจัดการเรียนรู้ทีด่ ีต้องชว่ ยให้ผ้เู รียนสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ในด้านความรู้ความ
เข้าใจในเนอื้ หาสาระ ด้านเจตคติ และดา้ นทกั ษะ
(๒) ควรกำหนดเปา้ หมายของการจดั กิจกรรมการเรยี นรู้ให้แนช่ ัดว่ากจิ กรรมการเรียนรู้น้ัน
ๆ จะจดั ขนึ้ เพอื่ ใหบ้ รรลุวัตถุประสงคด์ า้ นใดของการเรยี นรู้
๑๕ สิรวิ รรณ ศรีหพล, หนว่ ยท่ี ๔ การจดั ระบบการเรียนการสอนในวิชาสังคมศกึ ษา, เอกสารการ
สอนชดุ วชิ าการสอนสงั คมศกึ ษา หน่วยที่ ๑-๗, (นนทบุรี : สำนักพมิ พม์ หาวทิ ยาลยั สโุ ขทยั ธรรมาธิราช, ๒๕๔๗),
หน้า ๑๖๖-๑๖๗.
๒๓๙
244
(๓) กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีประสิทธิภาพ คือ กิจกรรมที่สามารถสนองวัตถุประสงค์ของ
บทเรยี นไดห้ ลายประการ และก่อใหเ้ กิดการเรียนร้หู ลายด้านไปพร้อม ๆ กนั ดว้ ย
(๔) การจดั กจิ กรรมการเรียนร้อู ย่างมลี ำดบั ข้นั ตอน ชว่ ยใหผ้ ู้เรยี นเกิดการเรยี นรูท้ ี่ต่อเน่ือง
ดังนั้นกิจกรรมการเรยี นรู้จึงควรเชื่อมโยงกับประสบการณ์เดิมของผู้เรยี น โดยเฉพาะอย่างยิง่ การสอน
เพื่อพัฒนาเจคติและวิธีคิด ควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนจากสื่อการสอนเพื่อพัฒนาเจต
คติและวิธีคิด ควรจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้ผู้เรียนเรียนจากสิ่งที่ง่ายไปสู่สิ่งที่ยากและซับซ้อน
ขึ้น และจากใกล้ตัวไปสู่สิ่งที่ห่างจากตัวผู้เรียนหรือเรียนจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปสู่สิ่งที่เป็นนามธรรม
เปน็ ต้น
(๕) การจัดการเรียนรู้ที่มีคุณภาพจะช่วยให้ผู้เรียนมีพัฒนาการทั้งด้านความรู้ ความคิด
และทักษะ ตลอดจนความสามารถที่นำความรู้ ความคิด และทักษะต่าง ๆ เหล่านั้นไปใช้ประโยชนใ์ น
การเรยี นรขู้ ั้นทส่ี ูงกว่า และซบั ซอ้ นกวา่ เปน็ ลำดับได้
(๖) การจัดการเรียนรู้ที่ท้าทาย ผู้เรียนได้ประยุกต์ความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ สามารถ
คาดการณ์ ตั้งข้อสมมุติเพื่อแก้ปัญหาใหม่ ๆ ได้ จะช่วยให้ผูเ้ รียนนำวิธีการนี้ไปใช้ศึกษาด้วยตนเองได้
ตลอดไป
(๗) การจดั การเรียนรู้ที่เก่ยี วกบั การพัฒนาทักษะทางปัญญาควรมีครบทั้งสองลักษณะ คือ
การรับรู้และเข้าใจเรื่องราวใหม่ที่ได้รับการเรียบเรียง ตีความ และอธิบายในรูปของมโนมติสำเร็จรูป
แล้ว กับอีกลักษณะหนึ่ง คือ การเรียนรู้เกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งแล้วสามารถสรุปและอธิบายได้ด้วย
วิธีการของตนเอง
(๘) ในการพัฒนาความคดิ ให้แตกฉาน ผู้เรียนต้องมีโอกาสเสรีที่จะสรุปแนวคิดและทักษะ
ในการเรียบเรียงข้อมูล ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ที่ดีควรกระตุ้นให้ผู้เรียนแสวงหาข้อมูล คิดและหา
วิธกี ารแกป้ ญั หา และกำหนดขอ้ สรุปไดด้ ว้ ยตนเองหลาย ๆ แบบ
(๙) การเรียนรู้นั้นอาจทำได้หลายวิธีการ เช่น อาจจะเรียนจากหนังสือเรียน จากการ
สังเกต จากการวิเคราะห์ และจากการอภิปรายโต้เถียงกัน และเนื่องจากผู้เรียนแต่ละคนก็มีวิธีเรียน
แตกต่างกัน ดังนั้น การจัดการเรียนรู้ที่ดีจึงควรกว้างขวาง และยืดหยุ่นพอที่ผู้เรียนสามารถเลือกทำ
กจิ กรรมไดต้ ามความสามารถและความสนใจของตน
๒๔๐
245
(๑๐) การจัดการเรียนรู้ควรคำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน โดยจัดให้มี
กิจกรรมการเรียนรู้หลาย ๆ ลักษณะ ทั้งในและนอกห้องเรียนเพื่อให้ผู้เรียนประสบความสำเร็จตาม
ความสามารถของตน และควรตดิ ตามผลพฒั นาการดา้ นตา่ ง ๆ ของผเู้ รยี นอย่างสมำ่ เสมอ
(๑๑) การฝึกหดั เป็นสิง่ จำเป็น โดยเฉพาะอยา่ งยงิ่ ในการพัฒนาทักษะ ดังน้นั กจิ กรรมการ
เรียนการสอนท่ดี คี วรเปดิ โอกาสให้นักเรยี นมีโอกาสปฏิบัติทักษะตา่ ง ๆ อย่างท่วั ถงึ
(๑๒) การจัดการเรียนรู้ที่ดีต้องสอดคล้องกับปรัชญาการศึกษา จิตวิทยาการศึกษาและ
สภาพแวดลอ้ มทางสงั คมของผู้เรียนด้วย
สรุปได้ว่า แนวทางการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาควรมีการจัดกิจกรรมการเรียนรู้อย่างมี
ลำดับขั้นตอน คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบคุ คลของผู้เรยี นโดยจัดให้มกี ิจกรรมการเรียนรู้หลาย ๆ
ลักษณะ ควรเปดิ โอกาสให้นกั เรียนมโี อกาสปฏิบตั ิทกั ษะต่าง ๆ อย่างทวั่ ถงึ เพือ่ ให้การจดั การเรียนรู้น้ัน
ทำให้ผู้เรยี นสามารถบรรลุวตั ถปุ ระสงค์ท้ังในด้านความรู้ ความเข้าใจในเน้ือหาสาระ ด้านเจตคติ และ
ดา้ นทักษะ
๔. วธิ กี ารจัดการเรยี นรสู้ งั คมศกึ ษาตามสาระการเรยี นรู้
วิธีการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาในปัจจุบันมีรูปแบบและวิธกี ารสอนที่หลากหลาย ผู้สอน
ควรเลอื กวธิ กี ารจัดการเรยี นอยา่ งเหมาะสมกับผ้เู รียน จากผลงานวิจยั ยนื ยันวา่ ไม่มีการสอนวิธีใดดีกว่า
อีกวิธีหนึ่ง แต่วิธีที่เหมาะสม คือ วิธีที่สอดคล้องกับจุดประสงค์และเนื้อหาวิชา ซ่ึงวิธีการจัดการ
เรยี นรูส้ งั คมศกึ ษาตามสาระการเรียนรทู้ ้ัง ๕ สาระ ดังนี้๑๖
๔.๑ การจัดการเรยี นร้ใู นสาระศาสนา ศีลธรรม จรยิ ธรรม
การเรียนการสอนด้านศีลธรรม จริยธรรมเปน็ วิชาท่ีกล่าวถึงเร่ืองควรกระทำ และส่ิงท่ีควร
งดเว้นไม่ปฏิบัติ รวมทั้งเรื่องราวของศาสนาเพื่อให้เข้าใจหลักธรรมคำสอน ที่ต้องศึกษาพิธีกรรมและ
ธรรมะต่าง ๆ เพื่อจะนำไปปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราสามารถสอนศีลธรรม จริยธรรมได้ ๒ รูปแบบ
คือ การสอนเป็นวิชาเฉพาะ และการสอนโดยการสอดแทรกไปกับวิชาอื่น ๆ ซึ่งการเรียนการสอน
๑๖ ประณาท เทยี นศรี, การสอนสงั คมศกึ ษาเพอื่ พัฒนาการคดิ ของนักเรียนระดับชั้นประถมศกึ ษา,
พิมพค์ รง้ั ที่ ๑, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พแ์ ห่งจฬุ าลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๕๖), หนา้ ๑๕-๒๔.
๒๔๑
246
จริยธรรมจะตอ้ งจัดหลกั สูตรให้สัมพันธก์ ับชีวติ ประจำวนั ของผู้เรียน สามารถนำไปใชไ้ ด้ในการดำเนิน
ชีวิตในแตล่ ะช่วงวยั
หลักการสอนศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม ต้องให้ผู้เรียนเข้าใจเหตุและผล ผู้เรียนต้องคิด
เป็นสามารถตัดสินใจว่าจะเลือกปฏิบัติอย่างไรให้ถูกต้องเหมาะสม มีการสอนโดยการใช้บุ คคลเป็น
แบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียน สอนให้ผู้เรียนปฏิบัติเพื่อให้เกิดความเคยชิน เช่น การทำความเคารพ มีการ
ปลูกฝังค่านิยมกับผู้เรียน ให้ผู้เรียนเข้าร่วมกิจกรรมทางศาสนาและการสอนโดยใช้ข่าวเพื่อให้ผู้เรียน
เกิดการเรยี นรจู้ ากเหตุการณจ์ รงิ ในการจัดการเรยี นรสู้ าระน้ี ผู้สอนสามารถประยุกตใ์ ชแ้ นวการจัดการ
เรยี นรู้แบบพุทธวธิ มี าใช้ไดห้ ลายรูปแบบ ไดแ้ ก่
(๑) การจัดการเรียนรู้แบบอุปมาอุปมัย โดยการบรรยายเนื้อหาเปรียบเทียบ เพื่อให้
นักเรยี นเขา้ ใจ และมองเห็นภาพชดั เจนสมจริง
(๒) การจัดการเรียนรู้แบบปุจฉา วิสัชนา เป็นการสอนที่ใช้การถาม ตอบ ระหว่างผู้สอน
กบั ผ้เู รียน เปน็ วธิ ีทำใหผ้ ้เู รียนเกดิ ปัญญาในตนเอง คดิ เป็น ทำเป็น และแก้ปญั หาเปน็
(๓) การจัดการเรียนรู้แบบธรรมสากัจฉา เป็นวิธีสอนที่ผู้สอนเสนอสถานการณ์ที่เป็น
ปัญหาของการปฏิบัติศีล หรือการขาดหลักธรรม ให้ผู้เรียนสนทนาจนได้ข้อสรุป ซึ่งวิธีน้ี ผู้เรียน
จำเป็นตอ้ งมีฐานความรพู้ อสมควร
(๔) การจัดการเรียนรู้โดยการสร้างศรัทธา และโยนิโสมนสิการ เป็นการสอนที่ผู้สอนต้อง
จดั สภาพแวดลอ้ ม จูงใจ และวิธีการสอนให้นกั เรียนเกดิ ความศรทั ธาท่ีจะเรียนรู้ นำไปสกู่ ารปฏิบตั ิ
(๕) การจดั การเรียนร้แู บบอริยสัจ ซึ่งวิธีการจัดการเรยี นรนู้ ้คี ล้ายคลึงกับการจัดการเรียนรู้
แบบวิทยาศาสตร์ มีขั้นตอน ได้แก่ ๑) ทุกข์ คือ การพิจารณาเพื่อกำหนดปัญหา ๒) สมุทัย คือ การรู้
สาเหตขุ องปญั หา และหาวธิ แี กไ้ ขปัญหา ๓) นโิ รธ เป็นการดบั ทุกข์ คอื การทดลอง การบนั ทกึ ผลและ
การเกบ็ ข้อมูล ๔) มรรค คอื การหาเหตุผลและลงมอื การแก้ปญั หา
(๖) การจดั การเรียนรู้แบบไตรสกิ ขา เป็นวิธที ่ศี ลี สมาธิ ปัญญา ฝกึ จิตใหส้ งบม่นั คง
เพอ่ื ให้เข้าใจสภาพความเป็นจรงิ ฝกึ ระงับกเิ ลส ซึ่งเปน็ การสอนทท่ี ำใหผ้ ูเ้ รยี นไดล้ งมอื ปฏบิ ัติจริง
๔.๒ การจดั การเรียนรูใ้ นสาระหนา้ ที่พลเมือง วัฒนธรรมและการดำเนนิ ชีวิตในสงั คม
การสอนหน้าที่พลเมืองที่ดี จะทำให้ผู้เรียนเข้าใจวิถีประชาธิปไตย รู้จักหน้าที่ของตนใช้
สิทธิของตนภายใต้กฎหมาย เป็นผู้ที่มีศีลธรรม รักชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ภาคภูมิใจใน
๒๔๒
247
ความเป็นไทย ปลูกฝังค่านิยมที่ดี คิดเป็น เลือกได้โดยใช้วิจารณญาณ เข้าใจและช่วยกันอนุรักษ์
วัฒนธรรมขนบธรรมเนียมประเพณีไทยในการสอนหน้าที่พลเมือง ผู้สอนสามารถสอนเนื้อหาตาม
หลักสูตรโดยการอธบิ ายสร้างสถานการณ์จำลองเพือ่ ให้คิดแก้ปัญหา เลือกใช้ส่ือที่เหมาะสม เช่น การ
ใช้ข่าว บทความมาช่วยกันคิดวิเคราะห์ วิจารณ์อย่างมีเหตุผล โดยเน้นให้ผู้เรียนฝึกปฏิบัติอย่าง
สม่ำเสมอ ผสู้ อนยังสามารถจัดกจิ กรรมเสริมเพ่อื ส่งเสริมการสอนหน้าที่พลเมืองได้ เช่น การจดั ต้ังสภา
นักเรียน กรรมการสหกรณ์ร้านค้าโรงเรียน การบำเพ็ญประโยชน์ปลูกฝังจิตสาธารณะ การให้ผู้เรียน
เข้าร่วมกจิ กรรมในวนั สำคญั เปน็ ตน้
๔.๓ การจดั การเรยี นรใู้ นสาระเศรษฐศาสตร์
วิชาเศรษฐศาสตร์เป็นการจัดสรรทรัพยากรท่มี ีอยู่อยา่ งจำกัดให้เกิดประสิทธภิ าพมากท่ีสุด
การจดั การเรียนการสอนสาระเศรษฐศาสตร์ ควรเนน้ ใหผ้ ูเ้ รียนไดม้ ีโอกาสฝกึ ฝน รู้จักคิด รจู้ กั ตอบและ
หาข้อสรุป โดยเริ่มจากการให้ผู้เรียนมองปัญหา จากนั้นคิดแก้ปัญหา เช่น ผู้เรียนมีเงินจำนวน ๑๐๐
บาท ไปซ้ือของ เกิดอยากได้ของหลายอย่าง ใหฝ้ กึ จดั ลำดบั ความสำคัญของส่ิงของ และถ้ากรณีเงินไม่
พอจะทำอย่างไร หรือผู้สอนสามารถให้ผูเ้ รียนได้แสดงบทบาทสมมุติการเป็นผูบ้ ริโภค การใช้ข่าวและ
เหตุการณ์ ที่เกิดขึ้นจริงมาเล่าสู่กันฟังเพื่อให้ผู้เรียนได้แสดงความคิดเห็น และพยายามเชื่อมโยงให้
ผูเ้ รียนนำไปใชใ้ นชวี ิตประจำวนั
๔.๔ การจัดการเรียนรู้ในสาระประวตั ิศาสตร์
ประวตั ศิ าสตรเ์ ปน็ เร่ืองของกาลเวลา หลายยุคหลายสมยั ต้องอาศัยการศกึ ษาจากหลักฐาน
ที่หลงเหลืออยู่ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ เนื่องจากหลักฐานทางวิชาการ
และเทคโนโลยีทีค่ ้นพบข้ึนใหม่ โดยผู้สอนจะตอ้ งคำนึงถงึ หลกั การสอนประวัติศาสตร์ ดงั น้ี
(๑) สอนให้รจู้ กั แสวงหาความจริง
(๒) การสอนต้องตอ่ เนอื่ งไมต่ ัดตอนและอาจทำให้เกดิ ความเข้าใจผดิ ได้ ประวตั ิศาสตรเ์ ป็น
เรอื่ งราวท่ีตอ่ เนอื่ ง
(๓) ความเชือ่ มโยงเหตุการณ์ในอดีตกับปจั จุบันให้เกิดความสัมพันธก์ ันเพ่ือให้นักเรียนเกิด
ความเข้าใจกับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์มากขนึ้
(๔) ควรฝึกให้ผู้เรียนมีความคิดรวบยอดเรื่องเวลาด้วยการทำเส้นแสดงเวลา ทั้งนี้จะช่วย
ใหก้ ารจดั ลำดบั เหตกุ ารณไ์ ดถ้ ูกตอ้ ง ตลอดจนฝึกความคดิ รวบยอดในดา้ นสถานท่ี
๒๔๓
248
(๕) ใชอ้ ุปกรณ์สอ่ื การเรยี นทเ่ี หมาะสม เพื่อก่อประโยชน์แก่ผูเ้ รยี น เช่น รปู ภาพพิพิธภัณฑ์
สถานทจี่ รงิ ภูมปิ ัญญาในทอ้ งถน่ิ ภาพยนตร์ ของจริง ส่อื จากอนิ เตอร์เน็ต เป็นตน้
(๖) การสง่ เสรมิ สนบั สนุนใหผ้ เู้ รียนศึกษาคน้ ควา้ หาความร้ทู างประวัตศิ าสตรเ์ พิ่มเตมิ
(๗) ผ้สู อนมีการสอดแทรกเกรด็ ประวตั ิศาสตร์ เพ่ือให้เกิดความสนกุ สนาน
ซ่ึงความมุ่งหมายในการจัดการเรียนรู้ประวัติศาสตร์ มดี งั น้ี
(๑) การเรียนรู้เหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ ทำให้มนุษย์รู้จักชาติพันธุ์ของตนการรวมกลุ่ม
ทำให้เกิดความสามัคคีและจงรักภักดี สอนให้รู้จักประวัติความเป็นมาของชาติ เกิดความภาคภูมิใจ
และอนรุ กั ษ์มรดกทีบ่ รรพบรุ ษุ สรา้ งสะสมไว้
(๒) ทำให้เข้าใจและเห็นคุณค่าของมรดกอันทรงคุณค่า ได้แก่ ศิลปะ วัฒนธรรมประเพณี
วรรณคดีตา่ ง ๆ
(๓) สิ่งที่เกิดขึ้นของสังคมมนุษย์ปัจจุบัน ย่อมเป็นผลสืบเนื่องจากสิ่งที่คนรุ่นก่อนได้
สร้างสรรค์ไว้ ความคิด ความเชื่อ วิถีการดำเนินชีวิตย่อมเป็นผลของประวัติศาสตร์ การที่จะเข้าใจ
สงั คมปัจจุบัน กต็ ้องอาศัยการศกึ ษาสิง่ ท่เี กิดขน้ึ ในอดีตให้เขา้ ใจก่อน
(๔) สอนให้รูจ้ ักคิด ใชว้ ิจารณญาณ รูจ้ กั ใชเ้ หตผุ ลในการพิจารณาเร่อื งราวที่เกดิ ขึ้นยอมรับ
ฟงั ความคดิ เหน็ ผอู้ น่ื และรู้จกั ยอมรบั ความเปน็ จริง ต่ืนตัวปรับปรุงตนเอง ไม่หลงอย่กู บั อดีต
(๕) สอนให้มีความรักชาติ รักบรรพบุรุษ สำนึกในบุญคุณต่อผู้ที่ทำประโยชนแ์ ละเสียสละ
ชีพเพอ่ื ชาติ
วธิ กี ารดำเนนิ การจดั การเรยี นรปู้ ระวตั ศิ าสตรม์ ดี ังนี้
(๑) สอนตามลำดับเหตุการณ์ เรยี นจากอดีดมาปัจจุบัน
(๒) สอนทวนประวัติศาสตร์ เป็นการสอนที่เริ่มจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ผู้เรียนออกไปหาสิ่งที่
ไกลตวั ผเู้ รยี น
(๓) สอนโดยยึดวรี บุรษุ เปน็ หลัก
(๔) สอนโดยยดึ วนั สำคญั เป็นหลัก
วิชาประวัติศาสตร์ เป็นกระจกของสังคมที่สะท้อนให้เห็นอดีต แล้วนำมาวิเคราะห์เพื่อให้
เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี การสอนประวัติศาสตร์ผู้สอนสามารถใช้การสอนแบบบรรยายทัศนศึกษา
เชิญวทิ ยากร การสัมภาษณ์ ฯลฯ โดยเลอื กให้เหมาะสมกบั ระดบั ของผเู้ รียนและเน้ือหาสาระ
๒๔๔
249
ในปี ๒๕๕๘ ประเทศไทยเข้าร่วมประชาคมอาเซียนการสอนประวัติศาสตร์ จึงไม่ควร
มุ่งเน้นเพียงเรื่องสงคราม วีรบุรุษ วีรสตรี แต่ควรปลูกฝังเรื่องวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ การฝึก
กระบวนการคิดอย่างมีวิจารณญาณ โดยผ่านการตั้งประเด็นสงสัย การรวบรวมหลักฐาน วิเคราะห์
ความนา่ เชอื่ ถอื ของหลักฐานการจดั ความสมั พนั ธ์ของข้อมูล และนำเสนอเรอ่ื งราวสรุปและอธิบายตาม
หลกั ฐานไม่ใชต่ ามความเชือ่ ของตนเอง
การเรียนสาระประวัติศาสตร์ ที่ทำให้การเรียนการสอนไม่น่าเบื่อ ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้
อย่างมีประสิทธภิ าพ จำเป็นต้องให้ผู้เรียนได้ปฏิบตั ิสืบค้นด้วยตนเอง ผู้สอนต้องมีเทคนิคการเล่าเรื่อง
