๑๓๓
136
ด้วยธรรมชาติภายในของบุคคล การศึกษาเพื่ออิสรภาพภายนอก เป็นประโยชน์แก่มนุษย์และทำให้
ชีวิตเข้าถึงจดุ มงุ่ หมาย คอื ความเป็นอยูอ่ ยา่ งดที ีส่ ดุ ไดจ้ ริง จึงเรยี กว่า การศึกษาทีแ่ ท้๑๙
กล่าวโดยสรุป จะพบว่าทรรศนะของพระพรหมคุณาภรณ์ มองการศึกษาในประเด็นที่ว่า
เมื่อการศึกษาสามารถพัฒนาภายในตัวของผู้เรยี นได้ ก็สามารถพัฒนาภายนอกได้ตามไปด้วย ซึ่งพระ
พรหมคุณาภรณ์ เห็นว่าความมอี ิสรภาพภายในก็คือความไม่มีทกุ ข์ในชีวิต การตามรู้เทา่ ทันตามความ
เป็นจริง ซึ่งก็คือการเข้าถึงสภาวะความเป็นพระอรหันต์ ส่วนอิสรภาพภายนอกก็คือ การศึก ษาท่ี
ส่งเสรมิ ใหเ้ ป็นผ้ทู ่ีมีความรู้หรือทกั ษะความสามารถด้านตา่ ง ๆ เพอื่ เป็นเคร่อื งมือในการดำรงชีวิตอยู่ได้
อย่างราบรื่นได้ในสงั คม
๕. จดุ มุ่งหมายการสอนสงั คมศึกษาในทัศนะทางพุทธศาสนา
การศึกษาต้องชว่ ยพัฒนาสังคมให้ร่มเย็นเป็นสุข เนื่องจากวงั คมไทยเปน็ สังคมที่ช่วยเหลือ
เกื้อกูลกัน และใช้ปัญญาในการแก้ปัญหาซึ่งถ้าเข้าใจพุทธปรัชญาในไตรลักษณ์ อิทธิบาท ๔ แล้วก็จะ
เข้าใจสังคมได้ดีขึ้นและไม่ตกใจไปกับการเปลี่ยนแปลงในสังคมอิทธิบาท ๔ คือ สิ่งซึ่งมีคุณธรรมให้
บรรลุถึงความสำเรจ็ ตามทีต่ นประสงค์ ประกอบดว้ ย
ฉนั ทะ ความพอใจรกั ใครใ่ นสง่ิ น้นั
วิริยะ ความพากเพียรในสง่ิ น้นั
จิตตะ ความเอาใจใส่ ฝกั ใฝ่ในสิง่ นั้น
วิมังสา ความหมัน่ สอดสอ่ งในเหตผุ ลของสง่ิ นน้ั
ความม่งุ หมายเกีย่ วกับลักษณะของการเรียนรู้การศึกษาพัฒนาวธิ ีคิด และการใชเ้ หตุผลใน
ตัวผูเ้ รยี นเพอ่ื ให้สามารถนำความรู้ไปแก้ไขปัญหาตา่ งๆ ได้อย่างผูม้ ปี ัญญาความม่งุ หมายเกีย่ วกับความ
ร่มเย็นของชีวิตมนุษย์ทั่วไปการศึกษาต้องพัฒนาผู้เรียนให้มีคุณธรรม จริยธรรม เพื่อให้ เกิดความ
ร่มเย็นแก่ชีวิตในสังคมพุทธปัญญาการศึกษาตามแนวคิดของท่านพุทธทาสภิกขุจุดมุ่งหมายของ
การศึกษา คือเพื่อดับทุกข์ทั้งปวงให้หมดสิ้น คือทุกข์ที่เกิดจากกิเลสเพราะการศึกษาในพุทธศาสนา
หมายถึง การสามารถทำให้บุคคลเอาชนะโลกนี้ท้ังหมด (ไมต่ อ้ งการลาภยศทางวัตถุใดๆ) เอาชนะโลก
อื่นทั้งหมด (ไม่ต้องการไปเกิดในชาติอื่น) และทำให้อยู่เหนือโลกทั้งปวง (ดับกิเลสโดยสิ้นเชิงไม่เกดิ ใน
โลกไหนอีกต่อไป) เพื่อส่งเสริมศีลธรรมทุกขั้นตอนแห่งวิวัฒนาการของมนุษย์ คือ สร้างความถูกต้อง
เพื่อความก้าวหน้าทั้งทางวัตถุและจิตใจ ต้องชี้ให้เห็นถึงความสุข ๒ อย่างคือ ความสุขทางกาย ซึ่งย่ิง
เสพย่งิ ตอ้ งการมากและทำความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อ่นื กบั ความสุขทางจิต ซงึ่ ยิง่ แสวงหาเท่าไร
๑๙ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต), ปรัชญาการศกึ ษาไทย, กรุงเทพมหานคร: บริษทั สหธรรมิก
จำกดั , ฉบับแก้ไขรวบรวมใหม่ ๒๕๓๙), หน้า ๒๕-๒๖.
๑๓๔
137
ยิ่งทำความร่มเย็นให้มากเท่านั้น เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบต่อสังคม คือขจัดความเห็นแก่ตัวและ
ร่วมมือกันเสริมสร้างสันติสุขในชุมชนและในโลก โดยให้จุดมุ่งหมายทั้ง ๓ ข้อนี้ ไปใช้ในการจัด
การศกึ ษาในโรงเรยี น พรอ้ มท้ังยึดหลักพุทธศึกษา จริยศึกษา พลศึกษา หัตถศกึ ษา
จดุ มงุ่ หมายการศกึ ษาในทศั นะทางพุทธศาสนา อันเน่ืองมาจากพุทธวิธกี ารสอนหากยกเอา
ผลงานและพระจริยาของพระพุทธเจ้ามาพิจารณา จะมองเห็นแนวทางการบำเพ็ญพุทธกิจที่สำคัญ
หลายอย่าง เชน่ ทรงล้มล้างความเชื่อถืองมงายในเรื่องพธิ ีกรรมอันเหลวไหลต่างๆ โดยเฉพาะการบูชา
ยญั ดว้ ยการสอนยำ้ ถงึ ผลเสียหายและความไร้ผลของพธิ ีกรรมเหลา่ นั้นท่ี ทำใหค้ นเหน็ แกต่ วั และกลับ
ทรงสอนย้ำหลักการให้ทาน เสียสละ สงเคราะห์ในสังคมยกเลิกระบบความเชื่อถือระบบวรรณะ ต้ัง
คณะสงฆ์รับคนทุกวรรณะให้เข้าสู่ความเสมอภาคกันซึ่งเป็นเรื่องน่าศึกษาว่าพระพุทธองค์ทรงทำ
อย่างไร ทรงให้สทิ ธแิ ก่สตรที ีจ่ ะไดร้ บั ประโยชน์จากพุทธธรรม ทรงส่ังสอนพุทธธรรมด้วยภาษาสามัญท่ี
ประชาชนใช้ ๒๐ ทรงปฏิเสธโดยสิ้นเชิงที่จะทำเวลาให้สูญเสียไปกับการถกเถียงปัญหาที่เกี่ยวกับการ
เกง็ ความเจริญทางปรัชญา สง่ิ ทร่ี ู้ด้วยคำพดู ทรงแนะนำด้วยคำพดู ส่ิงทรี่ ู้ดว้ ยการเห็น ทรงใหเ้ ขาดู ทรง
สอนพุทธธรรมโดยปริยายต่างๆ เป็นอันมาก มีคำสอนหลายระดับ ทั้งสำหรบั ผูค้ รองเรอื น ผู้ดำรงชีวิต
อยู่ในสงั คม ผู้สละเรอื นแล้ว ท้ังคำสอนเพ่ือประโยชน์ทางวัตถุ และเพอื่ ประโยชน์ลึกซึ้งทางจิตใจ๒๑ ซึ่ง
หากมิใช่มหาบุรษุ แล้วการกระทำอย่างนจี้ ะเกิดขึ้นมิไดเ้ ลย
การสอนนั้นการเริ่มต้นเป็นจุดสำคัญมากอย่างหนึ่งการเริ่มต้นที่ดีมีส่วนช่วยให้การสอน
สำเร็จผลดีเป็นอย่างมากอย่างน้อยก็เป็นเครื่องดึงความสนใจ และนำเข้าสู่เนื้อหาได้พระพุทธเจ้ามีวธิ ี
เร่ิมต้มทีน่ ่าสนใจมาก โดยปกตพิ ระองค์จะไม่ทรงเริ่มสอนด้วยการเข้าสู่เนื้อธรรมที่เดยี ว แต่จะทรงเริ่ม
สนทนากับผู้ทรงพบหรือผู้มาเข้าเฝ้าด้วยเรื่องที่เขารู้เข้าใจดี หรือสนใจอยู่ เช่นพบพราหมณ์ก็สนทนา
เรื่องไตรเพท หรือเรื่องธรรมของพราหมณ์ เมื่อทรงสนทนากับควานช้าง ก็ทรงเริ่มต้นวิธีฝึกช้าง พบ
ชาวบ้านก็สนทนาเรื่องทำนา บางทีก็ทรงจี้จุดสนใจ หรือเหมือนสะกิดให้สะดุ้งเป็นการปลุกเร้าความ
สนใจ เช่น เมื่อเทศน์โปรดชฎิลผู้บูชาไฟ ทรงเริ่มต้นด้วยคำว่า “อะไรๆร้อนลุกเป็นไฟไปหมดแล้ว”
ต่อจากนั้นจึงถามละอธิบายต่อไปว่าอะไรร้อน อะไรลุกเป็นไฟ นำเข้าสู่ธรรมะ บางทีก็ใช้เรื่องที่เขา
สนใจหรอื ทีเ่ ขารู้นั่นเอง เปน็ ข้อสนทนาไปโดยตลอดแต่แทรกความหมายทางธรรมเขา้ ไว้ ๒๒
วิธีการตอบปัญหา การสนทนา การชี้แนะ การสร้างแรงจูงใจ การสร้างกำลังใจ และการ
อบรมสั่งสอนของพระพุทธเจ้ามีหลายแบบอย่าง ดังตัวอย่างจากหนังสือพุทธวิธีในการสอนของท่าน
๒๐ ดรู ายละเอียดใน, วนิ ย. มหา. (ไทย) ๗/ ๑๘๑/ ๗๐.
๒๑ พระอภิธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธธรรม ฉบับปรังปรุงและขยายความ, พิมพ์ครั้งที่ ๖,
(กรงุ เทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๘) หน้า ๓-๘.
๒๒ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธวิธีในการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร :
สหธรรมกิ จำกัด, ๒๕๔๙), หน้า ๔๑.
๑๓๕
138
พระพรหมคุณภรณ์ (ป.อ.ปยตุ โฺ ต) ๒๓ พอสรปุ ไดด้ งั นแ้ี บบสากัจฉา หรอื แบบสนทนา ทรงใช้กับผู้ท่ียังไม่
เลื่อมใสศรัทธา ยังไม่รู้เข้าใจหลักธรรม พระพุทธเจ้าจะทรงเป็นผู้ถามนำเข้าสู่ความเข้าใจธรรม และ
ทรงส่งเสริมให้สาวกสนทนาธรรมกัน แบบบรรยาย ทรงใช้แสดงธรรมประจำวัน ที่มีผู้ฟังเป็นจำนวน
มากซึ่งเป็นผู้มพี ื้นความรู้ความเขา้ ใจเลื่อมใสศรัทธาอยู่แล้ว และทุกคนจะรู้สึกว่าพระพุทธองค์ตรสั กับ
ตนโดยเฉพาะซึ่งเป็นความมหัศจรรย์อย่างหนึ่งของพระพุทธเจ้า แบบตอบปัญหา มีทั้งผู้สงสัยในข้อ
ธรรม ถามเพราะต้องการรู้คำสอน ถามเพื่อเทียบเคียงกับคำสอนของในลัทธิของตน ผู้ที่จะมาลองภูมิ
มาข่มมาปราบให้จนหรือให้ไดร้ ับความอับอายในการตอบพระพุทธองคท์ รงสอนให้พิจารณาดูลักษณะ
ของปัญหา และใช้วิธีตอบให้เหมาะสมกัน พร้อมทั้งให้คำนึงถึงเหตุแห่งปัญหาด้วยแบบวางกฎ
ข้อบังคับ เมื่อมีเหตุภิกษุกระทำผิด จนมีผู้นำความกราบทูลพระพุทธเจา้ พระองค์จะเรียกประชมุ สงฆ์
ตรัสสอบสวนหาความจริง พร้อมทั้งตำหนิชี้โทษในการทำความผิดและประโยชน์ในการทำให้ถูกต้อง
และทรงแสดงธรรม กถาที่สมควรเหมาะสมกับเรื่องนั้น แล้วทรงบัญญัติสิกขาบทตรัสให้สงฆ์ทราบถึง
วตั ถปุ ระสงค์ โดยความเห็นพรอ้ มกนั ของสงฆ์ ในทา่ มกลางสงฆ์ และโดยรบั ทราบรว่ มกันของสงฆ์
ในบางคราวพระองค์ทรงรอคอยใหอ้ ินทรีย์ของพระสาวกบางท่านแก่กลา้ พอเสียก่อนแลว้
จึงทรงแสดงธรรม จะเรียกวา่ ทรงรอคอยความพร้อมก็ได้ เชน่ ทที่ รงรอคอยอินทรีย์ของพระวักกลิเป็น
เวลาหลายเดือนเพียงเพอื่ จะตรัสพระวาจาว่า “ดกู อ่ นวกั กลจิ ะมปี ระโยชนอ์ ะไรด้วยรา่ งกายที่เป่ือยเน่า
ซึ่งเธอตามดูอยู่ วักกลิ! ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา ผู้ใดเห็นเรา ผู้นั้นเห็นธรรม” ๒๔ เพราะฉะนั้นจึง
เห็นได้ว่าด้วยวิธีอันชาญฉลาดและมีประโยชน์แก่ผู้ฟังนี่เอง จึงทรงสามารถตั้งพุทธสาสนาจักรขึ้น
ท่ามกลางศาสนาเจ้าลัทธิทั้งหลายในสมัยนั้นซึ่งล้วนแต่ต่อต้านเป็นปฏิปักษ์ต่อคำสอนของพระองค์
เสมือนดอกบัวโผลข่ น้ึ ท่ามกลางหนามและโคลนตม
๕.๑ การบริหารแบบพุทธวิธกี ารสรา้ งแรงจงู ใจ
พระพุทธเจ้าทรงใช้พุทธวิธีการบริหารในการดึงคนเข้าหาพุทธธรรม เพื่อนำมา
เปรียบเทียบกับหลักจิตวิทยา “เรื่องแรงจูงใจ” สอดคล้องในวิทยาการสมัยปัจจุบันซึ่งพอจะ
ยกตวั อย่างบางส่วนทีร่ วบรวมจากพระไตรปิฎกได้ ดังน้ี
๑) พทุ ธวธิ สี รา้ งแรงจูงใจใหก้ ับปัญจวัคคยี ์
ปัญจวัคคีย์ได้เกิดความรู้สึกไม่พอใจที่เห็นพระพุทธองค์ทรงกลับมาเสวยอาหารอีก จึงหา
กนั หนีมาอยู่ท่ีป่าอสิ ิปตนมฤคทายวันเมื่อพระพทุ ธองค์ตรัสรู้แล้ว ดว้ ยพระกรณุ าจึงเสด็จมาแสดงธรรม
ให้กับปัญจวัคคีย์ทั้ง ๕ ปัญจวัคคีย์ เห็นพระพุทธเจ้าเสด็จมาแต่ไกล ก็นัดหมายกันไม่ให้ลุกต้อนรับ
ไมใ่ ห้ทำการอภิวาทแต่ให้ปูอาสนะไว้ ถ้าทรงประสงค์จะนั่งก็นง่ั แตถ่ ้าไมท่ รงประสงค์ก็แล้วไป แต่ครั้น
พระพุทธเจ้าเสด็จมาถึงต่างก็ลืมกติกาที่ตั้งกนั ไว้ พากันลุกขึ้นรับและอภิวาทกราบไหว้ และนำน้ำล้าง
๒๓ เร่อื งเดียวกัน, หนา้ ๔๖-๕๐.
๒๔ ดูรายละเอยี ดใน, ส.ํ ข. (ไทย) ๑๗/๑๔๗/๒๑๖.
๑๓๖
139
พระบาทตั้งรองพระบาท ผ้าเช็ดพระบาทมาคอยปฏิบัติ พระพุทธเจ้าได้เสด็จประทับบนอาสนะ ทรง
ล้างพระบาทแล้วพวกภิกษุปัญจวัคคีย์ก็พากันเรียกพระองค์ด้วยถ้อยคำตีเสมอ คือเรียกพระองค์ว่า
พระอาวุโส พระพุทธเจ้าทรงตรัสห้าม และได้ตรัสว่า ตถาคตมาก็เพื่อจะแสดงอมตธรรมให้พวกท่าน
ทั้งหลายฟัง เมื่อท่านทั้งหลายตั้งใจฟังและปฏบิ ัติโดยชอบกจ็ ะเกิดความรู้จนเข้าใจถึงทีส่ ดุ แห่งทกุ ข์ได้
ภิกษุปัญจวัคคีย์กราบทูลคัดค้าน ว่าเมื่อทรงบำเพ็ญทุกกิริยายังไม่ได้ตรัสรู้เมื่อทรงเลิกเสียจะตรัสรู้ได้
อย่างไร พระพุทธเจ้าก็ยังตรัสยืนยันเช่นนั้น และภิกษุปัญจวัคคีย์ก็คงคัดค้านเช่นนั้นถึง ๓ ครั้ง พระ
พุทธองคจ์ ึงทรงสร้างแรงจงู ใจโดยตรัสให้ระลึกวา่ “ดูกอ่ นภิกษุท้ังหลายพวกเธอยงั จำไดห้ รือว่าถ้อยคำ
เชน่ นเี้ ราได้เคยพดู แล้วในปางกอ่ นแต่กาลน้”ี ๒๕ พวกภกิ ษุปัญจวคั คีย์กร็ ะลึกได้ว่า พระองค์ไม่เคยตรัส
วาจาเช่นนี้ จึงได้ยินยอมเพื่อฟังธรรมพระพุทธเจ้าเมื่อทรงเห็นว่าพวกภิกษุปัญจวัคคีย์มีความพร้อม
ตั้งใจที่จะฟังธรรมของพระองค์แล้ว จึงได้ทรงแสดง ปฐมเทศนา ๒๖ เป็นครั้งแรกที่ทรงแสดงธรรมมี
ผู้ฟังแค่ ๕ คนเท่านั้นจะเห็นได้ว่าตอนแรกภิกษุปัญจวัคคีย์ไม่มีความมั่นใจในพระพุทธองค์ โดยการ
แสดงอากัปกริยาต่างๆ ในการต้อนรับ เมื่อพระพุทธองค์จะแสดงธรรม แม้ว่าพระพุทธองค์จะตรัส
ยืนยันถึง ๓ ครง้ั แลว้ ก็ตาม ภกิ ษปุ ัญจวคั คีย์ก็คัดค้านท้ัง ๓ ครงั้ แตเ่ ม่ือพระพุทธองค์ตรัสว่า แต่ก่อนนี้
เราเคยตรัสวาจาเช่นนี้หรือไม่ เป็นการกระตุกเตือนใจสร้างแรงจูงใจให้เกิดความพร้อมในการที่จะ
เรียนรู้ ถงึ แม้จะไม่มัน่ ใจในตอนแรก แต่ความศรทั ธาและความนับถือในพระพุทธองคย์ งั คงอย่สู ังเกตได้
ขณะให้การต้อนรบั เกดิ การทำผดิ ขอ้ ตกลงท่นี ดั หมายกันไว้ พระพทุ ธองคท์ รงใชค้ วามนับถือและความ
เชื่อถือที่ปัญจวัคคีย์ได้ประสบพบเห็นเมื่อครั้นยังอยู่กับพระองค์มาสร้างแรงจูงใจจึงเป็นสาเหตใุ ห้การ
แสดงปฐมเทศนา ประสบสำเร็จหมุนวงล้อกงจักรพระพุทธศาสนาจนถึงทุกวันน้ีพระพุทธองค์ทรงใช้
บคุ ลกิ ภาพของพระองค์เป็นตวั สรา้ งแรงจงู ใจ
๒) พทุ ธวีธสี รา้ งแรงจูงใจให้กบั ยสะกลุ บุตรกบั ครอบครัวและสหาย
ยสะเป็นบุตรเศรษฐีในกรงุ พาราณสี มาราดาบิดาหวงแหนรักษาเป็นอย่างดี๒๗ จนถึงสร้าง
ปราสาทให้อยู่ใน ๓ ฤดู คืนวันหนึ่ง ยสะกุลบุตรนั้นได้รับความบำเรอให้เป็นสุขด้วยดนตรีต่างๆ บน
ปราสาทที่มีแต่สตรีล้วน ได้หลับไปก่อน สตรีทั้งหลายผู้บำเรอหลับภายหลัง แต่ยสะกุลบุตรได้ตื่นขึ้น
ก่อนและได้เห็นอาการต่างๆ ของสตรีผู้นอนหลับประดุจดังซากศพ ก็เกิดความเบื่อหน่ายจนถึงอุทาน
ขึ้นว่า ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดขอ้ งหนอ แล้วก็ลงจากปราสาทเดนิ ไปออกประตูเมืองพาราณสีตรงไปยงั
ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แล้วก็เดินบ่นไปอย่างนั้น ในขณะนั้นพระพุทธเจ้ากำลังเสด็จเดินจงกลมอยู่
ทรงไดย้ นิ เสียงยสะกุลบุตรบ่นไปอย่างนั้น ตรัสขน้ึ วา่ “ทน่ี ไี่ มข่ ัดข้อง ท่นี ี่ไมว่ ุ่นวาย” ยสะกุลบุตรได้ฟัง
กม็ ีความยินดีวา่ ท่ีนไี่ มข่ ดั ข้องไมว่ ุ่นวายก็นั่งลง พระพทุ ธเจา้ ก็ตรัส อนปุ พุ พิกถาและอรยิ สจั ๔ จบแล้ว
๒๕ ดรู ายละเอยี ดใน, วนิ ย. มหา. (ไทย) ๔/๑๒/๔๓.
๒๖ ดูรายละเอียดใน, วนิ ย. มหา. (ไทย) ๔/๑๗-๒๓/๑๓-๑๗.
๒๗ ดรู ายละเอยี ดใน, วนิ ย. มหา. (ไทย) ๔/๒๕-๓๑/๖๒-๗๑.
๑๓๗
140
ยสะกุลบุตรกเ็ กิดดวงตาเหน็ ธรรมในการสรา้ งแรงจูงใจให้กบั ยสะกุลบตุ รที่กำลังเบ่ือหน่ายจากการเห็น
ภาพดุจป่าช้าผีดิบของหญงิ บรวิ ารทั้งหลาย ขณะทตี่ ัวเองกำลงั เบ่ือหน่ายสุดๆ อยูน่ น้ั กไ็ ม่รู้ว่าจะจัดการ
กับตวั เองอยา่ งไร พระพุทธองค์ทรงใช้คำพูดนำก่อน คือ ท่นี ่ไี มว่ ุ่นวาย ทีน่ ่ไี ม่ขัดขอ้ ง มาเถิดยสะ น่ังลง
เราจะแสดงธรรมแก่เธอ ทำให้ยสะกุลบุตรเห็นทางมีความร่าเริงบันเทิงใจ ๒๘ เมื่อพร้อมแล้วพระองค์
จึงแสดงอนุปุพพิกถาในการสร้างความพร้อมเพื่อจูงใจเข้าหาอริยสัจ ๔ ตลอดจนบิดามาราดาภรรยา
เก่าและสหายของยสะกลุ บุตรอีก ๕๕ คน จนทุกคนดวงตาเห็นธรรม เป็นผลให้เกิดพระอรหันต์เพ่ิมขึ้น
อีก ๕๕ องค์ และอุบาสก อุบาสิกาเกดิ ขนึ้ เป็นคร้ังแรกในพระพุทธศาสนา ซึ่งจะอธบิ ายอนุปพุ พิกถาใน
ตอนสรุปท้ายบทต่อไป พระพุทธองค์ทรงใช้คำตรัสในการสร้างความพร้อมก่อนแล้วจึงทรงใช้อนุปุ
พพิกถาเปน็ ตวั สรา้ งแรงจูงใจตอ่ ยสะและญาติพร้อมทั้งสหายทั้งหลาย
๓) พุทธวธิ ีสรา้ งแรงจูงใจใหก้ ับภัททวัคคีย์
ขณะพระพทุ ธเจ้าเสด็จไปตำบลอรุ เุ วลา ไดแ้ วะพัก ณ โคนตน้ ไม้ขา้ งทางในป่าแห่งหน่ึง ได้
ทรงพบกับภัททวัคคีย์กุมาร มีจำนวน ๓๐ คน๒๙ ซึ่งมาเที่ยวเล่นกันพร้อมภรรยาของตน แต่สหายคน
หนึ่งไม่มีภรรยา ก็นำเอาหญิงโสเภณีมา เมื่อเผลอโสเภณีก็ลักเอาห่อเครื่องประดับหนีไป พากันเที่ยว
ตามหา ได้เห็นพระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ ณ โคนต้นไม้หนึ่งจึงเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า และได้ทูลถาม
พระพุทธเจ้าว่า เห็นหญิงบ้างไหม พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงย้อนถามว่า พวกเธอจะต้องการอะไรกับ
ผู้หญงิ เลา่ การแสวงหาผ้หู ญงิ หรือแสวงหาตนน้ันอย่างไหนเป็นความดขี องพวกเธอ ภทั ทวัคคีย์จึงตอบ
ว่าการแสวงหาตนเป็นความดีของพวกข้าพเจ้า พระพุทธองค์จึงตรัสให้นั่งลง แล้วแสดงธรรม อนุปุ
พพกิ ถา แก่พวกเขาเม่ือพระองค์ทราบวา่ เขามีจิตสงบ มีจติ ออ่ น มจี ติ ปลอดจากนวิ รณ์ มจี ติ เบกิ บาน มี
จิตผ่องใสแล้ว จึงทรงแสดงอริยสัจ ๔ คือ ภัททวัคคีย์ได้ดวงตาเห็นธรรม สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดข้ึน
เป็นธรรมดาสิ่งนั้นทั้งมวลมีความดับเป็นธรรมดา ได้เกิดแก่พวกเขาในการจูงใจแก่ภัททวัคคีย์น้ี
พระพุทธเจา้ ทรงใช้คำถามทีก่ ระตุกใจก่อน คอื การตามหาผหู้ ญงิ หรือการตามหาตัวเองอย่างไหนดีกว่า
กัน เพราะทุกคนกำลังวุ่นวายอยู่กับการตามหาหญิงโสเภณีที่เอาห่มเครื่องประดับไป จิตใจจึงยังไม่
พร้อม เมื่อพระพุทธองค์ถามจึงทำให้ฉุกคิด และตอบว่าการตามหาตัวเองดีกว่า เมื่อเห็นวา่ พร้อมแลว้
พระพทุ ธองคจ์ งึ ชวนให้น่ังลงและได้สร้างแรงจูงใจครงั้ ทส่ี องโดยตรสั แสดงอนุปพพกิ ถา ตอ่ ด้วยอริยสัจ
๔ จนภัททวัคคีย์ทั้งหมดดวงตาเห็นธรรม และทุลขออุปสมบท พระพุทธองค์ทรงใช้คำพูดกระตุกใจ
กอ่ นเมอื่ พรอ้ มแลว้ จึงทรงใช้อนปุ พุ พิกถาสร้างแรงจงู ใจแก่ภัททวัคคยี ์
๔) พทุ ธวิธีการสร้างแรงจงู ใจใหก้ บั พระเจา้ พิมพสิ ารและบริวาร ๑๒ นหุต
๒๘ ดรู ายละเอียดใน, วินย. มหา. (ไทย) ๔/ ๒๕/๖๓.
๒๙ ดรู ายละเอยี ดใน, วนิ ย. มหา. (ไทย) ๔/๒๕/๖๓.