ถ่ายทอดเรื่องราว มีการตั้งคำถามเพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความสงสัยและสนใจใฝ่รู้ เรื่องราว
นอกจากน้คี วรเรยี นรูป้ ระวตั ศิ าสตร์ท่ีใกล้ตวั ผ้เู รยี นก่อน
๔.๕ การจัดการเรยี นรู้ในสาระภูมิศาสตร์
ภมู ศิ าสตร์ เป็นวิชาที่ศกึ ษาความสัมพันธ์ระหวา่ งส่งิ แวดล้อมทางธรรมชาติกับมนุษย์ทำให้
ประชาชนเข้าใจสภาพของประเทศของตนเอง ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญยิ่ งขึ้นหลักการ
จัดการเรยี นรูใ้ นภูมศิ าสตร์ มีดังน้ี
(๑) ควรกำหนดขอบเขตของเนื้อหาให้ชัดเจน เพราะขอบข่ายเนื้อหาภูมิศาสตร์ค่อนข้าง
กว้าง
(๒) สอนจากสิ่งที่อยู่ใกล้ตัวผู้เรียน จากประสบการณ์เดิมหรือสิ่งที่ผู้เรียนคุ้นเคยก่อนโดย
การเปรยี บเทยี บ ให้สมั พันธ์กัน สอนจากสงิ่ ทเี่ ป็นรูปธรรมไปสู่เร่ืองนามธรรม
(๓) ควรกระตุ้นสร้างความสนใจให้นักเรียนเกิดความอยากเรียนรู้ มีความสนุกสนาน
เพลดิ เพลนิ
(๔) รู้จักใช้สื่อการเรียนรู้ที่หลากหลาย ซึ่งปัจจุบันมีสื่อเทคโนโลยีสารสนเทศที่ทันสมัย
ผ้สู อนสามารถนำมาเลือกใชใ้ ห้เหมาะสมกบั เนอ้ื หาและวัยของผเู้ รียน
(๕) ควรยกตัวอย่างหรือใช้ข่าวเหตุการณ์ที่ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันกระตุ้นให้ผู้เรียนเกิดความ
สำนกึ อนรุ ักษ์และปอ้ งกันปัญหาของสง่ิ แวดล้อม
สรุปได้วา่ วิธีการจัดการเรยี นรูส้ ังคมศึกษาตามสาระการเรียนรูท้ ัง้ ๕ สาระ ประกอบด้วย
การจัดการเรียนรู้ในสาระศาสนา ศีลธรรมและจริยธรรม การจัดการเรียนรู้ในสาระหน้าที่พลเมือง
วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม การจัดการเรียนรู้ในสาระเศรษฐศาสตร์การจัดการเรียนรู้ใน
สาระประวัติศาสตร์ และการจดั การเรยี นรูใ้ นสาระภมู ิศาสตร์ ผสู้ อนควรเลอื กวิธกี ารจดั การเรียนอย่าง
เหมาะสมกับผู้เรียน โดยคำนึงถึง ความสอดคลอ้ งกับจุดประสงคแ์ ละเนอื้ หาวชิ าเป็นสำคญั
๒๔๕
250
สรปุ
กลุม่ สาระการเรยี นรูส้ ังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรมว่าดว้ ยการอยู่รว่ มกันในสังคมที่มี
ความเชื่อมสัมพันธ์กัน และมีความแตกต่างกันอย่างหลากหลายเพื่อช่วยให้สามารถปรับตนเองกับ
บริบทสภาพแวดล้อม เป็นพลเมืองดี มีความรับผิดชอบมีความรู้ ทักษะ คุณธรรม และค่านิยมที่
เหมาะสม โดยได้กำหนดสาระตา่ งๆ ไว้ ดงั นี้
ศาสนา ศีลธรรม จริยธรรม แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับศาสนา ศีลธรรม จริยธรรมหลักธรรม
ของพระพุทธศาสนาหรือศาสนาที่ตนนับถือ การนำหลักธรรมคำสอนไปปฏิบัติในการพัฒนาตนเอง
และการอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข เป็นผู้กระทำความดี มีค่านิยมที่ดีงามพัฒนาตนเองอยู่เสมอ รวมท้ัง
บำเพญ็ ประโยชน์ตอ่ สงั คมและสว่ นรวม
หน้าที่พลเมือง วัฒนธรรม และการดำเนินชีวิตในสังคม ระบบการเมืองการปกครอง
ระบอบประชาธิปไตยอันมพี ระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ลกั ษณะและความสำคัญการเป็นพลเมืองดี
ความแตกต่างและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ด่านิยม ความเชื่อปลูกฝังค่านิยมด้าน
ประชาธปิ ไตยอันมีพระมหากษัตรยิ ์ทรงเปน็ ประมขุ สทิ ธิ หนา้ ที่ เสรภี าพ การดำเนินชีวติ อยา่ งสันติ
สขุ ในสงั คมไทยและสังคมโลก
เศรษฐศาสตร์ การผลิต การแจกจ่าย และการบริโภคสินค้าและบริการการบริหารจดั การ
ทรัพยากรที่มีอยู่อย่างจำกัดอย่างมีประสิทธิภาพ การดำรงชีวิตอย่างมีดุลยภาพ และการนำหลัก
เศรษฐกจิ พอเพียงไปใชใ้ นชีวติ ประจำวัน
ประวัติศาสตร์ เวลาและยุคสมัยทางประวัติศาสตร์ วิธีการทางประวัติศาสตร์พัฒนาการ
ของมนุษยชาตจิ ากอดีตถงึ ปจั จบุ ัน ความสัมพันธแ์ ละการเปล่ียนแปลงของเหตกุ ารณ์ต่างๆ ผลกระทบ
ที่เกิดจากเหตุการณ์สำคัญในอดีต บุคคลสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในอดีตความ
เป็นมาของชาติไทย วฒั นธรรมและภมู ิปญั ญาไทยแหล่งอารยธรรมที่สำคญั ของโลก
ภูมิศาสตร์ ลักษณะกายภาพของโลก แหล่งทรัพยากร และภูมิอากาศของประเทศไทย
และภูมิภาคตา่ ง ๆ ของโลก การใชแ้ ผนท่แี ละเคร่อื งมือทางภมู ิศาสตร์ความสัมพันธ์กันของสิ่งต่างๆ ใน
ระบบธรรมชาติ ความสมั พันธข์ องมนุษยก์ ับสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และสง่ิ ทม่ี นษุ ย์สรา้ งข้นึ การ
นำเสนอขอ้ มลู ภูมสิ ารสนเทศ การอนุรกั ษส์ ิ่งแวดล้อมเพอื่ การพัฒนาทีย่ ั่งยืน
๒๔๖
251
เอกสารอา้ งอิงประจำบท
๑. ภาษาไทย
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑.
กรงุ เทพมหานคร : ชุมนมุ สหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๑.
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑.
กรงุ เทพมหานคร : ชมุ นมุ สหกรณก์ ารเกษตรแหง่ ประเทศไทย, ๒๕๕๑.
กระทรวงศึกษาธิการ. ตัวชี้วัดและสาระแกนกลางกลุ่มสาระเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และ
วัฒนธรรม ตามหลกั สตู รการศึกษาข้ันพืน้ ฐาน พทุ ธศกั ราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร :
โรงพิมพ์ชุมนมุ สหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๑.
ชัยวฒั น์ สทุ ธริ ตั น.์ ๘๐ นวัตกรรมการจดั การเรยี นรทู้ ่ีเนน้ ผ้เู รยี นเปน็ สำคัญ. พมิ พ์ครั้งที่ ๗. นนทบุรี :
พบี าลานซด์ ีไซด์แอนปร้ินติ้ง, ๒๕๕๙.
ดวงกมล สินเพ็ง. การพัฒนาผู้เรียนสู่สังคมแห่งการเรียนรู้เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง.
กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลยั , ๒๕๕๑.
ประณาท เทียนศรี. การสอนสังคมศึกษาเพื่อพัฒนาการคิดของนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษา.
พิมพค์ รงั้ ท่ี ๑. กรงุ เทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณม์ หาวิทยาลยั , ๒๕๕๖.
วลัย อิศรางกูร ณ อยุธยา. หน่วยที่ ๒ การจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา. ประมวลชุดสาระชุด วิชาการ
จัดประสบการณ์การเรียนรู้สังคมศึกษา หน่วยที่ ๑ -๕,. นนทบุรี : สำนักพิมพ์
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธริ าช, ๒๕๕๔.
วิภาพรรณ พินลา และวิภาดา พินลา. การจัดการเรียนรู้สังคมศึกษาในยุคศตวรรษที่ ๒๑.
กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พแ์ หง่ จุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลัย, ๒๕๖๑.
สำนกั งานคณะกรรมการการศึกษาแหง่ ชาติ. พระราชบญั ญตั กิ ารศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ และท่ี
แก้ไขเพม่ิ เติม. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์เดอะบุคส,์ ๒๕๕๖.
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ. ยุทธศาสตร์การเรียนตลอดชีวิตในศตวรรษที่ ๒๑.
กรงุ เทพมหานคร : องค์การค้าของครุ ุสภา, ๒๕๔๓.
สิริวรรณ ศรีหพล. หน่วยที่ ๔ การจัดระบบการเรยี นการสอนในวิชาสังคมศกึ ษา. เอกสารการสอน
ช ุ ด ว ิ ช า ก า ร ส อ น ส ั ง ค ม ศ ึ ก ษ า ห น ่ ว ย ท ี ่ ๑ -๗ . น น ท บ ุ ร ี : ส ำ น ั ก พ ิ ม พ์
มหาวิทยาลยั สุโขทัยธรรมาธริ าช, ๒๕๔๗.
อิทธิเดช น้อยไม้. หลักสูตรและการจัดการเรียนรู้สังคมศึกษา. กรุงเทพมหานคร : บริษัท โอ.เอส.
พรน้ิ ติง้ เฮ้าส์, ๒๕๖๐.
บทท่ี ๑๐
การวัดและการประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ความนำ
ในการวัดผลและการประเมินผลการศึกษาเป็นองค์ประกอบท่ีสำคัญประการหนึ่งของ
กระบวนการเรียนการสอนในระดับการศึกษาต่าง ๆ เพราะเป็นเครื่องมือท่ีช่วยพัฒนาคุณภาพของ
การศึกษา โดยมีผลมาจากการวัดเป็นพื้นฐานในการตัดสินใจของครูและนักการศึกษาในการปรับปรุง
วิธีการสอน การแนะแนว การประเมินหลักสูตร แบบเรียน การใช้อุปกรณ์การเรียนตลอดจนการ
จัดระบบบริหารทั่วไปของโรงเรียนและยังช่วยให้ปรับปรุงการเรียนให้ถูกวิธียิ่งข้ึน นอกจากนี้การ
วัดผลยังช่วยให้นักเรียนทราบสภาพของตนเองได้ว่า เก่งอ่อนในเนื้อหาใดบ้าง มีอัตราความงอกงามที่
ช้าเร็วเพียงใด และการวัดผลประเมินผลการศึกษาที่ดียังเป็นส่ือให้ผู้ปกครองทราบและเข้าใจเด็กของ
ตนเองมากข้นึ
จากการท่ีกระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศปรับปรุงหลักสูตรระดับประถมศึกษาระดับ
มัธยมศึกษาตอนต้น และหลักสูตรมัธยมศึกษาตอนปลาย เพื่อให้สอดคล้องกับสภาวะทางเศรษฐกิจ
และสังคมปัจจุบัน โดยมีการปรับปรุงเน้ือหาและจุดมุ่งหมายในหลักสูตรแตกต่างไปจากหลักสูตรเดิม
หลายประการและท่ีสำคัญประการหนึ่งคือการเปลี่ยนแปลงระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วยผล
ประเมินการเรียนการสอนท้ังเพ่ือศึกษาถึงความรอบรู้ของนักเรียนในทุกด้านว่ามีความรู้มากน้อย
เพียงใดในแต่ละหน่วยการเรียน
ดังนั้นการวัดและประเมินผลการเรียนรู้ในยุคการศึกษาแนวใหม่ ต้องเป็นการประเมินผล
สภาพที่แท้จริงของผู้เรียนเป็นพื้นฐานของเหตุการณ์ในชีวิตจริง ยึดการปฏิบัติเป็นสำคัญและสัมพันธ์
กบั การเรยี นการสอน เน้นพัฒนาการท่ปี รากฏใหเ้ ห็นผเู้ กี่ยวข้องในการประเมนิ มีหลายฝา่ ยและเกิดข้ึน
ในทุกบริบท จึงเป็นการผสมผสานองค์ความรู้ทักษะเฉพาะด้าน ความชำนาญการและความรู้เท่าทัน
ด้านตา่ งๆ เขา้ ด้วยกนั เพ่อื ใหป้ ระสบความสำเรจ็ ทง้ั ในดา้ นการทำงานและการดำเนินชวี ิต
๒๔๘
254
๑. การวดั ผลการเรยี นรู้
๑.๑ ความหมายของการวดั ผลการเรียนรู้
ผู้รู้ทางด้านการวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้ ได้ให้ความหมาย “การวัดผล” ไว้
มากมายทงั้ ทเี่ ปน็ ความหมายโดยทัว่ ๆ ไป และความหมายในเชิงจติ วิทยา
กลิ ฟอรด์ ( Guilford )๑ ได้ให้ความหมายของการวัดผลไว้อย่างกว้าง ๆ ว่า การวัดผลเป็น
การพิจารณาหรอื ให้คา่ ขอ้ มลู ในรูปแบบตวั เลข
ไทเลอร์ ( Tyler )๒ ให้ความหมายของการวัดผลในเชิงจิตวิทยาว่า การวัดผลเป็นการรวม
ของกิจกรรมหลายอย่าง ในกิจกรรมเหล่าน้ันมีสิ่งที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง คือ การใช้จำนวน ดังน้ันการ
วัดผลจึงหมายถึงการกำหนดค่าตัวเลข โดยเป็นไปตามกฎ กฎเกณฑ์ที่ว่าน้ีเกี่ยวข้องกับการบวก ลบ
คณู หาร ทางคณติ ศาสตร์
ทอร์นไดค์ ( Thorndike )๓ ได้อธิบายความหมายของการวัดผลประเมินผลไว้ว่า การ
วัดผลเป็นการบอกคุณลักษณะของนักเรียนที่ได้พัฒนาขึ้นอย่างกว้างขวางจากการให้การศึกษา ซึ่งจะ
บอกคณุ ลกั ษณะได้ ๒ วิธี คือ
๑. การบอกคุณลักษณะจากการทดสอบ
๒. การบอกคุณลกั ษณะจากการสงั เกตพฤติกรรม
ชวาล แพรัตกุล๔ กล่าว กล่าวถึงความหมายของการวัดผลไว้ว่าการวัดผลเป็น
กระบวนการใด ๆ ที่จะให้ได้มาซึ่งปริมาณจำนวนหนึ่ง อันมีความหมายแทนขนาดสมรรถภาพ
นามธรรมที่นักเรียนผู้น้ันมีอยู่ในตน ถ้าใช้แบบทดสอบเป็นเครื่องกระตุ้น ก็ถือเอาจำนวนผลงานที่
นกั เรียนแสดงปฏกิ ริ ิยาโตต้ อบออกมาเป็นเครอ่ื งชี้ บอกเขาว่ามสี มรรถภาพในเรอ่ื งนัน้ ๆ เพยี งใด
๑ Guildford, J.p., Psychometric Methods, 2nd ed, (New York :McGraw Hill, 1954), p 1.
(อ้างอิงจาก บุญธรรม กิจปรีดาบริสุทธิ์, การวัดและการประเมินผลการเรียนการสอน, กรุงเทพมหานคร :
มหาวทิ ยาลัยมหิดล, ๒๕๒๔, หนา้ ๑.
๒ Tyler, Leona E., Test and Measurements, 2nd ed. Englewood Cliff, (New Jersey :
Printice - Hall, Inc., 1971), p 4. (อ้างองิ จาก อนนั ต์ ศรโี สภา, การวัดและประเมินผลการศึกษา, หน้า ๒).
๓ Thorndike, Edword L., Measurement and Evaluation in Psychology and
Education, (New York ; John Wiley, 1972), p 5. (อ้างอิงจาก อนันต์ ศรีโสภา, การวัดและประเมินผล
การศกึ ษา, หนา้ ๒).
๔ ชวาล แพรัตกลุ , อา้ งใน ประสงค์ หัสรินทร,์ การจัดการเรยี นรู้, (กรงุ เทพมหานคร : แดเน็กอนิ เตอร์
คอรป์ เรช่ัน จำกัด, ๒๕๖๑), หน้า ๒๕๒.
๒๔๙
255
อุทุมพร ทองอุไทย๕ กล่าวถึงความหมายของการวัดผลได้ว่า การวัดมักจะหมายถึง
กระบวนการท่ีตัวเลขหรือสัญลักษณ์จะถูกนำมาเก่ียวข้องกับลักษณะของวัตถุ คน และสิ่งท่ีจะวัด การ
วดั จงึ ตอ้ งมคี ุณสมบัติ ดงั นี้
๑ ตอ้ งมกี ลมุ่ ของวัตถุ หรอื คน
๒. มีคุณสมบัติของลกั ษณะท่ีจะวดั
๓. มกี ารกระทำโดยการให้ตวั เลข หรือสัญลักษณก์ ับลักษณะวัตถุ
๔. ตอ้ งพจิ ารณาถงึ ธรรมชาติ ตลอดจนนำตวั เลขหรอื สญั ลกั ษณ์เผลา่ นี้ไปใช้
เสริมศักดิ์ วิศาลาภรณ์ และอเนกกุล กรีแสง๖ ได้กล่าวถึงลักษณะสำคัญของการวัดผล
การศึกษาไวด้ ังน้ี
๑. การวดั ผลการศึกษาเปน็ การวัดทางอ้อม
๒. การวดั ผลการศึกษาเปน็ การวัดท่ไี มส่ มบรู ณ์
๓. การวักผลการศกึ ษาเป็นส่งิ สมั พทั ธ์(Relative)
๔. การวดั ผลการศึกษาไม่สามารถวดั ได้ละเอียดถ่ีถว้ น
๕. การวดั ผลการศึกษามีความผดิ พลาด
กล่าวโดยสรุป การวัดผล (Measurement) คือการกำหนดค่าตัวเลขที่ถูกวัดตามเกณฑ์ท่ี
กำหนดไว้ ตัวอย่างเช่น ครูนำเคร่ืองมือวัดท่ีสร้างมาทดลองใช้และวิเคราะห์จนเป็นมาตรฐานแล้ว ไป
วัดความสามารถของนักเรียนกลุ่มหน่ึง สมมุติเป็นแบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์ในวิชาวิทยาศาสตร์
ระดับชนั้ ม.๑ นำไปใช้วดั นักเรียน ม.๑ จำนวน ๔๕ คน จะได้ค่าตัวเลขมา ๔๕ ค่า ซึ่งแสดงค่าจะแทน
ความสามารถด้านวิทยาศาสตร์ของนักเรียนท่ีถูกสอบวัดแต่ละคน ตัวเลขดังกล่าวน้ีเป็นการวัดผล
(Measurement)
การวดั ผลย่อย (Formative Test) เปน็ การวดั ผลหรอื การทดสอบภายหลังจากทีไ่ ด้ทำการ
สอนจบหัวขอ้ หน่งึ หรอื บทหนงึ่ ๆ เชน่ การสอบประจำบทที่ ๑๖ เร่อื งเครื่องใชไ้ ฟฟ้าในบ้านของช้นั ม.๓
การวัดผลย่อยน้ีไม่ใช่เป็นการวดั ผลเพ่ือนำผลหรือนำคะแนนมาใช้เป็นเกณฑ์ตัดสนิ ได้-ตก แต่เป็นการ
วัดผลเพ่ือมุง่ ทีจ่ ะนำผลการสอบมาใช้สำหรับปรับปรุงการเรียนการสอนของครู และให้ความช่วยเหลือ
หรือจัดการสอนซ่อมเสริมในเนื้อหาหรือส่วนท่ีผู้เรียนยังมีผลสัมฤทธิ์ต่ำอยู่ไม่ได้ตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ในจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมของบทเรียนน้ัน ๆ
๕ อุทมุ พร ทองอุไทย, การประเมินผลทางการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : ปรีชาการพมิ พ,์ ๒๕๒๐),
หนา้ ๒๙.