๑๓๘
141
พระพุทธเจ้าได้เสดจ็ มุ่งสู่กรุงราชคฤห์ เพื่อทรงเปลื้องปฏิญญาที่ใหไ้ วแ้ ก่พระเจา้ พิมพิสาร
อีกอย่างหนึ่ง เพื่อทรงประดิษฐานพระพุทธศาสนาในที่เจริญก่อน พระเจ้าพิมพิสารพร้อมด้วย
พราหมณค์ หบดีชาวมคธ ๑๒ นหตุ ๓๐ เสด็จเข้าเฝา้ พระพุทธเจ้าครั้นถึงจงึ ถวายบังคมพระผู้มีพระภาค
เจา้ แลว้ ประทับนัง่ ณ ทคี่ วรส่วนขา้ งหน่ึง ส่วนพราหมณ์คหบดชี าวมคธ ๑๒ นหตุ บางพวกถวายบังคม
พระพุทธเจ้า บางพวกได้ทูลปราศรัยกับพระพุทธเจ้า บางพวกยกมือไหว้ไปทางพระพุทธเจ้าบาง
ประกาศชื่อและตระกูล บางพวกนั่งนิ่งอยู่ พราหมณ์และคหบดีชาวมคธ ๑๒ นหุตนั้นได้มีความสงสัย
ว่า ท่านใดระหว่างองค์สมเด็จพระพุทธเจ้ากับอุรุเวลกัสสปะ ใครเป็นอาจารย์ใคร พระพุทธองค์จึงลบ
ความสงสัยนั้นโดยตรัสถามอุรุเวลกัสสปะ ว่าเหตุจึงเลิกบูชาไฟ อุรุเวลกัสสปะ จึงบอกสาเหตุทั้งหมด
แล้วเข้ามาแสดงความเคารพพระพุทธเจ้าพร้อมกับประกาศว่าพระพุทธองค์เป็นพระศาสดาของท่าน
และทา่ นเปน็ ศิษย์ของพระพุทธเจา้ พราหมณ์คหบดชี าวมคธท้งั หมดจงึ เขา้ ใจ พระพุทธเจ้าจงึ ทรงแสดง
อุนุพพิกถา ก่อนเมื่อทรงทราบว่า พวกเขามีจิตสงบมีจิตอ่อนมีจติ ปลอดจากนิวรณ์ มีจิตเบิกบาน มีจิต
ผ่องใสแล้วจึงทรงแสดงพระธรรมเทศนาคืออริยสัจ ๔ พราหมณ์คหบดีชาวมคธ ๑๑ นหุต ซึ่งมีพระ
เจา้ พิมพสิ ารเป็นประมขุ ไดด้ วงตาเห็นธรรม พราหมณ์คมธดอี ีก ๑ นหุต แสดงตนเป็นอุบาสก
การสร้างความพร้อมให้เกิดขึ้นกับพระเจ้าพิมพิสารและบริวารทั้ง ๑๒ นหุตนั้นพระพุทธ
องค์ทรงอาศัยพระอุรุเวลกัสสปะ เพราะก่อนที่พระอุรุเวลกัสสปะจะมาอุปสมบทในพระพุทธศาสนา
นั้น ได้เป็นอาจารย์และเจ้าสำนักที่ใหญ่มากแห่งหนึ่งในแคว้นมคธ มีผู้นับถือมาก มีบริวารมาก
พราหมณ์และคหบดีทัง้ ๑๒ นหุต จึงมีความลังเลสงสัยว่าระหว่างพระพุทธเจ้า ๓๑ กับพระอุรุเวลกัสส
ปะ ใครเป็นศาสดาของใคร เมื่อพระพุทธเจ้าถามพระอุรุเวลกัสสปะ และอุรุเวลกัสสปะได้ทูลตอบ
พร้อมทัง้ แสดงความเคารพ และประกาศตนเป็นสาวกของพระพุทธเจ้า ทำใหพ้ ราหมณค์ หบดีชาวมคธ
ทั้งหมดคลายความเคลือบแคลงสงสัย และเกิดแรงจูงใจมีความศรัทธาในพระพุทธเจ้ามากขึ้น เพราะ
ขนาดศาสดาใหญ่อย่างพระอุรุเวลกัสสปะยังเป็นสาวก จิตใจจึงพร้อมที่จะฟังธรรมที่พระพุทธเจ้าจะ
แสดงต่อไป คือ อนุปุพพิกถา ผลของการแสดงธรรมครัง้ นี้ทำให้พระเจ้าพมิ พิสารสมปฏิญญา ๕ อย่าง
และพราหมณ์คหบดีได้ดวงตาเห็นธรรมถึง ๑๑ นหุต และอีก ๑ นหุตได้ประกาศตนเป็นอุบาสก การ
สร้างแรงจูงใจครง้ั นีพ้ ระพุทธองคท์ รงใชอ้ ุรเุ วลกัสสปะเป็นตัวสร้างแรงจูงใจ
๕) พุทธวธิ ีสรา้ งแรงจงู ใจให้กบั อปุ ติสสมานพและโกลติ ะมานพ
ทใี่ กลก้ รุงราชคฤห์ มีหมู่บา้ นพราหมณอ์ ยู่ ๒ หมู่ หัวหน้าหมบู่ า้ นน้ันได้เปน็ สหายสืบต่อกัน
มาช้านาน และต่างบตุ รชาย ตง้ั ชอ่ื ว่า อุปติสสะ และ โกลิตะ ตามช่อื หม่บู า้ น อุปตสิ สะและโกลิตะเมื่อ
๓๐ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑
(กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖) หนา้ ๙๖.
๓๑ สมเดจ็ พระญาณสงั วร (เจรญิ สวุ ฑฺฒโน), ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจา้ (ฉบบั รวมเลม่ ), พมิ พ์ครง้ั
ที่ ๓, (กรงุ เทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๔๙.
๑๓๙
142
เติบโตขึ้นต่างก็ได้เล่าเรียนศึกษาจนได้สำเร็จการศึกษาตามลัทธิของตน๓๒ และได้ไปเที่ยวเตร่ด้วยกัน
อยู่เสมอ เช่นได้ไปเท่ียวดูมหรสพที่มีอยู่บนยอดเขาเป็นงานประจำปี และก็ได้เคยเบิกบานรื่นเริงหรือ
เศรา้ หรอื ไดเคยตกรางวลั ผู้แสดงไปตามบทบาท ในคราวหนึง่ เกดิ สังเวชใจไมร่ ูส้ ึกสนุกในการดูมหรสพ
นน้ั ย่ิงเหน็ คนดหู ัวเราะร่ืนเริงสนุกสนาน ก็ยงิ่ สงั เวชใจนึกว่าอีกไมช่ ้าเทา่ ไรไม่เกินร้อยปีก็จะพากันตาย
ไปหมดสิ้น ก็เลยชวนกันไปบวชเป็นปริพาชกในสำนักของอาจารย์สัญชัย เมื่อได้ศึกษาลิทธิของ
อาจารยส์ ัญชยั แล้ว ก็เหน็ ว่าไม่มีสาระแต่ก็ไม่รวู้ ่าจะไปพบใครที่ไหนซ่ึงสอนได้ดีกว่า จึงพากันต้ังกติกา
ไว้ว่า ถ้าใครพบอมตธรรมก่อนก็ใหบ้ อกแกก่ ันในวันหน่งึ อุปติสสะไดพ้ อกับทา่ น พระอัสสชิ ซ่งึ เปน็ องค์
หนึ่งในภิกษุปัญจวัคคีย์ได้เที่ยวบิณฑบาตอยู่ในกรุงราชคฤห์ เห็นอาการของท่านเป็นที่น่าเลื่อมใส (นี่
เป็นการสร้างแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่พระสงฆ์ควรทำให้เกิดมากที่สุด) เกิดความสนใจแต่เห็นว่ายังไม่ใช่
เวลาท่ีจะไต่ถามจงึ ได้เดินตามทา่ นไป เมอื่ ทา่ นไปบิณบาตรกลบั ฉันเสร็จแล้วจึงเปน็ โอกาส กเ็ รียนถาม
ท่านวา่ ท่านบวชอุทิศใคร ท่านชอบใจธรรมของใคร ทา่ นอสั สชกิ ็ตอบว่าท่านบวชอุทิศพระพุทธเจ้า ซ่ึง
เสดจ็ ออกผนวชจากศักยสกุล พระองค์เป็นศาสดาของท่าน ท่านชอบใจในธรรมของพระองค์ อปุ ติสสะ
ก็ขอให้ท่านแสดงธรรมะนั้นให้ฟัง ท่านอัสสชิก็กล่าวตอบว่า ท่านเพิ่งเข้ามาบวช ยังไม่อาจแสดงให้
พิสดารกว้างขวาง จะแสดงได้ก็โดยย่อ อุปติสสะก็กล่าวตอบว่า แสดงพยัญชนะมากแต่ไม่ได้เน้ือ
ความหมายอะไร (เป็นข้อที่สงฆ์ควรตระหนักเพราะเป็นตัว ลดความสนใจ) ก็ไม่เป็นประโยชน์ ขอให้
แสดงแตโ่ ดยใจความ ท่านอัสสชกิ ็แสดงธรรมะโดยยอ่ ให้ฟงั เป็นเปน็ พระคาถาว่า
เย ธมมฺ า เหตปุ ปฺ ภวา เตสํ เหตุ ตถาคโต
เตสญฺจ โย นิโรโธ จ เอวํ วาที มหาสมโณ.
ธรรมเหล่าใดมีเหตุเป็นแดนเกิด หรือเกิดแต่เหตุ พระตถาคตกล่าวเหตุของธรรมเหล่านั้น
และความดบั ของธรรมเหลา่ นนั้ พระมหาสมณะมวี าทะอยา่ งนี้ ๓๓
อุปติสสะ เมื่อได้ฟังก็เกิดธรรมจักษุ คือดวงตาเห็นธรรมว่าสิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเปน็
ธรรมดา สิ่งนัน้ ท้ังหมดมีความดับเปน็ ธรรมดา ครั้นแล้วอุปติสสะก็ลาท่านไปพบโกลิตะผูส้ หาย เพราะ
ได้ระลึกถึงสัญญาที่ได้ทำกันไว้ ว่าใครพบอมตธรรมกอ่ นจงบอกแก่กัน เมื่อพบโกลิตะกไ็ ด้กล่าวธรรมะ
นี้ให้โกลิตะฟัง โกลิตะเมื่อได้ฟังแล้วก็เกิดดวงตาเห็นธรรมเช่นเดียวกัน แล้วก็พากันไปหาสัญชัยผู้เป็น
อาจารย์ เลา่ เรือ่ งให้ฟังแลว้ กล่าวชักชวนอาจารย์ให้อาจารย์ไปเฝา้ พระพุทธเจ้า สัญชัยผู้เป็นอาจารย์ก็
ไม่ยอม เพราะมมี านะวา่ เปน็ อาจารย์เจ้าลิทธิอยู่แลว้ อปุ ติสสะและโกลิตะกล็ าอาจารย์ พาเอามาณพที่
เป็นบริวารของตนจำนวน ๒๕๐ คนไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลขออุปสมบท พระพุทธเจ้าก็ประทานให้
อุปสมบทด้วยวิธีเอหิภิกขุอุปสัมปทา ฝ่ายบริวารนั้นเมื่อได้อุปสมบท แล้วก็ได้บำเพ็ญเพียรจนสำเร็จ
๓๒ ดูรายละเอยี ดใน, วินย. มหา. (ไทย) ๔/ ๗๒/ ๖๔-๗๖.
๓๓ ดูรายละเอียดใน, ว.ิ มหา. (ไทย) ๔/ ๗๒/ ๖๔-๗๖.
๑๔๐
143
พระอรหันตท์ ้งั หมด ส่วนพระโกลติ ะ หรือพระโมคคลั ลานะตามชอื่ มารดาว่าโมคคลั ลี ท่านอปุ สมบทได้
๗ วนั ไดไ้ ปทำความเพยี รอยู่ ณ บ้านกลั ลวาลมุตตคาม แคว้นมคธ ในเวลานน้ั พระศาสดาไดป้ ระทับอยู่
ในสวนเภสกลาวัน ซงึ่ เปน็ ท่ีใหเ้ หย่ือแก่เน้ือ ใกล้เมืองหลวงแคว้นภคั คะอันชื่อว่าสุงสุมารคิระ พระโมค
คัลลานะเมื่อบำเพ็ญเพียรอยู่ ณ กัลลวาลมุตตคาม นั้นได้นั่งโงกง่วงอยู่ พระพุทธเจ้าได้ทรงทราบก็
เสดจ็ ไปประทานพระโอวาท ตรัสบอกอุบายแกง้ ว่ งตา่ งๆดังนี้ ๓๔
๑) เมือ่ มนสกิ ารคือทำไว้ในใจ ซ่งึ สัญญาคอื ความกำหนดหมายในข้อใด เกดิ ความง่วงข้ึน ก็
ให้ทำมนสกิ ารสญั ญาขอ้ นนั้ ให้มากข้นึ
๒) ตรกึ ตรองพจิ ารณาธรรมะท่ไี ด้ฟังได้เรียนมาด้วยใจ
๓) ใหส้ าธยายคือท่องบน่ ธรรมะโดยพิสดาร
๔) เอามือยอนหูทง้ั สองข้าง หรอื ว่าลบู ด้วยฝา่ มอื
๕) ลูบนัยนต์ าด้วยนำ้ เหลยี วดทู ิศ แหงนหนา้ ดดู าว
๖) มนสิการคือทำไว้ในใจ ซึ่งอาโลกสัญญา คือกำหนดความสว่างให้มีความสว่างเหมือน
กลางวนั อันปรากฏอยู่ในใจ ทำใจใหเ้ ปิด ไมใ่ ห้ถกู หอ่ ห้มุ ให้สวา่ ง
๗) จงกรมคอื เดินไปมา สำรวมอนิ ทรีย์และสำรวมจิต ไมค่ ิดออกไปภายนอก
๘) ก็ให้นอน ที่เรียกว่าสำเร็จสีหะไสยา คือนอนตะแคงเบื้องขวา ไม่คิดทำความสุขในการ
นอน และตั้งสติกำหนดจะตื่นขึ้น ลุกขึ้นวิธีง่วงทั้ง ๘ ข้อนี้ตรัสสอนเป็นวธิ ีแก้เพื่อเลือกใช้ขอ้ ใดขอ้ หน่ึง
จนในที่สดุ เมือ่ ไม่สำเร็จก็ให้นอนทันที เมื่อประทานวิธีแกง้ ่วงแล้วกไ็ ดต้ รัสโอวาทอีก ๓ ขอ้ คือ
๘.๑ ไม่ควรชูงวงเข้าสกุล หมายความว่า ไม่ควรตั้งมานะว่าเราเป็นนั่นเป็นนี่ ที่เขา
ตอ้ งนบั ถอื เขาจะต้องตอ้ นรับเข้าไปส่ปู ระตู เพราะถา้ หากคนในตระกลู เขามีการงานมากเขาไม่ได้ใส่ใจ
ถงึ กจ็ ะทำให้เกิดเกอ้ เขินคิดไปต่างๆ นาๆ เกิดความฟุ้งซา่ นจิตเลยไม่สำรวมจะหา่ งจากสมาธิ
๘.๒ ไม่พูดคำที่เป็นเหตุโต้เถียงกัน คือผิดกัน เพราะจะต้องพูดมาก ทำให้ฟุ้งซ่านทำ
ใหจ้ ติ ไมส่ ำรวม และหา่ งจากสมาธไิ ด้เชน่ เดยี วกนั
๘.๓ พระองค์ทรงติการคลุกคลี แต่ว่ามิใช่ติไปทุกอย่าง สรรเสริญก็มี คือทรงติ ไม่
สรรเสรญิ การคลุกคลีด้วยหมชู่ น แต่ว่าทรงสรรเสรญิ การคลุกคลีดว้ ยเสนาสนะอนั สงัดคืออยู่ในที่นอน
ท่นี ั่งอนั สงัด
พระโมคคัลลานะ ได้กราบทูลถามว่า ด้วยข้อปฏบิ ัตเิ ทา่ ไรภิกษุจึงจะช่ือว่าเป็นผู้น้อมไปใน
ธรรมะเป็นที่สิ้นตัณหา สำเร็จถึงที่สุด เกษมจากโยคะคือกิเลสที่เป็นเครื่องประกอบจิตไว้ถึงที่สุด เป็น
พรหมจารีถึงที่สุด ถึงสุดทางกันจริงๆ เป็นผู้ประเสริฐสุดแห่งเทพและมนุษย์ทั้งหลาย พระพุทธเจ้าได้
ตรัสตอบโดยความว่า ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้เมื่อได้สดับว่าธรรมทั้งปวงไม่ควรยึดมั่น ก็พิจารณาให้
๓๔ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน), ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า, พิมพ์ครั้งที่ ๓,
(กรงุ เทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๙) หนา้ ๕๔.
๑๔๑
144
ทราบชดั ลกั ษณะของธรรมท้ังปวงน้นั กำหนดธรรมท้ังปวงนั้นว่าไม่ควรยดึ มนั่ อย่างไร เม่ือเสวยเวทนา
คือสุข ทุกข์ หรือ ไม่ใช่ทุกข์ ไม่ใช่สุขอย่างใดอย่างหนึ่งก็ให้พิจารณาเห็นด้วยปัญญาที่ประกอบด้วย
ความหน่าย ความดับ และความสลัดคืนไมย่ ึดม่ันไม่สะดุง้ จึงเปน็ ผู้ดับกิเลสเฉพาะตัว และจึงเป็นผู้รู้ว่า
ชาติน้ีสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว กิจที่ควรทำได้ทำสำเร็จแล้ว พระโมคคัลลานะเมื่อได้สดับพระ
พุทธานุศาสนีแล้ว ได้ปฏิบัติตามก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ในวันนั้นส่วนพระอุปติสสะ หรือพระสารี
บตุ ร ทา่ นเปน็ บุตรของนางสารีพราหมณี บวชแลว้ ไดก้ งึ่ เดือน ไดต้ ามเสดจ็ พระพุทธเจ้าไปบนเขาคิชฌ
กูฏ แขวงกรุงราชคฤห์ ในวันนั้นพระพุทธเจ้าได้ประทับที่ถ้ำชื่อว่า สุกรขาตา ในเขาคิชฌกูฏนั้นได้มี
ปริพาชกผู้หนง่ึ ชอื่ ทีฆนขะ ๓๕ ไดเ้ ข้าไปยืนเฝา้ ท่านพระสารีบุตรไดน้ ั่งอย่เู บ้ืองพระปฤษฏางคแ์ ละถวาย
งานพัดพระพุทธเจ้าอยู่ ปริพาชกนั้นได้ทูลถามถึง ทิฏฐิคือความเห็นของตนว่า สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ตน
ตนไม่ชอบใจหมดทกุ สิ่ง พระพทุ ธเจา้ ตรัสโดยใจความว่า ถ้าอยา่ งนัน้ ทิฏฐิคือความเห็นเช่นน้นั กต็ อ้ งไม่
ควรแกป่ ริพาชกนั้น ปรพิ าชกกต็ ้องไม่ชอบทิฏฐินน้ั เหมือนกัน ทิฏฐิ คือความเหน็ ตา่ งๆ น้ัน เมื่อสรุปลง
มีเพียง ๓ คอื
๑) เหน็ วา่ สิง่ ทงั้ ปวงควรแกต่ น ตนชอบใจหมด
๒) เหน็ วา่ สิ่งทั้งปวงไม่ควรแก่ตน ตนไมช่ อบใจทั้งหมด
๓) เห็นว่า บรรดาสิ่งทั้งปวงนั้น บางสิ่งควรแก่ตน ตนชอบใจ บางสิ่งไม่ควรแก่ตน ตนไม่
ชอบใจทิฏฐทิ ง้ั ๓ นี้ ทฏิ ฐทิ ี่ ๑ ใกล้ต่อความยนิ ดีพอใจ ทฏิ ฐทิ ี่ ๒ ใกล้ตอ่ ความขัดข้องใจ ทิฏฐิที่ ๓ ใกล้
ทั้ง ๒ อย่าง คือบางอย่างใกล้ต่อความยินดีพอใจ บางอย่างใกล้ต่อความไม่ยินดีพอใจ ทุกๆ ทิฏฐิเป็น
เหตใุ หเ้ จริญกเิ ลสไดท้ ง้ั น้ัน เพราะถา้ ถือม่ันในทฏิ ฐินัน้ วา่ เป็นจรงิ ทิฏฐอิ นื่ เป็น โมฆะ คอื ว่าเปล่าหมด ก็
ต้องผิดจากอีก ๒ พวก เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องวิวาทกัน จะต้องพิฆาตกัน เบียดเบียนกัน ผู้รู้เม่ือพิจารณา
เห็นโทษของความยึดมั่นในทิฏฐอิ ย่างใดอย่างหนึ่งดังท่ีกล่าวมาแลว้ นี้ จึงได้ละทิฏฐนิ ้ัน และไม่ทำทิฏฐิ
อนื่ ให้เกดิ ขนึ้ อีก
ต่อจากนน้ั ไดต้ รัสถึง กายอนั นี้ ซ่ึงเป็นท่ีประชมุ มหาภูตทง้ั ๔ อนั ไดแ้ ก่ ดิน นำ้ ไฟ ลม ซึ่งมี
บิดามารดาเป็นแดนเกดิ เติบโตขึน้ เพราะการบำรุงดว้ ยอาหารต่างๆ เป็นกายท่ีจะต้องแตกทำลายเปน็
ธรรมดา ก็ควรพิจารณาว่าเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นของว่างเปล่า เป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวตนคร้ั น
แล้วได้ทรงแสดง เวทนา ๓ คือเมื่อคนเสวยสุขเวทนาเวลาใด เวลานั้นก็ย่อมไม่ได้เสวยทุกขเวทนา หรื
ออทุกขมสุขเวทนา เสวยทุกขเวทนาเวลาใด ในเวลานั้นก็ไม่ได้เสวยสุขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
เสวยทุกขมสุขเวทนาเวลาใด ในเวลานั้นกไ็ ม่ไดเ้ สวยสุขเวทนาหรือทุกขเวทนา คือรับเวทนาทีละอย่าง
ในเวลาหน่ึง เวทนาทั้ง ๓ นัน้ ก็เป็นของไม่เท่ยี ง เป็นของท่ีมกี ารปรงุ แต่ง เปน็ ของทอ่ี าศัยเหตุเกิดข้ึน มี
๓๕ ดูรายละเอียดใน, ม. ม. ทฆั นขสตุ ตฺ (ไทย) ๑๓/ ๒๖๓/ ๒๖๙.
๑๔๒
145
ความสิ้นไปเสื่อมไป คลายไปได้ จนถึงดับไปเป็นธรรมดา เมื่อพิจารณาให้เห็นความจริงดังนี้ก็จะเกิด
นพิ พทิ า วิราคะ วมิ ุตติ และวิมตุ ตญิ าณทัสสนะ เหมือนดงั่ ท่ีแสดงในอนัตตลกั ขณสตู ร ๓๖
เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมนี้แก่ทีฆนขะปริพาชก ท่านพระสารีบุตรได้น่ังถวายพัดไป
พลางฟังไปพลาง และพิจารณาตามเหน็ ว่า พระพุทธเจ้าได้ตรัสให้ละให้สละคืน เพราะความรู้จริงเห็น
จรงิ ในธรรมเหล่าน้ี เมื่อพจิ ารณาอยจู่ ติ ก็พน้ อาสวะ เพราะไมย่ ึดมน่ั การสรา้ งแรงจงู ใจให้กบั พระโมคคัล
ลานะกบั พระสารีบุตรน้ัน
พระพุทธเจ้าทรงแสดงเวทนาในการดึงจิตใจพระโมคคัลลานะและพระสารีบุตรสู่ธรรมขั้น
สูง ท่านพระอัครสาวกทัง้ สองนั้น ท่านเป็นบุตรอยู่ในตระกูลทีม่ ั่งค่ังมีความสุขมาก เมื่อมาบวชเขา้ เลย
ตอ้ งอาศยั นสิ สัย ๔ ๓๗ความไม่สบายกจ็ ะต้องมมี ากขนึ้ เพราะการท่ีจะอยู่อาศัย การท่จี ะนุ่งห่ม การที่
จะขบฉันก็ไม่เป็นไปตามประสงค์ จะต้องไปบิณฑบาตเขามาฉันจริงๆ จะให้ถูก กับความปรารถนาก็
เป็นไปไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ หากยังติดอยู่ ยังชอบสุขเวทนาอยู่ ถึงจะมีความรู้ความเข้าใจอะไรได้แจ่ม
แจ้งพอสมควรแล้วก็ตาม การปฏิบัติก็ยังดำเนินไปไม่สะดวกพระพุทธเจ้าจึงยกเว ทนาขึ้นมาเน้น
เพราะฉะนั้นเมื่อปล่อยเวทนาคือว่าปล่อยสุขเสียได้ ก็เป็นอันว่าท่านไม่กังวลอีกแล้ว จึงเกิดความรู้
ความเข้าใจธรรมแจ่มแจ้งหมด ๓๘ พระพุทธองค์ทรงใช้เวทนาในการสร้างแรงจูงใจพระโมคคัลลานะ
และพระสารีบุตร
๖) พทุ ธวธิ กี ารใชว้ าจาเพื่อการจงู ใจในพุทธวธิ กี ารสอน
พระพุทธเจ้าทรงเป็นต้นแบบการใช้วาจาทั้งหมดในพระไตรปิฎกในรูปแบบ
นวังคสัตถุศาสน์ การใช้วาจาของพระพุทธองค์จึงมีความชัดเจน เนื้อหาดี สร้างสรรค์ประโยชน์แก่ทุก
ฝ่ายการใช้วาจาที่สร้างสรรค์นั้น เป็นจุดเริ่มต้นแห่งความสุขความเจริญของครอบครัว ซึ่งสามารถ
ส่งผลในทางเดยี วกันต่อสังคมและประเทศชาติ นบั เป็นสังคมแหง่ อารยะ สงั คมท่ีมีแต่กุศลประโยชน์๓๙
ดังพุทธพจน์ท่ีวา่ คำพูดท่มี ีประโยชน์คำเดียว คนฟงั แลว้ สงบระงับได้ย่อมดีกว่าคำพูดท่ีไร้ประโยชน์ต้ัง
พันคำ ลักษณะคำตรัสของพระพุทธองค์ในพระสูตรที่พอรวบรวมได้มีดังน้ีในอภัยราชกุมารสูตร ได้
กล่าวถึงเกณฑ์ในการตรัสวาจาของพระพุทธเจา้ โดยพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสกบั อภัยราชกุมารดงั ราช
กมุ าร ตถาคตรู้วาจาท่ีไม่จรงิ ไมแ่ ท้ไม่ประกอบดว้ ยประโยชนแ์ ละวาจาน้ันไม่เปน็ ที่รัก ไม่เป็นที่ชอบใจ
ของคนอืน่ ตถาคตไมก่ ล่าววาจาน้ัน วาจาที่จรงิ แท้ แต่ไม่ประกอบ ด้วยประโยชน์ และวาจานั้นไม่เป็น
๓๖ ดรู ายละเอียดใน, วนิ ย. มหา. (ไทย) ๔/ ๒๔/ ๒๐-๒๔.
๓๗ ดูรายละเอยี ดใน. วินย. มหา. (ไทย) ๔/ ๘๗/ ๑๗๑-๑๗๒.
๓๘ สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน), ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า, พิมพ์ครั้งที่ ๓,
(กรงุ เทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๓๙), หนา้ ๕๙.
๓๙ ธนัชกร กีรติเสถียร, “ศึกษาการใช้วาจาสร้างสรรค์ในพระพุทธศาสนาเถรวาท”, วิทยานิพนธ์พทุ ธ
ศาสตรมหาบณั ฑติ , (บณั ฑติ วทิ ยาลยั : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๕๐), หนา้ ๔๙.
๑๔๓
146
ทีร่ ัก ไมเ่ ป็นท่ีชอบใจของคนอน่ื ตถาคตไม่กล่าววาจาน้ันวาจาทีจ่ ริง ทแ่ี ท้ และประกอบด้วยประโยชน์
แต่วาจานั้นไม่เป็นที่รัก ไม่เป็นที่ชอบของคนอื่น ในข้อนั้นตถาคตรู้กาลที่จะกล่าววาจาที่ไม่จริง ไม่แท้
ไมป่ ระกอบด้วยประโยชน์ แตว่ าจานน้ั เปน็ ท่ีรัก เป็นทช่ี อบใจของคนอื่น ตถาคตไม่กล่าววาจาน้ันวาจา
ที่แท้จริง ที่แท้ ไม่ประกอบด้วยประโยชน์ แต่วาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคนอื่น ตถาคตไม่
กล่าววาจานั้นวาจาที่จริง ที่แท้ ที่ประกอบด้วยประโยชน์ และวาจานั้นเป็นที่รัก เป็นที่ชอบใจของคน
อื่น ในข้อนั้น ตถาคตรู้กาลที่จะกล่าว ข้อนั้นเพราะเหตุไร เพราะตถาคตมีความเอ็นดูในหมู่สัตว์
ทั้งหลาย ๔๐ ในมธุปิณฑิกสูตร ทัณฑปาณิศากยะ ได้ทูลถามพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า พระองค์มีปกติ
กล่าวอย่างไร บอกอย่างไร พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ผู้มีอายุ บุคคลมีปกติกล่าวอย่างใดจึงไม่โต้เถียง
กับใครๆ ในโลก พร้อมทั้งเทวโลกมารโลก พรหมโลก ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดาและ
มนุษย์แล้ว ดำรงอยู่ในโลก...เรามีปกติกล่าวอย่างนั้น บอกอย่างนั้นโดยประการนั้น ๔๑ ถ้อยคำท่ี
โต้เถียงกันก่อให้เกิดทุกข์ และการทำร้ายโต้ตอบกันจะมาถึงในมหาสุญญตสูตร พระพุทธเจ้าตรัสถึง
เรื่องที่ไม่ควรสนทนาและเรื่องที่ควรสนทนากันอย่างมีสติสัมปชัญญะ เพื่อทำให้จิตสงบระงับไม่เกิด
ความฟุ้งซ่านดังนี้เราจักไม่พูดเรื่องเห็นปานนี้ คือ เรื่องพระราชา เรื่องโจร เรื่องมหาอำมาตย์ เรื่อง
กองทัพ เรื่องภัย เรื่องการรบ เรื่องข้าว เรื่องน้ำ เรื่องผ้า เรื่องที่นอน เรื่องพวงดอกไม้ เรื่องของหอม
เรื่องญาติ เรื่องยาน เรื่องบ้าน เรื่องนิคม เรื่องเมืองเรื่องชนบท เรื่องสตรี เรื่องบุรุษ เรื่องคนกล้าหาญ
เรื่องตรอก เรื่องท่าน้ำ เรื่องคนที่ล่วงลับไปแล้ว เรื่องเบ็ดเตล็ด เรื่องโลก เรื่องทะเล เรื่องความเจริญ
และความเสื่อม ซึ่งเป็นของเลวทราม เป็นของชาวบ้าน เป็นปุถุชน ไม่ใช่ของอริยะ ไม่ประกอบด้วย
ประโยชน์ ไม่เป็นไปเพื่อความเบื่อหน่าย เพื่อคลายกำหนัดเพื่อดับสงบระงับ เพื่อรู้ยิ่ง เพื่อตรัสรู้ เพื่อ
นิพพาน... เราจักพูดเรื่องเห็นปานนี้ คือ เรื่องความมักน้อย เรื่องความสันโดษเรื่องความสงัด เรื่อง
ความไม่คลุกคลีเรื่องการปรารภความเพียร เรื่องศีล เรื่องสมาธิ เรื่องปัญญิ เรื่องวิมุตติเรื่องวิมุตติ
ญาณทัสสนะในอังคุตตรนกิ าย จตุกกนิบาต โยธาชีววรรค พระผู้มีพระภาคเจา้ ตรัสกบั วัสการพราหมณ์
ถึงสิ่งที่ควรกล่าวหรือไม่นั้น มิได้ขึ้นอยู่กับการรับรู้ความจริงทาง ตา จมูก ลิ้น กาย ใจแต่ขึ้นอยู่กับว่า
เมอื่ กลา่ วถงึ สงิ่ ทร่ี ูเ้ ห็นนน้ั แล้ว อกศุ ลธรรมเส่ือมลง และกุศลธรรมเจรญิ ข้นึ หรอื ไม่ดังนี้
พราหมณ์ เราไมก่ ลา่ ว ทกุ สิ่งทไี่ ด้เห็นเป็นสิง่ ท่คี วรกล่าว และไม่กลา่ วว่า ทกุ สง่ิ ที่ได้เห็นเป็นส่ิง
ที่ไม่ควรกล่าว เราไม่กล่าววา่ ทุกสิ่งทีไ่ ดฟ้ ังเป็นสิง่ ท่ีควรกล่าว และเราไม่กล่าวว่า ทุกสิ่งที่ได้ฟังเป็นสงิ่
ที่ไมค่ วรกล่าว เราไมก่ ลา่ วว่า ทุกส่ิงท่ไี ด้ทราบเปน็ สง่ิ ทค่ี วรกล่าวและไม่กล่าวว่า ทกุ ส่งิ ทีไ่ ดท้ ราบ
วิภัชวาท ๔๒ วิภัชวาท นัน้ เปน็ การพูดหรอื คดิ อยา่ งมีเงอ่ื นไข มองหลายแงไ่ มม่ องอะไรแง่เดียว
แล้วตีขลุมไปหมด เพราะความเปน็ จรงิ แล้ว ในโลกีย์วิสัยน้ีเกอื บจะไม่มอี ะไรเป็นจรงิ อย่างไม่มเี ง่ือนไข
๔๐ ดูรายละเอยี ดใน, ม. มู. (ไทย) ๑๒/ ๑๙๙/ ๒๐๙.
๔๑ ดรู ายละเอียดใน, ม. ม.ู (ไทย) ๑๒/ ๑๙๙/ ๒๐๙.
๔๒ ดรู ายละเอยี ดใน, ม. ม.ู (ไทย) ๑๔/ ๒๐๐/ ๒๑๑.
๑๔๔
147
ในเง่ือนไขหนึง่ เป็นอยา่ งหน่ึง ตัดสนิ ได้อยา่ งหน่งึ พอเปลี่ยนเงอ่ื นไขก็เปน็ เสียอีกอย่างหนง่ึ ต้องตัดสิน
อีกอย่างหนึ่ง จึงต้องมองความจริงหลายแง่ เช่นเด็กคนหนึ่งหนีโรงเรียนกลับบา้ น มองในแง่ขาดเรียน
ครูอาจตัดสินใจว่าเด็กคนนี้ไม่ดี ไม่เอาใจใส่ต่อการเรียนแต่ปรากฏว่าแม่ของเขาป่วยเป็นอัมพาต เด็ก
ต้องกลับมาช่วยเหลือแม่ ปอ้ นขา้ วเชด็ ตัวให้แม่ พอเห็นแงน่ เ้ี ขา้ ทุกคนกต็ ้องตัดสินใจวา่ เด็กเป็นคนดี มี
ความกตัญญูเสียสละ ยังมีเรื่องอื่นๆอีกมากในสังคมซึ่งเรามักมองในแง่เดียวแล้วตัดสินไปแง่เดียวอาจ
ผิดพลาดได้มาก พระพุทธองค์ทรงเรียกพระองค์ว่า วิภัชชวาที แปลว่า ผู้กล่าวจำแนก ผู้แยกแยะพูด
เปน็ คุณบทคือคำแสดงคุณลักษณะอย่างหนึง่ ของพระพทุ ธเจา้ หมายความว่า ทรงแสดงธรรมแยกแยะ
แจกแจงออกไปให้เห็นว่า สิ่งทั้งหลายเกิดจากส่วนประกอบย่อยๆ มาประชุมกันเข้าอย่างไร เช่น
แยกแยะกระจายนามรูปออกเป็นขันธ์ ๕ อายตนะ ๑๒ เป็นต้น สิ่งทั้งหลายมีด้านท่ีเปน็ คุณและด้านท่ี
เป็นโทษอย่างไรเรื่องน้ันๆ มีข้อจริงเท็จอะไรบา้ ง การกระทำนั้นๆ มีแง่ถูกแง่ผิดแง่ดแี ง่ไม่ดปี ระการใด
เพ่ือให้ผู้ฟังเข้าใจสิ่งนั้นเรื่องนั้นชัดเจน มองเห็นสิ่งทั้งหลายตามที่เป็นจริงไม่มองอย่างตีคลุมหรือเห็น
แตด่ า้ นเดียวแล้วยึดตดิ ในทฏิ ฐติ ่าง ๆ อันทำใหไ้ มเ่ ขา้ ใจความจรงิ แท้ตามสภาวะ ๔๓
สรปุ ด้วยเหตุผลทกี่ ล่าวมานี้ การใช้วาจาของพระพทุ ธเจา้ จึงมีพลังมากมายมหาศาลการใช้
วาจาของพระพุทธองค์แต่ละครั้งจึงสำเร็จสมประสงค์ และเกิดประโยชน์ต่อผู้ฟังและสังคมในสมัย
พุทธกาลอยา่ งกวา้ งใหญไ่ พศาล มผี ลมากระท่ังจวบจนปจั จบุ ันน้ี
๖. องค์ประกอบของการสอนสังคมศึกษาในทัศนะทางพุทธศาสนา
องค์ประกอบที่พระพุทธเจ้าทรงสร้างแรงจูงใจจนประสบ ความสำเร็จพระพุทธเจ้ามี
คณุ สมบตั ิท่ีช่วยใหก้ ารสร้างแรงจูงใจประสบความสำเร็จ ตามแนวพระพุทธคุณ ๓ ประการ
๑. บุคลิกภาพ พระพุทธเจา้ ทรงมีพระลักษณะท้งั ด้านความสง่างามแห่งพระวรกายพระ
สรุ เสยี งท่โี นม้ นำจติ ใจ และพระบุคลิกลักษณะอันควรแกก่ ารศรทั ธาประสาทะทกุ ประการ เช่น
๑) ทรงมีพระสุรเสียงไพเราะ และตรัสพระวาจาสุภาพสละสลวย อย่างคำชมของจังกี
พราหมณ์ที่ว่า พระสมณโคดม มีพระวาจาไพเราะ รู้จักตรัสถ้อยคำได้งดงาม มีพระวาจาสุภาพ
สละสลวย ไม่มีโทษ ยังผู้ฟังให้เข้าใจเนื้อความได้ชัดแจ้ง และคำของอุตรมาณพที่ว่า พระสุรเสียงที่
เปล่งก้องจากพระโอษฐ์นั้นประกอบด้วยคุณลักษณะ ๘ ประการ คือ แจ่มใส ๑ ชัดเจน ๑ นุ่มนวล ๑
ชวนฟงั ๑ กลมกลอ่ ม ๑ ไมพ่ รา่ ๑ ซ้ึง ๑ กังวาน ๑
๔๓ พระธรรมปิฎก (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑,
(กรงุ เทพมหานคร : มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๖), หนา้ ๒๓๓.
๑๔๕
148
๒) ทรงมีพระมหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ และอนุพยัญชนะ ๘๐ ประการ มีพระ
วรกายสง่างาม ดังจังกีพราหมณ์ท่ชี มพระองค์ว่า “พระสมณโคดม มพี ระรูปงามน่าดู น่าเลื่อมใสมีพระ
ฉววี รรณผดุ ผอ่ งย่งิ นัก พระวรรณะและพระสรรี ะดุจดงั พรหมนา่ ดชู มนกั หนา
๓) ทรงมีพระอากัปกิริยามารยาททุกอย่างที่งดงามน่าเลื่อมใส เริ่มแต่สมบัติผู้ดีและ
มารยาทอันเป็นทย่ี อมรับของสังคม ตลอดจนพระบุคลิกลักษณะที่เปน็ เสน่ห์ทุกประการ พร้อมไปด้วย
ความองอาจ ความสงา่ งาม ความสงบเยอื กเยน็ การแสดงธรรมของพระองค์ นอกจากแจม่ แจ้งด้วยสัจ
ธรรมแลว้ ยังก่อใหเ้ กิดความรูส้ ึกเพลดิ เพลนิ สุขใจชวนให้อยากฟงั อยากใกลช้ ิดพระองค์อยู่ไม่วายอย่าง
คำชมของบคุ คลต่าง ๆ เชน่ ทท่ี ่านปิงคยิ านี มองเหน็ สาวประโยชน์อันใด จึงเลื่อมใสพระสมณโคดมถึง
เพียงนี้ ท่านผู้เจริญเปรียบเหมือนบุรุษผู้อิ่มในรสอันเลิศแล้ว ย่อมไม่ปรารถนารสอื่น ๆ ที่เลวฉันใด
บคุ คลฟังธรรมของพระสมณโคดมพระองค์นน้ั โดยลักษณะใด ๆ จะโดยสุตตะ โดยเคยะ โดยไวยากรณ์
หรือโดยอัพภูตธรรมก็ดี ย่อมไม่ปรารถนาวาทะของสมณะเป็นอันมากเหล่าอื่นโดยลักษณะนั้นๆ เลย
ฉันนั้น เปรียบเหมือนบุรุษผู้หิวและอ่อนเพลีย มาได้รวงน้ำผึ้งก็ลิ้มรสย่อมได้รสแท้แสนชุ่มชื่นฉันใด
บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดทพระองค์นั้น...ย่อมได้รับความดีใจ ปลาบปลื้มใจ ฉันนั้นเปรียบ
เหมือนบุรุษ ได้ไม้จันทน์เป็นจันทน์เหลืองหรือจันทน์แดง จะสูดกลิ่นตรงที่ใด ราก ลำต้น หรือยอด
กลิ่นหอมสนิทเป็นกลิ่นแท้ฉันใด บุคคลฟังธรรมของพระโคดมพระองค์นั้น...ก็ย่อมปราโมทย์ ได้ความ
โสมนัสฉนั นนั้ เปรยี บเหมือนบรุ ุษอาพาธ เจ็บปวด เปน็ ไขห้ นักนายแพทย์ผฉู้ ลาดพึงบำบดั อาพาธเขาได้
ฉับไวฉันใด บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้น แล้ว...ความโศกเศร้าปริเทวนาการ ความ
ทุกข์โทมนัส และความคับแค้นใจของเขาย่อมหมดไป ฉันนั้นเปรียบเหมือน สระใหญ่มีน้ำใส เย็น จืด
สนิท น่าเจริญใจ มีท่าราบเรียบน่ารื่นรมย์ บุรุษผู้ร้อนด้วยแสงแดด ถูกแดดแผดเผา เหน็ดเหนื่อย หิว
กระหายเดินมาถึงเขาลงไปอาบ ดื่ม ในสระน้ำนั้น พึงระงับความกระวนกระวาย ความเหน็ดเหนื่อย
และความเร่าร้อนทั้งปวงได้ฉันใด บุคคลฟังธรรมของท่านพระโคดมพระองค์นั้นแล้ว...ความกระวน
กระวายความเหน็ดเหนื่อยและความเร่าร้อนของเขาก็ย่อมระงับไปหมดสิ้นแล้วฉันน้ัน ชนทั้งหลายที่
ท่านพระโคดม ทรงชี้แจงให้เห็นแจ้งให้สมาทาน ให้อาจหาญให้ร่าเริงด้วยธรรมมีกถาแล้ว เมื่อลุกไป
จากที่น่ังก็ยังเหลียวหลังกลบั มามอง ด้วยไมอ่ ยากจะละจากไป
สรุปบุคลิกภาพของพระพุทธองคท์ รงดีพร้อมสูงสุดทุกอยา่ งท่ีมนุษย์พึงมีได้ทำให้สร้างศรัทธา
กับผู้พบเมื่อได้เห็นพระวรกายสง่างามของพระองค์เห็นพระอากัปกิริยางดงามฟังสุ ระเสียงอันไพเราะ
จนบรรลุจดุ ประสงคท์ กุ ครงั้
๒. คณุ ธรรม พระพุทธเจา้ ทรงมีพระลกั ษณะแสดงตามแนวพุทธคุณ ๓ ประการคือ
ก. พระปญั ญาคุน ของยกมาแสดง ๒ อย่าง คอื ทศพลญาณ และปฏสิ ัมภิทา
๑๔๖
149
๑) ทศพลญาณ ๔๔ คือ พระญาณอันเป็นกำลังของพระตถาคตที่ทำให้พระองค์สามารถ
บันลอื สีหนาท ประกาศพระศาสนาไดม้ ัน่ คง
๑.๑ ฐานาฐานญาณ ปรีชาหยั่งรู้ฐานะ และอฐานะ คือหยั่งรู้กฎธรรมชาติที่เกี่ยวกบั
ขอบเขต และขีดขัน้ ของส่ิงท้ังหลายว่าอะไรเป็นไปได้ และอะไรเป็นไปได้แค้ไหนเพียงไร โดยเฉพาะใน
แง่ความสัมพันธ์ระหว่างเหตุกับผล และกฎเกณฑ์ทางจริยธรรมที่เกี่ยวกับสมรรถวิสัยของบุคคลซึ่งจะ
ได้รบั ผลกรรมท่ดี ีและชัว่ ตา่ ง ๆ กัน
๑.๒ กรรมวิปากญาณ ปรีชาหยั่งรู้ผลของกรรม สามารถกำหนดแยกการให้ผลอย่าง
สลับซับช้อนระหว่างกรรมดีกับกรรมชั่วที่สัมพันธ์กับปัจจัยแวดล้อมต่างๆมองเห็นรายละเอียดและ
ความสมั พนั ธ์ภายในกระบวนการการกอ่ ผลของกรรมอย่างชดั เจน
๑.๓ สัพพัตถคามินีปฏิปทาญาณ ปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่คติทั้งปวง (คือสู่
สุคติทุคติหรือพ้นจากคติ) หรือปรีชาหยั่งรู้ข้อปฏิบัติที่จะนำไปสู่อรรถประโยชน์ทั้งปวง (จะเป็น
ทิฏฐธัมกัตถะ หรือสัมปรายิกัตถะ หรือปรมัตถะก็ตาม) รู้ว่าเมื่อต้องการเข้าสู่จุดหมายใด จะต้องทำ
อะไรบา้ ง มรี ายละเอยี ดวิธปี ฏิบัตอิ ยา่ งไร
๑.๔ นานาธาตญุ าณ ปรชี าหยงั่ รู้สภาวะของโลกอนั ประกอบด้วยธาตุต่างๆ เป็นอเนก
รู้สภาวะของธรรมชาติทั้งฝ่ายอุปาทินนกสังขาร และอนุปาทินนกสังขาร เช่นเรื่องชีวิตก็ทราบ
องคป์ ระกอบต่างๆ สภาวะขององค์ประกอบเหล่าน้ัน พร้อมท้ังหน้าท่ีของมันเช่นการปฏิบัติหน้าท่ีของ
ขันธ์ อายตนะและธาตุต่างๆ ในกระบวนการรบั รเู้ ป็นต้น
๑.๕ นานาธิมุตติกญาณ ปรีชาหยั่งรู้อธิมุติ (คือรู้อัธยาศัยความโน้มเอียง แนวความ
สนใจ ฯลฯ) ของสัตว์ท้ังหลายท่ีเปน็ ไปต่าง ๆ กนั
๑.๖ อินทริยปโรปริยัตตญาณ ปรีชาหยั่งรู้ความยิ่งและความหย่อนแห่งอินทรีย์ของ
สัตวท์ ัง้ หลาย ร้วู า่ สตั วน์ ั้นๆ มแี นวความคิด ความรู้ ความเขา้ ใจ แคไ่ หนเพียงใด มีกิเลสมากกิเลสน้อย
มอี ินทรีย์อ่อนหรือแกก่ ลา้ สอนง่ายหรอื สอนยากมคี วามพร้อมที่จะเขา้ สกู่ ารตรัสร้หู รือไม่
๑.๗ ฌานาทิสังกิเลสาทิญาณ ปรีชาหยั่งรู้เหตุที่จะทำให้ฌานวิโมกข์ และสมาบัติ
เสื่อมหรอื เจริญ คลอ่ งแคลว่ ชัดเจนหรอื กา้ วหนา้ ย่ิงขนึ้ ไป
๑.๘ ปุพเพนิวาสานสุ สติ ปรีชาหยัง่ รูร้ ะลกึ ชาตภิ พในหนหลังได้
๑.๙ จตุ ูปปาตญาณ ปรชี าหย่งั รู้จตุ ิและอุบัตทิ ั้งหลายอันเป็นไปตามกรรม
๑.๑๐ อาสวักขยญาณ ปรีชาหยั่งรู้ความสิ้นไปแห่งอาสวะทัง้ หลาย
๔๔ ดูรายละเอียดใน, ม. มู. (ไทย) ๑๒/ ๑๖๖, องฺ. ทสก. (ไทย) ๒๔/ ๒๑, อภิ. วิ. (ไทย) ๓๕/ ๘๓๙-
๘๔๘, วิภงฺค. อ. (ไทย) ๕๒๐,๕๕๐-๖๐๗.
๑๔๗
150
๒) ปฏิสมั ภทิ า ๔๕ คือ ปัญญาแตกฉานในดา้ นต่างๆ มที ่ัวไปในพระมหาสาวกท้ังหลายด้วย
ดังนี้
๒.๑ อรรถปฏิสัมภิทา ความเข้าใจแจ่มแจ้งในความหมายของถ้อยคำหรือข้อธรรม
ตา่ ง ๆ สามารถอธบิ ายแยกแยะออกไปโดยพิสดาร แม้ไดเ้ ห็นเหตใุ ด ๆ กส็ ามารถคิดเชื่อมโยงแยกแยะ
กระจายความคดิ ออกไปล่วงรู้ถงึ ผลต่าง ๆ ทจ่ี ะเกิดขน้ึ ได้ แปลสนั้ ๆ วา่ ปญั ญาแตกฉานในอรรถ
๒.๒ ธรรมปฏิสัมภิทา ความเขา้ ใจแจม่ แจ้งในถ้อยคำหรือข้อธรรมต่าง ๆ สามารถจับ
ใจความคำอธิบายโดยพิสดาร มาตั้งเป็นกระทู้หรือหัวข้อได้ เมื่อมองเห็นผลต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้นก็
สามารถสืบสาวกลับไปหาเหตุได้แปลส้ัน ๆ วา่ ปัญญาแตกฉานในธรรม
๒.๓ นิรุตปฏสิ ัมภทิ า ความรู้แตกฉานในภาษา รู้ภาษาต่างๆและรู้จักใช้ถ้อยคำขีแ้ จง
แสดงอรรถและธรรม ใหค้ นอ่ืนเขา้ ใจและเหน็ ตามได้ แปลส้ัน ๆ ว่าปัญญาแตกฉานในนริ ุกติ
๒.๔ ปฏิภาณปฏิสัมภิทา ความมีไหวพริบ สามารถเข้าใจคิดเหตุผลได้เหมาะสมทัน
การ และมีความรู้ความเข้าใจชัดในความรู้ต่าง ๆ ว่ามีแหล่งที่มามีประโยชน์อย่างไรสามารถเชื่อมโยง
ความรู้ทั้งหลายเข้าด้วยกันสร้างความคิดและเหตุผลขึ้นใหม่ได้ แปลสั้นๆ ว่า ปัญญาแตกฉานใน
ปฏิภาณ
ข. พระวิสุทธิคุณ ความบริสุทธิ์เป็นพระคุณสำคัญยิ่งเช่นกัน ในการที่จะทำให้ประชาชน
เชื่อถอื และเล่ือมใสในพระพุทธเจ้า มองได้จากลักษณะตา่ งๆ ดงั นี้
๑. พระองค์เองเป็นผู้บริสุทธิ์หลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวง ไม่กระทำความชั่วทั้งทาง
กาย ทางวาจา ทางใจ ไม่มเี หตุทใี่ ครจะยกขึ้นมาตำหนไิ ด้
๒. ทรงทำได้อย่างที่สอน คือสอนเขาอย่างไร พระองค์เองก็ทรงประพฤติอย่างนั้นด้วย
อย่างพุทธพจน์ที่ว่า ตถาคตพูดอย่างใดทำอย่างนั้น จึงเป็นตัวอย่างที่ดีและให้ประชาชนเกิดความ
เชื่อมนั่ ในคุณค่าของคำสอนได้
๓. ทรงมีความบริสุทธิ์พระทัยในการสอน ทรงสอนผู้อื่นด้วยมุ่งหวังประโยชน์แก่เขาฝ่าย
เดียว ไม่มพี ระทยั เคลือบแฝงดว้ ยความหวังผลประโยชน์ส่วนตน หรอื อามีสตอบแทนใด ๆ มุ่งให้บุคลล
หรือหมู่คนที่อยู่ตรงหน้าได้รับผลประโยชน์สงู สุดอยา่ งแท้จริงพระวิสุทธิคุณเหล่าน้ีเปน็ ผลเกิดเองจาก
การตรสั รู้ จะเหน็ ได้จากคำสรรเสริญของบุคคลต่างๆ ในสมัยพุทธกาล เช่น ดูกรนาคิตะ ขออย่าให้เรา
ต้องเกี่ยวข้องกบั ยศเลย และขออย่าใหย้ ศมาข้องเกี่ยวกบั เราดว้ ยบคุ คลผใู้ ดไม่ไดโ้ ดยง่ายซึ่งความสุขอัน
เกิดจากเนกขัมมความสุขเกิดจากวิเวก ความสุขอันเกิดจากความสงบ ความสุขเกิดจากการตรัสรู้
เหมือนอย่างที่เราได้บุคคลผู้นั้นจึงจะยินดีความสุขแบบอาจม ความสุขที่เกิดจากการหลับ และ
๔๕ ดูรายละเอียดใน, องฺ. จตุกก. (ไทย) ๒๑/ ๑๗๒/ ๒๑๖, ขุ ปฏิ. (ไทย) ๓๑/ ๒๖๘/ ๑๗๕, อภิ. วิ.
(ไทย) ๓๕/ ๗๘๔/ ๔๐๐.