๖ เสริมศักดิ์ วิดาลาภรณ์ และเอนกกุล กรีแสง, หลักเบื้องต้นของการวัดผลการศึกษา,
(กรุงเทพมหานคร : โรงพมิ พ์พฆิ เนศ, ๒๕๒๒), หน้า ๒๕.
๒๕๐
256
การวัดผลรวม (Summative Test) เป็นการวัดผลหรือการทดสอบภายหลังจากที่ได้เรียน
จบหลาย ๆ บท เช่น การทดสอบกลางภาคเรียน และการสอบปลายภาคเรียนเป็นต้น เพื่อตรวจสอบ
หรือประเมินผลภายในช่วงเวลาน้ันหรือในขอบเขตของเนื้อหาน้ันผู้เรียนได้เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม
เพยี งใด หรือมผี ลสัมฤทธใิ์ นการเรียนมากนอ้ ยเพียงใด
๑.๒ ธรรมชาตขิ องการวดั ผลการเรยี นรู้
มีลักษณะดงั น้ี
๑. การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดด้านปริมาณ (Quantitative) วัดออกมาในรูปคะแนน
ค่าเฉลี่ย เป็นตัวเลข แต่ไม่มีเคร่ืองมือที่วัดคุณภาพ คุณลักษณะของบุคคลได้ครบทุกด้ายอย่างละเอียด
ถีถ่ ้วน และเชอื่ ถือได้
๒. การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดทางอ้อม (Indirect) ไม่มีเคร่ืองมือท่ีจะวัด
ความสามารถ คุณภาพของบุคคลได้โดยตรงได้ ต้อวัดโดยทางอ้อมโดยดูจากพฤติกรรมที่แลดงออกมา
เชน่ วัดสตปิ ัญญา ดจุ ากการทำแบบทดสอบ วดั ความถนัด พิจารณาจากความสนใจและความสามารถ
ในการทำงาน
๓. การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดท่ีไม่สมบูรณ์ (Incomplete) แบบทดสอบแต่ละชนิดมี
มีจุดมุ่งหมายท่ีวัดคุณภาพ คุณลักษณะเฉพาะเร่ือง เช่น แบบทดสอบสัมฤทธิ์ผลทางการเรียนวัด
พฤติกรรมการเรียนรู้ในช่วงระยะเวลาหน่ึง แบบทดสอบวัดความถนัดวัดความสามารถเฉพาะด้านใด
ด้านหนึ่ง ไมค่ รบทกุ ด้าน
๔. การวัดผลการเรียนรู้มีหน่วยวัดท่ีคงท่ี (Constancy of Unit) นักการศึกษาพยายามใช้
วิธีทางคณิตศาสตร์ ในการปรับปรุงเคร่ืองมือวัดให้มีหน่วยคงท่ี เช่น คะแนนที (T-score) เพื่อช่วยให้
การตัดสนิ ใจในการประเมินผล มหี ลักเกณฑ์ และมวี ามยุตธิ รรมมากขน้ึ
๕. การวดั ผลการศึกษามีความคาดเคลือ่ น (Error) ซ่ึงอาจจะมาจากเคร่ืองมือท่ีใช้ อปุ กรณ์
อารมณ์ผู้วดั เวลา สภาพแวดล้อม หรอื ผู้ถูกวดั ฯลฯ จำเปน็ ต้องใช้วิธที างสถิติ เพ่อื จำกัดขอบเขตของ
ความคลาดเคลอ่ื น
๑.๓ หลกั การวดั ผลการเรยี นรู้
การวัดผลการเรียนรู้เป็นกระบวนการในการตรวจสอบคุณลักษณะของบุคคลจากากรจัด
การศึกษาว่า มีปริมาณ และคุณภาพตามจุดมงุ่ หมายที่ต้ังไว้หรือไม่ การวัดผลการเรียนรู้เป็นการวัดตัว
แปรทางดานจิตวิทยา ซ่ึงยากท่ีจะวัดออกมาเป็นตัวเลขท่ีถูกต้องแน่นอน ในปัจจุบันการวัดผล
การศึกษาไดพ้ ฒั นามากพอที่จะเช่ือถือได้ และมคี วามเทย่ี งตรงสูงซงึ่ มีหลักเกณฑ์สรปุ ได้ดังนี้๗
๗ เชิดศักด์ิ โฆวาสินธุ์, พัฒนาวัดผล ๑๔, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวโิ รฒประสาน
มติ ร, ๒๕๒๑), หนา้ ๒๘-๓๑.
๒๕๑
257
๑. การวัดให้ตรงกับจุดประสงค์ การวัดแต่ละครั้ง ผลที่ได้ จะต้องม่ันใจและเช่ือถือได้ว่า
ตรงกบั สง่ิ ทต่ี อ้ งการวัดจรงิ ๆ การวัดทไ่ี มต่ รงกับจุดประสงค์อาจเกดิ จาก
๑.๑ ไม่เข้าใจคุณลกั ษณะสง่ิ ทต่ี อ้ งการวดั
๑.๒ ใช้เคร่อื งมไี ม่สอดคล้องกบั ตัวแปรท่ีจะวดั
๑.๓ วัดไมค่ รบถ้วน
๑.๔ เลอื กกลมุ่ ตัวอย่างทจ่ี ะวัดไมเ่ หมาะสม
๒. ใช้เคร่ืองมือที่ดีมีคุณภาพ การวัดบางคร้ังต้องใช้เครื่องมือชนิดใดชนิดเดียวก็พอ
บางคร้ังต้องใช้เครื่องมือหลายชนิดประกอบกัน เพราะคุณภาพของเคร่ืองมือแต่ละประเภทมีเง่ือนไข
และคุณสมบัติท่ีแตกต่างกัน เครื่องมือที่มีคุณภาพต้องมีความเท่ียงตรงสามารถวัดได้ตามจุดประสงท่ี
มงุ่ หมายท่ตี ้องการวัด
๓. มีความยุติธรรม การวัดแต่ละครั้งต้องมีเงื่อนไข ให้โอกาสแก่ผู้สอบและดำเนินการสอบ
ในสภาพการณท์ ่ีเหมอื นกัน
๔. แปลผลได้ถูกต้อง ผลจากการวัดอาจเป็นคะแนนหรือลำดับก็ได้ ผลของการวัดจะมี
ความหมายเมือ่ อธบิ ายหรือเปรียบเทียบกับเกณฑ์ (มาตรฐาน) ทีว่ างไว้ หรือเปรยี บเทียบกับบุคคลอ่ืนมี่
วดั เครอื่ งเดยี วกัน
๕. ใช้ผลวัดให้คุมค่า การวัดผลนอกจากจะตรวจสอบคุณภาพของบุคคลแล้ว ยังดูได้ด้วย
ว่า เด่น หรือด้อยในด้านใด เพื่อจะเป็นแนวทางในการปรับปรุงการศึกษาให้ดีย่ิงขึ้น ดังนั้น ในการ
วดั ผลควรจะมีจุดมุ่งหมายในการวัดหลาย ๆ ด้าน เพ่อื ใช้ผลจากการวดั ให้มากท่สี ุด
๒. การประเมินผลการเรียนรู้
๒.๑ ความหมายของการประเมนิ ผลการเรียนรู้
สำหรับความหมายของ การประเมิน (Evaluation) น้ัน นักวิชาการได้ให้ความหมายไว้
ดังน้ี
เทอร์วิลลิเจอร์ (Terwilliger )๘ ให้ความหมายของการประเมินผลไว้ว่า “การประเมินผล
เป็นกระบวนการตัดสินคุณค่าในด้านความสามารถ การแสดงออกหรือพฤติกรรมต่าง ๆ เฉพาะแต่ละ
วชิ า”
๘ Terwilliger, James A. Assigning Grades to students. (Chicago, III : Scott, Foresman
and Company, 1971), p 14.
๒๕๒
258
กรอนลันด์ (Gronlund)๙ ให้ความหมายของการประเมินผลการเรียนรวู้ ่า การประเมินผล
การเรียนรู้ เป็นกระบวนการประเมินผลสัมฤทธ์ิอย่างมีระบบของผู้สอนในวัตถุประสงค์ของการสอน
ท่ีต้ังไว้ และจะมีความหมายบึกซึ้งกว่าการวัด เพราะจะรวมถึงพฤติกรรมท่ีวัดได้และวัดไม่ได้ ร่วมกับ
การตดั สนิ ใจของผสู้ อน
อัลคัน และฟิทส์ กิบบอน (Alkon and Fitz-Gibbon)๑๐ กล่าวถึงความหมายของการ
ประเมินผลไว้ว่า “การประเมินผล หมายถึง กิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการทดสอบจริง ๆ และการนำ
ข้อมูลของการทดสอบจรงิ ๆ มาตัดสนิ ใจ”
เมเรนส์ เละ เลห์แมน (Mehrens and Lahmann)๑๑ กล่าวถึง ความหมาย การ
ประเมินผล คือ กระบานการตัดสินใจเกี่ยวกับความต้องการหรือคุณค่าของสิ่งต่าง ๆ ท้ังในด้านเชิง
ปรมิ าณและคุณภาพ
สมหวัง พธิ ิยานุวฒั น์๑๒ กลา่ วถึงความหมายของการประเมินผลท่วั ๆปและการประเทนิ ผล
ในแง่ของการเรียนการสอนไว้ ดงั นี้
การประเมิน หมายถึงกระบวนการตัดสินคุณค่าของสิ่งของหรือการกระทำใด ๆ โดย
เปรียบเทียบกับเกณฑ์มาตรฐาน ในแง่ของการเรียนการสอน การประเมินผลการเรียนจึงหมายถึง
กระบวนการท่ีตัดสินใจว่า ผู้เรียนไดเ้ ปล่ียนแปลงพฤตกิ รรมตามวัตถปุ ระสงค์ทวี่ างไว้ตามป้าหมายของ
การสอนหรือไม่เพียงใด การประเมินผลการเรียน ควรมุ่งเน้นที่เอกัตบุคคลมิใช่ความแตกต่างระหว่าง
บคุ คล กล่าวคอื ควรเน้นวา่ ผเู้ รยี นรู้อะไรบา้ ง โดยเทยี บกับวตั ถุประสงคข์ องการสอน
กล่าวโดยสรุป การประเมิน (Evaluation) คือการตีราคาตัวเลขท่ีได้จากการวัดผลว่า
“ผ่าน” หรอื “ไม่ผ่าน” ถ้าเคร่ืองมือวัดดีการดำเนินการสอบดี ตัวเลขที่ได้จาการวัดผล หรือ คะแนน
(Obtained Score) ก็จะมีความผิดพลาด (Error) ค่อนข้างน้อย การประเมินผลก็จะยุติธรรมมากขึ้น
เพราะการใช้วิจารณญาณส่วนตัวของผู้ประเมินเป็นไปอย่างมีมาตรฐาน มีกฎเกณฑ์ และมีระบบ หรือ
อาจสรุปได้ว่า “การประเมินผลการเรียนรู้” หมายถึง กระบวนการตัดสินสัมฤทธ์ิผลอย่างมีระบบของ
ผ้สู อนในวัตถุประสงค์ของการสอนท่ีต้งั ไว้ การประเมินผลเก่ียวข้องกับทั้งปริมาณและคุณภาพ รวมทั้ง
ตัดสินคุณคา่ (Value Judgment) ด้วย การตัดสินคุณคา่ ข้นึ อยกู่ บั ภูมิหลงั และพื้นฐานของแต่ละบุคคล
๙ Gronlund, Norman E., Measurement and Evaluation in Teaching, (New York :
Macmillan Publishing, 1976), p 5-18.
๑๐ Alkon, Marvin c. and Fitz--Gibbon, Caro T., "Method and Theories of Evaluation
Programs", Journal of Research and Development in Education. 8(November, 1975) : 2.
๑๑ Mehrens, W. A. and Lehmann, L.J. Measurement and Evaluation in Education and
Psychology, 3rd ed. (New York : Holt Rinehart and Winston, 1984), p 5.
๑๒ สมหวัง พิธิยานุวัฒน์. แนวคิดพื้นฐานในการประเมินผลการเรียนและระบบประเมินผลการเรยี นอิง
เกณฑอ์ งิ กล่มุ , วารสารครุศาสตร์ ๑๐ (มกราคม – มิถุนายน ๒๕๒๔) :๕๖.
๒๕๓
259
ท่ที ำการตัดสินคุณค่าของส่ิงของที่วดั ไดว้ ่ามีขนาดเดียวกันแต่อาจจะประเมินค่าต่างกันได้ จึงเห็นได้ว่า
การวัดผลมีแนวโน้มท่ีจะเป็นปรนัย (Objective) แต่การประเมินผลน้ันมีแนวโน้มท่ีจะเป็นอัตนัย
(Subjective) เพราะข้ึนอยู่กับผู้ตัดสิน ดังนั้นการวัดผลมีความหมายแตกต่างจากากรประเมินผล โดย
ที่การประเมินผลขึ้นอยู่กับการวัดผลและเกิดภายหลังการวัดผล ดังน้ัน การวัดผลจึงเป็นส่วนหน่ึงของ
การวัดผลท่ีดีเสมอ๑๓
๒.๒ ธรรมชาติของการประเมินผลการเรียนรู้
แฮร์ริส (Harris)๑๔ กล่าวว่า ธรรมชาติของการประเมินผลการเรียนรู้ประกอบด้วย
ขบวนการ ๗ ขัน้ ตอน คอื
๑) การกำหนดเกณฑ์ท่เี ฉพาะเจาะจง
๒) การใช้เคร่อื งมอื ท่ดี มี ีคณุ ภาพเหมาะสม
๓) การเกบ็ รวบรวมข้อมูล
๔) การวเิ คราะหข์ อ้ มูล
๕) การแปรความหมายของผลการวิเคราะห์
๖) การกำหนดคณุ ค่าของสิง่ ที่คน้ พบ
๗) การตดั สินใจ
๒.๓ กระบวนการประเมินผลการเรยี นรู้
ในกระบวนการการเรียนการสอน โดยทัว่ ไปมีการประเมนิ ผลการเรยี น ๓ ระยะ คือ
๑) การประเมินผลก่อนสอน มีจุดประสงค์ที่จะได้ข้อมูลเบื้องต้นของผู้เรียน เพ่ือ
นำไปจัดกิจกรรมการเรียนการสอนให้เหมาะสม เคร่ืองมือที่ใช้วัด เช่น แบบทดสอบ การซักถาม การ
ใหล้ งมือปฏิบัติ
๒) การประเมินผลระหว่างการสอน มีจุดประสงค์เพ่ือให้ทราบว่า ผู้เรียนเกิดการ
เรียนรู้ตามจุดประสงค์หรือยัง เคร่ืองมือท่ีใช้วัด เช่น การซักถาม การสังเกต การให้ลงมือปฏิบัติ การ
ทดสอบย่อยตามจุดประสงค์การเรียนรู้ ครูดูข้อบกพร่องของนักเรียนเพื่อหาทางซ่อมเสริม และเป็น
แนวทางในการปรับปรงุ การสอนให้มีประสทิ ธิภาพยง่ิ ขึ้น
๑๓ สิรินธร สุนทราภิวัฒน์, ปัญหาการประเมินผลการเรียนการสอนของครูวิทยาศาสตร์ ในโรงเรียน
มัธยมตอนปลายในกรุงเทพมหานคร, วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต, (บัณฑิตวิทยาลัย : จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๒๖), หนา้ ๙.
๑๔ Harris, Ben M., Supervisory Behavior in Education, 2nd ed, Englewood Cliffs, (New
Jersey : Printice - Hall, Inc., 1975), p 139.
๒๕๔
260
๓) การประเมนิ ผลรวม เป็นการประเมินเมื่อการเรียนการสอนสิ้นสุดลง เพื่อสรุปผล
การเรยี นรู้และแบ่งกลมุ่ นักเรียนออกเป็นประเภทต่าง ๆ ตามความสามารถของนักเรยี น เครือ่ งมือท่ีใช้
ในการวดั เชน่ แบบทดสอบปลายภาค การทำรายงาน การให้ลงมือปฏบิ ตั ิ ฯลฯ
๒.๔ หลกั การประเมนิ ผลการเรียนรู้
การประเมินผลการเรียนรู้ เป็นขบวนการต่อจากการวัดผลการเรียนรู้โดยนำผลจาก
การวัดมาเปรียบเทียบกับเกณฑ์ หรือมาตรฐานที่วางไว้ แล้วตีราคา หรือสรุป โดยการตัดสินใจอย่างมี
เหตผุ ล และคณุ ธรรม (Value Judgment) การประเมนิ ผลที่ดีประกอบดว้ ยหลัก ๓ ประการ คือ๑๕
๑) การวัดผล (Measurement) หมายถึงวิธีการในการหาจำนวนปริมาณหรือ
คุณภาพของส่ิงหนึ่งสิ่งใดอย่างมีหลักเกณฑ์ โดยใช้เครื่องมือวัดที่ดีมีคุณภาพ การวัดผลเป็นการ
ตรวจสอบคุณภาพ คุณลกั ษณะ หรอื คุณสมบัติของผู้เรียนว่า มีความเจริญงอกงาม มีความรแู้ ละมีการ
เปล่ยี นแปลงพฤตกิ รรมตามจดุ มุ่งหมายมากน้อยเพียงใด
๒) มาตรฐาน (Standard) หมายถึง เป้าหมาย หรือเกณฑ์ในการพิจารณาส่ิงที่จะ
ประเมินชัดเจน มาตรฐานในการประเมินผลการเรียนรู้ คือจุดมุ่งหมายของการศึกษาซ่ึงกำหนดไว้ว่า
ต้องให้ผู้เรยี น เรยี นรู้ หรอื เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอะไรบ้าง ปัจจุบนั จดุ มุ่งหมายของการศึกษาจะเขียน
อยู่ในรปู ของพฤติกรรมท่สี งั เกตได้และวัดไดท้ นั ที เรียกว่า จุดมุ่งหมายเชิงพฤตกิ รรม
๓) การตัดสินใจ (Judgment) เป็นการนำผลท่ีได้จากการวัดไปเปรียบเทียบกับ
มาตรฐาน เพอ่ื สรุป หรือตีราคาอยา่ งมีเหตุผลและคุณธรรมว่า ผู้เรียนมี คุณภาพอย่างไร เก่ง-อ่อน, ดี-
เลว, ได้-ตก การตัดสินใจจะมีความยุติธรรม ถูกต้อง เที่ยงตรง เพียงใด ข้ึนอยู่กับการวัดผลและ
มาตรฐานข้างต้น
๒.๕ การประเมนิ ผลแบบอิงกลุ่ม(Norm Referenced Evaluation)
๑) ความหมายการประเมินผลแบบอิงกลุ่ม เป็นการตัดสินสรุปเก่ียวกับ
ความสามารถของนักเรียนแต่ละคนโดยเปรียบเทียบกับกลุ่มนักเรียนที่เรียนร่วมกันมาและได้รับการ
ทดสอบด้วยเคร่ืองมือวัดอย่างเดียวกัน การที่จะตัดสินสรุปอาจทำได้หลายวิธี วิธีท่ีง่ายและเข้าใจง่าย
ที่สุด ก็ได้แก่ การเรียงลำดับจากคะแนนดิบจากสูงสุดลงมาต่ำสุด แล้วก็อธิบายว่า “คะแนนคะแนน
ของเด็กชายสมพงษ์อยู่ในอันดับสูงสุด” “เด็กหญิงพาณีได้คะแนนอยู่ในระดับเกณฑ์เฉล่ีย” “เด็กชาย
ทวีได้คะแนนต่ำสุดภายในกลุ่ม” ดังน้ี เป็นต้น การประเมินแบบนี้ถ้าพิจารณาแต่เพียงผิวเผินอันได้แก่
ตวั นักเรียนเอง ครูคนอน่ื ๆ ผูป้ รกครองนกั เรียน ฯลฯ ทราบอย่างละเอียดการรายงานผลอยา่ งละเอียด
นั้นจะตอ้ งนายงานอยู่ ๒ ประการคือ
๑๕ เชดิ ศักดิ์ โฆวาสินธ,ุ์ พฒั นาวัดผล ๑๔, หน้า ๓๒-๓๓.