๑๔๘
151
ความสุขที่เกิดจากการลาภสักการะและสรรเสริญ ๔๖ จากคำกล่าวของพระสารีบุตรว่า ท่านทั้งหลาย
พระตถาคตมีกายสมาจาร วจีสมาจาร มโนสมาจารบริสุทธิ์ พระตถาคตมิได้มีความประพฤติชั่วทาง
กาย ทางวาจา ทางใจ ที่พระองคจ์ ะต้องปกปิดรักษาไว้ โดยตัง้ พระทยั ว่า ขอคนอื่นๆ อย่าได้รู้ถึงความ
ประพฤติชั่วทางกายทางวาจา ทางใจของเราเลย ๔๗ ดูก่อนโมคคัลนะ เราเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ จึง
ปฏิญาณได้ว่าเป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์ศีลของเราบริสุทธิ์ผ่องแผ้ว ไม่เศร้าหมอง บรรดาสาวกไม่ต้องคอย
รักษาเราโดยศีล และเราก็ไมต่ ้องคอยคดิ หวังให้สาวกชว่ ยรักษาเราโดยศลี เรามีอาชีวะบริสุทธ์ิ มีธรรม
เทศนาบรสิ ุทธ.ิ์ ..ไมต่ อ้ งคิดสาวกชว่ ยรักษา ๔๘
ค. พระกรณุ าคุณ อาศยั พระมหากรุณาธิคุณ พระพทุ ธเจ้าจึงได้เสดจ็ ออกประกาศศาสนา
โปรดสรรพสัตว์ ทำให้พระคุณ ๒ อย่างแรกคือพระปัญญาคุณ และพระวิสุทธิคุณเป็นที่ปรากฏ และ
เป็นประโยชนต์ อ่ ชาวโลกอย่างแท้จริง เสด็จไปช่วยเหลอื แนะนำสั่งสอนมนุษย์ท้ังทีเ่ ป็นกลุ่มและท่เี ปน็
รายบคุ คล โดยไมเ่ หน็ แก่ความเหนื่อยยากลำบากของพระองค์เอง พระมหากรุณาธิคุณเหล่าน้ี พึงเห็น
ตามคำสรรเสริญและคุณธรรมอื่นๆ ที่แสดงออกความกรุณาที่แสดงออกอย่างได้ผลดีนั้น ต้องอาศัย
อุเบกขาและสติสัมปชญั ญะเข้าประกอบด้วยในกรณีต่างๆ และในกรณีนั้นๆ จะต้องเข้าใจความหมาย
ของอุเบกขาให้ถูกต้องด้วยนอกจากนี้ ความกรุณาที่แสดงออกทางการอบรมสั่งสอน ย่อมเป็น
ส่วนประกอบสำคัญให้เกิดคุณลักษณะผู้สอนที่เรียกว่า องค์คุณของกัลยาณมิตรองค์คุณของ
กัลยาณมิตร
๗. การจดั การเรยี นรสู้ ังคมศกึ ษาในทศั นะทางพุทธศาสนา
วิธีการสอนต้องสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายของหลักสูตรและสภาพของผู้เรียน ดังนั้นจะยึด
หลักปฏิบัติตามอริยสจั ส่ี และมรรคแปด ดงั น้ียดึ ผ้เู รียนเปน็ สำคัญ เพือ่ ให้ผ้เู รียนเป็นคนเก่ง คนดี และ
มีความสขุ ส่งเสรมิ การเรียนรู้ของผู้เรียนโดยวธิ ีการแก้ปญั หาและการเรียนรดู้ ว้ ยตนเอง ทั้งวิธีการเรียน
เป็นรายบุคคลและเปน็ กลุ่มคำนึงถงึ ความแตกตา่ งระหว่างบุคคลของผูเ้ รียนจัดสภาพภายในห้องเรยี น
และบริเวณสถานศึกษาและสภาพแวดล้อมภายนอกให้เอื้อต่อการเรียนรู้ และการเรียนด้วยตัวเอง
ส่งเสริมการมีวินัยในตนเองและการมีสมาธิของผู้เรียนแต่ละคนและการเรียนเป็ นกลุ่มในบางครั้งตาม
ความเหมาะสม เพื่อส่งเสริมการเป็นคนดีในหมู่คณะ รู้จักแบ่งปัน และการมีส่วนร่วมในกิจกรรมซ้ึง
ส่งผลต่อการเป็นพลเมืองดีของชาติ รู้จักเสียสละ แบ่งปัน การให้ และการมีส่วนร่วมในสังคม
ประชาธิปไตยต่อไปให้ความสำคัญกับผู้เรียนที่มีความต้องการพิเศษเป็นรายบุคคล และต้องส่งเสริม
๔๖ ดรู ายละเอยี ดใน, อง.ฺ ฉกฺก. (ไทย) ๒๒/ ๓๑๓.
๔๗ ดูรายละเอียดใน, ที. ปา. (ไทย) ๑๑/ ๒๒๘.
๔๘ ดรู ายละเอยี ดใน, อง.ฺ ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/ ๑๐๐.
๑๔๙
152
เด็กเรียนเกง่ ให้เจริญงอกงามท้งั ความรู้สกึ และสติปัญญาคดิ หาวิธีสอน และกจิ กรรมและประสบการณ์
ที่หลากหลายทั้งในและนอกห้องเรียน และสอดคล้องกับสื่อและเนื้อหา ความรู้และทักษะของแต่ละ
กลมุ่ สาระการเรยี นรู้
การจดั การศึกษาในทัศนะและตามหลักธรรมทางพุทธศาสนา เป็นอกาลิโกสามารถปรับให้
เหมาะสมกับวิทยาการต่าง ๆ สามารถทำให้การศึกษาเป็นไปอย่างไม่สุดโต่งทางใดทางหนึ่ง หรือเป็น
ประโยชน์มหาศาลต่อโลก โดยไม่ละเลยความเป็นจริงของชีวิต การศึกษาจึงต้องมีทั้งการพัฒนาด้าน
กายภาพและจิตใจ เพอ่ื เปน็ การศกึ ษาอยา่ งเปน็ กระบวนการอยา่ งสมบรู ณ์
สรุปคุณสมบัติท่พี ระองคท์ ี่พระองค์ทรงใช้ในการสอน
๑) ทรงสอนสง่ิ ท่จี รงิ และเปน็ ประโยชนแ์ ก่ผู้ฟงั
๒) ทรงรู้และเข้าใจในสิ่งทส่ี อนอย่างถ่องแทส้ มบูรณ์
๓) ทรงสอนดว้ ยเมตตา มงุ่ ประโยชนแ์ กผ่ รู้ ับคำสอนเปน็ ท่ีตงั้
๔) ทรงทำไดจ้ รงิ อยา่ งที่สอน เป็นตัวอยา่ งท่ีดี
๕) ทรงมบี ุคลกิ ภาพโนม้ น้าวจิตใจใหเ้ ข้าใกล้ชิดสนทิ สนมและพึงพอใจไดค้ วามสุข
๖) ทรงมีหลกั การสอนและวิธสี อนที่ยอดเย่ียม ๔๙
๗.๑ สือ่ ทีพ่ ระพุทธองค์ทรงนำมาใช้
การใช้อุปกรณ์การสอนของพระพุทธองค์ทรงนำสิ่งต่างๆ รอบตัวตามธรรมชาติพบเหน็ อยู่
ทั่วไปในชีวิตประจำวันเป็นสื่อในการสอน เช่น ในครั้งประทับอยู่ที่ป่าสีสปวันใกล้เมืองโกสัมพี ๕๐
พระองค์ทรงสอนพระภิกษุทั้งหลายโดยใช้ใบประดู่เป็นอุปกรณ์ ทรงหยิบใบประดู่มากำมือแล้วถาม
พระภิกษุท้งั หลายวา่ ใบไม้ในปา่ กบั ในพระหตั ถท์ ไี่ หนมากกวา่ กนั ฯลฯ หรอื ทรงใช้การเทนำ้ ที่ละน้อยๆ
และใช้แว่นตาเปรียบเทียบจากรูปธรรมไปสู่นามธรรมให้พระราหุลซึ่งตอนนัน้ อายุ ๗ ขวบเข้าใจได้ ๕๑
และที่ทรงใช้ผ้าขาวประทานให้ท่านจูฬปันถก ลูบไปมาเพื่อสร้างแรงจูงใจในการเข้าสู่ธรรมะตามภูมิ
ธรรมของผเู้ รียนจนทา่ นจูฬปันถกบรรลุธรรมได้ ๕๒
๗.๒ การอปุ มาหรอื การเปรยี บเทยี บเพอื่ ส่อื ใหเ้ ขา้ ใจ
พระพุทธองค์ทรงนำสิ่งที่อยู่ตามธรรมชาติซึ่งเป็นรูปธรรมมาเปรียบเทียบกับสิ่งที่เป็น
นามธรรม จนเกิดความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง เช่นที่พระพุทธองค์ทรงนำความแก่ ความ
๔๙ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พุทธวิธีในการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๑๑, (กรุงเทพมหานคร:
สหธรรมิกจำกดั , ๒๕๔๙), หนา้ ๑๐-๓๒.
๕๐ ดรู ายละเอียดใน, ส.ํ ม. (ไทย) ๑๙/ ๑๗๑๒-๓/ ๕๔๘-๙๑.
๕๑ ดรู ายละเอียดใน, ม.ม. (ไทย) ๑๓/ ๑๒๕-๑.
๕๒ แสง จันทร์งาม, วิธีสอนของพระพุทธเจ้า, (กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๔๐),
หน้า ๔๐-๔๑.
๑๕๐
153
เจ็บ ความตายไปอุปมากับสิ่งต่าง ๆ ดังนี้ “เปรียบเสมือนว่า ภูเขาใหญ่ศิลาล้วนสูงจดฟ้า กลิ้งเข้ามา
รอบด้านทั้งสี่ทิศ บดขยี้สัตว์ทั้งหลายเสียฉันใด ความแก่และความตาย ก็ครอบงำสัตว์ทั้งหลายฉัน
น้นั ”๕๓ “ความตายความเจ็บไขแ้ ละความแก่ เป็นเหมือนไฟ ๓ กองทีค่ อยไล่ตาม, กำลงั ท่ีจะรับมือได้ก็
ไม่มี แรงที่จะวิ่งหนีก็ไม่พอฯ ๕๔ “อายุของมนุษย์ทั้งหลายน้อย สัตบุรุษพึงดูหมิ่นอายุที่น้อยนั้น,พึง
ประพฤติเหมือนดังถกู ไฟไหม้ศีรษะฯ” ๕๕ “รปู อุปมาเหมือนฟูมฟองแม่นำ้ เวทนาอุปมาเหมือนฟองน้ำ
ฝน สัญญาอุปมาเหมือนพยับแดด สังขารอุปมาเหมือนต้นกล้วย วิญญาณอุปมาเหมือนมายากลฯ”๕๖
“ทัง้ เดก็ ท้งั ผูใ้ หญ่ ท้ังบณั ฑิต ทงั้ คนมี ท้ังคนจน ล้วนเดนิ หนา้ ไปหาความตาย ทัง้ หมดภาชนะดินท่ีช่าง
ปั้นหม้อทำแล้ว ทั้งเล็กและใหญ่ ทั้งดิบและสุก ล้วนมีความแตกทำลายเป็นที่สุดฉันใด ชีวิตของสัตว์
ทั้งหลายก็มีความตายเป็นที่สุด ฉันนั้นฯ” ๕๗ “แท้จริงชายหรือหญิงก็ตาม ถึงยังหนุ่มยังสาวก็ตายได้.
ใครเล่าจะพึงวางใจในชวี ิตวา่ เรายังหนุ่มยังสาวอยู่ วันคืนเคลื่อนคล้อย อายุก็น้อยเข้าลงทกุ ที เหมือน
อายุปลาในท่ีน้ำงวด.ความเป็นหนมุ่ เปน็ สาวจะเป็นหลกั อะไรได้”๕๘
สรุปไดว้ ่า หลักการท้ังหมดของพระพุทธองคน์ ้ีสามารถนำมาประยกุ ตใ์ นการสร้างแรงจูงใจ
สำหรับการเผยแผ่ธรรม การชักจูงคนเข้าปฏิบัติธรรมในการเรียนการสอนเพ่ือให้เข้าถึงธรรมะใน
สังคมไทยปัจจุบันได้อย่างประเสริฐที่สุด เพราะสังคมที่มีธรรมะเป็นสังคมที่มีรากฐานแข็งแกร่งเป็น
สังคมไร้ทุกข์โทษ เป็นสังคมสะอาด และเป็นสังคมแห่งความละอายเกรงกลัวต่อความชั่ว กล่าวได้ว่า
ผลการทบทวนวรรณกรรมที่เกี่ยวข้องได้สรุป ดังน้ี ๑) สภาพการสอน คือ สภาพแวดล้อมภายใน
สถานศึกษา ทางกายภาพ เช่น ห้องเรียน ห้องสมุด ห้องโสตทัศนูปกรณ์ และทางชีวภาพ เช่น
บุคลิกภาพของเพื่อนความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และนักเรียน นักศึกษา ๒) พุทธวิธีการสอน คือ
ลีลาในการสอนของพระพุทธองค์เพื่อให้เกิดความแจ่มแจ้ง จูงใจ แกล้วกล้า และร่าเริง ๓) รูปแบบ
วิทยาการการสอน คือ การจัดเนื้อหาสาระ ฝึกทักษะกระบวนการคิด การจัดการ และการเผชิญหน้า
สถานการณ์ ฯลฯ และ ๔) การประยุกต์ทฤษฏีการสอน คือ การวิเคราะห์และสังเคราะห์ระหว่าง
พทุ ธวิธีการสอน และทฤษฏหี ลกั การทางตะวนั ตก
๕๓ ดรู ายละเอียดใน, สํ.ส. (ไทย) ๑๕/ ๔๑๕/ ๑๔๘.
๕๔ ดรู ายละเอียดใน, ข.ุ เถร. (ไทย) ๒๖/ ๓๕๙/ ๓๓๕.
๕๕ ดรู ายละเอียดใน, ขุ.ม. (ไทย) ๑๙/ ๔๙/ ๕๑.
๕๖ ดรู ายละเอียดใน, ส.ํ ข. (ไทย) ๑๗/ ๒๔๗/ ๑๗๔.
๕๗ ดรู ายละเอียดใน, ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/ ๑๐๘/ ๑๔๑.
๕๘ ดรู ายละเอียดใน, ข.ุ ชา (ไทย) ๒๘/ ๔๓๗-๔๔๑/ ๑๖๓-๕.
๑๕๑
154
สรุป
การสอนสังคมศึกษาตามแนวพระพุทธศาสนานั้น ถือว่าเป็นการเริ่มต้นอันเป็นจุดสำคัญ
มากอย่างหนึ่งการเริ่มต้นที่ดีมีส่วนช่วยให้การสอนสำเร็จผลดีเป็นอย่ างมากอย่างน้อยก็เป็นเครื่องดึง
ความสนใจ และนำเข้าสู่เนือ้ หาได้พระพทุ ธเจ้ามีวิธเี รม่ิ ตน้ ท่นี า่ สนใจมาก
ในการสอนสังคมน้ันโดยปกติพระองค์จะไมท่ รงเร่ิมสอนดว้ ยการเขา้ สูเ่ น้ือธรรมท่ีเดียว แต่
จะทรงเร่ิมสนทนากบั ผู้ทรงพบหรือผมู้ าเขา้ เฝ้าด้วยเรื่องท่เี ขารู้เข้าใจดหี รือสนใจอยู่ เชน่ พบพราหมณ์ก็
สนทนาเรื่องไตรเพท หรือเร่ืองธรรมของพราหมณ์ เมอื่ ทรงสนทนากับควานชา้ ง ก็ทรงเรม่ิ ตน้ วิธฝี กึ ชา้ ง
พบชาวนาก็สนทนาเรื่องทำนา บางทีทรงจ้ีจุดสนใจ หรือเหมือนสะกิดให้สะดุ้งเป็นการปลุกเร้าความ
สนใจ เช่น เมื่อเทศน์โปรดชฏิลผู้บูชาไฟ ทรงเริ่มต้นด้วยคำว่า “อะไรๆร้อยลุกเป็นไฟไปหมดแล้ว”
ต่อจากนั้นจึงถามและอธิบายต่อไปว่าอะไรร้อน อะไรลุกเป็นไฟ นำเข้าสู่ธรรมะ บางทีก็ใช้เรื่องที่เขา
สนใจหรือที่เขารู้นั่นเอง เป็นข้อสนทนาไปโดยตลอดแต่แทรกความหมายทางธรรมเข้าไว้ วิธีการตอบ
ปัญหา การสนทนา การชี้แนะ การสร้างแรงจูงใจ การสร้างกำลังใจและการอบรมสั่งสอนของ
พระพุทธเจ้ามหี ลายแบบอยา่ ง
ดังตัวอย่างจากหนังสือพุทธวิธีในการสอนของท่าน พระพรหมณ์คุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
พอสรุปได้ดังนี้แบบสากัจฉาหรือแบบสนทนา ทรงใช้กับผู้ที่ยังไม่เลื่อมใสศรัทธา ยังไม่รู้ไม่เข้าใจ
หลักธรรม พระพุทธเจ้าจะทรงเป็นผู้ถามนำเข้าสู่ความเข้าใจธรรมและทรงส่งเสริมให้สาวกสนทนา
ธรรมกันแบบบรรยาย ทรงใช้แสดงธรรมประจำวัน ที่มีผู้ฟังเป็นจำนวนมากซึ่งเป็นผู้มีพืน้ ความรู้ความ
เข้าใจเลื่อมใสศรัทธาอยู่แล้ว และทุกคนจะรู้สึกว่าพระพุทธองค์ตรัสกับตนโดยเฉพาะซึ่งเป็นความ
มหศั จรรย์อย่างหนง่ึ ของพระพุทธเจ้า แบบตอบปญั หา มที ัง้ ผ้สู งสัยในข้อธรรม ถามเพราะต้องการรู้คำ
สอน ถามเพื่อเทียบเคียงกับคำสอนในลัทธิของตน ผู้ที่จะมาลองภูมิมาข่มมาปราบให้จนหรือให้ได้รับ
ความอับอาย ในการตอบพระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาดูลักษณะของปัญหาและใช้วิธีตอบให้
เหมาะสมกัน พร้อมทั้งให้คำนึงถึงเหตุแห่งปัญหาด้วยแบบวางกฎข้อบังคับ เมื่อมีเหตุภิกษุกระทำผิด
จนมีผู้นำความกราบทลู พระพุทธเจ้า พระองคจ์ ะเรียกประชมุ สงฆ์ ตรัสสอบสวนหาความจรงิ พรอ้ มท้ัง
ตำหนิชี้โทษในการทำความผิดและประโยชน์ในการทำให้ถูกต้อง และทรงแสดงธรรมกถาที่สมควร
เหมาะสมกับเรื่องนั้นแล้วทรงบัญญัติสิกขาบท ตรัสให้สงฆ์ทราบถึงวัตถุประสงค์ โดยความเห็นพร้อม
กันของสงฆใ์ นท่ามกลางสงฆ์ และโดยรับทราบรว่ มกันของสงฆ์
หลักการทั้งหมดของพระพุทธองค์นี้สามารถนำมาประยุกต์ในการสร้างแรงจูงใจสำหรับ
การเผยแผ่ธรรม การชักจูงคนเข้าปฏิบัติธรรมในการเรียนการสอน เพื่อให้เข้าถึงธรรมะในสังคมไทย
ปัจจุบนั ไดอ้ ยา่ งประเสริฐที่สดุ เพราะสังคมที่มีธรรมะเป็นสังคมที่มีรากฐานแข็งแกร่งเป็นสังคมไร้ทุกข์
โทษ เป็นสังคมสะอาด และเปน็ สงั คมแห่งความละอายเกรงกลวั ตอ่ ความช่วั
๑๕๒
155
บุคลกิ ภาพของพระพทุ ธองค์ทรงดีพร้อมสูงสดุ ทุกอย่างที่มมี นุษย์พึงมีไดท้ ำให้สร้างศรัทธา
กับผ้พู บเม่อื ได้เห็นพระวรกายสง่างามของพระองค์เห็นพระอากัปกิรยิ างดงามฟังสรุ เสียงอนั ไพเราะจน
บรรลุจดุ ประสงคท์ ุกครงั้
การใช้วาจาของพระพุทธเจ้าจงึ มีพลังมากมายมหาศาลการใช้วาจาของพระพุทธองค์แต่ละ
ครง้ั จึงสำเร็จสมประสงค์ และเกิดประโยชน์ตอ่ ผู้ฟังและสังคมในสมัยพทุ ธกาลอยา่ งกว้างใหญไ่ พศาล มี
ผลมาจนกระท่งั จวบจนปัจจุบนั นี้
๑๕๓
156
เอกสารอา้ งองิ ประจำบท
กรมยุทธศึกษาทหารบก กองอนุศาสนาจารย์. พุทธศาสตร์ ฉบับก้าวหน้า. กรุงเทพมหานคร : โรง
พมิ พ์มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, ๒๕๔๕.
ปิ่น มุทุกันต์. ประมวลศัพท์ ๖ ศาสนา. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพมหานคร : นิตยสารคลังสมอง,
๒๕๓๔.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). .ธรรมกับการศึกษาของไทย. กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหา
จุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๓๒.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). .ปรัชญาการศึกษาไทย. กรุงเทพมหานคร : บริษัทสหธรรมิก
ฉบับแก้ไขรวบรวมใหม่ จำกัด, ๒๕๓๙.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). .พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑
กรุงเทพมหานคร: ๒๕๓๙.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). .พุทธธรรม ฉบับปรังปรุงและขยายความ. พิมพ์ครั้งที่ ๖.
กรงุ เทพมหานคร : มหาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๔๖
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). .พุทธวิธีในการสอน. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. กรุงเทพมหานคร :
สหธรรมิก จำกดั , ๒๕๓๙.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). .พุทธวิธีในการสอน. พิมพ์ครั้งที่ ๑๑. กรุงเทพมหานคร:
สหธรรมิก จำกัด, ๒๕๔๙.
พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต). การศึกษาเพื่อการอบรมที่ยั่งยืน. กรุงเทพมหานคร : บริษัท
สหธรรมกิ จำกดั , ๒๕๓๙.
พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป.อ. ปยุตโฺ ต). พระพุทธศาสนากับการพฒั นาสังคม. กรุงเทพมหานคร : บรษิ ทั
สหธรรมิก จำกดั ม, ๒๕๓๙.
พระมหาจรรยา สุทธญิ าโณ. พุทธปัญญากบั การศกึ ษา สถาบนั ปัญญานันทะ ในมูลนิธิภิกขุปัญญานัน
ทะ.กรงุ เทพมหานคร : ธรรมสภา, ๒๕๓๘.
พระวิเทศพรหมคุณ และคณะ. พทุ ธวธิ ีกับการสอนสังคมศึกษา. กรงุ เทพมหานคร : บรษิ ทั จรัลสนิท
วงศ์การพิมพ์ จำกัด, ๒๕๖๒.
พุทธทาสภิกขุ. การศกึ ษาทสี่ ามารถกำจัดความเห็นแก่ตัว. กรงุ เทพมหานคร : สำนกั พิมพ์ธรรมบูชา.
๒๕๓๒.
พุทธทาสภิกขุ. คือดวงประทีปของโลก, ที่ระลึกในงานเกษียณอายุราชการของอาจารย์เบญจะเจริญ
ผล. โรงเรียนชลกันยากูล จังหวัดชลบุรี.
มหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลยั .
๑๕๔
157
ราชบัณฑิตยสถาน. พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน. กรุงเทพมหานคร : อักษรเจริญทัศน์,
๒๕๔๒.
สมเด็จพระญาณสังวร (เจริญ สุวฑฺฒโน). ๔๕ พรรษาของพระพุทธเจ้า ฉบับรวมเล่ม. พิมพ์ครั้งที่ ๓
กรุงเทพมหานคร : มหามกุฏราชวิทยาลยั จำกัด, ๒๕๓๙.
สิริวรรณ ศรีพหล. การจัดการเรียนการสอนวิชาพระพุทธศาสนาในสถานศึกษา. นนทบุรี :
สำนักพมิ พม์ หาวทิ ยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, ๒๕๕๘.
สุชีพ ปุญญานุภาพ. คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา. กรุงเทพมหานคร : องค์การค้าคุรุสภา,
๒๕๐๖.
สุมน อมรวิวัฒน์. การสอนโดยสร้างการศรัทธาและโยนิโสมนสิการ. คณะครุศาสตร์จุฬาลงกร
มหาวิทยาลัย.กรุงเทพมหานคร : โครงการตำราคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย,
๒๕๓๐.
แสง จันทร์งาม. วธิ ีสอนของพระพุทธเจ้า. กรงุ เทพมหานคร : มหามกฏุ ราชวิทยาลยั , ๒๕๔๐.
บทท่ี ๗
การนำพทุ ธวิธมี าประยกุ ตใ์ ชใ้ นการสอนสังคมศกึ ษา
ความนำ
วิธสี อนแบบพระพุทธเจา้ ในทางพระพุทธศาสนานอกจากมหี ลกั ธรรมอนั ประเสริฐเพ่ือการ
พัฒนาให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แล้ว พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีสอนที่หลากหลาย เน้นให้เรียนรู้ด้วยการ
ปฏบิ ัติด้วยตนเอง เรียกไดว้ ่าเปน็ การเรียนรู้แบบพุทธ มีวตั ถุประสงค์เพ่อื การลดความเหน็ แก่ตวั เพ่ือ
การอยรู่ วมกนั อย่างสนั ติ ระหวา่ งมนษุ ยก์ บั มนุษย์ และมนุษยก์ บั สง่ิ แวดลอ้ ม กระบวนการเรยี นรู้เป็น
การเรยี นรู้ จากประสบการณ์ กจิ กรรม และการทำงานในวถิ ชี วี ิต
พระพทุ ธเจ้าทรงมวี ธิ ีการสอนอนั ชาญฉลาด เมอื่ พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศาสนาจบ
ลงมักมีผู้สรรเสริญพระธรรมเทศนาเสมอว่า แจ่มแจ้งจริงพระองค์ ผู้เจริญแจ่มแจ้งจริง พระธรรม
เทศนาของพระองค์เหมือนหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางแก่คนหลงทาง ส่องประทีปใน
เมืองให้คนท่มี ีจักษุเหน็ รปู พระองค์ทรงใชว้ ิธกี ารสอนที่หลากหลายตามแต่ระดับสติปัญญาของผู้เรียน
และในการสอนแตล่ ะครง้ั พระพุทธเจา้ ทรงคำนงึ ถงึ ความแตกต่างระหวา่ งบุคคล
พุทธวิธีการสอน วิธีการที่พระพุทธเจ้าทรงสอนพุทธบริษัท คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก
อุบาสิกา การนำเอาหลักคำสอนและวิธีการสอนของพระพุทธเจ้ามาใช้ในการจัดการเรียนการสอน
จึงมีความเหมาะสมอย่างย่งิ ซ่ึงพุทธวิธีในการสอนมีอยู่หลายวธิ ี ได้แก่ การสอนแบบบรรยาย แบบ
ไตรสิกขา แบบธรรมสากัจฉา แบบอริยสัจสี่ แบบปุจฉาวิสัชนา และแบบสืบสวนสอบสวน ตาม
แนวพทุ ธศาสตร์ ดังจะไดอ้ ธบิ ายดงั ตอ่ ไปน้ี
๑๕๖
160
๑. ความรทู้ ั่วไปเกี่ยวกับวธิ กี ารสอนของพระพุทธเจ้า
พระพุทธเจ้าได้รับยกย่องว่า ทรงเป็น “พระบรมครู” หรือ “ศาสดาเอก”๑ ในโลก
เพราะพระองคท์ รงมีวธิ สี อนทีด่ ีเยย่ี ม ทำให้ผ้ฟู งั เข้าใจแจม่ แจง้ มคี ำกล่าววา่ ถ้าพระพุทธองค์ทรงตัดสิน
พระทัยจะแสดงธรรมโปรดใครเขาผู้นั้นย่อมได้บรรลมุ รรคผลไม่ระดับใดก็ระดบั หน่ึง๒ วิธีการสอนของ
พระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าเมื่อจะทรงสอนใครแต่ละครั้งพระองค์ก็ทรงอาศัยองค์ประกอบหลาย ๆ
อย่างในการสอนบุคคลระดบั ตา่ ง ๆ ทีม่ ีพ้ืนฐานความรูส้ ตปิ ัญญา ทแ่ี ตกตา่ งกนั พระองค์ได้ประยุกต์คำ
สอนแตล่ ะลกั ษณะให้มคี วามเหมาะสมเป็นการสอนท่ีแสดงถึงพทุ ธลลี าของพระองค์ ทส่ี ำคญั การสอน
ในลักษณะนี้ของพระองค์เป็นการนำเนื้อหาที่มีอยู่มาทำการตีความ โดยอาศัยข้อมูลที่มีอยู่ตาม
สถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แล้วนำเข้าสู่หลักการที่ถูกต้องตามคำสอน ทางพระพุทธศาสนาจาก
การศึกษาค้นคว้าแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับพุทธวิธีการสอนมีผู้ให้ความคิดเห็นเกี่ยววิธีการสอนของ
พระพุทธเจา้ ไวด้ งั น้ี
กรมวชิ าการ ไดก้ ลา่ วไว้ว่า วธิ ีการสอนของพระพุทธเจา้ มี วธิ ดี งั ตอ่ ไปน้ี
๑. แบบสากัจฉา หรือสนทนา วิธีนี้น่าจะเป็นวิธีที่ทรงใช้บ่อยไม่น้อยกว่าวิธีใด ๆ
โดยเฉพาะในเมื่อผู้มาเฝ้าหรอื ทรงพบนั้น ยังไม่ได้เลื่อมใสศรัทธาในพระพุทธศาสนา ยังไม่รู้ ไม่เข้าใจ
หลักธรรมในการสนทนา พระพุทธเจ้ามักจะทรงเป็นฝ่ายถามนำคู่สนทนาเข้าสู่ความเข้าใจธรรมและ
ความเลื่อมใสศรัทธาในทีส่ ุด แม้ในหมู่พระสาวกพระองค์ก็ทรงใช้วิธีนี้ไม่นอ้ ยและทรงส่งเสริมให้สาวก
สนทนาธรรมกัน อย่างในมงคลสูตรว่า “กาเลน ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ – การสนทนาธรรม
ตามกาล เป็นมงคลอันอุดม” ดงั นี้
๒. แบบบรรยายวิธีสอนแบบนี้น่าจะทรงใช้ในที่ประชุมใหญ่ในการแสดงธรรมประจำวัน
ซ่ึงมีประชาชนหรือพระสงฆจ์ ำนวนมากและส่วนมากเป็นผ้มู ีพ้นื ฐานความรู้ความเข้าใจเพ่มิ เติม และหา
ความสงบสุขทางจิตใจนบั ไดว้ ่าเปน็ คนประเภทและระดับใกล้เคียงกันพอจะใช้วิธีบรรยายอันเป็นแบบ
กว้าง ๆ ได้ ลกั ษณะพเิ ศษของพุทธวธิ ีสอนแบบน้ีที่พบในคัมภีร์บอกวา่ ทกุ คนที่ฟงั พระองค์แสดงธรรม
อยู่ในที่ประชุมนั้น แต่ละคนรู้สึกว่า พระพุทธเจ้าตรัสอยู่กับตัวเองโดยเฉพาะ ซึ่งนับว่าเป็น
ความสามารถอัศจรรย์อกี อยา่ งของพระพทุ ธเจ้า
๓. แบบตอบปัญหา ผู้ที่มาถามปัญหานั้น นอกจากผู้ที่มีความสงสัยข้องใจในข้อธรรมต่าง
ๆ แลว้ โดยมากเปน็ ผู้นบั ถอื ลัทธิศาสนาอน่ื บา้ งก็มาถามเพื่อต้องการรู้คำสอนทางฝา่ ยพระพุทธศาสนา
หรือเทียบเคียงคำสอนในลัทธิตนบ้างก็ถามเพื่อลองภูมิบ้างก็เตรียมมาถามเพื่อข่มปราบให้จนหรือให้
๑ ที.ส.ี (ไทย) ๙/๑๙๘/๑๖๑
๒ คณาจารย์ มหาวิทยาลยั มหาจฬุ าลงกรณราชวทิ ยาลัย, พุทธปรชั ญาการศึกษา, (พระนครศรีอยุธยา
: โรงพิมพ์มหาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๖), หน้า ๑๒๕.