๒๕๕
261
๑.๑ ผลจากการเรียนรูจ้ ากการสอบวดั ในครัง้ น้ีคอื อะไร
๑.๒ ระดบั ผลสัมฤทธิข์ องกล่มุ จาการสอบวดั ครั้งนีอ้ ยใู่ นระดบั ใด?
ก า ร ตี ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ค ะ แ น น ท่ี ได้ จ า ก ก า ร ส อ บ ด้ ว ย แ บ บ ท ด ส อ บ ม า ต ร ฐ า น
(Standardized Test) ก็ทำในลักษณะเดียวกันกับการเรียงลำดับคะแนนดิบ แต่แทนที่จะใช้คะแนน
ดิบมาเรียงก็ใช้วิธีการแปลงคะแนนดิบให้เป็นคะแนนแปลงรูปลง (Derived Scores) อย่างใดอย่าง
หนึ่งเสียก่อน เช่น เป็นคะแนนเปอร์เซ็นต์ไทล์ คะแนนทีปกติ (Normalized T-score) คะแนนสแตน
ไนน์ (Stanine) เป็นต้น คะแนนแปลงรูปเหล่าน้ีจะบอกตำแหน่งของนักเรียนแต่ละคนภายในกลุ่มน้ัน
ๆ ดงั นัน้ การรายงานผลของนกั เรยี นกจ็ ะออกมาในลกั ษณะดังนี้
- สมบรณู ์ ได้คะแนนอยู่ในลำดบั ทีเ่ ปอร์เซน็ ตไ์ ทลท์ ่ี ๘๔
- สมพร ได้คะแนนทปี กติ ๖๐
- มาลี ไดค้ ะแนนสแตนไนน์ ๗
จากการรายงานผลการเรยี นท้งั ๓ คนนี้ จะบอกความหมายว่า นกั เรียนทั้ง ๓ คนนีม้ ี
ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน หรือมีความสามารถ (Ability) อยู่เหนือระดับเกณฑ์เฉลี่ยหรือถ้าอธิบายให้
ละเอียดได้ดังนี้ สมบรูณ์ ได้คะแนนอยู่ในลำดับท่ีเปอร์เซ็นต์ไทล์ท่ี ๘๔ หมายความว่า สมบูรณ์ อยู่ใน
ตำแหนง่ เหนือคนอ่ืน ๘๔ % ของกล่ม คือ ถ้ากลุ่มนัน้ มีนักเรียนจำนวน ๑๐๐ คน หมายความว่า จะมี
นกั เรยี นอยู่ ๘๔ คน ทีเ่ รยี นอ่อนกวา่ สมบรู ณ์ สหิ รับสมพร ได้คะแนนทีปกติ ๖๐ หมายความวา่ สมพรมี
ความสามารถอยู่ในตำแหน่งคนอน่ื ๘๔ % ขอลกลุ่ม ตามพน้ื ที่ใต้โค้งปกติ คือจะมีนักเรยี นอยู่ ๘๔ คน
ท่ีเรียนอ่อนกว่าสมพร ในจำนวนนักเรียน ๑๐๐ คน ส่วนมาลี ได้คะแนนสแตนไนน์ ๗ จะตรงกับ
เปอร์เซ็นต์ไทล์ที่ ๘๔ กล่าวคือจะมีนักเรียนท่ีเรียนอ่อนกว่ามาลีอยู่ ๘๔ คน ในจำนวนนักเรียน ๑๐๐
คน นอกจากน้ีผู้สอนต้องคำนึงถึงความสามารถของกลุ่มนั้นว่าอยู่ในระดับใด มีความแตกต่างกันมาก
น้อยเพียงใด ถา้ สมมตุ ิว่ากลุ่มท่กี ลา่ วถึงเปน็ กล่มุ ท่ีอ่อนมาก ๆ ถ้าสมบูรณ์ สมพรและมาลี เรยี นอยู่รว่ ม
ในกลุ่มที่อ่อนมาก ๆ ดังกล่าว หรืถือแม้จะได้เรียนร่วมกัน แต่เมื่อเทียบคะแนนแปลงรูปดังกล่าวแล้ว
น้ัน ซ่ึงแปลความออกมาแล้วน่าจะเป็นคนค่อนข้างเก่ง แต่ทว่าความเป็นจริงแล้วก็ไม่ได้เก่งอะไรมาก
นักเพราะค่อนข้างเด่นในกลุ่มอ่อนมาก ๆ มิได้เด่นจริง ๆ แต่อย่างใด ดังน้ัน การแปลงรูปคะแนนใน
ลักษณะนี้ผู้รายงานจะต้องแปลความหมายอย่างรอบครอบแบะให้ตรงกับความเป็นจริงที่มากท่ีสุด
เพ่ีอว่าผู้ปกครอง ครู ตัวนักเรียนเองจะได้ทราบความสามารถของนักเรียนได้อย่างแท้จริง และได้วาง
แนวทางช่วยเหลือกันไดถ้ ูกต้องมากขน้ึ
อนึ่ง การรายงานผลในลักษณะที่เป็นคะแนนแปลงรูป วิธีการแก้ปัญหาเรื่องขนาดและ
คุณค่าของคะแนนที่ไม่เท่ากันซึ่งเป็นคะแนนท่ีอยู่คนละมาตรา ให้เป็นคะแนนท่ีอยู่ในมาตราเดียวกัน
เป็นคะแนนท่ีมีขนาดและคุณค่าเท่ากัน จึงสามารถนำมารวมกันและเปรียบเทียบกันได้เท่าน้ันเอง ซึ่ง
เป็นการรายงานผลในลักษณะกลุ่มสัมพันธ์คะแนนท่ีได้ก็ยังไม่ได้บอกความหมายที่เป็นการบอก
๒๕๖
262
ความหมายมี่เปน็ การจำเพราะเจาะจงแต่ละประการใด คือยังไมไ่ ด้บอกวา่ นักเรียนมผี ลสัมฤทธผ์ิ ลอะไร
เพียงใด เปน็ แตบ่ อกให้รู้ว่าคะแนนน้นั อยู่สงู หรืออยู่ตำ่ กว่าคนอน่ื ๆ ทีส่ อบดว้ ยข้อสอบนนั้ ๆ ด้วยกัน
การสอบวัดผลและประเมินผลแบบน้ีเปน็ ท่ยี อมรับอย่างกวา้ งขวางและได้นำมาพิจารณาใช้
ตัดสินผลทางด้านการศึกษาในหลายลักษณะ เช่น การสอบคักเลือก การแบ่งกลุ่มนักเรียน การเล่ือน
ชัน้ เรยี น การเปรยี บเทยี บผลผลิตทางการศึกษา เปน็ ต้น
๒) จุดมุ่งหมายของการประเมินแบบอิงกลุ่ม เพื่อต้องการทราบสมรรถภาพของ
นักเรียนเป็นรายบุคคลหรือเป็นรายกลุ่ม กล่าวคือนักเรียนคนใดหรอื กลุ่มใดเก่งอ่อนเพียงใด สำหรับผู้
ปรกครองท่ีต้องการจะทราบผลการเรียนเก่ียวกับเด็กของตนว่าเก่งหรืออ่อน ตามท่ีครูรายงานผลก็
ทราบได้ และการเก่งหรืออ่อนดังกล่าวนั้นขึ้นอยู่กับตำแหน่งของนักเรียนเมื่อเปรียบเทียบกับนักเรียน
คนอ่ืน ๆ ภายในกลุ่ม ส่วนผู้บริหารการศึกษาและผู้ท่ีเกี่ยวข้องก็ต้องทราบว่ากลุ่มนักเรียนท่ีตนเอง
รบั ผิดชอบอยู่นนั้ เกง่ หรืออ่อน ซ่ึงก็ต้องทำการเปรียบเทียบความสามารถของกลุ่มของตนกบั กลุ่มอื่น ๆ
เช่น กล่มุ โรงเรยี น กลุ่มอำเภอ กลมุ่ จงั หวดั กลุ่มเขตการศกึ ษา และกลุ่มทั้งประเทศ
๓) คุณสมบัติของเคร่ืองมือวัด เครื่องมือวัดที่ใช้สำหรับวัดแบบอิงกลุ่มจะเน้น
คุณสมบตั ใิ นต้านต่าง ๆ คือ
๓.๑ ต้องมีความเท่ียงตรง ความเที่ยงตรง คือสามารถวัดในส่ิงที่ต้องการจะ
วัดความเที่ยงตรงอาจจะแบ่งออกเป็น ๔ อย่างคือ ความเที่ยงตรงตามเนื้อหา ความเท่ียงตรงตาม
โครงสร้าง ความเท่ียงตรงตามสภาพ และความเทย่ี งตรงเชิงพยากรณ์
๓.๒ ต้องมีความยากง่ายพอเหมาะ เครื่องมือที่มีความยากง่ายพอเหมาะก็
คือ เคร่ืองมือท่ีมีจำนวนผู้ตอบถูก กับจำนวนผู้ตอบผิดเท่า ๆ กัน คือประมาณร้อยละ ๕๐ หรือ
ใกล้เคียง เคร่ืองมือชิ้นใดหรือข้อสอบข้อใดท่ีมีจำนวนผู้ตอบถูกสูงกว่าร้อยละ ๘๐ ตอบถูกก็ถือว่าเป็น
ขอ้ สอบท่ีง่ายไปและในทำนองเดียวกันข้อสอบข้อใดมีผตู้ อบถูกจำนวนน้อยกว่าร้อยละ ๒๐ ตอบถูก ก็
ถือว่าข้อสอบข้อนี้ยากเกินไป ต้องปรับปรุงให้ยากขึ้นหรือง่ายลงก็แล้วแต่ว่าข้อสอบข้อนั้นบกพร่อง
อย่างไร
๓.๓ ต้องมีอำนาจจำแนก เคร่ืองมือหรือข้อสอบที่สามารถจำแนกน้ัน
หมายถึงประสิทธิภาพในการแยกจัดประเภทนักเรียนได้ นั่นคือ ถ้านักเรียนคนใดตอบข้อสอบข้อน้ีถูก
ก็จะมีดัชนีบ่งบอกว่า ข้อสอบนั้นสามารถจะทำนายว่านักเรียนคนน้ันเก่ง มีโอกาสในการทำนาย
เปอร์เซ็นต์ข้อสอบทีม่ ีค่าอำนาจสูง ๆ จะเป็นข้อสอบดี โดยท่ัวไปในทางปฏิบัติจะถือค่าประสิทธ์ิสหสัม
พทั ธ์ตั้งแต่ .๒๐ ขนึ้ ไป
๓.๔ ต้องมีความเชื่อม่ัน ความเช่ือม่ันหมายถึงความคงท่ีแน่นอน
(Consistency) ของเครือ่ งมอื วดั คือจะวัดกี่ครง้ั ๆ ก็ไดผ้ ลเท่าเดมิ หรอื คงตำแหนง่ เดมิ อย่ตู ลอด
๒๕๗
263
๓.๕ ต้องมีการกระจายของคะแนนสูง การกระจายของคะแนนเป็น
คุณสมบัตทิ ี่สำคญั อย่างหน่ึงที่แสดงให้เห็นว่า เคร่ืองมือวดั สามารถแบ่งคนให้เรียงลำดับความสามรถที่
มีการกระจายทีเ่ หมาะสมจะมีลกั ษณะเปน็ แจกแจงโค้งปกติ
๔) ลักษณะของการวดั
๔.๑ การวัดผลแบบอิงกลุ่มสามารถวัดท้ังในแนวคาบและในแนวกว้างการวัดในแนว
แคบเป็นการวัดเฉพาะตอนใดตอนหนึ่งหรือวัดเฉพาะบางจุดมุ่งหมายท่ีต้องการทราบ สำหรับการวัด
ในแนวกว้างนั้นหมายถึงวัดรวมหมดทั้งหลักสูตร คือการวัดทั้งด้านเน้ือหาและพฤติกรรมที่มีอยู่ใน
หลักสูตร โดยทั่ว ๆ ไป การวัดจะเน้นความสำคัญตอนสอบวัดรวบยอด เมื่อส้ินสุดภาคเรียนหรือตอน
จบหลักสตู ร สำหรับผู้เรียนหรอื ผเู้ ขา้ สอบก็จะมกี ารเตรียมตวั สอบก่อนสอบเสมอ
๔.๒ การวัดแบบอิงกลุ่มจะยืดถือตารางวิเคราะห์หลักสูตรเป็นหลักการในการวัด
ดังน้ันผู้ทำการวัดอาจเป็นฝ่ายสอบวัดที่ไม่ได้เคยสอนนักเรียนในช้ันมาเลยก็ได้ เช่น เจ้าหน้าท่ีหรือ
กรรมการการศึกษาระดับอำเภอ ระดับจังหวัด หรือระดับเขตการศึกษาท่ีได้รับการแต่งต้ังข้ึนมาเป็น
คร้ังคราว การสอบวัดโดยกลุ่มบุคคลในลักษณะน้ีจะไม่มีปัญหาถ้าหากว่า ฝ่ายผู้สอน กับฝ่ายผู้ทำการ
สอบวัดได้ยึดถือตารางวิเคราะห์หลักสูตรเป็นหลักในการดำเนินการ แต่ถ้าหากไม่ใช้ตารางวิเคราะห์
หลักสูตรเป็นหลักแล้วก็จะเกิดปัญหามาก เพราะผู้สอนก็สอนเน้นไปอีกอย่างหน่ึง แต่การสอบวัดก็จะ
เน้นแนวการเขียนข้อสอบไปอกี ทางหนึง่ เป็นผลเสียในการนำผลเสยี ในการนำข้อมลู ทไี่ ด้ไปประเมนิ
๔.๓ ความรู้รวบยอดของการวัดแบบอิงกลุ่ม จะเป็นการมุ่งความสนใจมายังผลที่
ผู้เรียนได้รับ หรือผู้เรียนได้เปล่ียนแปลงพฤติกรรมไปแล้วอย่างไรเพียงใด ไม่ค่อยสนใจว่านักเรียนมา
โดยวิธีใด หรือครูสอนอย่างไร และเม่ือการทำการสอบวัดไปแล้ว ก็จะนำผลการสอบไปใช้ประเมินผล
อันได้แก่การตัดสินผลการเรียนว่าได้หรือตก ผ่านหรือไม่ผ่าน มิได้มุ่งค้นหาวิธีการสอนที่ดีหรือว่า
ตรวจสอบวิธีการเรียนการสอนท่ีไดจ้ ดั ทำไปแลว้ ว่าเหมาะสมหรอื ไม่เพียงใด ๆ
๕) การแปลความหมายของคะแนน
การแปลความหมายของคะแนนจากการวดั แบบอิงกลุ่มนนั้ เน้นการแปลความหมายในรูป
ส่วนร่วม ซ่ึงจะใช้คำพูดบางคำแทนการประเมิน ได้แก่คำว่า เก่งค่อนข้างฉลาด ปานกลาง อ่อน อ่อน
มาก และการตัดสินใจว่า เก่งหรอื ไม่เก่งกวา่ น้ีกต็ ้องนำคะแนน ไปเปรยี บเทียบกบั คะแนนของคนอื่น ๆ
ที่ไดส้ อบด้วยขอ้ สอบฉบับเดียวกันสำหรบั รายละเอยี ดท่ีว่า เกง่ อย่างไร เกง่ ตรงไหนหรือกลุม่ หรอื อ่อนก่ี
วตั ถปุ ระสงค์เชน่ น้ี การวดั ผลแบบอิงกลุ่มไมส่ ามารถจะใหค้ ำตอบได้
๒๕๘
264
ข้อคดิ เหน็ สำหรบั การประเมนิ แบบอิงกลุ่ม
แกลเชอร์ (Glaser)๑๖ ไดใ้ ห้ขอ้ คิดเห็นวา่ การประเมินผลแบบองิ กลมุ่ เป็น การประเมนิ ผลท่ี
ไม่มีความหมายแต่อย่างใด และบางคร้ังยังก่อให้เกิดความเข้าใจผิดหรือเกิดความรู้สึกท่ีไม่ดีในทาง
การศึกษาอีกด้วย นอกจากน้ันการวัดผลแบบอิงกลุ่มไม่ได้ช่วยตอบคำถามที่ว่าโรงเรียนได้สร้างสิ่งค่าง
ๆ ให้นักเรียนได้บรรลุวัตถุประสงค์มากน้อยเพียงใด แกลเซอร์ยอมรับการวัดผลแบบอิงเกณฑ์ว่า เป็น
การวัดท่ีมีประโยชน์กว่า ซ่ึงสามารถวินิจฉัยถึงข้อบกพร่อง หรือจุดอ่อนของนักเรียนในการเรียน
บทเรียนนั้น ๆ อีเบล (Ebel)๑๗ กม็ ีความเห็นในทำนองเดียวกนั กับความเหน็ ของแกลเซอร์ คือเห็นด้วย
ในแง่ท่ีว่าการวัดผลแบบอิงเกณฑ์สามารถปรับปรุงการเรียนการสอนได้ที่ดีกว่าการวัดแบบอิงกลุ่ม
โดยเฉพาะถ้าเป็นโปรแกรมการเรียนการสอนที่มุ่งสำหรับการเรียนเพื่อความรับรู้อย่างไรก็ตาม เขาได้
ให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับการวัดผลแบบอิงเกณฑ์ว่าบางครั้งก็เป็นสิ่งที่ยุ่งยากใน การจะใช้วัดผลแบบอิง
เกณฑ์เพ่ือวัดผลสัมฤทธ์ิเพราะการหวัดผลแบบอิงเกณฑ์ไม่อาจใช้เพ่ือปรับปรุงสาระสำคัญใหญ่ ๆ อัน
เป็นผลสมั ฤทธทิ์ ัง้ มวลของการศึกษา
โฟแฟม (Popham)๑๘ ได้กล่าวถึงข้อบกพร่องของการวัดแบบอิงกลุ่มว่าการวัดผลแบบอิง
กลุม่ ไมเ่ มาะทจี่ ะนำมาใชใ้ นการประเมินผลทางการศึกษาด้วยเหตผุ ล ๔ ประการ
๑. การสอนและการสอบไม่สอดคล้องกัน จุดอ่อนข้อนี้สืบเน่ืองมาจากมีการดำเนินการ
เรื่องข้อสอบมาเกี่ยวข้อง นั่นคือการสร้างข้อสอบมาตรฐานให้ใช้ได้ท่ัวไปอย่างกว้างขวางจะไม่ได้มี
ปริมาณการขายข้อสอบมากข้ึนข้อสอบมาตรฐานสร้างขึ้นโดยหน่วยงานทางธุรกิจ โดยต้องการ
เปรียบเทียบโรเรียนต่าง ๆ ในแง่การใช้หลักสูตรดังน้ัน วัตถุประสงค์ในการสร้างข้อสอบจะแปรเปล่ียน
ส่ิงที่ต้องเน้นในการออกข้อสอบให้แตกต่างกันไป ซ่ึงบางทีไม่ตรงกันกับท้องถ่ินหรือโรงเรียนได้เน้นใน
ด้านการเรียนการสอนแต่เม่ือเป็นเรื่องของธุรกิจ ก็จำเป็นต้องสร้างข้อสอบในแง่ที่ให้ผู้ใช้บริการ
พจิ ารณาแล้วเห็นว่าข้อสอบนีก้ พ็ อจะใช้กันได้ หรือสร้างความเช่ือม่นั ให้แกผ่ ู้เลอื กขอ้ สอบโดยวิธีหนึ่งวิธี
ใดและบางทีก็มีการเข้าใจผิดในการเลือกข้อสอบก็มีตัวอย่าง เช่น โรงเรียนแห่งหน่ึงได้สอนย้ำความ
เขา้ ใจในการอา่ น และผู้บรหิ ารเห็นว่ามขี อ้ สอบมาตรฐานวัดความเขา้ ใจในการอ่านท่ดี ีมากอยแู่ ลว้ และ
คิดว่าข้อสอบนี้จะใช้ได้เหมาะกับในช้ันเรียนในโรงเรียนของตน ความเข้าใจเช่นนี้อาจผิดก็ได้ เพราะ
๑๖ Glaser, R. and Nitko, A.J., "Measurement in Learning and Instruction", In R.L.
Thorndike (Editor). Educational Measurement, P.625. Washington D.C., American Council on
Education, 1971.
๑๗ Ebel R.L., Essentials of Educational Measurement, Englewood Cliffs. (New Jersey :
Printice - Hall, Inc., 1972), p 70.
๑๘ Popham, James W., Modern Educational Measurement, Englewood Cliffs, (New
Jersey : Printice - Hall, Inc., 1981), p 78.