๑๕๗
161
ได้รับความอับอายในการตอบพระพุทธองค์ทรงสอนให้พิจารณาดูลักษณะของปัญหาไว้ตาม ลักษณะ
วิธีตอบเป็น ๔ อยา่ ง๓ คือ
๓.๑. เอกังสพยากรณียปัญหา ปัญหาที่พึงตอบตรงไปตรงมาเด็ดขาดพระอรรถ
กถาจารย์ยกตวั อยา่ งเชน่ ถามวา่ “จกั ษุเปน็ อนิจจังหรอื ”พงึ ตอบตรงไปได้ทีเดียววา่ “ถูกแลว้ ”
๓.๒. ปฎิปุจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาที่พึงย้อนถามแล้วจึงแก้ ท่านยก
ตัวอย่างเช่นเขาถามว่า“โสตะก็เหมือนจักษุหรือ”พึงย้อนถามก่อนว่า“ที่ถามนั้นหมายถึงในแง่ใด”
ถ้าเขาว่า “ในแง่เป็นเครื่องมองเห็น” พึงตอบว่า “ไม่เหมือน” ถ้าเขาว่า “ในแง่เป็นอนิจจัง”
จึงตอบรบั วา่ “เหมือน”
๓.๓. วิภัชชพยากรณยี ปัญหา ปัญหาที่จะต้องแยกความตอบ เช่น เมื่อเขาถามว่า
สิ่งที่เป็นอนิจจังได้แก่ จักษุใช่ไหม ? พึงแยกความออกตอบว่า ไม่เฉพาะจักษุเท่านั้น ถึงโสตะ ฆานะ
ฯลฯก็เปน็ อนิจจัง หรือปัญหาวา่ พระตถาคตตรัสวาจาซ่ึงไม่เปน็ ที่รักทชี่ อบใจของคนอนื่ ไหม ? ก็ต้อง
แยกตอบตามหลกั การตรสั วาจา ๖ หรือปัญหาว่าพระพุทธเจ้าทรงตเิ ตียนตบะทั้งหมดจริงหรอื ก็ต้อง
แยกตอบว่าชนิดใดติเตียนชนิดใดไมต่ ิเตียน๔ ดงั นี้เปน็ ตน้
๓.๔. ฐปนียปัญหา ปัญหาที่พึงยับยั้งเสีย ได้แก่ ปัญหาที่ถามนอกเรื่อง
ไร้ประโยชน์อันจักเป็นเหตุให้เขวยืดเยื้อสิ้นเปลืองเวลาเปล่า พึงยับยั้งเสียแล้วชักนำผู้ถามกลับเข้าสู่
แนวเรื่องที่ประสงค์ต่อไป ท่านยกตัวอย่าง เมื่อถามว่า “ชีวะอันใดสรีระก็อันนั้นหรือ ?” อย่างนี้เป็น
คำถาม ประเภทเก็งความจริง ซึ่งถึงอธิบายอย่างไรผู้ถามก็ไม่อาจเข้าใจ เพราะไม่อยู่ในฐานะที่เขา
จะเขา้ ใจได้พิสูจนไ์ ม่ได้ ทง้ั ไมเ่ กิดประโยชนอ์ ะไรแก่เขาดว้ ย๕
นอกจากน้ี ทา่ นยังสอนให้คำนึงถึงเหตุแห่งการถามปัญหาด้วยในเร่ืองนี้พระสารีบุตร อัคร
สาวก เคยแสดงเหตุแห่งการถามปัญหาไว้ว่า “บุคคลผู้ใดผู้หนึ่ง ย่อมถามปัญหากะผู้อื่น ด้วยเหตุ ๕
อย่าง คอื
๑) บางคนยอ่ มถามปัญหาเพราะความโง่เขลา เพราะความไมเ่ ขา้ ใจ
๒) บางคนมีความปรารถนาเลวทราม เกิดความอยากได้จึงถามปญั หา
๓) บางคนย่อมถามปัญหา ด้วยต้องการอวดเดน่ ขม่ เขา
๔) บางคนยอ่ มถามปัญหาดว้ ยประสงค์จะรู้
๕) บางคนย่อมถามปัญหาดว้ ยมีความดำรวิ ่า เมือ่ เราถามแล้ว เขาตอบได้ถูกต้องก็เป็น
การดี แตถ่ า้ เราถามแลว้ เขาตอบไม่ถกู ต้อง เราจะไดช้ ่วยแกใ้ ห้เขาโดยถกู ตอ้ ง”๖
๓ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๐๔
๔ องฺ.ทสก. (ไทย) ๒๑/๙๔/๒๒๐.
๕ ที.ปา. (ไทย) ๑๑/๓๑๒/๒๙๑, องฺ.จตกุ กฺ . (ไทย) ๒๑/๔๒/๗๐.
๖ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๖๕/๒๗๒.
๑๕๘
162
๔. แบบวางกฎข้อบังคับ เม่ือเกิดเรื่องมีภิกษุกระทำความผิดอย่างใดอย่างหน่ึงขึ้นเป็นคร้ัง
แรก พระสงฆ์หรือประชาชนเล่าลือ โพนทะนา ติเตียนกันอยู่มีผู้นำความมากราบทูลพระพุทธเจ้า
พระองค์ก็จะทรงเรียกประชุมสงฆส์ อบถามพระภิกษุผู้กระทำความผิด เมื่อเจ้าตัวรับได้ความเป็นสตั ย์
จริงแล้ว ก็จะทรงตำหนิ ชี้แจงผลเสียหายที่เกิดแก่ส่วนรวมพรรณนาผลร้ายของความประพฤติไม่ดี
และคณุ ประโยชน์ของความประพฤติที่ดงี าม แล้วทรงแสดงธรรมกถาทส่ี มควรเหมาะสมกนั กบั เร่ืองน้ัน
จากนั้นจะตรัสให้สงฆ์ทราบว่าจะทรงบัญญัติสิกขาบท โดยทรงแถลงวัตถุประสงค์ในการบัญญัติ
ให้ทราบแล้วทรงบัญญัติสิกขาบทข้อนั้นๆ ไว้ โดยความเห็นชอบพร้อมกันของสงฆ์ในท่ามกลางสงฆ์
และโดยความรับทราบร่วมกันของสงฆ์๗
ในการสอนแบบนี้ พึงสังเกตว่าพระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกขาบทโดยความเห็นชอบของ
สงฆ์ ซ่ึงบาลใี ชค้ ำวา่ “สงฺฆสุฏชตุ าย” แปลว่า “เพ่อื ความรับว่าดแี ห่งสงฆ์” ทา่ นอธบิ าย ความหมายว่า
ทรงบัญญัติโดยชี้แจงให้เห็นแล้วว่าถ้าไม่รับจะเกิดผลเสียอย่างไร เมื่อรับจะมีผลดี อย่างไร จนสงฆ์
รับคำของพระองค์ว่า ดีแล้ว ไม่ทรงบังคับเอาโดยพลการ๘ โดยการสอนของพระพุทธเจ้าแต่ละครั้งจะ
ดำเนินไปจนถึงผลสำเร็จโดยมีคุณลกั ษณะที่เรยี กได้ว่าเป็นลลี าการสอน ๔ อยา่ งดังน้ี
๑) สันทสั สนา๙อธบิ ายใหเ้ ห็นชดั เจน แจ่มแจง้ เหมอื นจงู มือไปดูใหเ้ ห็นกับตา
๒) สมาทปนา ชักจูงให้เห็นจริง ชวนใหค้ ล้อยตาม จนตอ้ งยอมรบั และนำไปปฏิบัติ
๓) สมุตเตชนา เร้าใจให้แกล้วกล้า บังเกดิ กำลงั ใจ ปลกุ ใหม้ อี ตุ สาหะแขง็ ขัน ม่ันใจว่าจะทำ
ให้สำเรจ็ ได้ ไมห่ ว่ันและย่อทอ้ ต่อความเหนอ่ื ยยาก
๔) สัมปหังสนา ชโลมใจให้แช่มชื่น ร่าเริง เบิกบาน ฟังไม่เบื่อและเป่ียมด้วยความหวัง
เพราะมองเห็นประโยชน์ที่ตนจะพึงได้รับจากการปฏิบัติ อาจผูกเป็นคำสั้น ๆ ได้ว่า แจ่มแจ้ง จู งใจ
กล้าหาญ รา่ เรงิ หรือ ช้ีชดั เจรญิ ธรรม ฝกึ คิด เบิกบาน๑๐
ลักษณะการสอนของพระพุทธเจา้ แบง่ ออกเป็น ๓ ลักษณะดังน้ี
๑) ทรงสั่งสอนโดยการปฏิวัติ เป็นการ “เปลี่ยน” หลักคำสอนดั้งเดิมของศาสนาพื้นเมือง
อย่างกลับหน้ามือเป็นหลังมือ เช่น ศาสนาพราหมณ์สอนให้ฆ่าสัตว์บูชายัญแต่พระพุทธเจ้ากลับให้มี
ความเมตตากรุณาต่อสัตว์แทน หรือการสอนให้ทรมานตนในการปฏิบัติ เพื่อบรรลุคุณธรรมชั้นสูง
๗ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต), พุทธวิธีในการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๑๘, (กรุงเทพมหานคร :
บริษทั พมิ พ์สวย จำกดั , ๒๔๔๖), หนา้ ๕๑.
๘ กรมวิชาการ, การจัดสาระการเรียนพระพุทธศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
พระพทุ ธศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๑), หนา้ ๑๗๙ - ๑๘๑.
๙ ท.ี ส.ี (ไทย) ๙/๑๙๘/๑๖๑
๑๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยุตโต), พุทธวธิ ีในการสอน, พมิ พค์ ร้งั ท่ี ๑๘, หนา้ ๔๖.
๑๕๙
163
พระพุทธเจ้าทรงทดลองมาแล้วเห็นว่า ไม่ใช่ทางตรัสรู้ ทรงสอนให้ใช้วิธีอื่นที่เรียกว่า ทางสายกลาง
เปน็ การอบรมกายวาจาใจในทางประพฤตปิ ฏิบัตทิ ่ชี อบแทน เป็นต้น
๒) ทรงสัง่ สอนโดยการปฏิรปู เป็นการสอนโดยวิธคี ัด “แปลง” ของเก่าท่ียังไม่ดีให้ดีขึ้นหรือ
ของเก่ามีความหมายอย่างหนึ่ง แต่นำมาแปลความหมายเสียใหม่เพื่อให้ตรงกับหลักเหตุผลย่ิงข้ึนเชน่
ศาสนาพราหมณ์สอนให้ลงอาบน้ำในแม่น้ำศักดิ์สิทธิ์แล้ว จะบริสุทธิ์จากบาปได้ แต่พระพุทธศาสนา
สอนให้ตั้งอยู่ในศีล อันเป็นการอาบที่ตัวไม่เปยี ก แต่ทำให้บริสุทธ์ิสะอาดไดด้ ีกว่านำ้ ศักดิ์สทิ ธิ์ หรือคำ
สอนเรื่องพราหมณ์ว่า เป็นผู้ประเสริฐโดยชาติกำเนิด คือ เกิดจากมารดาบิดาอยู่ในวรรณะพราหมณ์
แต่พระพุทธเจ้าทรงอธิบายใหม่ว่า คนเราไม่เป็นพราหมณ์หรือผู้ประเสริฐเพราะชาติสกุล แต่เป็นผู้
ประเสรฐิ เพราะการกระทำหรือความประพฤติ เปน็ ต้น
๓) ทรงสั่งสอนโดย “ตั้งหลักขึ้นใหม่” ที่ยังไม่มีสอนในที่อื่น แต่ทรงสอนไปตามหลัก
สัจธรรมท่ีทรงค้นพบ ดังจะเหน็ ในเรอ่ื งหลกั ธรรมเรื่องความพ้นทุกข์ท่ีเรียกว่า อรยิ สัจ ๔ ประการ เป็น
หลกั ธรรมท่ีตั้งขน้ึ ใหมอ่ นั แสดงไวช้ ดั ท้งั เหตุและผล คอื การจะพน้ ทกุ ขก์ ต็ อ้ งร้วู า่ อะไรเป็นตัวความทุกข์
อะไรเป็นเหตุของความดับทุกข์ และการดับความทุกข์คือ ดับอะไร ทำอย่างไร หรือปฏิบัติอย่างไร
จงึ จะดับทกุ ข์ได้ เป็นตน้ ๑๑
สรปุ ได้ว่า วธิ กี ารสอนของพระพทุ ธเจา้ คือ แบบสากจั ฉา หรือสนทนา แบบบรรยาย แบบ
ตอบปัญหา แบบวางกฎข้อบังคับ หลักการสอนของพระพุทธเจ้าดังกล่าวมาน้ี แสดงให้เห็นถึงพระ
ปรีชาสามารถในการสอนของ พระองค์ได้อย่างชัดเจน สามารถสรุปการสอนของพระพุทธเจ้าได้ว่า
“พระพุทธเจ้าทรงมีวิธีสอนอันชาญฉลาด เมื่อพระองค์แสดงพระธรรมเทศนาจบลง ผู้ฟังจะสรรเสรญิ
เสมอว่า แจ่มแจ้งจริง พระองค์ผู้เจริญ แจ่มแจ้งจริง พระธรรมเทศนาของพระองค์เสมือนหงายของที่
คว่ำ บอกหนทางแก่คนหลงทาง สอ่ งประทีปในท่ีมืดให้คนมีจักษุไดเห็นรูป...”จึงสมควรอย่างย่ิงท่ีผู้ทำ
หน้าที่ในการสอนจะได้ศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับหลักการสอนของพระพุทธเจ้า พร้อมกับ
ยดึ ถอื เป็นหลกั ปฏบิ ัติ๑๒ ต่อไป
๒. แนวคดิ เก่ยี วกับเนอื้ หาหรือเร่อื งทส่ี อน
เรื่องที่จะทำการสอนมีความสำคัญอย่างยิ่ง คนที่จะสอนคนอื่นต้องรู้ว่าจะเอาเรื่องอะไรมา
สอน ตอ้ งรเู้ น้ือหาหรอื เร่ืองท่ีจะสอนใหเ้ ขา้ ใจอยา่ งกระจ่างแจ้งก่อน และตอ้ งคิดก่อนว่า จะเอาอะไรไป
๑๑ สุชีพ ปุญญานุภาพ, คุณลักษณะพิเศษแห่งพระพุทธศาสนา, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์มหาม
กุฏราชวิทยาลัย, ๒๕๓๓), หนา้ ๑๓-๑๕.
๑๒ วศิน อินทสระ, พุทธวิธีการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เม็ดทราย, ๒๕๔๕),
หนา้ ๑๕.
๑๖๐
164
สอน ในข้อนี้ผู้สอนควรได้คำนึงถึงหลักการสอนของพระพุทธเจ้าที่เกี่ยวกับเนื้อหาหรือเรื่องที่สอน
ซง่ึ สามารถนำมาประยกุ ต์ใชเ้ ป็นแนวทางในการสอนได้ดังน้ี
๑. สอนจากสิ่งท่รี ู้เหน็ เข้าใจงา่ ยหรือรเู้ หน็ เข้าใจอยแู่ ลว้ ไปหาสิง่ ทีเ่ ห็นเขา้ ใจยากหรือยังไม่รู้
ไมเ่ ห็นไม่เข้าใจตวั อย่างทีเ่ ห็นชัดคือ อริยสัจซึ่งทรงเริ่มสอนจากความทุกข์ ความเดอื ดรอ้ น ปัญหาชีวิต
ที่คนมองเห็นและประสบการณ์อยู่โดยธรรมดารู้เห็นประจักษ์กันอยู่ทุกคน แล้วต่อจากนั้น จึงสาวหา
สาเหตทุ ีย่ ากลกึ ซึ้งและทางแกไ้ ขต่อไป
๒. สอนเนื้อเรื่องที่ค่อยสุ่มลึกยากลงไปตามลำดับขั้น และความต่อเนื่องกันเป็นสาย ลงไป
อย่างที่เรียกว่า การสอนตามหลักอนุปุพพิกถา๑๓ ซึ่งมีเนื้อหาเจาะลึกลงตามลำดับ กล่าวคือ ทานกถา
พูดเรื่องทาน สีลกถา พูดเรื่องศีล สัคคกถา พูดเรื่องสวรรค์ กามาฑีนวกถา พูดเรื่องโทษของกาม และ
เนกขัมมกถา พดู เรอ่ื งการออกจากกาม ไตรสิกขา พทุ ธโอวาท ๓ เปน็ ตน้
๓. ถา้ ส่งิ ท่สี อนเป็นสิ่งท่ีแสดงได้ก็สอนดว้ ยของจริงให้ผู้เรียนได้ดู ไดเ้ ห็น ได้ฟังเอง อย่างท่ี
เรียกว่าประสบการณ์ตรงเช่น ทรงสอนพระนนั ทะทคี่ ิดถงึ คู่รักคนงาม ดว้ ยการทรงพาไปชมนางฟ้านาง
อัปสรเทพธิดาให้เห็นกับตา เรื่องอาจารย์ทิศาปาโมกข์ให้หมอชีวกทดสอบตัวเอง๑๔ เรื่องนามสิทธิ
ชาดก๑๕ หรืออย่างที่ใหพ้ ระเพง่ ดคู วามเปลย่ี นแปลงของดอกบวั เปน็ ตน้
๔. สอนตรงเนื้อหา ตรงเรื่อง คุมอยู่ในเรื่อง มีจุด ไม่วกวน ไม่ไขว้เขว ไม่ออกนอก เรื่อง
โดยไม่มอี ะไรเกยี่ วขอ้ งในเนอื้ หา
๕. สอนมีเหตุผล ผู้ฟงั ตรองตามเหน็ จริงได้ อยา่ งที่เรยี กวา่ สนทิ านํ
๖. สอนเท่าที่จำเปน็ พอดีสำหรับให้เกดิ ความเข้าใจ ใหก้ ารเรียนรไู้ ดผ้ ลไม่ใชส่ อน เท่าท่ตี น
รู้หรือสอนแสดงภูมิว่าผู้สอนมีความรู้มากเหมือนอย่างที่พระพุทธเจ้าเมื่อประทับอยู่ในป่าประดู่ลาย
เมืองโกสัมพีได้ทรงหยิบใบไม้ประดู่ลายเล็กน้อยใส่กำพระหัตถ์แล้วตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่าใบประดู่
ลายในพระหัตถ์กับในป่าไหนจะมากกว่ากนั ภิกษทุ ้ังหลายทูลวา่ ในป่ามากกวา่ จงึ ตรัสว่า สิ่งท่ีพระองค์
ตรสั ร้แู ตม่ ไิ ดท้ รงสอนเหมือนใบประดู่ลายในป่าสว่ นทที่ รงสงั่ สอนน้อยเหมือน ใบประด่ลู ายในพระหัตถ์
และทรงแสดงเหตุผลในการที่มิได้ทรงสอนทั้งหมดเท่าที่ตรัสรู้ว่าเพราะสิ่ง เหล่านั้นไม่เป็นประโยชน์
มิใช่หลกั การดำเนินชีวิตอันประเสริฐไม่ชว่ ยให้เกิดความรถู้ กู ตอ้ งนำไปสจู่ ุดหมายคือ นิพพานได๑้ ๖
๗. สอนสิง่ ทม่ี ีความหมาย ควรที่เขาจะเรียนรู้และเขา้ ใจ เป็นประโยชน์แกต่ วั เขาเอง อย่าง
พุทธพจน์ที่ว่า พระองค์ทรงมีพระเมตตา หวังประโยชน์แก่สตั วท์ ั้งหลาย จึงตรัสพระวาจาตามหลกั ๖
ประการ คอื
๑๓ สํ.สฬา. (ไทย) ๑๘/๓๒๓/๒๒๕.
๑๔ วิ.ม. (ไทย) ๕/๑๒๙/๔๗๒.
๑๕ ข.ุ ชา. (ไทย) ๒๗/๙๗/๓๙
๑๖ สํ.ม. (ไทย) ๑๙/๑๑๐๑/๖๑๓
๑๖๑
165
๑) คำพดู ทไี่ ม่จริง ไมถ่ กู ต้อง,ไม่เปน็ ประโยชน์,ไมเ่ ปน็ ทรี่ กั ที่ชอบใจของ ผู้อน่ื - ไม่ตรัส
๒) คำพูดทจ่ี ริง ถกู ต้อง,แต่ไม่เป็นประโยชน์,ไมเ่ ปน็ ทีร่ ักท่ชี อบใจของผู้อื่น - ไมต่ รัส
๓) คำพูดท่จี รงิ ถูกตอ้ ง,เปน็ ประโยชน,์ ไมเ่ ป็นทีร่ ักทีช่ อบใจของผู้อน่ื – เลือกกาลตรสั
๔) คำพดู ที่ไม่จริง ไม่ถกู ตอ้ ง,ไมเ่ ปน็ ประโยชน,์ ถงึ เปน็ ที่รักทีช่ อบใจของ ผู้อ่ืน-ไมต่ รัส
๕) คำพดู ทีจ่ รงิ ถูกต้อง,แตไ่ ม่เปน็ ประโยชน์,ถงึ เป็นท่ีรกั ที่ชอบใจของ ผู้อนื่ -ไมต่ รสั
๖) คำพูดทจ่ี รงิ ถูกต้อง,เป็นประโยชน,์ เปน็ ทีร่ กั ที่ชอบใจของผู้อนื่ –เลอื กกาลตรัส๑๗
ลักษณะของพระพุทธเจ้าในเรื่องนี้คือ ทรงเป็นกาลวาที สัจจวาที ภูตวาที อัตถวาที
ธรรมวาที วินยั วาที๑๘
๓. แนวคดิ เก่ียวกบั เกยี่ วกับตวั ผูเ้ รยี นตามหลกั พุทธวธิ ี
หลกั การสอนของพระพุทธเจ้าท่เี กีย่ วกับตวั ผ้เู รียน ทผี่ ู้สอนควรยึดเปน็ แนวทางในการสอน
มีดงั นี้
๑. รู้ คำนึงถึงและสอนให้เหมาะตามความแตกต่างระหว่างบุคคล อย่างในทศพลญาณขอ้
๕ และ ๖ ผู้เรียนมีความชอบ ความสนใจไม่เหมือนกัน และต้องรู้จุดอ่อนและจุดแข็งของ ผู้เรียน ใน
การสอนต้องคำนึงถึงอุปนิสัย เป็นพื้นเพของจิต หรือพฤติกรรม ซึ่งหนักไปทางใดทางหนึ่งเป็นปกติ
ประจำ เรียกว่า จรติ หรอื จริยา ๖ อย่าง ไดแ้ ก่
๑) ราคจริต ผมู้ รี าคะเปน็ ความประพฤติปกติ
๒) โทสจรติ ผมู้ ีโทสะเป็นความประพฤติปกติ
๓) โมหจรติ ผู้มโี มหะเป็นความประพฤติปกติ
๔) วติ กจรติ ผมู้ ีวติ กเปน็ ความประพฤติปกติ
๕) ศรัทธาจรติ ผู้มีศรัทธาเป็นความประพฤตปิ กติ
๖) พุทธจิ ริต ผู้มคี วามรู้เปน็ ความประพฤตปิ กติ๑๙
และรู้ระดับความสามารถของบุคคล มนุษย์มีธรรมชาติแตกต่างกัน หลักคำสอนทาง
พระพุทธศาสนาจงึ แบง่ ประเภทบคุ คลตามธรรมชาติ โดยเปรยี บเทียบกับบวั ๔ เหลา่ คอื
๑) อุคฆฏิตัญญู ผู้รู้เข้าใจได้ฉับพลัน แค่พอยกหัวข้อขึ้นแสดงเท่านั้น เปรียบเหมือน
ดอกบัวอยเู่ หนือน้ำพอถกู แสงอาทติ ย์ก็บาน ณ วนั นน้ั
๑๗ ม.ม. (ไทย) ๑๓/๘๖/๘๗
๑๘ พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต), พุทธวิธีในการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : มูลนิธิพุทธ
ธรรม, ๒๕๔๑), หน้า ๓๓ - ๓๕.