๒๕๙
265
การวัดความเข้าใจในการอ่านอาจทำได้หลายวิธีด้วยกันโรงเรียนอาจเน้นไปอีกอย่าง เช่น เวลาสอนก็
สอนความเข้าใจในการอ่าน โดยการใช้ข้อความหรือเรื่องราวท่ีเขยี นไว้แลว้ แตผ่ ู้เลอื กไปเลอื กข้อสอบที่
เกี่ยวกับความเข้าใจภาพหรือ ข้อสอบประเภทท่ีไม่ได้ใช้ข้อความหรือเร่ืองราวเป็นเรื่องราวเป็นข้อ
คำถาม เป็นตน้ ดงั นั้น สรุปได้วา่ สง่ิ ทีส่ อนไป กบั สิ่งทไ่ี มส่ อดคล้องกัน
๒. ไมค่ ่อยมีประโยชน์ด้านการเรียนการสอน จดุ อ่อนประการท่ี ๒ ของการวัดผลแบบอิง
กลุ่ม คือ ผลการสอบมิได้ช่วยให้เกิดการปรับปรุงการเรียนการสอนเพราะว่าไม่ทราบว่าจะปรับปรุงที่
ตรงใด ตัวอย่างเช่นครูใหญ่ของโรงเรียนแห่งหน่ึงบอกว่าผลการสอบด้านทักษะการเขียนของนักเรียน
ได้คะแนนท่ีสอบวัดโดยแบบทดสอบมาตรฐานต่ำกว่า เม่ือเทียบกับคะแนนเฉล่ียแล้วอยู่ในตำแหน่ง
เปอร์เซ็นต์ไทล์ท่ี ๓๗ เท่านั้น ถ้าครูใหญ่นั้นต้องการปรับปรุงด้านทักษะการเขียน เพ่ือให้คะแนนสอบ
ได้เพมิ่ ขึ้นถึงเปอรเ์ ซน็ ต์ไทล์ท่ี ๕๐ ครใู หญ่จะตอ้ งดำเนินการอย่างไร จะปรับปรงุ ทักษะตอนไหน กับนัด
เรยี นคนได หรือต้องปรับปรุงทักษะกับนักเรียนท้ังชั้นหรือทั้งโรงเรยี นซึ่งก็เป็นเรื่องยากที่จะดำเนินการ
และในคู่มือในการใช้แบบทดสอบก็มิได้ระบุกิจกรรมที่แนะให้ทำหลังการสอบผ่านไปแล้ว ดังนั้น การ
วัดผลแบบอิงกลุ่มเพื่อวัดคุณภาพของการศึกษาจะไม่ทราบผลอันแท้จริง และไม่สามารถปรับปรุง
หลักสูตรหรอื โปรแกรมการเรียนการสอนได้
๓. การวดั แบบอิงกลุ่มมีผลทางการจิตวิทยา การสอบวดั แบบองิ กลุ่มต้องการคะแนนให้
กระจายมากที่สุดเท่าท่ีจะมากได้ เพ่ือจะได้เปรียบเทียบความมารถของคนภานในกบุ่มได้ว่าใครอยู่ใน
ตำแหน่งใดผู้สร้างข้อสอบจะรู้สึกวา่ เป็นข้อสอบท่ีดี ถ้าได้รูปการแจกแจงของคะแนนเป็นรูปคล้ายโค้ง
ปกติมากเพราะน่ันแสดงวา่ ข้อสอบมีคุณลกั ษณะของข้อสอบที่ดี คือมีอำนาจจำแนกสงู
ข้อสอบท่ีดีน้ันก็คือข้อคำถามท่ีนักเรียนในกลุ่มที่ตอบถูก ๕๐% หรือความแปรปรวนอยู่
ระหว่าง ๔๐-๖๐% กไ็ ด้ สว่ นทข่ี ้อสอบที่มีผ้ตู อบถูกมาก ๆ ถึง ๘๐% หรือสงู กว่าซึ่งเป็นขอ้ สอบท่ีง่าย
น้ันก็จะถูกตัดออก เมื่อทำการปรับปรุงแบบทดสอบครั้งหน่ึงข้อคำถามที่ดีอาจกลายเป็นข้อที่ไม่ดีก็ได้
เพราะแบบทดสอบมาตรฐานต้องมีช่วงระยะเวลาท่จี ะสร้างเกณฑใ์ หม่
๔. การวัดผลแบบอิงกลุ่มมีความลำเอียงด้านวัฒนธรรม เมื่อใช้แบบทดสอบ
มาตรฐานไปวัดกลุ่มนักเรียนท่ีแตกต่างกันทางวัฒนธรรม เช่น ภาษา ศาสนา แน่นอนว่าคะแนนท่ีได้
จะต้องแตกตา่ งไปจากกลุ่มอ่ืน ๆ เม่อื เปรียบเทียบกับเกณฑ์ปกติแล้วอาจจะต่ำไป เช่น การทำทักษะ
ข้อสอบในการแปรความหมายคำภาษาไทย ไปสอบนักเรียนโรงเรียนปอเนาะที่ภาคใต้ คะแนนเฉลี่ย
ย่อมน้อยกว่าเกณฑ์ของทั้งประเทศ เพราะนักเรียนกลุ่มนี้เรียนภาษาไทยน้อย ดังนั้นเม่ือไปแปลผล
การสอบของนักเรยี นกลุ่มนวี้ า่ อยใู่ นเกณฑ์อ่อน หรอื อ่ นมาก เชน่ นี้ยอ่ มเป็นการไม่ถกู ตอ้ ง
สรปุ ได้วา่ เราตอ้ งรจู้ กั ว่าระบบการศึกษาของเราที่จดั อยดู่ ีหรอื ไม่ดอี ย่างไร การวดั ผลแบบ
องิ กลมุ่ อาจก่อใหเ้ กิดการเขา้ ใจผดิ และประมาณประสทิ ธผิ ลของการศึกษาผิดไปก็ได้
๒๖๐
266
๒.๖ การประเมินผลแบบองิ เกณฑ์(Criterion Referenced Evaluation)
๑. ความหมายของการประเมินแบบอิงเกณฑ์ เป็นการนำข้อมูลที่ได้จากการ
วัดผลมาพิจารณาโดยตรวจดูว่าผู้เรียนแต่ละคนประสบผลสำเร็จในพฤติกรรมแต่ละอย่าง ตามที่ระบุ
ไว้ในวัตถปุ ระสงค์การสอนหรือไม่เรียงใด (เทยี บกับเกณฑท์ ี่กำหนดไว้) โดยไม่คำนงึ ถึงผลการวัดผเู้ รียน
คนอ่ืน
๒. แนวคดิ ในการประเมนิ ผลแบบอิงเกณฑ์
ในปัจจุบันมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงระบบการวดั ผลการศกึ ษาเพื่อให้เหมาะสมและ
มีประสิทธิภาพต่อการเรียนการสอนมากที่สุด โดยการนำการประเมินแบบอิงเกณฑ์มาใช้ การ
ประเมินผลแบบนี้มีความเช่ือและแนวคิดมาจากทฤษฎีการเรียนเพื่อรอบรู้ (Mastery learning) ท่ีว่า
การเรียนทั้งหลายควรจะเป็นการเรียนเพื่อรอบรู้ นักเรียนทุกคนควรจะรอบรู้ได้ในส่ิงท่ีครูสอน ผู้ท่ีมี
ส่วนเกี่ยวข้องท้ังปวงมีหน้าที่ที่จะแสวงหาวิธีการช่วยให้นักเรียนสามารถเรียนให้ “รอบรู้” ตามท่ี
ต้องการให้ได้ คำวา่ “รอบรู”้ ตามที่ต้องการ หมายถึง นกั เรียนมีความสามารถถึงระดับที่คาดหวังไว้
ฉะนั้นจุดมุ่งหมายในการเรียนการสอนจะต้องชัดเจน และมีเกณฑ์ที่บอกให้ทราบว่าความสามารถ
ระดบั ใดจึงจะเรียกว่า บรรลุ ถงึ ระดับ “รอบร”ู้ นัน้ โดยกำหนดเกณฑข์ น้ั ต่ำท่ีจะยอมรับว่านักเรียน
รอบรู้ในเร่ืองใดเรื่องหน่ึง จะต้องมีความรอบรู้ในเนื้อหาวชิ าน้ัน ๆ อย่างน้อยร้อยละ ๘๐ หมายความ
ว่าถ้าวิชาหน่ึง ๆ มีจุดมุ่งหมายการเรียนการสอนที่จำเป็น และสำคัญ ๆ ๑๐๐ จุดมุ่งหมาย นักเรียน
จะต้องบรรลุหรือรอบรู้ในจุดมุ่งหมายเหล่าน้ีอย่างน้อย ๘๐ จุดมุ่งหมาย และถ้าในจุดมุ่งหมายมี
ข้อสอบวัดตรงตามจุดมุ่งหมายน้ัน ๑๐ ข้อ นักเรียนจะต้องทำข้อสอบถูกอย่างน้อย ๘ ข้อ จึงจะ
ยอมรับว่านักเรียนรอบรู้ในจุดมุ่งหมายนั้น ๆ แนวคิดในเรื่องนี้อีกประการหนึ่งก็คือ การท่ีนักพัฒนา
หลักสูตรได้พัฒนาเน้ือหาวิชาแล้วบรรลุในหลักสูตรเพ่ือเป็นส่ือให้เกิดพฤติกรรมตามจุดมุ่งหมายท่ี
ต้องการ นั่นแสดงว่าเน้ือหาน้ันมีความสำคัญ จำเป็นท่ีจะเป็นพื้นฐานในการเรียนเรื่องต่อไป และ
เหมาะสมสำหรับนักเรียนระดับนั้น ๆ ถ้าเน้ือหามีความสำคัญจำเป็นและเหมาะสำหรับนักเรียนก็น่าที่
นักเรียนจะได้เรียนรู้ให้ได้ แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีการยอมรับในเร่ืองความแตกต่างระหว่างบุคคลอยู่
บางคนเรยี นรไู้ ดเ้ ร็ว บางคนเรยี นรู้ได้ชา้ แตถ่ า้ เวลาเพยี งพอแลว้ นกั เรียนทุกคนย่อมสามารถเรยี นรู้ได้
แนวคิดหรือความเชอ่ื อีกประการหนึ่งที่ทำใหก้ ารประเมินผลแบบอิงเกณฑ์ได้รับการพัฒนา
รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว คือ การที่สังคม ชุมชน ผู้ปกครอง เรียกร้องให้ผู้ดำเนินการจัดการศึกษา
โรงเรียน ครู มีความรับผิดชอบ (Accountability) ในส่ิงที่ตนกระทำ สิ่งท่ีตนสอน กล่าวคือ ถ้า
หากมีผู้ปกครองของนักเรียนถือผลการสอบของนักเรียนซ่ึงได้คะแนนร้อยละ ๗๕ หรือได้ระดับ
คะแนนเฉลี่ย ๒.๗๕ มาหาครแู ล้วถามว่า “ลูกผมได้คะแนนเท่านั้นเท่านี้ ลูกผมสามารถทำอะไรได้
บ้าง” นักการศึกษาหรือครูคงจะตอบดีตอบให้ตรงไปตรงมาอาจจะตอบได้ว่า ไม่ทราบว่าทำอะไรได้
บ้างแต่ลูกคุณสามารถทำคะแนนสอบได้ ๗๕ คะแนน จากคะแนนเต็ม ๑๐๐ คะแนน จากข้อ
๒๖๑
267
เรียกร้องของสังคม ผู้ปกครอง ท่ีเรียกร้องให้นักการศึกษา โรงเรียน ครู รับผิดชอบในการจัด
การศึกษาจึงทำให้ผู้ดำเนินการจัดการศึกษา โรงเรียน ครู พยายามที่จะกำหนดจุดมุ่งหมายของหาร
เรยี นการสอนให้ชัดเจนเพียงพอท่ีให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน สามารถสังเกตได้ วัดได้ อธิบายได้ด้วยเหตุ
ดงั กลา่ วจุดมุ่งหมายการเรยี นการสอนและจุดมุง่ หมายเชิงพฤติกรรมจึงก้าวเข้ามามบี ทบาทในการเรยี น
การสอน
จากแนวคิดการเชื่อมโยงดังกล่าวข้างต้น การประเมินผลตามแนวนี้จึงยึดถือเกณฑ์เป็น
หยักในการเปรยี บเทียบ โดยเปรียบเทยี บผลการวัด (คะแนน) ของนักเรยี นคนนั้นกบั เกณฑ์ทก่ี ำหนดก็
ถือว่ารอบรู้ในเรื่องน้ัน หรือจุดมุ่งหมายน้ัน ๆ โดยไม้ต้องเปรียบเทียบกับคะแนนของนักเรียนคนอ่ืน
ฉะนั้นเครอื่ งมอื ที่ใช้วัดจะต้องสอดคล้องกบั “เกณฑ์” ทีก่ ำหนดไว้
๓. ความหมายของแบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์
คำนิยามหรือความหมายของแบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ (Criterion Referenced
Test) มีหลายความหมายดงั นี้
แกลเซอร์ (Glaser)๑๙ ให้ความหมายของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ว่าเป็นแบบทดสอบที่
สร้างขึ้นเพ่ือความต้องการให้เป็นการวัดท่ีสามารถแปลความหมายของคะแนนออกมาได้โดยตรง ใน
รปู มาตรฐานของการปฏิบัติท่เี ฉพาะเจาะจง
มิลแมน (Millman)๒๐ ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบอิงเกณฑ์เป็นแบบทดสอบ
ท่ีใชว้ ัดสภาพที่เป็นปัจจุบันของนักเรียนโดยมีการสุ่มตัวอยา่ งข้อสอบสำหรับเป็นตัวแทนของประชากร
ข้อสอบในจุดม่งุ หมายน้นั ทั้งมวล หรือเพื่อใช้ในการเป็นตัวแทนของกลุ่มพฤติกรรมท้ังมวล (Domain)
ทแ่ี สดงคณุ สมบัตขิ องจดุ ประสงคน์ นั้ ข้อสอบนน้ั บางทกี เ็ รยี กวา่ Domain Referenced Test
โพแฟม และ ฮูเซค (Popham and Husek)๒๑ ได้ให้ความหมายว่า แบบทดสอบ
สำหรับตรวจสอบผลสัมฤทธิ์ของในบุคคลในการแสดงออกซึ่งพฤติกรรมต่าง ๆ แล้วเปรียบเทียบกับ
เกณฑท์ ก่ี ำหนดไว้
อนันต์ ศรีโสภา ๒๒ กล่าวว่าแบบทดสอบอิงเกณฑ์เป็นแบบทดสอบที่ใช้สำหรับวัด
ความรู้ความสามารถของนักเรียนแต่ละคนว่า ถึงเกณฑ์ที่คาดไว้หรือไม่บางทีก็เรียกแบบทดสอบน้ีว่า
๑๙ Glaser, R. and Nitko, A.J., "Measurement in Learning and Instruction, p 519-521.
๒๐ Millman, Jason., "Passing Scores and Test Lengths for Domain - Referenced
Measures", Review of Educational Research, 43 : 205-216, Spring 1974.
๒๑ Popham, James W. and Husek , Modern Educational Measurement, p 1-9.
๒๒ อนันต์ ศรโี สภา, การวัดผลการศึกษา, (กรงุ เทพมหานคร: สำนกั พิมพ์วัฒนา-พานิช, ๒๕๒๕), หน้า
๑๙๐.
๒๖๒
268
Mastery Test แบบทดสอบชนิดนี้จึงเน้นวัดความรู้และทักษะต่าง ๆ ในตัวนักเรียนว่าถึงเกณฑ์ท่ี
กำหนดไว้หรือไม่ โดยไมค่ ำนงึ ถงึ ความแตกตา่ งระหว่างนกั เรยี น
ไพศาล หวังพานิช๒๓ ได้กล่าวถึงความหมายของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ว่า เป็น
แบบทดสอบท่ีใช้ตรวจสอบความสามารถในการเรียนรู้ของผู้เรียนว่า มีพฤติกรรมและคุณลักษณะต่าง
ๆ ถึงระดับของเป้าหมายที่ต้องการหรือไม่ หรือเป็นไปตามคาดหวัง ซึ่งจะกำหนดไว้เป็นเกณฑ์มาก
น้อยเพียงใด
บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์ ๒๔ ให้คำนิยามแบบทดสอบอิงเกณฑ์ว่าเป็นแบบทดสอบท่ี
บรรจุเนื้อหาสาระที่เฉาพะเจาะจง สอดคล้องกับจุดประสงค์ของการสอน มีคะแนนจุดตัดหรือคะแนน
เกณฑ์ สำหรบั ใชเ้ ปน็ เครอ่ื งตัดสนิ วา่ นกั เรยี นมีความรู้ตามเกณฑท์ ่กี ำหนดไวห้ รอื ไม่
จากการให้ความหมายแบบทดสอบอิงเกณฑ์ท่ีนักเรียนวัดผลการศึกษาหลาย ๆ ท่านได้
กล่าว ไว้นั้น พอสรุปความหมายของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ว่า เป็นแบบทดสอบท่ีใช้ผู้สอบว่ามีความรู้
ความสามารถตามจดุ ประสงคเ์ ชิงพฤติกรรมหรอื เกณฑ์ทต่ี ้ังไวห้ รอื ไม่
๔. ความสำคญั ของแบบทดสอบอิงเกณฑ์
กมล ภู่ประเสริฐ๒๕ ได้กล่าวถึงความสำคัญของแบบทดสอบแบบอิงเกณฑ์ว่า ความรู้
และความคิดในเรื่องการวัดผลแบบอิงเกณฑ์จะช่วยในการสร้าง และการใช้เคร่ืองมือวัดผล เพ่ือการ
ปรับปรงุ คณุ ภาพของการเรยี นการสอนให้ตรงกับประเด็นทสี่ ำคัญ
บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์๒๖ กล่าวว่าแบบทดสอบอิงเกณฑ์จะมีประโยชน์สูงสุดในการ
ตัดสินเก่ียวกับความก้าวหน้าหรือกรเรียนรู้ของนักเรียนในหลักสูตรใดหลักสูตรหนึ่ง ดังนั้น
แบบทดสอบอิงเกณฑ์จึงเหมาะสำหรับใช้ในการตัดสินว่านักเรียนจำเป็นต้องเรียนซ่อมเสริมในหน่วย
การเรียนนัน้ หรือไม่ หรือใช้ตัดสินวา่ นักเรยี นมคี วามรอบรพู้ รอ้ มท่ีจะเรียนต่อไปไดห้ รือไม่
คะแนนแบบทดสอบอิงเกณฑ์สามารถนำไปใช้ในการประเมินผลทุกระดับและใช้ในการจัด
กจิ กรรมตา่ ง ๆ ดังนี้
๑. การจัดกลุ่มนักเรียนให้เหมาะสมกับการเรียนการสอนในหน่วยการเรียนที่ต่อเนื่อง
ต่อไป
๒๓ ไพศาล หวังพานิช, การวัดผลการศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,
๒๕๒๖), หนา้ ๑๘๖.
๒๔ บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์, การทดสอบแบบอิงเกณฑ์แนวคิดและวิธีการ, (กรุงเทพมหานคร :
สำนักพมิ พโ์ อเดยี นสโตร์, ๒๕๒๗), หน้า ๔.
๒๕ กมล ภู่ประเสริฐ, แนวความคิดท่ีเก่ียวข้องกับการวัดผลการเรียนการสอน, ในพัฒนาวัดผล ๑๓,
(กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สารมวลชน, ๒๕๒๐), หน้า ๑๗.
๒๖ บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์, เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๑๙.