๑๙ ข.ุ ม. (ไทย) ๒๙/๑๕๔/๔๓๐, ขุ.จ.ู (ไทย) ๓๐/๔๙๒/๒๔๒
๑๖๒
166
๒) วิปจิตัญญู ผู้สามารถรู้ข้าใจได้ ต่อเมื่อท่านได้อธิบายความ เปรียบเหมือนดอกบัว
ปร่มิ น้ำอันจะบานในวนั ร่งุ ขน้ึ
๓) ไนยยะ ผู้พอจะแนะนำสั่งสอนอยู่บ่อย ๆ จึงรู้ตามได้ เปรียบเหมือนดอกบัวใต้น้ำ
อันจะบานในวันต่อ ๆ ไป
๔) ปทปรมะ พวกบรมโง่ คือ พวกที่แม้จะแนะนำสั่งสอนอย่างไรก็ไม่เข้าใจหรือไม่รับ
ฟงั ท้ังนัน้ เปรียบเหมอื นดอกบวั ซ่ึงตดิ อยู่กบั ดนิ อนั จะเปน็ อาหารของปลาและเตา่ ๒๐
ในบุคคลเหล่านี้ พระพุทธเจ้าทรงเลือกสอนบุคคล ๓ ประเภทแรก โดยทรงเลือก
ธรรมะใหเ้ หมาะสมกบั อุปนสิ ยั และปัญญาบารมีของบคุ คลน้นั
๒. ปรับวิธีสอนผ่อนให้เหมาะกับบุคคล แม้สอนเรื่องเดียวกนั แต่ต่างบุคคล อาจใช้ ต่างวิธี
ข้อนี้เกี่ยวโยงต่อเนื่องมาจากข้อที่ ๑ วิธีการสอนของพระพุทธเจ้า พระองค์ทรงใช้วิธีการสอนอย่าง
หลากหลายตามแต่ระดับสตปิ ญั ญาของผ้เู รียน วิธที พ่ี ระองคท์ รงใช้ เชน่
๑) ทรงใช้วิธีเอกังสลักษณะ คือ ทรงแสดงยืนยันไปช้างเดียว เช่น ดีมีผลเป็นสุข
ชั่วมีผลเปน็ ทกุ ข์ แนน่ อนไมม่ ีอยา่ งอื่นๆ
๒) ทรงสอนโดยวธิ ีภทั รลักษณะ คือ ทรงแยกประเดน็ ให้เห็นชัดเจน
๓) ทรงสอนโดยวธิ ปี จุ ฉาลักษณะ คือ ทรงยอ้ นถามเสียก่อนแลว้ จงึ สอน
๔) ทรงสอนโดยวิธีฎปนลักษณะ คอื พกั ปัญหาไว้ไม่ทรงพยากรณ์ เพราะเห็นว่าไม่เป็น
ประโยชนห์ รือยงั ไมถ่ งึ เวลา
๕) ทรงสอนโดยวธิ ีอุปมาลักษณะ คอื สอนแบบเปรยี บเทียบใหเ้ ห็นจริง
๖) ทรงสอนตามความสนใจของผเู้ รยี น
๗) ทรงสอนตามลำดับความลึกซึง้ จากง่ายไปหายาก
๘) ทรงใช้วิธตี อบปัญหาแบบตา่ ง ๆ
๙) ทรงสอนโดยทำตัวอย่างให้ดู พระพุทธเจ้าทรงปฏิบัตดิ ปี ฏิบัติชอบให้เป็นแบบอยา่ ง
แกส่ าวกท้งั หลายไม่ยอมให้ความโลภ ความโกรธ ความหลงมามีอำนาจเหนือพระพุทธเจ้าอันทรงจูงให้
สาวกถือเอาพระองค์เปน็ แบบอย่างในความเพียรนัน้ เอง
๑๐) ทรงสอนโดยใช้อุปกรณ์ เช่น ดอกบัว น้ำ ผ้า ฯลฯ เช่น เรื่อง ภิกษุ จุลบัณฑก
พระอรหันต์ภิกษุผู้ที่คนจะสั่งสอนอย่างไรก็ไม่จดจำ ไม่ได้ผล เมื่อพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงส่งผ้าขาว
สะอาดผืนหนึ่งให้ลูบคลำ เมื่อลูบคลำนาน ๆ สีคล้ำลงจนเห็นได้ชัด ทำให้ภิกษุจุลบัณฑกเข้าใจว่าจิต
นัน้ สกปรกได้เพราะสง่ิ ภายนอก จึงบรรลุธรรมในท่สี ุด
๒๐ อง.จตุกฺก. (ไทย) ๒๑/๑๓๓/๑๐๒, อภ.ิ ปุ. (ไทย) ๓๖/๑๔๘-๑๕๑/๑๘๖-๑๘๗.
๑๖๓
167
๑๑) ทรงสอนโดยวิธีให้เลื่อนความเข้าใจของผู้ฟังเป็นชั้นๆ ถ้าผู้ฟังไม่มีพื้นความเข้าใจ
ในเบื้องต้นมาก่อน พระองค์จะไม่ทรงสอนอริยสัจซึ่งเป็นธรรมชั้นสูงแต่จะสอนเรื่องราว ง่าย ๆ เป็น
การพน้ื ฟูความเข้าใจระหว่างโลกกับธรรมให้ดีเสยี ก่อน
๑๒) ทรงสอนให้เห็นว่าเรอ่ื งของพระพุทธศาสนาไมใ่ ชเ่ รื่องของสมมติคือ ไมใ่ ชเ่ ร่ืองของ
การเดาหรือการนึกคิดเอาเอง แตเ่ ป็นเรอื่ งที่สามารถค้นพบความจริงได้ โดยได้ทรงปฏิบตั แิ ล้วนำความ
จรงิ ที่คน้ พบมาส่ังสอน เปน็ การปฏิเสธการเดา การคาดคะเน๒๑
๓. คำนึงถึงความแตกต่างระหว่างบุคคลแล้ว ผู้สอนยังจะต้องคำนึงถึงความพร้อม ความ
สกุ งอม ความแกร่ อบแห่งอนิ ทรยี ์หรือญาณ ทบ่ี าลีเรยี กวา่ ปริปากะ พจิ ารณาผู้เรียนแต่ละบุคคล เป็น
รายๆ ไป ด้วยว่าในแต่ละคราว หรือเมื่อถึงเวลานั้นๆ เขาควรจะได้เรียนอะไรและเรียนได้ แค่ไหน
เพยี งไร หรือวา่ สิ่งที่ตอ้ งการให้เขาร้นู น้ั ควรใหเ้ ขาเรียนได้หรอื ยงั ของผูเ้ รยี นแต่ละคน
๔. สอนโดยให้ผู้เรียนลงมือทำด้วยตนเอง ซึ่งจะช่วยให้เกิดความรู้ ความเข้าใจชัดเจน
แมน่ ยำและได้ผลจริง เช่น ทรงสอนพระจุฬปนถกดว้ ยการให้นำผ้าขาวไปลบู คลำเป็นตน้
๕. การสอนดำเนินไปในรูปที่ให้รู้สึกว่าผู้เรียนกับผู้สอนมีบทบาทร่วมกัน ในการแสวงหา
ความจริงให้มีการแสดงความคิดเห็น โต้ตอบเสรีหลักนี้เป็นข้อสำคัญในวิธีแห่งปัญญา ซึ่งต้องการ
อิสรภาพในทางความคิดและโดยวิธีนี้เมื่อเข้าถึงความจริง ผู้เรียนก็จะรู้สึกว่าตนได้มองเห็นความจริง
ด้วยตนเองและมคี วามชดั เจนมั่นใจ การสอนแบบน้ีมักมาในรูปถามตอบ ซึ่งอาจแยกลักษณะการสอน
แบบน้ไี ด้เป็น
๑) ล่อให้ผู้เรียนแสดงความคิดเห็นของตนออกมาชี้ข้อคิดให้แก่เขา ส่งเสริมให้เขาคิด
และให้ผู้เรียนเป็นผู้วินิจฉัยความรู้นั้นเอง ผู้สอนเป็นเพียงผู้นำชี้ช่องทางเข้าสู่ความรู้ ในการนี้ผู้สอน
มกั จะกลายเป็นผถู้ ามปัญหาแทนทจี่ ะเปน็ ผตู้ อบ
๒) มีการแสดงความคดิ เห็น โต้ตอบอย่างเสรี มุ่งหาความรู้ ไม่ใช่มุ่งแสดงภมู หิ รอื ขม่ กัน
๖.เอาใจใส่บุคคลที่ควรได้รับความสนใจพิเศษเป็นราย ๆ ไป ตามควรแก่กาลเทศะและ
เหตุการณ์
๗. ชว่ ยเหลือเอาใจใสค่ นท่ดี ้อย ท่มี ีปญั หา๒๒
๒๑ วศิน อินทสระ, พุทธวิธีการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๕, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์เม็ดทราย, ๒๕๔๕),
หนา้ ๒๒–๒๓.
๒๒ พระธรรมปฎิ ก (ป.อ.ปยตุ โฺ ต), พุทธวิธีในการสอน, พมิ พค์ รั้งที่ ๕, (กรงุ เทพมหานคร : มูลนิธิพุทธ
ธรรม, ๒๕๔๑), หน้า ๓๕–๔๑.
๑๖๔
168
๔. แนวคดิ เก่ียวกับเกย่ี วกับตวั ผู้สอนตามหลกั พทุ ธวธิ ี
๑. การสอนนั้น การเริ่มต้นเป็นจุดสำคัญมากอย่างหนึ่ง การเริ่มต้นที่ดีมีส่วนช่วยให้การ
สอนสำเร็จผลดีเป็นอย่างมาก อยา่ งนอ้ ยกเ็ ปน็ เครื่องดึงความสนใจ และนำเขา้ ส่เู นื้อหาได้พระพุทธเจ้า
ทรงมีวิธีเริ่มต้นที่น่าสนใจมาก โดยปกติพระองค์จะไม่ทรงเริ่มสอนด้วยการเข้าสู่เนื้อหาทีเดียวแต่จะ
ทรงเรม่ิ สนทนากับผทู้ รงพบหรือผมู้ าเฝ้าดว้ ยเรื่องทเี่ ขารู้เข้าใจดี หรือสนใจอยู่ เช่น เม่อื ทรงสนทนากับ
ควานช้างก็ทรงเริ่มสนทนาดว้ ยเร่อื งวิธฝี ึกช้าง พบชาวนากเ็ ริม่ สนทนาเร่อื งการทำนา
๒. สร้างบรรยากาศในการสอนให้ปลอดโปร่ง เพลิดเพลิน ไม่ให้ตึงเครียด ไม่ให้เกิด ความ
อดึ อดั ใจ และให้เกยี รติแก่ผูเ้ รียน ให้เขามคี วามภูมใิ จในตวั
๓. สอนม่งุ เนือ้ หา มงุ่ ให้เกดิ ความรู้ความเข้าใจในส่ิงทส่ี อนเปน็ สำคญั ไมก่ ระทบตน และ
ผอู้ ื่น ไม่ม่งุ ยกตน ไม่มงุ่ เสียดสใี ครๆ
๔. สอนโดยเคารพ คอื ตั้งใจสอน ทำจริง ดว้ ยความร้สู ึกว่าเปน็ สิ่งมีค่า มองเหน็ ความสำคญั
ของผเู้ รยี น และงานสัง่ สอนนน้ั ไม่ใช่สักวา่ ทำ หรือเห็นผ้เู รียนโง่เขลา หรอื เหน็ เป็นชั้นตำ่ ๆ
๕. ใช้ภาษาสุภาพนุ่มนวล ไม่หยาบคายชวนให้สบายใจสละสลวยเข้าใจง่าย พระพุทธพจน์
ตรัสแกพ่ ระอานนท์ “อานนท์ การแสดงธรรมให้คนอน่ื ฟงั มใิ ช่ส่ิงที่กระทำได้ง่าย ผู้แสดงธรรมแก่ คน
อื่น พงึ ต้งั ธรรม ๕ อย่างไว้ในใจ คอื
๑) เราจักกล่าวขีแ้ จงไปตามสำดับ
๒) เราจักกลา่ วขี้แจงยกเหตผุ ลมาแสดงให้เขา้ ใจ
๓) เราจกั แสดงด้วยอาศัยเมตตา
๔) เราจกั ไม่แสดงดว้ ยเหน็ แก่อามิส
๕) เราจกั แสดงไปโดยไม่กระทบตนและผอู้ ืน่ ”๒๓
ลักษณะครูที่ดีตามหลักพุทธศาสนา ครูจะมีลักษณะเป็นกัลยาณมิตรที่ดีของศิษย์
กล่าวคือ ครูจะเป็นมิตรแท้เป็นที่พึ่งของศิษย์ได้อย่างดี โดยหลักกัลยาณมิตร คือ บุคคลที่ช่วยชี้แนะ
แนวทาง แนะนำสัง่ สอน ชกั นำใหด้ ำเนินชีวิตทด่ี งี าม ให้ประสบผลดแี ละความสขุ ใหเ้ จริญก้าวหน้า ให้
พัฒนาในธรรม๒๔ ย่อมเป็นส่วนประกอบสำคัญให้เกิด คุณลักษณะของครูอย่างที่เรียกว่า องค์คุณของ
กัลยามิตร ซ่งึ มี ๗ ประการ ดงั ต่อไปน้ี
๒๓ องฺ.ปญฺจก. (ไทย) ๒๒/๑๕๙
๒๔ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยุตฺโต), พจนานุกรมพทุ ธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์, พมิ พ์ครง้ั ที่ ๒๗,
(กรงุ เทพมหานคร: โรงพมิ พ์พระพุทธศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๙), หน้า ๒๗๗.
๑๖๕
169
๑. ปโิ ย หมายถึง นา่ รัก๒๕ คือ ครูตอ้ งทำตนใหเ้ ป็นคนน่ารกั ของลกู ศษิ ย์ ต้องเปน็ ผู้มเี มตตา
รกั เด็กมากกวา่ รกั ตนเอง มีหน้าตายิ้มแยม้ แจ่มใส ใหค้ วามสนทิ สนมแกศ่ ิษย์ การท่ีครทู ำตวั เปน็ ทรี่ ักแก่
ศิษยแ์ ละบุคคลทัว่ ไป สามารถต้ังตนยดึ มนั อยใู่ นพรหมวิหาร ๔ ดงั ต่อไปนี้
๑) เมตตา ปรารถนาดีต่อศิษย์ หาทางให้ศิษย์เป็นสุข และเจริญก้าวหน้าทั้ง
ทางดา้ นวิชาการและการดำเนนิ ชวี ิต
๒) กรุณา สงสาร เอ็นดูศิษย์ ช่วยเหลือให้พันจากความทุกข์ และใส่ใจบำบัด
ทุกข์รอ้ น
๓) มุทิตา คือ ชื่นชมยินดีเมื่อศิษย์ได้ดี และยกย่องเชิดชูให้ปรากฏ เป็นการให้
กำลังใจ และชว่ ยใหเ้ กดิ ความภมู ใิ จในตนเอง
๔) อเุ บกขา คือ วางตวั เป็นกลาง จติ ใจทค่ี งอยใู่ นความยตุ ธิ รรมไม่ลำเอยี งและไม่
มอี คติ
๒. ครุ หมายถึง การเป็นบุคคลที่มีความหนักแน่นมั่นคงในดา้ นของจิตใจ ที่จะดำรงตนอยู่
ในความดีไม่หวั่นไหวไปตามอำนาจของกิเลสตัณหา สิ่งที่จะช่วยใหค้ รูมีคุณสมบัติดังกลา่ ว คือ พละ ๕
ประการดังนี้
๑) ศรทั ธาพละ คอื มีความเชอ่ื ในทางทดี่ ี เชน่ เช่อื ว่าทำดีไดด้ ี ทำชั่วไดช้ ่ัว ความ
เชอ่ื เกดิ ขึ้นในใจแล้วจะเปน็ พลงั ตอ่ ต้านฝา่ ยอกศุ ล
๒) วิริยะพละ คือ ความเพียรในทางที่ดี คือ เพียรระวังความชั่วไม่ให้เกิดขึ้นใน
ตัว เพียรทำความดใี หค้ งอยู่ และเจริญย่งิ ๆ ขึน้ ไป
๓) สติพละ หมายถึง ความระลึกได้ มีความรู้สึกตัวในการกระทำ การพูด การ
คิด ให้รอบคอบ
๔) สมาธิพละ หมายถึง ความมีใจจดจ่อแน่วแน่มั่นคงในสิ่งที่เป็นบุญกุศลพลัง
สมาธิน้ี จะเปน็ กำลังต่อตา้ นความฟุ้งซา่ นมใิ ห้เกิดขนึ้ ในใจ
๕) ปัญญาพละ หมายถงึ ความรอบรู้ คอื รวู้ า่ อะไรดี อะไรชว่ั อะไรควรทำ อะไร
ไมค่ วรทำ
๓. ภาวนีโย คือ การเป็นผู้ที่ได้รับยกย่องวา่ เป็นผู้มีความประพฤติดีงามควรแก่การเคารพ
กลา่ วคอื การแตง่ กายเรียบร้อย กริ ยิ าทา่ ทางสง่าผ่าเผย วาจาออ่ นหวาน มีวทิ ยาความรู้และมีระเบียบ
วินัยอันดี การที่ครูจะอบรมสั่งสอนศิษย์ให้เป็นผู้มีความประพฤติดีงามได้นั้น ตัวครูเองจะต้องอบรม
ตนเองให้เปน็ ผมู้ ีความประพฤตทิ ดี่ ีงามเสยี ก่อน
๒๕ องฺ.สตฺตก. (ไทย) ๓/๓๗-๔๓/๒๐๓
๑๖๖
170
๔. วตั ตา คอื เป็นผูม้ มี านะในการตักเตือนส่ังสอน เพอ่ื ใหศ้ ิษย์มีความรู้ ความสามารถและ
เป็นคนดี คือ ใช้ความรู้ ความสามารถไปในทางสุจริต เป็นประโยชน์ต่อตนเองและผู้อื่นได้ เพื่อให้
สามารถนำไปปฏบิ ตั ไิ ด้ ลกั ษณะการสอนในพุทธศาสนามี ๔ ประการ ดังนี้
๑) สันทัสสนา คือ สอนให้เข้าใจชัดเจน เห็นจริงอย่างที่ต้องการ ซึ่งจะต้อง
ดำเนินไปตามลำดับชั้นดังนี้ สอนจากสิ่งที่ง่ายไปยาก สอนจากสิ่งที่เป็นรูปธรรมไปหาสิ่งที่เป็น
นามธรรม สอนจากสง่ิ คนเคยไปหาการใช้เหตุผล
๒) สมาทปนา มีการกระตุ้นเร่งเร้า เพื่อให้เกิดความกระตือรือร้นที่จะประพฤติ
ปฏิบตั ิตามทีครสู อน
๓) สมุตเตชนา สร้างกำลังใจ เพื่อให้ผู้เรียนเกิดความเชื่อมั่นในตนเอง กล้าคิด
กลา้ พดู กล้าทำ และมีมานะว่าจะตอ้ งเรยี น
๔) สัมปหังสนา สรา้ งความเพลิดเพลนิ ให้แก่ผู้เรยี น คือ มีเทคนคิ ในการสอนที่จะ
ทำใหก้ ารเรยี นการสอนน่าสนใจ มกี ลวิธีทจี่ ะทำใหผ้ เู้ รียนเกิดความรา่ เริง และมคี วามสุขตอ่ การเรยี น
๕. วจนักขโม คือ เป็นผู้มีความอดทนต่อถ้อยคำ และอดทนต่อกิริยาวาจาอันก้าวร้าว
รุนแรงของผู้อื่นได้นั้น และการรู้จักหักห้ามใจ ครูจะต้องมีขันติรู้จักรักษาควบคุมอารมณ์ และมีความ
ยับยั้งชั่งใจเพราะหน้าที่ของครูก็คือเปลี่ยนพฤติกรรมของคนที่ไม่รู้ให้รู้ดังนัน้ ครูจึงต้องพร้อมที่จะทน
ต่อถ้อยคำรบกวน โต้แย้ง ซักถามของผู้เรียน ไม่เบื่อหน่ายขุ่นเคืองที่จะให้ความกระจ่างในเรือ่ งต่าง ๆ
ที่ผู้เรียนยังเคลือบแคลงสงสัยไม่เข้าใจครูจะต้องระลึกถึงอยู่เสมอว่า ผู้เรียนแต่ละคนมีสติปัญญา
ความสามารถแตกต่างกนั และยังมาจากสภาพแวดล้อมต่างกนั ดว้ ย
๖. คัมภีร์รัญจ กถัง กัตตา คือ สามารถขยายข้อความที่ยากให้ง่ายแก่การเข้าใจเพราะ
วิชาการต่าง ๆ ที่ครูนำมาสอนนั้นล้วนเป็นเรื่องที่ผู้เรียนไม่เคยเรียนมาก่อน ครูจะต้องมีวิธีที่จะทำให้
ผเู้ รยี นเข้าใจเรอ่ื งยาก ๆ ได้งา่ ย รวมทง้ั มกี ารอธิบายสาระสำคัญตา่ ง ๆ ของวิชาไดถ้ ูกต้องแมน่ ยำ
๗. โนจัฏฐาเน นิโยช เย คือ การรู้จักและแนะนำศิษย์ไปในทางท่ีถูกท่ีควรไม่ชกั จูงศิษย์ไป
ในทางที่เสื่อมเสีย ไม่ประพฤติชั่วโดยละเว้นอบายมุขทั้ง ๖ อย่าง ได้แก่ การติดสุราและของมึนเมา
เทยี่ วกลางคืน เท่ยี วดูการละเล่น ตดิ การพนนั คบคนช่วั และเกียจครา้ นในการงาน๒๖
พระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตฺโต) ได้อธิบายคุณสมบัติของผู้สอนตามหลักพุทธธรรมไว้ว่ามี
สาระ ๒ ประการคือ บุคลิกภาพและคณุ ธรรมดงั น้ี
๑. บุคลิกภาพ เป็นคุณสมบัติภายนอกได้แก่ ความสง่างาม วาจาสุภาพ มารยาทน่า
เลื่อมใส ความเป็นผู้มีคุณสมบัติผู้ดีมีธรรม ๔ ประการคือ รูปัปปมาณิก โฆสัปปมาณิก ธัมมัปปมาณิก
และสวุ ิชชาจรณสัมปันนะ อธบิ ายไดด้ ังน้ี
๒๖ ธราญา จิตรชญาวณิช, การศึกษาและความเป็นครูไทย, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์แห่ง
จฬุ าลงกรณม์ หาวทิ ยาลัย, ๒๕๖๐), หน้า ๑๓๗ – ๑๓๙.
๑๖๗
171
๑.๑ ความสง่างามของรูปเรียกว่า รูปัปปมาณิก รูปร่างหน้าตา ผิวพรรณ คือ
ถึงพร้อมด้วยความงดงามด้วยรปู ร่างหน้าตากิรยิ ามารยาท ผิวพรรณสะอาดผ่องใส มีระเบยี บวินยั ทาง
รา่ งกายท่ดี ีอารมณเ์ บกิ บานแจ่มใส ใครได้พบเห็นกจ็ ะเป็นศริ มิ งคลท้งั แก่ตัวเองและผูพ้ บเห็น
๑.๒ ความงามของเสียงหรืองามเสียงเรียกว่า โฆสัปปมาณิก มีความงามใน
การพูด ในคำพูด การบอกกล่าวดว้ ยน้ำเสยี งทดี่ ปี ระเสริฐดจุ เสยี งของพรหม ๘ ลกั ษณะ คือ
๑) วิสสฺฐโฐ (ไพเราะ)
๒) วิญเญยโย (ชดั เจน)
๓) มญั ชุ (นมุ่ นวล)
๔) สวนีโย (ชวนฟงั )
๕) พนิ ทุ (กลมกล่อม)
๖) อวสี ารี (ไมแ่ ตกพรา่ )
๗) คมั ภีโร (ลึกซ้ึง)
๘) นนิ นาที (กอ้ งกังวาน)๒๗
ครูต้องบรหิ ารวาจาให้มีความงามท้ัง ๘ อยา่ งต้องรู้จักแต่งเสยี งให้สวยงามเหมาะกับความ
เปน็ ครูไมป่ ระกอบ วจีทจุ ริต น้ันเอง
๒. ความสงา่ งามในความรู้และสติปัญญาเรียกวา่ ธัมมปั ปมาณกิ บุคลกิ ภาพทางสติปัญญา
ทางสติปัญญาเป็นเรื่องของเชาว์ปัญญาได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษโดยกระบวนการทาง
พันธุกรรมครูจึงต้องพัฒนาตัวเองให้มีความสามารถเฉลียวฉลาดเป็นนักปราชญ์เป่ียมด้วยสติปัญญามี
บุคลิกภาพทางสติปัญญาดีประกอบด้วย สัปปุริสธรรม ๗ คือธรรมของคนดี ธรรมสัตบุรุษ ธรรมที่ทำ
ให้เป็นสัตบุรุษ คุณสมบัติของคนดีคือ ธัมมัญญุตา (รู้เหตุ), อัตถัญญุตา (รู้ผล), อัตตัญญุตา (รู้ตน),
มตั ตัญญุตา (รปู้ ระมาณ), กาลัญญุตา (รู้กาล), ปคุ คลัญญุตา (รคู้ น), และปริสญั ญุตา (รชู้ ุมชน)๒๘
๓. ความประพฤติดี หรือหลักธรรมของการเป็นครูดีของวัฒนธรรมไทย ที่ถือว่า ครูดี
จะตอ้ งหลักธรรม ๓ สุวิชาโน คือ เป็นผมู้ ีความรู้ดี สุสาสโน คอื เป็นผู้สอนดี รู้จกั ช้ีแจง ชักจูง ปลุกใจ
ให้เกิดความเพลินเพลินสนุกสนานในการเรียนและ สุปฏิปันโน คือผู้ที่มีความ ประพฤติดีปฏิบัติตนดี
เปน็ แบบอย่างทีด่ ีแก่ลกู ศษิ ยแ์ ละบุคคลอ่ืน อนั ไดแ้ ก่ การเปน็ ผมู้ ีความประพฤติ ปฏบิ ตั ดิ เี ปน็ แบบอย่าง
ที่ดีแก่ลูกศิษย์และบุคคลทั่วไป เพราะการเป็นผู้มีความประพฤติตนเป็น แบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ก็เป็น
การสอนอีกวิธีหนึ่ง ซึ่งมักจะเกิดผลแก่ผู้เรียนและดีกว่าการสอนด้วยการแนะนำทางตรงกับหลัก
๒๗ ท.ี ม. (ไทย) ๑๐/๒๘๕/๒๑๖
๒๘ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ. ปยตุ โต), พทุ ธธรรม ฉบับปรับขยาย, พิมพค์ รงั้ ที่ ๔๔, (กรงุ เทพมหานคร
: โรงพมิ พผ์ ลธิ มั ม์, ๒๕๕๘), หนา้ ๕๖๙-๕๗๐.
๑๖๘
172
กัลยาณมิตรธรรม ๗ ประการดังกล่าวแล้วซึ่งการสอนด้วยการปฏิบัติให้เป็นแบบอย่างที่ดีสามารถที่
นำไปปฏิบัตเิ ป็นแบบอย่างไดเ้ ป็นรปู ธรรมทชี่ ดั เจน๒๙
๕. แนวคิดเกย่ี วกบั แนวการสอนพุทธวิธี
การสอนธรรมะของพระพุทธเจ้ามีวิธีการที่หลากหลาย พระองค์จะทรงพิจารณาจาก
บคุ คลท่กี ำลงั รับพงึ ถ้าบุคคลมรี ะดับสติปญั ญาน้อยก็จะทรงสอนธรรมะอกี รูปแบบหน่ึง ผู้มีปญั ญามาก
ก็จะใช้อีกรูปแบบหนึ่งแต่ถึงจะมีวิธีการสอนที่หลากหลายอย่างไร เมื่อจัดเข้าอยู่ในประเภทแล้ว จาก
การศึกษาค้นคว้าแนวเกิดที่เกี่ยวข้องกับพุทธวิธกี ารสอนมผี ูใ้ ห้ความคิดเห็นเกีย่ วแนวการสอนพุทธวิธี
ไว้ดังนี้
กรมวิชาการ ไดก้ ลา่ วว่าแนวการสอนพทุ ธวธิ ีไว้ ๙ วิธี ดงั นี้
๑) วิธีสอนแบบอุปมา อุปไมย หมายถึง วิธีสอนโดยการบรรยายเนื้อหาเปรียบเทียบกับ
คน สัตว์หรือสิ่งของเพื่อให้นักเรียนเข้าใจและมองเห็นภาพ เกิดมโนทัศน์ง่าย ชัดเจนและสมจริง
ใช้วิธีการบรรยายอธิบายเนื้อหาที่เป็นนามธรรมหรือเรื่องที่เข้าใจยาก เปรียบเทียบกับสิ่งที่นักเรียน
จะเขา้ ใจและมองเห็นเปน็ รูปธรรมได้ ในการเปรยี บเทยี บอปุ มา อปุ ไมย จะต้องเลือกตวั อย่าง สิ่งของท่ี
นำมาเปรียบเทียบอุปมา อุปไมย ที่ชัดเจน และตรงกับเนื้อหาตรงกับจุดมุ่งหมายของการสอนเรื่อง
นน้ั ๆ มากทสี่ ดุ
๒) วิธีสอนแบบปุจฉาวิสัชนา หมายถึง วิธีสอนที่ใช้การถาม - ตอบ ระหว่างผู้สอน
กบั นกั เรียนโดยผสู้ อนเปน็ ผูถ้ าม นักเรียนเปน็ ผู้ตอบ หรือนกั เรียนเปน็ ผูถ้ าม นักเรยี นเป็นผู้ตอบ เพราะ
ในการถาม - ตอบนี้ ผู้สอนจะไมต่ อบคำถามเอง แต่จะกระตุน้ เร้าหรือส่งเสริมให้นักเรียน ช่วยกันตอบ
เป็นวิธที ำใหน้ กั เรยี นเกดิ ปญั ญาข้ึนในตนเอง คิดเปน็ ทำเปน็ แก้ปญั หาเปน็
๓) วิธีสอนแบบธรรมสากัจฉา หมายถึง วิธีสอนที่ผู้สอนเสนอสถานการณ์ที่เป็นปัญหา
ของการปฏิบัติศีล หรือการขาดหลักธรรม ให้นักเรียนสนทนากันจนได้ข้อสรุปความรู้ทางธรรม โดยมี
ลกั ษณะการสนทนา ดงั น้ี
๓.๑ อภิปรายตามหัวข้อธรรมในหมู่นกั เรียน จนนักเรียนสรปุ หลกั ธรรมได้
๓.๒ ซกั ถามกันระหว่างนักเรยี นกบั นกั เรยี น นักเรียนกับครูผ้สู อน โดยนกั เรยี นเปน็ ฝ่าย
ถาม หรอื ฝา่ ยตอบสลบั กนั หรือนกั เรยี นและครผู ู้สอนผลดั กันถาม-ตอบ จนนักเรียนสรุปหลักธรรมได้
๓.๓ ตั้งตัวแทนขึ้นซักถามกันระหว่างนักเรียนสองฝ่ายจนสรุปหลักธรรมได้ วิธีสอน
แบบน้ี เหมาะกับนักเรียนที่มีนั้นความรู้ในเนื้อหาพอสมควร และต้องการที่จะหาความกระจ่างใน
๒๙ คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พุทธวิธีการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๒
(พระนครศรีอยุธยา : โรงพมิ พม์ หาจฬุ าลงกรณราชวิทยาลยั , ๒๕๕๙), หนา้ ๔๓-๔๔.