๒๖๓
269
๒. การรายงานผลการสอบได้ สอบตก ของผู้เรียน ซ่ึงแสดงถึงความก้าวหน้าของผู้เรียน
ตลอดโปรแกรม
๓. การกำหนดเกณฑ์เป็นตัวอักษร เกณฑ์หรือมาตรฐานเพ่ือใช้ในการรับรองสมรรถภาพ
ในเน้ือหาวชิ าหรือรายวิชาต่าง ๆ
๔. การประเมนิ ผลรวม เพื่อใช้ในการสอบเลอ่ื นขัน้ และสำเรจ็ การศึกษาของนักเรยี น
๕. การรับรองโดยการออกแบบในประกาศนียบัตรหรือการออกใบอนุญาตในวิชาชีพ
ตา่ งๆ เชน่ ทางการแพทย์ (ใบประกอบโรคศลิ ป์) ทางกฎหมายจิตวทิ ยา
ภัทรา นิคมานนท์๒๗ กล่าวถึง ความสำคัญของแบบทดสอบอิงเกณฑ์ว่าเป็นเคร่ืองมือใน
การสอบและวัดผลแบบอิงเกณฑ์ ซึ่งเป็นกระบวนการควบคู่ไปกับการเรียนการสอนเป็นระยะ ๆ เป็น
การสอบวัดเพื่อปรับปรุงการเรียนการสอน เม่ือผู้เรียนไม่สามารถทำข้อสอบถึงเกณฑ์ที่กำหนดไว้
ต้องมีการเรยี นซ่อมเสริมเนื้อหาน้ันจนกว่าจะผ่านถงึ เกณฑ์จงึ จะสามารถเรียนหน่วยต่อไปได้ การสอบ
แบบองิ เกณฑจ์ งึ เหมาะสมกับการสอบในห้องเรียน
จากความสำคญั ของแบบทดสอบอิงเกณฑ์และการสอบแบบอิงเกณฑ์ ดงั กล่าวมาแลว้ สรุป
ไดเ้ ป็น ๓ ข้อ คือ
๑. ทำใหท้ ราบความสามารถของผู้เรียนได้อย่างแจม่ ชัด
๒. สามารถบ่งช้ปี ระสิทธิภาพของผู้เรยี นได้เป็นอยา่ งดี
๓. เหมาะอย่างยิง่ สำหรบั การทดสอบเพอื่ ปรับปรุงการเรียน
๒.๗ ข้อแตกตา่ งระหว่างการประเมินผลแบบอิงกลมุ่ และอิงเกณฑ์
ตารางท่ี ๑๐.๑ ข้อแตกตา่ งระหวา่ งการประเมินผลแบบอิงกลุ่มและองิ เกณฑ์
การประเมินผลแบบอิงกลุ่ม การประเมินผลแบบองิ เกณฑ์
๑. เป็นการเปรียบเทียบความสามารถของนักเรียนโดย ๑. เปรียบเทยี บความสามารถของนักเรียนกับเกณฑ์ที่ต้ัง
เปรยี บเทยี บกับกลุม่ หรอื คะแนนของนักเรียนคนอน่ื เอาไว้โดยไมค่ ำนงึ ถงึ คะแนนของนกั เรียนคนอ่ืน
๒. ให้ขอ้ มลู ในลกั ษณะแบบองิ เกณฑไ์ มไ่ ด้ ๒. ให้ข้อมลู ในลักษณะแบบอิงกล่มุ ได้
๓. เหมาะสมท่ีจะใชใ้ นการสอบเพ่ือตัดสินผลการ ๓. เหมาะสมท่ีใช้ในการสอบเพื่อปรับปรุงการเรียนการ
เรยี น เช่น สอบปลายภาคและสอบคดั เลือก สอน
๔. สามารถประเมินได้เฉพาะผลการเรียนของ ๔. สามารถประเมินได้ท้ังผลการเรียนของนักเรียน และ
นักเรียน ครูผสู้ อน
๒๗ ภัทรา นิคมานนท์, การประเมินและการสร้างแบบทดสอบ, (กรุงเทพมหานคร : อักษรบัณฑิต,
๒๕๒๗), หน้า ๗.
๒๖๔
270
๕. คะแนนจากขอ้ สอบน้ีมกั มกี ารกระจายสงู ๕. คะแนนจากขอ้ สอบจะต้องสอดคล้องกบั
จดุ มงุ่ หมายในการสอนทีว่ างไว้
๖. การออกข้อสอบจะต้องออกข้อสอบให้สอดคล้อง ๖. การออกข้อสอบจะต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายใน
ตามตารางวิเคราะห์หลกั สตู รหรือตารางจำแนกขอ้ สอบ การสอนท่วี างไว้
๗. ข้อสอบท่ีดีจะต้องมีความยากง่ายพอเหมาะคือ ไม่ ๗. ความยากง่ายของขอ้ สอบไมใ่ ชส่ ่งิ สำคัญ
ยากเกนิ ไปหรอื ง่ายเกินไป
๘. จำเปน็ ตอ้ งใชข้ ้อสอบฉบับเดียวกันสำหรบั ๘. ไมจ่ ำเป็นต้องใช้ขอ้ สอบฉบับเดยี วกนั สำหรบั
นักเรยี นทัง้ ชัน้ นกั เรียนทั้งชั้น
๙. ความเทยี่ งตรงทกุ แบบมสี ่วนสำคัญ ๙. ความเท่ียงตรงตามเนื้อหาและความเที่ยงตรงตาม
จดุ มงุ่ หมายมีความสำคัญ สว่ นแบบอ่ืน ไม่จำเปน็
๑๐. การวิเคราะห์ข้อสอบใช้เกณฑ์ภายในคือกลุ่มสูง ๑๐. การวิเคราะห์ข้อสอบต้องใช้เกณฑ์ภายนอก เช่น
และกลมุ่ ตำ่ คนทร่ี อบรู้และไม่รอบรู้
๒.๘ การประเมินผลจากสภาพจรงิ (Authentic Assessment)
๑. ความหมายของการประเมินผลจากสภาพจรงิ
การประเมินผลจากสภาพจริงในชั้นเรียน หมายถึง กระบวนการในการสังเกต บันทึก
และรวบรวมข้อมูล จากวิธีการและผลที่นักเรียนทำ ซ่ึงจะเป็นการประเมินที่ต้องดำเนินการต่อเน่ือง
ตลอดเวลา ควบคู่ไปกับการเรียนการสอน เน้นวัดที่การแสดงออก วัดกระบวนการ วัดผลผลิตและ
แฟม้ สะสมงาน
๒. หลกั การประเมินผลจากสภาพจริงในช้นั เรยี น
๑. ต้องสามารถผนึกเข้าไปกับหลักสูตรที่สอดคล้องกับความจริงและสอดคล้องกับ
เปา้ หมายและวัตถปุ ระสงค์
๒. ช้ีนำโดยความรทู้ ่ีเด็กมพี ฒั นาการและการเรียนรทู้ งั้ ทางร่างกายและจติ ใจ
๓. ดำเนินการตลอดเวลาและสะสมมาจากการสังเกตพฤติกรรมหลาย ๆ ด้านและ
ตัวอย่างชิน้ งาน ผลผลติ ของเด็กนกั เรยี น
๔. การแสดงออกถงึ วิธกี ารเรยี นรขู้ องนักเรยี นแตล่ ะคน
๕. เกิดความเช่ือและไว้วางใจต่อผู้ท่ีมีส่วนร่วมในการประเมินโดยเฉพาะอย่างย่ิง
ระหวา่ งเพ่อื นนกั เรียนและผู้ปกครอง
๓. การเรยี นรู้ตามสภาพจริง
ลกั ษณะทสี่ ำคัญของการเรยี นรู้ตามสภาพจรงิ
๑. เนน้ นกั เรยี นเปน็ ศูนยก์ ลาง
๒๖๕
271
๒. เป็นการเรียนรู้ด้วยตนเองของนักเรียน ส่วนครูเป็นผู้อำนวยความสะดวกในการ
เรียนรู้ กระตนุ้ ใหน้ ักเรียนใฝร่ ู้
๓. เปน็ การเรียนรูท้ ี่เนน้ การสบื คน้ หาข้อความรู้ (Disciplined Inquiry)
๔. ให้ความสนใจในเรอ่ื งสนุ ทรียภาพคา่ นยิ มส่วนบคุ คล
๕. ภาระงานการเรยี นรจู้ ะต้องมีการใช้ความคดิ ระดับสงู และเช่อื มโยงกับชีวิตจริง มี
ความหมายสอดคล้องกับบริบทของสังคมที่นกั เรียนอาศัยอยู่
๖. ในการอภิปรายสนทนาจะตอ้ งสนใจเนอื้ หาสาระการเรยี นรเู้ ปน็ หลกั
๗. สถานการณ์การเรียนรู้เป็นสถานการณ์ท่ีกระตุ้น ยั่วยุ ท้าทาย และส่งเสริมให้
นกั เรียนมีความมุ่งมน่ั ทจี่ ะแสดงออกด้านความคิด
๘. นกั เรียนไดพ้ ฒั นาทกั ษะทางวิชาการ ทกั ษะทางสงั คม
๙. นักเรียนเป็นบุคคลแห่งการเรียนรู้พร้อมที่จะรับ และปฏิเสธข่าวสารเทคโนโลยี
วถิ ีแห่งปญั ญา
๑๐. เป็นกระบวนการการเรียนรู้ท่ีมีความสมดุลและมีความสุข ได้เรียนรู้เก่ียวกับ
ความดี ความงาม และความจริง
๑๑. เน้นการเรยี นรูแ้ บบร่วมมอื (Cooperative Learning)
๔. การประเมินตามสภาพจริง
ลกั ษณะสำคัญของการประเมินผลตามสภาพจรงิ
๑. เป็นการประเมินท่ีกระทำไปพร้อม ๆ กับการเรียนการสอนและการเรียนรู้ของ
นกั เรยี น
๒. เป็นการประเมินท่ียึดพฤติกรรมเป็นสำคัญ (Performance based) ซ่ึงแสดง
ออกมาจรงิ
๓. ใหค้ วามสำคญั ในการพฒั นาจุดเดน่ ของนกั เรยี น
๔. เน้นการพัฒนานักเรยี นและการประเมนิ ตนเอง
๕. ตัง้ อย่บู นพ้ืนฐานเหตุการณ์ในชีวิตจรงิ เออ้ื ต่อการเชื่อมโยงการเรียนรูไ้ ปส่ชู วี ติ จรงิ
๖. มีการเก็บข้อมูลระหว่างการปฏิบัติในทุก บริบทท้ังท่ีโรงเรียนบ้านและชุมชน
อย่างตอ่ เน่ือง การแขง่ ขันกีฬาเป็นฤดูกาลที่มกี ารเก็บคะแนนสะสมตลอดฤดูกาล ไม่ใชแ่ บบแพต้ ดั ออก
๗. เน้นคุณภาพของผลงาน ซึ่งเป็นผลจากการบูรณาการ ความรู้ ความสามารถ
หลายด้านของนกั เรยี น
๘. เนน้ การวดั ความสามารถในการคิดระดับสงู เช่น การวิเคราะห์ สังเคราะห์
๙. ส่งเสรมิ การปฏิสัมพันธ์เชิงบวก มีการชนื่ ชม ส่งเสริม และอำนวยความสะดวกใน
การเรียนของนกั เรยี นมคี วามสุขสนกุ สนานไมเ่ ครียด
๒๖๖
272
๑๐. สนบั สนุนการมีส่วนร่วมของผูม้ ีสว่ นได้ส่วนเสยี (Stakeholders) ในการเรยี น
๕. วธิ กี ารประเมินตามสภาพจรงิ
การประเมินตามสภาพจริงเป็นการประเมินผลสำเร็จจากการเรียนรู้ของนักเรียน
(Learning Outcomes) ซึ่งสอดคล้องกับกิจกรรมการเรียน การสอนโดยเน้น การประเมิน
ความก้าวหน้าและพัฒนาการของผู้เรียนด้วยวิธีการที่หลากหลาย การประเมินตามสภาพจริงจึงเป็น
การประเมินท่เี ปน็ ระบบ เปน็ กระบวนการ และสามารถดำเนนิ การได้หลายวธิ ี ดงั นี้
๑) การสังเกต ซ่ึงสามารถทำได้ในทุกสถานการณ์ อาจจะมีหรือไม่มีเครื่องมือในการ
สังเกตก็ได้
๒) การสัมภาษณ์ ด้วยวิธีการต้ังคำถามอย่างง่าย ๆ สามารถสัมภาษณ์ทั้งอย่างเป็น
ทางการและไมเ่ ปน็ ทางการ
๓) บันทึกจากผู้เก่ียวข้อง ด้วยการรวบรวมข้อมูลความคิดเห็นเกี่ยวกับนักเรียนใน
ดา้ นความรู้ ความสามารถ การแสดงออกในลักษณะต่าง ๆ
๔) แบบทดสอบวัดความสามารถจริง (Authentic test) ด้วยการสร้างคำถาม
เก่ียวกับการนำความรู้ไปใช้ หรือสร้างความรู้ใหม่จากความรู้ความเข้าในและประสบการณ์เดิมจาก
สถานการณจ์ ำลองท่ีคลา้ ยคลึง หรอื เรียนแบบสภาพจริง
๕) การรายงานตนเอง ด้วยการให้นักเรียนสามารถพูดหรือเขียนบรรยายความรู้สึก
นกึ คิด ความเข้าใจ วธิ กี าร และผลงานของนกั เรยี น
๖) แฟ้มสะสมงาน (Portfolio) เป็นตัวอย่างผลงานที่มีการรวบรวมไว้อย่างเป็น
ระบบในช่วงหนึ่งเพ่ือเป็นหลักฐานท่ีแสดงถึงความรู้ความเข้าใจ ความสามารถ ทักษะความสนใจ
ความพยายาม ความก้าวหน้า ความสำเร็จ
๒๖๗
๒๖๗
273
การสกงัาเรกสตงั เกต การสกัมาภราสษัมณภา์ ษณ์ ผบเู้ันกทยี่ ึกวผบจขู้เันาก้อกทีย่งึกวจขา้อกง
การปกราะรเปมินระตเามมนิ สตภาามพสจภราิงพจริง
แฟ้มแสฟะม้ สสมะงสานมงาน การรกาายรงราานยตงนาเนอตงนเอง แคบวบาทมแดสคบสาวบมอาทมาบรดสวถสาดั มอาบรวถดั
แผนแภผานพภทา่ี ๑พ๐ท.ี่ ๑๑๐: .ภ๑าพ: แภสาดพงแวสธิ ดกี งาวรธิปกี ราะรเมปินระตเามมินสตภาามพสจภริงา๒พ๘จริง๒๘
วธิ ีกวาธิรีกทาไี่ ๖ดร.ทต้ -----รไ่ี ๖กดวาคกกกก.จ้ตราาาาวส-----รวกรรรราวอดัจวววามกกกกคจบดััดัดรำผพาาาาวสแลวผผผรรรรลางึอลอดัจววลลวมลพบว้ งดัดัดัำททผทพอป)แสลผผผเ่เี่ีล่ีสใงึลรนนภอจลลลพะะ้วน้้นาใงททททอเป)นพสคกมี่ีเเ่่ีส้ใอสรนนภชรวจนิ ะนะภะาีวนน้้าใผทเใมนบิตพาคกมหล้อพสใสวชรวิน้เจนนานขภหะาวี ะผโมใอกมบิต็านรมหลางาพสใงวถีลร้เจตนรเานขหึงรถกัแะนโมกอกยี็นจรษลมาางนารงถะณีลรรตรเิง-ึงผรถใักชแในะกชลยีนจษมุลอ้าคขนกรชะณยรวอิงา-ผนใ่าชาใรงะชลนงมกุมดอ้คไขกคาำชรยวอราเิดนา่นากรงพงมกินดรไิจคะาำชรารทเิดวี รนกิตพำณนิริจะชาาทไีวรตติำณร่ตารไตองร(่ตใชรอ้เหงต(ใุผชล้เหแตกุผ้ปลัญแหกา้ปดัญ้วยหาด้วย
นช๓วัก.าเวช๓นรลียวตััก.านเถแวรลพปุียตั ไรนรถมแตั กะพ่วปุกาส่าไรุลรรมจงัตวกะะค่อวกัดาสป่าธ์ขุลรแจงบิรวอละคอะาัดงะปยเธข์ แมกกบิถรอลินาางึะารงะจรผยเปมกกุดวู้เถรรินมาาัดึงียะรุง่จรผผนเหปุดวู้เมลรมรมัดผินียแะาุงู่้สผผนยลเหอมลลขะมนผินกอแปาู้สางผยกลรกอรลขิจะะเานกอรกปรเียมางรสกรกรนรอินิจะเามรบรกผรเู้หแียวมรสลลรัดนรอินกืะอไมรบวผเากู้หแนด้วราลลรื้อดัังรเกืะอนรหไเวรเายีก้ีานี้ดยราวน้ือนงัรเิชรนรหเกาู้รยี้ีาตาียวนร่านิชสงรกอาู้ๆตานร่านทสงั้นี่มอๆีกตนา้อนทรง้ันเี่มเรกีกตีย่ียา้อนวรงกขเเราก้อียรี่ยงสนทวอกั้งขนคา้อตรรงสูแาทมอล้ังทนะคี่ตรูแามลทะ่ี
๒๘ ป๒ร๘ะสปงรคะ์ สหงัสคร์ นิ หทัสรร,์ นิ กทารร,์จกดั ากราจรดัเรกียานรรเรู้, ียหนนรา้ ู้, ๒ห๖น๘้า.๒๖๘.
๒๖๘
274
๑ . สอบเพ่ื อจัดตำแหน่ ง (Placement) เป็น การสอบเพื่อจัดผู้เรียน ให้ เข้ากับ
ความสามารถของเขาเพอ่ื จะได้ทราบวา่ เขามีความสามารถอยู่ตรงระดับใดของกลุ่มเป็นการสอบเพ่ือ
เปรยี บเทียบผล ระหว่างเด็กแต่ละคนกับเพ่ือน ๆ ท้ังหมด วงการศึกษาปจั จุบันใช้การสอบเพือ่ เรอื่ งน้ี
มากที่สุดโดยใช้อยู่ ๒ ประการ คือ สอบคัดเลือก (Selection) เป็นการสอบเพ่ือแยกเด็กท่ีมาสมัคร
เป็นประเภทรับไว้และไม่รับ ส่วนอีกอย่างคือ สอบเพื่อจำแนก (Classification) เป็นการสอบเพ่ือจัด
จำแนกผู้เรียนออกเป็น “สอบได้” กับ “สอบตก” หรือสอบเพื่อแยกเด็กออกเป็นประเภท ๆ ตาม
เกรดทค่ี วามจะไดร้ บั คอื A-B-C-D หรือ F เปน็ ต้น
๒. สอบเพื่อวินิจฉัย (Diagnosis) เป็นการสอบเพ่ือค้นหาสมมติฐานว่าเด็กคนน้ันๆไม่เก่ง
วิชานั้นเน่ืองด้วยสาเหตุใด เปรียบเสมือนนายแพทย์ตรวจคนไข้เพื่อทราบสมมติฐานของโรคเป็นการ
สอบเพ่ือช่วยใหค้ รูผ้สู อนวางยารกั ษาโรคใหห้ ายได้
๓. สอบเพ่ือเปรียบเทียบ (Assessment) เป็นการสอบเพ่ือจะวัดดูว่าผู้เข้าสอบแต่ละคน
งอกงามพัฒนาข้ึนจากเดิมเทา่ ไร เช่น จากตน้ เทอมถึงปลายเทอม เป็นการเปรียบเทยี บสมรรถภาพของ
ตัวเองกับตัวเอง โดยใช้วิธีสอบซ้ำ (Test-Retest Method) เริ่มจากใช้ข้อสอบชุดเดิมวัดตอนต้นเทอม
และวัดอีกคร้ังตอนปลายเทอม เป็นการวัดความงอกงาม (Growth) ของผู้เรียนแต่ละคนโดย
เปรียบเทยี บกบั ตนเอง
ปัจจุบันการสอบเพ่ือเปรียบเทียบน้ี สำนักงานทดสอบทางการศึกษา กรมวิชาการ
กระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินการประเมินผลนักเรียนในระดับประเทศ เช่นระดับประถมศึกษา
มัธยมศึกษา และได้ทำการประเมินผลในวิชาที่เป็นแกนหลัก เช่น ภาษา คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์
เป็นตน้ โดยอาจจะทำการเปรยี บเทยี บผลการประเมินเปน็ ภาคเรียนหรือปกี ารศึกษา
๔. สอบเพื่อพยากรณ์ (Prediction) มีจุดมุ่งหมายเพื่อใช้คะแนนของผู้เข้าสอบไปทำนาย
วา่ เขาควรจะเรียนอะไรจึงจะดี ใช้มากในการแนะแนวการศกึ ษาเพื่อเรียนต่อหรือแนะแนวอาชีพเพื่อผู้
เข้าสอบจะได้เข้าเรียนในสาขาที่ตนเองถนัด และมีอาชีพที่เกี่ยวข้องกับด้านท่ีตนถนัดน้ันต่อไปใน
อนาคต
๕. สอบเพื่อประเมินค่า (Evaluation) เป็นการสอบเพื่อนำผลมาเปรียบเทียบระหว่าง
โรงเรียน ในสาขาวิชาต่าง ๆ เพื่อโรงเรียนท่ีไม่ถึงเกณฑ์หรือไม่ถึงมาตรฐาน จะได้นำไปปรับปรุงแก้ไข
เม่อื รวู้ ่าตนยงั ด้อยอย่หู ลงั จากการเปรยี บเทียบกบั โรงเรยี นอ่ืน ๆ แล้ว๒๙
การวัดผลและการประเมินผลการเรียนรู้นอกจากจะมีวัตถุประสงค์ดังกล่าวข้างต้นน้ีแล้ว
การวัดผลและประเมินผลการศึกษายังมีบทบาทการตรวจผลย้อนกลับ (Feedback) เมื่อการเรียนการ
สอนผา่ นไปแต่ละบทเรยี น ครูผู้สอนจะทำการวดั และประเมินผล เพ่ือตรวจสอบดูวา่ เทคนิคการสอน
๒๙ ชวาล แพรัตกุล, เทคนิคการวัดผล, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์วัฒนาพานิช, ๒๕๑๘), หน้า ๒๑-
๒๕.