๑๖๙
173
เนือ้ หาเพิ่มข้นึ วิธกี ารนี้ใช้ได้ดกี ับนักเรียนจำนวนน้อย และมคี วามสามารถในการใช้ภาษา การซักถาม
โต้ตอบ แสดงความคดิ เห็น อภปิ ราย อธบิ ายไดด้ ีพอสมควร
๔) วิธีสอนแบบอรยิ สจั ๔ มีขั้นตอนการจัดกจิ กรรมการเรียนการสอน ๔ ข้ันตอนดงั นี้
๔.๑ ขั้นกำหนดปัญหา หรือขั้นทุกข์ ครูช่วยนักเรียนให้ได้ศึกษาพิจารณาดูปัญหา
ที่เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ด้วยความรอบคอบ และพยายามกำหนดขอบเขตของปัญหาซึ่งนักเรียน จะต้อง
คิดแก้ไขใหไ้ ด้
๔.๒ ข้นั ต้องสมมตฐิ าน หรอื ขัน้ สมุทัย
๔.๒.๑ ครชู ว่ ยนักเรยี นให้ได้พจิ ารณาตัวเองว่าสาเหตขุ องปญั หาทีย่ กข้นึ มากล่าว
ในขัน้ ที่ ๑ น้ันมีอะไรบา้ ง
๔.๒.๒ ครูช่วยนักเรียนให้เกิดความเข้าใจว่า ในการแก้ปัญหาใด ๆ นั้นจะต้อง
กำจดั หรือตบั ทดี่ น้ ตอ หรือแกป้ ญั หาเหล่าน้ัน
๔.๒.๓ ครูช่วยนักเรียนคิดว่า ในการแก้ที่สาเหตุนั้น อาจจะกระทำอะไรได้บ้าง
คือ ให้กำหนดสิ่งทก่ี ระทำเป็นขอ้ ๆ ไป
๔.๓ ขนั้ การทดลองและเก็บขอ้ มลู หรอื ขนั้ นิโรธ
๔.๓.๑ ขั้นทำให้แจ้ง ครูต้องสอนให้นักเรียนได้กระทำหรือทำการทดลองด้วย
ตนเอง ตามหัวข้อตา่ ง ๆทไี่ ด้กำหนดไว้ในขัน้ ท่ี ๒ ข้อ ๓
๔.๓.๒ เม่ือทดลองได้ผลประการใด ต้องบนั ทกึ ผลการทดลองแต่ละอย่าง หรือที่
เรยี กว่าข้อมลู ไว้เพ่อื พิจารณาในขั้นตอ่ ไป
๔.๔ ข้นั วิเคราะห์ขอ้ มลู และสรปุ ผล หรอื ขั้นมรรค
๔.๔.๑ จากการทดลองกระทำดว้ ยตนเองหลาย ๆ อย่างนั้น ยอ่ มจะไดผ้ ลออกมา
ให้เห็นชัด ผลบางประการชี้ให้เห็นว่า แก้ปัญหาได้บ้าง แต่ไม่ค่อยชัดเจนนัก ผลที่ถูกต้องชี้ให้เห็นว่า
แก้ปัญหาได้บ้าง แต่ไม่ค่อยชัดเจนนัก ผลที่ลูกต้องชี้ให้เห็นว่าแก้ปัญหาได้แน่นอนแก้ว และได้ บรรลุ
จดุ หมายแก้ว ได้แนวทางหรือข้อปฏิบัติที่เราต้องการแล้ว เหลา่ น้ีหมายความว่า จะต้อง วิเคราะห์และ
เปรียบเทียบข้อมูลที่ได้บันทึกไว้ในขั้นที่ ๓ ข้อ ๒. นั้น จนแจ่มแจ้งว่าทำอย่างไรจึงจะ แก้ปัญหาที่
กำหนดในขน้ั ที่ ๑ ได้สำเรจ็
๔.๔.๒ จากการวเิ คราะหด์ ังกล่าวนั้น จะทำให้เห็นวา่ สง่ิ ใดแกป้ ัญหาไดจ้ ริง ตอ่ ไป
ก็สรุปการกระทำที่ได้ผลนั้นไว้เป็นข้อ ๆ หรือเป็นระบบหรือเป็นแนวทางปฏิบัติและให้ลงมือ กระทำ
หรือปฏิบตั ิอยา่ งเตม็ ท่ี ตามแนวทางนน้ั โดยทว่ั กัน๓๐
๓๐ พระพรหมคุณาภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โต), พุทธธรรม ฉบบั ปรบั ขยาย, พมิ พค์ รั้งท่ี ๔๔, (กรุงเทพมหานคร
: โรงพมิ พ์ผลธิ มั ม์, ๒๕๕๘), หนา้ ๖๓๔-๖๓๕.
๑๗๐
174
๕) วิธีสอนแบบสืบสวน สอบสวนตามแนวพุทธศาสตร์ หมายถึง ระบบการเรียนการ
สอนแบบสืบสวน สอบสวน มีแนวคิดว่า การสืบสวน สอบสวน เป็นกระบวนการหาความจริงและ
วิธีการแก้ปัญหาด้วยการตั้งคำถามในแนวกระบวนการ วิทยาศาสตร์ทั้งทางโลก และทางธรรม โดยมี
ข้นั ตอนการจัดการเรียนการสอนดงั นี้
๕.๑ การเหน็ ปัญหา และการวเิ คราะหป์ ัญหา
๕.๒ การเสนอเหตแุ ห่งปญั หาในรูปของการตงั้ สมมติฐาน
๕.๓ การเก็บรวบรวมขอ้ มูล
๕.๔ การทดสอบสมมตฐิ านด้วยขอ้ มูล
๕.๕ การสรุปผล๓๑
๖) วธิ ีสอนแบบไตรสกิ ขา เป็นวิธกี ารสอนท่ีประกอบดว้ ย ๓ข้ันตอนในการศึกษา ดงั น้ี
๖.๑ ข้ันศลี (ศีลสิกขา) คือ การควบคุมใหน้ ักเรยี นอยู่ในระเบยี บวนิ ัย ท้งั ทางกาย และ
วาจาให้อยู่ในสภาพเรยี บรอ้ ยเป็นปกติ พร้อมท่จี ะเรียน
๖.๒ ขั้นสมาธิ (จิตตสิกขา) คือ การฝึกสมาธิขั้นต้นในการควบคุมสติ ให้นักเรียนรวม
จติ ใจความคดิ แน่วแนเ่ ป็นจุดเดยี ว นักเรียนตัดสง่ิ รบกวนอื่น ๆ ออกจากความคดิ และจิตใจ
๖.๓ ขั้นปัญญา (ปัญญาสิกขา) คือ ขั้นนักเรียนใช้สมาธิ ความมีจิตใจแนว่ แน่ ทำความ
เขา้ ใจในปัญหา หาเหตขุ องปัญหาเพอ่ื แกไ้ ขพิจารณาผลที่เกดิ ข้ึนจนเกิดความรู้แจ้งเข้าใจและแก้ปัญหา
ได้ เกดิ การเรยี นรเู้ กิดปัญญาญาณข้ึนในตนเองมีมโนทัศนใ์ นเรอ่ื งน้นั ได้ถูกต้องตามความเป็นจริง๓๒
กล่าวโดยสรุป วิธีสอนแบบไตรสิกขามีความเชื่อว่าคนจะมีปัญญาเกิดจากการฝึก
กำลังใจใหแ้ นว่ แน่ มสี มาธิ การทีจ่ ะมีสมาธแิ น่วแน่ก็ต่อเมอ่ื รา่ งกายอย่ใู นสภาพปกติอยู่ในระเบียบวินัย
อันไดแ้ ก่ การมศี ีลเม่ือทางกายควบคุมสตไิ ด้จิตใจก็สงบ ช่วยใหก้ ำลงั ความคิดคมกล้า เกิดปัญญารู้แจ้ง
๗) วิธีสอนแบบเบญจขันธ์ ใช้หลักการยึดมั่น ถือมั่นในขันธ์ ๕ อันได้แก่ รูป เวทนา
สัญญา สังขาร และวญิ ญาณ ซงึ่ มี ๕ ขัน้ ตอน คอื
๗.๑ ขั้นกำหนดและเสนอสิ่งเร้า (ขั้นรูป) โดยครูกำหนดส่ิงเร้าเป็นสิง่ ที่สัมผัสรับรู้ แล้ว
เกดิ อารมณ์ ความรู้สกึ เป็นสถานการณห์ ลาย ๆ สถานการณ์
๗.๒ ขั้นรับรู้ (ขั้นเวทนา) ครูควบคุมการสัมผัสให้นักเรยี นได้สมั ผัสโดยอายตนะ ทั้ง ๖
ให้ลกู ช่องทางการรบั รู้อย่างแท้จรงิ และใช้คำถามการเรียนการสอนทางรบั รู้
๗.๓ ขั้นวิเคราะห์เหตุผลและสังเคราะห์ความรู้สึก (ขั้นสัญญา) ครูตั้งคำถามเพื่อให้
นักเรียนคิดแยกแยะ ว่ามีอะไรเกิดขั้น ใครทำอะไร ที่ไหน เมื่อไร ผลเป็นอย่างไร ใช้คำถาม เพื่อให้
นกั เรยี นสรปุ ความรู้สึกขัน้ ดน้ ท่ีเกดิ ข้นั ภายในจิตใจ
๓๑ เรื่องเดยี วกนั , หน้า ๖๒๘-๖๒๙.
๓๒ เรื่องเดยี วกนั , หนา้ ๕๔๔-๕๔๘.
๑๗๑
175
๗.๔ ขั้นตัดสินความดีงาม (ขั้นสังขาร) เป็นขั้นให้นักเรียนวิจารณ์ความผิด ความลูก
ความดงี าม ความช่วั ร้าย ความเหมาะสม ควรประพฤติ และไมค่ วรประพฤติ
๗.๕ ขั้นก่อเกิดอุปนิสัยหรือคุณธรรมผังใจ (ขั้นวิญญาณ) เป็นขั้นใช้คำถามเพื่อโน้มนำ
ความดีหรือความรู้สึกอันชอบธรรมเข้ามาไว้ในใจของตน เป็นคำถามให้นักเรียนตอบโดยคำนึงถึง
ตนเองเปน็ ท่ีตงั้
๘) วธิ ีสอนโดยการสร้างศรทั ธาและโยนิโสมนสกิ าร๓๓ ประกอบด้วย ๓ ข้นั ตอน คอื
๘.๑ ขั้นนำ การสร้างเจตคติทด่ี ีต่อวธิ ีการเรียน และบทเรียน
๘.๑.๑ การจัดบรรยากาศในข้นั เรยี นใหเ้ หมาะสม
๘.๑.๒ บคุ ลกิ ภาพของครู และการสรา้ งความสัมพันธ์ทีด่ ีระหว่างครูกับนักเรยี น
๘.๑.๓ การเสนอสง่ิ เร้าและแรงจงู ใจ
๘.๒ ข้ันสอน มีขนั้ ตอนดงั นี้
๘.๒.๑ ครูเสนอปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของบทเรียนหรือเสนอหัวข้อเรื่อง
ประเดน็ สำคญั ของบทเรยี น ดว้ ยวธิ กี ารตา่ ง ๆ
๘.๒.๒ ครูแนะแหลง่ วทิ ยาการและแหลง่ ข้อมูล
๘.๒.๓ นักเรียนฝึกการรวบรวมข้อมูล ข้อเท็จจริง ความรู้ และหลักการโดยใช้
ทักษะท่ีเปน็ เคร่อื งมอื ของการเรียนรู้ ทกั ษะทางวิทยาศาสตรแ์ ละทกั ษะทางสังคม
๘.๒.๔ จัดกิจกรรมทเ่ี รา้ ใหเ้ กิดการคดิ วิธตี ่างๆและยกตวั อย่างวธิ ีคดิ ๔ อยา่ ง คือ
๑) คิดสบื คน้ ต้นเคา้
๒) คดิ สืบสาวตลอดสาย
๓) คิดสบื คน้ ตน้ ปลาย
๔) คิดโยงสายสมั พันธ์๓๔
๘.๒.๕ ฝึกการสรปุ ประเด็นของข้อมูล ความรู้ และเปรียบเทียบ ประเมินค่าโดย
วิธีการแลกเปลี่ยนความคดิ เหน็ ทดลองทดสอบจัดเป็นทางเลือกและทางออกของการแก้ปญั หา
๘.๒.๖ ดำเนินการเลือกและตัดสนิ ใจ
๘.๒.๗ กิจกรรมฝึกปฏบิ ตั ิเพ่อื พสิ จู น์ผลการเลอื กและตัดสนิ ใจให้ประจักษจ์ รงิ
๘.๓ ขัน้ สรปุ
๘.๓.๑ ครูและนักเรียนสังเกตวิธีการปฏิบัติ ตรวจสอบ และปรับปรุงแก้ไขให้
ปฏิบตั ิถูกตอ้ ง
๓๓ ม.ม.ู (ไทย) ๑๒/๔๙๗/๕๓๙, องฺ.ทกุ . (ไทย) ๒๐/๓๑๗/๑๑๐
๓๔ พระพรหมคณุ าภรณ์ (ป. อ. ปยตุ โต), พทุ ธธรรม ฉบับปรับขยาย, พมิ พ์ครั้งท่ี ๔๔, (กรงุ เทพมหานคร
: โรงพมิ พผ์ ลิธัมม์, ๒๕๕๘), หนา้ ๖๑๙-๖๒๗.
๑๗๒
176
๘.๓.๒ อภิปรายและสอบถามข้อสงสยั
๘.๓.๓ สรุปบทเรียน
๘.๓.๔ วัดและประเมนิ ผล
กล่าวโดยสรุป การสอนโดยการสร้างศรัทธานั้น ครูเป็นบุคคลสำคัญที่สามารถจัด
สภาพแวดล้อม จูงใจ และวิธีการสอนให้นักเรียนเกิดศรัทธาที่จะเรียนรู้ และได้ฝึกฝนวิธีการคิด โดย
แยบคายนำไปสู่การปฏิบัติ ปฏิบัติจนประจักษ์จริง มุ่งเน้นให้ครูเป็นกัลยาณมิตรของนักเรียน ครูและ
นักเรียนมีความสัมพันธ์อันดีต่อกัน นักเรียนได้มีโอกาสคิดแสดงออกปฏิบัติอย่างถูกวิธี จนสามารถใช้
ปัญญาแกป้ ญั หาไดอ้ ย่างเหมาะสม
๙) วิธสี อนตามหลกั พหสู ูต กระบวนการเรียนการสอนตามหลกั พหูสูต มี ๓ ข้ันตอน ดงั นี้
๙.๑ การสรา้ งศรัทธา
๙.๑.๑ การจดั บรรยากาศของขัน้ เรียนให้เหมาะสม
๙.๑.๒ บุคลิกภาพของครูและการสร้างความสัมพันธ์ท่ดี รี ะหวา่ งครกู บั นักเรียน
๙.๑.๓ การเสนอส่ิงเรา้ และสร้างแรงจงู ใจใฝ่รู้
๙.๒ การฝึกทกั ษะภาษาตามหลักพหสู ูต
๙.๒.๑ การฝึกหัดฟงั พดู อา่ น เขยี น
๙.๒.๒ การฝึกปรือ เพอ่ื จบั ประเดน็ สาระและจดจำ
๙.๒.๓ การฝกึ ฝน ฝกึ การใชภ้ าษาให้แคล่วคลอ่ งจัดเจน
๙.๒.๔ การฝกึ คดิ พิจารณาจนเข้าใจ แจ่มแจง้ มีวิธีคดิ ดังนี้
๑. คดิ จำแนกแยกแยะ
๒. คิดเชือ่ มโยงสัมพนั ธ์
๓. คิดสรุปหลกั การ
๙.๒.๕ การสรุปรวมสาระความรู้เป็นหลักการด้วยความเข้าใจ แจ่มแจ้ง
และนำไปใช้ได้จริง (ขน้ั การสอนท่ี ๒.๔ และ ๒.๕ ผสมกลมกลนื กันมาก ตงั้ แต่ขั้น ๒.๔ เน้นการฝึกคิด
ส่วนข้นั ที่ ๒.๕ เน้นการสรปุ และนำไปใชใ้ นชีวติ ประจำวัน)
๙.๓ การมองตนและการประเมนิ ของกลั ยาณมิตร
๙.๓.๑ การวัดและประเมนิ ตนเอง
๙.๓.๒ การวัดและประเมินโดยเพ่ือนนักเรียน
๙.๓.๓ การวัดและประเมินโดยครูผสู้ อน
๙.๓.๔ การซ่อมเสรมิ และช่วยเหลือกันฉนั กัลยาณมิตร
๑๗๓
177
การสอนตามหลักพหูสูต เน้นการสร้างศรัทธาที่ใฝ่รู้ ใฝ่เรียน เน้นการฝึกหัด ฝึกปรือ
และฝึกฝน เน้นการฝกึ คดิ อย่างถกู ต้องแยบคาย และเนน้ การนำไปใช้ในชวี ิตประจำวัน๓๕
๖. แนวคิดเกีย่ วกับบทบาทหน้าทขี่ องครแู ละการจัดการเรยี นรู้
๖.๑ ความหมายและประเภทครู
คำว่าผู้สอนเปรยี บเทียบได้กับศัพท์ว่า สตั ถุ (สัตถา) ในภาษาบาลีและ ศาสตถุ (ศาสดา)ใน
ภาษาสนั สกฤต แตใ่ นภาษาไทยมักจะเทียบกับคำว่า “ครุ – คุร”ุ หรือ ครู แปลว่า “ผสู้ ั่งสอนศิษย์หรือ
ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์”๓๖ ขอบเขตผู้สอนอาจพิจารณาได้จากภาษาที่ใช้สื่อสารกันอยู่ใน
ชวี ิตประจำวนั ได้แกค่ ำวา่ ครู อุปัชฌาย์ อาจารย์ ธรรมกถึก กัณยาณมิตร และทูต ดงั ต่อไปนี้
๑) ผู้สอนธรรม คือครูผู้ทำหน้าที่สอน อบรมตามลักษณะชอง “สาร” อันเป็นเรื่องราว
หรอื เน้อื หาในการสอ่ื สาร
๒) ผู้สอนการแสดงละเล่น มีข้อกล่าวถึงครูผู้สอนฟ้อนรำ ผู้สอนกระโดดไม้สูง ผู้สอน
การละเล่น การเล่นจำอวด ผ้สู อนการเล่นกลอง เปน็ ตน้
๓) เจ้าลัทธิ คือผู้ตั้งตัวเป็นผู้รู้แล้วเที่ยวสั่งสอนคนอื่นตามความเชื่อถือ ค่านิยม และ
ประสบการณ์ชองตน ๆ ในสมยั โบราณเจ้าลัทธิทง้ั ๖ เรยี กว่า ครู
๔) พระอุปัชฌาย์ คือผู้เพ่งโทษน้อยใหญ่และเป็นผู้ปกครองคอยรับผิดชอบทำหน้าที่
ฝึกสอนอบรมให้การศกึ ษาต่อไป
๕) อาจารย์ ผู้สั่งสอนวิชาความรู้ ผู้ฝึกหัดอบรมมารยาท แบ่งย่อยออกเป็น ๔ ประเภท
คือปัพพชาจารย์ (อาจารย์ในการบรรพชา) อุปสัมปทาจารย์ (อาจารย์ในอุปสมบท) นิสสยจารย์
(อาจารย์ผู้ใหน้ ิสัย) อุทเทสาจารย์ (อาจารยส์ อนธรรม)
๖) กัลยาณมิตร ท่านที่คบหรือเข้าหาแล้วจะเป็นเหตุให้เกิดความดีงามและความเจริญ
เพอ่ื นทีด่ ี มติ รผู้มีคณุ อนั บัณฑิตพงึ นับ กล่าวคอื มีความลกั ษณะเปน็ ครู
๗) ธรรมกถึก ผู้แสดงธรรม คือผู้บอกหลักการ วิธีการ ผลได้ผลเสียของการประพฤติ
ปฏบิ ตั ิ เช่นนั้น บคุ คลเช่นน้ตี อ้ งมคี ุณลักษณะทด่ี ดี ้วยจงึ จะเรียกได้วา่ เป็นนักเทศน์
๓๕ กรมวิชาการ, การจัดสาระการเรียนพระพุทธศาสนา, พิมพ์ครั้งที่ ๕ , (กรุงเทพมหานคร : โรง
พิมพพ์ ระพทุ ธศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๑), หน้า ๑๗๓ - ๑๗๘.
๓๖ ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๕๔, พิมพ์ครั้งที่ ๒,
(กรุงเทพมหานาคร: นานมีบ๊คุ ส์, ๒๕๕๖), หนา้ ๒๓๕.
๑๗๔
178
๘) ทูต ผู้ทำหน้าที่เป็นตัวแทนไปประกาศหลักคำสอนทางศาสนาต้องประกอบด้วย
คุณลกั ษณะของทูต หรอื ของนกั เผยแผไ่ ดแ้ กผ่ ้สู อนนนั้ เอง๓๗
นักวิชาการและหน่วยงานราชการต่าง ๆ ได้ให้ความหมายของคำว่า “ครู” (Teacher)
ไว้ ดังนี้
กดู๊ (Good) ไดส้ รุปความหมายของครไู ว้ ดังต่อไปน้ี
ครู คือ บุคคลที่ทางราชการจ้างไว้ เพื่อทำหน้าที่ให้คำแนะนำหรืออำนวยการในการจัด
ประสบการณก์ ารเรียนสำหรับนกั เรยี นในสถาบนั การศกึ ษาไมว่ า่ จะเปน็ ของรฐั หรอื เอกชน
ครู คือ บุคคลที่มีประสบการณ์หรือการศึกษามาก หรือมีทั้งประสบการณ์การศึกษาดีใน
สาขาวชิ าใดวิชาหนึ่ง ท่สี ามารถชว่ ยทำให้บุคคลอ่นื ๆ เกดิ ความเจริญงอกงามพัฒนากา้ วหนา้ ได้
ครู คือ บคุ คลท่สี ำเร็จหลักสตู รวิชาชีพจากสถาบนั ฝกึ หดั ครู และการฝกึ อบรมนั้นได้รับการ
รบั รองอย่างเป็นทางการ โดยการมอบประกาศนยี บัตรทางการสอนให้แก่บุคคลน้นั ๓๘
พระราชบญั ญัติการศึกษาแหง่ ชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒ แกไ้ ขเพิ่มเติม (ฉบับท่ี ๒) พ.ศ.
๒๕๔๕ ได้ใหค้ วามหมายค่าว่า “คร”ู คือ บคุ ลากรวิชาชีพ ซ่ึงทำหน้าทหี่ ลกั ทางด้านการเรียนการ
สอนและสง่ เสริมการเรยี นรู้ของผเู้ รยี นด้วยวิธกี ารต่าง ๆ ในสถานศกึ ษาทั้งของรฐั และเอกชน๓๙
ยนต์ ชุมจิต ได้สรปุ ความหมายของคา่ ว่า "คร"ู ไว้เฉพาะประเด็นสำคัญดงั น้ี
๑. ครู เป็นผู้ตระหนักโดยใช้ปัญญาพิจารณาใคร่ครวญในสิ่งที่ดี–ชั่ว ถูก-ผิด ควร–มิควร
และเป็นบุคคลทศี่ ษิ ยค์ วรตระหนัก
๒. ครู สมัยโบราณหมายถึง ผู้นำทางหรือเป็นผู้เปิดประตูทางวิญญาณของศิษย์เพื่อศิษย์
ไปสูค่ ุณธรรมชั้นสูง และมกั ใช้กับผู้สอนทเี่ ป็นคฤหสั ถห์ รอื บคุ คลท่ัวไป
๓. ครู ปัจจุบันหมายถึง ผู้ประกอบวิชาชีพอย่างหนึ่งที่ทำหน้าที่สอนคน คือเป็นผู้ส่ัง
สอนศิษย์หรือถ่ายทอดความรู้ให้แก่ศิษย์ และจะใช้กับผู้ที่ทำการสอนในสถานศึกษาทั้งของรัฐและ
เอกชนระดบั ตำ่ กวา่ ปรญิ ญา
๓๗ คณาจารย์ มหาวิทยาลัยมหาจุฬาลงกรณราชวิทยาลัย, พุทธวิธีการสอน, พิมพ์ครั้งที่ ๒,
(พระนครศรีอยุธยา : โรงพิมพม์ หาจุฬาลงกรณราชวทิ ยาลยั , ๒๕๕๙), หน้า ๔๐-๔๒.
๓๘ Good,Carter V, Dictionary of Education, (New York, McGraw-Hill Book, 1973), p.586.
๓๙ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ, พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๒
แกไ้ ขเพิ่มเตมิ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๕, (กรุงเทพมหานคร : สำนักพมิ พเ์ ดอะบุคส์, ๒๕๔๖), หน้า ๖.
๑๗๕
179
สรุปคำว่า ครู หมายถึง ผู้ซึ่งทำหน้าที่อบรมสั่งสอนวิชาความรู้ ความเชื่อถือ ค่านิยม
และประสบการณ์ตา่ ง ๆ ใหศ้ ิษย์เพอ่ื พัฒนาให้ศิษยม์ ีความเจริญงอกงาม และเปน็ มนุษยท์ ส่ี มบูรณ์ด้วย
สติปัญญาในสงั คม๔๐
๖.๒ ลักษณะครูทด่ี ี นักวิชาการศกึ ษาได้สรุปลกั ษณะของครูที่ดไี ว้ดว้ ยกัน ดงั ต่อไปนี้
กิลเบิรท์ (Gilbert) กลา่ วว่า ครูดจี ะต้องประกอบไปด้วยลกั ษณะ ดังต่อไปนี้
๑. ร้วู ชิ าท่ีสอนเป็นอยา่ งดี
๒. ชอบวชิ าท่สี อน
๓. ชอบเด็ก
๔. รจู้ ักเดก็
๕. ใจกวา้ ง
๖. มคี วามรกู้ วา้ งขวาง
๗. มอี ารมณ์ขนั
๘. จำแมน่
๙. มคี วามหวังในชวี ติ
๑๐. มีเมตตา๔๑
จอห์น แคร์รอล (John Carroll) ได้อธิบายลักษณะของครูที่ดีมีประสทิ ธภิ าพ ควรมีลักษณะ
ทสี่ ำคัญ ดงั นี้
๑. สอนให้ผเู้ รยี นเกิดการเรยี นรู้
๒. ให้เวลาผู้เรียนแต่ละคนในการเรียนรู้โดยคำนึงถึงความแตกต่างของบุคคลและวิชาที่
สอน
๓. จัดกจิ กรรมและประสบการณเ์ พือ่ ชว่ ยใหเ้ กิดการเรียนรู้๔๒
บาร์ (Barr) ไดท้ ำการวิจัยที่วิสคอนซนิ (Wisconsin Studies) และสรปุ เกยี่ วกบั ลักษณะของครูที่
ดไี ว้ ดงั นี้
๑. รา่ เริง
๔๐ ยนต์ ชุ่มจิต, ความเป็นคร,ู พิมพ์ครัง้ ท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร: โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๓), หนา้ ๖.
๔๑ Gilbert, H. The Art Teacher, (New York: Pyramid Books,1979), pp.11-65,
๔๒ Carroll, J.B. A model of school learning, (Teacher College Record, 1963), p.65.
๑๗๖
180
๒. เอาใจใส่
๓. ใหค้ วามรว่ มมอื
๔. นา่ เชอ่ื ถือ
๕. มอี ารมณ์มันคง
๖. มศี ีลธรรมจรรยา
๗. มคี วามสขุ ุมรอบคอบ
๘. มคี วามยืดหยุ่น
๙. มีความมานะ
๑๐. มีการตดั สนิ ใจดี
๑๑. มีประสาทวอ่ งไว
๑๒. ไมเ่ อาเรอื่ งสว่ นตวั มาปนกับงาน
๑๓. บุคลกิ ภาพมเี สน่ห์
๑๔. มีความกระตอื รอื รน้
๑๕. มคี วามเป็นนกั วชิ าการ๔๓
เฮสซองและวีคส์ (Hessong and Week) ได้สรุปแนวความคิดเกี่ยวกับลักษณะของครูที่ดีไว้
เป็นระบบและครอบคลมุ ลักษณะของครูอย่างกว้างขวางดังน้ี
๑. เปน็ ผ้มู คี วามรู้ (Being Knowledge Able) คอื การมคี วามรู้หรือความเขา้ ใจในวชิ าการต่าง ๆ
ซงึ่ ได้ศึกษาเล่าเรยี นมาเป็นอย่างดี มคี วามแม่นยำในวิชาการโดยเฉพาะวชิ าท่สี อนตลอดจนวิชาการอ่ืน
ๆ ตามสมควร
๒. เปน็ ผู้มอี ารมณข์ ัน (Being Humorous) คือ การเปน็ ผ้ทู ี่สามารถสอดแทรกความร้สู กึ ที่ทำให้
ขำขันหรือสนุกสนานในการสอน อย่างไรก็ดี การมีอารมณ์ขันของครูจะต้องเป็นไปในทางสร้างสรรค์
ก่อให้เกิดคา่ นยิ มทด่ี ี มฉิ ะน้ันแลว้ จะเกิดผลเสยี ได้เชน่ กัน
๓. เป็นผู้มีความยืดหยุ่นผ่อนปรน (Being Flexible) หมายถึง การมีความสามารถในการ
เปลี่ยนแปลงแก้ไขหรือปรับเปลี่ยนสภาพการณ์ให้เหมาะสมกับการสอนได้ รู้จักการยืดหยุ่นในการ
อบรมส่งั สอน สามารถปรบั แผนการเรยี นใหเ้ หมาะสมกับสถานการณ์ทีเ่ ปลีย่ นแปลงได้อย่างดี
๔. เป็นผู้มีความตัง้ ใจในการทำงาน (Being Upbeat) เป็นผู้ที่มีความรักในตวั เดก็ และยินดีใน
ภารกิจทางด้านการสอน จะไม่มองว่าการสอนเป็นเพียงภารกิจที่จะต้องรับผดิ ชอบเท่านั้น แต่จะยินดี
เมือ่ ได้สอนอุทศิ เวลาใหก้ ับการงานทท่ี ำอย่างเต็มที่
๔๓ Barr, A. S, Characteristics of Successful Teachers, (Wisconsin : Phi Delta Kappan,
1958), pp.282- 284.
๑๗๗
181
๕. เป็นผู้มีความซื่อสัตย์ (Being Honest) ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นคุณลักษณะที่สำคัญ
มากสำหรับผ้ทู ่เี ป็นครู ความซื่อสตั ยจ์ รงิ ใจเป็นส่งิ ที่ให้ศิษย์เกิดความไว้เน้ือเช่ือใจและมั่นใจท่ีจะปฏิบัติ
หรอื กระทำตามคำส่ังสอนของครู
๖. เป็นผ้มู ีความสามารถสรา้ งความชัดเจน (Being Clear and Concise)
ความสามารถในการทำให้ผู้ที่สัมพันธ์ด้วยเข้าใจได้รวบรัดชัดเจนนั้น เป็นเรื่องของความสามารถใน
การสอ่ื สารทัง้ การใชภ้ าษาพูดและภาษาเขยี น นอกจากน้ีการปฏบิ ัติหนา้ ที่ใด ๆ กต็ ้องปฏบิ ตั ิดว้ ยความ
ชดั เจนโปรง่ ใสถกู ต้องตามหลักการและระเบยี บแบบแผนอนั ดีงาม
๗. เป็นคนเปิดเผย (Being Open) คือ เป็นคนที่ไม่ทำตัวลึกลับเจ้าเล่ห์ ไม่หน้าไหว้หลังหลอก
เต็มใจเปิดเผยใหผ้ อู้ ื่นรับรู้ ร้จู กั ยอมรบั ความคดิ เห็นของผู้อื่นดว้ ยความเข้าใจ
๘. เป็นผู้มีความอดทน (Being Patient) หมายถึง ความเป็นผู้มีความเพียรพยายามหรือขยัน
ขันแข็ง สำหรับครูต้องมคี ุณสมบตั ิข้อนีเ้ ปน็ พิเศษ เพราะนอกจากจะเป็นผูอ้ ดทนในหน้าท่ีการสอนและ
งานอื่น ๆ แลว้ ยังต้องอดทนตอ่ พฤตกิ รรมต่าง ๆ ของนักเรยี นอกี ด้วย
๙. เป็นแบบอย่างที่ดี (Being a Role Model) ครูควรเป็นบุคคลที่กระทำตนให้เป็นแบบอย่างท่ี
ดีต่อศิษย์และสังคม เพราะนักเรียนต้องมีแบบอย่างที่ถูกต้องดีงามเพื่อใช้เป็นแนวทางในการดำเนิน
ชวี ติ ของตน
๑๐. เป็นผู้สามารถประยุกต์ทฤษฎีไปปฏิบัติได้ (Being Able to Relate Theory to Practice) การ
นำเอาความรูท้ ีไ่ ด้ไปใช้ให้เกิดผลอย่างมปี ระสิทธิภาพนั้น บางครั้งสภาพการณ์จริงไมเ่ หมือนกับทฤษฎี
ทเี่ รียนมา ครตู อ้ งสามารถประยกุ ตท์ ฤษฎไี ปใช้ได้อย่างเหมาะสม
๑๑. เป็นผู้มีความเชื่อมั่นในตนเอง (Being Self Confidant) ความเชื่อมั่นในตนเอง ก็คือ การ
กล้าตัดสินใจโดยสามารถเลอื กวิถีทางท่ีดีท่สี ุดในการแก้ปญั หาต่าง ๆ หรือวถิ ที างทด่ี ที สี่ ดุ ในการกระทำ
ตา่ ง ๆ ครูตอ้ งพฒั นาความเชอื่ ม่นั ในตนเองโดยการส่งั สมประสบการณต์ ่าง ๆ โดยเฉพาะทเ่ี กย่ี วกบั การ
สอนใหม้ ากท่สี ดุ ครูต้องเชือ่ มนั่ ในสง่ิ ทต่ี นสอนด้วย
๑๒. เป็นผู้มีความสามารถในศิลปวิทยาการหลาย ๆ ด้าน (Being Diversified) ครูที่ประสบ
ความสำเร็จจะต้องมคี วามรู้และความสามารถในวิทยาการอื่น ๆ ด้วย ความรู้พิเศษเป็นความสามารถ
เฉพาะตวั ที่จะช่วยใหผ้ ปู้ ระกอบวชิ าชีพครูอาจจะต้องใช้เพ่อื ชว่ ยใหง้ านในหน้าท่ีครมู ปี ระสิทธิภาพมาก
ยิ่งขึ้น ความรู้พิเศษ เช่น ความสามารถทางเครื่องยนต์กลไก ความรู้ในการใช้เครื่องคอมพิวเตอร์
ความสามารถทางงานศลิ ปะ
๑๓. เป็นผู้แต่งกายเหมาะสมและมีสุขอนามัยส่วนบุคคลดี (Being Well Groomed and
Having Personal Hygiene) ผู้ประกอบวิชาชีพครูต้องแต่งกายสุภาพเรียบร้อยและสะอาดอยู่เสมอ
สวมใส่เสื้อผ้าถูกกาลเทศะเหมาะสมกับความเป็นครูหรือแต่งกายตามรูปแบบสถานศึกษากำหนด
๑๗๘
182
นอกจากนสี้ ขุ อนามัยของครูกเ็ ปน็ สงิ่ สำคัญ ท้ังสุขภาพทางรา่ งกายและจิตใจสุขภาพของครูมีผลให้การ
สอนประสบผลสำเร็จด้วยดี๔๔
สรุปได้ว่า ลักษณะของครูที่ดี ครูต้องเป็นกัลยาณมิตรที่ดี มีความเชี่ยวชาญชำนาญใน
ศาสตร์ท่ีตนสอน มคี ณุ ธรรมจริยธรรมมจี รรยาบรรณต่อวชิ าชพี มีความรักความเมตตาต่อศษิ ย์ เปน็ ผู้มี
ความชื่อสัตย์ เสียสละ รับผิดชอบ และอดทน เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ผู้เรียนมีความสามารถในการจั ด
ประสบการณ์การเรียนรู้ให้ผู้เรียนมีทักษะการเรยี นรู้ คณุ ธรรมจรยิ ธรรม ทกั ษะกระบวนการคิด ทักษะ
ชีวิต ทักษะการใช้เทคโนโลยี และทักษะอาชีพ คอยชี้แนะแนวทางที่ดีแก่ศิษย์ในการดำรงชีวิตใน
กระแสสังคมปัจจุบนั
๖.๓. บทบาทของครู
บทบาทของครูเท่าทผ่ี ่านมาน้ันมีอยหู่ ลากหลายตาทศั นะของนักวิชาการแต่ละท่านท่ีได้ให้
ความเห็นและเสนอแนะ ซง่ึ นบั วา่ เป็นบทบาทที่ดมี คี วามสำคญั เป็นอย่างยิ่ง ผเู้ ขียนขอสรปุ บทบาทของ
ครตู ามทัศนะของนักวชิ าการแตล่ ะทา่ น๔๕ ดังนี้
สมบรู ณ์ พรรณนาภพ ไดส้ รปุ ความเห็นเกี่ยวกบั บทบาทของครู ดงั นี้
๑. บทบาทการเป็นผู้สร้างความงอกงามให้แกน่ ักเรียน ซงึ่ เปน็ บทบาทท่ีมคี วามสำคัญมาก
ของครู ในบทบาทนี้ ครูมีหน้าท่ดี ังน้ี
๑.๑ ครูทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการแห่งการเรียนรู้เพื่อจัดรวบรวมกิจกรรมต่างๆ
ให้เป็นหมวดหมู่ เพอ่ื ชว่ ยเสริมสร้างใหน้ กั เรียนได้เกิดการเรียนรู้
๑.๒ ครูทำหนา้ ที่เป็นทป่ี รกึ ษาและใหค้ ำแนะนำ
๑.๓ ครทู ำหนา้ ท่เี ปน็ สมาชกิ ของสังคมภายในโรงเรียน
๒. บทบาทการเป็นสื่อสัมพันธ์ หมายถึง การทำตัวเป็นสื่อ หรือสะพานเชื่อมโยงระหว่าง
สมาชกิ ผู้เยาว์กบั ผูใ้ หญข่ องสงั คม ดังน้ี
๒.๑ การที่ครทู ำหน้าท่ีเป็นผนู้ ำทางด้านวัฒนธรรมของสงั คม
๒.๒ การทคี่ รทู ำหนา้ ที่เป็นผูค้ อยประสานงานระหวา่ งบา้ นกับโรงเรียน
๓. บทบาทการบรหิ ารการศึกษา ได้แก่ ในด้านการจดั สร้างประเมินผลหลกั สูตร การเลือก
ตำราเรียน การกำหนดมาตรฐานในการปฏิบัติงานของคณะครู การจัดและรวบรวมกิจกรรมนอก
หลักสูตร การจัดเตรียมการประชุมครู การควบคมุ วินัย รวมท้งั ในด้านการจดั ทำงบประมาณและการ
๔๔ Hessong, Robert F. and Thomas H. Week, Introduction to Education, (New York,
1987), pp.457 - 463.
๔๕ ไพฑูรย์ สินลารัตน์ และ นักรบ หมี้แสน, ความเป็นครูและการพัฒนาการมืออาชีพ,
(กรงุ เทพมหานคร : โรงพิมพแ์ ห่งจุฬาลงกรณ์มหาวทิ ยาลยั , ๒๕๖๐), หนา้ ๑๔๙ – ๑๕๓.
๑๗๙
183
ประชาสมั พันธ์ เปน็ ตน้ ๔๖
ธรี ศักดิ์ อัครบวร ไดก้ ลา่ วถึงบทบาทและความสำคญั ของครูซ่งึ สรุปได้ ดังนี้
๑. บทบาทและความสำคัญต่อการสร้างเยาวชน สำหรับบทบาทในด้านนี้ ครูจะต้อง
ประพฤติตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีและเป็นที่พึ่งของเด็กเป็นผู้ประสานระหว่างครอบครัว ชุมชน กับ
โรงเรียนเพื่อที่จะได้แก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้ มีความเสียสละอุทิศตนและสติปัญญาเพื่อช่วยเหลือเด็ก
และต้องไม่เพิกเฉยต่อสิทธเิ ดก็ ให้การคุ้มครองสิทธิเดก็ อย่างเป็นรูปธรรมมีส่วนช่วยชี้นำต่าง ๆ เพื่อให้
เด็กสามารดำรงชวี ิตอยใู่ นสังคมได้อยา่ งมคี วามสุข
๒. บทบาทและความสำคัญของครูในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ บทบาทในด้านน้ี
ทรัพยากรมนุษย์เป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดและสำคัญกว่าทรัพยากรทั้งหลาย การพัฒนาทรัพยากร
มนุษย์เป็นการเปลี่ยนแปลงมนุษย์ให้ดีขึ้นจากเดิมหรือเจริญขึ้นกว่าเดิม แนวคิดในด้านนี้ต้องอาศัย
การศึกษาเป็นส่วนสำคัญ ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สุดของการศึกษาก็คือครูนั่นเอง เพราะวิชาชีพทุกสาขาทุก
ระดับตา่ งต้องอาศัยพ้ืนฐานจากครูท้ังสิ้น ดังน้ัน ครจู งึ เปน็ ผพู้ ฒั นาทรัพยากรมนุษย์ให้แก่ประเทศชาติ
ในทุกระดบั
๓. บทบาทและความสำคัญของครูในการรักษาชาติ บทบาทในด้านนี้ ครูเป็นผู้ให้ความรู้
ความเข้าใจและปลูกฝั่งให้เด็กเกิดความรัก ความหวงแหนชาติ ปลูกฝั่งระบอบการปกครองแบบ
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และให้ตระหนักถึงพระมหากรุณาธิคุณของ
พระมหากษัตรยิ ์ ปลูกฝังความรูเ้ กยี่ วกบั ศาสนา ตระหนกั ถงึ คณุ ค่าและปฏิบตั ิตามหลกั ธรรม
๔. บทบาทและความสำคัญของครูในการเยียวยาสังคม ในสงั คมปจั จุบันนี้มบี คุ คลจำนวน
มากที่ต้องเผชิญกับสภาพที่ไม่เหมาะสมทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น เด็กพิการต่าง ๆ ซึ่งต้องมี
โรงเรียนการศึกษาพิเศษคูที่ปฏิบัติงานในโรงเรียนเหล่านี้มีส่วนในการช่วยให้เด็กพิการสามารถ
ช่วยเหลือตนเองได้ ทำให้ครูได้ทำหน้าที่เป็นการช่วยสังคมอย่างมาก หรือกลุ่มผู้หลงผิดที่ต้องโทษทั้ง
ในสถานพินิจและในเรือนจำ ในปัจจุบันก็มีครูเข้าไปให้การศึกษาทำให้บุคคลเหล่านี้ เมื่อพ้นโทษ
ออกมาก็ย่อมดีกว่าไม่ได้รับการอบรมสั่งสอนขัดเกลาเลย ครูจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้มีบทบาทสำคัญในก าร
เยยี วยาสังคม๔๗
ยนต์ ชุ่มจิต ได้กล่าวถึง บทบาทของครูตามคำศัพท์ภาษาอังกฤษ “TEACHERS” ซึ่ง
สามารถสรุปจำแนกความหมาย แสดงให้เหน็ ถงึ บทบาทตามตวั อกั ษรแต่ละตัวได้ดังตอ่ ไปนี้
T = Teaching การสอน หมายความว่า ครูมหี นา้ ท่แี ละความรบั ผดิ ชอบตอ่ การสอน
๔๖ สมบูรณ์ พรรณนาภพ อ้างถึงใน ไพฑูรย์ สินลารัตน์, ครู, (กรุงเทพมหานคร : สารานุกรมศึกษา
ศาสตร์, ๒๕๓๘), หนา้ ๑๔๙.
๔๗ ธีรศักดิ์ อัครบวร, ความเป็นครู, พิมพค์ รง้ั ท่ี ๒, (กรุงเทพมหานคร : พลพิมพ,์ ๒๕๔๔), หนา้ ๑๕๐.
๑๘๐
184
เพื่อให้ศิษย์มีความรู้ความสามารถในวิชาการและถือได้ว่าเป็นงานหลักของครูทุกคน ดังนั้น ครูทุกคน
จึงควรตระหนักและให้ความสำคัญกับการสอนเป็นอันดับแรก และถือว่าหัวใจของความเป็นครู คือ
การอบรมส่งั สอนศิษยใ์ ห้เป็นคนดีมีความรใู้ นวทิ ยาการทั้งปวง
E = Ethics จรยิ ธรรม หมายความวา่ ครตู อ้ งมีหนา้ ที่และความรับผดิ ชอบต่อการอบรม ปลูก
ฝั่งคุณธรรม จริยธรรมให้แก่ศิษย์ และตัวครูทุกคนก็จะต้องประพฤติตนให้เป็นผู้มีคุณธรรมจริยธรรม
อันดีงามเหมาะสมด้วย ซึ่งพฤติกรรมอันเหมาะสมที่ครูได้แสดงออกจะเป็นสิ่งสำคัญในการปลูกฝ่ัง
ศรทั ธา เพอ่ื ศษิ ย์จะไดน้ ำไปเป็นแบบอย่างสำหรบั การประพฤติปฏิบัติตอ่ ไป
A = Academic วชิ าการ หมายความว่า คตู อ้ งมหี นา้ ท่ีและความรับผิดชอบต่อวิชาการท้ังของ
ตนเองและของนักเรียน และครูต้องเกี่ยวข้องกับการพัฒนาตนในด้านวิชาการอย่างสม่ำเสมอ ต้อง
หมน่ั ศกึ ษาหาความรู้เพื่อพฒั นาตนเอง ซึ่งจะไดน้ ำความรูท้ ่ีทนั สมยั มาสอนศิษยต์ อ่ ไป
C = Cultural heritage การสืบทอดวัฒนธรรม หมายความว่า ครูต้องมีหน้าที่และความ
รับผิดชอบต่อการสืบทอดวัฒนธรรม ซึ่งวิธีการที่ครูพึงกระทำ เช่น การเป็นผู้ประพฤติปฏิบัติตาม
ขนบธรรมเนียมประเพณีและวฒั นธรรมอนั ดีงามของชาตใิ หถ้ ูกต้องเหมาะสม การแต่งกายให้ต่าง ๆ ท่ี
ถูกต้องเหมาะสม ตลอดทัง้ ใหน้ ักเรียนรกั และหวงแหนมรดกทางวฒั นธรรมของตน เตม็ ใจที่จะปฏบิ ตั ิ
ตามธรรมอันดงี ามของชาติ
H = Human relationship การมีมนุษย์สัมพันธ์ หมายความว่า ครูจะต้องมีหน้าที่และความ
รับผิดชอบในการสร้างมนุษยสัมพันธ์กับบุคคลต่าง ๆ ที่ครูต้องเกี่ยวข้องสัมพันธ์ด้วย เพราะการมี
มนษุ ยสัมพนั ธท์ ดี่ ีจะก่อให้เกดิ ประโยชนท์ งั้ ตอ่ ตนเองและสว่ นรวม
E = Evaluation การประเมินผล หมายความว่า ครูจะต้องมีหน้าที่และความรับผิดชอบต่อ
การประเมินผลการเรียนของศิษย์ ทั้งนี้เพราะการประเมินผลการเรียนการสอนเป็นการวัดความ
เจรญิ กา้ วหน้าของศษิ ย์ในด้านตา่ ง ๆ หลังจากมกี ารเรยี นการสอนไปแล้ว
R = Research การวิจยั หมายความวา่ ครูต้องพยายามหาความรู้ความจริงเพ่อื แก้ปัญหาการ
เรียนการสอนและแก้ปัญหาที่เกี่ยวกับตัวนักเรียนด้วยการศึกษาวิจัย เพราะผลการวิจัยได้นำมาปรับ
และพัฒนาในด้านตา่ ง ๆ ไดต้ ่อไป
S = Service การบรกิ าร หมายความวา่ ครตู ้องมหี น้าที่และความรับผดิ ชอบตอ่ การบรกิ ารให้
ความรแู้ กศ่ ิษย์เพอ่ื สรา้ งความเจริญงอกงาม และการให้บรกิ ารผู้ปกครองเพ่ือการติดต่อประสานงานใน
การช่วยเหลือนักเรียน นอกจากนี้ ครูยังต้องให้บริการแก่ชุมชนเพื่อช่วยแก้ปัญหาหรือเป็นที่ปรึกษา
ให้แกช่ มุ ชนอีกด้วย๔๘
๔๘ ยนต์ ชุ่มจิต, ความเป็นครู, พิมพ์ครั้งที่ ๖, (กรุงเทพมหานคร : โอเดียนสโตร์, ๒๕๕๘), หน้า ๗๖-
๘๓.
๑๘๑
185
สรปุ ไดว้ า่ ครมู ีบทบาทสำคัญในฐานะเปน็ ผู้ออกแบบการจดั การการเรยี นรู้ เพ่อื เออ้ื อำนวย
ความสะดวกให้ผู้เรียนเป็นผู้แสวงหาความรู้และพัฒนาตนเอง ในบรรยากาศและสถานการณ์ที่ครูจัด
ใหผ้ ้เู รยี นได้คิดเอง ปฏิบัตเิ องและนำไปสกู่ ารสร้างความรูด้ ว้ ยตนเองอยา่ งพึงพอใจ การรู้จักผู้เรียนเป็น
รายบุคคล หรือรายกลุ่ม จะช่วยให้ครูมีข้อมูลที่สำคัญในการออกแบบการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ท่ี
เหมาะสม สนองตอบความต้องการ ความถนัด ความสนใจและวิธีการหรือลีลาการเรียนรู้ของผู้เรียน
แตล่ ะคน และบทบาทสำคัญย่ิง คือ ครูตอ้ งเปน็ แบบอย่างท่ดี ใี นทุกดา้ น
๖.๔ บทบาทของครูในการจดั การเรียนรู้
การจัดกระบวนการเรียนรู้ ในสถานการณ์ทั่วไปมักจะประกอบด้วยบุคคลผู้เกี่ยวข้อง ๒
กลุ่ม คือ ผู้สอนและผู้เรียน ส่ิงท่ีต้องคำนึงถึงคือ ผู้สอนจะต้องทำการศึกษาหลักสูตรวิเคราะห์
มาตรฐานการเรียนรู้ช่วงช้ัน กำหนดผลการเรียนรู้ เนื้อหาสาระ ทีจ่ ะนำไปสอน เพอื่ ใหเ้ กดิ ความเข้าใจ
อย่างชัดเจน และนำไปกำหนดกิจกรรมการเรียนรู้ หรือวิธีการเรียนรู้และลักษณะรูปแบบการเรียนรู้
ของผูเ้ รยี น บทบาทท่ีสำคญั ของครจู ึงต้องนำจติ วิทยาการเรียนการสอน ทีจ่ ะนำไปสู่การเรียนท่ีเกิดผล
มากที่สุด สำหรับการจัดออกแบบกิจกรรมท่ีจะใช้ในการจัดการเรียนรู้นั้น ครูผู้สอนจึงควรคำนึงถึง
องค์ประกอบทางดา้ นจิตวิทยาทมี่ ีอิทธพิ ลต่อผเู้ รยี น๔๙ เชน่
๑. ครูควรมีการสำรวจประสบการณ์การเรียนรู้ของผู้เรียนว่า ผู้เรียนแต่ละคนจะต้องใช้
เวลาในการเรียนรมู้ ากน้อยแคไ่ หน อยา่ งไร ตอ้ งให้โอกาสกบั ผู้เรียนได้ใช้กระบวนการสบื เสาะแสวงหา
ความรู้ทีค่ ้นพบด้วยตนเองมากน้อยเพยี งใด การคน้ พบความรู้ด้วยตนเอง เป็นส่งิ ที่มีคุณค่าอันจะทำให้
ผเู้ รยี นนั้นเรยี นอย่างมคี วามหมายตอ่ ตัวผเู้ รียนเองเปน็ อยา่ งมาก
๒. ครูควรใช้การบูรณาการ ซ่ึงเป็นการนำกระบวนการที่ต่อเนื่องจากข้ันตอนการสำรวจ
ประสบการณ์การเรียนรู้ของผเู้ รียน อนั รวมไปถงึ สถานการณ์ เง่ือนไขการเรยี นรู้ ส่ิงแวดล้อม จะทำให้
เกิดการเรียนรู้อย่างแท้จริง เป็นการบูรณาการความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิมและพร้อมที่จะนำความรู้
ไปประยกุ ต์ใช้ สร้างสรรค์และแกไ้ ขปัญหาต่อไป
๓. ครูจะตอ้ งมวี ธิ ีการถา่ ยโยงความรู้ เปน็ ข้ันท่ีผู้เรยี นสามารถแสดงพฤติกรรมทัง้ ดา้ น
ความรู้ ความคิด ทักษะ เจตคติ และค่านิยม เพื่อการประยุกต์ใช้ในการแสวงหาความรู้อย่างต่อเนื่อง
โดยพิจารณาจากผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้นั้น ผู้เรียนควรมีโอกาสได้ฝึกปฏิบัติจริง เพื่อให้เกิด
พฤติกรรมตามทรี่ ะบุหรือคาดหวังไว้ ส่วนประสบการณ์การเรียนรู้ท่ีจดั น้นั ควรเป็นส่ิงที่ทำให้ผู้เรียนมี
ความพึงพอใจที่จะได้ฝึกปฏิบัติ และมีความสอดคล้องสัมพันธ์กับผลการเรียนรู้ที่กำหนดไว้อย่างไร
ประสบการณ์การเรียนรู้ที่จักต้องอยู่ในขอบข่ายความสามารถของผู้เรียน ประสบการณ์การเรียนรู้
๔๙ กรมวิชาการ, การจดั สาระการเรียนพระพุทธศาสนา, พิมพค์ ร้งั ท่ี ๕, (กรุงเทพมหานคร : โรงพิมพ์
พระพุทธศาสนาของธรรมสภา, ๒๕๕๑), หนา้ ๒๑๘ – ๒๒๐.