๒๖๙
275
อุปกรณ์การสอน และเนื้อหา ตลอดจนการจัดกิจกรรมท่ีครูได้สอนให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้นั้นมี
ข้อบกพร่องอะไรบ้างส่วนใดบ้างที่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไข ส่วนใดบ้างท่ีดีอยู่แล้ว การวัดและ
ประเมินผลในลักษณะน้ีจึงเป็นผลย้อนกลับ คือ นำผลท่ีได้จากการประเมินไปใช้ในการปรับปรุง
โครงการสอนสำหรับใช้ในการเรียนการสอนคร้ังต่อไป ผลย้อนกลับน้ีมิใช่จะมีประโยชน์ทางด้าน
ครผู ู้สอนเท่านั้นหากยังเป็นผลย้อนกลับสำหรับนักเรียนอีกด้วย เพราะเม่ือสอบวัดและประเมินผลไป
แล้วนักเรียนจะได้รับรายงานผลของตัวเองทำให้ตัวเองให้ทราบว่าตนเองมีความรู้ระดับใด และเรื่อง
ใดบา้ งที่ร้แู ล้ว เรอ่ื งใดบ้างทยี่ งั ไม่รู้ จะไดห้ าทางแก้ไขต่อไป
๔. ประโยชนข์ องการวดั ผลและประเมนิ ผลการเรยี นรู้
ในการวัดกระบวนการเรียนการสอนนั้นจุดมุ่งหมายคือต้องการให้นักเรียนเกิดการเปรียบ
แปลงพฤติกรรมต่าง ๆ ให้เป็นไปตามจุดมุ่งหมายท่ีกำหนดไว้ วิธีการที่จะช่วยให้นักเรียนบรรลุ
จุดม่งุ หมายดังกลา่ ว คอื การสอน การวดั และการประเมนิ ผลจะเป็นวธิ พี ิจารณาว่าการสอนของครูน้ัน
บรรลุจุดมุ่งหมายท่ีตั้งไว้มาดน้อยเพียงใด และผลของการวัดและการประเมินผลก็จะให้ข้อมูลเพ่ือ
ปรับปรุงวิธีการสอนของครูให้มีประสิทธิภาพดียิ่งข้ึน ดังนั้นเราจะเห็นว่าการวัดและการประเมินผล
การเรียนรู้ให้ประโยชน์แก่ครู นักเรียน ผู้บริหาร และการแนะแนว ซึ่ง ชวาล แพรัตกุล๓๐ ได้สรุป
ประโยชนข์ องการสอบวัดที่ดวี า่ มีประโยชนใ์ นดา้ นต่าง ๆ ดังนี้
ก. ในดา้ นครูและนกั เรียน การสอบวดั ทีท่ ำให้เราสามารถรู้วา่
๑. นักเรยี นแตล่ ะคน เก่ง-อ่อน ด้านใด
๒. ใครมอี ตั รางอกงาม เร็ว-ช้า เพยี งใด
๓. ควรจะจัดกลุ่มนกั เรยี นอย่างไร
๔. ควรเร่มิ ตน้ สอนจากตรงไหน
๕. นกั เรยี นคนใดควรเอาใจใส่เปน็ พเิ ศษ เพราะโง่-ฉลาดเกนิ ไป
๖. บอกให้นักเรียนรู้สถานะของตนเอง และหาทางแก้ไขโดยตรงตาม
คำแนะนำของครู
๗. ชว่ ยให้รูว้ า่ ใครสนใจ และมที ัศนคติ เด่น-ดอ้ ย ทางไหน
๘. ใชเ้ ปน็ การกระตุน้ การเรียน
๙. ช่วยใหร้ วู้ า่ วธิ ีการสอนแบบไหนชว่ ยให้ผลมากน้อยเพียงใด
๑๐. ควรตัดสินได-้ ตก อย่างไร
๑๑. ควรปรบั ปรุงกจิ กรรม และหลกั สูตรอย่างไร
๓๐ ชวาล แพรตั กลุ , เร่อื งเดยี วกัน, หนา้ ๒๕-๒๖.
๒๗๐
276
๑๒. ชว่ ยใหร้ ู้ว่า จะแจง้ ผลการเรียนแก่ผ้ปู กครองอย่างไร
๑๓. ใช้เปน็ ระเบยี นสะสม
ข. ในด้านอาจารยใ์ หญแ่ ละนกั บรหิ าร การสอบวัดที่ดสี ามารถชว่ ยใหผ้ บู้ รหิ ารทราบวา่
๑. ใช้ผลการสอบเป็นพ้ืนฐาน สำหรับทราบสถานภาพต่าง ๆ ของโรงเรียน
เช่น มาตรฐานความรู้ของเด็กสูงข้ึน หรือต่ำลงกว่าแต่ก่อน และควรจัดการสอบคัดเลือกอย่างไร เป็น
ต้น
๒. ชว่ ยใหร้ วู้ ่า หลักสูตรและวธิ ีการสอนแบบต่าง ๆ นนั้ ให้ผลอย่างไร
๓. ชว่ ยใหร้ วู้ ่า การสอน การอบรม มีคุณภาพปานใด
๔. ใช้ผลการสอบวัดเป็นข้อมลู แจ้งให้ประชาชนทราบ
๕. ใชเ้ ป็นเคร่อื งแนะแนวแกค่ รูใหม่ ท่ีจะมาทำการสอน
๖. ใชเ้ ปน็ ข้อมลู สำหรบั แก้ไขปรับปรุงงานดา้ นบรหิ ารของโรงเรยี น
๗. ช่วยให้คณะครูในโรงเรียน ทราบสถานะอันแท้จริงของโรงเรียนตนและ
ยอมรบั ความจริงตามนน้ั ๆ ไมใ่ ชน่ กึ หรอื หลงเช่อื เอาเอง
๘. ทำให้เกิดการวิจัย เพื่อแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า (Action Research)
ภายในโรงเรียนตน และในปัญหาทั่ว ๆ ไป
๙. เป็นข้อมูลทีม่ ีค่ายิง่ ในกจิ กรรมแนะแนว
ค. ในด้านการแนะแนว การสอบวัดท่ีดสี ามารถให้ประโยชน์ในด้านตา่ ง ๆ ดงั นี้
๑. ชว่ ยวนิ ิจฉยั และวเิ คราะหค์ วามเด่น-ดอ้ ยของนกั เรียนแตล่ ะคน
๒. ชว่ ยให้เดก็ เอาชนะปมด้อย และนำปมเด่นของตนไปใช้ใหเ้ ป็นประโยชน์
๓. ช่วยค้นว่าแต่ละช้ัน แต่ละโรงเรียน มีอะไรดีเด่นบ้าง เพ่ือจะนำไปใช้ให้เกิด
ประโยชน์ไดจ้ รงิ ๆ
๔. ช่วยใหร้ เู้ หตุของปัญหาทางการเรยี น ทางอารมณ์ และสงั คม
๕. นำผลการวัดเหล่านัน้ ไปแนะวธิ กี ารเรียน และแนะแนวอาชีพของนกั เรยี น
๖. ชว่ ยให้ผปู้ กครองเขา้ ใจเดก็ ของตน ใหถ้ อ่ งแทย้ ิง่ ขนึ้
๗. นำผลการสอบต่าง ๆ มาวิเคราะห์วิจัย แล้วเสนอผลสรุปให้อาจารย์ ประจำชั้น
อาจารย์ใหญ่ อาจารย์ฝ่ายบริหาร ผู้ปกครอง กระทรวง ประชาชน และชาติ ทราบว่า เด็กรุ่นใดมักมี
ปญั หาอะไรและควรแก้ไขอยา่ งไรจึงจะถูกจดุ เป็นตน้
๒๗๑
277
นอกจากน้ียังมนี ักวดั ผลบางท่านได้กล่าวถึงประโยชน์ของการวดั และประเมินผลการศกึ ษา
ดังน้ี รัตนา ศิริพานิช๓๑ อธิบายว่าการตัดสินใจในการเรียนการสอนข้ึนอยู่กับข้อมูลด้านการวัดและ
ประเมินผลอย่างมากโดยยกตัวอย่างให้เห็นว่า ข้อมูลด้านการวัดและการประเมินผล อาจช่วยในการ
ตอบปัญหาตา่ ง ๆ ต่อไปน้ี
๑. จะวางแผนสอนผู้เรียนท่ีมีลักษณะพิเศษแต่ละกลุ่มได้อย่างไร (ใช้แบบทดสอบวัด
สติปัญญา และ/หรือแบบสอบวัดความถนัดทั้งทางวิชาการและวิชาชีพและอาจพิจารณาจาก
ผลสัมฤทธ์ิทางการเรียนท่ผี ู้เรียนเคยทำมาแล้ว และไดบ้ นั ทึกเกบ็ ไว้ประกอบ)
๒. จะจัดแบ่งกลุ่มผู้เรียนอย่างไร จึงจะทำให้การเรียนการสอนมีประสิทธิภาพมากที่สุด
(พจิ ารณาจากพสิ ัย (Range) ของคะแนนจากการใช้แบบสอบวัดสติปญั ญาและ/หรือแบบสอบวัดความ
ถนัดทางวิชาการ รวมทั้งพจิ ารณาผลสมั ฤทธ์ิทางการเรยี นท่ผี ้เู รียนเคยทำมาแล้วประกอบ)
๓. จะพิจารณาอย่างไรว่า ผู้เรียนพร้อมที่จะเรียนบทเรียนต่อไปหรือยัง (ใช้แบบทดสอบ
ความพร้อมทางการเรียน (Readiness Test) ทดสอบและพิจารณาจากคะแนน Pretest ทักษะตา่ ง ๆ
ทจ่ี ำเปน็ ต้องใช้ในการเรียนบทเรียนนั้น ๆ ตอ่ ไป รวมท้ัง พิจารณาจากคะแนนผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน
ที่ผเู้ รยี นเคยทำมาแล้วประกอบดว้ ย)
๔. จะทราบได้อย่างไรว่าผู้เรียนน้ัน ๆ สามารถทำคะแนนถึงขีดต่ำสุดที่ต้องการสำหรับ
รายวชิ าน้ัน ๆ ได้ (ใช้ Mastery Test และใช้การสังเกตประกอบ)
๕. จะทราบได้อย่างไรว่า ผู้เรียนก้าวหน้าไปมากกว่าคะแนนต่ำสุดท่ีต้องการขนาดไหน
เพียงใด (ใช้การทดสอบย่อย ๆ ในขณะท่ีสอน –Periodic Quizzesใช้แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธิ์
ทางการเรยี น และใช้การสังเกตประกอบ)
๖. จะทราบได้อยา่ งไรวา่ จะทบทวนความรู้ ความเข้าใจของผูเ้ รยี นที่จุดใดจงึ จะดี (ใช้การ
ทดสอบย่อยในขณะที่สอนเป็นระยะ ๆ และใชเ้ ทคนิคการสังเกตประกอบ)
๗. จะทราบได้อย่างไรว่า ผู้เรียนไม่สามารถเรียนรู้เน้ือหาน้ัน ๆ เป็นเพราะสาเหตุใด (ใช้
แบบทดสอบเพ่ือปรับปรุงแก้ไขตัวผู้เรียน –Diagnostic Test ใช้เทคนิคการสังเกต และการประชุม
และพูดคุยถึงปัญหาทางการเรียนระหว่างผูเ้ รียนดว้ ยกนั และระหว่างผเู้ รยี นและผู้สอนประสอบ)
๘. จะทราบได้อย่างไรว่า ผู้เรียนคนใดบ้างมีผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนในวิชาท่ีสอนต่ำกว่า
เกณฑ์ท่กี ำหนด (ใช้แบบทดสอบวัดสตปิ ัญญา และแบบทดสอบวดั ผลสัมฤทธ์ิทางการเรยี น)
๓๑ รัตนา คิริพานชิ , บทบาทของอาจารย์มหาวทิ ยาลัยธรรมศาสตร์ในด้านการวดั ผลและประเมินผล
การศึกษา, (กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๓๓), หน้า ๗๘.
๒๗๒
278
๙. จะทราบไดอ้ ย่างไรว่า ควรจะสง่ ผู้เรยี นคนใดไปหาฝ่ายแนะแนวโดยให้โอกาสเรียนช้ัน
เรียนพิเศษเพ่ิมเติม (Special Classes) หรอื ให้เรียนโปรแกรมแก้ไขปรับปรุงความรคู้ วามเข้าใจในส่ิงที่
อ่อนอยู่ให้ดีขึ้น –Remedial Programs (ใช้แบบทดสอบวัดสติปัญญา แบบทดสอบวัดผลสัมฤทธ์ิ
ทางการเรยี น แบบทดสอบเพื่อปรับปรุงแก้ไขผู้เรยี น Diagnostic Test และเทคนิคการสังเกต)
๑๐. จะทราบได้อย่างไรว่า ผู้เรียนคนใดไม่เข้าใจตนเองไม่รู้ว่าตนเองมีความรู้
ความสามารถอะไรบ้าง ระดับใด (ใชแ้ บบประเมินตนเอง – Self Ratings และการประชุมพูดคุยถงึ ผล
การเรยี นรายวิชาต่าง ๆ ของผูเ้ รยี นคนนน้ั ๆ ประกอบ)
๑๑. จะทราบได้อย่างไรว่า ควรจะให้เกรดระดบั ใดแก่ผู้เรียนแต่ละคนในสถานศึกษาน้ัน ๆ
(พจิ ารณาข้อมลู จากการประเมินผลทง้ั หมดที่ผู้เรยี นแต้ละคนเคยทำมา)
๑๒. จะทราบได้อย่างไรว่า การสอนของผ้สู อนแต่ละคนมีประสิทธิภาพเพียงใด (พิจารณา
จากคะแนนผลสัมฤทธ์ิทางการเรียน ผลการประเมินการสอนของผู้เรียน และผลการประเมินของ
ศกึ ษานเิ ทศก์ –Supervisors’ Ratings)
นอกจากนั้น Merhrens และ Lehmann๓๒ ได้กล่าวถึงบทบาทของการวัดและ
ประเมินผลการศึกษาในสถานศึกษาต่าง ๆ ว่า วัดอะไร วัดโดยใคร และวัดไปทำไมโดยกล่าวถึง
รายละเอียดดงั ต่อไปนี้
๑. วัดผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนของผู้เรียน โดยครูผู้สอนเพื่อเลือกแผนการเรียนให้
เหมาะสมแกผ่ เู้ รียนแตล่ ะคน
๒. วัดความแตกต่างระหว่างบุคคลของผู้เรียน โดยครูผู้สอนเพ่ือเลือกแผนการเรียนให้
เหมาะสมแกผ่ ู้เรียนแตล่ ะคน
๓. วัดความสนใจในวิชาชีพของผู้เรียนแต่ละคนโดยตัวผู้เรียนเอง เพื่อจะช่วยในการวาง
แผนการเรียนในอาชพี ทผี่ ้เู รยี นแต่ละคนสนใจในอนาคต
๔. วัดระดับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนในแต่ละกลุ่ม โดยครูผู้สอน เพ่ือจะช่วยในกระบวนการ
เรยี นการสอนมปี ระสทิ ธภิ าพยง่ิ ขน้ึ
๕. วัดประสิทธิภาพของหลักสูตร โดยคณะผู้พัฒนาหลักสูตร เพ่ือช่วยในการตัดสินใจว่า
จะประยุกตใ์ ชห้ ลกั สตู รอย่างไรจงึ จะเหมาะสม
๖. วัดประสิทธิภาพในการสอนรายวิชาใดรายวิชาหนงึ่ โดยผู้เรียนเพ่ือช่วยในการตัดสินใจ
ว่า ควรจะลงทะเบียนเรียนรายวชิ าน้ัน ๆหรอื ไม่
๗. วดั ระดับผลสัมฤทธข์ิ องผู้เรียนในกลมุ่ ใดกล่มุ หน่ึง โดยหน่วยราชการทเี่ ก่ียวข้องในการ
รับผิดชอบการเรยี นของเดก็ กล่มุ นั้น เพือ่ เสนอให้งบประมาณได้ถูกต้องเหมาะสม
๓๒ Mehrens, W. A. and Lehmann, L.J., Measurement and Evaluation in Education and
Psychology, p 8-9.
๒๗๓
279
๘. วัดประสิทธภิ าพในการสอนของครู โดยคณะผูบ้ ริหารเพื่อพจิ ารณาว่าควรจะจ้างครูคน
น้นั ตอ่ ไปอกี หรอื ไม่
๙. วัดความต้องการของโรงเรียนประเภทต่าง ๆโดยหน่วยงานที่รับผิดชอบด้านการจัด
งบประมาณทางการศึกษา เพ่อื วางแผนใหง้ บประมาณตามความตอ้ งการของโรงเรยี น
๑๐. วัดทัศนคติที่มีต่อครูผู้สอนรายวิชาต่าง ๆ โดยผู้เรียน เพ่ือช่วยในการเลือกเรียนวิชา
ต่างๆ
๑๑. วัดประสิทธิภาพในการเรียนการสอนของโรงเรียน โดยบิดา-มารดา และผู้ปกครอง
ของนกั เรยี น เพื่อช่วยในการเลอื กสถานทเ่ี รียนให้เดก็ ของตนอย่างเหมาะสม
๑๒. วัดความเข้าใจโปรแกรมการเรียนวิชาต่าง ๆ ท่ีโรงเรียนจัดข้ึนว่าบิดา มารดาและ
ผู้ปกครองรู้และเข้าใจเพียงใด โดยคณะผู้บริหารโรงเรียน เพ่ือช่วยในการวางนโยบาย และการ
ประชาสัมพนั ธโ์ รงเรียน
จากท่กี ล่าวมาแล้วขา้ งตน้ สรปุ ได้ว่า การวดั และประเมินผลการเรยี นการเรยี นรู้ คือ ดัชนชี ้ี
วัดคุณภาพ ในการจัดการศึกษาเพราะหากผู้สอนมีการวัดและประเมินผลการศึกษาท่ีสอดคล้องกับ
จุดประสงค์เชิงพฤติกรรม ครอบคลุมจุดประสงค์ทางการศึกษาท้ัง ๓ ด้าน (จิตพิสัย พุทธิพิสัย และ
ทักษะพิสัย) รู้จักใช้เคร่ืองมือวัดผลการศึกษา ท่ีหลากหลายและสร้างข้อสอบที่มีคุณภาพ ตลอดจนมี
การประเมินผลที่มีการกำหนดเกณฑ์ไว้ชัดเจนก็จะเป็นหลักประกันได้ว่าการจัดการการเรียนการสอน
ของสถาบนั มคี ณุ ภาพ
๕. การประเมินผลการเรยี นรแู้ นวใหม่
การประเมินการเรียนรู้แนวใหม่ เป็นส่วนสำคัญของการเรียนการสอนในระบบการศึกษา
แนวใหม่ โดยพิจารณาจากปจั จยั ต่างๆ ดังต่อไปนี้
๑. เมื่อผูส้ อนออกแบบการสอน ผู้สอนต้องออกแบบสร้างสถานการณ์ และบางโอกาสก็มี
สถานการณ์ในโลกแห่งความเป็นจรงิ ก็ใช้สถานการณจ์ ริงๆนัน้ เป็นแหล่งเรยี นรู้ เพื่อให้ผเู้ รยี นทุกคนได้
มีประสบการณ์ในสถานการณ์นั้นๆ ผู้สอนก็ต้องรู้ก่อนแล้ว ว่าจะประเมินผลได้อย่างไร เช่น วัดผล
วธิ ีการเรียนรู้ วดั ความสนใจ และความต้องการที่จะเรียนรู้ เป็นต้น ผู้สอนก็สามารถวัดผลประเมินผล
ในการเข้าไปมีส่วนร่วมได้หากกระบวนการเป็นผลดี ก็ทำการพัฒนาและหากกระบวนการบกพร่อง ก็
ทำการปรบั ปรงุ แก้ไข
๒. เม่ือผู้สอนได้ทำการออกแบบการเรียนการสอน เพ่ือท่ีจะให้ผู้เรียนมีการจัดการ
กระบวน การจัดกลุ่ม ท้ังกลุ่มคน คือเพ่ือนๆ และวัสดุอุปกรณ์ในการเรียนรู้ ผู้สอนย่อมทราบว่า จะ
สามารถวัดผลประเมนิ ผลในความสามารถของการจดั กระบวนการไดห้ รอื ไมเ่ พียงไร
๒๗๔
280
๓. เมื่อผู้สอนได้ทำการออกแบบการเรียนการสอน เพื่อที่จะให้ผู้เรียนมีการเช่ือมโยง
ความรู้ หรือสะพานสูก่ ารเรียนรนู้ นั้ ผูส้ อนก็ย่อมรู้แลว้ ว่า จะสามารถวัดผลประเมนิ ผลดว้ ยวธิ ีใด
๔. เมื่อผู้สอนได้ออกแบบคำถาม เพื่อวัดความรู้ความเข้าใจ แนวคิด ทักษะ และทัศนคติ
น้นั ก็เป็นเรื่องง่ายท่ีคุณครจู ะวัดความพยายาม มุ่งม่ันของพวกเขา ควรให้ประเมินผลความพยายามท่ี
จะเรียนรู้ เพ่ิมเติมจากความรู้ ความเขา้ ใจ ทักษะ และทศั นคติ นน้ั ๆดว้ ย
๕. เม่ือผู้สอนออกแบบการเรียนการสอนเพื่อท่ีจะให้ผู้เรียนแสดงออก ซึ่งความรู้ ความ
เขา้ ใจ และความสามารถในการสื่อสารสผู่ ู้อนื่ น้ัน เปน็ การงา่ ยทีผ่ สู้ อนจะประเมิน
๖. เม่อื ผู้สอนไดอ้ อกแบบการเรียนการสอนเพอื่ ทจ่ี ะให้ผเู้ รียนได้แสดงออกในส่ิงที่ได้เรียนรู้
แล้ว และกระบวนการภายใน (internal process) อันเกิดจากการเรียนรู้ของแต่ละคน ผู้สอนก็ย่อมมี
แนวทางในการวัดผลและประเมินผลอยู่แล้ว กระบวนการออกแบบการเรียนรู้ตามแนวทางของการ
เรยี นรใู้ นศตวรรษที่ ๒๑ ซงึ่ ผเู้ รียนสรา้ งองคค์ วามรดู้ ว้ ยตนเอง โดยมหี ลักการดงั น้ี๓๓
๑) การวัดผล ประเมนิ ผล และการเรียนร้เู ป็นกระบวนการเดียวกัน
๒) ผลการวัดผล ประเมินผล ต้องทำเพ่ือการปรับปรุง และพัฒนากระบวนการ
เรียนรู้ใน ขณะนน้ั และในโอกาสตอ่ ไป
๓) ผู้เรียนจะได้รับการแกไ้ ข ปรับปรุง และพัฒนา ไปพร้อมๆกับการเรียนรู้ ดงั น้ันจึง
ไมม่ ีการ สอบตก หรือเรยี นซำ้ ชนั้ แตป่ ระการใด
๔) ศักยภาพของผู้เรียนย่อมสามารถแสดงออกได้ด้วยวิธีต่างๆที่เหมาะสม และ
สามารถพฒั นา ได้ตลอดเวลา
๕) การเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ ท่ีเป็นความรู้วิชาการที่ใช้แผนการเรียนแบบ
Learning by Doing และใช้หนังสือเรียนชุดเดียวกันทุกประการ จะได้ผลสัมฤทธิ์มากกว่าการเรียน
ดกี วา่ การเรียน การสอนโดยวิธอี ื่น
๖) การเรียนการสอนในศตวรรษท่ี ๒๑ จะได้ผลดีเมื่อผู้เรียนได้มีเวลาเรียนเต็มที่
และผสู้ อนมี เวลาในการเตรียมการสอน ออกแบบการสอน และมีเวลาสอนเตม็ ที่
การประเมินการเรียนรู้ของผู้เรียนแนวใหม่ อยู่บนจุดมุ่งหมายพื้นฐาน ๒ ประการ
ประการ แรก คือ การประเมินเพ่ือพัฒนาผู้เรียน โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับผลการเรียนและการ
เรียนรู้ของ ผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง บันทึก วิเคราะห์แปลความหมายข้อมูล
๓๓ Surin yingneuk, อา้ งใน พงษ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะ, ทักษะและเทคนิคการสอน, (คณะครุศาสตร์
: มหาวทิ ยาลยั ราชภฏั ธนบุรี, ๒๐๑๔), หน้า ๒๔๔.
๒๗๕
281
แล้วนำมาใช้ในการส่งเสริม หรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของผู้เรียน และการสอนของครูการ
ประเมินผล กับการสอนจึงเป็นเร่ืองที่สัมพันธ์กัน หากขาดส่ิงหนึ่งส่ิงใดการเรียนการสอนก็ขาด
ประสิทธิภาพ ประการท่ีสอง คือ การประเมินผลเพ่ือตัดสินผลการเรียน เป็นการประเมินสรุปผลการ
เรียนรู้ (summative assessment) ซ่ึงมีหลายระดับ ได้แก่ เม่ือเรียนจบหน่วยการเรียน จบรายวิชา
เพื่อ ตัดสินให้คะแนน หรือให้ระดับผลการเรียน ให้การรบั รองความรู้ความสามารถของผู้เรียนว่าผ่าน
รายวิชาหรือไม่ ควรได้รับการเล่ือนช้ันหรือไม่ หรือสามารถจบหลักสูตรหรือไม่ ในการประเมินเพ่ือ
ตัดสินผลการเรียนท่ีดีต้องให้โอกาสผู้เรียนแสดงความรู้ความสามารถด้วยวิธีการที่หลากหลายและ
พจิ ารณาตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์ผลการปฏบิ ัติมากกว่าใชเ้ ปรียบเทียบระหว่างผเู้ รียน จะเห็นได้ว่า
การประเมินทักษะการเรียนรู้ในศตวรรษที่ ๒๑ จะต้องเป็นการประเมินผลเชิงคุณภาพ สร้างและ
พัฒนาระบบแฟ้มสะสมงาน (portfolios) ของผู้เรียนให้เป็นมาตรฐานและมีคุณภาพ ดังนั้นการ
ประเมินผลแนวใหม่จะต้องเน้นการปฏิบัติจริง เป็นการประเมินการกระทำการแสดงออกในหลายๆ
ด้านของผู้เรียนตามสภาพความเป็นจริง ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน หรือสถานที่อื่นๆ นอก
โรงเรียนโดยครไู ม่ไดจ้ ัดสถานการณ์ เปน็ การประเมินแบบไม่เป็นทางการ๓๔
สรุปได้ว่า การประเมินทักษะการเรียนรู้แนวใหม่จะต้องเป็นการประเมินผลเชิงคุณภาพ
สร้างและ พัฒนาระบบแฟ้มสะสมงาน (portfolios) ของผู้เรียนให้เป็นมาตรฐานและมีคุณภาพ ดังน้ัน
การประเมินผลแนวใหม่จะต้องเน้นการปฏิบัติจริง เป็นการประเมินการกระทำการแสดงออกใน
หลายๆ ด้านของผู้เรียนตามสภาพความเป็นจริง ท้ังในห้องเรียนและนอกห้องเรียน หรือสถานที่อ่ืนๆ
นอกโรงเรียนโดยครูไม่ได้จัดสถานการณ์ เป็นการประเมินแบบไม่เป็นทางการ การประเมินการเรียนรู้
ท่ีเหมาะสมท่ีสุดในยุคการศึกษาแนวใหม่น้ีคือ การประเมินตามสภาพจริง (authentic assessment)
ซ่ึงเป็นการประเมินผลจากการปฏิบัติงาน หรือกิจกรรมอย่างใดอย่างหนึ่ง โดยงานหรือกิจกรรมที่
มอบหมายให้ผู้เรียนปฏิบัติจะเป็นงานหรือสถานการณ์ท่ีเป็นจริง (real life) หรือใกล้เคียงกับชีวิตจริง
จึงเป็นงานท่ีมีสถานการณ์ซับซ้อน (complexity) และเป็นองค์รวม (holistic) มากกว่างานปฏิบัติใน
กิจกรรมการเรียนทั่วไป วิธีการประเมินตามสภาพจริงไม่มีความแตกต่างจากการประเมินจากการ
ปฏิบัติเพียงแต่อาจมีความยุ่งยากในการประเมินผลมากกว่า เนื่องจากเป็นสถานการณ์จริง หรือต้อง
จัดสถานการณ์ให้ใกล้จริง แต่จะเกิดประโยชน์กับผู้เรียนมาก เพราะจะทำให้ทราบความสามารถท่ี
แท้จรงิ ของผู้เรยี นวา่ มจี ดุ เด่นและข้อบกพรอ่ งในเรื่องใด อันจะนำไปส่กู ารแก้ไขที่ตรงประเด็นที่สดุ
๓๔ ศศิธร บัวทอง, การวัดและประเมนิ ทกั ษะการเรียนรูใ้ นศตวรรษที่ ๒๑, วารสารวิชาการ Veridian
E-Journal, Silpakorn University, ฉบบั ภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตรแ์ ละศลิ ปะ, ปที ี่ ๑๐ (๒),
๒๕๖๐, ๑๘๖๕- ๑๘๖๗.
๒๗๖
282
สรปุ
การวัดและประเมินผลการเรียนรู้ของผู้เรียนต้องอยู่บนจุดมุ่งหมายพื้นฐานสองประการ
ประการแรก คือ การวัดและประเมนิ ผลเพือ่ พัฒนาผู้เรยี น โดยเก็บรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกบั ผลการเรียน
และการเรียนรู้ของผู้เรียนในระหว่างการเรียนการสอนอย่างต่อเนื่อง บันทึก วิเคราะห์ แปล
ความหมายข้อมูล แล้วนำมาใช้ในการส่งเสริมหรือปรับปรุงแก้ไขการเรียนรู้ของผู้เรียนและการสอน
ของครู การวัดและประเมินผลกับการสอนจึงเป็นเรอื่ งที่สัมพันธ์กัน หากขาดส่ิงหน่ึงส่ิงใดการเรียนการ
สอนก็ขาดประสิทธิภาพ การประเมินระหวา่ งการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาการเรียนรู้เช่นน้ีเป็นการวัด
และประเมินผลเพื่อการพัฒนา (Formative Assessment) ที่เกิดข้ึนในห้องเรียนทุกวัน เป็นการ
ประเมินเพ่ือให้รู้จุดเด่น จุดท่ีต้องปรับปรุง จึงเป็นข้อมูลเพ่ือใช้ในการพัฒนาในการเก็บข้อมูล ผู้สอน
ต้องใช้วิธีการและเครื่องมือการประเมินที่หลากหลาย เช่น การสังเกต การซักถามการระดมความ
คิดเห็นเพื่อให้ได้มติข้อสรุปของประเด็นท่ีกำหนด การใช้แฟ้มสะสมงาน การใช้ภาระงานท่ีเน้นการ
ปฏิบัติ การประเมินความรู้เดิม การให้ผู้เรียนประเมินตนเอง การให้เพ่ือนประเมินเพ่ือน และการใช้
เกณฑ์การให้คะแนน (Rubrics) สงิ่ สำคัญที่สุดในการประเมินเพ่ือพัฒนา คือ การให้ขอ้ มูลย้อนกลับแก่
ผู้เรียนในลักษณะคำแนะนำท่ีเชื่อมโยงความรู้เดิมกับความรู้ใหม่ทำให้การเรียนรู้พอกพูน แก้ไข
ความคดิ ความเขา้ ใจเดิมท่ไี ม่ถกู ตอ้ ง ตลอดจนการใหผ้ ู้เรยี นสามารถต้งั เป้าหมายและพฒั นาตนได้
จุดมุ่งหมายประการท่ีสอง คือ การวัดและประเมินผลเพ่ือตัดสินผลการเรียน เป็นการ
ประเมินสรุปผลการเรียนรู้ (Summative Assessment) ซึ่งมีหลายระดับ ได้แก่ เมื่อเรียนจบหน่วย
การเรียน จบรายวิชาเพ่ือตัดสินให้คะแนน หรือให้ระดับผลการเรียน ให้การรับรองความรู้
ความสามารถของผู้เรียนว่าผ่านรายวิชาหรือไม่ ควรได้รับการเล่ือนช้ันหรือไม่ หรือสามารถจบ
หลักสูตรหรือไม่ ในการประเมินเพื่อตัดสินผลการเรียนท่ีดีต้องให้โอกาสผู้เรียนแสดงความรู้
ความสามารถด้วยวิธีการท่ีหลากหลายและพิจารณาตัดสินบนพื้นฐานของเกณฑ์ผลการปฏิบัติมากกว่า
ใชเ้ ปรียบเทียบระหว่างผู้เรียน
และในปัจจุบันการประเมินทักษะการเรียนรู้แนวใหม่จะต้องเป็นการประเมินผลเชิง
คุณภาพ สร้างและ พัฒนาระบบแฟ้มสะสมงาน (portfolios) ของผู้เรียนให้เป็นมาตรฐานและมี
คุณภาพ ดังนั้นการประเมินผลแนวใหม่จะต้องเน้นการปฏิบัติจริง เป็นการประเมินการกระทำการ
แสดงออกในหลายๆ ด้านของผู้เรียนตามสภาพความเป็นจริง ทั้งในห้องเรียนและนอกห้องเรียน หรือ
สถานท่ีอ่ืนๆ นอกโรงเรียนโดยครูไม่ได้จัดสถานการณ์ เป็นการประเมินแบบไม่เป็นทางการ การ
ประเมินการเรียนรู้ท่ีเหมาะสมที่สุดในยุคการศึกษาแนวใหม่น้ีคือ การประเมินตามสภาพจริง
(authentic assessment)
๒๗๗
283
เอกสารอ้างอิงท้ายบท
๑. ภาษาไทย
กมล ภู่ประเสริฐ. แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับการวัดผลการเรียนการสอน. ในพัฒนาวัดผล ๑๓.
กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์สารมวลชน, ๒๕๒๐.
ชวาล แพรตั กุล. เทคนิคการวัดผล. กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พว์ ัฒนาพานิช, ๒๕๑๘.
เชิดศักดิ์ โฆวาสินธุ์. พัฒนาวัดผล ๑๔. กรุงเทพมหานคร : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสาน
มิตร, ๒๕๒๑.
บุญเชิด ภิญโญอนันตพงษ์. การทดสอบแบบอิงเกณฑ์แนวคิดและวิธีการ. กรุงเทพมหานคร :
สำนกั พิมพ์โอเดียนสโตร์, ๒๕๒๗.
ประสงค์ หสั รนิ ทร์. การจัดการเรียนรู้. กรงุ เทพมหานคร : แดเน็กอนิ เตอรค์ อรป์ เรช่นั จำกัด, ๒๕๖๑.
พงษ์พัชรินทร์ พุธวัฒนะ. ทักษะและเทคนิคการสอน. คณะครศุ าสตร์ : มหาวิทยาลัยราชภัฏธนบุรี,
๒๐๑๔.
ไพศาล หวงั พานชิ . การวัดผลการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สำนกั พมิ พ์ไทยวัฒนาพานชิ , ๒๕๒๖.
ภัทรา นิคมานนท์. การประเมินและการสร้างแบบทดสอบ. กรุงเทพมหานคร : อักษรบัณฑิต,
๒๕๒๗.
รัตนา คิริพานิช. บทบาทของอาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในด้านการวัดผลและประเมินผล
การศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร : มหาวทิ ยาลยั ธรรมศาสตร์, ๒๕๓๓.
ศศิธร บัวทอง. การวัดและประเมินทักษะการเรียนร้ใู นศตวรรษที่ ๒๑. วารสารวิชาการ Veridian E-
Journal, Silpakorn University. ฉบับภาษาไทย สาขามนุษยศาสตร์ สังคมศาสตร์และ
ศลิ ปะ. ปีที่ ๑๐ (๒), ๒๕๖๐, ๑๘๖๕- ๑๘๖๗.
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์. แนวคิดพื้นฐานในการประเมินผลการเรียนและระบบประเมินผลการเรียนอิง
เกณฑอ์ งิ กลุ่ม. วารสารครุศาสตร์ ๑๐ มกราคม – มถิ นุ ายน ๒๕๒๔.
สริ ินธร สุนทราภิวัฒน์. ปัญหาการประเมินผลการเรียนการสอนของครูวทิ ยาศาสตร์ ในโรงเรียนมัธยม
ตอนปลายในกรุงเทพมหานคร. วิทยานิพนธ์มหาบัณฑิต ภาควิชามัธยมศึกษา. บัณฑิต
วทิ ยาลัย : จฬุ าลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๒๖.
เสริมศักด์ิ วิดาลาภรณ์ และเอนกกุล กรีแสง. หลักเบื้องต้นของการวัดผลการศึกษา .
กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์พฆิ เนศ, ๒๕๒๒.
อนนั ต์ ศรีโสภา. การวัดผลการศกึ ษา. กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พ์วฒั นาพานิช, ๒๕๒๕.
อนันต์ ศรีโสภา. การวัดและประเมินผลการศึกษา. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์ไทยวัฒนาพานิช,
๒๕๒๐.
๒๗๘
284
อทุ มุ พร ทองอไุ ทย. การประเมินผลทางการศึกษา กรงุ เทพมหานคร : ปรีชา การพิมพ์, ๒๕๒๐.
๒. ภาษาองั กฤษ
Alkon Marvin C. and Fitz--Gibbon Caro T. "Method and Theories of Evaluation
Programs." Journal of Research and Development in Education. 8
November 1975.
Ebel R.L. Essentials of Educational Measurement. Englewood Cliffs. New Jersey :
Printice – Hall. Inc., 1972.
Glaser R. and Nitko A.J. "Measurement in Learning and Instruction." In R.L.
Thorndike (Editor). Educational Measurement. Washington D.C. American
Council on Education, 1971.
Gronlund Norman E. Measurement and Evaluation in Teaching. New York :
Macmillan Publishing, 1976.
Guildford J.P. Psychometric Methods. 2nd ed. New York : McGraw Hill, ๑๙๕๔.
Harris Ben M. Supervisory Behavior in Education. 2nd ed. Englewood Cliffs. New
Jersey : Printice – Hall. Inc., 1975.
Mehrens W. A. and Lehmann L.J. Measurement and Evaluation in Education and
Psychology. ๓rd ed. New York : Holt Rinehart and Winston, 1984.
Millman Jason. "Passing Scores and Test Lengths for Domain - Referenced Measures."
Review of Educational Research. 43 : 205-216, Spring 1974.
Popham James W. Modern Educational Measurement. Englewood Cliffs. New Jersey
: Printice – Hall. Inc., 1981.
Terwilliger James A. Assigning Grades to students. Chicago. III : Scott, Foresman and
Company, 1971.
Thorndike Edword L. Measurement and Evaluation in Psychology and Education.
New York : John Wiley, 1972.
Tyler Leona E. Test and Measurements. 2nd ed. Englewood Cliff. New Jersey :
Printice - Hall Inc, 1971.
2๒8๗5๙
บรรณานุกรม
๑. ภาษาไทย
ก. ข้อมูลปฐมภมู ิ
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั . พระไตรปิฎกฉบับภาษาไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาจุฬาลง
กรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙.
ข.ขอ้ มลู ทตุ ิยภูมิ
กมล ภู่ประเสริฐ. การบริหารงานวิชาการในสถานศึกษา. กรุงเทพมหานคร : ทิปส์พับบลิเคชั่น,
๒๕๔๔.
. แนวความคิดที่เกี่ยวข้องกับการวัดผลการเรียนการสอน. ในพัฒนาวัดผล ๑๓.
กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พส์ ารมวลชน, ๒๕๒๐.
กรมยุทธศึกษาทหารบก กองอนุศาสนาจารย์. พุทธศาสตร์ ฉบับก้าวหน้า. กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๕.
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. การวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ตามหลักสูตร การศึกษาขั้น
พืน้ ฐาน.กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์คุรสุ ภาลาดพรา้ ว, ๒๕๔๕.
. การปฏิรูปการเรียนรู้ของกระทรวงศึกษาธิการ. กรุงเทพมหานคร : กรมวิชาการ,
๒๕๔๔.
กรมวิชาการ กระทรวงศึกษาธิการ. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑.
กรงุ เทพมหานคร : ชมุ นุมสหกรณก์ ารเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๑.
กรมวิชาการ. กลวิธีจัดการเรียนการสอนที่สอดคล้องกับวิธีการเรียน (Learning style).
กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพค์ ุรุสภาลาดพราว, ๒๕๔๔.
กรมวิชาการ. การจัดสาระการเรียนพระพุทธศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ ๕. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
พระพุทธศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๑.
กระทรวงศึกษาธิการ. คู่มือการพัฒนาโรงเรียนเข้าสู่มาตรฐานการศึกษา การสอนที่เน้นผู้เรยี นเปน็
ศูนย์กลาง. กรงุ เทพมหานคร : โรงพมิ พ์การศาสนา, ๒๕๔๓.
. ตัวช้ีวัดและสาระแกนกลางกลุ่มสาระเรียนรู้สังคมศึกษา ศาสนา และวฒั นธรรม ตาม
หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช ๒๕๕๑. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุม
สหกรณ์ การเกษตรแห่งประเทศไทย, ๒๕๕๑.
. ปรับกระบวนทัศน์. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศ
ไทย, ๒๕๔๘.
. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒. กรุงเทพมหานคร : องค์การรับส่ง
สินคา้ และพัสดุภัณฑ์, ๒๕๔๒.